89
การวิเคราะห์ตานาน – นิทานพ้ืนบ้านว่า เป็นการเปิดโลกจินตนาการให้แก่ผู้ฟัง ซึ่งผู้ฟังต้องทิ้งโลกแห่ง
ความเป็นจริงไว้ช่ัวคราว หากนักเล่านิทานที่ชอบการเดินทางท่องเท่ียว มักผนวกเอาสถานท่ีต่างๆ ที่ผู้
เล่าเรื่องมีประสบการณ์ ถ่ายทอดเพ่ิมเติมลงไปด้วย ในประเพณีการถ่ายทอดด้วยการเล่า( oral
transmission) สานวนของนิทานย่อมขึ้นอยู่กับผู้เลา่ เรือ่ ง (ศิราพร ณ ถลาง. 2552 : 144 - 146)
การเปิดประเด็นพื้นท่ีทางจิตวิญญาณของวรรณกรรมท้ังสองเร่ือง คือการ
ถา่ ยทอดเรือ่ งของพื้นท่ี ท่ีเป็นจนิ ตนาการ เป็นเรื่องของจิตวิญญาณ โลกลีล้ ับ โลกหลังมีชีวติ หรือโลกแห่ง
ความตาย ฯลฯ ซึ่งในเนอื้ หาปรากฏในวรรณกรรมเร่ืองพ้ืนเวียงหรือพื้นเมือง วรรณกรรมได้กล่าวถึงเรอ่ื ง
ตานานผู้มีบุญจะมาเกิดบนโลก คือพระยาธรรมิกราช โดยมีการทานายว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นก่อน
จากนั้นพระยาธรรมิกราชจะมาเกิดบนโลกและเผยแพร่คาสอน ใครที่ไม่ตงั้ ม่ันในหลักศลี ธรรม ไม่เช่ือฟัง
วรรณกรรมเรอ่ื งนี้ กจ็ ะพบกับโรคภยั ต่าง ๆ โดยหลักคาสอนน้ันกลา่ ววา่ ใครท่ไี ม่เคารพพ่อแม่ครอู าจารย์
ภรรยาไม่ยาเกรงปฏิบัติหน้าที่ท่ีดี ไม่ยาเกรงสามี พ่อค้าแม่ค้าโกงตาชั่ง เจ้าหนี้ผู้ไม่สงสารลูกหน้ีคอย
รังแกเอาเปรียบ ผู้ปกครองที่ไม่ปฏิบัติตนไม่มีความเป็นธรรมในการปกครอง พระภิกษุ นักบวชผู้ไม่
ประพฤตติ นให้เหมาะสมกับเพศสมณะ เมอ่ื ตายไปจะไปเกิดในดินแดนทม่ี ีแตค่ วามทุกขท์ รมาน กลุ่มชนที่
ไม่เช่ือถือวรรณกรรมคาสอนนี้จะเกดิ มีผีร้าย ยักษ์ใหญ่เข้ามากัดกินผู้คนในเมือง บ้านเมืองจะเกิดโรคภัย
ไข้ระบาด เกิดศึกสงครามทาให้ผู้คนล้มตายเป็นจานวนมาก ซ่ึงเน้ือหาแสดงพ้ืนท่ีทางจิตวิญญาณดัง
ตัวอย่างขอ้ ความในวรรณกรรมเรอ่ื งพนื้ เวียงหรอื พืน้ เมอื ง ตวั อยา่ งตอ่ ไปนี้
“ผู้ใดบเ่ ชอื่ บ่ฟงั ยังวตั ถุพน้ื เมอื งอันน้ี...(ลานที่ 5 หนา้ 2)
อันว่าคนทง้ั หลายซ้ือของให้แกก่ นั ตดิ น้า่ หนักตาบ่พอฮ้อยก็ว่าตาพอฮอ้ ย ตาบ่
พอพันก็ว่าตาพอพัน ตาบ่พอชงั่ ก็วา่ ตาพอชัง่ ผูห้ ลกั ก็ได้ ผูใ้ บ้กห็ ลุบ ผจี ักเอาคอ้ นเหลก็ มาตหี วั คนพวก
บาปซ้อื ขายบเ่ ซื่องนั้นใหแ้ ตกเป็น 7 เสีย่ ง (ลานท่ี 6 หนา้ 1)...
ลกู เกิดมาก็บ่ฟงั คา่ พ่อแม่ ตายจากชาตินกี้ ไ็ ดเ้ อาไปตกนรกอเวจีแฮง้ กาหมาสบ
เหลก็ สบทองจิกกัด ประการ 1 นัน้ เหล็กแดงเกิดกลางหวั มันอยู่ บท่ อ่ แต่นนั้ บังเกิดเปน็ หนอนเจาะตา
เจาะปากเป็นทุกขเวทนามากนกั (ลาน 6 หนา้ 2)
ท้าวพระยาเมืองใดทสราชคองธรรมบเ่ ทยี่ ง..คนท้งั หลายปลูกกนิ สร้างกินอนั ใด
ก็บ่อุดมแล จกั เกิดพยาธิสารพัดตา่ งๆ แก่คนฝูงบาปนั้นแล เม่อื จักกินคน ฟ้าจกั ผา่ คนทงั้ หลาย ฝนหอก
90
ดาบจักตกลงมาถืกคนทั้งหลาย จักเกดิ เปน็ ไอไข้ฮ้อนไข้หนาว เจ็บหัวมวั ตา เจ็บท้องมูกท้องเลอื ด เปน็ ตุ่ม
เปน็ พอง เปน็ พยาธิสารพัดต่างๆ (ลานที่ 7 หนา้ 1)
เขาตเิ ตียนชาวเจา้ ภิกขจุ งิ่ เป็นบาปแก่คนท้งั หลาย แมน้ ว่าเขาปลกู พีชชะอันใด
กบ็ อ่ ดุ ม เพราะว่าเขาประมาทคุณแกว้ 3 ประการ แม้นวา่ เขาเล้ียงสัตว์กบ็ แ่ ผ่ ไดล้ ูกเกดิ มาก็บป่ ระกอบ
เป็นลกู บ่ฟงั คา่ พ่อแม่สงั่ สอน ฆา่ ฟนั กนั มาก อนั วา่ ฝนตกลมมายามนัน้ ผีป่าใหญ่กจ็ กั มากินคนทง้ั หลาย
ดว้ ยเขาบ่ยา่ พ่อแม่ครูบาอาจารย์แลเฒ่าแกแ่ ลแกว้ ทัง้ 3 แลบ่ย่าพระศาสนา อนั เป็นลูกศิษย์พระเจ้า แลบ่
ย่าคา่ สอนแห่งกูอนิ ทาธริ าชน้ี ผีหวั หลวงแลผมี เหศกั ด์ทิ ั้งหลายก็จกั ออกมากินคนท้ังหลายซะแล... (ลานท่ี
7 หนา้ 2)
จากตัวบทท่ียกมานั้นมีการนาเสนอเน้ือหาทั้งรูปแบบกลวิธีการนาเสนอ การ
โน้มน้าว ปลุก ปลอบ และบอกถึงผลของการไม่เชื่อฟัง เพื่อเป็นการปรามให้รู้ว่าผลของการไม่เชื่อถือ
เชื่อฟังจะมีผลตามมาอย่างไร วรรณกรรมดังกล่าว ซ่ึงต่อมามีกลุ่มผู้ท่ีอ้างตนเป็นพระยาธรรมมิกราชได้
นาไปใช้เป็นเครื่องมือต่อต้านการปกครองจากผู้ปกครอง จนมีผู้คนรวมถึงข้าราชการในท้องถิ่นหลงเช่ือ
ต้องอาศัยกาลังพลจากรัฐส่วนกลาง หรือกลุ่มผู้ปกครองจากเมืองหลวงในเวลานั้น เข้ามาปราบปรามทา
ใหม้ ีผู้คนลม้ ตายเป็นจานวนมาก
การเปิดประเด็นพ้ืนทท่ี างจิตวิญญาณ หากจากดั ความหมายว่า หมายถึง พ้นื ท่ี
โลกลี้ลับ โลกหลังมชี ีวติ หรอื โลกแห่งความตาย ฯลฯ ซง่ึ ในเนื้อหาปรากฏในวรรณกรรมเรื่องพ้ืนเวียงหรือ
พ้ืนเมือง คณะผู้วิจัยได้ถอดความหมาย เนื้อหาท่ีกล่าวถึงน้ัน คือคนที่ไม่ต้ังมั่นอยู่ในหักศีลธรรม พ่อค้า
แม่ค้าผู้โกงตาชั่ง เม่ือตายไปสู่ปรโลก ก็จะพบกับพ้ืนที่แห่งผีร้ายเอาค้อนมาทุบหัวแตกเป็นเส่ียง ๆ ลูกผู้
ไม่เช่ือฟงั ไม่กตัญญูรู้คณุ พ่อแม่ เมื่อตายไปก็จะไปบังเกิดในพื้นทแี่ ห่งความทรมาน ชื่อว่า นรกอเวจี มีตัว
แร้ง มีสุนัขฟันทองขบกัด บังเกิดกงจักรเกิดข้ึนกลางหัว มีหนอนชอนไชอยู่ท่ีตา ได้รับทุกขเวทนาอย่าง
แสนสาหัสจนกว่าจะส้ินกรรมท่ีทาไว้ กษัตริย์ผู้ไม่ต้ังอยู่ในหลักทศพิธราชธรรม ในการปกครองบ้านเมือง
จะทาใหบ้ า้ นเมืองอดอยาก ฟ้าฝนไม่ตกต้องตามฤดกู าล เกิดโรคระบาด เกิดมีฝนหอกฝนดาบตกลงมาฆ่า
ผู้คน ประชาชนในเมืองกจ็ ะเกิดเจ็บหวั มวั ตา เจ็บทอ้ ง ไข้ลงท้อง ปัจจุบนั เรียกวา่ อหวิ าตกโรค หรอื โรค
ห่า โรคท้องร่วง มีอาการอาเจียน ท้องร่วง เป็นหลัก เป็นโรคระบาด สมัยก่อนหากเกิดขึ้นกับเมืองใด
ผูค้ นจะล้มตายเป็นจานวนมาก ผู้ใดติเตียนพระภกิ ษุผปู้ ระพฤติดี ประพฤติชอบ เมือ่ ตายกจ็ ะไปบงั เกิดใน
ดนิ แดนนรกได้รบั ความทุกข์ ทรมาน
91
จากที่กล่าวมาในเร่ืองของการวิเคราะห์เนื้อหาพื้นที่จิตวิญญาณ ปรากฏใน
เน้ือหาจากการถอดความหมายทางวัฒนธรรม พบว่าพ้ืนท่ีทางจิตวิญญาณที่ปรากฏนั้นจะเป็นไปใน
รูปแบบของการแสดงให้เห็นถึงจินตนาการ เพ่ือให้ผู้คนท่ีได้รับฟังเรื่องเล่า เชื่อถือและเกิดความ
หวาดกลวั ไม่กล้าโต้แย้ง ผลที่ไดจ้ ากการใชเ้ ปน็ เครอื่ งมอื ในการใช้เรอื่ งเลา่ นั้น กลบั ถูกนามาเปน็ เคร่ืองมือ
ในการควบคุมพฤติกรรมของคนในท้องถ่ินให้มีความเช่ือถือและปฏิบัติตาม การประกอบสร้างทาง
วัฒนธรรมโดยใช้วรรณกรรมท้องถ่ินเป็นเคร่ืองมือ ยังสะท้อนเรื่องของการจัดการทางวัฒนธรรม และ
แนวคิดของวัฒนธรรมลุ่มแม่น้าโขงคนในท้องถ่ิน การนาเร่ืองของผู้มีบุญมาโปรด หรือนาเสนอภาพของ
วีรบุรุษทางวัฒนธรรม (Culture Hero) สะท้อนให้เห็นถึงระบบการกดขี่ข่มเหงของชนชั้นปกครอง ท่ี
อาศัยอานาจรัฐจากส่วนกลาง เข้ามาที่พยายามขูดนาทาเร้น เอาภาษีจากคนในท้องถ่ิน จากตัวบท
