“จรถ ภิกฺขเว จาริกํ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย
โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตายสุขาย เทวมนุสฺสานํ”
ภิกษุท้ังหลาย พวกเธอจงเที่ยวจาริกไป เพอื่ ประโยชน์สุขแก่ชนจาํ นวนมาก เพอื่ นุ
เคราะห์ชาวโลก เพอ่ื ประโยชน์เกอื้ กูล และความสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์ท้ังหลาย
จากพระพุทธโอวาทน้ีเอง ถือเป็ นกุญแจเปิ ดประตูสู่การเดินทาง เพ่ือการเผยแผ่
พทุ ธธรรมแก่พทุ ธบริษทั ท้งั ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา ช่วยกนั ทาหนา้ ท่ีในการ
เผยแผแ่ ละสืบทอดพระธรรมคาสอนของพระพุทธเจา้ ให้แผ่ขยายไปทวั่ ทุกทิศรูปแบบการเผย
แผพ่ ระพทุ ธศาสนามีการสืบทอดและพฒั นามาตามยคุ ตามสมยั จากพระศาสดามาสู่พระสาวก
จากพระสาวกรุ่นต่อรุ่ นมาแล้ว วิธีการเผยแผ่พุทธธรรมท่ีได้รับการสืบทอดมาเรื่ อย
ทาใหพ้ ระพทุ ธศาสนาไดแ้ พร่ขยายเขา้ มาสู่ประเทศไทย รูปแบบและวธิ ีการเผยแผ่พทุ ธธรรม
ของพระสงฆ์ในประเทศไทยก็ไดร้ ับการสืบทอดและพฒั นาเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจยั
ซ่ึงวิธีการเผยแผ่พุทธธรรมของพระสงฆ์ไทยถือเป็ นรูปแบบ ท่ีไดร้ ับการพฒั นาในลกั ษณะ
ต่างๆ ตามจุดประสงค์ท้งั ในแง่การให้ความรู้และเพ่อื โนม้ นา้ วใจเพอ่ื สร้างความเช่ือมน่ั เขา้ สู่
ความเลื่อมใสศรัทธาในหลักธรรมคาสอน แล้วนามาสู่ การปฏิบัติให้บังเกิดผล
ตามความตอ้ งการ
• การบนั ทกึ จดจารจารึกเพื่อเปิ ดเผยส่ิงท่ีดีงามที่คน
ยังไม่รู้ เห็นให้ ได้ รู้ ได้ เห็นโดยทั่วกัน ทัง้ นีม้ ี
จุดมุ่งหมายเพ่ือสื่อสารหลักธรรมคาส่ังสอนของ
พระพทุ ธเจ้าให้ปรากฏแก่ชาวโลก โดยมีตวั หนงั สือ
ห รื อ ภ า ษ า เ ขี ย น เ ป็ น เ ค รื่ อ ง มื อ ใ น ก า ร ส่ื อ
ความหมาย
• การจดจารึกหลกั ธรรมคาสงั่ สอน
• การอธิบายหลกั ธรรมเป็นลายลกั ษณ์อกั ษร
• การจดั หมวดหม่หู ลกั ธรรมคาสง่ั สอน
• การบอกเลา่ ประวตั ิความเป็นมาของพระพทุ ธศาสนา
• การอนุรักษแ์ ละสืบต่ออายพุ ระศาสนา
• การพฒั นาองคค์ วามรู้เพอื่ เพ่มิ พนู สติปัญญา
• การแสดงออกซ่ึงภมู ิปัญญาของผเู้ ขียน
• การโนม้ นา้ วจิตใจของผรู้ ับสาร ใหอ้ ยใู่ นกรอบของศีลธรรมจรรยาอนั ดี
งามตามหลกั คาสอนของพระศาสนา
• เตรียมเสบียงทางปัญญา
• ศึกษาพระพทุ ธพจน์
• คารงตนอยใู่ นธรรม
• เลือกสรรภาษาเพ่อื การส่ือสาร
• ใชว้ จิ ารณญาณอยา่ งรอบคอบ
• กาหนดขอบข่ายเน้ือหา
• ถา่ ยทอดออกมาตามลาดบั
• พร้อมนอ้ มรับคาวจิ ารณ์
• ภาษา
• เน้ือหา
• รูปแบบการเขียน
• เม่ือพิจารณาการเขียนเชิงพุทธควบคู่ไปกับ
