นติ กิ รรม
หลกั สตู รนิตศิ าสตรบณั ฑติ
มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ
ส า ร บั ญ
หน้า 1-7 หน้า 16-19
1.นติ ิกรรม 3.โมฆะ
1.1 นิยามของนิติกรรม 3.1 นิยามของโมฆะกรรม
1.2 วตั ถปุ ระสงค์ของนิติกรรม 3.2 ลักษณะทัวไปของโมฆะกรรม
1.3 ประเภทของนิติกรรม 3.3 เหตแุ หง่ โมฆะกรรม
1.4 นิติกรรมทีมวี ตั ถปุ ระสงค์เปนการพน้ วสิ ยั 3.4 ผลของโมฆะกรรม
1.5 องค์ประกอบของนิติกรรม 3.5 โมฆะกรรมอาจแยกสว่ นทีไมเ่ ปนโมฆะ
1.6 การกระทํานิติกรรมโดยบุคคลผหู้ ยอ่ น
ออกได้
ความสามารถ 3.6 โมฆะกรรมอาจสมบูรณ์เปนนิติกรรม
1.7 นิยามของนิติเหตุ
1.8 ประเภทของนิติเหตุ อยา่ งอืน
3.7 การคืนทรพั ยส์ นิ อันเกิดจากโมฆกรรม
หน้า 8-15 หน้า 20-25
2.การควบคมุ 4.โมฆยี ะ
การแสดงเจตนา
4.1 นิยามของโมฆยี ะกรรม
2.1 ความหมายของการแสดงเจตนา 4.2 ลักษณะทัวไปของโมฆยี ะกรรม
2.2 ผลสมบูรณ์ของการแสดงเจตนา 4.3 เหตแุ หง่ โมฆยี ะกรรม
2.3 การแสดงเจตนาทีตรงกับเจตนา 4.4 ผลของโมฆยี ะกรรม
4.5 การบอกล้างโมฆยี ะกรรม
ทีแท้จรงิ 4.6 ผมู้ สี ทิ ธบิ อกล้างโมฆยี ะกรรม
2.4 การแสดงเจตนาโดยวปิ รติ 4.7 ผลของการบอกล้างโมฆยี ะกรรม
4.8 โมฆยี ะกรรมอาจใหส้ ตั ยาบนั ได้
4.9 ผมู้ สี ทิ ธใิ หส้ ตั ยาบนั
4.10 ผลของการใหส้ ตั ยาบนั
ส า ร บั ญ
หน้า 26-32 หน้า 37-44
5.เงือนไข
7.ระยะเวลา
5.1 ความหมายของเงือนไข
5.2 ลักษณะของเงือนไข 7.1 ความหมายของระยะเวลา
5.3 ประเภทของเงือนไข 7.2 วธิ กี ารนับระยะเวลา
5.4 เงือนไขแหง่ นิติกรรมทีไมส่ มบูรณ์ 7.3 การคํานวณระยะเวลา
5.5 ผลของนิติกรรมทีมเี งือนไข 7.4 การเรมิ ต้นนับและการสนิ สดุ ของ
หน้า 33-36 ระยะเวลา
6.เงือนเวลา 7.5 การขยายระยะเวลา
6.1 ความหมายของเงือนเวลา หน้า 45-55
6.2 ลักษณะของเงือนเวลา
6.3 ประเภทของเงือนเวลา 8.อายุความ
6.4 การสละประโยชน์แหง่ เงือนเวลา
6.5 กรณีทีหา้ มไมใ่ หล้ กู หนีถือเอาประโยชน์ 8.1 ความหมายของอายุความ
8.2 ประเภทของอายุความ
จากเงือนเวลาได้ 8.3 กําหนดอายุความ
8.4 การเรมิ นับอายุความ
8.5 อายุความสะดดุ หยุดลง
8.6 การขยาย ยน่ หรอื งดใชอ้ ายุความ
8.7 ผลของการทีสทิ ธเิ รยี กรอ้ งขาด
อายุความ
8.8 การสละประโยชน์แหง่ อายุความ
นิติกรรม
หมายถึง
การกระทาํ ของบุคคลโดยชอบด้วยกฎหมาย และด้วย
ใจสมัคร มุ่งในการผูกนิติสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
เพือจะก่อให้เกิดความเคลือนไหวในสิทธิ
(ก่อ เปลียนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึงสิทธิ)
วัตถุประสงค์ของนิติกรรม
คือ ประโยชน์สุดท้ายทีผู้แสดงเจตนาทาํ
นิติกรรมมุ่งให้เกิดขึน
1
ประเภทของนิติกรรม
1. นิติกรรมฝายเดียวกับนิติกรรมหลายฝาย
พิจารณาจากผู้ทาํ นิติกรรม
1.1 นิติกรรมฝายเดียว ได้แก่ พินัยกรรม (มาตรา 1646)
คาํ มันจะให้รางวัล (มาตรา 362) การบอกล้างโมฆียะกรรม
(มาตรา 175, 176) เปนต้น
1.2 นิติกรรมหลายฝาย เกิดขึนโดยการแสดงเจตนาของ
บุคคลตังแต่สองฝายขึนไป แต่ละฝายจะเปนบุคคลเดียวหรือ
หลายคนรวมกันก็ได้ ได้แก่ สัญญา
2. นิติกรรมทีมีผลระหว่างผู้ทาํ มีชีวิตกับนิติกรรมทีมี
ผลเมือผู้ทาํ ตายแล้ว
พิจารณาว่านิติกรรมมีผลเมือใด
2.1 นิติกรรมทีมีผลระหว่างผู้ทําชีวิตอยู่ คือ นิติกรรมทีผู้ทาํ
แสดงเจตนาจะให้เกิดผลระหว่างตนมีชีวิตอยู่ ได้แก่ การทํา
สัญญาต่าง ๆ การปลดหนี เปนต้น
2.2 นิติกรรมทีมีผลเมือผู้ทาํ ตายแล้ว คือ นิติกรรมนันจะมี
ผลบังคับตามกฎหมายเมือผู้ทําถึงแก่ความตาย ได้แก่
พินัยกรรม เปนต้น
3. นิติกรรมทีมีเงือนไขเงือนเวลากับนิติกรรมที
ไม่มีเงือนไขเงือนเวลา
พิจารณาถึงความเปนผลของนิติกรรมและการบังคับตาม
พินัยกรรม
3.1 นิติกรรมทีมีเงือนไข จะยังไม่เปนผลหรือสินผลจนกว่า
เงือนไขนันจะสาํ เร็จ
3.2 นิติกรรมทีมีเงือนเวลา ไม่อาจบังคับได้ก่อนถึงเวลาที
กาํ หนดไว้
2
ประเภทของนิติกรรม
(ต่อ)
4. นิติกรรมทีสมบูรณ์โดยการแสดงเจตนากับนิติกรรม
ทีต้องทําตามแบบ
พิจารณาถึงความสมบูรณ์ในการทํานิติกรรมตาม
หลักทัวไป
4.1 นิติกรรมทีสมบูรณ์โดยการแสดงเจตนา ได้แก่
จ้างแรงงาน (มาตรา 575) จ้างทาํ ของ (มาตรา 587) ยืมใช้
คงรูป (มาตรา 640) เปนต้น
4.2 นิติกรรมทีต้องทําตามแบบ หากมิทาํ ให้ถูกต้องตามแบบ
ทีกฎหมายบังคับไว้จะตกเปนโมฆะ มี 4 แบบ คือ
4.2.1 ทาํ เปนหนังสือและจดทะเบียนต่อหน้าเจ้าหน้าที
ได้แก่ สัญญาซือขายอสังหาริมทรัพย์ หรืออสังหาริมทรัพย์
พิเศษ (มาตรา 456 วรรคหนึง) ฝากขาย (มาตรา 491)
สัญญาให้ (มาตรา 525) เปนต้น
4.2.2 จดทะเบียนต่อหน้าเจ้าหน้าที ได้แก่ จดทะเบียน
สมรส (มาตรา 1458) จดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจาํ กัด (มาตรา
1078) เปนต้น
4.2.3 ทาํ เปนหนังสือต่อพนักงานเจ้าหน้าที ได้แก่
พินัยกรรมแบบเอกสารลับ (มาตรา 1660) เอกสารฝาย
การเมือง (มาตรา 1658) เปนต้น
4.2.4 ทาํ เปนหนังสือ คือ ต้องมีลายมือชือทังคู่ ได้แก่
สัญญาเช่าซือ (มาตรา 572) พินัยกรรม (มาตรา 1656,
1657) เปนต้น
4.2.5 แบบพิเศษ ได้แก่ ตัวเงิน
5. นิติกรรมทีมีค่าตอบแทนกับนิติกรรมทีไม่มีค่าตอบแทน
5.1 นิติกรรมทีมีค่าตอบแทน อาจให้ค่าตอบแทนเปน
ประโยชน์หรือทรัพย์สินหรือการชาํ ระหนีตอบแทน ได้แก่
ซือขาย (มาตรา 453) เช่าทรัพย์ (มาตรา 537) เปนต้น
5.2 นิติกรรมทีไม่มีค่าตอบแทน คือ นิติกรรมทีทําให้เปล่า
ได้แก่ พินัยกรรม (มาตรา 1648) ให้โดยเสน่หา (มาตรา
521) เปนต้น
3
นิติกรรมทีมีวัตถุประสงค์
เปนการพ้นวิสัย
1. ต้องเปนกรณีทีเปนไปไม่ได้เลย ไม่มีทางปฏิบัติได้เลย
