The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by farida8141, 2021-04-05 21:51:50

สัตววิทยา

สัตววิทยา

48

Class Gastropoda

สัตว์ใน Class Gastropoda ได้แก่ หอยฝาเดียวชนิดต่าง ๆ เช่นหอยฝาชี หอยเป๋าฮือ และหอยท่ีไม่มีเปลือก
หรือเปลือกขนาดเล็กมากที่เรียกว่าทาก ได้แก่ ทากบก ทากทะเล และกระต่ายทะเล เป็นต้น แกสโทรพอดมี
มากประมาณว่ามีถึง 35,000 ชนิด ท่ีมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันและเป็นซากดึกด่าบรรพ์ประมาณ 15,000 ชนิด
นับว่าเปน็ คลาสทใี่ หญ่ทส่ี ุดในมอลลัสคาแกสโทรพอดสามารถด่ารงชวี ิตอยู่ในแทบทกุ สภาพของระบบนิเวศและ
เปน็ กลมุ่ เดียวทส่ี ามารถข้ึนมาดา่ รงชีวติ อยู่บนบกได้

https://socratic.org/questions/59117fc8b72cff3d8a8c4071

การจดั หมวดหมู่

Class Gastropoda จ่าแนกเปน็ 3 Subclass คือ

1. Subclass Prosobranchia มีหนวด 1 คู่ ตาอยูท่ โ่ี คนหนวดเปลือกมีฝาปิด (Operculum) มที อร์
ช่นั (Torsion) เพศแยกเกอื บท้ังหมดส่วนใหญ่อาศัยในทะเลน่ากร่อยสว่ นในนา่้ จืดพบนอ้ ยชนิด

2. Subclass Opisthobranchia มีหนวด 2 คู่ มีดีทอร์ชัน (Detorsion) เปลือกมีขนาดเล็กหรือไม่
มีเปลือกเลยโพรงแมนเทิลแคบหรือไม่มีเหงือกเส่ือมไป แต่มีผิวตัวที่ปรับไปเป็นหงือกมาท่าหน้าท่ีแทนมีเพศ
รวมอยใู่ นทะเลและน่้ากรอ่ ย

3. Subclass Pulmonata มีหนวด 1-2 คู่ ไมม่ ีเหงอื กใชป้ อดซ่ึงเปล่ยี นแปลงมาจากโพรงแมนเทิลใน
การแลกเปล่ียนแก๊สไม่มีแท่งเมือกในกระเพาะอาหารมีตา 1 คู่ อยู่ที่ฐานหรือปลายหนวดคู่หลังบางชนิดไม่มี
เปลอื กพวกท่ีมเี ปลือกจะไม่มีฝาปิดมีเพศรวมอาศยั อยู่ในนา้่ จืดบนบกบางชนดิ อยใู่ นทะเลหรือน่้ากร่อย

49

Class Pelecypoda
หอยสองฝามีจ่านวนชนิดมากรองไปจากหอยฝาเดียวอาศัยอยู่ในทะเลน่้ากร่อยน่้าจืด แต่ไม่ขึ้นมาอยู่

บนบกมีช่ือเรียกต่างกันไปหลายกลุ่มเช่นหอยแครง หอยแมลงภู่ หอยนางรม และหอยพัด เป็นต้นหอยสอง
ฝามขี นาดแตกตา่ งกนั มากตง้ั แต่ขนาด 2 มม. จนถึงกวา้ งมากกว่า 1 เมตรเชน่ หอยมือเสอื (Tridacna gigas) ซง่ึ
น้า่ หนกั มากกว่า 200 กก.
การจัดหมวดหมู่
Class Bivalva แบ่งออกเป็น 3 Subclass

1. Subclass Protobranchia เป็นหอยสองฝาท่ีโบราณเหงือกเป็นแผ่นแบนและไม่งอพับทบกลับ
ขน้ึ ขา้ งบนอาศัยอยใู่ นทะเลตวั อย่างเชน่ Solenomya, Nucula, Yoldia

2. Subclass Lanelbranchia แผ่นเหงือกเป็นแผ่นแบนและจะพับทบกลับข้ึนข้างบนแผ่นเหงือก
อาจจะเป็นซ่ีเป็นเส้นฝอยหรือเช่ือมติดกันเป็นแผ่นเดียวกันพบท้ังในน่้าจืดและทะเลเป็นหอยสองฝ่ากลุ่มใหญ่
ที่สุด

3 .Subclass Septbranchia เหงอื กเปล่ียนแปลงไปเป็นเซปทมั (septum) กนั อยใู่ นโพรงแมนเทลิ
Class Cephalopoda
สัตว์ใน Class Cephalopoda ได้แก่ ปลาหมึกชนิดต่างๆหอยงวงช้างและหอยงวงช้างกระดาษเป็นกลุ่มสัตว์ท่ี
ว่องไวว่ายน้า่ ได้ดมี ีหนวดรอบปากและมีท่อน้่าระบบประสาทเจริญดีมากมตี าขนาดใหญ่รับภาพได้เยื่อแมนเทลิ
มีกลา้ มเนอ้ื หนามีเซลลเ์ ม็ดสีอยู่ในชัน้ อพิ เิ ดอรม์ ิสอาศัยอย่ใู นทะเลบริเวณหน้าดินมีขนาดต้งั แต่ 6 ซม. จนถงึ ยาว
กวา่ 6 ม.

https://www.sciencedirect.com/topics/biochemistry-genetics-and-molecular-biology/cephalopod

50

บทท่ี 9

PHYLUM ARTHROPODA

สัตว์ในไฟลัมอาร์โธรโพดา (Arthropoda) เป็นกลุ่มของสัตว์ที่มีจ่านวนชนิดมากท่ีสุดในอาณาจักรสัตว์
ประมาณว่ามีถึงกว่า 9 แสนชนิดท่ีมนุษย์เราได้ค้นพบ อาร์โธรพอดสามารถอาศัยอยู่ได้ในแทบทุกสภาพภูมิ
ประเทศของโลกลักษณะเด่นของสัตว์ในไฟลัมน้ีคือ ล่าตัวเป็นปล้องและมีรยางค์เป็นข้อๆต่อกัน (Jointed
appendage) ยืน่ ออกมาจากแต่ละปล้องของล่าตัวลักษณะของรยางค์เป็นข้อ ๆ น้ีไดน้ า่ มาตัง้ เปน็ ชื่อของไฟลัม
กล่าวคอื ค่าวา่ Aarthron แปลวา่ ข้อต่อและ podos แปลวา่ เทา้

สัตว์ในไฟลัมอาร์โธรโพดานับว่าประสบความส่าเร็จในการด่ารงชีวิตบนโลกเป็นอย่ างมากจากการท่ี
พบสัตว์เหล่าน้ี เช่น แมลง กุ้ง ปู ไรน้่า เห็บ ไร แมงมุม ได้แทบทุกหนทุกแห่ง ทุกฤดูกาลและพบเป็นจ่านวน
มากทั้งน้ีเน่ืองจากสัตว์เหล่านี้มีโครงสร้างของร่างกายท่ีแข็งแรง มีรยางค์ที่เคล่ือนไหวได้ดีมากและท่าหน้าท่ีได้
หลายอย่าง มีระบบประสาทที่เจริญดี มีอวัยวะรับความรู้สึกหลายชนิด กินอาหารได้แทบทุกประเภท และมี
ระบบสบื พันธทุ์ ่เี จรญิ ดตี ัวเมยี วางไขไ่ ด้คราวละมาก ๆ มีระยะตัวออ่ นท่ีสามารถทนทานต่อการเปลีย่ นแปลงของ
สิ่งแวดล้อมท่าให้มีอัตราการรอดสูง มีฮอร์โมนและฟีโรโมน (Pheromone) ท่าให้มีการติดต่อส่ือสารระหว่าง
ชนิดและในกลุ่มเดียวกันได้ดี

อารโ์ ธรพอดเปน็ สัตว์ไม่มีกระดกู สันหลังทสี่ ามารถดา่ รงชวี ิตอยบู่ นบกได้อยา่ งสมบูรณ์ถงึ แมว้ ่าบางกลุ่ม
ยังคงอยู่ในน่้า การท่ีอาศัยอยู่บนบกได้เนื่องจากมีผิวตัวท่ีแข็งป้องกันการระเหยของน้่าได้ดี มีระบบหายใจที่
สามารถน่าเอาออกซิเจนจากอากาศเข้าไปยังเนื้อเยื่อได้โดยตรง มีรยางค์ท่ีเคล่ือนไหวได้ดีมีน้่าหนักเบาบาง
ชนิดมปี กี บนิ ได้ ทา่ ใหก้ ารหาอาหารสะดวกยิ่งขึ้น

ลักษณะทัว่ ไป

สัตว์ในไฟลัมอาร์โธรโพดามีล่าตัวที่แบ่งออกเป็นส่วน ๆ อย่างชัดเจน (Tagmatization) แต่ละส่วนจะ
ประกอบไปด้วยปล้องหลายปล้องมารวมกัน และในแต่ละส่วนของร่างกายจะมีจ่านวนปล้องที่แน่นอนในสัตว์
แต่ละชนิด ตัวอย่างเช่นแมลงแบ่งร่างกายออกเป็น 3 ส่วน คือ หัว 4 ปล้อง อก 3 ปล้อง ท้อง 11 ปล้อง เป็น
ตน้ ปลอ้ งแตล่ ะปลอ้ งมรี ยางค์ปล้องละ 1 คู่ แตก่ ลุ่มท่มี ีวิวัฒนาการสูงจะมีจ่านวนปล้องน้อยและรยางค์มักจะมี
ไมค่ รบทุกปล้อง และการมรี ยางคห์ ลายแบบ ท่าใหส้ ามารถท่าหน้าที่ได้ครบถว้ นในการด่ารงชวี ิต และมีส่วนหัว
เจริญดี ปล้องบริเวณนี้จะเชื่อมรวมกัน มีรยางค์ท่ีส่าคัญหลายอย่าง และเป็นศูนย์รวมของระบบประสาทและ
อวัยวะรบั ความรู้สึก

51

สงิ่ หอ่ หมุ้ ร่างกาย

สิ่งห่อหุ้มร่างกายส่ิงห่อหุ้มร่างกาย (Integument) ของอาร์โธรพอดประกอบด้วยโครงร่างภายนอกซ่ึง
เป็นส่วนเปลือกที่แข็ง เนื่องจากเป็นคิวทิเคิลท่ีมีไคตินเป็นส่วนประกอบ ถัดเข้าไปเป็นเย่ือบุผิวหรืออิพิเดอร์มิส
ติดอยู่กับเย่ือฐาน (Basement membrane) อิพเิ ดอรม์ สิ สรา้ งโครงร่างซึง่ เปน็ ควิ ทเิ คลิ ท่ีมสี ารประกอบทางเคมี
ท่ีสา่ คัญ คอื

1.ไคตนิ (Chitin) เปน็ โพลแี ซคคาไรด์ (Polysaccharide) คล้ายกบั เซลลูโลส แต่มไี นโตรเจนในโครงสร้าง
ดว้ ยโครงสรา้ งทางเคมีเป็น N-acetyl-D-glucosamine มีสมบัติทไี่ ม่ละลายในน้า่ ในดา่ งหรอื กรดออ่ น ๆ

2.โปรตีน ประกอบด้วยอาร์โธรโพดิน (Arthropodin) และรีซิลิน (Resilin) โปรตีนดังกล่าวสามารถ
เปลยี่ นรูปของโมเลกุลทา่ ให้เกดิ การแข็งตัวของโปรตนี (Sclerotization)

3.ลิปิด (Lipid), ข้ีผ้ึง (Wax) เป็นส่วนประกอบท่ีอยเู่ ฉพาะบริเวณผิวบนสดุ ของควิ ทเิ คิล ช่วยป้องกันการ
ระเหยของน่า้ ในตัว

4. สารหินปูน (Calcium carbonate) พบสะสมอยู่ทั่วไปในคิวทิเคิล ส่วนใหญ่อยู่ในรูปของแคลไซต์
(Calcite) ถ้ามีมากผิวตัวจะแข็ง เช่น กระดองปูถ้ามีน้อยผิวตัวก็จะนิมลง เช่น ผิวตัวของตกแตนเป็นต้น
โดยท่ัวไปคิวทเิ คลิ จะเรียงตัวเปน็ ช้นั ๆ ประกอบดว้ ย

1.อิพิควิ ทเิ คลิ (Epicuticle) เปน็ ชั้นนอกสดุ มี แตล่ ิปิดและขผี้ ้งึ ไมม่ ีไคตนิ

2.โพรคิวทิเคิล (Procuticle) เป็นช้ันที่หนามีไคตินโปรตีนแคลเซียมและเม็ดสีชั้นนี้มักจะแบ่งออกเป็นสองช้ัน
ยอ่ ยเรยี งจากด้านนอกเขา้ มาคือ เอ็กโซคิวทิเคลิ (Exocuticle) และเอนโดคิวทิเคลิ (Endocuticle) ทง้ั สองชน้ั น้ี
จะมีความหนาบางต่างกันไปในสัตว์แต่ละชนิด ใตช้ นั้ คิวทเิ คิลเดอร์มิสซ่งึ จะมีตอ่ มสรา้ งส่ิงหอ่ หุ้ม (Tegumental
gland) เป็นต่อมใหญ่ส่งท่อผ่านชั้นคิวทิเคิลออกไปเปิดที่อิพิคิวทิเคิล สารจากต่อมเหล่านี้ ได้แก่ ข้ีผ้ึงและลิปิด
นอกจากนี้เซลล์ในช้ันนย้ี งั ดดั แปลงไปเปน็ ต่อมต่าง ๆ เช่น ตอ่ มพิษ ตอ่ มสรา้ งเส้นใย (Silk gland) เปน็ ตน้

52

ปล้องและรยางค์

ปล้องแต่ละปล้องของอาร์โธรพอดจะมีโครงสร้างคล้ายกันคือ จะมีคิวทิเคิลเป็นเปลือกหุ้มปล้องแต่ละ
ปล้องเรียกว่า สเคลอไรต์ (Sclerite) ซ่ึงจะมี 4 ส่วนคือ แผ่นหลังเป็นเทอร์กัม (Turgum) แผ่นท้องเป็นสเท
อร์นัม (Sternum) และแผ่นข้างสองแผ่นเป็นพลูรอน (Pleuron) แผ่นหลังจะเป็นแผ่นท่ีหนากว่าแผ่นอื่น ๆ
และในบางส่วนของร่างกายเทอร์กัมของปล้องหลายปล้องจะเชื่อมรวมกันเป็นแผ่นใหญ่ เช่น กระดองปูหรือ
ส่วนหัวของกุ้ง เป็นต้น เปลือกของปล้องแต่ละปล้องจะมีเยื่อเช่ือม (Articular membrane) พับทบอยู่ภายใน
ทา่ ใหง้ อและเหยยี ดตัวในการเคลือ่ นไหวได้

รยางค์ของอาร์โธรพอดประกอบด้วยข้อหลายข้อ แต่ละข้อเรียกว่าโพโดเมียร์ (Podomere) ระหว่างโพ
โดเมียร์จะมี Articular membrane เช่นเดียวกับปล้องล่าตัว เย่ือนี้จะต้องรับน้่าหนักของล่าตัว และเวลาปุ่ม
เข้าภายในระหว่างข้อจะเกิดจุดสัมผัสซ่ึงจะมีการเสียดสีกัน ตรงจุดสัมผัสจะเป็นคิวติเคิลที่หนาแข็งขึ้นเรียกว่า
คอนไดล์ (Condyle) หรือฟาลครัม (Falcrum) ซง่ึ เปน็ ศูนย์ในการยกลา่ ตัวขึ้นลง และยงั เปน็ การเสริมข้อต่อให้
แขง็ แรงเพือ่ ใหส้ ามารถแบกรับนา้่ หนักตัวได้คอนไดล์อาจมเี พยี งข้างเดยี วหรือมสี องขา้ งตรงข้ามกัน

ระบบกลา้ มเน้ือ

อาร์โธรพอดมีระบบกล้ามเนื้อที่เจริญดี กล้ามเนื้อส่วนใหญ่เป็นกล้ามเนื้อลายเป็นมัดสั้น ยึดระหว่าง
ปล้องของล่าตัวและระหว่างโปโดเมียร์ของรยางค์ โดยท่ีกล้ามเน้ือจะผ่านข้ามข้อต่อไปเกาะกับเปลือกเรียกว่า
อโพดมี (Apodeme) หรืออโปดมี อาจเปน็ สนั ย่ืนเข้าไปภายในเพื่อให้กล้ามเน้ือเกาะ กล้ามเน้ือของอาร์โธรพอด
จะมี 2 ชุดท่างานตรงขา้ มกันกลา้ มเนื้องอตัว (Flexor muscle) มขี นาดใหญม่ ักอยูท่ างดา้ นท้อง ท่าใหต้ วั งอได้
กล้ามเน้ือเหยียดตัว (Extensor muscle) มีขนาดเล็กกว่าและอยู่ตรงข้ามกล้ามเนื้องอตัวกล้ามเนื้อของอาร์โธ
รพอดมีเส้นใยกล้ามเน้ือ (Muscle fiber) นอ้ ยและมีเซลลป์ ระสาทส่งความรสู้ ึก (Motor neuron) ที่จะกระตุ้น
การท่างานของกล้ามเน้ือจ่านวนน้อย เซลล์ประสาทส่งความรู้สึกมี 2 ชนิดคือชนิดท่ีท่าให้เส้นใยกล้ามเน้ือหด
ตัวอย่างรวดเร็ว (Fast fibers) และชนิดท่ีหดตัวช้า (Slow fibers) ท่าให้มีการหดตัวของกล้ามเนื้อติดต่อกันได้
นาน (Tonic Contraction) เซลล์ประสาทส่งความรู้สึก 1 เซลล์จะสามารถควบคุมการท่างานของเส้นใย
กล้ามเน้ือได้หลายเส้น การท่างานของกล้ามเน้ือเป็นผลจากการกระตุ้นของแอกซอนไม่ได้ข้ึนกับสมบัติของ
กล้ามเนื้ออาร์โธรพอดเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่เคล่ือนไหวได้ดีที่สุดเมื่อเทียบกับสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง
อนื่ ๆ

53

ซลี อมและระบบหมุนเวียน

ซลี อมของอาร์โธรพอดมีขนาดเล็กโดยเฉพาะอยา่ งยิ่งชว่ งที่เป็นตัวเต็มวยั ซีลอมจะเหลืออยู่รอบ ๆ อวัยวะ
สืบพนั ธุ์ (Gonocoel) เทา่ นนั้ ชอ่ งในลา่ ตัวเกอื บทั้งหมดจะเปน็ ชอ่ งเลือด (Hemocoel) แทรกกระจายอยูท่ ่ัวไป
ในช่องของล่าตัว ซีลอมเป็นแบบคิโซซิลัส (Schizocoelous) เช่นเดียวกับซีลอมของมอลลัสค์ ส่วนระบบ
หมุนเวียนเป็นระบบเปิด ประกอบไปด้วยหัวใจ เลือดและช่องเลือดเลือดของอาร์โธรพอด ส่วนใหญ่มีฮีโมไซ
ยานินเป็นตัวจบั ออกซเิ จน บางชนิดมีฮีโมโกลบิน บางชนดิ มเี กลด็ เลอื ด (Blood platelet) เหมือนสัตวช์ นั้ สงู

การแลกเปล่ียนแก๊ส

อาร์โธรพอดที่อยู่ในน่้าจะใช้เหงือก (Gill) ในการแลกเปลีย่ นแก๊ส ส่วนพวกท่ขี ึ้นมาอยู่บนบกอย่างสมบูรณ์
จะมีบูค ลังก์ (Book lung) หรือระบบท่ออากาศ (Tracheal System) ท่าหน้าที่แทนพวกท่ีใช้เหงือกจะน่า
ออกซิเจนที่ละลายอยู่ในน้่าเข้าไปในแผ่นเหงือก ดังนั้นเหงือกจะต้องชุ่มช้ืนอยู่เสมอจึงจะแลกเปลี่ยนแก๊สได้
พวกนี้จึงข้ึนมาอยู่บนบกได้ชั่วคราวเท่านั้น ส่วนพวกท่ีใช้บูค ลังก์ และระบบท่ออากาศจะน่าออกซิเจนจาก
อากาศเข้าไปตามท่อเข้าสู่เนื้อเย่ือโดยตรง การแลกเปล่ียนแก๊สจึงมีประสิทธิภาพมากกว่าอาร์โธรพอดท่ีอยู่ใน
น้่า

ระบบย่อยอาหาร

ท่อทางเดนิ อาหารของอารโ์ ธรพอดแบ่งออกเป็น 3 ตอน คอื

1. ท่อทางเดินอาหารตอนต้น (Fore gut) หรือสโทโมเดียม (Stomodeum) ผนังท่อด้านในบุด้วยคิวทิ
เคิลทางเดินอาหารสว่ นน้ี ประกอบดว้ ยปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร

2. ท่อทางเดนิ อาหารตอนกลาง (Mid gut) เปน็ บริเวณท่ไี ม่มคี วิ ทเ์ คลิ บอุ ยภู่ ายใน แต่จะมีท่อทางจากต่อม
น่้าย่อยเข้ามาเปิดจงึ มหี น้าทย่ี ่อยอาหาร ดูดซึมอาหาร

3. เดินอาหารตอนปลาย (Hind gut) หรือพรอคโทเดียม (Proctodeum) มีคิวทิเคิลบุอยู่ท่ีผนังด้านใน
ของท่อเช่นเดียวกับท่อทางเดินอาหารตอนตน้ เป็นทางผ่านออกของกากอาหาร มีการดูดซับน่้า เกลือ
แร่บางอย่างออกจากกากอาหารเพ่ือนา่ กลบั ไปใชอ้ ีก

54

ระบบขับถา่ ย

อวัยวะขับถ่ายของเสียเปลี่ยนแปลงมาจากท่อซีลอม (Coelomoduct) โดยเปล่ียนแปลงไปเป็นต่อม
อยู่ตามโคนของรยางคต์ ่าง ๆ เช่น ตอ่ มคอกซา (Coxa gland) ตอ่ มแอนเทนนา (Antennal gland ) ต่อมแมก
ซิลลา (Maxillary gland) หรืออาจจะมาจากส่วนของท่อทางเดินอาหารมาลพิเจียนทูบูล (Malpighian
tubule) ซึ่งเป็นเส้นฝอยอยู่รอบ ๆ ท่อทางเดินอาหารตอนท้าย ผนังท่อจะดูดซับเอาขอ งเสียที่เป็น
สารประกอบไนโตรเจน (Nitrogenous waste) จากเลือดเขา้ มาในท่อและเปลีย่ นรปู เปน็ ผลึกกัวนิน (Guanine
crystal) ผลึกของเสียจะเข้าสู่ท่อทางเดินอาหารและปนออกมากับกากอาหาร ของเสียจากต่อมคอกซาและ
ตอ่ มแอนเทนนาเป็นแอมโมเนียหรอื กรดยรู ิค

ระบบประสาท

อาร์โธรพอดมีระบบประสาทที่เจริญดี และมีการรวมศูนย์อยู่ท่ีส่วนหัว (Cephalization) และส่วน
หัวมอี วัยวะรับความร้สู ึกทส่ี ่าคัญอย่หู ลายอย่าง เช่น ตา หนวด รยางคร์ อบปาก ปมประสาททีส่ ว่ นหวั จะมขี นาด
ใหญเ่ ปน็ ส่วนของสมอง และมีปมประสาทตามข้อปล้องตา่ ง ๆ ของล่าตัวอีกหลายปมปมประสาทจะเชอื่ มต่อกัน
ด้วยเส้นประสาท (Ventral nerve cord) 1 คู่ อาร์โธรพอดชั้นสูงมีจ่านวนปมประสาทน้อยลงเพราะมักจะมี
การรวมตัวของปมประสาทหลายปมมาเป็นปมประสาทขนาดใหญ่เส้นประสาท (Nerve cord) 2 เส้น ก็มักจะ
มาชดิ ติดกนั รวมเป็นเส้นเดยี ว

ระบบสืบพันธ์ุ

อาร์โธรพอดมีเพศแยกเกือบทั้งหมด ยกเว้นพวกที่ยึดเกาะอยู่กับท่ี เช่น เพรียงคอห่าน (Lepas
sp.) มีเพศรวมตัวผู้และตัวเมียมักจะมีลักษณะภายนอกบางอย่างท่ีแสดงความแตกต่างระหว่างเพศ (Sexual
dimorphism) อวยั วะท่ีแสดงความแตกตา่ งระหวา่ งเพศมกั พบท่ีหนวด รยางคอ์ ก รยางค์ทอ้ ง

อวัยวะสืบพันธุ์คือรงั ไข่และอัณฑะจะมีเปน็ ค่ตู ่าแหนง่ จะแตกตา่ งกนั ไป แตจ่ ะอยู่ใกลก้ ับชอ่ งสืบพันธุ์
เสมอชอ่ งสืบพนั ธุอ์ าจจะเป็นชอ่ งเดียวหรือเปน็ คกู่ ็ได้และมักจะอยู่ทโ่ี คนของรยางค์ขาเดิน

การสืบพันธ์ุมักจะมีการจับคู่ (Copulation) โดยเพศผู้จะดัดแปลงรยางค์บางอันมาท่าหน้าท่ียึดเกาะ
ตัวเมียและท่าหน้าท่ีส่งสเปิร์มเข้าไปปฏิสนธิกับไข่ พวกที่อยู่บนบก การปฏิสนธิจะเป็นแบบปฏิสนธิภายในตัว
และสเปิร์มจะอยู่ในรูปของสเปิร์มมาโทฟอร์ พวกที่อยู่ในน่้า การปฏิสนธิมีได้ท้ังแบบปฏิสนธิภายในและ
ภายนอกตวั

ไข่มีไข่แดงมากตัวอ่อนท่ีฟักออกมาส่วนใหญ่จะมีรูปร่างไม่เหมือนพ่อแม่ แต่จะมีการเจริญเติบโต
พร้อมทั้งพัฒนารูปร่างไปทีละข้ันตอนจนเป็นตัวเต็มวัย (Metamorphosis) ดังน้ันตัวอ่อนของอาร์โธรพอดจึงมี

55

หลายระยะแต่ละระยะมีชื่อเรียกต่าง ๆ กันไปอาร์โธรพอดหลายชนิดมีการสืบพันธุ์แบบพาร์ธีโนเจเนซิสซ่ึง
มกั จะพบในไรน้่าทมี่ ขี นาดเลก็ เช่น ไรแดง (Moina macrocopa)

การจาแนกชนิด

Phylum Arthopoda

Subphylum Trilobitomorpha เช่น Trilobite
Subphylum Chelicerata

Class Merostomata เชน่ แมงดาทะเล
Class Pycnogonida เชน่ แมงมุมทะเล
Class Arachnida เช่น แมงมมุ แมงป่อง เหบ็ ไร
Subphylum Mandibulata
Class Crustacea เชน่ กุ้งปไู รน่้า ฯลฯ
Class Diplopoda เชน่ กง้ิ กือ
Class Chilopoda เช่น ตะขาบ
Class Pauropoda เช่น Pauropus sp.
Class Symphyla เชน่ garden centiped
Class Insecta เช่น แมลง
Subphylum Trilobitomorpha
สัตว์ใน Suphylum Trilobitomorpha ได้สูญพันธุ์ไปประมาณ 200 ล้านปีมาแล้วสันนิษฐานว่า
ไตรโลไบต์ (Trilobite) มีชีวิตอยู่ต้ังแต่ยุคแคมเบรียน (Cambrian) ปัจจุบันพบซากดึกด่าบรรพ์จ่านวนมากอยู่
กับก้อนหิน โครงร่างของซากดึกด่าบรรพ์น้ีค่อนข้างจะสมบูรณ์ เห็นรูปร่างชัดเจน ท่าให้สามารถคาดหมาย
รูปรา่ งทแ่ี ทจ้ ริงได้

ไตรโลไบต์ ล่าตัวรูปไข่ขนาดตั้งแต่ 2.67 ซม. มีผิวตัวแข็ง ปกคลุมด้วยคิวทิเคิล มีแคลเซียม
คาร์บอเนตสะสมในบางบริเวณร่างกายของไตรโลไบต์แบ่งเป็นส่วนหัว (Cephalon) และส่วนล่าตัว (Trunk)
ซ่ึงมีส่วนอกและไพจเิ ดียม ลา่ ตวั เป็นปลอ้ งประมาณ 20 ปลอ้ ง ดา้ นหลงั มรี ่องตามยาวพาดอยู่สองร่องท่าให้แบ่ง
ล่าตัวเป็น 3 ส่วน อันเป็นที่มาของช่ือ Subphylum ส่วนหัวมีหนวด 1 คู่ มีตาประกอบ (Compound eye) 1
คู่

สว่ นล่าตวั มรี ยางคข์ าเดนิ ปล้องละ 1 คู่ รยางค์ขาเดินมลี ักษณะแตกเป็นสองแขนง (Biramous) คลา้ ย
กับพาราโพเดียมของโพลีคีต และท่าหน้าที่แลกเปลี่ยนแก๊สด้วย ปล้องสุดท้ายเรียกว่า ไพจิเดียม (Pygidium)
ไม่มรี ยางค์

56

Subphylum Chelicerata

สัตวใ์ น Subphylum Chelicerata เป็นกล่มุ ท่ีขึน้ มาอยบู่ นบกได้อยา่ งดี ถึงแม้ว่าบางกลุ่มจะยงั คงอยู่ใน
ทะเลก็ตาม สว่ นใหญ่จึงเป็นสัตว์บก และมีจา่ นวนชนิดมากรองจากแมลง ลกั ษณะเดน่ ของคลเิ ซอเรตก็คอื ล่าตัว
แบ่งออกเป็นสองส่วน ล่าตัวส่วนหน้าเรียกว่า โพรโซมา (Prosoma = ล่าตัวส่วนหน้า) ซ่ึงในระยะตัวอ่อนจะมี
8 ปล้อง ล่าตัวส่วนท้ายเรียกว่า โอพิสโธโซมา (Opisthosomas = ล่าตัวส่วนท้าย) ล่าตัวส่วนหน้าของตัวเต็ม
วัยจะมีปล้องท่ีเช่ือมรวมกันทางด้านหลังเป็นแผ่นเดียวกัน ท่าให้นับจ่านวนปล้องได้ยากล่าตัวส่วนนี้มีรยางค์ 6
คู่ คู่ท่ีอยู่หน้าสุดเป็นข้อสั้น 3-4 ข้อ ปลายเป็นก้านหนีบมีช่ือเฉพาะว่าดีลิเซอรา (Chelicera) เป็นรยางค์บน
ปล้องที่ 2 คู่ ถัดมามีขนาดยาวกว่ามี 6-7 ข้อ เรียกว่า เพดิพาลป์ (Pedipalp) ปลายมักจะเป็นก้ามหนีบ
เช่นเดยี วกนั อกี 4 คู่ ทีเ่ หลอื เป็นขาเดิน โพรโซมาจะมีตา (Ocelli) หลายคู่ แต่ไมม่ ีหนวด

โอพิสโธโซมามี 12 ปล้องและมักจะเช่ือมติดกันเช่นเดียวกับส่วนหน้า ไม่มีรยางค์ในการเคล่ือนที่เลย
ส่วนใหญ่เปลี่ยนแปลงไปเป็นเหงือกและอวัยวะในการแลกเปล่ียนแก๊สอื่น ๆ เช่น บูค ลังก์ (Book lung) ช่อง
ทอ่ อากาศ (Spiracle) ในบางชนิดปล้องสุดทา้ ยของสว่ นท้ายจะมีหาง (Telson) 1 อัน

อวยั วะขบั ถา่ ยเป็นต่อมคอกซา (Coxal gland) หรือมาลพิเจียนทูบูล (Malpighian tubule) อวยั วะใน
การแลกเปลี่ยนแก๊สของพวกท่ีอยู่บนบกเป็นบูค ลังก์และท่ออากาศ ส่วนพวกท่ีอยู่ในน่้าจะใช้แผ่นเหงือก
(Book gill)

คีลิเซอเรตมีเพศแยก การปฏิสนธิเป็นแบบปฏิสนธิภายในตัว มักมีการจับคู่ (copulation) มีการเกี้ยว
พาราสี (courtship mating) ก่อนจะมีการผสมพันธ์ุ สเปิร์มของพวกท่ีอยู่บนบกจะอยู่ในรูปของสเปิร์มมาโท
ฟอร์ ไข่ฟักออกมาเป็นตัวอ่อนที่มีรูปร่างคล้ายพ่อแม่ บางชนิดออกลูกเป็นตัว บางชนิดมีการตัวอ่อนที่เกิด
ออกมาใหม่

Class Merostomata

สัตว์ใน Class Merostomata ได้แก่ แมงดาทะเล (King crab, horseshoes crab) แมงดาทะเลเป็น
สัตว์ที่โบราณมากกลมุ่ หนง่ึ มีชวี ิตอยู่ตั้งแต่ยุคออร์โดวเิ ชยี น (Ordovician) และสูญพันธุ์ไปเกือบหมดเหลือเพยี ง
3 สกุล 4 ชนิดเท่าน้ัน คือ Limulus polyphemus, Tachyplius gigas, Tachyplius tridendatus และ
Carsinoscorpius rotundicauta ซากดกึ ด่าบรรพ์ของพวกทีส่ ญู พันธุไ์ ปแล้วมรี ปู รา่ งเหมือนกับแมงดาทะเลใน
ปัจจุบันแสดงว่ามีการเปล่ียนแปลงน้อยมากหรือไม่มีวิวัฒนาการเลยแมงดาทะเลจึงจัดเป็น living fossil ชนิด
หนง่ึ แมงดาทะเลพบในทะเลและนา้่ กร่อยเท่าน้นั

57

ลักษณะทั่วไป

แมงดาทะเลมีโพรโซมาหรือเซฟาโลธอแรกซ์เป็นแผ่นกว้างโค้งรูปครึ่งวงกลมเหมือนเกือกม้า ล่าตัว
ส่วนนีม้ ตี าขา้ ง (Lateral eye) 1 คู่ ซ่งึ เป็นตาประกอบ มอี อมมาทิเดยี ม (Ommatidium) หลายร้อยหนว่ ยท่ีรับ
ภาพไม่ได้ แต่สามารถจับการเคล่ือนไหวของสิ่งต่าง ๆ ได้นอกจากน้ียังมีตากึ่งกลาง (Median eye) ขนาดเล็ก
อกี หลายอนั ท่าหน้าทร่ี บั แสง รยางค์บนโพรโซมามี 6 คู่ เรยี งจากสว่ นหวั เขา้ ไปคือ

1.คลี เิ ซอราปลายรยางคเ์ ป็นก้ามหนีบขนาดเล็ก 1 คู่

2.เพดิพาลป์ 1 คู่ ปลายรยางค์เป็นก้ามหนีบ และข้อสุดท้ายของตัวผู้จะโป่งเป็นกระเปาะปลายสุดงอเป็น
ตาขอ

3. ขาเดนิ 4 คู่

บริเวณคอกซาของเพิพาลป์กับคอกซาของขาเดิน 3 คู่แรกจะมีแผงขนแข็งอยู่ที่รอบด้านในเรียกว่านาโธ
เบส (Gnathobase) ช่วยกรองอาหารเข้าปาก ขาเดินคู่สุดท้ายไม่มีนาโธเบส แต่จะมีอวัยวะท่าความสะอาด
เหงอื กเรยี กว่า แฟลเบลลมั (Flabellum)

ล่าตวั สว่ นท้าย (Opisthosoma) เช่ือมตอ่ กับส่วนหนา้ โดยมโี ครงสร้างคลา้ ยบานพับและ
กล้ามเน้ือยึดเอาไว้ ท่าใหล้ ่าตัวสว่ นนข้ี ยบั ขึ้นลงได้ ขอบทงั้ สองขา้ งมหี นามขา้ งละ 6 อนั หนามเหลา่ น้ี
เคลื่อนไหวได้ (Movable spine) ชว่ ยรบั ความรสู้ กึ รยางค์คู่แรกของโอพสิ โธโซมาคือ คลิ าเรีย (Chilaria) ซง่ึ
เช่อื มตดิ ไปกับโพรโซมาในระหว่างการพฒั นาเอมบรโิ อ เขา้ ใจว่าจะใชใ้ นการผลกั ชิน้ ส่วนของอาหารไปขา้ งหน้า
รยางค์ทีส่ า่ คัญอีกสองอย่างคือ แผ่นสบื พนั ธ์ุ (Genital Operculum) ขนาดใหญ่ 1 แผ่นและแผน่ เหงือก
(Book gill) 5 คู่ แผน่ เหงือกแตล่ ะข้างจะมแี ผ่นเหงือกย่อย (Gill leaflet) จ่านวนมากส่วนท้ายสุดของล่าตัวมี
หางซ่งึ เกดิ จากเทอรก์ ัมของปล้องสดุ ท้ายเปล่ยี นรูปไปหางแมงดาทะเลทา่ หนา้ ทย่ี ันพ้นื เพ่ือให้ตวั พลกิ ในกรณีที่
หงายท้อง

การกนิ อาหาร

แมงดาทะเลกนิ อาหารโดยการกรองแพลงก์ตอนผ่านนาโธเบสเขา้ ปาก หลอดอาหารแขง็ แรงมผี นังหนาช่วย
บดอาหาร กระเพาะอาหาร และล่าไส้สัน้ ทวารหนกั เปดิ ออกที่โคนหาง

ระบบหมนุ เวียนและการแลกเปลย่ี นแก๊ส

หัวใจของแมงดาทะเลเป็นท่อยาวต้ังแต่โพรโซมาจนถึงโอพิสโธโซมา มีรูเปิดเข้าหัวใจ (Ostia) 8 คู่ มีลิน
(Valve) ปิดเปิด เลือดใช้แล้วจะรวมอยู่ในแอ่งเลือด (Hemocoelic sinus) และส่งเลือดไปฟอกที่แผ่นเหงือก
เลือดมฮี ีโมโซยานนิ อย่ใู นพลาสมา มีอมีโบไซต์ทา่ ใหเ้ ลือดแขง็ ตวั และมี Phagocytosis เหมอื นเม็ดเลอื ดขาว

58

ระบบขบั ถ่าย

แมงดาทะเลมีตอ่ มคอกชา (Coxal gland) อยูใ่ กลโ้ คนขาเดิน 4 คแู่ รก ปลายทอ่ ขับถา่ ยเปิดออกท่ขี าเดินคู่
สุดทา้ ย

ระบบสบื พันธ์ุ

รงั ไข่และอัณฑะอย่ตู ดิ กับล่าไส้ เมื่อเติบโตเต็มทมี่ ักจะขยายออกไปเต็มด้านหน้าของโพรโซมาท่อน่าไข่และ
ท่อน่าสเปิร์มส้ัน เปิดออกที่ระบบสืบพันธุ์ใต้แผ่นสืบพันธุ์ (Genital operculum) การจับคู่ผสมพันธ์ุ ของ
แมงดาทะเลจะมีความสัมพันธ์กับน่้าข้ึนน่้าลง ขณะน่้าลงมักจะมีการรวมกลุ่มของแมงดาทะเลเพื่อผสมพันธ์ุ
ตัวผู้จะใช้ตาขอที่อยู่ตรงปลายสุดของเพดิพาลป์เกาะโพรโซมาของตัวเมียไว้และคลานตามกนั ไป และมกั จะมีตัว
ผตู้ วั อนื่ มาเกาะท้ายอีกเป็นขบวนหลายตวั ตวั เมียจะขุดหลุมปล่อยไข่ออกมา และตัวผกู้ ็จะปล่อยสเปริ ์มออกมา
ปฏิสนธิกับไข่ หลังจากนั้นจะกลบไข่ไว้โดยไม่มีการดูแลไข่ ไข่ฟักออกมาเป็นตัวอ่อนไตรโลไบต์ (Trilobite
larva) มีรูปรา่ งคลา้ ยตวั เตม็ วยั เพยี ง แต่มีหางส้ันมาก

Class Arachnida

Class Arachnida เป็นคลาสที่ใหญ่ท่ีสุดในคีลิเซอราทา มีจ่านวนชนิดของสัตว์ประมาณร้อยละ 99
ของคีลิเซอราทาทั้งหมด โดยทัว่ ไปมขี นาดเลก็ ชอบอาศัยอยตู่ ามพื้นดินบริเวณท่รี ม่ ใต้กองวัตถตุ ่าง ๆ เช่น ขอน
ไม้ ก้อนหิน เศษใบไม้แห้ง นับว่าเป็นอาร์โธรพอดกลุ่มแรกที่ปรับตัวขึ้นมาอยู่บนบก เช่น แมงมุม แมงป่อง ไร
เห็บ เป็นต้น ลกั ษณะเดน่ ของอาเรชนดิ าท่สี ่าคัญคอื

1. ล่าตัวแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ โพรโซมาและโอพิสโธโซมา โพรโซมามีรยางค์ 6 คู่ คีลิเซอราและเพดิพาลป์
เจริญดีมาก ท่าหน้าท่ีหลักในการล่าเหยื่อและช่วยสืบพันธ์ุ โอพิสโธโซมาไม่มีรยางค์หรือถ้ามีก็มีน้อยปล้องของ
โพรโซมาและโอพิสโธโซมาเชื่อมกันทางด้านหลัง จึงอาจเรียกโพรโซมาว่าเซฟาโลธอแรกซ์ (Cephalothorax)
และเรียกโอพสิ โธโซมาวา่ สว่ นท้อง (Abdomen)

