The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยในชั้นเรียน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 62040140117, 2023-01-30 21:21:08

วิจัยในชั้นเรียน

วิจัยในชั้นเรียน

การพัฒนาผลสัมฤทธิ์เรื่อง เลขยกกำลัง โดยใช้วิธีการสอนแบบซิปปา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 นครอุดรธานี จิราพัชร จันเทพ สาขาวิชา คณิตศาสตร์ คณะครุศาสตร์ งานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา การปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา 1 (ED16401) มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565


การพัฒนาผลสัมฤทธิ์เรื่อง เลขยกกำลัง โดยใช้วิธีการสอนแบบซิปปา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 นครอุดรธานี จิราพัชร จันเทพ รหัสนักศึกษา 62040140117 สาขาวิชา คณิตศาสตร์ คณะครุศาสตร์ งานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา การปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา 1 (ED16401) มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565


หัวข้องานวิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาผลสัมฤทธิ์เรื่อง เลขยกกำลัง โดยใช้วิธีการสอน แบบซิปปาสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เสนอโดย นายจิราพัชร จันเทพ สาขาวิชา คณิตศาสตร์ คณะครุศาสตร์ อาจารย์ที่ปรึกษา รองศาสตราจารย์ ดร.สมชาย วรกิจเกษมสกุล อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม รองศาสตราจารย์ วัลลภ เหมวงศ์ คณะกรรมการบริหารหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาคณิตศาสตร์ อนุมัติให้นับ รายงานการวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาคณิตศาสตร์ ………………………………………………………… ประธานสาขาวิชาคณิตศาสตร์ (รองศาสตราจารย์ ดร.สมชาย วรกิจเกษมสกุล) วันที่..................เดือน....................................พ.ศ. 2565 คณะกรรมการที่ปรึกษา ………………….…………………………………. อาจารย์ที่ปรึกษา (รองศาสตราจารย์ ดร.สมชาย วรกิจเกษมสกุล) ………………………………………………. อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม (รองศาสตราจารย์ วัลลภ เหมวงศ์) ………………………………………………. ครูพี่เลี้ยง (นางสาวจุฑาทิพย์ ไชยสิทธิ์)


ก ชื่อเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์เรื่อง เลขยกกำลัง โดยใช้วิธีการสอนแบบซิปปา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัย นายจิราพัชร จันเทพ อาจารย์ที่ปรึกษา รองศาสตราจารย์ดร.สมชาย วรกิจเกษมสกุล อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม ครูพี่เลี้ยง รองศาสตราจารย์ วัลลภ เหมวงศ์ นางสาว จุฑาทิพย์ ไชยสิทธิ์ ปริญญา ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาคณิตศาสตร์ ปีการศึกษา 2565 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาและเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของการจัดการเรียนการสอนแบบซิปปา เรื่อง เลขยกกำลัง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ระหว่างหลังเรียนกับเกณฑ์ ร้อยละ 75 2) ศึกษาและเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของการจัดการเรียนการสอนแบบซิปปา เรื่อง เลขยกกำลัง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ระหว่างหลังเรียนกับก่อนเรียน ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 53 คน โรงเรียนหนองสำโรงวิทยา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา อุดรธานี เขต 1 ปีการศึกษา 2563 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบซิปปา เรื่อง เลขยกกำลัง จำนวน 6 แผน 2) แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เลขยกกำลัง ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เป็นแบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ การศึกษาครั้งนี้มีแบบแผนการ ทดลอง กลุ่มเดียวทดสอบก่อนเรียนและการทดสอบหลังเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ( X ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน ได้แก่ การทดสอบทีแบบกลุ่มเดียวและการทดสอบทีแบบไม่อิสระ ผลการวิจัยพบว่า 1. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนแบบซิปปา เรื่อง เลขยกกำลัง มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 15.66 คะแนน คิดเป็น ร้อยละ 78.28 เมื่อนำมาเปรียบเทียบโดยการทดสอบทีแบบกลุ่มเดียว พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลังเรียนไม่น้อยกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75


ข 2. มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยก่อนเรียน เท่ากับ 5.38 คิดเป็นร้อยละ 26.87 และ คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 15.66 คิดเป็นร้อยละ 78.28 เมื่อเปรียบเทียบระหว่างคะแนน ก่อนและหลังเรียน พบว่าคะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียน สูงกว่าก่อนเรียน


ค Thesis Title Developing achievements on powers using the zippa method of teaching For students in grade 1 Researcher Mr.Chirapat Chantep Thesis Advisor Associate Professor Dr.Somchai Vallakitkasemsakul Thesis Co-Advisor Associate Professor Wanlop Hemwong Degree Bachelor of Education in Mathematics Academic year 2022 Abstract The purposes of this research were 1) to study and compare the learning achievement of learning by using Cippa Model using the exponent. Basic Mathematics Of students between after school and 75% criterion. 2) Study and compare the learning achievement of learning management by using Cippa model using the exponent. Of students during and after school The sample consisted of 43 mathayomsuksa 1 students, Nongsumrongwittaya School, UdonThani Primary Educational Service Area Office 1. the academic year 2020, The research instruments were 1) Learning Management Plan By using the Cippa model, exponent 6 plans. 2) The achievement test of exponent learning. The researcher was created as 4 multiple choice multiple choice tests of 20 proposals. This study has an experimental design One Group Pretest - Posttest Design. The statistics used in data analysis were percentage average the standard deviation (S.D.) used in the hypothesis test is t-test for one sample and T-test for Dependent Samples. Research result. 1. Mathayomsuksa 1 students who received the learning achievement of learning by using Cippa Model using the exponent Basic Mathematics With an average learning achievement score before 5.38 or 26.87 percent and the average after study


ง was 15.66 or 78.28 percent it was found that the student achievement after learning was 75 percent higher than the criterion. 2. The average student achievement after 15.66 was 78.28 percent. When compared by the single group test, comparison between before and after grades Found that the student's exam scores after school Higher than before studying.


จ กิตติกรรมประกาศ การวิจัยฉบับนี้สำเร็จได้ด้วยความกรุณาจาก รองศาสตราจารย์ดร.สมชาย วรกิจเกษมสกุล อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ ที่ให้คำปรึกษาแนะนำ อ่านและแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ตลอด จนให้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์และให้กำลังใจแก่ผู้วิจัยด้วยความเอาใจใส่อย่างดีเสมอมา ผู้วิจัยรู้สึก ซาบซึ้งในความกรุณาและขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้ ขอขอบคุณท่านผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 นครอุดรธานีคณะครูโรงเรียนมัธยม เทสบาล 6 นครอุดรธานีที่อำนวยความสะดวกให้ความร่วมมือ และช่วยเหลือ ขอขอบใจนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 นครอุดรธานีปีการศึกษา 2565 ทุกคน ที่ให้ความร่วมมือ ในการทดลองเพื่อหาประสิทธิภาพของเครื่องมือ และเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยขอขอบพระคุณทุกท่านที่ให้ความช่วยเหลือชี้แนะ ขอกราบขอบพระคุณบิดามารดา พี่ เพื่อน น้อง ๆ ที่คอยช่วยเหลือห่วงใยสนับสนุน ประโยชน์และคุณค่าทั้งมวลที่เกิดจากการวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยขอมอบเป็นเครื่องบูชา คุณบิดามารดาและครูบาอาจารย์ทุกท่านที่ประสิทธิ์ประสาทความรู้แก่ผู้วิจัย จิราพัชร จันเทพ


ฉ สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อ............................................................................................................................................ก ABSTRACT........................................................................................................................................ค กิตติกรรมประกาศ.............................................................................................................................จ สารบัญ...............................................................................................................................................ฉ สารบัญตาราง ....................................................................................................................................ซ บทที่ 1 บทนำ....................................................................................................................................1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา................................................................................1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย......................................................................................................3 สมมติฐานของการวิจัย..........................................................................................................3 ขอบเขตของการวิจัย.............................................................................................................4 นิยามศัพท์เฉพาะ..................................................................................................................4 ประโยชน์ที่ได้รับ...................................................................................................................6 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง.............................................................................................7 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ระดับชั้นมัธยมศึกษา.........................................................7 การจัดการเรียนการสอนแบบซิปปา......................................................................................9 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์.............................................................................17 บทที่ 3 วิธีการดำเนินงาน ................................................................................................................31 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง.................................................................................................31 แบบแผนการทดลอง...........................................................................................................31 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ..................................................................................................32 การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย.................................................................32 การเก็บรวบรวมข้อมูล........................................................................................................34 การวิเคราะห์ข้อมูล.............................................................................................................34 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล............................................................................................35


ช สารบัญ (ต่อ) เรื่อง หน้า บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล......................................................................................................... .36 บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ.................................................................................39 เอกสารอ้างอิง................................................................................................................ ...................43 ภาคผนวก....................................................................................................................................... ..46 ประวัติย่อผู้วิจัย............................................................................................................ ....................57


ซ สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 1. คะแนนที่ได้ ร้อยละ คะแนนเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา คณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ใช้การจัดการเรียนรู้แบบซิปปา เรื่อง เลขยกกำลัง วิชาคณิตศาสตร์พื้นฐานของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ...............................................36 2. ผลของการเรียนการสอนแบบซิปปา เรื่อง เลขยกกำลัง ที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ระหว่างหลังเรียนกับเกณฑ์...............................................................38 3. ผลของการจัดการเรียนการสอนแบบซิปปา เรื่อง เลขยกกำลัง ที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ระหว่างหลังเรียนกับหลังเรียน.......................................................38


1 บทที่ 1 บทนำ ที่มาและความสำคัญของปัญหา ทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรม (Learning and Innovation Skills) คือทักษะพื้นฐาน ที่มนุษย์ในศตวรรษที่ 21 ทุกคนต้องเรียน เพราะโลกจะยิ่งเปลี่ยนแปลงและมีความซับซ้อนมากขึ้น การเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์มีบทบาทสำคัญที่จำเป็น ทั้งในด้านของการดำรงชีวิตและเป็นพื้นฐาน ของความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการในสาขาต่าง ๆ (สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ, 2558) เวลาผ่านไปเกือบศตวรรษผลการเรียนระดับชาติยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าร้อยละ 50 และจากผลการ ทดสอบโครงการ PISA (OECD Program international Student Assessment) ในปี2552 พบว่า นักเรียนไทยได้คะแนนเฉลี่ยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในทุกวิชาและอยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่ามาตรฐาน ระดับนานาชาติ โดยเฉพาะในเรื่องของการคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหา จากสภาพปัญหาดังกล่าว ข้างต้น สะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ที่ผ่านมานั้นเน้นการสอนความรู้ และทักษะในการคิดคำนวณเป็นหลัก จุดเน้นดังกล่าวไม่เหมาะสมกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน เพราะความรู้ต่าง ๆ มีมากมายครูไม่สามารถสอนความรู้เหล่านั้นได้ทั้งหมดและปัญหาที่พบในชีวิตจริง มักเป็นปัญหาที่มีความซับซ้อนที่ต้องใช้ความรู้ที่มากกว่าทักษะการคิดคำนวณเพียงอย่างเดียว และจึงเป็นที่มาของการพัฒนาหลักสูตรคณิตศาสตร์ของชาติเพื่อพัฒนาขีดความสามารถทาง คณิตศาสตร์ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด (เหมือนฝัน, 2556) ใน 3 ข้อหลักได้แก่ 1.จัดหลักสูตรส่งเสริม ให้นักเรียนเกิดปัญญาสามารถคิดวิเคราะห์แก้ปัญหามีทั้งความรู้และทักษะกระบวนการต่าง ๆ อย่างพอเพียง 2.นักเรียนมีโอกาสได้เรียนรู้การใช้คณิตศาสตร์ในชีวิตจริงได้นำความรู้และกระบวนการ ความคิดทางคณิตศาสตร์ที่มีใช้แก้ปัญหาในชีวิตประจำวันรวมถึงสามารถนำเทคโนโลยีมาเป็น เครื่องมือช่วยในการแก้ปัญหาได้ 3.นักเรียนมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้คณิตศาสตร์ในระดับ ประถมศึกษาที่เป็นเหมือนส่วนพื้นฐาน จากผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ส่วนใหญ่คิดหาคำตอบจาก โจทย์ปัญหาได้น้อยกว่าโจทย์ที่เป็นประโยคสัญลักษณ์ ทั้งนี้ทักษะการแก้ปัญหานับว่ามีความสำคัญ เพราะในชีวิตประจำวันมนุษย์ต้องประสบปัญหาต่าง ๆ มากมาย ดังนั้นความสามารถในการแก้ปัญหา จึงต้องปลูกฝังให้เกิดขึ้นในตัวของนักเรียนโดยบูรณาการเข้ากับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชคณิต


