การวัดผลประเมินผลหลักสูตรฐานสมรรถนะ พ.ศ.25566 ตามหลักสูตรแกนกลางศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) โรงเรียนบ้านใหญ่พิทยาคม ........................................................................................................................................ องค์ประกอบของมาตรฐานสมรรถนะ ในการปฏิบัติงานในอาชีพจะกำหนดสมรรถนะที่คาดหวังว่าผู้เรียนจะสมารถปฏิบัติได้ ประกอบด้วย หน่วยสมรรถนะ เป็นขอบข่ายกว้าง ๆ ของงาน ในอาชีพหนึ่ง ๆ ที่ผู้เรียนต้องปฏิบัติ โดยใช้ความรู้และทักษะหรืออาจรวมถึงเจคติ สมรรถนะย่อย เป็นภาระงานย่อย ที่ประกอบขึ้น ภายใต้งานในหน่วยสมรรถนะนั้น ๆ เกณฑ์การปฏิบัติ เป็นกิจกรรมย่อย ๆ ภายใต้สมรรถนะย่อยซึ่ง เป็นผลการเรียนรู้ ที่คาดหวังว่าผู้เรียนจะสามารถปฏิบัติได้เมื่อเรียนจบหลักสูตร เงื่อนไข/ขอบเขต การปฏิบัติ การปฏิบัติภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดอาจรวมถึงวัสดุ เครื่องมือ หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ กำหนดให้ (หรือไม่ให้ใช้) เพื่อให้การปฏิบัติงานนั้นสำเร็จ เมื่อได้กรอบมาตรฐานสมรรถนะแล้ว การ จัดหลักสูตรการเรียนการสอน การกำหนดเนื้อหาและกิจกรรมการเรียนการสอนจะสร้างขึ้นภายใต้ กรอบมาตรฐานสมรรถนะที่กำหนดและจะเชื่อมโยงกับการวัดและประเมินผล ซึ่งอาจเรียกว่า การ ทดสอบวัดตามสมรรถนะ กลวิธีการจัดเรียนการสอน (Delivery Strategies) มีหลากหลายวิธี ได้แก่ 1. ใช้สื่อประเภท Audio-Visual Materials 2. การระดมสมอง (Brainstorming) 3. กรณีศึกษา (Case Study) 4. ประสบการณ์ทำงานร่วมกัน (Cooperative work Experience) 5. การสาธิต (Demonstration) 6. การอภิปราย (Discussion) 7. การฝึกซ้ำ ๆ (Drill) 8. ศึกษานอกสถานที่ (Field Trip) 9. กิจกรรมกลุ่ม (Group Work) 10. เชิญวิทยากรมาบรรยาย (Guest Speaker) 11. ชุดการเรียน (Modules/learning Packages) 12. การบรรยาย (Lecture) 13. ห้องปฏิบัติการแบบเปิด (Open Lab Sequences) 14. จัดอภิปรายโดยผู้ชาญการเฉพาะด้าน (Panel Discussions) 15. โครงงาน (Projects), เอกสารจากองค์กร บริษัท (Enterprise Papers), ผลงานต้นแบบ (Prototypes), โครงงานวิจัย (Research Projects), แบบจำลองต่าง ๆ (Models) 16. การถาม – ตอบ (Questions and Answers) 17. การทบทวน/ ทำกิจกรรมเพิ่มเติม (Review/ Reinforcement) 18. บทบาทสมมุติ (Role Playing) 19. เกมสถานการณ์จำลอง Simulation Games Text or Reference Assessment
การประเมินผลแบบฐานสมรรถนะ การประเมินผลเป็นการรวบรวมหลักฐานผลการเรียนรู้ว่าผู้เรียนมีความก้าวหน้าถึงเกณฑ์หรือ ระดับที่กำหนดในมาตรฐานหรือตามผลการเรียนรู้ที่กำหนดในหน่วยสมรรถนะ สมรรถนะย่อยและ ตัวชี้วัด เพื่อตัดสินว่าผู้เรียนสำเร็จตามสมรรถนะที่กำหนดหรือไม่ การประเมินผลการจัดหลักสูตรแบบ ฐานสมรรถนะควรทำควบคู่ กับการเรียนการสอนโดยวัดทั้งความรู้และทักษะและการนำไปประยุกต์ใช้ การประเมินผลแบบฐานสมรรถนะ ไม่ได้ดีไปกว่าหรือแตกต่างไปจากวิธีการประเมินแบบเดิม หรือแบบอื่น ๆ เพียงแต่การเมินแบบฐานสมรรถนะให้ความสำคัญกับสมรรถนะที่กำหนด ในการ ฝึกอบรมหรือศึกษาทางวิชาชีพ การประเมินผลที่เน้นการปฏิบัติ เน้นที่กระบวนการเรียนรู้และการ ปฏิบัติ ซึ่งมักจะประเมินทักษะ 4 ด้าน คือ 1. ทักษะตามภาระงาน (Task Skills) ความสามารถในการปฏิบัติภาระงานแต่ละชิ้น 2. ทักษะการจัดการ (Task Management Skills) ความสามารถในการจัดการกับภาระ งานและกิจกรรมที่ต้องปฏิบัติภายใต้งานนั้น ๆ 3. ทักษะในคาดการณ์อุปสรรคปัญหาที่อาจเกิดขึ้น (Contingency Skills) การประเมิน ทักษะใช้ได้ดีโดยกำหนดสถานการณ์จำลอง 4. ทักษะตามบทบาทและงานที่รับผิดชอบและสภาพแวดล้อม (Job/Role Environment) รวมถึงการทำงานร่วมกับผู้อื่น วิธีการประเมินผลแบบฐานสมรรถนะ เน้นกระบวนการเรียนรู้ และมีการประเมินให้ความสำคัญกับการประเมินแบบย่อย อย่างต่อเนื่องเพื่อติดตามดูความก้าวหน้า วินิจฉัยจุดด้อย จุดเด่นของผู้เรียนให้ข้อมูลย้อนกลับและเป็น การประเมินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของผู้สอนไปด้วย ในขณะเดียวกันต้องมีการสอบสรุป การ เพื่อวัดและตัดสินกระบวนการเรียนรู้ ตอนเรียนจบรายวิชาใช้การอิงเกณฑ์ วัดความสำเร็จใน การปฏิบัติของผู้เรียนเป็นรายบุคคลเพื่อให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาใช้ศักยภาพตามความสามารถโดยไม่ ต้องเปรียบเทียบกับผู้อื่นและตัดสินแบบอิงกลุ่ม ประเมินสมรรถนะที่สำคัญ ก่อนเพราะผลการ เรียนรู้/การปฏิบัติของทุกสมรรถนะ มีความสำคัญไม่เท่ากัน บางสมรรถนะอาจมีความสำคัญกว่าอีก สมรรถนะหนึ่ง ที่ครูผู้สอนจำเป็นต้องตั้งข้อจำกัดในการเรียนรู้และการประเมินผล บูรณาการ สมรรถนะต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกันไม่ประเมินแยกตามหน่วยสมรรถนะหรือหน่วยสมรรถนะย่อย ออกจากกันแม้ว่ากรอบมาตรฐานสมรรถนะจะกำหนดแยกเป็นหน่วยสมรรถนะ สมรรถนะย่อยและตัว บ่งชี้ไม่ได้หมายความว่าผู้สอนจะต้องสอนหรือประเมินผลแยกแต่ละสมรรถนะเพราะในการจัดเนื้อหา การสอนแต่ละหน่วยอาจต้องเกี่ยวข้องกับสมรรถนะต่าง ๆ ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องหรือต่อเนื่องกัน ใช้วิธีการประเมินที่หลากหลาย ได้แก่ 1. การสังเกต รายการประเมิน 2. การสาธิตและตั้งคำถาม 3. แบบทดสอบและข้อสอบอัตนัย ซึ่งใช้ประเมินด้านความรู้ 4. การสอบปากเปล่า 5. การทำโครงงาน 6. สถานการณ์จำลอง 7.แฟ้มผลงาน 8. การประเมินผลโดยการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือในการสร้าง แบบทดสอบและ บันทึกผลได้