2. เหตุพ้นวิสัยต้องมีอยู่ก่อนหรือขณะทีจะได้ทาํ นิติกรรม
3. ต้องเปนกรณีทีคู่สัญญาทําไม่ได้ แต่คนอืนทําได้
4. ต้องเปนกรณีทีคนทัวไปก็ปฏิบัติไม่ได้ มิใช่แค่คู่กรณี
5. ไม่อาจทาํ สัญญาให้รับผิดได้
องค์ประกอบของนิติกรรม
1. การกระทําของบุคคลโดยการแสดงเจตนา
1.1 การแสดงเจตนาโดยชัดแจ้ง
ทาํ ให้เข้าใจตรงกัน
1.2 การแสดงเจตนาโดยปริยาย
เปนไปตามหลักทีมันต้องเปน
1.3 การแสดงเจตนาโดยการนิง
แต่กฎหมายต้องรับรองว่าการแสดงเจตนานันเปนไปตามปกติ
ประเพณี
2. การกระทําโดยชอบด้วยกฎหมาย
2.1 การกระทาํ โดยชอบด้วยกฎหมาย คือ การกระทาํ ใด
ทีกฎหมายไม่ห้าม
2.2 การกระทาํ ทีไม่ชอบด้วยกฎหมาย ได้มีการบัญญัติ
ไว้ในมาตรา 150, 151, 152 และ 153 ซึงมีผลเปนโมฆะ
4
องค์ประกอบของนิติกรรม
(ต่อ)
3. การกระทาํ โดยมุ่งจะผูกนิติสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
3.1 การกระทาํ โดยมุ่งจะผูกนิติสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เพือจะ
ก่อ เปลียนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึงสิทธิ (และหน้าที)
3.2 การกระทาํ โดยไม่มุ่งจะผูกนิติสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
3.2.1 การแสดงเจตนาซ้อนเร้น (มาตรา 154) เปนการ
ซ่อนเร้นเจตนาอันแท้จริง หากคู่กรณีอีกฝายรู้ จะมีผลเปนโมฆะ
3.2.2 การแสดงเจตนาลวง (มาตรา 155 วรรคหนึง)
มีผลเปนโมฆะ
3.2.3 การแสดงเจตนาอําพรางหรือนิติกรรมอาํ พราง
(มาตรา 155 วรรคสอง) เปนการแสดงเจตนาทํานิติกรรมอัน
หนึงอาํ พรางนิติกรรมอีกอันหนึง มีผลเปนโมฆะ
4. การกระทาํ โดยความสมัครใจ
4.1 ปราศจากความสําคัญผิด (มาตรา 156, 157, 158,
167)
4.2 ปราศจากการถูกกลฉ้อฉล (มาตรา 159, 160, 161,
162, 163, 167)
4.3 ปราศจากการถูกข่มขู่ (มาตรา 164, 165, 166, 167)
5. การกระทาํ เพือก่อ เปลียนแปลง โอน สงวน
หรือระงับซึงสิทธิ
5.1 บุคคลสิทธิ (สิทธิ/หนีเหนือบุคคล) คือ สิทธิเรียกร้อง
อันมีต่อบุคคลผู้เปนคู่กรณีโดยเฉพาะ
5.2 ทรัพยสิทธิ (สิทธิเหนือทรัพย์สิน) คือ สิทธิทีจะบังคับ
เอาแก่ตัวทรัพย์สินทีมีอยู่แล้ว และมีการระบุเฉพาะเจาะจงว่า
เปนทรัพย์สินอันไหน
5
การกระทาํ นิตกิ รรมโดยบคุ คล
ผู้หย่อนความสามารถ
บุคคลผู้หย่อนความสามารถมี 3 ประเภท
1. ผู้เยาว์
ทํานิติกรรมได้ 2 ทาง คือ
1.1 ทาํ ด้วยตนเองโดยได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบ
ธรรม (มาตรา 21) มิฉะนันจะมีผลเปนโมฆียะ ยกเว้น
1.1.1 เพือให้ได้สิทธิ
1.1.2 เรืองเฉพาะตัว
1.1.3 สมแก่ฐานานุรูปและจําเปนในการดํารงชีวิต
1.1.4 ทาํ พินัยกรรม
1.2 ทําโดยผู้แทนโดยผู้แทนโดยชอบธรรมเปนผู้ทาํ แทน
2. คนไร้ความสามารถ
2.1 คนไร้ความสามารถ ทาํ นิติกรรมเองไม่ได้ ต้องได้รับ
ความยินยอมจากผู้อนุบาล มิฉะนันจะมีผลเปนโมฆียะ
2.2 คนวิกลจริต ทาํ นิติกรรมเองได้ ยกเว้นทําขณะจริตวิกล
2.2.1 หากอีกฝายรู้ว่าผู้ทาํ นิติกรรมเปนบุคคลวิกลจริต
ผลเปนโมฆียะ
2.2.2 หากอีกฝายไม่รู้ว่าผู้ทาํ นิติกรรมเปนบุคคลวิกลจริต
ผลเปนสมบูรณ์
3. คนเสมือนไร้ความสามารถ
ทาํ นิติกรรมเองได้ ยกเว้นกรณีตามมาตรา 34 ทีต้องได้รับ
ความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อน (กิจการ 11 ชนิด) มิฉะนันจะมี
ผลเปนโมฆียะ
6
นิติเหตุ
คือ
เหตุในกฎหมาย หรือเหตุการณ์ในกฎหมาย
ทังทีเกิดขึนตามธรรมชาติ หรือโดยการกระทาํ ของบุคคล
ทีมีผลให้เกิดสิทธิและหน้าทีระหว่างบุคคล
ประเภทของนิติเหตุ
1. นิติเหตุทีมิได้เกิดจากการกระทาํ ของบุคคล
คือ เหตุการณ์ตามธรรมชาติซึงมีกฎหมายรับรองไว้
เช่น การตายของบุคคลก่อให้เกิดสิทธิในทางมรดก
2. นิติเหตุทีเกิดจากการกระทาํ ของบุคคล
2.1 การกระทาํ มุ่งประสงค์จะให้เกิดผลในทางกฎหมาย
ผูกพันกัน ได้แก่ นิติกรรม และสัญญา
2.2 การกระทําทีไม่มุ่งประสงค์จะให้เกิดผลในทางกฎหมาย
แต่มีผลให้เกิดสิทธิและหน้าทีผูกพันกันตามกฎหมาย ได้แก่
ละเมิด (มาตรา 420) ลาภมิควรได้ (มาตรา 406) เปนต้น
7
การควบคมุ
การแสดง
เจตนา
8
ความหมาย
ของการแสดงเจตนา
1. การแสดงเจตนา หมายถึง
การเผยเจตนาของบุคคลทีมุง่ ต่อผลในกฎหมาย สว่ นจะมผี ล
เปนนติ ิกรรมหรอื ไม่ ขนึ อยูก่ ับวา่ เขา้ องค์ประกอบอืนๆ ของ
นติ ิกรรมดว้ ยหรอื ไม่
การแสดงเจตนาแบง่ ออกเปน 3 วธิ กี าร
1.โดยชดั แจง้ 2.โดยปรยิ าย
เปนการแสดงดว้ ยกิรยิ าอาการ ท่าทาง เปนการกระทําทีไมไ่ ดแ้ สดงเจตนา
วาจาหรอื ทําเปนลายลักษณอ์ ักษร ที โดยตรง แต่พฤติการณท์ ีบุคคลนนั
ปรากฏอยา่ งชดั แจง้ วา่ ประสงค์จะทํา กระทําไปเปนทีคาดหมายไดว้ า่ ผกู้ ระทํา
นติ ิกรรมนนั โดยตรง เชน่ พยกั หนา้ สนั มเี จตนาอยา่ งไร เชน่ ลกู หนนี าํ เงินไป
หวั ตบมอื หรอื “ตกลงค่ะ/ครบั ” ผอ่ นชาํ ระบางสว่ นแก่เจา้ หนี แสดงวา่
“รบั ทราบค่ะ/ครบั ” เปนต้น ลกู หนยี อมรบั สภาพหนที ีตนเปนหนี
3.โดยการนงิ
หรอื การละเวน้ การกระทําทีกฎหมาย
ยอมรบั วา่ เปนการแสดงเจตนา เชน่
แดงเสนอขายรถใหก้ ับขาว ขาวไมไ่ ดโ้ ต้
แยง้ หรอื ปฏิเสธแดงแต่อยา่ งใด
ใหถ้ ือวา่ ขาวตกลงซอื
9
ผลสมบูรณ์
ของการแสดงเจตนา
1 . ก า ร แ ส ด ง เ จ ต น า ทํา นิ ติ ก ร ร ม ฝ า ย เ ดี ย ว ที ไ ม่ ต้ อ ง มี ผู้ รั บ ก า ร แ ส ด ง เ จ ต น า
เชน่ การทําพนิ ยั กรรม เมอื ทําถกู ต้องตามกฎหมายแล้ว ยอ่ มมผี ลทันทีทีผทู้ ํานติ ิกรรมถึงแก่ความตาย
2 . ก า ร แ ส ด ง เ จ ต น า ทํา นิ ติ ก ร ร ม ฝ า ย เ ดี ย ว ที ต้ อ ง มี ผู้ รั บ ก า ร แ ส ด ง เ จ ต น า
พจิ ารณาได้ 2 กรณี
2 . 1 ก า ร แ ส ด ง เ จ ต น า ต่ อ 2 . 2 ก า ร แ ส ด ง เ จ ต น า ต่ อ บุ ค ค ล ซึ ง
