The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

มยผ. 1301/1302-61 (ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1) มาตรฐานการออกแบบอาคารต้านทานการสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by DPT eBook, 2021-12-07 02:59:44

มยผ. 1301/1302-61 (ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1) มาตรฐานการออกแบบอาคารต้านทานการสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว

มยผ. 1301/1302-61 (ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1) มาตรฐานการออกแบบอาคารต้านทานการสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว

บทที่ 2
ข้อกาหนดการออกแบบโครงสรา้ งต้านทานการสัน่ สะเทือนของแผ่นดนิ ไหว

2.1 ท่ัวไป
ในการออกแบบโครงสร้างอาคารจะต้องประกอบด้วยระบบต้านแรงด้านข้าง (Lateral Load

Resisting System) และระบบรับน้าหนักบรรทุกแนวด่ิง (Gravity Load Resisting System) ท่ีมีกาลัง
ต้านทาน สติฟเนส และ ความสามารถในการสลายพลังงานในระดับที่สูงเพียงพอ ที่จะทาให้อาคารน้ัน
สามารถต้านทานแผ่นดนิ ไหวสาหรบั การออกแบบ (Design Earthquake) ได้

ในการออกแบบอาคารจะต้องสมมุติว่าแผ่นดินไหวสาหรับการออกแบบ สามารถเกิดข้ึนได้ในทุก
ทศิ ทางตามแนวราบ วิศวกรผอู้ อกแบบจะตอ้ งตรวจสอบว่า แรงท่ีเกิดในองค์อาคารต่าง ๆ และการเสียรูปท่ี
เกิดขึ้นในโครงสร้าง อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ โดยใช้แบบจาลองทางคณิตศาสตร์ของโครงสร้างที่เหมาะสม
การกระจายแรงแผ่นดนิ ไหวสาหรับการออกแบบไปยังชน้ั ต่าง ๆ ของอาคารจะต้องเป็นไปตามวิธีท่ีกาหนดไว้
ใน หัวขอ้ 3.4 หรือวธิ กี ารอน่ื ๆ ท่ีไดร้ บั การพิสจู นแ์ ล้ววา่ ใหผ้ ลเทียบเท่า

2.2 ข้อกาหนดพ้นื ฐานของการออกแบบโครงสร้าง
2.2.1 การออกแบบองคอ์ าคาร และจุดตอ่

องค์อาคารต่าง ๆ รวมถึงองค์อาคารท่ีไม่ใช่ส่วนประกอบของระบบต้านแรงด้านข้าง จะต้องได้รับ
การออกแบบให้สามารถต้านทาน แรงเฉอื น แรงตามแนวแกน และโมเมนต์ดัดที่เกิดจากแผ่นดินไหวสาหรับ
การออกแบบ ตามทค่ี านวณได้จากวิธที ก่ี าหนดในมาตรฐานฉบบั นี้

จุดต่อต่าง ๆ ในโครงสร้างจะต้องมีกาลังสูงเพียงพอท่ีจะต้านทานแรง และ โมเมนต์ดัดที่เกิดข้ึนใน
องคอ์ าคารทเ่ี ชื่อมตอ่

การเสยี รปู ของโครงสรา้ งทีเ่ กดิ จากแผน่ ดินไหวสาหรับการออกแบบ จะตอ้ งมีคา่ ไม่เกินกว่าค่าที่ยอม
ให้ (หวั ข้อ 2.11)

2.2.2 ความตอ่ เนอ่ื งของเสน้ ทางการถา่ ยแรงและจุดต่อภายใน
ระบบโครงสร้างของอาคารจะต้องได้รับการออกแบบให้มีความต่อเน่ืองของเส้นทางการถ่ายแรง

(Continuous Load Path) เพื่อให้แรงกระทาท่ีเกิดจากแผ่นดินไหวถูกส่งถ่ายจากตาแหน่งที่แรงกระทาไป
ยังโครงสร้างที่ต้านทานแรงน้ัน ๆ โดยท่ีองค์อาคารต่าง ๆ ที่แรงถูกส่งผ่านจะต้องมีกาลัง และสติฟเนส
เพียงพอต่อการถา่ ยแรง

_________________________________________________________________________

มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารตา้ นทานการสน่ั สะเทือนของแผ่นดนิ ไหว หน้าที่ 37

ฉบับปรบั ปรุงครง้ั ที่ 1

2.2.3 จุดตอ่ บริเวณจุดรองรบั
สาหรบั ส่วนของโครงสร้าง เช่น คานรอง หรือ ตงถัก ท่ีส่งถ่ายแรงต่อไปยังองค์อาคารอ่ืน ๆ หรือ ที่

ติดกับแผ่นพ้ืนท่ีทาหน้าท่ีเป็นไดอะแฟรม (Diaphragm) จะต้องออกแบบจุดต่อหรือจุดรองรับของส่วนของ
โครงสร้างท่ีพิจารณา ให้สามารถรับแรงในแนวราบที่เกิดขึ้น ในกรณีท่ีส่วนของโครงสร้างท่ีพิจารณาติดกับ
แผ่นพื้นที่ทาหน้าที่เป็นไดอะแฟรมโดยตรง ส่วนของโครงสร้างที่พิจารณาจะต้องออกแบบรับแรงในแนว
ระนาบ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของแรงปฏิกิริยาที่จุดรองรับในแนวดิ่งจากน้าหนักบรรทุกคงที่และน้าหนัก
บรรทุกจร

2.2.4 การออกแบบโครงสร้างฐานราก
ฐานรากจะต้องได้รับการออกแบบให้สามารถต้านทานแรงที่ถ่ายลงมาจากโครงสร้างส่วนบนท่ีเกิด

จากแผ่นดินไหวสาหรับการออกแบบ การออกแบบฐานรากจะต้องเป็นไปตามข้อกาหนดในมาตรฐานนี้
(หวั ข้อ 2.12)

2.2.5 ข้อกาหนดของการออกแบบวัสดุและการให้รายละเอียด
องค์อาคารรวมถึงฐานรากจะต้องได้รับการออกแบบให้มีรายละเอียดโครงสร้าง เป็นไปตาม

ขอ้ กาหนดในมาตรฐานฉบับนี้ (บทท่ี 5)

2.3 การเลือกระบบโครงสรา้ ง
2.3.1 การจาแนกระบบโครงสรา้ งและขอ้ จากัดและข้อกาหนดความสงู

2.3.1.1 การจาแนกระบบโครงสรา้ งและขอ้ กาหนด
ระบบต้านแรงด้านข้างและระบบรับน้าหนักบรรทุกแนวด่ิงของโครงสร้างอาคารอาจเป็น ระบบใด
ระบบหน่ึงที่กาหนดไวใ้ นตารางท่ี 2.3-1 หรือเป็นระบบผสมทไี่ ด้จากการรวมระบบโครงสร้างหลายแบบตาม
ข้อ 2.3.2 ข้อ 2.3.3 หรือ ข้อ 2.3.4 ระบบโครงสร้างที่สามารถเลือกใช้ได้จะข้ึนกับ ประเภทการออกแบบ
ตา้ นทานแผ่นดินไหว ตามที่ระบไุ ว้ในตารางที่ 2.3-1
ค่าตัวประกอบปรับผลตอบสนอง (Response Modification Factor, R ) ตัวประกอบกาลัง
ส่วนเกิน (System Overstrength Factor, 0 ) และตัวประกอบขยายค่าการโก่งตัว (Deflection
Amplification Factor, Cd ) ของระบบโครงสร้างแต่ละแบบ ให้เป็นไปตามท่ีกาหนดในตารางท่ี 2.3-1
ค่าตัวประกอบเหล่านี้จะนาไปใช้ในการคานวณหาค่าแรงเฉือนที่ฐาน (Base Shear) แรงในองค์อาคารเพื่อ
การออกแบบ (Element Design Force) และการเคล่ือนตัวสัมพัทธ์ด้านข้างระหว่างช้ัน (Story Drift) ดัง
รายละเอียดท่แี สดงในบทที่ 3 และ 4
ระบบโครงสร้างที่เลือกใช้ จะต้องได้รับการออกแบบและกาหนดรายละเอียดของโครงสร้าง
(Detailing) ให้เป็นไปตามข้อกาหนดในมาตรฐานอ้างอิงที่เกี่ยวข้องและข้อกาหนดเพ่ิมเติมตามที่ระบุใน
มาตรฐานฉบบั น้ี (บทที่ 5)

_________________________________________________________________________

หน้าที่ 38 มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารตา้ นทานการสั่นสะเทือนของแผน่ ดินไหว

ฉบับปรับปรงุ ครงั้ ที่ 1

ในกรณที วี่ ศิ วกรผู้ออกแบบต้องการเลือกใช้ระบบโครงสร้างแบบอื่นท่ีมิได้มีระบุไว้ในตารางที่ 2.3-1 จะต้อง
ดาเนินการพิสูจน์ด้วยการวิเคราะห์โครงสร้าง และ/หรือ การทดสอบตัวอย่างโครงสร้างในห้องปฏิบัติการ
เพ่ือแสดงให้เห็นว่าระบบโครงสร้างน้ัน ๆ มีพฤติกรรมเชิงพลศาสตร์ ความสามารถในการต้านทานแรงทาง
ด้านข้าง และความสามารถในการสลายพลังงาน เทียบเท่าระบบโครงสร้างแบบใดแบบหน่ึงในตารางท่ี
2.3-1 ทีม่ ีค่าตวั ประกอบ R 0 และ Cd เทา่ เทยี มกันกับระบบท่ีเลอื กใช้

ตารางที่ 2.3-1 ค่าตัวประกอบปรับผลตอบสนอง (Response Modification Factor, R ) ตัวประกอบ

กาลังส่วนเกิน (System Overstrength Factor, 0 ) และ ตัวประกอบขยายค่า

การโก่งตัว (Deflection Amplification Factor, Cd )

ระบบโครงสรา้ งโดยรวม ระบบต้านแรงดา้ นขา้ ง ค่าตัวประกอบ ประเภทการ
ออกแบบ
R 0 Cd ต้านทานแรง
แผน่ ดนิ ไหว

ขคง

1. ระบบกาแพงรบั กาแพงรับแรงเฉือนแบบธรรมดา (Ordinary Reinforced 4 2.5 4  
*นา้ หนักบรรทุกแนวดิง่ Concrete Shear Wall)

(Bearing Wall กาแพงรับแรงเฉือนแบบที่มีการให้รายละเอียดพิเศษ (Special 5 2.5 5   
System) Reinforced Concrete Shear Wall)

กาแพงรับแรงเฉือนหล่อสาเร็จแบบธรรมดา (Ordinary Precast 3 2.5 3  X X

Shear Wall) 

กาแพงรับแรงเฉือนหล่อสาเร็จแบบท่ีมีการให้รายละเอียดความ 4 2.5 4   X

เหนียวปานกลาง (Intermediate Precaset Shear Wall)

2. ระบบโครงอาคาร โครงแกงแนงเหล็กแบบเยื้องศูนย์ที่ใช้จุดต่อแบบรับแรงดัดได้ 8 2 4   
(Building Frame (Steel Eccentrically Braced Frame with Moment-

System) Resisting Connections)

โครงแกงแนงเหลก็ แบบเยอื้ งศูนย์ท่ีใช้จดุ ตอ่ แบบรบั แรงเฉอื น 7 2 4 

(Steel Eccentrically Braced Frame with Non-Moment-

Resisting Connections)

โครงแกงแนงเหลก็ แบบตรงศูนย์แบบใหร้ ายละเอียดพิเศษ 6 2 5 
(Special Steel Concentric Braced Frame)

โครงแกงแนงเหล็กแบบตรงศูนย์แบบธรรมดา (Ordinary Steel 3.5 2 3.5   X
Concentric Braced Frame)

กาแพงรับแรงเฉือนแบบทีม่ กี ารใหร้ ายละเอียดพเิ ศษ 6 2.5 5   
(Special Reinforced Concrete Shear Wall)

กาแพงรับแรงเฉือนแบบธรรมดา (Ordinary Reinforced 5 *2.5 4.5  
Concrete Shear Wall)

กาแพงรับแรงเฉือนหล่อสาเร็จแบบธรรมดา (Ordinary Precast 4 2.5 4  X X

Shear Wall) 

กาแพงรับแรงเฉือนหล่อสาเร็จแบบท่ีมีการให้รายละเอียดความ 5 2.5 4.5   X

เหนียวปานกลาง (Intermediate Precast Shear Wall) 

หมายเหตุ  = ใช้ได้ X = ห้ามใช้ * = ดหู ัวข้อ 2.3.1.2  = ดหู ัวขอ้ 2.3.1.3

_________________________________________________________________________

มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารตา้ นทานการสน่ั สะเทือนของแผน่ ดนิ ไหว หน้าท่ี 39

ฉบบั ปรบั ปรงุ คร้ังท่ี 1

ตารางท่ี 2.3-1 ค่าตัวประกอบปรับผลตอบสนอง (Response Modification Factor, R ) ตัวประกอบ

กาลังส่วนเกิน (System Overstrength Factor, 0 ) และ ตัวประกอบขยายค่า

การโก่งตวั (Deflection Amplification Factor, Cd ) (ตอ่ )

ระบบโครงสรา้ งโดยรวม ระบบตา้ นแรงด้านข้าง ค่าตวั ประกอบ ประเภทการ
ออกแบบ
R 0 Cd ต้านทานแรง
แผน่ ดนิ ไหว

ขคง

3. ระบบโครงตา้ นแรงดดั โครงต้านแรงดัดเหล็กท่ีมีความเหนียวพิเศษ (Ductile/Special 8 3 5.5   
(Moment Resisting Steel Moment-Resisting Frame)

Frame) โครงถักต้านแรงดัดที่มีการให้รายละเอียดความเหนียวเป็น 7 3 5.5   
พเิ ศษ (Special Truss Moment Frame)

โ ค ร ง ต้ า น แ ร ง ดั ด เ ห ล็ ก ที่ มี ค ว า ม เ ห นี ย ว ป า น ก ล า ง 4.5 3 4 *
(Intermediate Steel Moment Resisting Frame)

โครงต้านแรงดัดเหล็กธรรมดา (Ordinary Steel Moment 3.5 3 3 X
Resisting Frame)

โครงต้านแรงดัดคอนกรีตเสริมเหล็กที่มีความเหนียวพิเศษ 8 3 5.5   
(แบบหล่อในที่ หรือ แบบหล่อสาเร็จ) (Precast or Cast-in-

Place Ductile/Special Reinforced Concrete Moment

Resisting Frame) 

3 4.5  
*โครงต้านแรงดัดคอนกรีตเสริมเหล็กที่มีความเหนียวปานกลาง 5

หรือความเหนียวจากัด (Ductile RC Moment-Resisting

Frame with Limited Ductility/ Intermediate RC

Moment-Resisting Frame)

โครงต้านแรงดัดคอนกรีตเสริมเหล็กแบบธรรมดา (Ordinary 3 3 2.5  X X
Reinforced Concrete Moment Resisting Frame)

4. ระบบโครงสร้างแบบผสมท่ี ร่วมกับโครงแกงแนงเหล็กแบบตรงศูนย์แบบพิเศษ (Special 7 2.5 5.5   
มีโครงต้านแรงดัดที่มีความ Steel Concentrically Braced Frame)

เหนียวที่สามารถต้านทาน ร่ ว ม กั บ โ ค ร ง แ ก ง แ น ง เ ห ล็ ก แ บ บ เ ยื้ อ ง ศู น ย์ (Steel 8 2.5 4   
แรงด้านข้างไม่น้อยกว่าร้อย Eccentrically Braced Frame)

ละ 25 ของแรงที่กระทากับ ร่วมกับกาแพงรับแรงเฉือนแบบที่มีการให้รายละเอียดพิเศษ 7 2.5 5.5   

อาคารทงั้ หมด (Special Reinforced Concrete Shear Wall)

(Dual System with ร่วมกับกาแพงรับแรงเฉือนแบบธรรมดา (Ordinary 6 2.5 5  
*Ductile/Special Moment Reinforced Concrete Shear Wall)

Resisting Frame)

หมายเหตุ  = ใชไ้ ด้ X = ห้ามใช้ * = ดหู ัวขอ้ 2.3.1.2  = ดหู ัวขอ้ 2.3.1.3

_________________________________________________________________________

หน้าท่ี 40 มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารตา้ นทานการส่ันสะเทอื นของแผน่ ดนิ ไหว

ฉบับปรบั ปรุงครัง้ ที่ 1

ตารางที่ 2.3-1 ค่าตัวประกอบปรับผลตอบสนอง (Response Modification Factor, R ) ตัวประกอบ

กาลังส่วนเกิน (System Overstrength Factor, 0 ) และ ตัวประกอบขยายค่า

การโกง่ ตวั (Deflection Amplification Factor, Cd ) (ตอ่ )

ระบบโครงสรา้ งโดยรวม ระบบต้านแรงด้านข้าง ค่าตัวประกอบ ประเภทการ
ออกแบบ
R 0 Cd ต้านทานแรง
แผ่นดินไหว
ขค ง

5. ระบบโครงสร้างแบบผสมท่ีมีโครง ร่วมกับโครงแกงแนงเหล็กแบบตรงศูนย์ 6 2.5 5   X

ต้านแรงดัดที่มีความเหนียวปาน แ บ บ พิ เ ศ ษ (Special Steel

กลางหรือความเหนียวจากัดท่ี Concentrically Braced Frame)

สามารถต้านทานแรงด้านข้างไม่ ร่วมกับกาแพงรับแรงเฉือนแบบที่มีการให้ 6.5 2.5 5   
น้อยกว่าร้อยละ 25 ของแรงที่ รายละเอียดพิเศษ (Special Reinforced

กระทากับอาคารท้ังหมด Concrete Shear Wall)

(Dual System with Moment รว่ มกับกาแพงรบั แรงเฉอื นแบบธรรมดา 5.5 2.5 4.5  

*Resisting Frame with Limited (Ordinary Reinforced Concrete Shear

Ductility / Dual System with Wall)
Intermediate Moment

Resisting Frame)

6. ระบบปฏสิ มั พันธ์ ระบบปฏิสัมพันธ์ระหว่างกาแพงรับแรง 4.5 2.5 4  X X

(Shear Wall Frame Interactive เฉอื นและโครงต้านแรงดัดแบบธรรมดาที่ไม่

System) มกี ารใหร้ ายละเอียดความเหนียว

(Shear Wall Frame Interactive System

with Ordinary Reinforced Concrete

Moment Frame and Ordinary

Concrete Shear Wall)

7. ระบบโครงสร้างเหล็กที่ไม่มีการให้ ร ะ บ บ โ ค ร ง ส ร้ า ง เ ห ล็ ก ท่ี ไ ม่ มี ก า ร ใ ห้ 3 3 3  X
ร า ย ล ะ เ อี ย ด ส า ห รั บ รั บ แ ร ง รายละเอยี ดสาหรบั รับแรงแผน่ ดินไหว

แผน่ ดนิ ไหว

(Steel Systems Not

Specifically Detailed for

Seismic Resistance)

หมายเหตุ  = ใช้ได้ X = ห้ามใช้ * = ดหู ัวขอ้ 2.3.1.2  = ดูหัวข้อ 2.3.1.3

2.3.1.2 ข้อกาหนดด้านความสูงสาหรับประเภทการออกแบบต้านทานการสั่นสะเทือนของ
แผน่ ดนิ ไหว ง

ระบบต้านแรงด้านข้างที่ประกอบด้วย กาแพงรับแรงเฉือนแบบธรรมดา โครงต้านแรงดัดคอนกรีต
เสริมเหล็กท่ีมีความเหนียวปานกลางหรือความเหนียวจากัด หรือ โครงต้านแรงดัดเหล็กที่มีความเหนียว
ปานกลาง สาหรับประเภทการออกแบบตา้ นทานการสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว ง สามารถใช้ได้กับอาคาร
ทมี่ คี วามสงู ไมเ่ กนิ คา่ ตอ่ ไปน้ี

_________________________________________________________________________

มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารตา้ นทานการสนั่ สะเทอื นของแผ่นดินไหว หน้าท่ี 41

ฉบบั ปรบั ปรุงคร้งั ท่ี 1

(1) 40 เมตร สาหรับ โครงต้านแรงดัดคอนกรีตเสริมเหล็กท่ีมีความเหนียวปานกลางหรือความ
เหนียวจากดั และ โครงตา้ นแรงดัดเหล็กที่มีความเหนียวปานกลาง

(2) 60 เมตร สาหรับ กาแพงรับแรงเฉือนแบบธรรมดา
ท้ังนี้ในการคานวณออกแบบด้านกาลัง ให้เพ่ิมค่าแรงแผ่นดินไหวที่ใช้ในการออกแบบองค์อาคารอีกร้อยละ
40 ในสว่ นการคานวณค่าการเสยี รูป ไมจ่ าเปน็ ตอ้ งเพม่ิ ค่าแรงทใี่ ชใ้ นการคานวณ

ในกรณีท่ีอาคารมีความสูงมากกว่าที่กาหนด ต้องมีการตรวจสอบ ภาวะขีดสุด (Limit State) ค่า
ความเครียดของคอนกรีตและเหล็กเสริม แรงเฉือน ฯลฯ ขององค์อาคาร ว่ามีค่าอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้
สาหรับระดับการให้รายละเอียดขององค์อาคารที่ใช้ ภายใต้แผ่นดินไหวสาหรับออกแบบ และภายใต้
แผ่นดินไหวรุนแรงสูงสุดที่พิจารณา ท้ังน้ีการตรวจสอบดังกล่าวต้องใช้วิธีการและค่าต่าง ๆ เป็นไปตามวิธี
และค่าทเ่ี ปน็ ท่ียอมรับในทางวศิ วกรรม หรอื มีผลทดสอบทยี่ นื ยันถงึ สมรรถนะขององค์อาคาร

2.3.1.3 ระบบโครงสร้างแบบหล่อสาเรจ็ (Precast Systems)
ในกรณีที่เลือกใช้ระบบโครงสร้างแบบหล่อสาเร็จ จะต้องพิจารณาออกแบบองค์อาคารและจุดต่อ
ให้มีกาลังเพียงพอ และมีการให้รายละเอียดเพื่อความเหนียวที่เหมาะสม สอดคล้องกับระดับความรุนแรง
ของแผ่นดินไหว ท้ังนี้องค์อาคารและจุดต่อต้องสามารถรับแรงในแนวแกน แรงเฉือน โมเมนต์ดัด และ
โมเมนต์บิด ทเ่ี กดิ ขึน้ ได้ การออกแบบองคอ์ าคารและจุดตอ่ ต้องใชร้ ปู แบบและวิธีการคานวณด้วยมาตรฐาน
ที่เป็นที่ยอมรับ และมีพ้ืนฐานอยู่บนหลักการทางวิศวกรรมท่ีเหมาะสม ในกรณีที่ต้องการเลือกใช้รูปแบบที่
แตกต่างไป ท่ียังไม่เคยมีการศึกษาหรือการทดสอบในห้องปฏิบัติการ จะต้องมีผลการศึกษาหรือผลการ
ทดสอบตัวอย่างโครงสร้างในห้องปฏิบัติการ เพื่อแสดงให้เห็นว่าองค์อาคารและจุดต่อน้ัน ๆ มีพฤติกรรม
และความสามารถในการต้านทานแรง ความสามารถในการสลายพลังงาน และรูปแบบการวิบัติ เทียบเท่า
องค์อาคารและจุดต่อของระบบโครงสร้างท่ีมีค่าตัวประกอบ และเท่าเทียมกันกับระบบที่เลือกใช้ ในกรณีท่ี
องค์อาคารท่ีใช้มีกาลังต้านทานด้านหนึ่งอ่อนแอกว่าอีกด้านหน่ึงมาก จะต้องคานึงถึงการวิบัติแบบต่อเน่ือง
(Progressive collapse) ของอาคารรวมหรอื อาคารบางสว่ น และออกแบบเพื่อป้องกันการวบิ ตั ลิ กั ษณะน้ี

2.3.2 การใชร้ ะบบโครงสร้างทแี่ ตกต่างกนั สาหรบั การรบั แรงในทศิ ทางทแี่ ยกจากกัน
วิศวกรผู้ออกแบบสามารถเลือกใช้ระบบต้านแรงด้านข้างท่ีแตกต่างกัน เพ่ือต้านแรงจาก

แผ่นดินไหวในสองทิศทางหลักของอาคารที่ตั้งฉากกัน ในกรณีนี้การออกแบบระบบโครงสร้างในแต่ละ
ทศิ ทาง จะต้องใชค้ า่ ตัวประกอบ R 0 และ Cd ของระบบโครงสร้างในทิศทางนั้น ๆ