2 ศาสตร์ในเรื่องการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ดังที่พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ.2542 มาตรา 24 ได้กล่าวไว้ว่า การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้มาใช้ เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา เพราะหากนักเรียนคิดแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องมีทักษะกระบวนการมี เหตุผลแล้ว ความสามารถดังกล่าวย่อมสามารถถ่ายโยงความรู้และประสบการณ์ที่ได้ในการคิด แก้ปัญหาไปยังศาสตร์อื่น ๆ ได้ (มงคล วงศ์พยัคฆ์, 2547) จากปัญหาด้านผลสัมฤทธิ์ที่ผ่านมา แสดง ให้เห็นว่าการจัดการเรียนการสอนยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร เนื่องมาจากกิจกรรมที่จัดใน ห้องเรียนไม่สามารถสร้างแรงจูงใจให้นักเรียนอยากเรียนทำให้เกิดความเบื่อหน่าย เพราะครูยังใช้ วิธีการสอนแบบเดิม ๆ คือสอนโดยยึดครูเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้เป็นแบบการรับข้อมูลมาจากครู เพียงฝ่ายเดียว ไม่ได้เกิดการตอบโต้ หรือการสร้างองค์ความรู้ด้วยตัวนักเรียนเอง แต่ถ้าครูได้จัด กิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนสามารถสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง นักเรียนจะเกิดองค์ความรู้ที่ คงทน และภาคภูมิใจในตนเองส่งผลให้มีแรงจูงใจมากยิ่งขึ้น รูปแบบการเรียนการสอน เป็นลักษณะการเรียนการสอนที่ครอบคลุมองค์ประกอบสำคัญ ซึ่งได้รับการจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ ตามหลักปรัชญา ทฤษฎีหลักการ แนวคิดหรือความเชื่อต่าง ๆ โดยประกอบด้วย กระบวนการหรือขั้นตอนสำคัญในการเรียนการสอน รวมทั้งวิธีสอน และเทคนิค การสอนต่าง ๆ ที่สามารถช่วยให้สภาพการเรียนการสอนนั้นเป็นไปตามทฤษฎี หลักการ หรือแนวคิด ที่ยึดถือและได้รับการพิสูจน์ ทดสอบ หรือยอมรับว่ามีประสิทธิภาพ สามารถใช้เป็นแบบแผนในการ เรียนการสอนให้บรรลุวัตถุประสงค์เฉพาะของรูปแบบนั้น ๆ (ทิศนา แขมมณี, 2556, หน้า 4) รูปแบบการสอนแบบซิปปา เกิดขึ้นจากหลักการตามแนวคิดทางการศึกษาที่ได้ผลดีต่อการ จัดการเรียนการสอน โดยประกอบด้วย 5 หลักการได้แก่ 1) หลักการสร้างความรู้(Constructivism) 2) หลักกระบวนการกลุ่มและการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Group process and cooperative learning) 3) หลักความพร้อมในการเรียนรู้ (Learning readiness) 4) หลักการเรียนรู้กระบวนการ (Processlearning) และ 5) หลักการถ่ายโอนการเรียนรู้ (Transfer of learning) จากหลักการทั้ง 5 เป็นที่มาของแนวคิดของ “CIPPA” ซึ่งในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา ยึดหลักแนวคิด ที่ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้สูงสุด โดยประกอบด้วย 5 แนวคิด คือ 1) โดยการให้ผู้เรียนสร้างความรู้ ด้วยตนเอง C (Construction of knowledge) 2) การมีปฏิสัมพันธ์ I (Interaction) การมีปฏิสัมพันธ์ กับเพื่อน บุคคลอื่นและสิ่งแวดล้อมรอบตัวหลาย ๆ ด้าน 3) ทักษะกระบวนการ P (Process skills)


3 ทักษะกระบวนการต่าง ๆ เป็นเครื่องมือในการสร้างความรู้ เช่น กระบวนการคิด กระบวนการ แก้ปัญหากระบวนการปฏิบัติงานต่าง ๆ ที่เป็นขั้นตอน 4) การมีส่วนร่วมในกิจกรรม ได้กระทำ/ ปฏิบัติ กิจกรรมต่าง ๆ P (Physical participation) และ 5) การนําความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ A (Application) ในสถานการณ์ที่หลากหลายด้วยแนวคิดดังกล่าวไปใช้ในการจัดกิจกรรม การเรียน การสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางให้มีคุณภาพ และรูปแบบนี้ยังมุ่งพัฒนา ผู้เรียนสร้างความรู้ ความเข้าใจในเรื่องที่เรียน อย่างแท้จริง โดยการให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเอง โดยอาศัย ความร่วมมือจากกลุ่ม นอกจากนั้นยังช่วยพัฒนาทักษะกระบวนการต่าง ๆ จำนวนมากอาทิเช่น กระบวนการคิด กระบวนการกลุ่ม กระบวนการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และกระบวนการ แสวงหาความรู้ เป็นต้น ดังนั้น ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะนำการจัดการเรียนรู้ รูปแบบการสอนแบบซิปปา มาใช้จัดกิจกรรม การเรียนรู้ เรื่อง เลขยกำลัง กับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งวิธีการเรียนการสอนดังกล่าว สามารถส่งเสริมทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ เนื่องจากเป็นเนื้อหาที่เอื้อต่อการที่จะทำให้ ความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของผู้เรียนดีขึ้น และเพื่อเป็นแนวทางในการปรับปรุง และพัฒนาการเรียนการสอน วิชาคณิตศาสตร์ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ต่อไป ผู้วิจัยจึงต้องการศึกษาว่าการจัดการเรียนรู้ รูปแบบการสอนแบบซิปปา จะทำให้นักเรียนมี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานหรือไม่ และผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนหรือไม่อย่างไร วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง เลขยกกำลัง โดยใช้วิธีการสอน แบบซิปปา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ระหว่างหลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 75 2. เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของการจัดการเรียน การสอนแบบซิปปา เรื่อง เลขยกกำลัง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ระหว่างหลังเรียนกับก่อน เรียน สมมติฐานการวิจัย 1. นักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนการสอนแบบซิปปา เรื่อง เลขยกกำลัง ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์หลังเรียนไม่น้อยกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75


4 2. นักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนการสอนแบบซิปปา เรื่อง เลขยกกำลัง ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ขอบเขตของการวิจัย 1. ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 นครอุดรธานี สังกัดสำนักการศึกษา เทศบาลนครอุดรธานีจังหวัดอุดรธานี ปีการศึกษา 2565 จำนวน 101 คน 2. ตัวแปร 2.1 ตัวแปรต้น ได้แก่ การจัดการเรียนการสอนแบบซิปปา 2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง เลขยกกำลัง 3. เนื้อหาสาระ เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เรื่อง เลขยกกำลัง วิชาคณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 แบ่งออกเป็นเรื่องย่อยได้5 เรื่อง จำนวน 10 ชั่วโมง ดังนี้ 3.1 การเขียนเลขยกกำลังที่มีเลขชี้กำลังเป็นจำนวนเต็มบวก (จำนวน 2 ชั่วโมง) 3.2 การคูณเลขยกกำลัง เมื่อเลขชี้กำลังเป็นจำนวนเต็มบวก (จำนวน 2 ชั่วโมง) 3.3 การหารเลขยกกำลัง เมื่อเลขชี้กำลังเป็นจำนวนเต็มบวก (จำนวน 2 ชั่วโมง) 3.4 การเขียนจำนวนในรูปสัญกรณ์วิทยาศาสตร์ (จำนวน 2 ชั่วโมง) 3.5 การนำความรู้เกี่ยวกับเลขยกกำลังไปใช้ในชีวิตจริง (จำนวน 2 ชั่วโมง) 4. ระยะเวลา ผู้วิจัยใช้เวลาในการวิจัย คือ ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2565 เวลาการสอน ทั้งหมด 10 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 3 ชั่วโมง นิยามศัพท์เฉพาะ 1. การจัดการเรียนการสอนแบบซิปปา หมายถึง การจัดการเรียนการสอนเป็นรูปแบบ ของการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง รูปแบบหนึ่งที่ได้รับความสนใจและ มีนักการศึกษาให้คำจำกัดความของการจัดการเรียนการสอนแบบซิปปา ซึ่งมีความหมาย ตามตัวอักษร คือ C หมายถึง Construct คือการให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเอง โดยกระบวนการ แสวงหาข้อมูล ทำความเข้าใจ คิดวิเคราะห์ ตีความ แปลความ สร้างความหมาย สังเคราะห์ข้อมูลและ สรุปข้อความ ทิศนา แขมมณี (2548 : 281 - 282) ได้เสนอกระบวนการจัดการเรียนการสอนตามรูปแบบ ของซิปปา ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนการดำเนินการ 7 ขั้นตอน ดังนี้


5 ขั้นที่ 1 การทบทวนความรู้เดิม ขั้นนี้เป็นการดึงความรู้ของผู้เรียนในเรื่องที่จะเรียน เพื่อช่วย ให้ผู้เรียนมีความพร้อมในการเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิมของตน ซึ่งผู้สอนอาจใช้วิธีการต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลาย ขั้นที่ 2 การแสวงหาความรู้ใหม่ ขั้นนี้เป็นการแสวงหาข้อมูลความรู้ใหม่ที่ผู้เรียนยังไม่มี จากแหล่งข้อมูลหรือแหล่งความรู้ต่าง ๆ ซึ่งครูอาจเตรียมมาให้ผู้เรียนหรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับ แหล่งข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เรียนไปแสวงหาก็ได้ ขั้นที่ 3 การศึกษาทำความเข้าใจข้อมูล/ความรู้ใหม่ และเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิม ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจกับข้อมูล/ความรู้ที่หามาได้ผู้เรียนจะต้อง สร้างความหมายของข้อมูล/ประสบการณ์ใหม่ ๆ โดยใช้กระบวนการต่าง ๆ ด้วยตนเอง เช่น ใช้กระบวนการคิด และกระบวนการกลุ่มในการอภิปรายและสรุปความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลนั้น ๆ ซึ่งอาจจำเป็นต้องอาศัยการเชื่อมโยงกับความรู้เดิม ขั้นที่ 4 การแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกับกลุ่ม ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนอาศัยกลุ่ม เป็นเครื่องมือในการตรวจสอบความรู้ความเข้าใจของตน รวมทั้งขยายความรู้ความเข้าใจของตนเอง แก่ผู้อื่น และได้รับประโยชน์จากความรู้ความเข้าใจของผู้อื่นไปพร้อม ๆ กัน ขั้นที่ 5 การสรุปและจัดระเบียบความรู้ขั้นนี้เป็นขั้นการสรุปความรู้ที่ได้รับทั้งหมด ทั้งความรู้ เดิมและความรู้ใหม่ และจัดสิ่งที่เรียนให้มีระบบระเบียบ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนจดจำสิ่งที่เรียนรู้ได้ง่าย ขั้นที่ 6 การปฏิบัติ และ/หรือการแสดงผลงาน หากข้อความรู้ได้เรียนรู้มาไม่มีการปฏิบัติ ขั้นนี้เป็นขั้นที่ช่วยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสแสดงผลงานการสร้างความรู้ของตนให้ผู้อื่นรับรู้ เป็นการช่วยให้ ผู้เรียนได้ตอกย้ำหรือตรวจสอบความเข้าใจของตนและช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้ความคิดสร้างสรรค์ แต่หากต้องมีการปฏิบัติตามข้อความรู้ที่ได้ ขั้นนี้จะเป็นขั้นปฏิบัติ และมีการแสดงผลงานที่ได้ ปฏิบัติด้วย ขั้นที่ 7 การประยุกต์ใช้ความรู้ขั้นนี้เป็นขั้นของการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนการนำความรู้ ความเข้าใจของตนไปใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่หลากหลายเพื่อเพิ่มความชำนาญ ความเข้าใจ ความสามารถในการแก้ปัญหาและความจำในเรื่องนั้น ๆ หลังจากการประยุกต์ใช้ในความรู้ อาจจะ มีการนำเสนอผลงานจากการประยุกต์อีกครั้งก็ได้ หรืออาจไม่มีการนำเสนอผลงานในขั้นที่ 6 แต่นำมารวมแสดงในขั้นตอนท้ายหลังขั้นการประยุกต์ใช้ก็ได้เช่นกัน 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์หมายถึง คะแนนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่แสดงออกถึงความสามารถทางการเรียนรู้ตามเนื้อหาสาระหลังจากการจัดการเรียนการสอนแบบ ซิปปา เรื่อง เลขยกกำลัง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งวัดได้จากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์


6 ทางการเรียนวัดได้โดยใช้แบบทดสอบ แบบปรนัย 4 ตัวเลือก ในการวิจัยสร้างขึ้นตามแนวคิดของบลูม และคณะ (Benjamin S.Bloom, 1956) จำแนกตามพฤติกรรมพุทธิพิสัยไว้ได้ 6 ระดับ ดังนี้ 1. ความรู้ความจำ ความสามารถในการเก็บรักษามวลประสบการณ์ต่าง ๆจากการที่ได้รับรู้ ไว้และระลึกสิ่งนั้นได้เมื่อต้องการเปรียบดังเทปบันทึกเสียงหรือวีดีทัศน์ที่สามารถเก็บเสียงและภาพ ของเรื่องราวต่าง ๆได้สามารถเปิดฟังหรือ ดูภาพเหล่านั้นได้เมื่อต้องการ 2. ความเข้าใจ เป็นความสามารถในการจับใจความสำคัญของสื่อ และสามารถแสดงออกมา ในรูปของการแปลความ ตีความ คาดคะเน ขยายความ หรือ การกระทำอื่น ๆ 3. การนำความรู้ไปใช้เป็นขั้นที่ผู้เรียนสามารถนำความรู้ ประสบการณ์ไปใช้ในการ แก้ปัญหาในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ ซึ่งจะต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจ จึงจะสามารถนำไปใช้ได้ 4. การวิเคราะห์ผู้เรียนสามารถคิด หรือ แยกแยะเรื่องราวสิ่งต่าง ๆ ออกเป็นส่วนย่อย เป็นองค์ประกอบที่สำคัญได้ และมองเห็นความสัมพันธ์ของส่วนที่เกี่ยวข้องกัน ความสามารถในการ วิเคราะห์จะแตกต่างกันไปแล้วแต่ความคิดของแต่ละคน 5. การสังเคราะห์ความสามารถในการที่ผสมผสานส่วนย่อย ๆ เข้าเป็นเรื่องราวเดียวกัน อย่างมีระบบ เพื่อให้เกิดสิ่งใหม่ที่สมบูรณ์และดีกว่าเดิม อาจเป็นการถ่ายทอดความคิดออกมาให้ผู้อื่น เข้าใจได้ง่าย การกำหนดวางแผนวิธีการดำเนินงานขึ้นใหม่ หรือ อาจจะเกิดความคิดในอันที่จะสร้าง ความสัมพันธ์ของสิ่งที่เป็นนามธรรมขึ้นมาในรูปแบบ หรือ แนวคิดใหม่ 6. การประเมินค่า เป็นความสามารถในการตัดสิน ตีราคา หรือ สรุปเกี่ยวกับคุณค่าของสิ่ง ต่าง ๆ ออกมาในรูปของคุณธรรมอย่างมีกฎเกณฑ์ที่เหมาะสม ซึ่งอาจเป็นไปตามเนื้อหาสาระในเรื่อง นั้น ๆ หรืออาจเป็นกฎเกณฑ์ที่สังคมยอมรับก็ได้ ประโยชน์ที่ได้รับ 1. ได้แนวทางการจัดการเรียนการสอนและแผนการจัดการเรียนรู้ตามขั้นตอนกิจกรรมการ จัดการเรียนการสอนแบบซิปปา เรื่อง เลขยกกำลัง วิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2. ได้ทราบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของการจัดการเรียนการสอนและแผนการจัดการเรียนรู้ ตามขั้นตอนกิจกรรมการจัดการเรียนการสอนแบบซิปปา เรื่อง เลขยกกำลัง วิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 3. ได้เป็นแนวทางสำหรับครูผู้สอนคณิตศาสตร์ที่จะช่วยให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน สูงขึ้น