บุ ค ค ล ซึ ง อ ยู่ เ ฉ พ า ะ ห น้ า มิ ไ ด้ อ ยู่ เ ฉ พ า ะ ห น้ า
การแสดงเจตนาจะมผี ลทันที เมอื การแสดงเจตนามผี ลเมอื การแสดงเจตนา
ผรู้ บั การแสดงเจตนาไดท้ ราบและ นนั ไปถึง ผรู้ บั การแสดงเจตนา แต่ถ้ามี
เขา้ ใจการแสดงเจตนา ณ เวลานนั การบอกถอนการแสดงเจตนาก่อนหรอื
โดยไมค่ ํานงึ ถึงระยะทางวา่ อยูใ่ กล้ พรอ้ มกับทีการแสดงเจตนานนั ไปถึง การ
หรอื ไกล (มาตรา 168) เชน่ คยุ กันต่อ แสดงเจตนานนั ตกเปนอันไรผ้ ล
หนา้ คยุ โทรศัพท์ Skype Line (มาตรา 169 วรรคหนงึ )
เปนต้น
ตั ว อ ย่ า ง
ข้ อ ย ก เ ว้น แดงสง่ จดหมายบอกเลิกสญั ญาเชา่ ดาํ ซงึ
หาก B รอู้ ยูแ่ ล้ววา่ A เสยี ชวี ติ แต่ยงั สง่ จดหมาย อยูต่ ่างจงั หวดั เมอื จดหมายไดไ้ ปถึงบา้ น
คําสนองซอื รถยนต์กลับมา ดงั นี กฎหมายถือวา่ ของดาํ ถือวา่ การแสดงเจตนาบอกเลิก
B กระทําโดยไมส่ จุ รติ คําเสนอของ A จงึ ไมม่ ผี ล สญั ญาเชา่ มผี ลสมบูรณแ์ ล้ว แมว้ า่ ดาํ จะยงั
ทําใหไ้ มเ่ กิดสญั ญา (มาตรา 360) ไมไ่ ดเ้ ปดอ่านจดหมายก็ตาม เมอื ไดแ้ สดง
เจตนาออกไปแล้ว การแสดงเจตนานนั
ยอ่ มไมเ่ สอื มเสยี ไป
(มาตรา 169 วรรคสอง)
ตั ว อ ย่ า ง
A แสดงเจตนาโดยสง่ จดหมายเสนอขาย
รถยนต์ไปยงั B ภายหลังปรากฏวา่ A เสยี
ชวี ติ แต่ B ไมร่ วู้ า่ A เสยี ชวี ติ แล้ว จงึ ทําให้
คําเสนอขายรถยนต์ยงั มผี ล B สง่ จดหมาย
แสดงคําสนองซอื รถยนต์กลับมา จงึ เกิด
สญั ญาซอื ขาย ดงั นนั ทายาทของ A ต้อง
ทําหนา้ ทีขายรถยนต์ใหก้ ับ B
10
การแสดงเจตนา
ทีตรงกบั เจตนาทีแท้จรงิ
1.การแสดงเจตนาซอ่ นเรน้ (มาตรา 154)
การแสดงเจตนาไมเ่ ปนโมฆะ แมใ้ นใจจรงิ ของผแู้ สดงเจตนาจะ
มไิ ดเ้ จตนาใหต้ นต้องผกู พนั ตามทีไดแ้ สดงออกมาก็ตาม แต่ถ้า
หากค่กู รณอี ีกฝายหนงึ ไดร้ ถู้ ึงเจตนาอันซอ่ นอยูใ่ นใจในขณะทีผู้
แสดงเจตนาไดแ้ สดงออกมา การแสดงเจตนานนั จะตกเปน
โมฆะ
ตั ว อ ย่ า ง
A ต้องการจะขอยมื แหวนเพชรจาก B แต่ A กลัววา่ B จะไมใ่ หย้ มื
A จงึ บอก B วา่ จะซอื แหวนเพชร
ถ้า B รูเ้ จตนาภายในใจของ A แค่จะยมื = โมฆะ
ถ้า B ไมร่ ูเ้ จตนาซอ่ นเรน้ = นติ ิกรรมสมบูรณ์
2.เจตนาลวง (มาตรา 155 วรรคหนงึ )
การแสดงเจตนาลวงตกเปนโมฆะ ไมผ่ กู พนั ค่กู รณที ังสองฝาย
แต่จะยกเอาความเปนโมฆะนนั ขนึ ต่อสบู้ ุคคลภายนอกผกู้ ระทํา
การโดยสจุ รติ และต้องเสยี หายจากการแสดงเจตนานนั ไมไ่ ด้
ตั ว อ ย่ า ง
ก สมรกู้ ับ ข โดย ก แกล้งทําสญั ญาซอื ขายบา้ นกับ ข ก แกล้งขาย สว่ น ข
แกล้งซอื ต่อมา ข ขายบา้ นทีแกล้งซอื มาจาก ก ให้ ค (บุคคลภายนอก) ซงึ
ค ไมร่ กู้ ารลวงระหวา่ ง ก และ ข ค ไดท้ ําการซอื ดงั นนั ภายหลัง ข จะมา
ทวงคืนบา้ นจาก ค ไมไ่ ด้ เพราะ ค ทําไปโดยสจุ รติ และไมค่ วรเสยี หายจาก
เจตนาลวงของ ก และ ข
3.นติ ิกรรมอําพราง (มาตรา 155 วรรคสอง)
เปนเรอื งทีค่กู รณไี ดแ้ สดงเจตนาทํานติ ิกรรมขนึ มา 2 นติ ิกรรม
1.นติ ิกรรมทีเกิดจากเจตนาลวง ทําขนึ ดว้ ยเจตนาทีไมแ่ ท้จรงิ
แต่ทําขนึ โดยเปดเผย
2.นติ ิกรรมทีเกิดจากเจตนาทีแท้จรงิ แต่ถกู ปกปดไว้
ตั ว อ ย่ า ง
ไก่เปนคนกลัวภรรยา ภรรยาบอกหา้ มรบั จาํ นองบา้ น ต้องซอื ขาย เท่านนั
แต่ดว้ ยความทีไก่เปนคนขสี งสาร จงึ สมรกู้ ับเปด ทํานติ ิกรรมซอื ขายบา้ น
โดยทําตามแบบทีกฎหมายบงั คับไว้ (อําพราง = โมฆะ) และแอบทํา
นติ ิกรรมจาํ นองบา้ นกับเปดโดยไมไ่ ดจ้ ดทะเบยี นตามแบบ (ถกู อําพราง)
เนอื งจาก การจาํ นองต้องทําตามแบบ แต่ไก่ไมไ่ ดท้ ําตามแบบ ผลจงึ ตก
เปนโมฆะเชน่ กัน
11
การแสดงเจตนา
โดยวปิ รติ
1.การแสดงเจตนาโดยสาํ คญั ผดิ
1.1 สาํ คัญผดิ ในสาระสาํ คัญของนติ ิกรรม (มาตรา 156) การแสดง
เจตนาดว้ ยความเขา้ ใจผดิ วา่ เปนอยา่ งหนงึ แต่ความจรงิ เปนอีกอยา่ ง
หนงึ ซงึ หากไมเ่ ขา้ ใจผดิ ดงั กล่าว นติ ิกรรมก็จะไมเ่ กิดขนึ
ความสาํ คัญผดิ ในสงิ ซงึ เปนสาระสาํ คัญแห่งนติ ิกรรม 3 กรณี
1. สาํ คัญผดิ ในลักษณะของนติ ิกรรม : เปนเรอื งทีผแู้ สดงเจตนาตังใจจะ
ทํานติ ิกรรมอยา่ งหนงึ แต่เมอื แสดงเจตนาออกมากลายเปนวา่ ไดแ้ สดง
เจตนาทํานติ ิกรรมอีกอยา่ งหนงึ ซงึ ไมใ่ ชท่ ีตังใจจะทํา
2.สาํ คัญผดิ ในตัวบุคคลซงึ เปนค่กู รณแี หง่ นติ ิกรรม : เปนเรอื งทีผแู้ สดง
เจตนาตังใจจะแสดงเจตนาทํานติ ิกรรมกับบุคคลหนงึ โดยเฉพาะเจาะจง
แต่กลายเปนวา่ ไดแ้ สดงเจตนาทํานติ ิกรรมกับบุคคลอีกคนหนงึ
3.สาํ คัญผดิ ในทรพั ยส์ นิ ซงึ เปนวตั ถแุ หง่ นติ ิกรรม : เปนการแสดงเจตนา
ทํานติ ิกรรมทีมวี ตั ถเุ ปนทรพั ยส์ นิ อยา่ งใดอยา่ งหนงึ โดยเขา้ ใจผดิ คิดวา่
เปนทรพั ยส์ นิ ทีต้องการ นติ ิกรรมทีทําขนึ นนั ยอ่ มตกเปนโมฆะ
1.2 สาํ คัญผดิ ในคณุ สมบตั ิของบุคคลหรอื ทรพั ยส์ นิ (มาตรา 157)
การทีบุคคลตกลงใจทํานติ ิกรรมนนั เนอื งจากเขา้ ใจผดิ หรอื สาํ คัญผดิ
ไปวา่ บุคคลนนั หรอื ทรพั ยส์ นิ นนั มคี ณุ สมบตั ิดงั กล่าว หากเขาไมเ่ ขา้ ใจ
ผดิ หรอื สาํ คัญผดิ เชน่ นนั การอันเปนโมฆยี ะนนั คงมไิ ดก้ ระทําขนึ ดงั นนั
ความสาํ คัญผดิ ตามมาตรา 156 หรอื 157 นนั เกิดจากความประมาทของ
บุคคลผแู้ สดงเจตนา บุคคลนนั จะถือเอาความสาํ คัญผดิ นนั มาใชเ้ ปน
ประโยชนใ์ หก้ ับตัวเองไมไ่ ด้ (มาตรา 158)
12
การแสดงเจตนา
โดยวปิ รติ
2.การแสดงเจตนาโดยถูกกลฉ้อฉล
2.1 กลฉ้อฉลทีกระทําโดยคู่กรณีอีกฝายหนึง(มาตรา 159)
เปนการทีค่กู รณฝี ายหนงึ กระทําการหลอกลวงใหอ้ ีกฝายหนงึ เขา้ ใจผดิ เพอื ให้
แสดงเจตนาทํานติ ิกรรม นติ ิกรรมทีเกิดขนึ นนั จะตกเปนโมฆยี ะ
