วัดพระสิงหว รมหาวิหาร อําเภอเมืองเชียงใหม จังหวดั เชียงใหม 51
คเู มือง กําแพงเมืองเชียงใหม
คูเมืองและกําแพงเมืองเชียงใหมสรางข้ึนโดยพญามังรายใน พ.ศ. ๑๘๓๙ โดยไดรับคาํ ปรึกษาจากพอขุน
รามคาํ แหงจากสโุ ขทยั และพญางาํ เมอื งจากพะเยา กาํ แพงเมอื งเชยี งใหมไ ดอ อกแบบใหม แี ผนผงั สเี่ หลย่ี มจตั รุ สั มกี ารผนั
น้ําเขา คเู มอื งทแี่ จง หวั รนิ ดา นทศิ ตะวนั ตกเฉยี งเหนอื ของเมอื ง โดยนา้ํ จากลําหว ยไหลมาจากดอยสเุ ทพ ทาํ ใหค เู มอื งมนี า้ํ
หลอ เลี้ยงไมแ หง ตลอดท้ังป ในสวนของกําแพงเมือง มปี อ มมมุ เมืองหรอื ภาษาพ้นื เมืองเหนอื เรียกวา “แจง” มที ้ังหมด ๔
แจง คือแจงหัวรินดานตะวันตกเฉียงเหนือ แจงศรีภูมิดานตะวันออกเฉียงเหนือ แจงกะต๊ําดานตะวันออกเฉียงใต
และแจง กูเฮืองดานตะวันตกเฉียงใต
ประตูเชียงใหมสรางขึ้นหลังพญามังรายสรางเมือง บริเวณท่ีราบเชิงดอยสุเทพมีการขุดคูนา้ํ และนาดิน
เพอ่ื ถมเปน แนวกําแพงสงู จากนน้ั มกี ารกอ ตง้ั อฐิ ขนาบสองขา งเพอ่ื กน้ั ดนิ ถลม มที ง้ั ประตเู วยี งชนั้ ในและประตเู วยี งชนั้ นอก
เพอ่ื ใชเ ปน ทล่ี อ ลวงขา ศกึ หากมกี ารตขี นาบเขา มาในเวยี ง ในสว นของประตเู วยี งชน้ั นอก ทงั้ ๕ ประตู มตี ํานานกลา วขาน
วา ประตแู รกคอื ประตหู วั เวยี งหรอื ประตชู า งเผอื ก บรรพชนมคี วามเชอื่ วา เปน ประตชู ยั ตง้ั อยใู นทศิ เหนอื ของเมอื งอนั เปน
ตําแหนง เดช ในพธิ รี าชาภเิ ษกตามโบราณราชประเพณี กษตั รยิ ผ ปู กครองเมอื งเชยี งใหมจ ะเสดจ็ เขา ทางประตนู ้ี และหา ม
มิใหมีการนาํ ศพซ่ึงเปนส่ิงอัปมงคลออกทางประตูโดยเด็ดขาด ตอมาประตูหัวเวียงนี้เปลี่ยนช่ือเปน “ประตูชางเผือก”
ในรัชสมัยของพระเจา กาวลิ ะเจาผคู รองนครเชยี งใหมอ งคท่ี ๑
ประตทู ี่ ๒ คอื ประตทู า แพตง้ั อยบู รเิ วณตะวนั ออกของกําแพงเมอื งชน้ั ใน จากเดมิ เรยี กวา “ประตเู ชยี งเรอื ก”
เพราะเปน ทต่ี งั้ ของชมุ ชนเชยี งเรอื ก ตงั้ อยบู รเิ วณนอกกําแพงเมอื ง ในอดตี เปน ชมุ ชนคา ขายและเปน ทตี่ ง้ั ของตลาดเชยี งเรอื ก
ซ่ึงนับวาเปนตลาดเกาแกแหงหนึ่งของเชียงใหมลานนา สมัยนั้นเม่ือออกจากประตูจะพบกับ ที่จอดของบรรดาเรือแพ
ที่เขามาคาขาย คาดวามีประชากรอาศัยอยูอยางหนาแนนและมีหลักฐานกลาวถึงสมัย พระยาแกววา ไดเกิดเหตุการณ
น้าํ ทวมเชียงเรือก มีผูคนจมนา้ํ ตายเปนจาํ นวนมาก ตอมาในสมัยพระเจาอินทวิชยานนทเจาหลวงเชียงใหมองคที่ ๗
ชอ่ื ประตเู ชยี งเรอื กไดถ กู เปลยี่ นเปน “ประตทู า แพชน้ั ใน” เพอ่ื ใหค กู บั ประตทู า แพชนั้ นอก ซงึ่ ตงั้ อยบู นถนนสายเดยี วกนั
หลังจากบา นเรอื นไดขยายตวั ข้นึ ประตูทาแพชั้นนอกไดส ลายตวั ลงไป เหลอื แคประตทู าแพชั้นใน ชาวบานจึงเรียกสน้ั ๆ
งวา “ประตูทา แพ” สําหรับประตทู า แพในปจจุบันตงั้ ขน้ึ เมือ่ ป พ.ศ. ๒๕๒๘ - ๒๕๒๙ โดยอางอิงจากภาพถา ยเกา ประตู
เมอื งเชียงใหมป ระตทู ี่หนึ่งในสมัยรัชกาลที่ ๕
ประตูที่ ๓ “ประตูเชยี งใหม” เดิมมีชอื่ วาประตูทายเวยี ง ตัง้ อยทู างทศิ ใต ในอดตี เปนเสนทางสําคัญระหวาง
เชียงใหมไปเวียงกุมกามและลาํ พูนรวมไปถึงเปนเสนทางเดินทัพไปรบในสมัยราชวงศมังราย ท้ังเชียงใหม เวียงกุมกาม
และลาํ พูน ตง้ั อยูทางทิศตะวนั ตกของแมน ้ําปง เชน เดยี วกัน การเดนิ ทางจงึ ไมต อ งขามแมน ้ําปง จากหลกั ฐานโคลงนิราศ
หริภุญชัยกลาวใหญโ ตและแข็งแรงดังโลหะ
ประตทู ่ี ๔ “ประตแู สนปงุ ” ตงั้ อยทู างทศิ ใตใ กลก บั ประตเู ชยี งใหม ปจ จบุ นั เรยี กประตนู ว้ี า “ประตสู วนปรงุ ”
สรางขึ้นใหมในรัชสมัยของพญาสามฝงแกน เพ่ือเปนที่พระราชดําเนินของพระราชชนนี ซึ่งทรงโปรดประทับท่ีตาํ หนัก
นอกกําแพงเมือง ท่ีช่ือแสนปุงเปนช่ือแรกเพราะวาเปนทางเขาออกไปสูยังบริเวณท่ีมีเตาปุงหรือเตาไฟมากมาย เพราะ
52 หนังสอื ที่ระลกึ พิธีถวายผา พระกฐนิ พระราชทาน มศว ๒๕๖๕
ดานนอกประตูจะเปนต้ังของกรมชางหลอมโลหะจึงมีเตาปุงไวหลอมโลหะเปนจาํ นวนมาก ปจจุบันยังมีบานชางหลอ
พระพทุ ธรปู อาศยั อยู และถนนเลยี บคเู มอื งดา นนมี้ ชี อื่ วา “ถนนชา งหลอ ” จากความเชอื่ เรอื่ งทศิ ถอื วา พน้ื ทแ่ี หง นเี้ ปน เขต
กาลกณิ ี จงึ กาํ หนดใหป ระตแู สนปุงเปน ประตูที่นําศพออกจากเมืองเพ่ือไปยงั สสุ าน
ประตทู ี่ ๕ คอื “ประตสู วนดอก” ตงั้ อยทู างทศิ ตะวนั ตก เปน ทางออกไปสยู งั อทุ ยานของกษตั รยิ สมยั พระเจา
กือนา ใน พ.ศ. ๑๙๑๔ ไดส รางวดั บนพ้ืนทีอ่ ทุ ยานนแี้ ละเรยี กวา “วดั สวนดอก” รวมไปถึงสรางเวียงสวนดอกขน้ึ อีกดวย
นอกจากกําแพงเมอื งชน้ั ในแลว เมอื งเชยี งใหมย งั มกี ําแพงชน้ั นอกเปน รปู พระจนั ทรเ สยี้ ว หรอื ทรี่ จู กั กนั ในชอ่ื วา “กาํ แพง
ดนิ ” โอบรวมเอาไว เรมิ่ ต้ังแตแจง ศรภี มู ิดา นทิศตะวันออกเฉยี งเหนอื เลียบตาม ลําน้ําแมขาลงมาทางทิศตะวนั ออกและ
ทศิ ใตบ รรจบกนั ทก่ี ําแพงเมอื งชนั้ ในทแี่ จง กเู ฮอื ง สรา งขนึ้ เพอ่ื ปอ งกนั กองทพั จากกรงุ ศรอี ยธุ ยาทมี่ กั จะยกทพั มาคกุ คาม
เมอื งเชยี งใหมอ ยบู อ ยครง้ั ในอดตี นบั ตงั้ แตป ลายรชั สมยั ของราชวงศม งั ราย บรเิ วณกําแพงเมอื งเชยี งใหมด า นนอกมปี ระตู
สําคัญ ๕ ประตู คือ ๑.ประตชู า งมอ ย ๒.ประตูทาแพช้ันนอก ๓.ประตหู ลา ยแคงหรือประตูระแกง ๔.ประตขู ัวกอ ม และ
๕.ประตไู หยาหรอื หายยา
รูปแบบของเมอื งเชยี งใหม
รูปแบบการสรางเมืองเชียงใหมไดรับการถายทอดมาจากรูปแบบของเมืองสุโขทัย ตามตาํ นานพ้ืนเมือง
เชยี งใหมไ ดก ลา วถึงการทพ่ี ญารว งแหง สโุ ขทยั เปน ผรู วมพจิ ารณาในการสรางเมอื งเชยี งใหมและเมืองสุโขทัยท่มี รี ปู แบบ
เปน สเี่ หลยี่ มจตั รุ สั ยอ มแสดงถงึ รปู แบบของเมอื งทไ่ี ดร บั อทิ ธพิ ลมาจากอาณาจกั รกมั พชู าอยา งชดั เจน และมรี ปู แบบใกล
เคียงกับพระนครธมมากกวาเมืองสุโขทัย เนื่องจากเมืองเชียงใหมและพระนครธมมีประตูจาํ นวน ๕ ประตู ซึ่งตางจาก
เมืองสุโขทัย ซึ่งมีประตูเมืองจํานวน ๔ ประตู ซึ่งความแตกตางของเมืองเชียงใหมและพระนครธมอยูที่การปรับเปล่ียน
ทศิ ของประตผู ี โดยตําแหนง ของประตผู ขี องพระนครธมจะเปน ประตใู นแนวแกนกลางดา นทศิ ตะวนั ออก มอี กี ประตหู นงึ่
ซึ่งอยูในดานเดียวกันเปนประตูชัยเนื่องจากตั้งอยูในแนวแกนท่ีตรงเขาสูสนามชัยหนาพระราชวัง สวนประตูผีของเมือง
เชยี งใหมจ ะตง้ั อยดู า นทศิ ใตซ ง่ึ เปน รปู แบบเดยี วกบั เมอื งโดยทวั่ ไปในภมู ภิ าคลา นนาทมี่ ปี ระตผู ตี ง้ั อยดู า นทศิ ใตข องเมอื ง
ทัง้ นก้ี ารสรา งเมืองเชยี งใหมไดใ หความสําคัญกับหอคาํ เส้ือเมอื ง และประตูเมืองทง้ั ๕ แหง โดยการสรา งกําแพงเมอื งได
เร่ิมจากมมุ เมอื งดา นตะวนั ออกเฉยี งเหนือเวียนขวาหรอื ทกั ษิณาวัตรมาบรรจบกัน
วดั พระสงิ หว รมหาวหิ าร อําเภอเมืองเชียงใหม จงั หวัดเชยี งใหม 53
ทมี่ า : https://www.arch.chula.ac.th/journal/files/article/aUI7N1w3GyThu95355.pdf
ขนาดของเมืองเชียงใหมตามท่ีพญามังรายไดเสนอตอการพิจารณาไดรับการคัดคานจากพญางาํ เมืองและ
พญารวงไดใหเหตุผลถึงปญหาความยากลําบากในการปองกันการโจมตีจากขาศึกศัตรู ซ่ึงเดิมทีพญามังรายมีดาํ ริการ
สรางเมอื งใหมเปน รปู สี่เหลยี่ มจัตุรสั ขนาดความกวา งยาวดานละ ๓,๐๐๐ วา หรอื ประมาณ ๖ กโิ ลเมตร ซึ่งเปนรปู แบบ
และขนาดทอี่ าจเทยี บเคยี งไดก บั ยโศธรปรุ ะ เปน มหานครทสี่ รา งขนึ้ โดยยโศธรวรมนั ท่ี ๑ แหง อาณาจกั รกมั พชู า ซง่ึ พญา
มงั รายอาจมคี วามประสงคท ต่ี อ งการสรา งเมอื งใหม คี วามเจรญิ เทา เทยี มกบั ยโศธรปรุ ะ ทเี่ คยเปน มหานครทมี่ คี วามเจรญิ
รุงเรืองมากในอดีต แตพญางาํ เมือง และพญารวง ผูรวมพิจารณาการสรางเมืองเชียงใหม ไดแกไขลดขนาดเปน ดานละ
๒,๐๐๐ วา หรอื ๔ กโิ ลเมตร ซง่ึ เปน ขนาดทเ่ี ทา กบั พระนครธมทส่ี รา งขนึ้ โดยพระเจา ชยั วรมนั ท่ี ๗ แหง อาณาจกั รกมั พชู า
ตอมามีการพิจารณาขนาดของเมืองเชียงใหมใหเหลือเพียงดานละประมาณ ๙๐๐ ถึง ๑,๐๐๐ วา หรือ ๑.๘ ถึง ๒.๐
กโิ ลเมตร ทําใหเ มอื งเชยี งใหมม รี ปู แบบและขนาดทใี่ กลเ คยี งกบั เมอื งสโุ ขทยั ในแงม มุ หนง่ึ ของเหตผุ ลทใี่ ชใ นการพจิ ารณา
อาจมีเหตมุ าจากการทีพ่ ญางําเมืองและพญารวงอาจเกรงวา หากเมืองเชียงใหมม ีขนาดที่ใหญก วาเมืองพะเยาและเมือง
สโุ ขทัยแลว เมืองทัง้ สองกอ็ าจไดร ับภยั จากการรุกรานของเมอื งเชียงใหมตอไปในอนาคต
54 หนังสือทรี่ ะลึกพธิ ถี วายผาพระกฐนิ พระราชทาน มศว ๒๕๖๕
วัดพระสงิ หวรมหาวหิ าร
วดั พระสงิ หว รมหาวหิ าร เปน พระอารามหลวงชน้ั เอก ชนดิ วรมหาวหิ าร เปน อารามทส่ี ถาปนาขนึ้ โดยพระเจา
ผายู เมือ่ ประมาณ พ.ศ. ๑๘๘๘ เดิมชื่อวัดลเี ชียง ตอมาในสมัย พ.ศ. ๑๙๔๓ เจามหาพรหมไดอ ญั เชิญพระพทุ ธสหิ งิ คม า
จากกําแพงเพชร และมาประดษิ ฐานทว่ี ัดน้ี จงึ ไดน ามวาวดั พระสงิ หแตน ั้นมา
พระวหิ ารหลวง หลงั ปจ จบุ นั สรา งขน้ึ ในสมยั ของครบู าเจา ศรวี ชิ ยั เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๖๗ แทนทอี่ าคารทรงจตรุ มขุ
หลงั เดมิ อาคารหลงั นถี้ อื เปน อกี หนง่ึ อาคารทแ่ี สดงการผสมผสานระหวา งศลิ ปะรตั นโกสนิ ทรแ ละศลิ ปะลา นนา ดไู ดง า ยๆ
จากหนาบันดานหนา มีการประดับดวยรูปนารายณทรงครุฑลอมรอบดวยลายพันธุพฤกษา ซ่ึงเปนลวดลายท่ีไมปรากฏ
ในศิลปะลานนา มีการแทรกรปู เสือ สญั ลกั ษณประจําปเ กิดของครบู าเจาศรีวิชัย คือปขาล
ภายในพระวิหารหลวงเปนท่ีประดิษฐานพระศรีสรรเพชญ พระพุทธรูปปูนปนขนาดใหญซ่ึงเชื่อกันวาเปน
พระประธานเดมิ ของวหิ ารหลวงหลงั เกา กอ นทจ่ี ะถกู สรา งใหมใ นสมยั ของครบู าเจา ศรวี ชิ ยั ดา นหลงั ของพระวหิ ารหลวง
เปน ทต่ี ง้ั ของอโุ บสถวดั แตเ สมาของวดั พระสงิ หค ลา ยเสาปก ลงในดนิ ไมใ ชใ บเสมา ภายในประดษิ ฐานพระประธานภายใน
กูพ ระเจา ต้งั ตรงกลางพระอุโบสถ ทําใหสามารถนมัสการพระพทุ ธรปู ไดท ้งั สองฝง
วิหารลายคํา เปนสถาปตยกรรมลานนาที่สรางข้ึนราว พ.ศ. ๒๐๖๑ แตมีการบูรณะราวพุทธศตวรรษที่ ๒๔
ตง้ั อยทู างทศิ ใตของเจดีย หนั หนา ทางทิศตะวันออก ปจ จบุ ันดา นหนาอาคารหลงั คาซอน ๓ ชั้น ดานหลังซอน ๒ ชั้น แต
มีหลักฐานวาเดิมมีมุขดานหนาคลุมชวงบันไดดวย แตไดร้ือออกไป ดานหลังวิหารน้ีมีสวนฐานเช่ือมตอกับปราสาทโขง
พระเจา ลักษณะเปนกูกออิฐถือปูนหลังคาทรงปราสาทเปนที่ประดิษฐานพระพุทธรูป รูปแบบสถาปตยกรรมวิหารลาย
คาํ เปน แบบลา นนา ตวั อาคารมขี นาดเลก็ แตส งา งามดว ยสดั สว นและฝม อื ชา งทงี่ ดงาม องคป ระกอบภายนอกตกแตง ดว ย
ไมแกะสลกั ปด ทอง
ภายในวิหารลายคาํ ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค เปนพระพุทธรูปท่ีมีตาํ นานวาสรางขึ้นในลังกาต้ังแต พ.ศ.
