คมู่ อื การก่อสร้างอาคารเหล็กโครงสรา้ งรูปพรรณ
กรมโยธาธิการและผังเมือง
กระทรวงมหาดไทย
กรมโยธาธิการและผังเมือง
คมู่ ือการกอ่ สรา้ งอาคารเหลก็ โครงสรา้ งรูปพรรณ
ISBN 978-974-458-620-9
สงวนลิขสิทธติ์ ามพระราชบญั ญัตลิ ิขสทิ ธ์ิ พ.ศ. 2558
โดย สํานกั ควบคมุ และตรวจสอบอาคาร
กรมโยธาธิการและผังเมอื ง
ถ.พระรามที่ 6 แขวงสามเสนใน
เขตพญาไท กรงุ เทพฯ 10400
โทร. 0-2299-4321 โทรสาร 0-2299-4321
คณะผู้จดั ทาํ คมู่ ือการกอ่ สร้างอาคารเหล็กโครงสรา้ งรูปพรรณ
ทป่ี รกึ ษาโครงการ
นายอดิศร มโนมัยธํารงกลุ
ผู้จัดการโครงการ
รองศาสตราจารย์ ดร.วันชัย ยอดสุดใจ
บคุ ลากรหลกั
1. รองศาสตราจารย์ ดร.ตระกูล อรา่ มรกั ษ์
2. รองศาสตราจารย์ ดร.ทวปี ชัยสมภพ
3. รองศาสตราจารย์ ดร.สมเกยี รติ รงุ่ ทองใบสรุ ยี ์
4. รองศาสตราจารย์ ดร.ปยิ ะ โชติกไกร
5. รองศาสตราจารย์ ดร.อคั รวชั ร เลน่ วารี
6. รองศาสตราจารย์ ดร.อภนิ ิติ โชตสิ งั กาศ
7. ดร.รงั สรรค์ วงศจ์ ีรภทั ร
บุคลากรสนับสนนุ
1. นายอนรุ กั ษ์ เทพกรณ์
2. นายสทิ ธินนท์ แก้วสว่าง
3. นางสาวพลอยเครอื แจ่มวถิ เี ลิศ
4. นางสาวสิรนิ ดั ดา บญุ เปง็
ค่มู อื การก่อสร้างอาคารเหล็กโครงสร้างรปู พรรณ
คณะกรรมการกํากบั ดแู ลการปฏิบัตงิ านของทปี่ รกึ ษา
เรือ่ ง คมู่ ือการกอ่ สรา้ งอาคารเหลก็ โครงสรา้ งรูปพรรณ
ประธานกรรมการ
นายสินิทธิ์ บญุ สิทธ์ิ
ผอู้ าํ นวยการสาํ นักควบคมุ และตรวจสอบอาคาร
คณะกรรมการ นายอนวชั บูรพาชน
ดร.เสถยี ร เจรญิ เหรียญ วิศวกรโยธาเชี่ยวชาญ
ผ้อู ํานวยการสาํ นักวศิ วกรรมโครงสร้างและงานระบบ
รักษาการในตาํ แหนง่ วิศวกรใหญ่
นายวิบลู ย์ ลพี ัฒนากิจ นายกนก สจุ รติ สญั ชัย
วิศวกรโยธาเชี่ยวชาญ วศิ วกรโยธาชํานาญการพิเศษ
รกั ษาการในตาํ แหน่งวศิ วกรโยธาเช่ยี วชาญ
นายพรชัย สงั ข์ศรี นางสาวสุรยี ์ ประเสรฐิ สดุ
วศิ วกรโยธาชํานาญการพิเศษ วศิ วกรโยธาชํานาญการพเิ ศษ
นายสมโชค เล่งวงศ์ ดร.ทยากร จนั ทรางศุ
วิศวกรโยธาชํานาญการพิเศษ วิศวกรโยธาชํานาญการ
รกั ษาการในตาํ แหน่งวศิ วกรโยธาชาํ นาญการพเิ ศษ
กรรมการและเลขานกุ าร กรรมการและผ้ชู ว่ ยเลขานุการ
ดร.ธนติ ใจสอาด นายวิโชติ กันภัย
วิศวกรโยธาชํานาญการ วิศวกรโยธาชํานาญการ
นายธรี ภทั ร สนุ ทรชื่น
วศิ วกรโยธาปฏบิ ตั กิ าร
ค่มู อื การกอ่ สร้างอาคารเหล็กโครงสร้างรปู พรรณ
ผทู้ รงคุณวฒุ ใิ นการจดั ทาํ คมู่ ือการกอ่ สรา้ งอาคารเหลก็ โครงสรา้ งรูปพรรณ
1. ศาสตราจารย์ ดร.ทกั ษิณ เทพชาตรี
2. รองศาสตราจารย์ ดร.การญุ จนั ทรางศุ
3. รองศาสตราจารย์ ดร.สทุ ศั น์ ลีลาทวีวัฒน์
4. นายธนา แกว้ กระจา่ ง
5. นายสยมภู เฮนะเกษตร
ค่มู ือการก่อสร้างอาคารเหลก็ โครงสร้างรูปพรรณ
คาํ นํา
การก่อสร้างอาคารเหล็กโครงสร้างรูปพรรณในปัจจุบันพบว่าผู้ทําการก่อสร้างมีรูปแบบการดําเนินงาน
ที่แตกต่างหลากหลายวิธีขึ้นกับความถนัดและประสบการณ์การทํางานท่ีผ่านมา อีกทั้งทักษะของแรงงานก็มี
ความหลากหลายแตกต่างกันไป ซ่ึงส่งผลต่อคุณภาพของงานอาคารเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ และอาจทําให้ขาด
การตรวจสอบและการควบคุมคุณภาพในขณะดําเนินการก่อสร้างอย่างเหมาะสมได้ กรมโยธาธิการและผังเมืองซึ่งเป็น
หน่วยงานที่มีภารกิจในการกําหนดมาตรฐานการก่อสร้างอาคารจึงได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เป็นที่ปรึกษา
โครงการจัดทํามาตรฐานการออกแบบและการก่อสร้างอาคารเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ ทําการศึกษาและจัดทํา
“คู่มือการก่อสร้างอาคารเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ” เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดําเนินการก่อสร้างและ
การตรวจสอบงาน รวมถึงการควบคุมคุณภาพอาคารโครงสร้างเหล็กรูปพรรณ เพ่ือให้ม่ันใจได้ว่าการก่อสร้างได้
ดําเนินการตามวิธีที่เหมาะสม ถูกต้องตามหลักวิชาการ โครงสร้างมีความปลอดภัยและมีอายุการใช้งานเป็นไปตามที่
กําหนด
กรมโยธาธิการและผังเมือง หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการนําคู่มือการก่อสร้างอาคารเหล็กโครงสร้างรูปพรรณไปใช้
ในทางปฏิบัติ จะช่วยให้อาคารเหล็กโครงสร้างรูปพรรณมีความมั่นคงแข็งแรงตามท่ีออกแบบไว้ ซึ่งจะทําให้เกิด
ความปลอดภัยต่อชวี ติ และทรัพยส์ ินของประชาชนเพิ่มมากย่ิงข้ึน
(นายมณฑล สดุ ประเสรฐิ )
อธบิ ดกี รมโยธาธกิ ารและผังเมอื ง
ค่มู อื การก่อสรา้ งอาคารเหลก็ โครงสร้างรูปพรรณ
บทนาํ
ในปัจจุบัน การก่อสร้างอาคารเหล็กโครงสร้างรูปพรรณในประเทศไทย ยังไม่มีข้อกําหนดที่ชัดเจนเกี่ยวกับ
ข้ันตอนการปฏิบัติงาน ข้อกําหนดข้ันตํ่าของการประกอบช้ินงานและการติดตั้ง รวมถึงข้อกําหนดการตรวจสอบและ
การควบคุมคุณภาพ ซ่ึงมีส่วนสําคัญต่อคุณภาพของอาคารเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ ในทางปฏิบัติผู้รับเหมาก่อสร้างมี
รูปแบบและข้ันตอนการดําเนินงานท่ีแตกต่างหลากหลาบวิธีขึ้นอยู่กับความถนัด อุปกรณ์ที่มีอยู่ รวมถึงประสบการณ์
การทํางานท่ีผ่านมา อีกทั้งยังขึ้นกับทักษะและประสบการณ์ของผู้ปฏิบัติงานเป็นอย่างมาก การท่ียังไม่มีข้อกําหนดใน
การควบคุมคุณภาพและตรวจสอบงานก่อสร้างอาคารเหล็กโครงสร้างรูปพรรณในประเทศไทยน้ันส่งผลต่อความ
ปลอดภัย และอายุการใช้งานของอาคารเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ ดังน้ัน ควรที่จะกําหนดแนวทางการก่อสร้างอาคาร
เหล็กโครงสร้างรูปพรรณให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันตามรายละเอียดในคู่มือการก่อสร้างอาคารเหล็กโครงสร้าง
รปู พรรณฉบบั น้ี
คู่มือการก่อสร้างอาคารเหล็กโครงสร้างรูปพรรณฉบับน้ีประกอบด้วย รายละเอียดการประกอบช้ินงาน
ความคลาดเคล่ือน การติดตั้ง และการควบคุมคุณภาพและการประกันคุณภาพ ทั้งนี้ เนื่องจากการปฏิบัติงานอาจมี
ความแตกต่างกันได้ตามประสบการณ์และวิธีการในการดําเนินงานของผู้ผลิตและผู้ประกอบช้ินงานในแต่ละราย
คู่มือฉบับนี้เป็นเพียงแนวทางในการควบคุมคุณภาพและการตรวจสอบเพื่อให้ได้ผลสัมฤทธ์ิตามที่ระบุ โดยวิธีในการ
ดําเนินการอาจแตกต่างกันได้ในผู้ผลิตและผู้ประกอบชิ้นงานแต่ละราย สําหรับข้อแนะนําของงานเชื่อมจะประกอบไป
ด้วยข้อมูลเบื้องต้นสําหรับงานเชื่อม ซึ่งข้อมูลในคู่มือฯ จะอ้างอิงมาตรฐานงานเช่ือมของประเทศสหรัฐอเมริกา ตาม
มาตรฐาน AWS D1.1 Structural Welding Code – Steel สําหรับการตรวจสอบงานเชื่อมและงานการขันสลัก
เกลยี ว จะมวี ิธขี ้ันตอนแนะนาํ เพ่ือทจ่ี ะมน่ั ใจได้ว่าผลงานอาคารเหลก็ โครงสรา้ งรปู พรรณที่ประกอบขึ้นมีคุณภาพเป็นไป
ตามมาตรฐานท่ีสากล มีความปลอดภัย และมอี ายกุ ารใชง้ านตามทีร่ ะบไุ ว้
ในฐานะหัวหน้าโครงการจัดทํามาตรฐานการออกแบบและการก่อสร้างอาคารเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ
ผมใคร่ขอขอบคุณคณะที่ปรึกษาทุกท่านท่ีได้ร่วมกันดําเนินงานจนเสร็จลุล่วง และขอขอบคุณคณะกรรมการ
กํากับดูแลการปฏิบัติงานของท่ีปรึกษาและผู้ทรงคุณวุฒิท่ีกรมโยธาธิการและผังเมืองแต่งต้ัง ประกอบด้วย
ศาสตราจารย์ ดร.ทักษิณ เทพชาตรี รองศาสตราจารย์ ดร.การุณ จันทรางศุ รองศาสตราจารย์ ดร.สุทัศน์ ลีลาทวีวัฒน์
คณุ ธนา แก้วกระจ่าง และคณุ สยมภู เฮนะเกษตร ทีไ่ ดใ้ หค้ าํ ชแ้ี นะในการจดั ทําคมู่ อื ฉบบั น้ี
(รองศาสตราจารย์ ดร.วันชยั ยอดสุดใจ)
ภาควชิ าวิศวกรรมยธา
คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์
หัวหน้าโครงการฯ
ค่มู อื การก่อสรา้ งอาคารเหลก็ โครงสร้างรูปพรรณ
สารบญั
สารบัญ .........................................................................................................................................................i
สารบัญรูป ........................................................................................................................................................ii
สารบญั ตาราง.....................................................................................................................................................iii
บทท่ี 1 ทว่ั ไป .....................................................................................................................................................1
1.1 ขอบเขต ................................................................................................................................................1
1.2 นิยาม ....................................................................................................................................................1
1.3 มาตรฐานอา้ งอิง....................................................................................................................................3
บทที่ 2 การประกอบชิน้ งาน ความคลาดเคลอ่ื น และการตดิ ต้ัง..........................................................................5
2.1 แบบรายละเอยี ดประกอบการกอ่ สร้างและแบบรายละเอยี ดการประกอบชิ้นงาน ...............................5
2.2 วัสดุ.......................................................................................................................................................5
2.3 การประกอบชิ้นงาน (fabrication).......................................................................................................6
2.4 การทาสจี ากโรงงาน ............................................................................................................................25
2.5 การจดั สง่ วสั ดุ......................................................................................................................................26
2.6 การตดิ ตัง้ ............................................................................................................................................27
2.7 อปุ กรณป์ อ้ งกันสาํ หรบั ความปลอดภยั ในการติดตั้ง ............................................................................42
บทท่ี 3 การควบคมุ คุณภาพ และการประกันคณุ ภาพ.......................................................................................45
3.1 ขอบเขต ..............................................................................................................................................45
3.2 แผนการการควบคุมคุณภาพของผู้ประกอบชิ้นงาน และผตู้ ดิ ต้ัง ........................................................45
3.3 เอกสารของผปู้ ระกอบชน้ิ งาน และผตู้ ดิ ตั้ง.........................................................................................46
3.4 บุคลากรสาํ หรบั การตรวจสอบ และการทดสอบแบบไม่ทาํ ลาย..........................................................47
3.5 ขอ้ กาํ หนดข้ันตาํ่ สาํ หรับการตรวจสอบอาคารเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ .............................................48
3.6 ผู้ประกอบชิ้นงาน และผตู้ ิดตง้ั ที่ได้รบั ใบอนญุ าต...............................................................................59
3.7 วสั ดุ และผลงานท่ีไมเ่ ปน็ ไปตามท่กี าํ หนด...........................................................................................60
ภาคผนวก ก......................................................................................................................................................63
ภาคผนวก ข......................................................................................................................................................71
ค่มู ือการก่อสร้างอาคารเหลก็ โครงสร้างรูปพรรณ หน้าท่ี i
สารบญั รปู
รูปท่ี 1 ตัวอย่างโค้งหลงั เตา่ ........................................................................................................................................6
รูปท่ี 2 ตัวอย่างการตัดด้วยความรอ้ น ........................................................................................................................7
รูปท่ี 3 ตวั อยา่ งมมุ บรรจบ .........................................................................................................................................7
รปู ที่ 4 ตวั อยา่ งมมุ บรรจบตัดเปน็ แนวโค้ง..................................................................................................................8
รปู ที่ 5 ตัวอยา่ งรายละเอยี ดชอ่ งเปิดเพอ่ื ให้เข้าเชือ่ มถงึ ..............................................................................................9
รปู ที่ 6 ระยะหา่ งในการเชื่อมชนช้นิ งานแบบบากร่อง ..............................................................................................11
รปู ที่ 7 ตวั อย่างการติดต้งั สลักเกลยี วโดยใช้ตวั วดั แรงดึงโดยตรง..............................................................................21
รูปท่ี 8 ตวั อยา่ งการเจาะรูระบาย.............................................................................................................................25
รูปที่ 9 ตวั อยา่ งการตรวจสอบแนวดิ่งและการจดั แนวเสา ........................................................................................27