การหลอกลวงเพอื ใหท้ ํานติ ิกรรมนนั ต้องถึงขนาด เพราะถ้ามไิ ดม้ กี ารหลอกลวง
ดงั กล่าว นติ ิกรรมนนั คงมไิ ดเ้ กิดขนึ แต่ถ้าหากกรณที ีมกี ารหลอกลวงแล้ว ค่กู รณี
ก็ไดร้ เู้ ท่าทันถึงการหลอกลวงแล้วก็ยงั คงทํานติ ิกรรมนนั อยู่ ใหถ้ ือวา่ ไมต่ กเปน
โมฆยี ะ
กลฉอ้ ฉลทีกระทําโดยบุคคลภายนอก (มาตรา 159 วรรคสาม)
บุคคลภายนอกซงึ มใิ ชค่ ่กู รณขี องนติ ิกรรมไดม้ ากระทําการหลอกลวงบุคคลซงึ
เปนค่กู รณอี ีกฝายหนงึ จนทําใหห้ ลงเชอื แล้วไดแ้ สดงเจตนาทํานติ ิกรรมกับบุคคล
อีกฝายหนงึ
ตั ว อ ย่ า ง
ก ผขู้ ายทีดนิ ให้ ข ซงึ เปนบุคคลทีสามเปนนายหนา้
แล้วไปหลอก ค (ผซู้ อื ) วา่ ทีดนิ นสี รา้ งโรงงานได้
ค เชอื ตามที ข หลอก เลยซอื
หาก ก ร/ู้ ควรรู้ ถึงกลฉ้อฉลนนั = โมฆยี ะ
แต่ถ้า ก ไมร่ ู้ = สมบูรณ์ + อ้าง (มาตรา 157) ได้
2.2 คุ้มครองบุคคลภายนอกเมือมีการบอกล้างโมฆียะกรรม
เพราะถูกกลฉ้อฉล(มาตรา 160)
เปนการค้มุ ครองบุคคลภายนอกผทู้ ําการโดยสจุ รติ มใิ หต้ ้องเสยี หายจากการ
บอกล้างดงั กล่าว
2.3 กลฉ้อฉลเพือเหตุ (มาตรา 161)
การหลอกลวงนนั มไิ ดถ้ ึงขนาดเปนเพยี งแค่เหตจุ ูงใจ กล่าวคือ แมจ้ ะไมม่ กี าร
หลอกลวง ค่กู รณกี ็ยงั คงแสดงเจตนาทํานติ ิกรรมอยู่ โดยค่กู รณฝี ายนนั จะบอก
ล้างไมไ่ ดแ้ ต่เรยี กค่าสนิ ไหมทดแทนได้
13
การแสดงเจตนา
โดยวปิ รติ
2.การแสดงเจตนาโดยถูกกลฉ้อฉล
2.4 กลฉ้อฉลโดยนิง (มาตรา 162)
มี 3 องค์ประกอบ
1. ค่กู รณที ํากลฉ้อฉลโดยการนงิ ซงึ มหี นา้ ทีต้องแจง้ ขอ้ ความจรงิ หรอื
คณุ สมบตั ิใหค้ ่กู รณอี ีกฝายรู้ แต่จงใจนงิ เสยี การนนั ตกเปนโมฆยี ะ
2. ผแู้ สดงเจตนาหลงผดิ และแสดงเจตนาทํานติ ิกรรมเพราะถกู กลฉ้อฉลนนั
3. กลฉ้อฉลนนั ถึงขนาด ถ้ามไิ ดน้ งิ เสยี ก็ไมเ่ กิดนติ ิกรรม
ตั ว อ ย่ า ง
การทําประกันชวี ติ
ดาํ ไมแ่ จง้ ความจรงิ กับบรษิ ัทผรู้ บั ประกันชวี ติ วา่
ตนเปนโรคมะเรง็ ทีไมม่ วี นั รกั ษาหายได้ ทําใหบ้ รษิ ัท
หลงเชอื คิดวา่ ดาํ มสี ขุ ภาพดี สญั ญาประกันชวี ติ ตก
เปนโมฆยี ะ
2.5 กลฉ้อฉลทีทําด้วยกันทังสองฝาย (มาตรา 163)
ค่กู รณที ังสองฝายไดก้ ระทําการหลอกลวงซงึ กันและกัน จนทําใหอ้ ีกฝายหลงเชอื
ถึงการหลอกลวงของอีกฝายอันเปนเหตใุ หท้ ํานติ ิกรรมขนึ
ผลทางกฎหมาย คือ ค่กู รณที ังสองฝายจะบอกล้างนติ ิกรรมนนั ไมไ่ ด้
และไมส่ ามารถเรยี กค่าสนิ ไหมทดแทนจากอีกฝายได้
14
การแสดงเจตนา
โดยวปิ รติ
3. การแสดงเจตนาโดยการขม่ ขู่
การขม่ ขู่ หมายถึง การใชอ้ ํานาจบงั คับจติ ใจของบุคคล เพอื ใหเ้ ขาเกิดความ
กลัวแล้วแสดงเจตนาทํานติ ิกรรมออกมาตามทีผขู้ ม่ ขูต่ ้องการ เปนเหตใุ ห้
นติ ิกรรมเปนโมฆยี ะ
3.1 การขม่ ขูโ่ ดยคกู่ รณอี กี ฝายหนงึ (มาตรา 164)
มี 6 องค์ประกอบ
1. การขม่ ขูน่ นั ต้องเกิดขนึ โดย
1.1 ค่กู รณอี ีกฝายหนงึ
1.2 บุคคลภายนอก (มาตรา 166)
1.3 ค่กู รณอี ีกฝายหนงึ รว่ มกับ บุคคลภายนอก
2. ผขู้ ม่ ขูจ่ ะต้องมเี จตนาขม่ ขู่ ผทู้ ีแสดงเจตนาทํานติ ิกรรม
(ผแู้ สดงเจตนาทํานติ ิกรรมเกิดความกลัว)
3. ผถู้ กู ขม่ ขูต่ ้องมมี ูลต้องกลัวกับสงิ ทีจะเกิดจากการขม่ ขู่ โดยพจิ ารณาจาก
เพศ ฐานะ อายุ สขุ ภาพอนามยั ภาวะแหง่ จติ พฤติการณ์ สภาพแวดล้อม (มาตรา 167)
4. ภัยทีขม่ ขูจ่ ะต้องเปนภัยทีใกล้จะถึง
ตัวอยา่ ง A บงั คับให้ B เซน็ สญั ญา โดยในขณะนนั A กําลังเอาปนจอ่ หวั B อยู่
5. ต้องเปนภัยทีรา้ ยแรงถึงขนาดจูงใจใหผ้ ถู้ กู ขม่ ขูต่ ้องกลัว
6. ถ้าไมม่ กี ารขม่ ขูเ่ ชน่ วา่ นนั จะไมม่ กี ารแสดงเจตนาทํานติ ิกรรมขนึ
3.2 ขอ้ ยกเวน้ (มาตรา 165)
ขูว่ า่ จะใชส้ ทิ ธติ ามปกตินยิ ม ไมถ่ ือเปนการขม่ ขู่ เพราะ เปนการใชส้ ทิ ธซิ งึ ตนมอี ยูอ่ ยา่ งทีปกติ
คนทัวไปเขาใชก้ ัน (มาตรา 165 วรรคหนงึ )
ตัวอยา่ ง การใชส้ ทิ ธเิ รยี กรอ้ งใหล้ กู หนใี ชห้ นตี น
กระทําไปเพราะนบั ถือยาํ เกรง เปนการกระทําไปเพราะความเคารพระหวา่ งผนู้ อ้ ยกับผใู้ หญ่
เชน่ บุตรกับบดิ ามารดา ศิษยก์ ับอาจารย์ ผใู้ ต้บงั คับบญั ชากับผบู้ งั คับบญั ชา เปนต้น
ตัวอยา่ ง พอ่ แมข่ อใหล้ กู นาํ ทองไปขายเพอื นาํ เงินมาจุนเจอื ครอบครวั
ลกู เกรงใจจงึ นาํ ไปขาย = นติ ิกรรมสมบูรณ์
3.3 การขม่ ขูโ่ ดยบุคคลภายนอก (มาตรา 166)
บุคคลภายนอกซงึ มใิ ชค่ ่กู รณขี องนติ ิกรรม ไดก้ ระทําการไมว่ า่ โดยวธิ ใี ดเปนเหตใุ หค้ ่กู รณี
ฝายหนงึ ซงึ ถกู ขม่ ขูน่ นั เกิดความกลัว ซงึ ถ้าไมม่ กี ารขูเ่ ชน่ นนั นติ ิกรรมคงไมเ่ กิดขนึ
15
โมฆะกรรม
คือ
การกระทําทีเสียเปล่าไม่เกิดผลอย่างใดในกฎหมาย
และไม่อาจให้สัตยาบันให้สมบูรณ์ได้
ลักษณะทัวไปของโมฆะกรรม
การกระทํานันต้องมีกฎหมายบัญญัติไว้
หรือต้องด้วยเหตุทีกฎหมายบัญญัติไว้
มิฉะนันก็อาจเปนนิติกรรมทีไม่มีผลตามกฎหมาย
ไม่ใช่โมฆะกรรม
16
เหตุแห่งโมฆะกรรม
1. วัตถุประสงค์ (มาตรา 150, 151)
2. แบบของนิติกรรม (มาตรา 152)
3. ความสามารถของบุคคล
4. การแสดงเจตนาในการทาํ นิติกรรม (มาตรา 154,
155, 156)
5. เงือนไขของนิติกรรม (มาตรา 187 วรรคหนึง,
187 วรรคสอง, 188, 189 วรรคหนึง, 190)
6. กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ
ผลของโมฆะกรรม
1. ไม่อาจให้สัตยาบันได้ (มาตรา 172 วรรคหนึง)
2. การกล่าวอ้างความเสียเปล่าแห่งโมฆะกรรม
ผู้มีส่วนได้เสียคนหนึงคนใดจะกล่าวอ้างก็ได้ (มาตรา 172
วรรคสอง)
3. อาจแยกส่วนทีไม่เปนโมฆะออกได้ (มาตรา 173)
4. อาจสมบูรณ์เปนนิติกรรมอย่างอืน (มาตรา 174)
5. ไม่มีบททัวไปคุ้มครองบุคคลภายนอก
6. การคืนทรัพย์สินอันเกิดจากโมฆะกรรม (มาตรา
172 วรรคสอง)