2.3.3 การใชร้ ะบบโครงสร้างหลายแบบในการตา้ นแรงในทศิ ทางเดียวกัน
วิศวกรผู้ออกแบบสามารถนาระบบโครงสร้างต้านแรงทางด้านข้างหลายแบบมาร่วมกันต้านแรง

จากแผน่ ดินไหวในทศิ ทางหน่ึง ๆ ในกรณีนี้จะต้องนาข้อกาหนดในการออกแบบโครงสร้างที่เข้มงวดท่ีสุดมา
ใช้ในการออกแบบระบบโครงสร้างทุก ๆ แบบที่ร่วมต้านทานการส่ันสะเทือนของแผ่นดินไหว โดยมี
รายละเอียดดงั ตอ่ ไปนี้

_________________________________________________________________________

หน้าท่ี 42 มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารต้านทานการสั่นสะเทือนของแผน่ ดนิ ไหว

ฉบบั ปรบั ปรงุ ครง้ั ที่ 1

2.3.3.1 กรณที ี่มีการเปลยี่ นระบบโครงสร้างตามความสูง
ในกรณีที่มีการใช้ระบบโครงสร้างท่ีแตกต่างกันในแต่ละช่วงความสูงของอาคาร ให้ปฏิบัติตาม
ข้อกาหนดต่อไปนี้
(1) ในกรณีที่ค่าตัวประกอบปรับผลตอบสนอง R ของระบบโครงสร้างส่วนท่ีอยู่ด้านล่างของ

อาคาร มีค่าน้อยกว่าค่า R ของระบบโครงสร้างส่วนท่ีอยู่ด้านบนของอาคาร ให้ใช้ค่าตัว
ประกอบสาหรับการออกแบบ ( R 0 และ Cd ) ของระบบโครงสร้างส่วนท่ีอยู่ด้านบน ใน
การคานวณแรงและการเคล่ือนตัวสาหรับการออกแบบโครงสร้างส่วนท่ีอยู่ด้านบนของ
อาคาร และ ให้ใช้ค่าตัวประกอบการออกแบบ ( R 0 และ Cd ) ของโครงสร้างส่วนที่อยู่
ด้านล่าง ในการคานวณออกแบบโครงสร้างส่วนท่ีอยู่ด้านล่าง ท้ังน้ีให้พิจารณาถึงแรงที่ถ่าย
มาจากโครงสร้างส่วนที่อยู่ด้านบนไปสู่โครงสร้างส่วนท่ีอยู่ด้านล่าง โดยการคูณแรงท่ีถ่ายมา
จากโครงสร้างส่วนท่ีอยู่ด้านบน ด้วยอัตราส่วนของค่า R ของระบบโครงสร้างส่วนท่ีอยู่
ดา้ นบนต่อค่า R ของระบบโครงสรา้ งสว่ นที่อยู่ดา้ นล่าง
(2) ในกรณีที่ค่าตัวประกอบปรับผลตอบสนอง R ของระบบโครงสร้างส่วนที่อยู่ด้านบน มีค่า

น้อยกว่าค่า R ของระบบโครงสร้างส่วนที่อยู่ด้านล่างของอาคาร ให้ใช้ค่าตัวประกอบการ
ออกแบบ ( R 0 และ Cd ) ของระบบโครงสร้างส่วนบนที่มีค่าที่น้อยกว่า ในการคานวณ
โครงสร้างอาคารทัง้ หมด (ทั้งสว่ นที่อยดู่ ้านบนและด้านลา่ ง)

ขอ้ กาหนดดังกลา่ วไม่ต้องนาไปใชก้ บั กรณตี ่อไปนี้
(1) โครงสรา้ งบนชน้ั หลังคา (Rooftop) ที่มีความสูงไม่เกิน 2 ช้ัน และมีน้าหนักไม่เกินร้อยละ 10

ของน้าหนักอาคารทง้ั หมด
(2) ระบบโครงสร้างรองที่แบกรบั นา้ั หนกั บรรทุกนอ้ ยกว่ารอ้ ยละ 10 ของนา้ หนกั อาคารทง้ั หมด
(3) อาคารบ้านพกั อาศยั ขนาดเลก็ ท่ีก่อสรา้ งด้วยโครงสรา้ งเบา (Light-Frame Construction)

2.3.3.2 วิธีการวิเคราะหแ์ บบสองขน้ั ตอน (Two-Stage Analysis Procedure)
วิศวกรผู้ออกแบบสามารถใช้วิธีแรงสถิตเทียบเท่าแบบสองข้ันตอน (Two-Stage Equivalent
Lateral Force Procedure) ในการออกแบบอาคารท่ีมีโครงสร้างส่วนบนท่ีมีความอ่อนตัว ที่ตั้งอยู่บน
โครงสรา้ งสว่ นล่างทม่ี ีความแข็ง (Rigid) สูงโดยมีเงือ่ นไขดังตอ่ ไปน้ี
(1) ค่าสติฟเนส (Stiffness) ของโครงสรา้ งส่วนล่าง จะต้องมีมากกว่า 10 เท่าของค่าสติฟเนสของ

โครงสรา้ งส่วนบน
(2) คาบการสนั่ พ้ืนฐานของโครงสร้างทั้งหมดต้องมีค่าไม่เกิน 1.1 เท่าของคาบการสั่นพ้ืนฐานของ

โครงสร้างส่วนบนอย่างเดียว โดยสมมุติให้โครงสร้างส่วนบนมีฐานรองรับท่ีตาแหน่งท่ีมีการ
เปลยี่ นแปลงจากส่วนบนส่สู ว่ นลา่ ง

_________________________________________________________________________

มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารตา้ นทานการสน่ั สะเทือนของแผน่ ดนิ ไหว หนา้ ท่ี 43

ฉบับปรบั ปรงุ คร้งั ท่ี 1

(3) โครงสรา้ งส่วนบนจะต้องไดร้ ับการออกแบบเสมอื นเป็นโครงสร้างท่ีแยกออกจากส่วนล่าง โดย
ใชค้ า่ ตัวประกอบ R ตามระบบโครงสร้างทีใ่ ช้

(4) โครงสร้างส่วนล่างจะต้องได้รับการออกแบบเสมือนเป็นโครงสร้างท่ีแยกจากโครงสร้าง
ส่วนบนโดยใช้ค่าตัวประกอบ R ตามระบบโครงสร้างส่วนล่างที่ใช้ ค่าแรงที่ถ่ายจาก
โครงสร้างส่วนบนลงสู่ส่วนล่าง ให้คานวณจากแรงปฏิกิริยาท่ีฐานอาคารส่วนบนท่ีคานวณได้
ในข้อ (3) คูณ ด้วยค่า R ของโครงสร้างส่วนบนและหารด้วยค่า R ของโครงสร้างส่วนล่าง
คา่ อตั ราส่วนของคา่ R ที่ใช้ต้องมคี ่าไมต่ า่ กวา่ 1

(5) โครงสร้างส่วนบนสามารถออกแบบด้วยวิธีแรงสถิตเทียบเท่าหรือวิธีสเปกตรัมการตอบสนอง
แบบโหมด โครงสร้างส่วนลา่ งออกแบบด้วยวธิ แี รงสถติ เทยี บเท่า

รปู ที่ 2.3-1 วธิ กี ารวิเคราะหแ์ บบสองข้ันตอน

2.3.3.3 คา่ R 0 และCd ในกรณีทมี่ กี ารใช้ระบบโครงสร้างทแี่ ยกจากกนั มากกว่าหน่งึ ระบบ
ในกรณีที่อาคารได้ถูกออกแบบให้มีระบบต้านแรงด้านข้างหลายแบบร่วมต้านทานการส่ันสะเทือน
ของแผ่นดินไหวในทิศทางหน่ึง ๆ ค่าตัวประกอบ R สาหรับการออกแบบโครงสร้างที่ต้านทานแรงใน
ทิศทางนั้นท้ังหมด จะต้องมีค่าไม่มากกว่า ค่าต่าสุดของค่า R ของระบบต้านทานแรงด้านข้างทุกแบบใน
ทิศทางนั้น ค่าตัวประกอบ 0 และ Cd สาหรับการออกแบบโครงสร้างที่ต้านทานแรงในทิศทางนั้น
ทั้งหมด จะต้องมีค่าไม่น้อยกว่าค่าสูงสุดของ 0 และ Cd ของระบบต้านทานแรงด้านข้างทุกแบบใน
ทศิ ทางน้ัน

_________________________________________________________________________

หน้าที่ 44 มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารตา้ นทานการส่นั สะเทือนของแผน่ ดนิ ไหว

ฉบบั ปรับปรงุ คร้งั ที่ 1

2.3.4 การให้รายละเอียดโครงสร้างสาหรับองค์อาคารท่ีอยู่ร่วมกันระหว่างระบบต้านแรงด้านข้าง
มากกว่าหนึง่ ระบบ
ในการออกแบบส่วนองค์อาคารที่ใช้ร่วมกันระหว่างระบบต้านทานแรงด้านข้างมากกว่าหนึ่งระบบ

ให้ใช้รายละเอียดและข้อกาหนดสาหรับการออกแบบของระบบต้านแรงด้านข้างท่ีมีค่าตัวประกอบ R
สงู สดุ ของระบบต้านแรงดา้ นข้างทงั้ หมด

2.3.5 ระบบโครงสร้างแบบผสม
ระบบโครงสร้างแบบผสม (Dual System) ซึ่งประกอบด้วยโครงต้านแรงดัด ทางานร่วมกับระบบ

ต้านแรงด้านข้างแบบอ่ืน เช่น กาแพงรับแรงเฉือน จะต้องได้รับการออกแบบให้โครงต้านแรงดัดสามารถ
ต้านทานแรงด้านข้างได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของแรงทั้งหมดที่เกิดจากแผ่นดินไหวสาหรับการออกแบบ
โดยแรงทถี่ า่ ยลงสู่โครงต้านแรงดดั และ กาแพงรับแรงเฉือน (หรือโครงสร้างแบบอื่น) จะเป็นไปตามสัดส่วน
ของคา่ สตฟิ เนสของโครงสรา้ งแต่ละระบบ

2.4 ความอ่อนของไดอะแฟรมและความไมส่ ม่าเสมอของรูปทรงโครงสรา้ ง
2.4.1 ความอ่อนของไดอะแฟรม

ไดอะแฟรมสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ ไดอะแฟรมแข็ง ไดอะแฟรมกึ่งแข็ง และ
ไดอะแฟรมอ่อน การวิเคราะห์โครงสร้างต้านทานแผ่นดินไหวจะต้องคานึงถึงสติฟเนสสัมพัทธ์ระหว่าง
ไดอะแฟรมกับโครงสร้างในแนวดิง่ ซง่ึ ทาหน้าท่ตี ้านแรงด้านข้างที่ถ่ายผ่านไดอะแฟรมนั้น โดยเฉพาะในกรณี
ของไดอะแฟรมก่ึงแข็ง แบบจาลองเพื่อการวิเคราะห์โครงสร้างจะต้องสามารถจาลองสติฟเนสของ
ไดอะแฟรมได้

2.4.1.1 ไดอะแฟรมอ่อน
ในกรณีท่ีไดอะแฟรมเป็นแผ่นพน้ื เหลก็ ที่ไมเ่ ทคอนกรตี ทบั หนา้ (Untopped Steel Decking) หรือ
เป็นแผน่ พน้ื ไม้ สามารถพิจารณาเปน็ ไดอะแฟรมอ่อนไดใ้ นกรณีต่อไปน้ี
1. เป็นไดอะแฟรมที่อยู่ภายในโครงสร้างที่ใช้กาแพงรับแรงเฉือนที่สร้างด้วย วัสดุคอนกรีต อิฐก่อ

เหล็ก หรือ เหล็กประกอบคอนกรีต (Composite) หรือในโครงสร้างท่ีใช้โครงแกงแนงท่ีสร้าง
จากวสั ดุคอนกรีต เหล็ก หรือ เหล็กประกอบคอนกรตี
2. เป็นไดอะแฟรมทีอ่ ยู่ภายในอาคารท่พี ักอาศยั ขนาดเล็กสงู 1-2 ชัน้
3. เป็นไดอะแฟรมที่อยู่ภายในอาคารที่ใช้โครงสร้างเบา (Light-Frame Construction) ท่ีไม่มี
การเททับหน้า (Topping) บนไดอะแฟรม และโครงสร้างในแนวด่ิงมีค่าการเคล่ือนตัวสัมพัทธ์
ระหว่างช้นั ไมเ่ กินคา่ ทยี่ อมให้

_________________________________________________________________________

มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารตา้ นทานการสน่ั สะเทือนของแผ่นดนิ ไหว หนา้ ท่ี 45

ฉบบั ปรบั ปรุงครงั้ ที่ 1

2.4.1.2 ไดอะแฟรมแข็ง
แผ่นพื้นคอนกรีตหล่อในที่ หรือแผ่นเหล็กที่เทคอนกรีตทับหน้า (Concrete Filled Metal Deck)
ท่ีมีอัตราส่วนความยาว S  ต่อความลึก De  ในแนวแรงดังแสดงในรูปที่ 2.4-1 น้อยกว่าหรือเท่ากับ 3
ในอาคารทมี่ คี วามสมา่ เสมอของรูปทรงในแนวระนาบ ถือไดว้ า่ เป็นไดอะแฟรมแข็ง

2.4.1.3 การตรวจสอบความออ่ นของไดอะแฟรม
ไดอะแฟรมท่ีไม่เข้าข่ายไดอะแฟรมอ่อนตามหัวข้อท่ี 2.4.1.1 หรือ ไดอะแฟรมแข็ง ตามหัวข้อท่ี
2.4.1.2 สามารถคดิ เป็นไดอะแฟรมอ่อนได้ หากค่าสูงสุดของการโก่งตัวในแนวระนาบของไดอะแฟรมท่ีเกิด
จากแรงแผ่นดินไหวแบบสถิตเทียบเท่า มีค่ามากกว่า 2 เท่าของค่าเฉลี่ยของการเคลื่อนตัวด้านข้างสัมพัทธ์
ระหว่างช้ัน (Story Drift) ของโครงสร้างต้านแรงด้านข้างที่เช่ือมต่อกับไดอะแฟรมน้ัน ๆ ดังแสดงในรูปที่
2.4-1

De การโก่งตัวสงู สดุ ใน แนวระนาบ
ของไดอะแฟร ม
แร งแผ น่ ดินไหว
การเคล่อื นตัวดา้ นขา้ งสมั พัทธ์
S ระหว่างชัน้ เฉลี่ย

รูปที่ 2.4-1 การตรวจสอบความอ่อนของไดอะแฟรม

2.4.2 การจาแนกลักษณะความไมส่ มา่ เสมอของรูปทรงโครงสร้าง
ในการพิจารณาความไม่สม่าเสมอของโครงสร้างอาคาร ให้ผู้ออกแบบคานึงถึงสติฟเนสและกาลัง

ขององค์อาคารและส่วนประกอบต่าง ๆ ของอาคาร เช่น ผนังก่ออิฐในอาคารขนาดเล็ก ท่ีมีผล
อย่างมีนัยสาคัญต่อการตา้ นทานแรงสัน่ สะเทือนของแผน่ ดนิ ไหว

อาคารสามารถจาแนกเป็น อาคารท่ีมีรูปทรงโครงสร้างท่ีสม่าเสมอ (Regular) และอาคารที่มีรูปทรง
โครงสร้างไม่สม่าเสมอ (Irregular) โดยอาคารในกลุ่มหลัง ยังสามารถจาแนกแยกย่อยออกเป็น อาคารที่มี
รูปทรงโครงสร้างไม่สม่าเสมอในแนวระนาบ (Horizontal Irregularity) และ ไม่สม่าเสมอในแนวด่ิง
(Vertical Irregularity) ตามเกณฑด์ ังต่อไปน้ี

2.4.2.1 ความไม่สมา่ เสมอของรปู ทรงโครงสร้างในแนวระนาบ
อาคารที่มีลักษณะรูปแบบใดรูปแบบหน่ึง หรือหลายรูปแบบตามรายการดังต่อไปน้ี ให้ถือว่าเป็น
อาคารท่ีมคี วามไม่สมา่ เสมอของรูปทรงโครงสร้างในแนวระนาบ

_________________________________________________________________________

หน้าที่ 46 มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารต้านทานการส่ันสะเทือนของแผน่ ดินไหว

ฉบบั ปรบั ปรงุ ครัง้ ท่ี 1

(1ก) ความไม่สม่าเสมอเชิงการบิด (Torsional Irregularity) คือ กรณีที่ค่าสูงสุดของการเคล่ือน
ตัวสัมพัทธ์ระหว่างชั้นที่ขอบด้านหนึ่งของอาคาร ที่คานวณจากแรงแผ่นดินไหวท่ีรวมผลของ
แรงบิดโดยบังเอิญ (Accidental Torsion) เข้าไปแล้ว มีค่ามากกว่า 1.2 เท่าของค่าเฉลี่ยของ
การเคลื่อนตัวสัมพัทธ์ระหว่างชั้นท่ีขอบท้ัง 2 ด้านของอาคาร ดังแสดงในรูปที่ 2.4-2 (ก) ใน
การคานวณผลของแรงบิดโดยบังเอิญสามารถใช้ค่าตัวประกอบขยายแรงบิดโดยบังเอิญ ( Ax )

เท่ากบั 1.0 อน่ึงเกณฑพ์ จิ ารณานใ้ี ช้ได้เฉพาะกับอาคารท่ีมไี ดอะแฟรมแข็งหรือกึ่งแขง็ เท่านัน้
(1ข) ความไม่สม่าเสมอเชิงการบิดอย่างมาก (Extreme Torsional Irregularity) คือ กรณีท่ี

ค่าสูงสุดของการเคล่ือนตัวสัมพัทธ์ระหว่างชั้นที่ขอบด้านหน่ึงของอาคาร ที่คานวณจากแรง
แผ่นดินไหวที่รวมผลของแรงบิดโดยบังเอิญ (Accidental Torsion) เข้าไปแล้ว มีค่ามากกว่า
1.4 เท่าของค่าเฉลี่ยของการเคล่ือนตัวสัมพัทธ์ระหว่างชั้นที่ขอบท้ัง 2 ด้านของอาคาร ในการ
คานวณผลของแรงบิดโดยบังเอิญสามารถใช้ค่าตัวประกอบขยายแรงบิดโดยบังเอิญ ( Ax )

เท่ากับ 1.0 อนงึ่ เกณฑ์พจิ ารณานใี้ ช้ไดเ้ ฉพาะกบั อาคารทีม่ ีไดอะแฟรมแข็งหรอื กงึ่ แขง็ เท่านน้ั
(2) ความไม่สม่าเสมอจากการมีมุมหักเข้าข้างใน (Reentrant Corner Irregularity) คือ

กรณีท่ีผังอาคารมีลักษณะหักมุมเข้าข้างใน ทาให้เกิดส่วนยื่น โดยท่ีส่วนยื่นนั้นมีระยะฉายใน
แต่ละทิศทางมากกว่าร้อยละ 15 ของมิติของผังในทิศทางนั้น ดังตัวอย่างแสดงในรูปท่ี 2.4-2
(ข)
(3) ความไม่สม่าเสมอจากความไม่ต่อเน่ืองของไดอะแฟรม (Diaphragm Discontinuity
Irregularity) คือกรณีท่ีไดอะแฟรมมีความไม่ต่อเน่ือง หรือมีการเปลี่ยนค่าสติฟเนสอย่าง
ฉับพลันในบางบริเวณ ซ่ึงรวมถึงกรณีที่พื้นท่ีมีช่องเปิดมากกว่าร้อยละ 50 ของพื้นที่พื้น
(ไดอะแฟรม) ทั้งหมดดังแสดงในรูปที่ 2.4-2 (ค) หรือกรณีท่ีค่าสติฟเนสประสิทธิผลโดยรวม
ของไดอะแฟรมของชั้นใดช้ันหน่ึง มีการเปลี่ยนแปลงค่ามากกว่าร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับชั้น
ถดั ไป
(4) ความไม่สม่าเสมอจากการเย้ืองออกนอกระนาบ (Out–of–Plane Offset Irregularity)
คือกรณีท่ีโครงสร้างแนวด่ิงที่ต้านแรงด้านข้าง เช่นกาแพงรับแรงเฉือนมีความไม่ต่อเนื่อง เช่น
กาแพงในชน้ั ใดช้ันหนึง่ เยอื้ งออกจากระนาบของกาแพงในชั้นถัดไป ดังตัวอย่างท่ีแสดงในรูปที่
2.4-2 (ง)
(5) ความไม่สม่าเสมอจากระบบท่ีไม่ขนานกัน (Nonparallel System Irregularity) คือกรณี
ท่ีโครงสร้างแนวด่ิงที่ต้านทานแรงด้านข้าง เช่น กาแพงรับแรงเฉือน วางตัวในแนวที่ไม่ขนาน
กัน หรือไม่สมมาตรกันเมื่อเทียบกับแกนหลัก 2 แกน (ซึ่งตั้งฉากกัน) ของระบบต้านแรง
ดา้ นขา้ งของอาคาร ดงั ตวั อยา่ งทแ่ี สดงในรูปท่ี 2.4-2 (จ)

_________________________________________________________________________

มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารตา้ นทานการสนั่ สะเทอื นของแผน่ ดินไหว หน้าที่ 47

ฉบบั ปรบั ปรุงครัง้ ที่ 1

+ = จุดศนู ยก์ ลางของ Rigidity
= จดุ ศนู ยก์ ลางของมวล

= แรงจากแผ่นดนิ ไหว

ก. ความไมส่ มา่ เสมอเชงิ การบิด

หรอื

หรอื

.. แสดงตาแหนง่ มมุ หกั เข้าขา้ งใน

.
.