หลักการวัดและการประเมินผลการเรียน หลักการวัดและการประเมินผลการเรียนโรงเรียนบ้านใหญ่พิทยาคม การวัดและการ ประเมินผลการเรียนรู้ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 เป็น กระบวนการเก็บรวบรวม ตรวจสอบ ตีความการเรียนรู้และพัฒนาการด้านต่างๆ ของผู้เรียนตาม มาตรฐานการเรียนรู้ /ตัวชี้วัดของหลักสูตร นำผลที่ได้ไปปรับปรุงพัฒนาการจัดการเรียนรู้และใช้เป็น ข้อมูลสำหรับการตัดสินผลการเรียนโดยมีกระบวนการจัดการที่เป็นระบบ เพื่อให้การดำเนินการวัด และประเมินผลการเรียนรู้เป็นไปอย่างมีคุณภาพ และประสิทธิภาพ ผลการประเมินตรงตามสภาพ ความรู้ความสามารถที่แท้จริงของผู้เรียนถูกต้องตามหลักการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ รวมทั้ง สามารถรองรับการประเมินภายในและการประเมินภายนอกตามระบบประกันคุณภาพการศึกษาได้ โรงเรียนจึงกำหนดหลักการวัดและประเมินผลการเรียนรู้เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจเกี่ยวกับการ วัดและประเมินผลการเรียนรู้ดังนี้ 1. โรงเรียนเป็นผู้รับผิดชอบการประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนโดยให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมี ส่วนร่วม 2. การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ต้องสอดคล้องและครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรู้/ ตัวชี้วัดตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่กำหนดในหลักสูตรและจัดให้มีการประเมินการอ่านคิดวิเคราะห์และ เขียนคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ตลอดจนกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน 3. การประเมินผู้เรียนต้องพิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียนความประพฤติ สังเกตพฤติกรรม การเรียนรู้การร่วมกิจกรรมและการทดสอบควบคู่ไปในกระบวนการเรียนการสอน ตามความเหมาะสมของแต่ละวิชา 4. การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการจัดการเรียนการสอน ต้องดำเนินการด้วยเทคนิควิธีที่หลากหลายเพื่อให้สามารถวัดและประเมินผลผู้เรียนได้อย่างรอบด้าน ทั้งด้านความรู้ ความคิด และกระบวนการ พฤติกรรม และเจตคติเหมาะสมกับสิ่งที่ต้องการวัด ธรรมชาติวิชา และระดับชั้นของผู้เรียน โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานความเที่ยงตรง ยุติธรรมและเชื่อถือได้ 1. การประเมินผลการเรียนรู้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อปรับปรุงพัฒนาผู้เรียน พัฒนาการจัดการเรียนรู้และตัดสินผลการเรียน 6. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตรวจสอบผลการประเมินผลการเรียนรู้ 7. ให้มีการเทียบโอนผลการเรียนระหว่างสถานศึกษาและรูปแบบการศึกษาต่างๆ 8. ให้โรงเรียนจัดทำเอกสารหลักฐานการศึกษาเพื่อเป็นหลักฐานการประเมินผลการเรียนรู้ รายงานผลการเรียนแสดงวุฒิการศึกษาและรับรองผลการเรียนของผู้เรียน
วิธีการวัดและประเมินผลการเรียน วิธีวัดและประเมินผลการเรียนในระเบียบวัดและประเมินผลการเรียนรู้หลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) มีวิธีวัดและประเมินความรู้ และ ประเมินคุณลักษณะ มี 4 องค์ประกอบ ดังนี้ 1. การประเมินผลการเรียนรู้ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ 2. การประเมินผลการอ่าน คิด วิเคราะห์ และเขียน 3. การประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 4. การประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน 1. การประเมินผลการเรียนรู้ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ - ประเมินผลการเรียนรู้แบ่งเป็น 1. ระหว่างเรียน 2. กลางภาค 3. ปลายภาค โดยแบ่งเป็น สัดส่วนคะแนนตามกลุ่มสาระดังนี้ กลุ่มสาระ ม.ต้น ม.ปลาย ระหว่างภาค ปลายภาค ระหว่างภาค ปลายภาค 1.ภาษาไทย 80 20 80 20 2.คณิตศาสตร์ 80 20 80 20 3.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 80 20 80 20 4.สังคมศึกษาฯ 80 20 80 20 5.สุขศึกษาฯ 80 20 80 20 6.ศิลปะ 80 20 80 20 7.การงานอาชีพ 80 20 80 20 8.ภาษาต่างประเทศ 80 20 80 20 รูปแบบและวิธีการประเมินแต่ละองค์ประกอบให้เหมาะสม 1. การประเมินกลุ่มสาระการเรียนรู้ 1.1 ครูผู้สอนต้องทำการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ผู้เรียนเป็นรายวิชาตามตัวชี้วัดที่ กำหนดในหน่วยการเรียนรู้ด้วยวิธีการที่หลากหลาย 1.2 การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ต้องจัดพร้อมกับการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้ได้ผล การประเมินตามความสามารถที่แท้จริงของผู้เรียน 1.3 การวัดและประเมินผลอาจจะวัดผล ประเมินได้จากการสังเกตพัฒนาการและความ ประพฤติของผู้เรียนการสังเกตพฤตกรรมการเรียนการร่วมกิจกรรมและการทดสอบ 1.4 ผู้สอนต้องนำนวัตกรรมการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ที่หลากหลายเช่นการประเมิน ตามสภาพจริง การประเมินการปฏิบัติงาน การประเมินจากโครงงาน การประเมินจากแฟ้มสะสมงาน ไปใช้ในการประเมินผลการเรียนรู้ควบคู่ไปกับการใช้แบบทดสอบต่างๆ 1.5 ผู้สอนต้องให้ความสำคัญกับการประเมินระหว่างภาคมากกว่าปลายภาค