17
โมฆะกรรมอาจแยกส่วนที
ไม่เปนโมฆะออกได้
(มาตรา 173)
โดยหลักนิติกรรมทีเปนโมฆะ จะโมฆะทังหมด
แต่มีข้อยกเว้น คือ สันนิษฐานได้จากพฤติการณ์แห่งกรณี
ว่า คู่กรณีนันประสงค์จะให้ส่วนทีไม่เปนโมฆะแยกออกจาก
ส่วนทีเปนโมฆะหรือไม่ ถ้าไม่อาจสันนิษฐานได้ นิติกรรมก็
ย่อมเปนโมฆะทังหมด หากคู่กรณีตกลงกันล่วงหน้าโดย
ชัดแจ้งแล้วว่ามีเจตนาให้แยกส่วน สามารถใช้ข้อตกลง
ของคู่กรณีนันได้เลย
โมฆะกรรมอาจสมบูรณ์เปน
นิติกรรมอย่างอืน
ใช้ได้เฉพาะนิติกรรมทีไม่ถูกต้องตามแบบทีกฎหมาย
กาํ หนดไว้ เพราะแบบของนิติกรรมเปนเพียงพิธีการเพือ
ความสมบูรณ์ของนิติกรรม จึงไม่กระทบความสมบูรณ์
ของการแสดงเจตนา และต้องเปนกรณีทีผู้แสดงเจตนา
ไม่รู้ว่าตนนันทาํ ไม่ถูกต้องตามแบบทีกฎหมายกาํ หนดไว้
แต่ถ้าไม่เข้าลักษณะเปนนิติกรรมอย่างอืน ก็ย่อมเปนโมฆะ
หากเปนเหตุผลอืนนัน เมือเสียเปล่าแล้วก็ไม่มีทางทีจะ
กลับมาสมบูรณ์เปนนิติกรรมอย่างอืนได้อีก
18
การคืนทรัพย์สินอันเกิด
จากโมฆะกรรม
(มาตรา 172)
การชาํ ระหนีหรือการปฏิบัติตามโมฆะกรรม
เปนการกระทําโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้
บุคคลผู้ได้ไปซึงทรัพย์สิงหนึงสิงใดอันเปนทางให้อีกฝาย
หนึงเสียเปรียบ จาํ ต้องคืนทรัพย์สินให้แก่เขาในฐานลาภ
อันมิควรได้ ตามมาตรา 406 – 419
ผู้รับทรัพย์สินคืนมีหน้าที 3 ประการ
1. เรียกร้องค่าใช้จ่ายทังหลายอันควรแก่การเพือรักษา
บาํ รุงหรือซ่อมแซมทรัพย์สินนันเต็มจาํ นวน (มาตรา 416)
2. เรียกให้ชดใช้ได้แต่เฉพาะทีเสียไประหว่างทีตนทาํ การ
โดยสุจริต เมือทรัพย์สินราคาเพิมสูงขึนจะเรียกได้เพียง
เท่าราคาทีเพิมขึนเท่านัน (มาตรา 417)
3. หากทรัพย์สินนันดัดแปลงต่อเติมต้องจัดทําให้คืนสภาพ
เดิม ยกเว้นเจ้าของแล้วแต่จะเลือก แต่ถ้าไม่สามารถคืน
คงสภาพได้ ต้องส่งตามสภาพทีเปนอยู่ และไม่มีสิทธิเรียก
ค่าสินไหมทดแทนเพือราคาทรัพย์ทีเพิมขึน (มาตรา 418)
19
โมฆียะกรรม
คือ
นิติกรรมทีสมบูรณ์ใช้ได้จนกว่าจะถูกบอกล้างโดย
ผู้มีสิทธิบอกล้างตามกฎหมาย
ลักษณะทัวไปของ
โมฆียะกรรม
1. ถ้าไม่มีการบอกล้าง หรือการให้สัตยาบันภายในเวลา
ทีกฎหมายกําหนด สิทธิการบอกล้างย่อมเปนอันระงับไป
2. ถ้ามีการบอกล้างภายในเวลาทีกฎหมายกาํ หนด
นิติกรรมย่อมตกเปนโมฆะมาแต่เริมแรก
3. ตราบใดทีโมฆียะกรรมยังไม่ถูกบอกล้าง นิติกรรม
นันก็ยังคงสมบูรณ์
20
เหตุแห่งโมฆียะกรรม
1. อาจเกิดความบกพร่องในความสามารถของผู้ทํา
นิติกรรม (มาตรา 153) ได้แก่ ผู้เยาว์ บุคคลวิกลจริต
เปนต้น
2. อาจเกิดความบกพร่องในการแสดงเจตนา ได้แก่
ถูกกลฉ้อฉล (มาตรา 159) หรือถูกข่มขู่ (มาตรา 164)
เปนต้น
3. กฎหมายบัญญัติไว้เปนพิเศษ
ผลของโมฆียะกรรม
1. อาจถูกบอกล้างได้ (มาตรา 175, 176, 178, 181)
2. อาจให้สัตยาบันได้ (มาตรา 177, 178, 179, 180)
3. มีบททัวไปคุ้มครองบุคคลภายนอก (มาตรา 177
ตอนท้าย และมาตรา 1329)
การบอกล้างโมฆียะกรรม
คือ การแสดงเจตนาทาํ ลายล้างนิติกรรมทีเปน
โมฆียะให้ตกเปนโมฆะ
การบอกล้างโมฆียะกรรมเปนนิติกรรมฝายเดียว
และเปนนิติกรรมระงับสิทธิ โดยผู้มีสิทธิตามกฎหมาย
นิติกรรมย่อมไม่มีผลผูกพันกันต่อไป
21
ผู้มีสิทธิบอกล้างโมฆียะกรรม
1. คู่กรณีซึงเปนผู้ทาํ นิติกรรมทีเปนโมฆียะนัน
2. ผู้คุ้มครองประโยชน์ของผู้แสดงเจตนาทีเปนผู้หย่อน
ความสามารถ
2.1 ผู้แทนโดยชอบธรรม หรือถ้าผู้เยาว์จะบอกล้างเอง
ต้องก่อนทีตนจะบรรลุนิติภาวะ และได้รับความยินยอม
จากผู้แทนโดยชอบธรรม
2.2 ผู้อนุบาล ผู้พิทักษ์
หรือถ้าคนเสมือนไร้ความสามารถจะบอกล้างเองก็ได้
ถ้าได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์
ส่วนคนไร้ความสามารถไม่สามารถบอกล้างเองได้แม้จะ
ได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลแล้วก็ตาม
และเมือคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความ
สามารถพ้นจากสภาพนันแล้วกลับมามีความสามารถ
สมบูรณ์ สามารถบอกล้างเองได้เลย
2.3 บุคคลผู้แสดงเจตนาเพราะสาํ คัญผิด หรือถูกกล
ฉ้อฉล หรือถูกข่มขู่
2.4 บุคคลวิกลจริต สามารถบอกล้างเองได้ในขณะที
จริตไม่วิกลหรือไม่วิกลจริต
3. ทายาทของผู้ทีแสดงเจตนาทํานิติกรรมทีเปนโมฆียะ
ถ้าบุคคลผู้ทํานิติกรรมอันเปนโมฆียะถึงแก่ความตายก่อนมี
การบอกล้างโมฆียะกรรม
22
ผลของการบอกล้าง
โมฆียะกรรม
- โมฆียะกรรมเมือบอกล้างแล้ว ให้ถือว่าเปนโมฆะมา
แต่เริมแรก และให้ผู้เปนคู่กรณีกลับคืนสู่ฐานะเดิม
- ถ้าเปนการพ้นวิสัยจะให้กลับคืนเช่นนันและได้รับค่า
เสียหายชดใช้ให้แทน
- ถ้าบุคคลใดได้รู้หรือควรจะได้รู้ว่าการใดเปนโมฆียะ
เมือบอกล้างแล้วให้ถือว่าบุคคลนันได้รู้ว่าการนันเปนโมฆะ
นับแต่วันทีได้รู้หรือควรได้รู้ว่าเปนโมฆียะ
โมฆียะกรรมอาจให้
สัตยาบันได้
คือ
การรับรองความสมบูรณ์ของโมฆียะกรรม แต่มิใช่เหตุที
ทําให้โมฆียะกรรมทีเปนนิติกรรมทีสมบูรณ์มาตังแต่แรก
เพียงแต่เปนการสละสิทธิทีจะบอกล้างเท่านัน
การให้สัตยาบัน เปนนิติกรรมระงับสิทธิทีจะบอกล้าง
โมฆียะกรรม
23
ผู้มีสิทธิให้สัตยาบัน
1. คู่กรณีซึงเปนผู้ทาํ นิติกรรมทีเปนโมฆียะนัน
2. ผู้คุ้มครองประโยชน์ของผู้แสดงเจตนาทีเปนผู้หย่อน
ความสามารถ
2.1 ผู้แทนโดยชอบธรรม หรือถ้าผู้เยาว์จะให้สัตยาบัน
เองต้องก่อนทีตนจะบรรลุนิติภาวะ และได้รับความยินยอม
จากผู้แทนโดยชอบธรรม
2.2 ผู้อนุบาล ผู้พิทักษ์
หรือถ้าคนเสมือนไร้ความสามารถจะให้สัตยาบันเองก็ได้
ถ้าได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์
ส่วนคนไร้ความสามารถไม่สามารถให้สัตยาบันเองได้
แม้จะได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลแล้วก็ตาม
และเมือคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความ
สามารถพ้นจากสภาพนันแล้วกลับมามีความสามารถ
สมบูรณ์ สามารถให้สัตยาบันเองได้เลย
2.3 บุคคลผู้แสดงเจตนาเพราะสาํ คัญผิด หรือถูกกล
ฉ้อฉล หรือถูกข่มขู่
2.4 บุคคลวิกลจริต สามารถให้สัตยาบันเองได้ในขณะ
ทีจริตไม่วิกลหรือไม่วิกลจริต
3. ทายาทของผู้ทีแสดงเจตนาทาํ นิติกรรมทีเปนโมฆียะ
ถ้าบุคคลผู้ทํานิติกรรมอันเปนโมฆียะถึงแก่ความตายก่อนมี
การให้สัตยาบัน
24
ผลของการให้สัตยาบัน
- เมือให้สัตยาบัน ย่อมมีผลเปนการรับรองความ
สมบูรณ์ของนิติกรรมโดยไม่มีสิทธิบอกล้างให้เปนโมฆะอีก
- แม้ผู้มีสิทธิบอกล้างมีหลายคน ถ้าคนใดคนหนึงได้ใช้
สิทธิให้สัตยาบันก่อนทีจะมีการบอกล้าง สิทธิการบอกล้าง
โมฆียะกรรมก็ระงับไปทังหมด
- ไม่กระทบกระเทือนสิทธิของบุคคลภายนอก เพราะ
บุคคลภายนอกมีสิทธิดีกว่า
- ผู้ทีไม่ได้สืบสิทธิจากผู้มีสิทธิให้สัตยาบันนัน แม้จะเปน
บุคคลภายนอกโดยแท้จริง ก็ไม่มีสิทธิต่อต้านการให้
สัตยาบัน หรืออ้างสิทธิไม่ถูกต้อง
(ผู้สืบสิทธิ หมายถึง ผู้รับโอนสิทธิซึงได้สิทธิมาโดยนิติกรรม)
25
เงอื นไข
เงือนเวลา
26
เงือนไข
มาตรา 182 บัญญัติ ว่า “ข้อความใดอั นบังคั บไว้ให้
นิติ กรรมเปนผลหรือสินผลต่ อเมือมีเหตุการณ์อั นไม่
แน่นอนว่าจะเกิดขึนหรือไม่ในอนาคต ข้อความนันเรียกว่า
เงื อนไข”
27
ลักษณะของ
เงอื นไข
1 เงือนไขต้องเปนเหตกุ ารณใ์ นอนาคตและไมแ่ นน่ อนวา่ จะเกิดขนึ
เหตกุ ารณใ์ นอนาคต ถ้าเปนเหตกุ ารณใ์ นอดตี จะไมถ่ ือวา่ เปนเงือนไข
ไมแ่ นน่ อนวา่ จะเกิดขนึ ถ้าแนน่ อนวา่ จะเกิดขนึ จะไมถ่ ือวา่ เปนเงือนไข
2 เงือนไขเปนขอ้ กําหนดเกียวกับความเปนผลหรอื สนิ ผลของนติ ิกรรม
เปนผล คือนติ ิกรรมทีเกิดขนึ
สนิ ผล คือนติ ิกรรมทีสนิ สดุ ลง
3 เงือนไขต้องเปนขอ้ กําหนดของบุคคล ไมใ่ ชข่ อ้ บงั คับของกฎหมาย
เงือนไข กําหนดโดยเจตนาของค่กู รณี ไมใ่ ชถ่ กู กําหนดโดยกฎหมาย
29
ประเภทของ
เงือนไข
1 เงือนไขบงั คับก่อน
ข้ อ กํา ห น ด ที ทํา ใ ห้นิ ติ ก ร ร ม เ ป น ผ ล ต่ อ เ มื อ
มี เ ห ตุ ก า ร ณ์ อั น ใ ด อั น ห นึ ง เ กิ ด ขึ น ( เ งื อ น ไ ข สาํ เ ร็จ )
ตั ว อ ย่ า ง แ ด ง จ ะ ซือ ห น้ า ก า ก อ น า มั ย ใ ห้ดาํ
ก็ ต่ อ เ มื อ ดาํ ม า ที บ้ า น ข อ ง แ ด ง ก่ อ น
2 เงือนไขบงั คับหลัง
ขอ้ กําหนดทีทําใหน้ ติ ิกรรมสนิ ผล
ต่อเมอื มเี หตกุ ารณอ์ ันใดอันหนงึ เกิดขนึ
ตั วอย่าง ก ทําสัญญาเช่าบ้าน ข ในกรุงเทพมหานคร โดยมี
เงือนไขบังคับหลังว่า ถ้า ก ถูกย้ายไปต่างจังหวัด ให้สัญญาเช่า
สินสุดลง ถ้าต่อมา ก ถูกย้ายไปต่างจังหวัด สัญญาเช่าบ้าน
ระหว่าง ก และ ข
จึ ง สิ น สุ ด ล ง
28
เงือนไขแห่งนติ กิ รรมที
ไมส่ มบูรณ์
1 เงือนไขทีสาํ เรจ็ แล้วในเวลาทํานติ ิกรรม (มาตรา187 วรรคหนงึ )
มาตรา187 บญั ญตั ิวา่ “ถ้าเงือนไขสาํ เรจ็ แล้วในเวลาทํานติ ิกรรม หากเปน
เงือนไขบงั คับก่อนใหถ้ ือวา่ นติ ิกรรมนนั ไมม่ เี งือนไข หากเปนเงือนไขบงั คับ
หลังใหถ้ ือวา่ นติ ิกรรมนนั เปนโมฆะ”
มาตรา187 วรรคแรก เงือนไขสาํ เรจ็ แล้วในเวลาทํานติ ิกรรม
ถ้าเปนเงือนไขบงั คับก่อน - นติ ิกรรมมผี ลสมบูรณ์
ถ้าเปนเงือนไขบงั คับหลัง - นติ ิกรรมเปนโมฆะ
2 เงือนไขทีไมอ่ าจสาํ เรจ็ ได้ในเวลาทํานติ ิกรรม (มาตรา187วรรคสอง)
1. ไมส่ ามารถปฏิบตั ิไดโ้ ดยแนแ่ ท้
2. ไมส่ ามารถปฏิบตั ิไดเ้ พราะมเี หตใุ ดเหตหุ นงึ
มาตรา187 วรรคสอง จงึ กําหนดไวว้ า่
หากเปนเงือนไขบงั คับก่อนใหถ้ ือวา่ นติ ิกรรมนนั เปนโมฆะ
หากเปนเงือนไขบงั คับหลังใหถ้ ือวา่ นติ ิกรรมนนั ไมม่ เี งือนไข
3 เงือนไขทีไมช่ อบด้วยกฎหมายและขดั ต่อความสงบเรยี บรอ้ ย
หรอื ศีลธรรมอันดีของประชาชน (มาตรา188)
มาตรา188บญั ญตั ิวา่ “นติ ิกรรมใดมเี งือนไขอันไมช่ อบดว้ ยกฎหมายหรอื ขดั
ต่อความสงบเรยี บรอ้ ยหรอื ศีลธรรมอันดขี องประชาชน
นติ ิกรรมนนั เปนโมฆะ”
30
4 เงือนไขทีพน้ วสิ ยั (มาตรา189)
พน้ วสิ ยั คือการไมส่ ามารถปฏิบตั ิได้
มาตรา 189 บญั ญตั ิวา่ “นติ ิกรรมใดมเี งือนไขบงั คับก่อนและเงือนไขนนั
เปนการพน้ วสิ ยั นติ ิกรรมนนั ตกเปนโมฆะ
นติ ิกรรมใดมเี งือนไขบงั คับหลังและเงือนไขนนั เปนการพน้ วสิ ยั ใหถ้ ือวา่
นติ ิกรรมนนั ไมม่ เี งือนไข”
5 เงือนไขซงึ จะสาํ เรจ็ ได้หรอื ไมส่ ดุ แล้วแต่ใจของลกู หนี (มาตรา190)
มาตรา 190 บญั ญตั ิวา่ “นติ ิกรรมใดมเี งือนไขบงั คับก่อนและเปนเงือนไขอัน
จะสาํ เรจ็ ไดห้ รอื ไมส่ ดุ แล้วแต่ใจของฝายลกู หนี นติ ิกรรมนนั เปนโมฆะ”
6 เงือนไขทีทําให้สาํ เรจ็ หรอื ไมส่ าํ เรจ็ โดยไมส่ จุ รติ (มาตรา186)
มาตรา 186 บญั ญตั ิวา่ “ถ้าความสาํ เรจ็ แหง่ เงือนไขจะเปนทางใหค้ ่กู รณี
ฝายใดเสยี เปรยี บ และค่กู รณฝี ายนนั กระทําการโดยไมส่ จุ รติ จนเปนเหตใุ ห้
เงือนไขนนั ไมส่ าํ เรจ็ ใหถ้ ือวา่ เงือนไขนนั สาํ เรจ็ แล้ว
ถ้าความสาํ เรจ็ แหง่ เงือนไขจะเปนทางใหค้ ่กู รณฝี ายใดไดเ้ ปรยี บและ
ค่กู รณฝี ายนนั กระทําการโดยไมส่ จุ รติ จนเปนเหตใุ หเ้ งือนไขนนั สาํ เรจ็ ใหถ้ ือวา่
เงือนไขนนั มไิ ดส้ าํ เรจ็ เลย”
มาตรา 186 เปนบทบญั ญตั ิลงโทษผทู้ ีกระทําการใหเ้ งือนไขสาํ เรจ็ หรอื
ไมส่ าํ เรจ็ โดยไมส่ จุ รติ
แต่ต้องตีความใหเ้ ปนคณุ แก่ผทู้ ีสจุ รติ ดว้ ย (หลักสจุ รติ ตามมาตรา 5)
31
ผลของนติ กิ รรมทมี ี
เงือนไข
1. ผลในระหวา่ งทีเงือนไขยงั ไมส่ าํ เรจ็
หากเงือนไขสาํ เรจ็ นติ ิกรรมยอ่ มเปนผลหรอื สนิ ผลไปตามทีไดแ้ สดง