7 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การจัดการเรียนการสอนแบบซิปปา เรื่อง เลขยกกำลัง ที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัยได้เสนอเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องตามลำดับ ดังนี้ 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2560 กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ระดับมัธยมศึกษา 2. การจัดการเรียนการสอนแบบซิปปา 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4.1 งานวิจัยในประเทศ 4.2 งานวิจัยต่างประเทศ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2560 กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ระดับมัธยมศึกษา จากการศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2560 กลุ่มสาระ การเรียนรู้คณิตศาสตร์ พบว่า มีองค์ประกอบที่สำคัญ คือ ทำไมต้องเรียนคณิตศาสตร์ เรียนรู้อะไร ในคณิตศาสตร์ สาระมาตรฐานการเรียนรู้และคุณภาพผู้เรียน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2561: 1-5) 1. ทำไมตองเรียนคณิตศาสตร์ คณิตศาสตร์มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อความสำเร็จในการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 เนื่องจาก คณิตศาสตร์ช่วยให้มนุษย์มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ คิดอย่างมีเหตุผล เป็นระบบ มีแบบแผน สามารถวิเคราะห์ปัญหาหรือสถานการณ์ได้อย่างรอบคอบและถี่ถ้วน ช่วยให้คาดการณ์ วางแผน ตัดสินใจแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และสามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้คณิตศาสตร์ยังเป็นเครื่องมือในการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และศาสตร์อื่น ๆ อันเป็นรากฐานในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของชาติให้มีคุณภาพและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ให้ทัดเทียมกับนานาชาติ การศึกษาคณิตศาสตร์จึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง


8 เพื่อให้ทันสมัยและสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ สังคม และความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในยุคโลกาภิวัตน์ ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ฉบับนี้ จัดทำขึ้น โดยคำนึงถึงการส่งเสริมให้ผู้เรียนมีทักษะที่จำเป็นสำหรับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ เป็นสำคัญ นั่นคือ การเตรียมผู้เรียนให้มีทักษะด้านด้านการคิดวิเคราะห์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การแก้ปัญหา การคิดสร้างสรรค์ การใช้เทคโนโลยี การสื่อสารและการร่วมมือ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้เรียน รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของระบบเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสภาพแวดล้อม สามารถแข่งขัน และอยู่ร่วมกับประชาคมโลกได้ ทั้งนี้การจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ที่ประสบความสำเร็จนั้น จะต้อง เตรียมผู้เรียนให้มีความพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ พร้อมที่จะประกอบอาชีพเมื่อจบการศึกษา หรือ สามารถศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น ดังนั้นสถานศึกษาควรจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมตามศักยภาพของ ผู้เรียน 2. เรียนรู้อะไรในคณิตศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์จัดเป็น ๓ สาระ ได้แก่ จำนวนและพีชคณิต การวัด และเรขาคณิต และสถิติและความน่าจะเป็น ซึ่งในการวิจัยครั้งนี้อยู่ในสาระจำนวนและพีชคณิต คือ จำนวนและพีชคณิต เรียนรู้เกี่ยวกับ ระบบจำนวนจริง สมบัติเกี่ยวกับจำนวนจริง อัตราส่วนร้อยละ การประมาณค่า การแก้ปัญหาเกี่ยวกับจำนวน การใช้จำนวนในชีวิตจริง แบบรูป ความสัมพันธ์ ฟังก์ชัน เซต ตรรกศาสตร์ นิพจน์ เอกนาม พหุนาม สมการ ระบบสมการ อสมการ กราฟ ดอกเบี้ยและมูลค่าของเงิน ลำดับและอนุกรม และการนำความรู้เกี่ยวกับจำนวนและพีชคณิต ไปใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ 3.ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในการวิจัยครั้งนี้ สาระที่ 1 จำนวนและพีชคณิต มาตรฐาน ค 1.1 เข้าใจความหลากหลายของการแสดงจำนวน ระบบจำนวนการดำเนินการ ของจำนวน ผลที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการ สมบัติของการดำเนินการ และนำไปใช้


9 ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 1. เข้าใจจำนวนตรรกยะและ ความสัมพันธ์ของ จำนวนตรรกยะ และใช้สมบัติของจำนวนตรรกยะใน การแก้ปัญหาคณิตศาสตร์และ ปัญหาในชีวิตจริง 2. เข้าใจและใช้สมบัติของเลขยกกำลัง ที่มีเลขชี้กำลังเป็นจำนวนเต็มบวก ในการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์และ ปัญหาในชีวิตจริง จำนวนตรรกยะ - จำนวนเต็ม - สมบัติของจำนวนเต็ม - ทศนิยมและเศษส่วน - จำนวนตรรกยะและสมบัติของจำนวนตรรกยะ - เลขยกกำลังที่มีเลขชี้กำลังเป็นจำนวนเต็มบวก - การนำความรู้เกี่ยวกับจำนวนเต็ม จำนวนตรรกยะ และเลขยกกำลังไปใช้ในการ แก้ปัญหา 3. เข้าใจและประยุกต์ใช้อัตราส่วน สัดส่วน และ ร้อยละ ในการแก้ปัญหา คณิตศาสตร์และปัญหาในชีวิตจริง อัตราส่วน - อัตราส่วนของจำนวนหลาย ๆ จำนวน - สัดส่วน - การนำความรู้เกี่ยวกับอัตราส่วน สัดส่วน และร้อยละไปใช้ในการแก้ปัญหา การจัดการเรียนการสอนแบบซิปปา ทฤษฎีหรือหลักการแนวคิด ของรูปแบบโมเดลซิปปา ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษารวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอน รูปแบบซิปปาไว้ ดังนี้ 1. รูปแบบซิปปา หลักการจัดการเรียนการสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง : โมเดลซิปปา (CIPPA Model) การจัดการเรียนการสอนโดยใช้โมเดลซิปปา เป็นแนวคิดของทิศนา แขมมณี ที่กล่าวว่า ซิปปา (CIPPA) เป็นหลักการซึ่งสามารถนำไปเป็นหลักในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ต่าง ๆ ให้แก่ผู้เรียน การจัดกระบวนการเรียนการสอนตามหลัก “CIPPA” สามารถใช้วิธีการและกระบวนการ ที่หลากหลาย อาจจัดเป็นแบบแผนได้หลายรูปแบบ CIPPA MODEL เป็นวิธีหนึ่งในการจัดการเรียน การสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เป็นรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ที่มุ่งเน้นให้นักเรียน ศึกษาค้นคว้า รวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง การมีส่วนร่วมในการสร้างความรู้ การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และการแลกเปลี่ยนความรู้ การได้เคลื่อนไหวทางกาย การเรียนรู้กระบวนการต่าง ๆ และ การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้


10 การจัดการเรียนการสอนแบบ CIPPA MODEL มาจากแนวคิดหลัก 5 แนวคิด ซึ่งเป็นแนวคิด พื้นฐานในการจัดการศึกษา ได้แก่ 1. แนวคิดการสร้างสรรค์ความรู้ (Contructivism) 2. แนวคิดเรื่องกระบวนการกลุ่มและการเรียนแบบร่วมมือ (Group Process and Cooperative Learning) 3. แนวคิดเกี่ยวกับความพร้อมในการเรียนรู้ (Learning Readiness) 4. แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้กระบวนการ (Process Learning) 5. แนวคิดเกี่ยวกับการถ่ายโอนการเรียนรู้ (Transfer of Learning) 2. การจัดการเรียนการสอนตามรูปแบบซิปปา รูปแบบนี้มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความรู้ ความเข้าใจในเรื่องที่เรียนอย่างแท้จริงโดยการ ให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยอาศัยความร่วมมือจากกลุ่ม นอกจากนั้นยังช่วยพัฒนาทักษะ กระบวนการต่าง ๆ จำนวนมาก อาทิ กระบวนการคิด กระบวนการกลุ่ม การปฏิสัมพันธ์สังคม และ กระบวนการแสวงหาความรู้ เป็นต้น ทิศนา แขมมณี (2548 : 281 - 282) ได้เสนอกระบวนการจัดการเรียนการสอนตามรูปแบบ ของซิปปา ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนการดำเนินการ 7 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 การทบทวนความรู้เดิม ขั้นนี้เป็นการดึงความรู้เดิมของผู้เรียนในเรื่องที่จะเรียน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีความพร้อมในการเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิมของตน ซึ่งผู้สอน อาจใช้วิธีการต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลาย ขั้นที่ 2 การแสวงหาความรู้ใหม่ ขั้นนี้เป็นการแสวงหาข้อมูลความรู้ใหม่ของผู้เรียน จากแหล่งข้อมูลหรือแหล่งความรู้ต่าง ๆ ซึ่งครูอาจจัดเตรียมมาให้ผู้เรียนหรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับ แหล่งข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เรียนไปแสวงหาก็ได้ ขั้นที่3 การศึกษาทำความเข้าใจข้อมูล/ความรู้ใหม่ และเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความเดิม ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจกับข้อมูล/ความรู้ที่หามาได้ ผู้เรียนจะต้องสร้าง ความหมายของข้อมูล/ประสบการณ์ใหม่ๆ โดยใช้กระบวนการต่าง ๆ ด้วยตนเอง เช่น ใช้กระบวนการ คิด และกระบวนการกลุ่มในการอภิปรายและสรุปความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลนั้น ๆ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัย การเชื่อมโยงกับความรู้เดิม ขั้นที่ 4 การแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกับกลุ่ม ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนอาศัยกลุ่ม เป็นเครื่องมือในการตรวจสอบความรู้ความเข้าใจของตน รวมทั้งขยายความรู้ความเข้าใจของตนเอง


11 ให้กว้างขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนได้แบ่งปันความรู้ความเข้าใจของตนแก่ผู้อื่น และได้รับประโยชน์ จากความรู้ ความเข้าใจของผู้อื่นไปพร้อม ๆ กัน ขั้นที่5 การสรุปและจัดระเบียบความรู้ขั้นนี้เป็นขั้นของการสรุปความรู้ที่ได้รับทั้งหมด ทั้งความรู้เดิมและความรู้ใหม่ และสิ่งที่เรียนให้เป็นระบบระเบียบเพื่อช่วยให้ผู้เรียนจดจำสิ่งที่เรียนรู้ ได้ง่าย ขั้นที่6 การปฏิบัติ และ/หรือการแสดงผลงาน หากข้อความรู้ที่ได้เรียนรู้มาไม่มีการปฏิบัติ ขั้นนั้นจะเป็นขั้นที่ช่วยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสแสดงผลงานการสร้างความรู้ของตนเองให้ผู้อื่นรับรู้ เป็นการช่วยให้ผู้เรียนได้ตอกย้ำหรือตรวจสอบความเข้าใจของตนเองและช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียน ใช้ความคิดสร้างสรรค์แต่หากต้องมีการปฏิบัติตามข้อความรู้ที่ได้ ขั้นนี้จะเป็นขั้นปฏิบัติ และมีการ แสดงผลงานที่ได้ปฏิบัติด้วย ขั้นที่7 การประยุกต์ใช้ความรู้ขั้นนี้เป็นขั้นของการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนการนำความรู้ ความเข้าใจของตนไปใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่หลากหลายเพื่อเพิ่มความชำนาญ ความเข้าใจ ความสามารถในการแก้ปัญหาและความจำในเรื่องนั้น ๆ ขั้นตอนตั้งแต่ขั้นที่ 1-6 เป็นกระบวนการของการสร้างความรู้ (construc-tion of knowledge) ซึ่งครูสามารถจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนมีโอกาสปฏิสัมพันธ์แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน (interaction) และฝึกฝนทักษะกระบวนการต่าง ๆ (process learning) อย่างต่อเนื่อง เนื่องจาก ขั้นตอนแต่ละขั้นตอนช่วยให้ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมหลากหลายที่มีลักษณะให้ผู้เรียนได้มีการเคลื่อนไหว ทางกาย ทางสติปัญญา ทางอารมณ์ และทางสังคม อย่างเหมาะสม 6 ทีคุณสมบัติตามหลักการ CIPPA ส่วนขั้นตอนที่ 7 เป็นขั้นตอนที่ช่วยให้ผู้เรียนนำความรู้ไปใช้ (application) จึงทำให้เป็นรูปแบบนี้ มีคุณสมบัติครบตามหลักCIPPA


12 ภาพที่ 2.1 การจัดการเรียนรู้โดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางแบบซิปปา (ทิศนา แขมมณี, 2542, หน้า 26) 3. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ 1. เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมทางด้านกาย (Physical Participation) คือ เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสเคลื่อนไหวร่างกาย เพื่อช่วยให้ประสาทการรับรู้ของผู้เรียน ตื่นตัวพร้อมที่จะรับข้อมูลและการเรียนรู้ต่าง ๆที่จะเกิดขึ้น การรับรู้เป็นปัจจัยสำคัญในการเรียนรู้ หากผู้เรียนไม่มีความพร้อมในการรับรู้ แม้จะมีการให้ความรู้ที่ดีๆผู้เรียนก็ไม่สามารถรับได้ ซึ่งจะเห็น ได้จากเหตุการณ์ที่พบได้เสมอ ๆ คือหากผู้เรียนต้องนั่งนาน ๆไม่ช้า ผู้เรียนอาจหลับไป หรือคิดไปเรื่อง อื่น ๆได้ การเคลื่อนไหวทางกาย มีส่วนช่วยให้ประสาทรับรู้ตื่นตัว พร้อมที่จะรับและเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ


13 ได้ดี ดังนั้นกิจกรรมที่จัดให้ผู้เรียน จึงควรเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เคลื่อนไหวในลักษณะใด ลักษณะหนึ่งเป็นระยะ ๆ ตามความเหมาะสมกับวัยและระดับความสนใจของผู้เรียน 2. เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางสติปัญญา (Intellectual Participation) คือ เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเคลื่อนไหวทางสติปัญญาหรือพูดง่ายๆ ว่า เป็นกิจกรรมที่ท้าทาย ความคิดของผู้เรียน ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความจดจ่อในการคิด สนุกที่จะคิด ดังนั้น กิจกรรม จะมีลักษณะดังกล่าวได้ ก็จะต้องมีเรื่องให้ผู้เรียนคิด โดยเรื่องนั้นจะต้องไม่ง่ายและไม่ยากเกินไป สำหรับผู้เรียน เพราะถ้าง่ายเกินไป ผู้เรียนก็ไม่จำเป็นต้องใช้ความคิด แต่ถ้ายากเกินไป ผู้เรียนก็จะเกิด ความท้อถอยที่จะคิด ดังนั้นครูจึงต้องหาประเด็นที่เหมาะสมกับวัยและความสามารถของผู้เรียน เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนใช้ความคิดหรือลงมือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง 3. เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางสังคม (Social Participation) คือ เป็นกิจกรรม ที่ช่วยให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับบุคคลหรือสิ่งแวดล้อมรอบตัว เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ที่อาศัยรวมกันอยู่เป็นหมู่คณะ มนุษย์โดยทั่วไปจะต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้ากับบริบทต่าง ๆ การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ทางสังคม ซึ่งจะส่งผล ถึงการเรียนรู้ทางด้านอื่น ๆ ด้วย ดังนั้น กิจกรรมการเรียนรู้ที่ดี จึงควรเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียน ได้เรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมรอบตัวด้วย 4. เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางอารมณ์ (Emotional Participation) คือ กิจกรรมที่ส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของผู้เรียน ซึ่งจะช่วยให้การเรียนรู้นั้นเกิดความหมายต่อตนเอง กิจกรรมที่ส่งผลต่อความรู้สึกของผู้เรียนนั้น มักจะเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับชีวิต ประสบการณ์ และ ความเป็นจริงของผู้เรียน จะต้องเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตัวผู้เรียนโดยตรงหรือใกล้ตัวผู้เรียน สรุปได้ว่า การจัดการเรียนการสอนตาม CIPPA Model สามารถส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม ในกิจกรรมการเรียนรู้ทั้งทางด้านกาย สติปัญญา และสังคม ส่วนการมีส่วนร่วมทางด้านอารมณ์นั้น ความจริงแล้วมีเกิดขึ้นควบคู่ไปกับทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านกาย สติปัญญา และสังคม ซึ่งหากครู สามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้ตามหลักดังกล่าวแล้ว การจัด การเรียนการสอนของครู ก็จะมีลักษณะที่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง วิธีการที่จะจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้อง กับ CIPPA Model สามารถทำได้โดยครูอาจเริ่มต้นจากแผนการสอนที่มีอยู่แล้ว และนำแผนดังกล่าว มาพิจารณาตาม CIPPA Model หากกิจกรรมตามแผนการสอนขาดลักษณะใดไป ก็พยายาม คิดหากิจกรรมที่จะช่วยเพิ่มลักษณะดังกล่าวลงไป หากแผนเดิมมีอยู่บ้างแล้ว ก็ควรพยายามเพิ่ม


14 ให้มากขึ้น เพื่อกิจกรรมจะได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อทำเช่นนี้ได้จนเริ่มชำนาญแล้ว ต่อไป ครูก็จะสามารถวางแผนตาม CIPPA Model ได้ไม่ยากนัก 4. บทบาทของผู้สอนและผู้เรียนตามรูปแบบซิปปา วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2542, หน้า 12-14) ได้กล่าวถึงบทบาทของผู้สอน และผู้เรียนในการจัดกิจกรรม การเรียนรูปแบบซิปปาไว้ดังนี้ 1.บทบาทของผู้สอนในการจัดกิจกรรมการเรียนรูปแบบซิปปา สามารถสรุปบทบาทที่ สำคัญ ๆ ได้ดังนี้ 1.1 บทบาทด้านการเตรียมการ ประกอบด้วย 1.1.1 การเตรียมตนเอง ผู้สอนจะต้องเตรียมตนเองให้พร้อมสำหรับบทบาท ของผู้เป็นแหล่งความรู้ (resource person) ซึ่งจะต้องให้คำอธิบาย คำแนะนำ คำปรึกษา ให้ข้อมูล ความรู้ที่ชัดเจนแก่ผู้เรียน รวมทั้งแนะนำแหล่งความรู้ให้ผู้เรียนไปศึกษาค้นคว้าหาข้อมูล 1.1.2 การเตรียมแหล่งข้อมูล ผู้สอนจะต้องเตรียมแหล่งข้อมูลความรู้ แก่ผู้เรียน ทั้งในรูปแบบของสื่อการเรียน ใบความรู้ และวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จะใช้ประกอบกิจกรรม ในห้องเรียนหรือศูนย์การเรียนรู้ด้วยตนเองที่มีข้อมูลความรู้ที่ผู้เรียนสามารถเลือกศึกษาค้นคว้า ตามต้องการ 1.1.3 การเตรียมกิจกรรมการเรียน ผู้สอนต้องวางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตามจุดประสงค์การเรียนรู้ที่กำหนด ผู้สอนจะต้องวิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้ เพื่อให้ได้ สาระสำคัญและเนื้อหาความรู้ อันจะนำไปสู่การออกแบบกิจกรรม การเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยบทบาทของผู้สอนในส่วนนี้จะทำหน้าที่คล้ายผู้จัดการ (manager) กำหนดบทบาทการเรียนรู้และเป็นผู้กำหนดบทบาทให้ผู้เรียนทุกคน ได้มีส่วนเข้าร่วม ทำกิจกรรมแบ่งกลุ่มหรือจับคู่ 1.1.4 การเตรียมสื่อ วัสดุอุปกรณ์ เมื่อออกแบบและกำหนดกิจกรรมการเรียน แล้ว ผู้สอนต้องพิจารณาและกำหนดว่า จะใช้สื่อใดบ้าง วัสดุอุปกรณ์อะไรบ้าง เพื่อให้กิจกรรม การเรียนดังกล่าวบรรลุผล 1.1.5 การเตรียมการวัดและประเมินผล บทบาทในการเตรียมการอีกประการหนึ่งคือ การเตรียมการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ที่เกิดขึ้น โดยการวัดให้ตรงตามจุดประสงค์การเรียนรู้ และวัดให้ครอบคลุมทั้งในส่วนของกระบวนการ (process) และผลงาน (product) ที่เกิดขึ้น


15 ทั้งด้านพุทธิพิสัย (cognitive) จิตพิสัย (affective) และทักษะพิสัย (skill) โดยเตรียมวิธีการวัด และ เครื่องมือวัดให้พร้อมก่อนทุกครั้ง 1.2 บทบาทด้านการดำเนินการ เป็นบทบาทของผู้สอนขณะที่ผู้เรียนกำลังดำเนินกิจกรรม การเรียนรู้ ประกอบด้วย 1.2.1 การเป็นผู้ช่วยเหลือให้คำแนะนำปรึกษา (helper and advisor) คอยให้คำตอบเมื่อผู้เรียนต้องการความช่วยเหลือ เช่นให้ข้อมูลหรือความรู้ในเวลาที่ผู้เรียนต้องการ เพื่อให้การเรียนรู้นั้นมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น 1.2.2 การเป็นผู้สนับสนุนและเสริมแรง (supporter and encourage) ช่วยสนับสนุนหรือกระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจเข้าร่วมกิจกรรม 1.2.3 การเป็นผู้ร่วมกิจกรรม (active participant) โดยเข้าร่วมกิจกรรม ในกลุ่มของผู้เรียนพร้อมทั้งให้ความคิด และความเห็น หรือช่วยเชื่อมโยงประสบการณ์ส่วนตัว ของผู้เรียนขณะทำกิจกรรม 1.2.4 การเป็นผู้ติดตามตรวจสอบ (monitor) ตรวจสอบผลการทำงานตามกิจกรรม ของผู้เรียน เพื่อให้ถูกต้องชัดเจนและสมบูรณ์ก่อนให้ผู้เรียนสรุปเป็นข้อความรู้ที่ได้จากการเรียนรู้ 1.2.5 การเป็นผู้สร้างเสริมบรรยากาศที่อบอุ่นเป็นมิตร โดยการสนับสนุนเสริมแรง และกระตุ้นให้ผู้เรียนเข้าร่วมทำงานกลุ่ม แสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผยเต็มที่ ยอมรับฟังความ คิดเห็นซึ่งกันและกัน อภิปรายโต้แย้งแสดงความคิดเห็นด้วยท่วงทีนุ่มนวล ให้เกียรติและเป็นมิตร โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เป้าหมายของกลุ่มบรรลุความสำเร็จ 1.3 บทบาทด้านการประเมิน เป็นบทบาทที่ผู้สอนต้องดำเนินการ เพื่อตรวจสอบว่า สามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้บรรลุผลสำเร็จตามจุดประสงค์การเรียนรู้ที่กำหนดไว้หรือไม่ ทั้งนี้ ครูควรเตรียมเครื่องมือและวิธีการให้พร้อมก่อนถึงขั้นการวัดและประเมินผลทุกครั้ง และการวัดควร ให้ครอบคลุมทุกด้าน โดยเน้นการวัดตามสภาพจริง (authentic measurement) จากการปฏิบัติ และจากผลงาน ซึ่งในการวัดและประเมินผลนี้ นอกจากผู้สอนจะเป็นผู้วัดและประเมินผลเองแล้ว ผู้เรียนและสมาชิกของแต่ละกลุ่ม ควรจะมีบทบาทร่วมวัดและประเมินตนเอง และกลุ่มด้วย สรุปได้ว่า บทบาทของผู้สอนในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบซิปปา คือผู้สอน ต้องมีการเตรียมการทั้งในส่วนตัว แหล่งข้อมูล กิจกรรมการเรียนรู้ สื่ออุปกรณ์ การวัดและ


16 ประเมินผล และบทบาทที่เหมาะสมในการดำเนินการเรียนการสอน และการวัดผลด้วยการ เก็บรวบรวมผลงาน และการวัดผลตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ตามแผนการจัดการเรียนรู้ 2. บทบาทของผู้เรียนในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบซิปปา สามารถสรุปบทบาท ที่สำคัญ ๆ ได้ดังนี้ 2.1 บทบาทการมีส่วนร่วมในการแสวงหาข้อมูล ข้อเท็จจริง ความคิดเห็นหรือ ประสบการณ์ต่าง ๆ จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย เพื่อนำมาใช้ในการเรียนรู้ 2.2 บทบาทในการศึกษาหรือลงมือกระทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อทำ ความเข้าใจ ใช้ความคิด ในการกลั่นกรอง แยกแยะ วิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลข้อเท็จจริง 2.3 บทบาทในการจัดระบบระเบียบความรู้ที่ได้สร้างสรรค์ขึ้น เพื่อช่วยให้การเรียนรู้ เกิดความคงทน และสามารถนำความรู้นั้นไปใช้ได้สะดวกขึ้น 2.4 บทบาทในการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ เพื่อช่วยให้การเรียนรู้เกิดประโยชน์ต่อชีวิต นอกจากนั้นการประยุกต์ใช้จะช่วยตอกย้ำความเข้าใจและสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้เรียนในความรู้นั้น และการนำความรู้ไปใช้ยังก่อให้เกิดการเรียนรู้อื่น ๆ เพิ่มเติมได้ด้วย สรุปได้ว่า บทบาทของผู้เรียนในการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ก็มีความสอดคล้อง กับการจัดกิจกรรมการเรียนรูปแบบซิปปา เช่นกัน คือเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียน มีส่วนร่วมในการเรียน และยังพัฒนาผู้เรียนทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์/จิตใจ สังคม และสติปัญญา ได้อย่างเหมาะสม จากบทบาทของผู้สอนและผู้เรียนในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบซิปปา หรือตาม การประสาน 5 แนวคิดหลักของการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ไม่ว่าจะใช้แนวคิดใด ในการจัดการเรียนรู้ก็ตาม การจัดการเรียนรู้จะประสบผลสำเร็จไม่ได้ หากผู้สอนไม่เปลี่ยนบทบาท ของตนเองดังกล่าวข้างต้น ผู้สอนจำนวนมากยังเคยชินกับบทบาทเดิม คือการเป็นผู้บอกเล่า ถ่ายทอด อธิบายเนื้อหาความรู้ให้ผู้เรียน และผู้เรียนจำนวนมากก็เคยชินกับการเป็นผู้ฟัง รับความรู้และ จำความรู้ การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อผู้สอนและผู้เรียนทั้ง 2 ฝ่าย ต่างก็เปลี่ยนพฤติกรรม ผู้สอนเปลี่ยนพฤติกรรม การสอน และผู้เรียนก็เปลี่ยนพฤติกรรมการเรียน อย่างไรก็ตามผู้ที่ต้องเริ่มต้น การเปลี่ยนแปลงก็คือผู้สอน เพราะผู้สอนทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการรับผิดชอบการจัดการเรียน การสอนอยู่แล้ว เมื่อสภาพการเรียนการสอนเปลี่ยนไปผู้เรียนก็จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงไป ตามสภาพ ที่จัดให้ ไม่ช้าก็เร็วขึ้นอยู่กับการปรับตัวของผู้เรียน และแรงเสริมได้รับจากผู้สอน


