94 ข้อมูลทำงวิชำกำรและหลักฐำนเชิงประจักษ์ กรณีศึกษำ 1.2 กลุ่มของยาที่มีความสามารถในการก าจัดหรือ ท าลายเซลล์ที่อยู่ในระยะใดระยะหนึ่งในวงจรชีวิตโดยเฉพาะ (Cycle specific-phase specific drugs) มีความสามารถใน การท าลายเซลล์ในขอบเขตที่จ ากัด แต่ผลของยานี้จะมากขึ้นนั้น ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ได้รับยา และความเข้มขันของยา 1.2.1 ระยะ G1 (Gap 1 หรือ Interphase ได้แก่ Lasparaginase ) 1.2.2 ระยะ S (คือระยะที่มีการสร้าง DNA) ได้แก่ Antimetabolite, Hydroxurea, Procabazine และ Hexamethylmelamine 1.2.3 ระยะ G2 (Gap2) ได้แก่ Bleomycin และ Plant alkaloids 1.2.4 ระยะ M (ระยะที่มีการแบ่งตัวแบบ Mitosis) ได้แก่ Plant alkaloids 2. แบ่งตามกลไกการออกฤทธิ์ของยาเป็น 6 กลุ่ม การสร้างและ หยุดเซลล์ไม่ให้มีการแบ่งตัวดังนี้ 2.1 กลุ่ม Alkylating agent ได้แก่ Cyclophosphamide, Chlorambuci, Busulfan, Melphalan, Ifosfamide, Hexamethylmelamine 2.2 กลุ่ม Antimetabolites ได้แก่ Methotrexate, 5-fluorouracil 2.3 กลุ่ม Antibiotics ได้แก่ Actinomycin-D, Bleomycin, Mitomycin-C, Doxorubicin 2.4 กลุ่ม Platinum analogue ได้แก่ cisplatin, Carboplatin 2.5 กลุ่ม Vinca alkaloid and epipodophyllotoxin ได้แก่ Vincristine, Vinblastine, Topotecan (hycamtin), Etoposide (VP-16) 2.6 กลุ่ม Hormone ได้แก่ Progestin, Antiestrogen
95 8. กำรพยำบำล กรณีศึกษาผู้ป่วยได้รับการแจ้งผลตรวจวินิจฉัยเป็นมะเร็งรังไข่ ระยะที่ 1A ได้รับค าปรึกษา เพื่อเตรียมความพร้อมทางด้านร่างกายและจิตใจ รวมถึงการให้ข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้องกับโรคและการ ดูแลรักษา เพื่อประกอบการตัดสินใจที่จะรับการรักษาของผู้ป่วย หากการสื่อสารไม่มีประสิทธิภาพจะ ท าให้ผู้ป่วยได้รับข้อมูลไม่เหมาะสม อาจมีความผิดพลาดของข้อมูล หรือข้อมูลที่ได้รับอาจไม่ตรง ตามความต้องการของผู้ป่วย เมื่อผู้ป่วยตัดสินใจพร้อมรับการรักษา ได้รับการรักษาโดยการผ่าตัด TAH+BSO+Omentectomy+BPND (การผ่าตัดมดลูก รังไข่ ทั้ง 2 ข้าง แผ่นไขมันในช่องท้อง และ เลาะต่อมน้ าเหลืองในอุ้งเชิงกราน) ชิ้นเนื้อส่งตรวจหลังการผ่าตัด ผลการตรวจวินิจฉัยระบุเป็น มะเร็ง รังไข่ และให้ยาเคมีบ าบัด สูตร Paclitaxel+ Carboplatin 3 Cycle ในที่นี้ผู้ศึกษาก าหนดการวาง แผนการพยาบาลผู้ป่วยเป็น 3 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 ผู้ป่วยรับทราบข่าวร้าย การแจ้งผลตรวจวินิจฉัยเป็นมะเร็งรังไข่ ระยะที่ 1A ได้รับ ค าปรึกษาเพื่อเตรียมความพร้อมทางด้านร่างกายและจิตใจ รวมถึงการให้ข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้องกับ โรคและการดูแลรักษา เพื่อประกอบการตัดสินใจในการรักษาของผู้ป่วย (ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล 3 ข้อ) ระยะที่ 2 ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัด TAH+BSO+Omentectomy+BPND (การผ่าตัดมดลูก รังไข่ ทั้ง 2 ข้าง แผ่นไขมันในช่องท้อง และเลาะต่อมน้ าเหลืองในอุ้งเชิงกราน) ผ่าตัดวันที่5/10/63 จ าหน่าย วันที่ 15/10/63 (ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล 6 ข้อ) ระยะที่ 3 ผู้ป่วยได้รับยาเคมีบ าบัด สูตร Paclitaxel+ Carboplatin x 3 Cycle เป็น OPD Case เริ่ม ให้ครั้งแรกวันที่ 27/10/63 ครั้งที่ 2 วันที่ 17/11/63 และให้ครบวันที่ 8/12/63 (ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล 8 ข้อ)
96 สรุปปัญหำข้อวินิจฉัยทำงกำรพยำบำล และกำรพยำบำล ระยะที่ 1 ผู้ป่วยรับทรำบข่ำวร้ำย การแจ้งผลตรวจวินิจฉัยเป็นมะเร็งรังไข่ ระยะที่ 1A ได้รับ ค าปรึกษาเพื่อเตรียมความพร้อมทางด้านร่างกายและจิตใจ รวมถึงการให้ข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้องกับ โรคและการดูแลรักษา เพื่อประกอบการตัดสินใจในการรักษาของผู้ป่วย วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 1 วิตกกังวลเนื่องจากทราบผลการวินิจฉัยเป็นมะเร็งรังไข่ วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 2 ส่งเสริมการเตรียมความพร้อมด้านการรักษา วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 3 ส่งเสริมการวางแผนดูแลสุขภาพผู้ป่วยและบุคคลในครอบครัว ระยะที่ 2 ผู้ป่วยได้รับกำรผ่ำตัด TAH+BSO+Omentectomy+BPND (การผ่าตัดมดลูก รังไข่ ทั้ง 2 ข้าง แผ่นไขมันในช่องท้อง และเลาะต่อมน้ าเหลืองในอุ้งเชิงกราน) ผ่าตัดวันที่ 5/10/63 จ าหน่าย วันที่ 15/10/63 วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 1 ผู้ป่วยวิตกกังวลเกี่ยวกับการผ่าตัด เนื่องจากขาดความรู้ความ เข้าใจ เกี่ยวกับโรคและการปฏิบัติตัวก่อน และหลังผ่าตัด วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 2 ผู้ป่วยมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนภายหลังผ่าตัด วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 3 ผู้ป่ายไม่สุขสบายเนื่องจากปวดแผลผ่าตัด วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 4 ผู้ป่วยมีโอกาสเสี่ยงต่อภาวะท้องอืดหลังผ่าตัด วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 5 ผู้ป่ายมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดการพลัดตกหกล้ม วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 6 ผู้ป่วยพร่องความรู้ในการปฏิบัติตัวภายหลังผ่าตัด เมื่อกลับไปอยู่ บ้าน ระยะที่ 3 ผู้ป่วยได้รับยำเคมีบ ำบัด สูตร Paclitaxel+ Carboplatin x 3 Cycle เป็น OPD Case เริ่มให้ครั้งแรกวันที่ 27/10/63 ครั้งที่ 2 วันที่ 17/11/63 และให้ครบวันที่ 8/12/63 วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 1 วิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและการรักษาด้วยยาเคมีบ าบัด วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 2 เกิดภาวะ Infusion Reaction วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 3 เสี่ยงต่อภาวะเคมีรั่วออกนอกเส้นเลือดและหลอดเลือดด า วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 4 มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเยื่อบุในช่องปากอักเสบ วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 5 มีโอกาสเกิดการกดการท างานของไขกระดูก (Myelosuppression) วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 6 ไม่สุขสบายเนื่องจากชาปลาย มือปลายเท้า และปวดตามข้อ วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 7 อัตมโนทัศน์เปลี่ยนแปลงเนื่องจากสูญเสียภาพลักษณ์ วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 8 พร่องความรู้ความเข้าใจภายหลังการรักษาด้วยยาเคมีบ าบัด
97 ระยะที่ 1 ผู้ป่วยรับทราบข่าวร้าย การแจ้งผลตรวจวินิจฉัยเป็นมะเร็งรังไข่ ระยะที่ 1A ได้รับ ค าปรึกษาเพื่อเตรียมความพร้อมทางด้านร่างกายและจิตใจ รวมถึงการให้ข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้องกับ โรคและการดูแลรักษา เพื่อประกอบการตัดสินใจในการรักษาของผู้ป่วย วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 1 วิตกกังวลเนื่องจากทราบผลการวินิจฉัยเป็นมะเร็งรังไข่ ข้อมูลสนับสนุน 1. ผู้ป่วยได้รับการผลการตรวจวินิจฉัยเป็นมะเร็งรังไข่ ระยะที่ 1A 2. ประเมินผู้ป่วยมี สีหน้าไม่สดชื่น คิ้วขมวด บอกว่า "รู้สึกวิตกกังวล เพราะในครอบครัวไม่มี ใครเป็น มีแต่ยายที่เสียชีวิตด้วยมะเร็งเต้านม รวมทั้งตนยังท างานอยู่อาจมีผลต่อการ ท างาน เพราะต้องเข้ารับการรักษา” 3. ผู้ป่วยมักสอบถามเป็นระยะๆ ถึงวิธีการรักษา ผลกระทบที่จะเกิดเมื่อเข้ารับการรักษา วัตถุประสงค์ ผู้ป่วยคลายความวิตกกังวล มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับโรค การปฏิบัติตัวก่อนและหลัง การรักษา พร้อมตัดสินใจยอมรับการรักษาครั้งนี้ด้วยตนเอง เกณฑ์กำรประเมินผล 1. ผู้ป่วยคลายวิตกกังวล 2. ผู้ป่วยตัดสินใจเข้ารับการรักษาด้วยตนเอง ให้ความร่วมมือในการรักษาและมาตรวจตาม แพทย์นัด กิจกรรมกำรพยำบำล 1. สร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้ป่วย โดยการใช้ค าพูดที่สุภาพ อ่อนโยน โดยการแนะน าตนเอง และบุคลากรในการดูแลผู้ป่วย เพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความไว้วางใจ รวมทั้งเปิดโอกาสให้ระบายความรู้สึก การซักถามข้อสงสัย รับฟังด้วยความเข้าใจ พร้อมทั้งพูดคุยปลอบโยนให้ก าลังใจ เพื่อให้ผู้ป่วยคลาย ความกังวลใจ และยอมรับ พร้อมให้ความร่วมมือในการวางแผนการรักษา 2. ประเมินสถานการณ์ เตรียมความพร้อมของผู้ป่วย ครอบครัวและตัวพยาบาลเอง ก่อน แพทย์เริ่มการสนทนาเรื่องไม่พึงประสงค์หรือแจ้งข่าวร้ายกับผู้ป่วย อยู่ร่วมในการสนทนา สนับสนุน ส่งเสริมการสนทนาระหว่างแพทย์ ผู้ป่วยและครอบครัว ภายหลังรับทราบข้อมูลจากแพทย์ ท าความ เข้าใจ พูดคุยสื่อสารเรื่องดังกล่าวกับผู้ป่วยอีกครั้งเมื่อแพทย์ออกจากห้องไปแล้ว 3. ให้การพยาบาลแบบองค์รวม ทางด้านร่างกาย จิตใจ สังคมและจิตวิญญาณ เพื่อ ตอบสนองความต้องการของผู้ป่วยได้อย่างถูกต้องเหมาะสม 4. สอบถามผู้ป่วยว่ามีค าถามหรือต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมหรือไม่ ผู้ป่วยอาจต้องการ ข้อมูลเพิ่มเติมทั้งที่เกี่ยวกับข้อมูลที่ยังไม่เข้าใจ หรือข้อมูลที่ตนเองวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคหรือทีม ผู้ดูแลรักษา ส่งเสริมการสื่อสารเรื่องไม่พึงประสงค์หรือข่าวร้ายอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้ผู้ป่วยเกิด ความหวังและก าลังใจ สามารถท าได้โดยวิธีดังนี้
98 4.1 หากผู้ป่วยหรือครอบครัวมีความวิตกกังวลหรือมีความต้องการรับทราบข้อมูล ควรให้แพทย์และบุคลากรในทีมสุขภาพอื่นได้ร่วมรับรู้ความต้องการ และความกังวลนั้น โดยรายงาน หรือบันทึกในเอกสารเพื่อสื่อสารให้ทราบตามความเหมาะสม 4.2 พบ พูดคุยและรับฟังผู้ป่วยและครอบครัวภายหลังการสนทนา เพื่อให้ข้อมูล เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น ผู้ป่วยและญาติเกิดความมั่นใจ 4.3 พูดคุยในสิ่งที่ผู้ป่วยคาดว่าจะเกิดขึ้น รวมถึงความคาดหวังของผู้ป่วย ให้ข้อมูล ผู้ป่วยและครอบครัวให้เข้าใจอย่างชัดเจน และใช้ทักษะในการสื่อสารให้ผู้ป่วยยอมรับความเจ็บป่วย ตามจริง 5. ประคับประคองสภาพอารมณ์และจิตใจของผู้ป่วยต่อการเผชิญกับภาวะวิกฤตโดยทันที เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยค้นพบทางเลือกในการตัดสินใจที่เหมาะสมกับตนเอง 6. ประเมินอาการและอาการแสดง และการรับรู้ในผู้ป่วยหลังให้ค าปรึกษา เพื่อให้การ พยาบาลได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ประเมินผล 1. ผู้ป่วยคลายวิตกกังวล มีสีหน้ายิ้มแย้ม พูดคุยถามตอบรู้เรื่อง 2. ผู้ป่วยตัดสินใจเข้ารับการรักษาด้วยตนเอง ให้ความร่วมมือในการรักษาและมาตรวจตาม แพทย์นัด วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 2 ส่งเสริมการเตรียมความพร้อมด้านการรักษา ข้อมูลสนับสนุน 1. ผู้ป่วยยินยอมเข้ารับการรักษาตามแผนการรักษาของแพทย์ มักสอบถามเป็นระยะๆ ถึง วิธีการรักษา และผลกระทบที่จะเกิดเมื่อเข้ารับการรักษา 2. จากข้อมูลการจัดการเกี่ยวกับสุขภาพ ผู้ป่วยมีการเชื่อถือทั้งการรักษาแผนโบราณและแผน ปัจจุบัน 3. ผู้ป่วยยังไม่เข้าใจรายละเอียด ในแผนการรักษา สอบถามให้ยาเคมีก่อนหรือผ่าตัดก่อน วัตถุประสงค์ ผู้ป่วยได้รับข้อมูลการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม เกณฑ์กำรประเมินผล 1. ผู้ป่วยมีความรู้ความเข้าใจในแผนการรักษาของแพทย์ 2. ผู้ป่วยให้ความร่วมมือยินยอมเข้ารับการรักษา และมาตรวจตามแพทย์นัด กิจกรรมกำรพยำบำล 1. ประเมินการความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการรักษาของแพทย์ในผู้ป่วย เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติม แก่ผู้ป่วยในส่วนที่ยังไม่เข้าใจ
99 2. ให้การพยาบาลแบบองค์รวม ทางด้านร่างกาย จิตใจ สังคมและจิตวิญญาณ เพื่อ ตอบสนองความต้องการของผู้ป่วยได้อย่างถูกต้องเหมาะสม 3. เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้ระบายและซักถาม เกี่ยวกับแผนการรักษาของแพทย์ 4. ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิการรักษา รวมถึงแผนการรักษา ให้ข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวกับโรคและ การดูแลรักษา การสื่อสารเพื่อให้ข้อมูลดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจที่จะรับการรักษาของ ผู้ป่วย หากสื่อสารไม่มีประสิทธิภาพจะท าให้ผู้ป่วยได้รับข้อมูลที่ไม่เหมาะสม และล้มเลิกการรักษา ไปพึงการรักษาแบบอื่นแทน 5. ส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการเตรียมตัวด้านการรักษา เช่น พูดคุยกับเจ้าหน้า 6. ให้ข้อมูลการปฏิบัติตัวเบื้องต้นก่อนเข้ารับการรักษา เนื่องจากในวันที่เข้ารับการรักษา พยาบาลจะมีข้อมูลเพิ่มเติมการปฏิบัติตัวทั้งช่วงก่อน ระหว่าง และหลังการรักษาอีกครั้ง 7. ประเมินความรู้ความเข้าใจผู้ป่วยหลังให้ข้อมูล ส่งเสริมและให้ค าปรึกษา เพื่อให้การ พยาบาลผู้ป่วยได้อย่างถูกต้องเหมาะสมต่อไป ประเมินผล 1. ผู้ป่วยมีรับรู้และความเข้าใจในแผนการรักษาของแพทย์มากยิ่งขึ้น แต่ยังมีข้อซักถามการ รักษาเป็นระยะๆ 2. ผู้ป่วยให้ความร่วมมือยินยอมเข้ารับการรักษา และเข้ารับการรักษาตามแพทย์นัด ผ่าตัด วันที่ 5/10/63 วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 3 ส่งเสริมการวางแผนดูแลสุขภาพผู้ป่วยและบุคคลในครอบครัว ข้อมูลสนับสนุน 1. ผู้ป่วยมาตรวจสุขภาพเป็นประจ าทุกปี เนื่องจากครั้งนี้ตรวจแล้วมีอากรผิดปกติ พบแพทย์ เฉพาะทาง ได้รับการตรวจวินิจฉัยเป็นมะเร็งรังไข่ ระยะ 1A 2. ประวัติการเจ็บป่วยในครอบครัว พบยายของผู้ป่วยเสียชีวิตด้วยมะเร็งเต้านม และผู้ป่วย ได้รับการวินิจฉัยเป็นมะเร็งรังไข่ วัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมให้ผู้ป่วยและญาติได้รับการตรวจคัดกรองตรวจสุขภาพ และตรวจค้นหาความ เสี่ยงโรคมะเร็งเบื้องต้น เกณฑ์กำรประเมินผล 1. ผู้ป่วยและญาติตระหนักเห็นถึงความส าคัญในการตรวจสุขภาพและตรวจคัดกรองค้นหา ความเสี่ยงโรคมะเร็ง 2. ผู้ป่วยและญาติให้ความสนใจในการเข้ารับการตรวจสุขภาพ