หรอื .
หรือ

ข. ความไมส่ มา่ เสมอแบบมีมมุ หักเขา้ ข้างในอาคาร

รปู ที่ 2.4-2 ความไม่สม่าเสมอของรปู ทรงโครงสรา้ งในแนวระนาบ

_________________________________________________________________________

หน้าท่ี 48 มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารต้านทานการส่ันสะเทอื นของแผน่ ดินไหว

ฉบับปรบั ปรุงคร้ังที่ 1

ไดอะแฟรมประเภทอ่อนตัว x
(Flexible Diaphragm)

ไดอะแฟรมประเภทคงรูป y ชอ่ งเปิด Y

(Rigid Diaphragm) xy > 0.5XY

X

ช้ินสว่ นในแนวดิ่งของระบบต้านแรงดา้ นขา้ ง

ค. ความไมส่ ม่าเสมอจากความไมต่ ่อเนื่องของไดอะแฟรม

การเยื้องออกนอก

ระนาบของกาแพงรบั
แรงเฉอื น

ชนิ้ สว่ นของระบบต้านแรงด้านขา้ ง

ง. ความไมส่ มา่ เสมอจากการเยอ้ื งออกนอกระนาบ จ. ความไมส่ มา่ เสมอจากระบบทีไ่ ม่ขนานกนั

รูปท่ี 2.4-2 ความไมส่ ม่าเสมอของรูปทรงโครงสร้างในแนวระนาบ (ตอ่ )

2.4.2.2 ความไม่สมา่ เสมอของโครงสร้างในแนวด่ิง ( Vertical Structural Irregularities )
อาคารที่มีลักษณะรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง หรือหลายรูปแบบตามรายการดังต่อไปน้ี ให้ถือว่าเป็น
อาคารที่มีความไมส่ ม่าเสมอของรปู ทรงโครงสรา้ งในแนวดิง่
(1ก) ความไม่สม่าเสมอของสติฟเนส หรือมีชั้นท่ีอ่อน (Stiffness-Soft Story Irregularity)

คือ กรณีท่ีมีช้ันหนึ่งช้ันใดของอาคารมีค่าสติฟเนสทางด้านข้าง (Lateral Stiffness) น้อย
กว่ารอ้ ยละ 70 ของคา่ ในชั้นท่ีเหนือถัดข้ึนไป หรือน้อยกว่าร้อยละ 80 ของค่าสติฟเนสเฉล่ีย
ของสามช้นั ทเี่ หนือขนึ้ ไป ดังตวั อย่างท่ีแสดงในรปู ท่ี 2.4-3 (ก)
(1ข) ความไม่สม่าเสมออย่างมากของสติฟเนส หรือมีช้ันท่ีอ่อนอย่างมาก (Stiffness-
Extreme Soft Story Irregularity) คือ กรณีที่มีชั้นหน่ึงชั้นใดของอาคารมีค่าสติฟเน
สทางด้านข้าง (Lateral Stiffness) น้อยกว่าร้อยละ 60 ของค่าในชั้นที่เหนือถัดข้ึนไป หรือ
นอ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 70 ของค่าสตฟิ เนสเฉล่ียของสามช้นั ที่เหนอื ขนึ้ ไป
(2) ความไม่สมา่ เสมอของมวล (Mass Irregularity) คอื กรณที ีค่ า่ มวลประสิทธิผล (Effective
Mass) ตามหัวข้อ 2.8.2 ของช้ันหน่ึงช้ันใด มีค่ามากกว่าร้อยละ 150 ของมวลประสิทธิผล

_________________________________________________________________________

มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารตา้ นทานการสน่ั สะเทือนของแผ่นดินไหว หนา้ ท่ี 49

ฉบบั ปรับปรงุ ครัง้ ที่ 1

ของช้ันบนหรือช้ันล่างท่ีอยู่ถัดไป ดังตัวอย่างแสดงในรูปที่ 2.4-3 (ข) อาคารท่ีมีหลังคาท่ีมี
มวลน้อยกว่าพ้ืนช้ันถัดลงมา ไมถ่ อื วา่ เป็นอาคารที่มคี วามไมส่ ม่าเสมอของมวล
(3) ความไม่สม่าเสมอทางเรขาคณิตของรูปทรงในแนวด่ิง (Vertical Geometric
Irregularity) คือกรณีท่ีมิติในแนวราบของระบบต้านแรงด้านข้าง ณ ช้ันหนึ่งชั้นใด มีค่า
มากกว่ารอ้ ยละ 130 ของคา่ ในชนั้ บนหรือชั้นล่างท่ีอยู่ถัดไป ยกเว้น Penthouse ท่ีสูง 1 ชั้น
ไมจ่ าเป็นตอ้ งนามาพิจารณา ดังตวั อย่างแสดงในรูปท่ี 2.4-3 (ค)
(4) ความไม่ต่อเนื่องภายในระนาบขององค์อาคารต้านแรงด้านข้างในแนวด่ิง (In – Plane
Discontinuity in Vertical Lateral Force–Resisting Element Irregularity) คือ
กรณีที่องค์อาคารในแนวดิ่งท่ีต้านแรงด้านข้าง เช่น กาแพงรับแรงเฉือน มีความไม่ต่อเนื่อง
โดยมีการเย้ืองตัวภายในระนาบดิ่งขององค์อาคารต้านแรงด้านข้างมีค่ามากกว่าความยาว
ขององคอ์ าคารน้นั ๆ ดังตัวอยา่ งท่แี สดงในรปู ที่ 2.4-3 (ง)
(5ก) ความไม่ต่อเนื่องของกาลังต้านแรงด้านข้างหรือมีชั้นที่อ่อนแอ (Discontinuity in
Lateral Strength–Weak Story Irregularity) คือกรณีท่ีมีช้ันหน่ึงชั้นใดของอาคารมี
กาลังต้านแรงด้านข้างน้อยกว่าร้อยละ 80 ของกาลังในชั้นท่ีเหนือถัดขึ้นไป ดังตัวอย่างท่ี
แสดงในรปู ท่ี 2.4-3 (จ) กาลงั ตา้ นแรงด้านข้างของช้ันในที่น้ี คือ ผลรวมของกาลังต้านทาน
แรงด้านข้างของ ทุก ๆ องค์อาคารท่ีแบกรับแรงเฉือนของอาคารในชั้นน้ัน ในทิศทางที่
พจิ ารณา
(5ข) ความไม่ต่อเน่ืองอย่างมากของกาลังต้านแรงด้านข้างหรือมีช้ันท่ีอ่อนแอมาก
(Discontinuity in Lateral Strength–Extreme Weak Story Irregularity) คือ
กรณีท่ีมีช้ันหนึ่งชั้นใดของอาคารมีกาลังต้านแรงด้านข้าง น้อยกว่าร้อยละ 65 ของกาลังใน
ชน้ั ท่ีเหนือถัดขน้ึ ไป

ข้อยกเว้น อาคารจะไม่ถือว่ามีความไม่สม่าเสมอของรูปทรงโครงสร้างในแนวดิ่ง แบบ 1ก 1ข หรือ 2
(1) หากค่าการเคลื่อนตัวสัมพัทธ์ระหว่างช้ัน (Story Drift) ของช้ันใด ๆ ท่ีเกิดจากแรง
แผ่นดินไหวสถิตเทียบเท่า มีค่าไม่เกินร้อยละ 130 ของชั้นท่ีอยู่เหนือถัดข้ึนไป ท้ังนี้การ
(2) คานวณค่าการเคลื่อนตัวดังกล่าว ไม่จาเป็นต้องพิจารณาผลของการบิดตัวของอาคาร
(Torsional Effect) และไม่จาเป็นต้องพิจารณาค่าการเคลื่อนตัวของสองชั้นบนสุดของ
อาคาร

ในการออกแบบอาคาร 1 ชั้นและ 2 ชั้น ไม่จาเป็นต้องพิจารณาถึงความไม่สม่าเสมอของ
รูปทรงโครงสรา้ งในแนวดง่ิ แบบ 1ก 1ข หรอื 2

_________________________________________________________________________

หนา้ ที่ 50 มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารต้านทานการสนั่ สะเทือนของแผน่ ดนิ ไหว

ฉบับปรบั ปรุงครงั้ ท่ี 1

ชอ่ งเปดิ ขนาดใหญ่ใน ความสูงของช้ันไม่สม่าเสมอ ความไมต่ อ่ เน่ืองของเสา k4
กาแพงรบั แรงเฉอื น k3
k2
(ก) ความไม่สม่าเสมอของสติฟเนส k1

หรือ

(ข) ความไมส่ ม่าเสมอของมวล

.

.
.

(ค) ความไม่สม่าเสมอทางเรขาคณติ ของรูปทรงในแนวดง่ิ

กาแพงรับแรงเฉอื น

.
.

กาแพงรับแรงเฉอื น กาลงั รบั แรงเฉือน < 0.8 ของ
กาลังรบั แรงเฉือนของช้ันที่เหนอื
(ง) ความไม่ต่อเนอื่ งในระนาบ ถัดขึ้นไป

(จ) ความไม่ตอ่ เนื่องของกาลัง

รูปท่ี 2.4-3 ความไม่สม่าเสมอของโครงสร้างในแนวดง่ิ

_________________________________________________________________________

มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารตา้ นทานการสนั่ สะเทือนของแผ่นดนิ ไหว หน้าที่ 51

ฉบับปรับปรุงครั้งท่ี 1

2.4.3 ข้อจากดั และขอ้ กาหนดเพ่มิ เตมิ สาหรับอาคารที่รปู ทรงโครงสรา้ งไมส่ มา่ เสมอ
(1) อาคารท่ีมีประเภทการออกแบบต้านทานแผ่นดินไหวแบบ ง จะต้องไม่เป็นอาคารที่มีความไม่
สมา่ เสมอในแนวดง่ิ แบบ (5ข)
(2) อาคารท่ีมีความไม่สม่าเสมอในแนวด่ิงแบบ (5ข) จะมีความสูงได้ไม่เกิน 2 ชั้น หรือ 9 เมตร
เว้นแต่อาคารนั้นสามารถต้านทานการส่ันสะเทือนของแผ่นดินไหวสถิตเทียบเท่าท่ีคูณด้วย
ตวั ประกอบกาลังสว่ นเกิน 0  ได้

(3) อาคารท่ีมีความไม่สม่าเสมอในแนวระนาบแบบ (4) หรือในแนวดิ่งแบบ (4) จะต้องได้รับการ
ออกแบบให้องค์อาคารต่าง ๆ ทรี่ องรับกาแพงหรอื โครงสร้างทไี่ ม่ต่อเนื่อง มีกาลังเพียงพอท่ีจะ
ต้านทานแรงซงึ่ เกดิ จากน้าหนักบรรทุก กระทาร่วมกับแรงแผ่นดินไหวสถิตเทียบเท่าท่ีคูณด้วย
ตวั ประกอบกาลงั สว่ นเกนิ 0 

(4) อาคารท่ีมีประเภทการออกแบบต้านทานแผ่นดินไหวแบบ ง และมีความไม่สม่าเสมอในแนว
ระนาบ แบบ (1ก) (1ข) (2) (3) หรือ (4) หรือมีความไม่สม่าเสมอในแนวดิ่ง แบบ (4) จะต้อง
ได้รับการออกแบบให้ (ก) จุดต่อระหว่างไดอะแฟรมกับโครงสร้างแนวด่ิงต้านแรงด้านข้าง
(ข) จุดต่อระหว่างไดอะแฟรมกับองค์อาคารเชื่อม (Collector) และ (ค) จุดต่อระหว่างองค์
อาคารเช่ือมกับโครงสร้างแนวดิ่งต้านแรงด้านข้าง สามารถต้านทานการสั่นสะเทือนของ
แผ่นดินไหวตามข้อ 2.9.1.1 คูณด้วย 1.25 องค์อาคารเชื่อม และจุดต่อระหว่างองค์อาคาร
เชื่อม ก็ต้องได้รับการออกแบบให้สามารถต้านทานแรงดังกล่าว เว้นแต่ว่าได้ถูกออกแบบให้
ตา้ นทานแรงซ่ึงเกิดจากน้าหนักบรรทุกกระทาร่วมกับแรงแผ่นดินไหวสถิตเทียบเท่าที่คูณด้วย
ตัวประกอบกาลงั สว่ นเกนิ เรยี บร้อยแลว้

2.5 การรวมผลของแรงแผน่ ดนิ ไหว กบั น้าหนกั บรรทกุ แนวด่ิง
2.5.1 กรณที ต่ี ้องพจิ ารณาการรวมผลของแรง

องคอ์ าคารทกุ สว่ นในโครงสรา้ ง รวมทงั้ ส่วนที่ไม่ใชโ่ ครงสร้างต้านทานแรงด้านขา้ งจะต้องได้รับการ
ออกแบบให้สามารถต้านทานแรงในแนวแกน แรงเฉือน แรงดัดท่ีเกิดกับองค์อาคารน้ัน ๆ เม่ือโครงสร้างถูก
กระทาด้วยแรงแผ่นดินไหวร่วมกับน้าหนักบรรทุกแนวด่ิงตามข้อกาหนดในหัวข้อ 2.5.2 ในบางกรณีที่
มาตรฐานกาหนด การรวมผลของแรงจะต้องคานึงถึงกาลังส่วนเกินของโครงสร้างด้วยตามข้อกาหนดใน
หวั ขอ้ 2.5.3

2.5.2 วธิ รี วมผลของแรง
(ก) สาหรบั การออกแบบโดยวธิ ีกาลัง ให้ใชว้ ิธีรวมผลของแรงดงั ต่อไปนี้

0.751.4D 1.7L 1.0E (2.5-1)
(2.5-2)
0.9D 1.0E

_________________________________________________________________________

หน้าท่ี 52 มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารต้านทานการส่ันสะเทือนของแผน่ ดินไหว

ฉบบั ปรับปรงุ ครั้งท่ี 1

โดยที่ E คอื ผลท่เี กิดจากแรงแผ่นดนิ ไหว (Seismic Load Effects) ตามท่คี านวณในมาตรฐานน้ี
D คือ ผลท่เี กิดจากนา้ หนกั บรรทุกคงที่ (Dead Load)
L คือ ผลท่ีเกิดจากนา้ หนกั บรรทุกจร (Live Load)

(ข) สาหรบั การออกแบบโดยวิธีหน่วยแรงท่ียอมให้ ให้ใชว้ ิธีรวมผลของแรงดงั ตอ่ ไปน้ี

1.0D  0.7E (2.5-3)
1.0D  0.525E  0.75L (2.5-4)
0.6D  0.7E (2.5-5)

2.5.3 วิธรี วมผลของแรงที่คานึงถงึ กาลงั ส่วนเกินของโครงสร้าง
ในกรณีที่มาตรฐานกาหนดให้คานึงถึงกาลังส่วนเกินของโครงสร้าง ให้ใช้วิธีรวมผลของแรง

ดงั ตอ่ ไปนี้
(ก) สาหรบั การออกแบบโดยวธิ กี าลงั

0.751.4D 1.7L  0E (2.5-6)
(2.5-7)
0.9D  0E

(ข) สาหรบั การออกแบบโดยวิธีหนว่ ยแรงที่ยอมให้

1.0D  0.70E (2.5-8)
1.0D  0.5250E  0.75L (2.5-9)
0.6D  0.70E (2.5-10)

2.5.4 การเพิ่มค่าหน่วยแรงท่ียอมให้
ในการออกแบบโครงสร้างด้วยวิธีหน่วยแรงท่ียอมให้ อนุญาตให้เพ่ิมค่าหน่วยแรงท่ียอมให้

ร้อยละ 20 จากค่าปกติเม่ือพิจารณาการรวมแรงท่ีมีการคานึงถึงกาลังส่วนเกินของโครงสร้าง การเพ่ิมน้ีไม่
สามารถนาไปรวมกับการเพิ่มค่าหน่วยแรงท่ียอมให้ในกรณีอื่น ๆ ที่อาจมีการระบุไว้ในมาตรฐานการ
ออกแบบขององคอ์ าคารทใี่ ช้อ้างอิง

2.6 ทิศทางของแรงแผ่นดินไหว
2.6.1 การกาหนดทิศทางของแรง

ทศิ ทางของแรงแผน่ ดนิ ไหวท่ีใช้ในการออกแบบอาคาร จะต้องเป็นทิศทางท่ีทาให้เกิดผลตอบสนอง
ในโครงสรา้ งท่รี ุนแรงท่สี ุด หรือเป็นไปตามขอ้ กาหนดในหัวข้อ 2.6.2 หรือ 2.6.3 แลว้ แต่กรณี

_________________________________________________________________________

มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารตา้ นทานการสนั่ สะเทอื นของแผน่ ดินไหว หน้าท่ี 53

ฉบบั ปรับปรงุ คร้ังที่ 1

2.6.2 แรงแผ่นดินไหวในแต่ละทิศกระทาตอ่ อาคารแยกกัน
ในกรณีของอาคารที่มีประเภทการออกแบบต้านทานแผน่ ดินไหวแบบ ข และแบบ ค ยกเว้นแบบ ค

ทม่ี ีความไม่สม่าเสมอของรูปทรงโครงสร้างในแนวระนาบแบบ 5 สามารถกาหนดให้แรงแผ่นดินไหวกระทา
ในทิศทางของแกนหลักของโครงสร้างอาคารซง่ึ มี 2 ทิศทางท่ตี ง้ั ฉากกัน โดยแยกกระทาทีละทิศทางไม่พร้อม
กัน และไมจ่ าเป็นต้องรวมผลของแรงทงั้ 2 ทศิ ทางเขา้ ดว้ ยกนั

2.6.3 แรงแผ่นดนิ ไหวใน 2 ทศิ ทางหลักกระทาต่ออาคารรว่ มกนั
ในกรณีของอาคารที่มีประเภทการออกแบบต้านทานแผ่นดินไหวแบบ ง ท้ังที่มีรูปทรง

โครงสร้างสม่าเสมอ และ ไม่สม่าเสมอ หรือ แบบ ค ท่ีมีรูปทรงโครงสร้างไม่สม่าเสมอในแนวระนาบ
แบบที่ 5 ให้เลอื กใชว้ ิธีใด วิธีหน่ึงใน 2 วธิ ดี ังตอ่ ไปนี้

(1) วิธีรวมผลของแรงท่กี ระทาใน 2 ทศิ ทางทต่ี ั้งฉากกนั
ในขั้นแรกกาหนดให้แรงแผ่นดินไหวกระทาในทิศทางของแกนหลักของโครงสร้างทีละทิศทางไม่
พร้อมกัน โดยวิธีการวิเคราะห์โครงสร้างอาจเป็นวิธีแรงสถิตเทียบเท่าในบทท่ี 3 หรือ วิธีสเปกตรัมการ
ตอบสนองแบบโหมดในบทที่ 4 หรือวิธีวิเคราะห์การตอบสนองเชิงเส้นแบบประวัติเวลาในบทท่ี 4 จากนั้น
จึงรวมผลของแรงท้ัง 2 ทศิ ทางหลกั ในรปู แบบดงั ต่อไปน้ี
(1ก) รอ้ ยละ 100 ของผลของแรงในทศิ ทางที่ 1 + ร้อยละ 30 ของผลของแรงในทศิ ทางท่ี 2
(1ข) รอ้ ยละ 30 ของผลของแรงในทศิ ทางที่ 1 + ร้อยละ 100 ของผลของแรงในทิศทางที่ 2
ผลรวมในรูปแบบใดก่อให้เกิดผลท่ีรุนแรงท่ีสุดในองค์อาคารของโครงสร้างให้นาผลรวมรูปแบบนั้น
ไปใชใ้ นการออกแบบกาลงั ตา้ นทานขององค์อาคารนน้ั ๆ องค์อาคารในท่นี รี้ วมถึงฐานรากของอาคารด้วย

(2) วิธที ่ีให้แรงทง้ั 2 ทศิ ทาง กระทาตอ่ อาคารพรอ้ มกนั
ในการวิเคราะห์โครงสร้างด้วยวิธีวิเคราะห์การตอบสนองเชิงเส้นหรือไม่เชิงเส้นแบบประวัติเวลา
ในบทท่ี 4 จะต้องกาหนดให้เกิดแผ่นดินไหวในทั้ง 2 ทิศทางหลักของอาคารพร้อมกัน ผลการตอบสนองท่ี
วเิ คราะห์ได้ คอื ผลรวมของแรงแผ่นดนิ ไหวทั้ง 2 ทิศทาง

2.7 วิธีการวิเคราะหโ์ ครงสรา้ ง
วิศวกรผู้ออกแบบสามารถเลือกใช้วิธีการวิเคราะห์โครงสร้างเพ่ือคานวณผลของแรงแผ่นดินไหว

วิธีหนึ่งวิธีใด ตามเกณฑ์ท่ีแสดงโดยตารางที่ 2.7-1 ซึ่งข้ึนกับประเภทการออกแบบต้านทานแผ่นดินไหว
คุณสมบตั ิเชิงพลศาสตร์ และความไม่สม่าเสมอของรปู ทรงโครงสร้างของอาคาร

_________________________________________________________________________

หนา้ ที่ 54 มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารต้านทานการสัน่ สะเทอื นของแผน่ ดินไหว

ฉบบั ปรับปรุงครั้งท่ี 1

ตารางที่ 2.7-1 วิธกี ารวิเคราะหโ์ ครงสรา้ งเพอ่ื คานวณผลของแรงแผ่นดินไหวทีอ่ นุญาตใหใ้ ชไ้ ด้

ประเภทการ ลักษณะโครงสร้าง วิธแี รงสถิต วธิ สี เปกตรมั การ วิธีวิเคราะห์การ
ออกแบบ เทียบเท่า ตอบสนองแบบโหมด ตอบสนองแบบ
ต้านทาน ประวตั ิเวลา
แผน่ ดินไหว

ข, ค โครงสรา้ งอาคารทุกรูปแบบ อนุญาต อนุญาต อนุญาต

ง อาคารทม่ี ีประเภทความสาคัญ แบบ อนญุ าต อนุญาต อนุญาต

I หรือ II ท่ีใช้โครงสร้างเบา (Light-

frame Construction)

อาคารแบบอ่ืน ๆ ที่มีประเภท อนญุ าต อนุญาต อนญุ าต

ความสาคัญ แบบ I หรือ II และมี

ความสูงไม่เกิน 2 ชนั้

อ า ค า ร ที่ มี รู ป ท ร ง โ ค ร ง ส ร้ า ง อนญุ าต อนุญาต อนญุ าต

สม่าเสมอ และมีความสูงไม่เกิน 50

เมตร

อาคารนอกแอ่งกรุงเทพฯ ท่ีมีรูปทรง อนญุ าต อนุญาต อนุญาต

โครงสร้างสม่าเสมอที่สูงเกิน 50

เมตรและมีคาบการสั่นพื้นฐานน้อย

กว่า 3.5Ts อนญุ าต อนุญาต
อาคารท่ีมีความสูงไม่เกิน 50 เมตร อนุญาต

และมีความไม่สม่าเสมอของรูปทรง

โครงสร้างในแนวระนาบ แบบ 2, 3,

4, หรือ 5 หรือในแนวดิ่ง แบบ 4, 5

ก หรอื 5ข

อาคารแบบอนื่ ๆ ไมอ่ นุญาต อนุญาต อนญุ าต

2.8 ขอ้ กาหนดในการสรา้ งแบบจาลองโครงสร้าง
2.8.1 แบบจาลองฐานราก

ในการวิเคราะห์โครงสร้างเพ่ือการออกแบบต้านทานแผ่นดินไหว แบบจาลองฐานรากสามารถ
กาหนดให้เป็นแบบฐานยึดแน่น (Fixed Base) อย่างไรก็ดีในกรณีที่วิศวกรผู้ออกแบบพิจารณาว่าควร
คานึงถึงความยึดหยุ่นของฐานราก (Foundation Flexibility) การสร้างแบบจาลองฐานรากจะต้อง
พจิ ารณาถึงขอ้ กาหนดในหวั ขอ้ 2.12.3

2.8.2 น้าหนักโครงสรา้ งประสทิ ธิผล
น้าหนักโครงสร้างประสิทธิผล คือ น้าหนักบรรทุกแนวด่ิงของอาคารท่ีต้องนามาพิจารณาในการ

วิเคราะหอ์ อกแบบโครงสรา้ งต้านทานแผ่นดนิ ไหว

_________________________________________________________________________

มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารตา้ นทานการสน่ั สะเทือนของแผน่ ดินไหว หนา้ ที่ 55

ฉบับปรบั ปรุงครง้ั ท่ี 1

น้าหนักโครงสร้างประสิทธิผล W  จะต้องรวมน้าหนักบรรทุกคงที่ทั้งหมดของอาคาร และ

น้าหนักบรรทกุ ประเภทอื่น ๆ ดังต่อไปน้ี
(1) ร้อยละ 25 ของน้าหนกั บรรทุกจร (Floor Live Load) สาหรับอาคารที่ใช้เก็บพัสดุ ยกเว้นใน
กรณที น่ี า้ หนักจากพัสดุรวมแล้วมีค่าไม่ถึงร้อยละ 5 ของน้าหนักประสิทธิผลในชั้นที่พิจารณา
ในกรณขี องอาคารจอดรถยนต์ ไม่จาเป็นต้องคานงึ ถงึ น้าหนกั ในขอ้ น้ี
(2) นา้ หนักของผนงั อาคาร และผนังก้ันห้องต่าง ๆ หรือน้าหนักบรรทุกเทียบเท่าจากน้าหนักของ
ผนังอาคาร ที่กระจายลงพื้นท่ัวทั้งชั้นอย่างน้อย 480 นิวตันต่อตารางเมตร โดยให้เลือกใช้
ค่าท่ีมากกวา่
(3) น้าหนกั ของเคร่ืองมอื เครื่องจกั ร และอปุ กรณ์ซ่งึ ตดิ ตง้ั ถาวรในอาคาร
(4) นา้ หนกั ของวัสดแุ ละสว่ นประกอบตา่ ง ๆ ของส่วนท่อี ยบู่ นช้ันหลงั คาหรือบริเวณอื่นในอาคาร
มวลประสิทธผิ ล (Effective Mass) คือ ค่าน้าหนักประสิทธิผลหารดว้ ยคา่ ความเร่งจากแรงโน้มถ่วง

ของโลก

2.8.3 แบบจาลองโครงสร้าง

แบบจาลองโครงสร้างจะต้องถูกสรา้ งขึ้นเพือ่ นาไปใชว้ เิ คราะห์คานวณหาแรงภายในองค์อาคารและ

การเคล่ือนตัวของโครงสร้างที่เกิดจากแรงแผ่นดินไหว ดังนั้นในแบบจาลองนี้จะต้องมีการจาลองค่า

สติฟเนสและกาลังขององค์อาคารและส่วนประกอบต่าง ๆ ของอาคารที่มีความสาคัญต่อการต้านทานการ

ส่ันสะเทอื นของแผน่ ดินไหว รวมถงึ จาลองลกั ษณะการกระจายของมวลท่ัวทัง้ อาคารอย่างถูกต้อง

ในกรณีท่ีอาคารมีความไม่สม่าเสมอของรูปทรงโครงสร้างในแนวระนาบ แบบ 1ก, 1ข, 4 หรือ 5

แบบจาลองโครงสร้างจะต้องเป็นแบบ 3 มิติที่สามารถจาลองการเคลื่อนตัวโครงสร้างในแนวราบได้ท้ัง