รปู ที่ 10 ตัวอยา่ งการยึดเสาชว่ั คราวด้วยลวดสลงิ เพื่อใหเ้ สามีเสถยี รภาพ...................................................................28
รูปท่ี 11 การยกคานโดยทัว่ ไป....................................................................................................................................29
รปู ท่ี 12 การยกคานทมี่ ชี ่วงยาวขน้ึ ประกอบดว้ ยการใช้ lifting beam.......................................................................29
รูปท่ี 13 การยกคานท่มี ชี ่วงยาวขน้ึ ประกอบด้วยการใช้ spreader beam.................................................................30
รปู ที่ 14 การยกคานท่ียาวมากและค่อนข้างเสียรปู งา่ ยดว้ ย spreader bar ...............................................................30
รปู ที่ 15 ตวั อยา่ งการยกคานประกอบขนาดใหญ่ (plate girder) ทส่ี ูงและมีชว่ งยาวมาก ..........................................31
รปู ที่ 16 ตัวอยา่ งการจดั สถานทีก่ อ่ สรา้ ง ....................................................................................................................32
รปู ท่ี 17 ตวั อยา่ งการเกบ็ สลกั เกลียวและแป้นเกลยี วในภาชนะบรรจุจนกว่าจะมกี ารใชง้ าน.......................................33
รปู ท่ี 18 ตัวอย่างการเกบ็ อุปกรณย์ ดึ และเครื่องมอื โดยใช้ช้ันเกบ็ ของแบบ racking system......................................33
รูปที่ 19 ตวั อยา่ งการกองเก็บเหลก็ รูปพรรณแยกตามหมวดหม.ู่ .................................................................................34
รปู ที่ 20 ตวั อยา่ งการกองเก็บชน้ิ งานหรอื วัสดุ............................................................................................................34
รปู ที่ 21 สมอยดึ (anchor rod) แบบหลอ่ ในท่ชี นิดตา่ งๆ ..........................................................................................38
รปู ท่ี 22 ตวั อยา่ งรายละเอียดการตดิ ต้งั เสาบนสมอยดึ (anchor rod) ชนดิ มีการ grout ...........................................39
รปู ท่ี 23 ตัวอยา่ งการยึดคานดว้ ยลวดสลิงเพอื่ ค้ํายันคานขณะติดตงั้ เพอ่ื ปอ้ งกันการเกดิ การโกง่ เดาะของคาน ..........41
รปู ท่ี 24 ตวั อยา่ งอปุ กรณค์ วามปลอดภัยสาํ หรบั ผ้ตู ดิ ตงั้ .............................................................................................43
รปู ที่ 25 ตวั อย่างอุปกรณ์ความปลอดภยั (ราวกนั ตก).................................................................................................43
รูปที่ 26 ตัวอยา่ งอปุ กรณ์ความปลอดภยั (ตาขา่ ยกนั ตกรอบอาคารชนดิ ยดึ กบั โครงสรา้ ง
ตามมาตรฐาน AS/NZS 4576) ....................................................................................................................44
ค่มู อื การกอ่ สรา้ งอาคารเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ หนา้ ที่ ii
สารบญั ตาราง
ตารางท่ี 1 ขนาดขาเล็กสุดของรอยเชอ่ื มพอก (fillet weld)...................................................................................12
ตารางท่ี 2 คา่ แรงดงึ ตาํ่ สุดสาํ หรับสลักเกลยี ว..........................................................................................................18
ตารางที่ 3 การหมนุ แป้นเกลยี วเพิม่ จากสภาวะขนั แน่นพอดี (snug-tight condition)
สําหรบั การให้แรงดงึ กอ่ นโดยวธิ หี มนุ แปน้ เกลยี ว (turn-of-nut pretensioning) .................................19
ตารางที่ 4 คา่ แรงดึงตา่ํ สดุ สําหรบั การตรวจสอบสลกั เกลยี วกอ่ นการตดิ ตั้ง.............................................................22
ตารางท่ี 5 ข้อแนะนาํ สาํ หรบั ขนาดของรเู จาะบนแผน่ รองฐาน (base plate) สําหรบั สมอยึด (anchor rod)
ขนาดต่างๆ ............................................................................................................................................24
ตารางท่ี 6 รายการตรวจสอบกอ่ นการเชอื่ ม............................................................................................................50
ตารางที่ 7 รายการตรวจสอบระหว่างการเชอ่ื ม ......................................................................................................51
ตารางท่ี 8 รายการตรวจสอบหลงั การเชือ่ ม............................................................................................................52
ตารางท่ี 9 รายการตรวจสอบก่อนการตดิ ต้ังสลกั เกลยี ว..........................................................................................56
ตารางท่ี 10 รายการตรวจสอบระหวา่ งการตดิ ต้งั สลักเกลยี ว ....................................................................................57
ตารางท่ี 11 รายการตรวจสอบภายหลังการตดิ ตั้งสลกั เกลยี ว ...................................................................................58
ค่มู ือการก่อสร้างอาคารเหล็กโครงสร้างรปู พรรณ หน้าท่ี iii
บทที่ 1
ท่วั ไป
1.1 ขอบเขต
คู่มือการก่อสร้างอาคารเหล็กโครงสร้างรูปพรรณมีวัตถุประสงค์เพ่ือเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานก่อสร้าง
งานอาคารเหลก็ โครงสรา้ งรูปพรรณ ใหเ้ ป็นไปตามมาตรฐานอาคารเหล็กโครงสร้างรูปพรรณของกรมโยธาธิการ
และผังเมือง หรือมาตรฐานท่ีเกี่ยวข้อง และคู่มือการออกแบบอาคารเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ และตัวอย่าง
ประกอบ โดยมีเนื้อหาประกอบไปด้วยการประกอบช้ืนงาน การติดตั้งชิ้นงาน การควบคุมคุณภาพ
และการประกันคณุ ภาพรวมถึงการตรวจสอบการประกอบและการติดตัง้ ชิ้นงาน
1.2 นิยาม
“การขันแน่นพอดี” (snug tight) หมายถึง การขันสลักเกลียวโดยความแน่นที่ได้จากการกระแทกเล็กน้อย
จากประแจแบบกระแทก (impact wrench) หรือขันด้วยแรงเต็มที่ของผู้ประกอบช้ินงานด้วยประแจแบบ
ธรรมดา
“การตดั โดยใช้ความรอ้ น” (thermally cut) หมายถึง การตัดด้วยก๊าซ พลาสมา หรือเลเซอร์
“การทดสอบแบบไม่ทําลาย” (nondestructive testing) หมายถึง กระบวนการตรวจสอบหรือทดสอบ
โดยที่วสั ดุไมถ่ ูกทาํ ลาย หรอื ความสมบรู ณข์ องวัสดหุ รอื ชนิ้ สว่ นไม่ได้รับผลกระทบ
“การบาก” (cope) หมายถึง การตัดปีกขององค์อาคารโครงสร้างออก เพื่อให้สอดคล้องกับรูปร่างของ
องค์อาคารท่มี าตอ่
“คาน” (beam) หมายถึง องค์อาคารทที่ าํ หน้าทห่ี ลักในการรบั นํ้าหนักทีก่ ระทําตามขวางกับแนวแกนตามยาว
“ความเค้นชุมนุม” (stress concentration) หมายถึง ความเค้นเฉพาะที่ที่มีค่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยมาก เกิดจาก
การเปลี่ยนแปลงรปู รา่ งอยา่ งทันทที ันใดหรือจากแรงกระทําเฉพาะท่ี
“โคง้ หลงั เต่า” (camber) หมายถึง การดดั หรือประกอบโครงสรา้ งใหโ้ คง้ ขึน้ เพื่อเผื่อการแอน่ ตวั เม่ือโครงสร้าง
รบั นํ้าหนัก
“ช่องเปิดเพื่อให้เข้าเชื่อมถึง” (weld access hole) หมายถึง ช่องเจาะในแผ่นเอวท่ีปลายคานเพื่อให้
สามารถเชอ่ื มต่อระหว่างปีกของคานทีเ่ จาะ และชน้ิ สว่ นต่อได้สะดวก
“ฐานเสา” (column base) หมายถึง การประกอบหน้าตัดทางโครงสร้าง แผ่นเหล็ก ตัวยึด สลักเกลียว
แทง่ เหล็ก ที่ฐานของเสา เพอ่ื ใชส้ าํ หรับส่งผ่านแรงระหว่างโครงสรา้ งเหลก็ เหนือพืน้ ดินและฐานราก
“นํ้าหนักบรรทุก” (load) หมายถึง แรงหรือการกระทําอื่นๆ ท่ีเกิดจากน้ําหนักของวัสดุอาคาร ผู้ใช้งาน
ผลจากการเข้าใช้งาน ผลจากสภาพแวดลอ้ ม การเคล่อื นตัวทีต่ ่างกนั หรอื ระยะการยดึ ร้ังที่เปลี่ยนไป
ค่มู ือการก่อสร้างอาคารเหลก็ โครงสร้างรปู พรรณ หน้าที่ 1
“แบบรายละเอียดประกอบการก่อสร้าง” (shop drawing) หมายถึง เอกสารแสดงภาพ และข้อมูลของ
โครงสรา้ ง องคอ์ าคาร จดุ ตอ่ และอน่ื ๆ ทีม่ ีรายละเอยี ดเหมาะสําหรบั การประกอบ ติดต้ัง และกอ่ สร้าง
“ผิวสัมผัสระหว่างองค์อาคาร” (faying surface) หมายถึง ผิวสัมผัสระหว่างองค์อาคารที่รอยต่อ
หรอื บรเิ วณใกลเ้ คียงกับชน้ิ สว่ นต่อ
“แผ่นรอง” (backing, backing bar) หมายถึง แผ่นเหล็กที่ใช้รองด้านหลังหรือด้านล่างของรอยเช่ือม
เพ่ือปอ้ งกันไมใ่ ห้โลหะเช่อื มไหลออกจากรอยต่อ
“แผ่นรอง” (shim) หมายถึง แผ่นวัสดุบาง ใช้สําหรับเสริมในช่องว่างระหว่างผิวสัมผัส หรือผิวรับแรง
แบกทาน
“มุมบรรจบ” (reentrant corner) หมายถึง ในการบากหรือช่องเปิดเพื่อให้เข้าเชื่อมถึง หมายถึงการตัด
ท่ีเปลยี่ นทิศทางอยา่ งทันทีทนั ใด มีลกั ษณะเวา้
“รอยต่อ” (connection) หมายถึง การรวมกันของชิ้นส่วนทางโครงสร้างและจุดต่อ สําหรับส่งผ่านแรง
ระหวา่ งองค์อาคารสองชน้ิ หรือมากกว่า
“รอยต่อแบบเลื่อนวิกฤต” (slip-critical connection) หมายถึง รอยต่อแบบสลักเกลียวท่ีออกแบบให้
ตา้ นทานการเคล่ือนทโ่ี ดยแรงเสยี ดทานระหวา่ งผวิ สัมผสั ของรอยต่อภายใตแ้ รงบบี จากสลักเกลียว
“รอยต่อแบบขันแน่นก่อน” (pretensioned joint) หมายถึง รอยต่อโดยใช้สลักเกลียวกําลังสูงขันจนได้
คา่ แรงไมน่ อ้ ยกวา่ ค่าแรงดงึ ขน้ั ตํา่ ที่ระบุ
“รอยต่อประเภทรับแรงแบกทาน” (bearing-type connection) หมายถึง รอยต่อแบบสลักเกลียวโดยท่ี
แรงเฉือนสง่ ผ่านดว้ ยแรงแบกทานของสลกั เกลียวบนชนิ้ ส่วนรอยต่อ
“วิธีหมุนแป้นเกลียว” (turn–of-nut method) หมายถึง วิธีการซ่ึงการขันแน่นก่อน (pre-tension)
ในสลักเกลียวกําลังสูง ถูกควบคุมโดยรอบการหมุนของชิ้นส่วนอุปกรณ์ยึด โดยกําหนดจากจุดที่สลักเกลียว
ถกู ขนั ให้แนน่ พอดี
“สมอยึด” (anchor rod) หมายถึง ส่วนประกอบท่ีเป็นเหล็กซึ่งฝังอยู่ในคอนกรีต ทําหน้าท่ีส่งถ่ายน้ําหนัก
กระทําภายนอกไปยังโครงสร้างคอนกรีต โดยอาศัยแรกแบกทาน แรงเฉือน แรงยึดเหนี่ยว แรงเสียดทาน
หรือแรงข้างต้นร่วมกัน สมอยึดอาจเป็น แผ่นเหล็ก เหล็กขึ้นรูป แท่งเหล็ก สลักเกลียว ท่อ สลักเกลียวไม่มีหัว
เหลก็ เสรมิ ทใี่ ช้ในโครงสร้างคอนกรตี สลักรบั แรงเฉือน หรอื อปุ กรณ์ขา้ งตน้ ร่วมกัน
“เสา” (column) หมายถึง ชิ้นส่วนโครงสร้างแนวตัง้ ทท่ี าํ หน้าทตี่ ้านทานแรงอดั ตามแนวแกนเปน็ หลกั
“การแซะ” (gouge) หมายถึง หลุม หรือร่องท่ีมีผิวค่อนข้างเรียบ เกิดจากการเสียรูปพลาสติก หรือจากการ
เอาวสั ดอุ อก
“อุปกรณย์ ึด” (fastener) หมายถึง อปุ กรณท์ ใ่ี ช้ในการยึดตอ่ หรือเช่อื มตอ่ เชน่ สลกั เกลยี ว หรือหมดุ ยาํ้
ค่มู อื การก่อสร้างอาคารเหลก็ โครงสร้างรูปพรรณ หนา้ ท่ี 2
“เอกสารการออกแบบ” (design document) หมายถึง เอกสารแสดงข้อมูล ข้อกําหนดที่เกี่ยวข้องกับ
การออกแบบ
1.3 มาตรฐานอา้ งอิง
1.3.1 สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม, “มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เหล็กโครงสร้าง
รปู พรรณรดี รอ้ น (มอก. 1227-2558)”, 2558.
1.3.2 สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม, “มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เหล็กโครงสร้าง
รปู พรรณกลวง (มอก. 107-2533)”, 2533.
1.3.3 กรมโยธาธิการและผังเมือง, “มาตรฐานคุณลักษณะเฉพาะของเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ ใช้ในงาน
โครงสรา้ งอาคาร (มยผ. 1107)”, 2561.
1.3.4 กรมโยธาธิการและผังเมือง, “มาตรฐานการออกแบบอาคารต้านทานการส่ันสะเทือนของแผ่นดินไหว
(มยผ. 1302)”, 2552.
1.3.5 กรมโยธาธิการและผังเมือง, “มาตรฐานความคงทนของอาคารเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ
(มยผ. 1333)”, 2561.
1.3.6 กรมโยธาธิการและผังเมือง, “มาตรฐานการตรวจสอบรอยเช่ือมโครงสร้างเหล็กรูปพรรณด้วยวิธีการ
ทดสอบแบบไมท่ าํ ลาย (มยผ. 1561 – มยผ. 1565)”, 2551.
1.3.7 กรมโยธาธิการและผังเมอื ง, “คมู่ อื การออกแบบอาคารเหล็กโครงสร้างรปู พรรณ”, 2561.
1.3.8 American Institute of Steel Construction (AISC), “Specification for Structural Steel
Buildings (ANSI/AISC 360-10)”, 2010.
1.3.9 American Institute of Steel Construction (AISC), “Code of Standard Practice for Steel
Buildings and Bridges (AISC 303-10)”, 2010.
1.3.10 American Society for Testing and Materials (ASTM), “Standard Specification for
Structural Bolts, Steel, Heat Treated, 120/ 105 ksi Minimum Tensile Strength (ASTM
A325-09)”, 2009.
1.3.11 American Society for Testing and Materials (ASTM), “Standard Specification for
Structural Bolts, Steel, Heat Treated 830 MPa Minimum Tensile Strength (Metric)
(ASTM A325M-09)”, 2009.
1.3.12 American Society for Testing and Materials (ASTM), “Standard Specification for Heat-
Treated Steel Structural Bolts, 150 ksi Minimum Tensile Strength (ASTM A490-08b)”,
2008.
ค่มู ือการกอ่ สรา้ งอาคารเหลก็ โครงสร้างรูปพรรณ หนา้ ท่ี 3
1.3.13 American Society for Testing and Materials (ASTM), “Standard Specification for High-
Strength Steel Bolts, Class 10.9 and 10.9.3, for Structural Steel Joints (Metric) (ASTM
A490M-08)”, 2008.
1.3.14 American Society for Testing and Materials (ASTM), “Standard Specification for
Compressible-Washer-Type Direct Tension Indicators for Use with Structural Fasteners
(ASTM F959-09)”, 2009.
1.3.15 American Society for Testing and Materials (ASTM), “Standard Specification for
Compressible-Washer-Type Direct Tension Indicators for Use with Structural Fasteners
(Metric) (ASTM F959M-07)”, 2007.