ประพันธ์ ปรากฏพ้ืนที่ทางจิตวิญญาณอีกอย่าง คือการประดิษฐ์สร้างพื้นท่ี ท่ีเป็นลักษณะของโรค ภัย
และยักษ์ สัตว์ ร้ายที่คอยออกมาทาร้ายผู้คนและผู้ท่ีไม่เช่ือฟังผู้มีบุญ ดังบทในเรื่องพ้ืนเมืองซายฟอง
ดังต่อไปนี้
“จกั เป็นโพยภัยหลายประการตา่ งๆ กม็ ีแก่คนท้ังหลายหาสุขส่าราญบานใจบ่
ได้ จักเกิดโพยภัย 3 ประการ ทุพภิกขาอนั 1 คือวา่ อดึ ข้าว อัน 1 คือวา่ ผตี ัวฮ้าย อัน 1 คือว่า โพยภยั อน
ตายตา่ งๆ มีแกค่ นทง้ั หลายมากนกั ยักขาคนั ธรรพทั้งหลายตวั มนั ใหญ่บงั เกดิ เป็นไข้ป่วยไข้หามแกค่ น
ท้ังหลายทั้งเมืองกม็ แี ล ยักษ์ตัว 1 มนั กระท่าใหเ้ ป็นไค่เปน็ พองเป็นบาดเปน็ ฝเี จบ็ ปวดเวทนามากยิ่งนักก็
มีแล ยกั ษต์ วั 1 มันกระท่าใหเ้ ปน็ เสือควายชนแข้ขบแลเงือกกินตายด้วยประสตู ลิ ูกแกผ่ ู้...... (ลานท่ี 4
หน้า 1) ........หญงิ ทัง้ หลาย ยกั ษ์ตัว 1 ใหญ่มนั ใหบ้ งั เกิดเป็นทอ้ งขี้ฮากตากหงายแลลงเลือดลงมกู ให้
ล่าบากมากนักก็มีแล ยงั มยี ักษ์ตวั 1 มันกระท่าใหเ้ ป็นเหตุชื่อว่ายักษ์คะลาด มากนิ คา่ ป้อยค่าดา่ คน
ทง้ั หลายดา่ วา่ ให้มึงตายเนอ ว่าดังนัน้ ก็ตายแท้ ว่าให้เสือขบมึงเนอ เสือก็กินแท้ ว่าใหผ้ หี ูงผหี ่ากินมึงเนอ
ว่าดงั นน้ั ก็กินแทแ้ ล(ลานท่ี 4 หน้า 2)”
จากการศึกษาหากมองในมุมของประวัติศาสตร์ จะเห็นได้ว่าวรรณกรรมเร่ือง
ซายฟอง และพื้นเมือง หรือพ้ืนเวียง มลี ักษณะของความเป็นจดหมายลูกโซ่ ห้ามเผยแพร่ในที่สาธารณะ
หากแต่เป็นเร่ืองเล่าทถ่ี ูกเผยแพร่อยู่ในทอ้ งถนิ่ เปน็ จดหมายท่สี บื ทอดหรอื เร่อื งเลา่ ของคนในพ้นื ที่เท่านั้น
การจากดั พืน้ ที่ดังกล่าว เป็นผลมาจากการใช้เป็นเคร่ืองมือในการต่อต้านการปกครองจากผู้ปกครองจาก
ส่วนกลาง ซึ่งหากนาไปเปรียบเทียบกับวรรณกรรมเชิงพุทธศาสนาเร่ืองอ่ืน ๆ จะเน้นเพ่ือรักษาความ
92
ประพฤติ ควบคุมพฤติกรรมของผู้คนในสังคมให้เกิดความสงบสุข เกิดความเรียบร้อยสามัคคีในชุมชน
แต่เมื่อวัตถุประสงค์หรือเง่ือนไขของการเผยแพร่วรรณกรรมเปลี่ยนไป แทนท่ีจะเน้นให้สังคมเกิดความ
สงบสุข แต่เน้นให้เช่ือฟังและเช่ือถือคาสอนของผู้มีบุญแทน จึงกลายเป็นการสร้างพ้ืนที่ทางจิตวิญญาณ
มาทับซ้อนกับพื้นท่ีจริง ให้ประดุจว่า ผู้ใดไม่เชื่อถือ เชื่อฟังก็จะไปสู่ดินแดนแห่งความทุกข์ ได้รับความ
ทรมานจากการกระทาท่ีไม่เช่ือถอื ลบหลู่ในคาสอนนั้น พ้ืนที่ที่ถูกสร้างข้นึ จากจินตนาการ ทาให้ผูค้ นเกิด
การหลงเชอ่ื อันเป็นทมี่ าของการประดิษฐ์สร้างความหมายทางวัฒนธรรมความขัดแย้งขึ้นระหว่างคนใน
ท้องถ่ินกับชนชั้นปกครอง สร้างกระแสการต่อต้านอานาจรัฐท่ีเข้ามาปกครองท้องถิ่นในสมัยน้ัน ที่รู้จัก
กันในนาม “ดินแดนแห่งผีบาปผบี ญุ ” หรอื “กบฏผบี ญุ /กบฏผู้มบี ุญ” น่นั เอง
3) พ้ืนท่ีในอดุ มคติ (Utopias)
พื้นท่ีในอุดมคติ ในความหมายที่อธิบายข้างต้น เป็นพื้นที่ ท่ีไม่มีอยู่
จริง เป็นพื้นที่ในจินตนาการ เป็นพนื้ ที่ ที่ผู้คนแสวงหา พ้ืนที่ในอดุ มคติ นักวิชาการสายวรรณกรรมมงุ่ ไป
ท่ีพื้นท่ี ท่ีเต็มไปด้วยความสุข เป็นพื้นที่ ที่ผู้คนแสวงหา อาจเรียกอีกอย่างว่า “ยูโทเปีย” (Utopia)
หมายถึง แดนแดนที่ไม่มีอยู่จริง ในวรรณกรรมท้ังสองเรื่องท่ีได้ถูกนามาปริวรรต คือ พื้นเวียงและซาย
ฟอง มกี ารกล่าวถึง พ้ืนที่ของอดุ มคติไว้หลายพื้นท่ี หลายตอน เช่น ป่าหิมพานต์ ดอยดอยปู่เจ้าเขาหลวง
เมืองผาง, เมืองอัน, เมืองหมาน ฯลฯ ซึ่งคณะผู้วิจัยพยายาม สืบค้นทางด้านประวัติศาสตร์ ที่จะมา
เทียบเคียงหรือเป็นหลักฐานและยืนยันได้ว่าอยู่ท่ีใด ก็ไม่ทราบหลักฐานแน่ชัดว่ามีเมืองที่ถูกเอ่ยมาอย่าง
ชัดเจน จึงอนุมานได้ว่าเน่ืองจาก ทั้งสองเร่ือง เป็นเรื่องเล่าแบบมุขปาฐะ เผยแพร่จากคาบอกเล่า ก่อน
จะถูกถ่ายทอดเป็นลายลักษณ์อักษรลงในคัมภีร์ใบลานท่ีทาการปริวรรตเป็นฉบับภาษาไทย พ้ืนท่ีหรือ
สถานท่ี ช่ือบ้าน นามเมืองท่ีปรากฏ อาจเกดิ จากตัวผเู้ ล่าได้ประดิษฐ์ข้นึ หรือเกดิ โดยประสบการณ์ของผู้
เลา่ เป็นสาคัญ ซ่ึงคณะผู้วิจัยเองก็มไิ ด้มุ่งเน้นความเป็นจริงทางดา้ นประวัติศาสตร์ จงึ ไม่ได้ให้ความสาคัญ
กับข้อมลู ชุดนม้ี ากนัก สาหรบั ชุดข้อมลู ท่คี ณะผู้วิจัยใหค้ วามสาคญั คือการสร้างความหมายทางวฒั นธรรม
และจุดประสงคข์ องการประดิษฐส์ ร้างชุดความรู้ หรือเจตนาของกวีผู้นิพนธม์ ากกวา่
สาหรับประเด็นของพื้นที่อุดมคติท่ีปรากฏในวรรณกรรมเร่ือง
พ้ืนเมืองหรือพ้ืนเวียง ในหัวข้อที่ผ่านมาคณะผู้วิจัยให้รายละเอียดเกี่ยวกับพื้นที่ทางจิตวิญญาณ ท่ีเป็น
สถานที่ของความลี้ลับ ซับซ้อน ถูกแทรกแซงฉาบไว้ด้วยวาทกรรม ในหัวข้อนี้จะแสดงพื้นท่ีอีกประเภท
หน่ึงท่มี ีความน่าสนใจไม่แพ้กันคือ พน้ื ที่ในอุดมคติ ซึ่งตามความหมาย อาจจะเป็นพื้นที่ทางความทรงจา
อาจเป็นพืน้ ที่ ท่ีผู้คนต้องการไปถึง เช่น สรวงสวรรค์ อนั เปน็ พ้นื ที่ขอความอุดมสมบรู ณ์ มีแต่ความรืน่ เริง
93
สงบสุข ในวรรณกรรมเร่ืองพ้นื เมืองซายฟอง ได้บรรยายฉากตอนผมู้ ีบุญมาบังเกิด จากน้ันไปรา่ เรยี นวิชา
ท่ปี ่าหิมพานต์ แล้วออกจากป่ามาสร้างเมืองซายฟองหนองคาแสน อันได้ช่ือว่าเป็นดินแดนของพื้นท่ีเชิง
อดุ มคติ ไว้ดังนี้
“ท้าวก็เอามือนวดน้าวยัง สายธนูแล้วก็ยิงไปเป็นดังฟ้าผ่า7 ทีนั้นแล
ปืนก็กลบั คนื มาส่แู หล้งดังเก่าก็มีแล แล้วก็ลวดกลายเกิดมาแท้บน่ าน ปาสาทัง ยงั ผาสาด 7 หลัง พร้อม
ทั้งหอหลิงหอเลยท้ังมวน ประดับประดาไปด้วยแก้วแลยอดช่อฟ้าแลดวงปีเป็นดั่งวิมานเทพบุตรอันเกิด
ในชั้นฟ้าตาวะติงสาน้ันก็มีแล ปาการัง อันว่าปราการเวียงแก้วสามชั้นก็มาแวดล้อมทุกก้่าทุกภาย มีท้ัง
หอหลิงแลหอเลย พร้อมบอระบวนก็ควรอัศจรรย์มาก อันว่าเสนาท้ัง 4 ก็เกิดมาไหว้นบคมรบอยู่ ก็มีแล
อันว่าเสนาอามาตย์ท้ังหลาย อันได้ 3 แสน 6 หมื่น ก็เกิดมามากนัก อันว่านางนักสนมท้ังหลายก็ได้ 3
พัน 6 ฮ้อยก็มาแวดล้อมอยู่ทุกวันทุกยามก็มีแล เจ้าก็เสด็จข้ึนสู่หอปราสาทแล้ว เจ้าก็น่ังอยู่เหนือแท่น
แก้วอันประเสริฐ อันประดับด้วยแก้ว 7 ประการ ดูฮุ่งเฮืองงามเป็นด่ังเทวบุตรน้ันก็มีแล อะถะ ในกาล
ยามนั้น ส่วนดังอันว่าร้ีพนมหลโยธาท้ังหลายก็ได้แสนโกฏิ ก็บังเกิดมา อันว่าช้างม้าก็เกิดมาได้ด้วยล้าน
ดว้ ยแสนก็เข้ามาสู่สมภารมหากษัตริย์ อันว่าเงินแลค่าแก้ว 7 ประการก็ไหลหล่งั เข้ามาสู่ เล่มสางมากนัก
แล อันว่าเส้ือผ้าเงินค่าแก้วแลซืนก็เกิดมาด้วยบุญสมภารเจ้ามากนัก อันว่าข้าวของคือว่าข้าวเปลือก
ข้าวสารทั้งหลายกไ็ หลหล่ังเขา้ มาส่สู างมากนักแล อันว่าคนท้งั หลายก็บ่ไดก้ ระท่าไฮ่นา เถิงกาลฤดูก็หาก