ทศิ ทางหลัก 2 ทิศทางท่ตี ง้ั ฉากกนั และการบิดตัวรอบแกนในแนวดิง่ ของโครงสรา้ ง

ในกรณีที่ไดอะแฟรมมิได้เป็นไดอะแฟรมแข็งหรืออ่อนตามเกณฑ์ในหัวข้อ 2.4 แบบจาลองจะต้อง

สามารถจาลองสตฟิ เนสในแนวระนาบของไดอะแฟรมได้

การกาหนดคา่ สติฟเนสขององค์อาคารคอนกรตี และอิฐกอ่ จะตอ้ งคานึงถึงผลของการแตกร้าวท่ีมีต่อ

ค่าสตฟิ เนส โดยในกรณีทีไ่ มส่ ามารถทาการวิเคราะห์อยา่ งละเอียด อนุญาตให้ประมาณค่าสติฟเนส จากค่า

โมเมนต์ความเฉอื่ ยประสิทธผิ ล Ieff และคา่ พ้นื ทหี่ นา้ ตัดประสิทธิผล Aeff ดงั ตอ่ ไปน้ี

คาน : Ieff  0.35Ig

เสา : Ieff  0.70Ig

Aeff  1.0Ag

กาแพงที่ไมแ่ ตกร้าว: Ieff  0.70Ig

กาแพงทมี่ ีการแตกร้าว: Ieff  0.35Ig

แผ่นพ้ืนไรค้ าน: Ieff  0.25Ig

โดยที่ Ig และ Ag คือ คา่ โมเมนตค์ วามเฉือ่ ย และพ้ืนทีห่ น้าตัดที่คานวณจากหนา้ ตดั เตม็

_________________________________________________________________________

หน้าท่ี 56 มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารตา้ นทานการสน่ั สะเทือนของแผน่ ดนิ ไหว

ฉบบั ปรับปรงุ คร้งั ท่ี 1

2.9 การออกแบบไดอะแฟรมและองค์อาคารเช่ือม
2.9.1 การออกแบบไดอะแฟรม

ไดอะแฟรมจะต้องได้รับการออกแบบให้สามารถต้านทานหน่วยแรงเฉือนและหน่วยแรงดัดท่ีเกิด
จากแรงแผน่ ดนิ ไหว

สาหรับบริเวณท่ีไดอะแฟรมมีความไม่ต่อเนื่อง เช่น บริเวณท่ีมีช่องเปิดหรือมีมุมหักเข้าข้างใน
(Reentrant Corners) จะต้องได้รับการออกแบบให้แรงที่ถ่ายท่ีผ่านไดอะแฟรมมีค่าไม่เกินกาลังรับแรง
เฉือนและกาลงั รบั แรงดงึ ของไดอะแฟรมนนั้ ๆ

2.9.1.1 แรงทใี่ ชใ้ นการออกแบบไดอะแฟรม
พื้นและหลังคาซึ่งทาหน้าท่ีเป็นไดอะแฟรมจะต้องได้รับการออกแบบให้สามารถต้านทานแรง
ภายในไดอะแฟรมที่ได้จากการวิเคราะห์โครงสร้างแต่ท้ังน้ีค่าแรงภายในไดอะแฟรมจะต้องมีค่าไม่น้อยกว่า
คา่ ทคี่ านวณไดจ้ ากสมการ 2.9-1

n (2.9-1)

 Fi
ix
Fpx  n wpx

 wi
ix

โดยท่ี Fpx คอื แรงภายในไดอะแฟรมทีช่ ั้น x สาหรบั การออกแบบ
Fi คอื แรงแผ่นดนิ ไหวสถติ เทียบเท่าทีร่ ะดับชนั้ i (หัวข้อ 3.4)
wi คอื นา้ หนกั โครงสรา้ งประสิทธิผลของอาคารที่ระดับชั้น i (หวั ขอ้ 2.8.2)
wpx คือ น้าหนักโครงสร้างประสิทธิผลของอาคารท่ีระดับช้ัน x ภายในพ้ืนที่รับผิดชอบ
(Tributary Area) ของโครงสรา้ งท่ตี ้านแรงที่ส่งถา่ ยผ่านไดอะแฟรมนนั้

แรงภายในไดอะแฟรมที่คานวณจากสมการ 2.9-1 จะต้องมคี ่าไมน่ ้อยกวา่

Fpx  0.2SDS Iwpx (2.9-2)

แต่ไมจ่ าเปน็ ต้องมีคา่ เกิน

Fpx  0.4SDS Iwpx (2.9-3)

ค่า SDS ในสมการ 2.9-2 และ 2.9-3 ในกรณีของพ้ืนท่ีแอ่งกรุงเทพ ให้ใช้ค่า Sa ที่ 0.2 วินาที
ตามที่แสดงในรูปท่ี 1.4-6 ถึง 1.4-7 หรือ ตาราง 1.4-4 ถงึ 1.4-5

ในกรณีท่ีไดอะแฟรมทาหน้าท่ีถ่ายเทแรงแผ่นดินไหวจากเสาหรือกาแพงที่อยู่เหนือไดอะแฟรม

ไปยังเสาหรือกาแพงที่อยู่ใต้ไดอะแฟรม เนื่องจากการเย้ืองศูนย์ของโครงสร้าง หรือสาเหตุอื่น ๆ

แรงดงั กล่าวนจี้ ะต้องถกู นาไปรวมกบั แรงท่ีคานวณจากสมการ 2.9-1

_________________________________________________________________________

มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารตา้ นทานการสน่ั สะเทือนของแผน่ ดนิ ไหว หนา้ ที่ 57

ฉบับปรบั ปรุงครั้งท่ี 1

2.9.2 การออกแบบองค์อาคารเช่ือม
ในกรณีท่ีจาเป็นต้องมีการถ่ายแรงแผ่นดินไหวท่ีเกิดขึ้นภายในโครงสร้างอาคารบางส่วนไปยัง

โครงสร้างที่ต้านแรงด้านข้าง ต้องออกแบบให้มีองค์อาคารเชื่อม (Collector Element) ท่ีมีกาลัง
เพียงพอทจ่ี ะถ่ายแรงดงั กลา่ วน้ี

ในกรณีของอาคารท่ีมีประเภทการต้านทานแผ่นดินไหว แบบ ค และ ง องค์อาคารเชื่อมเหล่านี้
รวมถึง จุดต่อระหว่างองค์อาคารเช่ือมกับโครงสร้างต้านแรงด้านข้าง และจุดต่อระหว่างองค์อาคารเชื่อม
ด้วยกันเอง จะต้องได้รับการออกแบบให้มีกาลังเพียงพอท่ีจะต้านทานแรงที่เกิดขึ้นสูงสุด ที่คานวณได้จาก
กรณีตอ่ ไปน้ี

(1) แรงที่ส่งถ่ายผ่านองค์อาคารเช่ือมที่คานวณได้จากการนาแรงสถิตเทียบเท่า (จากบทท่ี 3)
คณู ด้วยตวั ประกอบกาลงั ส่วนเกิน 0  กระทารว่ มกบั นา้ หนักบรรทุกแนวด่ิงตามข้อกาหนด

ในหัวข้อ 2.5.3
(2) แรงท่ีส่งถ่ายผ่านองค์อาคารเชื่อมที่เป็นผลจากแรงภายในไดอะแฟรม ตามสมการที่ 2.9-1

คูณด้วยตัวประกอบกาลงั สว่ นเกนิ 0  กระทารว่ มกบั นา้ หนักบรรทกุ แนวด่ิง

(3) แรงท่ีสง่ ถา่ ยผา่ นองคอ์ าคารเชื่อม ที่เป็นผลจากแรงภายในไดอะแฟรม ตามสมการท่ี 2.9-2 ซึ่ง
มคี า่ ไมเ่ กินค่าจากสมการที่ 2.9-3 กระทาร่วมกบั นา้ หนกั บรรทุกแนวดิง่

กากแาพแพงรงับรบัแแรรงงเเฉฉอื อื นน กากแาพแพง(รไง(มบัรไ่ตมบัแ่ ตอ้แร้ รองงงมเงเฉมฉอี ีือออืงนงคนคเ์อ์เตตอาม็าม็ คคตตาาลลรรออเเชชดดื ่ ออื่คคมมวว)า)ามมยยาาวว
ทที่ชช่ีออ่ งงบบันนั ไไดด องอคงอ์ คาค์อาารคเชาอร่ื มเชเพ่อื มอ่ื ถเพ่ายือ่ แถร่างยแรง
ระรหะวห่างวไา่ ดงอไะดแอฟะรแมฟแรลมะกแาลแะพกงาแพง

รปู ที่ 2.9-1 องค์อาคารเช่ือมระหวา่ งไดอะแฟรมและกาแพง

2.10 กาแพงโครงสรา้ งและการฝังยดึ
2.10.1 การออกแบบสาหรับแรงกระทานอกระนาบ

โครงสร้างกาแพงและการฝังยึด รวมถึงกาแพงท่ีอยู่ภายในกรอบโครงสร้างเฟรม จะต้องออกแบบ
ใหส้ ามารถรับแรงกระทาตง้ั ฉากกบั ผิวกาแพง เท่ากับ 0.4SDSI คูณกบั น้าหนกั ของกาแพง ซึ่งจะต้องมีค่า

_________________________________________________________________________

หน้าที่ 58 มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารตา้ นทานการส่นั สะเทอื นของแผน่ ดินไหว

ฉบับปรับปรงุ ครัง้ ที่ 1

อย่างน้อยร้อยละ 10 ของน้าหนักกาแพง การเช่ือมยึดกันในระหว่างกาแพงและตัวเชื่อมกับระบบรองรับ
เฟรมจะต้องมีความเหนียวเพียงพอ อีกท้ังมีกาลังต้านทานการหมุนตัว หรือกาลังเพียงพอเพ่ือต้านทานการ
หดตัว การเปล่ียนแปลงอุณหภูมิ และการทรุดตัวของฐานรากที่ไม่เท่าเทียมกัน เมื่อรวมผลของแรงกระทา
แผน่ ดนิ ไหว

2.10.2 แรงยดึ กาแพงโครงสรา้ งและการถา่ ยแรงไปสู่ไดอะแฟรม
แรงยึดกับกาแพงสามารถคานวณได้จากสมการต่อไปนี้

Fp  0.4SDS kaIWp  0.2kaIWp (2.10-1)
(2.10-1)
และ

ka  1.0  Lf  2.0
100

โดยที่ Fp คือ แรงสาหรบั สมอยึด (Anchor) แตล่ ะตวั
SDS คือ คา่ ความเร่งตอบสนองเชิงสเปกตรัมสาหรบั การออกแบบทค่ี าบการสัน่ 0.2 วินาที หรอื
คา่ Sa ที่ 0.2 วนิ าที ในกรณีของพ้นื ทแี่ อง่ กรุงเทพ ตามท่ีแสดงในรปู ท่ี 1.4-6 ถึง 1.4-9
หรอื ตาราง 1.4-4 ถงึ 1.4-7
I คอื ค่าตัวประกอบความสาคญั ของอาคาร
ka คือ คา่ ตวั ประกอบขยายตามความอ่อนของไดอะแฟรม
Lf คือ ค่าระยะความยาว (Span) ในหน่วยเมตร สาหรับไดอะแฟรมอ่อนที่ค้ากับกาแพง
ค่าระยะความยาวน้ีวัดจากระยะห่างระหว่างองค์อาคารแนวด่ิงที่ยึดกับไดอะแฟรม
สาหรบั ไดอะแฟรมแขง็ คา่ Lf มีคา่ เท่ากับศูนย์
Wp คอื นา้ หนักที่คิดจากพนื้ ท่รี ับผิดชอบ (Tributary Area) ของสมอยึดที่พิจารณา

ในกรณีที่สมอยึดที่พิจารณาไม่ได้อยู่ท่ีระดับช้ันหลังคา ค่าท่ีคานวณได้จากสมการที่ 2.10-1
สามารถนาไปคูณกับค่าตัวประกอบ 1 2z / h / 3 โดย z คือความสูงของสมอยึดที่พิจารณาวัดจากฐาน
อาคาร และ h คือความสูงของหลงั คาวัดจากฐานอาคาร

กาแพงตอ้ งออกแบบให้สามารถรบั แรงดัดทเ่ี กดิ ขน้ึ เม่ือระยะระหว่างสมอยดึ มีคา่ มากกวา่ 1.2 เมตร

_________________________________________________________________________

มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารตา้ นทานการสน่ั สะเทือนของแผ่นดนิ ไหว หนา้ ที่ 59

ฉบับปรบั ปรุงคร้งั ที่ 1

จดุ ยึด
พ้ืนหรือหลงั คาที่คา้ ยนั กาแพง

รูปท่ี 2.10-1 แรงยดึ กาแพงโครงสรา้ งและการถา่ ยแรงไปสู่ไดอะแฟรม (หัวข้อ 2.10.2)

2.10.3 ข้อกาหนดเพิม่ เตมิ สาหรับไดอะแฟรมทใี่ ชใ้ นประเภทการออกแบบ ค และ ง
2.10.3.1 การถา่ ยแรงฝังยึดไปสไู่ ดอะแฟรม
จะต้องจัดให้มีเหล็กเสริมหรืออุปกรณ์ในการที่จะถ่ายแรงอย่างต่อเนื่องตามแนวขอบของ

ไดอะแฟรม หรือ คอร์ด (Chord) ของไดอะแฟรม เพ่ือกระจายแรงเข้าสู่ไดอะแฟรม กลไกในการถ่ายแรง
อาจใช้การถ่ายแรงโดยการยึดเกาะ การเช่ือม หรือ ใช้อุปกรณ์เชิงกล อาจมีการแบ่งไดอะแฟรมให้เป็น
ไดอะแฟรมย่อย ๆ โดยการเพ่ิมคอร์ด (Chord) ทั้งน้ีอัตราส่วนระหว่างความยาวต่อความกว้างของ
ไดอะแฟรมย่อยจะต้องไม่เกิน 2.5:1 ระยะการฝังยึดของเหล็กเสริมหรืออุปกรณ์ต้องยาวเพียงพอที่จะ
สามารถถ่ายแรงไปสู่ไดอะแฟรมได้

2.10.3.2 ชน้ิ สว่ นเหลก็ ของระบบการฝงั ยดึ ในกาแพง
แรงที่ใช้ในการออกแบบชิ้นส่วนที่เป็นเหล็กของระบบการฝังยึดในกาแพง จะต้องเพิ่มค่า
อีก 1.4 เท่า (ยกเว้นสลกั เกลียวและเหล็กเสน้ )

2.10.3.3 ไดอะแฟรมไม้
สาหรับไดอะแฟรมไม้ จะต้องมีการยึดอย่างต่อเนื่องระหว่างขอบไดอะแฟรม เพ่ิมเติมจาก
การยึดของแผ่นไม้ที่ใช้ทาพ้ืน (Sheathing) การฝังยึดตัวไม้จะใช้ตะปูท่ัวไปไม่ได้ ให้ใช้อุปกรณ์ยึดไม้ท่ีแน่น
หนา เชน่ สลักเกลียว เป็นตน้

2.10.3.4 ไดอะแฟรมแผน่ พ้ืนโลหะ
สาหรบั ไดอะแฟรมแผ่นพน้ื โลหะ ตวั แผ่นพืน้ โลหะไม่อาจใช้ยดึ เพอ่ื ถ่ายแรงอย่างต่อเนื่องได้
ในกรณที ่ีแนวทใ่ี ชย้ ึดตัง้ ฉากกบั ทศิ ทางตามยาว (Span) ของตวั แผ่นพืน้

_________________________________________________________________________

หน้าท่ี 60 มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารต้านทานการสั่นสะเทอื นของแผน่ ดนิ ไหว

ฉบับปรบั ปรงุ ครง้ั ที่ 1

2.10.3.5 แผน่ เหลก็ ฝังยึด (Embeded Strap)
การใช้แผ่นเหล็กฝังยึดระหว่างไดอะแฟรมและกาแพงคอนกรีต จะต้องสามารถยึดติดกับ
เหลก็ เสริมหลักเพ่อื การถ่ายแรงไปยังเหล็กเสริมได้

2.10.3.6 ระบบเหล็กฝังยึดซง่ึ มนี า้ หนักกระทาแบบเยื้องศูนย์
ในกรณีท่ีช้ินส่วนของระบบฝังยึดกาแพงมีน้าหนักกระทาแบบเย้ืองศูนย์ หรือกระทา
ไมต่ ั้งฉากกับกาแพง จะต้องมีการออกแบบระบบฝังยึดใหส้ ามารถต้านทานแรงกระทาต่าง ๆ ซึ่งเกิดจากการ
เยอ้ื งศูนย์นน้ั ได้

2.10.3.7 เสาฝังในกาแพง
ในกรณที มี่ ีการออกแบบเสาฝังในกาแพง แรงฝังยึดที่กระทาต่อเสาจะต้องคานวณโดยการ
พิจารณาเพ่ิมน้าหนักบรรทกุ ท่ถี ่ายจากแผน่ กาแพงไปยงั เสาดว้ ย อยา่ งไรกต็ าม แรงฝังยึดที่กระทาต่อพ้ืนหรือ
หลงั คาจะตอ้ งไม่ลดคา่ ลงเนื่องจากการออกแบบเสาน้ี

2.11 การเคลื่อนตัวสัมพทั ธร์ ะหว่างชน้ั และการโกง่ ตัวของโครงสรา้ ง
2.11.1 การเคล่อื นตัวสมั พัทธร์ ะหว่างช้นั ท่ียอมให้

การเคลื่อนตัวสัมพัทธ์ระหว่างชั้นท่ีเกิดจากแผ่นดินไหวสาหรับออกแบบ (Design Story Drift,  )
ท่ีคานวณได้จากวิธีแรงสถิตเทียบเท่า (หัวข้อ 3.7) หรือวิธีเชิงพลศาสตร์ (หัวข้อ 4.2.2, 4.3.4, หรือ 4.4.4)
จะต้องมคี ่าไมเ่ กนิ ค่าทย่ี อมให้ (Allowable Story Drift, a ) ดังแสดงในตารางที่ 2.11-1

ในกรณีท่ีอาการมีการบิดตัวรอบแกนดิ่งอย่างชัดเจนเม่ือถูกแรงแผ่นดินไหวกระทา การคานวณ
คา่ การเคลอ่ื นตวั สัมพทั ธ์ระหวา่ งชนั้  น้จี ะต้องรวมผลของการบดิ ตวั ของอาคารเขา้ ไปด้วย

ในกรณีท่ีอาคารมีประเภทการออกแบบต้านทานแผ่นดินไหวแบบ ค หรือ ง และมีความ
ไม่สมา่ เสมอของรปู ทรงโครงสร้างในแนวระนาบแบบ 1ก หรือ 1ข ค่า  จะเป็นค่าการเคลื่อนตัวสัมพัทธ์ท่ี
เกดิ ขึ้น ณ ขอบดา้ นใดดา้ นหนง่ึ ของอาคาร ณ ชั้นที่พิจารณาทม่ี คี ่ามากทีส่ ดุ

2.11.2 การโก่งตวั ในระนาบของไดอะแฟรม
การโกง่ ตัวในระนาบของไดอะแฟรมท่เี กิดจากแผน่ ดนิ ไหวสาหรบั ออกแบบจะต้องมีค่าไม่เกินค่าการ

โก่งตัวท่ียอมรับได้ (Permissible Deflection) ขององค์อาคารท่ียึดติดกับไดอะแฟรมน้ัน ค่าการโก่งตัวท่ี
ยอมรับได้นี้ คือ ค่าการโก่งตัวท่ีองค์อาคารน้ันยังสามารถคงความสมบูรณ์เชิงโครงสร้าง ( Structural
Integrity) และยังสามารถต้านทานแรงต่าง ๆ ทก่ี ระทาตอ่ องค์อาคารนั้นไดต้ ามที่ออกแบบไว้

2.11.3 การแยกส่วนของอาคารและการเวน้ ระยะห่างจากอาคารขา้ งเคยี ง
ทุก ๆ ส่วนของโครงสร้างอาคารจะตอ้ งได้รับการออกแบบและกอ่ สรา้ งให้ยึดโยงกัน และเคลื่อนตัว

ไปดว้ ยกันเม่ือถกู แรงแผ่นดินไหวกระทา เวน้ แตต่ ้องการออกแบบให้อาคารมีโครงสร้างแยกส่วนกัน ในกรณี

_________________________________________________________________________

มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารตา้ นทานการสน่ั สะเทอื นของแผ่นดนิ ไหว หน้าที่ 61

ฉบบั ปรบั ปรุงคร้ังท่ี 1

น้ันจะต้องเว้นระยะห่างระหว่างส่วนของอาคารที่แยกกัน ให้มากเพียงพอที่จะป้องกันมิให้เกิดการกระแทก
กัน

ระยะหา่ งระหว่างส่วนของอาคารที่แยกกัน จะต้องมากกว่าค่าการเคลื่อนตัวตัวสูงสุด M  ซ่ึงค่า

M นี้เป็นค่าที่ตาแหน่งสาคัญ ๆ ที่อาคารอาจเกิดการกระแทกกันได้ การคานวณค่า M น้ี จะต้อง
คานงึ ถึงการโยกตวั และบิดตวั ของโครงสร้างทร่ี วมถงึ ผลการขยายแรงบดิ โดยบังเอิญ โดยใช้สมการต่อไปนี้

M  Cdmax (2.11-1)
I

โดยที่ max คอื คา่ การเคลอื่ นตวั แบบอลี าสตกิ สูงสุดทีจ่ ุดทอี่ าจจะเกิดการกระแทก

ระยะหา่ งระหว่างอาคารทพ่ี ิจารณากับอาคารขา้ งเคียง จะตอ้ งมีคา่ มากกวา่ คา่ MT ที่คานวณได้จาก

MT  M1 2  M 2 2 (2.11-2)

โดยที่ M1 และ M2 คือ ค่าการเคล่ือนตัวแบบอีลาสติกสูงสุดของอาคารท่ีพิจารณาและของอาคาร
ข้างเคียง ณ ตาแหนง่ ทอ่ี าจเกดิ การกระแทกกนั ได้

ในกรณีท่ีอยู่ชิดเขตที่ดินข้างเคียง อาคารจะต้องอยู่ห่างจากเขตท่ีดินข้างเคียงไม่น้อยกว่าค่า M

อน่ึงการคานวณค่าระยะห่างระหว่างอาคาร สามารถหาจากการคานวณโดยใช้วิธีวิเคราะห์การตอบสนอง
แบบไม่เชงิ เสน้ แทนได้

โดยให้ระยะหา่ งน้ีจะตอ้ งมีคา่ มากกว่าผลรวมการเคลอื่ นตวั สูงสุดของโครงสร้างแต่ละส่วนที่คานวณ
ดว้ ยวิธใี นหัวข้อ 3.7

2.11.4 องค์อาคารทพี่ าดอยรู่ ะหวา่ งสองอาคาร
จดุ ตอ่ เพอื่ รบั แรงในแนวดิ่งขององค์อาคารที่พาดอยู่ระหว่างสองอาคาร หรือพาดกับส่วนโครงสร้าง

ทแ่ี ยกออกจากกัน ต้องออกแบบให้สามารถรองรับการเคล่ือนตัวสัมพัทธ์สูงสุดที่จะเกิดข้ึน โดยคานวณจาก
ขอ้ 1 ถงึ 4 ดังน้ี

(1) การเคล่ือนตวั สมั พทั ธ์จากสมการที่ 3.7-1 คณู ด้วย 1.5R / Cd

(2) การเคล่ือนตวั ทีเ่ กดิ จากการบดิ ตัวของโครงสร้าง ทรี่ วมคา่ การขยายแรงบิดโดยบงั เอิญ
(3) การโกง่ ตวั ของไดอะแฟรม
(4) ผลรวมของค่าสัมบูรณ์ของการเคล่ือนตัวโดยสมมุติว่าโครงสร้างเคลื่อนท่ีในทิศทาง

ตรงกนั ขา้ ม

_________________________________________________________________________

หนา้ ที่ 62 มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารตา้ นทานการสัน่ สะเทอื นของแผน่ ดนิ ไหว

ฉบบั ปรับปรุงคร้ังท่ี 1

2.11.5 ความสอดคลอ้ งของการเคลอื่ นตัวดา้ นข้าง
ในกรณีที่อาคารมีประเภทการออกแบบอาคารตา้ นทานแผน่ ดนิ ไหวแบบ ง ทุกองค์อาคารท่ีมิได้เป็น