1.3.16 American Society for Testing and Materials (ASTM), “Standard Specification for “Twist-
Off” Type Tension Control Structural Bolt/ Nut/ Washer Assemblies, Steel, Heat
Treated, 120/105 ksi Minimum Tensile Strength (ASTM F1852-08)”, 2008.
1.3.17 American Society for Testing and Materials (ASTM), “Standard Specification for “Twist
Off” Type Tension Control Structural Bolt/ Nut/ Washer Assemblies, Steel, Heat
Treated, 150 ksi Minimum Tensile Strength (ASTM F2280-08)”, 2008.
1.3.18 American Welding Society (AWS), “Structural Welding Code – Steel (ANSI/AWS
D1.1/D1.1M)”, 2010.
1.3.19 Research Council on Structural Connections (RCSC), “Specification for Structural Joints
Using High-Strength Bolts”, 2009.
1.3.20 Standards Australia, “Guideline for Scaffolding (AS/NZS 4576:1995)”, 1995.
ค่มู ือการกอ่ สร้างอาคารเหล็กโครงสร้างรปู พรรณ หน้าที่ 4
บทท่ี 2
การประกอบชน้ิ งาน ความคลาดเคล่ือน และการตดิ ตงั้
ในบทน้ี จะอธิบายข้อกําหนดสําหรับแบบรายละเอียดประกอบการก่อสร้าง วัสดุ การประกอบชิ้นงาน
การทาสีจากโรงงาน การจดั สง่ วัสดุ การตดิ ตงั้ และอปุ กรณป์ อ้ งกนั สําหรบั ความปลอดภัยในการติดตงั้
2.1 แบบรายละเอยี ดประกอบการก่อสรา้ งและแบบรายละเอยี ดการประกอบชิน้ งาน
การเตรียมแบบรายละเอียดประกอบการก่อสร้างและแบบรายละเอียดการประกอบช้ินงาน ควรแบ่งทํา
เป็นระยะๆ โดยแบบรายละเอียดประกอบการก่อสร้างจะต้องเตรียมให้เรียบร้อยก่อนการประกอบชิ้นงาน และ
ให้ข้อมูลท่ีจําเป็นครบถ้วนสําหรับการประกอบชิ้นงานแต่ละชิ้นของโครงสร้าง โดยรวมถึงตําแหน่ง ชนิด และ
ขนาด ของรอยเชื่อมและสลักเกลียว ส่วนแบบรายละเอียดการประกอบชิ้นงานจะต้องเตรียม
ให้เรียบร้อยก่อนการติดต้ังช้ินงาน และให้ข้อมูลที่จําเป็นครบถ้วนสําหรับการติดต้ังชิ้นงานของโครงสร้าง
แบบรายละเอียดประกอบการก่อสร้างและแบบรายละเอียดการประกอบช้ินงาน จะต้องมีการระบุ
แยกให้ชัดเจนระหว่างการเช่ือมในโรงงานและการเช่ือมในสนาม รวมถึงการติดต้ังสลักเกลียว อีกท้ังจะต้องมี
การระบุ รอยต่อส ลักเกลี ยวที่มีการขันให้ เกิดแรงดึงก่อน และรอยต่อแบบเลื่อนวิ กฤติที่ใ ช้
สลักเกลียวกําลังสูงอย่างชัดเจน แบบรายละเอียดประกอบการก่อสร้าง และแบบรายละเอียดการประกอบ
ชิ้นงานจะต้องจัดเตรียมให้สัมพันธ์กับระยะเวลาในการปฏิบัติงานและความประหยัดในการประกอบชิ้นงาน
และการตดิ ต้งั
2.2 วัสดุ
1) วัสดุท่ีใช้สําหรับงานโครงสร้างจะต้องมีคุณสมบัติไม่น้อยกว่าคุณสมบัติขั้นต่ําท่ีกําหนดไว้ในมาตรฐาน
ที่เก่ียวข้อง เช่น มาตรฐานคุณลักษณะเฉพาะของเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ เป็นต้น หรือวัสดุท่ีใช้ในงาน
โครงสรา้ งอาคาร ทีร่ ะบุในหนังสอื สญั ญา
2) สามารถใชร้ ายงานผลการทดสอบวัสดุเป็นเอกสารยนื ยันคณุ ภาพของวัสดวุ ่าตามข้อกาํ หนดที่ระบุ
3) วัสดุท่ีไม่มีมาตรฐานกํากับ หรือมีมาตรฐานตํ่ากว่าที่ระบุตามกฏหมายหรือมาตรฐานที่ใช้อยู่
หรือไม่มีผลการทดสอบเพื่อยืนยันคุณสมบัติ จะสามารถใช้ได้หากได้รับการอนุมัติจากตัวแทนของ
เจ้าของงานทีด่ ูแลดา้ นการออกแบบ
ค่มู อื การก่อสร้างอาคารเหล็กโครงสร้างรปู พรรณ หน้าที่ 5
2.3 การประกอบชน้ิ งาน (fabrication)
2.3.1 การดดั โคง้ หลงั เตา่ (camber) การดดั โคง้ และการดัดใหต้ รง
อนุญาตให้ใช้ความร้อนหรือวิธีการทางกลเฉพาะที่ ในการเสริมหรือปรับแก้โค้งหลังเต่า
ความโค้ง และความตรง อุณหภูมิของบริเวณที่ถูกความร้อนไม่ควรเกิน 649 องศาเซลเซียส
สาํ หรบั เหลก็ ตามมาตรฐาน มอก. 1227 และ มอก. 107 ตวั อยา่ งโค้งหลงั เต่าแสดงในรูปท่ี 1
คาน
= โค้งหลังเตา่
รศั มีความโคง้
รูปท่ี 1 ตัวอย่างโค้งหลังเตา่
(ขอ้ 2.3.1)
2.3.2 การตดั ด้วยความร้อน
ขอบที่ถูกตัดด้วยความร้อนตามรูปท่ี 2 จะต้องไม่ขรุขระเกินไป ไม่มีการแซะ หรือรอยบาก
รูปตัววีลึก ยกเว้นขอบอิสระที่ถูกตัดด้วยความร้อนซ่ึงขอบน้ันไม่ต้องรับแรงกระทําซํ้า (fatigue)
จะต้องไม่มีการแซะที่ลึกเกินกว่า 5 มิลลิเมตร และปราศจากรอยบากรูปตัววี สําหรับหลุมหรือรอย
บากท่มี ขี นาดลกึ กวา่ 5 มิลลเิ มตร จะตอ้ งเอาออกโดยการเจียรหรือการเชื่อมกลบ
ค่มู อื การก่อสร้างอาคารเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ หน้าท่ี 6
รปู ที่ 2 ตัวอย่างการตดั ด้วยความรอ้ น
(ขอ้ 2.3.2)
มุมบรรจบ (reentrant corner) จะต้องตัดเป็นแนวโค้งรัศมีความโค้งไม่เกินค่าที่ต้องการใน
การยดึ จดุ ตอ่ ได้พอดี พน้ื ผวิ สองพ้ืนผิวท่ีเกิดจากการตัดด้วยหัวตัดแก๊ส (torch cut) ท่ีมาบรรจบกัน
ไม่นับเป็นความโค้ง ชิ้นส่วนสองชิ้นมาบรรจบที่จุดต่ออาจไม่จําเป็นที่จะต้องต่อเน่ืองถ้าหากวัสดุท้ัง
สองด้านที่ต่อเข้ากับมุมบรรจบท่ีไม่ต่อเน่ืองมีการยึดกับชิ้นส่วน mating piece ท่ีสามารถป้องกัน
การเสยี รูป และป้องกนั การเกิดความเค้นชุมนุมท่ีเก่ียวข้องท่ีมุมได้ รูปท่ี 3 แสดงตัวอย่างมุมบรรจบ
และรปู ที่ 4 แสดงตวั อยา่ งการตัดมมุ บรรจบเปน็ แนวโค้ง
มุมบรรจบ หน้าที่ 7
รูปที่ 3 ตัวอย่างมุมบรรจบ
(ข้อ 2.3.2)
ค่มู ือการก่อสรา้ งอาคารเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ
มมุ บรรจบตดั เปน็ แนวโค้ง
รปู ที่ 4 ตวั อยา่ งมมุ บรรจบตดั เป็นแนวโคง้
(ขอ้ 2.3.2)
ช่องเปิดเพื่อให้เข้าเชื่อมถึงตามรูปท่ี 5 จะต้องมีลักษณะเป็นไปตามข้อกําหนดทางเรขาคณิต
ตามข้อกําหนดในคมู่ ือการออกแบบอาคารเหล็กโครงสรา้ งรูปพรรณ ของกรมโยธาธิการและผังเมือง
หรือมาตรฐานอืน่ ทเ่ี กี่ยวขอ้ งและมขี อ้ กาํ หนดดังน้ี
1) การบากปลายคานและช่องเปิดเพ่ือให้เข้าเชื่อมถึง ในหน้าตัดท่ีจะทําการกัลวาไนซ์ จะต้องขัด
จนเห็นผิวเงาวาวของเนื้อโลหะ
2) สําหรับหน้าตัดเหล็กรูปพรรณที่มีความหนาปีกไม่เกิน 50 มิลลิเมตร ความหยาบของผิวบาก
ท่ีตัดด้วยความรอ้ นจะตอ้ งมีคา่ ไมเ่ กินความหยาบของผวิ ที่ 50 ไมโครเมตร
3) การบากปลายคานและตัดช่องเปิดเพ่ือให้เข้าเช่ือมถึงถูกตัดด้วยความร้อน สําหรับหน้าตัดเหล็ก
รูปพรรณท่ีมีความหนาปีกเกิน 50 มิลลิเมตร และหน้าตัดประกอบที่เกิดจากการเช่ือมวัสดุ
ท่ีมีความหนาเกิน 50 มิลลิเมตร จะต้องมีการให้ความร้อนเบ้ืองต้นที่อุณหภูมิไม่ต่ํากว่า
66 องศาเซลเซยี ส ก่อนการตัดด้วยความร้อน
4) ผิวของส่วนโค้งของช่องเปิดเพ่ือให้เข้าเชื่อมถึงของหน้าตัดเหล็กรูปพรรณท่ีมีความหนาปีกเกิน
50 มิลลิเมตร และหน้าตัดประกอบท่ีวัสดุมีความหนาเกิน 50 มิลลิเมตร ที่ถูกตัดด้วยความร้อน
จะตอ้ งมีการเจยี รใหเ้ รยี บ
ค่มู ือการกอ่ สร้างอาคารเหลก็ โครงสร้างรปู พรรณ หนา้ ท่ี 8
แผน่ รอง (backing)3) (ถา้ ม)ี แผน่ รอง (backing)3) (ถา้ มี)
ปกี คาน H2) ปกี คาน
H2) R1) R1)
l ≥ 1.5tw
l ≥ 1.5tw l ≥ 1.5tw รัศมวี งกลมเจาะก่อนดว้ ย
l ≥ 1.5tw สว่านหรือ hole saw
l ≥ 1.5tw มมุ เอียงไม่วกิ ฤติ R1) H2) D≥ 20 มม.
ปกี คาน
H2) R1) H2)
- ไม่จําเป็นตอ้ งสมั ผัสขอบวงกลม
- ห้ามเป็นรอ่ งหรอื รอยบาก
ปกี คาน ปกี คาน
รูปแบบสําหรับหนา้ ตัดเหลก็ รปู พรรณ รปู แบบสําหรบั การเชือ่ มแบบพอกค วิธที างเลอื ก
รดี รอ้ นหรอื การเชอื่ มแบบบากรอ่ งข สาํ หรับการตัดรศั มมี มุ
หมายเหตุ
1) เสน้ รัศมีจะตอ้ งตอ่ เนอ่ื งจากเสน้ ตรง ไมม่ รี อ่ งหรอื รอยบาก R ≥ 10 มม. (ปกตใิ ช้ 12 มม.)
2) hmin = คา่ ทีม่ ากกวา่ ของ 20 มม. และ tw (ความหนาแผ่นเอว) และมีคา่ ไม่เกิน 50 มม.