100 กิจกรรมกำรพยำบำล 1. อธิบายถึงความส าคัญของการตรวจสุขภาพในเครือญาติ เนื่องจากประวัติการเจ็บป่วยใน ครอบครัวมีประวัติเป็นโรคมะเร็ง 2. ส่งเสริม และแนะน าให้เห็นถึงความส าคัญในการตรวจสุขภาพ เป็นการตรวจแก่ผู้ที่ยังไม่มี อาการผิดปกติใดๆ หรืออาจมีอาการผิดปกติเพียงเล็กน้อยไม่ชัดเจน การตรวจสุขภาพประจ าปีถือว่าเป็นการ ตรวจเพื่อค้นหาโรคหรือความผิดปกติตั้งแต่ระยะเริ่มแรก จะท าให้สามารถป้องกันภาวะแทรกซ้อน ลดความ รุนแรงของโรคหรือความพิการที่อาจเกิดขึ้นในบางโรคที่จะเกิดขึ้นจากโรคนั้นได้ตลอดจนสามารถท าให้สามารถ รักษาได้ตั้งแต่อาการยังไม่มาก 3. ให้ข้อมูลโปรแกรมการตรวจสุขภาพ และวางแผนการนัดหมาย ให้ผู้ป่ วยและญาติได้รับทราบ 4. เปิดโอกาสให้ซักถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเข้ารับการตรวจสุขภาพ หรือค้นหาความเสี่ยง โรคมะเร็งเบื้องต้น ประเมินผล 1. ผู้ป่วยและญาติตระหนักเห็นถึงความส าคัญในการตรวจสุขภาพและตรวจคัดกรองค้นหา ความเสี่ยงโรคมะเร็ง แจ้งว่าจะมาตรวจสุขภาพเป็นประจ าทุกปี 2. ผู้ป่วยและญาติให้ความสนใจในการเข้ารับการตรวจสุขภาพ ท าการนัดหมายการตรวจ สุขภาพไว้แล้ว ระยะที่ 2 ผู้ป่วยได้รับกำรผ่ำตัด TAH+BSO+Omentectomy+BPND (การผ่าตัดมดลูก รังไข่ ทั้ง 2 ข้าง แผ่นไขมันในช่องท้อง และเลาะต่อมน้ าเหลืองในอุ้งเชิงกราน) ผ่าตัดวันที่ 5/10/63 จ าหน่าย วันที่ 15/10/63 วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 1 ผู้ป่วยวิตกกังวลเกี่ยวกับการผ่าตัด เนื่องจากขาดความรู้ความ เข้าใจ เกี่ยวกับ โรคและการปฏิบัติตัวก่อน และหลังผ่าตัด ข้อมูลสนับสนุน 1. ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัด TAH+BSO+Omentectomy+BPND วันที่ 5/10/63 จากประวัติ การเจ็บป่วยในอดีตไม่เคยมีประวัติการผ่าตัด 2. ประเมินผู้ป่วยมี สีหน้าไม่สดชื่น บอกว่า "หลังได้รับค าแนะน าบางส่วนก่อนหน้านี้ ยังกังวล ในการท าผ่าตัด ไม่เคยผ่าตัดมาก่อน เป็นครั้งแรกในชีวิต” 3. ผู้ป่วยมักสอบถาม วิธีการผ่าตัด การได้รับการระงับความรู้สึกและภาวะแทรกซ้อนจากการ ผ่าตัด วัตถุประสงค์ ผู้ป่วยคลายความวิตกกังวล มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับโรค และการปฏิบัติตัวก่อนและ หลังผ่าตัด
101 เกณฑ์กำรประเมินผล 1. ผู้ป่วยมีสีหน้าสดชื่น คลายความวิตกกังวล 2. ผู้ป่วยสามารถบอกสาเหตุของภาวะที่เป็นอยู่ได้ พร้อมทั้งเข้าใจในแผนการรักษาของแพทย์ 3. ผู้ป่วยสามารถบอกการปฏิบัติตัวก่อนและหลังผ่าตัดได้ถูกต้อง กิจกรรมกำรพยำบำล กิจกรรมการพยาบาลร่วมกับทีมพยาบาลหอผู้ป่วย 1. สร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้ป่วย โดยการใช้ค าพูด ที่สุภาพ อ่อนโยน โดยการแนะน าตนเอง และบุคลากรในการดูแลผู้ป่วย เพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความไว้วางใจ รวมทั้งเปิดโอกาสให้ระบายความรู้สึก การซักถามข้อสงสัย รับฟังด้วยความเข้าใจ พร้อมทั้งพูดคุยปลอบโยนให้ก าลังใจ เพื่อให้ผู้ป่วยคลาย ความกังวลใจ และยอมรับ พร้อมให้ความร่วมมือในการวางแผนการรักษา 2. ประเมินความรู้ ความเข้าใจของผู้ป่วยเกี่ยวกับโรคและสาเหตุของการเจ็บป่วยในครั้ง รวมทั้งประเมินในเรื่องความรู้ความเข้าใจในวิธีการผ่าตัด และแผนการระงับความรู้สึกที่จะได้รับ 3. ให้ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการรักษาของแพทย์ การระงับความรู้สึกของวิสัญญีแพทย์ ในขอบเขต ของพยาบาล เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับทราบข้อมูล และมีส่วนร่วมในการวางแผนการรักษา 4. เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยและญาติ มีส่วนร่วมในการวางแผนการรักษา โดยเป็นสื่อกลางให้กับ ทีมแพทย์ วิสัญญีแพทย์ ได้รับทราบถึงความต้องการการรักษาของผู้ป่วย เพื่อให้การรักษามี ประสิทธิภาพ 5. อธิบายให้ทราบถึงวิธีการขั้นตอนต่างๆ ในการเตรียมผู้ป่วย ในการท าผ่าตัด เพื่อให้ผู้ป่วย รับทราบและเข้าใจพร้อมให้ความร่วมมือ 6. ให้ค าแนะน าต่างๆ ร่วมกับทีมพยาบาลวอร์ด ในการปฏิบัติตัวก่อนและหลังผ่าตัด ในเรื่อง ของการเตรียมความสะอาดของร่างกาย การเตรียมความสะอาดเฉพาะที่ การเตรียมล าไส้ โดยการ สวนอุจจาระ หรือการรับประทานยาระบาย ตามแผนการรักษาของแพทย์ และแนะน าการงดน้ างด อาหารก่อนการผ่าตัด อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง รวมทั้งแนะน าการประเมินระดับการปวดแผลภายหลัง ผ่าตัด โดยใช้คะแนนความเจ็บปวด (ระดับ pain score 1-10) เป็นเกณฑ์การประเมิน พร้อมทั้ง แนะน าการบริหารร่างกาย ภายหลังท าผ่าตัด การไออย่างถูกวิธี การหายใจอย่างมีประสิทธิภาพ และ ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ภายหลังได้รับการระงับความรู้สึก รวมทั้งให้เซ็นใบยินยอมเพื่อการ รักษาในการท าผ่าตัด 7. ประเมินความรู้ ความเข้าใจหลังท าผ่าตัด จากค าแนะน าที่กล่าวมาโดยการซักถาม หาก ผู้ป่วยยังไม่เข้าใจ เปิดโอกาสให้ซักถามข้อสงสัย เพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความเข้าใจและมั่นใจในการปฏิบัติ ตัวมากขึ้น และประเมินความรู้ความเข้าใจอีกครั้งจนผู้ป่วยเข้าใจถูกต้อง
102 ประเมินผล 1. ผู้ป่วยคลายความวิตกกังวล ยอมรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ มีสีหน้าสดชื่นขึ้น 2. ผู้ป่วยรับทราบ เข้าใจแผนการรักษา ตัดสินใจยอมรับการรักษาครั้งนี้ด้วยตนเอง ให้ความ ร่วมมือตามแผนการรักษาด้วยดี 3. ผู้ป่วยสามารถบอกการปฏิบัติตัวก่อนและหลังผ่าตัดได้ถูกต้อง วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 2 ผู้ป่วยมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนภายหลังผ่าตัด ข้อมูลสนับสนุน 1. หลังผ่าตัด TAH+BSO+Omentectomy+BPND 2. ผู้ป่วยได้รับยาระงับความรู้สึก แบบ general anesthesia 3. จากการประเมินอาการและซักถามอาการมีเสมหะในล าคอ ไม่กล้าไอ นอนเฉยๆกลัวเจ็บ แผล วัตถุประสงค์ ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน หลังการผ่าตัด เกณฑ์กำรประเมินผล 1. สัญญาณชีพปกติ 2. ค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดปกติ (O2 Saturation = 95-100%) 3. ไม่มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน 4. สามารถไออย่างมีประสิทธิภาพ กิจกรรมกำรพยำบำล กิจกรรมการพยาบาลร่วมกับทีมพยาบาลหอผู้ป่วย 1. ประเมินระดับความรู้สึกตัวของผู้ป่วย โดยสอบถามชื่อ-นามสกุล วันเวลา สถานที่ ประเมิน ระดับความง่วงซึม sedation score >1 2. ประเมินและบันทึกสัญญาณชีพ โดยตรวจนับชีพจร หายใจ และความดันโลหิต ทุก 15 นาที 4 ครั้ง ทุก 30 นาที2 ครั้ง และทุก 1 ชั่วโมง จนกว่าสัญญาณชีพจะคงที่ จากนั้นบันทึกต่อทุก 4 ชั่วโมง จนครบ 24 ชั่วโมง หากมีสัญญาณชีพผิดปกติ เช่น ชีพจรเร็วมากกว่า 100 ครั้งนาที ความ ดันโลหิตต่ ากว่า 90/60 mmHg มีเหงื่อออก ตัวเย็น ปากซีด หายใจหอบเหนื่อย ให้รายงานแพทย์ ทันที 3. สังเกตและบันทึกเกี่ยวกับสีผิว เยื่อบุตา และค่าความอิ่มตัวของออกชิเจน (02 satration) ทุก 1 ชั่วโมง เพื่อประเมินภาวะพร่องออกซิเจน หากมีภาวะหายใจขึ้น เหนื่อยหอบ ปลายมือปลาย เท้าเขียว เตรียมอุปกรณ์ในการช่วยหายใจและการให้ออกซิเจน เพื่อพร้อมช่วยเหลือได้ทันที และ รายงานให้แพทย์ทราบเพื่อประเมินอาการ
103 4. ประเมินแผลผ่าตัด ลักษณะของแผล จ านวนของแผลภายหลังท าผ่าตัด ขนาดของพลา สเตอร์ที่ปิดแผล สังเกตว่าผ้าปิดแผลมีเลือดซึมหรือไม่ หากพบว่ามีเลือดซึมออกจากแผลผ่าตัด ให้ รายงานแพทย์ทันที 5. ประเมินและบันทึกลักษณะ จ านวนของปัสสาวะที่ออกจากสายสวนปัสสาวะควรมีปริมาณ ไม่น้อยกว่า 25 ซีซี /ชั่วโมง หากปัสสาวะออกน้อยกว่าเกณฑ์ ให้รายงานแพทย์ทันที 6. ประเมินอาการปวดแผลผ่าตัด โดยประเมินจาก pain score 7. จัดให้ผู้ป่วยนอนราบไม่หนุนหมอน หากมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ให้จัดให้นอนในท่านอน ตะแคง เพื่อป้องกันการส าลักเศษอาหาร และควรจัดภาชนะรองรับน้ าลายไว้ข้างๆผู้ป่วย 8. กระตุ้นให้ผู้ป่วยหายใจเข้าออกลึกๆ ยาวๆ (deep breathing exercise) โดยหายใจเข้าให้ หน้าท้องพองขึ้น แล้วค่อยๆผ่อนลมหายใจออกช้าๆ ท าเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ประมาณ 10-15 ครั้ง เพื่อ ป้องกันภาวะปวดแผล และแนะน าเรื่องการไออย่างมีประสิทธิภาพ (effective cough) เพื่อช่วยให้ เสมหะออกมาจากล าคอได้ง่ายในกรณีที่มีเสมหะค้างอยู่ในล าคอเป็นเวลานาน ลดการติดเชื้อใน ระบบ ทางเดินหายใจได้ 9. กระตุ้นให้ผู้ป่วยได้ ambulate ได้เร็วที่สุด เมื่อผู้ป่วยเริ่มรู้สึกตัวดีแล้ว ให้พลิกตะแคงตัว ทุก 2-3 ชั่วโมง หรือบริหารขา (legs exercise) โดยการกระดกปลายเท้าขึ้นลง เพื่อให้การไหลเวียน ของเลือดดีขึ้น ไม่เกิดการคั่งของเลือดบริเวณปลายเท้า ช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณขาหดรัดตัวมีผลท าให้ เนื้อขาแข็งแรงและตึงตัวอีกทั้งยังช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายและป้องกันการก่อตัวของก้อนเลือด อุด ตันระบบการไหลเวียน 10. ดูแลให้ผู้ป่วยนอนพัก จัดสิ่งแวดล้อมให้สงบ เพื่อให้ผู้ป่วยได้พักผ่อน และเข้าติดตาม ประเมินอาการเป็นระยะๆ ประเมินผล 1. ประเมินความรู้สึกตัว ผู้ป่วยรู้สึกตัวดี ไม่มีไข้ สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติT = 36.2 oC P= 74 bpm R= 20 bpm BP= 128/82 mmHg O2 sat = 98 % แผลผ่าตัด ไม่มีเลือดซึม On Jackson Drain pain score 3 คะแนน ค่าปัสสาวะออก 100 ซีซี/ชั่วโมง พักหลับได้ 2. ผู้ป่วยไม่มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน สามารถไออย่างมีประสิทธิภาพ
104 วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 3 ผู้ป่ายไม่สุขสบายเนื่องจากปวดแผลผ่าตัด ข้อมูลสนับสนุน 1. หลังผ่าตัด TAH+BSO+Omentectomy+BPND มีแผลผ่าตัดหน้าท้อง On Jackson drain 2. ประเมินอาการและอาการแสดง ผู้ป่วยรู้สึกตัว สีหน้าคิ้วขมวด ไม่สดชื่น ไม่ให้ความร่วมมือ ในการพยาบาล นอน มือกุมแผลหน้าท้องตลอด 3. บ่นปวดแผล pain score 3 คะแนน วัตถุประสงค์ ผู้ป่วยทุเลาอาการปวดแผลลดลง เกณฑ์กำรประเมินผล 1. Pain score ≤ 4 2. สีหน้าสดชื่นขึ้น นอนพักผ่อนได้ 3. สามารถเคลื่อนไหวทางร่างกายได้เหมาะสมตามค าแนะน า กิจกรรมกำรพยำบำล กิจกรรมการพยาบาลร่วมกับทีมพยาบาลหอผู้ป่วย 1. ประเมินระดับความปวดแผลผ่าตัด (level of pain score) ตั้งแต่ระดับ 0-10 พร้อมทั้งให้ การพยาบาลในแต่ละระดับ ดังต่อไปนี้ -ระดับ 0 หมายถึงไม่ปวดเลยควรสอบถามอาการปวดแผลผ่าตัดทุก 4 ชม. -ระดับ 1-3 หมายถึง ปวดเล็กน้อย ควรอธิบายให้ทราบถึงสาเหตุของการเจ็บปวด เบี่ยงเบน ความสนใจโดยใช้เทคนิคผ่อนคลายต่างๆ เช่น ฟังเพลงหรืออ่านหนังสือที่ชอบ -ระดับ 4-6 หมายถึง ปวดปานกลาง ให้การพยาบาลเช่นเดียวกับระดับ 1-3 พร้อมทั้งให้ยา ตามแผนการรักษา เช่น Paracetamal (500 mg.) รับประทานครั้งละ 2 เม็ด ทุก 4-6 ชั่วโมง หลังจากนั้น ประเมินผลหลังได้รับยา 30 นาทีหากอาการไม่ดีขึ้น ควรรายงานแพทย์ทราบ -ระดับ 7-8 หมายถึง ปวดมากควรค้นหาสาเหตุของการปวด เช่น จากสภาพจิตใจ หรือ จาก การ On Jackson drain ที่ต่อไว้หลุดหรือพับ หัก งอขณะเคลื่อนย้ายผู้ป่วยร่วมกับประเมินสัญญาณ ชีพและแผลผ่าตัดซ้ าอีกครั้ง พร้อมทั้งรายงานแพทย์ทราบ -ระดับ 9-10 หมายถึง ปวดมากที่สุด ให้ประเมินความรู้สึกตัว สัญญาณชีพ และ แผลผ่าตัด ซ้ า พร้อมให้ NPO ไว้ก่อน รีบรายงานแพทย์ทันที กรณีที่แผลแยกควรเตรียมผู้ป่วยเพื่อรับการผ่าตัด ฉุกเฉินหรือเตรียมเปิดเส้นเพื่อให้สารน้ า หรือให้เลือดต่อไป 2. จัดท่าให้ผู้ป่วยนอนตะแคง เพื่อให้ผนังหน้าท้องหย่อน เพื่อช่วยลดอาการปวดแผล 3. แนะน า เรื่องการไออย่างถูกวิธีโดยใช้มือประคองแผลขณะไอจาม เพื่อช่วยป้องกันการ กระเทือนแผล และบรรเทาอาการปวดแผล