หลกั การเขียนทว่ั ไป จะเห็นความแตกต่างกนั ใน
เชิงจุดมุ่งหมาย เพราะการเขียนเชิงพุทธมี
จุดมุ่งหมายเพื่อการเผยแผ่คาสอนของพระ
ศาสนา และอธิบายภาษาธรรมท่ียาก ล่มุ ลึก ให้
เข้าใจด้วยภาษาของขาวบ้าน ผู้เขียนจึงต้องมี
ความเข้าใจทัง้ ภาษาธรรมและภาษาชาวบ้าน
อย่างแตกฉาน
• ผู้เขยี น หรือผู้ถ่ายทอดเนือ้ หา ควรปฏิบตั ิและพฒั นาตน ตามหลกั พทุ ธ
วธิ ีในการสอน มีคุณธรรมจริยธรรม อดทนอดกล้นั รู้จกั กาลเทศะ และ
สามารถใชห้ ลกั นิเทศการสอนประกอบการอธิบายเน้ือหา โดยหลกั การ
ศึกษาสืบคน้ วเิ คราะหว์ ิจยั รู้วิธีเขา้ ถึงจิตใจของผอู้ า่ น และเป็นผมู้ ีความ
รอบรู้
• เนือ้ หาหรือหลกั ธรรม ควรประกอบดว้ ย นิคคหพจน์ (ดา้ นลบ)
และปัคคหพจน์ (ดา้ นบวก) เพ่อื ใหผ้ อู้ า่ นสามารถพิจารณาแยกแยะไดว้ า่
ส่ิงใดดี สิ่งใดชว่ั มุ่งจูงใจผอู้ า่ นใหห้ าญกลา้ ร่าเริงเป็นปะโยชน์ เป็นธรรม
และเป็ นความจริ ง
• ภาษา ประกอบดว้ ยภาษาธรรม ไดแ้ ก่ ภาษาบาลี เป็น
ภาษาที่รักษาไวซ้ ่ึงพระพทุ ธพจน์ อนั เป็นหลกั ของพระ
ศาสนาและภาษาชาวบา้ น ไดแ้ ก่ ภาษาที่ผเู้ ขียนเลือกใช้
ในการส่ือความกบั ผอู้ ่าน เพอ่ื ใหเ้ กิดความสะดวกต่อการ
อธิบายความ
• ผู้อ่าน หรือผู้รับสาร ได้แก่ บุคคลผคู้ วรแก่การรับรู้ธรรม
เป็นกลุ่มเป้ าหมายท่ีผเู้ ขียนคาดหวงั หรือกาหนด
จุดมุ่งหมายเพอื่ การรับรู้เรื่องราวดว้ ยภาษาเขียน
• ตารา บทความทางวชิ าการ มีลกั ษณะเน้ือหาท่ีใหส้ าระ
ความรู้ ขอ้ เทจ็ จริง ความคิด และความคิดเห็น
• สารคดี มีลกั ษณะเป็นความคิดเห็น ความเห็น ความรู้
จินตนาการ
• บนั เทิงคดี นวนิยาย เร่ืองส้นั มีลกั ษณะเป็นจินตนาการ
ความคิด และความเห็น
• ปั จจุ บันไ ด้กา ห นดรู ป แ บบ ไ ว้ตา มล า ดับ ช้ัน
ความสาคัญของแต่ละคัมภีร์ เช่น พระไตรปิ ฎก
อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา เป็นตน้
• มีความชดั เจนแจ่มแจง้
• มีความกระชบั รัดกมุ
• มีน้าหนกั ใชถ้ อ้ ยคาท่ีเหมาะสมต่อภาพพจน์ นึกภาพตาม
ไดอ้ ยา่ งชดั เจน
• มีความเหมาะสมในดา้ นของภาษา
• มีความจริงใจ ตามความรู้สึกไม่เสแสร้ง
• การเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาดว้ ยวธิ ีมุขปาฐะ
• การเผยแผต่ ามนโยบาย หลกั ธรรมวชิ ยั
• พฒั นาการยคุ สงั คายนาพระธรรมวนิ ยั
• พฒั นาการยคุ การพมิ พ์
• พระไตรปิ ฏก
• อรรถคาถา
• มลู ฎีกา, ฎีกา
• อนุฎีกา
• คนั ถนั ตระ
• คณั ฐี
• โยชนา
• สทั ทาวเิ สส
• คมั ภีร์แปล
• ความเรียงท่ีเขยี นขนึ ้ โดยอาศยั ข้อมลู จากหลกั ฐาน
หรือข้อเท็จจริงที่เกิดขนึ ้ ณ ชว่ งเวลาใดเวลาหนง่ึ มา