3) เป็นรปู แบบทั่วไปสําหรบั รอยต่อทเ่ี ช่ือมด้านเดียวบนแผ่นรอง
- การตดั ชอ่ งเปดิ กระทําหลังจากที่เช่ือมแผ่นเอวเขา้ กบั ปีกแลว้
- การตัดช่องเปดิ กระทาํ ก่อนการเชื่อมแผ่นเอวเข้ากับปกี และหา้ มเชอ่ื มวกกลับผ่านช่องเปดิ
- สาํ หรบั หน้าตัดเหล็กรปู พรรณรีดรอ้ นทมี่ ีความหนาปีกมากกว่า 50 มม. และหน้าตัดประกอบ (built-up shape) ที่มีความหนาแผ่นเอวเกนิ
40 มม. จะต้องมีการให้ความร้อนก่อน (preheat) ทอ่ี ุณหภมู ิ 150 องศาเซลเซียส ก่อนการตัดด้วยความรอ้ น และจะต้องมกี ารเจียรและ
ตรวจสอบช่องเปิดที่ตดั ด้วยความร้อนด้วยวิธี MT หรือ PT กอ่ นการเชอื่ มทาบแบบบากรอ่ งระหวา่ งปีกและแผ่นเอว
รูปที่ 5 ตวั อยา่ งรายละเอยี ดชอ่ งเปดิ เพอ่ื ให้เขา้ เช่ือมถึง
(ขอ้ 2.3.2)
2.3.3 การตกแตง่ ขอบใหเ้ รียบ (planning of edges)
ท่ีขอบของหน้าตัดหรือแผ่นเหล็กท่ีตัดโดยใช้ความร้อนหรือการเฉือนไม่จําเป็นที่จะต้อง
มีการตกแต่งให้เรียบหรือการตกแต่งข้ันสุดท้าย ยกเว้นมีการกําหนดไว้เป็นพิเศษในเอกสาร
การก่อสรา้ งหรือมกี ารระบุเปน็ เง่ือนไขสําหรบั การเตรยี มผิวสําหรับการเชื่อม
ค่มู ือการก่อสรา้ งอาคารเหล็กโครงสร้างรปู พรรณ หนา้ ท่ี 9
2.3.4 การกอ่ สรา้ งโดยใชก้ ารเชื่อม
วิธีการเช่ือม ทักษะการทํางาน รูปร่างลักษณะและคุณภาพของงานเช่ือม และวิธีการ
ท่ีใช้ในการแก้ไขงานที่ไม่เป็นไปตามท่ีระบุ จะต้องเป็นไปตามมาตรฐานท่ีเป็นที่ยอมรับท่ีระบุ
ในสัญญาหรือเอกสารการก่อสร้าง เช่น มาตรฐาน AWS D1.1/D1.1M หรือตามรายละเอียดท่ีระบุ
ดงั นี้
1) สภาพแวดล้อมของการเช่อื ม
ก) สําหรับการเช่ือมแบบ GMAW GTAW EGW หรือ FCAW-G ไม่อนุญาตให้ทํางานเช่ือม
หากมีลมพัดแรง ยกเว้นหากมีอุปกรณ์ป้องกันท่ีเหมาะสมที่สามารถจํากัดความเร็วลมไม่เกิน
8 กิโลเมตรตอ่ ชัว่ โมงในจุดทีท่ ําการเชอ่ื มและบรเิ วณใกล้เคยี ง
ข) ไม่อนญุ าตใิ ห้ทํางานเชือ่ ม ในกรณีดงั นี้
- อณุ หภูมิสภาพแวดลอ้ มของช้นิ งานและบริเวณรอบๆ ตาํ่ กวา่ -20 องศาเซลเซยี ส หรอื
- พ้นื ผิวช้นิ งานเปียกชนื้ หรอื มีฝนหรือหิมะตกใส่
- ลมแรง
- เมอื่ ชา่ งฝมี อื งานเชือ่ มตอ้ งอยใู่ นสภาวะทีอ่ ันตราย หรอื สภาพแวดล้อมท่ีรนุ แรง
2) ความคลาดเคลือ่ นทย่ี อมให้สําหรับงานเชอ่ื มชิ้นส่วนโครงสรา้ งเหลก็
ความคลาดเคล่ือนท่ียอมให้ของระยะต่างๆ ในการเชื่อมชนช้ินงานแบบบากร่อง กําหนด
ตามรปู ท่ี 6
ค่มู ือการก่อสรา้ งอาคารเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ หนา้ ท่ี 10
รปู ท่ี 6 ระยะหา่ งในการเชอ่ื มชนชน้ิ งานแบบบากรอ่ ง
(ขอ้ 2.3.4)
3) ขนาดขาเล็กสดุ ของรอยเช่ือมพอก (fillet weld)
ขนาดขาเล็กสุดของรอยเชื่อมพอก เป็นไปตามตารางที่ 1 ยกเว้นมีการระบุขนาดรอยเช่ือม
ที่ใหญ่กวา่ ในเอกสารการกอ่ สร้าง
ค่มู ือการกอ่ สรา้ งอาคารเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ หน้าที่ 11
ตารางที่ 1 ขนาดขาเลก็ สดุ ของรอยเชือ่ มพอก (fillet weld)
(ข้อ 2.3.4)
ขนาดของช้นิ งานเช่อื ม ขนาดขาเล็กสดุ ของรอยเชือ่ ม1)
น้วิ มิลลิเมตร นิ้ว มลิ ลิเมตร
T ≤ 1/4 T≤6 1/8 3
3/16 5
1/4 < T ≤1/2 6 < T ≤ 12 1/4 6
5/16 8
1/2 < T ≤ 3/4 12 < T ≤ 20
3/4 < T 20 < T
1) ทงั้ นไ้ี ม่เกินความหนาของวัสดุบางสดุ ท่ีนํามาเชอ่ื ม
4) สภาพงานเชอ่ื ม
รอยเชื่อมทุกแนว ควรปราศจากรอยร้าว รอยเช่ือมเหลื่อม และต้องมีสภาพความต่อเน่ือง
ของรอยเชื่อม ยกเว้นท่ีอนุญาตหรือระบุเป็นอย่างอื่น โดยจะต้องเป็นไปตามมาตรฐาน
กรมโยธาธิการและผังเมือง มยผ. 1561-51 ถึง มยผ. 1565-51 มาตรฐานการตรวจสอบ
รอยเชอ่ื มโครงสร้างเหลก็ รปู พรรรณดว้ ยวธิ กี ารทดสอบแบบไม่ทําลาย
5) งานซ่อมรอยเชื่อม
ในการกําจัดรอยเช่ือมหรือส่วนหนึ่งของวัสดุฐานออก อาจดําเนินการโดยการกลึง
การเจียร การขัด การถาก การตัดออก หรือการแซะ โดยจะต้องไม่ทําให้เกิดรอยบาก
หรือเกิดการแซะในรอยเชื่อมหรือในวัสดุฐานบริเวณใกล้เคียง การกําจัดรอยเชื่อมท่ีใช้ไม่ได้
จะต้องระวังไม่ให้วัสดุฐานถูกกําจัดออกมากเกินไป หลังจากกําจัดรอยเช่ือมออกแล้วจะต้อง
ทําความสะอาดผิวกอ่ นทําการเชอ่ื มใหม่ รอยเชอ่ื มใหมจ่ ะต้องเชื่อมชดเชยส่วนทีข่ าดหายไป
ก) ทางเลือกของผู้รับจ้าง สามารถเลือกจัดการรอยเชื่อมที่ไม่ผ่านเกณฑ์โดยวิธีการซ่อมรอย
เชื่อมหรือวิธีการกําจัดรอยเชื่อมออกหมดแล้วเช่ือมใหม่ ยกเว้นหากเป็นไปตามข้อ ค)
จะต้องมีการทดสอบรอยเชื่อมท่ีได้รับการซ่อมแซมหรือรอยเชื่อมท่ีมีการกําจัดรอยเช่ือม
เก่าออกและเชื่อมใหม่ด้วยวิธีการเดียวกับที่ใช้ในตอนแรก โดยเทคนิคและเกณฑ์
การยอมรบั จะต้องเหมอื นเดมิ ในกรณีท่ผี ้รู ับจ้างใช้วธิ กี ารซ่อมรอยเชื่อม จะต้องดําเนินการ
ดังน้ี
- รอยเกย รอยเช่ือมโค้งนูนเกินไป หรือรอยเชื่อมส่วนเกิน วัสดุเชื่อมส่วนเกินจะต้องถูก
กาํ จดั ออกไป
ค่มู ือการก่อสรา้ งอาคารเหล็กโครงสร้างรปู พรรณ หนา้ ที่ 12
- รอยเช่ือมโค้งเว้าเกินไป หรือหลุมท่ีจุดหยุดรอยเช่ือม (crater) รอยเช่ือมไม่ได้ขนาด
รอยกัดแหว่ง (undercut) จะต้องมีการเตรียมพื้นผิวตามหัวข้อ 2.3.4 ข้อ 9)
แล้วเชื่อมเติม
- การหลอมละลายไม่สมบูรณ์ เกิดรูพรุนในรอยเชื่อมมากเกินไป หรือมีสแลก
ในรอยเชอื่ ม จะต้องกาํ จัดออกไปแล้วเช่ือมใหม่
- หากเกิดรอยร้าวในรอยเช่ือมหรือวัสดุฐาน จะต้องมีการตรวจสอบความยาวของ
รอยร้าวโดยการใช้กรดกัด การตรวจสอบด้วยผงแม่เหล็ก การทดสอบด้วย
สารแทรกซึม หรือการทดสอบอ่ืนท่ีเหมาะสม รอยร้าวและส่วนท่ีไม่เกิดรอยร้าว
เลยจากปลายรอยรา้ วไป 50 มลิ ลิเมตร จะต้องถูกกําจดั ออกแลว้ เช่อื มใหม่
ข) ข้อจํากัดของอุณหภูมิที่ใช้ในการซ่อมด้วยความร้อนเฉพาะท่ี ช้ินงานที่เกิดการบิดตัว
ซึ่งเป็นผลจากการเชื่อมจะต้องทําให้ตรงด้วยวิธีทางกลหรือใช้การให้ความร้อนเฉพาะที่
แบบจํากัด อุณหภูมิบริเวณท่ีให้ความร้อนเมื่อวัดด้วยเครื่องมือท่ีเหมาะสมจะต้องไม่เกิน
600 องศาเซลเซียส สําหรับเหล็กชุบแข็งและอบคืนไฟ (quenched and tempered
steel) หรือไม่เกิน 650 องศาเซลเซียส สําหรับเหล็กอ่ืนๆ ชิ้นส่วนท่ีให้ความร้อน
เพื่อดัดให้ตรงจะต้องปราศจากความเค้นและแรงภายนอก ยกเว้นความเค้นนั้นเป็นผลจาก
วิธีทางกลที่ใช้ทําใหช้ ิน้ ส่วนตรงท่ีใชร้ ่วมกบั วิธีการใหค้ วามร้อนนั้น
ค) การอนุมัติโดยวิศวกร จะต้องได้รับอนุมัติจากวิศวกรก่อนที่จะดําเนินการซ่อมแซม
สําหรับการซ่อมแซมท่ีลึกถึงวัสดุฐาน การซ่อมแซมรอยร้าวขนาดใหญ่หรือรอยร้าว
ท่ีเกิดในภายหลัง การซ่อมแซมรอยเชื่อมท่ีเชื่อมด้วยกรรมวิธี ESW และ EGW
ทมี่ ีขอ้ บกพร่องภายใน หรือการแก้ไขแบบเพ่ือชดเชยความบกพร่องที่เกิดขึ้น และจะต้องมี
การแจ้งวิศวกรก่อนทจ่ี ะดาํ เนนิ การตัดแยกชิน้ สว่ นทีเ่ ชอ่ื มแล้ว
6) รอยเชื่อมทเ่ี ขา้ ไมถ่ งึ
หากมีการเช่ือมเกิดขึ้นภายหลังจากที่มีรอยเชื่อมท่ีไม่ผ่านเกณฑ์ และการเชื่อมดังกล่าว
ทําให้ไม่สามารถเข้าถึงหรือเกิดอุปสรรคท่ีอาจทําให้เป็นอันตรายหากจะดําเนินการซ่อมแซม
รอยเชื่อมที่ไม่ผ่านเกณฑ์ดังกล่าว หรือเม่ือซ่อมแล้วไม่ได้ผล จะต้องดําเนินการคืนสภาพบริเวณ
ดังกล่าวให้เหมือนในสภาวะที่ยังไม่มีการเชื่อมช้ินส่วนท่ีเกิดขึ้นภายหลังนั้น โดยอาจนําช้ินส่วน
ห รื อ ร อ ย เ ชื่ อ ม อ อ ก ก่ อ น ท่ี จ ะ ทํ า ก า ร ซ่ อ ม แ ซ ม แ ก้ ไ ข ร อ ย เ ช่ื อ ม ท่ี ไ ม่ ผ่ า น เ ก ณ ฑ์ นั้ น
หากไม่ดําเนินการซ่อมแซมรอยเช่ือมท่ีไม่ผ่านเกณฑ์น้ี จะต้องมีการดําเนินการอื่นเพ่ิมเติมเพื่อ
ชดเชยความบกพรอ่ งทเ่ี กิดข้นึ โดยจะต้องดาํ เนินการตามแบบแกไ้ ขที่ไดร้ ับการอนุมัติแล้ว
ค่มู อื การกอ่ สรา้ งอาคารเหลก็ โครงสร้างรูปพรรณ หนา้ ที่ 13
7) การ peening
การ peening คือ การตีหรือทุบด้วยวัสดุปลายมน โดยอนุญาตให้ใช้การ peening
เพื่อควบคุมหน่วยแรงจากการหดตัว (shrinkage stress) ที่รอยเช่ือมชั้นกลาง ในรอยเช่ือม
ท่ีหนาได้ เพ่ือป้องกันการแตกร้าวหรือการบิดตัว ห้ามใช้การ peening ที่ชั้นแรกและท่ีชั้นนอก
สุดของรอยเชื่อม หรือที่ขอบของรอยเชื่อมบนวัสดุฐาน ยกเว้นที่ยอมให้ และจะต้องระวัง
การเกยกนั หรือการเกดิ รอยร้าวของรอยเช่ือมหรอื วสั ดุฐาน
การใช้ค้อนตอกตะกรัน หรือสิ่ว หรือใช้เครื่องส่ันสะเทือนแบบเบาเพื่อกําจัดตะกรันออก
ไม่ถือว่าเป็นการ peening
8) การ caulking
การ caulking คือการทําให้เกิดการเสียรูปแบบพลาสติก (plastic deformation)
ของรอยเช่ือมและผิวของวัสดุฐานด้วยวิธีทางกลเพ่ือปิดทับหรือปิดบังความไม่ต่อเน่ือง โดยห้าม
ใชก้ าร caulking ในวสั ดฐุ านท่ีมคี ่ากาํ ลังครากต่ําสุดระบุสงู กวา่ 345 เมกะปาสคาล
สําหรับวัสดุฐาน ที่มีกําลังครากต่ําสุดระบุ 345 เมกะปาสคาล หรือต่ํากว่า สามารถใช้
วธิ ีการ caulking ไดเ้ มื่อ
ก) ได้ดําเนินการตรวจสอบรอยเชื่อมทั้งหมดตามข้อกําหนดหรือมาตรฐานที่ระบุท่ีเกี่ยวข้อง
เชน่ มยผ. 1561-51 ถงึ 1565-51 แล้ว และผลเป็นทีย่ อมรับ
ข) การ caulking จําเป็นสําหรบั การป้องกนั ความเสยี หายของช้นั เคลอื บ
ค) ได้รับอนุมัติให้ดําเนินการได้จากวิศวกรผู้ควบคุมท้ังในด้านวิธีการและข้อจํากัดของ
การ caulking
9) การทําความสะอาดรอยเช่อื ม (weld cleaning)
ก) การทาํ ความสะอาดในระหวา่ งกระบวนการเชอ่ื ม ก่อนการเช่อื มทบั โลหะทเี่ ติมแล้ว จะต้อง
กําจัดตะกรัน ทําความสะอาดรอยเช่ือมและวัสดุฐานด้วยแปรงหรืออุปกรณ์อ่ืนท่ีเหมาะสม
ข้อกําหนดนี้ครอบคลุมรอยเชื่อมชั้นถัดๆ ไป และแนวเช่ือมถัดๆ ไป รวมถึงพ้ืนท่ีหลุมรอย
เช่อื มทจี่ ุดเริ่มตน้ การเชอ่ื มหลังจากทกี่ ารเชอื่ มหยดุ ไป และเริม่ กลบั มาเช่อื มใหม่
ข) การทําความสะอาดรอยเชื่อมท่ีสมบูรณ์แล้ว ควรจํากัดตะกรันออกจากรอยเช่ือมที่สมบูรณ์
ควรทําความสะอาดรอยเชื่อมและวัสดุฐานที่ต่อเน่ืองกันด้วยแปรงหรืออุปกรณ์อื่น
ค่มู อื การกอ่ สรา้ งอาคารเหล็กโครงสร้างรปู พรรณ หน้าที่ 14
ที่เหมาะสม ยอมให้มีสะเก็ดเช่ือมท่ียึดติดแน่นหลังจากกระบวนการทําความสะอาดได้
ยกเว้นมีข้อกําหนดท่ีต้องกําจัดออกเพ่ือการทดสอบแบบไม่ทําลาย การทาสีจุดต่อด้วย
การเช่ือม จะต้องรอให้การเช่ือมเสร็จส้ินสมบูรณ์ มีการตรวจสอบและรับรองก่อนจึงจะ
ทาสีได้
2.3.5 การก่อสร้างโดยใชส้ ลักเกลียว
จะต้องมีเอกสารจากผู้ผลิตเพื่อรับรองคุณสมบัติของสลักเกลียว แป้นเกลียว แหวน
และอุปกรณ์อื่นๆ ว่าได้มาตรฐานตามที่ระบุในเอกสารการก่อสร้าง สําหรับให้วิศวกรผู้ควบคุมงาน
หรือผู้ตรวจสอบได้ตรวจสอบก่อนการประกอบหรือติดต้ังช้ินงาน และสลักเกลียว แป้นเกลียว
และแหวนท่ใี ชร้ ่วมกนั ควรจะมาจากผู้ผลิตเดียวกนั
ชิ้นส่วนขององค์อาคารที่ต่อด้วยสลักเกลียวจะต้องยึดแน่นติดกันด้วยหมุดหรือสลักเกลียว
ขณะทําการประกอบ การใช้สลักปรับแนว (drift pin) ในรูเจาะสลักเกลียวขณะท่ีทําการประกอบ
จะตอ้ งไม่ทําให้โลหะเสยี รูป หรือทาํ ใหร้ เู จาะใหญข่ น้ึ
รูเจาะขนาดปกติสําหรับสลักเกลียวมีขนาดใหญ่กว่าขนาดสลักเกลียว 1.5 มิลลิเมตร
สําหรับรูเจาะประเภทอ่ืน ให้เป็นไปตามมาตรฐานที่เก่ียวข้อง หรืออยู่ในดุลพินิจของวิศวกรผู้
ควบคุม
ในส่วนที่ยอมให้ใช้วิธีการเจาะรูด้วยความร้อน จะยอมให้ผิวไม่เรียบได้ไม่เกิน 25 ไมโครเมตร
การแซะ (gouge) ความลึกต้องไม่เกิน 2 มิลลิเมตร และสามารถใช้วิธีการเจาะรูด้วยวิธีใช้
แรงดันน้ําได้