๗๐๐ แตจากรูปแบบของพระพุทธรูปองคนี้จะพบเปนวาพระพุทธสิหิงคเปนพระพุทธรูปแบบลานนาสิงห ๑ ท่ีสรางขึ้น
ราวพทุ ธศตวรรษที่ ๒๐ โดยชอ่ื พระพทุ ธสหิ งิ คห รอื พระสงิ หน ้ี ฝา ยหนง่ึ อธบิ ายวา หมายถงึ ลกั ษณะทา ทางองอาจดจุ ราชสหี
แตอ กี ฝา ยหนง่ึ วา นา จะสมั พนั ธก บั คาํ ในภาษามอญวา ‘สฮงิ –สเฮย’ แปลวา อนั เปน ทนี่ า อภริ มยใ จ ซงึ่ สอดคลอ งกบั ตาํ นาน
ของพระปฏมิ าทเ่ี ลา วา เมอื่ ไดเ หน็ พระพทุ ธรปู องคจ ะรสู กึ อภริ มยใ จหรอื ยนิ ดปี ระดจุ ไดเ หน็ พระพทุ ธเจา ดว ยความสําคญั
นี้ ทําใหเกิดการจําลองพระพุทธสิหิงคข้ึนมากมายในดินแดนลานนา ไมเพียงเทาน้ัน ตอมาเมื่อเกิดศึกยวนพายระหวาง
อยธุ ยาและลา นนา คตนิ ก้ี เ็ ดนิ ทางขา มจากเชยี งใหมล งสอู ยธุ ยา ทาํ ใหเ กดิ การสรา งพระพทุ ธสหิ งิ คข น้ึ ในศลิ ปะอยธุ ยาดว ย
โดยองคทคี่ นุ เคยมากทส่ี ดุ จะเปนองคท ่ีประดษิ ฐานในหอพระพทุ ธสิหงิ ค จังหวดั นครศรธี รรมราช
56 หนังสอื ทีร่ ะลึกพิธีถวายผาพระกฐนิ พระราชทาน มศว ๒๕๖๕
จติ รกรรมฝาผนงั ภายในวหิ ารลายคํา มลี กั ษณะเดน คอื เปน เรอื่ งราวทพี่ บยากในประเทศไทย ฝง ขวาเปน เรอ่ื ง
สงั ขท อง โดยเจก เสง็ วาดฉากนางพนั ธรุ ตั พบพระสงั ข ไปจนถงึ ตอนทเ่ี งาะปา กําลงั จะไปทําภารกจิ ของทา วสามนตใ นการ
หาปลา ๑๐๐ ตวั ฝง ซา ยเปน เรอ่ื งสวุ รรณหงส โดยหนานโพธา เลา เรอื่ งตอนทสี่ วุ รรณหงสเ สดจ็ ฯ ตามวา วไปจนถงึ ปราสาท
ทนี่ างเกศสรุ ิยงอยู ไปจนถึงตอนทยี่ กั ษกุมภณฑช ว ยสวุ รรณหงสจ ากนางผเี สือ้ นํ้าท่แี ปลงเปน เกศสุรยิ ง ในภาพจิตรกรรม
ยังมีเครื่องเรือนสมัยใหม เชน เครื่องลายคราม โคมไฟ อาคารบานเรือน หรือเครื่องแตงกายของบรรดาตัวละครที่มีทั้ง
แบบลานนา แบบพมา แบบไทใหญ และภาคกลาง สันนิษฐานวานา จะเกดิ ขึ้นจากการบูรณะวหิ ารลายคําในรชั กาลของ
เจา กาวโิ ลรสสรุ ยิ วงศ กษตั รยิ เ ชยี งใหมผ เู คยเสดจ็ ฯ มายงั กรงุ เทพมหานครในชว งเวลาหนงึ่ จงึ เชอื่ กนั วา พระองคน า จะได
ทรงเหน็ ขนบธรรมเนยี มอยา งใหมท เี่ กดิ ขนึ้ ในเมอื งบางกอกครง้ั นนั้ ทเ่ี รมิ่ มกี ารนําวรรณคดมี าเขยี นบนฝาผนงั มากอ นแลว
อาทิ พระอโุ บสถวัดสทุ ัศนเทพวรารามวรมหาวิหาร
ประวัตพิ ระเทพสิงหวราจารย
เจา อาวาสวดั พระสงิ หวรมหาวหิ าร
พระเทพสิงหวราจารย ( โสภณ โสภโณ ) อายุ ๖๖ พรรษา ๔๕
นกั ธรรมเอก, วฒุ ปิ รญิ ญา ศน.บ. , กศ.ม. , พธ.ด. วดั พระสงิ หว รมหาวหิ าร ตําบลพระสงิ ห อําเภอเมอื งเชยี งใหม
จงั หวดั เชยี งใหม
ปจจุบนั ดาํ รงตาํ แหนง ๑. เจาอาวาสวัดพระสงิ หวรมหาวิหาร
๒. รองเจา คณะจังหวดั เชียงใหม (ฝา ยเผยแผ)
สถานะเดมิ ช่ือ โสภณ นามสกลุ ยอดคําปา เกิดวนั ๖ ฯ ๑๑ ป วอก วันที่ ๖ เดือน เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๙ บิดา นายถา
มารดา นางดาํ บา นเลขท่ี ๑๓๔ หมู ๔ ตําบลแมฮอยเงนิ อําเภอดอยสะเก็ด จงั หวัดเชยี งใหม
บรรพชา วนั ๒ฯ๘ ประกา วันที่ ๒๕ มนี าคม พ.ศ. ๒๕๑๑ วัดถาวรรังษี ตาํ บลแมฮอ ยเงิน อําเภอดอยสะเกด็
จังหวัดเชยี งใหม พระอปุ ช ฌาย พระครสู ริ ิสทุ ธาจาร วัดชยาลงั การ
อุปสมบท วนั ๔ ฯ ๘ ป มะโรง วนั ท่ี ๒๖ กมุ ภาพนั ธ พ.ศ. ๒๕๒๐ วดั พระสงิ หว รมหาวหิ าร อาํ เภอเมอื งเชยี งใหม
จงั หวดั เชยี งใหม พระอปุ ช ฌาย พระธรรมสทิ ธาจารย วดั พระสงิ หว รมหาวหิ าร อําเภอเมอื งเชยี งใหม
จังหวัดเชียงใหม
วทิ ยฐานะ พ.ศ. ๒๕๒๒ สําเร็จช้นั ม.ศ. ๕ โรงเรียนธรรมราชศึกษา อาํ เภอเมืองเชยี งใหม จงั หวดั เชียงใหม
พ.ศ. ๒๕๑๘ สําเร็จช้ัน นักธรรมเอก สาํ นักเรียนวัดพระสิงหวรมหาวิหาร อําเภอเมืองเชียงใหม
จังหวดั เชยี งใหม
พ.ศ. ๒๕๓๘ สาํ เร็จการศึกษา ศาสนศาสตรบัณฑิต (ศน.บ.) จากมหาวิทยาลยั มหามกฎุ ราชวทิ ยาลยั
พ.ศ. ๒๕๔๔ สาํ เร็จการศกึ ษามหาบัณฑติ (กศ.ม.) มหาวทิ ยาลยั นเรศวร
พ.ศ. ๒๕๖๒ สาํ เร็จการศึกษาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต (พธ.ด.) มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ
ราชวิทยาลยั
การศกึ ษาพเิ ศษ ภาษาลานนา, ผานหลักสูตรความรูเกี่ยวกับการปองกันยาเสพติด, วิชาวาทศิลป, คอมพิวเตอร,
วชิ าเลขานกุ าร
58 หนังสอื ทร่ี ะลึกพธิ ีถวายผาพระกฐนิ พระราชทาน มศว ๒๕๖๕
งานปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๔ เลขานกุ ารเจาคณะจังหวัดเชยี งใหม
งานการศึกษา พ.ศ. ๒๕๓๕ ผชู ว ยเจาอาวาสวดั พระสงิ หวรมหาวิหาร
งานเผยแผ
เลขานุการเจา อาวาสวัดพระสิงหวรมหาวหิ าร
พ.ศ. ๒๕๓๙ รองเจา คณะอาํ เภอเมืองเชียงใหม
พ.ศ. ๒๕๕๑ เจาคณะอาํ เภอเมอื งเชยี งใหม
พ.ศ. ๒๕๔๙ รองเจา อาวาสวัดพระสงิ หว รมหาวิหาร
พ.ศ. ๒๕๕๐ พระอปุ ชฌาย
พ.ศ. ๒๕๕๒ เจา อาวาสวดั พระสิงหว รมหาวิหาร ตําบลพระสิงห อาํ เภอเมืองเชยี งใหม
จงั หวัดเชยี งใหม
พ.ศ. ๒๕๕๒ รองเจา คณะจังหวัดเชียงใหม
พ.ศ. ๒๕๒๓ ครูสอนพระปริยตั ิธรรม สํานกั เรียนวัดพระสงิ หวรมหาวิหาร
พ.ศ. ๒๕๒๕ ครูใหญโ รงเรียนพุทธศาสนาวนั อาทติ ย วดั ถาวรรงั ษี อาํ เภอดอยสะเกด็
จงั หวดั เชียงใหม
พ.ศ. ๒๕๒๗ ผชู ว ยครใู หญโรงเรียนพระปรยิ ัตธิ รรม วดั ศรโี สดา อาํ เภอเมอื งเชยี งใหม
พ.ศ. ๒๕๓๓ กรรมการตรวจขอสอบธรรมสนามหลวงของคณะสงฆ ภาค ๗
พ.ศ. ๒๕๓๓ เลขานุการเจาสาํ นกั ศาสนศกึ ษาวัดพระสงิ หว รมหาวิหาร
พ.ศ. ๒๕๓๔ ผูชวยครูใหญโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระสิงหวรมหาวิหาร อําเภอเมืองเชียงใหม
จังหวดั เชยี งใหม
พ.ศ. ๒๕๓๖ เลขานุการเจา สาํ นักเรียนคณะ จังหวัดเชยี งใหม
พ.ศ. ๒๕๓๘ พระปรยิ ตั ินเิ ทศก จังหวดั เชียงใหม
พ.ศ. ๒๕๓๙ ผชู วยผูจัดการโรงเรียนธรรมราชศึกษา โรงเรียนการกุศลของวัดในพระพทุ ธศาสนา
พ.ศ. ๒๕๕๒ ผรู ับใบอนุญาต และผจู ดั การโรงเรยี นธรรมศึกษา
พ.ศ. ๒๕๕๒ เจา สํานักศาสนศกึ ษาวัดพระสงิ หว รมหาวหิ าร
พ.ศ. ๒๕๒๕ วทิ ยากรอบรมหนว ย อ.ป.ต. อาํ เภอสันกําแพง จงั หวัดเชียงใหม
พ.ศ. ๒๕๒๗ วิทยากรถวายความรพู ระธรรมจารกิ วดั ศรโี สดา อําเภอเมอื งเชยี งใหม จงั หวัดเชียงใหม
งานพเิ ศษ พ.ศ. ๒๕๒๙ วทิ ยากรโครงการอบรมจรยิ ธรรมในโรงเรยี น
สมณศักดิ์ พ.ศ. ๒๕๓๐ วิทยากรบรรยายธรรมประจําสถานีวิทยุ วป.ถ. ๒ และสถานีวทิ ยเุ สยี งสามยอด
พ.ศ. ๒๕๓๑ วิทยากรอบรมผตู องขงั เรือนจาํ กลางเชยี งใหม
พ.ศ. ๒๕๓๓ องคเ ทศนอ บรมกลุมหนุม สาว จงั หวัดเชียงใหม
พ.ศ. ๒๕๓๔ รองหัวหนา พระธรรมทตู จงั หวัดเชยี งใหม
พ.ศ. ๒๕๓๕ วิทยากรบรรยายธรรม สถานีวิทยทุ หารอากาศเชียงใหม
พ.ศ. ๒๕๓๗ วทิ ยากรโครงการตางๆ ของคณะสงฆจงั หวดั เชยี งใหม
๑. กรรมการมลู นิธิตึกสงฆอ าพาธ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม
๒. กรรมการฌาปนกิจสงเคราะห คณะสงฆจ ังหวัดเชียงใหม
๓. ประธานกรรมการจัดหาทุนการศึกษานักเรียน โรงเรียนธรรมราชศกึ ษา
๔. กรรมการทุนนิธิวดั ถาวรรังษี อาํ เภอดอยสะเก็ด จังหวดั เชยี งใหม
๕. ประธานมลู นิธวิ ดั พระสงิ หวรมหาวิหาร
๖. กรรมการหาทนุ เพอ่ื กจิ การคณะสงฆจ ังหวัดเชยี งใหม
๗. รองประธานอาํ นวยการ การสอบบาลีสนามหลวงสวนภมู ิภาค สนามสอบจงั หวดั เชียงใหม
๘. อนุกรรมการโครงการวดั ประชา รฐั สรางสุข หนเหนอื
พ.ศ. ๒๕๓๐ พระครูใบฎีกา ฐานานุกรม ของพระราชสิทธาจารย เจาคณะจังหวัดเชียงใหม
วัดพระสงิ หวรมหาวหิ าร
พ.ศ. ๒๕๓๔ พระครูปลัด ฐานานุกรม ของพระเทพสิงหคณาจารย เจาคณะจังหวัดเชียงใหม
วดั พระสงิ หว รมหาวิหาร
พ.ศ. ๒๕๓๖ พระครูสัญญาบัตร ผูชวยเจาอาวาสพระอารามหลวงช้ันโท ราชทินนาม พระครู
โกศลธรรมวจิ ิตร
พ.ศ. ๒๕๔๔ พระครูสัญญาบัตร ผูชวยเจาอาวาสพระอารามหลวงชั้นเอก ราชทินนาม พระครู
โกศลธรรมวจิ ิตร
พ.ศ. ๒๕๔๘ พระราชาคณะช้นั สามญั ราชทนิ นาม พระสงิ หวชิ ัย
พ.ศ. ๒๕๕๒ เจาอาวาสวัดพระสิงห วรมหาวิหาร ตําบลพระสิงห อาํ เภอเมืองเชียงใหม จังหวัด
เชียงใหม
พ.ศ. ๒๕๕๔ ไดรับพระราชทานเลื่อนสมณศักด์ิ จาก พระราชาคณะช้ันสามัญ เปนพระราชาคณะ
ชน้ั ราช ในราชทนิ นามท่ี “พระราชสิงหวรมุน”ี
พ.ศ. ๒๕๕๙ ไดรับพระราชทานเลื่อนสมณศักด์ิ จาก พระราชาคณะช้ันราชเปน พระราชาคณะ
ชนั้ เทพ ในราชทนิ นามที่ “พระเทพสิงหวราจารย”
วัดในเวียงชั้นใน เชียงใหม
๑. เวียงเชยี งใหม
เวียงเชียงใหมมีกําแพง ๒ ช้ัน กาํ แพงช้ันในดานเหนือยาว ๑,๖๔๗ เมตร ดานตะวันออกยาว ๑,๕๙๔ เมตร
ดา นตะวนั ตกยาว ๑,๖๐๒ เมตร ดา นใตย าว ๑,๖๒๓ เมตร เปน แกนดนิ อฐิ หมุ เรม่ิ สรา ง ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๑๘๓๙ มคี เู มอื ง
ลอ มรอบ ปจจบุ ันเหลอื รอ งรอยกําแพงยาวประมาณ ๖๐๓ เมตร มีประตูเมือง ๕ ประตูคอื ๑) ประตูหัวเวยี ง ตอ มาเรยี ก
ประตชู า งเผอื ก ๒) ประตเู ชยี งเรอื ก ตอ มาเรยี กประตทู า แพชน้ั ใน และเอกสารบางชน้ิ เรยี กประตชู า งเลกิ ๓) ประตเู ชยี งใหม
เอกสารบางช้นิ เรียกประตชู างใหม ๔) ประตูสวนดอก และ ๕) ประตแู สนปงุ ตอมาเรยี กประตูสวนปรุง
จดุ เรมิ่ ตน สรา งกาํ แพงเวยี ง เรม่ิ ตน ทแี่ จง ศรภี มู ิ อนั เปน ศรขี องเมอื ง ประตหู วั เวยี งอยดู า นทศิ เหนอื อนั เปน เดช
ของเมอื ง เปน ทางเขา เมอื งในพิธีราชาภิเษก กาํ หนดใหประตนู ําศพออกจากเวยี งอยทู างทิศตะวนั ตกเฉียงใต อนั เปนทิศ
กาลกณิ ตี ามหลกั ทกั ษา โดยใชเ วลากอ สรา งประมาณ ๔ เดอื น สมยั ราชวงศม งั ราย ชว ง พ.ศ. ๒๐๕๙-๒๐๖๐ มกี ารกอ อฐิ
ฉาบปูนหุมคันดิน ดังเอกสารตาํ นานพื้นเมืองเชียงใหม (๒๕๓๙) ระบุวา “ปลีรวายไจ สกราชได ๘๗๘ ตัวชาวเชียงใหม
ชาวตา งเมอื งปน ดนิ ละอดิ จกั กอ เมกเวยี งเชยี งใหม ในปลเี มงิ เปลา สกราช ๘๗๙ ตวั เจา พระยาแกว หอื้ หมนื่ พงิ ยรี งั กอ เวยี ง
เชยี งใหม”
๒. วดั ในกาํ แพงชัน้ ใน
เวียงช้ันในเปนท่ีอยูของชนชั้นปกครอง มีคุมหลวง คุมเจานาย และบานขุนนางชั้นผูใหญ ในรายช่ือวัดและ
นิกายสงฆโ บราณ ซง่ึ สาํ รวจเมื่อประมาณสมัยพระเจา อินทวิชยานนท เจาหลวงเชยี งใหมอ งคท ี่ ๗
ซงึ่ สมโชติ ออ งสกลุ (๒๕๕๙) ไดค น ควา จากเอกสารรายชอ่ื วดั และนกิ ายสงฆโ บราณในเชยี งใหม ภาคปรวิ รรต
ลําดบั ท่ี ๗ จดั ทาํ และเผยแพรโ ดยภาควชิ าสงั คมวทิ ยาและมานษุ ยวทิ ยา คณะสงั คมศาสตร มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม (๒๕๑๘)
มีกลุมหัววัด ๔ หมวดอุโบสถ ทุกวดั นิกายเชยี งใหม ดงั น้ี
๑) หมวดอุโบสถวัดเชียงหม้ัน(ตอมาเขียนเชียงม่ัน) มี ๑๓ หัววัด ประกอบดวย วัดหัวขวง วัดเชียงหม้ัน