เป็ นแนวทางในการนาเสนอ
• ข้อเขยี นซง่ึ อาจจะเป็นรายงานหรือการแสดงความ
คดิ เห็น มกั ตีพิมพ์ในหนงั สอื พิมพ์ วารสาร
สารานกุ รม เป็นต้น
• หลกั การเขยี นเพื่อถา่ ยทอดความรู้และการแสดง
ทศั นะผ่านงานเขยี น
• ช่วยสะท้อนปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาอยา่ งเป็น
รูปธรรม
• ช่วยกระต้นุ เตอื นให้เกิดการระมดั ระวงั ภยั
• ช่วยให้เกิดการปรับปรุงเปลย่ี นแปลง และสร้างมติ
มหาชน
• ช่วยนาเสนอผลงานวิจยั ตามหลกั วิชาการตอ่
สาธารณชน
• ช่วยให้แงค่ ิด คตสิ อนใจ ให้แนวทางการดาเนินชีวิตตาม
หลกั คาสอนของพระศาสนา
การเขียนบทความที่ดีถือว่าเป็ นศิลปะของการถ่ายทอด
อย่างหน่ึง เพราะการจะทาให้คนทวั่ ไปอยากเขา้ อ่านบทความ
โดยอ่านแลว้ ก็ตอ้ งเขา้ ใจในเน้ือหา และคลอ้ ยตามจุดประสงคท์ ี่
คนเขียนตอ้ งการน้นั ตอ้ งใชท้ กั ษะและเทคนิคในการเขียนกนั
พอสมควร อยา่ งไรก็ดี การเขียนบทความท่ีดีน้นั ไม่ใช่เรื่องยาก
แต่ถา้ ใครเป็ นมือใหม่ก็ตอ้ งใชเ้ วลาฝึ กฝน เพราะว่าเรื่องแบบน้ี
ข้ึนอยู่กับความขยนั และทักษะในด้านภาษา ซะมากกว่าซ่ึง
เทคนิคการเขียนบทความ มีดงั น้ี
• ตอ้ งเขา้ ใจว่า บทความท่ีจะเขียนน้ัน มีจุดประสงค์
หรือ คอนเซ็ปตอ์ ะไร
• ตอ้ งรู้ลึก จนตกผลึกแห่งความคิด
• พาดหวั ใหโ้ ดนใจ และจบั ประเดน็ ใหอ้ ยหู่ มดั
• ร้อยเรียงประโยคใหด้ ี
• โครงสร้างของบทความ
• ช่ือเร่ือง
• ความนา
• เน้ือเรื่อง
• สาระสาคญั
• สรุป
• มีเรื่องราวจากขอ้ เทจ็ จริง
• มีความทนั สมยั ทนั เหตุการณ์
• มีอิทธิพลต่อการสร้างกระแสสงั คม
• มีความยาวกะทดั รัด พอสมควร
• มีหลกั ฐานอา้ งอิง
• โครงร่างของบทความ
• ช่ือเร่ือง : น่าสนใจ ใช้ภาษาเหมาะสม สื่อถงึ ความคิดสาคญั ของ
เร่ือง
• ความนา : บอกความสาคญั ของเรื่องที่จะเขยี นอยา่ งกว้างๆ
• เนือ้ หา : มีการลาดบั ความ แสดงความคิดเห็นเพียงเร่ืองเดยี ว
และแสดงรายละเอียดเฉพาะเรื่องเป็นประเดน็ ๆ ไป
• สาระสาคญั : ใจความหลกั หรือแนวคิดหลกั และใจความรองหรือ
แนวคดิ เสริม
• บทสรุป : ทบทวนเนือ้ หา แสดงคาตอบของประเด็นปัญหา
• เอกสารอ้างอิง : แสดงทม่ี าของข้อมลู ประกอบการเขยี นทถ่ี กู ต้อง
เหมาะสมกบั เนือ้ หา
• การเขยี นความนา
– ทกั ทาย เกร่ินนา บอกกลา่ วให้รู้ว่าจะเขียนเรื่องอะไร
– กลา่ วนาทวั่ ไปก่อนท่ีจะวกเข้าเรื่องทีจ่ ะเขียน หรือใช้การกลา่ ว
เจาะจงเข้าหาเรื่องที่จะเขียนโดยตรงเลยกไ็ ด้
– เขียนให้นา่ อา่ น ชวนติดตาม ให้เกิดความอยากรู้อยากเหน็
ทกั ทายให้ค้นหาคาตอบ
– ข้อสงั เกต คือ อาจใช้วิธีการกลา่ วคาถาม หรือยกสภุ าษิต คา