17 5. คุณค่าของการนำรูปแบบซิปปามาใช้ในการจัดการเรียนรู้ ผู้เรียนจะเกิดความเข้าใจในสิ่งที่เรียน สามารถอธิบาย ชี้แจง ตอบคำถามได้ดี นอกจากนั้น ยังได้พัฒนาทักษะในการคิดวิเคราะห์ การคิดสร้างสรรค์ การทำงานเป็นกลุ่ม การสื่อสาร รวมทั้งเกิด ความใฝ่รู้ด้วย CIPPA Model นอกจากจะเป็นรูปแบบการจัดการเรียนการสอนแล้ว ยังสามารถ นำไปใช้เป็นตัวชี้วัด หรือเป็นเครื่องตรวจสอบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้ว่า กิจกรรมนั้น เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางหรือไม่ โดยนำเอากิจกรรมในแผนการสอนมาตรวจสอบตามหลัก CIPPAการ จัดการเรียนการสอนแบบCIPPA การจัดการเรียนการสอนแบบเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางนั้นก็คือ การจัดกิจกรรมการเรียนการ สอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมนั้น ทั้งทางร่างกาย สติปัญญา สังคมและอารมณ์ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมนั้น มิใช่หมายความแต่เพียงว่าให้ผู้เรียนได้ ทำกิจกรรมอะไร ๆ ก็ได้ที่ผู้เรียนชอบ กิจกรรมที่ครูจัดให้ผู้เรียนจะต้องเป็นกิจกรรมที่นำไป สู่ การเรียนรู้ตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ และเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทั้งทางด้านร่างกาย สติปัญญา สังคม และอารมณ์ จึงจะสามารถทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นผลที่เกิดจากการเรียนการสอน ทำให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมด้านต่าง ๆ และได้มีนักการศึกษาได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้หลายท่าน ดังนี้ 1. ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ชนินทร์ชัย อินทิราภรณ์ และคณะ (2540 : 5) ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ว่า เป็นความสำเร็จในด้านความรู้ ทักษะ สมรรถภาพด้านต่าง ๆ ของสมองหรือมวลประสบการณ์ ทั้งปวงของบุคคลที่ได้รับการเรียนรู้หรือผลงานที่นักเรียนได้จากการประกอบกิจกรรม อารีย์ วชิวาการ (2542 : 59) ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่า หมายถึง ผลที่เกิดขึ้นจากการเรียนการสอน การฝึกฝน หรือประสบการณ์ต่าง ๆ ทั้งในโรงเรียนที่บ้าน สิ่งแวดล้อมอื่น ๆ กล่าวโดยสรุปว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์ หมายถึง ความสามารถ หรือความรู้ ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ได้จากการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ สามารถวัดได้ โดยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์


18 กระทรวงศึกษาธิการ (2545 : 11) ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่า เป็นความสำเร็จหรือความสามารถในการกระทำใด ๆ ที่จะต้องอาศัยทักษะหรือมิฉะนั้นก็ต้องอาศัย ความรอบรู้ในวิชาใดวิชาหนึ่งโดยเฉพาะ สรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสำเร็จของผู้เรียนในด้านความรู้ทักษะ มวลประสบการณ์ทั้งปวงที่บุคคลได้รับจากการเรียนรู้ การฝึกอบรมหรือการได้รับสั่งสอน และสามารถ วัดได้ด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2. การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สถาบันส่งเสรมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(2546 : 11) ให้ความหมายใน การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่า เป็นการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์เพื่อให้ นักเรียน ได้รับทั้งเนื้อหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์จะต้องวัดผล ทั้งสองส่วน และเพื่อความสะดวกในการประเมิน ผู้วิจัยจึงได้ทำการจำแนกพฤติกรรมในการวัดผลวิชาวิทยาศาสตร์ ในการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์สำหรับเป็นเกณฑ์วัดผล ว่านักเรียนได้เรียนรู้ไปมากน้อยหรือลึกซึ้งเพียงใดใน 4 พฤติกรรม ดังนี้ 1. ความรู้-ความจำ หมายถึง ความสามารถในการระลึกถึงสิ่งที่เคยเรียนรู้มาเกี่ยวกับ ข้อเท็จจริง ความคิดรวบยอด หลักการ กฎและทฤษฎี 2. ความเข้าใจ หมายถึง ความสามารถในการจำแนกความรู้ได้เมื่อปรากฏการณ์ อยู่ในรูปแบบใหม่และความสามารถในการแปลความรู้จากสัญลักษณ์หนึ่งไปสู่สัญลักษณ์หนึ่ง 3. การนำความรู้ไปใช้ หมายถึง ความสามารถในการนำความรู้และวิธีการต่าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ หรือจากที่แตกต่างไปจากที่เคยเรียนมาโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ในชีวิตประจำวัน 4. ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง ความสามารถในการสืบเสาะหา ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ด้านการสังเกต การจำแนก ประเภท การจัดกระทำสื่อความหมายข้อมูล การลงความคิดเห็นจากข้อมูล 3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน นิศารัตน์ ศิลปเดช (2542 : 121-122) ให้นิยามว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนเป็นแบบทดสอบที่วัดสมรรถภาพทางสมองของบุคคลซึ่งแสดงออกเป็นความรู้ความสามารถ ทางวิชาการอันเกิดจากการเรียนรู้ในเนื้อหาสาระตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตรโรงเรียนและ


19 ประสบการณ์ ที่ได้จากบ้านและสังคม แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นเอง (Teacher-made Test) และแบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized Test) บุญชม ศรีสะอาด (2545 : 53) ได้ให้ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ว่าเป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ความสามารถของบุคคลในด้านวิชาการซึ่งเป็นผลจากการเรียนรู้ใน เนื้อหา สาระและตามจุดประสงค์ของวิชา อาจจำแนกออกได้เป็น 2 ประเภท คือ 1. แบบทดสอบอิงเกณฑ์ หมายถึง แบบทดสอบที่สร้างขึ้นตามจุดประสงค์ เชิงพฤติกรรม มีคะแนนจุดตัดหรือคะแนนเกณฑ์สำหรับให้ตัดสินว่าผู้สอบมีความรู้ตามเกณฑ์ที่กำหนด ไว้หรือไม่ การวัดตรงจุดประสงค์คือ หัวใจสำคัญของแบบทดสอบ 2. แบบทดสอบอิงกลุ่ม หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งสร้างเพื่อวัดให้ครอบคลุมหลักสูตร จึงสร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตร ความสามารถในการจำแนกผู้สอนตามความเก่ง-อ่อนได้ดีเป็นหัวใจ ของข้อสอบในแบบทดสอบนี้ เยาวดี วิบูลย์ศรี (2548 : 16) ได้ให้ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ว่าเป็น แบบทดสอบที่ใช้วัดผลการเรียนรู้ด้านเนื้อหาวิชา และทักษะต่าง ๆ ของแต่ละสาขาวิชาโดยเฉพาะ อย่างยิ่งสาขาวิชาทั้งหลายที่ได้จัดสอนในระดับชั้นต่าง ๆ ของแต่ละโรงเรียน สรุปได้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง เครื่องมือที่ใช้วัดความรู้ สมรรถภาพทางสมองของบุคคลซึ่งแสดงออกเป็นความรู้ความสามารถทางวิชาการ อันเกิดจากการ เรียนรู้ในด้านเนื้อหาวิชา ทักษะต่าง ๆ และจุดประสงค์การเรียนรู้ของเนื้อหาวิชาที่สอน 4. ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ (2538 : 146) ได้ให้ความหมายของแบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ว่า เป็นแบบทดสอบที่วัดความรู้ของนักเรียนหลังจากที่ได้เรียนไปแล้ว ซึ่งมักจะเป็นข้อคำถามให้นักเรียนตอบด้วยกระดาษและดินสอกับให้นักเรียนปฏิบัติจริง ซึ่ง แบ่งแบบทดสอบประเภทนี้เป็น 2 ประเภท คือ 1. แบบทดสอบของครู หมายถึง ชุดของข้อคำถามที่ครูเป็นผู้สร้างขึ้น เป็นข้อคำถาม ที่เกี่ยวกับความรู้ที่นักเรียนได้เรียนในห้องเรียน เป็นการทดสอบว่านักเรียนมีความรู้ มากแค่ไหน บกพร่องในส่วนใดจะได้สอนซ่อมเสริม หรือเป็นการวัดเพื่อดูความพร้อมที่จะเรียนในเนื้อหาใหม่ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความต้องการของครู


20 2. แบบทดสอบมาตรฐาน หมายถึง แบบทดสอบที่สร้างขึ้นจากผู้เชี่ยวชาญ ในแต่ละสาขาวิชา หรือจากครูที่สอนวิชานั้น แต่ผ่านการทดลองหาคุณภาพหลายครั้ง จนมีคุณภาพดี จึงสร้างเกณฑ์ปกติของแบบทดสอบนั้น สามารถใช้หลักและเปรียบเทียบผลเพื่อประเมินค่า ของการเรียนการสอนในเรื่องใด ๆ ก็ได้ แบบทดสอบมาตรฐานจะมีคู่มือดำเนินการสอบถึงวิธีการ และ ยังมีมาตรฐานในด้านการแปลคะแนนด้วยทั้งแบบทดสอบของครูและแบบทดสอบมาตรฐาน จะมี วิธีการในการสร้าง ข้อคำถามที่เหมือนกัน เป็นคำถามที่วัดเนื้อหาและพฤติกรรมในด้านต่าง ๆ ทั้ง 4 ด้าน ดังนี้ 1. วัดด้านการนำไปใช้ 2. วัดด้านการวิเคราะห์ 3. วัดด้านการสังเคราะห์ 4. วัดด้านการประเมินค่า สมนึก ภัททิยธนี (2551 : 73-82) ได้ให้ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนว่า หมายถึง แบบทดสอบวัดสมรรถภาพทางสมองต่าง ๆ ที่นักเรียนได้รับการเรียนรู้ ผ่านมาแล้ว ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือแบบทดสอบที่ครูสร้างกับแบบทดสอบมาตรฐาน แต่ เนื่องจากครูต้องทำหน้าที่วัดผลนักเรียน คือเขียนข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่ตนได้สอน ซึ่งเกี่ยวข้อง โดยตรงกับแบบทดสอบที่ครูสร้างและมีหลายแบบแต่ที่นิยมใช้มี6 แบบดังนี้ 1. ข้อสอบแบบอัตนัยหรือความเรียง (Subjective or essay Test) ลักษณะทั่วไป เป็นข้อสอบที่มีเฉพาะคำถาม แล้วให้นักเรียนเขียนตอบอย่างเสรี เขียนบรรยายตามความรู้ และ ข้อคิดเห็นแต่ละคน 2. ข้อสอบแบบกาถูก-ผิด (True-false Test) ลักษณะทั่วไปถือได้ว่าข้อสอบแบบกา ถูก-ผิด คือข้อสอบแบบเลือกตอบที่มี 2 ตัวเลือก แต่ตัวเลือกดังกล่าวเป็นแบบคงที่และมีความหมาย ตรงกันข้าม เช่น ถูก-ผิด ใช่-ไม่ใช่ จริง-ไม่จริง เหมือนกัน-ต่างกัน เป็นต้น 3. ข้อสอบแบบเติมคำ (Completion Test) ลักษณะทั่วไปเป็นข้อสอบที่ประกอบด้วย ประโยคหรือข้อความที่ยังไม่สมบูรณ์ให้ผู้ตอบเติมคำ หรือประโยค หรือข้อความลงในช่องว่างที่เว้นไว้ นั้นเพื่อให้มีใจความสมบูรณและถูกต้อง 4. ข้อสอบแบบตอบสั้น ๆ (Short Answer Test) ลักษณะทั่วไปข้อสอบประเภทนี้ คล้ายกับข้อสอบแบบเติมคำ แต่แตกต่างกันที่ข้อสอบแบบตอบสั้น ๆ เขียนเป็นประโยคคำถาม


21 สมบูรณ์(ข้อสอบเติมคำเป็นประโยคหรือข้อความที่ยังไม่สมบูรณ์) แล้วให้ผู้ตอบเป็นคนเขียนตอบ คำตอบที่ต้องการจะสั้นและกะทัดรัดได้ใจความสมบูรณ์ไม่ใช่เป็นการบรรยายแบบข้อสอบอัตนัยหรือ ความเรียง 5. ข้อสอบแบบจับคู่ (Matching Test) ลักษณะทั่วไป เป็นข้อสอบเลือกตอบชนิดหนึ่ง โดยมีคำหรือข้อความแยกจากกันเป็น 2 ชุด แล้วให้ผู้ตอบเลือกจับคู่ว่า แต่ละข้อความในชุดหนึ่ง (ตัวยืน) จะคู่กับคำหรือข้อความใดในอีกชุดหนึ่ง (ตัวเลือก) ซึ่งมีความสัมพันธ์กันอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามที่ผู้ออกข้อสอบกำหนดไว้ 6. ข้อสอบแบบเลือกตอบ (Multiple Choice Test) ลักษณะทั่วไป ข้อสอบแบบ เลือกตอบนี้จะประกอบด้วย 2 ตอน ตอนนำหรือคำถาม (Stem) กับตอนเลือก (Choice) ในตอนเลือก นี้จะประกอบ ด้วยตัวเลือกที่เป็นคำตอบถูกและตัวเลือกที่เป็นตัวลวง ปกติจะมีคำถามที่กำหนดให้ นักเรียนพิจารณาแล้วหาตัวเลือกที่ถูกต้องมากที่สุดเพียงตัวเลือกเดียวจากตัวเลือกอื่น ๆ และคำถาม แบบเลือกตอบที่ดีนิยมใช้ตัวเลือกที่ใกล้เคียงกัน ดูเผิน ๆ จะเห็นว่าทุกตัวเลือกถูกหมด แต่ความจริง มีน้ำหนักถูกมากน้อยต่างกัน สรุปได้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือแบบทดสอบ ที่ครูสร้างขึ้นและแบบทดสอบมาตรฐาน 5. การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน บุญชม ศรีสะอาด (2545 : 59-61) ได้กล่าวถึง การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนว่า เป็นการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบอิงเกณฑ์ ซึ่งดำเนินตาม ขั้นตอน ดังนี้ 5.1 วิเคราะห์จุดประสงค์ เนื้อหาขั้นแรกจะต้องทำการวิเคราะห์ดูเนื้อหาที่ต้องการ ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ และที่จะต้องวัดแต่ละหัวข้อต้องให้ผู้เรียนเกิดพฤติกรรมหรือสมรรถภาพอะไร กำหนดออกมาชัดเจน 5.2 กำหนดพฤติกรรมย่อยที่ออกข้อสอบ จะพิจารณาว่าจะวัดพฤติกรรมย่อยอะไรบ้าง อย่างละกี่ข้อ พฤติกรรมย่อยดังกล่าว คือจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมนั่นเอง เมื่อกำหนดจำนวนข้อ ที่ต้องการจริงเสร็จแล้ว ต้องพิจารณาว่าจะออกข้อสอบเกินเท่าไร ทั้งนี้หลังจากที่นำไปทดลองใช้และ วิเคราะห์คุณภาพของข้อสอบรายข้อแล้วจะต้องตัดข้อที่มีคุณภาพไม่เข้าเกณฑ์ออกข้อสอบที่เหลือ จะได้ไม่น้อยกว่าจำนวนต้องการจริง