วัดมุทเทียร (หรือ วัดมณเฑียร) วัดลามชาง วัดจาแกว วัดหมอคาํ ตวง วัดปาพราว วัดปวงกํ่ามา (หรือ
วัดควรคามา) วดั นางเหลียว วัดศรีบญุ เรือง วดั เชียงยนื วดั ขวงสิงห และ วดั กเู ตา
๒) หมวดอุโบสถวัดสเพา (สําเภา) มี ๑๔ หัววัด ประกอบดวย วัดองมง (หรือ วัดอุโมงค) วัดอินทขิน (หรือ
วดั อนิ ทขีล) วดั ดงดี (หรือ วัดดวงดี) วัดดอกคาํ วัดไช วดั นางเอื้อม (หรอื วดั ดอกเออื้ ง) วัดซายมนู (หรือ
วดั ทรายมลู ) วดั ผา ขาว วดั เชยี งใหม วดั หมน่ื ลา น วดั พนั อน วดั สเพา (หรอื วดั สําเภา) วดั หมน่ื คอง (ปจ จบุ นั
เปนวดั รา งในบริเวณโรงเรียนยุพราชวิทยาลัย) และ วดั ปานปง
62 หนงั สือทรี่ ะลกึ พธิ ถี วายผา พระกฐินพระราชทาน มศว ๒๕๖๕
๓) หมวดอโุ บสถวดั มหาเจติยหลวง (วดั เจดียห ลวง) มี ๑๓ หวั วดั ประกอบดวย วดั พนั เทา (หรือ วดั พันเตา)
วดั สบเขา หมน้ิ วดั เจดยี ห ลวง วดั หอธรรม วดั เสฎฐา วดั ชา งแตม วดั หมน่ื ทมุ (หรอื วดั หมน่ื ตมู ) วดั เจด็ ลนิ
วดั ฟอ นสอ ย (หรอื วดั ฟอ นสรอ ย) วดั พนั แหวน วดั พวกแตม วดั กาละคอต (หรอื วดั พระเจา เมง็ ราย) และ
วัดกิติ
๔) หมวดอุโบสถวัดพระสิงหราม (วัดพระสิงห) มี ๑๕ วัด ประกอบดวย วัดหม่ืนเงินกอง วัดพระสิงห
วัดสรีเกิด (หรือ วัดศรีเกิด) วัดพันแจม (ตอมาเปนวัดรางในบริเวณโรงเรียนหอพระ) วัดดับไพร (หรือ
วัดดับภัย) วัดแสนเมืองมา (ปจจุบันเปนท่ีต้ังสมาคมศิษยเกาโรงเรียนยุพราชวิทยาลัยและโรงเรียนสอน
คนตาบอดเชียงใหม) วัดหอพระ (ตอมาเปนวัดรางในบริเวณโรงเรียนหอพระ) วัดผาบอง วัดพวกหงษ
วัดปราสาท วัดพระสิงห (ดานใต) วัดชางลาน (ปจจุบันเปนวัดรางหลังสาํ นักงานหนังสือพิมพไทยนิวส)
วดั เมธัง วัดสุทธาวาส (ตอมาเปนวดั รางในบรเิ วณวิทยาลยั เทคนคิ เชียงใหม) และ วดั ทงุ ยู
๓. วดั ในทกั ษาเมือง ๙ วัด
ตามความเชื่อคติโบราณ (สมโชติ อองสกุล. ๒๕๕๙) โหราจารยกําหนดหลักทักษาของเมืองเชียงใหมวา
ศรขี องเมอื งอยทู างทศิ ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื (หรอื ทศิ อสี าน) เดชอยทู างทศิ เหนอื บรวิ ารอยทู างทศิ ตะวนั ตก มลู ะอยทู าง
ทศิ ตะวนั ออก มนตรอี ยทู างทศิ ใต อายอุ ยทู างทศิ ตะวนั ตกเฉยี งเหนอื (หรอื ทศิ พายพั ) อตุ สาหะอยทู างทศิ ตะวนั ออกเฉยี ง
ใต (หรือทศิ อาคเนย) และกาลกิณอี ยูทางทศิ ตะวนั ตกเฉียงใต ซ่งึ แตล ะทิศมีวัดประจาํ ทิศ ดงั นี้
วัดชัยศรภี มู ิ ประจาํ ทิศอสี านหรือทศิ ตะวันออกเฉียงเหนอื ซง่ึ เปนศรีเมอื ง
วัดเชยี งยนื ประจําทิศเหนือซึ่งเปนเดชเมอื ง
วัดบพุ พาราม ประจําทศิ ตะวนั ออกซงึ่ เปน มูลเมอื ง
วดั ชัยมงคล ประจําทศิ อาคเนยห รือทศิ ตะวันออกเฉยี งใตซ ง่ึ เปนอุตสาหะเมอื ง
วดั นันทาราม ประจาํ ทศิ ใตซึง่ เปน มนตรเี มอื ง
วัดสวนดอก ประจําทศิ ตะวันตกซ่งึ เปนบริวารเมอื ง
วัดเจด็ ยอด ประจําทิศพายัพหรือทศิ ตะวันตกเฉยี งเหนอื หรือในทางโหราศาสตรเ รยี กทิศราหู
วดั ตโปทาราม หรือวดั รา่ํ เปง ประจาํ ทิศตะวันตกเฉียงใต ซึ่งเปน กาลกิณีเมือง
วดั เจดียหลวง อยกู ลางเวยี ง เปน เกตเมอื ง โดยมคี วามเชือ่ ทางโหราศาสตรแ ละระบบคิดเรือ่ งจักรวาล
ในสมยั พระเจา อนิ ทวโรรสสรุ ยิ วงษ เจา หลวงเชยี งใหมอ งคท ่ี ๘ (พศ. ๒๔๔๔ - ๒๔๕๒) กอ นเดนิ ทางไปพระนคร
(กรงุ เทพมหานครในปจ จบุ นั ) ตอ งไปไหวพ ระทว่ี ดั ตามทกั ษาเมอื ง เรมิ่ จากวดั สวนดอก บรวิ ารเมอื ง ไปอาบนา้ํ ทเ่ี วยี งเจด็
ลนิ ทศิ อายเุ มอื ง ทาํ พธิ รี าํ งา วทขี่ ว งสงิ หท ศิ เดชเมอื ง ไปไหวพ ระทวี่ ดั ชยั ศรภี มู ิ ศรขี องเมอื ง แลว โปรยทานทที่ า แพ มลู เมอื ง
จึงไปลงเรือท่ีทาน้ําวดั ชัยมงคลอตุ สาหะเมือง
วดั พระสงิ หวรมหาวิหาร อําเภอเมอื งเชียงใหม จังหวดั เชียงใหม 63
๔. วัดในเวียง ที่อยูใ นปจจุบัน
ปจ จุบัน (๒๕๖๕) วัดท่ีไดท าํ การสาํ รวจพืน้ ท่ีในเวียง มที งั้ หมด ๓๘ วดั (เรยี งตามพยญั ชนะไทย) ดังน้ี
แผนที่ต้ังวัด
ทมี่ า : google map
วดั ควรคามา
ภาพถาย : กฤศณัฏฐ ดิลกศริ ิธนภัทร
๑) วดั ควรคา มา ตงั้ อยทู ี่ ๑๔๓ ถนนศรภี มู ิ ตาํ บลศรภี มู ิ อําเภอเมอื งเชยี งใหม สรา งเมอ่ื พ.ศ. ๒๐๓๕ เดมิ ชอ่ื
วดั คณุ คา มา เพราะพนื้ ทส่ี ว นนเ้ี ปน ของคนเลย้ี งมา ใชม า เปน พาหนะคา ขาย ตอ มามา ลม ตาย ดว ยความอาลยั จงึ ตดั สนิ ใจ
อุทิศท่ีดินแปลงน้ีใหเปนวัด เพ่ือความเหมาะสมกับคุณคาของมา ตอมาเพ้ียนเปน วัดควรคามา ภายในวัดประกอบดวย
เสนาสนะ กุฏิสงฆ วิหาร เจดยี อโุ บสถ ศาลาการเปรียญ เขตวิสุงคามสีมา
64 หนงั สอื ทีร่ ะลึกพธิ ีถวายผาพระกฐินพระราชทาน มศว ๒๕๖๕
วัดเจดียห ลวง
ภาพถา ย : กฤศณัฏฐ ดลิ กศิรธิ นภทั ร
๒) วดั เจดยี ห ลวง ตงั้ อยทู ี่ ๑๐๓ ถนนพระปกเกลา ตําบลศรภี มู ิ อาํ เภอเมอื งเชยี งใหม เปน วดั เกา แกใ นจงั หวดั
เชียงใหม สรางข้ึนในรัชสมัยของพระเจาแสนเมืองมา กษัตริยลําดับที่ ๗ ของราชวงศมังราย ไมปรากฏปท่ีสรางแนชัด
สนั นษิ ฐานวา วดั แหง นสี้ รา งใน พ.ศ.๑๙๒๘ - พ.ศ.๑๙๔๕ วดั เจดยี ห ลวงเปน พระอารามหลวงโบราณมกี ารบรู ณะหลายสมยั
โดยเฉพาะพระเจดียปจจุบันท่ีมีขนาดความกวาง ๖๐ เมตร เปนองคพระเจดียท่ีมีความสาํ คัญท่ีสุดองคหน่ึงในเชียงใหม
วัดเจดียหลวงสรางอยูใจกลางเมืองเชียงใหม ซึ่งแตเดิมถือวาเปนศูนยกลางการปกครองของราชอาณาจักรลานนา
ปจ จบุ นั บรเิ วณวดั เจดยี ห ลวงกลางเมอื งเชยี งใหมม สี ถานทสี่ กั การะหลากหลาย ไดแ ก เจดยี ห ลวง อนิ ทขลี ตน ยาง กมุ ภณั ฑ
พระษี ซ่ึงสะทอนพัฒนาการคติจักรวาลไดปรับเปล่ียนไปตามสถานการณ วัดเจดียหลวงแหงน้ีคร้ังหนึ่งเคยเปน
ที่ประดิษฐานของพระแกวมรกต พระประจาํ คบู า นคเู มืองของไทย
วดั เจด็ ลนิ
ภาพถา ย : กฤศณัฏฐ ดิลกศิรธิ นภทั ร
๓) วัดเจ็ดลิน ตั้งอยูที่ ถนนพระปกเกลา ตาํ บลพระสิงห อาํ เภอเมืองเขียงใหม มีชื่อเรียกอื่นๆ วา
วดั หนองจรนิ โดยชอ่ื ของวดั เจด็ ลนิ นน้ั มาจากคาํ วา ลนิ ในภาษาเหนอื แปลวา รางนํา้ และ คาํ วา เจด็ ลนิ หมายถงึ รางนํา้
วัดพระสงิ หว รมหาวหิ าร อําเภอเมืองเชยี งใหม จงั หวดั เชียงใหม 65
ทง้ั เจด็ เพราะภายในวดั จะมหี นองน้าํ ขนาดใหญอ ยดู า นหลงั ของวดั ภายในหนองนา้ํ จะมรี างน้าํ เรยี กวา ลนิ ทําจากทองคาํ
ไวหลั่งนา้ํ พุทธาภิเษกจากสุวรรณหอยสังข สําหรับกษัตริยราชวงศมังรายกอนจะข้ึนเสวยราชยนั้น จะเสด็จมาประกอบ
พิธีสรงนํ้าพุทธาภเิ ษก
วัดชางแตม
ภาพถา ย : กฤศณัฏฐ ดิลกศิรธิ นภทั ร
๔) วดั ชา งแตม ตงั้ อยทู ี่ ๙๕ ถนนพระปกเกลา ตําบลพระสงิ ห อาํ เภอเมอื งเชยี งใหม จงั หวดั เชยี งใหม สรา งเมอื่
พ.ศ. ๒๐๓๘ – ๒๐๖๙ (ประมาณ ๔๐๐ กวา ป) เดมิ ชอื่ วดั ชางตอ มแตม กวางทา ชา งพิงชัย สรา งในสมัยพระเจา ตโิ ลกราช
ปูชนียวัตถุ มีพระพุทธรูปทองสัมฤทธ์ิปางมารวิชัยหนหักหนึ่งแสนหาหมื่น และ พระพุทธรูปฝนแสนหา ซ่ึงเปน
พระพทุ ธรปู คเู มอื งเชยี งใหม โดยพระพทุ ธรปู ฝนแสนหา เปน พระพทุ ธรปู ทองสมั ฤทธิ์ ปางมารวชิ ยั เชยี งแสนลงั กา มขี นาด
หนาตักกวาง ๒๕ นิ้ว สูง ๓๕ น้ิว หนา ๑๕ นิ้ว อายุประมาณ ๑,๐๐๐ กวาป พุทธศาสนิกชนชาวเชียงใหมและจังหวัด
ใกลเ คยี งใหค วามสาํ คัญ ถือวาเปน พระพทุ ธรูปคูบ า นเมืองมาแตในอดีต
ภาพถา ย : กวฤดัศเณชัฏยี ฐงมดน่ั ิลกศริ ิธนภทั ร
66 หนังสอื ทร่ี ะลึกพธิ ีถวายผา พระกฐินพระราชทาน มศว ๒๕๖๕
๕) วดั เชยี งมนั่ ตงั้ อยทู ่ี ๑๗๑ ถนนราชภาคนิ ยั ตาํ บลศรภี มู ิ อาํ เภอเมอื งเชยี งใหม จงั หวดั เชยี งใหม วดั เกา แก
และวัดแหงแรกของตัวเมืองเชียงใหมในเขตกาํ แพงเมือง สรางขึ้น พ.ศ. ๑๘๓๙ โดย พญามังราย หลังจากที่พระองค
ไดส รา งเมอื งเชยี งใหมข น้ึ ทรงยกตาํ หนกั เชยี งมนั่ ถวายเพอ่ื สรา งเปน พระอารามชอ่ื วา วดั เชยี งมน่ั เปน ศนู ยก ลางการศกึ ษา
และเผยแพรพุทธศาสนาท่ีประดิษฐานพระพุทธรูปสาํ คัญ คือ พระเสตังคมณี หรือ พระแกวขาว ซ่ึงเปนท่ีเคารพศรัทธา
ของชาวเชียงใหม รวมถึงเปนสถานที่เก็บรักษาโบราณวัตถุที่มีความสําคัญตอประวัติศาสตรเชียงใหม นอกจากนี้เจดีย
ชา งลอ มนบั วา เปน จดุ เดน สาํ คญั ซงึ่ เปน เจดยี ป ระธานศลิ ปะลา นนา สรา งขน้ึ เมอื่ พ.ศ. ๑๘๔๐ ตวั เจดยี ท ถี่ อดแบบมาจาก
เจดยี ชางลอมของ วดั ชา งลอม จงั หวัดสุโขทยั มีรปู ทรงสีเ่ หลยี่ มและทรงกลม ประดบั ดว ยชา งปูนปน จํานวน ๑๖ เชือก
ภาพถาย ว: ดักฤชศยั ณพรฏั ะฐเกดียิลรกตศิ ริ ิธนภัทร
๖) วัดชัยพระเกียรติ ตง้ั อยูที่ ถนนราชดําเนนิ ตาํ บลศรภี ูมิ อําเภอเมืองเชียงใหม แตเดิมช่อื วัดชยั ผาเกียรติ
โคลงนิราศหริภญุ ไชยกลาวถึงพระอารามแหง นว้ี า “สรางขน้ึ ในชว งทรี่ าชวงศมงั รายปกครองเมืองเชยี งใหม (กลางสมยั )
และไดรับการทาํ นุบาํ รุงโดยกษัตริยเชียงใหมทุกพระองคเรื่อยมาจนถึงสมัยพระเมกุฏิวิสุทธิวงศ กษัตริยองคท่ี ๑๖
ของราชวงศม งั ราย” ภายในอโุ บสถเปน ทปี่ ระดษิ ฐานพระเจา หา ตอ้ื หรอื พระพทุ ธรปู เมอื งราย เชอื่ กนั วา หากสกั การะแลว
จะรอดพน จากอันตราย เสรมิ เกียรตยิ ศและความมีชัยสมหวังในทุกสงิ่
วัดพระสิงหว รมหาวหิ าร อาํ เภอเมอื งเชยี งใหม จงั หวัดเชียงใหม 67
วดั ดวงดี
ภาพถา ย : กฤศณฏั ฐ ดิลกศิรธิ นภัทร
๗) วัดดวงดี ต้ังอยูที่ ถนนราชภาคินัย ตาํ บลศรีภูมิ อาํ เภอเมืองเชียงใหม เดิมช่ือ “วัดตนหมากเหนือ”
บางตาํ ราอา งถงึ เดมิ ชอื่ “วดั พนั ธนดุ วงด”ี จดุ เดน อยทู พี่ ระเจดยี ส ขี าวเปน ประธานของวดั ศลิ ปะลา นนา ฐานสเ่ี หลยี่ มยอ เกจ็
ฐานบัวหกเหล่ียมซอนกันส่ีช้ัน รองรับองคระฆังขนาดเล็ก ประดับดวยกระจกสี สวนยอดประดับดวยฉัตรสีทองหาชั้น
ตามธรรมเนียมลานนาหอไตร อายุเกือบ ๒๐๐ ป พระวิหารหลวงของวัดดวงดีหลังปจจุบัน สรางขึ้นในสมัยพระเจา
อินทรวโรรสสุริยวงศ เจาผูครองนครเชียงใหม เปนอาคารกออิฐถือปูนส่ีเหลี่ยม เสาไมดานหนาอาคารสูงโปรง ทําให
พระวิหารดูสงางามมาก หนาบันพระวหิ ารตกแตง ดว ยงานแกะสลกั ไมล วดลายพรรณพฤกษาและดอกบัว ปด ทองอราม
ละเอยี ดประณตี มาก ภายในพระวหิ ารประดิษฐาน “พระพทุ ธรูปดวงด”ี เปน พระประธานปางมารวชิ ยั
วดั ดอกคํา
ภาพถาย : กฤศณัฏฐ ดิลกศิริธนภทั ร
๘) วดั ดอกคํา ตง้ั อยทู ี่ ถนนมลู เมอื ง ตําบลศรภี มู ิ อําเภอเมอื งเชยี งใหม เดมิ ชอื่ วดั ชา งทอ คํา สาเหตทุ เี่ ปลยี่ น