105 4. ดูแลช่วยเหลือกิจกรรมทั่วไป เช่น ดูแลเช็ดตัว ท าความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์เพื่อความสุข สบายและป้องกันอาการติดเชื้อของแผลผ่าตัด ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการปวดแผลได้ ประเมินผล 1. ผู้ป่วยรู้สึกตัวดี pain score 4 คะแนน ได้รับยาแก้ปวด paracetamal 500 mg. 1 tab oral หลังได้รับประทานยา Pain score 2 คะแนน On Jackson drain work ดี ไม่มีหักพบงอ 2. สีหน้าสดชื่นขึ้น นอนพักผ่อนได้ 3. สามารถเคลื่อนไหวทางร่างกายได้เหมาะสมตามค าแนะน า วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 4 ผู้ป่วยมีโอกาสเสี่ยงต่อภาวะท้องอืดหลังผ่าตัด ข้อมูลสนับสนุน 1. ผู้ป่วยได้รับยาระงับความรู้สึกแบบ general anesthesia 2. ไม่ค่อยเคลื่อนไหวบนเตียงตามค าแนะน า บ่นแน่นอึดอัดท้อง 3. ฟังเสียง bowel sound: negative วัตถุประสงค์ ไม่มีภาวะท้องอืดหลังผ่าตัด เกณฑ์กำรประเมินผล 1. Bowel sound: positive จ านวน 3-5 ครั้ง/นาที 2. อาการแน่นอึดอัดท้องลดลง 3. เคลื่อนไหวร่างกายตามค าแนะน า ได้ตามความเหมาะสมภายหลังผ่าตัด กิจกรรมกำรพยำบำล กิจกรรมการพยาบาลร่วมกับทีมพยาบาลหอผู้ป่วย 1. ประเมินการท างานของล าไส้ โดยการฟัง bowel sound ทั้ง 4 quadrants หลังผ่าตัด 24 ชั่วโมง เมื่อพบว่าล าไส้เริ่มมีการท างาน มีการเคลื่อนไหวของล าไส้ 3-5 ครั้ง/นาที แสดงว่า ล าไส้ เริ่มท างานรอรับค าสั่งแพทย์เรื่อง step diet จากแพทย์เจ้าของไข้ 2. ประเมินอาการท้องอืดหลังผ่าตัด ตรวจร่างกายผู้ป่วยโดยการสังเกต เช่น อาการ หน้าท้อง แข็ง แน่นท้อง พร้อมทั้งสอบถามอาการเรอ และอาการผายลมภายหลังผ่าตัด 3. อธิบายให้ทราบถึงสาเหตุของอาการท้องอืด ภายหลังผ่าตัด เนื่องจากผู้ป่วยได้รับการ ระงับความรู้สึกแบบ general anesthesia ท าให้ล าไส้มีการเคลื่อนไหวลดลง เกิดอาการท้องอืด ตามมาภายหลังผ่าตัด จึงควรกระตุ้น ให้ล าไส้กลับมาท างานเร็วขึ้น โดยให้ค าแนะน าในการเคลื่อนไหว ร่างกายมากขึ้น เพื่อลดอาการท้องอืด 4. กระตุ้นให้ผู้ป่วยมีการเคลื่อนไหวภายหลังผ่าตัด โดยหลังผ่าตัด 24 ชั่วโมงแรกควรแนะน า ให้พลิกตะแคงทุก 2-3 ชั่วโมง หลังจากนั้น ควรเริ่มให้ลุกเดินรอบๆ เตียงจนสามารถเดินใน
106 ระยะใกล้ๆ ภายในห้องได้ เพื่อช่วยให้ล าไส้มีการเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น ท าให้การท างานของระบบ ทางเดินอาหารดีขึ้นด้วย 5. ให้ค าแนะน า เรื่องการรับประทานอาหารตามค าสั่งแพทย์ (step diet) โดยเริ่มจากอาหาร เหลว (liquid diet) เช่น น้ าข้าว น้ าขิงและน้ าหวาน เป็นต้น ต่อมาเป็นอาหารอ่อน (soft diet) ได้แก่ ข้าวต้ม เครื่องก๋วยเตี๋ยวแล้วจึงให้รับประทานอาหารธรรมดา (regular diet) ได้โดยแนะน า ให้เริ่ม ตามล าดับ และควรเริ่มในปริมาณที่น้อย ๆ ก่อน หากไม่มีอาการท้องอืด แน่นท้องสามารถเพิ่ม ปริมาณได้ 6. แนะน าอาหารที่ช่วยป้องกันอาการท้องอืด เช่น น้ าขิง เพราะจะช่วยในการขับลม ลด อาการท้องอืด แน่นท้อง หลีกเลี่ยงอาหารที่ท าให้เกิดภาวะท้องอืด เช่น นม น้ าอัดลม อาหาร ประเภท ถั่ว และอาหารที่มีไขมันสูง เป็นตน 7. ประเมินอาการและอาการแสดง หลังให้ค าแนะน า เพื่อให้การพยาบาลได้อย่างถูกต้อง ต่อไป ประเมินผล 1. ภายหลังผ่าตัดหลังผ่าตัด 24 ชั่วโมง ผู้ป่วยนอนพักยังไม่มีการเคลื่อนไหว Day 3 ผู้ป่วย รู้สึกตัวดี มีการพลิกตะแคงตัวบ้าง ผายลมแล้ว 2. Bowel sound: positive จ านวน 3-5 ครั้ง/นาที 3. เคลื่อนไหวร่างกายได้ตามค าแนะน า เคลื่อนไหวได้ตามความเหมาะสมภายหลังผ่าตัด วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 5 ผู้ป่ายมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดการพลัดตกหกล้ม ข้อมูลสนับสนุน 1. ผู้ป่วยได้รับการระงับความรู้สึกแบบ general anesthesia 2. หลังผ่าตัด 24 ชั่วโมงแรก มีอาการอ่อนเพลีย ช่วยเหลือตนเองได้น้อย วัตถุประสงค์ ไม่เกิดการพลัดตกหกล้ม เกณฑ์กำรประเมินผล 1. สัญญาณชีพปกติ 2. ไม่มีอาการอ่อนเพลียไม่มีอาการเวียนศีรษะ หน้ามืดขณะเปลี่ยนท่า 3. ผู้ป่วยช่วยเหลือตนเองได้มากขึ้น 4. ไม่มีบาดแผลรอยช้ า ตามร่างกาย
107 กิจกรรมกำรพยำบำล กิจกรรมการพยาบาลร่วมกับทีมพยาบาลหอผู้ป่วย 1. ประเมินสัญญาณชีพ เพื่อประเมินความผิดปกติเช่น ความดันโลหิตต่ า มีโอกาสเกิดอาการ เวียนศีรษะ ท าให้หน้ามืด อาจเกิดการพลัด ตกหกล้มได้ 2. ยกราวข้างเตียงขึ้นทุกครั้ง ภายหลังให้การพยาบาล พร้อมวางกริ่ง หรือ nurse call ไว้ ข้างตัวผู้ป่วย เพื่อหยิบใช้ได้สะดวกมือ เมื่อต้องการความช่วยเหลือ 3. จัดสิ่งแวดล้อมบริเวณข้างเตียง และภายในห้องให้เรียบร้อยให้เป็นระเบียบเพื่อป้องกันการ สะดุดลื่นล้ม 4. ดูแลช่วยเหลือกิจกรรมต่างๆ ให้ผู้ป่วยเช่น การท าความสะอาดร่างกาย และอวัยวะ สืบพันธุ์ ในกรณีที่ผู้ป่วยยังได้รับสารน้ าทางหลอดเลือดด า และยังคาสายสวนปัสสาวะอยู่เพื่อช่วย ลด การออกแรงและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการพลัดตกหกล้ม 5. ตรวจดูบริเวณร่างกายของผู้ป่วยขณะตรวจเยี่ยม อาการว่า มีรอยฟกช้ า มีบาดแผลจาก การพลัดตกหกล้ม หรือไม่ 6. เน้นย้ า ญาติควรอยู่ดูแลผู้ป่วยตลอดเวลา เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยในการท ากิจวัตรต่างๆ หาก ต้องการความช่วยเหลือให้เรียกเจ้าหน้าที่ทันที ประเมินผล 1. สัญญาณชีพโดยรวมปกติไม่พบความดันโลหิตต่ า ผู้ป่วยรู้สึกตัวดี ช่วยเหลือตนเองได้ มี อาการอ่อนเพลียเล็กน้อย ขยับตัวหรือเคลื่อนไหวร่างกาย ไม่มีอาการเวียนศีรษะ หรือหน้ามืดขณะ เปลี่ยนท่า 2. ผู้ป่วยช่วยเหลือตนเองได้มากขึ้น 3. ไม่มีบาดแผลรอยช้ า ตามร่างกาย วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 6 ผู้ป่วยพร่องความรู้ในการปฏิบัติตัวภายหลังผ่าตัด เมื่อกลับไปอยู่ บ้าน ข้อมูลสนับสนุน 1. ผู้ป่วยซักถามข้อมูลการปฏิบัติตัวภายหลังผ่าตัด เมื่อกลับไปอยู่บ้าน 2. ผู้ป่วยไม่ทราบอาการผิดปกติที่ต้องมาพบแพทย์ ก่อนก าหนดนัด วัตถุประสงค์ ผู้ป่วยมีความรู้ในการปฏิบัติตัวภายหลังผ่าตัด เมื่อกลับไปอยู่บ้าน เกณฑ์กำรประเมินผล 1. ผู้ป่วยมีความรู้ ความเข้าใจในการปฏิบัติตัวภายหลังผ่าตัด เมื่อกลับไปอยู่บ้านได้ถูกต้อง 2. ผู้ป่วยสามารถบอกการปฏิบัติตัวภายหลังผ่าดัดเมื่อกลับไปอยู่บ้าน ได้อย่างน้อย 5ใน 8 ข้อ
108 กิจกรรมกำรพยำบำล กิจกรรมการพยาบาลร่วมกับทีมพยาบาลหอผู้ป่วย 1. ประเมินความรู้ความเข้าใจ เรื่องการปฏิบัติตัวภายหลังผ่าตัด เมื่อกลับไปอยู่บ้าน 2. ให้ค าแนะน าเรื่องการปฏิบัติตัวภายหลังผ่าตัด เมื่อกลับบ้าน ในเรื่องดังต่อไปนี้ 2.1 การดูแลแผลผ่าตัด ปิดแผลด้วยพลาสเตอร์ชนิดกันน้ า แนะน าให้ผู้ป่วยอาบน้ า ได้ตามปกติ ห้ามถูสบู่บริเวณขอบพลาสเตอร์ภายหลังอาบน้า ให้เช็ดตัวให้แห้งและใช้ผ้าขนหนูที่แห้ง ซับ บริเวณขอบพลาสเตอร์เพื่อป้องกันการอับชื้น และป้องกันการหลุดลอกของพลาสเตอร์หลีกเลี่ยง การแช่น้ าในอ่างน้ า หรือล าคลอง เนื่องจากอาจติดเชื้อจากสารปนเปื้อนมากับน้ า ซึมเข้าสู่ร่างกายและ ทางช่องคลอดได้ 2.2 สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติว่า ควรรับประทาน อาหารให้ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง อาหารหมักดอง เป็นตน 2.3 ควรท างานเบาๆ เช่น กวาดบ้าน ล้างจาน เป็นต้น งดการท ากิจกรรมที่ ต้องออก แรงมาก หรือกิจกรรมที่เพิ่มแรงดัน ในช่องท้อง เพราะจะท าให้แผลผ่าตัดแยกได้เช่น การ ยกของหนัก เป็นต้น และหลีกเลี่ยงการนั่งยองๆ 2.4 สามารถออกก าลังกายเบาๆ เช่น ยืน เดิน เป็นเวลาอย่างน้อย 10-20 นาที งด การออกก าลังกายที่ต้องเกร็งหน้าท้อง เช่น Sit up หรือสะพานโค้ง ภายใน 6 เดือนแรก 2.5 อาการผิดปกติต้องมาพบแพทย์เช่น มีเลือดหรือหนองบริเวณแผลผ่าตัด มีสิ่งคัด หลั่ง ผิดปกติออกทางช่องคลอด มีอาการปวดท้องน้อยตลอดเวลา ร่วมกับการมีไข้และมีตกขาว ตก ขาวมีกลิ่นเหม็น เป็นต้น 2.6 ดูแลการได้รับประทานยาตามแผนการรักษา โดยผู้ป่วยได้รับยา Losec, Simethicone 2.7 มาตรวจติดตามอาการภายหลังผ่าตัดตามแพทย์นัด และควรตรวจติดตาม ต่อเนื่องเป็นประจ า 3. ภายหลังให้ค าแนะน า เปิดโอกาสให้ซักถามข้อสงสัย เน้นย้ า ให้ตระหนักถึงความส าคัญ ใน การปฏิบัติตัวภายหลังผ่าตัด ตามค าแนะน า อย่างเคร่งครัด พร้อมให้ตระหนักถึงอาการผิดปกติต่าง ๆ ที่ต้องมาพบแพทย์ภายหลังผ่าตัด รวมทั้งประเมินความรู้ของผู้ป่วยโดยการซักถาม เปิดโอกาสให้ผู้ป่วย ในการซักถามและตอบข้อสงสัย เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าใจและมั่นใจในการ น าไปปฏิบัติตัวเมื่อกลับไปอยู่ บ้าน และเพื่อที่จะช่วยลดการกลับเข้ารักษาซ้ าในโรงพยาบาล (Re-admit) ภายหลังผ่าตัด ประเมินผล 1. ผู้ป่วยมีความรู้ ความเข้าใจในการปฏิบัติตัวภายหลังผ่าตัด เมื่อกลับไปอยู่บ้านได้ถูกต้อง 2. ผู้ป่วยสามารถบอกการปฏิบัติตัวภายหลังผ่าตัด เมื่อกลับไปอยู่บ้าน ได้ทั้งหมด 8 ข้อ
109 ระยะที่ 3 ผู้ป่วยได้รับยำเคมีบ ำบัด สูตร Paclitaxel+ Carboplatin x 3 Cycle เป็น OPD Case เริ่มให้ครั้งแรกวันที่ 27/10/63 ครั้งที่ 2 วันที่ 17/11/63 และให้ครบวันที่ 8/12/63 วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 1 วิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและการรักษาด้วยยาเคมีบ าบัด ข้อมูลสนับสนุน 1. ผู้ป่วยได้รับยา เคมีบ าบัด Paclitaxel / Carboplatin 3 Cycle (27/10/63 Cycle ที่ 1 Paclitaxel 275 mg. / Carboplatin 560 mg.) (17/11/63 Cycle ที่ 2 Paclitaxel 275 mg. / Carboplatin 580 mg.) (8/12/63 Cycle ที่ 3 Paclitaxel 275 mg. / Carboplatin 530 mg.) 2. ผู้ป่วยแสดงสีหน้าวิตกกังวลไม่ยิ้มแย้มแจ่มใส จากการซักถามผู้ป่วยคิดมาก นอนไม่หลับ กังวลเกี่ยวกับการรักษา เป็นครั้งแรกที่รับยาเคมีบ าบัด 3. ผู้ป่วยเป็นผู้มีความรู้ ศึกษาข้อมูลจากทุกแห่ง ท าให้ทราบข้อมูลทั้งแง่บวก แง่ลบ ในการ รักษา วัตถุประสงค์ 1. เพื่อให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับการรักษาเคมีบ าบัด 2. สามารถยอมรับและเผชิญกับการรักษาเคมีบ าบัดได้ 3. เพื่อลดความวิตกกังวล เกณฑ์กำรประเมินผล 1. ลดความวิตกกังวล ผู้ป่วยมีสีหน้าสดชื่นขึ้น 2. ผู้ป่วยให้ความร่วมมือการรักษาด้วยเคมีบ าบัด และยอมรับตัดสินใจด้วยตนเอง กิจกรรมกำรพยำบำล กิจกรรมการพยาบาลร่วมกับทีมพยาบาลให้ยาเคมีบ าบัด 1. สร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้ป่วยให้เกิดความเข้าใจ ไว้วางใจ ยอมรับและมั่นใจ ในการ ช่วยเหลือที่ดีและปลอดภัยแก่ผู้ป่วย เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้ระบายความรู้สึกหรือความคับข้องใจที่มีอยู่ ทั้งนี้เพื่อประเมินปัญหาความรู้สึกของผู้ป่วย เพื่อให้ข้อมูลผู้ป่วยได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม 2. อธิบายให้ผู้ป่วยและญาติทราบ ถึงแผนการรักษา ตลอดจนความจ าเป็น และข้อดีของการ รักษาด้วยยาเคมีบ าบัด เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ 3. อธิบายให้ผู้ป่วยรับทราบขั้นตอนการให้ยาเคมีบ าบัด ตลอดจนการปฏิบัติตัวระหว่างได้รับ ยาเคมี เพื่อให้ผู้ป่วยได้คลายกังวล 4. ส่งเสริมและแนะน าให้ผู้ป่วยได้พูดคุย กับผู้ป่วยรายอื่นที่ได้รับการรักษาเคมีบ าบัด ถึง ผลการรักษาและทัศนคติออกมาในทางที่ดี เพื่อให้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ที่พบเจอในรูปแบบ
110 เดียวกัน ปัญหา ความคิด รวมทั้งวิธีการปรับตัว ซึ่งเป็นการช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจ สามารถยอมรับและ ปรับตัวต่อภาวะที่ต้องเกิดขึ้นได้ดีขึ้น 5. กระตุ้นให้ผู้ป่วยสนใจตนเอง ส่งเสริมให้ปฏิบัติกิจวัตรประจ าวันเพื่อคงไว้ซึ่งคุณค่าเเห่งตน 6. ประเมินผู้ป่วย ซักเกตพฤติกรรม ท่าทางหลังให้ค าแนะน า เพื่อเป็นแนวทางในดูแลผู้ป่วย ในการประกอบการตัดสินใจรักษา และมารับการตรวจรักษาตามที่แพทย์นัด ประเมินผล 1. ผู้ป่วยลดความวิตกกังวล ยอมรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ มีสีหน้าสดชื่นขึ้น 2. ผู้ป่วยตัดสินใจยอมรับการรักษาครั้งนี้ด้วยตนเอง ให้ความร่วมมือตามแผนการรักษาด้วยดี วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 2 เกิดภาวะ Infusion Reaction ข้อมูลสนับสนุน 1. ผู้ป่วยได้รับยาเคมีบ าบัด Paclitaxel / Carboplatin Cycle ที่ 1 วันที่ 27/10/63 2. ผู้ป่วยให้ยา เคมีบ าบัด Paclitaxel / Carboplatin ขณะให้ยาครั้งที่ 1 Paclitaxel 20 ml. Rate 135 ml. /hr. มีอาการ แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก หน้าแดง สัญญาณชีพ T= 36 oC P= 72 bpm R= 18 bpm BP = 116/70 mmHg O2 sat 97 % วัตถุประสงค์ สามารถค้นพบอาการแพ้ยาเคมี Paclitaxel / Carboplatin ได้ตั้งแต่ระยะต้นๆ เกณฑ์กำรประเมินผล 1. ผู้ป่วยมีอาการแพ้ยาในขณะให้ยาเคมีบ าบัด Paclitaxel หายใจขัด แน่นหน้าอก หน้าแดง ลดลง 2. สัญญาณชีพของผู้ป่วยปกติ กิจกรรมกำรพยำบำล กิจกรรมการพยาบาลร่วมกับทีมพยาบาลให้ยาเคมีบ าบัด 1. ซักประวัติการแพ้ยา แพ้อาหาร และอื่นๆ จัดเตียง Admit ให้ผู้ป่วยอยู่ใน Zone ที่มี อุปกรณ์ฉุกเฉิน / Hyper sent Kit ไว้ให้พร้อม เพื่อได้ช่วยเหลือทันที 2. อธิบายให้ข้อมูลผู้ป่วยทราบก่อนการให้ยา ถึงภาวะการแพ้ยาเคมีของ Paclitaxel / Carboplatin ซึ่งจะมีอาการดังนี้ หายใจขัด เจ็บหน้าอก ความดันโลหิตต่ า หน้าแดง และผื่นแดง ซึ่ง อาจเกิดขึ้นได้ ถ้าเกิดอาการ ดังกล่าว ควรแจ้งให้พยาบาลทราบทันที เพื่อรายงานแพทย์ให้ความ ช่วยเหลือต่อไป 3. ประเมินหลอดเลือด และขณะบริหารยาเคมีบ าบัด และสัญญาณชีพก่อนการให้ยา และ สังเกตอาการผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ขณะให้ยา 15 นาทีแรก