2. รูปแบบและการประเมินการอ่านคิดวิเคราะห์และเขียน 2.1 คณะกรรมการประเมินการอ่านคิดวิเคราะห์การเขียนของสถานศึกษากำหนด ผลการเรียนรู้หรือความสามารถด้านการอ่านคิดวิเคราะห์และเขียน จากกลุ่มสาระการ เรียนรู้พร้อมกำหนดเกณฑ์ ตัดสินคุณภาพ (ดีเยี่ยม/ดีและผ่าน) ให้เหมาะสมระดับการศึกษา 2.2 ผู้สอนแต่ละกลุ่มสาระออกแบบประเมินเพื่อประเมินความสามารถใน การอ่านคิดวิเคราะห์และเขียนให้เหมาะสมกับผู้เรียนตามตัวชี้วัดในแต่ละหน่วยการเรียนรู้ 2.3 คณะกรรมการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียนของสถานศึกษา ประเมินความสามารถด้านการอ่านคิดวิเคราะห์ของผู้เรียนได้จากหน่วยการเรียนรู้ในแต่ละรายวิชา 2.4 หากผู้เรียนคนใดประเมินไม่ผ่านเกณฑ์จะต้องมีการซ่อมเสริมเพื่อให้พัฒนาให้ ผ่านเกณฑ์ต่อไป 2.5 เกณฑ์การประเมิน ดีเยี่ยม = 80 – 100 คะแนน ดี = 60 – 79 คะแนน ผ่าน = 50 – 59 คะแนน ไม่ผ่าน = ต่ำกว่า 50 คะแนน 3. รูปแบบและวิธีการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ แต่งตั้งคณะกรรมการการพัฒนาและประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของสถานศึกษา 1. คณะกรรมการต้องพิจารณานิยามหรือความหมายของคุณลักษณะแต่ละตัวพร้อมทั้ง กำหนดตัวชี้วัดหรือพฤติกรรมบ่งชี้หรือพฤติกรรมที่แสดงออกของคุณลักษณะแต่ละตัว 2. คณะกรรมการกำหนดเกณฑ์และแนวทางการประเมินคุณลักษณะให้สอดคล้องกับบริบท และจุดเน้นของสถานศึกษากำหนดระดับคุณภาพดังนี้ ดีเยี่ยม ดีและผ่าน โดยกำหนด ประเด็นการประเมินให้สอดคล้องกับตัวชี้วัดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 3. คณะกรรมการต้องทำงานร่วมกับครูผู้สอน ครูที่ปรึกษา ครูผู้ดูแลกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ครบทุกข้อโดยกำหนดตัวชี้วัดหรือ พฤติกรรมบ่งชี้หรือพฤติกรรมที่แสดงออกของแต่ละคุณลักษณะให้เหมาะสมกับ ธรรมชาติของวัยและวุฒิภาวะของนักเรียน 4. เกณฑ์การประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ดีเยี่ยม = 80 – 100 คะแนน ดี = 60 – 79 คะแนน ผ่าน = 50 – 59 คะแนน ไม่ผ่าน = 1 - 49* คะแนน * ต้องซ่อมเสริมจนกว่าจะผ่านการประเมิน
4. การประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน 4.1 กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนแบ่งเป็น 3 ลักษณะ 1. กิจกรรมแนะแนว 2. กิจกรรมนักเรียน 2.1.กิจกรรมลูกเสือ-เนตรนารี 2.2.กิจกรรมชุมนุม 3. กิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณะประโยชน์โดยสถานศึกษาต้องจัดสรรเวลาให้ ผู้เรียนดังนี้ - ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น รวม 3 ปี มี จำนวน 45 ช.ม ( เฉลี่ยปีละ 15 ชั่วโมง) - ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย รวม 3 ปี มี จำนวน 60 ชั่วโมง ( เฉลี่ยปีละ 20 ชั่วโมง) ซึ่งการทำกิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ให้ผู้เรียนรายงานแสดงการเข้าร่วมกิจกรรมและมีผู้ รับรองผลการเข้าร่วมกิจกรรม 4.2 เกณฑ์การประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน 1. เวลาการเข้าร่วมกิจกรรม 2. การปฏิบัติกิจกรรม 3. ผลงาน/ชิ้นงาน 4.3 การประเมินผลกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ผ่าน = ผู้เรียนมีเวลาเข้าร่วมกิจกรรมตามกำหนด มีการปฏิบัติกิจกรรมและมีผลงาน ชิ้นงานตามเกณฑ์ที่กำหนด ไม่ผ่าน = ผู้เรียนไม่ผ่านเกณฑ์เวลาการเข้าร่วมกิจกรรมหรือเกณฑ์การปฏิบัติ กิจกรรมและให้ผลงานผู้เรียนหรือทั้ง 2 เกณฑ์ ผู้สอนต้องทำการซ่อมเสริมและประเมินจนผ่านในปี การศึกษานั้นๆ
เกณฑ์การวัดและประเมินผลการเรียน เกณฑ์การวัดผลประเมินผลการเรียนของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา 1. การตัดสินผลการเรียน การตัดสินผลการเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษามีการตัดสินในหลายลักษณะคือ การผ่าน รายวิชาที่กำหนดเป็นภาคเรียน การเลื่อนชั้นปีกำหนดเป็นปีการศึกษาและการจบระดับชั้นกำหนด เป็นระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย หลักเกณฑ์การวัดและประเมินผลการ เรียนรู้ เพื่อตัดสินผลการเรียนร้าของผู้เรียนตามหลักสูตรสถานศึกษา มีดังนี้ 1. ตัดสินผลการเรียนเป็นรายวิชา ผู้เรียนต้องมีเวลาเรียนตลอดภาคเรียนไม่น้อย กว่าร้อยละ 80 ของเวลาเรียนทั้งหมดในรายวิชานั้น ๆ 2. ผู้เรียนต้องได้รับการประเมินทุกตัวชี้วัดและผ่านตามเกณฑ์ที่โรงเรียนกำหนด 3. ผู้เรียนต้องได้รับการตัดสินผลการเรียนทุกรายวิชา 4. ผู้เรียนต้องได้รับการประเมินและมีผลการประเมินผ่านตามเกณฑ์ที่โรงเรียน กำหนด ในการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน 2. การให้ระดับผลการเรียน ในการตัดสินเพื่อให้ระดับผลการเรียนรายวิชาของกลุ่มสาระการเรียนรู้ ให้ใช้ตัวเลขแสดง ระดับผลการเรียนเป็น 8 ระดับ รายวิชาที่จะนับหน่วยกิต ได้จะต้องได้ระดับผลการเรียนตั้งแต่ 1 ขึ้นไป โดยมีแนวการให้ระดับผลการเรียนดังนี้ คะแนนร้อยละ ระดับผลการเรียน ความหมายของผลการประเมิน 