ชอื่ เปน วดั ดอกคําเพราะตอ งการใหค ลอ งจองกบั วดั ใกลเ คยี ง เชน วดั ดอกเออ้ื ง วดั ดอกเงนิ และวดั ดอกแกว ลกั ษณะเดน
ของวดั คอื พระวหิ าร สถาปต ยกรรมลา นนา อาคารกอ อฐิ ถอื ปนู ทงั้ หลงั หนา บนั เปน ลายปนู ปน ทปี่ ระณตี สวยงาม มอี ยู
หลายลาย อาทิ ลวดลายพรรณพฤกษา กวางกับธรรมจักร พญานาค นกการเวก และสัตวท ัง้ ๑๒ นกั ษัตร ดานลา งเปน
ซุม จระนาํ ประดษิ ฐานพระพุทธรปู ปางหามญาติ
68 หนงั สอื ทีร่ ะลึกพิธถี วายผา พระกฐนิ พระราชทาน มศว ๒๕๖๕
วดั ดอกเอ้อื ง
ภาพถาย : กฤศณฏั ฐ ดลิ กศริ ิธนภทั ร
๙) วัดดอกเอ้ือง ต้ังอยูท่ี ถนนราชวิถี ตาํ บลศรีภูมิ อาํ เภอเมืองเชียงใหม สรางเมื่อ พ.ศ. ๒๒๑๙ แตเดิมชื่อ
วัดนางเอื้อม เพราะนางเอ้ือมเปนผูสราง ตอมาสมเด็จพระพุฒาจารย (วน ฐิตญาณมหาเถระ) วัดอรุณราชวราราม
กรุงเทพมหานคร ไดเ ปลี่ยนชื่อวัดมาเปน วัดดอกเอ้อื ง ไดร ับพระราชทานวิสุงคามสมี าเม่อื พ.ศ. ๒๔๕๗ ลกั ษณะเดนของ
วดั ดอกเออ้ื ง คอื เปน เจดยี ท รงกลมแบบพนื้ เมอื งลา นนา ฐานสเี่ หลย่ี มยอ มมุ มเี จดยี บ รวิ ารทมี่ มุ ทงั้ สต่ี รงกงึ่ กลาง สว นลา ง
บรเิ วณดา นหนาของฐานเจดยี ม ีซมุ ทรงมณฑป ลกั ษณะลวดลายไดร ับอิทธพิ ลศิลปะพมา -มอญ
วดั ดับภัย
ภาพถา ย : กฤศณฏั ฐ ดลิ กศริ ธิ นภัทร
๑๐) วดั ดบั ภยั ตง้ั อยทู ่ี ๒๙ ถนนสงิ หราช ตําบลศรภี มู ิ อาํ เภอเมอื งเชยี งใหม เดมิ ชอื่ วดั อภยั หรอื วดั ตงุ กระดา ง
สรา งขนึ้ เมอ่ื พ.ศ. ๒๐๒๑ ตรงกบั สมยั อาณาจกั รลา นนาราชวงศม งั รายในยคุ รงุ เรอื ง ภายในอโุ บสถประดษิ ฐาน พระดบั ภยั
หรือ หลวงพอดับภัย ซึ่งเปนพระพุทธรูปแบบศิลปะลานนาเชียงแสนยุคแรกๆ หรือเรียกวาพระสิงห ปางมารวิชัย
หลอ ขนึ้ ดว ยทองสมั ฤทธิ์ วหิ ารเปน ทรงพนื้ เมอื ง รวมถงึ มบี อ นาํ้ อยทู ห่ี นา วหิ าร ซง่ึ เชอื่ กนั วา เปน บอ นํา้ ศกั ดส์ิ ทิ ธิ์ เนอื่ งจาก
ในสมัยพระเจาอินทวโรรส เจาหลวงเชียงใหมองคที่ ๘ เสด็จกลับจากกรุงเทพฯ ตองแวะที่วัดดับภัยเพื่อนําน้าํ ในบอนี้
ไปสรงนํ้าพทุ ธมนตกอ นไปวัดเชยี งยนื เพื่อสืบดวงชะตา
วดั พระสงิ หวรมหาวหิ าร อาํ เภอเมืองเชียงใหม จังหวัดเชียงใหม 69
วดั ทรายมลู (พมา )
ภาพถา ย : กฤศณัฏฐ ดิลกศิรธิ นภทั ร
๑๑) วัดทรายมูล (พมา) ตั้งอยูท่ี ๑๐๓ ถนนมูลเมือง ตําบลพระสิงห อาํ เภอเมืองเชียงใหม เดิมมีชื่อวา
“วัดมูลมาน” หรือ “วัดทรายมูลมาน” สรางโดยแมทัพชาวพมา นามวา “จา่ํ สัง” ไมปรากฏปท่ีสราง แตคาดวาราวๆ
สมยั กลางของราชวงศท พิ ยจ กั ร (เจา เจด็ ตน) ลกั ษณะเดน คอื พระวหิ ารเปน อาคารกอ อฐิ ถอื ปนู อยา งงา ย หลงั คาซอ นกนั ๒ ชนั้
ภายในประดษิ ฐานพระพทุ ธรูปปางมารวิชยั ศลิ ปะพมา เปนพระประธาน ฝาผนังมจี ิตกรรมเลา เร่ืองพุทธประวัติ เปน งาน
ฝม อื ทแี่ ตกตา งจากวดั อนื่ ๆ พระเจดยี ต งั้ อยดู า นหลงั พระวหิ าร บรู ณะเมอื่ พ.ศ. ๒๔๕๒ มอี ยสู ององคต ง้ั อยคู กู นั องคใ หญ
เลยี นแบบเจดยี ช เวดากอง โดยมฐี านซอ นกนั ๓ ชนั้ องคเ จดยี เ ปน ทรงระฆงั ควํา่ มลี วดลายประดบั สว นยอดเปน ฉตั รสที อง
๕ ช้ัน องคเล็กมีศิลปะท่ีแตกตางกัน ฐานลางสุดเปนฐานยอเก็จรับกับฐานแปดเหลี่ยมสามช้ัน องคเจดียทรงระฆังควํ่า
สว นยอดเปนฉัตร ๗ ช้ัน ทงั้ สององคท าดวยสีทอง
ภาพถา ย ว: กัดฤทศรณายฏั มฐลู ดเมลิ ือกงศริ ธิ นภทั ร
๑๒) วดั ทรายมลู เมอื ง ตงั้ อยูท ี่ ถนนมูลเมือง ตําบลพระสิงห อาํ เภอเมอื งเชยี งใหม เดมิ วัดนสี้ รางขนึ้ ในสมัย
พระเจา ตโิ ลกราช เรม่ิ แรกเปน อารามมนี ามวา อารามบา นปะ ลกั ษณะเดน ของวดั คอื การไหวพ ระขอพรพระพทุ ธเจา ๕
พระองค รวมถงึ ยังมที าวเวสสุวรรณอายเุ กา แกกวารอยป
70 หนงั สือทรี่ ะลกึ พธิ ถี วายผาพระกฐินพระราชทาน มศว ๒๕๖๕
วัดทงุ ยู
ภาพถา ย : กฤศณัฏฐ ดิลกศริ ธิ นภทั ร
๑๓) วัดทงุ ยู ตั้งอยูท ่ี ถนนราชดําเนิน ตาํ บลศรภี ูมิ อําเภอเมืองเชียงใหม สรางเมอื่ พ.ศ. ๒๐๑๙ เดิมชอื่ วัด
ตงุ ยู คาํ วา “ทยุ ยู”ปรากฏในวรรณกรรมและกฎหมายโบราณ หมายถึง รม ท่ีเปน เคร่ืองประดบั ยศเจานาย อุโบสถศิลปะ
ลานนา สรางดวยคอนกรีตหินออนลงรักปดทอง เครื่องบนมีชอฟาใบระกา ทาํ ดวยไมสักปดทองที่ไดรับการบูรณะใหม
โกงคิ้วเปนรปู โคงไมมีรวงผ้ึงหนา บนั ประดับปูนปนลวดลายเครือเถาประดับกระจกอังวะ ภายในมีภาพจติ รกรรมฝาผนัง
ศาลาการเปรียญ กุฏิสงฆ วิหารทรงลานนา และเจดียทรงกลม แตเดิมเปนแบบลานนาต้ังบนเรือนธาตุ ตอมาไดรับ
การบูรณะโดยไดรับอทิ ธพิ ลทรงพมา –มอญ
วัดปานปง
ภาพถาย : กฤศณฏั ฐ ดิลกศิริธนภทั ร
๑๔) วดั ปา นปง ตง้ั อยทู ี่ ๑๙๔ ถนนราชภาคนิ ยั ตาํ บลศรภี มู ิ อําเภอเมอื งเชยี งใหม คาํ วา “ปา นปง ” หมายถงึ
เปนแนวขวางแมน้าํ ปง ซึ่งหมายถึง วัดปานปง ไดก้ันภยันอันตรายจากอีกฟากฝงของแมนา้ํ ปงไมใหขามมาได ลักษณะ
เดนอยูที่เจดียที่สรางมาต้ังแตเริ่มสรางวัด เปนแบบฐานสูงยอมุมไม ๒๘ ทรง ๑๒ เหลี่ยม มีฐานกวาง ๑๐.๒๐ เมตร
วดั พระสงิ หว รมหาวิหาร อาํ เภอเมืองเชียงใหม จังหวดั เชยี งใหม 71
สงู ประมาณ ๒๕ เมตร เจดยี เ ปน ทรงแบบลา นนาฝม อื ชา งหลวง ปชู นยี วตั ถทุ ส่ี ําคญั ไดแ ก พระเพชรสงิ หห นงึ่ เปน พระพทุ ธ
รูปหลอดว ยโลหะสมั ฤทธิท์ ง้ั สององค องคพ ระประธานประทบั นงั่ แบบสมาธเิ พชรปางมารวิชยั ดวยฝม ือชางหลวงยคุ ตน
ของลานนา
วัดปราสาท
ภาพถาย : กฤศณฏั ฐ ดลิ กศริ ธิ นภัทร
๑๕) วัดปราสาท ตั้งอยูท่ี ๔/๒ ถนนอินทรวโรรส ซอย ๓ ตาํ บลศรีภูมิ อําเภอเมืองเชียงใหม หลวงพอ
พระประธานแหงวัดปราสาทเปนพระพุทธรูปปูนปนปางมารวิชัยสีขาว มีพระพักตรอ่ิมเอิบอันศักดิ์สิทธ์ิ ตามหลักฐานท่ี
ปรากฏในหลักศิลาจารึกของวัดตะโปทาราม ไดจารึกไววา วัดปราสาทมีมาตั้งแตคร้ังท่ี อาณาจักรลานนาเจริญรุงเรือง
เมือ่ พ.ศ. ๒๐๓๕ ในสมยั ทพ่ี ระยายอดเชยี งราย ครองเมืองเชียงใหม
วัดผาบอง
ภาพถา ย : กฤศณฏั ฐ ดิลกศริ ิธนภัทร
๑๖) วดั ผาบอ ง ตง้ั อยทู ี่ ๑/๓ ถนนสงิ หราช ตําบลศรภี มู ิ อาํ เภอเมอื งเชยี งใหม เดมิ เรยี กวา วดั ผาบอ งปราสาท
มีเนื้อที่ติดกับวัดปราสาท วิหารทรงลานนา มีมุขย่ืนออกมาทางดานเหนือเจดีย เจดีย เปนทรงปราสาท ภายในวัดมี
72 หนงั สอื ทร่ี ะลกึ พิธีถวายผา พระกฐินพระราชทาน มศว ๒๕๖๕
พระพุทธรูปปางสัมฤทธ์ิทองคําหนัก ๖๘๐,๐๐๐ บาท มีซุมพระพุทธรูปทั้ง ๔ ดาน มีบอน้ําศักดิ์สิทธ์ิ ใชประกอบพิธี
ทางศาสนา
วดั ผา ขาว
ภาพถาย : กฤศณฏั ฐ ดลิ กศริ ิธนภทั ร
๑๗) วดั ผาขาว ต้งั อยทู ี่ ๓๖ ถนนราชมรรคา ตําบลพระสิงห อาํ เภอเมืองเชียงใหม สนั นิษฐานวา วดั ผา ขาว
มีอายุประมาณ ๖๐๐ ป เกรด็ เลก็ ๆ ทม่ี กี ารเลา สบื กนั มาเกยี่ วกับการขนานนามชอื่ ของ “วดั ผาขาว” วา บรเิ วณทตี่ ั้งวดั
ผาขาวน้ีเดิมเปนขวง หรือสถานที่สาธารณประโยชน ใชเปนสถานที่ชุมนุมกิจกรรมตางๆ เชน การจัดขบวนแห ซึ่งจะมี
การเลือกเอาบริเวณน้ีเปนที่จัดตั้งขบวนทุกคร้ัง ทุกคนท่ีมารวมในพิธี แตงกายดวยชุดขาวท้ังหมดจึงทําใหบริเวณนั้น
ปกคลมุ ดว ยผา สขี าว เมอ่ื ถงึ ฤกษง ามยามดี ลนั่ ฆอ งชยั เคลอ่ื นขบวนไปทางทศิ เหนอื เมอ่ื แหข บวนไปถงึ วดั เชยี งมน่ั ตําบล
ศรภี มู ิ อาํ เภอเมอื ง จงั หวดั เชยี งใหม จะมองเหน็ บรเิ วณนน้ั เปน เสมอื นผา ขาวปกคลมุ อยู จงึ ขนานนามวดั นว้ี า “วดั ผา ขาว”
วหิ ารของวดั ผา ขาวมขี นาดฐานกวา ง ๒๐ ศอก ยาว ๒๘ ศอก สงู ประมาณ ๒๕ ศอก ภายในวหิ ารประดษิ ฐานพระพทุ ธรปู
องคใ หญน อ ยอยเู ปน จาํ นวนมาก
วัดพระเจาเมง็ ราย
ภาพถา ย : กฤศณัฏฐ ดลิ กศิริธนภัทร
วดั พระสิงหว รมหาวิหาร อําเภอเมืองเชียงใหม จังหวดั เชยี งใหม 73
๑๘) วัดพระเจาเม็งราย ต้ังอยูที่ ๖ ถนนสามลาน ซอย ๗ก ตาํ บลพระสิงห อําเภอเมืองเชียงใหม เดิมชื่อ
วา วัดคานคาด เพี้ยนมาจากคําวา กาละกอด อาจมีความหมายวา ไมคานหามพระพุทธรูปมาคาด หรือกรอนจาก
จนเกือบนํามาใชหามพระพุทธรูปตอไปอีกไมได จึงตั้งวา วัดคาดคอด มีอีกชื่อวา วัดศรีสรอยทาเจง เปลี่ยนช่ือมาเปน
“วดั พระเจา เมง็ ราย” ในชว งสงครามโลกครง้ั ทสี่ อง สนั นษิ ฐานวา เปน พระอารามหลวงแหง ทสี่ ามทพ่ี ญามงั รายทรงสรา งขน้ึ
มโี บราณวตั ถทุ สี่ ําคญั คอื พระพทุ ธรปู ยนื ปางหา มญาติ มชี อื่ เรยี กวา พระเจา คา คงิ พญามงั ราย สงู ประมาณ ๕๔๐ เซนตเิ มตร
เปน พระพทุ ธรูปยืนสมัยตน เชยี งใหมท ี่สาํ คญั องคห นึ่ง
วัดพวกหงษ
ภาพถาย : กฤศณัฏฐ ดลิ กศริ ิธนภัทร
๑๙) วัดพวกหงษ ต้ังอยูท่ี ๗๘/๔ ถนนสามลาน ตาํ บลพระสิงห อําเภอเมืองเชียงใหม มีส่ิงกอสรางของวัด
ทเ่ี กา แกท ส่ี ดุ คอื เจดยี ท รงกลม สนั นษิ ฐานวา สรา งเมอื่ พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๑ เปน เจดยี ท รงกลม ตวั พระธาตเุ จดยี ก อ อฐิ ถอื ปนู
ฐานเปน สเี่ หลย่ี ม แลว กอ ขนึ้ ไปเปน ปลอ งเจด็ ชนั้ แตล ะชน้ั มซี มุ ประดษิ ฐานพระพทุ ธรปู โดยรอบชน้ั ละ ๑๒ ซมุ และวหิ าร
ศิลปะลา นนา
วดั พวกแตม
ภาพถา ย : กฤศณัฏฐ ดิลกศิริธนภัทร
74 หนงั สือท่รี ะลึกพธิ ีถวายผา พระกฐนิ พระราชทาน มศว ๒๕๖๕
๒๐) วดั พวกแตม ตง้ั อยทู ี่ ๑๕ ถนนสามลา น ซอย ๗ก ตาํ บลพระสงิ ห อําเภอเมอื งเชยี งใหม จดุ เดน อยทู อ่ี โุ บสถ
ทรงพ้ืนเมืองมีลวดลายและไมแกะสลัก วิหารศิลปะลานนา หลังคาซอนกันหลายช้ัน ดานหนาทาํ เปนมุขโถงย่ืนออกมา
คลุมราวบันไดพญานาค และมีมุขเขาทางดานขาง ลวดลายหนาเปนลายพรรณพฤกษา ประตูดานหนาแกะสลักเปนรูป
เทวดายืนประนมหัตถ แกะสลักดวยไมปดทอง หอไตรสรางแบบผสมผสานระหวางลานนากับพมาภายหลังไดรับการ
บรู ณะขน้ึ ใหม เจดยี ศ ลิ ปะพมา มอญ และศรวี ชิ ยั สมโชติ ออ งสกลุ (๒๕๕๙) ระบวุ า วดั พวกแตม เดมิ ชอ่ื วดั ตอ งแตม โดย
คําวา ตอ ง มคี วามหมายวา ปก สลกั หรอื ฉลุ ตอ มาเรยี กเพยี้ นมาเปน “วดั พวกแตม ” เหตทุ ใ่ี หค วามหมายเชน นสี้ นั นษิ ฐาน
วามาจากการที่ ในละแวกใกลเ คยี งกบั วดั มีอาชพี ทําเครือ่ งฉลุมาต้ังแตส มยั พระเจา กาวิโลรสสุริยวงศ
วดั พันเตา
ภาพถาย : กฤศณฏั ฐ ดลิ กศิรธิ นภัทร
๒๑) วัดพันเตา หรือวัดปนเตา ตั้งอยูท่ี ถนนพระปกเกลา ตาํ บลศรีภูมิ อําเภอเมืองเชียงใหม สรางเม่ือ
พ.ศ. ๑๙๓๔ เปนวัดรวมสมยั เดยี วกับวัดเจดยี หลวงวรวหิ าร เนอ่ื งจากเคยเปน เขตสังฆาวาสของวัดโชตกิ าราม (วัดเจดยี
หลวงวรวิหาร) จุดเดนอยูท่ีวิหารหอคาํ สรางดวยไมสัก เดิมเปนหอคําของพระเจามโหตรประเทศ สรางขึ้นเม่ือไดเลื่อน