111 4. ดูแลการได้รับยา Pre-Medication ตามแผนการรักษา 5. บริหารยาโดยการควบคุมการหยดของยาด้วยเครื่อง Infusion pump ปรับ rate ตาม ตารางในยากลุ่ม Taxans 6. ปรับยาเคมีบ าบัดให้ช้าๆใน 5 นาทีแรก กรณีปกติให้ปรับ Rate ตามแผนการรักษาดูแล ผู้ป่วยขณะให้ยาเคมีบ าบัดอย่างใกล้ชิด และตรวจวัดสัญญาณชีพทุก 15 นาที ใน 1 ชั่วโมงแรก และ ต่อไปทุก 1 ชั่วโมง จ านวน 4 ครั้ง ตามแผนการรักษาและบันทึกอาการอย่างละเอียด 7. ดูแลให้ O2 support 4 L/min พร้อมทั้งสังเกตอาการหลังจากให้ O2 support 8. หากมีอาการผิดปกติจากการแพ้ หยุดการให้ยาเคมี รายงานแพทย์ทราบทันที เพื่อให้ยา แก้แพ้ตามแผนการรักษาต่อไป 9.ประเมินอาการและอาการแสดง หลังได้รับการแก้ไขหลังจากแพ้ยา บันทึกทางการพยาบาล และอุบัติการณ์ที่เกิดขึ้น ประเมินผล 1. ผู้ป่วยหลังได้รับยาเคมีบ าบัด cycle ที่ 1 หลังจากพบมีอาการแพ้ ได้รับยาแก้แพ้ CPM 1 amp iv stat หลังจากได้รับยาแก้แพ้ อาการดีขึ้น ไม่เจ็บแน่นหน้าอก On support 4 L/min หายใจ ได้ดีขึ้น สัญญาณชีพโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ปกติ O2 sat 97-99 % 2. ก่อนให้ยาเคมีบ าบัด cycle ที่ 2, 3 ผู้ป่วยขอใส่ O2 support 4 L/min เพื่อป้องกันการ เกิดอาการ แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก หน้าแดง ผู้ป่วยหลังให้ยา เคมีบ าบัด Paclitaxel / Carboplatin ทั้ง 3 cycle หายใจขัด แน่นหน้าอก หน้าแดง ลดลง สัญญาณชีพโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ ปกติ O2 sat 97-99 % วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 3 เสี่ยงต่อภาวะเคมีรั่วออกนอกเส้นเลือดและหลอดเลือดด าและ หลอดด าอักเสบ ข้อมูลสนับสนุน ผู้ป่วยได้รับยาเคมีบ าบัด Paclitaxel / Carboplatin ทั้ง 3 cycle ซึ่งเป็นยาที่มีความระคาย เคืองต่อเส้นเลือดโดยวิธีฉีดเข้าหลอดเลือดด า (27/10/63 Cycle ที่ 1 Paclitaxel 275 mg. / Carboplatin 560 mg.) (17/11/63 Cycle ที่ 2 Paclitaxel 275 mg. / Carboplatin 580 mg.) (8/12/63 Cycle ที่ 3 Paclitaxel 275 mg. / Carboplatin 530 mg.) วัตถุประสงค์ 1. เพื่อป้องกันภาวะยารั่วออกนอกเส้นเลือดและหลอดเลือดด าอักเสบ 2. ผู้ป่วยปลอดภัยจากภาวะยาเคมีบ าบัดออกนอกเส้นเลือดและหลอดเลือดด าอักเสบ
112 3. ผู้ป่วยสามารถบอกอาการผิดปกติที่เกิดจากยาเคมีออกนอกเส้นเลือดและหลอดเลือด อักเสบได้ กิจกรรมกำรพยำบำล กิจกรรมการพยาบาลร่วมกับทีมพยาบาลให้ยาเคมีบ าบัด 1. แจ้งผู้ป่วยให้ทราบถึงผลข้างเคียงที่มีต่อเนื้อเยื่อ เมื่อมีการรั่วซึมของยาออกนอกหลอด เลือด 2. เลือกเส้นเลือดด าที่มีเส้นใหญ่ เห็นชัดเจน มีความยืดหยุ่นดี ไม่แข็งไม่คด หลีกเลี่ยงหลอด เลือดบริเวณปลายมือปลายเท้า ข้อพับ ข้อแขนหรือบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวบ่อย 3. ใช้เข็มขนาดเล็กที่สุดและพยายามหลีกเลี่ยงการแทงหลายครั้ง 4. ใช้เทคนิคปลอดเชื้อและล้างมือก่อนแทงทุกครั้ง 5. ก่อนให้ยาเคมีบ าบัด ควรทดสอบดูก่อนว่าเข็มยังอยู่ในหลอดเลือดด า โดยการฉีด NSS ทดสอบก่อน หากฉีดไม่ได้หรือไม่มีเลือดไหลย้อนออกมา ให้หยุดการให้สารน้ า แล้วพิจารณาเปลี่ยน ต าแหน่งใหม่ 6. การให้ยาเคมีบัดในขณะเริ่มยา ควรให้ช้าๆ ก่อน เพื่อตรวจสอบว่าเข็มยังอยู่ในหลอดเลือด ด า แล้วจึงปรับอัตราการบริหารยาโดยการควบคุมการหยดของยาด้วยเครื่อง infusion pump 7. มีการประเมินเส้นเลือด เมื่อพบอาการ ปวด บวม แดง ร้อน บริเวณให้ยาเคมี ควรเปลี่ยน เส้นเลือดใหม่ทันที 8. กรณีมีการรั่วซึมของยาออกนอกเส้น ควรหยุดการให้ยาทัน และดูดยาที่ตกค้างในหัวเข็ม หรือสายสวนออกให้หมด รายงานแพทย์ทราบทันที และใช้ความเย็นขนาดพอเหมาะ วางบริเวณที่มี ยารั่วซึมโดยวาง 15 นาที ทุก 4 ชั่วโมง ใน 24- 36 ชั่วโมงแรก 9. เมื่อให้ยาเคมีบ าบัดหมด ควรให้สารละลาย NSS ตามแผนการรักษาเพื่อลดการระคาย เคืองของเส้นเลือดด า 10. แนะน าให้ผู้ป่วยสังเกตอาการผิดปกติ เช่น ปวด บวม แดง ร้อน บริเวณที่ฉีดยาเคมีบ าบัด ให้รีบแจ้งพยาบาลทันที 11. ให้ข้อมูลผู้ป่วยระมัดระวังการเคลื่อนไหวระหว่างให้ยา 12. ประเมินและสังเกตอาการ พร้อมบันทึกข้อมูลทางการพยาบาลหลังการให้ยา ประเมินผล 1.ผู้ป่วยไม่เกิดภาวะยาเคมีรั่วออกนอกเส้นเลือดและหลอดเลือดด าอักเสบ 2.ไม่มีอาการปวด บวม แดง ร้อน บริเวณที่แทงเข็ม 3.ผู้ป่วยสามารถบอกอาการผิดปกติได้อย่างถูกต้อง
113 วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 4 มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเยื่อบุในช่องปากอักเสบ ข้อมูลสนับสนุน 1. ผู้ป่วยได้รับ Paclitaxel / Carboplatin x 3 cycle (27/10/63 Cycle ที่ 1 Paclitaxel 275 mg. / Carboplatin 560 mg.) (17/11/63 Cycle ที่ 2 Paclitaxel 275 mg. / Carboplatin 580 mg.) (8/12/63 Cycle ที่ 3 Paclitaxel 275 mg. / Carboplatin 530 mg.) 2. จากการตรวจริมฝีปากแห้ง ปากแดงเล็กน้อย 3. ผู้ป่วยมีอาการคลื่นไส้ และอาเจียน ท าให้ไม่กล้ารับประทานอาหารและน้ าดื่ม วัตถุประสงค์ เพื่อป้องกันและลดการอักเสบของเยื่อบุในช่องปาก เกณฑ์กำรประเมินผล 1. ไม่เกิดภาวะเยื่อบุในช่องปากอักเสบ 2. ผู้ป่วยสามารถดูแลความสะอาดในช่องปากได้ดี กิจกรรมกำรพยำบำล กิจกรรมการพยาบาลร่วมกับทีมพยาบาลให้ยาเคมีบ าบัด 1. อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงอาการที่จะเกิดขึ้น เกิดจากผลข้างเคียงของยาเคมีบ าบัด เมื่อ แผนการรักษาครบ อาการดังกล่าวจะดีขึ้น 2. มีการตรวจและสอนให้ผู้ป่วยตรวจดูสภาพในช่องปากด้วยตนเอง อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง 3. ให้ความรู้แก่ผู้ป่วยในการดูแลความสะอาดของช่องปากดังนี้ 3.1 ควรแปรงฟันทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร แปรงเบาๆไม่รุนแรง และควรใช้ยา สีฟันที่ไม่ระคายเคือง 3.2 ควรบ้วนปากทุก 4 ชั่วโมง หรือหลังรับประทานอาหารทุกครั้งด้วยน้ าสะอาด หรือน้ าเกลือ หลีกเลี่ยงการใช้น ายาบ้วนปากที่มีสวนผสมของแอลกอฮอลล์ เพราะท าให้ปากแห้ง 3.3 รักษาริมฝีปากให้ชุ่มขึ้น แนะน าใช้ครีมหรือกลีเซอรีนบอแรกซ์ทาริมฝีปาก 3.4 ดื่มน้ าบ่อยๆ อย่างน้อยวันละ 3000 ซีซี 3.5 ป้องกันการระคายเคือง หรือเกิดแผลต่อเยื่อบุช่องปาก (Mucous membrane) โดยงดการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา ไม่รับประทานอาหารร้อนจัด เย็นจัด รสจัด มีเครื่องเทศ และอาหารที่มี ลักษณะแข็งหยาบ 4. ตรวจสุขภาพในช่องปากผู้ป่วย หากมีการอักเสบมาก เยื่อบุช่องปากบวมแดง มีแผล มีการ ติดเชื้อ ควรรายงานแพทย์เพื่อได้รับการดูแลตามแผนรักษาต่อไป และควรเพิ่มการดูแลช่องปากมาก ขึ้น แนะน าผู้ป่วยท าความสะอาดและป้วนปากทุก 2 ชั่วโมงเพื่อลดการติดเชื้อในช่องปาก
114 ประเมินผล 1. ผู้ป่วยสามารถดูแลความสะอาดปากฟันได้ดีและถูกต้อง 2. การเกิดการอักเสบของเยื่อบุชองปากน้อยลงมาก ริมฝีปากชุมชื่น 3. สามารถรับประทานอาหารได้ วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 5 มีโอกาสเกิดการกดการท างานของไขกระดู (Myelosuppression) เนื่องจากยาเคมีบ าบัด มีผลท าให้เกิดปัญหาต่างๆดังนี้ 5.1 ภาวะซีดและอาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายจากภาวะเม็ดเลือดแดงต่ า 5.2 มีโอกาสติดเชื้อในร่างกายจากภาวะเม็ดเลือดขาวต่ า (Leukopenia) 5.3 มีโอกาสเกิดเลือดออกง่ายจากภาวะเกร็ดเลือดต่ า (Thrombocytopenia) ข้อวินิจฉัยทำงกำรพยำบำลที่ 5.1 ภาวะซีดและอาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายจากภาวะเม็ดเลือดแดงต่ า ข้อผู้สนับสนุน 1. ผู้ป่วยได้รับยาเคมีบ าบัด paclitaxel / Carboplatin x 3 cycle 2. ประเมินและสังเกตอาการพบริมฝีปากซีด เล็บและเยื่อบุตาล่างซีดเล็กน้อย จากการ ซักถามแจ้งมีอาการเบื่ออาหาร รับประทานอาหารได้น้อยลง 3. ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ Hb=อยู่ระหว่าง 11.3 -11.5g/dL, Hct =อยู่ระหว่าง 34.6-36.0 % วัตถุประสงค์ 1. เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะซีด 2. เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ เกณฑ์กำรประเมินผล 1. ผู้ป่วยไม่มีภาวะซีด หรือโลหิตจาง 2. ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการของ Hematocrit, Hemoglobin อยู่ในเกณฑ์ปกติ กิจกรรมกำรพยำบำล กิจกรรมการพยาบาลร่วมกับทีมพยาบาลให้ยาเคมีบ าบัด 1. ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ Hematocrit, Hemoglobin เป็นระยะๆ 2. อธิบายให้ผู้ป่วยทราบถึงภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งไม่ใช่จากภาวะของโรค เมื่อจบ จากแผนการรักษาแล้วอาการต่างๆ จะดีขึ้น เพื่อให้ผู้ป่วยระมัดระวังตนเองจากการเกิดอุบัติเหตุ 3. ให้ค าแนะน า และช่วยญาติจัดสิ่งแวดล้อมให้สะอาด มีอากาศถ่ายเท สะดวกปลอดภัย สงบเงียบเพื่อให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนอย่างเพียงพออย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง ต่อวัน
115 4. ให้ค าแนะน าแก่ญาติ ดูแลช่วยเหลือในการท ากิจวัตรประจ าวันต่างๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อ ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ เช่น ลื่น หกล้ม ฯลฯ เนื่องจากสภาพร่างกายมีภาวะอ่อนเพลีย มีแรงน้อย 5. ให้ค าแนะน าเรื่องอาหารที่มีประโยชน์ มีคุณค่าทางวิตามินและธาตุเหล็ก เช่น ไข่ ตับ ผัก ใบเขียว ฯลฯ 6. ประเมินสีของเยื่อบุตา ริมฝีปาก เล็บ ปลายมือ ปลายเท้า เป็นระยะๆ 7. ดูแลการได้รับยาตามแผนการรักษา ผู้ป่วยได้รับยา Ferrous 1 tab oral p.o bid 8. หากผู้ป่วยมีภาวะซีดมาก แพทย์ให้ได้รับเม็ดเลือดแดง (Pack Red Cell) ให้ดูแลตาม แผนการรักษาและระวังภาวะแทรกซ้อนจากการให้เลือด เช่น มีไข้ หนาวสั่น หรือผื่น ฯลฯ ประเมินผล 1. หลังจากได้รับค าแนะน าผู้ป่วยยังพบริมฝีปากซีด เล็บและเยื่อบุตาล่างซีดเล็กน้อย 2. ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ วันที่ 27/10/63 Hct 36.6 %, Hb 11.5 g/d., วันที่ 17/11/63 Hct = 34.6 %, Hb 11.4 g/d. วันที่ 8/12/63 Hct = 34.6 % Hb 11.3 g/d. แพทย์พิจารณ์แล้วรับได้ ไม่ต้องให้เลือด ได้รับยา Ferrous 1 tab oral p.o bid 3. ผู้ป่วยยังคงรับประทานอาหารได้ไม่มาก ทานได้ 2/4 ของถาดอาหาร มีอาการเบื่ออาหาร อย่างต่อเนื่อง ยังต้องดูแลและชี้ให้เห็นความส าคัญของโภชนาการต่อไป ข้อวินิจฉัยทำงกำรพยำบำลที่ 5.2 มีโอกาสติดเชื้อในร่างกายจากภาวะเม็ดเลือดขาวต่ า (Leukopenia) ข้อมูลสนับสนุน 1. ผู้ป่วยได้รับยาเคมีบ าบัด paclitaxel / Carboplatin x 3 cycle 2. ภาวะโภชนาการบกพร่องจากผลสืบเนื่องจากคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร วัตถุประสงค์ เพื่อป้องกันและลดการติดเชื้อของร่างกายจากภาวะเม็ดเลือดขาวต่ า (Leukopenia) เกณฑ์กำรประเมินผล 1. อุณหภูมิของร่างกายไม่ควรเกิน 37.5 องศาเซลเชียส 2. ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการของเม็ดเลือดขาวปกติ 3. ไม่พบภาวะติดเชื้อของร่างกาย เช่น ระบบทางเดินปัสสาวะ ทางเดินอาหาร ฯลฯ กิจกรรมกำรพยำบำล กิจกรรมการพยาบาลร่วมกับทีมพยาบาลให้ยาเคมีบ าบัด 1. อธิบายให้ผู้ป่วยทราบถึงผลข้างเคียงจากการให้เคมีบ าบัด 2. ให้ความรู้การปฏิบัติตนระหว่างที่ให้ยาเคมีบ าบัดแก่ผู้ป่วยและญาติดังนี้
116 2.1ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีคุณค่าทางโภชนาการ และเพียงพอต่อ ความต้องการของร่างกาย ควรเป็นอาหารครบ 5 หมู่ พวกเนื้อ นม ไข่ ผลไม้ ส่วนผักควรท าให้สุก สะอาดก่อนรับประทาน 2.2 ดูแลรักษาความสะอาดของร่างกาย หลีกเลี่ยงการท าให้เกิดแผล 2.3 จัดสิ่งแวดล้อมให้สะอาด และมีอากาศถ่ายเทสะดวก สงบเงียบ เพื่อให้ได้รับการ พักผ่อนอย่างน้อยวันละ 6- 8 ชั่วโมง 2.4 แนะน าให้ผู้ป่วยล้างมืออยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะก่อนและหลังรับประทานอาหาร และ รักษาสุขภาพอนามัย 2.5 มีการป้องกันตนเองจากการติดเชื้อ ไม่ควรเข้าไปบริเวณในที่ชุมชนหรือที่แออัด อยู่ห่างจากบุคคลที่มีโรคติดต่อ โดยเฉพาะระบบทางเดินหายใจ เพราะท าให้ติดต่อหรือรับเชื้อได้ง่าย 2.6 แนะน าหากมีญาติที่มีการติดเชื้ออยู่ เช่น เป็นไข้หวัด ไอ ฯลฯ ควรหลีกเลี่ยงการ มาดูแลหรือมาเยี่ยมเพื่อป้องกันการติดต่อหรือรับเชื้อกันได้ 4. ให้การพยาบาลโดยใช้หลัก Aseptic technique ในการดูแลให้การพยาบาลเพื่อป้องกัน Cross Infection 5. บันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง เพื่อเฝ้าระวังภาวะติดเชื้อ 6. สังเกตอาการผิดปกติ เช่น การอักเสบ บวม แดง ร้อน บริเวณผิวหนัง หรือสิ่งคัดหลั่งต่างๆ หากมีอาการรีบรายงานแพทย์ทันที เพื่อให้ยาตามแผนการรักษาต่อไป 7. แนะน าให้ผู้ป่วยและญาติ สังเกตอาการผิดปกติ เซ่น มีไข้สูงหนาวสั่น ให้รีบแจ้งพยาลบาล ทันที่เพื่อให้การช่วยเหลือต่อไป 8. ติดตามผลการทางห้องปฏิบัติการของเม็ดเลือดขาว (WBC) เป็นระยะ ประเมินผล 1. ผู้ป่วยไม่มีการติดเชื้อ อุณหภูมิร่างกายอยู่ในช่วง 36.5 - 37 oC สัญญาณชีพโดยทั่วไปปกติ ขับถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะไม่มีแสบขัด ไม่พบการอักเสบ บวม แดง ร้อน บริเวณผิวหนัง 2. จากผลการนับเม็ดเลือดขาว หลังจากได้รับยาเคมีบ าบัดทั้ง 3 cycle อยู่ในเกณฑ์ปกติ (ANC วันที่ 27/10/63 ,17/11/63, 8/12/63 = 4.82, 2.58, 3.55 ) (WBC วันที่ 27/10/63 ,17/11/63, 8/12/63 = 6.06, 4.04, 4.13 cells/mm3 )