เกิดมาด้วยบุญสมภารมหากษัตริย์ตนนั้นแล อันว่าลาด(ตลาด)ใหญ่ต้ังเดียระดาษเป็นถันยุท่างคน
ท้ังหลายซื้อจ่ายขายกินตามค่ามักซู่ประการก็มีแล อันว่าฝูงชายหนุ่มน้อยเป็นบ่าวนงฮาม ยุท่างกินสุรา
ปีบโฮทกุ ภาย ยุท่าง สนุกล้นซายฟองเมืองเอก ฮ้อยประเทศท้าวมาน้อมส่วยไฮ คนไหลเข้าซายฟองแสน
โกฏิ คับคั่งเม่าเมืองกว้างซุภายก็มีแล ท้าวก็เททานให้สังโฆทุกหมู่ อยสู่ ่าบายสขุ ล้น เพิ่งบุญบาทา้ ว (ลาน
ที่ 7 หน้า 1 - 2)”
การอธิบายความหมายทางวฒั นธรรม สะท้อนจากบทประพนั ธท์ ่ไี ด้ยกมา จะ
เห็นได้ว่า มีการกล่าวถึงดนิ แดนท่เี ต็มไปดว้ ยความสขุ สงบ ประกอบด้วยปราสาทราชวงั ประดบั ประดา
ด้วยแก้วแหวนเงนิ ทอง ด่ังสรวงสวรรคห์ รอื วิมานของเทพบุตร เทพธดิ าไพร่พล เสนาอามาตย์ ชา้ ง ม้า
บงั เกิดข้ึนมากมายหลายแสน เงนิ และคาแก้ว ข้าวของเคร่ืองใช้ ข้าวเปลือก ขา้ วสาร การกระทานาไร่
ฝนตกต้องตามฤดูกาล ผคู้ นเท่ียวจับจา่ ยใชส้ อยในตลาดแสนมีความสขุ สนุกสนาน ฯลฯ
94
ภาพทถี่ ูกอธิบายข้ึนผ่านเรื่องเลา่ แสดงให้เหน็ พื้นที่อุดมคติ ที่ผู้คนถวิลหา เป็น
ภาพที่เป็นสถานท่ีของความดีงาม เป็นผลตอบแทนที่ได้รับจากการเช่ือฟังคาส่ังสอน เช่นเดียวกับการ
สร้างภาพสวรรค์ตามแบบฉบบั ของวรรณกรรมชาดกทางพุทธศาสนา หากการสร้างเรื่องราวของพื้นที่ใน
เร่ืองซายฟองหนองคาแสน มีอิทธิพลมาจากเค้าโครงทางพุทธศาสนา ชาวพุทธจึงเชื่อว่า มาจากพุทธ
ทานายของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีหลักการสอนให้ทาความดี พ่ึงละเว้นการกระทาซึ่งการทาบาปทั้งปวง นั่น
ถือว่าเป็นการควบคุมพฤติกรรมของพลเมืองประชากรได้ดีประการหน่ึง แต่เป็นการประดิษฐ์สร้าง
ความหมายในเชงิ พน้ื ที่อดุ มคติ ดังข้อความทีป่ รากฏในวรรณกรรมพ้นื เวียงหรือพื้นเมอื ง ดงั ต่อไปน้ี
“พระยาธมั มกิ ราชอายุยืนได้ 46 ปแี ล เจา้ ก็ไดเ้ ป็นพระยาธัมมกิ ราชในปมี ะเส็ง
ในกาละยามนั้นอินทาธิราชจิ่งเอาเสตตะฉัตรใหญ่แลหอยสังข์อันใหญ่ล่วงสูงได้ 8 ศอกเอามาบูชากับ
ชา้ งเผอื กมาถวายให้แก่พระยาธัมมกิ ราชห้ันแล เม่อื นัน้ วสิ ุกรรมเทวบตุ รก็เอาเคร่อื งท้าว 5 ประการ ระสี
3 ตนคือว่า สเุ ทพาระสีแลสุชะไลยระสแี ลสุนันทะระสนี ั้นก็เอาดอกบัวค่ามาบูชายามนน้ั ส่วนวา่ เทวบุตร
ท้ังหลายหมื่นตนกับท้ังผีเสอ้ื น้่าเงือกยักก็ถืออาวุธหอกดาบตามมาก่อนหน้าแหนแห่พระยาธัมมิกราชตน
นน้ั เทพบุตรเทพดาทั้งหลายก็เอานางสาว 3 นางกบั แก้วอุดรกุรุทวปี มาให้เป็นปาทบริจากเป็นบรวิ ารแล
เมือ่ ภายลนุ ก็จงิ่ ฮับเอานาท้ังหลายฝงู อันดีอันงามได้ 6 พันนางมาเป็นนางเทวีแล ส่วนอันวา่ ผาสาททิพย์ก็
ได้ 3 หลังก็เกิดมายามนั้นแล หลัง 1 แล้วด้วยแก้ว หลัง 1 แล้วด้วยเงินก็บุข้ึนมาแต่พื้นแผ่นดินขึ้นมา
พระยาธัมมิกราชก็ได้เสวยราชสมบัติในเมืองหนองค่าแสนให้ฮุ่งเฮืองงามนักแล เจ้าก็มีลูกชาย 6 คนเป็น
ผู้ประเสรฐิ ย่งิ นกั เทพดาแลพญานาคเอาเงินคา่ แก้วแหวนในพ้นื แผ่นดินออกมาถวายปางน้ันแล”
(ลานท่ี 3 หนา้ 1-2 และลานท่ี 4 หนา้ 1)
จากข้อความที่ปรากฏในวรรณกรรมพื้นเวียงหรือพ้ืนเมือง หากพิจารณาจะ
เห็นได้ว่า อิทธิพลของวรรณกรรมเรื่องเล่า มีผลต่อความคิด ความเช่ือของผู้คน วรรณกรรมถูกใช้เป็น
เครื่องมือในการต่อต้านการปกครองของชนช้ันปกครอง โดยใช้แนวคิดของพ้ืนที่ในอุดมคติ โดยทาให้
ผคู้ นเช่ือว่าหากประพฤตติ นตามคาสอนของผู้มีบญุ โดยไร้ข้อกังขา ผู้ที่เช่ือถือจะถูกคัดเลือกไปสู่ดินแดน
แห่งความสุข โดยฉายภาพของวีรบุรุษทางวัฒนธรรม (Culture Hero) คล้ายกับยุคของเจ้าฟ้าร่มขาว
หน่ึงในกษัตริย์ ท่ีปกครองแถบเมืองเซไล อันเป็นเมืองเก่าแต่เดิม ก่อนย้ายเมือใหม่เป็นเมืองเลยใน
ปัจจุบัน ซ่ึงในยุคสมัยของการปกครองของเจ้าฟ้าร่มขาว หากจะอธิบายผ่านมุมมองทางประวัติศาสตร์
จะเหน็ ไดว้ ่าเป็นยคุ ทีด่ ินแดนแถบภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื (แถบจงั หวัดเลยและดินแดนแถบอสี านเหนอื )
95
ขึ้นตรงต่ออาณาจักรล้านช้าง อันมีศูนย์กลางปกครองอยู่ที่หลวงพระบาง ในยุคของสมเด็จพระไชย
เชษฐาธิราชเจ้า ถือเป็นยุคทองของอาณาจักรล้านช้าง ก่อนท่ีจะย้ายศูนย์กลางอาณาจักรมาตั้งอยู่ท่ี
เวียงจันทน์ การปกครองในช่วงน้ันดินแดนแถบนี้ จึงเป็นดินแดนแห่งความสงบสุข ไพร่ฟ้า ผู้อยู่ใต้การ
ปกครองลว้ นแต่มีความสุขบริบูรณ์ท่ัวหน้า มีการขยายตวั สรา้ งวดั วาอาราม ถาวรวัตถุทางวัฒนธรรม ท้ัง
ที่เป็นข้อมูลทางประวัติศาสตร์ เช่น พระธาตุสัจจะ พระธาตุศรีสองรัก ในพื้นท่ีจังหวัดเลย โดยใช้
สัญลักษณ์ทางพุทธศาสนา คือตัวพระธาตุ มาเป็นเครื่องมือในการสร้างสนธิสัญญาสงบศึกหรือสัญญา
รักษาไมตรีระหว่างอาณาจักรล้านช้างและอาณาจักรสยามในสมัยนน้ั นอกจากน้ีพระองค์ยังได้สร้างพระ
ธาตุพนมอันเป็นจุดศูนย์รวมทางด้านจิตใจของชาวอีสาน อันเป็นที่มาของตานานอุรังคธาตุ วรรณกรรม
ท้องถ่ินเชิงประวัติศาสตร์ท่ีสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ในแง่ของการใช้สัญลักษณ์ ปฐม หงษ์สุวรรณ
(2550) ได้อธิบายในเชิงคติชน ในหนังสือ กาลคร้ังหนึ่งว่าด้วยตานานกับวัฒนธรรม ว่าในคติชน
การศึกษาระบบสัญลักษณ์เป็นการศึกษาถึงระบบท่ีใช้แนวคิดอย่างหน่ึง แทนแนวคิดอย่างหนึ่ง ซ่ึง
การศึกษาระบบสัญลักษณ์ เพ่ือที่จะเข้าใจถึงสภาพหรอื สัญลกั ษณ์ของสังคมอย่างแทจ้ ริง แสดงให้เหน็ ว่า
สญั ลักษณ์เป็นผลผลิตมาจากจิตใจทีเ่ กดิ จากจินตนาการของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นตานาน นิทาน วรรณคดี
เรื่องเล่า ตานานปรัมปรามักจะมีเรื่องเล่าเก่ียวกับเหตุการณ์ท่ีเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของมนุษย์
เพราะฉะนั้น สัญลักษณ์ จึงเป็นเรื่องราวบทบาทในสังคมต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เช่นในแง่ของ
วรรณกรรมจึงถือว่าเป็นผลงานที่รังสรรค์ขึ้นจากจินตนาการของผู้แต่งหรือกวีโดยอาศัยภาษาเป็น
เครื่องมือสื่อสารถ่ายทอดจินตนาการ จินตนาการจึงมีสัญลักษณ์เป็นองค์ประกอบอย่างหน่ึง (ปฐม หงส์
สุวรรณ. 2550 : 38-39)
เมื่อนาวรรณกรรมเร่ืองซายฟองหนองคาแสน มาเปรียบเทียบกัน
คณะผู้วิจยั จึงสามารถอธิบายได้ว่ามีความคลา้ ยคลึงตานานพระเจา้ เลียบโลก ส่วนพ้ืนเวียงน่าจะมาจาก
เค้าโครงของตานานอุรังคธาตุ ซ่ึงจากการถูกเล่าเรื่องผ่านกระบวนการแบบพ้ืนบ้านจึงมีความแตกต่าง
จากสานวนที่เป็นสานวนของราชสานัก ซึ่งต่อมาภายหลังอาณาจักรล้างช้างเส่ือมอานาจลง ในรัชสมัย
รัชกาลท่ี 5 ได้มีเหตุการณ์การล่าประเทศอาณานิคมจากชาติตะวันตกข้ึน พระองค์ทรงดาเนินนโยบาย