ฐานนั ดรศกั ดแ์ิ ละตาํ แหนง จากพระยาอปุ ราชขนึ้ เปน พระยาเชยี งใหมม หาวงศ จงึ ไดส รา งหอคําขนึ้ ไวป ระดษิ ฐานพระพทุ ธรปู
ปจ จบุ ันวหิ ารหอคาํ ไดรับการขนึ้ ทะเบียนเปนโบราณสถาน
วัดพระสิงหว รมหาวิหาร อําเภอเมืองเชยี งใหม จงั หวดั เชยี งใหม 75
วดั พนั แหวน
ภาพถา ย : กฤศณฏั ฐ ดิลกศริ ิธนภทั ร
๒๒) วัดพันแหวน ต้ังอยูที่ ๕๐ ถนนพระปกเกลา ซอย ๒ ตาํ บลพระสิงห อําเภอเมืองเชียงใหม สรางเม่ือ
พ.ศ. ๒๐๔๐ ตงั้ วดั เมอ่ื พ.ศ. ๒๐๖๐ โดยขนุ นางยศพนั ชอื่ วา แหวน จงึ เรยี กชอ่ื วดั วา “วดั พนั แหวน” ตามผสู รา งวดั โบราณ
วตั ถสุ ถานของวดั ไดแ ก เจดยี ท รงระฆงั ศลิ ปะลา นนาผสมศลิ ปะพมา ฐานเขยี งสเ่ี หลยี่ มรองรบั ฐานบวั ลกู แกว อกไกย อ เกจ็
รองรบั เรอื นธาตทุ รงแปดเหลย่ี มซอ นกนั สามชนั้ เหนอื ขน้ึ ไปเปน องคร ะฆงั ฐานเปน ลายสตั วป ระจําปน กั ษตั รทง้ั ๑๒ ฐาน
ท้ังสี่มุมมปี นู ปน ชา งสามเศียร และวหิ ารกอ อิฐถือปูนศลิ ปะลานนา
วัดพันอน
ภาพถาย : กฤศณฏั ฐ ดิลกศริ ิธนภัทร
๒๓) วัดพันอน ตั้งอยูที่ ๗๕ ถนนราชดาํ เนิน ตําบลศรีภูมิ อําเภอเมืองเชียงใหม สิ่งกอสรางท่ีสาํ คัญคือ
เจดียทรงแปดเหล่ียมสรางข้ึนพรอมอุโบสถ มีซุมพระทั้ง ๔ ดาน ปจจุบันอุโบสถเปนอาคาร ๒ ช้ัน มีลักษณะผสมผสาน
ระหวางศิลปะลานนาและศิลปะภาคกลาง ภายในมีภาพวาดบนฝาผนังท้ัง ๒ ดาน เปนรูปภาพสถานท่ีสําคัญ
ทางพระพุทธศาสนา ท้งั ในประเทศอินเดยี และเนปาล
76 หนงั สือทรี่ ะลกึ พิธีถวายผา พระกฐินพระราชทาน มศว ๒๕๖๕
วดั พระสงิ หว รมหาวิหาร
ภาพถา ย : กฤศณฏั ฐ ดิลกศริ ธิ นภทั ร
๒๔) วัดพระสิงหวรมหาวิหาร ตั้งอยูที่ ๒ ถนนสามลาน ตําบลพระสิงห อําเภอเมืองเชียงใหม
เปนพระอารามหลวงช้ันเอก ชนิดวรมหาวิหาร ต้ังอยูบริเวณคูเมืองเชียงใหม เปนวัดสาํ คัญวัดหนึ่งของเมืองเชียงใหม
เปน ที่ประดิษฐานพระสิงห (พระพทุ ธสหิ ิงค) ศลิ ปะเชยี งแสนรจู กั กันในชอ่ื “เชยี งแสนสงิ หหนง่ึ ” นับวา เปน พระพุทธรปู
ศกั ดสิ์ ทิ ธค์ิ ูเมอื งเชียงใหมแ ละแผน ดนิ ลา นนา
วดั ปา พราวใน
ภาพถาย : กฤศณฏั ฐ ดลิ กศริ ิธนภัทร
๒๕) วดั ปา พรา วใน ตงั้ อยทู ี่ ๑๕/๑๔ ถนนอารกั ษ ซอย ๒ ตาํ บลศรภี มู ิ อาํ เภอเมอื งเชยี งใหม สนั นษิ ฐานวา
บริเวณวัดน้ีมีตนมะพราวจาํ นวนมาก จึงไดต้ังชื่อวัดตามตนมะพราว เปนสถาปตยกรรมลานนา ประดับดวยกระจก
ข้ึนเล็กทั้งหลัง หนาบันเปนไมแกะสลักประดับดวยกระจกเปนลวดลายตางๆ ภายในพระวิหารประดิษฐานพระพุทธรูป
ปางมารวชิ ยั พระแกวมรกตจําลอง และพระพทุ ธรปู ตางๆ
วัดพระสงิ หวรมหาวิหาร อําเภอเมืองเชยี งใหม จังหวัดเชยี งใหม 77
วดั ฟอนสรอย
ภาพถาย : กฤศณฏั ฐ ดิลกศิริธนภทั ร
๒๖) วัดฟอนสรอย ตั้งอยูที่ ๔๕ ถนนพระปกเกลา ตาํ บลพระสิงห อําเภอเมืองเชียงใหม มีศาสนสถาน
ทเ่ี ปน จดุ เดน คอื วหิ ารศลิ ปะลานนา (ไมทราบปท่สี รา ง) โครงสรางสวนบนเปนไม สวนลา งกออิฐถือปูน หลงั คาดานหนา
ซอนกัน ๒ ชน้ั ราวบันไดทอดสตู วั วิหารเปนปูนปนรูปพญานาค ประดบั กระจกสีห่ นา เปน ลายปูนปน รูปกา นขด ประดับ
ดว ยชอ ฟา ใบระกา และหางหงสเ ปน รปู พญานาค บานประตเู ปน รปู เทวดายนื ลงรกั ปด ทอง ภายในวหิ ารมภี าพจติ รกรรม
ฝาผนังเรือ่ งราวพทุ ธประวัติ พระประธานเปนพระพุทธรูปน่ังสมาธิ
วดั เมธัง
ภาพถา ย : กฤศณัฏฐ ดลิ กศิริธนภทั ร
๒๗) วัดเมธัง ตั้งอยูที่ ๖๕/๒ ถนนอารักษ ตําบลพระสิงห อําเภอเมืองเชียงใหม สรางเมื่อ พ.ศ. ๒๐๙๕
เดิมชือ่ “วัดชา งลาน” เปน วัดเกา แกแ หง หนึง่ โดยเร่ิมจากการสรา งสถปู ตอมามีสามภี รรยาชอื่ หนานเมธงั กบั นางแกว
ไดบริจาคท่ดี นิ และเงนิ เพื่อสรา งวดั ใหม ถัดจากท่เี ดิมไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ เม่อื สรางเสรจ็ จงึ ไดช่ือวาวัดเมธงั
78 หนังสือทีร่ ะลกึ พธิ ีถวายผา พระกฐินพระราชทาน มศว ๒๕๖๕
วดั ราชมณเฑียร
ภาพถา ย : กฤศณฏั ฐ ดลิ กศิรธิ นภทั ร
๒๘) วัดราชมณเฑียร ตั้งอยูท่ี ถนนศรีภูมิ ตําบลศรีภูมิ อําเภอเมืองเชียงใหม จุดเดนอยูที่ วิหารลายคาํ
เปน วหิ าร ๒ ชน้ั ศลิ ปะลายคาํ แบบลา นนา ประดบั ดวยลวดลายปูนปนตา งๆ ช้ันแรกใชเ ปน สถานท่ีทําบุญ ชัน้ ท่ี ๒ ใชใ น
การทาํ สังฆกรรมของพระภิกษุ สามเณร ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปศักดิ์สิทธ์ิมากมาย รวมไปถึง พระเจาพุม หรือ
พระพุม พระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะลานนาผสมสุโขทัย พระพุทธรูปสัมฤทธิ์ และ พระเจาหลวงทันใจ ความพิเศษ
ของพระพทุ ธรูปท่ีวัดนคี้ ือมกี ารนาํ หินทรายมาสรางเปน พระพทุ ธรูป ซง่ึ เปน เอกลักษณของวัด
วัดลา มชา ง
ภาพถา ย: กฤศณฏั ฐ ดิลกศิริธนภัทร
๒๙) วดั ลามชา ง ต้งั อยูที่ ซอยถนนมลู เมือง ๗ ตําบลศรีภมู ิ อําเภอเมอื งเชียงใหม ลกั ษณะความสาํ คัญและ
จุดเดน อยูท่ีพระวหิ าร มลี ักษณะสถาปต ยกรรมแบบลา นนาประยุกต เปน อาคารกออิฐถอื ปูน สรางใหม ไมใชของเกา แก
มาแตเดิม หนาบันประดับดวยลวดลายพรรณพฤกษาสีทอง ความพิเศษของพระวิหารวัดลามชางคือมีมุขยื่นออกมา
ดา นขา งพระวหิ าร เพอ่ื ใชเ ปน ทางขนึ้ ลงสําหรบั พระสงฆ ตามธรรมเนยี มลา นนาดง้ั เดมิ นนั้ มกั นยิ มแยกทางเขา ออกของสงฆ
วัดพระสิงหวรมหาวหิ าร อาํ เภอเมอื งเชยี งใหม จังหวดั เชยี งใหม 79
กับฆราวาสไวอยางชัดเจน ดานหลังพระวิหารมีพระเจดียประธานตั้งอยู มีลักษณะเปนเจดียทรงกลมยอเก็จ ท่ีฐานมี
รปู ปน ชา งประดบั อยทู ง้ั สีท่ ศิ บรเิ วณฐานทรงกลมรองรับองคร ะฆงั มปี นู ปน เทพพนมประดับ
วดั ศรเี กดิ
ภาพถา ย: กฤศณฏั ฐ ดิลกศริ ิธนภทั ร
๓๐) วัดศรีเกิด ต้ังอยูที่ ๙๒ ถนนราชดําเนิน ตาํ บลศรีภูมิ อาํ เภอเมืองเชียงใหม วัดศรีเกิดหรือวัดพิชาราม
เปน วดั สาํ คญั วดั หนง่ึ จดุ เดน ของวดั คอื การประดษิ ฐานของพระพทุ ธรปู เกา แกท ขี่ นยา ยมาจากวดั รา งนอกเมอื งนามวา พระเจา
แขงคม มีพุทธลักษณะศิลปะลานนา ปางมารวิชัย ขัดสมาธิราบ ขนาดหนาตักกวาง ๙๔ น้ิว วัสดุสาํ ริดลงรักปดทอง
ลกั ษณะของพระพทุ ธรปู แขง คมมคี วามแตกตา งจากแบบแผนของศลิ ปะลา นนาทม่ี มี าแตเ ดมิ อยา งเหน็ ไดช ดั คอื พระชงฆ
เปนสัน (แขงคม) พระพักตรส่ีเหล่ียม พระเนตรโปน พระโอษฐหนา ขอบพระโอษฐซอนกัน ๒ เสน มีไรพระศก ขมวด
พระเกศาเปนเม็ดเล็ก พระรัศมีเปนเปลวสูง สังฆาฏิเปนแผนขนาดใหญยาวลงมาจรดพระนาภี ปลายเปนร้ิวพับซอนกัน
พระหตั ถข วาวางอยกู งึ่ กลางพระชงฆ นว้ิ พระหตั ถย าวไมเ สมอกนั ลกั ษณะดงั กลา วนส้ี ามารถเปรยี บเทยี บไดก บั พระพทุ ธ
รปู แบบอูท องรุนท่ี ๒ ทม่ี ีอิทธิพลของศิลปะเขมรแบบบายนและศิลปะอยุธยาเขามาปะปนอยูด ว ย จากลักษณะหนาแขง
พระพทุ ธรูปทําเปน สนั ขึน้ มา จงึ เรยี กวา “พระเจาแขงคม”
80 หนังสือที่ระลึกพิธีถวายผา พระกฐนิ พระราชทาน มศว ๒๕๖๕
วดั แสนเมอื งมาหลวง
ภาพถาย: กฤศณัฏฐ ดลิ กศิรธิ นภทั ร
๓๑) วัดแสนเมืองมาหลวง ต้ังอยูท่ี ๑๗๕ ถนนพระปกเกลา ตําบลศรีภูมิ อําเภอเมืองเชียงใหม แรกสราง
มชี อ่ื วา วดั ลกั ขปรุ าคมาราม มคี วามหมายวา วดั ทพ่ี ระเจา แสนเมอื งมาทรงสรา ง ในอดตี พระอารามแหง นถี้ อื เปน วดั ประจาํ
เมอื งท่มี คี วามสาํ คัญแหง หน่ึง เน่ืองจากใชเ ปน สถานท่ีประชุมทัพและประกอบพิธีกรรมทางศาสนาทสี่ าํ คัญ วัดนม้ี อี ีกชื่อ
หนึง่ คือ วดั หวั ขว ง มที ี่มาจากทต่ี ง้ั ของวัด ซงึ่ ตงั้ อยทู างดานทิศเหนอื ของเมือง ใกลก ับสนามหลวง (ภาษาลานนาเรยี กวา
ขว ง) หรอื คมุ ของเจา นาย เปน ธรรมเนยี มการสรา งวดั ของเมอื งทางตอนเหนอื ของประเทศ สงั เกตไดว า มพี ระอารามทม่ี ชี อื่
แบบเดียวกันน้ี อยใู นเกือบทุกจงั หวดั ในภาคเหนอื และเชยี งตงุ จุดเดน อยูท่วี หิ ารหลวง มรี ปู แบบสถาปต ยกรรมลานนา
พระวิหารหลังน้ีสรางข้ึนใหมเม่ือ พ.ศ. ๒๕๔๔ เพื่อทดแทนพระวิหารหลังเดิมที่ถูกไฟไหมเสียหาย พระประธานภายใน
พระวิหารคือ พระพุทธรัตนบุรีสะหลีแสนเมืองมา เปนพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ หนาตักกวาง ๖ เมตร สูง ๙
เมตร เปนพระพุทธรปู ที่มพี ทุ ธลักษณะงดงามองคหนง่ึ ของลานนา
วัดสําเภา
ภาพถา ย: กฤศณัฏฐ ดิลกศริ ธิ นภทั ร
วดั พระสิงหวรมหาวิหาร อาํ เภอเมอื งเชยี งใหม จงั หวดั เชยี งใหม 81
๓๒) วดั สาํ เภา ต้งั อยูท่ี ๑๕๘/๒ ถนนราชภาคินยั ตําบลศรีภมู ิ อําเภอเมืองเชยี งใหม จดุ เดน อยูท ีพ่ ระวหิ าร
เปน สถาปต ยกรรมลา นนา แมจ ะเพง่ิ ไดร บั การบรู ณะ แตก ย็ งั คงรปู แบบดงั้ เดมิ เอาไว ตวั อาคารตง้ั อยบู นฐานยกสงู ประมาณ
เมตรกวาๆ หลังคาซอนกันสามช้ันตามแบบสถาปตยกรรมลานนา หนาบันตลอดจนตัวเสาประดับดวยลายปูนปนที่ยัง
สมบรู ณ มที งั้ รปู เทวดา ลายพรรณพฤกษา และสตั วต า งๆ บนั ไดทางขนึ้ เปน มกรคายนาค ภายในประดษิ ฐานพระพทุ ธรปู
ปางมารวิชยั เปนพระประธาน
วัดหมอคาํ ตวง
ภาพถาย: กฤศณฏั ฐ ดิลกศริ ธิ นภัทร
๓๓) วัดหมอคําตวง ต้ังอยูที่ ๑๑๙ ถนนศรีภูมิ ตําบลศรีภูมิ อําเภอเมืองเชียงใหม เดิมช่ือ วัดหม่ืนตวงคํา
หรอื วดั หมน่ื คาํ ตวง ตง้ั ชอื่ ตามฐานนั ดรศกั ดข์ิ องผสู รา งซงึ่ มฐี านนั ดรศกั ดเิ์ ปน ยศหมน่ื มหี นา ทต่ี ที อง หลอมทอง ถวายแด
กษัตริยลานนา ภายหลังเปล่ียนชื่อวัดมาเปน “วัดหมอคําตวง” หมายถึง หมอทองคาํ สําหรับตวงเงินตวงทอง วัดไดรับ
พระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ. ๒๒๕๐ อุโบสถมีบันไดนาคปูนปนดานหนา ปูดวยกระจกสีฟา วิหารศิลปะลานนา
หลงั คาซดซอนชน้ั ลาดต่าํ หนา บนั ประดบั ดว ยลายพรรณพฤกษาสีทอง เจดียฐานทรงแปดเหลย่ี ม ยอ เกจ็ รองรบั บวั ถลา
สามช้ัน ถดั ขึน้ ไปเปน องคร ะฆงั ขนาดเล็ก ถัดจากองคร ะฆังเปนบลั ลังกส ี่เหล่ยี ม ปลองไฉน ยกยอดฉัตรตามแบบลานนา
82 หนงั สอื ทรี่ ะลกึ พธิ ีถวายผา พระกฐนิ พระราชทาน มศว ๒๕๖๕
วดั หมืน่ เงนิ กอง
ภาพถา ย: กฤศณฏั ฐ ดลิ กศริ ธิ นภทั ร
๓๔) วดั หมน่ื เงนิ กอง ตงั้ อยทู ี่ ๓๐ ถนนสามลา น ตาํ บลพระสงิ ห อําเภอเมอื งเชยี งใหม หมน่ื เงนิ กอง เปน ชอ่ื
ของมหาอํามาตยใ นสมัยพระเจา กือนา อดีตเรียกวา วัดมะยมกอง วหิ ารและพระอโุ บสถเปนอาคารครึง่ ปูนครึ่งไมศิลปะ
แบบลานนา หนาบันเปนไมแกะสลักรูปพรรณพฤกษาประดับดวยกระจกสี ภายในประดิษฐานพระประธานศิลปะลาน
นา ผนงั และเสาทาสีแดงชาดทั้งหลงั เขียนลวดลายดวยสที อง พระเจดียทรงปราสาท ฐานส่ีเหล่ยี มยอมุมสูง
วดั หมน่ื ตูม
ภาพถา ย: กฤศณฏั ฐ ดลิ กศิริธนภทั ร