80 – 100 4 ดีเยี่ยม 75 – 79 3.5 ดีมาก 70 – 74 3 ดี 65 – 69 2.5 ค่อนข้างดี 60 – 64 2 ปานกลาง 55 – 59 1.5 พอใช้ 50 – 54 1 ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำ 0 – 49 0 ต่ำกว่าเกณฑ์ การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์นั้นให้ระดับผล การประเมินเป็นผ่านและไม่ผ่าน กรณีที่ผ่านให้ระดับผลการเรียนเป็นดีเยี่ยม ดีและผ่าน ความหมายของผลการประเมินคุณภาพเป็นดีเยี่ยม ดี และผ่าน ใช้ดังนี้ (1) การประเมิน อ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน ดีเยี่ยม หมายถึง สามารถจับใจความสำคัญได้ครบถ้วนเขียนวิพากษ์วิจารณ์เขียน สร้างสรรค์ แสดงความเห็นประกอบอย่างมีเหตุผลได้ถูกต้องและสมบูรณ์ ใช้ภาษาสุภาพและเรียบเรียงได้ สละสลวย ดี หมายถึง สามารถจับใจความสำคัญได้เขียนวิพากษ์วิจารณ์เขียนสร้างสรรค์โดยใช้ ภาษาสุภาพ ผ่าน หมายถึง สามารถจับใจความสำคัญและเขียนวิพากษ์วิจารณ์ได้บ้าง
(2) การประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ดีเยี่ยม หมายถึง ผู้เรียนมีคุณลักษณะในการปฏิบัติจนเป็นนิสัยและนำไปใช้ใน ชีวิตประจำวันเพื่อประโยชน์สุขของตนเองและสังคม ดี หมายถึง ผู้เรียน มี่คุณลักษณะในการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เพื่อให้เป็นที่ยอมรับ ผ่าน หมายถึง ผู้เรียนรับรู้ปละปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และเงื่อนไขที่สถานศึกษากำหนด (3) การประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน พิจารณาการเข้าร่วมกิจกรรม การปฏิบัติกิจกรรม และผลงานของผู้เรียน โดยให้ผลการเข้าร่วมกิจกรรมเป็นผ่าน และไม่ผ่าน 3. การจบระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (1) ผู้เรียนเรียนรายวิชาพื้นฐานและเพิ่มเติมโดยเป็นวิชาพื้นฐาน 66 หน่วยกิต และ รายวิชาเพิ่มเติมตามที่สถานศึกษากำหนด (2) ผู้เรียนต้องได้หน่วยกิตตลอดหลักสูตรไม่น้อยกว่า 77 หน่วยกิต โดยเป็นรายวิชาพื้นฐาน 66 หน่วยกิต และรายวิชาเพิ่มเติมไม่น้อยกว่า 11 หน่วยกิต (3) ผู้เรียนมีผลการประเมิน การอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน ในระดับผ่าน เกณฑ์การ ประเมิน ตามที่สถานศึกษากำหนด (4) ผู้เรียนมีผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ในระดับผ่านเกณฑ์การประเมิน ตามที่สถานศึกษากำหนด (5) ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนและมีผลการประเมินผ่านเกณฑ์การประเมิน ตามที่สถานศึกษากำหนด 4. การจบระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 1) ผู้เรียนต้องได้หน่วยกิต ตลอดหลักสูตรไม่น้อยกว่า 77 หน่วยกิต โดยเป็น รายวิชาพื้นฐาน 41 หน่วยกิต และรายวิชาเพิ่มเติมไม่น้อยกว่า 36 หน่วยกิต 2) ผู้เรียนมีผลการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียนสื่อความ ในระดับผ่าน เกณฑ์การประเมินตามที่สถานศึกษากำหนด 3) ผู้เรียนมีผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ในระดับผ่านเกณฑ์การประเมิน ตามที่สถานศึกษากำหนด 4) ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนและมีผลการประเมินในระดับผ่านเกณฑ์ การประเมินตามที่สถานศึกษากำหนด 5. ผลการเรียนที่มีเงื่อนไข ผลการเรียนที่มีเงื่อนไข ได้แก่ ไม่มีสิทธิ์เข้ารับการประเมินผลปลายภาคในรหัสวิชา และรอการตัดสิน ให้ใช้ตัวอักษรระบุเงื่อนไขแสดงผลการเรียนประกอบด้วย 1. ตัวอักษรแสดงผลการเรียนแต่ละรายวิชาใน 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ “มส” หมายถึง ไม่มีสิทธิเข้ารับการประเมินผลปลายภาคเรียน โดยผู้เรียนที่มีเวลา เรียนไม่ถึงร้อยละ 80 ของเวลาเรียนในแต่ละรายวิชาและไม่ได้รับการผ่อนผันให้เข้ารับการวัดผลปลาย ภาคเรียน
“ร” หมายถึง รอผลการตัดสินและยังตัดสินไม่ได้ โดยผู้เรียนไม่มีข้อมูลผลการ เรียนรายวิชานั้นครบถ้วน เช่น ไม่ได้วัดผลกลางภาคเรียน/ปลายภาคเรียน ไม่ได้ส่งงานที่มอบหมาย ให้ทำซึ่งงานนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินผลการเรียน หรือมีเหตุสุดวิสัย ที่ทำให้ประเมินผลการ เรียนไม่ได้ 2. ตัวอักษรแสดงผลการเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน “ผ” หมายถึง ผ่านเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด “มผ” หมายถึง ไม่ผ่านเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด 6. การเปลี่ยนผลการเรียน “0” สถานศึกษาจัดให้มีการสอนซ่อมเสริมในตัวชี้วัดที่ผู้เรียนสอบไม่ผ่านก่อน แล้วจึงสอบแก้ตัว ให้และให้สอบแก้ตัวได้ไม่เกิน 2 ครั้ง ให้ดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในปีการศึกษานั้น ถ้าผู้เรียนไม่ดำเนินการสอบแก้ตัวตามระยะเวลาที่กำหนดไว้นี้ให้อยู่ในดุลยพินิจของ สถานศึกษาที่จะพิจารณาขยายเวลาออกไปอีกไม่เกิน 1 ภาคเรียน ถ้าสอบแก้ตัว 2 ครั้งแล้ว ยังได้ระดับผลการเรียน “0”อีก ให้สถานศึกษาแต่งตั้ง คณะกรรมการดำเนินการเกี่ยวกับการแก้ผลการเรียนของผู้เรียนโดยดำเนินการ 1. เรียนซ้ำรายวิชาถ้าเป็นรายวิชาพื้นฐาน 2. ให้เรียนซ้ำหรือเปลี่ยนรายวิชาเรียนใหม่ ถ้าเป็นรายวิชาเพิ่มเติมอยู่ในดุลยพินิจของ สถานศึกษา ในกรณีที่เปลี่ยนรายวิชาเรียนใหม่ ให้หมายเหตุในระเบียนแสดงผล การเรียนว่าเรียนแทนรายวิชาใด 7. การเปลี่ยนผลการเรียน “ร” การเปลี่ยนผลการเรียน “ร” มี 2 กรณีดังนี้ 1. มีเหตุสุดวิสัย ทำให้ประเมินผลการเรียนไม่ได้ เช่น เจ็บป่วย เมื่อผู้เรียนได้เข้าสอบ หรือส่งผลงานที่ติดค้างอยู่เสร็จเรียบร้อย หรือแก้ปัญหาเสร็จแล้ว ให้ได้ระดับผลการเรียนตามปกติ (ตั้งแต่ 0-4) 2. ถ้าสถานศึกษาพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่ใช่เหตุสุดวิสัย เมื่อผู้เรียนได้เข้าสอบ หรือ ส่งผลงานที่ติดค้างอยู่เสร็จเรียบร้อย หรือแก้ปัญหาเสร็จสิ้นแล้ว ให้ได้ระดับผลการเรียนไม่เกิน “1” ให้ดำเนินการเปลี่ยนผลการเรียน “ร” ให้เสร็จสิ้นภายในปีการศึกษานั้น ถ้าผู้เรียนไม่มา ดำเนินการแก้ “ร” ตามระยะเวลาที่กำหนด ให้ผู้เรียนซ้ำรายวิชา ยกเว้นมีเหตุสุดวิสัยให้อยู่ในดุลย พินิจของสถานศึกษาที่จะขยายเวลาการแก้ “ร” ออกไปอีกไม่เกิน 1 ภาคเรียน แต่เมื่อพ้น กำหนดนี้แล้ว ให้ปฏิบัติดังนี้ 1. ให้เรียนซ้ำรายวิชาถ้าเป็นรายวิชาพื้นฐาน 2. ให้เรียนซ้ำหรือเปลี่ยนรายวิชาเรียนใหม่ ถ้าเป็นรายวิชาเพิ่มเติมอยู่ในดุลยพินิจ ของสถานศึกษาในกรณีที่เปลี่ยนรายวิชาเรียนใหม่ให้หมายเหตุในระเบียนแสดงผลการเรียนว่าเรียน แทนรายวิชาใด 8. การเปลี่ยนผลการเรียน “มส” การเปลี่ยนผลการเรียน “มส” มี 2 กรณีดังนี้ 1. กรณีผู้เรียนได้ผลการเรียน “มส” เพราะมีเวลาเรียนไม่ถึงร้อยละ 80 แต่มีเวลา เรียนไม่น้อยกว่า 60 ของเวลาเรียนทั้งหมด ให้สถานศึกษาจัดให้เรียนเพิ่มเติมในชั่วโมงสอนซ่อม เสริมหรือเวลาว่าง หรือวันหยุด หรือมอบหมายงานให้ทำ จนมีเวลาเรียนครบตามที่กำหนดไว้
สำหรับรายวิชานั้นแล้วจึงให้สอบเป็นกรณีพิเศษ ผลการแก้“มส” ให้ได้รระดับผลการเรียนไม่เกิน “1” ดำเนินการให้เสร็จสิ้นในปีการศึกษานั้น ถ้าผู้เรียนไม่มาดำเนินการแก้ “มส” ตามระยะเวลาที่ กำหนดไว้นี้ให้เรียนซ้ำ ยกเว้นมีเหตุสุดวิสัยให้อยู่ในดุลยพินิจของสถานศึกษาที่จะขยายเวลาการแก้ “มส” ออกไปอีกไม่เกิน 1 ภาคเรียน แต่เมื่อพ้นกำหนดนี้แล้ว ให้ปฏิบัติดังนี้ 1. ให้เรียนซ้ำรายวิชาถ้าเป็นรายวิชาพื้นฐาน 2. ให้เรียนซ้ำหรือเปลี่ยนรายวิชาเรียนใหม่ ถ้าเป็นรายวิชาเพิ่มเติมอยู่ในดุลยพินิจ ของสถานศึกษา ในกรณีที่เปลี่ยนรายวิชาเรียนใหม่ ให้หมายเหตุในระเบียนแสดงผลการเรียนว่า เรียนแทนรายวิชาใด 3. กรณีผู้เรียนได้ผลการเรียน “มส” และมีเวลาเรียนน้อยกว่า ร้อยละ 60 ของเวลาเรียน ทั้งหมด ให้สถานศึกษาจัดให้เรียนซ้ำในรายวิชาพื้นฐานและรายวิชาเพิ่มเติม หรือเปลี่ยนรายวิชาใหม่ ได้สำหรับรายวิชาเพิ่มเติมเท่านั้น ในกรณีที่เปลี่ยนรายวิชาเรียนใหม่ ให้หมายเหตุในระเบียนแสดงผลการเรียนว่าเรียนแทน รายวิชาใด 9. การเปลี่ยนผลการเรียน “มผ” หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กำหนดให้ผู้เรียน เข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน 3 กิจกรรม คือ 1) กิจกรรมแนะแนว 2) กิจกรรมนักเรียน ซึ่งประกอบด้วย กิจกรรมลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด ผู้บำเพ็ญประโยชน์ หรือนักศึกษาวิชาทหาร โดยผู้เรียนเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง (1 กิจกรรมและ เลือกเข้าร่วมกิจกรรมชุมนุม หรือชมรมอีก 1 กิจกรรม) 3) กิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ ในกรณีที่ผู้เรียนได้ผลการเรียน “มผ” สถานศึกษาต้องจัดซ่อมเสริมให้ผู้เรียนทำ กิจกรรมจนครบตามเวลาที่กำหนดหรือปฎิบัติ กิจกรรมเพื่อพัฒนาคุณลักษณะที่ต้องปรับปรุง แก้ไข แล้วจึงเปลี่ยนผลการเรียนจาก “มผ” เป็น “ผ” ทั้งนี้ดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในปีการศึกษานั้น ยกเว้นมีเหตุสุดวิสัยให้อยู่ในดุลยพินิจของสถานศึกษา 10. การเลื่อนชั้น ผู้เรียนจะได้รับการตัดสินผลการเรียนทุกภาคเรียนและได้รับการเลื่อนชั้นเมื่อสิ้นปีการศึกษา โดยมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ดังนี้ 1. รายวิชาพื้นฐาน ได้รับการตัดสินผลการเรียนผ่านทุกวิชา 2. รายวิชาเพิ่มเติม ได้รับการตัดสินผลการเรียนผ่านตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด 3. ผู้เรียนได้รับการประเมินและมีผลการประเมินผ่านเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด ในการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียนคุณลักษณะอันพึงประสงค์และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน 4. ระดับผลการเรียนเฉลี่ยในปีการศึกษานั้นควรได้ไม่ต่ำกว่า 1.00 ทั้งนี้รายวิชาใดที่ไม่ผ่านเกณฑ์การประเมินสถานศึกษาจะซ่อมเสริมผู้เรียนให้ได้รับการแก้ไข ในภาคเรียนถัดไป