การปกครองประเทศ โดยใช้การปกครองจากส่วนกลางเข้าไปบริหารราชการในส่วนท้องถิ่น ทาให้การ
ปกครองส่วนท้องถ่ินท่ีแต่เดิมเป็นการปกครองของเจ้าเมืองในแต่ละท้องท่ี ปกครองกันเอง การ
บริหารงานในส่วนน้ันในภาวะสงครามนามาซ่ึงการจัดเก็บภาษี หรือที่เรียกว่า ส่วยภาษีมากขึ้น ทาให้
บ้านเมอื งขดั สน ผคู้ นอดยาก ทาให้ประชาชนในทอ้ งถ่ินโหยหาอดตี ที่บา้ นเมืองมีความสงบสุข มีแตค่ วาม
ร่มเย็น หากแต่ในยุคต่อมามีผู้ท่ีนาเร่ืองเล่าไปแสวงหาประโยชน์ให้กับตนและพวกพ้อง ทาให้เกิด
เหตุการณก์ ารปราบปรามจากเจา้ หนา้ ทีร่ ัฐในเวลาต่อมา ซึ่งหากนามาอธบิ ายในเชงิ ของพ้นื ที่ในอดุ มคติที่
96
ถูกสร้างขึ้นเป็นวรรณกรรมทางพุทธศาสนากลับกลายเป็นเครื่องมือในการประดิษฐ์สร้างพ้ืนที่ทางสังคม
ให้มีความแตกต่างทางความคิดระหว่างผู้มีส่วนได้ ส่วนเสียระหว่างความเป็นท้องถ่ินและส่วนกลางใน
เวลาต่อมา น่ันเอง
4.1.3.3 ความหมายทางวฒั นธรรมระหวา่ งพุทธและผี
การประกอบสร้างความหมายทางวัฒนธรรมอีกประการท่ีคณะผู้วิจัยได้ค้นพบ คือ
ความเป็นวัฒนธรรมในความเช่ือด้ังเดิมคือความเช่ือเก่ียวกับผี และความเชื่อที่เป็นแบบพุทธ ท่ีมีการ
ปะทะสงั สรรค์ และอยู่ดว้ ยกันอย่างประนีประนอม ซง่ึ ยศ สนั ตสมบัติ นกั วิชาการสายมานุษยวิทยา ที่มี
ช่อื เสียงของไทย ได้อธิบายไว้ในหนังสือมนุษย์กับวฒั นธรรม (2556) ว่า ศาสนาเป็นประสบการณเ์ รน้ ลับ
ยากแก่การทาความเข้าใจและอธิบาย ยุคประวัติศาสตร์มนุษย์ได้ทาการประกอบพิธีกรรมเซ่นไหว้
บวงสรวงเทพยดาฟ้าดิน สร้างเทพปกรณัม ไสยศาสตร์และความเช่ือเกี่ยวกับภูตผีปีศาจ วิญญาณและ
พระผู้เป็นเจ้า ศาสนามีความสัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์และอานาจเหนือ
ธรรมชาติ ศาสนาโยงใยกับสถาบันทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ความเช่ือศาสนามีอิทธิพลแทรก
ซึมเข้าสู่ทุกปริมณฑลของสังคม วัฒนธรรมและประสบการณ์ชีวิตของมนุษย์ การทาความเข้าใจกับต้น
กาเนิดและพัฒนาการของศาสนาในสังคมวัฒนธรรม ดูเหมือนเป็นเร่ืองยากที่จะหาคาตอบว่า ความเชื่อ
ทางศาสนามีความสัมพันธ์กับโลกทัศน์ ค่านิยม สถาบันและพฤติกรรมของมนุษย์อย่างไร นัก
มานุษยวิทยาจึงได้หันกลับไปให้ความสาคัญกับความเช่ือดั้งเดิมของดวงวิญญาณท้ังหลาย ว่าศาสนา
เก่ียวพันเชื่อมโยงโดยตรงกับความศักด์ิสิทธ์ิและอานาจเหนือธรรมชาติอย่างไรบ้าง (ยศ สันตสมบัติ.
2556 : 277-278)
จากวรรณกรรมเร่ืองพื้นซายฟองและพื้นเวียง ปรากฏร่องรอยของแนวคิด
ด้ังเดิมคือความเชื่อเชื่อเก่ียวภูตผปี ศี าจ ทเี่ ปน็ อานาจเหนอื ธรรมชาติ ได้ถูกนามาสรา้ งเปน็ ภาพแทนความ
ชั่วร้ายให้ผู้คนหวาดกลัว โดยทางออกได้นาเสนอให้เชื่อฟังคาส่ังสอนของผู้มีบุญที่จะมาเกิดเป็นพระยา
ธรรมิกราช อันเป็นภาพแทนของพุทธศาสนาจะมาช่วยปัดเป่าทุกขภัย เป็นผลตอบแทนสาหรับผู้
ประกอบคุณความดตี ามคาสอน หากอธิบายตามแนวคดิ ดังกลา่ วจะเห็นได้วา่ ภาพของพุทธศาสนา มีส่วน
ทาให้ผู้คนท่ีไร้ซึ่งหนทางเลือกที่จะปฏิบัติตาม โดยปราศจากข้อโต้แย้ง การยกย่องพุทธศาสนาให้มีความ
ศักด์ิสิทธิ์มีพลังอานาจเหนอื ภูตผปี ศี าจยกั ษ์ และโรครา้ ยต่าง ๆ ที่จะตามมา ในยุคของข้าวยากหมากแพง
บา้ นเมืองเกิดกุลียุค ถกู นามาประกอบสร้างความหมายทางวัฒนธรรมอย่างจงใจ เพ่ือให้เป็นที่พ่ึงพาของ
ประชาชนในยามทุกขย์ าก ซงึ่ ปรากฏร่องรอยในเนื้อหา ดงั น้ี
“พระพทุ ธเจา้ เสด็จเข้าสูน่ ีระพานไปนานได้ 2 พันปลาย 4 ฮ้อย 33 พระวสั สา
ดังน้ัน อินทาธิราชเจ้าก็มาหลิงดูยังสัตว์โลกท้ังหลายอันจักเป็นโพยภัยหลายประการต่างๆ ก็มีแก่คน
97
ท้งั หลายหาสขุ ส่าราญบานใจบ่ได้ จักเกิดโพยภัย 3 ประการ ทุพภิกขาอัน 1 คือวา่ อึดขา้ ว อัน 1 คือว่าผี
ตัวฮ้าย อัน 1 คือว่า โพยภัยอนตายต่างๆ มีแก่คนท้ังหลายมากนัก ยักขาคันธรรพทั้งหลายตัวมันใหญ่
บังเกิดเป็นไข้ป่วยไข้หามแก่คนทั้งหลายทั้งเมืองก็มีแล ยักษ์ตัว 1 มันกระท่าให้เป็นไค่เป็นพองเป็นบาด
เป็นฝีเจบ็ ปวดเวทนามากยง่ิ นกั ก็มแี ล ยักษต์ วั 1 มนั กระทา่ ใหเ้ ป็นเสือควายชนแข้ขบแลเงือกกินตายดว้ ย
ประสูติลูกแก่ผู้หญิงทั้งหลาย ยักษ์ตัว 1 ใหญ่มันให้บังเกิดเป็นท้องข้ีฮากตากหงายแลลงเลือดลงมูกให้
ล่าบากมากนักก็มีแล ยังมียักษ์ตัว 1 มันกระท่าให้เป็นเหตุช่ือว่ายักษ์คะลาด มากินค่าป้อยค่าด่าคน
ทง้ั หลายด่าว่าให้มึงตายเนอ ว่าดังนั้นก็ตายแท้ วา่ ให้เสอื ขบมึงเนอ เสือก็กินแท้ ว่าให้ผหี ูงผีห่ากนิ มึงเนอ
ว่าดังนั้นก็กนิ แทแ้ ลเถิงปีระกาน้นั จักบังเกดิ โพยภัยอดึ อยากผีหูงผีหา่ จักให้บังเกดิ เจบ็ ท้องข้ีฮากตากหงาย
มากนัก อัน 1 สากลหนแห่งทั้งบ้านทุกเมืองในชุมพูทีปน้ีแล้ว เถิงปีระกาต่อไปปีจอจักบังเกิดเป็นข้าเสิก
คนโจรวิวาทผดิ เถียงกัน บา้ นใตจ้ ักผิดบ้านเหนือ บ้านเหนอื จักผดิ บ้านใต้ เฮือนใต้จักผิดเฮือนเหนือ เฮือน
เหนือจักผิดเฮือนใต้ ท้าวพระยาท้ังหลายก็จักยาดชิงกันด้วยเขตแดนไฮ่นาฮ้ัวสวนพีดชะงอดงาอากอน
จกั ฆ่าฟนั กันตายหาสขุ สบายใจบไ่ ดแ้ ก่คนทง้ั หลาย”
(พืน้ เมืองซายฟอง. ลานที่ 4 หน้าท่ี 2)
จากวรรณกรรมเรื่องเล่าดังกล่าว เม่ือถูกถ่ายทอดนานวันเข้าก็กลายเป็น
วัฒนธรรมทางความเช่ือ ผนวกกับสมัยต่อมามีเหตุการณ์เกิดศึกสงครามล่าอาณานิคมข้ึน ระหว่างชาติ
ตะวันตก ยกกองกาลังมาแผ่อานาจยึดที่มั่นในกลุ่มแว่นแคว้นประเทศ แถบดินแดนอาเซียอาคเนย์ ยิ่ง
เพิ่มความเชื่อม่ันและผู้ท่ีเชื่อฟังคาสั่งสอนอยู่แล้วให้เป็นทวีคูณ ว่าจะเป็นดั่งคาพยากรณ์ในคัมภีร์หรือ
เร่ืองเล่านั้น การแสวงหาทางออกหรือทางรอดของผู้คน จึงเลือกที่จะเช่ือถือและยึดม่ันตามหลักคาสอน
เพ่ือรอคอยผู้มีบุญมาปลดปล่อย หรือเพื่อเป็นที่พ่ึงทางจิตใจ การที่ผู้คนเอเชียตะวันออก ท่ีมีรูปร่างเล็ก
เม่ือเปรียบเทียบสรีระกับชนชาติตะวันตกที่เข้ามาทาศึกสงครามสมัยนั้น ว่ามีรูปร่างใหญ่โตเป็นยักษ์ดัง
ปรากฏในวรรณกรรมเรื่องเล่าสมัยน้ัน ที่เรียกชนกลมุ่ ชาติตะวันตกนั้นว่า “ฝรั่ง” ให้เป็นยักษ์เป็นมาร ท่ี
จะออกมาจับผู้คนกินตามเน้ือหาท่ีปรากฏในคัมภีร์ใบลาน ประกอบกับบ้านเมืองมีการเปลี่ยนแปลงการ
ปกครองจากระบบเจา้ เมือง มาเป็นผู้ว่าราชการท่ีข้าราชสานักจากเมืองกรุงเทพฯ อันเป็นศูนย์กลางการ
ปกครองของอานาจ การไม่เข้าใจซ่ึงวัฒนธรรมของคนในท้องถิ่น การเร่งรัดจัดเกบ็ ภาษี ในยคุ ของการทา
สงคราม การเอาเปรียบจากกลุ่มพ่อค้า นามาซ่ึงยุคของความขัดสน ยุคของความยากไร้ เกิดโจรผู้ร้าย