22 5.3 กำหนดรูปแบบของข้อสอบและศึกษาวิธีการเขียนข้อสอบขั้นตอนนี้เหมือนขั้นตอน ที่ 2 ของการวางแผนสร้างแบบวัดผลสัมฤทธิ์แบบอิงเกณฑ์ทุกประการ คือ ตัดสินใจ ว่าจะใช้ ข้อคำถามรูปแบบใด และศึกษาวิธีเขียนข้อสอบเพื่อนำไปใช้ในการเขียนข้อสอบ 5.4 เขียนข้อสอบ ลงมือเขียนข้อสอบตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ตามตาราง ที่กำหนดจำนวนข้อสอบของแต่ละจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมและใช้รูปแบบเทคนิคการเขียนตามที่ ศึกษา 5.5 ตรวจสอบข้อสอบนำข้อสอบที่เขียนเสร็จแล้วมาตรวจสอบอีกครั้ง โดยพิจารณา ความถูกต้องตามหลักวิชาภาษาที่ใช้เขียนมีความชัดเจน เข้าใจง่ายหรือไม่ตัวถูกและตัวลวง 5.6 ให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาความเที่ยงตรงตามเนื้อหานำจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมและ ข้อสอบที่วัดแต่ละจุดประสงค์ไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการวัดผลและด้านเนื้อหาจำนวนไม่น้อยกว่า 3 คน พิจารณาข้อสอบว่ามีความเที่ยงตรงกับจุดประสงค์หรือไม่ ควรพิจารณาให้เหมาะสม 5.7 พิมพ์แบบทดสอบฉบับทดลองนำข้อสอบทั้งหมดที่ผ่านการพิจารณาเหมาะสม เข้าเกณฑ์ในขั้นที่ 6 มาพิมพ์เป็นแบบทดสอบ มีคำชี้แจงเกี่ยวกับแบบทดสอบ วิธีตอบ การจัดวาง รูปแบบการพิมพ์ให้เหมาะสม 5.8 ทดลองใช้ วิเคราะห์คุณภาพ และปรับปรุง 5.9 พิมพ์แบบทดสอบฉบับจริง เยาวดี วิบูลย์ศรี (2548 : 178-179) ได้กล่าวถึงการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนว่า การสร้างแบบทดสอบจะต้องมีวิธีการเตรียมตัว การวางแผนเพื่อให้แบบทดสอบ ดังกล่าวมีกลุ่มตัวอย่างของพฤติกรรมที่ต้องการวัดได้อย่างเด่นชัด ซึ่งจะต้องอาศัยกลวิธีในการสร้าง แบบทดสอบสามารถแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอนดังนี้ ขั้นที่ 1 กำหนดวัตถุประสงค์ทั่วไปของการสอบให้อยู่ในรูปของวัตถุประสงค์เชิง พฤติกรรม โดยระบุเป็นข้อ ๆ และให้วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมเหล่านั้นสอดคล้องกับเนื้อหาสาระ ทั้งหมดที่จะทำการทดสอบด้วย ขั้นที่ 2 กำหนดโครงเรื่องของเนื้อหาสาระที่จะทำการทดสอบให้ครบถ้วน ขั้นที่ 3 เตรียมตารางเฉพาะหรือผังของแบบทดสอบเพื่อแสดงถึงน้ำหนักของ เนื้อหาวิชาแต่ละส่วน และพฤติกรรมต่าง ๆ ที่ต้องการทดสอบให้เด่นชัด สั้น กะทัดรัดและมีความ ชัดเจน


23 ขั้นที่ 4 สร้างข้อกระทงทั้งหมดที่ต้องการจะทดสอบให้เป็นไปตามสัดส่วนของน้ำหนักที่ ระบุไว้ในตารางเฉพาะ สรุปได้ว่า การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีขั้นตอนดังนี้ 1. วิเคราะห์จุดประสงค์ 2. กำหนดพฤติกรรมย่อยที่ออกข้อสอบ 3. กำหนดรูปแบบของข้อสอบและศึกษาวิธีการเขียนข้อสอบ 4. เขียนข้อสอบ 5. ตรวจสอบข้อสอบ 6. ให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาความเที่ยงตรงตามเนื้อหา 7. พิมพ์แบบทดสอบฉบับทดลอง 8. ทดลองใช้ วิเคราะห์คุณภาพและปรับปรุง 9. พิมพ์แบบทดสอบฉบับจริง งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1. งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามรูปแบบซิปปา 1.1 งานวิจัยในประเทศ รุ่งทิพย์ กุลทนันท์ (2553) ได้ศึกษาจำนวนนักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้โมเดลซิปปา ที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตั้งแต่ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม และเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คณิตศาสตร์ ก่อนเรียนกับหลังเรียนของนักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้โมเดลซิปปา กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2553 โรงเรียนสำนักขุนเณร (หลวงพ่อเขียนอุทิศ) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 จำนวน 30 คน กลุ่มตัวอย่างซึ่งได้มาจากการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) แผนการสอน โดยใช้โมเดลซิปปา ที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 คน 2) แบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวก ลบจำนวน ซึ่งเป็นแบบทดสอบปรนัย 3 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อมีค่าความยากง่ายตั้งแต่ 0.31 ถึง 0.69 มีอำนาจจำแนก (B) ตั้งแต่ 0.22 - 0.55 และมีค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.69 ผลการวิจัยพบว่า 1. นักเรียนร้อยละ 80 ของนักเรียน ทั้งหมด มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม 2. นักเรียน


24 ที่ได้รับการสอนโดยใช้โมเดลซิปปา มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 ณภัทรรพินทร์ บันเทิง (2559) ได้ทำการวิจัยรายงานผลการการพัฒนาทักษะการแก้ปัญหา ทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ความน่าจะเป็น ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้โมเดลซิปปา(CIPPA Model) ผลการวิจัยพบว่า 1) ปรากฏว่า การจัดการเรียนรู้แบบโมเดลซิปปา (CIPPA Model) สามารถพัฒนา ผลการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความน่าจะเป็น ได้ดีขึ้น 2) การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หลังการปฏิบัติการพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ โดยใช้โมเดลซิปปา(CIPPA Model) กับเกณฑ์ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม พบว่า หลังปฏิบัติการมี คะแนนสูงกว่าเกณฑ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความน่าจะเป็น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ตั้งเกณฑ์วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คือ นักเรียนมีคะแนนการทดสอบผ่าน เกณฑ์ไม่ต่ำกว่า ร้อยละ 50 ของคะแนนเต็ม เมื่อสิ้นสุดการปฏิบัติการผู้วิจัยได้ประเมินผล การปฏิบัติการ โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผลปรากฏว่า มีนักเรียนร้อยละ 94.28 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด ที่มีคะแนนการทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยของการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่า คะแนนทดสอบก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 วาสนา ดอนศิลา (2555) ได้ศึกษาการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วน โดยใช้โมเดลซิปปา (CIPPA Model) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ประจำภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2555 โรงเรียนบ้านใหม่ชัยมงคล อำเภอคำม่วง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา กาฬสินธุ์ เขต 3 จำนวน 12 คน ผลการวิจัยพบว่า 1) การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โดยใช้โมเดลซิปปา (CIPPA Model) 7 ขั้นตอน กับการใช้หลักการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ช่วยให้นักเรียน มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้อย่างทั่วถึงและเป็นผู้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตนเอง นักเรียน ทุกคนได้ร่วมแสดงความคิดเห็นและร่วมอภิปราย เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับกลุ่ม นักเรียนสามารถ สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ส่งผลให้นักเรียนเข้าใจเนื้อหา อย่างลึกซึ้งและจดจำได้ดี ได้เคลื่อนไหว ทางกายทำให้นักเรียนตื่นตัว มีสมาธิและความพร้อมในการเรียนส่งผลให้เรียน ด้วยความสนใจและ ตั้งใจเรียน ได้มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลและสิ่งแวดล้อมรอบตัว สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ได้จริง 2) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยร้อยละ 79.17 และมีนักเรียนจำนวน 10 คน คิดเป็นร้อยละ


25 83.33 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตั้งแต่ร้อยละ 70 ขึ้นไป ซึ่งผ่านเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วน โดยใช้ โมเดลซิปปา (CIPPA Model) โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เตือนใจ ครองญาติ(2560) ได้ศึกษาการพัฒนารูปแบบการสอนตามแนวคิดซิปปาโมเดล ประกอบแบบฝึกทักษะ “สนุกคิดพิชิตโจทย์ปัญหา” เพื่อพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเทศบาลวัดมเหยงคณ์ เทศบาลนครนครศรีธรรมราช ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการ พัฒนารูปแบบการสอนตามแนวคิดซิปปาโมเดล ประกอบแบบฝึกทักษะ “สนุกคิดพิชิตโจทย์ปัญหา” เพื่อพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 สรุปได้ดังนี้ 1.1 ผลจากการวิเคราะห์เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับการพัฒนารูปแบบการสอนตามแนวคิดซิปปาโมเดล ประกอบแบบฝึกทักษะ “สนุกคิดพิชิต โจทย์ปัญหา” เป็นนวัตกรรมทางการศึกษาในรูปแบบหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดย ผ่านกระบวนการสอนตามแนวคิดซิปปาโมเดล ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ผู้เรียนมีการแลกเปลี่ยน ความรู้ จัดระเบียบความรู้เพื่อให้จำได้ง่าย มีการทำกิจกรรมกลุ่ม 1.2 ผลการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน พบว่า ความต้องการในการใช้รูปแบบการสอนตามแนวคิดซิปปาโมเดล ประกอบแบบ ฝึกทักษะ ผลการสร้างและหาประสิทธิภาพรูปแบบการสอนตามแนวคิดซิปปาโมเดล ประกอบแบบ ฝึกทักษะ “สนุกคิดพิชิตโจทย์ปัญหา” เพื่อพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ กลุ่มสาระ การเรียนรู้คณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และมีประสิทธิภาพโดยรวมเท่ากับ 87.21/84.95 3) ผลการใช้รูปแบบการสอนตามแนวคิดซิปปาโมเดล ประกอบแบบฝึกทักษะ “สนุก คิดพิชิตโจทย์ปัญหา” วัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ สำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .01 4) ผลการประเมินรูปแบบการสอนโดยผู้เชี่ยวชาญ ประกอบแบบฝึกทักษะ “สนุก คิดพิชิตโจทย์ปัญหา” เพื่อพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โดยรวมอยู่ระดับมาก (= 4.46) และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า รูปแบบการสอนตามแนวคิดซิปปาโมเดลเกือบทุกข้ออยู่ในระดับมาก และข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูง ที่สุด คือ สามารถนำความรู้ที่ได้รับจากการเรียนไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ (= 4.83) รองลงมาคือ


26 รูปแบบการสอนมีความเหมาะสมในการนำมาใช้ส่งเสริมทักษะการคิด (= 4.60) และส่งเสริม ให้นักเรียนมีความคิดวิเคราะห์ในการจัดแสดงผลงาน (= 4.57) ตามลำดับ มุกดา ใสวารี(2552) ได้ศึกษาการวิจัยการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้โมเดล ซิปปา (CIPPA MODEL) ในรายวิชาคณิตศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เรื่องกำหนดการเชิงเส้น โรงเรียน เทศบาลวัดกลาง สำนักการศึกษาเทศบาลนครขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น พบว่า ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน มีจำนวนนักเรียนที่ผานเกณฑ์ คิดเป็นร้อยละ 88.57 โดยทั้งชั้นมีคะแนน เฉลี่ยคิดเป็น ร้อยละ80.50 คะแนนอยูในเกณฑ์ดีมาก ซึ่งสูงกวาเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ มีจำนวนนักเรียนไม่น้อยกว่า ร้อยละ75 ของนักเรียนทั้งหมดมีคะแนนผานเกณฑ์ตั้งแต่ร้อยละ75 ขึ้นไป และ ความคิดเห็น ของนักเรียนต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้โมเดลซิปปา (CIPPAMODEL) พบว่า ความคิดเห็น ของนักเรียนทั้งภาพรวมและรายด้านคือ ด้านรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้านทักษะ กระบวนการทางคณิตศาสตร์และด้านคุณลักษณะอื่น ๆ อยู่ในระดับมาก ชลากร ณัฎฐปัญญามาศ (2553) ได้ศึกษาการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความสามารถการให้เหตุผลและการคิดอยางมีวิจารณญาณ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ระหว่าง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ TAI กับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ CIPPA พบว่า มีดัชนี ประสิทธิผลของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ TAI และแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบ CIPPA เรื่องจำนวนจริงกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีค่าเท่ากับ 0.54 และ0.56 แสดงว่านักเรียนมีความก้าวหน้าทางการเรียนเท่ากับ 0.54 และ 0.56 และนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ TAI และแบบ CIPPA มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลังเรียนไม่แตกต่างกัน แต่กลุ่มที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ CIPPA มี ความสามารถการให้เหตุผลและการคิดอย่างมีวิจารณญาณหลังเรียนสูงกว่า กลุ่มที่ได้รับ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ TAI อยางมีนัยสําคัญทางสถิติ (p < .0001) สุรเชษฐ์ศรีนาทม (2553) ได้ศึกษาผลการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบซิปปา เรื่อง ระบบ สมการเชิงเส้น กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่า ดัชนีประสิทธิผล ของ แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐานตามรูปแบบซิปปา เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้น กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีค่าเท่ากับ 0.60 และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบซิปปา เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้น โดยรวม อยู่ในระดับมาก