ส่วนหนึ่งของระบบโครงสร้างต้านแรงแผ่นดินไหวจะต้องได้รับการออกแบบให้สามารถรับน้าหนักบรรทุก
แนวด่ิงรว่ มกับแรงภายในองค์อาคารท่เี กิดจากเคลื่อนตัวสมั พัทธร์ ะหว่างชนั้ เท่ากบั 

องค์อาคารของระบบโครงอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กท่ีมิใช่ส่วนหนึ่งของระบบโครงสร้างต้านแรง
แผน่ ดนิ ไหวจะตอ้ งได้รบั การออกแบบใหเ้ ปน็ ไปตามข้อกาหนดในหัวข้อ 18.14 ของมาตรฐาน ACI318-14

ตารางที่ 2.11-1 การเคล่อื นตัวสมั พัทธร์ ะหว่างชั้นทยี่ อมให้ a 

ลกั ษณะโครงสร้าง ประเภทความสาคัญของอาคาร

I หรอื II III IV

โครงสร้างท่ไี ม่ใช่ผนงั อิฐกอ่ รับแรงเฉอื นและสูงไม่เกิน 4 ช้ัน ซึ่งผนังภายใน 0.025 hsx 0.020 hsx 0.015 hsx

ฉากก้นั หอ้ ง ฝ้าเพดาน และผนังภายนอกถูกออกแบบใหส้ ามารถทนต่อการ
เคลอ่ื นตัวสมั พทั ธ์ระหว่างชั้นไดม้ าก

โครงสรา้ งกาแพงอฐิ ก่อรบั แรงเฉอื นแบบยน่ื จากฐานรองรบั 0.010 hsx 0.010 hsx 0.010 hsx

โครงสร้างกาแพงอิฐกอ่ รับแรงเฉือนแบบอื่น ๆ 0.007 hsx 0.007 hsx 0.007 hsx

โครงสรา้ งอ่ืน ๆ ทัง้ หมด 0.020 hsx 0.015 hsx 0.010 hsx

หมายเหตุ

1) hsx คอื ความสงู ระหวา่ งช้ันทอ่ี ยูใ่ ตพ้ ืน้ ช้นั ท่ี x

2) อาคารชน้ั เดียวที่มีผนังภายใน ฉากกัน้ ห้อง ฝ้าเพดาน และผนังภายนอกท่ีถูกออกแบบใหส้ ามารถทนตอ่ การเคลอื่ นตวั สัมพัทธร์ ะหวา่ งชน้ั ได้
มาก จะมีการเคล่ือนตวั สัมพัทธร์ ะหวา่ งชั้นเท่าใดกไ็ ดไ้ ม่จากัด แต่ยงั คงตอ้ งพิจารณาการเวน้ ระยะห่างระหวา่ งโครงสรา้ งตามหวั ข้อที่ 2.11.3

3) โครงสร้างกาแพงอิฐก่อรับแรงเฉือนแบบยื่นจากฐานรองรับ หมายถึง อาคารที่ถูกออกแบบให้ใช้กาแพงอิฐก่อรับแรงเฉือนเป็นช้ินส่วน
โครงสร้างในแนวด่ิงซึ่งยื่นขึ้นมาจากฐานรองรับ และถูกก่อสร้างในลักษณะท่ีมีถ่ายโมเมนต์ดัดและแรงเฉือนระหว่างกาแพงข้างเคียง
(แบบ Coupling Beam) นอ้ ยมาก

2.12 การออกแบบฐานราก
การคานวณแรงแผ่นดินไหวท่ีกระทาตอ่ ฐานราก ใช้แรงเฉือนท่ีฐานอาคารเช่นเดียวกับการออกแบบ

โครงสร้างส่วนบนตามทก่ี าหนดในหัวข้อวิธีแรงสถิตเทียบเท่าและวิธีเชิงพลศาสตร์ ทั้งนี้ จะต้องออกแบบให้
ฐานรากอาคารสามารถต้านทานแรงกระทาจากผลรวมน้าหนักบรรทุกแนวด่ิงและแรงแผ่นดินไหวไ ด้
โดยการพิจารณาแรงแผน่ ดนิ ไหวทั้งสองทศิ ทางทีต่ งั้ ฉากกนั ตามท่ีแสดงในหวั ข้อ 2.6

2.12.1 การรวมน้าหนักบรรทุกแนวด่ิงและผลของแรงแผน่ ดินไหวกระทาต่อฐานราก
การคานวณน้าหนักบรรทุกในแนวด่ิงและโมเมนต์ดัดที่กระทาต่อฐานราก เน่ืองจากผลของแรง

แผ่นดนิ ไหว ใช้การรวมน้าหนักบรรทุกสาหรบั การออกแบบดว้ ยวิธีกาลงั ตามท่แี สดงในหัวขอ้ 2.5.2

_________________________________________________________________________

มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารตา้ นทานการสนั่ สะเทือนของแผ่นดินไหว หน้าที่ 63

ฉบับปรับปรุงครงั้ ท่ี 1

สาหรับแรงเฉอื นในแนวราบที่กระทาต่อฐานรากเนือ่ งจากผลของแรงแผน่ ดินไหว ให้คานวณจากผล
ของแรงเฉือนท่ีได้จากกรณีการรวมน้าหนักบรรทุกสูงสุด ซึ่งคูณด้วยค่าตัวประกอบกาลังส่วนเกินของ
โครงสร้าง (Overstrength Factor, o ) โดยใช้การรวมน้าหนักบรรทุกสาหรับการออกแบบด้วยวิธีกาลัง
ตามที่แสดงในหัวข้อ 2.5.3 ยกเว้นในกรณีท่ีทาการคานวณแรงเฉือนท่ีรวมผลของค่าตัวประกอบกาลัง
สว่ นเกนิ ของโครงสร้างไปแล้ว ไม่ต้องคณู ด้วยค่าตัวประกอบกาลังสว่ นเกนิ ของโครงสรา้ งนี้ซ้าอกี

2.12.2 การตรวจสอบฐานราก
การออกแบบฐานรากจะต้องมีการตรวจสอบกาลังรับน้าหนักบรรทุก ความสามารถต้านทานการ

เล่อื นไถลและโมเมนต์พลิกคว่าซ่ึงมีผลต่อเสถียรภาพของฐานราก และจะต้องออกแบบให้สามารถต้านทาน
แรงเฉือนและโมเมนต์ดัดทกี่ ระทาต่อฐานรากเนื่องจากผลของแรงแผน่ ดินไหว ดงั นี้

2.12.2.1 การตรวจสอบกาลังรับน้าหนกั บรรทุกของฐานรากแผ่และฐานรากเสาเข็ม
กรณีการออกแบบฐานรากแผ่และฐานรากเสาเข็ม ฐานรากจะต้องสามารถรับน้าหนักบรรทุกจาก
กรณีการรวมน้าหนักบรรทุกสูงสุดเนื่องจากผลรวมน้าหนักบรรทุกแนวดิ่งและแรงแผ่นดินไหวสาหรับการ
ออกแบบด้วยวิธีกาลัง ซ่ึงอาจเป็นแรงกดหรือแรงถอน ท้ังนี้กาลังแบกทานของดินใต้ฐานรากหรือกาลังรับ
นา้ หนักของเสาเขม็ คานวณไดจ้ ากคุณสมบตั ขิ องดนิ ด้วยหลกั การทางปฐพีกลศาสตร์

2.12.2.2 การตรวจสอบการเลือ่ นไถลและการพลิกคว่าของฐานราก
ฐานรากจะตอ้ งสามารถต้านทานตอ่ การเล่อื นไถลเนือ่ งจากผลของแรงแผ่นดินไหว โดยแรงต้านทาน
ของฐานรากคานวณจากผลรวมของแรงเสียดทานของดินท่ีรองรับฐานราก แรงดันดินด้านข้าง (Passive
Earth Pressure) ตลอดความหนาของฐานราก และกาลังต้านทานแรงด้านข้างของเสาเข็ม สาหรับค่าแรง
เสยี ดทานของดนิ คานวณไดจ้ ากคา่ สมั ประสทิ ธแ์ิ รงเสยี ดทานของดนิ แสดงในตารางที่ 2.12-1

ตารางท่ี 2.12-1 สมั ประสิทธแ์ิ รงเสียดทานสาหรับฐานรากคอนกรีตบนวสั ดุดนิ รองรบั ฐานราก

วสั ดดุ นิ รองรบั ฐานราก สมั ประสทิ ธิ์แรงเสยี ดทาน

หนิ แน่นสะอาด 0.7

กรวดสะอาด กรวดผสมทราย ทรายหยาบ 0.55-0.60

ทรายหยาบ ดนิ ตะกอนปนทรายหยาบ กรวดปนดนิ เหนียว 0.45-0.55

ทรายละเอยี ด ทรายละเอียดปนดินเหนียว 0.35-0.45

ดนิ ตะกอนปนทรายละเอยี ด 0.30-0.35

ดนิ เหนียวแขง็ มาก 0.40-0.50

ดนิ เหนียวแขง็ ปานกลาง ดินเหนียวปนดินตะกอน 0.30-0.35

_________________________________________________________________________

หนา้ ที่ 64 มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารตา้ นทานการสน่ั สะเทอื นของแผน่ ดนิ ไหว

ฉบับปรบั ปรุงครงั้ ท่ี 1

ฐานรากจะต้องสามารถต้านทานโมเมนต์พลิกคว่า (Overturning Moment) จากแรงแผ่นดินไหว
โดยโมเมนต์ต้านทานการพลิกคว่าคานวณได้จากผลรวมของโมเมนต์ต้านทานของน้าหนักบรรทุกรวม
ท่กี ระทาลงฐานรากและโมเมนตต์ ้านทานจากแรงต้านทานการถอนของเสาเข็ม

2.12.2.3 การตรวจสอบกาลังตา้ นทานแรงเฉือนของเสาตอม่อและเสาเขม็
เสาตอม่อของฐานรากจะต้องสามารถต้านทานแรงเฉือนในแนวราบและโมเมนต์ดัดท่ีกระทาต่อ
ฐานรากจากผลของแรงแผ่นดินไหว สาหรับกาลังต้านทานแรงเฉือนของเสาตอม่อ คานวณจากกาลังของ
คอนกรีตและเหล็กปลอกที่โอบรัดเสา ทั้งนี้ รายละเอียดเหล็กปลอกในเสาตอม่อใช้ตามข้อกาหนด
เช่นเดียวกับการออกแบบเสาโครงสร้าง นอกจากน้ี เสาเข็มจะต้องมีการออกแบบให้สามารถต้านทานแรง
เฉอื นในแนวราบทกี่ ระทาตอ่ ฐานรากเนือ่ งจากผลของแรงแผ่นดนิ ไหวเช่นเดยี วกัน
สาหรับการออกแบบความหนาและปริมาณเหล็กเสริมของฐานราก พิจารณาจากแรงเฉือนและ
โมเมนต์ดัดที่ได้จากกรณีการรวมน้าหนักบรรทุกสูงสุดเนื่องจากผลรวมน้าหนักบรรทุกแนวดิ่งและแรง
แผ่นดินไหว
ในกรณีที่ใช้วิธีหน่วยแรงท่ียอมให้ในการคานวณออกแบบฐานราก ให้ใช้วิธีการรวมน้าหนักบรรทุก
และการตรวจสอบฐานรากเช่นเดียวกับวิธีการตามท่ีแสดงในหัวข้อ 2.12 น้ีได้ โดยใช้ค่าความปลอดภัย
ท่ีเหมาะสม

2.12.3 การยดึ ต่อระหว่างฐานราก
ในกรณีที่อาคารมีประเภทการออกแบบตา้ นทานแผ่นดนิ ไหว ประเภท ค หรือ ง ฐานรากจะต้องถูก

ยดึ โยงกนั ด้วยคานยดึ (Tie Beam) ซ่งึ จะตอ้ งออกแบบให้มีกาลังต้านทานแรงดึงหรือแรงอัดในแรงแนวแกน
เท่ากับร้อยละ 10 ของผลคูณค่าความเร่งตอบสนองเชิงสเปกตรัม SDS กับผลรวมน้าหนักบรรทุกปรับค่า

ดงั น้ี

P  0.10SDSWu (2.12-1)

โดยท่ี P คือ แรงแนวแกนเปน็ แรงอัดหรือแรงดงึ ในคานยึด (นวิ ตนั )
SDS คือ ค่าความเรง่ ตอบสนองเชงิ สเปกตรัมสาหรบั การออกแบบที่คาบการส่ัน 0.2 วนิ าที
Wu คือ ผลรวมของน้าหนักบรรทุกคงท่ีปรับค่าและน้าหนักบรรทุกจรปรับค่าที่กระทาลง
ฐานราก (นวิ ตัน)

ขนาดความกว้างของหน้าตัดคานยึดต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของระยะห่างสุทธิระหว่างฐานราก
แต่ไม่จาเป็นต้องมากกว่า 0.45 เมตร และมีการให้รายละเอียดเหล็กเสริมในคานยึดให้มีความเหนียว
ตามขอ้ กาหนดเช่นเดยี วคานของโครงสรา้ งสว่ นบน

นอกจากน้ี อาจเลอื กการออกแบบคานคอดนิ ให้สามารถทาหน้าทีแ่ ทนคานยึดได้

_________________________________________________________________________

มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารตา้ นทานการสนั่ สะเทอื นของแผน่ ดนิ ไหว หนา้ ท่ี 65

ฉบบั ปรับปรุงคร้งั ท่ี 1

_________________________________________________________________________

หน้าท่ี 66 มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารต้านทานการส่นั สะเทอื นของแผน่ ดนิ ไหว

ฉบับปรบั ปรุงครั้งท่ี 1

บทท่ี 3
วิธีแรงสถติ เทียบเทา่

3.1 ทั่วไป
วิธแี รงสถิตเทียบเท่ามีขอบเขตการใช้ออกแบบอาคารดังท่ีกาหนดไว้ในหัวข้อ 2.7 วิธีนี้เริ่มจากการ

คานวณหาค่าแรงสถิตเทียบเท่าในรูปของแรงเฉือนที่ฐานอาคาร (Seismic Base Shear, V ) จากนั้นจึง
กระจายแรงไปยังช้ันต่าง ๆ ของอาคาร แรงที่เกิดขึ้นภายในองค์อาคารต่าง ๆ เน่ืองจากแรงสถิตเทียบเท่า
ที่กระทาร่วมกับน้าหนักบรรทุกในแนวด่ิงของอาคารจะเป็นแรงที่เหมาะสมสาหรับการนาไปใช้ออกแบบ
กาลังต้านทานขององค์อาคารเหล่าน้ี และใช้หาค่าการเคล่ือนตัว นอกจากนี้ค่าการเคล่ือนตัวของโครงสร้าง
เนอื่ งจากแรงสถติ เทยี บเทา่ เมอื่ ถูกนาไปปรบั แก้ด้วยตวั ประกอบขยายค่าการโก่งตวั จะเป็นค่าการเคล่ือนตัว
และการโก่งตวั สูงสุดทีจ่ ะเกดิ ข้นึ เนื่องจากแผน่ ดินไหวสาหรบั การออกแบบ

3.2 แรงเฉอื นที่ฐานอาคาร
แรงเฉือนที่ฐานอาคาร (Seismic Base Shear, V ) คานวณจาก

V  CSW (3.2-1)

โดยท่ี CS คือ สัมประสิทธิผ์ ลตอบสนองแรงแผน่ ดนิ ไหว
W คอื น้าหนกั โครงสร้างประสิทธผิ ลของอาคาร ตามท่ีกาหนดในหัวขอ้ ที่ 2.8.2

3.2.1 การคานวณค่าสัมประสทิ ธ์ิผลตอบสนองแรงแผ่นดินไหว
สมั ประสิทธิ์ผลตอบสนองแรงแผน่ ดนิ ไหว Cs  คานวณจาก

CS  Sa  I  (3.2-2)
 R 

โดยท่ี Sa คือ ค่าความเร่งตอบสนองเชิงสเปกตรัมสาหรับการออกแบบ ที่คาบการสั่นพื้นฐานของ
อาคาร T  จากรปู ที่ 1.4-1 รปู ท่ี 1.4-2 หรอื รูปที่ 1.4-6 ถึง 1.4-7
R
I คอื ตัวประกอบปรบั ผลตอบสนอง ตามท่กี าหนดในหวั ขอ้ ท่ี 2.3.1
คือ ตัวประกอบความสาคัญของอาคาร ตามที่กาหนดในหัวข้อที่ 1.5

และ CS จะต้องมีค่าไม่นอ้ ยกว่า 0.01

_________________________________________________________________________

มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารตา้ นทานการสน่ั สะเทอื นของแผ่นดินไหว หนา้ ที่ 67

ฉบบั ปรบั ปรุงครง้ั ท่ี 1

3.3 การคานวณคา่ คาบการสนั่ พื้นฐาน
ค่าคาบการสั่นพ้ืนฐาน (Fundamental Period, T ) ในทิศทางแกนหลักของอาคาร สามารถ

คานวณได้โดยวิธีดงั ตอ่ ไปน้ี

วิธี ก
คาบการสั่นพน้ื ฐาน (หนว่ ยเปน็ วินาที) สามารถคานวณจากสตู รการประมาณคา่ ดงั นี้

อาคารคอนกรตี เสริมเหล็ก T  0.02H (3.3-1)
อาคารโครงสร้างเหล็ก T  0.03H (3.3-2)

โดยที่ H คอื ความสูงของอาคารวดั จากพนื้ ดนิ มหี น่วยเป็นเมตร

วิธี ข
คาบการสน่ั พนื้ ฐาน (หนว่ ยเป็นวนิ าท)ี สามารถคานวณจากลักษณะการกระจายมวล (หรือน้าหนัก)

ภายในอาคาร และสติฟเนสของระบบโครงสร้างต้านแรงด้านข้างของอาคาร ด้วยวิธีการวิเคราะห์
ที่เหมาะสม และค่าคาบการสั่นพน้ื ฐานทค่ี านวณไดจ้ ากวิธี ข. จะต้องไม่เกิน 1.5 เท่าของค่าท่ีคานวณได้จาก
วธิ ี ก.
ค่าคาบการส่ันพนื้ ฐาน อาจคานวณจากสมการดังนี้

 n
 wi 2 (3.3-3)
i

T  2 i 1

n

g Fii 
i 1

โดยท่ี Fi คอื แรงสถติ เทยี บเทา่ ทีก่ ระทาต่อชั้นท่ี i (นวิ ตนั )

i คือ การเคลื่อนตัวในแนวราบของอาคารที่ชั้นท่ี i ไม่รวมผลของการบิด ณ ตาแหน่ง

g ศูนย์กลางมวลของช้ันทีเ่ กิดจากแรงสถิตเทียบเทา่ (เมตร)
n คือ ความเร่งเนื่องจากแรงโนม้ ถว่ งโลก (เมตร/วนิ าที2)
wi คือ จานวนช้ันของอาคาร
คอื นา้ หนักโครงสร้างประสิทธผิ ลของชน้ั ท่ี i (นวิ ตัน)

3.4 การกระจายแรงเฉือนท่ีฐานเป็นแรงกระทาทางด้านขา้ งต่ออาคารในช้นั ตา่ ง ๆ (3.4-1)
แรงสถติ เทียบเทา่ ทก่ี ระทาต่ออาคาร ณ ช้ันใด ๆ ในแนวราบ Fx  คานวณจาก

Fx  CvxV

_________________________________________________________________________

หน้าที่ 68 มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารต้านทานการสั่นสะเทือนของแผน่ ดนิ ไหว

ฉบบั ปรับปรงุ ครงั้ ท่ี 1

และ Cvx  wx hxk (3.4-2)

n
 wihik
i 1

โดยที่ Cvx คอื ตัวประกอบการกระจายในแนวดง่ิ

wi และ wx คือ น้าหนกั โครงสร้างประสิทธผิ ลของชั้น i และ x ตามลาดบั

hi และ hx คอื ความสงู ทรี่ ะดับช้นั i และ x ตามลาดบั

k คือ ค่าสัมประสิทธิ์ที่กาหนดรปู แบบการกระจายแรง ซ่งึ มคี า่ ดังน้ี

k  1.0 เมื่อ T  0.5 วนิ าที
k 1 T  0.5 เมื่อ 0.5  T  2.5 วนิ าที
เมอื่ T  2.5 วนิ าที
2
k  2.0

3.5 การกระจายแรงเฉอื นในแนวราบ
แรงเฉอื น ณ ชั้นใด ๆ ของอาคารทีเ่ กิดจากแรงสถติ เทยี บเท่า Vx  ใหค้ านวณจาก

n (3.5-1)

Vx  Fi
ix

แรงเฉือน ณ ชั้นใด ๆ Vx  จะกระจายไปยังองค์อาคารแนวดิ่งท่ีเป็นส่วนของโครงสร้างต้านแรง

ด้านขา้ งในชั้นท่พี ิจารณาตามสดั สว่ นสตฟิ เนสดา้ นขา้ งขององค์อาคารเหล่านนั้
ในกรณีทีไ่ ดอะแฟรมเปน็ แบบก่ึงแข็งการกระจายแรงน้ีจาเป็นต้องคานึงถึงสติฟเนสสัมพัทธ์ระหว่าง

ไดอะแฟรมกับองคอ์ าคารแนวดิ่งซึ่งทาหน้าท่ีต้านแรงด้านข้างด้วย

3.5.1 แรงบดิ จากลักษณะของโครงสร้าง
ในกรณีที่ไดอะแฟรมมิได้เป็นแบบไดอะแฟรมอ่อน การกระจายแรงเฉือน ณ ช้ันใด ๆ จะต้อง

พจิ ารณาถึงผลของแรงบดิ จากลกั ษณะโครงสร้าง (Inherent Torsion Moment, Mt ) ซงึ่ เกิดเน่ืองจากการ

ท่ีจุดศนู ยก์ ลางมวล (Center of Mass) อยู่เยอ้ื งจากจดุ ศนู ยก์ ลางของความแข็งเกร็ง (Center of Rigidity)
ในกรณีของไดอะแฟรมอ่อน การกระจายแรงเฉือน ณ ช้ันใด ๆ ไปสู่องค์อาคารแนวด่ิงที่ต้านแรง

ด้านข้างจะข้นึ กบั ตาแหนง่ และนา้ หนักบรรทกุ ที่องค์อาคารน้นั แบกรับอยู่

3.5.2 แรงบิดโดยบังเอิญ (Accidental torsion)
ในกรณีที่ไดอะแฟรมมิได้เป็นแบบไดอะแฟรมอ่อน การออกแบบอาคารต้านทานแผ่นดินไหว

จะต้องพิจารณาถึง ผลของแรงบิดจากลักษณะโครงสร้าง Mt  รวมกับแรงบิดโดยบังเอิญ (Accidental

Torsion, Mtn ) โดยท่ีแรงบิดโดยบังเอิญนี้สร้างขึ้นด้วยการสมมุติให้จุดศูนย์กลางมวล เยื้องออกจาก
ตาแหนง่ เดิม เป็นระยะทางร้อยละ 5 ของมติ ขิ องอาคารในทศิ ทางต้ังฉากกบั ทิศทางของแรงเฉือน

_________________________________________________________________________

มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารตา้ นทานการสน่ั สะเทอื นของแผ่นดนิ ไหว หน้าที่ 69

ฉบับปรบั ปรุงครง้ั ที่ 1

ในกรณีที่การออกแบบอาคารจาเป็นต้องพิจารณาผลรวมของแรงแผ่นดินไหวใน 2 ทิศทางหลัก
ทตี่ ง้ั ฉากกัน การย้ายศูนย์กลางมวลเพ่ือสร้าง Mta นี้ให้ทาเพียงทิศทางเดียว แต่ต้องเป็นทิศทางที่สร้างให้
เกดิ แรงบดิ โดยบงั เอญิ ที่รุนแรงกว่า

3.5.3 การขยายแรงบิดโดยบังเอิญ
ในกรณีที่อาคารมีประเภทการออกแบบต้านทานแผ่นดินไหวแบบ ค หรือ ง และมีความไม่

สมา่ เสมอของรูปทรงโครงสรา้ งในแนวระนาบ แบบ 1ก หรือ 1ข จะต้องขยายค่าแรงบิดโดยบังเอิญในทุก ๆ
ช้นั โดยการคณู Mta ดว้ ยตวั ประกอบขยายแรงบิดโดยบังเอญิ  Ax  ซง่ึ คานวณไดจ้ าก