ออกปล้นสะดม จนประชาชนหาทางออกไม่ได้ นอกจากท่ีพง่ึ ทางด้านจิตใจและไสยศาสตร์ อันเป็นความ
เช่ือดั้งเดิมของคนในพ้ืนที่ ความขัดสนดังกล่าวยิ่งเพิ่มความเชื่อเก่ียวกับผู้มีบุญจะมาช่วยเหลือตาม
98
ตานานที่เล่าขานกันมา เม่ือมีการแอบอ้างยกตนข้ึนเปรียบเสมือนแสงสว่างให้กับผู้คนท่ีรอคอย การเชื่อ
ฟงั คาสอน ที่บางอย่างนั้นอาจขัดต่อความรู้สกึ แต่ก็ไม่กล้าท่ีจะขัดขืน ด้วยความเกรงกลัวภัยที่จะเกดิ ขึ้น
ตามมา การประกอบสร้างความหมายในวัฒนธรรมของชาวอีสานสมัยน้ัน จงึ ถือว่าเป็นการช่วงชิงอานาจ
วาทกรรมระหว่างความเป็นภูตผีปีศาจ ยักษ์รา้ ยผ่านภาพแทนของชนช้ันผู้ปกครองและชนชาติตะวันตก
(ฝร่ังเศส) ภาพแทนของพทุ ธศาสนาคือผู้มีบุญ หรือพระยาธรรมิกราช ผู้เป็นวีรบุรุษทางวัฒนธรรมจะมา
ชว่ ยดับทุกข์เข็ญ ซึง่ ภายหลังการปราบปราม รฐั บาลได้ตัง้ สมญานาม กลมุ่ ทีต่ อ่ ต้านอานาจรฐั นี้วา่ “กบฏ
ผีบา้ ผีบุญ” นัน่ เอง
4.2 สรุปความท้ายบท
การวจิ ยั เร่อื ง วรรณกรรมทอ้ งถิ่นกบั การจัดการทรัพยากรทางวัฒนธรรม : ปริวรรตใบลาน วัด
ศรีชมช่ืน บ้านคกเลาใต้ ตาบลบุฮม อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย มีกระบวนการขั้นตอนการวิจัยเชิง
ปฏิบัติการภาคสนาม เน้นการมีส่วนร่วมกับชุมชน ผสมผสานการวิจัยเชิงคุณภาพ อาศัยข้อมูลตัวบทมา
วิเคราะห์เพ่ือถอดความหมายทางวัฒนธรรม วิธีดาเนินการวิจัยเร่ิมต้นจากกระบวนการประสานงาน
นาส่งหนังสอื อย่างเป็นทางการเพอ่ื ขออนุญาตลงพื้นที่ จัดเวทีประชุมชาวบ้านเพอื่ แนะนาคณะวิจัย แจ้ง
วัตถุประสงค์ของการวิจัยต่อชุมชน จากน้ันเข้าสู่กระบวนการสารวจ จาแนกกลุ่มเรื่อง ทาความสะอาด
ใบลาน เปล่ียนผ้าห่อใบลานใหม่ ลงบันทึกช่ือเรื่อง หมวดหมู่ ส่งใบลานคืนสู่ชุมชนเก็บรักษาอันเป็น
กระบวนการขั้นตอนของการอนุรักษ์ คัดเลือกเรื่องท่ีจะนามาปริวรรตโดยการถ่ายภาพดิจิตอล หลังจาก
ปริวรรตเสร็จนาเนื้อหามาถอดความหมายทางวัฒนธรรม โดยการนาเอาข้อมูลภาคสนามท่ีได้ลงสารวจ
พ้นื ท่ีเข้ามาประกอบการอธิบายขอ้ มูล จนสู่กระบวนการคืนความรู้สู่ชุมชน ไดจ้ ัดหาตจู้ ัดเก็บใบลานชนิด
แบบตู้เหลก็ ในการเก็บเอกสาร จัดทาหนังสือเล่มเล็ก เนื้อหาในเล่มประกอบด้วยความเป็นมาของชุมชน
เน้ือหาวรรณกรรมท้องถ่ินได้จากการปริวรรตและเก็บข้อมูลภาคสนาม ภาคการแสดงมีการแสดงละคร
จากเน้ือหาของเรื่องที่ได้จากการปริวรรตวรรณกรรมโดยนักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย ทงั้ คณะครศุ าสตร์
และสาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย ถ่ายทอด
วรรณกรรมท้องถิน่ เรอ่ื งซายฟอง และเรอื่ งพน้ื เวียง ให้กับคนในชมุ ชน และเยาวชนนกั เรยี นโรงเรยี นบา้ น
ห้วยซวกคกเลาใต้ ได้รับชม พร้อมกับบันทึกเป็นภาพเคล่ือนไหวหรือภาพน่ิง เผยแพร่เป็นแผ่นวีดีทัศน์
มอบให้กับชุมชนและโรงเรียน ส่วนหน่ึงได้นาเนื้อหาการแสดงไปลงเผยแพร่ในช่องทางอินเทอร์เน็ต
โปรแกรมยูทูป (youtube) ช่องไท หนองบัว เพ่ือเผยแพร่ข้อมูลทางวัฒนธรรมของชุมชนบ้านคกเลาใต้
ตาบลบุฮม อาเภอเชียงคาน จงั หวัดเลย ใหเ้ ป็นร้จู ักแพร่หลายสบื ไป
99
นอกจากน้ยี ังได้ศกึ ษาวิเคราะห์ความหมายทางวฒั นธรรมของคนอีสานผ่านวรรณกรรมทอ้ งถ่ิน
ท่ีได้จากการปริวรรตทั้งสองเรื่องท้ังในด้านอัตลักษณ์ชุมชน ความหมายทางวัฒนธรรมเชิงพ้ืนท่ี และ
ความหมายทางวัฒนธรรมระหว่างพุทธและผีที่ถูกนาเสนอให้เห็นผ่านตัวบทวรรณกรรมและมี
ความสัมพนั ธ์กบั ชุมชนคกเลาใต้เปน็ อยา่ งดี
100
บทท่ี 5
สรปุ อภิปรายผล ข้อเสนอแนะ
สาหรับบทน้ีคณะผู้วิจัยจะได้นาเสนอเนื้อหาสรุปโครงการวิจัย เร่ิมต้ังแต่กระบวนการสารวจ
ข้อมูล คัดแยกจาแนกกลุ่มประเภทวรรณกรรม เน้ือหาวรรณกรรมท้องถ่ินที่ได้จากการปริวรรต เน้ือหา
การประกอบสร้างความหมายทางวฒั นธรรมที่ค้นพบตามวตั ถุประสงค์ แล้วนาข้อมลู มาอภิปรายผล และ
จัดทาข้อเสนอแนะในการนาข้อมูลไปใช้ ตลอดจนข้อเสนอแนะในประเด็นใหม่ ๆ ท่ีน่าสนใจในการออก
ภาคสนามเพื่อใช้ในการวจิ ยั ในคร้ังตอ่ ไป โดยจะนาเสนอข้อมลู ตามลาดับ ดงั ตอ่ ไปน้ี
5.1 สรุปผล
สรุปผลการวิจัยเร่ือง วรรณกรรมท้องถ่ินกับการจัดการทรัพยากรทางวัฒนธรรม : ปริวรรต
ใบลาน วัดศรชี มชื่น บ้านคกเลาใต้ ตาบลบุฮม อาเภอเชยี งคาน จงั หวัดเลย ตามวตั ถุประสงค์ ดังน้ี
5.1.1 สารวจ จัดระบบหมวดหมู่ และเก็บรกั ษาใบลานให้ถกู ต้องตามหลกั วชิ าการ
สามารถจาแนกตามกลุ่มประเภทช่ือเร่ือง ได้ทั้งหมด 110 เรื่อง 477 ผูก อักษรท่ีใช้บันทึก
อักษรที่ปรากฏมากที่สุด คืออักษรธรรมอีสาน อักษรไทยน้อย และอักษรไทยปัจจุบัน ใบลานที่บันทึก
พบว่ามีทั้งใบลานยาว และใบลานสั้น หรือภาคอีสานเรียกว่าหนังสือก้อม วรรณกรรมคัมภีร์ใบลานท่ี
จาแนกพบว่ามีมากที่สุดคือ เร่ืองพระปฐมสมโพธิ์ จดั อยู่หมวดตานานพระพทุ ธศาสนา อักษรทบ่ี ันทึกคือ
ตัวธรรมอสี าน ลกั ษณะเปน็ ใบลานยาว จานวน 35 ผกู มีครบชุด อยู่ในสภาพดีมาก การซอ่ มแซมได้ใส่ไม้
ประกับและเปลี่ยนผา้ ห่อใหม่ รองลงมาคอื เรื่องบทสวด จัดอยู่ในหมวดบทสวดมนต์ อักษรที่ใช้บันทกึ คือ
ตัวอักษรธรรมอสี าน ลกั ษณะเอกสารเป็นใบลานยาว มจี านวน 31 ผกู สภาพชารุดเล็กนอ้ ย การซอ่ มแซม
ไดม้ ีการห่อผ้าใหมท่ ั้งชดุ ลาดับท่สี ามเปน็ เรื่อง ปกิณกะฉลอง โดยรวบรวมเอาไว้เทศนอ์ านสิ งสห์ รือเทศน์
ฉลอง จัดไว้ในหมวดหมู่เดียวกัน บันทึกด้วยอักษรธรรมอีสาน ลักษณะเอกสารเป็นใบลานยาว จานวน
28 ผูก สภาพดี การซอ่ มแซมไดห้ ่อผ้าจัดเกบ็ ใหม่ทง้ั ชุด
5.1.2 คดั เลอื กวรรณกรรมทอ้ งถิ่นทสี่ าคญั หรอื มคี วามเก่ียวขอ้ งกับบริบททอ้ งถน่ิ
คัดเลือกวรรณกรรมท้องถ่ินที่สาคัญหรือมีความเก่ียวข้องกับบริบทท้องถิ่น เพื่อปริวรรตจาก
อกั ษรธรรมเป็นอักษรไทยปจั จุบัน ได้คดั เลอื กมาปริวรรตในครั้งน้ี มี 2 เร่ือง คอื วรรณกรรมเรื่องพืน้ เมือง
ทรายฟอง และนิทานเร่ืองพื้นเวียง จัดอยู่ในหมวดของนิยายพื้นบ้าน ซึ่งเหตุผลที่นา วรรณกรรมทั้ง 2
เร่อื งมาปริวรรต ประการที่ 1 ด้วยเหตุผลด้านเวลา คณะผวู้ ิจัยมีเวลาในการทาการวิจัยเพยี ง 1 ปี จึงทา
ให้ต้องเลือกวรรณกรรมท่ีมีความยาวไม่มากนักมาปริวรรต ประการท่ี 2 เป็นวรรณกรรมท้องถ่ินท่ีนามา
101
ปรวิ รรตแสดงถึงอัตลักษณ์ของชมุ ชนอยา่ งชดั เจน หลกั ฐานไดก้ ลา่ ววา่ ถกู จารข้นึ และถวายให้กบั วัดศรชี ม
ชืน่ อันเป็นข้อบ่งช้ีได้ว่าเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงความเปน็ มาของชุมชน แสดงถึงความมีตัวตนของ
คนในชุมชนทม่ี ีมาตงั้ แต่คร้ังอดีตจนถงึ ปจั จบุ นั ได้