27 ชเรนทร์ จิตติพุทธางกูร (2553) ได้ศึกษาการส่งเสริมทักษะการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ เรื่องพีทาโกรัส โดยใช้กิจกรรมการเรียนการสอนแบบซิปปา สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนโคกยางวิทยา จังหวัดสุรินทร์ พบวาการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ ในสาระคณิตศาสตร์ พบว่านักเรียนมีความสามารถในการนําหลักการวิธีการความรู้ เรื่องทฤษฎีบทพีทาโกรัส ไปเชื่อมโยง กับคู่อันดับและกราฟ สมการ การวัด อัตราส่วน และจำนวนจริง เพื่อใช้ในการแก้ปัญหา อยู่ในระดับดี และการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์กบชีวิตจริง พบว่านักเรียนมีความสามารถในการนําหลักการ วิธีการ ความรู้เรื่องทฤษฎีบทพีทาโกรัส กับงานที่เกี่ยวข้องในชีวิตประจำวัน เพื่อนําไปสู่การแกปัญหา อยู่ ในระดับดี รัฐศาสตร์ พรคุณวุฒิ (2553) ได้ศึกษาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ ที่เชื่อมโยงกับสถานการณ์ในชีวิตจริง เรื่อง การวัด สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียน แกน้อยศึกษา จังหวัดเชียงใหม่ พบว่า ความสามารถของนักเรียนในการก้ปัญหา ทางคณิตศาสตร์ ที่เชื่อมโยงกับสถานการณ์ในชีวิตจริงจากการทำแบบฝึกหัด/ ใบงาน โดยเฉลี่ย นักเรียนอยู่ในเกณฑ์ ระดับดี และจากแบบทดสอบประจำหน่วยโดยเฉลี่ยอยูในระดับดี และความสนใจของนักเรียน ต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ด้านความกระตือรือร้น ในการเข้าร่วม กิจกรรมการเรียนการ สอน และด้านความเอาใจใส่ต่องานที่ได้รับมอบหมาย นักเรียนแสดงพฤติกรรมในระดับมาก ส่วนด้าน ความอยากรู้อยากเห็นนักเรียนเขียนบันทึกการเรียนรู้เกี่ยวกับความต้องการประยุกต์ใช้ความรู้ ทางคณิตศาสตร์กับบริบทชีวิตจริงในระดับมาก อัศวิน พุ่มมรินทร์ (2556) ได้ศึกษาผลการจัดการเรียนรู้แบบซิปปา (CIPPA MODEL) เรื่อง ลำดับและอนุกรม ที่มีต่อความสามารถในการแกปัญหา และความสามารถในการสื่อสาร ทาง คณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 พบวาความสามารถในการแก้ปัญหาทาง คณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หลักการจัดการเรียนรู้แบบซิปปา (CIPPA MODEL) เรื่องลำดับอนุกรม สูงกว่าก่อนได้รับการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01และ มีความสามารถในการแกปัญหาทางคณิตศาสตร์ สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60 อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 และความสามารถในการสื่อสารทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หลักการจัดการเรียนรู้แบบซิปปา (CIPPA MODEL) เรื่องลำดับและอนุกรม สูงกว่าก่อนได้รับ การจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และมีความสามารถในการสื่อสาร ทาง คณิตศาสตร์สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60


28 นงคราญ หลวงเขียว (2556) ได้ศึกษาการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปากับ การใช้ สถานการณ์ในชีวิตจริง เรื่อง พื้นที่ผิวและปริมาตร ที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ ความสามารถในการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่านักเรียนมี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์หลังได้รับการเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปาร่วมกับ การใช้สถานการณ์ในชีวิตจริงสูงกว่าก่อนเรียนอยางมีนัยสําคัญทางสถิติระดับ .05 และ มีความสามารถในการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 ณัฐวรา อาแวเลาะ (2557) ได้ศึกษาผลการจัดกิจกรรมการเรียนการสนแบบซิปปา ที่เน้น ทักษะการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์สู่สถานการณ์ในโลกจริง เรื่องความน่าจะเป็น ผลจากการศึกษา พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนการสอนแบบซิปปาที่เน้น ทักษะการเชื่อมโยงคณิตศาสตร์สู่สถานการณ์ในโลกจริงสูงกว่านักเรียนที่เรียนโดยการจัดกิจกรรม การเรียนการสอนแบบปกติอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และการพัฒนาทักษะการเชื่อมโยง ทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนการสอนแบบซิปปาที่เน้นทักษะ การเชื่อมโยงคณิตศาสตร์สู่สถานการณ์ในโลกจริง สูงกว่านักเรียนที่เรียนโดยการจัดกิจกรรมการเรียน การสอนแบบปกติอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05และการจัดการเรียนการสอนทั้งสองแบบ มีคะแนนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 50 ของคะแนนที่หักออกจากการทดสอบก่อนเรียน 1.2 งานวิจัยต่างประเทศ โจฮันนิ่ง (Johanning, 2000, pp.151-160) ได้ศึกษาการวิเคราะห์การเขียน และการทำงาน กลุ่มร่วมกัน ของนักเรียนมัธยมศึกษา ในวิชาพีชคณิตเบื้องต้น โดยส่งเสริมให้นักเรียนอ่าน เขียน อภิปรายทางคณิตศาสตร์ เช่นเดียวกับการพัฒนาความคิดทางคณิตศาสตร์ โดยให้ความสำคัญกับ การเขียนที่จะช่วยให้นักเรียนคิดไปพร้อม ๆ กันโดยพิจารณาจากผลงานของนักเรียน เป็นการวิจัย เพื่อศึกษาความเข้าใจของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาว่ามีความเข้าใจอย่างไร คิดอย่างไรกับวิธีการ แก้ปัญหาที่ได้เขียนอธิบาย ซึ่งกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนเกรด 7 และ 8 จำนวน 48 คน การดำเนินการโดยใช้การเขียน และการทำงานกลุ่มทดลองเป็นเวลา 1 ปี มีการเก็บรวบรวมข้อมูล ด้วยภาพถ่ายการมีส่วนร่วมและการอภิปรายกลุ่ม การสัมภาษณ์นักเรียน ผลการศึกษาพบว่า การเขียนอธิบายเป็นวิธีหนึ่งที่กระตุ้นนักเรียนในการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เมื่อนักเรียนได้สื่อสาร ความคิดของตนลงบนกระดาษ และการถ่ายทอดสู่บุคคลอื่น การเขียนอธิปรายกลุ่มทำให้มันใจ ว่า นักเรียนทุกคนมีโอกาสศึกษาด้วยตนเองก่อนที่จะพบครูกับเพื่อน ๆ การเขียนทำให้นักเรียนมีความ


29 มั่นใจมากขึ้นในการทำงานกลุ่ม โดยการแลกเปลี่ยนความคิดภายในกลุ่ม ซึ่งบรรยากาศเช่นนี้นักเรียน จะมีความกระตือรือร้นในการคิดละการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้คณิตศาสตร์ อัลฮาลาล (Al-halal, 2001, p.1697-A) ได้ศึกษาการผลกระทบของการจัดกิจกรรม การเรียนการสอนแบบรายบุคคลกับการเรียนแบบร่วมมือที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์และการใช้ทักษะในการเข้าสังคมของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา ซึ่งได้ทำ การทดสอบผลกระทบของวิธีการจัดการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ในระดับชั้นประถมศึกษ 2 วิธี คือการเรียนการสอนแบบรายบุคคลกบการเรียนแบบร่วมมือ ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์และการใช้ทักษะในการเข้าสังคมของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา ผลการวิจัยพบว่า การจัดการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการเรียนแบบร่วมมือ ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนสูงกว่าการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบรายบุคคล ดังนั้น การจัดการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการเรียนแบบร่วมมือ สามารถช่วยเพิ่มระดับผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์และการใช้ทักษะในการเข้าสังคมของนักเรียนในชั้นระดับชั้น ประถมศึกษา 2 ได้จริงอีกทั้งจากผลการวิเคราะห์ค่าทางด้านสถิติแล้วพบว่า ผู้ถูกสัมภาษณ์ทุกคน มีความเห็นพ้องกันว่าพวกเขาชอบการใช้วิธีการเรียนแบบร่วมมือมากกว่าด้วย วิคลันด์ (Wicklund, 2003, p. 3457-A) ได้ศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิภาพของการจัด การ เรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ตามลำดับขั้นตอนการจัดกิจกรรมที่ครูออกแบบ โดยมุ่งเน้น ให้ผู้เรียนได้ลงมือทำกิจกรรมตามความสามารถ ตามศักยภาพของนักเรียน ระหว่างการเรียนเป็น รายบุคคลกบการเรียนรู้โดยทำกิจกรรมร่วมกันเป็นกลุ่ม ที่ครูผู้สอนให้คำแนะนํา และดูแล ในการเรียนในขณะที่ทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อให้สามารถำทำงานได้ตามกำหนดเวลาผลงาน มีความ ถูกต้อง นักเรียนได้เกิดทักษะในการทำงาน ผลการวิจัย พบวา่ นักเรียนทั้งสองกลุ่มใช้เวลาใน การทำงานที่แตกต่างกัน นักเรียนที่พบว่านักเรียนที่เรียนตามลดับขั้นตอนการจัดกิจกรรมตาม แผนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ใช้เวลาในการทำงานน้อยกว่านักเรียนที่เรียนรายบุคคล วิคลันด์ (Wicklund, 2003, p. 3457-A) ได้ศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิภาพของการจัด การ เรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ตามลำดับขั้นตอนการจัดกิจกรรมที่ครูออกแบบ โดยมุ่งเน้น ให้ผู้เรียนได้ลงมือทำกิจกรรมตามความสามารถ ตามศักยภาพของนักเรียน ระหว่างการเรียน เป็นรายบุคคลกบการเรียนรู้โดยทำกิจกรรมร่วมกันเป็นกลุ่ม ที่ครูผู้สอนให้คำแนะนํา และดูแล ในการเรียนในขณะที่ทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อให้สามารถทำงานได้ตามกำหนดเวลาผลงาน มีความถูก ต้อง นักเรียนได้เกิดทักษะในการทำงาน ผลการวิจัย พบว่า นักเรียนทั้งสองกลุ่มใช้เวลาใน การทำงาน


30 ที่แตกต่างกัน นักเรียนที่พบว่านักเรียนที่เรียนตามลำดับขั้นตอนการจัดกิจกรรมตาม แผนการจัดการ เรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ใช้เวลาในการทำงานน้อยกว่านักเรียนที่เรียนรายบุคคล เวเบอร์(Weber, 2006, p. 3273-A) ได้ศึกษาเกี่ยวกับความเชื่อของนักเรียน และความกังวล เกี่ยวกับการสอนคณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นการศึกษาวิจัยในเรื่องหลักสูตรวิธีการเกี่ยวกับ คณิตศาสตร์ชั้นต้น ในแบบวิธีการสร้างสรรค์ความรู้จากการศึกษา พบว่าชั้นเรียนที่สอนคณิตศาสตร์แบบการสร้างสรรค์ ความรู้จะทำให้ลดความกังวลเกี่ยวกับวิชาคณิตศาสตร์ลดลง และไปเปลี่ยนแนวความคิดเกี่ยวกับ คณิตศาสตร์ โดยชี้ให้เห็นว่าเมื่อนักเรียนได้รับประสบการณ์วิชาคณิตศาสตร์่ ในสภาพแวดล้อม ที่เป็นแบบการสร้างสรรค์ความรู้ก็จะเป็นที่เข้าใจได้ดีและน่าเรียนรู้อย่าง สนุกสนาน ความกังวล ในวิชาคณิตศาสตร์ก็จะน้อยลงและยุทธวิธีที่ไปสร้างสภาพแวดล้อม แบบการสร้างสรรค์ความรู้ ในห้องเรียน ก็เป็นเทคนิควิธีที่ครูฝึกสอนยอมรับผู้ศึกษาค้นคว้าได้ศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ทั้งในประเทศ และต่างประเทศพบว่าให้ผลสอดคล้องกันคือ นักเรียนที่เรียนตามกิจกรรมตามรูปแบบ ซิปปาจะมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น และมีความคงทน ในการเรียนรู้เพราะผู้เรียนได้สร้างสรรค์ ความรู้ด้วยตนเอง มีการลงมือปฏิบัติการตรวจสอบความรู้และแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน


31 บทที่ 3 วิธีการดำเนินงาน ผลของการเรียนการสอนแบบซิปปา เรื่อง เลขยกกำลัง ที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัยดำเนินการตามลำดับ ดังนี้ 1. ประชากรและกลุ่มเป้าหมาย 2. แบบแผนการทดลอง 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 4. การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 5. การเก็บรวบรวมข้อมูล 6. การวิเคราะห์ข้อมูล 7. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1. ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 นครอุดรธานี สังกัดสำนักการศึกษา เทศบาลนครอุดรธานี ปีการศึกษา 2565 2. กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ห้อง ม.1/5 จำนวน 32 คน โรงเรียน มัธยมเทศบาล 6 นครอุดรธานี สังกัดสำนักการศึกษา เทศบาลนครอุดรธานี ปีการศึกษา 2565 แบบแผนการทดลอง การศึกษาครั้งนี้มีแบบแผนการทดลอง (Experimental Design) กลุ่มเดียวทดสอบก่อนเรียน และการทดสอบหลังเรียน One Group Pretest – Posttest Design (พวงรัตน์ทวีรัตน์, 2540 : 60-61) ดังแสดงแบบแผน กลุ่ม สอบก่อน ทดลอง สอบหลัง E T1 X T2 สัญลักษณ์ที่ใช้ในแบบแผนการทดลอง E แทน กลุ่มทดลอง (Experimental Group) T1 แทน การทดสอบก่อนเรียน (Pre-test)