คม ประกอบเร่ืองทีจ่ ะเขียน และไมค่ วรเสียเวลากบั การ
อารัมภบทมากเกินไป
• การเขยี นเนือ้ เร่ือง
– ขยายความจากข้อมลู ทเ่ี กริ่นนาไว้ เพื่อให้ผ้อู า่ นมีความ
เข้าใจมากขนึ ้
– เพิ่มเติมรายละเอียด ด้วยการอ้างเหตผุ ล สถิติข้อมลู เชิง
สารวจ การวิเคราะห์วิจยั ข้อเปรียบเทยี บ หรือตวั อยา่ ง
ประกอบเรื่อง
– เขียนให้มีความสมั พนั ธ์เป็นเร่ืองเดยี วกนั มีลาดบั ขนั้ ตอน
ไมว่ กไปวนมา
– ข้อสงั เกต คอื ไมค่ วรเพ่ิมเตมิ รายละเอยี ดมากเกินไปจน
กระทบกรอบความคดิ สาคญั ของเรื่อง
• การเขยี นบทสรุป
– ทบทวนสาระสาคญั ของเรื่อง สรุปประเดน็ ปัญหาและเสนอ
วิธีการแก้ปัญหา
– ให้สติ ชชี ้ วนให้เกิดความร่วมมือ ให้เหน็ ผิดชอบชว่ั ดี และมี
วิจารณญาณทดี่ ี
– ใช้คาถามท่ีชวนให้ผ้อู า่ นคิดหาคาตอบ หรือกระต้นุ ให้เกิด
ความฉกุ คดิ
– แสดงความประสงค์ของผ้เู ขียน แนะนาประโยชน์ เน้นให้
ความสาคญั ของแนวคิดและความจาเป็นทก่ี ลา่ วถงึ พร้อมทงั้
ระบปุ ัญหาอปุ สรรคหรือข้อบกพร่องในเชงิ ปฏิบตั ิ
• พระพทุ ธศาสนากบั ความสมานฉนั ท์
แหง่ ชาติ
• (พระธรรมโกศาจารย์ (ประยรู ธมมฺ จิตโฺ ต))
• พระสงฆ์กบั สือ่ มวลชน : ใครเป็นเหย่ือใคร
• (พระศรีปริยตั โิ มลี (สมชยั กสุ ลจิตโฺ ต)
คาถามประจาบท
• ๑. จงอธิบายความเป็นมา และความหมายของการเขียนเพื่อการเผยแผพ่ ระพุทธศาสนามาดู
• ๒. ความสาคญั ของการเขียนเพ่ือการเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาคืออะไร จงอธิบาย
• ๔. หลกั การเขียนเพ่ือการสื่อสารเชิงพทุ ธคืออะไร องคป์ ระกอบสาคญั ของการเขียนเพ่ือการ
สื่อสารเชิงพุทธ คืออะไร
• ๕. หลกั การเขียนทว่ั ไปกบั การเขียนเชิงพุทธเหมือนกนั หรือแตกตา่ งกนั อยา่ งไร จงอธิบาย
• ๖. จงอธิบายพฒั นาการของการเขียนเชิงพุทธในแต่ละช่วงเวลามาโดยสงั เขป
• ๗. ลาดบั ช้นั งานเขียนเชิงพทุ ธหลงั จากมีการสงั คายนารวบรวมพระธรรมวนิ ยั เป็นหมวดหม่แู ลว้
มีอะไรบา้ ง
• ความหมายและความสาคญั ของการเขียนบทความคืออะไร
• ๘. องคป์ ระกอบของบทความมีอะไรบา้ ง แต่ละองคป์ ระกอบมีหลกั การเขียนอยา่ งไร จงอธิบาย
• ๙. สาระสาคญั ของบทความเร่ือง “พระพทุ ธศาสนากบั ความสมานฉนั ทแ์ ห่งชาติ” และเรื่อง
“พระสงฆก์ บั สื่อมวลชน : ใครเป็นเหยอ่ื ใคร” คืออะไร และท่านจะนาเอาขอ้ คิดจากท้งั สอง
บทความน้ีไปใชเ้ ป็นหลกั ในการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาอยา่ งไรบา้ ง
• บอกความเป็ นมาของการพดู ในทช่ี ุมชนได้
• อธบิ ายความหมายของการพดู ในทชี่ ุมชนได้