๓๕) วดั หมื่นตมู ตงั้ อยูท ี่ ๔๕ ถนนพระปกเกลา ตาํ บลพระสงิ ห อาํ เภอเมอื งเชยี งใหม จดุ เดนอยูทพี่ ระวิหาร
สถาปตยกรรมลานนาด้ังเดิม คือ เปนวิหารทรงเต้ีย หลังคาซอนช้ัน โครงสรางหลักเปนไม แตสวนผนังฉาบดวยปูน
ดานหนาพระวิหารตกแตงลวดลายสีทองออนชอยสวยงาม หนาบันแบบมาตางไหม ซึ่งแสดงถึงเอกลักษณอันเกาแกของ
สถาปต ยกรรมลา นนา พระเจดยี ป ระธานของวดั เปน เจดียส ีขาวยอ มมุ ทงั้ องค บรเิ วณฐานมรี ปู ปน สงิ หแ บบลานนาเฝา อยู
ทงั้ สมี่ มุ สว นยอดของพระเจดยี ป ระดบั ดว ยกระจกสเี ปน ลายเลขาคณติ บลั ลงั กย อดหม แผน ทองคาํ เปลวหมุ ทองคาํ ยกฉตั ร
วดั พระสิงหวรมหาวิหาร อําเภอเมืองเชียงใหม จงั หวดั เชียงใหม 83
วัดหมนื่ ลาน
ภาพถา ย: กฤศณัฏฐ ดิลกศริ ิธนภทั ร
๓๖) วดั หมื่นลาน ตง้ั อยทู ่ี ๑๔ ถนนราชดาํ เนิน ตําบลศรีภูมิ อําเภอเมืองเชียงใหม เดิมช่อื วดั หม่ืนสามลา น
สรางข้ึนในชวงรัชสมัยของพระเจาติโลกราช กษัตริยราชวงศมังราย โดยผูสรางวัดก็คือขุนพลของพระองค ช่ือวา
หมืน่ โลกสามลา นขนุ พลแกว หรอื หม่ืนดง ซ่ึงสรา งขึ้นมาเพ่ืออุทิศแกแ มทัพของอยุธยาท่แี พใ นชว งสงครามและเสยี ชีวติ
ในสนามรบ ภายในวหิ ารมกี ารผสมผสานศลิ ปะลา นนาแบบโบราณ ประดษิ ฐานพระพทุ ธรปู ปางมารวชิ ยั เปน พระประธาน
พระปางมารวชิ ัยขนาดเลก็ และพระยนื ปางตา งๆ ฝาผนังมีภาพเขยี นจติ รกรรมเลาเร่อื งราวของพทุ ธประวตั ิ
วดั อนิ ทะขีลสะดือเมอื ง
ภาพถาย: กฤศณฏั ฐ ดลิ กศิรธิ นภทั ร
๓๗) วัดอินทะขีลสะดือเมือง ตั้งอยูที่ ใจกลางเมืองเชียงใหม ถนนอินทรวโรรส ตําบลศรีภูมิ อาํ เภอเมือง
เชยี งใหม เดมิ ทเี ปน วดั รา งและเคยเปน ทปี่ ระดษิ ฐานเสาอนิ ทขลี (เสาหลกั เมอื ง) ของเมอื งเชยี งใหม สรา งโดยพญามงั ราย
มหาราชผูกอ ต้ังนครเชียงใหม เมือ่ ประมาณ พ.ศ. ๑๘๓๙ คาํ วา อินทขีล มาจากคาํ วา อินทขลี ะ ในภาษาบาลี ซึ่งแปลวา
เสาเขอื่ น, เสาหนิ , หรอื เสาหลกั เมอื ง สว นคาํ วา สะดอื เมอื ง นน้ั เนอื่ งจากวดั ตง้ั อยใู จกลางของเมอื งเชยี งใหมผ คู นทงั้ หลาย
84 หนังสอื ทีร่ ะลกึ พธิ ถี วายผา พระกฐินพระราชทาน มศว ๒๕๖๕
จงึ นยิ มเรยี กกนั ตดิ ปากวา วดั สะดอื เมอื ง ดงั นนั้ ทางวดั จงึ ตง้ั ชอื่ วา วดั อนิ ทขลี สะดอื เมอื ง ภายในพระวหิ าร มพี ระเจา อนุ เมอื ง
หรือ หลวงพอขาวประดิษฐานเปนพระประธานหันหนาไปทางทิศตะวันออก ดานหลังพระวิหารมีเจดียทรงระฆัง
ตั้งอยูบนฐานส่ีเหล่ียม สวนบนเปนฐานหนากระดานสูงใหญ ถัดขึ้นไปเปนฐานทรงกลมสามช้ัน รองรับองคระฆัง
ถัดขน้ึ ไปเปนบัลลังก กานฉตั ร บวั ฝาละมี และปลอ งฉไน โดยมเี จดยี องคเล็กศลิ ปะหริภุญชยั อยูภายใน
ภาพถวา ัดยอ: โุกมฤงศคณมฏัหฐาเดถิลรกจศนั ิรทิธรน ภัทร
๓๘) วดั อโุ มงคม หาเถรจันทร ตง้ั อยทู ี่ ๑๒๙ ถนนราชภาคนิ ัย ตําบลศรภี มู ิ อาํ เภอเมืองเชียงใหม เดิมชื่อวา
วัดโพธิ์นอย วัดมหาจันทร วัดอุโมงคอริยมณฑล หรือ วัดมหาพลอยสะหรีนอยกลางเวียงวิหารศิลปะลานนาท่ียอมุม
ดา นหนา และดา นหลงั มหี ลงั คาซอ นเปน ตบั มมี ขุ ยน่ื ทางดา นเหนอื ดา นเดยี ว หางหงสป ระดบั ดว ยกระจกสี หนา บนั ประดบั
ดวยไมแกะสลักรูปสัตวและดอกประจํายามติดกระจกสี โกงค้ิวประดับไมแกะสลักลายเครือเถาไมมีรวงผึ้ง กรอบประตู
เปนซุมโคง มีพระพุทธรูปปูนปน เสาประตูประดับลวดลายรองชาด สรางข้ึนในระหวางพุทธศตวรรษที่ ๒๔–๒๕ เจดีย
องคใหญท่ีอยูหลังวิหาร สรางประมาณพุทธศตวรรษท่ี ๑๒–๒๒ เจดียองคเล็กที่อยูดานทิศใตวิหาร อาจจะสรางขึ้นเม่ือ
ประมาณตนพุทธศตวรรษท่ี ๒๐ เจดียองคเล็กซ่ึงอยูดานทิศใตวิหาร เปนโบราณสถานที่สําคัญท่ีสุดของวัด อาจมีอายุ
เกาแกร าวพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๑
วังเกา ตาํ หนกั เกา หอคาํ ในเวยี งชัน้ ใน เชยี งใหม
ผสู รา งนพบรุ ศี รนี ครพงิ คเ ชยี งใหม คอื พญามงั ราย แหง เมอื งเชยี งราย เมอ่ื พ.ศ. ๑๘๓๙ เพอ่ื ใหเ ปน ศนู ยก ลาง
การปกครองอาณาจกั รลา นนา พญามงั รายทรงเปน กษตั รยิ แ หง ราชวงศม งั ราย ปกครองนครเชยี งใหม ซงึ่ หลายยคุ หลาย
สมัยไดตกเปนเมืองข้ึนของพมาและกรุงศรีอยุธยา จนถึงรัชสมัยสมเด็จพระเจาตากสินมหาราช นครเชียงใหมไดตกเปน
เมอื งขน้ึ หรอื ประเทศราชของกรงุ ธนบรุ ี จนกระทงั่ สมยั กรงุ รตั นโกสนิ ทร สมยั พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา จฬุ าโลก
รชั กาลท่ี ๑ ทรงโปรดเกลา ฯ แตง ตง้ั พระยากาวลิ ะ ขนึ้ เปน เจา เมอื งเชยี งใหม ตอ มา ในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา
เจาอยหู ัว รชั กาลที่ ๗ ทรงยกเลิกตาํ แหนง เจา เมือง ฝา ยเหนือทกุ พระองค โดยถอื วา ตงั้ แต พ.ศ. ๒๔๖๙ เปนตน ไป หาก
ตาํ แหนง เจาเมอื งใดวางลง จะไมโปรดเกลา ฯแตง ตัง้ ข้นึ อกี ซงึ่ เจา แกว นวรฐั เปน เจาเมอื งองคส ดุ ทาย ของเมืองเชียงใหม
เจาแกวนวรัฐถึงแกพิราลัย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๒ และหลังการเปล่ียนแปลงการปกครอง เม่ือ พ.ศ. ๒๔๗๕ ระบบมณฑล
ถูกยกเลกิ เมืองเชยี งใหมจ งึ กลายมาเปนจงั หวดั เชยี งใหม นับแตน ้นั มา
จงั หวดั เชยี งใหมม แี หลง ทอ งเทย่ี ว และแหลง ศกึ ษาหาความรมู ากมาย นอกจากแหลง ทอ งเทย่ี วธรรมชาตแิ ลว
สง่ิ ทห่ี ลงเหลอื และยงั คงอยใู นปจ จบุ นั คอื วดั วงั (คมุ หลวง) ไดก ลายเปน หนง่ึ ในแหลง ทอ งเทยี่ วทางประวตั ศิ าสตร โบราณ
สถาน สถานที่สักการะ ทาํ บุญ ไหวพระ
วัดเจดียหลวง เดิมช่ือ ราชกุฏาคาร วัดโชติการาม เปนพระอารามหลวงเกาแกของจังหวัดเชียงใหม
เปน ศนู ยก ลางทางการปกครองของอาณาจกั รลา นนา ทกี่ ลายเปน แรงบนั ดาลใจในการสรา งสรรคผ ลงานศลิ ปะแบบลา นนา
86 หนังสอื ท่ีระลึกพธิ ีถวายผาพระกฐนิ พระราชทาน มศว ๒๕๖๕
วัดพระสิงหวรวิหาร เปนวัดสาํ คัญมากอีกแหงหนึ่งของเมืองเชียงใหม เปนวัดท่ีประดิษฐานพระสิงห
(พระพทุ ธสหิ งิ ค) พระพทุ ธรปู ศกั ดสิ์ ทิ ธค์ิ เู มอื งเชยี งใหมแ ละแผน ดนิ ลา นนา พระพทุ ธรปู ศกั ดส์ิ ทิ ธอ์ิ งคน เี้ ปน ศลิ ปะเชยี งแสน
รูจ ักกันในชอื่ “เชียงแสนสิงหหน่งึ ”
พระบรมราชานุสาวรียสามกษัตริย หรือเรียกวา อนุสาวรียสามกษัตริย เปนพระบรมราชานุสาวรียของ
พระมหากษตั รยิ ๓ พระองคผ สู รา งเวยี งเชยี งใหม คอื พญามงั ราย พญางําเมอื ง และพอ ขนุ รามคาํ แหงมหาราช มชี อ่ื เรยี ก
อกี อยา งหนง่ึ วา ขว งสามกษตั รยิ หรอื ขว งอนสุ าวรยี ส ามกษตั รยิ ตง้ั อยกู ลางเวยี งเชยี งใหม บรเิ วณหนา หอศลิ ปวฒั นธรรม
เมอื งเชยี งใหม ซงึ่ เปนแหลง ทองเท่ียวและศกึ ษาหาความรทู างดานประวตั ศิ าสตรเมืองนพบรุ ศี รีนครพงิ คเชียงใหม
อกี สถานทนี่ อกจากวดั ทอี่ ยใู นเวยี ง กลางเมอื งนพบรุ ศี รนี ครพงิ คเ ชยี งใหม คอื วงั เกา หรอื คมุ จา ว (เจา ) โบราณ
ซึ่งเปนสถานที่ท่ีใชพาํ นักของจาวและราชวงศ ซ่ึงหนึ่งในคุมที่ยังคงมีใหเห็นในกลางเวียง คือ “คุมเจาบุรีรัตน” หรือชื่อ
เต็มอยางเปน ทางการ คอื ศูนยสถาปต ยกรรมลา นนา คุมเจาบรุ รี ตั น (เจา นอยมหาอินทร ณ เชยี งใหม) ซึง่ เปนคมุ โบราณ
อายุกวา ๑๓๐ ป
วัดพระสงิ หว รมหาวหิ าร อาํ เภอเมืองเชยี งใหม จังหวัดเชยี งใหม 87
ศนู ยสถาปต ยกรรมลานนา คมุ เจาบุรรี ัตน (เจา นอ ยมหาอนิ ทร ณ เชยี งใหม) ชาวเชยี งใหมเ รียกอกี ชื่อหนงึ่ วา
“คุมกลางเวียง” ถือเปนคุมจาวเพียงไมกี่แหงที่เหลืออยูในเมืองเชียงใหม เปนหนวยงานภายใตการบริหารจัดการโดย
คณะสถาปต ยกรรมศาสตร มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม มวี ตั ถปุ ระสงคเ พอื่ เปน ศนู ยก ลางในการรวบรวม จดั เกบ็ จดั แสดง และ
ศกึ ษาคน ควา ขอ มลู ดา นประวตั ศิ าสตรส ถาปต ยกรรมลา นนา ตง้ั แตอ ดตี จนถงึ ปจ จบุ นั มที ที่ ําการ ณ อาคารคมุ เจา บรุ รี ตั น
(มหาอินทร) ซึ่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม ไดรับบริจาคจากคุณเรียงพันธุ ทิพยมณฑล และอาจารยจุลทัศน กิติบุตร
เม่ือวันท่ี ๙ มีนาคม ๒๕๔๔
อาคารคุมเจาบุรีรัตน หรือ คุมกลางเวียง เดิมเปนของ เจาบุรีรัตน มหาอินทร หลานของเจาหลวงคําฝน
(เจา หลวงเชยี งใหม องคท ่ี ๓) สนั นษิ ฐานวา นา จะสรา งขน้ึ ระหวา งป พ.ศ. ๒๔๓๒ - ๒๔๓๖ ตอ มาเจา นอ ยชมชน่ื ณ เชยี งใหม
บุตรชาย ไดรับมรดกและเปนผูครอบครองอาคาร และนางบัวผัน นิกรพันธ ไดซื้อตอจากเจาบุษบา ณ เชียงใหม
(ภริยาเจานอยชมชื่น ณ เชียงใหม) จนเปนมรดกตกทอดมาจนถึงญาติคนปจจุบัน คือ คุณเรียงพันธุ ทิพยมณฑล ท้ังน้ี
ตระกูลกิติบุตรและทิพยมณฑล ไดมอบอาคารคุมเจาบุรีรัตน มหาอินทร ใหกับ มหาวิทยาลัยเชียงใหม เพ่ือใหใชเปน
ทีท่ ําการของศูนยสถาปต ยกรรมลานนา ภายใตก ารดูแล และดาํ เนนิ งานของคณะสถาปตยกรรมศาสตร
88 หนงั สอื ท่รี ะลกึ พธิ ถี วายผาพระกฐินพระราชทาน มศว ๒๕๖๕
อาคารคุมเจาบุรีรัตน เปนตัวอยางของงานสถาปตยกรรมที่ผสมผสานระหวางลักษณะพ้ืนถ่ินและอิทธิพล
ตะวนั ตก เปน แบบอยา งสถาปต ยกรรมอทิ ธพิ ลตะวนั ตกทสี่ รา งในเมอื งเชยี งใหมย คุ แรก และยงั แสดงออกถงึ อทิ ธพิ ลของ
การกออิฐ การแปรรูปไม เทคนิคการเขาไมท่ีเขามาพรอมกับการเปลี่ยนแปลงของระบบเศรษฐกิจและสังคมของเมือง
เชียงใหมชวงปลายรัชกาลที่ ๕ ตัวอาคารเปนเรือนคร่ึงปูนคร่ึงไมสองชั้น ต้ังตระหงานกลางตัวเมืองอยางเดนชัด
ดูมีมนตรขลัง สามารถหยุดความสนใจของผูคนและนักทองเท่ียว เม่ือไดเขามาจะสัมผัสไดถึงสเนหและความสวยงาม
ราวกบั พายอ นอดตี สถานทที่ เ่ี ปย มไปดว ยความทรงจําและรอ งรอยประวตั ศิ าสตร มบี นั ไดอยดู า นนอก ชน้ั ลา งกอ อฐิ หนา
เปนรูปโคง (Arch) ฉาบปูนเปนระเบียงโดยรอบ
ชั้นบนเปนพ้ืนไมสักมีระเบียงโดยรอบ หลังคาจั่วและหลังคาปนหยามุงดวยกระเบื้องดินขอคลุมระเบียง
โดยรอบ ปจจุบันตัวอาคารยังอยูในสภาพดี แสดงถึงวิทยาการการกอสรางท่ีแข็งแรงคงทนในอดีต ซ่ึงภายในศูนย
สถาปตยกรรมนอกจากใหความรูทางดานสถาปตยกรรมของอาคารแลว ยังใหบริการในสวนตางๆ อาทิ ๑) ขอมูลงาน
วิจัย/หนังสือเก่ียวกับลานนา ๒) ขอมูลดานวัฒนธรรมและประเพณี ๑๒ เดือน ๓) ขอมูลดานศิลปกรรม อาทิ จิตรกรรม
ประติมากรรม ฯลฯ ๔) หองสมุดสถาปตยกรรม ท่ีแสดงรูปหุนจาํ ลองอาคารแบบตางๆ เชน วัดตนแกวน เรือนพื้นถ่ิน
บานไทลื้อ โครงสรางวิหาร เปนตน ๕) หองสมุดหนังสือ และ ๖) หองสมุดภาพของวัดตางๆ อาทิ อุโบสถสองสงฆ
วัดพระสิงหว รมหาวหิ าร อําเภอเมอื งเชียงใหม จังหวดั เชยี งใหม 89