สามารถใช้การเจาะรูโดยใช้วิธีการเจาะรูด้วยความร้อนที่มีการควบคุมด้วยวิธีทางกล
(mechanically guided mean) สาํ หรบั รอยตอ่ ท่ีรับแรงกระทําเชิงสถติ ย์
สามารถใช้การเจาะรูโดยใช้วิธีการเจาะรูด้วยความร้อนท่ีไม่ได้ควบคุมด้วยวิธีทางกล เช่น
การเจาะแบบควบคุมด้วยมือโดยอิสระ (free hand) สําหรับรอยต่อที่รับแรงกระทําเชิงสถิตย์ได้
หากไดร้ บั อนุมัตจิ ากวิศวกรผูค้ วบคุม
สามารถใช้การเจาะรูโดยใช้วิธีการเจาะรูด้วยความร้อนสําหรับรอยต่อท่ีรับแรงกระทําซ้ํา
(cyclically loaded joint) ไดห้ ากได้รับอนมุ ตั ิจากวิศวกรผ้คู วบคมุ
สามารถใช้แผ่นรองปรับระดับ แบบ finger shim สอดแบบเต็มแผ่น ความหนารวมไม่เกิน
6 มิลลิเมตร ภายในจุดต่อได้ โดยไม่ทําให้กําลังที่ใช้ออกแบบเปล่ียนแปลง (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของ
ค่มู อื การกอ่ สรา้ งอาคารเหล็กโครงสร้างรปู พรรณ หน้าท่ี 15
รูเจาะ) สําหรับการออกแบบรอยต่อ ทิศทางการวางแผ่นรองปรับระดับนั้นไม่ขึ้นกับทิศทางของ
นาํ้ หนักบรรทกุ ทีก่ ระทํา
การใช้งานสลักเกลียวกําลังสูงจะต้องเป็นไปตามข้อกําหนดหรือมาตรฐานที่เกี่ยวข้องสําหรับ
สลักเกลียว
ก่อนทําการติดตั้ง จะต้องเก็บรักษาอุปกรณ์ยึดและอุปกรณ์ประกอบต่างๆ อย่างเหมาะสม
ปราศจากฝุ่นละออง และความชื้น เก็บในภาชนะปิด ในสถานท่ีที่จะทําการประกอบหรือติดต้ัง
นําอุปกรณ์ยึดออกมาจากภาชนะท่ีเก็บเท่าท่ีจําเป็นต้องใช้ในแต่ละช่วง หากมีอุปกรณ์ยึดเหลือจาก
การใช้งานในแต่ละช่วง ให้เก็บกลับเข้าไปในภาชนะปิดดังเดิมทันทีที่หมดช่วงเวลางานนั้น
ไมท่ ําความสะอาดหรือแก้ไขหรอื เปล่ียนแปลงอปุ กรณย์ ดึ ใหต้ ่างไปจากสภาพทไี่ ด้รบั จากผู้ผลติ
ไม่นําอุปกรณ์ยึดที่สกปรกหรือเกิดสนิมมาใช้ในการประกอบติดต้ังช้ินงาน ยกเว้นแต่จะได้ทํา
ความสะอาด หล่อลื่นและทําการทดสอบก่อนการติดตั้งเพ่ือยืนยันคุณสมบัติของอุปกรณ์ยึดน้ันๆ
ว่าเป็นไปตามคุณสมบัติท่ีกําหนดแล้ว ท้ังน้ีไม่อนุญาตให้ทําการหล่อล่ืนสลักเกลียว ASTM F1852
และ F2280 Twist-off-type tension control bolt เอง หากมีความจําเป็น จะต้องดําเนินการ
โดยผผู้ ลิตเทา่ น้นั
ไม่อนุญาตให้มีการใช้ซํ้าสําหรับสลักเกลียวช้ันคุณภาพ ASTM A490, ASTM F1852 และ
F2280 twist-off-type tension control bolt, และ ASTM A325 ชนิดกัลวาไนซ์ (galvanized)
หรือชนิด Zn/Al inorganic coated และอนุญาตให้ใช้สลักเกลียวสีดําช้ันคุณภาพ ASTM A325
(black A325 bolt) ซ้ําได้หากได้รับการอนุมัติจากวิศวกรผู้ควบคุมงาน สําหรับการใช้ซ้ําสําหรับ
สลักเกลียวประเภทอ่ืนๆ ให้เป็นไปตามมาตรฐานท่ีกําหนดสําหรับสลักเกลียวประเภทนั้นๆ หรือ
มาตรฐานท่ีเกี่ยวข้อง ท้ังนี้การขันสลักเกลียวซํ้าให้แน่นขึ้น หรือการขันซํ้าสลักเกลียวท่ีหลวม
เนื่องจากการติดต้ังสลกั เกลียวตวั ใกลเ้ คยี งไม่ถอื เปน็ การใชซ้ ้ํา
จุดต่อแบบขันแน่นพอดี (snug-tightened joint) ให้ทําการติดตั้งสลักเกลียวตามข้อ 1)
ของหวั ข้อ 2.3.5 สว่ นจุดตอ่ แบบใส่แรงดึงก่อนหรือแบบเลื่อนวิกฤต (pretension or slip-critical)
ให้ทาํ การตดิ ต้ังสลักเกลยี วตามข้อแนะนําของผ้ผู ลติ หรอื ตามขอ้ 2) ของหัวขอ้ 2.3.5
1) จุดต่อแบบขนั แน่นพอดี (snug-tightened joint)
รูเจาะของสลักเกลียวต้องอยู่ตรงแนวท่ีสามารถใส่สลักเกลียวได้โดยไม่ทําให้เกลียวเกิด
ความเสยี หาย ใสส่ ลกั เกลียวในทกุ รเู จาะพร้อมแหวนรอง (หากต้องการ) ในตําแหน่งที่เหมาะสม
และขนั แป้นเกลยี วเพ่ือยดึ ช้ินงาน การประกอบจุดต่อแบบขันแน่นพอดีต้องทําอย่างเป็นขั้นตอน
ค่มู อื การกอ่ สร้างอาคารเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ หนา้ ที่ 16
จากส่วนท่ียึดแน่นที่สุดของจุดต่อ การขันแน่นพอดีต้องยึดแต่ละช้ินส่วนแนบเข้าด้วยกัน
ด้วยสลักเกลียวด้วยการกระแทกเล็กน้อยจากประแจแบบกระแทกหรือขันจนสุดความสามารถ
ของผปู้ ระกอบชนิ้ งานด้วยประแจแบบปกติ และสลักเกลียวทุกตัวตอ้ งถกู ขันแนน่ เพียงพอท่ีแป้น
เกลยี วจะไมค่ ลายตัวโดยไม่ใชป้ ระแจ
2) จุดต่อแบบให้แรงดึงก่อน (pretension joint) และจุดต่อแบบรอยเลื่อนวิกฤติ (slip-critical
joint)
หากสลักเกลียวเป็นไปตามทรี่ ะบใุ น ขอ้ ก) – ง) ให้ใช้วธิ ีการใสแ่ รงดึงก่อนวิธีใดวิธีหน่ึงตาม
ข้อ ก) – ง) ยกเว้นหากมีการออกแบบอุปกรณ์ยึดด้วยมาตรฐานหรือวิธีอ่ืนซ่ึงเป็นไปตาม
มาตรฐานท่ีเก่ียวข้องน้ันๆ หรือการใช้อุปกรณ์ยึดท่ีใช้แหวนรองเป็นตัวระบุแรง โดยท้ังสองวิธีน้ี
จะต้องติดตั้งตามคําแนะนําของผู้ผลิตโดยเคร่งครัด และต้องได้รับการอนุมัติจากวิศวกร
ผู้ควบคุม
ถ้าในทางปฏิบัติไม่สามารถขันแป้นเกลียวได้ การให้แรงดึงโดยการหมุนท่ีหัวสลักเกลียวก็
สามารถยอมรบั ได้โดยให้ยึดแปน้ เกลยี วไวเ้ พ่อื ป้องกันการหมนุ และใส่แหวนรองตามขอ้ กาํ หนด
การให้แรงดึงจะต้องให้มีค่าเท่ากับหรือมากกว่าท่ีกําหนดไว้ในตารางที่ 2 สําหรับ
สลักเกลียวมาตรฐาน ASTM A325 และ ASTM A490 สําหรับสลักเกลียวมาตรฐานอื่นๆ
ให้เป็นไปตามทรี่ ะบใุ นมาตรฐานนน้ั ๆ
การตรวจสอบการให้แรงดึงตามที่กําหนดไว้ในตารางท่ี 2 ให้ทําการทดสอบก่อนการติดตั้ง
ด้วยเคร่ืองวัดแรงดึง (tension calibrator) โดยให้เตรียมช้ินทดสอบที่มีสภาวะการใส่แรงดึง
เดียวกันกับช้ินงานท่ีจะติดตั้งจริง (ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ความยาว ช้ันคุณภาพ
และชุดการผลิต) ไม่น้อยกว่า 3 ชิ้นตัวอย่าง ทําการทดสอบการใส่แรง และตรวจสอบ
ก่อนการติดตั้งจริง โดยจะต้องมีค่าไม่น้อยกว่า 1.05 เท่าของแรงดึงที่ระบุสําหรับการติดตั้งตาม
ตารางท่ี 2
ค่มู ือการก่อสรา้ งอาคารเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ หน้าที่ 17
ตารางที่ 2 คา่ แรงดึงตา่ํ สดุ สําหรบั สลกั เกลยี ว
สําหรบั จุดต่อแบบใหแ้ รงดึงก่อนหรือแบบเลอื่ นวกิ ฤต (pretension or slip-critical joint)
(ขอ้ 2.3.5)
ศขdูนนb,ยามก์ดลิลเสลาน้งเิ มรผะตา่ บรน,ุ คา่ แรงดงึ ตาํ่ สดุ สําหรบั สลักเกลียว
แบบให้แรงดึงก่อน, Tm, กิโลนิวตัน a
ASTM A325 ASTM A490
และ F1852 และ F2280
12 53 67
16 85 107
19 125 156
22 173 218
25 227 285
28 249 356
32 316 454
35 378 538
38 458 658
a มีค่าเท่ากับ 70 เปอร์เซ็นต์ของค่าแรงดึงต่ําสุดของสลักเกลียวที่ระบุตาม
มาตรฐาน ASTM สําหรับการทดสอบแรงดึงเต็มที่ตามมาตรฐาน ASTM A325
and A490 รับแรงดึงตามแนวแกน ค่าในตารางปัดทศนิยมให้ใกล้เคียงในหน่วย
กิโลนวิ ตัน
ก) การใหแ้ รงดึงกอ่ นโดยวิธีหมุนแป้นเกลียว (turn–of-nut pretensioning)
ติดต้ังสลักเกลียวทุกตัวตามขั้นตอน ใส่แหวนรองในตําแหน่งและขันสลักเกลียว
แบบแน่นพอดี จากนั้นให้หมุนแป้นเกลียวหรือหัวสลักเกลียวตามที่ระบุในตารางท่ี 3
สําหรับสลักเกลียวมาตรฐาน ASTM A325 และ ASTM A490 โดยขันสลักเกลียวทุกตัว
ในจุดต่อ การขันให้ทําอย่างเป็นข้ันตอนโดยเริ่มจากส่วนท่ียึดแน่นที่สุดของจุดต่อ
เพื่อจํากัดให้เกิดการคลายตัว (relaxation) น้อยที่สุดในสลักเกลียวที่ใส่แรงดึงไปก่อนหน้า
แล้ว จะต้องป้องกันไม่ให้สลักเกลียวตัวอื่นหมุนขณะขันประแจ ขณะทําการหมุนแป้น
เกลียวเพ่ือใส่แรงดึงไม่ให้หมุนย้อนทางเพ่ือคลายแรงดึงของสลักเกลียว อุปกรณ์ยึดไม่ให้
นํากลับมาใชใ้ หม่ ยกเวน้ ว่าวศิ วกรผู้รบั ผิดชอบให้การรับรองและกําหนดไว้ให้ใช้ได้
ค่มู ือการก่อสรา้ งอาคารเหล็กโครงสร้างรปู พรรณ หน้าท่ี 18
ตารางที่ 3 การหมนุ แปน้ เกลียวเพิม่ จากสภาวะขนั แนน่ พอดี (snug-tight condition)
สําหรับการใหแ้ รงดึงกอ่ นโดยวิธหี มุนแปน้ เกลยี ว (turn-of-nut pretensioning) a,b
(ข้อ 2.3.5)
พจิ ารณาจากหนา้ สมั ผสั ของช้นิ งานกบั แกนของสลกั เกลยี ว
ความยาวสลกั เกลียวc ทง้ั สองดา้ นของ หนึ่งด้านของชน้ิ งานตงั้ ฉาก ทงั้ สองดา้ นของชนิ้ งาน
ชิ้นงานตงั้ ฉากกบั กบั แกนของสลักเกลยี ว อกี มีความลาดชนั ไมเ่ กิน 1:20
แกนของสลกั เกลียว ด้านมีความลาดชนั ไมเ่ กนิ จากแกนของสลักเกลียว d
1:20 d
ไมเ่ กิน 4 db 1/3 รอบ 1/2 รอบ 2/3 รอบ
มากกวา่ 4 db 1/2 รอบ 2/3 รอบ 5/6 รอบ
แตไ่ มเ่ กิน 8 db
มากกว่า 8 db 2/3 รอบ 5/6 รอบ 1 รอบ
แต่ไมเ่ กนิ 12 db
a การหมุนแป้นเกลียวจะสมั พนั ธ์กับสลักเกลยี ว ไม่คาํ นึงถงึ ชิ้นส่วนอื่น
สําหรบั แปน้ เกลียวทต่ี อ้ งหมนุ 1/2 รอบหรือน้อยกว่า ค่าความคลาดเคลื่อน บวกลบ 30 องศา
สาํ หรบั แปน้ เกลยี วท่ีต้องหมนุ 2/3 รอบหรือมากกวา่ คา่ ความคลาดเคล่ือน บวกลบ 45 องศา
b ใช้กบั จดุ ตอ่ ทวี่ ัสดุยึดจับกันเป็นเหลก็
c เม่อื ความยาวสลกั เกลยี วมากกวา่ 12db, การหมนุ แปน้ เกลยี วเพม่ิ ตอ้ งใชว้ ธิ ีการทดสอบเลียนแบบจากสภาพจรงิ แล้วเทียบเป็นรอบทตี่ ้องหมุนเพิ่ม
d หา้ มใชแ้ หวนรองทเี่ อยี ง
ข) การให้แรงดึงก่อนโดยวิธีการขันด้วยประแจที่มีการสอบเทียบ (calibrated wrench
pretensioning)
สําหรับการขันโดยใช้ประแจที่มีการสอบเทียบ ให้ทําการทดสอบทุกวันด้วย tension
calibrator เม่อื ทําการตดิ ต้ังโดยใชป้ ระแจทม่ี กี ารสอบเทยี บ
ติดตั้งสลักเกลียวทุกตัวตามข้ันตอน ใส่แหวนรองในตําแหน่งและขันสลักเกลียว
แบบแน่นพอดี จากน้ันให้ใส่แรงบิดกับสลักเกลียวทุกตัวของจุดต่อ การขันให้ทําอย่างเป็น
ข้ันตอนโดยเริ่มจากส่วนท่ียึดแน่นที่สุดของจุดต่อเพ่ือจํากัดให้เกิดการคลายตัว
(relaxation) น้อยท่ีสุดในสลักเกลียวที่ใส่แรงดึงไปก่อนหน้าแล้ว จะต้องป้องกันไม่ให้
สลักเกลียวตัวอื่นหมุนขณะขันประแจ การใส่แรงบิดต้องไม่ทําให้เกิดการหมุนระหว่าง
สลกั เกลียวและแปน้ เกลยี วทมี่ ากกว่าคา่ ท่รี ะบุไวใ้ นตารางท่ี 3 สาํ หรับสลักเกลียวมาตรฐาน
ASTM A325 และ ASTM A490
ค่มู ือการกอ่ สรา้ งอาคารเหล็กโครงสร้างรปู พรรณ หนา้ ที่ 19
ค) การให้แรงดึงก่อนโดยการใช้สลักเกลียวชนิดควบคุมแรงดึงด้วยการบิดปลายขาด (twist–
off-type tension-control bolt pretensioning)
การให้แรงดึงก่อนโดยการใช้สลักเกลียวชนิดควบคุมแรงดึงด้วยการบิดปลายขาด
จะต้องใชส้ ลกั เกลียวทเ่ี ป็นไปตามมาตรฐาน ASTM F1852 หรอื F2280
ติดตั้งสลักเกลียวทุกตัวตามขั้นตอน ใส่แหวนรองในตําแหน่งและขันสลักเกลียว
แบบแน่นพอดี โดยไม่ทําให้ปลายสลักเกลียวเสียหาย หากปลายสลักเกลียวเสียหาย
จะต้องทําการเปลี่ยนสลักเกลียวตัวใหม่ทันที จากนั้นให้ขันสลักเกลียวทุกตัวของจุดต่อ
ด้วยประแจสําหรับขันสลักเกลียวชนิดควบคุมแรงดึงด้วยการบิดปลายขาดจนปลายขาด
การขันให้ทําอย่างเป็นข้ันตอนโดยเร่ิมจากส่วนที่ยึดแน่นท่ีสุดของจุดต่อเพ่ือจํากัดให้เกิด
การคลายตวั (relaxation) น้อยทส่ี ดุ ในสลกั เกลียวที่ใส่แรงดึงไปก่อนหน้าแล้ว
ง) การให้แรงดึงก่อนโดยวิธีการขันโดยใช้ตัววัดแรงดึงโดยตรง (direct–tension-indicator
pretensioning)
การให้แรงดึงก่อนโดยวิธีการขันโดยใช้ตัววัดแรงดึงโดยตรง ให้ใช้ตัววัดแรงดึง
โดยตรงที่เป็นไปตามมาตรฐาน ASTM F959/F959M จะต้องทําการตรวจสอบก่อน
การติดตั้ง โดยเมื่อค่าแรงดึงถึงค่าท่ีระบุในตารางที่ 4 ช่องว่างที่เกิดข้ึนจะต้องไม่น้อยกว่า
เกณฑท์ ีร่ ะบไุ ว้ตามมาตรฐาน ASTM F959/F959M
ติดต้ังสลกั เกลียวทกุ ตัวตามขน้ั ตอนท่ีกําหนดไว้ และใส่แหวนรองในตําแหน่งตามรูปท่ี
7 ผู้ติดตั้งจะต้องตรวจสอบว่ารอยนูนใต้ตัววัดแรงดึงยังไม่ถูกกดจนเหลือช่องว่างน้อยกว่า
เกณฑ์ท่ีระบุไว้ตามมาตรฐาน ASTM F959/F959M หากรอยนูนมีค่าน้อยกว่าค่าที่ระบุ