117 วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลที่ 5.3 มีโอกาสเกิดเลือดออกง่ายจากภาวะเกร็ดเลือดต่ า (Thrombocytopenia) ข้อมูลสนับสนุน ผู้ป่วยได้รับยาเคมีบ าบัด Paclitaxel และ Carboplatin มีผลต่อการท างานของไขกระดูก วัตถุประสงค์ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะเลือดออกง่าย เกณฑ์กำรประเมินผล 1. ไม่มีภาวะเลือดออกง่าย 2. ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ Platelet Count ปกติ กิจกรรมกำรพยำบำล กิจกรรมการพยาบาลร่วมกับทีมพยาบาลให้ยาเคมีบ าบัด 1. อธิบายให้ผู้ป่วยทราบถึงการเกิดภาวะเลือดออกง่ายแต่หยุดยาก อันเนื่องมาจากการมี เกร็ดเลือดต่ ากว่าปกติ 2. ประเมินจุดจ้ าเลือด จุดเลือดออกบริเวณผิวหนังทุกวัน และให้ค าแนะน าผู้ป่วย คอยสังเกต ตนเองในเรื่องต่างๆ เช่น มีจุดหรือจ้ าเลือดตามตัว เลือดออกตามไรฟัน 3. ติดตามผลทางห้องปฏิบัติการ ค่าของเกร็ดเลือด (Platelet count) 4. แนะน าผู้ป่วยไม่ควรให้ท้องผูก ควรรับประทานอาหารที่มีกากใยมาก เช่น ผักผลไม้ หรือ น้ าผลไม้ที่ช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย เช่น น้ าลูกพรุน ประเมินผล 1. ไม่มีจุดหรือจ้ าเลือดตามตัว 2. ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองได้ตามค าแนะน า 3. ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการของค่าเกร็ดเลือด (Platelet count) หลังได้รับยาเคมี บ าบัดครบ 3 cycle อยู่ในเกณฑ์ปกติ(Plt วันที่ 27/10/63 ,17/11/63, 8/12/63 = 432, 285, 180 cell/mm3 )
118 วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 6 ไม่สุขสบายเนื่องจากชาปลาย มือปลายเท้า และปวดตามข้อ ข้อมูลสนับสนุน 1. ผู้ป่วยได้รับยาเคมีบ าบัด Paclitaxel และ Carboplatin ซึ่งอาการข้างเคียงที่ส าคัญอย่าง หนึ่ง คือ ท าให้เกิดผลต่อระบบประสาทส่วนปลายอักเสบ (Peripheral neuropathy) มัก พบอาการแสบร้อน ชา เจ็บเหมือนเข็มแทงตามอวัยวะส่วนปลาย เช่น ปลายมือ ปลายเท้า และมักพบอาการหูอื้อร่วมด้วย 2. จากการซักประวัติ ผู้ป่วยแจ้งมีอาการชาปลายมือ ปลายเท้า และปวดตามข้อ และเมื่อย ตามตัว หลังให้ยาเคมีบ าบัด cycle ที่ 2 วัตถุประสงค์ 1. เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ 2. เพื่อให้ผู้ป่วยสุขสบายขึ้น สามารถพักผ่อนได้ 3. เข้าใจอาการที่เกิดจากผลข้างเคียงของยาเคมีบ าบัด เกณฑ์กำรประเมินผล ผู้ป่วยไม่เกิดอุบัติเหตุ สุขสบาย และเข้าใจอาการที่เกิดจากผลข้างเคียงของยาเคมีบ าบัด กิจกรรมกำรพยำบำล กิจกรรมการพยาบาลร่วมกับทีมพยาบาลให้ยาเคมีบ าบัด 1. อธิบายให้ผู้ป่วยและญาติเข้าใจถึงสาเหตุของการเกิดอาการชาและหูอื้อ อาการปวดเมื่อย ตามตัว เป็นอาการที่เกิดขึ้นชั่วคราว และดีขึ้น เมื่อหยุดยาเคมีบ าบัดแล้ว 4 -6 สัปดาห์ เพื่อให้ผู้ป่วย เกิดความเข้าใจ คลายกังวล และยอมรับการรักษาด้วยเคมีบ าบัด 2. หากมีอาการชาให้นวดบริเวณที่ชาอย่างสม่ าเสมอ และให้ผู้ป่วยออกก าลังกายด้วยตนเอง โดยการยกแขนขึ้นลง เหยียดแขนและขา หมุนสะบัดปลายมือปลายเท้า เพื่อกระตุ้นปลายประสาท และกล้ามเนื้อให้แข็งแรง 3. ให้ผู้ป่วยระมัดระวังการเกิดอุบัติเหตุ เมื่อมีอาการปวด หรือโดยเฉพาะบริเวณที่ชา การ สัมผัสกับของร้อน หรือเย็นจัด เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ 4. จัดสิ่งแวดล้อมให้สุขสบาย สงบเรียบร้อย เพื่อสร้างบรรยากาศให้ผู้ป่วยพักผ่อนได้ 5. ให้ยาแก้ปวดตามแผนการรักษาของแพทย์ กรณีหากยังมีอาการปวดเมื่อยตามตัวมาก ราย งายแพทย์เพื่อท าการรักษาต่อไปและติดตามอาการปวดทุกวัน 6. ประเมินและบันทึกอาการและอาการแสดงของความรู้สึกซา การเคลื่อนไหว และการได้ ยิน หากอาการรุนแรงขึ้นรายงานให้แพทย์ทราบ เพื่อประเมินการท างานของระบบประสาท เพื่อให้ การรักษาพยาบาลได้ถูกต้องและทันท่วงที
119 ประเมินผล 1. ภายหลังอธิบายให้ผู้ป่วยรับทราบอาการดังกล่าวเกิดจากผลข้างเคียงของยาเคมี ผู้ป่วย รับทราบและเข้าใจดี 2. ผู้ป่วยมีอาการชาที่บริเวณปลายมือ และปวดเมื่อยตามตัว อยู่เป็นพัก ๆ พอทนได้ 3. ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตัว ท ากิจกรรมต่างๆได้โดยไม่เกิดอุบัติเหตุ วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 7 อัตมโนทัศน์เปลี่ยนแปลงเนื่องจากสูญเสียภาพลักษณ์ ข้อมูลสนับสนุน 1. ป่วยได้รับยา Paclitaxel และ Carboplatin ซึ่งมีผลข้างเคียงของยาเคมี ท าให้ผมและขน ตามร่างกายหลุดร่วงและผิวสีคล้ า 2. จากการซักประวัติ ผู้ป่วยต้องท างานที่ต้องพบผู้คน ท าให้กลัว ไม่กล้าพบปะผู้คน ท างาน แล้วกลับบ้านเลย ไม่ค่อยได้ไปสังสรรค์กับเพื่อนแล้ว วัตถุประสงค์ ส่งเสริมให้ผู้ป่วยสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายที่เกิดขึ้น เกณฑ์กำรประเมินผล ผู้ป่วยสามารถยอมรับสภาพของตนเองและปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงของตนเองได้ กิจกรรมกำรพยำบำล กิจกรรมการพยาบาลร่วมกับทีมพยาบาลให้ยาเคมีบ าบัด 1. ประเมินอาการและอาการแสดงของผู้ป่วย 2. สร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้ป่วยให้เกิดความเข้าใจ ไว้วางใจ ยอมรับและมั่นใจว่าจะให้ การ ช่วยเหลือที่ดี ด้วยท่าทีที่เป็นกันเอง ปลอบใจและให้ก าลังใจผู้ป่วย 3. รับฟังปัญหาและเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้ระบายความรู้สึก หรือความคับข้องใจที่มีอยู่ เพื่อ ประเมินปัญหาความรู้สึกของผู้ป่วย 4. อธิบายให้ผู้ป่วยทราบว่าปัญหาผมร่วงจะเป็นชั่วคราว เกิดจากการได้รับยาเคมีบ าบัด เมื่อ จบการรักษาผมจะงอกขึ้นใหม่ อาจมีลักษณะและสีเปลี่ยนแปลงบ้าง 5. แนะน าให้ผู้ป่วยจัดหาวิก หมวกหรือผ้าโพกศีรษะเพื่อเสริมสร้างความมั่นใจในบุคลิกภาพ 6. ให้ความรู้เพื่อป้องกันปัญหาผมร่วงน้อยที่สุดได้แก่ ตัดผมสั้น ใช้แชมพูอ่อนๆ ครีมโปรตีน นวดผมในการสระผม หลีกเลี่ยงการดัดผม เป่าผม การหวีผมบ่อยๆ 7. อธิบายให้ผู้ป่วยทราบการเปลี่ยนแปลงของสีผิว เล็บ เกิดจากยาเคมีบ าบัด เมื่อจบการ รักษาอาการจะค่อยๆ หายไป
120 8. ส่งเสริมและแนะน าให้ผู้ป่วยได้พูดคุยกับผู้ป่วยท่านอื่นที่ได้รับการรักษาด้วยวิธีเดียวกัน ผลการรักษาออกมาทางที่ดี มีทัศนคติที่ดี 9. ติดตามประเมินผลเกี่ยวกับความรู้สึกของผู้ป่วยต่อภาพลักษณ์ตนเอง สังเกตพฤติกรรม เกี่ยวกับกร สนทนากับผู้อื่น ไม่แยกตัว ความรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า ภายหลังการดูแลประดับประคอง จิตใจผู้ป่วย กระตุ้นให้ผู้ป่วยได้ระบาย พร้อมกับการให้ค าปรึกษาและแนะน า เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้ แสดงความคิดเห็นอย่างสม่ าเสมอ ร่วมกับการแนะน าและอธิบายให้ญาติผู้ป่วยเข้าใจ ประเมินผล 1. ผู้ป่วยสามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายาได้ โดยพูดถึงตนเองในทางที่ดีขึ้น พร้อมพบปะผู้คน 2. ผู้ป่วยยอมรับสภาพตนเอง พูดคุยกับผู้ป่วยรายอื่น และเจ้าหน้าที่ทุกคนที่เข้าไปดูแล วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 8 พร่องความรู้ความเข้าใจภายหลังการรักษาด้วยยาเคมีบ าบัด เมื่อ กลับไปอยู่บ้าน ข้อมูลสนับสนุน 1. ผู้ป่วยได้รับยาเคมีเป็นครั้งแรก ได้รับยาเคมีบ าบัด Paclitaxel และ Carboplatin Cycle ที่ 3 ครบวันที่ 8/12/63 2. จากการซักประวัติ ผู้ป่วยจะสอบถามเรื่องการขับถ่าย การรับประทานอาหาร การกินยา รวมถึงการปฏิบัติตัวว่าต้องท าอย่างไร และหากมีอาการให้มาก่อนนัดได้หรือไม่ วัตถุประสงค์ 1. เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองได้ถูกต้อง เหมาะสมขณะอยู่ที่บ้าน 2. ผู้ป่วยปฏิบัติตามค าแนะน า และมาตรวจติดตามอาการเมื่อมีนัด 3. ผู้ป่วยสามารถตัดสินใจในการมาพบแพทย์ได้เมื่อมีอาการผิดปกติ เกณฑ์กำรประเมินผล 1. ผู้ป่วยสามารถตอบค าถามเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวหลังได้รับยาเคมีบ าบัดได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน 2. ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้องเหมาะสมเมื่อกลับไปอยู่บ้าน 3. ผู้ป่วยมาตรวจติดตามอาการเมื่อมีนัด กิจกรรมกำรพยำบำล กิจกรรมการพยาบาลร่วมกับทีมพยาบาลให้ยาเคมีบ าบัด 1. แนะน าให้ผู้ป่วยรักษาสุขภาพอนามัยส่วนบุคคล ดังนี้
121 - การท าความสะอาดร่างกายทั่วไป ผิวหนัง ผม เล็บ อวัยวะสืบพันธุ์ - การท าความสะอาดช่องปาก และฟัน โดยการบ้วนปากด้วยน้ าสะอาด หรือ น้ าเกลือ ทุก 1-2 ชั่วโมง - การใช้แปรงสีฟันที่มีขนอ่อนนุ่ม หลีกเลี่ยงการใช้ Dental floss - การล้างมือให้สะอาดก่อนและหลังการรับประทานอาหาร และหลังการใช้ห้องน้ า ทุกครั้ง - ดูแลผิวหนัง ระมัดระวังการเกิดบาดแผล หรือรอยถลอกตามผิวหนัง หลีกเลี่ยงการ ถูกแสงแดดด้วยการสวมเสื้อแขนยาว สวมหมวก 2. แนะน าให้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบทั้ง 5 หมู่ (โดยเฉพาะอาหารประเภท โปรตีนควรรับประทานมากขึ้น) โดยการรับประทานอาหารอ่อนย่อยง่ายครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง หลีกเลี่ยงอาหารจ าพวกของหมักดอง อาหารรสจัด อาหารที่มีไขมันมาก และดื่มน้ าอย่างน้อยวันละ 2,500 - 3,000 ซีซี เพื่อให้ร่างกายได้รับสารน้ าและอาหารอย่างเพียงพอ 3. แนะน าให้นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพออย่างน้อยวันละ 6 - 8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกาย แข็งแรง 4. แนะน าให้ออกก าลังกายเบาๆ ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ตามความเหมาะสมของร่างกาย เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง 5. แนะน าเรื่องระบบขับถ่าย หากมีอาการท้องผูก ควรรับประทานอาหารที่มีกากใยมาก เช่น ผัก ผลไม้ให้มากขึ้น ดื่มน้ ามากๆ โดยเฉพาะน้ าผลไม้ จะช่วยให้การระบายดีขึ้น ให้รับประทานยาระบายได้ตามแพทย์สั่ง หากมีอาการท้องเสีย ควรรับประหนอหารอ่อน ย่อยง่าย อาหารที่มีกากใยน้อย รับประทานอาหารที่สุกใหม่ๆ ครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง หลีกเลี่ยงอาหารที่เกิดแก๊ส งดอาหารจ าพวก นม ชา กาแฟ และน้ าผลไม้เพื่อช่วยให้ระบบขับถ่ายท างานเป็นปกติ 6. แนะน าให้หลีกเลี่ยงการเข้าไปในแหล่งชุมชน ที่แออัด เช่น ตลาดนัด โรงภาพยนตร์ ศูนย์การค้า หลีกเลี่ยงจากบุคคลที่เป็นโรคติดต่อ เช่น หวัด หรือโรคติดต่ออื่นๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ 7. แนะน าให้รีบมาพบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติ เพื่อประเมินความรุนแรง และหาทางแก้ไข เช่น - เหนื่อย อ่อนเพลีย ปวดศีรษะตลอดเวลา ชาปลายมือ ปลายเท้า - มีไข้ หนาวสั่น หายใจตื้น - เจ็บคอ เจ็บปาก ปากเป็นแผล รับประทานอาหารไม่ได้ - คลื่นไส้อาเจียนมาก และมีอาการท้องเสีย
122 - มีเลือดออกจากอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย มีจุดจ้ าเลือดตามตัว 8. แนะน าการมาตรวจและรับการักษาด้วยเคมีบ าบัดตามนัดอย่างสม่ าเสมอและต่อเนื่อง ประเมินผล 1. ผู้ป่วยสามารถตอบค าถามเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวหลังได้รับยาเคมีบ าบัดได้ถูกต้อง และจะ มาตรวจติดตาม ตามที่แพทย์นัด หากมีอาการผิดปกติก็จะมาพบแพทย์ก่อนนัด 9. สรุปผลกรณีศึกษำ วิจำรณ์และข้อเสนอแนะ สรุปกรณีศึกษำ ผู้ป่วยหญิงไทย อายุ 40 ปี สัญชาติ ไทย สถานภาพโสด นับถือศาสนาพุธ อาชีพ เภสัชกร (รับราชการ) มาโรงพยาบาลตรวจสุขภาพตามปกติ ผลตรวจภายในเป็นปกติทุกปี 5 วันก่อนมา โรงพยาบาล มีอาการปวดท้องน้อย ปวดเหมือนปวดประจ าเดือน เกรงจะเป็นช็อคโกแลดซีสต์ แพทย์ จึงส่งปรึกษาพบแพทย์คลินิกนรีเวช เพื่อตรวจเพิ่มเติม แพทย์ท า U/S Transvaginal พบขนาดมดลูก 8.3x4.2 cm. เยื่อบุโพรงมดลูก หนา1.3 cm. ถุงน้ ารังไข่ที่มีลักษณะการแบ่งภายในเป็นหลายช่อง และมีส่วนที่เป็นเนื้อเยื่อแข็ง ไม่พบน้ าในช่องท้อง รังไข่มีรูปร่างผิดปกติและสั่งเจาะเลือด พบสารบ่งชี้ มะเร็งไข่สูง(CA 125=1165, CA 199=406) วันที่ 16 กันยายน 2563 ส่งท า CT whole abdomen พบถุงน้ ารังไข่ที่มีลักษณะการแบ่งภายในเป็นหลายช่องและมีส่วนที่เป็นเนื้อเยื่อแข็งภายในขนาด 9.5x12.3x10.0 cm. บริเวณรังไข่ข้างขวา ได้รับค าปรึกษาเพื่อเตรียมความพร้อมทางด้านร่างกายและ จิตใจ รวมถึงการให้ข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้องกับโรคและการดูแลรักษา เพื่อประกอบการตัดสินใจที่จะ รับการรักษาของผู้ป่วย นัดผ่าตัด วันที่ 5 ตุลาคม 2563 TAH+BSO+Omentectomy+BPND (การ ผ่าตัดมดลูก รังไข่ ทั้ง 2 ข้าง แผ่นไขมันในช่องท้อง และเลาะต่อมน้ าเหลืองในอุ้งเชิงกราน) ส่งชิ้นเนื้อ ตรวจหลังการผ่าตัด ผลการตรวจวินิจฉัยระบุเป็น มะเร็งรังไข่ ระยะที่ 1A วันที่ 27 ตุลาคม 2563 นัด ให้ยาเคมีบ าบัด Cycle แรก สูตร Paclitaxel + Carboplatin (3 Cycle) สรุปปัญหำข้อวินิจฉัยทำงกำรพยำบำล และกำรพยำบำล ระยะที่ 1 ผู้ป่วยรับทรำบข่ำวร้ำย การแจ้งผลตรวจวินิจฉัยเป็นมะเร็งรังไข่ ระยะที่ 1A ได้รับ ค าปรึกษาเพื่อเตรียมความพร้อมทางด้านร่างกายและจิตใจ รวมถึงการให้ข้อมูลต่างๆที่ เกี่ยวข้องกับโรคและการดูแลรักษา เพื่อประกอบการตัดสินใจในการรักษาของผู้ป่วย วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 1 วิตกกังวลเนื่องจากทราบผลการวินิจฉัยเป็นมะเร็งรังไข่ วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 2 ส่งเสริมการเตรียมความพร้อมด้านการรักษา วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 3 ส่งเสริมการวางแผนดูแลสุขภาพผู้ป่วยและบุคคลในครอบครัว