11. การเรียนซ้ำ กรณีที่ 1 เรียนซ้ำรายวิชา หากผู้เรียนได้รับการสอนซ่อมเสริมและสอบแก้ตัว 2 ครั้ง แล้วไม่ผ่านเกณฑ์การประเมินให้ เรียนซ้ำในวิชานั้น โดยจัดให้เรียนซ้ำในชั่วโมงว่างหลังเลิกเรียน กรณีที่ 2 เรียนซ้ำชั้น มี 2 ลักษณะคือ 1. ผู้เรียนมีระดับผลการเรียนเฉลี่ยในปีการศึกษานั้นต่ำกว่า 1.00 และมีแนวโน้มว่าจะเป็น ปัญหาต่อการเรียนในระดับสูงขึ้น 2. รู้เรียนมีผลการเรียน 0, ร, มส เกินครึ่งหนึ่งของวิชาที่ลงทะเบียนเรียนในปีการศึกษานั้น หากเกิดลักษณะใดลักษณะหนึ่งหรือทั้งสองลักษณะคณะกรรมการที่สถานศึกษาแต่งตั้งขึ้นจะเป็นผู้ พิจารณาหากเห็นว่าไม่มีเหตุผลอันสมควรก็ให้ซ้ำชั้น โดยยกเลิกผลการเรียนเดิมและให้ใช้ผลการเรียน ใหม่แทนหากพิจารณาแล้วไม่ต้องเรียนซ้ำชั้นสถานศึกษาจะทำการแก้ไขผลการเรียนตามแนวปฏิบัติที่ สถานศึกษาได้กำหนดไว้ 12. การสอนซ่อมเสริม การสอนซ่อมเสริมสามารถดำเนินการได้กรณีดังต่อไปนี้ 1. ผู้เรียนมีความรู้/ทักษะพื้นฐานไม่เพียงพอที่จะศึกษาในแต่ละรายวิชานั้น 2. การประเมินระหว่างเรียนผู้เรียนไม่สามารถแสดงความรู้ ทักษะกระบวนการหรือเจตคติ/ คุณลักษณะที่กำหนดไว้ตามมาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด 3. ผลการเรียนไม่ถึงเกณฑ์ และ/หรือต่ำกว่าเกณฑ์ การประเมินโดยผู้เรียนได้ระดับผลการ เรียน ” 0” ต้องจัดการสอนซ่อมเสริมก่อนจะให้ผู้เรียนสอบแก้ตัว 4.ผู้เรียนมีผลการเรียนไม่ผ่าน จะจัดสอนซ่อมเสริมในภาคฤดูร้อน การเทียบโอนผลการเรียน 1. การเตรียมเอกสารให้นักเรียนกรณีย้ายสถานศึกษา โรงเรียนต้องเตรียมเอกสารหลักฐานเอกสารทางการศึกษาดังนี้ 1. ปพ.1 2. ใบรับรองผลการเรียน 3. แบบรายงานประจำตัวนักเรียน 4. ใบรับรองเวลา 2. การตรวจสอบคุณสมบัติผู้เรียนกรณีรับย้าย 1. ตรวจสอบว่าผู้เรียนต้องไม่ติด 0 , ร , มผ , มส ในแต่ละภาคเรียน 2. ประเมินบางรายวิชาที่จำเป็นเพื่อตรวจสอบความรู้พื้นฐานเช่น วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ 3.กรณีย้ายระหว่างภาคเรียนซึ่งยังไม่ต้องตัดสินผลการเรียนให้นำผลการ ประเมินหน่วยการเรียนรู้และเวลาเรียนในแต่ละรายวิชาจากสถานศึกษาเดิมมาเทียบโอน 3. การพิจารณาการเทียบโอน สามารถดำเนินการได้ ดังนี้ 1. พิจารณาจากหลักฐานการศึกษา และเอกสารอื่น ๆ ที่ให้ข้อมูลแสดงความรู้ ความสามารถ ของผู้เรียน ( ปพ. 1) ระเบียนแสดงผลการเรียน แบบรายงานผลการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนรายบุคคล ระเบียนสะสม ใบรับรองผลการเรียน
2. พิจารณาจากความรู้ ความสามารถของผู้เรียนโดยการทดสอบด้วยวิธีการต่าง ๆ ทั้งภาค ความรู้และภาคปฏิบัติ 3. พิจารณาจากความสามารถและการปฏิบัติในสภาพจริงการเทียบโอนผลการเรียนให้เป็นไป ตาม ประกาศ หรือ แนวปฏิบัติ ของกระทรวงศึกษาธิการ เอกสารหลักฐานการศึกษา เอกสารหลักฐานการศึกษา เป็นเอกสารสำคัญที่บันทึกผลการเรียน ข้อมูลและสารสนเทศ ที่ เกี่ยวข้องกับพัฒนาการของผู้เรียนในด้านต่าง ๆ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1. เอกสารหลักฐานการศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด 1.1 ระเบียนแสดงผลการเรียน (ปพ.1) เป็นเอกสารแสดงผลการเรียนและรับรองผล การเรียนของผู้เรียนตามรายวิชา ผลการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน ผลการประเมิน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ของสถานศึกษา และผลการประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน สถานศึกษา จะต้องบันทึกข้อมูลและออกเอกสารนี้ให้ผู้เรียนเป็นรายบุคคล เมื่อผู้เรียนจบการศึกษาระดับ ประถมศึกษา (ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6) จบการศึกษาภาคบังคับ (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3) จบการศึกษา ขั้นพื้นฐาน (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6) หรือเมื่อลาออกจากสถานศึกษาในทุกกรณี ระเบียนผลการเรียนนำมาใช้ประโยชน์ดังนี้ - แสดงผลการเรียนของผู้เรียนตามโครงสร้างหลักสูตรสถานศึกษา - รับรองผลการเรียนของผู้เรียนตามข้อมูลที่บันทึกในเอกสาร - ตรวจสอบผลการเรียนและวุฒิการศึกษาของผู้เรียน - ใช้เป็นหลักฐานการศึกษาเพื่อสมัครเข้าศึกษาต่อ สมัครงาน หรือขอรับสิทธิประโยชน์อื่นใด ที่พึงมีพึงได้ตามวุฒิการศึกษานั้น 1.2 ประกาศนียบัตร (ปพ.2) เป็นเอกสารแสดงวุฒิการศึกษาเพื่อรับรองศักดิ์และ สิทธิ์ของผู้จบการศึกษา ที่สถานศึกษาให้ไว้แก่ผู้จบการศึกษาภาคบังคับ (มัธยมศึกษาปีที่ 3) และผู้จบ การศึกษาขั้นพื้นฐานตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน (มัธยมศึกษาปีที่ 6) ประกาศนียบัตร (ปพ.2) ใช้เป็นหลักฐานแสดงและตรวจสอบวุฒิการศึกษา เพื่อสมัครเข้า ศึกษาต่อ สมัครงาน หรือขอรับสิทธิประโยชน์อื่นใดที่พึงมีพึงได้ตามวุฒิการศึกษานั้น 1.3 แบบรายงานผู้สำเร็จการศึกษา (ปพ.3) เป็นเอกสารอนุมัติการจบหลักสูตรโดย บันทึกรายชื่อและข้อมูลของผู้จบการศึกษาระดับประถมศึกษา (ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3) ผู้จบ การศึกษาภาคบังคับ (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3) และผู้จบการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6) แบบรายงานผู้สำเร็จการศึกษา (ปพ.3) นำไปใช้ประโยชน์ดังนี้ - ใช้ตัดสินและอนุมัติผลการเรียนของผู้เรียน - แสดงรายชื่อผู้จบหลักสูตรแกนกลางการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานแต่ละระดับการศึกษาที่ ได้รับการรับรองวุฒิ - ใช้สำหรับตรวจสอบ ค้นหา พิสูจน์ ยืนยันและรับรองวุฒิการศึกษา หรือผลการศึกษาของผู้ จบหลักสูตรการศึกษา