• บอกความสาคญั ของการพดู ท้งั ในส่วนทเ่ี กย่ี วกบั การส่ือสารในชีวติ ประจาวนั
และการส่ือสารอย่างเป็ นทางการในโอกาสต่าง ๆ
• อธบิ ายรูปแบบการพดู ในทชี่ ุมชนได้
• บอกความหมายของบุคลกิ ภาพอนั เน่ืองด้วยองค์ประกอบทางกายภาพทม่ี ี
ความสัมพนั ธ์กบั สภาพนิสัยเฉพาะตนได้
• อธิบายความสาคญั อนั เน่ืองด้วยความแตกต่างระหว่างบุคคลและพฤติกรรม
ได้
• นาหลกั การพฒั นาบุคลกิ ภาพในด้านการพดู ไปใช้เป็ นแนวทางในการปรับปรุง
ตนเองได้
• ความหมายและความสาคัญของการพูด
• หลกั การพดู ในท่ชี ุมชน
• รูปแบบการพดู ในที่ชุมชน
• ความหมายและความสาคัญของบุคลกิ ภาพ
• กลกั การพฒั นาบุคลกิ ภาพในการพดู
หลักการและวิธีการในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาน้ัน บุคลิกภาพ
ทางการพูดเป็ นเร่ืองสาคัญ การมีบุคลิกภาพท่ีดีเป็ นส่ วนประกอบที่สาคัญ
ในความสาเร็จของบุคคลเกือบทุกอาชีพ บุคลิกภาพเป็ นคาที่ยอมรับ และ
ใ ช้ กั น ท่ั ว ไ ป ค ว า ม ห ม า ย ข อ ง บุ ค ลิ ก ภ า พ ที่ ใ ช้ กั น อ ยู่ ใ น ปั จ จุ บั น นี้
ใช้กนั ในหลายความหมาย เป็ นต้นว่า บุคลกิ ภาพในความหมายของรูปร่างหน้าตา
ความหมายของการพัฒนาตนเอง หรือความหมายของลักษณะนิสั ย
อนั ได้แก่ ลกั ษณะร่าเริง ลกั ษณะก้าวร้าว เป็ นต้น
เม่ือนักจิตวิทยาพูดถึงคาว่า “บุคลิกภาพ” จะหมายถึง ลักษณะ
ที่เป็ นเอกลักษณ์ประจาตัวของบุคคลน้ัน อันหมายถึงลักษณะที่ต่ างกัน
ของแต่ละบุคคล บุคลกิ ภาพของแต่ละบุคคลเป็ นเอกลกั ษณ์ประจาตัวของบุคคล
น้ัน ๆ ฉะน้ันการที่จะอธิบายถึงบุคลกิ ภาพของแต่ละบุคคล จึงหมายรวมไปถึง
ความสามารถ หมายถึง อารมณ์ และหมายถึง ประสบการณ์ต่างๆ ท่ีทาให้บุคคล
เป็ นอยู่ในลกั ษณะทเ่ี ราพบเห็นปัจจุบัน
การพูด คือ การถ่ายทอดความรู้ ความคิด ตลอดจนความรู้สึกของผู้พูด
ไปยังผู้ฟัง คาพูดจึงมีความสาคัญและถ้ารู้จักใช้ให้ถ้อยคา จะมีพลงั ผลทเ่ี กดิ ขึน้
ในด้ านการติดต่ อสื่ อสาร ด้ านศาสนา ด้ านการสร้ างมนุษย์ สั มพันธ์
ด้านการปกครอง ด้านการพฒั นาบุคลกิ ภาพ และในด้านการสอน
เราอาจแบ่งการพดู ของมนุษย์ออกเป็ น ๔ ประเภท คอื
๑. การพูดระหว่างบุคคล
๒. การพดู ในกลุ่ม
๓. การพดู ในท่ีชุมนุมชน
๔. การพูดทางส่ือมวลชน
การพูดเป็ นเครื่องมือท่ีช่ วยให้กิจการต่าง ๆ สาเร็จไปได้
ด้วยดี ผู้มีความสามารถในการพูดจึงเป็ นผู้มีอานาจอยู่ในตัว ก่อให้เกิด
ผลดีในการดาเนินชีวติ ท้ังในด้านกจิ การงานและด้านส่วนตวั
การพูดในท่ีชุมนุมชน หมายถึง การสื่อสารความคิดจากผู้พูด
ไปยงั ผู้ฟัง โดยมภี าษาและอากปั กริ ิยาเป็ นสื่อ เพอ่ื ให้บังเกดิ ผลตามทผี่ ู้พูดต้องการ