5.1.3 ความหมายทางวัฒนธรรมของคนอีสานผ่านวรรณกรรมท้องถ่ินที่ได้จากการ
ปริวรรต
พบว่ามีการประกอบสร้างความหมายทางวัฒนธรรม สะท้อนจากตัวบท โดยใช้วิธีวิทยาทาง
คติชนวิทยา ผสมผสานแนวคิดทางวัฒนธรรม แล้วนาเสนอในเชิงพรรณนาวิเคราะห์ ซ่ึงมีข้อมูลท่ี
นา่ สนใจ 3 ประเด็น ดังนี้
1) ความหมายทางวฒั นธรรมในเชงิ อตั ลักษณแ์ ละชาติพันธ์ุ
พบว่า มีการประกอบสร้างความหมายทางวฒั นธรรมผ่านตัวบทท้ังสองเร่ือง การจารึก
และถวายคัมภีร์ใบลานให้กับวัดศรีชมชื่น แสดงให้เห็นถึงการมีตัวตนของคนในชุมชนว่า มีการก่อสร้าง
บา้ นเรือนและพัฒนาการของการต้ังเป็นชุมชน (สร้างบ้านแปงเมอื ง) มาต้ังแต่คร้งั โบราณ จากการศึกษา
วรรณกรรมเรื่องพ้ืนซายฟองหนองคาแสน และพื้นเวียง พบว่า มีเค้าโครงมาจากตานานพระเจ้าเลียบ
โลก และตานานอุรังคธาตุ อันสะท้อนให้เห็นถึงอัตลักษณ์ความเป็นวัฒนธรรมลุ่มแม่น้าโขง อธิบายถึงตัว
บท วรรณกรรมท้องถ่นิ เร่ืองซายฟอง มีความใกล้เคียงหรอื เค้าโครงเรื่องมาจากตานานพระเจ้าเลียบโลก
ของชาวภาคเหนือ ที่ได้สะท้อนจากหลักฐานที่มีการกล่าวถึงพ้ืนท่ีลักษณะช่ือบ้าน นามเมือง ท่ีมีอยู่จริง
ในพ้ืนที่ประเทศลาว กล่าวคือเมืองซายฟองซ่ึงเปน็ เมืองโบราณทมี่ ีหลักฐานทางประวตั ศิ าสตร์ นอกจากน้ี
ยังมีการอิงมาจากช่ือบ้าน นามเมือง ที่ต้ังอยู่ภาคเหนือของประเทศไทย จากตัวบทวรรณกรรมสะท้อน
การแพร่กระจายทางวัฒนธรรม ของคนในชมุ ชนทีอ่ าศยั แม่น้าโขงเป็นเส้นทางสัญจร การค้นพบเอกสาร
ใบลานท่ีถูกจารึกลงใบลานหรือประพันธ์ข้ึน จึงมีเค้าโครงโยงใยให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของผู้คนระหว่าง
ความเป็นคนภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สะท้อนให้เห็นถงึ หลกั ฐานการเคลอ่ื นย้ายของผูค้ น
โดยยึดโยงแมน่ า้ โขงเปน็ แม่น้าสายวัฒนธรรมมาตั้งแต่ครัง้ โบราณ
2) ความหมายทางวัฒนธรรมเชิงพืน้ ที่
สามารถแบ่งความหมายตาม นิยามของ อภิญญา เฟื่องฟูสกุล ท่ีกล่าวว่า การศึกษา
พ้ืนที่ในความหมายเชิงวัฒนธรรม จึงมีความสัมพันธ์กับพ้ืนท่ีกายภาพ(แผ่นดิน) และพ้ืนที่ความหมายท่ี
ผู้คนใช้พื้นท่ีทางความคิดร่วมกันหรือพื้นท่ีของความหมายเดียวกันของผู้คน ข้อค้นพบเรื่องพื้นที่
วฒั นธรรม 3 ประเด็นคอื
(1) พื้นที่เชิงกายภาพ
วรรณกรรมท้องถิ่นเร่ืองซายฟอง ได้กล่าวถึงพ้ืนท่ีทางกายภาพ ประกอบด้วย
เมืองต่าง ๆ เช่น ชมพูทวีป เมืองภูซูน เมืองซายฟองหนองคาแสน เมืองเชียงใหม่ เมืองเชียงแสนเชียง
102
ของ ในวรรณกรรมท้องถิ่นเร่ืองพ้ืนเวียง มีการกล่าวถึง สถานที่และเมืองต่าง ๆ คือ ดอยปู่เจ้าเขาหลวง
เมืองผางเมอื งอนั เมืองหมาน เมอื งเวยี งจนั ทน์ เมอื งหล้านา้ เมืองศรยี ุทธิยา และเมอื งราชคฤห์
เรื่องซายฟอง มีความใกล้เคียงหรือเค้าโครงเร่ืองมาจากตานานพระเจ้าเลียบ
โลกของชาวภาคเหนือ ที่ได้สะท้อนจากหลักฐานท่ีมีการกล่าวถึงพื้นที่ลักษณะช่ือบ้าน นามเมือง อิงมา
จากช่ือบ้าน นามเมือง ทต่ี ้งั อย่ภู าคเหนือของประเทศไทย อธิบายตามแนวทางของทฤษฎแี พร่กระจายได้
ว่า เม่ือผูค้ นอพยพโยกย้ายถ่นิ ฐานบ้านเรอื น วรรณกรรมก็เป็นส่วนหนึ่งติดตามผู้คนเหล่าน้นั ไปด้วย สว่ น
วรรณกรรมเร่ือง พื้นเวียง หากพิจารณาแล้ววรรณกรรมเร่ืองนี้ ถือว่าเป็นวรรณกรรมพ้ืนบ้าน ท่ีมีการ
อา้ งอิงหลักธรรมทางพุทธศาสนา ท่มี งุ่ สอนให้ผู้คนละกิเลส ประพฤติตนเป็นคนดี เป็นวรรณกรรมท่ีมกี าร
เอ่ยอ้างโดยยกชื่อบ้านนามเมือง ท่ีมีอยู่จริง และมีประวัติศาสตร์ยาวนาน เพ่ือเป็นประโยชน์ในการ
นาเสนอให้ดูสมจริง ทาให้เกิดความน่าเชื่อถือ น่าเคารพศรัทธาและเชื่อฟังคาส่ังสอนนั้น ประดุจหน่ึงว่า
เป็นคัมภีร์หลักธรรม คาสอนของพระพุทธเจ้า เป็นคัมภีร์ศักด์ิสิทธิ์ของพุทธศาสนา โดยมุ่งสอนให้
พุทธศาสนิกชน ผู้ใดได้อ่านและปฏิบัติตามจะได้เกิดร่วมภพชาติกับผู้มีบุญญาธิการ ได้บังเกิดพบพาน
พระโพธิสัตว์มาโปรดในยามทุกข์เข็ญ ซึ่งศูนย์กลางของวัฒนธรรม สะท้อนให้เห็นว่า มีศูนย์กลาง
วัฒนธรรมอยู่ที่เวียงจันทน์ ซึ่งมีแม่น้าโขงเป็นแม่น้าสายวัฒนธรรม ซึ่งตรงข้ามกับวรรณกรรมทางพุทธ
ศาสนาเร่ืองอื่นๆ ที่วัฒนธรรมศูนย์กลางอยู่ท่ีกรุงเทพ มีแม่น้าเจ้าพระยาเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรม
น่ันเอง
(2) พ้นื ท่ที างจติ วญิ ญาณ
เกิดจากจินตนาการของกวี หรือพื้นที่เชิงจิตวิญญาณท่ีถูกจินตนาการ โดยผู้
แตง่ ได้ผสมผสานกบั พน้ื ทจ่ี ริง เพื่อใหเ้ กิดความสนุกสนาน จากการถอดความหมายทางวัฒนธรรม พบว่า
พ้ืนท่ีทางจิตวิญญาณ ถูกนามาเป็นเครื่องมือในการควบคุมพฤติกรรมของคนในท้องถิ่น การประกอบ
สร้างทางวฒั นธรรม สะท้อนเรือ่ งของวัฒนธรรมลุ่มแม่น้าโขง เร่ืองของผ้มู ีบุญมาโปรด นาเสนอภาพของ
วรี บุรุษทางวฒั นธรรม (Culture Hero) สะท้อนให้เห็นความต้องการ การปลดปล่อยทางอารมณข์ องคน
ท้องถนิ่ สมัยนน้ั ถึงระบบการกดขีข่ ่มเหงของชนชนั้ นักปกครอง
(3) พืน้ ท่ีในอดุ มคติ
วรรณกรรมถูกใช้เป็นเครื่องมือในการต่อต้านการปกครองของชนชั้นปกครอง
โดยใชแ้ นวคดิ ของพื้นที่ในอดุ มคติ โดยทาใหผ้ ู้คนเชือ่ ว่าหากประพฤตติ นตามคาสอนของผมู้ บี ุญ โดยไรข้ ้อ
กังขา ผู้ที่เช่ือถือจะถูกคัดเลือกไปสู่ดินแดนแห่งความสุข โดยฉายภาพของวีรบุรุษทางวัฒนธรรม
(Culture Hero) คล้ายกับยุคทองของอาณาจักรล้านช้างที่เรืองอานาจ แสดงให้เห็นว่า สัญลักษณ์เป็น
ผลผลิตมาจากจิตใจท่ีเกิดจากจินตนาการของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นตานาน นิทาน วรรณคดี เรื่องเล่า
ตานานปรัมปรามกั จะมเี รอื่ งเล่าเกี่ยวกบั เหตุการณ์ท่เี กี่ยวข้องกับวถิ ชี วี ิตของมนุษย์
103
3) ความหมายทางวฒั นธรรมระหว่างความเชื่อพุทธและผี
พบว่า วรรณกรรมเร่ืองพื้นซายฟองและพื้นเวียง ปรากฏร่องรอยของแนวคิดดัง้ เดิมคือ
ความเชื่อเชอื่ เกี่ยวภตู ผปี ศี าจ ท่เี ปน็ อานาจเหนือธรรมชาติ ได้ถูกนามาสรา้ งเปน็ ภาพแทนความช่ัวร้ายให้
ผคู้ นหวาดกลัว อธิบายตามแนวคิดดังกล่าวว่าภาพของพุทธศาสนา มีส่วนทาให้ผคู้ นที่ไร้ซ่ึงหนทางเลือก
ที่จะปฏิบัติตาม โดยปราศจากข้อโต้แย้ง การยกย่องพุทธศาสนาให้มีความศักด์ิสิทธิ์มีพลังอานาจเหนือ
ภูตผีปีศาจยักษ์ และโรคร้ายต่าง ๆ เมื่อวรรณกรรมถูกถ่ายทอดนานวันเข้าก็กลายเป็นวัฒนธรรมทาง
ความเช่ือ ผนวกกับสมัยต่อมามีเหตุการณ์เกิดศึกสงครามล่าอาณานิคม การเปล่ียนแปลงการปกครอง
จากระบบเจ้าเมือง มาเป็นผู้ว่าราชการ การสูญเสียอานาจให้กับผู้ปกครองท่ีมาจากศูนย์กลางของ