ในมาตรฐาน จะต้องนําออกและทําการเปล่ียนใหม่ การขันให้ทําอย่างเป็นขั้นตอน
โดยเริ่มจากส่วนที่ยึดแน่นท่ีสุดของจุดต่อเพ่ือจํากัดให้เกิดการคลายตัว (relaxation)
น้อยท่ีสุดในสลักเกลียวที่ใส่แรงดึงไปก่อนหน้าแล้ว ผู้ติดต้ังจะต้องตรวจสอบให้ม่ันใจว่า
รอยนนู ใต้ตัววดั แรงดงึ ไดถ้ ูกบีบอัดจนกระทัง่ ช่องวา่ งมีคา่ น้อยกว่าค่าทีร่ ะบุในมาตรฐาน
ค่มู ือการก่อสรา้ งอาคารเหล็กโครงสร้างรปู พรรณ หน้าที่ 20
วัดขนาดช่องวา่ ง วัดขนาดช่องวา่ ง
ตวั วัดแรงดึง แหวนรอง แหวนรอง
(ASTM F436) (ASTM F436)
ก) ตัววัดแรงดงึ อยู่ด้านหัว ข) ตัววัดแรงดึงอยู่ดา้ นแป้นเกลยี ว
สลักเกลียว และขันแป้นเกลยี ว และขันแป้นเกลียว
วดั ขนาดช่องวา่ ง วดั ขนาดชอ่ งว่าง
แหวนรอง แหวนรอง
(ASTMF436) (ASTM F436)
ค) ตัววดั แรงดงึ อยู่ดา้ นหัว ง) ตัววัดแรงดึงอยู่ดา้ นแป้นเกลียว
สลักเกลยี ว และขนั หวั สลักเกลยี ว และขันหวั สลกั เกลยี ว
รปู ที่ 7 ตัวอย่างการตดิ ตั้งสลกั เกลียวโดยใชต้ วั วัดแรงดงึ โดยตรง
ตามมาตรฐาน ASTM F959/F959M ทเี่ หมาะสม
(ขอ้ 2.3.5)
ค่มู อื การกอ่ สร้างอาคารเหลก็ โครงสร้างรูปพรรณ หน้าท่ี 21
ตารางท่ี 4 คา่ แรงดึงตาํ่ สดุ สาํ หรบั การตรวจสอบสลกั เกลียวก่อนการตดิ ตัง้
(ข้อ 2.3.5)
ขนาดเสน้ ผ่าน ค่าแรงดึงตา่ํ สุดสําหรับการตรวจสอบสลกั
ศูนย์กลางระบุ เกลียวกอ่ นการติดต้ัง, กิโลนิวตันa
db, มิลลิเมตร
ASTM A325 ASTM A490
และ F1852 และ F2280
12 58 71
16 89 111
19 129 165
22 182 227
25 240 298
28 262 374
32 334 476
35 396 565
38 480 689
a เท่ากับ 1.05 เท่าของแรงดึงกอ่ นต่ําสุดระบุ จากตารางที่ 2 ปัดทศนยิ มใหใ้ กล้เคยี ง
ในหน่วยกิโลนวิ ตัน
2.3.6 รอยตอ่ รับแรงอัด
รอยตอ่ รับแรงอัดซ่งึ กําลงั ส่วนหน่ึงของรอยต่อข้ึนอยู่กับแรงแบกทานท่ีผิวสัมผัส จะต้องเตรียม
พื้นผวิ ทีใ่ ชร้ บั แรงแบกทานของชนิ้ ส่วนแต่ละช้ินในรอยต่อโดยการกัด (milling) การเล่ือย (sawing)
หรอื วิธอี นื่ ทเี่ หมาะสม
2.3.7 ความคลาดเคลือ่ นท่ยี อมใหข้ องมติ ิ
ความคลาดเคลื่อนที่ยอมให้ของมิติจะต้องเป็นไปตามมาตรฐานคุณลักษณะเฉพาะของ
เหลก็ โครงสร้างรปู พรรณ ที่ใช้ในงานโครงสร้างอาคาร (มยผ 1107-61)
2.3.8 การตกแตง่ ฐานเสา (finish of column bases)
การตกแต่งฐานเสา (column base) และแผ่นรองฐาน (base plate) จะต้องทําตาม
ข้อกาํ หนดดังตอ่ ไปน้ี
1) แผ่นเหล็กรับแรงแบกทานที่มีความหนาไม่เกิน 50 มิลลิเมตร ไม่จําเป็นต้องทําการตกแต่งผิว
โดยการกัด (milling) ถ้าพื้นผิวสัมผัสสามารถรับแรงแบกทานได้เพียงพอ แผ่นเหล็กรับแรง
แบกทานที่มีความหนามากกว่า 50 มิลลิเมตร แต่ไม่เกิน 100 มิลลิเมตร อนุญาตให้ดัดให้ตรง
โดยการกดได้ ในกรณีที่ไม่สามารถใชัวิธีการกดได้ ให้ใช้การกัดพ้ืนผิวที่รับแรงแบกทานได้
ค่มู อื การกอ่ สรา้ งอาคารเหล็กโครงสร้างรปู พรรณ หนา้ ที่ 22
โดยมีข้อยกเว้นท่ีระบุในข้อ 2) และ 3) ในหัวข้อน้ี จนได้ผิวสัมผัสรับแรงแบกทานที่ต้องการ
แผ่นเหล็กรับแรงแบกทานท่ีมีความหนามากกว่า 100 มิลลิเมตร ให้ใช้การกัด (milling)
พนื้ ผวิ ที่รบั แรงแบกทาน
2) ผิวด้านล่างของแผ่นเหล็กรับแรงแบกทานและฐานเสาไม่จําเป็นต้องทําการกัด (milling)
พื้นผิว ถ้ามีการเทปูนชนิดต้านทานการหดตัวเพ่ืออุดช่องว่างเพ่ือให้ผิวสัมผัสรับแรงแบกทาน
ไดเ้ ตม็ ทบ่ี นฐานราก
3) ผิวด้านบนของแผ่นเหล็กรับแรงแบกทานไม่จําเป็นต้องทําการกัดผิว (milling)
เมื่อใช้การเช่ือมแบบบากร่องทะลุตลอด (complete–joint-penetration groove weld)
ในรอยตอ่ ระหวา่ งเสาและแผ่นเหล็กรับแรงแบกทาน
2.3.9 รเู จาะสาํ หรบั สมอยดึ (holes for anchor rod) และแหวน (washer)
อนุญาตให้เจาะรูสําหรับสมอยึดโดยการเจาะด้วยความร้อนได้ โดยต้องเป็นไปตามข้อกําหนด
ขอ้ 2.3.2 (การตัดด้วยความรอ้ น)
ข้อแนะนําสําหรับขนาดของรูเจาะบนแผ่นรองฐาน (base plate) สําหรับสมอยึด (anchor
rod) ขนาดตา่ งๆ (หากไมม่ กี ารกาํ หนดเปน็ อยา่ งอืน่ ) แสดงในตารางท่ี 5
ค่มู ือการก่อสร้างอาคารเหลก็ โครงสร้างรปู พรรณ หนา้ ท่ี 23
ตารางท่ี 5 ขอ้ แนะนาํ สาํ หรบั ขนาดของรูเจาะบนแผน่ รองฐาน (base plate)
สาํ หรบั สมอยดึ (anchor rod) ขนาดตา่ งๆ
(ข้อ 2.3.9)
เส้นผา่ นศนู ยก์ ลาง เส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่สดุ ขนาดเลก็ สดุ ความหนาตํา่ สุด
สมอยดึ ของรูเจาะบน base plate ของแหวน (washer) ของแหวน (washer)
(นิ้ว) (นวิ้ ) (น้ิว) (นว้ิ )
3/4 1 5/16 2 1/4
7/8 1 9/16 2 1/2 5/16
1 1 13/16 3 3/8
1 1/4 2 1/16 3 1/2
1 1/2 2 5/16 3 1/2 1/2
1 3/4 2 3/4 4 5/8
2 3 1/4 5 3/4
2 1/2 3 3/4 5 1/2 7/8
ข้อแนะนํา 1 ใชไ้ ด้ทัง้ แหวนกลมและแหวนรูปสเี่ หลยี่ มทม่ี คี า่ เป็นไปตามทร่ี ะบุ
2 ให้พจิ ารณาระยะหา่ งของช่องวา่ งระหวา่ งรูเจาะกับขอบตา่ งๆ เชน่ ขอบรอยเช่ือม ปีกของเสา เมื่อเลอื กตาํ แหน่งของรูเจาะด้วย
3 สาํ หรบั หน่วย SI ใหเ้ ทียบเคียงกับค่าในตารางโดยใช้ขนาดท่ไี มน่ อ้ ยกวา่ ค่าเทยี บเคยี งท่ีระบุ
4 สาํ หรับแผน่ รองฐาน (base plate) ทม่ี คี วามหนานอ้ ยกว่า 1 1/4 นวิ้ อาจใชก้ ารเจาะรูด้วยการกด (punch) เพ่อื ความประหยดั
โดยลดขนาดรูเจาะเปน็ 1 1/16 น้ิว สําหรบั สมอยดึ (anchor rod) ขนาด ¾ นิว้ และใช้แหวนตามมาตรฐาน ASTM F844 แทนได้
แตท่ ง้ั นต้ี อ้ งคาํ นงึ ถงึ ผลทีต่ ามมาเนือ่ งจากขนาดรทู ี่เลก็ ลงที่จะแตกต่างจากคา่ ระยะคลาดเคลื่อนของตําแหนง่ สมอยดึ (anchor
rod) ทีอ่ าจเกินค่าคลาดเคลอื่ นทย่ี อมให้ (tolerance) ด้วย
2.3.10 รรู ะบาย
ถ้ า ห า ก น้ํ า ส า ม า ร ถ ขั ง ไ ด้ ภ า ย ใ น อ ง ค์ อ า ค า ร ห น้ า ตั ด รู ป ท่ อ ส่ี เ ห ลี่ ย ม ห รื อ รู ป ก ล่ อ ง
ทั้งในช่วงระหว่างการก่อสร้างหรือการใช้งาน องค์อาคารต้องถูกปิดเพื่อป้องกันน้ําเข้า
และมีการเจาะรูระบายไว้ท่ีฐาน หรือป้องกันด้วยวิธีอื่นที่เหมาะสม รูปที่ 8 แสดงตัวอย่าง
รายละเอียดการเจาะรรู ะบายที่ฐานเสา
ค่มู อื การก่อสรา้ งอาคารเหลก็ โครงสร้างรปู พรรณ หน้าที่ 24
D (ความกวา้ งของเสา)
แผ่นฐานเสา ระยะไม่เกนิ D/2 จากฐานเสา
(Base plate)
เสน้ ผา่ นศูนยก์ ลางรูเจาะไม่นอ้ ยกวา่ 13 มม. (1/2 น้วิ )
รูปที่ 8 ตวั อยา่ งการเจาะรูระบาย
(ข้อ 2.3.10)
2.4 การทาสจี ากโรงงาน
2.4.1 ข้อกาํ หนดท่ัวไป
จะต้องมีการระบุในสัญญาถึงส่วนขององค์อาคารหรือส่วนของช้ินส่วนท่ีไม่มีการทาสี
และสว่ นท่ีจะต้องทาสี สําหรับสว่ นทจ่ี ะทาสี จะต้องมกี ารระบถุ ึง
- ชน้ิ ส่วน หรอื สว่ นทีจ่ ะทาสี
- วิธีการเตรียมพื้นผิว
- ข้อกาํ หนดของสที ีจ่ ะใช้ และหมายเลขรหัสสีของผู้ผลติ สี
- ความหนาตา่ํ สุดของชน้ั สีท่แี ห้งแล้ว
การทาสีจะต้องมีการพิจารณารายละเอียดด้านความคงทนที่สอดคล้องตามมาตรฐาน
ความคงทนของอาคารเหลก็ โครงสรา้ งรูปพรรณ (มยผ. 1333-61)
พ้ืนผิวท่ีไม่มีการทาสี จะต้องทําความสะอาดคราบไขมันหรือจารบี หรือส่ิงสกปรกอ่ืนๆ
ดว้ ยสารทาํ ความสะอาดทเี่ ป็นชนิดตัวทาํ ละลาย
สําหรับส่วนที่จะทาสี จะต้องมีการเตรียมพ้ืนผิวโดยการทําความสะอาดก่อนการทาสี
ด้วยการกําจัดสนิม เศษเหล็กจากการตัด ส่ิงสกปรก และสิ่งปนเป้ือนอ่ืนๆ ด้วยแปรงลวด
หรือวิธีอ่ืนท่ีเหมาะสม การทาสีจะต้องทาด้วยแปรงทาสี การพ่นสี การใช้ลูกกล้ิง การไหลผ่าน
การชุบ หรือวิธีอื่นที่เหมาะสม โดยมีความหนาของชั้นสีท่ีแห้งแล้วไม่น้อยกว่า 25 ไมโครเมตร
หรือตามทร่ี ะบุในเอกสาร
ค่มู ือการก่อสรา้ งอาคารเหลก็ โครงสร้างรปู พรรณ หน้าท่ี 25
2.4.2 พ้นื ผวิ ส่วนท่ไี ม่สามารถเขา้ ถึงได้
พื้นผิวส่วนท่ีไม่สามารถเข้าถึงได้หลังจากการประกอบท่ีโรงงาน (ยกเว้นพ้ืนผิวสัมผัส) จะต้อง
มีการทาํ ความสะอาด และทาสีก่อนการประกอบ ถ้ามกี ารระบุในเอกสารการก่อสรา้ ง
2.4.3 พ้นื ผิวสัมผัส
อนญุ าตให้มกี ารทาสีในรอยต่อประเภทรับแรงแบกทานได้ สําหรับรอยต่อแบบรอยเลื่อนวิกฤติ
จะตอ้ งมกี ารทดสอบรอยต่อที่มีการทาสวี ่าไม่มีผลกระทบต่อกําลังการรับแรงของรอยต่อ
2.4.4 พนื้ ผิวท่ีมีการตกแตง่
พื้นผิวที่มีการตกแต่งด้วยเครื่องจักรจะต้องมีการป้องกันไม่ให้เกิดสนิมโดยการเคลือบด้วยสาร
ป้องกันการเกิดสนิม ท่ีสามารถกําจัดออกได้ก่อนการติดต้ัง หรือมีคุณสมบัติที่ทําให้ไม่จําเป็น
ที่จะตอ้ งมีการกําจดั ออกก่อนการตดิ ตั้ง
2.4.5 ผวิ สัมผัสขา้ งเคียงรอยเชอ่ื มในสนาม
พื้นผิวในระยะ 50 มิลลิเมตร ห่างจากตําแหน่งรอยเช่ือมในสนามจะต้องไม่มีวัสดุท่ีจะทําให้
เปน็ อุปสรรคต่อการเช่ือม หรือเกดิ ควนั ทเ่ี ป็นอุปสรรคระหว่างการเช่ือม ยกเว้นหากมีการกําหนดไว้
ในเอกสารการออกแบบ
2.5 การจดั ส่งวสั ดุ
2.5.1 ช้ินส่วนเหลก็ โครงสรา้ งท่ีประกอบเสร็จแลว้ จะต้องมีการนําสง่ ตามลาํ ดับท่ีทําให้เกิดประสิทธิภาพ
สูงสุดและประหยัด ท้ังสําหรับผู้ประกอบชิ้นส่วนและผู้ติดต้ัง และสอดคล้องกับข้อกําหนดใน
สัญญา หากตัวแทนเจ้าของงานท่ีควบคุมงานก่อสร้างต้องการที่จะกําหนดหรือควบคุมลําดับ
การจัดสง่ ของวสั ดุ จะตอ้ งมกี ารระบขุ นั้ ตอน ลาํ ดับการจดั ส่งในเอกสารสญั ญา
2.5.2 สลักสมอ แหวน แปน้ เกลยี ว หรอื วัสดทุ เ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั สมอ ที่จะตอ้ งมีการฝังลงในคอนกรีต หรืออิฐ
จะต้องนําส่งให้เรียบร้อยและพร้อมเมื่อจําเป็นต้องใช้งาน ตัวแทนเจ้าของงานท่ีควบคุมงาน
ก่อสร้างจะต้องกําหนดระยะเวลาที่เพียงพอสําหรับผู้ประกอบช้ินงานท่ีจะประกอบและนําส่ง
ชนิ้ งาน เมอ่ื ถึงเวลาทตี่ ้องใชง้ าน
2.5.3 หากวัสดุที่นําส่งมีไม่ครบตามท่ีระบุในเอกสารนําส่ง ตัวแทนเจ้าของงานที่ควบคุมงานก่อสร้าง
หรือผ้ตู ดิ ตงั้ ชิน้ งานจะต้องแจ้งผูป้ ระกอบชน้ิ งานโดยทันทีเพ่อื การตรวจสอบ
ค่มู ือการกอ่ สร้างอาคารเหลก็ โครงสร้างรูปพรรณ หน้าที่ 26
2.5.4 หากวัสดุท่ีนําส่งมีสภาพเสียหาย ผู้ที่เก่ียวข้องกับการรับสินค้าจะต้องแจ้งผู้ประกอบชิ้นงาน
และบรษิ ทั สง่ สินคา้ ก่อนที่จะมกี ารขนถา่ ยสินคา้ หรอื แจง้ ทนั ทีที่พบก่อนการติดตั้งชนิ้ งาน
2.6 การตดิ ตัง้
2.6.1 วธิ กี ารตดิ ต้งั
ผู้ติดต้ังงานเหล็กโครงสร้างจะต้องติดตั้งโดยใช้วิธีและลําดับการติดต้ังท่ีมีประสิทธิภาพ
ประหยัด และปลอดภัยต่อผู้ปฏิบัติงาน และเป็นไปตามข้อกําหนดที่ระบุในสัญญา หากเจ้าของงาน
หรือตัวแทนเจ้าของงานท่ีควบคุมงานก่อสร้างต้องการที่จะกําหนดหรือควบคุมวิธีการติดต้ัง
หรือลําดับการติดตั้ง หรือมีช้ินส่วนบางช้ินท่ีไม่สามารถติดต้ังโดยขั้นตอนปกติได้ จะต้องมีการระบุ
วิธีการและขนั้ ตอนการติดตั้งในเอกสารสัญญา
การติดต้ังเสาจะต้องมีการตรวจสอบแนวด่ิงและการจัดแนวเสาให้เป็นไปตามเอกสาร
การก่อสร้าง และจะต้องมีค่าคลาดเคลื่อนไม่เกินค่าท่ีระบุในมาตรฐานคุณลักษณะเฉพาะของเหล็ก
โครงสร้างรูปพรรณ ใช้ในงานโครงสร้างอาคาร (มยผ. 1107) รูปที่ 9 แสดงการตรวจสอบแนวดิ่ง
ดว้ ยลกู ด่งิ และการจัดแนวเสา
การติดต้ังเสา หากเสาไม่มีเสถียรภาพเพียงพอภายหลังจากท่ีปลดอุปกรณ์ยกออก จะต้องมี
การติดต้ังคํ้ายันชั่วคราวเพื่อให้เสามีเสถียรภาพ โดยค้ํายันจะต้องเหมาะสม ถูกต้อง และเพียงพอ
รูปที่ 10 แสดงตวั อยา่ งการตดิ ตั้งคํา้ ยันโดยการยดึ เสาด้วยลวดสลิงทงั้ สีด่ ้านเพ่ือให้เสามีเสถียรภาพ
y มม. x มม.