Ax    max 2 (3.5-2)
 1.2 avg 

โดยที่ max คอื ค่าการเคลอื่ นทส่ี ูงสุดในแนวราบ ณ ชัน้ ท่ี x ท่ีคานวณโดยสมมตุ ิให้ Ax 1 (เมตร)
avg คอื ค่าเฉลย่ี ของการเคลื่อนทใ่ี นแนวราบท่ขี อบของอาคารทงั้ 2 ดา้ น ณ ช้ัน x ทค่ี านวณ
โดยสมมตุ ใิ ห้ Ax 1 (เมตร)
หากค่า Ax ท่ีคานวณจากสมการ 3.5-2 มคี ่ามากกว่า 3.0 ใหใ้ ช้ค่า Ax  3.0

ในกรณีของอาคารที่มีโครงอาคารแบบน้าหนักเบา (เช่นโครงสร้างไม้ หรือโครงเหล็กรีดเย็น)
ไม่จาเปน็ ตอ้ งเพ่มิ ค่าแรงบิดโดยบงั เอิญ

3.6 การพลกิ ควา่
อาคารจะต้องไดร้ ับการออกแบบใหท้ นต่อแรงสถิตเทยี บเท่าไดโ้ ดยไมเ่ กิดการพลิกควา่

3.7 การคานวณคา่ การเคล่อื นตัวสัมพัทธ์ระหวา่ งชนั้
ค่าการเคล่ือนตัวสัมพัทธ์ระหว่างชั้นที่เกิดจากแผ่นดินไหวสาหรับออกแบบ (Design Story Drift,

 ) คานวณจาก ผลต่างระหว่างการเคล่ือนตัวในแนวราบท่ีจุดศูนย์กลางมวลของช้ันบนและช้ันล่างท่ี
พจิ ารณา (รปู ที่ 3.7-1) โดยทก่ี ารเคลอื่ นตวั ในแนวราบทศี่ นู ย์กลางมวลของช้นั ใด ๆ x  คานวณจาก

x  Cd xe (3.7-1)
I

โดยที่ Cd คอื ตัวประกอบขยายคา่ การโก่งตัว ตามขอ้ กาหนดในหัวข้อท่ี 2.3
xe คือ ค่าการเคลอื่ นตวั ในแนวราบท่ีจดุ ศนู ยก์ ลางมวลของชนั้ x เนื่องจากแรงสถิตเทียบเท่าที่
ไดจ้ ากวธิ ีวเิ คราะห์โครงสรา้ งสาหรบั ระบบอลี าสติก
I คอื ตัวประกอบความสาคญั ของอาคารตามข้อกาหนดในหวั ข้อที่ 1.5

_________________________________________________________________________

หน้าที่ 70 มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารต้านทานการสั่นสะเทือนของแผน่ ดินไหว

ฉบบั ปรบั ปรุงครงั้ ท่ี 1

การวิเคราะห์โครงสร้างเพ่ือหาค่า xe จะต้องพิจารณาถึงผลของการแตกร้าวขององค์อาคาร

คอนกรีตและอิฐก่อที่มีต่อค่าสติฟเนสขององค์อาคารเหล่านั้น ตามข้อกาหนดในหัวข้อท่ี 2.8.3 ค่า  ที่
คานวณได้จะต้องมคี ่าไม่เกิน a ตามข้อกาหนดในหวั ข้อท่ี 2.11.1

ในกรณที ผ่ี ู้ออกแบบคานวณคา่ คาบการสั่นพ้ืนฐานของอาคารโดยใช้แบบจาลองโครงสร้างด้วยวิธี ข
ในหัวขอ้ ที่ 3.3 และได้ค่ามากกว่า 1.5 เท่าของค่าทคี่ านวณได้จากวิธี ก อนุญาตให้นาค่าคาบการสั่นพ้ืนฐาน
นั้นไปคานวณหาค่าแรงเฉือนท่ีฐานอาคารตามสมการท่ี 3.2-1 และ 3.2-2 และกระจายเป็นแรงตามชั้น
ต่าง ๆ ตามสมการท่ี 3.4-1 และ 3.4-2 แล้วนาแรงดังกล่าวไปแทนท่ีแรงสถิตเทียบเท่าในการคานวณหา
คา่ xe โดยใชแ้ บบจาลองนั้น ๆ

2 2 ระดบั ชนั้ ท่ี 2
F2 = แ2รงสถติ เทยี บเทา่ ทช่ี นั้ 2
F2
e2 F22e2== การเคลอ่ื นตวั อลิ 2าสตกิ เน่อื งจากแรง F2
Cde2222=e=2C/C(dId=eeI22e/2I=e=12ก)Cารdเ2ค/ Iลอ่ืนตaวั ทช่ี นั้
การเคลอ่ื นทีส่ ูงสุดทเี่ กิดจาก F2 = 2
แผน่ ดนิ ไหว e2 =

L2 2 =
2 = (รFeะ212ด==บั (ชแeนeัร้112งท)Cส่ี ถ1dติ /e1เI2)ทCยี dบ/เaทI า่ทช่ี aนั้ 1
การเคลอ่ื นที่อิลาสติกภายใต้
แรงสถิตย์เทยี บเท่า

F1 1 F11e1== การเคลอ่ื นตวั อลิ 1าสตกิ เน่อื งจากแรง F1
e1 F1 = 1e11 ==CCddIe1e1/ =ก1ารเคลอ่ื นตวั ทช่ี นั้
1 e1 = = 1

I

L1 1 = Cd1e1/I1 = 1 a
 2 = 11  a

2 = 1iiii==/LLกiaiา==รอเคตั ลรอ่ืานสว่ตนวั ขกอารงเชคนั้ ลทอ่ื ่ีนiตi วั ของiชนั้ ท่ี i i
i =
i / Li=ii==การเคลอ่ื นตวั สงู สดุ ของอาคาร 1i

รปู ท่ี 3.7-1 การพจิ ารณาค่าการเคล่อื นท่ดี i ้า=นขา้ งของชนั้ อาคาร 1

3.8 ผลของ P-Delta
ผลของ P-Delta (ซงึ่ เกดิ จากการเย้อื งตาแหน่งของนา้ หนักบรรทกุ แนวดิ่ง) ท่ีมีต่อแรงเฉือนในแต่ละ

ชั้น แรงและโมเมนต์ดัดในองค์อาคารต่าง ๆ และการเคล่ือนตัวสัมพัทธ์ระหว่างชั้น ไม่จาเป็นต้องนามา
พิจารณาในการออกแบบอาคารหากค่าสัมประสิทธิ์เสถียรภาพ (Stability Coefficient,  ) ที่คานวณจาก
สมการต่อไปนี้ มีค่าน้อยกว่าหรอื เทา่ กบั 0.1

  Px (3.8-1)
Vx hsxCd

_________________________________________________________________________

มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารตา้ นทานการสน่ั สะเทือนของแผ่นดนิ ไหว หนา้ ท่ี 71

ฉบบั ปรบั ปรงุ ครั้งที่ 1

โดยท่ี Px คือ ผลรวมของน้าหนักโครงสร้างประสิทธิผลของอาคาร (หัวข้อที่ 2.8.2) ท่ีระดับช้ัน x
และท่ีอยูเ่ หนอื ช้นั x ท้งั หมดรวมกนั

 คือ ค่าการเคลื่อนตัวสัมพัทธ์ระหว่างชั้น ณ ระดับช้ัน x ท่ีเกิดจากแผ่นดินไหวสาหรับ
ออกแบบ (หวั ขอ้ ท่ี 3.7)

Vx คือ แรงเฉือนในระดับระหว่างชั้น x และชั้น x 1 ท่ีเกิดจากแรงสถิตเทียบเท่า
(หวั ขอ้ ที่ 3.5)

hsx คือ ระยะความสงู ระหว่างช้ัน x กบั ชนั้ x 1
Cd คอื ตัวประกอบขยายคา่ การโก่งตัว ตามขอ้ กาหนดในหัวขอ้ ที่ 2.3

คา่  ที่คานวณไดไ้ มว่ า่ กรณีใด ๆ จะต้องมคี ่าไมเ่ กนิ max โดยท่ี

max  0.5 (3.8-2)
 Cd

โดยท่ี  คือ อัตราส่วนของแรงเฉือนที่เกิดข้ึนต่อกาลังต้านทานแรงเฉือนของอาคารท่ีระดับระหว่าง
ชั้น x และ x 1 ซ่ึงอาจกาหนดให้  1 เพ่ือเพ่ิมสัดส่วนความปลอดภัยให้กับการ
ออกแบบโครงสร้าง

หากคา่ max มีคา่ มากกว่า 0.25 ใหก้ าหนดค่า max เทา่ กับ 0.25

หากค่า  มีค่ามากกว่า 0.1 แต่น้อยกว่าหรือเท่ากับ max ผลของ P-Delta ที่มีต่อการเคลื่อนตัว
และแรงภายในองค์อาคารต่าง ๆ จะต้องถูกนามาพิจารณาในการออกแบบโครงสร้างอาคาร ในกรณี
ดงั กลา่ วอนุญาตให้ประมาณการเพ่ิมค่าการเคล่ือนตัวและแรงภายในองค์อาคารด้วยการคูณค่าเหล่าน้ันด้วย

1

1 

หากค่า  มีค่ามากกว่า max โครงสร้างมีโอกาสท่ีจะสูญเสียเสถียรภาพได้ จึงต้องทาการ
ออกแบบโครงสรา้ งใหม่

ในกรณีทกี่ ารวิเคราะหโ์ ครงสร้างได้รวมผลของ P-Delta เข้าไปแล้ว เช่น การวิเคราะห์ลาดับที่สอง
(Second-order Analysis) อนญุ าตใหน้ าคา่ 1  ไปหารค่า  ในสมการ 3.8-1 ก่อน แล้วจึงนาค่าท่ี

ได้ไปตรวจสอบกับคา่ max ในสมการ 3.8-2

_________________________________________________________________________

หน้าท่ี 72 มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารตา้ นทานการส่ันสะเทือนของแผน่ ดินไหว

ฉบบั ปรับปรุงคร้ังท่ี 1

บทที่ 4
การออกแบบโครงสร้างด้วยวิธีเชงิ พลศาสตร์

4.1 ทั่วไป
การวิเคราะห์โครงสร้างด้วยวิธีเชิงพลศาสตร์แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ (1) วิธีสเปกตรัมการ

ตอบสนองแบบโหมด ซึ่งเป็นการวิเคราะห์โครงสร้างแบบเชิงเส้น และ (2) วิธีแบบประวัติเวลา ซ่ึงแบ่งย่อย
ไดเ้ ปน็ การวเิ คราะหโ์ ครงสร้างแบบเชงิ เส้นและแบบไม่เชิงเส้น ในการใช้วิธีวิเคราะห์แบบไม่เชิงเส้นจะต้อง
ทราบความแข็งแรงของชน้ิ สว่ นโครงสร้างก่อนท่จี ะเริม่ ทาการวิเคราะห์ได้

ดังนั้นในการออกแบบเพื่อกาหนดความแข็งแรงของช้ินส่วนโครงสร้าง วิศวกรผู้ออกแบบสามารถ
เลือกใช้วธิ ีสเปกตรัมการตอบสนองแบบโหมด (Modal Response Spectrum Analysis) ตามหัวข้อท่ี 4.2
หรือ วิธีวิเคราะห์การตอบสนองของโครงสร้างเชิงเส้นแบบประวัติเวลา (Linear Response History
Procedure) ตามหัวข้อที่ 4.3 โดยวิธีแบบประวัติเวลาจะมีความถูกต้องสูงกว่าวิธีสเปกตรัมการตอบสนอง
แบบโหมด

วิธีวิเคราะห์การตอบสนองของโครงสร้างไม่เชิงเส้นแบบประวัติเวลา (Nonlinear Response
History Procedure) ตามหัวข้อที่ 4.4 ใช้ในกรณีที่ต้องการตรวจพิสูจน์สมรรถนะของโครงสร้างท่ีมีความ
ซับซ้อนหรือมคี วามสาคัญ ซึง่ เป็นวิธวี ิเคราะห์ทใี่ หค้ า่ การตอบสนองทใี่ กล้เคยี งกับความเป็นจริงมากท่ีสุดเม่ือ
เปรยี บเทยี บกับวิธอี ืน่ ๆ

4.2 วธิ สี เปกตรมั การตอบสนองแบบโหมด
ในการออกแบบด้วยวิธีสเปกตรัมการตอบสนองแบบโหมด (Modal Response Spectrum

Analysis) วิศวกรจะต้องทาการวิเคราะห์โครงสร้างเพื่อคานวณค่าคาบการส่ันและรูปร่างโหมดธรรมชาติ
ของการสน่ั ไหวของโครงสร้าง โดยใชแ้ บบจาลองอาคารท่ีจาลองมวลและสติฟเนสของโครงสร้างอาคารอย่าง
ถกู ตอ้ ง

สเปกตรัมการตอบสนองสาหรับการออกแบบท่ีใช้ในการวิเคราะห์วิธีสเปกตรัมการตอบสนองแบบ
โหมด จะต้องเป็นสเปกตรัมสาหรับอัตราส่วนความหน่วงสอดคล้องกับอัตราส่วนความหน่วงของอาคารท่ี
กาลงั ออกแบบนั้น

4.2.1 จานวนของโหมดที่ต้องพจิ ารณา
ในการวิเคราะห์จะต้องพิจารณารวมการตอบสนองจากหลายโหมด โดยจานวนโหมดที่พิจารณา

จะต้องเพียงพอที่จะทาให้ผลรวมของน้าหนักประสิทธิผลเชิงโหมด (Effective Modal Weight, or Modal
Weight Participation) มีค่าไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของน้าหนักประสิทธิผลท้ังหมดของอาคาร สาหรับ

_________________________________________________________________________

มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารตา้ นทานการสน่ั สะเทือนของแผ่นดินไหว หน้าท่ี 73

ฉบบั ปรบั ปรุงครงั้ ท่ี 1

แต่ละทิศทางของแผ่นดินไหวในแนวราบที่ตั้งฉากกัน โดยท่ีน้าหนักประสิทธิผลเชิงโหมดสาหรับโหมดท่ี
m Wm  สามารถคานวณไดจ้ ากสมการท่ี 4.2-1 ในกรณที ีว่ ิเคราะหแ์ บบ 2 มติ ิ

Wm  n im wi 2 (4.2-1)
 
 i 1
n
2
im wi

i 1

โดยที่ im คอื ค่าการเคลอ่ื นตัวดา้ นขา้ งของระดับชัน้ ท่ี i ของอาคารที่เกิดในโหมดที่ m ในทิศทางที่
พจิ ารณา (คา่ นห้ี าได้จากรูปรา่ งโหมดธรรมชาตขิ องการสัน่ ไหวของโครงสร้าง)

wi คอื น้าหนกั โครงสร้างประสทิ ธผิ ลของชนั้ ท่ี i ตามที่กาหนดในหวั ข้อที่ 2.8.2 และ
n คือ จานวนช้นั ทงั้ หมดของอาคาร

4.2.2 การคานวณค่าการตอบสนองแต่ละโหมด
การคานวณคา่ การตอบสนอง เช่น การเคลอื่ นตัวสมั พัทธ์ระหว่างชั้น (Story Drifts) แรงที่ถ่ายลงสู่

ฐานราก (Support Reaction Forces) หรือแรงภายในขององค์อาคาร (Member Forces) สาหรับแต่ละ
โหมดจะต้องคานวณโดยใช้คุณสมบัติเชิงพลศาสตร์ของแต่ละโหมด และใช้สเปกตรัมการตอบสนองท่ี
กาหนดในหวั ขอ้ ท่ี 1.4.5 ซ่งึ เป็นการตอบสนองสงู สดุ ของระบบยืดหย่นุ เชิงเส้น

ค่าแรงภายในที่ใช้สาหรับออกแบบกาลังความแข็งแรงของชิ้นส่วนโครงสร้าง ยกเว้นค่าแรงเฉือน
สาหรับการออกแบบชิ้นส่วนโครงสร้างแนวด่ิงเป็นรายช้ินส่วน ให้ใช้ค่าการตอบสนองสูงสุดของระบบ

ยืดหยุ่นเชิงเส้นในแต่ละโหมดคูณด้วย I โดยที่ R คือ ตัวประกอบปรับผลตอบสนอง (Response

R

Modification Factor) และ I คือ ตัวประกอบความสาคัญ (Important Factor) ของอาคาร (ตารางท่ี
2.3-1 และ 1.5-1 ตามลาดับ) เชน่ สมการท่ี 4.2-2 และ 4.2-9

ในทีน่ ีห้ ากคานวณแรงเฉือนรวมทฐ่ี าน (Total Base Shear) ซงึ่ รวมผลจากหลายโหมดดว้ ยวธิ รี ากที่
สองของผลรวมของค่ากาลังสอง (Square Root of Sum of Squares, SRSS) หรือวธิ ีการรวมแบบสมบูรณ์

ของค่ากาลังสอง (Complete Quadratic Combination, CQC) โดยทุกโหมดถูกคูณด้วย I จะได้

R

คา่ แรงเฉือนทฐี่ านจากการวเิ คราะห์เชงิ พลศาสตร์ (Total Base Shear, Vt ) สาหรับใช้ในการคานวณตัวคูณ
ปรับคา่ SF  ในหวั ขอ้ 4.2.4 ยกตัวอย่างเช่น ถ้าใช้วิธีรวมผลจากหลายโหมดด้วยวิธี SRSS จะเป็นไปตาม

สมการท่ี 4.2-2

Vt  I V2  V2  V2  (4.2-2)
R b,1e b,2e b,3e

โดยท่ี Vb,ie คอื แรงเฉอื นรวมท่ฐี านในโหมด i ของระบบยืดหย่นุ เชิงเส้น (Linear Elastic)

_________________________________________________________________________

หนา้ ท่ี 74 มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารต้านทานการส่นั สะเทอื นของแผน่ ดนิ ไหว

ฉบบั ปรบั ปรงุ คร้งั ที่ 1

ในกรณที ่ตี ้องการคานวณค่าแรงเฉือนสาหรบั การออกแบบชิน้ ส่วนโครงสร้างแนวด่ิงเป็นรายช้ินส่วน

(Individual Vertical Member) สาหรับโหมดแรกของการสั่นไหวในแต่ละทิศทางในแนวราบให้คูณค่า

แรงเฉือนสูงสุดของชิ้นส่วนน้ันในระบบยืดหยุ่นเชิงเส้นด้วย SF I0 โดยท่ี 0 คือ ตัวประกอบกาลัง

R

ส่วนเกิน (ตารางท่ี 2.3-1) และ SF คือ ตัวคูณปรับค่าตามหัวข้อ 4.2.4 สาหรับโหมดอื่น ๆ ให้คูณค่า

แรงเฉือนสงู สุดของช้ินส่วนน้ันในระบบยืดหยุ่นเชิงเส้นด้วย I จากน้ันรวมค่าการตอบสนองของทุกโหมดท่ี

พิจารณาด้วยวิธีรากท่ีสองของผลรวมของค่ากาลังสอง (SRSS) ตามสมการที่ 4.2-3 หรือวิธีการรวมแบบ

สมบูรณ์ของค่ากาลังสอง (CQC) ตามหัวข้อ 4.2.3 จะได้ค่าแรงเฉือนท่ีต้องต้านทานเพ่ือใช้ในการออกแบบ

กาลังรับแรงเฉือนของชน้ิ สว่ นโครงสร้างแนวดงิ่ น้ัน

V I  SF 0V1e 2  V22e  V32e  (4.2-3)
 R 

โดยที่ V1e,V2e, และ V3e คือ แรงเฉือนในระบบยืดหยุ่นเชิงเส้นในโหมดท่ี 1, 2, และ 3 ตามลาดับ วิธีการ
คานวณนี้เรียกว่า Modified Response Spectrum Analysis (MRSA) ซ่ึงเป็นการปรับวิธีการคานวณแรง
เฉือนที่ต้องต้านทานให้การออกแบบมีความปลอดภัยโดยพิจารณาแรงเฉือนเนื่องจากโหมดสูงเป็นแบบ
ยดื หยนุ่ เชิงเสน้

ในการออกแบบแรงเฉอื นในเสาท่ีต้องใช้ตัวประกอบกาลังส่วนเกิน ค่าจากสมการที่ 4.2-3 ถือว่าได้
คณู ตวั ประกอบกาลังส่วนเกินแล้วจึงไม่ต้องคูณตัวประกอบกาลังส่วนเกินซ้าอีก หรือ ในหัวข้อ 5.2.7.2.2 ที่
กาหนดให้คูณค่าแรงเฉือนเป็นสองเท่า ค่าจากสมการที่ 4.2-3 ไม่ต้องคูณสองอีก หรือ ในหัวข้อ 5.2.11.3
สาหรับกาแพงคอนกรีตท่ีมีความเหนียวพิเศษและคานยึดควบ ค่าจากสมการท่ี 4.2-3 ให้ถือว่าเป็น
แรงเฉอื นท่ใี ช้ในการออกแบบ (Ve ) โดยไม่ต้องคานวณแรงเฉือนตามสมการท่ี 5.2-18ก อกี

ในการคานวณแรงภายในอ่ืนนอกเหนือจากแรงเฉือนสาหรับการออกแบบช้ินส่วน เช่นโมเมนต์ดัด

ให้ใชค้ า่ I คณู ผลตอบสนองแบบยดื หยนุ่ เชิงเสน้ ของทกุ โหมดได้ ดังสมการที่ 4.2-9

R

การเคลือ่ นตวั และการเคลอ่ื นตวั สมั พัทธร์ ะหว่างช้ันท่ีประมาณว่าจะเกิดขึ้นจริง ซ่ึงพิจารณาผลของ
การตอบสนองแบบอินอีลาสติก คานวณได้จากการเคล่ือนตัวและการเคล่ือนตัวสัมพัทธ์ระหว่างชั้นภายใต้

แรงทีใ่ ช้ออกแบบกาลงั ความแข็งแรงของชน้ิ ส่วนโครงสรา้ ง (ค่าการเคลื่อนตัวที่คูณด้วย I แล้ว) คูณด้วยค่า

R

Cd ซึ่งเทียบเท่ากับค่าการเคล่ือนตัวของระบบยืดหยุ่นเชิงเส้นคูณด้วย Cd ค่าการเคล่ือนตัวสัมพัทธ์

IR

ระหวา่ งช้ันท่ีประมาณวา่ จะเกดิ ขนึ้ จรงิ เป็นคา่ ทีใ่ ชใ้ นการตรวจสอบตามหวั ข้อ 2.11.1

  Cd 2   2  2  (4.2-4)
R 1e 2e 3e

_________________________________________________________________________

มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารตา้ นทานการสนั่ สะเทอื นของแผ่นดินไหว หน้าที่ 75

ฉบับปรบั ปรงุ คร้งั ท่ี 1

  Cd 12e  22e  32e  (4.2-5)
R

โดยที่ 1e,2e, และ 3e คอื การเคลื่อนตวั ในระบบยดื หยุน่ เชงิ เส้นในโหมดท่ี 1, 2, และ 3 ตามลาดับ และ
1e,2e,และ 3e คือ การเคล่ือนตัวสัมพัทธ์ระหว่างช้ันในระบบยืดหยุ่นเชิงเส้นในโหมดท่ี 1, 2, และ 3
ตามลาดับ

4.2.3 การรวมคา่ การตอบสนองจากหลายโหมด
ค่าการตอบสนองสูงสดุ ของโครงสร้างหาได้จากการรวมค่าการตอบสนองจากหลายโหมดที่คานวณ

ตามหัวข้อ 4.2.2 เข้าด้วยกันโดยใช้วิธีรวมการตอบสนองที่เหมาะสม เช่น วิธีรากท่ีสองของผลรวมของค่า
กาลงั สอง (Square Root of Sum of Squares, SRSS) ดังสมการที่ 4.2-6

N (4.2-6)

ro  rn2o
n1

โดยท่ี ro คือ ค่าการตอบสนองรวม, rno คือ ค่าการตอบสนองสูงสุดของโหมดท่ี n , และ N คือ จานวน

โหมดท่พี ิจารณา
หรือวิธีการรวมแบบสมบูรณ์ของค่ากาลังสอง (Complete Quadratic Combination, CQC) ดัง

สมการที่ 4.2-7

NN (4.2-7)

 ro  inriorno
i1 n1

โดยที่ ro คือ ค่าการตอบสนองรวม, rio และ rno คือ ค่าการตอบสนองสูงสุดของโหมดที่ i และ n
ตามลาดับ, N คือ จานวนโหมดท่ีพิจารณา และ in คือ สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (Correlation
Coefficient) ซ่งึ มีค่าดงั สมการที่ 4.2-8

8  i (in i  ) 3 2 (4.2-8)
in
in  n n

(1 2 )2  4 i n in (1  2 )  4( 2   2 )i2n
in in i n

โดยท่ี i และ n คืออัตราส่วนความหน่วงของโหมดที่ i และ n ตามลาดับ และ in คืออัตราส่วน
ระหวา่ งค่าคาบการสนั่ ไหว in  Tn Ti 