ประเทศ ความไม่เขา้ ใจวัฒนธรรมของคนท้องถ่ิน นามาซ่ึงความขัดแย้ง เป็นการตอ่ สู้โดยสร้างภาพแทน
ของพุทธศาสนาผ่านผู้มบี ุญ และปีศาจยกั ษ์ร้ายเป็นภาพแทนของชนชั้นผู้ปกครองและประเทศตะวันตก
ที่เข้ามามีบทบาทในการล่าอาณานิคม ต่างหวังเข้ามาตักตวงเอาผลประโยชน์และทรัพยากรในท้องถิ่น
ผ่านการเก็บส่วยและภาษี ซึ่งเป็นการช่วงชิงวาทกรรมอานาจระหว่างความเป็นท้องถิ่นและความเป็น
วัฒนธรรมชนชน้ั การปกครอง นนั่ เอง
5.2 อภิปรายผล
การอภิปรายผลจากข้อคน้ พบ ในการวิจัยเรื่อง วรรณกรรมท้องถ่ินกับการจัดการทรัพยากรทาง
วัฒนธรรม : ปริวรรตใบลาน วัดศรีชมชื่น บ้านคกเลาใต้ ตาบลบุฮม อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย มี
ประเดน็ ทมี่ ีความน่าสนใจในการนามาอภปิ รายผล ไดด้ งั น้ี
ประเดน็ แรก วรรณกรรมเร่ืองซายฟอง (หนองคาแสน) เค้าโครงแบบเรอ่ื งมีความคลา้ ยคลึงกับ
วรรณกรรมเร่อื งพระเจ้าเลียบโลก ซึ่งเป็นวรรณกรรมท่ีนิยมเผยแพร่อยู่ในทางภาคเหนอื ของประเทศไทย
หากเราร้ือสร้างความคดิ โครงสร้างความเป็นวัฒนธรรมแบบรัฐ ประเทศ (State) วัฒนธรรมแบบรัฐชาติ
ศูนย์กลางวัฒนธรรมมักมาจากศูนย์กลางอานาจของประเทศหรือเมืองหลวงของประเทศ สมองเราก็จะ
สั่งการปรากฏเป็นรูปแผนที่ประเทศไทยเกิดขึ้นภายในจิตใจ หากเรามองเร่ืองของความเป็นกลุ่ม
ชาติพันธเุ์ ดยี วกัน นักมานษุ ยวิทยาสายวัฒนธรรม มักให้ความสาคัญกับความเชื่อ คา่ นิยม ประเพณี การ
นบั ถือผีฯลฯ หากมีความคล้ายคลึงหรือสอดคล้องใกลเ้ คียงกัน ซึ่งได้จากการศึกษาเร่ืองเลา่ ผ่านตานาน
นทิ านพื้นบ้าน นั่นอาจเป็นหลักฐานแสดงใหเ้ หน็ ได้วา่ เปน็ กลุ่มชาติพันธ์เุ ดียวกนั ก็ได้ ในการถอดรหสั ทาง
ความหมายทางวัฒนธรรม จากที่กล่าวมาถึงความคล้ายคลึงด้านรูปแบบเรื่องของวรรณกรรมเรื่องซาย
ฟอง ที่มีเนื้อหาหรือตัวบท (text) ใกล้เคียงกับวรรณกรรมเร่ืองพระเจ้าเลียบโลก ท่ีถูกเผยแพร่เป็น
วรรณกรรมท้องถิ่นอยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทย หากเม่ือเรานามาอภิปรายผล โดยการนาเอา
104
แนวคดิ ทางสายวฒั นธรรมตามทฤษฎีแพร่กระจายทางวัฒนธรรม ของศิราพร ณ ถลาง ทกี่ ลา่ วไว้ว่า เม่ือ
ผู้คนมีการเคล่ือนย้ายเดินทางจากท่ีหนึ่ง ไปยังอีกท่ีหนึ่ง สิ่งท่ีเดินทางติดตามไปด้วยคือเร่ืองเล่า นิทาน
ตานาน อันแสดงให้เห็นว่า วัฒนธรรมมีการเดินทางติดตามผู้คนไปด้วย จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า การ
เดนิ ทางสญั จรของผูค้ นสมยั กอ่ น ใชก้ ารเดินทางแมน่ ้าเป็นหลักในการในการค้าขาย เผยแพรศ่ าสนา หรือ
โยกย้ายถ่ินฐาน บ้านคกเลาใต้ ตาบลบุฮม อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย จากการศึกษาท่ีตั้งบ้านเรือน
สภาพภูมิศาสตร์ท่ีแสดงข้อมูลพ้ืนฐานในบทท่ี 3 จะพบว่ามีการตั้งบ้านเรือนริมฝ่ังแม่น้าโขง จึงเป็น
ขอ้ สรุปสมตฐิ านตามแนวทางทฤษฎีแพร่กระจายทางวัฒนธรรมได้วา่ การที่คน้ พบหลกั ฐานคมั ภีร์ใบลาน
ที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมของกลุ่มชนชาวล้านนาและชาวล้านช้างที่อยู่ทางภาคเหนือของ
ประเทศ น่ันอาจเป็นหลักฐานสะท้อนให้เห็นว่า ผคู้ นชาวชมุ ชนบ้านคกเลาใต้ เป็นกลุ่มชาติพันธ์ุเดียวกัน
กับอาณาจักรล้านนา และอาณาจักรล้านช้าง ที่มีศูนย์กลางอยู่หลวงพระบางและเชียงใหม่ ท่ีอยู่ทาง
เหนือของประเทศไทย โดยอาศัยแม่น้าโขงเป็นแม่น้าสายวัฒนธรรมในการเดินทางสัญจรไปมาของผู้คน
ทาให้สามารถพบร่องรอยหลักฐานที่ปรากฏเป็นวรรณกรรมท่ีมีรูปแบบโครงเรื่องคล้ายคลึงกัน แต่
แตกต่างกนั เรอื่ งของอนภุ าค (Motif) ทาให้ช่ือตัวละครหรือฉาก แตกต่างกันตามท้องถ่ิน ๆ สอดคล้องกับ
การวิจัยเร่ือง พระลักพระลาม (รามเกียรติ์ฉบับลาว) : การนาเสนอภาพแทนอัตลักษณ์ลาวและนิเวศ
วัฒนธรรมลุ่มน้าโขง ของสมัย วรรณอุดร (2557) ซึ่งเป็นงานวิจัยในรูปแบบปริวรรตจากอักษรลาวมา
เป็นอักษรไทยปัจจุบัน ผลการวิจัยพบว่า วรรณกรรมเรื่องพระลักพระลามถือได้ว่าเป็นมหากาพย์
แห่งชาติของคนลาวและมีการดัดแปลงมาจากมหากาพย์เร่ืองรามายณะ ของวาลมีกิ และเป็น
วรรณกรรมอีกเรื่องหน่ึงทไี่ ด้รับการยกยอ่ งให้เป็นมรดกทางวฒั นธรรมทีส่ าคัญของลมุ่ น้า แม่น้าโขง โดยผู้
แตง่ ได้มีการสร้างสรรคโ์ ดยการตอ่ เตมิ ดัดแปลงดว้ ยกลวิธตี ามรสนิยมเฉพาะถิ่น มีการสอดแทรกคติความ
เชื่อ ค่านิยม วิถีชีวิตที่มีความสัมพันธ์อยู่กับธรรมชาติ และมีการใช้ฉากสถานที่มีอยู่จริงในท้องถิ่น
ผสมผสานกบั สถานท่ีในจนิ ตนาการอย่างลงตัว
ประเด็นที่สอง จากการปริวรรตเนื้อหาคัมภีร์ใบลาน วรรณกรรมเร่ืองซายฟองและพื้น
เวียง พบว่า มีตอบโต้ ช่วงชิงอานาจวาทกรรม “ผู้มบี ุญ และกบฏผบี า้ ผีบญุ ” ระหว่างชนชัน้ ปกครองและ
ชนในท้องถิ่น ซึ่งปรากฏเน้ือหาในวรรณกรรมเรอ่ื ง พื้นเมอื งหรือพน้ื เวียง หากนาเรื่องของประวัติศาสตร์
การเมือง การปกครอง ผนวกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยน้ันมาอธิบายร่วมกัน จะทาให้เห็นภาพที่
สามารถอธบิ ายเพมิ่ เตมิ จากตัวบท (Text) ไดว้ ่า สาเหตกุ ารเกิดวาทกรรมการช่วงชิงอานาจระหวา่ งความ
เปน็ มาของวฒั นธรรมทมี่ ีความแตกต่าง สง่ ผลกระทบต่อความหวาดระแวง ความไม่เข้าใจ ระหว่างชนช้ัน
ปกครองกับความเป็นท้องถ่ิน ผลักไสให้กลายเป็นคนอื่น (the other) หรือเป็นคนชายขอบ เป็นคนช้ัน
สองของประเทศ การศึกษาในเชิงประวัติศาสตร์การเมืองผ่านตัวบทวรรณกรรม อาจจะอนุมานได้ว่า
วรรณกรรมพ้ืนเมืองที่พบดังกล่าว เป็นวรรณกรรมต้องห้าม (ห้ามเผยแพร่) เป็นวรรณกรรมใต้ดิน ท่ีราช
สานักสมัยนนั้ ประกาศว่าเป็นวรรณกรรมผิดกฎหมาย มกี ารเผาทาลายและหา้ มเผยแพร่ แต่สาหรบั ผู้คน
ในท้องถ่ินกลับเห็นว่าเป็นวรรณกรรมทรงคุณค่า ในช่วงท้ายของเรื่องมีการบรรยายถึงอานิสงส์ของการ
105
เผยแพร่ว่า “หากผู้ใดได้เผยแพร่จะมีแต่ความสุข พบดินแดนแห่งความสงบรม่ เยน็ หากใครไมเ่ ชอ่ื ถือ ไม่
เชื่อฟังหลักค่าสอนในเนื้อหาวรรณกรรม ก็จะพบแต่ทางเส่ือม ทางอบายหายนะ” คล้ายกับจดหมาย
ลูกโซ่ในปจั จุบัน ซ่ึงท่ีกล่าวมาจะเห็นได้ว่าวรรณกรรมเรือ่ งพ้ืนเวียง นอกจากนาเสนอความเชอื่ บาป-บุญ
นรก-สวรรค์ อันเป็นลักษณะของคู่ตรงข้าม (Binary opposition) ท่ีพบเห็นได้จากวรรณกรรมทางพุทธ
ศาสนาเร่ืองอื่น ๆ แล้ว เนื้อหาของวรรณกรรมเร่ืองดังกล่าว ยังแฝงไปด้วยคติทางการเมือง แฝงไปด้วย
วาทกรรมอานาจของความเป็นท้องถ่ิน ท่ีสะท้อนภาพของอิทธิพลทางวรรณกรรมท่ีส่งผลต่อสังคม
รวมถึงความคิดของผู้คนได้อย่างไร สอดคล้องกับการให้ความหมายแง่ของ การจัดการทรัพยากร