2. อเรชนิดส่วนใหญ่มีปากชนิดปากดูด กินอาหารโดยการฆ่าเหย่ือด้วยเข้ียวพิษ และส่งน่้าย่อยออกมาย่อย
เหย่อื นอกตวั อาหารยอ่ ยแลว้ อยู่ในรูปของเหลวจะถกู ดดู เข้าไปในกระเพาะ (Pumping Eye stomach)

3. ผิวตัวจะมีขนแข็ง (Tactile hair) ท่าหน้าท่ีสัมผัสมีจ่านวนมากกระจายอยู่ทั่วไป และจะมีอย่างหนาแน่น
บริเวณรยางค์ต่างๆ

59

Class Pycnogonida

Class Pycnogonida ได้แก่ แมงมุมทะเล (Sea spider) ขนาดเล็กประมาณ 1-10 มม. อาศัยอยู่ตาม
พ้ืนท้องทะเลต้ืน ๆ โดยพบเกาะอยู่ตามพืช ไบรโอโซน ไฮดรอย และดอกไม้ทะเล ขาคล้ายแมงมุม จึงเรียกว่า
แมงมุมทะเล แต่โครงสร้างอื่น ๆ แตกต่างไปจากแมงมุมมาก ตัวแมงมุมทะเลประกอบไปด้วยส่วนหัว
(Cephalon) และล่าตัว (Trunk) ส่วนหัวเป็นแท่งสั้นมีตา 4 คู่ด้านหน้าเป็นงวงย่ืนออกไปส่วนล่าตัว 4 ปล้อง
ปล้องแรกเช่ือมติดกับหัว รยางค์ประกอบด้วย คีลิเซอรา ขนาดเล็กมาหรืออาจไม่มีเพดิพาลป์เป็นข้อต่อส้ัน ๆ
ตัวผู้มี Origerous leg รยางค์ประกอบด้วยรยางค์ขนาดเล็กซ่ึงตัวผู้จะใช้อุ้มเอมบริโอที่ก่าลังเจริญ และส่าหรับ
ตัวเมียจะลดหายไปถัดไป เป็นรยางค์ขาเดิน 4 คู่ (บางชนิดมี 5-6 คู่) ขาเดินยาวมาก ปลายสุดงอเป็นตาขอใช้
เกย่ี วยดึ กบั วัตถุในทะเล แมงมมุ ทะเลเป็นพวกที่กนิ สตั ว์ หรือเป็นปรสติ ภายนอกของสัตว์ใน Phylum Cnidaria
และหอยหลายชนิด

Subphylum Mandibulata

Mandibulata เปน็ อาร์โธรพอดทมี่ ีส่วนของปาก (Mouth parts) เจริญดี ส่วนของปากประกอบด้วย
รยางค์หลายแบบ และมีรยางค์รอบปากอีกหลายคู่ เป็นกลุ่มสัตว์ท่ีมีความส่าคัญมากท่ีสุดในอาร์โธรพอด
เน่ืองจากมจี า่ นวนชนดิ มาก มปี รมิ าณมาก เปน็ ประโยชน์ และให้โทษกับมนษุ ย์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ครัสเท
เชียน (crustaceans) ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในทะเล ที่อาศัยอยู่ในน่้าจืดมีน้อยชนิดกว่าในทะเลมาก และบางชนิด
สามารถปรับตัวขึ้นมาอยู่บนบกในท่ีช้ืนได้ดี ขนาดรูปร่างของครัสเทเชียนแตกต่างกันมาก มีต้ังแต่พวกไรน้่า
ขนาดเล็กไม่กี่มม.ไปจนถงึ ปแู มงมุมบางชนิดมีความยาวรวมทัง้ ขาถึง 3 เมตร ครสั เทเชียนมลี กั ษณะเด่น ๆ ดงั นี้
คอื

1. มีหนวด 2 คู่ (ยกเวน้ พวกท่อี ยบู่ นบกจะมี 1 ค)ู่
2. รยางค์ส่วนใหญ่จะเป็นแบบไบรามสั (Biramous)
3. ร่างกายแบ่งเป็นสองส่วนคือเซฟาโลธอแรกซ์ (Cephalothorax) และท้อง (Abdomen) มีคารา
เพสคลุมเซฟาโลธอแรกซ์
4. ส่วนปากจะมีรยางค์ 3 คู่ช่วยในการจับอาหาร เค้ียวอาหาร คือแมนดิเบิล (Mandible) 1 คู่และ
แมกซลิ ลา (Maxilla) 2 คู่
5.ใช้เหงือกในการแลกเปลีย่ นแกส๊
ลักษณะทั่วไป

ล่าตัวของครัสเทเชียนโดยท่ัวไปจะแบ่งออกเป็นสองส่วนคือเซฟาโลธอแรซ์ซ่ึงเป็นส่วนหัวกับส่วนอก
เชื่อมรวมกัน และส่วนท้อง (Abdomen) เซฟาโลธอแรกซ์มีแผ่นคาราเพส (Carspace) ที่เกิดจากเทอร์กัมและ
พลูรอนเชื่อมกันคลุมด้านหลังและด้านข้างเอาไว้ โดยท่ัวไป หัวจะมี 5 ปล้อง อกมี 8 ปล้อง และส่วนท้องจะมี

60

จ่านวนปล้องแตกต่างกันไปในแตล่ ะชนิด แต่ละปล้องจะมีรยางค์ 1 คู่ มีรูปร่างและหนา้ ท่ีแตกต่างกันไป ผิวตัว
ของครัสเทเชียนมีช้ันคิวทิเคิลที่ไปจากคิวทิเคิลของอาร์โธรพอดทั่วไปคือ ในช้ันโพรคิวทิเคิลจะมีช้ันเอนโดคิวทิ
เคิลเทา่ นัน้ ไมม่ ี เอกโซควิ ทิเคลิ

รยางค์

ครัสเทเชียนมีรยางค์หลายประเภทท่าหน้าท่ีแตกต่างกันไป แต่มีรูปแบบพ้ืนฐานของรยางค์เพียงสอง
ประเภท คือ 1. รยางค์แบบไบรามัส (Biramous) ประกอบด้วยส่วนฐานของรยางค์ซึ่งยึดติดกับล่าตัวเรียกว่า
โพรโทโพไดต์ (protopodite) และมีแขนงแยกออกมาสองแขนง แขนงท่ีมีต่าแหน่งอยู่ทางด้านนอกของล่าตัว
เรียกว่า เอ็กโซโพไดต์ (Exopodite) แขนงด้านในเรียกว่า เอนโดโพไดต์ (Endopodite) รยางค์ส่วนใหญ่ของ
แมนดบิ ลู าทาเป็นแบบไบรามสั เชน่ รยางค์วา่ ยนา้่ รยางค์รอบปาก

2. รยางค์แบบยนู ิรามสั (Uniramous) เป็นแบบข้อต่อเรยี งตอ่ กันตรงปลายข้อฐาน ไม่แยกเปน็ สองแขนง
รยางคแ์ บบนี้ปรับเปล่ยี นมาจากรยางค์แบบแรกโดยท่ีเอ็กโซโพไดต์เสื่อมไป

รยางค์ประเภทนี้ ได้แก่ ขาเดิน (Cereriopod) ของกุ้ง ปู เป็นต้น รยางค์จ่าแนกตามต่าแหน่งของรยางค์แบ่ง
ออกเปน็

1. รยางคส์ ่วนหวั (Cephalic appendage) ประกอบดว้ ย

1.1 หนวด (Antenule, Antenna) หนวดคู่แรกอยู่หน้าสุดคือแอนเทนนูล (Antennule) คู่ท่ีสองแอน
เทนนา (Antenna) พวกท่อี ย่ใู นน้่าหนวดจะเป็นไบรามัส
1.2 รยางคร์ อบปาก (Mouth parts) ประกอบด้วยรยางค์ 3 คู่ คอื
แมนดเิ บลิ (Mandible) 1 คู่ เป็นรยางค์ทที่ ่าหนา้ ที่บดอาหาร
แมกซลิ ลา (Maxilla) 2 คู่ เป็นแผน่ แบนบางช่วยในการจบั อาหารเข้าปาก
2. รยางค์อก (Thoracic appendage) ประกอบด้วยแมกซิลลิเปด (Maxiliped) 1-3 คู่ ทา่ หนา้ ท่ชี ่วยจบั อาหาร
เข้าปาก และมรี ยางค์ทีท่ ่าหนา้ ท่ีชว่ ยในการเคลื่อนที่จบั อาหาร และตอ่ สูป้ อ้ งกนั ตัวอีกหลายคู่ซึง่ มีรูปร่างต่าง ๆ
กนั เชน่ อาจเป็นก้ามหนบี (Chelate) หรือปลายงอเป็นตาขอ (Subchelate) รยางคอ์ กมที ง้ั

3. รยางค์ท้อง (Abdominal appendage) มีลักษณะเป็นแผ่นแบนบางช่วยในการว่ายน่้าแลกเปลี่ยนแก๊สมี
หลายคู่ข้ึนอยู่กับชนิดของสัตว์รยางค์ท้องส่วนใหญ่เป็นแบบไบรามัสโคนของรยางค์มักจะมีต่ิงหรือแขนงยื่น
ออกมาเรียกว่าอิพิโพไดต์ (Epipodite) ซ่ึงมักจะท่าหน้าท่ีแลกเปลี่ยนแก๊สเป็นส่วนใหญ่อิพโพไดต์มีรูปร่าง
แตกต่างไปในแต่ละชนิด

61

ระบบหมุนเวียนและการแลกเปลยี่ นแก๊ส

ระบบหมุนเวียนโลหิตของครัสเทเชียนเป็นระบบเปิด ประกอบไปด้วยอวัยวะและส่วนประกอบที่
ส่าคัญ ไดแ้ ก่

1. กล้ามเนื้อบุที่ผนังช่วยสูบฉีดโลหิตหัวใจ (Heart) อยู่ทางด้านหลังของเซฟาโธธอแรกซ์มี เย่ือหุ้ม
หัวใจ (Pericardium) บนหัวใจมีออสเทีย (Ostia) เป็นรูขนาดเล็กมีหลายคู่สา่ หรบั ใหเ้ ลือดไหลเข้าสหู่ ัวใจหัวใจ
ของครัสเทเชียนชั้นต่าเป็นท่อยาวมีออสเทียหลายคู่ ครัสเทเชียนช้ันสูง เช่น กุ้ง ปู หัวใจเป็นก้อนอยู่ทาง
ดา้ นหลงั ของเซฟาโลธอแรกซ์

2. เสน้ เลอื ดแดง (Arteries) เปน็ เสน้ เลือดนา่ เลือดออกจากหัวใจไปเล้ียงสว่ นต่าง ๆ ของร่างกายเลือดจะ
กลบั เข้าหวั ใจทางออสเทยี จงึ ไมม่ ีเสน้ เลือดด่า (Veins) ที่นา่ เลอื ดกลบั เขา้ หัวใจ

3. ชอ่ งเลือด (Hemocoel) เป็นชอ่ งเลอื ดขนาดเล็กแทรกอยู่ท่วั ไปตามเน้ือเย่ือเส้นเลือดแดงน่าเลือดเข้า
สู่ฮีโมซีลและแทรกไปตามอวัยวะต่างๆออกซิเจนในฮีโมซีลจะละลายเข้าสู่เนื้อเย่ือคาร์บอนไดออกไซด์จาก
เน้ือเย่ือจะละลายลงมาอยู่ในฮีโมซลี

4. แอ่งเลือด (Sinus) ท่าหน้าท่ีรวบรวมเลือดที่ใช้แล้วจากร่างกายเพื่อส่งไปท่ีเหงือกและรวบรวมเลือด
จากเหงือกเข้าสู่หัวใจทางออสเทียแอ่งเลือดท่ีส่าคัญ ได้แก่ เลือดบริเวณอก (Sternal sinus) รวมเลือดไปยัง
เหงือกและแอง่ รับเลอื ดรอบหัวใจ (Pericardial sinus) รวมเลอื ดฟอกแล้วจากเหงอื กกลับเข้าหัวใจ

5. เลือด (Blood) เลือดของครัสเทเชียนมีเซลล์เม็ดเลือดรูปร่างแบบอมีบา (Amoeboid cell) ส่วนใน
พลาสมา (Plasma) จะมีรงควัตถุในการแลกเปล่ียนแก๊ส (Respiratory pigment) อยู่สองประเภทคือ ฮีโมไซ
ยานนิ และฮีโมโกลบิน แต่ส่วนใหญเ่ ป็นฮีโมไซยานนิ

ระบบขับถา่ ย

อวัยวะขับถ่ายของเสียของครัสเทเชียนคือ ต่อมท่ีโคนหนวดแอนเทนนา (Antennal gland) ต่อมท่ี
โคนรยางค์แมกซิลลา (Maxillary gland) และเหงือกต่อมสองชนิดนี้มีโครงสร้างท่ีคล้ายกันคือเป็นท่อปลาย
ด้านที่กรองของเสียเป็นถุงที่มีเลือดอาบอยู่โดยรอบคือซีโลโมแซค (Coelomosac) ซีโลโมแซคลุ่มอยู่ใน
ข อ ง เ ห ล ว ใ น ชี ล อ ม ก ร อ ง ข อ ง เ สี ย เ ข้ า ม า แ ล ะ ส่ ง ไ ป ต า ม ท่ อ แ ล ะ ส่ ง อ อ ก น อ ก ตั ว ท า ง ใ น พ ริ ดิ โ อ พ อ ร์
(Nephridiopore) ซึ่งเป็นช่องเปิดอยู่ที่โคนของหนวดและโคนของแมกซิลลากุ้งจะมีถุงกรองของเสียอยู่ต่อจาก
ซิโลโมแซคผนังภายในถุงพับซ้อนอยู่เรียกว่า Green gland เนื่องจากมีสีเขียวอ่อนของแอมโมเนียและอมิน
(Amine) สา่ หรบั พวกทีอ่ ย่บู นบกจะมีของเสียเปน็ กรดยูรคิ (Uric acid)

62

ค รั ส เ ท เ ซี ย น ชั้ น สู ง ห ล า ย ช นิ ด ใ ช้ เ ห งื อ ก ก่ า จั ด แ อ ม โ ม เ นี ย ไ ด้ แ ล ะ โ ค น เ ห งื อ ก ยั ง มี เ น โ ฟ ร ไ ซ ต์
(Nephrocyte) เป็นเซลล์ชว่ ยเก็บของเสยี ประเภทของแข็งเอาไว้และก่าจดั ออกนอกตัวได้

ระบบประสาทและอวยั วะความรู้สกึ

ระบบประสาทของครัสเทเชยี นประกอบไปด้วยปมประสาทท่ีสา่ คัญ คือ

1. ปมประสาทเหนือหลอดอาหาร (Supraesophageal ganglion) หรือสมอง (Brain) เป็นปม
ประสาทขนาดใหญ่มีเส้นประสาทไปยังหนวด 2 คู่ และตา 1 คู่ และมีแขนงประสาทโอบสองข้างหลอดอาหาร
(Circumesophageal commissure) ไปเชื่อมกับปมประสาทใตห้ ลอดอาหาร

2. ปมประสาทใต้หลอดอาหาร (Subesophageal ganglion) เป็นปมประสาทอยู่หน้าสุดของ
เส้นประสาทท้อง (Ventral nerve Cord) เส้นประสาทท้องของอาร์โธรพอดโบราณจะเป็น 2 เส้นขนานกัน
และมีเสน้ ประสาทเชื่อม แตใ่ นอาร์โธรพอดที่เจริญดขี นึ้ เสน้ ประสาททอ้ ง 2 เส้น จะเช่อื มกนั เป็นเส้นเดยี วและมี
ปมประสาทอยู่ตามปลอ้ ง (Segmental ganglion) ซ่ึงจะมีเส้นประสาทแตกแขนงออกด้านข้าง 3 คู่ ไปยังส่วน
ตา่ งๆของปลอ้ ง

ในครัสเทเชียนช้ันสูง เช่น กุ้ง ปล้องอกแคบมากท่าให้ปมประสาทส่วนอกชิดกันมากจนเช่ือมรวมกัน
เป็นปมประสาทอก (Thoracic ganglionic mass) ขนาดใหญ่ในส่วนของปูนั้นปมประสาทอกกับปมประสาท
ท้องเชื่อมรวมกันเป็นก้อนเดียว เป็นปมประสาทด้านท้อง (Ventral mass) ครัสเทเชียนมีอวัยวะรับความรู้สึก
หลายประเภท ได้แก่

1.ตา (Eyes) ตาของครัสเทเชียนมีสองประเภทคือตาเด่ียวกลางหัว (Median simple eyes ) และตา
ประกอบ (Compound eyes) ตาเดี่ยวหรือโอเซลลัส (Ocolus) จะพบในขณะท่ีเป็นตัวอ่อนท่าหน้าที่รับแสง
เท่านั้นไม่สามารถรับภาพได้เมื่อโตขึ้นตาน้ีจะหายไป (บางชนิดตานี้อาจจะคงอยู่ตลอดไป) ส่วนตาประกอบจะ
ประกอบไปด้วยหน่วยตาออมมาทิเดียม (Ommatidium) จ่านวนมากออมมาทิเดียมแต่ละหน่วยมีเลนส์รับ
ภาพได้เกิดภาพหลายภาพเรียงต่อกันเหมือนเอาภาพเหมือนกันมาเรียงต่อกันเป็นภาพท่ีไม่ชัด (Mosaic
image) แต่สามารถจับความเคล่ือนไหวของภาพได้ดีท่าให้สามารถล่าเหยื่อและหลบหลีกศัตรูได้ดีตาประกอบ
มักจะมีก้านตา (Eye stalk) ยกสูงขึ้นท่าให้มองเห็นภาพได้กว้างครัสเทเชยี นพวกเพรียง (Barnacle) ไม่มีตาใน
ระยะเป็นตวั เตม็ วัย

2. สเทโทซีสต์ (Statocyst) เปน็ อวัยวะในการทรงตวั เกดิ จากผิวตวั ที่นุ่มลงไปเป็นแอ่งภายในแอง่ มีสเท
โทลิธ (Stetolith) และซีต้ี (Setae) ช่วยรับความรู้สึกเม่ือเม็ดสเทโทลิธเอียงหรือกล้ิงมากระทบซีต้ีจะเกิด
กระแสความรู้สึกส่งไปท่ีเซลล์ประสาทท่ีอยู่ที่โคนของซิต้ีสเทโทซีสต์อยู่ที่โคนหนวดแอนแทนนูลของ กุ้ง ปู แต่
ในเคย (Opossum shrimp) จะอยู่ทแ่ี พนหาง

63

3. โพรพริโอเซพเทอร์ (Proprioceptor) เป็นอวัยวะรับความรู้สึกเก่ียวกับแรงกดพบเฉพาะใน กุ้ง ปู
อวยั วะรบั ความรูส้ กึ ชนดิ น้ี ไดแ้ ก่ เซลล์กล้ามเนือ้ บางบรเิ วณที่เปลีย่ นแปลงไป เช่น บรเิ วณข้อตอ่ ของรยางค์

4. อวัยวะรบั สมั ผัส (Tactile Sense organ) เป็นอวยั วะรบั ความรู้สกึ โดยการสมั ผัส ได้แก่ ซตี ี้ (Setae)
ซึ่งมีกระจายอยู่ท่ัวไปตามรยางค์ซีต้ีเหล่าน้ีคือ คิวทิเคิลที่เปล่ียนแปลงไปเป็นขนเส้นเล็กท่ีโคนขนมีเซลล์
ประสาทต่อเช่ือมจงึ เรียกวา่ ขนรับสัมผัส (Tactile hair) พบมากที่หนวดและขาเดิน

5. อวยั วะรบั ความรสู้ กึ เกี่ยวกบั สารเคมี (Chemoreceptors) เปน็ อวยั วะรับความรู้สกึ เก่ยี วกบั สารเคมี
ในนา่้ มลี กั ษณะเป็นเส้นขนคล้ายขนรับสัมผัส แตเ่ ส้นใหญ่กวา่ อย่ตู ามข้อต่อระหว่างปล้องของหนวดรยางค์รอบ
ปากช่วยในการตรวจสอบคณุ ภาพนา่้ หาอาหารและสืบพนั ธ์ุ

ระบบสบื พันธ์ุ

ครสั เทเชียนมเี พศแยกส่วนใหญจ่ ะมีลกั ษณะภายนอกบางอย่างทบ่ี ่งบอกเพศ (Sexual dimor phism)
ลักษณะภายนอกทีส่ ามารถบอกความแตกต่างระหว่างเพศได้มักจะเปน็ ลกั ษณะที่แสดงลักษณะเพศผู้คือรยางค์
บางอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปเพื่อใช้ในการส่งสเปิร์มเช่นพ่ีนิส (Penis) หรืออวัยวะจับคู่ (Copulatory organ)
หรอื เปน็ อวยั วะช่วยยดึ เกาะกับเพศเมยี ขณะจับคู่ผสมพันธุเ์ ปน็ ตน้ ครัสเทเชียนบางชนิดที่เกาะอยู่กับที่เช่นเพียง
หิน (Acron barnacle) เพรียงคอห่าน (Goose neck barnacle) มีเพศรวมนอกจากนี้ ไรน่้าบางชนิด เช่น ไร
แดง จะมเี พศผนู้ อ้ ยมากและมกั จะพบในบางฤดูบางสภาวะเท่านนั้ ประชากรเกือบท้ังหมดจึงเปน็ เพศเมียและจะ
สบื พันธุแ์ บบพารธ์ โี นเจเนซิส