เจตนากําหนดเงือนไขไวแ้ ล้วแต่วา่ เปนเงือนไขบงั คับก่อนหรอื เงือนไข
บงั คับหลัง
หากเงือนไขไมส่ าํ เรจ็ นติ ิกรรมก็ยงั ไมเ่ ปนผล สาํ หรบั เงือนไขบงั คับก่อน
และนติ ิกรรมยอ่ มไมส่ นิ ผล สาํ หรบั เงือนไขบงั คับหลัง
สาํ หรบั เงือนไขบงั คับก่อน หากเงือนไขไมส่ าํ เรจ็ นติ ิกรรมก็ไมเ่ ปนผล
หมายความวา่ นติ ิกรรมยงั ไมเ่ กิดขนึ จงึ ไมม่ คี วามเคลือนไหวแหง่ สทิ ธิ คู่
กรณกี ็ไมม่ สี ทิ ธหิ นา้ ทีผกู พนั กันแต่อยา่ งใด
2. ผลในเมอื เงือนไขสาํ เรจ็ แล้ว
มาตรา 183 บญั ญตั ิวา่ “นติ ิกรรมใดมเี งือนไขบงั คับก่อนนติ ิกรรมนนั
ยอ่ มเปนผลต่อเมอื เงือนไขนนั สาํ เรจ็ แล้ว
นติ ิกรรมใดมเี งือนไขบงั คับหลัง นติ ิกรรมนนั ยอ่ มสนิ ผลในเมอื เงือนไข
นนั สาํ เรจ็ แล้ว
ถ้าค่กู รณแี หง่ นติ ิกรรมไดแ้ สดงเจตนาไวด้ ว้ ยกันวา่ ความสาํ เรจ็ แหง่
เงือนไขนนั ใหม้ ผี ลยอ้ นหลังไปถึงเวลาใดเวลาหนงึ ก่อนสาํ เรจ็ ก็ใหเ้ ปน
ไปตามเจตนานนั เชน่ นนั ”
32
เงอื นเวลา
มาตรา 191 บญั ญตั ิวา่ “นติ ิกรรมใดมเี งือนเวลาเรมิ ต้นกําหนดไว้
หา้ มมใิ หท้ วงถามใหป้ ฏิบตั ิตามนติ ิกรรมนนั ก่อนถึงเวลาทีกําหนด
นติ ิกรรมใดมเี งือนเวลาสนิ สดุ กําหนดไว้ นติ ิกรรมนนั ยอ่ มสนิ ผล
เมอื ถึงเลาทีกําหนด”
คําเสนอ คาํ สนองตรงกัน
สญั ญาเกดิ ขึน
33
ลักษณะของ
เงือนเวลา
1 เงือนเวลาต้องเปนเหตกุ ารณใ์ นอนาคตและแนน่ อนทีจะเกิดขนึ
- เวลาในอนาคต
- แนน่ อนวา่ จะเกิดขนึ
2 เงือนเวลาเปนขอ้ กําหนดเพอื ไมใ่ ห้ทวงถามให้ปฏิบตั ิการตาม
นติ ิกรรมหรอื เพอื ความสนิ ผลของนติ ิกรรม
ขอ้ กําหนดเพอื ไมใ่ หท้ วงถามใหป้ ฏิบตั ิการตามนติ ิกรรม
– นติ ิกรรมเกิดขนึ แล้ว แต่หนยี งั ไมถ่ ึงกําหนดชาํ ระ
(เปรยี บเทียบ ต่างจากนติ ิกรรมทีมเี งือนไขบงั คับก่อน)
ความสนิ ผลของนติ ิกรรม
– นติ ิกรรมทีเกิดขนึ แล้ว สนิ ผลลง
(เปรยี บเทียบ เหมอื นกับนติ ิกรรมทีมเี งือนไขบงั คับหลัง)
3 เงือนเวลาเปนขอ้ กําหนดของบุคคลไมใ่ ชข่ อ้ บงั คับของกฎหมาย
ต้องถกู กําหนดโดยเจตนาของค่กู รณี
ไมใ่ ชถ่ กู กําหนดโดยกฎหมาย
34
ประเภทของ
เงือนเวลา
1 เงือนเวลาเรมิ ต้น
เงือนเวลาเรมิ ต้น ไดแ้ ก่เงือนเวลาซงึ หา้ มไมใ่ หท้ วงถามใหป้ ฏิบตั ิ
การตามนติ ิกรรมก่อนถึงเวลากําหนด
2 เงือนเวลาสนิ สดุ
เงือนเวลาสนิ สดุ ไดแ้ ก่เงือนเวลาทีกําหนดใหน้ ติ ิกรรมสนิ ผลเมอื
ถึงเวลากําหนด
ก า ร ส ล ะ ป ร ะ โ ย ช น์
แ ห่ ง เ งื อ น เ ว ล า
หลัก ผไู้ ดร้ บั ประโยชน์ สละประโยชนไ์ ดเ้ สมอ
ขอ้ ยกเวน้ ต้องไมก่ ระทบกระเทือนประโยชนอ์ ันค่กู รณี
อีกฝายหนงึ จะพงึ ไดร้ บั
35
ก ร ณี ที ห้ า ม ไ ม่ ใ ห้ ลู ก ห นี ถื อ เ อ า
ป ร ะ โ ย ช น์ จ า ก เ งื อ น เ ว ล า ไ ด้
1 เมอื ลกู หนถี กู ศาลสงั พทิ ักษ์ทรพั ยเ์ ดด็ ขาดตามกฎหมาย
วา่ ดว้ ยล้มละลาย
2 เมอื ลกู หนไี มใ่ หป้ ระกันในเมอื จาํ ต้องให้
3 เมอื ลกู หนไี ดท้ ําลายหรอื ลดนอ้ ยถอยลงซงึ ประกันอัดไดใ้ หไ้ ว้
4 เมอื ลกู หนนี าํ ทรพั ยส์ นิ ของบุคคลอืนมาใหเ้ ปนประกันโดย
เจา้ ของทรพั ยส์ นิ นนั ไมไ่ ดย้ นิ ยอมดว้ ย
36
ระยะเวลา
period of time
37
ระยะเวลา
ความ ชว่ งของเวลาซงึ อาจกําหนดกันเปน
วนั สัปดาห์ เดือน ปหรอื ชวั โมงก็ได้
หมาย ตัวอย่าง นาย ก เชา่ รถยนต์ 1 สัปดาห,์
นาย ข เชา่ หอพัก 1 เดือนเปนต้น
วิธีการนบั
ระยะเวลา
1 ในกรณีทีมีกฎหมาย คําสังศาล ระเบียบข้อบังคับ หรอื
นิติกรรมกําหนดใหน้ ับระยะเวลาไวโ้ ดยเฉพาะเปนพิเศษ
แล้วการนับระยะเวลาก็ต้องเปนตามทีกฎหมายนัน
บัญญัติไว้ (มาตรา 193/1)
2 ในกรณีทีไม่มีการกําหนด ใหน้ ับระยะเวลาตาม
บทบัญญัติแหง่ กฎหมาย ลักษณะ 5 บรรพ 1
38
การคํานวณระยะเวลา
มบี ทบญั ญตั ทิ างกฎหมายทเี กยี วขอ้ งดงั นี
1 การคํานวณระยะเวลาใหค้ ํานวณเปนวนั กล่าวคือ ใหค้ ิดเปนหนึงวนั เต็ม
เสมอ โดยไมต่ ้องคํานึงวา่ วนั นันตอนไหนหรอื เวลาอะไร (มาตรา 193/2) เชน่
ก ทําสญั ญาเงินกู้ ข เวลา 10.00 น.ใหถ้ ือวา่ เปนการก้เู งินหนึงวนั เต็ม
แต่ถ้าค่กู รณีในการทํานิติกรรม ต้องการนับระยะเวลาเปนหน่วยทีสนั กวา่
วนั เชน่ ชวั โมง นาที หรอื วนิ าทีก็ใหค้ ํานวณตามหน่วยนัน
2 ถ้ากําหนดระยะเวลาเปนสปั ดาห์ เดือนหรอื ป ใหค้ ํานวณตามปปฏิทิน
(มาตรา 193/5)
3 ถ้ากําหนดระยะเวลาเปนปก็คํานวณตามปปฏิทิน แต่ถ้ากําหนดระยะเวลา
เปนปแต่มเี ศษ เชน่ ปครงึ ก็ใหค้ ํานวณสว่ นของปเปนเดือน ดังนันครงึ ปก็คือ
6 เดือนนันเอง
สาํ หรบั กรณีทีกําหนดระยะเวลาเปนเดือนก็ใหด้ เู ดือนตามปฏิทิน
โดยไมต่ ้องดวู า่ แต่ละเดือนจะมจี าํ นวนวนั เท่าไหร่ ดังนันไมว่ า่ จะเดือน
มกราคมหรอื เดือนกมุ ภาพนั ธก์ ็ถือเปน 1 เดือนเท่ากัน
แต่ถ้ากําหนดระยะเวลาเปนทังเดือนและวนั ก็คํานวณ
ตามปปฏิทินเชน่ กันเพยี งแต่ใหค้ ํานวณเดือนเต็มเดือนก่อนแล้ว
ค่อยคํานวณเปนวนั เชน่ กําหนดระยะเวลา 1 เดือนครงึ ก็คํานวณเดือนเต็ม
ก่อน สว่ นอีกครงึ เดือนในคํานวณเปนวนั จะได้เท่ากับ 15วนั คิดจาก 1เดือน
มี 30 วนั (มาตรา 193/6)
39
การเรมิ ตน้ นับ
และการสินสดุ
ของระยะเวลา
1 กรณีกาํ หนดระยะเวลาเปนหน่วยเวลาทสี นั กวา่ วนั
(ชวั โมง นาที วนิ าท)ี
การเรมิ ต้น ใหเ้ รมิ ต้นนับในขณะทีเรมิ การนัน (มาตรา193/3 วรรคแรก)
การสนิ สดุ สนิ สดุ ลงเมอื ครบกําหนดระยะเวลาทีตกลงกันไว้
ตัวอยา่ ง ก เชา่ มา้ เทียวชมเมอื งลําปาง มกี ําหนดเวลา 2 ชวั โมง โดย ก เรมิ เชา่ ตังแต่
09.30 น. ระยะเวลายอ่ มเรมิ ต้นนับ ในทันทีทีเรมิ เชา่ และระยะเวลาก็ยอ่ มสนิ สดุ ลงทันทีที
ครบกําหนดระยะเวลาเชา่ 2 ชวั โมง คือเวลา 11.30 น.