วดั พระสงิ หว รมหาวหิ าร วหิ ารวดั พนั เตา วหิ ารวดั เกตการาม เปน ตน บรเิ วณดา นบนของคมุ ออกแบบเปน ไม ฉลลุ วดลาย
บริเวณตางๆ อยางสวยงาม มีระเบียงท่ีสามารถเดินไปรอบๆ ตัวเรือนได ตัวคุมคอนขางโปรง โลง ภายในแบงสัดสวน
ออกเปน หลายหอ ง หอ งแรกจดั แสดงสถาปต ยกรรมลา นนาแบบตา งๆ มรี ปู โบราณของเจา แหง เมอื งเชยี งใหมพ รอ มเรอื่ งราว
ที่พาเรายอนอดีตเรียนรูประวัติศาสตร เชน เรื่องราวความสําคัญของเจาบุรีรัตน ซ่ึงเปนบรรดาศักด์ิตําแหนงหนึ่งใน
หา ของศกั ดนิ า “ขนั หา ใบ” ประกอบดว ย ๑) เจา หลวง ๒) เจา อปุ ราช ๓) เจา ราชวงศ ๔) เจา ราชบตุ ร และ ๕) เจา บรุ รี ตั น
หองอ่ืนๆ ถัดมามีหองพระ หองนอน ซ่ึงหองนี้จะมีเตียงส่ีเสาแตงมุงสีขาว มีการจาํ ลองท้ังโตะทาํ งาน เครื่องเรือน
90 หนงั สือทีร่ ะลกึ พิธีถวายผา พระกฐนิ พระราชทาน มศว ๒๕๖๕
เครอ่ื งใชโ บราณ เส่ือผืนหนา ซงึ่ บางสว นเปน ของใชโ บราณจรงิ ๆ แสดงใหเ หน็ ถึงความเรยี บงา ยของเจา นายในอดีต ถดั ไป
เปน หองของภรรยาและลกู ๆ ซึง่ มตี เู กบ็ ของและหบี ใสผ า อยดู ว ย จุดเดน อกี อยา งหนง่ึ ของตวั เรอื น คือ หนา ตา งกระจกทีม่ ี
ลกู เลนและกลไกเฉพาะตวั
กวิน วองวิกยการ (สัมภาษณ. ๒๕๖๓) หัวหนาศูนยออกแบบและใหคําปรึกษางานสถาปตยกรรม
คณะสถาปต ยกรรมศาสตร มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม เลา วา อาคารคมุ เจา บรุ รี ตั น มหาอนิ ทร ตง้ั อยบู นพนื้ ที่ ๑ ไร ๓ งาน ๘๔
ตารางวา เปน หนงึ่ ในตวั อยา งสําคญั ของงานสถาปต ยกรรมทรี่ ปู แบบผสมระหวา งลกั ษณะพนื้ ถนิ่ และอทิ ธพิ ลตะวนั ตก คอื
การผสมผสานของเรอื นมะนลิ ากบั สถาปต ยกรรมแบบโคโลเนยี ล ซงึ่ แพรห ลายในประเทศยคุ ลา อาณานคิ ม ตวั อาคารเปน
อาคารสองชั้น คร่ึงปูนครึ่งไม มีระเบียงโดยรอบ เปนแบบอยางสถาปตยกรรมอิทธิพลตะวันตกที่สรางในเมืองเชียงใหม
ยคุ แรก ภายในกอ อฐิ หนาสงู ประมาณ ๑.๘๐ เมตร โดยรอบทง้ั สด่ี า น แปลนอาคารเปน ลกั ษณะศอกคู หรอื รปู ตวั แอล (L)
บรเิ วณช้นั ๑ มี ๓ หอง บริเวณช้นั ๒ มี ๓ หอ ง มีบันไดอยูนอกอาคารทง้ั ดา นหนา และดา นหลัง
สุธิดา สุมณศิริ (สัมภาษณ. ๒๕๖๓) พนักงานปฏิบัติงาน (บริการวิชาการ) ณ ศูนยสถาปตยกรรมลานนา
เลาเสริมถงึ รายละเอียดภายในของศนู ยสถาปตยกรรมลานนา วา โครงสรา งพนื้ ชน้ั ๑ แตเ ดมิ มกี ารสนั นษิ ฐานวา เปนดิน
มกี ารเรยี งพนื้ หรอื ปพู นื้ ดว ยอฐิ หลงั จากนนั้ ทาํ พน้ื ปนู ซเี มนต ในสว นของโครงสรา งเสาและผนงั รบั น้ําหนกั ของอาคารไดร บั
อิทธิพลการกอสรางจากตะวันตกรูปแบบผนังรับน้ําหนักมีลักษณะกอกําแพงหนา ๔๐ เซนติเมตร ผนังภายนอกสวน
ระเบยี งทศิ เหนอื และทศิ ตะวนั ตก ตกแตง ดว ยการเจาะชอ งโคง แสดงถงึ กลน่ิ อายของสถาปต ยกรรมโคโลเนยี ล ผนงั ทศิ ใต
และทิศตะวันออกมีการตกแตงทาํ ใหเกิดจังหวะของเสาและกําแพง ขอบบนของผนังภายนอกตกแตงดวยบัวปูนปน
รอบอาคาร บรเิ วณฝา เพดานตไี มป ด โครงสรา งของพนื้ ชน้ั สอง ตปี ด ไมส กั แนวเดยี ว เชน เดยี วกนั ชน้ั สอง แตม ลี กั ษณะโคง
ขึ้นจากคอสองของผนังภายในอาคาร ในสวนของบริเวณช้ัน ๒ ของอาคารประกอบดวยโครงสรางไมที่พ้ืนและผนัง
ในสว นของพน้ื มกี ารวางโครงสรา งพนื้ แบบเรอื นลา นนา วางบนโครงสรา งผนงั รบั นา้ํ หนกั พน้ื ไมช นั้ บนเปน ไมส กั วางตชี ดิ
ทง้ั ภายในอาคารและระเบยี งรอบมกี ารวางไมพ น้ื สองแนว ลกั ษณะไมม ขี นาดทไี่ มส มํา่ เสมอ บอกถงึ ฝม อื งานชา งไมใ นสมยั
น้ันท่ีใชแรงงานดวยมือ เน่ืองจากยังไมมีเครื่องจักรใหญ ในสวนของโครงสรางผนังช้ัน ๒ ประกอบดวยโครงสรางไม
วดั พระสิงหวรมหาวิหาร อาํ เภอเมอื งเชียงใหม จงั หวัดเชยี งใหม 91
ลักษณะเปนโครงเคราตั้ง เพื่อรับผนังแนวนอนรอบอาคาร และโครงเครานอน ในสวนของประตูและหนาตาง ผนังเปน
ไมสัก มีการตกแตงขอบจากกบไสไมและเขาไมดวยผนังบังใบ ทําใหผนังเรียบเสมอหนาไม แสดงใหเห็นถึงการเนน
รายละเอยี ดของการใชว สั ดุ ยกเวน สว นหอ งเกบ็ ของทศิ ใตข องอาคารและหอ งพระดา นทศิ เหนอื ของอาคาร ทไี่ มม กี ารปด
ผนังภายใน
ทางดาน สุธิดา สุมณศิริ (สัมภาษณ. ๒๕๖๓) พนักงานปฏิบัติงาน (บริการวิชาการ) เพิ่มเติมวา สวนของ
หลงั คาเปน รปู แบบมะนลิ าคลมุ พนื้ ทไี่ ปยงั ระเบยี งโดยรอบทงั้ หมด ลกั ษณะโครงสรา งเปน รปู แบบสถาปต ยกรรมตะวนั ตก
มีการทแยงไมรับน้าํ หนักหลังคา เพื่อลดการชนไมของโครงสราง ทําใหสามารถรับนา้ํ หนักที่ดีกวา กระเบื้องมุงหลังคา
ของเดิมเปนกระเบ้ืองดินขอ วัสดุหลังคาทองถิ่น มีลักษณะเล็กและเบา นอกจากน้ียังมีลูกเลนของความสวยงามบริเวณ
ระเบยี งรอบอาคารทเ่ี ปน การฉลลุ ายไมร ปู ดอกไม ลายดอกประจาํ ยามราชวตั ร ซงึ่ เปน ลวดลายทเ่ี หน็ ไดท ว่ั ไปของบา นเรอื น
ในพน้ื ถน่ิ ลา นนาสมยั กอ น ในสว นของประตแู ละหนา ตา ง ใชป ระตลู กู ฟก บานเปด คู ตกแตง สว นบนเปน บานเกรด็ ทเี่ กดิ จาก
การใชเ ครอ่ื งมอื ชา งในสมยั โบราณ ดว ยการไสไ มใ หเ ปน บานเกรด็ และเขา ไมด ว ยบงั ใบ เปน ลกั ษณะเดน ของประตทู ไ่ี ดร บั
อิทธิพลตะวันตก สวนหนาตางเปนบาดเปดคู ภายในกั้นดวยลูกกรงสายบัวเหล็ก สวนประกอบของประตูและหนาตาง
เชน ตัวกลอนยาว มือจับ ของเดิมยังหลงเหลือใหเห็น จุดเดนอยูที่บริเวณหองชั้นสองมีการติดต้ังบานกระจกพลิก
ชนดิ ฝา ขนุ ซงึ่ สามารถพลกิ ได ๑๘๐ องศา ในสมยั กอ นถอื เปน ลกู เลน ทพ่ี บเหน็ ไดเ ฉพาะบา นของเจา นายหรอื คหบดี แตใ น
ปจ จบุ นั สามารถพบเหน็ ไดท ว่ั ไป นอกจากนย้ี งั มบี อ นาํ้ สองจดุ คอื บรเิ วณทศิ เหนอื เดมิ เปน บอ นํ้าทรงกลม เนอื่ งจากความ
ทรดุ โทรม จงึ ปรบั ปรงุ เปน สเ่ี หลยี่ ม และสว นบรเิ วณทศิ ใตย งั คงสภาพเดมิ นอกจากนยี้ งั มรี อ งรอยของกาํ แพงอฐิ กอ ขนึ้ มา
สันนิษฐานวาเปน “ตอม” คือพื้นท่ีใชอาบนา้ํ ของชาวพื้นเมืองลานนา สันนิษฐานวามีลักษณะเปนการกออิฐสูงขึ้นมา
เพ่อื บดบังทศั นวิสัย
92 หนังสือท่รี ะลกึ พิธีถวายผา พระกฐนิ พระราชทาน มศว ๒๕๖๕
สุธิดา สุมณศิริ (๒๕๖๓) เลาวา พนื้ ทขี่ องศูนยสถาปตยกรรมลา นนา นอกจากจะมพี ืน้ ท่ีจัดแสดงภายในแบบ
ถาวรบริเวณช้ัน ๒ ซึ่งจัดแสดงขอมูลทางดานสถาปตยกรรมของลานนาแลว ในสวนบริเวณชั้น ๑ ยังเปนพ้ืนที่จัดแสดง
นทิ รรศการหมนุ เวยี น นกั ศกึ ษาจากมหาวทิ ยาลยั เชยี งใหมส ามารถมาใชง านไดท กุ คณะ รวมถงึ องคก รทง้ั ทางภาครฐั และ
เอกชนสามารถติดตอขอใชพ้ืนที่เพื่อจัดแสดงผลงาน หรือกิจกรรมไดท้ังบริเวณพื้นท่ีชั้น ๑ ภายในตัวอาคารและพื้นท่ี
กลางแจงดา นนอก แตจ าํ กดั เวลา คือ วันทาํ การ จนั ทร- ศกุ ร ไมเ กนิ ๑๖.๓๐ น. วันเสาร-อาทิตยแ ละวนั หยุดนกั ขตั ฤกษ
ไมเกิน ๒๐.๐๐ น. กิจกรรมท่ีจัดจะเปนศิลปะประเภทงานวาดเขียน งานประดิษฐ กลุมศิลปะศึกษา งานออกแบบ
ผลติ ภัณฑ ภาพวาด การแสดงกลางแจง ขนาดเล็ก งานประชุมสัมมนาท่เี ก่ียวเนื่องกบั งานศิลปะ เปน ตน
การบรหิ ารจดั การ ศนู ยส ถาปต ยกรรมลา นนา คมุ เจา บรุ รี ตั น (เจา นอ ยมหาอนิ ทร ณ เชยี งใหม) จงั หวดั เชยี งใหม
เปน พพิ ิธภณั ฑกึ่งสถานศึกษา ประเภทประวัตศิ าสตร สถาปตยกรรม และอ่นื ๆ
๑. วัตถจุ ดั แสดงที่มีความสาํ คัญ / ส่งิ ทนี่ าสนใจ
๑.๑ สถาปตยกรรมของอาคารคุม เจา บรุ ีรัตน
๑.๒ นิทรรศการ และแบบจําลองทางสถาปตยกรรม ประเภทศาสนาสถาน บา นเรอื น ฯลฯ
๑.๓ หองจาํ ลองวิถีชวี ิตเจานายภาคเหนือในสมัยกอ น
วัดพระสงิ หว รมหาวิหาร อาํ เภอเมืองเชียงใหม จังหวดั เชียงใหม 93
๒. ทต่ี ง้ั และการติดตอ
๒.๑ เลขที่ ๑๑๗ ถนนราชดาํ เนนิ ตาํ บลพระสิงห อําเภอเมืองเชยี งใหม จังหวัดเชียงใหม ๕๐๒๐๐
๒.๒ โทรศพั ท : ๐๕๓-๒๗๗ ๘๕๕ หรอื ๐๕๓-๙๔๒ ๘๐๖
๒.๓ โทรสาร : ๐๕๓-๒๒๑ ๔๔๘
๒.๔ เวบ็ ไซต : http://www.lanna-arch.net/
๓. วนั และเวลาทาํ การ
๓.๑ วนั อังคาร-วนั เสาร เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๗.๐๐ น.
๓.๑.๑ ชว งเชา เวลา ๐๙.๐๐ / ๑๐.๐๐ / ๑๑.๐๐ น.
๓.๑.๒ ชว งบา ย เวลา ๑๔.๐๐ /๑๕.๐๐ / ๑๖.๐๐ น.
๓.๒ วันอาทิตย เวลา ๑๓.๐๐ - ๒๐.๐๐ น.
๓.๒.๑ รอบนาํ ชมรวมกับถนนคนเดินทาแพ-ราชดาํ เนิน กรุณาติดตอเจาหนาท่ี ณ จุด
ประชาสัมพันธ เวลา ๑๓.๓๐ / ๑๔.๓๐ /๑๕.๓๐ / ๑๗.๐๐ / ๑๘.๐๐ /๑๙.๐๐ น.
๓.๓ หยดุ ทุกวนั จันทร
๔. อตั ราคาเขาชม
๔.๑ ประเภทบุคคลท่วั ไป
๔.๑.๑ ผมู ีสัญชาตไิ ทย ราคา ๖๐ บาท
๔.๑.๒ ผูมสี ัญชาติอนื่ ราคา ๑๒๐ บาท
๔.๒ ประเภทนกั เรียน นักศกึ ษา และผูสงู อายุ (๖๐ ปขึ้นไป)
๔.๒.๑ ผมู สี ญั ชาตไิ ทย ราคา ๑๐ บาท
๔.๒.๒ ผมู ีสญั ชาตอิ ่ืน ราคา ๒๐ บาท
๔.๒.๓ นักเรยี น / นกั ศึกษาที่ไมอยูใ นเครือ่ งแบบ – โปรดแสดงบัตรประจาํ ตวั
๔.๒.๔ ผสู ูงอายุ โปรดแสดงบตั รประจาํ ตวั หรอื Passport
๔.๓ ประเภทไดรบั การยกเวนการเกบ็ คาธรรมเนยี มเขา ชม
๔.๓.๑ เยาวชนท่ีมีอายุต่าํ กวา ๗ ป พระภิกษุ สามเณร และผูพกิ าร
วัดพันเตา จากคุมเจา หลวงสูวิหารไมสักแหง นพบุรศี รนี ครพงิ คเชียงใหม
นอกจากคมุ เจา บรุ รี ตั น (เจา นอ ยมหาอนิ ทร ณ เชยี งใหม) แลว ในพน้ื ทใี่ กลก นั ยงั มโี บราณสถานทเี่ คยเปน วงั เกา
หรอื คมุ เกา มากอ น นนั่ คอื วดั พนั เตา ซงึ่ แตเ ดมิ คนเชยี งใหมเ รยี กทนี่ วี่ า วดั ปน เตา (หรอื พนั เทา ) อนั หมายถงึ การมาทาํ บญุ
เพียงหนึ่งจะไดบุญกลับไปเปนพันเทา ภายหลังเพ้ียนเปนพันเตา เปนหน่ึงในวัดเกาแกใจกลางเวียงเชียงใหม
เดมิ เปน เขตสังฆาวาสและพ้ืนท่ีหลอ พระอัฎฐารสของวดั เจดยี หลวง
94 หนงั สอื ท่รี ะลึกพธิ ีถวายผา พระกฐินพระราชทาน มศว ๒๕๖๕
วหิ ารวดั พนั เตา เดมิ คอื หอคาํ ของพระเจา มโหตรประเทศ (เจา ครองนครเชยี งใหมอ งคท ่ี ๕) ทพ่ี ระเจา อนิ ทวชิ ยานนท
(เจา ครองนครเชยี งใหมอ งคท ่ี ๗) อทุ ศิ ถวายวดั ใหส รา งเปน วหิ ารเมอื่ ป พ.ศ. ๒๔๑๙ หอคาํ หลงั นเ้ี ปน คมุ หรอื ทอ งพระโรง
หนาของพระเจาเชียงใหม (เชนเดียวกับวัง หรือทองพระโรงของเจานายทางภาคกลาง) ซึ่งหอคํา หรือวิหารหลังน้ี
เปนเรือนโบราณชั้นดีของภาคเหนือ ท่ียังคงรักษาเอกลักษณของภาคเหนือไวไดมาก และคอนขางสมบูรณ แมวาจะได
รับการบูรณะซอมแซมคร้ังใหญไปแลว แตก็มิไดเปนการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางสถาปตยกรรมใหแตกตางไปจาก
การสรา งครั้งแรก
ในอดตี วหิ ารวดั พนั เตาหลงั นเ้ี คยเปน หอคาํ ทปี่ ระทบั ของเจา มโหตรประเทศ เจา หลวงเชยี งใหมอ งคท ี่ ๕ (พ.ศ.