123 กำรติดตำมหลังผู้ป่วยรับทรำบข่ำวร้ำย กำรแจ้งผลตรวจวินิจฉัยเป็นมะเร็งรังไข่ ผู้ป่วยคลายวิตกกังวล มีสีหน้ายิ้มแย้ม พูดคุยถามตอบรู้เรื่องตัดสินใจเข้ารับการรักษาด้วย ตนเอง ผู้ป่วยและญาติตระหนักเห็นถึงความส าคัญในการตรวจสุขภาพและตรวจคัดกรองค้นหาความ เสี่ยงโรคมะเร็งและ ให้ความสนใจในการเข้ารับการตรวจสุขภาพ ท าการนัดหมายการตรวจสุขภาพไว้ แล้ว ผู้ป่วยได้รับทราบ ความเข้าใจในแผนการรักษาของแพทย์มากยิ่งขึ้น ให้ความร่วมมือในการรักษา และจะเข้ามารับการผ่าตัด วันที่ 5 มีนาคม 2563 ตามแพทย์นัด ระยะที่ 2 ผู้ป่วยได้รับกำรผ่ำตัด TAH+BSO+Omentectomy+BPND (การผ่าตัดมดลูก รังไข่ ทั้ง 2 ข้าง แผ่นไขมันในช่องท้อง และเลาะต่อมน้ าเหลืองในอุ้งเชิงกราน) ผ่าตัดวันที่ 5/10/63 จ าหน่าย วันที่ 15/10/63 วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 1 ผู้ป่วยวิตกกังวลเกี่ยวกับการผ่าตัด เนื่องจากขาดความรู้ความ เข้าใจ เกี่ยวกับโรคและการปฏิบัติตัวก่อน และหลังผ่าตัด วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 2 ผู้ป่วยมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนภายหลังผ่าตัด วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 3 ผู้ป่ายไม่สุขสบายเนื่องจากปวดแผลผ่าตัด วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 4 ผู้ป่วยมีโอกาสเสี่ยงต่อภาวะท้องอืดหลังผ่าตัด วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 5 ผู้ป่ายมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดการพลัดตกหกล้ม วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 6 ผู้ป่วยพร่องความรู้ในการปฏิบัติตัวภายหลังผ่าตัด เมื่อกลับไปอยู่ บ้าน กำรตรวจติดตำมหลังผ่ำตัด ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัด TAH+BSO+Omentectomy+BPND (การผ่าตัดมดลูก รังไข่ ทั้ง 2 ข้าง แผ่นไขมันในช่องท้อง และเลาะต่อมน้ าเหลืองในอุ้งเชิงกราน) ผ่าตัดวันที่ 5/10/63 ผลการส่งชิ้น เนื้อตรวจทางพยาธิวิทยา เป็นชนิด Endometrioid adenocarcinoma, grade I และ Clear cell ระยะที่ 1 ไม่พบการลุกลามไปที่ มดลูก ต่อมน้ าเหลือง แผ่นไขมันในช่องท้อง ,ไส้ติ่ง ช่วงระหว่างการ นอนพักฟื้นหลังผ่าตัด ผู้ป่วยรู้สึกตัวดี แผลผ่าตัด Mid line ปิด Gauze on exudate ซึม On Jackson drain no active bleed Pain score = 0-3 คะแนน พบมีอาการอืดแน่นท้องเป็นบางครั้ง ผายลมและขับถ่ายได้ตามปกติ พักหลับได้ Ambulate ได้ ไม่เกิดอุบัติเหตุสัญญาณชีพโดยรวมปกติ ไม่มีไข้ นอนหลับพักผ่อนได้ จ าหน่ายวันที่ 15/10/63 ก่อนกลับอธิบายและเน้นย้ าให้รับประทานยา ให้ครบถ้วนตรงเวลา การดูแลแผล และมาพบแพทย์ตามนัด ผู้ป่วยรับทราบและเข้าใจวิธีการปฏิบัติตัว เมื่อกลับบ้าน วันที่ 22/10/63 นัดพบแพทย์ที่คลินิกนรีเวชเพื่อดูแผลหลังผ่าตัด แผลแห้งดี ไม่มี Bleed ซึม นัดให้ยาเคมีบ าบัด สูตร Paclitaxel+ Carboplatin Cycle แรก วันที่ 27/10/63
124 ระยะที่ 3 ผู้ป่วยได้รับยำเคมีบ ำบัด สูตร Paclitaxel+ Carboplatin x 3 Cycle เป็น OPD Case เริ่มให้ครั้งแรกวันที่ 27/10/63 ครั้งที่ 2 วันที่ 17/11/63 และให้ครบวันที่ 8/12/63 วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 1 วิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและการรักษาด้วยยาเคมีบ าบัด วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 2 เกิดภาวะ Infusion Reaction วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 3 เสี่ยงต่อภาวะเคมีรั่วออกนอกเส้นเลือดและหลอดเลือดด า วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 4 มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเยื่อบุในช่องปากอักเสบ วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 5 มีโอกาสเกิดการกดการท างานของไขกระดูก (Myelosuppression) วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 6 ไม่สุขสบายเนื่องจากชาปลาย มือปลายเท้า และปวดตามข้อ วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 7 อัตมโนทัศน์เปลี่ยนแปลงเนื่องจากสูญเสียภาพลักษณ์ วินิจฉัยทำงกำรพยำบำลข้อที่ 8 พร่องความรู้ความเข้าใจภายหลังการรักษาด้วยยาเคมีบ าบัด กำรตรวจติดตำมหลังให้ยำเคมีบ ำบัด ผู้ป่วยได้รับยาเคมีบ าบัด สูตร Paclitaxel+ Carboplatin x 3 Cycle เป็น OPD Case เริ่ม ให้ครั้งแรกวันที่ 27/10/63 ครั้งที่ 2 วันที่ 17/11/63 และให้ครบวันที่ 8/12/63 ผู้ป่วยได้รับทราบ และเข้าใจข้อมูลการปฏิบัติตัวก่อนและหลังได้รับยาเคมีบ าบัด ระหว่างให้ยาเคมีบ าบัดผู้ป่วยเกิดภาวะ Infusion Reaction ผู้ป่วยหลังได้รับยาเคมีบ าบัด cycle ที่ 1 หลังจากพบมีอาการแพ้ ได้รับยาแก้แพ้ CPM 1 amp iv stat หลังจากได้รับยาแก้แพ้ อาการดีขึ้น ไม่เจ็บแน่นหน้าอก On support 4 L/min หายใจได้ดีขึ้น สัญญาณชีพโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ปกติ O2 sat 97-99 % หลังจากนั้นก่อนให้ยาเคมี บ าบัด cycle ที่ 2, 3 ผู้ป่วยขอใส่ O2 support 4 L/min เพื่อป้องกันการเกิดอาการ แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก หน้าแดง ผู้ป่วยหลังให้ยาเคมีบ าบัด Paclitaxel / Carboplatin ทั้ง 3 cycle หายใจ ขัด แน่นหน้าอก หน้าแดง ลดลง สัญญาณชีพโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ปกติ O2 sat 97-99 % บริเวณเส้น เลือดไม่พบอาการ ปวด บวม แดง ร้อน มีริมฝีปากแห้ง แดงเล็กน้อย รับประทานอาหารได้ไม่มาก อ่อนเพลียบ้างบางครั้ง ไม่มีอาเจียน ขับถ่ายได้ปกติ และมีอาการผมร่วง ใส่หมวกไหมพรมโพกศีรษะ มาหลังได้รับยาเคมีCycle ที่ 2 แพทย์นัดท า CT Whole abdomen วันที่ 5/1/64 และเจาะเลือด CA 125 และนัดฟังผล CT Whole abdomen และผลเลือด วันที่ 14/1/64 ผลการตรวจ CT Whole abdomen หลังการผ่าตัดมดลูก รังไข่ พบเนื้อเยื่ออ่อน บริเวณแผลผ่าตัด ด้านซ้าย ไม่พบ การกระจายไปที่ ตับ ม้าม ต่อมน้ าเหลืองในช่องท้อง พบจุด บริเวณชายปอดข้างล่างซ้าย - ขวา ขนาด 0.2 cm. และค่าผลเลือด CA 125 = 14.6 หลังจากนี้ แพทย์นัดตรวจติดตามตรวจภายในซ้ า ทุก ๆ 3 เดือน เจาะเลือด CA 125 ก่อนพบแพทย์ทุกครั้ง
125 วิจำรณ์ มะเร็งรังไข่ เป็นโรคมะเร็งของอวัยวะสืบพันธุ์สตรี เป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศไทย ที่ มีอัตราการเสียชีวิต เพิ่มขึ้นทุกปี ในผู้ป่วยมะเร็งรังไข่ มักมาพบแพทย์เมื่อมีการกระจายของโรคมาก แล้ว เช่นเดียวกับโรคอื่นโดยทั่วไป หากเราสามารถหาวิธีการเพื่อช่วยให้พบโรคในระยะแรกได้ ก็ท าให้ ผลการรักษาดีขึ้น การตรวจหาโรคในระยะแรกประกอบด้วย การตรวจภายใน การเจาะเลือดหา Tumor marker และการตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงทางช่องคลอด พยาบาลนอกจากมีบทบาทในการดูแลผู้ป่วยยังมีบทบาทในการประสานงานระหว่างบุคลากร ในทีมสุขภาพผู้ป่วย และญาติ ดังนั้นในการปฏิบัติงานพยาบาลจึงต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่มีประเด็น ขัดแย้งทางจริยธรรมอยู่เสมอ การตัดสินใจและจัดการอย่างเหมาะสมต่อประเด็นจริยธรรมที่เกิดขึ้น ขณะปฏิบัติการพยาบาล พยาบาลควรน าหลัก/แนวคิดจริยธรรม ประกอบด้วย ความเอื้ออาทร การ ท าหน้าที่แทนผู้ป่วย ความรับผิดชอบและการให้ความร่วมมือและการประสานความร่วมมือ เป็น แนวทางในการก าหนดบทบาทพยาบาลที่จ าเป็นในการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็ง เพื่อช่วยป้องกันความ ขัดแย้งทางจริยธรรมที่อาจเกิดขึ้นและลดความรุนแรงของความขัดแย้งในสถานการณ์ต่างๆ รวมถึงข้อ ควรระวัง ส่งเสริม ให้ค าแนะน าและค าปรึกษาแก่ผู้ป่วย เพื่อเป็นแนวทางในการประกอบการตัดสินใจ ในการรักษาของผู้ป่วย การรักษาผู้ป่วยโดยการผ่าตัดและให้ยาเคมีบ าบัด เป็นการรักษามะเร็งรังไข่ให้ได้ผลที่ดี ยัง ต้องขึ้นกับการผ่าตัดเอามะเร็งออกเป็นสิ่งส าคัญ และท าโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการฝึกทางมะเร็ง นรีเวช กรณีที่เมื่อผ่าตัดเข้าไปในช่องท้อง มะเร็งรังไข่ลุกลามไปมากแล้ว การผ่าตัดจึงมีจุดประสงค์เพื่อ น าก้อนมะเร็งออก แล้วตามด้วยการให้ยาเคมีบ าบัดต่อไป ในบางสถานการณ์แพทย์ผู้ผ่าตัด อาจเลือก ให้ยาเคมีบ าบัดก่อนการรักษา เช่น ผู้ป่วยมีโรคทางอายุกรรมที่รุนแรงหรือจากการประเมินการผ่าตัด แล้ว คงไม่อาจน ามะเร็งออกมากได้ ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดแล้วตามด้วยการให้ยาเคมีบ าบัดตามปกติ การให้ยาเคมีบ าบัดในมะเร็งรังไข่ระยะแรก (Chemotherapy of early stage epithelial ovarian cancer) ซึ่งการผ่าตัดก าหนดระยะของโรคเป็นหัวใจส าคัญของการรักษามะเร็งรังไข่ในระยะแรก โดย มีจุดประสงค์หลักเพื่อหาปัจจัยเสี่ยงของการเป็นซ้ าในผู้ป่วยมะเร็งระยะแรก ผู้ป่วยมะเร็งรังไข่ ระยะแรกชนิด Low risk มีอัตราการรอดชีวิตที่ระยะ 5 ปี มากกว่าร้อยละ 95 หากได้รับการผ่าตัด อย่างครบถ้วนไม่เหลือส่วนที่เป็นมะเร็งเหลืออยู่ขณะผ่าตัด โดยไม่จ าเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างอื่น เพิ่ม ผู้ป่วยมะเร็งรังไข่มีระยะปลอดโรคและอัตราการรอดชีวิต ดีขึ้นอย่างชัดเจน หากได้ยาเคมีบ าบัดที่ มีส่วนประกอบของ Platinum กับ Taxane เมื่อเปรียบเทียบกับการให้ยาสูตรที่มีเฉพาะ Platinum
126 อย่างเดียว โดยสรุปแล้วยาเคมีบ าบัดที่เป็นมาตรฐาน และยอมรับในประสิทธิภาพส าหรับมะเร็งรังไข่ ระยะลุกลามของวงการแพทย์ปัจจุบัน ได้แก่ ยากลุ่ม Platinum ร่วมกับ Taxane ข้อเสนอแนะ 1. ด้านการปฏิบัติการพยาบาลที่ ดูแลผู้ป่วยมะเร็งอาจต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในการสื่อสาร เรื่องไม่พึงประสงค์หรือแจ้งข่าวร้ายของแพทย์ให้ผู้ป่วยมะเร็งทราบ หรืออาจต้องสื่อสารเพื่อยืนยัน ข้อมูลที่ผู้ป่วยได้รับทราบจากแพทย์ตอบค าถามของผู้ป่วย หรือให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมรวมถึง ต้องดูแลประคับประคองจิตใจ และอารมณ์ของผู้ป่วยและครอบครัวที่เกิดภายหลังจากทราบข่าวร้าย 2. ด้านการปฏิบัติการพยาบาล พยาบาลที่ให้การดูแลผู้ป่วยมะเร็งรังไข่ที่ทั้งที่ได้รับการรักษา โดยการผ่าตัด ให้ยาเคมีบ าบัด หรือได้รับการฉายรังสี จ าเป็นต้องอาศัยความรู้ ความช านาญ ทักษะใน การพยาบาล เฝ้าระวังอาการผิดปกติหลังการผ่าตัด การได้รับยาเคมีบ าบัด รวมถึงรับการฉายรังสี ตลอดจนการดูแลผู้ป่วยทางด้านจิตใจ พยาบาลควรหมั่นทบทวนหาความรู้ ฝึกฝนอย่างสม่ าเสมอ 3. ด้านหน่วยงาน ควรมีการจัดท าคู่มือในการดูแลผู้ป่วยมะเร็งนรีเวชในกลุ่มอื่น ๆ ซึ่งอาจมี ปัญหาทางสุขภาพที่แตกต่างกัน และส่งอบรมวิชาการแก่บุคลากรเพื่อเพิ่มทักษะและการเรียนรู้อย่าง สม่ าเสมอ
127 บรรณำนุกรม 1. ศุรีพร แสงกระจ่าง, ปิยวัฒน์ เลาวหุตานนท์, เอกภพ แสงอริยวนิช, วทินันท์ เพชรฤทธิ์. บรรณาธิการ.ทะเบียนมะเร็งระดับโรงพยาบาล พ.ศ.2559.กรุงเทพฯ. พรทรัพย์การพิมพ์;2561 2. พิสมัย เจริยปัณญวิชย์, ปิยวัฒน์ เลาวหุตานนท์, ปฐมพร ศิรประภาศิริ, อาคม ชัยวีระวัฒนะ, วีรวุฒิ อิ่มส าราญ. (บรรณาธิการ).แนวทางการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคมะเร็งรังไข่. กรุงเทพมหานคร.สถาบันมะเร็งแห่งชาติ.กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข;2559. 3.สถาบันมะเร็งแห่งชาติ.ทะเบียนมะเร็งระดับโรงพยาบาล. กรุงเทพฯ.พรทรัพย์การพิมพ์;2016. 4. กายวิภาคของรังไข่และอวัยวะใกล้เคียง [อินเตอร์เน็ต].[วันที่อ้างถึง 2 กุมภาพันธ์ 2564]. ที่มา: www.cs.nsw.gov.au/.../assets/UterusDia_sm.gif 5. ภาพแสดงกายวิภาคของรังไข่ และการเปลี่ยนแปลงภายในรอบการตกไข่[อินเตอร์เน็ต]. [วันที่อ้างถึง 2 กุมภาพันธ์ 2564].ที่มา: thewelltimedperiod.blogspot.com 6.สุชญา ลือวรรณ.การตรวจอัลตราซาวด์กายวิภาคปกติของอวัยวะในอุ้งเชิงกรานสตรี.[อินเตอร์เน็ต]. [วันที่อ้างถึง 2 กุมภาพันธ์ 2564].ที่มา:https://w1.med.cmu.ac.th. 7. ภาพแสดงระบบหลอดเลือดน้ าเหลืองของรังไข่[อินเตอร์เน็ต]. [วันที่อ้างถึง 2 กุมภาพันธ์ 2564].ที่มา: www. Del Regato J.A.,Spjut H.J.,Cox J.D. Ackerman and Regato’s Cancer. 8.สมาคมมะเร็งนรีเวชไทยราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย.แนวทางการดูแลผู้ป่วย มะเร็งรังไข่ Ovarian cancer. กรุงเทพฯ:ส านักพิมพ์บริษัท พี. ซี. เค. ดีไซน;2562. 9. แสดงระยะของมะเร็งรังไข่.[อินเตอร์เน็ต].[วันที่อ้างถึง 2 กุมภาพันธ์ 2564]. ที่มา:https://www.roche.co.th/th/disease-areas/ovarian-cancer.html . 10. สมเกียรติ ศรีสุพรรณดิฐ.มะเร็งในอวัยวะสืบพันธ์สตรี.มะเร็งวิทยา.กรุงเทพฯ. ภาควิชาสูติศาสตร์นรีเวชวิทยา;2560.หน้า 258. 11. จตุพล ศรีสมบูรณ์.มะเร็งนรีเวชวิทยา. กรุงเทพฯ.ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย; 2554. 12. สัมฤทธิ์ เสนาแพทย์.เนื้องอกรังไข่ ใน:สมหมาย ถุงสุวรรณ,บรรณาธิการ.นรีเวชวิทยา. กรุงเทพฯ.เจริญวิทย์การพิมพ์;2544.หน้า323. 13. จิราภรณ์ ทองดอนจุย.คู่มือการพยาบาลผู้ป่วยที่เป็นเนื้องอกมดลูกที่มารับการผ่าตัดแบบผ่าน กล้องทางหน้าท้อง.งานการพยาบาลสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา ฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลศิริราช มหาวิทยาลัยมหิดล;2556.