32 X แทน การเรียนรู้ตามรูปแบบซิปปา T2 แทน การทดสอบหลังเรียน (Post-test) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. แผนการจัดการเรียนรู้แบบซิปปาเรื่อง เลขยกกำลัง วิชาคณิตศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 5 แผน ทั้งหมด 10 ชั่วโมง ดังนี้ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 การเขียนเลขยกกำลังที่มีเลขชี้กำลังเป็นจำนวนเต็มบวก (จำนวน 2 ชั่วโมง) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 การคูณเลขยกกำลัง เมื่อเลขชี้กำลังเป็นจำนวนเต็มบวก (จำนวน 2 ชั่วโมง) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 การหารเลขยกกำลัง เมื่อเลขชี้กำลังเป็นจำนวนเต็มบวก (จำนวน 2 ชั่วโมง) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 การเขียนจำนวนในรูปสัญกรณ์วิทยาศาสตร์(จำนวน 2 ชั่วโมง) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 การนำความรู้เกี่ยวกับเลขยกกำลังไปใช้ในชีวิตจริง (จำนวน 2 ชั่วโมง) 2. แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เลขยกกำลัง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เป็นแบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ขอ การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือตามลำดับขั้นตอน ดังนี้ 1. แผนการจัดการเรียนรู้แบบซิปปาเรื่อง เลขยกกำลัง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัย ได้ดำเนินการสร้าง ดังนี้ 1.1 ศึกษาและวิเคราะห์แนวคิด ทฤษฎีและการจัดการเรียนการสอนกิจกรรมการเรียนรู้ วิชาคณิตศาสตร์โดยการจัดการเรียนรู้แบบซิปปา 1.2 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2560 กลุ่มสาระ การเรียนรู้คณิตศาสตร์คู่มือครูหนังสือเรียนวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่จัดทำโดยอักษรเจริญทัศน์ 1.3 ศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 นครอุดรธานีกลุ่มสาระการ เรียนรู้คณิตศาสตร์ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น วิชาคณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1


33 1.4 สร้างตารางวิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้และเนื้อหา บทที่ 3 เรื่อง เลขยกกำลัง 1.5 เขียนแผนการจัดการเรียนรู้แบบซิปปา จำนวน 5 แผน รวม 10 ชั่วโมง 1.6 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาและครูพี่เลี้ยง เพื่อตรวจสอบความถูกต้องชัดเจน 1.7 ปรับปรุง และแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้ตามข้อเสนอแนะของอาจารย์ที่ปรึกษา และครูพี่เลี้ยง 1.8 นำแผนการจัดการเรียนรู้ไปทดลองใช้ 2. แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เลขยกกำลัง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เป็นแบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ขอ ซึ่งดำเนินการสร้างตามขั้นตอน ดังต่อไปนี้ 2.1 ศึกษาเอกสารการเรียนรู้ กลุ่มสาระคณิตศาสตร์ ช่วงชั้นที่ 3 เกี่ยวกับผลการเรียนรู้ ที่คาดหวัง มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น คำอธิบายรายวิชา การจัดสาระการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้ (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2545: 1-134) 2.2 ศึกษาวิธีการสร้างแบบทดสอบจากเอกสาร ตำราที่เกี่ยวข้อง (สมนึก ภัททิยธานี, 2544: 137-139) 2.3 วิเคราะห์ผลการเรียนที่คาดหวังและเนื้อหาสาระ เรื่อง เลขยกกำลัง ให้สอดคล้องกัน เพื่อกำหนดจำนวนข้อสอบที่ต้องการจริงและส่วนที่ออกเกินไว้ 2.4 สร้างแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามผลการเรียนรู้ที่คาดหวังของเนื้อหา เรื่อง เลขยกกำลัง เป็นแบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก 3.5 นำแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สร้างเสร็จแล้ว เสนอผู้เชี่ยวชาญชุดเดิม เพื่อประเมินความสอดคล้องระหว่างแบบทดสอบแต่ละข้อกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง (บุญชม ศรีสะอาด, 2545: 63-64) มีเกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้ +1 เมื่อแน่ใจว่าแบบทดสอบข้อนั้นวัดตรงตามผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าแบบทดสอบข้อนั้นวัดตรงตามผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง -1 เมื่อแน่ใจว่าแบบทดสอบข้อนั้นวัดไม่ตรงตามผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง 2.6 นำผลการประเมินความสอดคล้องระหว่างแบบทดสอบแต่ละข้อกับผลการเรียนรู้ ที่คาดหวัง มาวิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้อง โดยใช้สูตร IOC ตั้งแต่ 0.5 ถึง 1.00 เป็นข้อสอบที่อยู่ ในเกณฑ์ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาที่ใช้ได้ 2.7 จัดพิมพ์ข้อสอบใช้เป็นแบบวัดผลฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน เพื่อ นำไปใช้ในการทดลองจริงกับกลุ่มตัวอย่าง


34 การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยได้ดำเนินการศึกษากับกลุ่มเป้าหมายในการจัดการเรียนรู้แบบซิปปา เรื่อง เลขยกกำลัง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 นครอุดรธานีในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โดยใช้แบบ One Group Pre-test Post-test Design ตามขั้นตอน ดังนี้ 1. ทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เลขยกกำลัง ที่ผ่านการหาคุณภาพเรียบร้อยแล้วซึ่งแบบทดสอบเป็นแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ เวลา 1 ชั่วโมง 2. ดำเนินการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยจัดทำขึ้น จำนวน 5 แผน รวม 10 ชั่วโมง โดยให้นักเรียนเรียนและปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ตามขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบซิปปา 3. เมื่อสอนจบสาระการเรียนรู้ เรื่องเลขยกกำลังแล้วให้นักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรียน (Posttest) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เลขยกกำลัง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่สร้างขึ้นฉบับเดียวกันกับก่อนเรียนไปทดสอบนักเรียนอีกครั้ง จากนั้นนำผล ที่ได้ไปวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติต่อไป การวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูลการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ที่ใช้การจัดการเรียนรู้แบบซิปปา เรื่อง เลขยกกำลัง วิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัยดำเนินการโดยใช้โดยใช้ โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติสำหรับข้อมูลทางสังคมศาสตร์ (Statistics Package for the Social Sciences) ตามขั้นตอนดังนี้ 1. ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์โดยการหาคะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน - มาตรฐานและร้อยละ 2. วิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์โดยการเปรียบเทียบระหว่างคะแนน หลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 75 ด้วยการทดสอบทีแบบกลุ่มเดียว (t – test for One Sample) 3. วิเคราะห์แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน โดยนำข้อมูล จากคะแนนสอบวัดผลฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนมาเปรียบเทียบคำนวณหาค่าความแตกต่าง ของคะแนน วิเคราะห์โดยการทดสอบทีแบบไม่อิสระ (t – test for Dependent Sample)


35 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยเลือกใช้สถิติดังนี้ 1. สถิติที่ใช้หาคุณภาพของเครื่องมือ 1.1 การหาคุณภาพแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 1.1.1 การหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างผลการเรียนรู้ที่คาดหวังกับเนื้อหา (บุญชม ศรีสะอาด. 2543: 102) N R IOC = เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างผลการเรียนรู้ที่คาดหวังกับ เนื้อหาของข้อสอบ R แทน ผลรวมคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด 2. สถิติพื้นฐาน 2.1 ค่าร้อยละ (Percentage) 2.2 ค่าเฉลี่ย ( X ) 2.3 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ซึ่งในการคำนวณหาค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย ( X ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) คำนวณผลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติสำหรับวิเคราะห์ข้อมูลทางสังคมศาสตร์ 3. สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน ทดสอบสมมุติฐานโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติสำหรับข้อมูลทางสังคมศาสตร์ (Statistics Package for the Social Sciences) 3.1 สถิติที่ใช้ทดสอบความแตกต่างของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนกับเกณฑ์ ร้อยละ 75 คือ การทดสอบทีแบบกลุ่มเดียว (t – test for One Sample) 3.2 สถิติที่ใช้ทดสอบความแตกต่างของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนกับหลังเรียน คือ การทดสอบทีแบบไม่อิสระ (t – test for Dependent Samples)


36 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยผลของการเรียนการสอนแบบซิปปา เรื่อง เลขยกกำลัง ที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัยได้นำเสนอผลการวิเคราะห์ตามวัตถุประสงค์ ของการวิจัย ดังนี้ ตอนที่ 1 ผลของการเรียนการสอนแบบซิปปา เรื่อง เลขยกกำลัง ที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ระหว่างหลังเรียนกับเกณฑ์ดังแสดงในตารางที่ 4.1-4.2 ตารางที่1 คะแนนที่ได้ ร้อยละ คะแนนเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของคะแนนผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ใช้การจัดการเรียนรู้แบบซิปปา เรื่อง เลขยกกำลัง วิชาคณิตศาสตร์พื้นฐานของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 คนที่ ก่อนเรียน หลังเรียน คะแนน ร้อยละ คะแนน ร้อยละ 1 6 30 15 75 2 3 15 16 80 3 7 35 14 70 4 4 20 15 75 5 5 25 16 80 6 4 20 16 80 7 3 15 14 70 8 5 25 15 75 9 7 35 18 90 10 7 35 16 80 11 7 35 16 80 12 5 25 15 75 13 5 25 14 70 14 8 40 16 80 15 5 25 16 80 16 8 40 14 70


37 คนที่ ก่อนเรียน หลังเรียน คะแนน ร้อยละ คะแนน ร้อยละ 17 8 40 18 90 18 3 15 15 75 19 4 20 16 80 20 4 20 14 70 21 2 10 17 85 22 8 40 16 80 23 4 20 16 80 24 7 35 16 80 25 6 30 15 75 26 3 15 16 80 27 7 35 17 85 28 8 40 16 80 29 8 40 14 70 30 4 20 15 75 31 3 15 16 80 32 4 20 18 90 คะแนนรวม 172 - 501 - ค่าเฉลี่ย 5.38 26.87 15.66 78.28 ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน 1.897 - 1.153 - ร้อยละ 26.87 - 78.28 - จากตารางที่ 1 พบว่า คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ใช้การจัดการเรียนรู้แบบซิปปา เรื่อง เลขยกกำลัง วิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน เท่ากับ 5.38 คิดเป็นร้อยละ 26.87 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 15.66 คิดเป็นร้อยละ 78.28


38 ตารางที่ 2 ผลของการเรียนการสอนแบบซิปปา เรื่อง เลขยกกำลัง ที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ระหว่างหลังเรียนกับเกณฑ์ การทดสอบ คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ t-test หลังเรียน 15.66 1.153 78.28 26.756** เกณฑ์(75%) 15.00 - 75.00 **มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จากตารางที่ 2 พบว่า ผลการวิเคราะห์ข้อมูลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างหลังเรียน กับเกณฑ์ พบว่า จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ15.66 คะแนน คิดเป็นร้อยละ78.28 เมื่อนำมาเปรียบเทียบพบว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่า เกณฑ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ตอนที่ 2 ผลของการจัดการเรียนการสอนแบบซิปปา เรื่อง เลขยกกำลัง ที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ระหว่างหลังเรียนกับหลังเรียน ดังแสดงในตารางที่ 4.3 ตารางที่ 3 ผลของการจัดการเรียนการสอนแบบซิปปา เรื่อง เลขยกกำลัง ที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ระหว่างหลังเรียนกับหลังเรียน การทดสอบ คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ t-test หลังเรียน 15.66 1.153 78.28 26.756* ก่อนเรียน 5.38 1.897 26.87 **มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จากตารางที่ 3 พบว่า จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 15.66 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 78.28 คะแนน เฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 5.38 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 26.87 เมื่อนำมาเปรียบเทียบ พบว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01


39 บทที่5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ผลของการจัดการเรียนการสอนแบบซิปปา เรื่อง เลขยกกำลัง ที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัยได้นำเสนอวัตถุประสงค์ของการวิจัย สมมติฐานการวิจัย วิธีการดำเนินการวิจัย สรุปผลการวิจัย การอภิปรายผลและข้อเสนอแนะ ดังรายละเอียดต่อไปนี้ วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของการจัดการเรียนการสอน แบบซิปปา เรื่อง เลขยกกำลัง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ระหว่างหลังเรียนกับเกณฑ์ ร้อยละ 75 2. เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของการจัดการเรียนการสอน แบบซิปปา เรื่อง เลขยกกำลัง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ระหว่างหลังเรียนกับก่อนเรียน สมมติฐานการวิจัย 1. นักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนการสอนแบบซิปปา เรื่อง เลขยกกำลัง ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน ไม่น้อยกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 2. นักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนการสอนแบบซิปปา เรื่อง เลขยกกำลัง ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน สรุปผลการวิจัย 1. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนแบบซิปปา เรื่อง เลขยกกำลัง มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 15.66 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 78.28 เมื่อนำมาเปรียบเทียบโดยการทดสอบทีแบบกลุ่มเดียว พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนหลังเรียนไม่น้อยกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนแบบซิปปา เรื่อง เลขยกกำลัง มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยก่อนเรียน เท่ากับ 5.38 คิดเป็นร้อยละ 26.87 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 15.66 คิดเป็นร้อยละ 78.28 เมื่อเปรียบเทียบระหว่างคะแนน ก่อนและหลังเรียน พบว่าคะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียน สูงกว่าก่อนเรียน


Click to View FlipBook Version