2 กรณีกาํ หนดระยะเวลาเปนวนั
การเรมิ ต้น หา้ มมใิ หน้ ับวนั แรกแหง่ ระยะเวลานันรวมเขา้ ด้วยกัน
โดยกําหนดใหเ้ รมิ ต้นนับในวนั รุง่ ขนึ แทน (มาตรา193/3 วรรคสอง)
การสนิ สดุ สนิ สดุ ลงเมอื กําหนดวนั
ตัวอยา่ ง ก ทําสญั ญาเชา่ รถยนต์จาก ข
เมอื วนั ที 10 มกราคม 2563 มกี ําหนด 15
วนั หลักตามมาตรา 193/3 วรรคสอง หา้ ม
มใิ หน้ ับวนั แรกแหง่ ระยะเวลานันรวมเขา้
ด้วยกันจงึ เรมิ นับในวนั รุง่ ขนึ ดังนันจะสนิ
สดุ ระยะเวลา15 วนั ในวนั ที มกราคม2563
40
การเริมตน้ นบั และการสินสุด
ของระยะเวลา
3 กรณีนับระยะเวลาเปนสปั ดาห์ เดอื น หรือป
การเรมิ ต้น มหี ลักเกณฑ์การเรมิ ต้นนับเชน่ เดียวกับกรณีกําหนด
ระยะเวลาเปนวนั คือ ใหเ้ รมิ นับในวนั รุง่ ขนึ เวน้ แต่จะเขา้ ขอ้ ยกเวน้ ทีวา่
ได้เรมิ การนันเองตังแต่เวลาทีถือได้วา่ เรมิ ต้นทําการงานกันตาม
ประเพณี (มาตรา193/3 วรรคสอง)
ตัวอยา่ ง ก รบั จา้ งทําความสะอาดทีสาํ นกั งานของ ข เปนเวลา 5 วนั โดย ก เรมิ มาทําความ
สะอาดทีสาํ นกั งานของ ข ในวนั ที 1 มกราคม 2563 เวลา 08.30 น. จนถึง 16.30 น. เชน่
นรี ะยะเวลาเรมิ นบั ตังแต่วนั ที 1 มกราคม 2563 เพราะถือไดว้ า่ เปนระยะเวลาเรมิ ต้นทําการ
งานกันตามประเพณี
การสนิ สดุ ในกรณีระยะเวลาได้เรมิ ต้นนับในวนั ต้นแหง่ สปั ดาห์ เดือน
หรอื ป ใหค้ ํานวณระยะเวลานันตามปปฏิทิน
ยกเวน้ ถ้าระยะเวลามไิ ดก้ ําหนดนบั แต่วนั ต้นแหง่ สปั ดาห์ เดอื น หรอื ป สาํ หรบั
กรณนี ี มาตรา 193/5 วรรคสอง ไดว้ างหลักไวว้ า่ ระยะเวลายอ่ มสดุ ลงในวนั
ก่อนหนา้ จะถึงวนั แหง่ สปั ดาห์ เดอื นหรอื ปสดุ ท้ายอันเปนวนั ตรงกับวนั เรมิ ระยะ
เวลานนั
ถ้าในระยะเวลานบั เปนเดอื นหรอื ปนนั ไมม่ วี นั ตรงกันในเดอื นสดุ ท้ายให้
ถือเอาวนั สดุ ท้ายแหง่ เดอื นนนั เปนวนั สนิ สดุ ระยะเวลา
ตัวอยา่ ง ก ก้เู งิน ข เมอื วนั ที 30 กันยายน 2563 กําหนดเวลา 1 เดอื น เชน่ นรี ะยะเวลาเรมิ
ต้นนบั วนั ที 1 ตลุ าคม 2563 ตามาตรา 193/3 วรรคสอง ซงึ เปนวนั ต้นแหง่ เดอื น ดงั นนั
ระยะเวลา 1 เดอื นยอ่ มสนิ สดุ ลงในวนั ที 31 ตลุ าคม 2563 ตามมาตรา 193/5 วรรคสอง
ตัวอยา่ ง ก ก้เู งิน ข เมอื วนั ที 30 มกราคม 2563 กําหนดเวลา 1 เดอื น เชน่ นี ระยะเวลา
เรมิ ต้นนบั วนั ที 31 มกราคม 2563 ตามมาตรา
193/3 วรรคสอง ซงึ วนั ที 31 มใิ ชว่ นั ต้นแหง่
เดอื น ดงั นนั ระยะเวลา 1 เดอื นยอ่ มสนิ สดุ
ลงในวนั ที 30 ซงึ เปนวนั ก่อนหนา้ วนั ที 31
ในเดอื นถัดไปคือเดอื นกมุ ภาพนั ธ์ แต่ใน
เดอื นกมุ ภาพนั ธ์ 2563 ไมม่ วี นั ที 30 อัน
เปนวนั ตรงกันกับวนั ทีเรมิ ระยะเวลานนั จงึ
ต้องเอาวนั สดุ ท้ายของเดอื นกมุ ภาพนั ธค์ ือ
วนั ที 28 กมุ ภาพนั ธ์ 2563 เปนวนั สนิ สดุ
แหง่ ระยะเวลาตามมาตรา193/5 วรรค
สองตอนท้าย
41
การเรมิ ตน้ นับและการสนิ สดุ
ของระยะเวลา
4.กรณีกําหนดระยะเวลาเปนเดือนและวนั
หรอื กําหนดเปนเดือนและสว่ นของเดือน
4.1กรณีกําหนดระยะเวลาเปนเดือนและวนั
กําหนดใหน้ บั จาํ นวนเดอื นเต็มก่อนแล้วจงึ
นบั จาํ นวนวนั ต่อไป(มาตรา 193/6 วรรคแรก)
ตัวอยา่ ง ก ก้เู งิน ข เมอื วนั ที 5 มกราคม 2563 กําหนดระยะเวลา 1 เดอื นกับ 5 วนั
เชน่ นรี ะยะเวลา 1 เดอื น จะครบวนั ที 5 กมุ ภาพนั ธ์ 2563 แล้วจงึ ค่อยนบั ต่อไป
อีก 5 วนั จงึ สนิ สดุ วนั ที 10 กมุ ภาพนั ธ์ 2563
4.2 กําหนดเปนเดือนและสว่ นของเดือน
ใหน้ บั จาํ นวนเดอื นเต็มมาก่อน แล้วจงึ
นบั สว่ นของเดอื นเปนวนั โดยใหถ้ ือวา่ 1 เดอื น มี 30 วนั
ตัวอยา่ ง ก ก้เู งิน ข เมอื วนั ที 5 มกราคม 2563 กําหนดระยะเวลา 2 เดอื น เชน่ นี
ระยะเวลา 2 เดอื น จะครบวนั ที 5 มนี าคม 2563 แล้วจงึ ค่อยนบั ต่อไปอีก
เดอื นเท่ากับ 15 วนั จงึ สนิ สดุ วนั ที 20 มนี าคม 2563
5.กรณีกําหนดระยะเวลาเปนสว่ นของปและสว่ นของเดือน
ใหค้ ํานวณสว่ นของปเปนเดอื นก่อน แล้วใหน้ บั สว่ นของเดอื นเปนวนั
ตัวอยา่ ง ก ก้เู งิน ข เมอื วนั ที 5 มกราคม 2563 กําหนดระยะเวลา 2/3 ปกับ
1/3 เดอื น เชน่ นี ระยะเวลา 2/3 ป เท่ากับ 8 เดอื น ก็จะครบกําหนดวนั ที 5
กันยายน 2563 แล้วจงึ นบั ต่อไปอีก 1/3 เดอื น เท่ากับ 10 วนั จงึ สนิ สดุ วนั ที
15 กันยายน 2563
42
6.กรณีวนั สดุ ท้ายของระยะเวลาเปนวนั หยุดราชการ
กรณีทีวนั สดุ ท้ายแหง่ ระยะเวลาเปนวนั หยุดทําการตามประกาศของทาง
ราชการก็ดีหรอื ตามประเพณีก็ดี ใหเ้ รมิ นับวนั ทีทีเรมิ ทําการวนั แรก
ทีถัดจากวนั สดุ ท้ายแหง่ ระยะเวลานันเปนวนั สดุ ท้ายหรอื วนั สนิ สดุ ของ
ระยะเวลาแทน(มาตรา 193/8)
ตัวอยา่ ง ก ก้เู งิน ข เมอื วนั ที 23 กันยายน 2563 กําหนดระยะเวลา 1 เดอื น เชน่ นี
ระยะเวลา 1 เดอื น จะครบเมอื วนั ศุกรท์ ี 23 ตลุ าคม 2563 ซงึ ปรากฏวา่ เปนวนั
ปยมหาราชอันเปนวนั หยุดราชการระยะเวลาสนิ สดุ ต้องนบั ถัดไปปรากฏวา่ วนั ที 24,25
ตลุ าคม 2563 เปนวนั เสารแ์ ละวนั อาทิตยต์ ามลําดบั ซงึ เปนวนั หยุดราชการเชน่ กัน
ดงั นนั วนั สดุ ท้ายหรอื วนั สนิ สดุ ของระยะเวลานี คือวนั จนั ทรท์ ี26 ตลุ าคม 2563
การเรมิ ต้นนบั
และการสนิ สดุ
ของระยะเวลา
43
การขยาย
ระยะเวลา
กรณีทีมกี ารขยายระยะเวลาออกไปโดยมไิ ด้มี
การกําหนดวนั เรมิ ต้นแห่งระยะเวลาทีขยายออก
ไปให้นบั วนั ทีต่อจากวนั สดุ ท้ายของระยะเวลา
เดิมเปนวนั เรมิ ต้นนบั ระยะเวลา (มาตรา193/7)
ตัวอยา่ ง ก ก้เู งิน ข เมอื วนั ที 14 กมุ ภาพนั ธ์ 2563
กําหนดระยะเวลา 2 เดอื น เชน่ นี ระยะเวลา2 เดอื นจะ
ครบวนั ที 14 เมษายน 2563 หาก ก และ ข ตกลง
ขยายเวลาชาํ ระหนอี อกไปอีก 3 วนั ดงั นรี ะยะเวลาที
ขยายออกไปนนั ใหเ้ รมิ นบั วนั ที 15 เมษายน 2563เปน
วนั แรกและจะสนิ สดุ ในวนั ที 17 เมษายน 2563
44
อายุความ
prescription
45
อายคุ วาม
ความหมาย
มาตรา 193/9 บญั ญตั ิวา่ “สทิ ธเิ รยี กรอ้ งใด ๆ
ถ้ามไิ ด้ใชบ้ งั คับภายในระยะเวลาทีกฎหมายกําหนดสทิ ธิ
เรยี กรอ้ งนนั เปนอันขาดอายุความ”
จากมาตรา 193/9 จะเหน็ ไดว้ า่ อายุความ หมายถึง กําหนดระยะ
เวลาทีกฎหมายกําหนดไวว้ า่ สทิ ธเิ รยี กรอ้ งทีบุคคลหนงึ มตี ่ออีก
บุคคลหนงึ นนั ต้องบงั คับเสยี ภายในเวลาทีกฎหมายกําหนดไว้ ถ้า
ปล่อยใวจ้ นเกินกําหนด สทิ ธเิ รยี กรอ้ งนนั เปนอันขาดอายุความ
46
ประเภท
ของอายคุ วาม
แบง่ ออกได้ 2 ประเภท คอื
1.อายคุ วามไดส้ ทิ ธิ หรือ อายคุ วามทที าํ ใหไ้ ดม้ าซึงสทิ ธิเรียกร้อง
เปนการได้สทิ ธบิ างประการ โดยการปฏิบตั ิอยา่ งใดอยา่ งหนึง
ไมว่ า่ จะเปนการใชส้ ทิ ธนิ ันต่อเนืองกันจนครบระยะเวลาและเงือนไขต่างๆตาม
กฎหมาย เชน่ กรณีของการครอบครองปรปกษ์ตามมาตรา 1382
2.อายคุ วามเสยี สทิ ธิ หรืออายคุ วามทรี ะงบั สทิ ธิเรียกร้อง
เมอื ครบระยะเวลาตามทีกฎหมายกําหนดไวอ้ าจทําใหบ้ ุคคลฝายหนึงเสยี สทิ ธไิ ป
หากบุคคลฝายนันมไิ ด้บงั คับใชส้ ทิ ธนิ ันทางศาลภายในกําหนดเวลาดังกล่าว
ทังนีสทิ ธใิ ดๆทีจะอยูภ่ ายใต้บงั คับอายุความเสยี สทิ ธนิ ัน จะต้องเปนสทิ ธเิ รยี กรอ้ ง
47