เสน้ เอน็
เสน้ เอ็น
y มม. x มม.
ลกู ด่งิ ลูกดง่ิ
เสน้ แนวขอบเสา
เสน้ กงึ่ กลางแนวเสา
รปู ที่ 9 ตัวอย่างการตรวจสอบแนวดง่ิ และการจดั แนวเสา หน้าท่ี 27
(ข้อ 2.6.1)
ค่มู ือการก่อสรา้ งอาคารเหลก็ โครงสร้างรปู พรรณ
ลวดสลงิ ขนาดที่ ยึดลวดสลิงทีป่ ลายเสาหรือตําแหนง่ ที่
เหมาะสม เหมาะสมโดยอาจจะเจาะรูสําหรับยดึ
ลวดสลิงทีต่ าํ แหน่งทีเ่ หมาะสม
สมอยดึ ลวดสลิง
โดยตดิ ตัง้ บนพนื้ ดิน ลวดสลิงขนาดที่
ท่แี ขง็ แรงเพียงพอ เหมาะสม
แผน่ ฐานเสายดึ สมอยึดลวดสลิงโดย
ดว้ ยสลกั เกลยี ว ตดิ ต้งั บนพ้นื ดินท่ี
แขง็ แรงเพียงพอ
รูปท่ี 10 ตวั อย่างการยึดเสาช่ัวคราวด้วยลวดสลงิ เพ่อื ใหเ้ สามีเสถยี รภาพ
(ขอ้ 2.6.1)
การยกชิ้นส่วนโครงสร้าง ควรจะยกอย่างต่ําสองจุด เพ่ือให้การยกมีเสถียรภาพ โดยมุมของ
สลิงกับชิ้นส่วนที่ยกควรอยู่ระหว่าง 45 ถึง 90 องศา รูปที่ 11 แสดงตัวอย่างการยกคานด้วย
ลวดสลิง สําหรับการยกชิ้นส่วนที่ยาวและมีความชะลูดสูง อาจจะต้องมีการใช้อุปกรณ์ช่วยยก เช่น
lifting beam spreader beam หรือ spreader bar และอาจมีจุดยกมากกว่าสองจุด เพ่ือให้
โครงสร้างท่ียกมีเสถียรภาพ การออกแบบอุปกรณ์ช่วยยกพร้อมอุปกรณ์ประกอบ การกําหนด
ขนาดสลิง และการกําหนดจุดยกและรูปแบบการยก จะต้องออกแบบและกําหนดหรือได้รับ
อนุญาตโดยวิศวกรผคู้ วบคุมงาน และจะตอ้ งคํานงึ ถึงแรงทเ่ี กดิ ขนึ้ จากการยกดว้ ย รปู ท่ี 12 รูปที่ 13
และ รูปท่ี 14 แสดงตัวอย่างการยกคานช่วงยาว การยกคานช่วงยาวด้วย lifting beam และการ
ยกคานชว่ งยาวมากด้วย spreader bar ตามลาํ ดบั
สําหรับการยกช้ินส่วนที่ยาวมากและมีนํ้าหนักมาก อาจทําการยกโดยใช้รถเครนมากกว่า
หนึ่งคัน โดยยกพร้อมๆกัน ท้ังนี้จะต้องได้รับอนุมัติจากวิศวกรผู้ควบคุมงาน และมีการตรวจสอบ
อย่างใกล้ชิดและเข้มงวดขณะทําการยก รูปท่ี 15 แสดงตัวอย่างการยกคานประกอบขนาดใหญ่
(plate girder) ทีส่ ูงและมชี ว่ งยาวมาก ขึน้ ประกอบด้วยการใชร้ ถเครน 2 คนั
ค่มู อื การกอ่ สร้างอาคารเหลก็ โครงสร้างรูปพรรณ หน้าที่ 28
เครน
ลวดสลงิ หรอื เชือก
คาน
รูปที่ 11 การยกคานโดยทั่วไป
(ข้อ 2.6.1)
เครน
ลวดสลิง
ลวดสลงิ หรือเชอื ก lifting beam ลวดสลงิ หรอื เชอื ก
คานที่มีชว่ งยาว
รปู ท่ี 12 การยกคานทีม่ ชี ว่ งยาวขึ้นประกอบด้วยการใช้ lifting beam
(ข้อ 2.6.1)
ค่มู อื การกอ่ สร้างอาคารเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ หนา้ ท่ี 29
เครน
ลวดสลิง
ลวดสลิงหรอื เชอื ก spreader beam ลวดสลิงหรอื เชือก
คานทีม่ ชี ่วงยาว
รปู ที่ 13 การยกคานที่มชี ่วงยาวข้นึ ประกอบด้วยการใช้ spreader beam
(ข้อ 2.6.1)
เครน
ลวดสลงิ spreader bar
ลวดสลิงหรือเชือก
คานหรอื องค์อาคารที่มชี ่วงยาวมาก
รูปที่ 14 การยกคานทีย่ าวมากและคอ่ นข้างเสยี รปู ง่ายดว้ ย spreader bar
(ขอ้ 2.6.1)
ค่มู อื การกอ่ สร้างอาคารเหลก็ โครงสร้างรูปพรรณ หนา้ ท่ี 30
รูปที่ 15 ตัวอยา่ งการยกคานประกอบขนาดใหญ่ (plate girder) ท่สี งู และมชี ว่ งยาวมาก
ข้ึนประกอบดว้ ยการใช้รถเครน 2 คนั
(ข้อ 2.6.1)
2.6.2 สถานท่ีก่อสรา้ ง
ตวั แทนเจ้าของงานท่คี วบคุมงานก่อสรา้ งจะต้องจัดเตรยี มและดูแลสถานที่ก่อสรา้ ง ดังนี้
1) จัดให้มีทางที่สามารถเข้าถึงได้เพ่ือการขนส่งท่ีปลอดภัย ทางเข้าออกกว้างเพียงพอสําหรับรถ
ขนส่งชิ้นส่วนหรือวัสดุ ไม่มีสายไฟฟ้าหรือสายเคเบิลพาดผ่านที่จะเป็นอุปสรรคต่อรถขนส่ง
ช้ินส่วนหรือระหว่างการยกหรือขนย้ายชิ้นส่วน และมีพื้นที่หรือบริเวณสําหรับการขนย้าย
ช้นิ สว่ นทจี่ ะทาํ การติดตัง้
2) บริเวณสถานท่ีก่อสร้างมีบริเวณท่ีราบ แข็ง ระบายนํ้าได้ดี สะดวก และกว้างเพียงพอสําหรับ
การปฏิบตั ิงานของเครอื่ งมอื หรือเคร่อื งจกั รของผตู้ ิดตง้ั
3) มีสถานท่จี ดั เกบ็ ท่เี พยี งพอ เพือ่ ใหผ้ ู้ประกอบและผู้ตดิ ตั้งปฏบิ ัติงานไดส้ ะดวกและรวดเรว็
รูปท่ี 16 แสดงตัวอยา่ งการจัดสถานทก่ี ่อสรา้ ง
ค่มู อื การกอ่ สรา้ งอาคารเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ หน้าที่ 31
ตู้ รปภ. แนวร้ัวโครงการ ตู้ รปภ.