โดยทั่วไปสามารถใช้วิธี SRSS ยกเว้นเมื่อโครงสร้างมีคาบการสั่นของสองโหมดมีค่าใกล้เคียงกัน
(อัตราส่วนระหว่างค่าคาบการสั่นไหวของสองโหมด in ท่ี i  n มีค่าระหว่าง 0.67 ถึง 1.5 ) ต้องใช้วิธี
CQC เช่น ในกรณีที่คาบการส่ันของโหมดการโยกตัวมีค่าใกล้เคียงกับคาบการส่ันของโหมดการบิดตัวของ
อาคาร ซ่ึงทาให้มกี ารปฏสิ มั พนั ธ์ระหว่างการตอบสนองของท้ังสองโหมดอยา่ งมีนัยสาคัญ

_________________________________________________________________________

หน้าที่ 76 มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารตา้ นทานการสั่นสะเทือนของแผน่ ดินไหว

ฉบับปรับปรุงครง้ั ท่ี 1

ในการใช้วิธี CQC คานวณแรงเฉือนสาหรับออกแบบชิ้นส่วนโครงสร้างแนวดิ่งตามสมการท่ี 4.2-7

ให้ใช้คา่ แรงเฉือนในโหมดท่ี 1 ด้วย r1o  SF 0IV1e และค่าแรงเฉือนในโหมดอ่ืนท่ีสูงกว่าโหมดท่ี 1 ด้วย
R

rio  IVie เม่อื i  2,3,... ซึ่งแรงเฉอื นในโหมดสงู จะใช้ค่าแบบยดื หยุ่นเชิงเส้นตามวิธี Modified RSA

4.2.4 การปรบั ค่าการตอบสนองเพอ่ื ใช้ในการออกแบบ

แรงภายในท่ีใช้ในการออกแบบจากวิธีเชิงพลศาสตร์ไม่ควรต่ากว่าแรงภายในที่ใช้ในการออกแบบ

ด้วยวธิ ีแรงสถิตเทียบเทา่ มากเกินไป ดงั นั้นจงึ ให้คานวณแรงเฉอื นที่ฐาน (Base Shear, V ) ด้วยวิธีแรงสถิต

เทียบเท่า (Equivalent Lateral Force Procedure) ตามวิธีในบทที่ 3 โดยคานวณแรงสาหรับแต่ละ

ทิศทางที่ตั้งฉากกันในแนวราบ และใช้ค่าคาบการสั่นพ้ืนฐานของโครงสร้าง (Fundamental Period, T )

ท่คี านวณไดจ้ ากการวเิ คราะหเ์ ชิงพลศาสตร์ในแต่ละทิศทาง

หากค่าคาบการสั่นท่ีคานวณได้จากวิธีเชิงพลศาสตร์มีค่ามากกว่า 1.5 เท่าของค่าคาบการสั่น

ทีค่ านวณไดจ้ ากสมการที่ 3.3-1 หรือ 3.3-2 ให้กาหนดค่าคาบการสั่นพ้ืนฐานของโครงสร้างเท่ากับ 1.5 เท่า

ของคา่ คาบการสนั่ ที่คานวณได้จากสมการที่ 3.3-1 หรือ 3.3-2 ในทิศทางน้ัน ๆ ข้อกาหนดนี้มีวัตถุประสงค์

เพือ่ ป้องกนั ไมใ่ ห้ใชค้ ่าแรงเฉอื นที่ตา่ เกินไปเพราะโดยทวั่ ไปค่าคาบการสน่ั พื้นฐานของโครงสร้าง ที่คานวณได้

จากการวิเคราะห์เชิงพลศาสตร์มักจะมีค่ามากกว่าคาบการสั่นพื้นฐานที่คานวณได้จากสมการท่ี 3.3-1 หรือ

3.3-2 เนื่องจากแบบจาลองคณิตศาสตร์อาจจะไม่ได้พิจารณาสติฟเนสจากส่วนประกอบย่อยของอาคาร

ครบทุกชิน้ ส่วน

หากค่าแรงเฉือนท่ีฐานจากการวิเคราะห์เชิงพลศาสตร์ (Modal Base Shear, Vt ) ซึ่งคานวณจาก
การรวมการตอบสนองของโหมดต่าง ๆ ตามสมการท่ี 4.2-2 มีค่าน้อยกว่า 85% ของค่าแรงเฉือนที่ฐาน

(Base Shear, V ) ทไี่ ด้จากวิธแี รงสถติ เทียบเท่าข้างต้น ใหป้ รับค่าแรงภายในที่ใชใ้ นการออกแบบด้วยวิธีเชิง

พลศาสตร์โดยคูณด้วยตัวประกอบปรับค่า (Scaling Factor) SF  0.85 V ทั้งนี้ไม่ต้องคูณปรับค่าการ
Vt

เปลี่ยนตาแหน่งของพ้ืน (Floor Displacements) และการเคล่ือนตัวสัมพัทธ์ระหว่างชั้น (Story Drifts) ที่

ได้จากการวิเคราะห์เชิงพลศาสตร์ ยกตัวอย่างการคานวณโมเมนต์ดัดซึ่งมีการคูณปรับค่าด้วย SF ดัง
สมการที่ 4.2-9

M  SF I M1e2  M 2  M3e2  (4.2-9)
R 2e

โดยท่ี M1e, M2e,และ M3e คอื โมเมนตด์ ัดในระบบยดื หยุ่นเชงิ เสน้ ในโหมดท่ี 1, 2, และ 3 ตามลาดับ

_________________________________________________________________________

มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารตา้ นทานการสน่ั สะเทือนของแผน่ ดนิ ไหว หนา้ ท่ี 77

ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1

4.2.5 การกระจายแรงเฉอื นในแนวราบ
การกระจายแรงเฉือนในแนวราบให้เป็นไปตามหัวข้อท่ี 3.5 โดยไม่ต้องคูณขยายโมเมนต์บิดโดย

บังเอิญ (หัวข้อท่ี 3.5.3) หากได้พิจารณาผลกระทบจากโมเมนต์บิดโดยบังเอิญ (หัวข้อที่ 3.5.2) รวมอยู่ใน
การวิเคราะห์เชิงพลศาสตร์แล้ว

การพิจารณาโมเมนต์บิดโดยบังเอิญในการวิเคราะห์เชิงพลศาสตร์ให้ทาโดยขยับจุดศูนย์กลางมวล
ให้เคลื่อนไปจากเดิมเป็นระยะ 0.05 เท่าของความยาวอาคารด้านท่ีต้ังฉากกับทิศทางแผ่นดินไหวที่กาลัง
พิจารณา โดยแยกพิจารณาแต่ละกรณีของการขยับไปทั้งสองทิศทางไปและกลับ ตามแนวแกนหลักของ
โครงสร้างท้ังสองแกนท่ีตั้งฉากกันในแนวราบ รวม 4 กรณี แล้วใช้ค่าที่วิกฤตท่ีสุดจากทุกกรณีในการ
ออกแบบ

ในกรณที โี่ ปรแกรมช่วยคานวณคานงึ ถึงผลของแรงบดิ โดยบังเอิญดว้ ยการใชผ้ ลของแรงและโมเมนต์
บิดแบบสถิตเพิ่มเติมเข้าไปในผลการวิเคราะห์เชิงพลศาสตร์โดยมิได้ทาการขยับตาแหน่งจุดศูนย์กลางมวล
ของแบบจาลองโครงสร้างก่อนทาการคานวณโหมดการสั่นไหวและวิเคราะเชิงพลศาสตร์ วิศวกรยังคง
จาเปน็ ตอ้ งคูณขยายค่าโมเมนต์บิดโดยบังเอญิ ตามหัวข้อท่ี 3.5.3

4.2.6 ผลของ P-Delta

การพจิ ารณาผลของ P-Delta ให้เป็นไปตามหัวข้อ 3.8 ซึ่งคานวณค่า  ตามสมการที่ 3.8-1 โดย
ใช้ค่าแรงเฉือนและค่าการเคล่ือนตัวสัมพัทธ์ระหว่างชั้นท่ีสอดคล้องกันซึ่งได้จากการคานวณภายใต้วิธีแรง

สถิตเทียบเทา่ ตามหวั ข้อ 3.7

หากการวิเคราะห์ได้คานึงถึงผลของ P-Delta แล้ว เช่น การพิจารณาความไม่เชิงเส้นแบบ

เรขาคณิต (Geometric Nonlinearity) หรือ การวิเคราะห์อันดับสอง (Second-order Analysis) ไม่ต้อง

คณู ขยายค่าผลตอบสนองดว้ ยอตั ราส่วน 1 แตย่ งั คงตอ้ งตรวจสอบว่า  จะต้องมคี ่าไมเ่ กนิ max

1 

4.2.7 การตรวจสอบความเครียดรวมเนือ่ งจากแรงตามแนวแกนและโมเมนตด์ ัดในกาแพงรับแรงเฉอื น
ในการออกแบบกาลังต้านทานโมเมนต์ดัดของกาแพงรับแรงเฉือน โดยใช้ค่าโมเมนต์ดัดท่ีต้อง

ต้านทานตามสมการท่ี 4.2-9 มีสมมติฐานว่าช้ินส่วนโครงสร้างมีความเหนียวจึงยอมให้มีกาลังต้านทานต่า
กว่าแรงที่เกิดขึ้นแบบอิลาสติก ในการออกแบบจึงต้องตรวจสอบความเครียดท่ีอาจจะเกิดขึ้นจริง หาก
ตาแหนง่ ใดมคี วามเครยี ดเกินขดี จากัดของการครากดึงของเหลก็ เสริมหรือใกล้จะเกิดการประลัยแบบอัดของ
คอนกรีต กล่าวคือความเครียดมีคา่ เกิน 0.002 จะต้องมีการเสริมเหล็กปลอกพิเศษให้ช้ินส่วนมีความเหนียว
ในบริเวณน้ัน ตามข้อกาหนดการให้รายละเอียดความเหนียวในบทที่ 5 ซ่ึงการครากอาจเกิดขึ้นที่ตาแหน่ง
อื่นตามความสูงของกาแพงรับแรงเฉือนนอกเหนือจากบริเวณฐาน จึงต้องตรวจสอบการครากโดยการ
ตรวจสอบความเครยี ดท่จี ะเกิดข้นึ ซง่ึ อาจใชว้ ธิ แี บบประมาณ ดงั น้ี

_________________________________________________________________________

หน้าท่ี 78 มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารตา้ นทานการสน่ั สะเทอื นของแผน่ ดนิ ไหว

ฉบับปรับปรงุ ครั้งท่ี 1

ความเครียดดงึ t  P M (c  1 clong ) (4.2-10)
Ec Ag Ec Ieff 3

ความเครียดอัด c  P M (c  1 clong ) (4.2-11)
Ec Ag Ec Ieff 3

โดยท่ี c,t คือ คา่ ความเครียดอัดและความเครียดดงึ ของกาแพงตามลาดบั ,
คอื ค่าโมเมนต์ดัดและแรงอัดตามแนวแกนของกาแพงตามลาดับ ซึ่งคานวณได้จาก
M,P
การวิเคราะห์ RSA แบบยืดหยุ่นเชิงเส้น (ไม่มีการคูณหรือหารด้วยตัวประกอบ
c ตา่ ง ๆ เช่น SF ,0, I, R ) และรวมผลของแผ่นดินไหวกับน้าหนักบรรทุกแนวด่ิง
clong ที่ปรับค่าแล้ว (Factored Gravity Load) แรงตามแนวแกนแบบอัดให้มีค่า
Ag เป็นลบ
คอื ระยะจากแกนสะเทินแบบอิลาสติกถึงตาแหน่งท่ีต้องการคานวณความเครียด
Ec คอื ระยะจากแกนสะเทินแบบอลิ าสตกิ ถึงขอบของหน้าตดั ชน้ิ ส่วนด้านท่ีไกลกวา่
Ieff
คอื พน้ื ท่หี น้าตัดทง้ั หมดของกาแพง

คือ ค่าโมดูลสั ยืดหยุ่นของคอนกรีต และ
คอื ค่าโมเมนตข์ องความเฉื่อยประสิทธิผลท่ีปรับลดค่าเนื่องจากการแตกร้าวของหน้า

ตัดคอนกรีต (Effective Moment of Inertia of Cross-Sectional Area) ซึ่งมี
ค่าตามตารางที่ 6.6.3.1.1(b) ในมาตรฐาน ACI 318-14

4.3 วิธวี ิเคราะหก์ ารตอบสนองเชงิ เส้นแบบประวัติเวลา
เม่ือใช้วิธีวิเคราะห์การตอบสนองของโครงสร้างเชิงเส้นแบบประวัติเวลา (Linear Response

History Procedure) ในการออกแบบโครงสรา้ ง ให้ปฏบิ ัตติ ามขอ้ กาหนดดังต่อไปน้ี

4.3.1 ขอ้ กาหนดสาหรบั การวเิ คราะห์
การวิเคราะห์โครงสร้างเชงิ เส้นแบบประวตั ิเวลาเปน็ การวิเคราะหห์ าการตอบสนองท่ีทุกขณะเวลาที่

เกิดการส่ันไหวของโครงสร้างท่ีถูกกระตุ้นด้วยความเร่งของพ้ืนดินที่ฐานอาคาร โดยการคานวณปริพันธ์เชิง
ตวั เลข (Numerical Integration) ในการวเิ คราะห์จะต้องมีการสร้างแบบจาลองทางคณิตศาสตร์แบบเชิง
เส้นของโครงสร้าง และต้องมีข้อมูลประวัติเวลาความเร่งของพ้ืนดินท่ีใช้กระทาที่ฐานอาคาร โดยข้อมูล
ประวตั เิ วลาความเร่งของพ้ืนดินจะต้องสอดคล้องกับสเปกตรัมการตอบสนองที่ใช้ในการออกแบบ ซึ่งข้ึนอยู่
กับตาแหนง่ ที่ต้ังของอาคาร รายละเอียดของการวิเคราะหจ์ ะต้องสอดคลอ้ งกับข้อกาหนดในหวั ข้อ 4.3 น้ี

4.3.2 แบบจาลองของโครงสรา้ ง
แบบจาลองทางคณิตศาสตร์จะต้องเป็นไปตามข้อกาหนดในหวั ขอ้ 2.8

_________________________________________________________________________

มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารตา้ นทานการสนั่ สะเทอื นของแผน่ ดินไหว หน้าท่ี 79

ฉบบั ปรับปรงุ ครั้งที่ 1

4.3.3 การสนั่ ไหวของพื้นดิน
การวิเคราะห์จะตอ้ งใชป้ ระวัติเวลาความเร่งของพ้ืนดิน (Ground Acceleration Time Histories)

ท่ีเหมาะสมกระทาทีฐ่ านอาคารไม่น้อยกว่า 3 ชุด และวิเคราะห์หาการตอบสนองของอาคารต่อแผ่นดินไหว
แตล่ ะชดุ โดยการส่นั ไหวของพนื้ ดินที่ใชจ้ ะต้องสอดคล้องกบั ขอ้ กาหนดต่อไปน้ี

4.3.3.1 การวเิ คราะหแ์ บบ 2 มติ ิ
ในการวิเคราะห์แบบ 2 มิติ ให้ใช้การสั่นไหวของพ้ืนดินแต่ละชุดเป็นประวัติเวลาของความเร่งใน
แนวราบซ่ึงเลือกจากข้อมูลท่ีบันทึกได้จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวจริง (Actual Recorded Ground
Motion) โดยเป็นเหตุการณ์แผ่นดินไหวท่ีมีขนาด กลไกของแหล่งกาเนิด ระยะห่างจากแหล่งกาเนิด
และระดับความรุนแรงของการส่ันไหว สอดคล้องกับแผ่นดินไหวรุนแรงสูงสุดที่พิจารณาในการออกแบบ
(Maximum Considered Earthquake, MCE)
หากมีจานวนชุดข้อมูลการส่ันไหวของพ้ืนดินที่บันทึกได้จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวจริงไม่เพียงพอ
อนุญาตให้ใช้การส่ันไหวของพ้ืนดินท่ีสร้างข้ึนจากสถานการณ์จาลอง (Simulated Ground Motion)
มาทดแทนจานวนการสน่ั ไหวของพ้นื ดนิ ท่ีไมเ่ พยี งพอ
การส่ันไหวของพ้ืนดินจะต้องถูกคูณปรับค่าด้วยค่าคงที่ โดยต้องทาให้ค่าเฉล่ียของสเปกตรัมการ
ตอบสนองมคี า่ ไม่ตา่ กวา่ สเปกตรมั การตอบสนองทใ่ี ช้ในการออกแบบ ที่มีอัตราส่วนความหน่วงเดียวกันและ
สอดคล้องกับอัตราส่วนความหน่วงของอาคารที่กาลังออกแบบตลอดช่วงคาบการสั่นระหว่าง 0.2T ถึง
1.5T โดยที่ T คอื คา่ คาบการส่ันพ้นื ฐานของโครงสรา้ งในทศิ ทางท่ที าการวิเคราะห์

4.3.3.2 การวเิ คราะหแ์ บบ 3 มติ ิ
ในการวิเคราะห์แบบ 3 มิติ การสั่นไหวของพ้ืนดินท่ีใช้ในการวิเคราะห์แต่ละชุดจะต้อง
ประกอบด้วยคู่ของความเร่งของพ้ืนดินในแนวราบสองทิศทางท่ีตั้งฉากกัน ซึ่งบันทึกได้จากเหตุการณ์
แผ่นดินไหวเดียวกันที่สถานีเดียวกัน โดยจะต้องเลือกการสั่นไหวของพ้ืนดินจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่มี
ขนาด กลไกของแหล่งกาเนิด ระยะห่างจากแหล่งกาเนิด และระดับความรุนแรงของการสั่นไหว สอดคล้อง
กบั แผ่นดนิ ไหวรนุ แรงสงู สดุ ที่พิจารณาในการออกแบบ
หากมีจานวนชุดข้อมูลการส่ันไหวของพื้นดินที่บันทึกได้จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวจริงไม่เพียงพอ
อนุญาตให้ใช้การสั่นไหวของพื้นดินท่ีสร้างข้ึนจากสถานการณ์จาลอง (Simulated Ground Motion)
มาทดแทนจานวนข้อมลู การส่ันไหวของพน้ื ดนิ ที่ไมเ่ พยี งพอ
สาหรับแต่ละชุดข้อมูลการสั่นไหวของพื้นดินซึ่งประกอบด้วยความเร่งของพ้ืนดินในแนวราบ
สองทิศทาง จาเปน็ ตอ้ งมกี ารพจิ ารณาตัวคณู ปรับคา่ ความเร่งของพน้ื ดนิ ในแต่ละทิศทาง ดงั น้ี
1. ให้คานวณสเปกตรมั รวมของความเรง่ ของพ้นื ดนิ ในแนวราบสองทิศทาง สาหรับแต่ละชุดข้อมูล

การส่ันไหวของพ้ืนดิน ด้วยวิธี SRSS ซึ่งเป็นค่ารากท่ีสองของผลรวมของค่ายกกาลังสอง

_________________________________________________________________________

หนา้ ที่ 80 มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารต้านทานการสน่ั สะเทือนของแผน่ ดนิ ไหว

ฉบับปรับปรงุ คร้ังที่ 1

(Square Root of Sum of Squares) ของสเปกตรัมการตอบสนองสาหรับสองทิศทางนั้นที่
ทุกคาบการส่นั สาหรบั อัตราสว่ นความหนว่ งของอาคารทก่ี าลังออกแบบ
2. คานวณคา่ เฉล่ียของสเปกตรมั รวม ท่ีไดจ้ ากข้อ 1
3. ความเร่งของพื้นดินท้ังสองทิศทางในแต่ละชุดต้องถูกคูณปรับค่าด้วยค่าคงที่เดียวกัน โดยการ
คูณปรับคา่ จะตอ้ งทาใหค้ ่าเฉลี่ยของสเปกตรมั รวมทไี่ ดจ้ ากข้อ 2 มคี า่ ไมน่ ้อยกว่า 1.17 เท่าของ
สเปกตรัมสาหรับออกแบบ (หัวข้อท่ี 1.4.5) ท่ีทุกคาบการส่ันระหว่าง 0.2T ถึง 1.5T โดยท่ี
T คอื ค่าคาบการสนั่ พนื้ ฐานของโครงสร้างในทศิ ทางที่ทาการวเิ คราะห์

4.3.3.3 การส่นั ไหวของพ้ืนดินทางเลอื กใหม่ (Alternative Ground Motion)
นอกจากการใช้ชุดข้อมูลการส่ันไหวของพ้ืนดินตามหัวข้อ 4.3.3.1 และ 4.3.3.2 อนุญาตให้ใช้ชุด
ขอ้ มลู การส่นั ไหวของพ้นื ดนิ ตามแนวทางเลือกใหม่อีกสองแบบ โดยเลอื กแบบใดกไ็ ด้ คือ
1) การส่ันไหวของพ้ืนดินที่ถูกปรับแต่งให้มีรูปร่างสเปกตรัมการตอบสนองใกล้เคียงกับสเปกตรัม
การตอบสนองสาหรับการออกแบบ (หัวข้อ 1.4.5) ในช่วงคาบการสั่นระหว่าง 0.2T ถึง 1.5T โดยท่ี T
คือ คา่ คาบการส่นั พืน้ ฐานของโครงสรา้ งในทิศทางท่ที าการวิเคราะห์ ชุดข้อมูลการส่ันไหวของพ้ืนดินในกรณี
นี้เรียกว่า Uniform Hazard Spectral (UHS) Matching Ground Motions หากใช้ในการวิเคราะห์แบบ
3 มิติให้ใช้อย่างน้อย 3 ชุดข้อมูลการส่ันไหวของพ้ืนดินโดยแต่ละชุดประกอบด้วยคู่ของความเร่งของพ้ืนดิน
ในแนวราบสองทิศทางทต่ี ้ังฉากกัน ซ่ึงบนั ทึกได้จากเหตกุ ารณแ์ ผ่นดนิ ไหวเดยี วกันทีส่ ถานีเดียวกัน
ท้ังน้ีการส่ันไหวของพ้ืนดินแต่ละชุดก่อนนามาทาการปรับแต่งเป็นประวัติเวลาของความเร่งใน
แนวราบท่ีถูกคัดเลือกมาจากข้อมูลท่ีบันทึกได้จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวจริง (Actual Recorded Ground
Motion) โดยเป็นเหตุการณ์แผ่นดินไหวท่ีมีขนาด กลไกของแหล่งกาเนิด ระยะห่างจากแหล่งกาเนิด และ
ระดับความรุนแรงของการส่ันไหว สอดคล้องกับแผ่นดินไหวรุนแรงสูงสุดที่พิจารณาในการออกแบบ
(Maximum Considered Earthquake, MCE)
2) การส่ันไหวของพื้นดินที่ถูกคัดเลือกมาจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวท่ีมีขนาด กลไกของแหล่งกาเนิด
ระยะห่างจากแหล่งกาเนิด และระดับความรุนแรงของการสั่นไหว สอดคล้องกับแผ่นดินไหวรุนแรงสูงสุดที่
พจิ ารณาในการออกแบบ (Maximum Considered Earthquake, MCE) หลายลักษณะ เนื่องจากลักษณะ
เหตุการณ์ที่มีผลกระทบต่อโครงสร้างคาบยาว (โหมดพื้นฐาน) และคาบสั้น (โหมดสูง ๆ) อาจมาจาก
เหตุการณ์ท่ีมีลักษณะแตกต่างกนั เช่น แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ระยะไกลจะมีผลกระทบต่อโครงสร้างคาบยาว
ในขณะที่แผ่นดินไหวขนาดเล็กระยะใกล้จะมีผลกระทบต่อโครงสร้างคาบสั้น ชุดข้อมูลการสั่นไหวของ
พ้ืนดินที่เหมาะสมแก่การวิเคราะห์โครงสร้างที่มีคาบแตกต่างกัน เรียกว่า Conditional Mean Spectrum
(CMS) Ground Motions ซึ่งคาบของโครงสร้างที่กาลังพิจารณา เรียกว่า Conditioned Period ซึ่งในกรณี

_________________________________________________________________________

มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารตา้ นทานการสนั่ สะเทอื นของแผ่นดินไหว หนา้ ที่ 81

ฉบบั ปรับปรงุ คร้ังที่ 1

น้ีสามารถใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลการส่ันไหวของพื้นดินเพื่อการออกแบบอาคารของกรมโยธาธิการและผัง
เมอื ง