2. เอกสารหลักฐานการศึกษาที่สถานศึกษากำหนด เอกสารหลักฐานการศึกษาที่สถานศึกษากำหนด เป็นเอกสารที่จัดทำขึ้นเพื่อบันทึก พัฒนาการ ผลการเรียนรู้ และข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับผู้เรียน เช่น แบบบันทึกผลการเรียนประจำ รายวิชา แบบรายงานประจำตัวนักเรียน ระเบียนสะสม ใบรับรองผลการเรียน และเอกสารอื่น ๆ ตามวัตถุประสงค์ของการนำเอกสารไปใช้ดังนี้ 2.1) แบบบันทึกผลการเรียนประจำรายวิชา (ปพ.5) (ปถ.05) เป็นเอกสารที่สถานศึกษาจัดทำขึ้น เพื่อให้ครูผู้สอนใช้บันทึกพัฒนาการ ผลการ เรียนรู้ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน สำหรับการพิจารณาตัดสินผลการเรียนแต่ละรายวิชาเป็นรายห้องเรียน เอกสารบันทึกผลการเรียนประจำรายวิชา นำไปใช้ประโยชน์ ดังนี้ - ใช้บันทึกพัฒนาการ ผลการเรียนรู้ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ การอ่าน คิด วิเคราะห์และเขียน และผลการประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนของผู้เรียนแต่ละรายวิชา - ใช้เป็นหลักฐานสำหรับตรวจสอบ รายงาน และรับรองข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการ และผลการเรียนรู้ของผู้เรียน 2.2 ) แบบรายงานประจำตัวนักเรียน (ปพ.6) (ปถ.06) เป็นเอกสารที่สถานศึกษาจัดทำขึ้นเพื่อบันทึกข้อมูลผลการเรียนรายวิชา และ พัฒนาการด้านต่าง ๆ ของผู้เรียนแต่ละคน ตามเกณฑ์การตัดสินการผ่านระดับชั้นของหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน รวมทั้งข้อมูลด้านอื่น ๆ ของผู้เรียนที่บ้านและสถานศึกษา โดยจัดทำ เป็นเอกสารรายบุคคล เพื่อใช้สำหรับสื่อสารให้ผู้ปกครองของผู้เรียนแต่ละคนได้รับทราบผลการเรียน และพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง แบบรายงานประจำตัวนักเรียน นำไปใช้ประโยชน์ ดังนี้ - รายงานผลการเรียน ความประพฤติ และพัฒนาการของผู้เรียนให้ผู้ปกครองได้รับทราบ - ใช้เป็นเอกสารสื่อสาร ประสานงาน เพื่อความร่วมมือในการพัฒนาและปรับปรุงแก้ไขผู้เรียน - เป็นเอกสารหลักฐานสำหรับตรวจสอบ ยืนยัน และรับรองผลการเรียนและพัฒนาการต่างๆ ของผู้เรียน 2.3) ใบรับรองผลการเรียน (ปพ.7) (ปถ.07) เป็นเอกสารที่สถานศึกษาจัดทำขึ้น เพื่อใช้เป็นเอกสารสำหรับรับรองความเป็น นักเรียนหรือผลการเรียนของผู้เรียนเป็นการชั่วคราวตามที่ผู้เรียนร้องขอ ทั้งกรณีที่ผู้เรียนกำลังศึกษา อยู่ในสถานศึกษาและเมื่อจบการศึกษาไปแล้ว ใบรับรองผลการเรียนนำไปใช้ประโยชน์ ดังนี้ - รับรองความเป็นนักเรียนของสถานศึกษาที่เรียนหรือเคยเรียน - รับรองและแสดงความรู้ วุฒิการศึกษาของผู้เรียน - ใช้เป็นหลักฐานแสดงคุณสมบัติของผู้เรียนในการสมัครเข้าศึกษาต่อ สมัครเข้าทำงาน หรือเมื่อมีกรณีอื่นใดที่ผู้เรียนแสดงคุณสมบัติเกี่ยวกับวุฒิความรู้ หรือสถานการณ์เป็นผู้เรียนของตน - เป็นหลักฐานสำหรับการตรวจสอบ รับรอง ยืนยันการใช้สิทธิ์ความเป็นผู้เรียน หรือการได้รับการรับรองจากสถานศึกษา
2.4) ระเบียนสะสม (ปพ.8) (ปถ.08) เป็นเอกสารที่สถานศึกษาจัดทำขึ้นเพื่อบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการของผู้เรียนใน ด้านต่าง ๆ เป็นรายบุคคล โดยจะบันทึกข้อมูลของผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง ตลอดช่วงระยะเวลา การศึกษาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 12 ปี ระเบียนสะสม สามารถนำไปใช้ประโยชน์ดังนี้ - ใช้เป็นข้อมูลในการแนะแนวทางการศึกษาและการประกอบอาชีพของผู้เรียน - ใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนาปรับปรุงบุคลิกภาพ ผลการเรียนและการปรับตัวของผู้เรียน - ใช้ติดต่อสื่อสาร รายงานพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนระหว่างสถานศึกษากับผู้ปกครอง - ใช้เป็นหลักฐานสำหรับการตรวจสอบ รับรอง และยืนยันคุณสมบัติของผู้เรียน
ภาคผนวก
คำสั่งโรงเรียนบ้านใหญ่พิทยาคม ที่ 124 /2566 เรื่อง แต่งตั้งบุคลากรปฏิบัติหน้าที่โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะ ---------------------------------------------------------------------------- ด้วยโรงเรียนบ้านใหญ่พิทยาคม อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา สังกัดองค์การ บริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา ได้จัดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะ พ.ศ.2566 ตามหลักสูตรแกนกลางขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ประจำปี งบประมาณ 2566 เพื่อให้การดำเนินงานเกิดความเรียบร้อยและบรรลุตามวัตถุประสงค์ จึงอาศัย อำนาจคำสั่งองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา ที่ 6039/2565 เรื่องมอบอำนาจให้ผู้อำนวยการ สถานศึกษามีอำนาจดำเนินการโครงการหรือกิจกรรมของสถานศึกษา ลงวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2565 จึงขอแต่งตั้งบุคลากรปฏิบัติหน้าที่ดำเนินงานดังนี้ 1. คณะกรรมการอำนวยการ ประกอบด้วย 1.1 นายสุริยศักดิ์ ศิลป์บุญประกอบ ผู้อำนวยการสถานศึกษา ประธานกรรมการ 1.2 นายชัยมงคล ศรีนวล รองผู้อำนวยการสถานศึกษา รองประธานกรรมการ 1.3 นายนิพนธ์ ซาสำโรง หัวหน้าฝ่ายบริหารส่งเสริมและบริการ กรรมการ 1.4 นายภิญโญ แก้วชูทอง หัวหน้าฝ่ายบริหารกิจการนักเรียน กรรมการ 1.5 นายทนงศักดิ์ หวานกระโทก หัวหน้าฝ่ายบริหารทั่วไป กรรมการ 1.6 นายนิกรม หมอจิตร หัวหน้าฝ่ายบริหารวิชาการ กรรมการ และเลขา หน้าที่ เป็นที่ปรึกษา แนะนำ และติดตาม ประสานงานเพื่อให้เกิดความเรียบร้อย 2. คณะกรรมการดำเนินงาน ประกอบด้วย 2.1 นายนิกรม หมอจิตร ครู ประธานกรรมการ 2.2 นางสาวนงภัส ประสมทรัพย์ ครู กรรมการ 2.3 นางเสาวณีย์ อุตสังข์ ครู กรรมการ 