128 14. เพลินพิศ ธรรมนิภา.คู่มือการพยาบาลการบริหารยาเคมีบ าบัดส าหรับผู้ป่วยมะเร็งรังไข่. งานการพยาบ าลสูติศ าสต ร์-น รีเวชวิทยา ฝ่ายการพยาบ าล โรงพยาบ าลศิริราช มหาวิทยาลัยมหิดล;2558. 15. สุวรรณีสิริเลิศตระกูล.อายุรศาสตร์-ศัลยศาสตร์ โรคมะเร็ง.ฝ่ายการพยาบาล, โรงพยาบาลรามาธิบดี[อินเตอร์เน็ต]. [วันที่อ้างถึง 2 กุมภาพันธ์ 2564]. ที่มา:http://excellent.med.cmu.ac.th 16. ฐิตวันต์หงษ์กิตติยานนท์.ทฤษฏีการดูแลตนเองของโอเร็ม. [อินเตอร์เน็ต]. [วันที่อ้างถึง 2 กุมภาพันธ์ 2564]. ที่มา:www.elnurse.ssru.ac.th 17. Orem,D. E.Nursing concepts practice (5 th ed.).St. Louis: Mosby.1991. 18. Orem,D. E.Nursing concepts practice (6 th ed.).St. Louis: Mosby-year book.2001. 19. สมพร ปานผดุง,วงจันทร์ เพชรพิเชฐเชียร.บทบาทพยาบาลในการดูแลต่อปฏิกิริยาตอบสนองจาก การรับรู้ข่าวร้ายในผู้ป่วยมะเร็ง. วารสารโรคมะเร็ง สถาบันมะเร็งแห่งชาติ พรทรัพย์การพิมพ์.2561;38:129-141. 20. Fujimori M, Akechi T, Akizuki N, Okamura M,Oba A, Sakano Y, et al. Good communicationwith patients receiving bad news about cancer in Japan. Psycho-oncology 2005; 14: 1043-51. 21. Radziewicz R, Baile WF. Communication skills:breaking bad news in the clinical setting. OncolNurse Forum 2001; 28(6): 951-4. 22. Hendrix C, deLeon C. Education and emotionsupport of patients with non-Hodgkin’s lymphoma.Community Oncol 2006; 3(7): 449-51. 23. กลุ่มงานเภสัชกรรม สถาบันมะเร็งแห่งชาติ.คู่มือมาตรฐานการท างานเกี่ยวกับยาเคมีบ าบัดและ การดูแลผู้ป่วยหลังได้รับยา.กรุงเทพฯ.นิวธรรมดาการพิมพ์;2560.
129 ภำคผนวก
130 ภำคผนวก23 ชื่อยำ กลไกกำรออกฤทธิ์และ อำกำรข้ำงเคียงของยำ เหตุผลในกำรใช้ยำ กำรพยำบำลเกี่ยวกับ กำรใช้ยำ cefazolin 2 gm ไป OR ออกฤทธิ์เป็นbactericidal ต่อ เชื้อแบคทีเรียเหมือนยาในกลุ่ม penicillins กล่าวคือ มี โครงสร้างคล้าย alanine residue จึงแย่งจับกับเอนไซม์ transpeptidase แทน alanine residue ของ peptidoglycan สายแรกท าให้ยับยั้งการเกิด cross link กับ peptidogycan สายที่สองซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้าย ของกระบวนการสร้างผนังเซลล์ ของเชื้อแบคทีเรียทาให้เชื้อมี ผนังเซลล์ที่ไม่สมบูรณ์ เอนไซม์ ที่ถูกยับยั้งโดยยาในกลุ่ม penicillins และ cephalosporins นี้อาจเรียก รวมๆว่าpenicillin-binding proteins (PBPs) อาการข้างเคียง -การแพ้ยาที่พบมากคือลมพิษ ผื่นคันอาจพบอาจไข้ได้การแพ้ ยานี้มักพบในรายที่ มีประวัติการแพ้ Penicillinsด้วย -Anaphylaxinพบน้อย -ผลต่อระบบทางเดินอาหารท า ให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน ท้องเดินได้ซึ่งมักจะไม่ ใช้รักษาโรคติดเชื้อ ดังต่อไปนี้โรคติดเชื้อ ของทางเดินหายใจ โรค ติดเชื้อของผิวหนัง เนื้อเยื่ออ่อน โรคติดเชื้อ ของทางเดินอาหารเช่น ท่อน้าดีและถุงน้าดี โรค ติดเชื้อของทางเดิน ปัสสาวะและอวัยวะ สืบพันธุ์โรคติดเชื้อ ภายหลังการผ่าตัดโรค ติดเชื้ออื่นๆเช่นโลหิต เป็นพิษเยื่อบุหัวใจ อักเสบไขกระดูกอักเสบ เยื่อบุช่องท้องอักเสบ และการติดเชื้อหลัง คลอด - สอบถามการแพ้ยา -บริหารยา ในระยะเวลา 30-60 นาที - เฝ้าระวังการใช้ยาในผู้ป่วย ด้วยโรคตับ หรือไต - ประเมินอาการหลังการให้ ยา
131 ชื่อยา กลไกการออกฤทธิ์และ อาการข้างเคียงของยา เหตุผลในการใช้ยา การพยาบาลเกี่ยวกับ การใช้ยา รุนแรงทั้งชนิดที่ให้ทางปากและ ฉีด อาจท าให้เกิดอาการปวด ท้อง อาหารไม่ย่อย ท้องอืด ท้องเฟ้อ และ Pseudomembranouscolitis (จากมีการเจริญของ Clostridium difficile)ได้ -ผลต่อไตพบไม่มาก พบจาก Cephaloridine ได้มากที่สุด และอาจพบในรายที่ใช้ยาอื่นๆ ที่ เป็นพิษต่อไตร่วมด้วย Enema ตัวยาโซเดียม คลอไรด์เป็นยา ถ่ายในกลุ่มที่มีความดันออสโมติ กสูงกว่าร่างกาย กระบวนการ ออซโมซิสท าให้ล าไส้ใหญ่เกิด การอุ้มน้ าภายในมากขึ้น เป็นผล ให้เกิดการกระตุ้นการเคลื่อนไหว ของล าไส้ใหญ่ ผลข้างเคียง ระคายเคือง แสบบริเวณปาก ทวารหนัก เป็นอาการข้างเคียงที่ พบได้ทั่วไปและไม่รุนแรง และ จะหายไปเมื่อหยุดยา - รักษาอาการท้องผูก (laxatives) ส าหรับสวน ทวาร - ใช้สวนทวารก่อนเข้า รับการตรวจทางทวาร หนัก หรือก่อนผ่าตัด ขนาดการใช้ส าหรับข้อ บ่งใช้ก่อนการผ่าตัด ขนาด 50-100 มิลลิลิตร - ไม่ควรใช้ยาขณะที่มีอาการ คลื่นไส้ อาเจียน หรือมี อาการปวดท้อง - ประเมินอาการหลังการ สวนยา Dynastat 40 mg iv q 12 hr ยับยั้ง cyclooxygenase -2 (COX-2) มีข้อบ่งใช้ในการรักษา อาการปวดหลังจากผ่าตัดใน ระยะสั้น ผลข้างเคียงระคายเคืองทางเดิน อาหารและเกิดภาวะเลือดออก ง่าย บรรเทาอาการปวดหลัง ผ่าตัดหรือบรรเทาปวด โดยไม่ไปพึ่งยาในกลุ่ม Opioid drugs เช่น morphine - ติดตามผลข้างเคียงหลัง การได้รับยา - รายงานให้แพทย์ทราบ หากมีอาการผิดปกติจาก ผลข้างเคียงของยา
132 ชื่อยา กลไกการออกฤทธิ์และ อาการข้างเคียงของยา เหตุผลในการใช้ยา การพยาบาลเกี่ยวกับ การใช้ยา Ativan 0.5 mg 1 tab oral Absorption ดูดซึมได้ดีจาก ทางเดินอาหาร Peak plasma 12-16 ชม Excretion ทางปัสสาวะ 70- 75% ในรูป inactive glucuronide Elimination Half life 12-16 ชั่วโมง ผลข้างเคียง Dizziness, Depression, unsteadiness, sleep disturbance ,weakness ,nausea, headache, agitation, hallucination 1.บรรเทาอาการวิตก กังวลในระยะสั้นๆ ประโยชน์ของยาใน ผู้ป่วยแต่ละรายเป็นครั้ง เป็นคราว 2.โรคจิตประสาทได้แก่ ความวิตกกังวล, อารมณ์ เศร้า, ย้ าคิดย้ าท า, กลัว มากเกินไปโดยไม่มี เหตุผล 3.อาการวิตกกังวลที่พบ ในภาวะวิกลจริตและ อารมณ์เศร้าอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นข้อบ่งใช้ในการ รักษาเสริม 4.ใช้เป็นยาน าก่อนการ ผ่าตัดในคืนก่อนการ ผ่าตัดและ/หรือ1-2 ชั่วโมงก่อนท าการผ่าตัด -ก่อนกินยา หากเคยมี ประวัติแพ้ รวมทั้งหากมี ประวัติแพ้ยาอื่นหรือสารก่อ ภูมิแพ้อื่นใด ควรแจ้งแพทย์ หรือเภสัชกร -ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ เกี่ยวกับประวัติทาง การแพทย์ หากมีภาวะ เหล่านี้ ได้แก่ โรคไต โรคตับ โรคต้อหิน มีปัญหาเกี่ยวกับ ปอดหรือหัวใจ เช่น ภาวะ หยุดหายใจขณะนอนหลับ ภาวะอารมณ์ หรือสภาพ จิตใจผิดปกติไป เช่น โรค ซึมเศร้า โรคจิตเภท cef-3 2 gm iv OD ผ่านการยับยั้งกระบวนการสร้าง ผนังเซลล์ของแบคทีเรีย ผลข้างเคียง การเกิดผื่นบริเวณผิวหนัง , เกิด อาการท้องเสีย , Eosinophilia , thrombocytosis , leukopenia , เพิ่มระดับ เอนไซม์Transaminases ที่ตับ และอาจท าให้ค่า BUN สูงขึ้น รักษาโรคติดเชื้อที่ระบบ ทางเดินหายใจส่วนล่างหู ชั้นกลางอักเสบจากการ ติดเชื้อแบคทีเรียโรคติด เชื้อที่ผิวหนังโรคติดเชื้อที่ กระดูกและข้อโรคติด เชื้อ -การบริหารยาทาง I.M. ต้องฉีดแบบ deep I.M. เข้า กล้ามเนื้อมัดใหญ่และต้อง ตรวจสอบว่าปลายเข็มไม่ แทงเข้าหลอดเลือดก่อนฉีด ยา ความเข้มข้นที่แนะน าคือ 250 mg/mL หรือ 350 mg/mL -การบริหารยาทาง I.V. ต้อง
133 ชื่อยา กลไกการออกฤทธิ์และ อาการข้างเคียงของยา เหตุผลในการใช้ยา การพยาบาลเกี่ยวกับ การใช้ยา Morphine 0.2 mg iv ออกฤทธิ์โดยจับกับ mu (μ) receptors เป็นหลัก ที่บริเวณ สมองและไขสันหลัง มีผล บรรเทาอาการปวด และ ท าให้ เกิดอารมณ์เคลิ้มสุขได้ ผลข้างเคียง ท้องผูก, มึนงง, ระงับประสาท, คลื่นไส้/อาเจียน, ซึม และเคลิ้ม ฝัน ถ้า overdose ผู้ป่วยจะมี อาการง่วงซึม ปลุกไม่ตื่น, หายใจช้า, Shock, หัวใจหยุด เต้น 1.บรรเทาอาการปวด แบบเฉียบพลันและ เรื้อรังระดับปานกลาง และรุนแรง เช่น หลัง ผ่าตัดหรือจากโรคมะเร็ง และ myocardial infarction 2.รักษาภาวะ Acute pulmonary edemaที่ สัมพันธ์กับ left ventricular failure 3.ใช้ก่อนผ่าตัดเพื่อท าให้ สงบลดกังวล 4.ใช้เป็นfacilitate induction of anesthesia 5.ใช้ใน neonatal opiate withdrawal -ตรวจสอบขนาด และความ แรงของยาที่เตรียมให้ตรง กับใบสั่งแพทย์ - ระหว่างให้ยาผู้ป่วยควรอยู่ ในท่านอน - ตรวจสอบวิธีทางให้ยาช้าๆ เพราะสามารถให้ได้ทั้ง IM, SC, IV, IV infusion, Intrathecal - การให้ยาแบบ IV push ต้องเจือจางก่อนใช้เป็น 4-5 ml และใช้เวลาให้ยา 4-5 นาทีขึ้นไป - การให้ยาแบบ IV infusion ควรให้ยาผ่าน infusion pump บริหารยา ช้าๆอัตราเร็ว 2-5 mg/min อัตราการให้ยาสูงสุดไม่เกิด 80 mg/hr. - ควรมีการควบคุม ระบบ บันทึกที่ชัดเจน รวมไปถึง ภาชนะบรรจุที่ใช้แล้ว เพื่อ ตรวจสอบการใช้ยาซ้ า - แนะน าผู้ป่วยแจ้งพยาบาล เมื่อต้องการลุกเดิน หรือ หายใจไม่สะดวก หรือ วิงเวียนมา -V/S หลังให้ยานาทีที่ 5, 10, 15 และ 30 นาที หลังจากนั้นติดตามทุก 1 ชั่วโมง
134 ชื่อยา กลไกการออกฤทธิ์และ อาการข้างเคียงของยา เหตุผลในการใช้ยา การพยาบาลเกี่ยวกับ การใช้ยา Tramadol 50 mg iv prn q 6 hr การออกฤทธิ์จับที่ μ -opioid receptor อย่างอ่อนเพื่อให้หลั่ง สารที่ชื่อว่า serotonin และยัง ยับยั้งการดูดกลับของ norepinephrine แต่เมื่อ รับประทานเข้าไป ตัวยาจะถูก เปลี่ยนเป็น Odesmethyltramadol ซึ่งจะมี ผลต่อ μ -opioid receptoragonist อย่างรุนแรง ผลข้างเคียง คลื่นไส้ อาเจียนง่วง ซึม มึนงง วิงเวียน ปวดศีรษะ ท้องผูก ชัก เป็นต้น ซึ่งเป็น อาการไม่พึงประสงค์รูปแบบ เดียวกันกับการใช้opioid ตัว อื่นๆ และพบว่าเกิดภาวะกดการ หายใจ (respiratory depression)ได้ในผู้ใช้ยาขนาด สูงหรือใช้ยาเกินขนาดการใช้ยา เกินขนาดท าให้เกิดอาการเซื่อง ซึม (drowsiness) รูม่านตาหรี่ (constricted pupils) ภาวะ กายใจไม่สงบ อัตราหัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง คลื่นไส้ อาเจียน เหงื่อออก พบว่าท าให้ เกิดอาการชักได้มากกว่ายาอื่น ในกลุ่ม opioids อาการพิษ รุนแรง บรรเทาอาการปวดระดับ ปานกลางถึงระดับ รุนแรง (ทรามาดอลมี ประสิทธิภาพในการ บรรเทาอาการปวดได้ดี เทียบเท่ากับมอร์ฟีน ส าหรับอาการปวดระดับ ต่ าถึงปานกลาง แต่มี ประสิทธิภาพด้อยกว่า ส าหรับอาการปวด รุนแรง) - ติดตามผลข้างเคียงหลัง การได้รับยา - รายงานให้แพทย์ทราบ หากมีอาการคลื่นไส้ มึนงง และท้องผูกอย่างรุนแรง
135 ชื่อยา กลไกการออกฤทธิ์และ อาการข้างเคียงของยา เหตุผลในการใช้ยา การพยาบาลเกี่ยวกับ การใช้ยา onsia 8 mg iv ยาออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท ส่วนกลางและส่วนปลาย โดย การแย่งจับกับ 5-HT3 receptor เป็นแบบ เฉพาะเจาะจง ทั้งนี้5-HT3 receptor มีบทบาทส าคัญใน การเกิดการอาเจียน โดยพบ 5- HT3 receptor ใน chemoreceptor trigger zone และ บริเวณ postrema ของระบบ ประสาทส่วนกลาง และ enterochromatin cell ใน vagus nerve ที่ระบบทางเดิน อาหาร ผลข้างเคียง ท าให้เกิดอาการแพ้ยาได้ เช่น ผื่นคัน มีไข้หนาวสั่น หายใจ ล าบาก มีอาการบวมที่ใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น หรือล าคอ เป็นต้น หรือท าให้เกิดผลข้างเคียงได้ ในขณะใช้ยา ผลข้างเคียงที่พบ ได้ทั่วไป เช่น ท้องเสียหรือ ท้องผูก ปวดหัว ง่วงซึม หรือรู้สึก เหนื่อย รักษาอาการคลื่นไส้และ อาเจียนที่เป็นผลมาจาก โรคกระเพาะอาหารและ ล าไส้อักเสบ การผ่าตัด หรือการรักษาในผู้ป่วย มะเร็ง - ติดตามผลข้างเคียงหลัง การได้รับยา - รายงานให้แพทย์ทราบ หากมีอาการคลื่นไส้ มึนงง และท้องผูกอย่างรุนแรง
136 ชื่อยา กลไกการออกฤทธิ์และ อาการข้างเคียงของยา เหตุผลในการใช้ยา การพยาบาลเกี่ยวกับ การใช้ยา Metronidazo le 500 mg iv q 8 hr metronidazole ออกฤทธิ์โดยที่ หมู่nitro group ของยา รับอิเลคตรอนจากโปรตีน ประเภทส่งผ่านอิเลคตรอนใน เซลล์จุลชีพท าให้ได้สารซึ่ง เกิดปฏิกิริยาเคมีที่ท าลายสาย DNA ท าให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โครงสร้างของสายDNA ( loss of helical DNA และยับยั้งการ สร้างโปรตีน ผลข้างเคียง -คลื่นไส้ (จึงควรให้ร่วมกับ อาหาร)ปวดศีรษะเบื่ออาหาร ปากแห้ง metallictasteอาการ อื่นๆที่พบเช่นอาเจียนท้องร่วง ปวดแน่นท้องและท้องผูก -มี อาการของประสาทส่วนปลาย เช่นรู้สึกชาตามแขนขา ความรู้สึกทางประสาทสัมผัส ผิดปกติเวียนศีรษะรู้สึกหมุน สับสนซึมเศร้าอ่อนเพลีย -อาจมีอาการปัสสาวะขัดช่อง คลอดแห้งปัสสาวะมีสีเข้มหรือ น้ าตาลแดง -อาการแพ้ยาเช่นเป็นลมพิษคัน ผื่นแดงหน้าแดงคัดจมูกมีไข้ปวด ข้อ -เพื่อรักษาและป้องกัน การติดเชื้อจากโปรโตซัว ชนิดอะมีบา, Trichomonas , Giardia ซึ่งพบในโรคฝี บิดมีตัวในตับและ เนื้อเยื่อ, ล าไส้การ อักเสบของช่องคลอด จากเชื้อTrichomonas -รักษาและป้องกัน Anaerob icbacter ialinfection ในช่องท้องและทางเดิน ปัสสาวะการอักเสบในอุ้ง เชิงกรานหนองในโรคติด เชื้อในกระแสเลือดและ โรคติดเชื้อในสมอง นอกจากนี้ยังใช้ในการ ป้องการติดเชื้อก่อนการ ผ่าตัด หยดยาแบบ intermittent infusion นานกว่า 30 นาที -ห้ามผสม aminoglycosides ในขวด หรือถุงเดียวกัน