อวัยวะสืบพันธ์ุตัวผู้ประกอบด้วยอัณฑะเป็นท่อคู่ มีท่อวาสเดเฟอเรนส์น่าสเปิร์มไปเปิดออกที่โคนขา
เดินซ่ึงมักจะเป็นขาเดินคู่สุดท้ายสเปิรม์ ของครัสเทเซียน มีลักษณะคล้ายตัวอมีบามีแขนงคล้ายเท้าเทียมปลาย
แหลมย่ืนออกมารอบตัวสเปิร์ม เม่ือออกนอกตัวจะอยู่ในรูปของสเปิร์มมาโทฟอร์โดยที่ท่อวาสเดเฟอเรนส์จะ
สร้างเย่อื บาง ๆ มาหมุ้ กลมุ่ สเปิร์มไว้

รังไข่ของตัวเมียมีเป็นคู่อยู่ต่าแหน่งเดียวกับอัณฑะมีท่อน่าไข่ส้ัน ๆ น่าไข่ออกนอกตัวท่ีบริเวณโคน
รยางค์อกคู่ ใดคู่หน่ึง ปลายท่อน่าไข่ของครัสเทเซียนบางชนิดจะพองออกเป็นถุงรับสเปิร์ม (Seminal
receptacle) บางชนิดมีถุงฟักไข่ (Brood pouch, Oisac, Egg sac) ท่าหน้าท่ีฟักไข่ที่ปฏิสนธิแล้วถุงฟักไข่
อาจจะอยู่ในตวั หรอื ห้อยเป็นถงุ อยู่นอกตัวก็ได้

การปฏิสนธมิ ที ง้ั แบบปฏิสนธิภายในตัวและนอกตัวพวกทมี่ ีการปฏิสนธภิ ายใน ตวั จะมอี วยั วะจบั คู่ช่วย
ยึดหรือส่งสเปิร์มการปฏิสนธิจะยังไม่เกิดขึ้นทันทีขณะมีการจับคู่ แต่จะเก็บสเปิร์มไว้ในถุงรับสเปิร์มก่อนหลัง
จากน้ันจึงปล่อยออกมาปฏิสนธิกับไข่ซ่ึงจะปล่อยออกมาพร้อมกัน ไข่ท่ีปฏิสนธิแล้วอาจจะลอยอยู่ในน้่าหรือ
เก็บไว้ในถุงฟักไข่หรือเกาะอยู่ตามรยางค์ว่ายน้่าบริเวณท้องเพื่อพัฒนาเป็นตัวเต็มวัยต่อไป ครัสเทเชียนส่วน

64

ใหญ่มรี ะยะตัวออ่ นหลายระยะเปน็ พฒั นาการโดยทางอ้อม (Indirect) เชน่ Cyclops ตัวออ่ นมชี ือ่ เรยี กตา่ งๆกัน
ตวั อ่อนมีการลอกคราบหลายครง้ั ตัวอ่อนระยะหลกั ของครัสเทเซยี นมี 3 ระยะคอื

1. ระยะนอเพลียส (Nauplius) เป็นระยะแรกที่ฟักออกจากไข่ ระยะนี้ ล่าตัวไม่เป็นปล้องมี 1 โอเซลลัสมี
รยางค์ 3 คูค่ อื แอนแทนนลู (Antennule) แอนเทนนา (Antenna) และแมนดิเบลิ (Mandible)

2. ระยะซูเอีย (Zoea) ล่าตัวแบ่งเป็นส่วน ๆ มีคาราเพสคลุมหัวและอกมีรยางค์อกรยางค์ท้องแล้ว แต่รยางค์
เหลา่ นัน้ ยงั ท่าหน้าทไ่ี ม่สมบรู ณ์

3. ระยะโพสตล์ ารว์ า (Postlarva) เป็นระยะทมี่ ีรูปร่างคล้ายตวั เต็มวยั มีรยางค์ครบ และทา่ หนา้ ทีอ่ ย่างสมบูรณ์
แล้ว เพียงแต่มีขนาดเล็กกว่าตัวเต็มวัยเท่าน้ันสัตว์บางชนิดอาจมีการต้ังชื่อระยะตัวอ่อนมากกว่า 3 แบบ
เน่อื งจากตวั อ่อนเม่ือลอกคราบแตล่ ะครงั้ แล้วจะมรี ูปร่างเปลย่ี นไปเล็กน้อยจึงมีการต้งั ชื่อตัวอ่อนเพิ่มข้ึนอีกเช่น
ระยะโพรโทซูเอยี (Protozoea) เมทาซูเอยี (Metazoea) ไมซสี (Mysis) เปน็ ตน้

Class Diplopoda

สัตว์ใน Class Diplopoda ได้แก่ กิ้งกือ (Milipedes) ก้ิงกือพบทั่วไปในเขตอบอุ่นและเขตร้อนธาศัย
อยู่ตามพ้ืนดิน ตามใต้กองใบไม้ ต้นไม้ผุบางชนิดขุดรูอยู่ในดินต้ืน ๆ ประมาณ 8,000 ชนิด มีขนาด
Schizophylum subalosum เป็นกิ้งกือสีน้่าตาลแดงขนาดเล็กตัวยาวประมาณ 4-5 ซม. พบตามกองไม้ผุ
Julus terrestris เป็นกิ้งกือขนาดใหญ่สี น้่าตาลแก่ตัวยาวประมาณ 15 ซม. นอกจากนี้ยังมีก้ิงกือชนิดตัวสั้น
ล่าตัวแบนกว้าง เวลาม้วนตัวจะเป็นก้อนกลมซ่ึงชาวบ้านเรียกว่า กระสุนพระอินทร์ (Pill millipede) ตะเข็บ
(Flat back millipede) ตัวแบนคล้ายตะขาบขนาดเล็กตัวยาวประมาณ 2 ซม. ไม่มีโอเซลลัส ปล้องท้องมีขา
เดินปลอ้ งละ 2 คู่ เชน่ เดยี วกบั กง้ิ กอื

Class Chilopoda

สัตว์ใน Class Chilopoda ได้แก่ ตะขาบ (Centipede) ตะขาบอาศัยอยู่ตามพื้นดิน ใต้กองไม้ผุ ใต้
ก้อนหิน ขอนไม้ในท่ีมืด เช่นเดียวกันกับก้ิงกือ มีบางกลุ่มอาศัยอยู่ตามพื้นทราย ตามชายฝ่ังในเขตท่ีน้่าทะเล
ท่วมถึง โดยอยู่ตามใต้ก้อนหิน เปลือกหอย โครงสร้างของผิวตัวเหมือนกับกิ้งกือคือ มีเปลือกแข็งทางด้านหลัง
ล่าตัวด้านท้องแบน (Dorsoventral flattened) ปล้องแต่ละปล้องมีขาเดินปล้องละ 1 คู่ จ่านวนปล้องต่างกัน
ในแต่ละชนิด ตะขาบมีประมาณ 3,000 ชนิด โดยท่ัวไปมีขนาดยาวประมาณ 6-8 น้ิว บางชนิด เช่น
Scolopendra gigantica ท่ีพบในทวีปอเมรกิ ายาวถึง 1 ฟุต

ตะขาบมีส่วนหัวท่ีเป็นแผ่นแบนแข็งมีหนวด 1 คู่ มีกลุ่มของโอเซลไลสองข้างของหัว (บางชนิดไม่มีโอ
เซลไล) ปากอยู่ทางดา้ นท้องของส่วนหัวมรี ยางค์รอบปากคือ แมนดเิ บลิ 1 คู่ เปน็ แผ่นแข็งตามขอบมีฟันขนาด

65

เล็กช่วยตัดอาหารมีแมกซิลลา 2 คู่ คู่แรกเป็นแผ่นบางชว่ ยผลักอาหารเข้าปาก คู่ที่สองเป็นข้อปลายแหลมช่วย
จบั เหยื่อ

ล่าตัวมีปล้องหลายปล้องปล้องแรกท่ีติดกับหัวจะมีเขี้ยวพิษ (Poison claw) น้่าพิษท่าให้สัตว์ขนาด
เล็ก เช่น แมลง ไส้เดือน แมงมุม ลูกคางคกตายได้ หลังจากน้ันจึงจะใช้แมคอนและแมนดิเบิลฉีกอาหารเข้า
ปากสไปเรเคลิ อาจจะมีไม่ครบทุกปล้อง อวยั วะขบั ถา่ ยของเสียเป็นมาลพิเจียน ทูบลู และปล่อยนา่้ พษิ ออกมาท่ี
ปลายเข้ียวต่อมน่้าพิษเป็นถุงอยู่ท่ีโคนมีท่อน้่าพิษเปิดออกที่ปลายเขียว (Maxiliped) 1 คู่ ย่ืนไปข้างหน้าแนบ
กบั ส่วนหวั จงึ มกั เข้าใจว่าเป็นรยางคข์ องสว่ นหัวรยางค์สว่ นน้ีจะใช้กนั

ลา่ ตวั ปลอ้ งถัดไปจะมีขาเดินปล้องละ 1 คู่ โดยขาจะงอกออกมาจากเปลือกด้านขา้ ง (Pleuron) ท่าให้
ตะขาบวิ่งไดเ้ รว็ ใกล้กบั โคนขาเดินมีสไปเรเคลิ ท่ีไมม่ ลี ้นิ ปิดเปดิ น่้า จงึ ระเหยออกทางสไปเรเคลิ ได้

Class Symphyla

สัตว์ใน Class Symphyla มีรูปร่างเหมือนตะขาบมากท้ังส่วนหัวและส่วนล่าตัวเพียง แต่มีขนาดเล็ก
มากยาวไม่เกิน 8 มม. อาศัยอยู่ในดินช้ันที่มีเศษใบไม้เปื่อยผุ ปนอยู่จึงมักพบอยู่ในเรือนปลูกต้นไม้ท่ีขึ้น
ตัวอย่าง ได้แก่ สกลุ Scutigerella

ล่าตัวของซิมไฟลาอ่อนนุ่มหัวเหมือนตะขาบล่าตัวมีปล้อง 12 ปล้อง (ตะขาบมีปล้องต้ังแต่ 15 ปล้อง
ขึ้นไป) มีขาเดิน 12 คู่ปล้องทางด้านท้องเรียงตัวไม่เป็นระเบียบและขนาดไม่เท่ากันจ่านวนปล้องเมื่อนับ
ทางด้านท้องจะน้อยกว่าด้านหลังมีรสบื พันธอุ์ ยู่ที่ปล้องท่ีสามของลา่ ตวั โคนขาเดินมีถุงคอกร (Coxa sac) ช่วย
ดดู น่า้ เข้ามาในตวั เพศแยก บางชนดิ สืบพันธ์แุ บบพารธ์ ีในเจเนซสี

Class Pauropoda

สัตว์ใน Class Pauropoda มีลักษณะคล้ายกับก้ิงกือคือ มีปล้องล่าตัวท่ีเกิดจากปล้องสองปลาเช่ือม
รวมกนั (Diplosegment) แตเ่ ชอ่ื มกันเฉพาะสว่ นเทอรก์ มั เทา่ น้นั ปลอ้ งด้านท้องจะยงั แยกกันเหน็ ชดั เจน

ตัวอย่าง ได้แก่ Pauropus ซ่ึงมีขนาดเล็กมากยาวประมาณ 1 มม. เท่าน้ันล่าตัวน่ิมสีขาว ไม่มีตา อาศัยอยู่ใน
ดินช้ืน กินเส้นใยราเป็นอาหาร ส่วนหัวมีหนวดซ่ึงปลายแยกเป็น 3 แขนง มีนาโธคิลาเรียมเช่นเดียวกับกิ้งกือ
ล่าตัวมี 11 ปล้องรับทางด้านท้อง ปล้องแรกและปล้องสุดท้ายไม่มีขา ถ้านับทางด้านหลังจะมี 6 ปล้อง ดังน้ัน
จะมีขาเดินปล้องละ 2 คู่ เหมือนกิ้งกือ เปลือกด้านหลังจะมีขน (Setae) เล็ก ๆ ช่วยรับความร้สู ึกตัวเมียวางไข่
อยูใ่ นดินตวั อ่อนระยะมีขา 3 คู่

66

Class Insecta
สัตว์ใน Class Insecta ได้แก่ แมลง แมลงเป็นสัตว์ที่ประสบความส่าเร็จในการด่ารงชีวิตบนบกได้ดี

ท่ีสดุ ในบรรดาสัตว์ไมม่ ีกระดูกสันหลัง แมลงอาศยั อยู่ได้แทบทุกแห่ง ทกุ สภาวะแวดล้อม แมลงมีความสามารถ
ในการปรับตัวในการด่ารงชีวติ ไดด้ มี าก แมลงจงึ มมี ากทั้งปริมาณและชนดิ ประมาณวา่ มมี ากกว่า 750,000 ชนดิ
ที่ต้ังช่ือแล้ว และยังมีอีกมากที่ยังไม่ได้ต้ังชือ่ แมลงมีความเก่ียวข้องกับมนุษย์มาก เนื่องจากเป็นศัตรูท่าลายพชื
ผลิตผลทางการเกษตรเป็นพาหะน่าโรคเป็นปรสิตของคนและสัตว์เลี้ยง ท่าให้เกิดความเสียหายในทาง
การเกษตรท่าลายสุขภาพของมนุษย์เป็นอย่างมาก และขณะเดียวกันก็ท่าประโยชน์ให้แก่มนุษย์ในหลาย ๆ
ด้านจงึ มีการศกึ ษาเร่ืองแมลงอยา่ งกวา้ งขวาง

ลกั ษณะท่ัวไป
แมลงมีขนาดและรปู ร่างแตกตา่ งกันมากในแต่ละชนดิ คิวทิเคิลทปี่ กคลมุ ร่างกายเป็นชน้ั บาง แต่เหนียว

(Sclerite) แข็งแรงยืดหยุ่นได้ดีน้่าหนักเบาท่าให้เคลื่อนที่ได้สะดวก มีข้ีผ้ึง (Wax) และลิปิด (Lipid) คลุมผิว
นอกสุดท่าให้ป้องกันการระเหยของน่้าได้ดี ช้ันโพรคิวทิเคิลมีเม็ดสีอยู่หลายประเภท ท่าให้แมลงมีสีหลายสี
สเคลอไรต์บริเวณด้านหลังและด้านท้องจะแข็งกว่าบริเวณด้านข้างของล่าตัวแมลงมี อโปดีม (Apodeme) ท่ี
แข็งแรง เช่นเดียวกับครัสเทเชียนเป็นที่ยึดเกาะของกล้ามเนื้อ ท่าให้การเคล่ือนไหวของหนวดรยางค์ปาก และ
ขาเปน็ ไปได้อย่างรวดเร็ว ในระยะตัวเตม็ วัยตวั ของแมลงแบ่งออกเปน็ 3 ส่วนคือ ส่วนหัว ส่วนอก และสว่ นท้อง
แตใ่ นระยะทเี่ ปน็ ตวั ออ่ นเช่นตวั หนอนดักแด้จะไมแ่ บง่ เป็นสดั สว่ นทีช่ ัดเจน
ระบบหมนุ เวียน

แมลงมีระบบหมนุ เวยี นเป็นระบบเปิดมอี วัยวะส่าคญั ทีเ่ ก่ยี วขอ้ งกบั ระบบหมุนเวยี น คอื
1. Dorsal vessel เป็นเส้นเลือดขนาดใหญ่ อยู่กลางหลังยาวตลอดล่าตัว เส้นเลือดตอนท่ีอยู่ถัดจากหัวมาทาง
ตอนท้ายของล่าตัวจะพองออกเป็นหัวใจ (Heart) หัวใจจึงเป็นท่อยาวมีรูเปิด (Ostia) หลายคู่เป็นช่วง ๆ น่า
เลือดเข้าหัวใจ เส้นเลือดส่วนที่อยู่ทางด้านหน้าจะแคบลงเป็นเส้นเลือดใหญ่กลางหลัง (Corsal aorta) เม่ือ
หัวใจบบี ตวั จะส่งเลอื ดไปเสน้ เลือดกลางหลังไปยังชอ่ งเลือด (Hemocoel)
2. ชอ่ งเลอื ด (Hemocoel) เปน็ ช่องเลอื ดทีแ่ ทรกอยู่ทั่วไปตามอวยั วะต่าง ๆ รับเลอื ดจาก Dorsal aorta

67

3. เลอื ด (Hemolymph) ประกอบไปดว้ ยพลาสมา และเซลล์เม็ดเลือดพลาสมามีอาหารฮอร์โมนเร่ืองเสีย และ
กรดอมิโนซ่ึงมีอยู่ในปริมาณมากเข้าใจว่ากรดอมิโนจะช่วยควบคุมปริมาณน้่าในร่างกายคลาสมาไม่มีสีรงควัตถุ
ในการแลกเปลย่ี นแกส๊ มนี ้อยมาก

4. แอ่งรับเลือด (Sinus) เป็นแอ่งรวมเลือดก่อนจะกลับเข้าสู่หัวใจแองเลือดที่สาคัญ ได้แก่ แอ่งเลือดรอบหัวใจ
(Pericardial sinus) และแอง่ เลือดรอบอวยั วะภายใน (Perivisceral sinus)

5. ก้อนไขมัน (Fat body) เป็นกลุ่มเซลล์ที่อยู่ภายในแอ่งเลือดพบมากทั้งในตัวอ่อนและตัวเต็มวัย ในระหว่าง
เจริญเติบโตสิ่งห้อยมีต่อมเรืองแสง (Luminous gland) อยู่ท่ีท้องปล้องท้าย ๆ เข้าใจว่าเกิดมาวัยท่าหน้าท่ี
สะสมอาหารใชใ้ นกระบวนการเมตามอรโ์ ฟซีส (Metamorphosis) มีการเปล่ียนแปลง

ระบบประสาทและอวยั วะรับความร้สู ึก

ระบบประสาทของแมลง มีโครงสร้างและส่วนประกอบเหมือนครัฐเทเชียนดังท่ีได้กล่าวมาแล้วแมลงมี
อวัยวะรับความรู้สึกหลายประเภทท่าให้แมลงสามารถด่ารงชีวิตได้อย่างสมบูรณ์กว่าสัตว์กลุ่มอ่ืน ๆ มี
ความสามารถในการหาอาหารหลบหลีกศัตรูได้ดีสามารถติดต่อสื่อสารระหว่างพวกเดียวกันได้ดี อวัยวะรับ
ความร้สู ึกของแมลงแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ

1. อวยั วะรับแสง (Photoreceptors)

2. อวัยวะรับรู้ทางกายภาพ (Mechanoreceptors) เป็นอวัยวะรับความรู้สึกโดยที่ต้องมีการกระทบ สัมผัส
กบั อวัยวะรบั ความรู้สึกโดยตรงจึงจะรบั รไู้ ด้แบ่งออกเปน็ 3 ประเภทคือ

2.1 อวัยวะรับสัมผัส (tactile receptors) รับความรู้สึกโดยการแตะ ได้แก่ ซีตี้ (Setae) หรือเซนซิลลา
(Sensila) ซง่ึ เปน็ ขนส้นั อย่ตู ามรยางคต์ า่ ง ๆ เช่น หนวดขาเดนิ

2.2 อวัยวะรับแรงกด (Proprioceptors) รับความรสู้ ึกเกย่ี วกบั แรงกด

2.3 อวัยวะรับรู้เสียง (Sound receptors) รับเสียงหรือการส่ันสะเทือนโดยจะมีอวัยวะท่ีเรียกว่า อวัยวะ
ทมิ พานมั ซ่งึ พบในแมลงหลายชนดิ ทท่ี ่าเสยี งได้

3. อวัยวะรับรู้สารเคมี (Chemoreceptors) ตรวจสอบสารเคมีโดยใช้หนวดปากขาเดินแตะกับเพื่อหาอาหาร
และตรวจสอบฟโี รโมน (Pheromone)

ระบบสบื พันธุ์

แมลงมีเพศแยกอวยั วะสืบพนั ธ์จุ ะอยู่ตอนทา้ ยของล่าตัว รังไข่และอณั ฑะมีสว่ นประกอบดังนี้ คือ