2.4 นายประเสริฐ กลอนครุบรี ครู กรรมการ 2.5 นายนเรศ รังพงษ์ ครู กรรมการ 2.6 นางสาวสยามล ยานิพันธ์ ครู กรรมการ หน้าที่ มีหน้าที่ติดต่อประสานงานกับคณะกรรมการฝ่ายต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความเรียบร้อย 3. คณะกรรมการฝ่ายจัดปรับปรุงหลักสูตร ประกอบด้วย 3.1 นางเสาวณีย์อุตสังข์ ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย 3.2 นายภิญโญ แก้วชูทอง ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ 3.3 นายทนงศักดิ์ หวานกระโทก ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ 3.4 นายจรุณ แฝงกระโทก ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี 3.5 นายนเรศ รังพงษ์ ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 3.6 นางสาวกมลวรรณ วิพรรณะ ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
3.7 นางสาวชลธิดา พุฒสระน้อย ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 3.8 นางสาวธันยชนก แก้วอำไพ ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาฯ 3.9 นายนิกรม หมอจิตร ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาฯ 3.10 นายสุชาติ พรมสุรินทร์ ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาฯ 3.11 นายศุกขกฤษณ์ วิเชียร ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาฯ 3.12 นายเอกภพ แป้นขำ ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ 3.13 นายประเสริฐ กลอนครบุรี ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ 3.14 นางอรุนณี กินกิ่ง ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานฯ 3.15 นายธีรพร เดชะเวทย์วิเศษ ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานฯ 3.16 นายนิพนธ์ ซาสำโรง ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานฯ 3.17 นายนิพนธ์ พันธุ์โคกกรวด ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานฯ 3.18 นางสาวนงนภัส ประสมทรัพย์ ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ 3.19 นางสาวสยามล ยานิพันธ์ ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ 3.20 นายนฤพงษ์ ฉูดกระโทก ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาฯ 3.21 นาย นักศึกษาฝึกสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาฯ 3.22 นางสาว นักศึกษาฝึกสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาฯ มีหน้าที่ เข้ารับการอบรมตามโครงการและปรับปรุงหลักสูตรให้เรียบร้อย 4. คณะกรรมการฝ่ายปฏิคม ประกอบด้วย 4.1 นางอรุนณี กินกิ่ง ครู ประธานกรรมการ 4.2 นางธันยชนก แก้วอำไพ ครู กรรมการ 4.3 นางสาวนวลจันทร์ ปักสูงเนิน พนักงานจ้าง กรรมการ 4.4 นายไพรัช สินทมครบุรี พนักงานจ้าง กรรมการ 4.5 นายสมพงษ์ ชื่นกระโทก พนักงานจ้าง กรรมการ มีหน้าที่ บริการ/น้ำดื่ม/คณะครูผู้เข้ารับการอบรม 5. คณะกรรมการฝ่ายบันทึกภาพ ประกอบด้วย 5.1 นายประเสริฐ กลอนครบุรี ครู ประธานกรรมการ 5.2 นายสุชาติ พรมสุรินทร์ ครู กรรมการ มีหน้าที่ ถ่ายภาพและบันทึกภาพตลอดการจัดกิจกรรมให้เรียบร้อย 6. คณะกรรมการฝ่ายการเงินและพัสดุ ประกอบด้วย 6.1 นายภิญโญ แก้วชูทอง ครู ประธานกรรมการ 6.2 นายเอกภพ แป้นขำ ครู กรรมการ 6.3 นางสาวประภัสสร กากิ่ง ผู้ช่วยเจ้าหน้าที่การเงินและบัญชี กรรมการ มีหน้าที่ จัดทำหลักฐานบัญชีเบิกเงินตามกิจกรรมให้เรียบร้อย 7. คณะกรรมการฝ่ายประเมินผล ประกอบด้วย 7.1 นายจรุณ แฝงกระโทก ครู ประธานกรรมการ 7.2 นางสาวสยามล ยานิพันธ์ ครู กรรมการ หน้าที่ จัดเตรียมเอกสารแบบสอบถามในการประเมินกิจกรรมพร้อมทั้งสรุปและ รายงานผลให้ คณะกรรมการดำเนินสรุปรายงานผลการปฏิบัติให้ทราบต่อไป
ทั้งนี้ให้บุคลากรที่ได้รับการแต่งตั้ง ปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้เกิดประโยชน์สูงสุด บรรลุผลตามวัตถุประสงค์ของทางราชการ สั่ง ณ วันที่ 7 มิถุนายน 2566 (นายสุริยศักดิ์ ศิลป์บุญประกอบ) ผู้อำนวยการสถานศึกษาโรงเรียนบ้านใหญ่พิทยาคม
คณะที่ปรึกษา 1. นายสุริยศักดิ์ ศิลป์บุญประกอบ ตำแหน่ง ผู้อำนวยการสถานศึกษา 2. นายชัยมงคล ศรีนวล ตำแหน่ง รองผู้อำนวยการสถานศึกษา 3. นายนิพนธ์ ซาสำโรง ตำแหน่ง ครู หัวหน้าฝ่ายบริหารส่งเสริมและบริการ 4. นายภิญโญ แก้วชูทอง ตำแหน่ง ครู หัวหน้าฝ่ายบริหารกิจการนักเรียน 5. นายทนงศักดิ์ หวานกระโทก ตำแหน่ง ครู หัวหน้าฝ่ายบริหารทั่วไป 6. นายนิกรม หมอจิตร ตำแหน่ง ครู หัวหน้าฝ่ายบริหารวิชาการ คณะผู้จัดทำ 1. นางเสาวณีย์ อุตสังข์ หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย 2. นายภิญโญ แก้วชูทอง หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ 3. นางสาวกมลวรรณ วิพรรณ หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 4. นายนิกรม หมอจิตร หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาฯ 5. นายศุกขกฤษ์ วิเชียร หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษา 6. นายเอกภพ แป้งขำ หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ 7. นายนิพนธ์ ซาสำโรง หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ 8. นางสาวนงนภัส ประสมทรัพย์ หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