137 ชื่อยา กลไกการออกฤทธิ์และ อาการข้างเคียงของยา เหตุผลในการใช้ยา การพยาบาลเกี่ยวกับ การใช้ยา Chlorphenira mine (Piriton) 10 mg iv prn q 8 hr -ยับยั้งฮิสทามีนที่ตัวรับH1 แบบ แข่งขัน -Metabolism เกิดขึ้นที่ตับ Excret ion metabo lites and parent drug (3-4%) ถูกขับ ออกทางurine โดย 35% ของ ยาทั้งหมดจะถูกขับออกภายใน เวลา48 ชั่วโมง Elim ination Half life 20-24 ชั่วโมง ผลข้างเคียง อาจมีอาการปากแห้งคอแห้งไม่ สบายท้องง่วงซึม ปวดหัวใจสั่น วิงเวียนนอนไม่หลับอ่อนล้า คลื่นไส้อาเจียนมีปัญหาการ มองเห็น ปัสสาวะยากแน่น หน้าอกปวดแสบยอดอกผื่นขึ้น บรรเทาอาการหวัด อาการแพ้เช่นแพ้สารเคมี แพ้อากาศแพ้ฝุ่นละออง บรรเทาอาการคัน - ติดตามผลข้างเคียงหลัง การได้รับยา - รายงานให้แพทย์ทราบ หากมีอาการผิดปกติจาก ผลข้างเคียงของยา Losec 40mg iv q 12hr ยับยั้งการท างานของ H+/K+ ATPase ซึ่งท าหน้าที่เกี่ยวกับ การหลังกรดเกลือในกระเพาะ อาหาร โดยท าหน้าที่ H+ ออก จากเซลล์pariental cell ออกสู่ โพรงกระเพาะอาหารโดย แลกเปลี่ยนกับ K+ เอนไซม์ H+/K+ ATPase เป็นขั้นตอน การท างานสุดท้ายของการหลัง กรด โดยยาในกลุ่ม PPI เป็น prodrug จะออกฤทธิ์ ในสภาวะ ที่เป็น กรด โดยจะเปลี่ยนเป็น sulphenamind ซึ่งเป็นสารที่ จับกับ sulfhydryl (SH) group ลดการหลั่งกรดใน กระเพาะอาหาร ใช้ รักษาอาการกรดไหล ย้อนหรือโรคที่มีกรดใน กระเพาะอาหารมาก เกินไป รักษาโรคหลอด อาหารอักเสบจากกรดใน กระเพาะ และยังใช้ ควบคู่กับยาปฏิชีวนะ เพื่อรักษาแผลใน กระเพาะอาหารที่เกิด จากการติดเชื้อแบคทีเรีย เฮลิโคแบคเตอร์ไพโลไร - ติดตามผลข้างเคียงหลัง การได้รับยา - รายงานให้แพทย์ทราบ หากมีอาการผิดปกติจาก ผลข้างเคียงของยา
138 ชื่อยา กลไกการออกฤทธิ์และ อาการข้างเคียงของยา เหตุผลในการใช้ยา การพยาบาลเกี่ยวกับ การใช้ยา ของ H+/K+ ATPase จึงยับยั้ง เอนไซม์นี้อย่างถาวร (irreversible) ท าให้ยับยั้งการ หลังกรด ผลข้างเคียง -ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดท้อง มีแก๊สใน กระเพาะอาหาร -อาการแพ้ยา ได้แก่ หายใจ ล าบาก ริมฝีปาก ลิ้น ล าคอ และ ใบหน้ามีอาการบวม เกิดลมพิษ Dexamethas one 20mg.IV Dexa(4) 1x 2 po pc เป็นยากลุ่มกลูโคคอติคอยด์ ชนิดสังเคราะห์ (synthetic glucocorticoid) ใช้ส าหรับ ยับยั้งการอักเสบ (antiinflammatory) และผลในด้าน การกดภูมิคุ้มกัน (immunosuppressive) ฤทธิ์ ในการยับยั้งการอักเสบ เนื่องมาจากการกดการคืบผ่าน ของเม็ดเลือดขาวในกลุ่มที่มี นิวเคลียสหลายรูปร่าง (polymorph nuclear leukocyte) และกลับคืนสภาพ คุณสมบัติการเลือกผ่านของเส้น เลือดฝอยที่เพิ่มขึ้นหลังเกิดการ อักเสบ ใช้ส าหรับกดการ ตอบสนองต่อระบบภูมิคุ้มกัน ทั่วไป ใช้เป็นยาต้านอักเสบและ แก้แพ้เช่นรักษาอาการ แพ้ชนิดรุนแรงหรือ เรื้อรังเช่นหืดแพ้ยาโรค ภูมิแพ้ทางผิวหนังหรือ กลุ่มโรคออโตอิมมูน - ติดตามผลข้างเคียงหลัง การได้รับยา - รายงานให้แพทย์ทราบ หากมีอาการผิดปกติจาก ผลข้างเคียงของยา
139 ชื่อยา กลไกการออกฤทธิ์และ อาการข้างเคียงของยา เหตุผลในการใช้ยา การพยาบาลเกี่ยวกับ การใช้ยา ผลข้างเคียง อาจท าให้เป็นเบาหวานความดัน โลหิตสูงโรคแผล pepticก าเริบ บวมกระดูกผุแผลหายช้าติดเชื้อ ง่าย Cimethidine inj. 200 mg. IV ยาในกลุ่มยาปิดกั้นตัวรับฮิสตา มีนชนิดที่ 2 (H2 Blockers) ออกฤทธิ์ยับยั้งสารฮิสตามีนที่ ช่วยกระตุ้นการหลั่งกรดใน กระเพาะอาหาร ผลข้างเคียง เวียนศีรษะ อ่อนเพลีย ท้องเสีย ปวดกล้ามเนื้อเล็กน้อย หรือปวด ข้อเล็กน้อย เป็นต้น นอกจากนี้ อาจมีผลข้างเคียงอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น ได้ไม่บ่อยนักร่วมด้วย เช่น อาการแพ้ยา และมีไข้ ภาวะ ซึมเศร้า ประสาทหลอนเนื้อเยื่อ ไตอักเสบตับอ่อนอักเสบ หัว ใจเต้นช้าลงหรือเร็วขึ้น ภาวะเต้า นมโตในเพศชาย รักษาแผลในกระเพาะ อาหารและล าไส้เล็ก กรดไหลย้อน และหลอด อาหารอักเสบที่เกิดจาก กรดไหลย้อน ส่วนการ น าไปใช้รักษาอาการอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจ ของแพทย์ - ติดตามผลข้างเคียงหลัง การได้รับยา - รายงานให้แพทย์ทราบ หากมีอาการผิดปกติจาก ผลข้างเคียงของยา Benadryl (25 mg) 2 cap.PO (Diphenhydr amine ยับยั้งสารฮิสตามีนในร่างกายซึ่ง ท าให้เกิดอาการแพ้ ต่าง ๆ เช่น ไอ จาม น้ ามูกไหล น้ าตาไหล ตา แดง ลมพิษ ผื่นผิวหนัง คัน หรือ อาการหวัดและอาการแพ้อื่น เป็นยากลุ่มดั้งเดิม (Conventional antihistamines) สามารถผ่าน เข้าสู่สมองไปกดระบบประสาท ได้จึงท าให้ผู้ที่ใช้ยามีอาการง่วง บรรเทาอาการแพ้ รักษา โรคภูมิแพ้ ไข้ละอองฟาง หรือไข้หวัด - ติดตามผลข้างเคียงหลัง การได้รับยา - รายงานให้แพทย์ทราบ หากมีอาการผิดปกติจาก ผลข้างเคียงของยา
140 ชื่อยา กลไกการออกฤทธิ์และ อาการข้างเคียงของยา เหตุผลในการใช้ยา การพยาบาลเกี่ยวกับ การใช้ยา ผลข้างเคียง ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ง่วงซึม ร่างกายท างานไม่ประสานกัน หรือเสียความสมดุล ปากแห้ง จมูกแห้ง หรือคอแห้ง เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ไม่ สบายท้อง ท้องปั่นป่วน ท้องผูก ท้องเสีย ตาแห้งหรือตามัว Ondansetro n มีทั้งชนิด ทาน หรือฉีด กระตุ้นผ่านกระแสประสาทขา เข้ามายังศูนย์ควบคุมการ อาเจียน (vomiting center) ที่ตั้งอยู่ที่ medulla โดยรับ กระแสประสาทผ่านมาทาง chemoreceptor trigger zone , pharynx , gastrointestinal(GI) tract (ผ่านทาง vagal afferent fiber) และสมองส่วน cerebral cortex และอาการอาเจียนนั้น จะเกิดเมื่อมีการส่งกระแส ประสาท ออกจากศูนย์ควบคุม การอาเจียนไปสู่ salivation center , กล้ามเนื้อหน้าท้อง , ศูนย์ควบคุมการหายใจ และ เส้นประสาทสมอง โดย chemoreceptor trigger zone, vomiting center, GItract มีตัวรับสารสื่อประสาท หลายชนิดมาเกี่ยวข้อง โดย ใช้ในการรักษาอาการ คลื่นไส้และอาเจียนที่ เป็นผลมาจากโรค กระเพาะอาหารและ ล าไส้อักเสบ จากการ ผ่าตัด ฉายรังสี หรือการ รักษาในผู้ป่วยมะเร็ง - ติดตามผลข้างเคียงหลัง การได้รับยา - รายงานให้แพทย์ทราบ หากมีอาการผิดปกติจาก ผลข้างเคียงของยา - หากเป็นยาทาน ควร รับประทานยาพร้อมดื่ม น้ าเปล่าตาม 1 แก้ว จะ รับประทานยาพร้อมอาหาร หรือไม่ก็ได้ - หากลืมรับประทานทานยา ตามเวลาที่แพทย์สั่ง เมื่อนึก ขึ้นได้สามารถรับประทานได้ ทันที หาก
141 ชื่อยา กลไกการออกฤทธิ์และ อาการข้างเคียงของยา เหตุผลในการใช้ยา การพยาบาลเกี่ยวกับ การใช้ยา ตัวรับสารสื่อประสาทที่มีบทบาท ส าคัญต่อการเกิดการอาเจียน ได้แก่ 5-HT และ dopamine receptors และนอกจากนี้ยังมี acetylcholine , corticosteroid, histamine, cannabinoid, opiate และ neurokinin-1 (NK-1) receptors ซึ่งตั้งอยู่ที่ vomiting และ vestibular center ของ สมอง ผลข้างเคียง ผื่นคัน มีไข้ หนาวสั่น หายใจ ล าบาก มีอาการบวมที่ใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น หรือล าคอ เป็นต้น หรือท าให้เกิดผลข้างเคียงได้ ในขณะใช้ยา ผลข้างเคียงที่พบ ได้ทั่วไป เช่น ท้องเสีย หรือ ท้องผูก ปวดหัว ง่วงซึม หรือ รู้สึกเหนื่อย ใกล้กับมื้ออาหารถัดไป ให้ รับประทานยาในเวลาและ ขนาดตามปกติไม่ต้องเพิ่ม ขนาดยาเพื่อทดแทนในมื้อที่ ขาดหายไป
142 ชื่อยา กลไกการออกฤทธิ์และ อาการข้างเคียงของยา เหตุผลในการใช้ยา การพยาบาลเกี่ยวกับ การใช้ยา Paclitaxel กลไกการออกฤทธิ์ต่อ เซลล์มะเร็งโดยที่จะออกฤทธิ์เข้า ไปยับยั้ง Mitotic Spindle ที่อยู่ ภายในเซลล์ Microtubule Assembly และยังเข้าไปยับยั้ง Disaggregationผลของยาจะเข้า ไปส่งผลให้การแบ่งตัวของเซลล์ เกิดการหยุดชะงักที่ G2 / M phase ของวัฏจักรของเซลล์ซึ่ง ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่เซลล์มีความ ว่องไวต่อการท าลายของรังสีสูง มาก ผลข้างเคียง 1. หลังได้รับยาประมาณ 2-3 วัน อาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียน พะอืดพะอม ซึ่งแพทย์จะสั่งยา ป้องกันอาการให้กลับไป รับประทานต่อที่บ้านต่อเนื่อง 2. หากยังคงเจ็บหรือปวดบริเวณ ที่ฉีดยา ให้ประคบเย็นครั้งละ ประมาณ 15 นาที ทุก 4-6 ชั่วโมง 3. ช่วงสัปดาห์แรกหลังรับยาอาจ มีอาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรง ปวด เมื่อยตามเนื้อตัว ซึ่งจะค่อยๆ ดี ขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป 4. ยานี้อาจท าให้เกล็ดเลือดต่ า เลือดออกง่ายและหยุดยาก โดย อาการอาจเริ่มเกิดที่วันที่ 21 หลังให้ยา ควรเพิ่มความ ระมัดระวังและไม่ควรใช้ยาแก้ เป็นยากลุ่ม Taxanes เป็นยาที่ใช้ในการรักษา โรคมะเร็งหลายชนิดมี ลักษณะเป็นของเหลวใส ที่ใช้ฉีดเข้าทางหลอด เลือดด า 1. ให้การพยาบาลตามหลัก 7R 2. ให้ข้อมูลการปฏิบัติตัว ผลข้างเคียงของยา ก่อน ขณะ และหลังได้รับยา พร้อมสังเกตอาการผิดปกติ จากการได้รับยา 3. เฝ้าระวังและป้องกัน อันตราย อันเกิดจากการ ได้รับยาเคมีบ าบัด 4. เนื่องจากผู้ป่วยบางราย อาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ผู้ป่วยทุกรายจึงจะได้รับยา ฉีดป้องกันอาการคลื่นไส้ อาเจียนก่อนรับยาเคมีบ าบัด ประมาณ 30 นาที 5. ดูแลการบริหารยาโดย การควบคุมการหยดด้วย เครื่อง Infusion pump ตามRatที่แพทย์ก าหนด 6. ยาเคมีบ าบัดทุกชนิดอาจ ท าให้เกิดอาการแพ้ยาได้ แนะน าผู้ป่วยหากรู้สึกแน่น หน้าอก หัวใจเต้นผิดปกติ ใจสั่น เวียนศีรษะ หายใจ ติดขัด ต้องแจ้งพยาบาล ทันที 7.ประเมินวัดสัญญาณชีพ เป็นระยะ พร้อมประเมิน อาการและอาการแสดงทุก ช่วงขณะการได้รับยาเคมี
143 ชื่อยา กลไกการออกฤทธิ์และ อาการข้างเคียงของยา เหตุผลในการใช้ยา การพยาบาลเกี่ยวกับ การใช้ยา ปวดกลุ่มที่ระคายเคืองกระเพาะ อาหารเช่น แอสไพริน5. ผู้ป่วย ส่วนใหญ่เกิดอาการผมร่วง โดย ช่วงแรกอาจเจ็บหนังศีรษะ การ ตัดผมสั้นอาจท าให้รู้สึกสบาย และดูแลง่ายขึ้น หลังจากหยุดยา เคมีบ าบัดผมจะค่อยๆขึ้นกลับมา เหมือนเดิม บ าบัด 8.แนะน าการปฏิบัติตัวเมื่อ กลับบ้าน สังเกตอาการ ทานยา และมาตรวจตาม แพทย์นัด Carboplatin เป็นยาที่ออกฤทธิ์ท าลายสาร พันธุกรรมเพื่อป้องกันการ แบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง โดยออก ฤทธิ์ได้ทุกระยะ ของการแบ่งเซลล์ ผลข้างเคียง 1. หลังได้รับยาประมาณ 2-3 วัน อาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียน พะอืดพะอม ซึ่งแพทย์จะสั่งยา ป้องกันอาการให้กลับไป รับประทานต่อที่บ้านต่อเนื่อง 2. ช่วงสัปดาห์แรกหลังรับยาอาจ มีอาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรง ปวด เมื่อยตามเนื้อตัว ซึ่งจะค่อยๆ ดี ขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป 3. ยานี้อาจท าให้เกล็ดเลือดต่ า เลือดออกง่ายและหยุดยาก โดย อาการอาจเริ่มเกิดที่วันที่ 21 หลังให้ยา ควรเพิ่มความ ระมัดระวังและไม่ควรใช้ยาแก้ ปวดกลุ่มที่ระคายเคืองกระเพาะ อาหารเช่น แอสไพริน อยู่ในประเภทยาเคมี กลุ่ม Alkylating agents เป็นยาเคมีบ าบัดส าหรับ ฉีดเข้าทางหลอดเลือดด า ซึ่งใช้ในการรักษามะเร็ง เม็ดเลือดขาว มะเร็ง ผิวหนัง มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม และมะเร็ง รังไข่เป็นต้นโดยยานี้จะ ช่วยหยุดและชะลอการ เติบโตของเซลล์มะเร็ง 1. ให้การพยาบาลตามหลัก 7R 2. ให้ข้อมูลการปฏิบัติตัว ผลข้างเคียงของยา ก่อน ขณะ และหลังได้รับยา พร้อมสังเกตอาการผิดปกติ จากการได้รับยา 3. เฝ้าระวังและป้องกัน อันตราย อันเกิดจากการ ได้รับยาเคมีบ าบัด 4. เนื่องจากผู้ป่วยบางราย อาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ผู้ป่วยทุกรายจึงจะได้รับยา ฉีดป้องกันอาการคลื่นไส้ อาเจียนก่อนรับยาเคมีบ าบัด ประมาณ 30 นาที 5. ดูแลการบริหารยาโดย การควบคุมการหยดด้วย เครื่อง Infusion pump ตามRatที่แพทย์ก าหนด 6. ยาเคมีบ าบัดทุกชนิดอาจ ท าให้เกิดอาการแพ้ยาได้ แนะน าผู้ป่วยหากรู้สึกแน่น