เพ่ือให้ข่าวสารความรู้ เป็ นการพูดแบบเสนอข้อเท็จจริง โดยไม่มุ่งหมาย
ที่จะเปลย่ี นทัศนคติของผู้ฟัง แต่เพอื่ เพมิ่ พนู ความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้ฟัง
เพื่อความบันเทิง เป็ นการพูดเพ่ือให้ ผู้ฟังสนุกสนานครึกครื้น มักเป็ น
การพูดหลังอาหาร ซ่ึงจดั ขนึ้ เพอื่ เป็ นการพกั ผ่อน
เพ่ือชักจูงใจ คือ การพูดที่มุ่งหวังให้ ผู้ฟังเปลี่ยนใจเห็นคล้ อยตามผู้พูด
โดยใช้การเร้าอารมณ์เป็ นท่ีต้ัง
การวิเคราะห์ผู้ฟัง คือ การพูดท่ีพยายามให้ผู้ฟังสนใจ เข้าใจ และ
ประทบั ใจ จากการพูดน้ัน ๆ
ความสนใจ จะเกดิ ได้เพราะผู้พูดได้เตรียมตัวเป็ นอย่างดี กล่าวคือ สนใจ
ที่จะรับฟังเพราะเตรียมพูดมาดี และสนใจที่จะรับฟังจนจบเร่ืองเพราะ
เตรียมเนือ้ หามาดี
ความเข้าใจ การเรียกร้องให้คนสนใจฟังเท่าน้ันยังไม่เป็ นการเพียงพอ
จะต้องให้ผู้ฟังเข้าใจด้วย ซ่ึงกระทาได้โดยการเตรียมเนือ้ เรื่อง การใช้ถ้อยคา
การเรียบเรียงประโยคทง่ี ่ายต่อการเข้าใจ เป็ นต้น
ความประทับใจ คือ ความเข้าใจที่ชัดเจน จนมองเห็นภาพ ซ่ึงทาได้
โ ด ย กา ร ใ ช้ ค า ค ม ข้ อ ค วา มท่ีลึกซึ้ ง กิน ใ จ ค า รุ นแร ง ที่เ หมา ะ ส ม
ตลอดจนอปุ มาอปุ ไมยต่างๆ เป็ นต้น
๑. ปริมาณของผู้ฟัง
๒. อายุ เพศ และวยั ของผ้ฟู ัง
๓. อาชีพ หรือหน้าท่กี ารงานของผู้ฟัง
๔. ความเชื่อและศาสนาของผ้ฟู ัง
๑. คานา
๒. เนือ้ เรื่อง
๓. บทสรุป
๔.๑ ปฏสิ ันถาร หมายถงึ การต้อนรับแขกผ้มู าถงึ ถ่ิน, อาการเคร่ืองเผ่อื แผ่
การต้อนรับปราศรัย มี ๒ ประการ ได้แก่
๑. อามิสปฏิสันถาร ได้แก่ การต้อนรับด้วยสิ่งของ เช่นให้ข้าวปลาอาหารน้า
ด่ืมหรือแม้แต่การให้พักอาศัย ให้ที่อยู่อาศัยโดยสมควรแก่แขกผู้มาเยือนถึงถิ่น
อย่างที่ท่านกล่าวไว้ว่า “เป็ นธรรมเนียมไทยแท้แต่โบราณใครมาถึงเรือนชาน
ต้องต้อนรับ”
๒. ธัมมปฏิสันถาร เป็ นการปฏิสันถารโดยธรรม ได้แก่การกล่าวธรรมะ
ให้ฟังหรือแนะนาในทางธรรม สดเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงแสดงพระมติเอาไว้ว่า
ได้แก่การต้อนรับโดยสมควรแก่บานะของแขกผู้มา ว่าใครควรจะลุกขึ้นยืนรับ
ใครควรจะไหว้ หรือใครควรจะออกไปต้ อนรับถึงที่ไกล แขกเป็ นคนช้ันสู ง
หรือเป็ นคนสามยั กพ็ งึ ต้อนรับให้สมควรแก่ฐานะ การปฏสิ ันถารจงึ จะไม่เสีย
๔.๒ คารวะ หมายถึง ความเคารพยกย่องเชิดชู ให้ความสาคัญแก่ส่ิง
ที่เคารพ มี ๖ อย่างคอื
๑. มคี วามเคารพในพระพทุ ธเจ้า
๒. มคี วามเคารพหนักแน่นในพระธรรม
๓. มคี วามเคารพแก่กล้าในพระสงฆ์
๔. มคี วามเคารพในไตรสิกขา คอื ศีล สมาธิ ปัญญา