๒๓๙๐ - ๒๓๙๗) อยูท่ีพระตําหนักเวียงแกว ปจจุบันคือบริเวณเยื้องดานทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ศาลากลางหลังเกา
ไปจนถงึ วทิ ยาลยั เทคนคิ เชยี งใหม ตามตาํ นานมเี รอื่ งเลา เกยี่ วกบั หอคําหลงั นว้ี า พระยาอปุ ราชมหาวงศ ไดส รา งขน้ึ ถวาย
เปนพุทธบชู าเมื่อจลุ ศกั ราช ๑๒๐๙ ซ่ึงตรงกบั พ.ศ. ๒๓๙๐ เนอ่ื งจากทา นไดเ ลื่อนฐานันดรศกั ด์ิและตาํ แหนงหนาท่ีจาก
พระยาอุปราชขึ้นเปนพระยาเชียงใหม ทานไดสรางหอคําขึ้นไวเปนที่ประดิษฐานพระพุทธรูปอันเปนปูชนียวัตถุลา้ํ คา
ภายในทอ่ี ยูข องทาน พระยาอุปราชมหาวงศไดมกี ารเฉลิมฉลองหลงั จากทสี่ รา งหอคาํ แลว
วดั พระสงิ หว รมหาวหิ าร อาํ เภอเมืองเชยี งใหม จังหวดั เชยี งใหม 95
ในการสรา งหอคําหลงั นี้ เจา ผคู รองนครเชยี งใหมไ ดใ ชช า งพนื้ เมอื งและชา งพมา ผสมกนั ตอ มาพระยาเชยี งใหม
มหาวงศไดรับพระราชทานเล่ือนฐานันดรศักด์ิข้ึนเปนเจา มีพระนามในสุพรรณบัฏเปน พระเจามโหตรประเทศราชา
ธิบดินทรนพีสิทรมหานคราธิษฐาน เม่ือป พ.ศ. ๒๓๙๖ หลังจากท่ีไดรับพระราชทานฐานันดรศักดิ์ไมก่ีเดือน พระองคก็
ถึงแกพ ิราลยั
เมอื่ พระเจา มโหตรประเทศฯ ถงึ แกพ ริ าลยั แลว พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา เจา อยหู วั รชั กาลที่ ๔ ทรงแตง ตง้ั
ใหนายสุริยวงศ บุตรของพระเจาบรมราชาธิบดี (กาวิละ) ข้ึนเปนเจาผูครองนครเชียงใหมองคท่ี ๖ ช่ือวาพระเจา
กาวิโลรสสุริยวงศ ทรงดาํ รงตาํ แหนงเจา ผูครองนครเชยี งใหมไ ด ๑๖ ปเ ศษก็ถึงแกพริ าลยั เมื่อป พ.ศ. ๒๔๑๓ เจาอปุ ราช
อนิ ทนนท รกั ษาการในตาํ แหนง เจา หลวงเชยี งใหมม ารว ม ๓ ป จงึ ไดร บั การสถาปนาขน้ึ เปน พระเจา อนิ ทวชิ ยานนทพ หล
เทพภักดฯี เจา ผคู รองนครเชยี งใหมอ งคท ี่ ๗ เม่ือ พ.ศ. ๒๔๑๖
ในป พ.ศ. ๒๔๑๙ พระเจา อินทวิชยานนท ทรงมพี ระดําริวา หอคําของพระเจามโหตรประเทศฯ นั้นสมควร
อยูในวัดมากกวาอยูในวัง จึงทรงใหชางรื้อหอคําแลวยายมาปลูกสรางใหมท่ีวัดพันเตา เม่ือวันเสารเดือน ๑๐ ข้ึน ๘ คํา่
เพราะในขณะนนั้ พระเจา อนิ ทวชิ ยานนทก าํ ลงั ทรงปฏสิ งั ขรณว ดั หอธรรม วดั เจดยี ห ลวงและวดั สขุ มนิ้ การกอ สรา งวหิ าร
ของพระอารามทัง้ สามแหง กบั หอคําของวดั พันเตา จงึ แลวเสรจ็ ในป พ.ศ. ๒๔๒๙
โครงสรา งสถาปต ยกรรมของวหิ ารพนั เตา ตัวอาคารไดร บั อทิ ธิพลสถาปตยกรรมแบบเชยี งแสน สว นใหญใ ช
ไมเปนวสั ดุหลัก มีโครงสรา งแบบกรอบยึดมุม เสาและฝาทุกสวนเปน ไม โดยเฉพาะฝามีแบบวิธกี ารสรางพเิ ศษคลา ยกบั
ฝาปะกนสมยั อยธุ ยา แตม ขี นาดตวั ไมท แ่ี นน หนามน่ั คงกวา คอื เปน กรอบไมร ปู สเ่ี หลยี่ ม อดั ชอ งภายในดว ยแผน ไมล กู ฟก
สดั สว นใหญห นากวา ฝาปะกน การทําฝาแบบทางเหนอื นใี้ ชต วั ไมโ ครงเปน ชอ งตารางยดึ ตดิ กบั ชว งโครงสรา งกอ นแลว จงึ
บรรจุแผนลูกฟกภายหลัง ฝาลักษณะน้ีแข็งแรงและมั่นคงเพราะตองทําหนาที่เปนตัวรับนาํ้ หนักของสวนบนอาคารดวย
จดุ เดน ของวหิ ารน้ี คอื ฝาผนงั ดา นขา งจะยาวตลอดเปน แนวเดยี วกนั ไมม กี ารยอ มมุ ซง่ึ เปน ทนี่ ยิ มมากทางภาคเหนอื คอื
การยอมุมตรงมขุ หนา วหิ าร ทัง้ ๆ ที่เปนวิหารขนาดใหญ การสรางวิหารนีช้ างทางเหนือสามารถแกปญหาท่คี วามทบึ ของ
ฝาผนังดานขางท่ีมีขนาดใหญได โดยอาศัยการแบงพื้นท่ีของผนังดวยกรอบไมยึดยันรูปส่ีเหลี่ยม และใชประโยชนจาก
96 หนงั สอื ท่รี ะลึกพิธีถวายผา พระกฐินพระราชทาน มศว ๒๕๖๕
ฝาผนังนีใ้ หเ ปนตัวชว ยรับนํา้ หนกั จากหลงั คาทีม่ ีขนาดใหญตามขนาดวหิ าร
เน่ืองจากวิหารวัดพันเตามีขนาดใหญ ตัววิหารแบงเปน ๗ หอง (แปดชวงเสา) มีผนังยาวตลอดแนว หลังคา
มกี ารลดชนั้ เพอ่ื แกป ญ หาความทบึ เครอ่ื งประดบั หลงั คา มชี อ ฟา รวยระกา หางหงส เปน เครอื่ งไมแ กะสลกั ประดบั กระจก
ท่ีสันหลังคาประดับดวยหงสโลหะสีเงิน โครงสรางภายในหลังคาวิหาร มีช่ือรองรับตุกตาและชื่อลอยทาํ แบบลูกฟกของ
จ่ัวทางดานหนา เพียงแตไมกรุไมลูกฟกเทาน้ัน โครงหลังคาและกรุหนาจั่วถือวาเปนมงคล ทางภาคกลางเรียกวาแบบ
ภควมั โครงสรา งภายในของวหิ ารจะเหน็ ความประณตี บรรจงของการเขา ไม มกี ารลดควิ้ เสน บวั ของลกู ฟก และลดควิ้ ของ
ข่อื และเตา อยา งสวยงาม บางแหง จะพบฝม อื การแกะสลกั ไมง ดงามมาก เชน ข่ือ อกเลาหนา ตา ง เปนตน
มปี ระตทู างเขา ทงั้ หมด ๓ ทางคอื ประตใู หญท างดา นหนา ประตดู า นขา งทางดา นทศิ เหนอื และประตดู า นขา ง
ทศิ ใต ประตทู ส่ี าํ คญั คอื ประตดู า นหนา ซง่ึ ประกอบดว ยซมุ ประตไู มแ กะสลกั ประดบั กระจก เปน รปู สตั วต า งๆ ไดแ ก นกยงู
นาค ลงิ หงส ประกอบลวดลายท่ีกรอบประตูสว นบนเปน โกงคว้ิ ไมแ กะสลกั ลายดอกไมใบไม บานประตเู ปนไมแ ผนเรียบ
หนาตางดานหนาวิหารเปนซุมไมแกะสลักแบบทางเหนือ ท่ีหนาบันของซุมหนาตางแกะสลักลวดลายใบไม
ดอกไมอยูระหวางซุม ๒ ชั้น ภายในซุมชั้นในสลักรูปสัตวคลายสุนัขเหมือนกับตัวสัตวที่อยูใตนกยูงในซุมประตูใหญ
สนั นิษฐานวาหมายถึงปทสี่ รางวิหาร คอื ปจ อ (การสลักรปู สตั วตามปท สี่ รา งนี้นิยมทํากันในภาคเหนอื ) สาํ หรับหนาตา ง
วดั พระสงิ หว รมหาวิหาร อําเภอเมอื งเชยี งใหม จงั หวัดเชียงใหม 97
ดา นอ่นื ๆ เปนหนา ตา ง ๒ ชัน้ ชัน้ นอกเปนหนาตางลกู มะหวด ช้นั ในเปนหนาตา งไมแผนเรียบมีอกเลาทต่ี กแตงดว ยลาย
สลัก ทวย เปน ไมแ กะสลกั ลายนก ๓ ตัวแบบเชียงใหม ลายเมฆไหล แกะสลักเปน รปู ตัวครุฑ ๓ หวั
ความโดดเดนของวัดพันเตาคือ วิหารหลวงที่สรางจากไมสักทองทั้งหลังแกะสลักลวดลายวิจิตรบรรจง
เปน วิหารทส่ี รา งจากหอคําหรอื คมุ เจาหลวงทเี่ หลอื อยูอยางสมบรู ณเ พียงหลังเดียวและสวยงามทส่ี ดุ แหง หนงึ่ ในลานนา
กิจกรรมของวัดพันเตาท่ีนาสนใจคือ เม่ือถึงเทศกาลลอยกระทงหรือประเพณีย่ีเปงของเชียงใหม บริเวณวัด
จะประดับประดาไปดวยโคมไฟลานนาและตนเทียนท่ีทาํ มาจากดินเผาท่ีเรียกวา “ผางประทีป” เม่ือถึงเวลาประกอบ
พธิ กี รรมทางศาสนาพทุ ธ พระสงฆแ ละสามเณรจะเดนิ เรยี งแถวตามทางเดนิ ทรี่ ายลอ มไปดว ยตน เทยี น เปน ภาพทง่ี ดงาม
มาก ทาํ ใหใ นแตล ะปมนี ักทองเท่ยี วเดนิ ทางมาเพื่อชมประเพณียีเ่ ปงทวี่ ัดพันเตาเปนจาํ นวนมาก
98 หนังสือทรี่ ะลึกพธิ ถี วายผาพระกฐนิ พระราชทาน มศว ๒๕๖๕
ประเพณี ๑๒ เดอื น
รปู แบบการนับเดอื นลานนา
ลานนาและไทยในสมัยโบราณใชวิธีนับเดือนแบบจันทรคติ คือนับเดือนโดยอาศัยการโคจรของดวงจันทร
เปน หลกั ชาวลา นนาจะเรยี กเดอื นแรกของปป กตมิ าสวา “เดอื นเกยี๋ ง” (ประมาณเดอื นตลุ าคม) เดอื นทสี่ องเรยี กวา “เดอื น
ย่ี” และนับเดือนสาม เดือนสี่เรื่อยไปตามลําดับ แตในบางป เดือนเกี๋ยงอาจจะเคล่ือนขึ้นไปราวปลายเดือนสิบสอง
(ประมาณเดอื นกนั ยายน) และหากวา เปน ปอ ธกิ มาส คอื ปท มี่ ี ๑๓ เดอื น กจ็ ะเพมิ่ เดอื นสบิ เปน ๒ เดอื น คอื เดอื นสบิ ปฐมะ
และเดอื นสบิ ทุตยิ ะ
การนับเดือนแบบจันทรคตินั้นจะเริ่มนับต้ังแตวันที่ดวงจันทรมีแสงสวางนอยไปจนถึงสวางเต็มดวงเรียกวา
“ขางขึ้น” หรือ “วันเดือนออก” โดยเร่ิมนับตั้งแตวันข้ึน ๑ คํา่ ไปจนถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ํา (วันเดือนเพ็ง, เปง) ตอจากน้ัน
ดวงจันทรก็จะเร่มิ แหวง และมีแสงนอ ยลงตามลาํ ดบั เรียกวา “ขา งแรม” โดยเริม่ นบั ตัง้ แตวันแรม ๑ คํา่ ไปจนถึงวนั แรม
๑๔ คาํ่ (ดบั หน) หรอื วนั แรม ๑๕ ค่ํา (ดบั เตม็ ) ซงึ่ ในเดอื นหนงึ่ อาจมี ๒๙ วนั หรอื ๓๐ วนั แลว แตเ ดอื นขาด เดอื นเตม็ (เดอื น
ขาด คอื มี ๒๙ วนั เพราะมเี พยี ง แรม ๑๔ ค่าํ ) พอครบขา งขนึ้ ขา งแรม ๑ รอบ กจ็ ะนบั เปน ๑ เดอื น ในทน่ี จ้ี ะขอยกตวั อยา ง
ประเพณี ๑๒ เดือนของภาคเหนอื หรือ ลานนา ทยี่ ังคงปฏิบัตกิ ันอยอู ยางสังเขป
เดือนเกย๋ี ง หรอื เดือน ๑ เหนอื (ตุลาคม)
ประเพณที างพทุ ธศาสนา
๑) ประเพณีออกวสั สา
ออกวสั สา หรือ ออกพรรษา คอื วนั สน้ิ เทศกาลเขา พรรษาสิน้ ระยะไตรมาส (๓ เดือน) ในวนั ข้ึน ๑๕ คาํ่ เดอื น
เกยี๋ งเหนอื (เดอื น ๑๑ ภาคกลาง) และ ในวนั นท้ี างสงฆจ ะจดั พธิ เี รยี กวา วนั มหาปวารณา คาํ วา ปวารณา แปลวา อนญุ าต
หรือยอมใหวากลาวถึงขอที่ผิดพลาดลวงเกินระหวางท่ีจาํ พรรษาอยูดวยกัน หลังจากวันแรม ๑ คาํ่ เดือนเก๋ียงไปแลว
พระสงฆจะไปแรมคนื ที่อ่นื ก็ได กอนวนั ออกพรรษาหนงึ่ วัน ชาวบานจะมกี ารทาํ อาหาร ขนม เพอื่ นําไปทําบุญเปน พิเศษ
เชนเดียวกับวันเขาพรรษา สวนในวันออกพรรษานั้น บางแหงจัดทําบุญใสบาตรเทโว คือ ในวันนี้พระสงฆจะทาํ พิธีทาง
ศาสนาในพระอโุ บสถตอนรุงอรณุ ซงึ่ พอดีกบั ฟา สางพระอาทติ ยข น้ึ หมูพระสงฆจะเดนิ ออกจากพระอโุ บสถ
ชาวบานสมมติกันวา พระพุทธเจาเสด็จลงมาจากสวรรคชั้นดาวดึงส เมื่อครั้งที่พระองคเสด็จข้ึนไปโปรด
พุทธมารดา ระหวา งท่หี มูพระสงฆเ ดนิ เรียงมาน้ีชาวบา นผทู าํ บุญก็จะทําพิธใี สบาตรดว ย ขาวสกุ บา ง ขา วตม บาง ขนมที่
เตรียมไวบาง ซึ่งปจจุบันนิยมใสบาตรดวยขาวสารอาหารแหง พอตอนสาย ชาวบานจะทําบุญที่เรียกวา ทานขันเขา
ใหกบั ญาตทิ ่ีตายไปอกี
100 หนังสือทร่ี ะลึกพิธถี วายผาพระกฐินพระราชทาน มศว ๒๕๖๕
๒) ประเพณีทอดกฐิน
ทําในชว งแรม ๑ คํ่า เดอื นเกยี๋ งถงึ ขน้ึ ๑๕ คาํ่ เดอื นยี่ สมยั กอ นชาวลา นนาไมค อ ยนยิ มทอดกฐนิ อยา งปจ จบุ นั
เพราะเปนงานใหญและเตรียมงานมาก โดยเฉพาะการเตรียมบริวารกฐินและการเลี้ยงดูญาติพี่นองท่ีมารวมงาน ผูที่จะ
ถวายกฐินไดจึงตองเปนผูมีฐานะดีมีเจตนาแรงกลาจึงจะถวายได การท่ีผูใดจะถวายกฐินจะตองมีการจองกฐินท่ีวัดและ
ประกาศใหท ราบทวั่ กนั บางแหง มกี ารถวายกฐนิ พเิ ศษทเ่ี รยี กวา “จลุ กฐนิ ” นน้ั จะตอ งมกี ารเกบ็ ฝา ย มากรอเปน ดา ยและ
ทอเสร็จเปน ผนื ทนั ถวายไดภายในวันเดยี ว ซงึ่ ตอ งใชเ จตนาทแ่ี รงกลา จงึ จะทําสําเร็จได
๓) จลุ กฐนิ
งานบุญท่ีตองอาศัยกาํ ลังคนจาํ นวนมากรวมมือกันทาํ ผากฐินใหแลวเสร็จภายในวันเดียว โดยเร่ิมต้ังแตขั้น
ตอนการเก็บฝาย กระทงั่ ทอเปนผืนสมบูรณ ถวายแดพ ระสงฆ
๔) ประเพณีทอดผา ปา
นิยมทาํ กันในเดือนย่ี การทอดผาปามี ๓ ลักษณะ คือ ผาปาหางกฐิน คือ เมื่อทอดกฐินแลวก็เลยทอดผาปา
ตามไปดว ย ผา ปา โยง เปนผา ปา เจาภาพเดยี วบางหรอื หลายเจาภาพบา ง จดั ทาํ รวมกันหลายกอง ผา ปา สามคั คเี ปน การ
แจกฎกี าบอกบญุ ไปยงั ทต่ี า ง ๆ ใหร ว มทาํ บญุ ตามแตศ รทั ธา มกั จดั ขน้ึ เพอ่ื หาทนุ เพอื่ สรา งเสนาสนะในวดั ปจ จบุ นั ผา ปา
บางครั้งกไ็ มมีการทานผา อาจเปน สง่ิ ของอ่นื เชน หนังสอื ขาว ตามแตสะดวกหาได
๕) ประเพณที านทอด
เปนลักษณะการท้ิงทาน โดยผูเจตนาถวายทานจะเตรียมปจจัยไทยทานตาง ๆ ไวพรอมหากตองการนาํ ไป
ถวายพระสงฆหรอื ผูยากไร กจ็ ะแอบเอาของทานน้ันไปวางไวห นา กฎุ หิ รอื หนา บาน หลังจากวางของแลวก็จะจดุ ประทัด
อาจจะแอบดูอยูตามพมุ ไมใหผรู บั ทานเห็นตวั สวนผูร ับทานเมอ่ื ไดย นิ เสยี งประทัดก็จะออกมาดแู ละรับของทานนนั้ ไป
เดอื นย่ี หรอื เดอื น ๒ เหนอื (พฤศจกิ ายน)
ประเพณีทางพทุ ธศาสนา
๑) ประเพณยี ่ีเปง
ประเพณีในเทศกาลวนั เพญ็ เดือน ๑๒ ซง่ึ แตเ ดมิ น้นั พิธีสําคัญของเทศกาลนีอ้ ยูท ่พี ธิ กี รรมต้ังธรรมหลวงหรอื
ฟงเทศนมหาชาติ ชาวบานจะมกี ารประดับประดาวดั วาอาราม บานเรอื น ดว ยประทปี โคมไฟ โคมระยา ทําอุบะดอกไม
ไปถวายวัด ทําซุมประตูปาดวยตนกลวย ออย กานมะพราว เตรียมขาวปลาอาหารเปนพิเศษ เชน หอนึ่ง แกงออม
แกงฮงั เล ลาบ และขนมตา ง ๆ ไปทําบญุ บางแหง มพี ธิ กี วนขา วมธปุ ายาสหรอื บา งเรยี ก ขา วพระเจา หลวง ถวายเปน พทุ ธบชู า
ในตอนเชามืดของวันเพ็ญเดือน ๑๒ น้ีดวย จากนั้นก็จะมีการทานขันขาวหรือสาํ รับอาหารไปถึงบรรพชนคนตาย ถวาย
อาหารและกณั ฑเ ทศนแ ดพ ระภกิ ษสุ งฆแ ละมกี ารฟง ธรรมมหาชาตติ งั้ แตเ ชา ถงึ กลางคนื บางแหง กจ็ ะมกี ารสบื ชะตาดว ย
จะมกี ารปลอ ยโคมลอย เรยี กวา “วา วฮม” หรอื “วา วควนั ” ในชว งพลบคํ่าจะมกี ารเทศนธ รรมชอ่ื “อานสิ งสผ างประทสี ”
และชาวบา นจะมีการจุดประทีสหรือประทปี โคมหูกระตาย โคมแขวน เปน พุทธบูชากนั ทกุ ครวั เรือนสวางไสว หนมุ สาว