68

1. รังไข่ (Ovary) มีสองข้างของส่วนท้องมีท่อน่าไข่ออกจากรังไข่ทั้งสองข้างท่อน่าไข่ท้ังสองมาบรรจบ
เป็นท่อร่วม (Common oviduct) ซ่ึงจะขยายพองออกเป็นวาไจนา (Vagina) ไปเปิดออกนอกตัวท่ีปลายหาง
ตัวเมียจะมีถุงรับสเปิร์มจากตัวผู้ (Seminal receptacle) แยกออกจากโคนวาไจนาและมีต่อมสร้างสาร
(Accessory gland) เปิดเข้าวาไจนาก่อนจะออกนอกตัว 1 คู่ ต่อมนี้จะสร้างสารเหนียวหุ้มไข่ช่วยให้ไข่ยึดติด
กบั วัตถุ

2. อัณฑะ (Testis) มสี องข้างของลา่ ตัวมีท่อน่าสเปิร์ม (Vas deferens) ออกจากอณั ฑะแตล่ ะก้อนปลาย
ของท่อน่าสเปิร์มพองออกเป็นถุงเก็บสเปิร์ม (Seminal vesicle) ถุงเก็บสเปิร์มท้ังสองท่อเชื่อมรวมกันเป็นท่อ
ฉีดสเปิร์ม หรือพีนิส (Penis) เพ่ือปล่อยสเปิร์มออกนอกตัวเพศผู้จะมี Accessory gland เป็นต่อมขนาดใหญ่
มาเปิดเข้าที่ปลายถุงรับสเปิร์มก่อนจะรวมกันเป็นท่อเดียว ต่อมน้ีจะสร้างน่้าเล้ียงสเปิร์มท่าให้สเปิร์มแข็งแรง
แมลงมีการปฏิสนธิภายในสเปิร์มของแมลงบางกลุ่มอยู่ในรูปของสเปิร์มมาโทฟอร์ไข่ท่ีถูกปฏิสนธิแล้วจะมีการ
เติบโตเป็นตัวอ่อนหลายระยะแต่ละระยะมีการลอกคราบมีการพัฒนารูปร่างและโครงสร้างในแต่ละระยะจาก
ไข่จนกลายเปน็ ตัวเต็มวยั ซึ่งเรียกกระบวนการนี้วา่ เมทามอรโ์ ฟซสี (Metamorphosis)

สงั คมของแมลง

แมลงเป็นสตั วไ์ ม่มีกระดกู สันหลังท่ีสามารถตดิ ต่อส่ือสารระหว่างสมาชกิ ในชนดิ เดียวกันได้ดที ่าให้มีการ
รวมกลุ่มกันเพ่ืออาศัยอยู่ด้วยกันมีการแบ่งหน้าท่ีกันในอาณาจักรของมันช่วยเหลือซึ่งกันและกันมดปลวกผ้ึง
เป็นตัวอย่างท่ีดีของการอยู่ร่วมกันสังคมของปลวกจะแบ่งสมาชิกในสังคมออกเป็น 3 วรรณะคือวรรณะเพศ
(Sexuals) ประกอบด้วยราชาและราชินีปลวกปลวกตัวเต็มวยั จะไต่ออกจากรังบินออกไปเพื่อการแพรพ่ ันธ์ุโดย
จะจบั ค่กู นั เพ่อื สร้างรังใหม่ตวั ผู้และตัวเมียจะสลดั ปีกทง้ิ จับค่ผู สมพนั ธว์ุ างไขซ่ ึ่งจะฟักออกเป็นตวั น่ิมฟสีขาวไม่มี
ปีกและยังไม่มีระบบสืบพันธุ์วรรณะทหาร (Soldiers) มีหัวและแมนดิเบิลที่ใหญ่แข็งแรงเพ่ือป้องกันรังวรรณะ
แรงงาน (Workers) มีหน้าที่สร้างรังหาอาหารเลี้ยงปลวกวรรณะอ่ืน การที่แมลงสามารถสร้างสังคมอยู่ได้
เนื่องจากแมลงมีอวัยวะรับความรู้สึกท่ีพัฒนาไปมากรับความรู้สึกได้แทบทุกประเภทมีฟีโรโมนฮอร์โมนช่วย
ควบคุมกิจกรรมต่าง ๆ ในสังคมและท่าให้รับทราบการเป็นสัตว์พวกเดียวกันแมลงจึงเป็นสัตว์ที่ประสบ
ความสา่ เรจ็ ในการด่ารงชวี ติ บนโลกมากท่ีสดุ ในปัจจุบัน

69

บทท่ี 10

PHYLUM ECHINODERMATA

Echinodermata (echinos = หนาม, derma 5 ผวิ หนงั ) มลี ักษณะเด่นคอื มีหนามปกคลุมทั่ว
ตัวสัตว์ในไฟลัมนี้อาศัยอยู่ในทะเลทั้งสิ้น สัตว์ท่ีเป็นท่ีรู้จักแพร่หลายโดยทั่วไป ได้แก่ ดาวทะเลหรือปลาดาว
เม่นทะเล (Sea urchin) ปลิงทะเล (Sea cucumber) อีแปะทะเล (sand dollar) และดาวขนนก (Feather
star) สัตว์ดังกล่าวอาศัยอยู่ได้ในทะเลแทบทุกแห่งของโลกท้ังในเขตร้อน เขตอบอุ่น และเขตหนาวแถบขั้วโลก
และแพร่กระจายตั้งแต่เขตน่า้ ตื้นบริเวณชายฝั่งจนถึงเขตทะเลลกึ ขนาดล่าตัวประมาณ 5-30 ซม. นับเป็นสัตว์
ไมม่ ีกระดูกสนั หลังทม่ี ขี นาดใหญ่กลมุ่ หนึง่ เอไดโนเดริ ์ม (Echinoderm) มีสไี ด้ทกุ สี และอาจมีสี 2 สีในตัวเดยี ว

ลกั ษณะทวั่ ไป

รูปรา่ งลา่ ตัวของเอไอโนเดิร์มไม่เปน็ ปล้อง รูปร่างสว่ นใหญ่เป็นแฉกรูปดาวหรือทรงกลมบางชนิด
อาจเป็นทรงกระบอก เช่นปลิงทะเล พวกท่ีมีรูปร่างเป็นแฉกหรือมีแขนแยกออกไปในแนวเส้นรัศมี 5 แขนจะ
เรียกบริเวณท่ีเป็นแขนท้ัง 5 แฉกว่า เรเดียส (Radius) ส่วนบริเวณที่อยู่ระหว่างแขนเรียกว่า อินเทอร์เรเดียส
(Interadius) ดงั น้นั จะมีบริเวณเรเดียส 5 บรเิ วณสลับกับอินเทอร์เรเดียส 5 บริเวณ บรเิ วณเรเดียสมักจะมีร่อง
ตามยาวตลอดแนวร่องนี้เป็นท่ีอยู่ของเท้าท่อ (Tube feet) เรียกร่องน้ีว่า ร่องแอมบูลาครา (Ambulacral
groove)

รูปร่างของเม่นทะเลอีแปะทะเลเป็นทรงกลมไม่มีแขน แต่ล่าตัวจะมีลักษณะเป็นแถบเรเดียสส
ลับอินเทอร์เรเดียสอย่างละ 5 แถบเช่นเดียวกับปลิงทะเลแถบเรเดียสอาจเรียกว่า แถบ (ambulacra area)
และแถบอินเทอรเ์ รเดียสเป็นแถบอินเทอร์แอมบลาครา (Interambulacre area)

เอโคโนเดิร์มไม่มีส่วนหวั (Noncephalization) แกนของล่าตัวเป็นแกนปาก-ตรงข้ามปาก ด้าน
ของล่าตวั จึงแบ่งเปน็ ดา้ นปาก กบั ด้านตรงข้ามกับปาก (Aboral) โดยทวั่ ไปดา้ นปากจะแนบกับพื้นยกเว้นกลุ่ม
ดาวขนนกจะหงายดา้ นปากข้นึ ใชด้ า้ นตรงขา้ มปากยดึ กับพืน้

เอไดโนเดิร์มในปัจจุบันมีรูปแบบที่แตกต่างกันอยู่ 5 แบบ ะจัดแยกกันอยู่ใน class 5 class
รูปแบบทั้ง 5 แบบน้ี แยกความแตกต่างได้ง่ายโดยอาศัยลักษณะการจัดตัวของแถบแอมบูลาครา ซึ่งมีเท้าท่อ
หรอื โพเดยี (podia) กับแถบอนิ เทอรแ์ อมบูลาครา ซ่งึ ไม่มีเท้าท่อปากอยู่ก่งึ กลางทางด้านปากและทวารหนักอยู่
ก่ึงกลางทางด้านตรงข้ามปาก กลุ่มเม่นทะเลหันด้านปากเข้าหาพื้น มีแถบของแอมบูลาคราและอินเทอร์แอมบ
ลาคราอยู่ด้านข้างระหวา่ งปากกับทวารหนักปลิงทะเลวางตัวในแนวราบแกนปาก-ตรงข้ามปากจึงขนานกบั พ้ืน
และมีแถบแอมบูลาคราสลับกับอินเทอร์แอมบูลาคราส่าหรับเอไอโนเดิร์มอื่นแถบแอมบูลาครายาวออกไปตาม

70

ความยาวของแขนซึ่งต่ออยู่กับส่วนกลางตัวที่เป็นก้อนกลม (Central disc) ดาวทะเลมีแอมบลาคราแบบเปิด
ส่วนดาวเปราะมแี อมบูลาคราแบบปดิ ไครนอยเดยี มแี อมบลาคราแบบเปิด แตห่ งายด้านปากข้นึ

ผิวตัวและโครงร่างภายใน
ผวิ ตวั ช้นั นอกสุดเปน็ อิพิเดอร์มสิ ประกอบด้วยเซลล์ทรงสูงที่มขี นสนั้ (Ciliated columnar cell)

นอกจากนี้ยังพบเซลล์ประสาทเซลล์สร้างเมือกแทรกตัวอยู่ในชั้นน้ีด้วย ใต้ชั้นอิพิเดอร์มิสเป็นแผงประสาท
(Nerve plexus)

ช้ันเดอร์มิสเป็นช้ันท่ีมีโครงร่างภายใน ( Endoskeleton) กล้ามเน้ือและเย่ือบุซีลอม
(Peritoneum) ตามล่าดับโครงร่างของเอโคโนเดิร์มประกอบด้วยชิ้นโครงร่างขนาดเล็กเรียกว่า ออสซิเคิล
(Ossicle) เป็นสารประกอบ CaCO3 และ MgCO3 และเกลือของแร่ธาตุอ่ืน ๆ ออสซิเคิลมีรูปร่างหลายแบบ
อาจเป็นช้ินเล็กเชื่อมกันหลวมๆ ด้วยเส้นใยโคลลาเจน (Collagen fiber) เช่นที่พบในดาวทะเลหรือเป็นแผ่น
ขนาดใหญ่รูปหลายเหล่ียมและยึดติดกันเป็นแถว เช่น ในเม่นทะเลหรือเป็นช้ินเล็กมากฝังอยู่ลึกลงไปเช่นท่ีพบ
ในปลิงทะเลออสซิเคิลจะเป็นหนามย่ืนออกมาบนผิวตัวด้วย ดาวทะเล เม่นทะเลมีหนามขนาดใหญ่ ส่วนอีแปะ
ทะเลมหี นามขนาดเลก็ ละเอยี ด

ช้ันกล้ามเนื้อของเอไดโนเดิร์มบางมาก ท่าหน้าที่ช่วยยืดออสซิเคิล เม่นทะเลไม่มีช้ันกล้ามเน้ือท่ี
ผนงั ตัวเลย แต่ปลิงทะเลมีชั้นกลา้ มเนอ้ื หนามาก

ผิวตัวของเอไดโนเดิร์มมักจะมีโครงสร้างอื่น ๆ อีกเช่น เพดิเซลลาเรีย (Pedicellaria) ซ่ึงเป็น
อวัยวะท่ีช่วยท่าความสะอาดผิวตัวป้องกันตัวและช่วยกินอาหารและมีอวัยวะในการแลกเปลีย่ นแก๊สเป็นแขนง
ย่ืนออกจากผิวตวั (Dermal branchia) ทเ่ี รยี กว่า พาพูลี (Papulae) ซง่ึ จะได้กลา่ วถึงอย่างละเอยี ดต่อไป

ซลี อม

ซลี อมของเอไคในเดิรม์ มี 4 สว่ นคือ

1. ซลี อมรอบอวยั วะภายใน (Perivisceral coelom)

2. ระบบทอ่ น้า่ (water vascular system)

3. ระบบฮมี อล (hemal system)

4. ระบบเพอริฮีมอล (perihemal system)

71

ระบบทอ่ นา้

ระบบท่อน่้าของเอไดโนเดิร์มมีส่วนประกอบท่ีส่าคัญ ได้แก่ เมดรีพอไรต์ (mทdreporte) เป็น
แผ่นหินปูนลักษณะคล้ายตะแกรงน่าน้่าจากภายนอกรอบตัวเข้ามาในระบบท่อหินปูน (stone canal) เป็นท่อ
จากเมดรีพอไรต์ไปยังท่อวงแหวนรอบปาก (Ring canal) เป็นสารหินปูนท่ีแข็งและท่อที่แยกออกจากท่อวง
แหวนเป็นท่อรัศมี (Radial canal) อยู่ในแถบแอมบลาคราท่อท่ีแยกจากท่อรัศมีออกมาทางด้านข้าง (lateral
canel) จะมีแอมพูลา (Ampula) ทางด้านข้างปาก และมีเท้าท่ออยู่ทางด้านปากย่ืนออกมาจากร่องแอมบูลา
แอมพลู าหดตวั บบี นา้่ เขา้ เทา้ ทอ่ ท่าให้เทา้ ท่อเตง่

ระบบหมุนเวยี น

เอไดโนเดิร์มไม่มีเส้นเลือดไม่มีหัวใจการหมุนเวียนจะอาศัยระบบฮีมอล (Hemal system) และระบบ
เพอรฮิ ิมอล (perihermal system) ท่าหน้าทแี่ ทน

1. ระบบฮีมอล ประกอบไปด้วยท่อวงแหวนรอบๆ ปาก (Oral hemal ring) และท่อวงแหวน
ด้านตรงข้ามปาก (Aboral hemal ring) ระหว่างท่อวงแหวนทั้งสองจะมีกลุ่มเซลล์ที่เรียงตัวในแนวต้ังเรียกว่า
ต่อมเอเซียล (Axial gland) เป็นตัวเช่ือม ท่อวงแหวนรอบปากจะมีแขนงแยกออกไปยังแขนท้ัง 5 ส่วนท่อวง
แหวนตรงขา้ มปาก

2. ระบบเพอริฮีมอลเป็นระบบคู่ขนานไปกับระบบฮีมอล เป็นโพรงซีลอม (Sinus) ล้อมรอบท่อ
วงแหวน ท่อแขนง และต่อมเอเซียลของระบบฮีมอลเอาไว้ ของเหลวในระบบน้ีเหมือนกับของเหลวในระบบฮิ
มอลและติดต่อกับของเหลวของซีลอมขนาดใหญ่รอบอวัยวะภายใน (Perivisceral coelom) หน้าที่ของระบบ
เพอรฮิ ีมอลเปน็ ระบบฮมี อล

ระบบย่อยอาหาร (Digestive system )

เอไคโนเดิรม์ กินอาหารไดห้ ลายประเภท เช่น ดาวทะเลสว่ นมากกนิ สตั ว์อืน่ อาหารเปน็ หอย ครสั
เทเชียน หนอนนอกจากนดี้ าวทะเลยังเป็นพวกที่กินซากพืช ซากสตั ว์ เม่นทะเลกินสัตว์กนิ พืชและกินซาก ส่วน
พวกท่ฟี นั ไมแ่ ขง็ แรง มกั จะเป็นพวกทีก่ ินตะกอน หรอื กินสารแขวนลอย (เช่น ดาวเปราะ ดาวขนนก จะใช้เมือก
ตามบริเวณเท้าท่อดักจับอาหารท่ีแขวนลอยอยู่ในน้่าแลว้ ไหลไปตามร่องแขนเข้าสู่ปาก ปลิงทะเลใช้หนวดรอบ
1 ปากกวาดอาหารท่อี ยู่ตามพื้นเขา้ ปาก

72

ท่อทางเดินอาหารของเอไดโนเดริ ์มเป็นแบบสมบรู ณ์ แต่คอ่ นข้างสัน้ เพราะล่าตวั แบนยกเว้นเม่น
ทะเล ปลิงทะเลมีล่าตัวยาวล่าไส้จึงยาวกว่ากลุ่มอื่นๆ ท่อทางเดินอาหารของเอไดโนเดิร์มประกอบด้วยปาก
หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ล่าไส้ และทวารหนกั ดาวทะเลบางชนดิ และดาวเปราะไม่มที วารหนัก

การแลกเปล่ยี นแก๊ส

เอไดโนเดิร์มไม่มีอวัยวะแลกเปล่ียนแก๊สโดยตรงส่วนใหญ่จะใช้ผิวตัวที่ย่ืนออกมาเป็นแขนงที่มี
ผนังบางคอื พาพลี หรอื เดอร์มอล แบรนเดีย (papulae, dermal branchia) ปลิงทะเลมแี ขนงแยกออกมาจาก
โคลเอคาและมีการแตกแขนงคล้ายตน้ ไม้ (repiratory tree) ใชแ้ ลกเปลย่ี นแก๊สเอ ไดโนเดิรม์ ส่วนใหญ่จะมีเท้า
ท่อในการแลกเปลี่ยนแก๊ส แต่พวกที่มีเท้าท่อจ่านวนน้อย เช่น ดาวเปราะจะใช้แอ่งซึ่งอยู่ระหว่างโคนแขนกับ
ล่าตัว (bursa) ช่วยในการแลกเปล่ยี นแก๊สอกี ดว้ ยเม่นทะเลมีเหงือกในการแลกเปลยี่ นแก๊ส

ระบบขับถา่ ย (excretory system)

ของเอไดโนเดิร์ม ได้แก่ ยูเรียและกรดยูริค ของเสียท่ีอยู่ในรูปของเหลวจะถูกขับออกทาง ผิวตัว
เทา้ ทอ่ แอมพลู า เบอร์ซา เหงือก แขนงจากโคลเอคา และ แมแ้ ตแ่ ผ่นกรองน่้าเข้าระบบท่อน้่า (Madreporite)
ทั้งน้ขี ้นึ อยกู่ ับชนดิ ของสตั ว์ ของเสียทเ่ี ป็นของแข็งจะถูกซโี ลโมไซต์ (Coelomocyte) จบั เอาไว้แล้วน่าไปปล่อย
ออกท่ีผวิ ตวั บางสว่ นถกู ขบั ออกมาทางทอ่ ทางเดนิ อาหาร

ระบบประสาท ( nervous system )

ระบบประสาทประกอบด้วยเซลล์ประสาท (Nerve cell) หรือ (Neuron) และวงแหวนประสาท
(Nerve ring) เซลล์ประสาทจะสานกันเป็นตาข่ายอยู่ใต้ชั้นอิพิเดอร์มิส (Subepidermal plexus) หรือแทรก
อยู่ในช้ันอิพิเดอร์มิสเซลล์ประสาทเหล่าน้ีส่งกระแสประสาทไปยังอวัยวะตอบสนองเช่นเท้าท่อหนามและเพดิ
เซลลาเรีย (Pedicellaria) วงแหวนประสาทด้านตรงข้ามปาก (Pboral nerve ring) 1 วง วงแหวนประสาท
รอบปากวงทีอ่ ย่ใู กล้กบั ปากจะมีแขนงแยกออกไปยังแขนทั้ง 5 สว่ น

ระบบสบื พันธุ์

เอไอโนเดิร์มส่วนใหญ่มีเพศแยก แต่ไม่มีความแตกต่างระหวา่ งเพศใหเ้ ห็นจากภายนอกปลิงทะเล
และดาวเปราะบางชนิดอาจมีเพศรวม อวัยวะสืบพันธ์ุจะสร้างไข่และสเปิร์มปล่อยออกมาปฏิสนธิในน่้าทะเล
การผสมพนั ธ์ุมกั จะมีปจั จยั ภายนอกมากระตุ้น

ตัวอ่อนแรกๆ มีสมมาตรของซีกซ้ายขวา หลังจากมีเมทามอร์โฟซีสจะมีการเปล่ียนแปลงรูปร่าง
เป็นสมมาตร 5 ส่วน (Pentamerous radial symmetry) ปลิงบางชนิดและดาวเปราะจะมีการฟักไข่ในตัว
และดูแลตวั ออ่ นระยะหนึ่ง

73

การจัดหมวดหมู่

1.Subphylum Pelmatozoa มกี ้านยดึ เกาะ (stalk)