๕. มคี วามเคารพในความประมาท มสี ติรอบคอบ
๖. มคี วามเคารพในการปฏสิ ันถาร คอื การต้อนรับปราศรัย
หลกั ธรรมท้ัง ๖ อย่างนี้ ย่อมเป็ นไปเพอ่ื ความไม่เส่ือมแห่งภิกษุ
สัมโมทนียกถา แปลว่า ถ้อยคาอันเป็ นท่ีบันเทิงใจ, คาพูดท่ีทาให้
ประทบั ใจ เรียกว่า อนุโมทนากถา กไ็ ด้
สัมโมทนียกถา ใช้เรียกการที่ภิกษุพูดแสดงความขอบคุณหรือกล่าวถึง
ประโยชน์ และอานิสงส์ ของความดีหรือบุญกุศลท่ีทายกทายิกาได้ ทา
เช่น ถวายอาหาร สร้างกฏุ ิ สร้างหอระฆงั ไว้ในพระพทุ ธศาสนา
เทเสถ ภิกขฺ เว ธมฺม อาทิกลยฺ าณ มชฺเฌกลยฺ าณ
“ จงแสดงธรรมอนั งามในเบือ้ งต้น งามในท่ามกลาง งามในทสี่ ุด”
แนวพระพุทธพจน์ ที่ตรัสประธานไว้ในการสัมโมทนียกถา คือ
การปรารถการทาบุญ การประกอบกรรมดี ดงั ทแ่ี สดงไว้ใน บุญกริ ิยาวตั ถุ ๓
๑.ทาบุญด้วยการให้ (ทานมัย) คือ การแบ่งปันสิ่งของ แก่คนอื่น
ด้วยความเต็มใจ เป็ นการเสียสละ
๒. ทาบุญด้วยการรักษาศีล (ศีลมัย) คือ เป็ นการสารวมกายและวาจา
โดยอ่อนน้อมถ่อมตน มวี าจาสุภาพ
๓. ทาบุญด้วยการเจริญภาวนา (ภาวนามัย) คอื การฝึ กอบรมจิตให้สงบ
และเกดิ ปัญญา ไม่ถูกโมหะครอบงา คิดแต่เรื่องดีทเี่ ป็ นกศุ ล เป็ นการสารวมจิตใจ
เพอื่ กาจดั กเิ ลส
พาหุสจฺจญจฺ สิปฺปญจฺ วินโย จ สุสิกขฺ โิ ต
สุภาสิตา จ ยา วาจา เอตมฺมงฺคลมุตฺตม
ภิกษุท้งั หลาย การกล่าวชอบเป็ นอย่างไร คอื การงดเว้นจากการพูดเท็จ
งดเว้นจากการพูดส่อเสียด งดเว้นจากการพูดคาหยาบ งดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ
การงดเว้นดังกล่าวเรียกว่า การกล่าวชอบ
การกล่าวชอบในความหมายท่ีพระพุทธองค์ตรัสไว้ คือ เจตนางดเว้น
จากการกล่าว “มจิ ฉาวาจา”
ธรรมขันธ์ แปลว่า กองธรรม หรือ หมวดธรรม ท่านจาแนกไว้
๓ ประการ คอื
๑. สีลขันธ์ ได้แก่ การท่ีบุคคลทากายวาจาให้เรียบร้อย ปราศจากวีติกมโทษ
คอื โทษทจ่ี ะก้าวล่วงได้ทางกาย และทางวาจา เพอ่ื กาจัดเสียซ่ึงความโหดร้ายหยาบคาย
ทางกายและทางวาจา
๒. สมาธิขันธ์ ได้แก่ บุคคลผู้รักษากาย วาจา ให้เรียบร้อย ย่อมไม่หวาดหว่นั
ครั่นคร้าม สะทกสะท้านต่อภัยอันตรายต่างๆ มีจิตด่ิงแน่วแน่เป็ นหน่ึงเพื่อกาจัด
ปริยฏุ ฐานกเิ ลส คอื กเิ ลสภายนอกทก่ี ล้มุ รุมจิตอยู่
๓. ปัญญาขันธ์ ได้แก่ เม่ือบุคคลกาจัดกิเลสภายนอกที่กลุ้มรุมจิตได้แล้ว
พิจารณาไปก็จะเกิดปัญญากาจัดอนุสัย คือกิเลสอย่างละเอียดท่ีนอนเน่ืองอยู่
ในขันธสันดานให้หมดสิ้นไป และปัญญาน้ันน่ันแหละ ช่วยให้มองเห็นทางถูกทางผิด
ได้ด้วย
๑. การพูดแบบเป็ นทางการ เป็ นการพูดในโอกาสท่ีเป็ นพิธีรีตอง