บรเิ วณกอ่ สร้างตัวอาคาร
ประตูทางออก พืน้ ที่กองเกบ็ ชิ้นงาน บรเิ วณขน ห้องเก็บ ห้องเก็บของ
สาํ หรับรถขนส่ง ที่รอการติดตงั้ ถ่ายชิ้นงาน ของ - อุปกรณ์ เครือ่ งมือสําหรับการ
ติดตง้ั ช้ินงาน เครือ่ งเช่อื ม ประแจ
ขนาดใหญ่ ประตู สาํ นกั งาน ตา่ งๆ
ตู้ รปภ. ทางเขา้ -ออก - วัสดงุ านตดิ ต้ัง เชน่ สลักเกลยี ว
ห้องน้าํ แป้นเกลียว แหวน ลวดเชื่อม และ
วสั ดุอ่นื ๆ
ถนนสาธารณะ พน้ื เรียบ แข็ง ไม่เป็นแอ่ง
น้าํ ไม่ขัง ระบายนา้ํ ไดด้ ี
รูปที่ 16 ตวั อย่างการจัดสถานท่กี อ่ สร้าง
(ขอ้ 2.6.2)
2.6.3 การกองเกบ็ และการดแู ลรกั ษา
ผู้ติดต้ังจะต้องควบคุมดูแล และเก็บรักษาเหล็กโครงสร้างระหว่างการติดตั้งไม่ให้ช้ินส่วนมี
สิ่งสกปรกสะสมหรือมีส่ิงท่ีไม่เก่ียวข้องมาปะปน การเก็บรักษาสลักเกลียว แป้นเกลียว แหวน
และอุปกรณ์ยึดอื่นๆ ต้องเป็นไปตามท่ีระบุในมาตรฐานท่ีเกี่ยวข้อง ตามรูปที่ 17 แสดงการจัดเก็บ
สลักเกลียวในภาชนะบรรจุจนกว่าจะมีการใช้งาน การจัดเก็บช้ินส่วนที่มีขนาดไม่ใหญ่มากอาจมี
การจัดเก็บบนชั้นเก็บของแบบ racking system ตามรูปท่ี 18 และมีการจําแนกตามหมวดหมู่
และมีปา้ ยบอกรายละเอยี ดชดั เจน สาํ หรับเหล็กรปู พรรณให้กองเกบ็ แยกตามหมวดหมู่ตามรูปที่ 19
เพ่ือความสะดวกในการนําไปใช้งานและเป็นการป้องกันความผิดพลาดในการเลือกใช้
โดยการกองเก็บจะต้องอยู่ในโรงเรือนท่ีมีหลังคาคลุม หรือหากอยู่กลางแจ้งจะต้องมีผ้าใบคลุม
และหนุนให้กองวัสดุเอียงเพ่ือป้องกันน้ําขัง และมีช่องเปิดให้อากาศไหลผ่านเข้าออกได้
ตามรปู ที่ 20
ค่มู อื การก่อสร้างอาคารเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ หนา้ ที่ 32
รูปที่ 17 ตวั อยา่ งการเกบ็ สลกั เกลยี วและแป้นเกลยี วในภาชนะบรรจจุ นกวา่ จะมีการใชง้ าน
(ข้อ 2.6.3)
รูปท่ี 18 ตัวอยา่ งการเกบ็ อปุ กรณย์ ดึ และเครือ่ งมือโดยใชช้ ัน้ เก็บของแบบ racking system
(ขอ้ 2.6.3)
ค่มู อื การกอ่ สร้างอาคารเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ หน้าที่ 33
พนื้ ท่ีปฏบิ ัติการ
รูปที่ 19 ตัวอย่างการกองเก็บเหลก็ รปู พรรณแยกตามหมวดหมู่
(ข้อ 2.6.3)
ไม้หนุน กองเก็บตัวอยา่ งแบบเอยี งเพือ่ ไม่ใหน้ า้ํ ขัง คลุมด้วยผา้ ใบกันนํา้
ยึดผ้าใบกบั พนื้ โดย
ใหม้ ีช่องเปดิ เพื่อให้
อากาศถ่ายเท
ชนิ้ งานหรอื วัสดุ ระยะหา่ งไมเ่ กนิ 1.5 เมตร ไม้หรอื เหลก็ หนุนให้เอียง
รปู ที่ 20 ตวั อย่างการกองเก็บช้นิ งานหรือวัสดุ
(ข้อ 2.6.3)
ค่มู อื การกอ่ สรา้ งอาคารเหล็กโครงสร้างรปู พรรณ หนา้ ที่ 34
2.6.4 ลําดับและขน้ั ตอนการตดิ ต้ัง
การติดตั้งชิ้นส่วนองค์อาคารให้เป็นไปตามท่ีระบุในเอกสารสัญญาก่อสร้าง หรือเอกสาร
ท่ีเก่ียวข้อง โดยข้ันตอนการติดตั้งจะขึ้นกับประสบการณ์และความพร้อมของผู้ติดต้ัง เคร่ืองจักรกล
เครื่องมือต่างๆ และความเชี่ยวชาญของแรงงานสําหรับการติดต้ัง ชิ้นส่วนและรูปแบบ
ขององค์อาคาร ขนาดของอาคาร พื้นที่ปฏิบัติงาน และปัจจัยอ่ืนๆ ที่เกี่ยวข้อง ข้ันตอนการติดตั้ง
และลําดับการติดตั้งอาจจะแตกต่างกันออกไปตามผู้ติดตั้งช้ินงานแต่ละรายตามความเหมาะสม
โดยจะต้องคํานึงถึงความปลอดภัย ความประหยัด และความรวดเร็วในการติดตั้งองค์อาคาร
ทั้งน้ีข้ันตอนและลําดับการติดต้ังต้องมีการวางแผนล่วงหน้าและต้องได้รับการอนุมัติจากวิศวกร
ผู้ควบคุมงาน หรืออาจปฏิบัติตามข้ันตอนการติดตั้งโดยมีวิศวกรผู้ควบคุมงานควบคุมอย่างใกล้ชิด
ดงั นี้
1) ตรวจสอบสมอยึดว่าครบจํานวน และเป็นไปตามท่ีระบุในเอกสารการก่อสร้าง หรือแบบ
สําหรับการติดตั้ง มีค่าความคลาดเคลื่อนไม่เกินท่ีค่าที่ยอมให้ที่ระบุในเอกสารสัญญาก่อสร้าง
หรือมาตรฐานท่ีเกี่ยวข้อง ตรวจสอบระดับของกลุ่มสมอยึด หากไม่ได้ระดับ ให้ดําเนินการ
แก้ไขให้เรียบร้อย หรือเตรียมแผ่นรอง (shim) ให้ได้ระดับสําหรับการติดตั้งเสาตามท่ีระบุใน
เอกสารการก่อสรา้ ง
2) กําหนดตําแหน่งติดตั้งเสาและช้ินส่วนอื่นๆ ตามที่ระบุในขั้นตอนการติดตั้งในเอกสาร
การก่อสร้าง หรือแบบสําหรับการติดต้ัง หากไม่มีการระบุลําดับหรือวิธีการติดต้ัง อาจเลือก
ตําแหน่งติดตั้งที่เมื่อติดต้ังแล้วเสาน้ันจะทําให้โครงสร้างมีเสถียรภาพของตัวโครงสร้างเอง
รวมท้ังทําให้เกิดเสถียรภาพของโครงสร้าง เช่น ในช่วงเสาท่ีมีการค้ํายันหรือช่วงที่เป็น
โครงข้อแข็งต้านทานโมเมนต์ โดยอาจปฏิบัติตามขั้นตอนท่ีระบุในเอกสารการก่อสร้าง
หรอื แบบสําหรับการติดตัง้ หรอื ปฏบิ ตั ติ ามข้ันตอนการตดิ ตั้งโดยมีวิศวกรผู้ควบคุมงานควบคุม
อยา่ งใกล้ชิด ดังน้ี
ก) ตรวจสอบรายละเอียดของเสาท่ีจะทําการติดต้ังว่าเป็นไปตามแบบก่อสร้างท่ีกําหนด
จํานวนรูเจาะสําหรับสลักเกลียวมีครบและมีขนาดตามท่ีกําหนด รอยเช่ือมมี
การตรวจสอบและเป็นไปตามมาตรฐานหรือขอ้ กาํ หนดที่ระบไุ ว้ ชน้ิ สว่ นตา่ งๆ ที่ประกอบ
บนเสาตรงตามแบบสําหรับการติดต้ังตรวจสอบความสะอาดของเสา สีอยู่ในสภาพ
สมบูรณ์ หากมีสีถลอกหรือรอยสนิม จะต้องทําการแก้ไขก่อนติดต้ัง รวมถึงตรวจสอบ
อปุ กรณ์การยดึ ให้เพยี งพอตามจํานวนทต่ี อ้ งการ และเป็นไปตามมาตรฐานท่ีระบุ
ค่มู ือการกอ่ สร้างอาคารเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ หน้าท่ี 35
ข) พิจารณาและกําหนดจุดยก รูปแบบการยก อุปกรณ์การยก มุมของเชือกยกหรือสลิงที่
แข็งแรงและมีความเหมาะสม ท่ีจะไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อโครงสร้าง
ขณะทําการยกเนื่องจากน้ําหนักของเสาเอง หรือแรงลม หรือแรงกระทําอื่นๆ เช่น
การเสียรูปจากการบิดตัว หรือระยะปลายย่ืนที่ยาวเกินไป รวมท้ังรูปแบบและวิธีการยก
มีความปลอดภัยต่อผู้ปฏิบัติงาน ท้ังน้ีการยกช้ินส่วนขนาดใหญ่ที่สามารถต้านลมได้
จะต้องดําเนินการในช่วงเวลาท่ีลมสงบ และอาจมีการแขวนด้วยเชือกที่ปลายท้ังสองข้าง
สําหรับให้ผู้ติดตั้งบนพ้ืนดินดึงเพ่ือควบคุมทิศทางของช้ินส่วนขณะติดตั้ง และการยก
ช้ินส่วนที่มีความยาวมาก อาจจะต้องพิจารณาใช้ lifting beam หรือ spreader bar
ชว่ ยยกภายใตก้ ารควบคุมของวศิ วกรผู้ควบคุมงานอย่างใกลช้ ดิ
ค) ยกเสาข้ึนต้ังบนสมอยึด ทําการข้ันสมอยึด และติดตั้งน่ังร้านสําหรับการขันสลักเกลียว
ท่ีจดุ ตอ่ ตา่ งๆ และสําหรบั การติดต้ังคาํ้ ยนั ชวั่ คราว
ง) ติดต้ังคํ้ายันช่ัวคราวชนิดรับได้ทั้งแรงดึงและแรงอัดอย่างน้อยสองด้านที่เป็นมุมฉากกันที่
ปลายเสาด้านบนหรือที่ระดับความสูงท่ีเหมาะสมและยึดเข้ากับสมอยึดบนพ้ืนท่ีม่ันคง
แขง็ แรง และติดต้ังค้ํายันอ่ืนๆ ท่ีจําเป็นเพ่ือให้เสามีเสถียรภาพ โดยให้เชือกหรือสลิงหรือ
วัสดุอ่ืนๆ ท่ีมีขนาดที่เหมาะสม หากใช้เชือกหรือสลิงเป็นค้ํายัน จะต้องติดตั้งคํ้ายัน
ชั่วคราวทั้งส่ีด้านของเสา ท้ังนี้ชนิดและขนาดของคํ้ายัน รวมถึงการยึดคํ้ายันเข้ากับเสา
จะตอ้ งมน่ั คงแขง็ แรงเพยี งพอทจี่ ะสามารถรบั แรงทอี่ าจเกิดข้นึ
จ) ตรวจสอบและปรับแก้แนวด่ิงของเสาทั้งสองแกน ขันสลักเกลียวให้แนน เม่ือพบว่าเสามี
เสถียรภาพแล้วให้ปลดค้ํายันออกอย่างช้าๆ เพื่อตรวจสอบเสถียรภาพของเสา
หากเสายังไม่มีเสถียรภาพ ให้คงคํ้ายันไว้จนกว่าจะประกอบช้ินส่วนที่ทําให้เสา
หรือโครงมีเสถียรภาพเสรจ็ สน้ิ กอ่ น
ฉ) ติดตั้งเสาในช่วงเสาถัดไป ในช่วงเสาท่ีมีการค้ํายันหรือมีการยึดกันเพ่ือสร้างเสถียรภาพ
ของโครงสรา้ ง โดยปฏิบตั ติ ามวธิ ที กี่ ลา่ วมาขา้ งตน้
ช) ยึดคานระหว่างเสา (กรณีที่เป็นโครงข้อแข็งรับโมเมนต์ดัด) หรือคํ้ายัน (กรณีที่เป็น
braced frame) หรือองค์อาคารรูปแบบอื่นๆ ระหว่างเสาสองต้น เพ่ือทําหน้าท่ีคํ้ายัน
ระหวา่ งเสาให้เสามเี สถียรภาพ
ค่มู อื การกอ่ สรา้ งอาคารเหลก็ โครงสร้างรูปพรรณ หน้าที่ 36
ซ) ติดต้ังเสาด้านตรงข้ามของช่วงเสาที่มีการค้ํายันท้ังสองต้นและยึดคานระหว่างเสา
(กรณีที่เป็นโครงข้อแข็งรับโมเมนต์ดัด) หรือค้ํายัน (กรณีที่เป็น braced frame)
หรือองค์อาคารรูปแบบอื่นๆ ระหว่างเสาสองต้น เพื่อทําหน้าที่ค้ํายันระหว่างเสาเพ่ือให้
เสามีเสถียรภาพ
ฌ) ติดตั้งคานระหว่างเสา (กรณีที่เป็นโครงข้อแข็งรับโมเมนต์ดัด) หรือค้ํายัน (กรณีที่เป็น
braced frame) หรือองค์อาคารรูปแบบอ่ืนๆ ระหว่างเสาในข้อ ค) หรือ ฉ) ไปยังเสาใน
ขอ้ ซ) เพ่ือให้โครงสร้างมเี สถยี รภาพในแนวตัง้ ฉากกบั ระนาบในขอ้ ช)
3) ติดต้ังเสาในช่วงถัดไป ทําการขั้นสลักเกลียวแบบแน่นพอดี และยึดค้ํายันช่ัวคราว
(รวมถึงคา้ํ ยนั ระหวา่ งเสาหากเสาน้ันยงั ไม่มเี สถยี รภาพทเี่ พียงพอในระหวา่ งการติดตัง้ )
4) ติดต้ังคาน หรือจันทัน หรือโครงถักหลังคา หรือคํ้ายันระหว่างเสาตัวถัดไปในช่วงเสาที่มี
การคํ้ายันเดียวกัน จากน้ันทําการติดตั้งแปหลังคา (purlin) และคํ้ายันแป (fly bracing)
หรือองค์อาคารอื่นที่ทําให้โครงสร้างมีเสถียรภาพ ที่ระยะห่างท่ีเหมาะสม (กรณีเป็น
โครงหลังคาหรือคานที่มีช่วงยาว) หรือจนกว่าจะมีการค้ํายันตัวค้ํายันให้มีเสถียรภาพ
เม่ือโครงสรา้ งที่ตดิ ตงั้ มเี สถียรภาพแลว้ จงึ ทาํ การคอ่ ยๆ หยอ่ นสลิงหรอื เชอื กยกและปลดออก
5) ติดต้ังค้ํายันถาวรของหลังคาและของเสาท้ังหมดตามแบบสําหรับการติดตั้ง หรือเอกสาร
สําหรับการกอ่ สรา้ ง โดยการขนั สลักเกลียวแบบแนน่ พอดี
6) ตรวจสอบและจัดแนวองค์อาคารท่ีติดตั้งอย่างละเอียด ทําการปรับแก้แนว ระดับ ความดิ่ง
และอ่ืนๆ โดยการคายสลักเกลียวแล้วปรับระยะ จนมีค่าไม่เกินค่าที่ระบุในเอกสาร
ประกอบการก่อสร้าง หรือมาตรฐานอ่ืนๆ ท่ีเกี่ยวข้อง โดยอาจมีการติดต้ังค้ํายันช่ัวคราวใน
สว่ นท่ีจาํ เป็น จากน้นั ทําการขนั สลกั เกลียวให้แนน่
7) ติดต้ังเสา จันทัน แป และองค์อาคารอื่นๆ ตามลําดับท่ีเหมาะสมและมีเสถียรภาพ ทําการ
ตรวจสอบระยะ ระดบั แนวดิง่ จนเสร็จสิ้น
8) ตรวจสอบการติดตัง้ โดยผ้ตู รวจสอบหรือวิศวกรผ้คู วบคมุ งาน
9) ติดต้ังแผ่นหลังคา ผนัง ประตู หน้าต่าง และช้ินส่วนอื่นๆ ที่ระบุในเอกสารการก่อสร้าง
ตามลําดับความเหมาะสม
ค่มู ือการกอ่ สรา้ งอาคารเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ หนา้ ที่ 37
2.6.5 การติดตั้งฐานเสาโดยการยึดดว้ ยสมอยดึ (anchor rod)
การติดต้ังฐานเสาโดยการยึดด้วยสมอยึด (anchor rod) น้ัน สมอยึด (anchor rod)
และอุปกรณ์ประกอบจะต้องได้มาตรฐานตามท่ีระบุในเอกสารสัญญา โดยตัวสมอยึด (anchor rod)
อาจเป็นแบบปลายงอเป็นขอ (hooked-type anchor rod) ตามรูปที่ 21.ก หรือแบบแท่งตรง
และมีหัวท่ีปลาย (headed rod) ตามรูปที่ 21.ข หรือแบบแท่งตรงปลายเป็นเกลียวและมีแป้น
เกลียว (threaded rod with nut) ตามรูปที่ 21.ค หรือแบบอื่นๆ ท่ีเหมาะสม ตัวอย่างแสดง
รายละเอียดในการตดิ ตงั้ เสาบนสมอยดึ ชนดิ มกี าร grout แสดงในรปู ที่ 22
ก) แบบปลายงอเปน็ ขอ ข) แบบแทง่ ตรงและมีหวั ทป่ี ลาย ค) แบบแทง่ ตรงปลายเปน็ เกลยี วและมีแปน้ เกลียว
(hooked) (headed) (threaded with nut)
รูปที่ 21 สมอยดึ (anchor rod) แบบหลอ่ ในทช่ี นดิ ต่างๆ
(ข้อ 2.6.5)
ค่มู ือการก่อสรา้ งอาคารเหล็กโครงสร้างรปู พรรณ หน้าที่ 38
รอยเชื่อมพอก เสาเหล็ก
แผน่ ฐานเสา แหวนและแปน้ เกลยี ว
วสั ดุ Grout สมอยดึ
คอนกรตี ฐานราก แปน้ เกลียวสมอยึด
รปู ท่ี 22 ตัวอย่างรายละเอียดการตดิ ต้งั เสาบนสมอยึด (anchor rod) ชนิดมีการ grout
(ขอ้ 2.6.5)
โดยทั่วไปจะนิยมใช้สมอยึด (anchor rod) ชนิดกัลวาไนซ์ ในส่วนที่สัมผัสสภาพแวดล้อม
และอาจเกิดสนิมได้ โดยวิธีการกัลป์วาไนซ์อาจใช้วิธีจุ่มร้อน (hot-dip galvanizing process)
หรือวิธีทางกล (mechanical galvanizing process) ก็ได้ แต่ท้ังน้ีสมอยึด (anchor rod)
และแป้นเกลียว (nut) จะต้องผลิตจากการกัลวาไนซ์วิธีเดียวกันและควรสง่ั จากผผู้ ลิตเดยี วกนั
ค่าคลาดเคล่ือนของระยะต่างๆ สําหรับการติดตั้งสมอยึด ให้เป็นไปตามท่ีระบุในเอกสาร
การก่อสร้างหรือหากไม่ระบุ ให้เป็นไปตามค่าดังตอ่ ไปน้ี
1) ความคลาดเคล่ือนระหว่างจุดศูนย์กลางของสมอยึดสองตัวในกลุ่มสมอยึดเดียวกันมีค่าไม่เกิน
3 มลิ ลิเมตร
2) ความคลาดเคล่ือนระหว่างจุดศูนย์กลางของกลุ่มสมอยึดสองกลุ่มที่อยู่ถัดจากกันมีค่าไม่เกิน
6 มลิ ลิเมตร
3) ความคลาดเคลือ่ นของระดบั ของปลายบนของสมอยดึ มคี า่ ไม่เกนิ 13 มลิ ลิเมตร
4) ความคลาดเคลื่อนสะสมระหว่างจุดศูนย์กลางของกลุ่มสมอยึดในแนวเสาเดียวกันมีค่าไม่เกิน
2 มลิ ลเิ มตร. ตอ่ ความยาวระยะ 10 เมตร และมคี า่ สะสมทั้งหมดไม่เกิน 25 มลิ ลิเมตร
ค่มู อื การกอ่ สรา้ งอาคารเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ หนา้ ท่ี 39