Class Crinoidea

ไครนอยด์เป็นเอไคในเดิร์มที่โบราณท่ีสุดในไฟลัมนี้ส่วนใหญ่เป็นซากดึกด่าบรรพ์และคาดว่า
สัตว์กลุ่มนี้ใกล้จะสูญพันธุ์แล้วมีเหลือเพียงพลับพลึงทะเล (Sea lily) และดาวขนนก (Feather star ซ่ึงมี
ประมาณ 700 ชนิดส่วนใหญ่อยู่ในเขตอินโดแปซิฟิคพวกท่ีอาศัยอยู่บริเวณน้่าต้ืนจะมีสีสดใส แต่ถ้าอยู่ในทะเล
ลึกจะมีสีซีดดาวขนนกไม่มีก้านยึดเกาะในระยะตัวเต็มวัยจึงสามารถว่ายน่้าได้โดยอิสระขนาดล่าตัวจะมี
เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 30-100 ซม. ส่วนพลับพลึงทะเลมีก้านยึดเกาะตลอดชีวิตและเกาะอยู่ตามพ้ืนท้อง
ทะเลลกึ กา้ นของพลับพลงึ ทะเลยาวไม่เกิน 60 ซม. โดยเฉลย่ี

ไครนอยด์ประกอบด้วยส่วนก้าน (Stalk) และส่วนล่าตัวท่ีติดกับก้านคือ คราวน์ (crown) หรือ
โคโรนา (Corona) มีส่วนแขนทมี่ ีลักษณะคล้ายขนนก (Feather arm) แยกออกมาจากล่าตัว

ก้าน พบในพลับพลึงทะเลที่เจริญเติบโตเต็มท่ี และพบในดาวขนนกที่เร่ิมเจริญเติบโต ก้านมี
ลักษณะเปน็ ข้อเกิดจากการเรียงตวั ของออสซิเคิลเป็นแถวยาว และบนขอ้ มรแขนงเซอไร (Cirri) ติดอยโู่ ดยรอบ
โคนก้านที่ใช้ยึดเกาะอาจมีลักษณะคล้ายรากหรือเป็นแว่นกลม หรืออาจมีลักษณะคล้ายตาขอเพ่ือยึดเกาะพื้น
ส่วนดาวขนนกไม่มกี า้ นเมื่อโตเตม็ วยั และมเี ซอรไ์ รทฐี่ านเพยี งวงเดียว

พลับพลึงทะเล เคลอื่ นไหวโดยการเอนตวั ลงทางด้านข้าง อาจใชเ้ ซอรไ์ รเกาะเกีย่ ว แขนสามารถ
ขยบั ข้นึ ลงได้ สว่ นดาวขนนก มีการเคลื่อนไหวท่ีเปน็ อิสระ สามารถว่ายนา้่ ไดโ้ ดยการยกแขนขึ้นลงสลบั กัน หรอื
โดยการคืบคลานไปด้วยเซอไรในเวลาพักตวั ดาวขนนกจะยกสว่ นคราวน์ให้สงู จากพนื้ เล็กน้อยโดยใช้ปลายแขน
ยดึ เกาะกับพนื้

74

https://www.pinterest.com/pin/224265256413873385/

2. Subphylum Eleutherozoa ไม่มกี า้ น เคลอ่ื นไหวได้อยา่ งอิสระ
Class Asteroidea

ดาวทะเลหรือปลาดาวเป็นเอไดโนเดิร์มท่ีคนเราคุ้นเคยมากท่ีสุด จึงมีการศึกษากันมากท่าให้ความรู้
ทางชีววทิ ยาของดาวทะเลมีมากกวา่ เอไดโนเดิร์มกลุ่มอ่ืนดาวทะเลสว่ นใหญ่ด่ารงชีวิตอยู่ตามหาดหินหาดทราย
ปนโคลน แต่ก็พบได้ตามท้องทะเลลึกบางชนิดฝังตัวอยู่ตามพื้นโคลนหรือทรายดาวทะเลแพร่กระจายท่ัวโลก
ปจั จบุ นั มอี ยู่ประมาณ 2,000 ชนดิ

75

http://thaigoodview.com/library/contest1/science04/119/kingdon_animalia/Class%20Asteroidea.htm

ลกั ษณะทวั่ ไป
ล่าตัวของดาวทะเลแบนไม่มีหัว-ท้าย แต่ประกอบด้วยส่วนกลางตัวที่เป็นทรงกลมเหมือนเหรียญ

(Central disc) และแขนซ่ึงถือว่าเป็นแถบแอบบูราคราและแยกออกจากแว่นกลางตัว 5 แขน จึงมีสมมาตร
แบบห้าส่วน (Pentamerous radial Symmetry) ด้านปาก จะมีช่องปากอยู่กลางตัวและมีเย่ือบางรอบปาก
(Peristomial membrane )
ผนังตวั
ผนงั ตัวของดาวทะเลประกอบดว้ ย

อิพิเดอร์มิส เป็นขั้นของเซลล์ทรงสูงท่ีมีซีเลีย (Ciliated columna cell) ท่าหน้าที่สร้างคิวติเคิล
บางๆ คลุมตัวไว้ ชั้นอิพิเดอร์มิสยังมีเซลล์ต่อม (Gland cell) และเซลล์ประสาทแทรกอยู่ถัดลงไปเป็นชั้นเย่ือ
ฐาน (Basement membrane) เดอรม์ สิ เปน็ เนือ้ เย่อื เกย่ี วพนั ที่ทา่ หน้าท่ีสรา้ งโครงร่าง
โครงรา่ ง
โครงร่างของดาวทะเลประกอบขึ้นมาจากช้ินหินปูนขนาดเล็กท่ีเรียกว่า ออสซิเคิล (Ossicle) มาเรียงตัวกันใน
สว่ นตา่ ง ๆ ของร่างกายและยังมีการเปล่ยี นแปลงไปเพ่ือท่าหนา้ ท่ีตา่ ง ๆ กนั คือ

76

1. โครงร่างค้่าจุนแขนและแว่นกลางตัว โดยปกติล่าตัวด้านตรงข้ามปากของดาวทะเลจะมีออสซิ
เคิลชิ้นเล็กๆ มาเรียงตัวอยู่ลักษณะการเรียงตัวความหนาแน่นและรูปร่างของออสซิเคิลจะแตกต่างกันในดาว
ทะเลชนิดต่างๆ ด้านข้างหรือตามขอบของลา่ ตัวจะมีออสซิเคิลขอบ (Marging ossicle) 2 ชิ้นเรียงตัวอยู่ออสซิ
เคิลเคลื่อนไหวทา่ ให้ร่องแขนลึกลงหรอื ต้ืนขน้ึ ได้

2. ออสซิเคิลท่ีผิวตัว ได้แก่ หนาม (Spine) ปุ่ม (Tubercle) และเพดิเซลลาเรีย (Pedicellaria)
หนามและปุ่มอาจเปน็ ออสซิเคลิ หินปนู (Calcareous ossicle) ทีย่ ืน่ ขน้ึ มาจากแผน่ ออสซิเคลิ (Ossicle plate)
ทอี่ ยบู่ ริเวณผวิ หรือยื่นออกมาจากออสซเิ คลิ ท่ีฝังตัวอยู่ลึกลงไปในช้ันเดอร์มิสและขอบของหนามจะมหี นามเล็ก
ๆ เป็นแท่งหรือทรงกลมที่เคลื่อนไหวได้เรียงตัวอยู่ หนามของพาซิลลาจะเคล่ือนมาแตะกันได้เป็นการป้องกัน
ไม่ให้เม็ดทรายตกลงไปท่าความระคายเคืองให้กับผิวตัวและช่องว่างข้างใต้ยังเป็นช่องที่กระแสน่้าไหลผ่านเพื่อ
การหายใจและกนิ อาหาร

ระบบท่อน้่าเปล่ียนแปลงมาจากซีลอมจึงบุด้วยเย่ือบุผิวที่มีซีเลีย ระบบท่อน้่า ประกอบด้วยเมดรีพอไรต์
(Madreporite) มีลักษณะเป็นแผ่นตะแกรงมีรูเล็กๆ จ่านวนมากเป็นทางให้น้่าเข้า ต่อจากเมดรีพอไรต์เป็นท่อ
ผนังปูน (Stone canal) ซ่งึ จะตอ่ กบั ท่อท่ฝี ังอยู่ในออสซิเคลิ รอบปากเป็นวงแหวนรอบปากคอื ทอ่ วงแหวน

ระบบย่อยอาหาร ( Digestive system )

ดาวทะเลกินสัตว์อื่นเป็นอาหาร ซ่ึงได้แก่ หอยฝาเดียว หอยสองฝา ครัสเทเชียน โพลีคีตไดโนเดิร์มอื่น ๆ
ปะการัง และปลาเป็นอาหาร ท่อทางเดินอาหารสั้นลงและมีแขนงแยกออกตามแขนท่อทางเดินอาหาร
ประกอบดว้ ย

ปาก อยู่กลางเยอื่ ปารอบปาก (Peristomial membrane) ปากมเี ข้ยี วหลอดอาหารเปน็ ทอ่ สั้นปากอยู่กลาง ซง่ึ
มกี ล้ามเนื้อและหรู ดู ส่าหรับปดิ เปิด (jaw) หรือพาพิลลี (Papillae) 5 อนั หลอดอาหาร เป็นทอ่ ส้ัน

กระเพาะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ กระพาะส่วนที่อยู่ด้านปาก เป็นกระเพาะคาร์ดิแอค (Cardiac stomach)
กระเพาะส่วนท่ีอยถู่ ดั ขึ้นไปมขี นาดเล็กกวา่ และแบนกว่า เปน็ กระเพาะไพลอรคิ (Pyloric stomach) ซง่ึ มีแขนง
ไพลอริค (Pyloric ceca) แยกไปที่แขนขา้ งละ 1 คู่ กระเพาะมีเยอ่ื ยึด (Mesentery) กับผนังตัว

ล่าไส้ เป็นท่อส้ัน มีแขนงล่าไส้ (Intestinal ceca) เป็นแขนงสั้น ๆ แยกออกไปจ่านวนมาก ลักษณะ
แตกต่างกันตาม แต่ชนดิ ของดาวทะเล

ทวารหนักสว่ นใหญม่ ที วารหนักอย่ทู างด้านตรงขา้ มปาก แต่บางชนิดไม่มที วารหนัก

77

ระบบหมนุ เวยี น

ดาวทะเลไม่มีหัวใจและเส้นเลือดท่ีแท้จริง การหมุนเวียนเกิดในซีลอมเป็นส่วนใหญ่ และบางชนิดมีการ
หมุนเวียนในระบบฮีมอลและระบบเพอริฮีมอล การหดตัวของผนังตัวและเย่ือบุรอบปากจะท่าให้ของเหลวในซี
ลอมมีการไหลเวียนได้

การแลกเปลี่ยนแกส๊

การแลกเปลย่ี นแกส๊ จะเกดิ ข้ึนในบริเวณทีข่ องเหลวในซีลอมออกมาอยู่ใกล้กับน้่าทะเลที่อยโู่ ดยรอบอวัยวะ
ทีท่ ่าหนา้ ท่ีแลกเปลี่ยนท่ีพบได้ท่ัวไปคือเท้าท่อซึ่งจะมีการแลกเปล่ียนแกส๊ สูงถึงร้อยละ 50 ของการแลกเปลี่ยน
แก๊สทั้งหมดนอกจากน้ีดาวทะเลจะใช้พาพูลี (Papulae) ซ่ึงเป็นผิวตัวที่เป็นส่ิงเล็กๆ โปงยื่นออกไปผนังของพา
พลีมเี พียงเยื่อเพอริโทเนียมและอิพเิ ดอร์มสิ เทา่ นั้นจึงเปน็ ผนงั ท่บี างมาก ใชแ้ ลกเปล่ยี นแก๊สได้

ระบบขบั ถา่ ย ( excretory system )

ของเสยี ทีเ่ ปน็ ของเหลวจะถ่ายออกตามอวัยวะต่างๆ เชน่ เทา้ ท่อและพาพลู ีสว่ นของเสียท่เี ป็นของแข็งจะมี
ซีโลโมไซท์มากินเข้าไปในเซลล์แล้วเคลื่อนที่ไปท่ีพาพลีซึ่งจะหดตัวดีดซีโลโมไซต์ออกท้ิงไปของเสียบางอย่าง
ผ่านเข้าไปในทอ่ ทางเดินอาหารถ่ายออกไปกบั กากอาหารเอไอโนเดริ ม์ ไม่มีกลไกในการปรบั สมดุลน้่า) ของเหลว
ในชีลอมมีลักษณะคล้ายกับน่้าทะเลเพียง แต่มีอิออนแตกต่างกันเซลล์บริเวณผิวตัวอาจมีความสามารถปรับ
สมดุลน่้าในเซลลใ์ หพ้ อเหมาะได้ แตต่ ้องใช้พลังงานสูงมาก

ระบบประสาท ( nervous system )

ดาวทะเลมีวงแวนประสาท (Nerve ring) รอบปากอยู่ใต้อิพิเดอร์มิส มีตามแขนเป็นแขนงประสาทรัศมี
(Radial nerve) เสน้ ประสาทเหลา่ น้ีจะเชื่อมต่อกับแผงประสาทที่ผิวตวั

การสบื พันธุ์ ( Reproductive system )

ดาวทะเลมีเพศแยก อวัยวะสืบพันธุ์อยู่ในซีลอมของแขนข้างละ 1 คู่ อวัยวะสืบพันธ์ุมีโพรงซีลอมของ
ระบบเพอริฮีมอลล้อมรอบ และมีท่อสืบพันธุ์ไปเปิดออกบริเวณโคนแขน เกิดการปฏิสนธินอกตัวไข่ท่ีปฏิสนธิ
แล้วมีการเตบิ โตเปน็ ตัวอ่อนซ่งึ มซี เี ลยี อยรู่ อบตวั ตัวออ่ นระยะแระคือไบพนิ นาเรีย (Bipinnaria) มสี มมาตรของ
ซีกซ้ายขวาต่อมาตัวอ่อนระยะนี้จะสร้างแขนเพิ่มข้ึนและมีแว่นดูดส่าหรับยึดเกาะเป็นระยะบราคิโอลาเรีย
(Brachiolaria) ซ่ึงจะจมตัวลงเพ่ือหาที่ยึดเกาะและเปลี่ยนแปลงรูปร่างไปเป็นสมมาตรรัศมีและมีการ
เปลยี่ นแปลงรปู รา่ ง (Metamorphosis) เป็นดาวทะเลตัวเล็กๆ มีแขน 5 แขนแล้วเจริญเป็นตวั เตม็

78

Class Ophiuroidea
เอไดโนเดริ ม์ กลมุ่ โอฟยี รอยด์มลี ักษณะใกลเ้ คียงกบั กลมุ่ ดาวทะเลมากทส่ี ดุ คือลา่ ตัวประกอบดว้ ยแว่นกลาง

ตัวและแขนแขนจะยาวและแยกออกจากแว่นกลางตัวได้ชัดเจน แขนเคลื่อนไหวคล้ายงูจึงเรียกว่า serpent
star และแขนเปราะหักง่ายจึงเรียกว่าดาวเปราะ (Britle star) ส่าหรับดาวตะกร้า (Basket star) มีการแตก
แขนงของแขนออกมากและ
ลกั ษณะทั่วไป

แขน โอฟียรอยด์โดยทั่วไปมี 5 แขน แต่จะมี 34 ชนิดท่ีมี 6 หรือ 7 แขน แขนของโอฟียรอยด์ใช้ในการ
เคลอ่ื นที่ โดยใช้แขนพนั เกยี่ วกับวตั ถุและดึงตวั ไป บางชนิดใชแ้ ขนในการจับอาหารแขนมีลักษณะเป็นข้อแต่ละ
ข้อมีแผ่นโล่ออสซิเคิลเหมือนโล่ 4 ช้ินเรียงเป็นวงและต่อกันเป็นแถวยาวแขนจึงมีแผ่นโล่ 4 แถวคือแผ่นด้าน
ปาก (Oral arm shield) แผ่นโล่ด้านตรงข้ามปาก (Aboral arm shield) และแผ่นโล่ด้านข้างมีขนาดใหญ่
เวอรท์ ่บี รา (Vertebra) แต่ละขอ้ ของโครงรา่ งแกนจะยาวเท่ากบั ความยาวของแผ่นออสซเิ คลิ ท่ีเป็นโล่รอบแขน
ท่าใหแ้ ขนสามารถงอเคล่อื นไหวได้ดี

https://www.pinterest.com/pin/224265256413873386/

79

Class Echinoidea

รูปรา่ งของเอไคนอยด์ส่วนใหญเ่ ปน็ รปู ทรงกลมแบนหรือทรงกลมผ่าครึง่ มหี นามจ่านวนมากบนผวิ ตัว และ
ยังมีโครงร่างท่ีต่างจากกลุ่มอื่นๆ คือ ออสซิเคิลเป็นแผ่นแบนและเช่ือมต่อกันเป็นปลอก (Test) ท่ีแข็งและไม่
เคล่ือนไหว เอไคนอยด์แบ่งตามลักษณะรูปร่างเป็น 2 กลุ่มคือ เอไคนอยด์ที่มีสมมาตร (Regular echinoid)
ได้แก่ เม่นทะเล (Sea urchin) และเอคไคนอยด์ท่ีไม่มีสมมาตร (Irregular echinoid) ได้แก่ เม่นหัวใจ (Heart
urchin) และเหรียญทราย (Sand dollar) หรอื อแี ปะทะเล

เม่นทะเล ด่ารงชีวิตอยู่ตามพ้ืนแข็ง มีสีต่างๆ กันล่าตัวเป็นคร่ึงวงกลม มีสมมาตรรัศมี ด้านที่เกาะกับพื้น
เป็นด้านปากมีเย่ือบางๆ ล้อมรอบปากบนเยื่อปากมีเท้าท่อ 5 คู่ และเหงือก 5 คู่ มีหนามขนาดเล็กและมีเพดิ
เซลลาเรีย ทวารหนักอยู่กลางลา่ ตัวด้านบนสุดของทรงกลมมีเย่ือบางๆ รอบทวารหนกั เรียกวา่ Periproct รอบ
เพอรพิ รอคต์จะมีออสซเิ คลิ เรยี งตวั อยู่ 5 ชิ้น ออสซิเคิลเปน็ รปู สามเหล่ียมหันปลายดา้ นแหลมออกด้านนอก ซง่ึ
จะมีหน่ึงแผ่นท่ีเป็นแผ่นเมดรีพอไรต์ (Madreporite plate) ลักษณะขรุขระและมีรูของเมดรีพอไรท์ท่ีปลาย
แหลมของแผ่นอีกส่ีแผ่นที่เหลือเป็นแผ่นสืบพันธ์ุ (Genital plate) คือท่ีปลายด้านแหลมมีรูสืบพันธ์ุเป็น
ทางออกของเซลล์สบื พนั ธุ์

เม่นหัวใจล่าตัวกลมหรือรูปไข่ ฝังตัวอยู่ตามพื้นทราย ปากซึ่งควรจะอยู่ก่ึงกลางด้านท้องจะเคลื่อนมาอยู่ค่อน
ไปทางด้านหน้า ส่วนทวารหนักซึ่งควรจะอยู่ทางด้านตรงข้ามปากเคลื่อนย้ายไปอยู่ท้ายตัว ด้านหลังหรือ
ด้านบนจะมีแถบแอมบูลาคราที่มีลักษณะคล้ายกลีบดอกไม้ 5 กลีบแยกออกไปจากศูนย์กลางเรียกว่าเพทา
ลอยด์ Petaloid อยู่ท่ีขอบท่าหน้าท่ีแลกเปลี่ยนแก๊สและแถบแอมบูลาคราทางด้านปากเป็นแถบ 5 แถบ
เรียกว่าฟิลโลด (Phyllode) แยกออกเป็นแฉกรอบปาก โพเดียของฟิลโลดใช้จับอาหาร และรับความรู้สึก
เก่ียวกบั สารเคมเี มน่ หวั ใจกินช้ินสารอนิ ทรยี จ์ ากทรายจงึ ไม่จ่าเปน็ ตอ้ งมี อรสิ โทเทิลแลนเทิรน์

เหรียญทราย ตัวแบนด้านหลังนูนเล็กน้อย ด้านท้องแบน และมีปากอยู่กึ่งกลาง ด้านท้องไม่มีฟิลโลด แต่
จะมีร่องอาหาร (Food groove) ซ่ึงก็คือร่องแอมบูลาครา 5 ร่องส่าหรับน่าอาหารเข้าปากทวารหนัก
เคล่อื นย้ายมาอยู่ตอนท้าย หรอื บางชนิดขยบั เขา้ ไปอยู่ใกล้กับช่องปาก ด้านตรงขา้ มปากหรอื ด้านหลงั ยงั มีเพทา
ลอยด์อยู่ 5 แฉก โพเดียท่ีเพทาลอยด์ท่าหน้าที่แลกเปล่ียนแก๊ส โพเดียที่ด้านปากใช้ในการเคลื่อนที่ร่ว มกับ
หนาม เหรยี ญทรายบางชนิดมีช่องรปู ไข่อยูต่ ามขอบล่าตวั เรียกว่าลูนล (lunule) เกดิ จากขอบทเี่ ว้าเข้ามา เมื่อ
โตขนึ้ ล่าตวั เจรญิ โอบปิดรอยเวา้ จึงเปน็ รูเหลอื อย่เู วลาฝังตัวจะปล่อยให้ทรายผ่านออกมาทางลนู ู