ในการใช้ชุดข้อมูลการส่ันไหว CMS ให้พิจารณาใช้ข้อมูลอย่างน้อย 3 กลุ่ม ซึ่งสองกลุ่มแรก
สอดคล้องกับคาบ Conditioned Period ท่ี 0.2 และ 3 วินาที กลุ่มท่ีเหลือสอดคล้องกับคาบ
Conditioned Period ที่คาดว่าจะทาให้โครงสร้างมีการตอบสนองท่ีวิกฤตท่ีสุด ในแต่ละกลุ่มให้
ประกอบด้วยข้อมูลการส่ันไหวของพื้นดิน 3 ชุดเป็นอย่างน้อย ซึ่งแต่ละชุดประกอบด้วยคู่ของความเร่งของ
พ้ืนดินในแนวราบสองทิศทางท่ตี ง้ั ฉากกนั ซง่ึ บนั ทึกได้จากเหตกุ ารณ์แผ่นดินไหวเดียวกนั ท่ีสถานีเดียวกัน แต่
ละข้อมูลการส่ันไหวถูกคูณปรับค่าให้ค่าสเปกตรัมการตอบสนองที่คาบท่ีกาลังพิจารณา (Conditioned
Period) มีค่าเท่ากับสเปกตรัมการตอบสนองสาหรับการออกแบบ (หัวข้อ 1.4.5) ท่ีคาบ Conditioned
Period นน้ั ๆ

ในการนาค่าการตอบสนองไปใช้ในการออกแบบหรือตรวจสอบเทียบกับเกณฑ์ที่ยอมให้ ให้
พจิ ารณาผลท่เี กิดจากการใช้ชุดข้อมูลการส่ันไหว CMS ท่ีสอดคล้องกับ Conditioned Period หลาย ๆ ค่า
เพอ่ื ใหค้ รอบคลุมลกั ษณะเหตกุ ารณ์แผ่นดนิ ไหวหลายแบบท่ีจะมีผลกระทบต่อโหมดพ้ืนฐานและโหมดอ่ืน ๆ
ทสี่ ูงข้ึนไป และให้นาค่าการตอบสนองสูงสุดจากการใช้ชุดข้อมูลการส่ันไหว CMS ท่ี Conditioned Period
ตา่ ง ๆ ไปพิจารณา

4.3.4 คา่ การตอบสนอง
ค่าแรงภายในท่ีใช้สาหรับออกแบบกาลังความแข็งแรงของชิ้นส่วนโครงสร้างยกเว้นแรงเฉือนใน

ชิ้นส่วนโครงสร้างแนวดิ่ง เช่น เสาหรือกาแพง ให้ใช้ค่าการตอบสนองสูงสุดของระบบยืดหยุ่นเชิงเส้นคูณ

ด้วย I โดยท่ี R คือ ตัวประกอบปรับผลตอบสนอง และ I คือ ตัวประกอบความสาคัญของอาคาร

R

(ตารางท่ี 2.3-1 และ 1.5-1 ตามลาดับ)

ในกรณที ต่ี ้องการคานวณคา่ แรงเฉือนสาหรับการออกแบบช้ินส่วนโครงสรา้ งแนวดิ่งเป็นรายชิ้นส่วน

(individual member) สาหรับโหมดแรกของการส่ันไหวในแต่ละทิศทางในแนวราบให้คูณค่าแรงเฉือนใน

ช้ินส่วนนั้นในระบบยืดหยุ่นเชิงเส้นด้วย SF I0 โดยท่ี 0 คือ ตัวประกอบกาลังส่วนเกิน (ตารางท่ี
R

2.3-1) และ SF คือ ตวั คณู ปรับค่าตามหวั ขอ้ 4.3.4 ข้างล่างนี้ สาหรับโหมดอ่ืน ๆ ให้คูณค่าแรงเฉือนสูงสุด

ของชิน้ ส่วนนน้ั ในระบบยืดหยนุ่ เชิงเส้นดว้ ย I จากนั้นรวมค่าการตอบสนองของทุกโหมดท่ีพิจารณาด้วยวิธี

แบบประวัติเวลา จะได้ค่าแรงเฉือนท่ีต้องต้านทานเพ่ือใช้ในการออกแบบกาลังรับแรงเฉือนขององค์อาคาร

แนวด่งิ นัน้

V t   I  SF 0V1e t   V2e t   V3e t    (4.3-1)
 R 
 

_________________________________________________________________________

หนา้ ที่ 82 มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารตา้ นทานการสนั่ สะเทือนของแผน่ ดนิ ไหว

ฉบับปรบั ปรงุ คร้ังท่ี 1

ในการออกแบบแรงเฉือนในเสาที่ต้องใช้ตัวประกอบกาลังส่วนเกิน ค่าจากสมการที่ 4.3-1 ถือว่าได้
คูณตัวประกอบกาลังส่วนเกินแล้วจึงไม่ต้องคูณตัวประกอบกาลังส่วนเกินซ้าอีก หรือ ในหัวข้อ 5.2.7.2.2
ทีก่ าหนดให้คูณค่าแรงเฉือนเปน็ สองเท่า ค่าจากสมการท่ี 4.3-1 ไม่ต้องคณู สองอีก

ในการรวมผลของแรงเพ่ือการออกแบบท่ีมีการพิจารณาผลของกาลังส่วนเกิน (Overstrength
Factor ในหัวข้อ 2.5) ไม่ต้องใช้ค่า 0 QE มากกว่าแรงภายในช้ินส่วนโครงสร้างสูงสุดท่ีได้จากการ

วเิ คราะห์ระบบยดื หยนุ่ เชิงเสน้ (ก่อนคูณดว้ ย I )

R

การเคล่ือนตัวและการเคล่ือนตัวสัมพัทธ์ระหว่างช้ันที่ใช้ในการตรวจสอบตามเกณฑ์ในหัวข้อ
2.11.1 ให้ใช้ค่าการเคล่ือนตัวของระบบยืดหยุ่นเชิงเส้นที่วิเคราะห์ได้จากวิเคราะห์การตอบสนองของ

โครงสรา้ งเชงิ เสน้ แบบประวตั ิเวลา (LRHA) คณู ดว้ ย Cd

R

ถ้าทาการวิเคราะห์โดยใช้การส่ันไหวของพ้ืนดินไม่น้อยกว่า 7 ชุด อนุญาตให้ใช้ค่าเฉล่ียของแรง
ภายในชิ้นส่วนโครงสร้าง QEi เนื่องจากการสั่นไหวของพื้นดินทุกชุด ในการออกแบบตามการรวมผลของ
แรงในหวั ขอ้ 2.5 และอนุญาตใหใ้ ช้ค่าเฉล่ียของการเคลื่อนตัวสัมพัทธ์ระหว่างชั้น i เน่ืองจากการส่ันไหว
ของพ้ืนดินทุกชุด ในการตรวจสอบตามหัวข้อ 2.11.1 หากใช้การสั่นไหวของพ้ืนดินตามหัวข้อ 4.3.3.3(2)
ซง่ึ กาหนดใหใ้ ช้ขอ้ มูลการสั่นไหวอย่างน้อย 3 กลมุ่ ของชุดขอ้ มูล ใหท้ าการคานวณค่าเฉล่ียของผลตอบสนอง
ในแต่ละกลุ่ม CMS กอ่ น แลว้ จึงนาค่าเฉล่ียของกลุ่มท่ีใหค้ ่าเฉลย่ี สูงสุดไปใช้ในการออกแบบหรือตรวจสอบ

ถ้าทาการวิเคราะห์โดยใช้การส่ันไหวของพื้นดินน้อยกว่า 7 ชุด ต้องใช้ค่าสูงสุดของแรงภายใน
ช้นิ สว่ นโครงสรา้ ง QEi เนอื่ งจากการส่ันไหวของพน้ื ดินชดุ ตา่ ง ๆ ในการออกแบบตามการรวมผลของแรงใน
หัวข้อ 2.5 และให้ใช้ค่าสูงสุดของการเคลื่อนตัวสัมพัทธ์ระหว่างชั้น i เน่ืองจากการสั่นไหวของพื้นดินชุด
ตา่ ง ๆ ในการตรวจสอบตามหัวขอ้ 2.11.1

4.3.5 การปรับค่าการตอบสนองเพื่อใชใ้ นการออกแบบ

สาหรับการตอบสนองต่อการสั่นไหวของพื้นดินชุดที่ i ค่าแรงเฉือนรวมท่ีฐานสูงสุด (Total Base

Shear, Vi ) จากวิธีวิเคราะห์การตอบสนองของโครงสร้างเชิงเส้นแบบประวัติเวลา คูณด้วย I ทุกโหมด
R

แล้วจะต้องไม่น้อยกว่าค่าข้ันต่าสุดที่กาหนดไว้ในการออกแบบด้วยวิธีแรงสถิตเทียบเท่า Vmin  0.01W

โดยท่ี W คือน้าหนักประสิทธิผลของอาคาร ถ้าแรงเฉือนที่ฐาน Vi มีค่าน้อยกว่าแรงเฉือนขั้นต่า Vmin

จะตอ้ งคูณปรบั คา่ แรงเฉอื นที่ฐาน Vi และแรงภายในชน้ิ สว่ นโครงสร้าง QEi ด้วยค่า SF  Vmin
Vi

4.3.6 ผลของ P-Delta

ใหท้ าตามหวั ขอ้ 4.2.6

_________________________________________________________________________

มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารตา้ นทานการสน่ั สะเทอื นของแผ่นดินไหว หนา้ ท่ี 83

ฉบับปรับปรงุ ครั้งท่ี 1

4.3.7 การตรวจสอบความเครียดรวมเนื่องจากแรงตามแนวแกนและโมเมนต์ดัดในกาแพงรบั แรงเฉือน
ใหท้ าตามหัวขอ้ 4.2.7

4.4 วธิ ีวเิ คราะหก์ ารตอบสนองไมเ่ ชงิ เสน้ แบบประวตั ิเวลา
เม่อื ใช้วธิ ีวเิ คราะห์การตอบสนองของโครงสรา้ งไม่เชงิ เส้นแบบประวัติเวลา (Nonlinear Response

History Procedure) ให้ปฏิบัตติ ามขอ้ กาหนดดงั ตอ่ ไปน้ี

4.4.1 ข้อกาหนดสาหรบั การวิเคราะห์
การวิเคราะห์โครงสร้างไม่เชิงเส้นแบบประวัติเวลาเป็นการวิเคราะห์หาการตอบสนองที่ทุกขณะ

เวลาที่เกิดการสั่นไหวของโครงสร้างท่ีถูกกระตุ้นด้วยความเร่งของพ้ืนดินท่ีฐานอาคาร การวิเคราะห์ใช้
วิธีการคานวณปริพันธ์เชิงตัวเลข (Numerical Integration) โดยมีการจาลองพฤติกรรมไม่เชิงเส้นแบบ
วัฏจักรของวัสดุในโครงสร้างที่เกิดความเสียหายเกินจุดคราก ในการวิเคราะห์จะต้องมีข้อมูลประวัติเวลา
ความเรง่ ของพน้ื ดินทใ่ี ชก้ ระทาท่ฐี านอาคาร โดยข้อมูลประวัติเวลาความเร่งของพื้นดินจะต้องสอดคล้องกับ
สเปกตรัมการตอบสนองที่ใช้ในการออกแบบ ซ่ึงขึ้นอยู่กับตาแหน่งท่ีตั้งของอาคาร รายละเอียดของการ
วิเคราะห์จะตอ้ งสอดคล้องกับข้อกาหนดในหวั ข้อ 4.4 นี้

4.4.2 แบบจาลองของโครงสรา้ ง
แบบจาลองทางคณิตศาสตร์ของโครงสร้างจะต้องมีการกระจายมวลท่ีตาแหน่งต่าง ๆ ตามท่ีเป็น

จริงตลอดทง้ั โครงสรา้ ง
แบบจาลองจะต้องสามารถจาลองพฤติกรรมแบบวัฏจักรขององค์อาคารได้สอดคล้องกับข้อมูลท่ีได้

จากการทดสอบในห้องปฏิบัติการ มีการพิจารณาบริเวณท่ีจะเกิดการครากของวัสดุที่สาคัญ พิจารณาการ
เส่ือมถอยของสติฟเนสและกาลังความแข็งแรง รวมถึง Hysteretic Pinching (ถ้ามี) ตามผลการทดสอบใน
หอ้ งปฏบิ ัติการ

กาลังของวัสดุให้ใช้ค่าคาดหมายตามท่ีน่าจะเป็นจริง โดยคานึงถึงกาลังส่วนเกิน (Overstrength)
การเพ่ิมข้ึนของกาลังต้านทานหลังการคราก (Strain Hardening) การสูญเสียกาลังแบบวัฏจักร
(Hysteretic Strength Degradation)

สาหรับช้ินส่วนท่ีพิสูจน์ได้ว่ายังมีพฤติกรรมอยู่ในช่วงยืดหยุ่นเชิงเส้น สามารถใช้แบบจาลองแบบ
ยืดหยุ่นเชงิ เสน้ เฉพาะส่วนน้ันได้โดยให้กาหนดคุณสมบตั ิของวสั ดเุ หลา่ นั้นตามหวั ข้อท่ี 2.8

ฐานของโครงสรา้ งให้สมมติว่าเปน็ แบบยึดแน่น หรอื อาจใชร้ ูปแบบของจุดรองรบั แบบอื่นได้โดยต้อง
พิจารณาจากสติฟเนสและลักษณะการรับแรงของฐานรากท่ีสอดคล้องกับลักษณะเฉพาะของพ้ืนดินท่ีต้ัง
และความถูกตอ้ งตามหลักวิศวกรรม

สาหรับโครงสร้างที่มีความสม่าเสมอของรูปทรงและการกระจายของมวลและสติฟเนส (Regular
Structures) และมีระบบโครงสร้างต้านแรงด้านข้างท่ีเป็นอิสระแยกจากกันในสองทิศทางที่ตั้งฉากกันใน
แนวราบ สามารถใช้แบบจาลองแบบสองมติ ิในการวิเคราะหแ์ ยกกันในแตล่ ะทิศทางได้

_________________________________________________________________________

หนา้ ท่ี 84 มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารต้านทานการสั่นสะเทอื นของแผน่ ดนิ ไหว

ฉบับปรับปรงุ ครั้งท่ี 1

สาหรับโครงสร้างที่มีความไม่สม่าเสมอในแนวระนาบ ประเภท 1ก, 1ข, 4, หรือ 5 (หัวข้อที่
2.4.2.1) หรือ โครงสร้างท่ีไม่มีระบบโครงสร้างต้านแรงด้านข้างที่เป็นอิสระและตั้งฉากกัน จะต้องใช้
แบบจาลองสามมิติ โดยจะต้องมีระดับข้ันความเสรีทางพลศาสตร์ (Dynamic Degrees of Freedom)
อย่างน้อยเท่ากับ 3 ที่แต่ละช้ันของอาคารโดยเป็นการเคลื่อนตัวของ 2 ทิศทางท่ีตั้งฉากกันในแนวราบและ
การหมนุ รอบแกนดงิ่

หากไดอะแฟรม (แผ่นพ้ืน) ไม่ใช่แบบแข็งเม่ือเทียบกับระบบโครงสร้างต้านแรงด้านข้าง
แบบจาลองจะต้องพิจารณาความอ่อนตัวของไดอะแฟรมด้วย และเพ่ิมระดับข้ันความเสรีที่จาเป็นในการ
พิจารณาการตอบสนองทางพลศาสตร์ของไดอะแฟรมดวั ย

4.4.3 การสัน่ ไหวของพื้นดินและนา้ หนกั บรรทุกอนื่ ๆ
การสั่นไหวของพ้ืนดินท่ีใช้ในการวิเคราะห์ให้เป็นไปตามหัวข้อท่ี 4.3.3 โดยจะต้องวิเคราะห์การ

ตอบสนองของโครงสร้างภายใต้การสั่นไหวของพ้ืนดิน โดยมีน้าหนักบรรทุกคงที่ทั้งหมดและน้าหนักบรรทุก
จรไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของค่าท่ีใช้ออกแบบกระทาพร้อมกัน น้าหนักบรรทุกแนวด่ิงนี้ไม่สามารถแยก
คานวณและนาไปรวมในภายหลังไดเ้ นือ่ งจากความไมเ่ ป็นเชิงเส้นของโครงสร้าง

4.4.4 ค่าการตอบสนอง
ผลการวิเคราะห์หาการตอบสนองของโครงสร้างต่อการส่ันไหวของพื้นดินชุดท่ี i ที่ต้องการได้แก่

แรงในช้ินส่วนโครงสร้างสูงสุด (Member Forces, QEi ) การโก่งตัวอินอีลาสติกขององค์อาคาร (Member
Inelastic Deformations, i ) และการเคลอื่ นตัวสัมพทั ธ์ระหว่างชน้ั (Story Drifts, i )

ถ้าทาการวิเคราะห์โดยใช้การส่ันไหวของพ้ืนดินไม่น้อยกว่า 7 ชุด อนุญาตให้ใช้ค่าเฉล่ียของแรง
ภายในช้ินสว่ นโครงสรา้ ง QEi และค่าเฉลี่ยของการโก่งตัวอินอีลาสติกขององค์อาคาร i เน่ืองจากการสั่น
ไหวของพ้ืนดินทุกชุดในการออกแบบ และอนุญาตให้ใช้ค่าเฉลี่ยของการเคลื่อนตัวสัมพัทธ์ระหว่างชั้น i
เนื่องจากการส่ันไหวของพ้ืนดินทุกชุด ในการตรวจสอบตามหัวข้อท่ี 2.11.1 หากใช้การส่ันไหวของพื้นดิน
ตามหัวข้อ 4.3.3.3(2) ซึ่งกาหนดให้ใช้ข้อมูลการส่ันไหวอย่างน้อย 3 กลุ่มของชุดข้อมูล ให้ทาการคานวณ
ค่าเฉล่ยี ของผลตอบสนองในแต่ละกล่มุ CMS กอ่ น แล้วจงึ นาค่าเฉลีย่ ของกล่มุ ท่ีให้ค่าเฉลี่ยสูงสุดไปใช้ในการ
ออกแบบหรือตรวจสอบ

ถ้าทาการวิเคราะห์โดยใช้การส่ันไหวของพื้นดินน้อยกว่า 7 ชุด ต้องใช้ค่าสูงสุดของแรงภายใน
ช้ินส่วนโครงสร้าง QEi และค่าสูงสุดของการโก่งตัวอินอีลาสติกขององค์อาคาร i เน่ืองจากการส่ันไหว
ของพื้นดินชุดต่าง ๆ ในการออกแบบ และใหใ้ ชค้ า่ สูงสดุ ของการเคล่ือนตัวสัมพัทธ์ระหว่างชั้น i เน่ืองจาก
การส่นั ไหวของพื้นดนิ ชดุ ตา่ ง ๆ ในการตรวจสอบตามหวั ขอ้ ที่ 2.11.1

4.4.4.1 การตรวจสอบกาลังของชน้ิ ส่วนองค์อาคาร
ไม่ตอ้ งตรวจสอบกาลังตา้ นทานแรงของชนิ้ สว่ นองค์อาคารต่อผลรวมของแรงตามหวั ข้อ 2.5.2

_________________________________________________________________________

มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารตา้ นทานการสน่ั สะเทือนของแผ่นดินไหว หน้าท่ี 85

ฉบบั ปรบั ปรุงครัง้ ท่ี 1

ในการออกแบบบางชิ้นส่วนโครงสร้างที่มาตรฐานกาหนดให้ใช้ค่าตัวประกอบกาลังส่วนเกินด้วย
อนุญาตใช้ค่าสูงสุดของแรงภายในชิ้นส่วนโครงสร้าง QEi  ท่ีคานวณได้จากวิธี NLRHA ในการออกแบบ
โดยถอื ว่าค่าสูงสดุ ของแรงภายในช้ินสว่ นโครงสรา้ ง QEi  นั้นไดร้ วมผลของกาลงั ส่วนเกนิ ไวแ้ ลว้

4.4.4.2 การตรวจสอบการเปล่ียนตาแหนง่ ของชิน้ สว่ นองค์อาคาร
ผู้ออกแบบจะต้องประเมินความสามารถของแต่ละช้ินส่วนองค์อาคารและจุดต่อในการทนต่อการ
โก่งตัว i  ที่ประมาณค่าได้จากการวิเคราะห์ โดยให้พิจารณาจากผลการทดสอบช้ินส่วนองค์อาคารท่ีมี
ลักษณะคล้ายกันในห้องปฏิบัติการ ในการประเมินน้ีจะต้องคานึงถึงผลกระทบของน้าหนักบรรทุกแนวด่ิง
และนา้ หนกั บรรทุกอืน่ ๆ ตอ่ ความสามารถในการทนต่อการโกง่ ตวั i  ของชน้ิ สว่ นองคอ์ าคารด้วย
คา่ การโกง่ ตวั จะตอ้ งไมเ่ กินกวา่ สองในสามของคา่ การโกง่ ตวั ทีท่ าใหอ้ งค์อาคารสูญเสียความสามารถ
ในการรับน้าหนักบรรทกุ แนวดง่ิ หรือค่าการโก่งตัวท่ีองค์อาคารเหลือกาลังต้านทานแรงน้อยกว่า 67% ของ
กาลงั ตา้ นทานแรงสงู สุด

4.4.4.3 การตรวจสอบการเคล่ือนตวั สัมพทั ธร์ ะหวา่ งชั้น
ค่าการเคลื่อนตัวสัมพัทธ์ระหว่างช้ันภายใต้แผ่นดินไหวออกแบบ (Design Story Drift, i ) ที่ได้
จากการวิเคราะห์จะต้องไม่เกิน 1.25 เท่าของค่าการเคลื่อนตัวสัมพัทธ์ระหว่างชั้นที่ยอมให้ (หัวข้อที่
2.11.1)

4.4.5 การตรวจสมรรถนะของโครงสร้างภายใต้แผน่ ดนิ ไหวสูงสดุ
การใชก้ ารส่นั ไหวของพ้ืนดินตามขอ้ 4.3.3 และ 4.4.3 ซ่ึงอ้างอิงตามสเปกตรัมสาหรับการออกแบบ

ในหัวข้อ 1.4.5 เปน็ การตรวจสอบสมรรถนะของโครงสรา้ งภายใต้แผ่นดินไหวสาหรับการออกแบบ (Design
Basis Earthquake, DBE) โดยสมรรถนะของโครงสร้างมุ่งเน้นให้มีความปลอดภัยต่อชีวิต (Life Safety
Performance Level, LS) ตามนิยามในมาตรฐาน มยผ.1303 ซึ่งเกณฑ์ที่ยอมให้ของการโก่งตัวและการ
เคล่ือนที่สัมพัทธ์ระหว่างชั้นท่ีระบุในมาตรฐาน มยผ.1302 ฉบับนี้สอดคล้องกับระดับสมรรถนะปลอดภัย
ต่อชีวิต (LS) ซ่งึ เป็นท่คี าดหวังภายใตแ้ ผน่ ดนิ ไหวระดับ DBE

การวเิ คราะหเ์ พ่ือตรวจพิสูจน์สมรรถนะของโครงสร้างด้วยวิธีแบบประวัติเวลาไม่เชิงเส้น (NLRHA)
ควรทาการตรวจสอบสมรรถนะของโครงสร้างภายใต้แผ่นดินไหวสูงสุดที่พิจารณา ( Maximum
Considered Earthquake, MCE) เพ่ิมเติมอีกหนึ่งระดับด้วย ซึ่งแผ่นดินไหว MCE มีคาบการเกิดซ้า
2475 ปีและมีความรุนแรงเป็น 1.5 เท่าของแผ่นดินไหว DBE ซ่ึงเป็นพื้นฐานของสเปกตรัมสาหรับการ
ออกแบบในข้อ 1.4.5 และ 4.3.3 สังเกตได้จากหัวข้อ 1.4.4 เป็นการปรับค่าความรุนแรงระดับ MCE ให้
เปน็ ระดับ DBE โดยการคูณดว้ ย 2/3

ผลตอบสนองต่อการส่ันไหวของพื้นดินระดับ MCE ควรอยู่ภายในเกณฑ์ท่ียอมให้สาหรับระดับ
สมรรถนะป้องกันการพังทลาย (Collapse Prevention Performance Level, CP) ท่ีระบุในมาตรฐาน

_________________________________________________________________________

หนา้ ท่ี 86 มยผ. 1301/1302-61 มาตรฐานการออกแบบอาคารต้านทานการส่ันสะเทอื นของแผน่ ดินไหว

ฉบบั ปรบั ปรุงครงั้ ท่ี 1


Click to View FlipBook Version