เป็ นงานเป็ นการ ต้องการความแน่นอนและการเตรียมการจนหาข้อบกพร่อง
ไม่ได้หรือได้น้อยทีส่ ุด มักเป็ นการพูดในงานพธิ ีการต่างๆ เช่น การกล่าวรายงาน
การกล่าวเปิ ดพธิ ี การกล่าวคาปราศรัยในโอกาสอนั สาคัญ ฯ ผู้พูดในโอกาสเช่นนี้
ควรยดึ ถอื ความสุภาพเรียบร้อยและมารยาทอนั ดีงามท้งั ในการพูดและบุคลกิ ภาพ
๒. การพูดแบบไม่เป็ นทางการ การพูดในที่ชุมนุมชนที่เราเห็นกัน
อยู่เสมอๆ ส่ วนใหญ่ เป็ นการพูดแบบไม่ เป็ นทางการ ซึ่งมีบรรยากาศ
ความเป็ นกันเองในระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง ไม่ว่าจะด้วยอารมณ์ขัน ลีลาการพูด
หรือการวางตัวของผู้พูด การพูดแบบนี้ผู้พูดอาจเปิ ดโอกาสให้ผู้ฟังมีบทบาท
มากขึ้น โดยการแสดงความคิดเห็นหรือซักถาม เช่น การอภิปราย การสอน
เป็ นต้น
สุนทรพจน์ หมายถึง คาพูดท่ีดีงาม ไพเราะจับใจ การพูดสุนทรพจน์
มักมีในพิธีสาคัญ เช่น พธิ ีต้อนรับแขกเมืองคนสาคัญ พธิ ีได้รับตาแหน่งสาคัญ
เช่น นายกรัฐมนตรี ประธานาธิบดีหรือกล่าวในงานฉลองระลึกถึงบุคคลสาคัญ
วันสาคัญ ระดับชาติ หรือเป็ นการกล่าวในเร่ืองใดเร่ืองหนึ่ง เพื่อสร้างสรรค์
จ ร ร โ ล ง ใ จ เ ป็ น ค า พู ด ที่ แ ส ด ง ค ว า ม ป ร า ร ถ น า ดี ใ น ท า ง ก า ร เ มื อ ง
การกล่าวสุนทรพจน์เป็ นเรื่องสาคญั ยง่ิ มกั ได้รับการยกย่องว่าเป็ นการพูดช้ันยอด
๑. หัวข้อเร่ือง
๒. เนือ้ หาทีพ่ ดู
๓. การลาดับความ
๔. การสรุปความ
ปาฐกถา คือ การพูดท่ีบุคคลคนเดียว แสดงถึงความรู้ความคิดเห็น
ของตนเองให้ผู้ฟังจานวนมาก เป็ นการพูดแบบบรรยาย หรืออธิบายขยายความ
ให้ผู้ฟังได้เข้าใจในเร่ืองท่ีพูดอย่างแจ่มแจ้ง ดังน้ันผู้พูดจึงเป็ นบุคคลท่ีมีความรู้และ
ประสบการณ์ด้านต่าง ๆ อย่างเชี่ยวชาญ การพูดปาฐกถาอาจจะเป็ นการพูดเกย่ี วกับ
วชิ าการกไ็ ด้ หรือเป็ นความรู้ท่ัว ๆ ไปกไ็ ด้ แต่จะต้องมกี ารกาหนดหัวข้อเร่ืองท่ีจะพูด
ไว้ล้วงหน้า ผู้ฟังอาจเป็ นผู้กาหนดหัวข้อหรือผู้พูดกาหนดเอง
ลักษณะการพูดปาฐกถาไม่ ใช่ พูดสอนหรื อบรรยายในห้ องเรี ยน
แต่เป็ นการพูดให้ผู้ฟังรู้เร่ืองต่าง ๆ ในลักษณะการให้ความคิดเห็น การเสนอแนะ
และการบอกเล่าเร่ืองสาคัญ ผู้พูดจะต้องเตรียมตัวมาอย่างดี พูดตรงกับหัวข้อเรื่อง
ท่ีกาหนดให้ พูดอย่ างตรงไปตรงมา และมีหลักฐานอ้างอิงให้ ถูกต้ องตาม
ความเป็ นจริงและสมเหตุสมผล
๑. พูดให้ตรงเรื่อง
๒. มีเนือ้ หาทมี่ สี าระพอสมควร
๓. เน้นเนือ้ หาท่ชี ่วยเสริมสร้างทัศนคติทดี่ ตี ่อผ้ฟู ัง
๔. มที กั ษะการพดู ท่สี ามารถทาให้ผู้ฟังมอี ารมณ์ผ่อนคลายไม่ตึงเครียด
๕. จัดเตรียมเนือ้ หาการพดู ตรงตามหลกั สากล