80

http://vsechinoderms.weebly.com/echinoidea.html

Class Holothuroidea
คือปลิงทะเลหรือแตงกวาทะเล (Sea cucumber) รูปร่างของปลิงทะเลแตกต่างจากเอไดโนเดิร์มกลุ่มอื่น คือ
ล่าตัวเป็นรูปทรงกระบอก เส้นแนวระหว่างปากกับทวารมาเป็นแนวนอนขนานกับพ้ืนด้านของล่าตัวที่แนบติด
พนื้ และมสี ซี ีดกว่าเป็นดา้ นท้องมแี ถบแอมบูลาครา 3 แถบสลบั กบั แถบอินเทอรแ์ อมบลาครา 2 แถบ ด้านหลงั
นนู ข้ึนและมแี ถบแอมบูลาครา 2 แถบสลับกบั แถบอนิ เทอร์

ด้านหน้าของล่าตัวมีช่องปากซ่ึงมีหนวดรอบปาก หนวดเปลี่ยนแปลงมาจากโพเดียรอบปาก หนวดมี 10-
30 เส้น ปากและหนวดจะหดเข้าไปอยู่ในตัวได้ ด้านท้ายของล่าตัวมีทวารหนัก ผนังตัวมีเย่ือเก่ียวพันหนาและ
ออสซิเคิลลดขนาดลงเป็นช้ินเล็กๆ และฝังตัวอยู่ในผนังตัว ผนังตัวจึงเหนียวคล้ายหนังเน้ือทางเดินอาหาร
ประกอบด้วย ปาก ฟาริงซ์ หลอดอาหาร กระเพาะ ล่าไส้ยาวขดเป็นห่วงตามยาว โคลเอคา (Cloaca) และ
ทวารหนัก อาหารของปลิงทะเลเป็นแพลงก์ตอนและอินทรีย์วัตถุท่ีปนอยู่ในโคลนทรายโดยใช้เมื่อกบริเวณ
หนวดจับอาหารส่งเข้าปาก ปลิงทะเลมีอวัยวะในการแลกเปล่ียนแก๊สเรียกว่า espiratory tree มีลักษณะเป็น
ท่อแตกแขนงออกจากโคลเอคาคล้ายต้นพืชอยู่สองข้างของท่อทางเดินอาหาร ปลิงทะเลบางชนิดไม่มี
respiratory tree แต่แลกเปลยี่ นแกส๊ ทางผิวหนงั บริเวณโคนของ Spiratory tree ของปลิงทะเลบางชนิด

81
http://vsechinoderms.weebly.com/holothuroidea.html

82

บทท่ี11

PHYLUM CHORDATA-PROTOCHORDATE

สัตว์ในไฟล้มคอร์ศาทาเป็นสัตว์ที่มีพัฒนาการทางด้านรูปร่างและระบบอวยั วะมากท่ีสุดจึงมีรูปร่างแตกต่างกัน
หลายแบบ มีระบบสรีระแตกต่างกันไปตามสภาพท่ีอยู่อาศัยโดยท่ัวไปสัตว์ในไฟล้มน้ีจะมีขนาดใหญ่ อาศัยอยู่
ทั่วไปทั้งในน่้าจืด ทะเล และบนบกโครงสร้างของระบบอวัยวะ ต่างกันมากมาย แต่จะมีลักษuะร่วมซ่ึงเป็น
ลักษณะเฉพาะ) โครงสรา้ งทสี่ า่ คญั 3 ประการคือ มี

1.แท่งในโทคอร์ค (Hotochond) อยู่ทางด้านหลังรองร่างกาย จะมีอยู่เฉพาะระยะตัวท่อนก็มอย่
ตลดครีวติ ก็ได้

2.มีเสน้ ประสาทเปน็ แท่งอยดู่ า้ นหลัง (Dorsal tutul rere crd)

3. มีช่องเหรือเที่ผนังของฟาริงซ์ (Pharyngeal gil situ) ในช่วงใดช่วงหน่ึงของชีวิต สัตว์ที่มีโครงสร้าง
ครบทั้ง 3 อย่างถอื ว่าเป็นคอร์เดต อย่างไรก็ตาม คกร์เตยังมีลกั ษณะเดน่ หลายประการ

โครงสรา้ งสา่ คัญของคอร์เดต

1. Notochord (noto = หลงั , chord = เส้น) ในโทคอรด์ มีลักษณะเป็นแทง่ ยาวตลอดความยาวของ
ลา่ ตัวและมคี วามยืดหยนุ่ เซลล์ของโนโทคอร์ดเป็นเซลล์ทีม่ ีช่องว่างมาก (Vacuolated cel) ในโทคอร์ดเป็น
โครงร่างภายในท่ีเร่ิมเกดิ ในระยะเอมบริโอเปน็ ทเี่ กาะของกล้ามเนือ้ โนโทคอรด์ ท่างานโดยการงอตัว แต่ไมห่ ด
ตวั ทา่ ให้มกี ารเคลอื่ นไหวแบบลูกคลื่นโพรโทคอร์เดตเช่นแอมฟิออกซัส (Amphioxus) และสตั วม์ กี ระดกู สัน
หลงั ทโี่ บราณเช่นปลาปากกลมกลุม่ แฮกฟชิ (Hagfish) จะมีในโทคอรด์ ตลอดชวี ติ แตใ่ นสัตว์มกี ระดูกสันหลัง
ทง้ั หมดจะมกี ระดูกสนั หลงั เป็นข้อเรียงตัวเป็นแถวตามแนวยาวของล่าตัวกระดูกสันหลงั อาจเปน็ กระดูกอ่อน
(Cartilage) หรอื กระดกู แข็ง (Bone) กระดกู สันหลังเกิดจากเน้ือเย่ือเกี่ยวพันท่ีเป็นปลอกเย่อื หุ้มโนโทคอร์ด
เจรญิ เขา้ แทนทใ่ี นโทคอร์ดเพ่ือท่าหนา้ ที่เป็นแกนหลักของร่างกายเม่ือร่างกายมีขนาดใหญ่

2. เส้นประสาทสันหลังเส้นประสาทของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังเป็นเส้นตัน (Solid) อยู่ใต้ทางเดิน
อาหารและมักมีเป็นคู่ แต่คอร์เดตมีเส้นประสาทสันหลังเพียง 1 เส้นอยู่ด้านหลังของท่อทางเดินอาหารและมี
ลักษณะเป็นท่อกลวง (แต่จะตันในภายหลัง) ด้านหน้าของเส้นประสาทสนั หลังขยายออกเปน็ สมอเส้นประสาท
สันหลังที่กลวงเกิดจากการทบตัวของเอคโทเดิร์มท่ีอยู่ทางด้านหลังของล่าตัวเหนือในโทคอร์ดสัตว์มีกระดูกสนั
หลังจะมเี ส้นประสาทสนั หลงั อย่ภู ายในช่องวา่ งของข้อกระดูกสนั หลังและสมองจะมีกะโหลกศีรษะมาห่อหุ้มไว้

83

3. ช่องเหงือกบนฟาริงซ์ช่องเหงือกมีลักษณะเป็นช่องยาวเปิดออกจากช่องภายในฟาริงซ์ออกมา
ภายนอกช่องเหงือกเกิดจากเอคโทเดิร์มท่ีบุอยู่ด้านนอกของฟาริงซ์ปุ่มลงไปและเอนโดเดิร์มท่ีบุด้านในของฟา
ริงซ์โปงออกมาถุงท่ีเกิดขึ้นทั้งสองจะมาบรรจบกันและทะลุต่อกันเป็นช่องเหงือกสัตว์มีกระดูกสันหลังช้ันสูงจะ
เปน็ เพียงร่องไมท่ ะลุตอ่ กนั และมกั จะไม่พบร่องรอยอยูอ่ ีกเม่ือเป็นตัวเต็มวัย

4.หาง (Postanal tail) อยู่ต่อจากท่อทางเดินอาหารถัดจากทวารหนักมีกล้ามเน้ือและโนโทคอร์ดที่
ยาวมาถึงส่วนหางใช้ช่วยในการเคลือ่ นท่ี

การจัดหมวดหมคู่ อร์เดต

แบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่คือกลุ่มมีกระดูกสันหลัง (Vertebrates) และกลุ่มท่ีไม่มีกระดูกสันหลังหรือโพรโท
คอรเ์ ดต (Protochordates) ซ่ึงอาจเรยี กอกี อยา่ งหนึ่งว่า Acrania เพราะไม่มีกะโหลกหุ้มศรีษะกลุ่มท่มี ีกระดูก
สันหลังมักจะเรียกว่า Craniata เพราะมีกะโหลกหุ้มศรีษะกลุ่มน้ีจะแบ่งออกเป็นสองกลุ่มย่อยคือกลุ่มที่ไม่มี
ขากรรไกร (Agnatha) กับกลุ่มท่มี ีขากรรไกร (Gnathostmota)

Phylum Chordata จาแนกได้ดังนี้

1. Group Protochordata (Acrania) ไม่มีกะโหลกหุ้มสมอง

- Subphylum Urochordata tunicate, ascidian

- Subphylum Cephalochordata-lancelets: amphioxus

2. Group Craniata มีกะโหลกหุม้ สมอง

Subphylum Vertebrata

Superclass Agnatha ไม่มีขากรรไกร

Class Ostracodermi-ostracoderm

Class Cyclostomata - hagfishes, lampreys

Superclass Gnathostomata มีขากรรไกร

Class Chondrichthyes - ปลากระดูกอ่อน

Class Osteichthyes - ปลากระดูกแข็ง

Class Amphibia - สตั ว์สะเทนิ น่้าสะเทนิ บก

84

Class Reptilia - สัตว์เล้ือยคลาน
Class Aves - นก
Class Mammalia - สตั ว์เลีย้ งลกู ดว้ ยนม

สตั วม์ กี ระดูกสนั หลงั ท่ีมขี ากรร

ไกรสัตว์มีกระดูกสันหลังที่มีขากรรไกรไม่ว่าจะสูญพันธุ์แล้วหรือยังมีชีวิตอยู่นับว่ามีการพัฒนาด้านการหา
อาหารดีกว่าพวกไม่มีขากรรไกรประโยชน์ของการมีขากรรไกรคือท่าให้สามารถล่าเหยื่อท่ีว่องไวและมีขนาด
ใหญไ่ ดข้ ากรรไกรแปรสภาพมาจากกระดูกอ่อนของเหงือก (gil arches) สองคู่แรกซงึ่ ลักษณะนีเ้ ริ่มเหน็ ได้จาก
ออสทราโคเดิร์มท่ีมีปากกว้างออกและค่้าจุนด้วยเกล็ดใต้ผิวหนังท่ีแข็งแรงซ่ึงอาจกล่าวได้ว่ามีลักษณะคล้าย
ขากรรไกรแขนงที่ยื่นยาวไปข้างหน้าช่วยให้การจับเหย่ือดีข้ึนผิวหนังรอบปากแปรสภาพเป็นฟันสัตว์มีกระดูก
สันหลังท่ีมีขากรรไกรกลุ่มแรกที่เกิดขึ้นมาคือปลาอะแคนโธเดียน (Acanthodians) เช่น Climatius มีช่ือเรียก
ท่ัวไปวา่ ฉลามหนาม (spiny shark รูปรา่ งคล้ายปลาฉลาม แต่ไม่ใชฉ่ ลามซ่ึงเป็นปลากระดูกอ่อนปลาอะแคนโธ
เดียนมีชีวิตอยู่ในปลายยุคไซลูเรียนจนถึงต้นยุคดีโวเนียนมีครีบคู่อยู่ทางด้านท้องถัดมาจาก หัวครีบหางแบบ
เฮเทอโรเซอรค์ อลและมีกระดูกสนั หลังยาวจรดหางมีตาขนาดใหญเ่ กลด็ แบบแกนอยด์ (ganoid) คลมุ ตลอดตัว
ปลามขี ากรรไกรอีกกลุ่มหน่ึงซ่ึงวิวฒั นาการขึ้นมาในตอนตน้ ยคุ ดีโวเนียนคือพลาโคเดิร์ม (placoderm: plax =
แผน่ + derma = ผิวหนงั )

โพรโทคอร์เดต (Protochordates)

โพรโทคอร์เดตคือกลุ่มคอร์เดตโบราณซึ่งมีโครงสร้างส่าคัญของคอร์เดตโพรโทคอร์เดตปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2
subphylumUrochordata (Tunicata) และ Cephalochordata S

ubphylum Urochordata (Tunicata) สัตว์ใน Subphylum Urochordata เป็นสัตว์ทะเลที่ด่ารงชีวิตอยู่ใน
ทะเลแทบทุกแห่งทั้งในบริเวณชายฝั่งและในทะเลท่ีลึกลงไปส่วนมากยึดเกาะกับวัตถุต่าง ๆ ในทะเลบางชนิด
เป็นพวกท่ีว่ายน้่าโดยอิสระค่าว่า Tunicata มาจากลักษณะตัวท่ีมีถุงเย่ือหุ้มตัวที่เรียกว่าทูนิค (tunic) จึงมัก
เรยี กชื่อท่วั ไปวา่ ทนู ิเคต (tunicate)

Urochordata จ่าแนกเปน็ 3 class คือ Ascidiacea, Thaliacea และ Larvacea

Ascidiacea

Ascidiacea (askiolion = ถุงเล็ก ๆ + acea = ค่าต่อท้าย) สัตว์ในคลาสนเ้ี ปน็ ท่ีร้จู ักกันมากทสี่ ุดในบรรดายูโร
คอร์เดตมักเรียกว่าแอสซิเดียน (ascidians) หรือ sea squirt (เวลาถูกตัวจะหดตัวฉีดน่้าออกมา) แอสซิเดียน

85

อาจด่ารงชีวิตแบบตัวเดียว (solitary) หรือรวมอยู่ด้วยกันเป็นโคโลนี (colony) หรือหลายตัวอยู่ในเปลือกหรอื
ถุงหุ้มอันเดียวกัน (compound) แบบตัวเดียวและแบบโคโลนี้จะมีเย่ือหุ้มของตัวเองทุกตัวส่วนแบบประกอบ
(compound) แต่ละตวั จะรวมกนั อยู่ในเยื่อห้มุ เดียวกนั จะเปน็ เย่อื หมุ้ ร่วมแอสซเิ ดียนดา่ รงชวี ติ โดยการเกาะอยู่
ตามก้อนหินทรายหรือแม้แต่ตามโคลนตมส่วนใหญ่อยู่ในท่ีต่ืนและมักอยู่ตามแนวปะการังพวกที่เป็นโคโลนี้มัก
เกาะกับหนิ ใต้นา่้ และอาจเกาะอยู่ตามท้องเรือท่าใหเ้ รือผหุ รือเกดิ สนมิ ไดง้ ่าย

ลกั ษณะภายนอก
แอสซิเดียนตัวเดียวเช่น Herdmania monus Molgula Ascida มีลักษณะล่าตัวกลมหรือล่าตัวยาวส่วนฐาน
ยึดเกาะกับหินหรือส่ิงของแข็งเป็นด้านท้าย (posterior) พวกท่ีอยู่ตามทรายหรือโคลนจะมีก้านส่าหรับเกาะ
ล่าตัวทางด้านบนจะมีท่อย่ืนออกมา 2 ท่อ คือท่อน่้าเข้า (incurrent siphon) ซึ่งมีช่องปากอยู่ภายในจึงอาจ
เรียกว่าท่ออุ้งปาก (buccal siphon) และจัดเป็นด้านหน้า (anterior) และท่อน่าออก (excurrent siphon)
เปน็ ท่อหมุนเวยี นน่้าออกจากชอ่ งว่างรอบฟารงิ ซ์

คือเอเทรียม (atrium) จึงอาจเรยี กวา่ ท่อเอเทรยี ม (atrial siphon) และจดั เป็นด้านหลงั (dorsal) ของ
ลา่ ตวั แอสซเิ ดยี นขนาดเล็กมักมขี นาดเท่ากับหัวแมม่ ือ
ผนงั ลาตวั
ผนงั ลา่ ตวั ที่เรียกวา่ แมนเทลิ (mantle) ซ่งึ ประกอบดว้ ย
1. เยื่อบุผิว (epidermis) เป็นเยื่อบางท่าหน้าท่ีสร้างทูนิค (tunic) ห่อหุ้มตัวทูนิคมี fibrous ma trix ซึ่ง
ส่วนประกอบสว่ นใหญ่เป็นสารคล้ายเซลลโู ลสที่เรียกวา่ ทูนซิ ิน (tunicin) และมีองค์ประกอบร่วมเป็นเกลือและ
โปรตีนบางชนิดมีการตกตะกอนของสารหินปูนเป็นสปิคูล (spicule) ฝังอยู่ในทูนิคและบางชนิดมีเซลล์จากมี
เซนไคล์เข้ามาอยู่และเปล่ียนแปลงไปเป็นเซลล์ที่มีรงควัตถุ (pigment cell) หรือเซลล์รูปดาวหรือเซลล์ท่ีมี
ช่องว่างมากและอาจสร้างสปิคลที่สโทลอนท่าให้ทูนิคแข็งทูนิคส่วนที่ใช้ยึดเกาะมักขรุขระหรือเป็นตุ่มและมี
แขนงยื่นออกไปเปน็ สโทลอนทนู ิคอาจมีสหี รือลักษณะคลา้ ยหนิ ออ่ นบางชนดิ ใสมองเหน็ สีของอวัยวะภายใน
2. เยื่อเกี่ยวพัน (connective dermis) เป็นชั้นท่ีหนามีใยกล้ามเน้ือเรียงตัวในทิศทางต่าง ๆ และที่ท่อน้่าจะมี
กลา้ มเนอื้ หรู ูด (sphinctor muscle) ทแ่ี ขง็ แรงในทอ่ นา้่ บุด้วยทูนคิ และเยอื่ บผุ ิว

86

ระบบย่อยอาหาร (Digestive system )

ทนู ิเคตกนิ อาหารโดยการกรอง (filter feeder) อาหารเป็นแพลงก์ตอนทอ่ี ยู่ในนา้่ ทอ่ ทางเดนิ

1. ชอ่ งปากอยูภ่ ายในทอ่ น้่าเข้ามีหนวดรอบปากเพ่ือป้องกนั ไมใ่ หว้ ัตถุขนาดใหญ่หลดุ เข้าไปผนังของท่อ
ที่เข้าและออกบุด้วยเยื่อบุผิวและทูนิคซองฟาริงซ์อาจเป็นทรงกระบอกหรือแบนทางด้านข้างผนังของฟาริงซ์
ทางด้านหน้าและด้านท้องยึดติดกับผนังตัวและที่ผนังด้านในจะเป็นร่องเรียกว่าเอนโดสไทล์ (Endostyle) ผนงั
ด้านข้างของรอ่ งมีซเี ลีย (Cilia) ตอนกลางร่องบดุ ้วยเซลล์สร้างเมือกและแถวของซีเลียตอนกลางผนังของฟาริงซ์
มีช่องเปิดแบบรอยขีดเป็นจ่านวนมากเรียงตัวอย่างมีระเบียบคือช่องเหงือก (Gill slit) หรือสทิกมาทา
(Stigmata) นอฟาริงซ์ทางช่องน้ีช่องเหงือกมีซีเลียบุอยู่ซีเลียจะท่าให้เกิดกระแสหมุนเวียนน้่าน้่าเข้าทางท่อน่้า
เข้าผ่านฟาริงซ์ออกมาท่ีช่องล่าตัวรอบฟาริงซ์ (Atrium) แล้วออกจากตัวทางท่อน่้าออกการหมุนเวียนน่้าจะให้
ประโยชน์ในเรื่องโภชนาการการหายใจการขับถ่ายและการสืบพันธุ์ฟาริงซ์ เป็นอวัยวะขนาดใหญ่ท่ีสุดเริ่มจาก
บรเิ วณใตห้ นวดลงไปลกั ษณะ

2. น่้าออกจากเมือกที่สร้างจากร่องซีเลียจะเคลื่อนไหลออกมาเป็นแผ่นเมือกเวลาเคลื่อนผ่านช่อง
เหงอื กจะเกบ็ เอาอาหารทีถ่ ูกกกั อยู่ท่ีชอ่ งเหงือกแลว้ เคล่ือนไหลไปยงั ผนังทางด้านหลงั กงึ่ กลางของผนังด้านหลัง
จะมีสันตามยาวเรียกว่าดอร์ซอลลามินา (dorsal lamina) หรืออาจเป็นแถวของหนวดที่เรียกว่าาแลนเควต
lanquets) อาหารเคลอ่ื นตามสันน้ลี งไปตอนทา้ ยเข้าสูห่ ลอดอาหาร

3. หลอดอาหารเป็นท่อเลก็ ๆ ติดอยทู่ างดา้ นหลังของฟาริงซ์

4. กระเพาะเปน็ ทอ่ ต่อจากหลอดอาหารมกี ารย่อยอาหารนอกเซลล์

5. ล่าไส้ยาวและวกกลบั ขึ้นไปทางด้านหนา้ ไปเปิดออกที่บรเิ วณท่อน่้าออกมกี ารดูดซึมทลี่ า่ ไส้

6. ทวารหนกั อยู่ใตท้ อ่ น่า้ ออก

ระบบประสาท ( nervous system )

แอสซิเดียนมีปมประสาทสมอง (Cerebral ganglion) อยู่ในมีเซนไคม์ของผนังตัวบริเวณระหว่างท่อ
น้่าท้ังสองจากปมประสาทน้ีจะมีเส้นประสาทไปยังส่วนต่าง ๆ ของล่าตัวใต้ปมประสาทนี้จะมีต่อมใต้ปม
ประสาท (Subneural gland) ซึ่งมีช่องว่างภายในด้านหน้าของต่อมเป็นท่อออกไปที่กรวยซีเลียที่อยู่ทางด้าน
หลังของฟาริงซ์ด้านท้ายของต่อมมเี ส้นประสาทของเนื้อเย่ือซ่ึงเจริญข้ึนมาแทนที่เสน้ ประสาทของตวั อ่อนดังนั้น
จึง homologous กบั เสน้ ประสาทสนั หลงั ของคอรเ์ ดตอืน่ ๆ

87

แอสซิเดียนไม่มีอวัยวะรับความรู้สกึ เฉพาะ แต่มีเซลล์รับความรู้สึกอยู่มากมายในบรเิ วณท่อน่้าท้ังด้าน
นอกและด้านในที่หนวดและในเอเทรียมเซลล์รับสัมผัสและเซลล์รับความรู้สกึ เก่ียวกับสารเคมีที่รวมอยู่ด้วยน้นั
น่าจะมสี ว่ นในการควบคมุ กระแสการหมุนเวียนน้า่

การสืบพนั ธ์ุ ( Reproductive system )

การสืบพนั ธุ์แบบอาศัยเพศแอสซเิ ดียนส่วนใหญ่มีเพศรวมและมักจะมีอณั ฑะและรังไข่อยา่ ง (Onduct)
และท่อนา่ สเปริ ม์ (Sperm duct) เป็นทอ่ ขนานกันไปเปดิ ออกท่เี อเทรยี ม

แอสซิเดียนตัวเดียวมักจะสร้างไข่ที่มีไข่แดงน้อยการปฏิสนธิเกิดนอกตัวในน่้าทะเลตัวอ่อนของ แอส
ซเิ ดียนคลา้ ยลกู อ๊อดของกบจึงเรยี กวา่ ตวั ออ่ นลูกอ๊อด (Tadpole larva)

การสืบพันธ์ุแบบไม่อาศัยเพศเป็นการแตกหน่อท่าให้เกิดโคโลนีแต่ละตัวในโคโลนี้มีขนาดเลก็ แต่ เม่ือ
อยรู่ วมกนั จะเป็นโคโลนขี นาดใหญ่

Thaliacea

ธาเลียเชียน (Thaliacean) เป็นพวกที่ว่ายน่้าเป็นอิสระเป็นแพลงก์ตอนมีเพียง 6 สกุลด่ารงชีวิตอยู่ใน
เขตอบอุ่นธาเลียเซียนทุกชนิดมีการสืบพนั ธ์ุทั้งสองแบบในวฏั จักรชีวติ ในการสืบพนั ธุ์แบบอาศัยเพศเจรญิ เป็นบ
ลาสโทซอู อยด์ (Blastozooid) ไข่ท่ปี ฏิสนธแิ ลว้ เจรญิ เป็นโอโอชูออยด์ (Oozoid) สืบพันธุ์แบบไม่อาศยั เพศโดย
การแตกหน่อหน่อจะ

Pyrosoma โคโลนม้ี ลี กั ษณะเปน็ ท่อปลายเปิดดา้ นเดียวเคล่ือนท่โี ดยการลอยตวั ไปในแนวนอนขนาด
ของโคโลน้ีอาจยาวถงึ 2 เมตรเปลอื กเปน็ เจลาทนิ และมแี ขนงยืน่ ออกมา Pyrosoma มีแสงเร่ืองเกดิ จาก

Doliolum มตี วั เต็มวยั เปน็ โกโนซอู อยดท์ ่ีเป็นตัวเดย่ี ว (Solitary phase) รปู รา่ งคล้ายถงั เหลา้ ตัวยาว
ประมาณ 1-2 ซม. เปลือกบางใสผนังตัวมแี ถบกลา้ มเน้ือเป็นวงสมบูรณ์อยู่ 8 แถบแถบแรกและแถบสุดท้ายท่า
หน้าท่ีเป็นกล้ามเน้ือหูรูดซองน้่าเข้าและออกอยู่ตรงข้ามกันเคลื่อนที่ด้วยแรงฉีดของน้่าฟาริงซ์มีช่องเหงือก
หลายช่องอยู่ทางตอนท้ายเท่าน้ันมีเอนโดสไทล์ แต่ไม่มีดอร์ซอลลามินา อัณฑะอยู่ใกล้เอนโดสไทล์และถัดมา
เป็นรังไข่ไข่ท่ีผสมแล้วออกมาเจริญอยู่ในทะเลเป็นตัวอ่อนท่ีมีลักษณะคล้ายลูกอ๊อดมีทูนิคหนาหุ้มมีหางต่อมา
หางจะหายไปเจริญเป็นโอโอซูออยด์ (0ozoid) ซึ่งมีแขนงยื่นออกมาจากส่วนท้ายของล่าตัวทางด้านหลัง
คือสเปอร์ (spur) หรือคาโดฟอร์ (cadophore) ทางด้านท้องบริเวณถัดจากเอนโดสไทล์จะมีสโทลอนซ่ึงปลาย
ของสโทลอนมหี นอ่ บลาสโทซอู อยดเ์ กดิ ขนึ้

Salpa พบในทะเลเกือบทุกแห่งช่วงท่ีเป็นตัวเดียว (solitary phase) เป็นโอโอซูออยด์ที่เกิดจากไข่ท่ี
ผสมแล้วล่าตัวใสมีก้อนสีดา่ ภายในตัวคือนิวเคลยี ส (Nucleus) ซึ่งประกอบด้วยกระเพาะล่าไส้และต่อมน่า้ ย่อย

88

Salpa มีแถบกล้ามเนื้อวงแหวน 7 แถบท่ีไม่สมบูรณ์ ไม่มีผนังทางด้านข้างของฟาริงซ์ช่องของฟาริงซ์จึง
ต่อเนื่องไปกับเอเทรียม แต่จะมีแถบของสันเหงือก (gill ridge) พาดระหว่างฟาริงซ์กับเอเทรียม ซึ่งก็คือดอร์
ซอลลามินานั่นเอง ด้านท้องมีเอนโดสไทล์สโทลอนเกิดใกล้กับเอนโดสไทล์เป็นเส้นยาวมีการแตกหน่อเกิดบ
ลาสโทซอู อยดเ์ รียงเปน็ แถวอยู่บนสโทลอน บลาสโทซูออยด์มอี วัยวะสืบพันธ์แุ ละมีการปฏสิ นธภิ ายในไช่ท่ีผสม
แล้วเจริญอยู่ที่ผนงั ฟาริงซจ์ นเป็นโอโอซูออยด์จงึ ออกจากตวั แม่ (viviparous)

Larvacea ลาเวเซียน (Larvacean) ชื่อ Lanacea แสดงถึงการที่ตัวเต็มวัยยังคงมีลักษณะบาง
ประการของตัวอ่อนอยู่) เป็นแพลงก์ตอนท่ีพบได้ทั่วไปขนาดตัวเล็กยาวประมาณ 34 มม. และโปรง่ แสงอวัยวะ
สืบพันธ์ุสีแดงและสีม่วงมีการสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศเพียงอย่างเดียวเปลือกหุ้มตัวเป็นเจลาตินซ่ึ งอาจจะหุ้ม
ท้ังตัวหรือเป็นเหมือนฟองอากาศติดอยู่กับตัว Okopleura มีขนาดเล็กล่าตัวยาวไม่เกิน 5 มม. มีหางของตัว
อ่อน (larva tail ซึ่งยาวประมาณ 3-7 เท่าของล่าตัวหางบิดไปข้างหน้าขนานไปกับล่าตัวด้านหลังของหางมี
เส้นประสาทสันหลังและโนโทคอร์ดขนานกันอยู่ ล่าตัวรวมทั้งหางจะมีเปลือกหุ้มเปลือกแยกตัวจากผิวตัวสอง
ข้างของด้านหลังเปลือกจะมีช่องน้่าเข้า (incurrent window 1 ค่ซู ่งึ มลี ักษณะคล้ายตะแกรงกรองน่า้ จะมีเพียง
ชน้ิ สว่ นขนาดเล็กมากเท่านัน้ ที่จะผา่ นเข้าไปไดเ้ ป็นการกรองขั้นตน้ (prefilter) กระแสน่า้ จะผา่ นต่อไปยงั ระบบ
กรองน้า่ เพ่ือกรองอาหารอาหารที่ถูกเมือกจับไว้จะผ่านเข้าปากสว่ นน้่าที่กรองออกมาจะผ่านออกจากเปลือกไข่
แรงดันนา้่ ในเวลาฉดี น้่าออกจะทา่ ให้ตัวเคลื่อนทไ่ี ปในทิศทางตรงข้ามเปลือกของ Oikopleura มีขนาดใหญก่ ว่า
ตวั มากทา่ ใหเ้ คลอื่ นตัวอยใู่ นเปลือกได้การหมนุ เวยี นเกดิ จากการเคลื่อนไหวแบบลกู คลืน่ ของหางนา่้ ท่หี มุนเวียน
เขา้ มาทางแผ่นกรองจะท่าให้แผ่นกรองอุดตันจึงต้องมีการเปลยี่ นเปลือกใหมท่ ี่เปลือกจึงมชี ่องเปิดส่าหรับให้ตัว
Oikopleura ออกมาเพือ่ สรา้ งเปลือกใหมซ่ ง่ึ มักจะสร้างใหม่ทุก 3 ชว่ั โมง

Subphylum Cephalochordata เซฟาโลคอร์ดาทา (Cephalochordata) (การท่ีมีในโทคอร์ด
ยาวเข้าไปถึงหัว) มชี อื่ สามัญว่า lancelets ตามลักษณะรูปร่างท่ีคล้ายหอกส่วนค่าวา่ amphioxus เคยเป็นช่ือ
สกุลของ Branchiostoma แต่ปัจจุบันใช้ amphioxus เป็นชื่อสามัญของ cephalochordate ซ่ึงมีเพียง2
สกุลคือ Branchiostoma และ Asymmetronและท้ังหมดมีเพียงประมาณข้างขวาข้างเดียว 30 ชนิด
Asymmetron ต่างจาก Branchiostoma ตรงท่ีมีอวยั วะสืบพนั ธ์ุเพียงข้างเดียว

Amphioxus แอมฟิออกซัสเป็นสัตว์ท่ีน่าสนใจเน่อื งจากตัวเต็มวัยมีลักษณะส่าคัญของคอร์เดตทั้ง 3
ประการและจัดตัวในลักษณะท่ีไม่ซับซ้อนและอาจจะมีส่วนคล้ายคลึงกับบรรพบุรุษของคอร์เดตตัวแอมฟิออก
ซัสยาวประมาณ 5 ซม. หัวท้ายเรียวตัวแบนทางด้านข้างตัวค่อนข้างจะโปรง่ แสงด่ารงชวี ิตอย่ใู นท่ีต่นื ตามทะเล
ในเขตร้อนและเขตอบอุ่นโดยจะฝังตัวอยู่ในทรายที่สะอาดหรือตามหินทรายการฝังตัวจะฝังตัวตั้งฉากกับพ้ืน
โผล่เฉพาะปลายด้านหน้าออกมาในเวลากลางคืนอาจจะไม่ฝังตัว แต่จะว่ายน้่าโดยการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อ
ทางดา้ นขา้ งของลา่ ตัวและแอมฟิออกซสั ยงั สามารถเคลอ่ื นทไ่ี ปในทรายไดด้ ี

89

ลกั ษณะภายนอก

รูปร่างของแอมฟิออกซัสคล้ายปลา แต่ไม่มีครีบข้างและส่วนหัวแยกออกจากตัวได้ไม่ชัดเจนกึ่งกลาง
ด้านหลังของล่าตัวมีครีบหลัง (dorsal fin) ยาวตลอดความยาวของล่าตัวครีบตอนท้ายแผ่ออกเป็นครีบหาง
(caudal fin) และครีบทางด้านท้องยาวออกไปด้านหนา้ เป็นครบี ท้อง (Ventral fin) ทัง้ ครีบหลังและครบี ท้องมี
แกนค้่าจุนเป็นแท่งโครงสร้าง (skeletal rod) เรียงต่อกันเป็นแถวอยู่ในครีบ (in ray แท่งโครงร่างเป็นสาร
ประเภทเจลาทินและเน้ือเยื่อเกี่ยวพันล่าตัวด้านท้องบริเวณหนา้ ครีบท้องจะแบนและสองข้างของท้องจะมีผนัง
ยื่นลงมาเรียกว่า metapleural fold ด้านหน้าของล่าตัวมีลักษณะเป็นกรวยลึกลงไปเป็นกรวยปาก
(vestibule, oral hood) ที่ขอบของกรวยปากมีหนวดอยู่คือ oral tentacle บริเวณฐานของครีบหางทาง
ดา้ นซา้ ยจะมีชอ่ งเปิดของทวารหนกั และหนา้ ครีบท้องมชี ่องเปดิ ของเอเทรยี มเรยี กว่าเอทริโอพอร์ (atriopore)

ผนงั ตวั

ผนังตัวประกอบด้วยอิพิเดอร์มิสซึ่งจะสร้างคิวทิเคิลหุ้มตัวใต้อิพิเดอร์มิสเป็นเย่ือเกี่ยวพันเป็นช้ันบาง
และมีเซลล์รับความรู้สึกอยู่ แต่ไม่มีต่อมและไม่มีเซลล์เม็ดสีถัดเข้าไปจึงเป็นกล้ามเนื้อท่ีบุด้วยเพอริโทเมียมก
ล้ามเนื้อของแอมฟิออกซัสเป็นปล้องและมีลกั ษณะเป็นบล็อครปู ตวั V และเป็นเสน้ ใยตามยาวเรียกว่าไมโอโทม
(myotome) หรือไมโอเมียร์ (myomere) เยื่อท่ีหุ้มกล้ามเนื้อแต่ละปล้องเป็นเส้นใยของเนื้อเย่ือเกี่ยวพัน
เรยี กวา่ ไมโอคอมมา (myocomma) ผนังตัวทางด้านทอ้ งประมาณ 2 ใน 3 ของล่าตัวส่วนหนา้ จะเปน็ กล้ามเน้ือ
ตามขวาง (transverse muscle)

โครงร่าง

แอมฟิออกซัสมีในโทคอร์ดเป็นแท่งทรงกระบอกจากหัวไปถึงหางและมีอยู่ตลอดชีวิตนอกจากน้ียังมี
แท่งโครงรา่ ง (skeletal rod) เรียงตวั เป็นแถวค้่าจนุ ครบี เรยี กว่า fin ray และค้่าจนุ กรวยปากและหนวดทกี่ รวย
ปาก

ระบบย่อยอาหาร ( Digestive system )

แอมฟิออกซัสกินอาหารโดยการกรอง (Filter feeder) อาหารของแอมฟิออกซัสเป็นสิ่งมีชีวิตขนาด
เลก็ ทมี่ ากบั น้า่ ในการหมุนเวยี นน้่าทางเดนิ อาหารประกอบด้วยอวัยวะดังนี้คือช่องปากอยู่บนเยื่อวีลม (velum)
และมีกล้ามเนือ้ วงแหวนล้อมปากและหนวดบนเย่ือวีลม้ (velar tentacle) 12 เสน้ หนวดทา่ หนา้ ทีป่ อ้ งกนั ไม่ให้
สิ่งของแข็ง ๆ ผ่านเข้าปากผนังด้านในของกรวยปากมีการโป่งออกเป็นลอนที่มีซีเลียอยู่คือ wheel organ
หนวดขอบของกรวยปากมเี ซลลร์ ับความรู้สึกอยู่ฟาริงซเ์ ปน็ อวยั วะขนาดใหญซ่ ึง่ แบนด้านข้างผนังด้านในของฟา
ริงซ์จะมีร่องกลางด้านหลังเรียกว่า hyperbranchial groove (epipharyngealgroove) และร่องกลางด้าน
ท้องเรยี กวา่ hypobranchialgroove (endostyle) ล่าไสต้ อนต้นมีแขนงยื่นออกมาทางด้านหนา้ เปน็ แขนงจาก

90

ท่อทางเดินอาหารตอนกลาง (midgut ecum) เป็นต่อมสร้างน้่าย่อยจึงมักเรียกว่าตับ (lver) แต่ท่างานไม่
เทียบเท่ากับตับของสัตว์มีกระดูกสันหลังทวารหนักเป็นช่องเปิดปลายล่าไส้เปิดออกทางด้านซ้ายของล่าตัว
บรเิ วณฐานของครบี หาง

ระบบหายใจ ( respiration system )

ฟาริงซ์ยึดติดทางด้านหลังและห้อยอยู่ในช่องเอเทรียม (atrium) ซ่ึงบุด้วยเย่ือประเภทเอคโทเดิร์มน้่า
ผ่านเข้าทางปากกรองออกจากฟาริงซ์ผ่านช่องเหงือกแล้วออกทางเอทริโอพอร์ผนังฟาริงซ์ท่ี อยู่ระหว่างช่อง
เหงือก การแลกเปลยี่ นแก๊สเกิดขน้ึ ในขณะทีน่ า่้ ผ่านออกมาจากช่องเหงือก

ซลี อม

ชีลอมอยรู่ อบทางเดินอาหารรอบเอเทรยี มและรอบล่าไส้

ระบบขับถา่ ย ( Excertory system )

อวัยวะขับถา่ ยเป็นโพรโทเนฟริเดียอย่ทู างด้านหลังของฟาริงซ์เนฟริเดยี แตล่ ะอันมี Flame Cell หลาย
เซลลโ์ พรโทเนฟริเดียท่ีเชือ่ มระหวา่ งซลี อมกบั เอเทรยี มมเี ป็นร้อยคู่

ระบบประสาท (Nervous system )

แอมฟิออกซัสมีเส้นประสาทยาวอยู่ด้านหลังโนโทคอร์ดด้านหน้าขยายใหญ่ข้ึนเล็กน้อยเป็นส่วนสมอง
ด้านหนา้ มจี ุดตาสดี า่ เปน็ กลุ่มและเรยี งเปน็ แนวอยู่ทางด้านท้องของเสน้ ประสาท

ระบบสบื พันธุ์ ( Reproductive system )

แอมฟอิ อกซัสมีเพศแยกอวัยวะสืบพันธ์ุมีจ่านวนมากเป็นก้อนหลายคู่โป่งยืนเขา้ ไปในเอเทรียมเม่ือผนัง
ของอวัยวะสืบพันธ์ุแตกจะปล่อยไข่หรือสเปิร์มเข้าสู่เอเทรียมออกไปปฏิสนธินอกตัวทางเอทริโอพอส่าหรับ
Asymmetron มอี วัยวะสบื พันธุ์เพยี งขา้ งขวาข้างเดียว

91

อา้ งอิง
หนังสือสตั ววิทยา ภาควชิ าสัตววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเกษตร์ศาสตร์

โดย รองศาสตราจารย์บพธิ จารุพนั ธ์ุ
รองศาสตรน์ นั ทพร จารุพันธุ์

สัตววทิ ยา / บพธิ จารุพันธ์ุ , นันทพร จารุพนั ธ์ุ. –พมิ พ์คร้งั ที่ 6.—กรงุ เทพ ;สา่ นกั พมิ พ์
มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์.2555.

92

ผจู้ ดั ทา และ คณะ

นางสาวกนกพร พาระพัฒน์ รหัสนิสติ 622021066

นางสาวกมลชนก แก้วประดิษฐ์ รหัสนสิ ติ 622021067

นางสาวกฤติมา โต๊ะหลี รหัสนสิ ิต 622021068

นางสาวจารพุ กั ตร์ อักษรกาญจน์ รหัสนิสติ 622021069

นางสาวซันวา กนุ หลัง รหสั นสิ ิต 622021071

นางสาวซูอฟั นี อิง รหสั นสิ ิต 622021072

นางสาวนสิ รีน รอบคอบ รหสั นสิ ิต 622021075

นางสาวฟารดี า ดือราแม รหัสนสิ ิต 622021081

นางสาวสรุ สั วดี วมิ ลทรง รหัสนสิ ิต 622021088

93


Click to View FlipBook Version