วัฒนธรรมของ ธนิก เลิศชาญฤทธิ์ ที่กล่าวว่า การศึกษาทรัพยากรทางวัฒนธรรม สามารถทาให้เห็นถึง
ผลผลิตของวัฒนธรรมท้ังในอดีตและปัจจุบันท่ีมีคุณค่าทางด้านประวัติศาสตร์ การศึกษาเน้ือหาจาก
คมั ภีร์ใบลาน สามารถทาใหอ้ นชุ นรุน่ หลังมองเหน็ ภาพประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชมุ ชนทอ้ งถน่ิ ผ่าน
วรรณกรรมท่ีมีการส่งต่อ สืบทอดแนวคิด การต่อสู้ช่วงชิง การทับซ้อนของพื้นที่ทางความคิดและพ้ืนที่
ทางสังคมอุดมการณ์ทางการเมือง นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับ สายันต์ ไพรชาญจิตร์ (2550) มรดกทาง
วัฒนธรรมคือวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์และมีคุณค่าในฐานะที่เป็นเคร่ืองแสดงออกถึงรากฐานและ
ความเป็นมาของวัฒนธรรมจึงไม่ได้อยู่ท่ีลักษณะทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังอยู่กับความสัมพันธ์ชุมชนใน
แง่ของจิตใจและจิตวิญญาณ แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงและพฒั นาการของวถิ ชี ีวิตของกลุ่มชนและ
คุณคา่ ทางประวตั ิศาสตร์
5.3 ข้อเสนอแนะ
5.3.1 หากมีการวิจัยครั้งต่อไปเก่ียวกับการปริวรรต ควรมีการปริวรรตเกี่ยวกับตารายา
สมุนไพร ซึ่งคณะผู้วิจัยพบว่า มีตารายาสมุนไพรโบราณเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่กาลังสูญหาย ถูกเก็บ
บันทกึ ไวเ้ ป็นจานวนมาก หากมีการปรวิ รรตเป็นคลังความร้ไู ว้จะเปน็ ประโยชนใ์ ห้กับชมุ ชนต่อไป
5.3.2 หากมีการนาเอาวรรณกรรมท้ังสองเรื่องไปเผยแพร่ควรมีข้อควรระวัง คือเร่ืองของ
แนวคิดชนช้ันและการปกครองเพราะวรรณกรรมท้ังสองเร่ืองในยุคหน่ึงสมัยหน่ึงถือว่าเป็นวรรณกรรม
ต้องห้าม (ห้ามเผยแพร่) ควรมีการให้ความรู้เพิ่มเติมเก่ียวกับเกร็ดความรู้ทางเรื่องประวัติศาสตร์และ
ความเป็นมาของการเมืองการปกครองประกอบด้วย
5.3.3 การนาวรรณกรรมท้องถ่ินทั้งสองเร่ืองไปใช้ประโยชน์ในเรื่องของการจัดการทาง
วัฒนธรรม เช่น พัฒนาต่อยอดให้เป็นการแสดงของนักเรียน ชุมชน เพื่อพัฒนาไปสู่หมู่บ้านโฮมสเตย์
หมู่บ้านการท่องเท่ียวเชิงวถิ เี กษตร ฯลฯ
5.3.4 ควรมีการทาวิจัยในการเก็บรวบรวมข้อมูลวรรณกรรมท้องถิ่น เรื่องเล่า ตานาน
แบบมุขปาฐะเพ่ิมเติม ซ่ึงจากการลงเก็บข้อมูลภาคสนาม คณะผู้วิจัยพบว่า มีตานานเก่ียวกับคุ้งน้า
ตานานภูเขา ป่าศักด์ิสิทธ์ิ รายรอบหมู่บ้านคกเลาใต้ อันสามารถนามาประดิษฐ์สร้างทางการจัดการ
ทรัพยากรทางวัฒนธรรมตอ่ ไปได้
106
บรรณานุกรม
107
บรรณานุกรม
กตญั ญู ชชู ่ืน. (2543). ความรู้พ้ืนฐานเกี่ยวกับวรรณคดีไทย. กรุงเทพฯ : โอ. เอส. พริ้นต้งิ เฮ้าส์.
กนกวรรณ ชูชาญ. (2552). การจัดการความร้ทู างทรพั ยากรวฒั นธรรมโดยผนู้ าชุมชน เพอ่ื การ
ท่องเที่ยวชมุ ชนบา้ นผาหมอน ดอยอินทนนท์ จงั หวดั เชยี งใหม.่ วทิ ยานิพนธ์ ศลิ ปศาสตร-
มหาบณั ฑติ , สาขาวิชาการบริหารงานวัฒนธรรม, วทิ ยาลัยนวตั กรรม,
มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์.
กอ่ งแกว้ วีระประจักษ์. (2545). สารนิเทศจากคัมภีร์ใบลานสมยั อยธุ ยา. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร.
_______. (2548). การทาสมุดไทยและการเตรียมใบลาน. พมิ พค์ ร้ังท่ี พมิ พค์ รง้ั ที่ 2
แก้ไขเพิ่มเตมิ . พิมพลักษณ์ กรงุ เทพฯ : หอสมดุ แห่งชาติ กรมศลิ ปากร.
ไกรษร ดีขะมาตย์. (2549). การศึกษาเชงิ วิเคราะห์วรรณกรรมอสี านเรอื่ งลาพุทธเสน. วิทยานพิ นธ์
ปรญิ ญาศลิ ปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาจารกึ ภาษาไทย มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร.
งามนิจ กลุ กัน. (2555). การจดั การองค์ความรทู้ างวัฒนธรรมท้องถิ่นของตาบลอ้อมเกลด็
อาเภอปากเกรด็ จงั หวดั นนทบรุ .ี ขอนแก่น : วิทยาลยั การปกครองท้องถ่ิน
มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ .
จตรุ งค์ ภิรมยา, พระมหา. (2551). ศกึ ษาเชงิ วเิ คราะห์วรรณกรรมอีสานเรอ่ื งจนั ทะมดุ . วทิ ยานพิ นธ์
ปริญญาศลิ ปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาจารกึ ภาษาไทย มหาวิทยาลยั ศิลปากร.
จรรยา คงเจริญ. (2532). การศกึ ษาเร่อื งปฐมสมโพธ์ิ ฉบับวัดใหม่ทองสว่าง จงั หวดั อุบลราชธานี.
วิทยานิพนธป์ ริญญาศลิ ปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาจารึกภาษาไทย มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร.
จารวุ รรณ ธรรมวัตร. (2522). ลักษณะวรรณกรรมอีสาน. กาฬสนิ ธ์ุ : จินตภัณฑ์การพิมพ์.
จันทิมา อัมฤทธ.์ิ (2530). การศึกษาเร่ืองสพุ รหมโมกขาสานวนทอ้ งถ่ินอสี าน. วิทยานพิ นธศ์ ิลปศาสตร
มหาบณั ฑิต สาขาวชิ าจารึกภาษาไทย มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร.
ชลฐชิ า ผลประเสรฐิ . (2553). แนวทางการจัดการทรัพยากรวัฒนธรรมทางด้านโบราณคดี
กรณศี กึ ษา ถนนชายโขง อาเภอเชียงคาน จงั หวดั เลย. วิทยานิพนธ์ศลิ ปศาสตร-
บณั ฑิต มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร.
ชยั อนันต์ สมุทวณิช. (2548). ชวี ิต วัฒนธรรม ธรรมชาต.ิ สถาบันพิพิธภัณฑ์การ
เรียนรู้แห่งชาต.ิ
ธนกิ เลศิ ชาญฤทธ์.ิ (2554). การจดั การทรพั ยากรวัฒนธรรม. กรงุ เทพฯ : ศนู ยม์ านุษยวิทยา
สริ ินธร (องค์การมหาชน).
ธวชั ปณุ โณทก. (2537). วรรณกรรมทอ้ งถิน่ . พมิ พ์ครัง้ ที่ 1. กรงุ เทพฯ :
สานักพมิ พโ์ อเดียนสโตร์.
108
ธรี ะวฒั น์ ชะอมุ่ . (2554). การจัดการความรูท้ รัพยากรวัฒนธรรม: วดั พระศรรี ตั นศาสดาราม.
วิทยานพิ นธ์ศลิ ปศาสตรมหาบัณฑติ , สาขาวชิ าการจดั การทรัพยากรวฒั นธรรม,
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร.
ธนั ยพร วณชิ ฤทธา. (2550). การจดั การความร้ใู นชมุ ชน: กรณีศึกษาดา้ นการจดั การท่องเที่ยว
เชิงนเิ วศ โดยชุมชนมีส่วนรว่ ม จงั หวัดสมุทรสงคราม.วิทยานพิ นธศ์ ึกษาศาสตรมหาบัณฑติ ,
สาขาวิชาเทคโนโลยกี ารศึกษา, บณั ฑิตวิทยาลัย, มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร.
ธัญญา สังขพนั ธานนท์. (2556). วรรณคดีสีเขยี วกระบวนทัศนแ์ ละวาทกรรมธรรมชาติใน
วรรณคดไี ทย. กรุงเทพฯ : นาคร.
เธยี รชาย อักษรดิษฐ์. (2552). ตานานพระเจา้ เลยี บโลก : พ้ืนท่ีทางสังคมและวฒั นธรรมลา้ นนา
ภูมนิ าม ตานาน ผคู้ น. เชียงใหม่ : ธารปญั ญา.
บญุ เกดิ พิมพว์ รเมธากุล. (2544). ประเพณีในบุญประเพณีของไทอสี าน : ประเพณอี ีสานและ
เกรด็ โบราณคดีไทอสี าน. ขอนแกน่ : คลงั นานาวิทยาธรรม.
บุญเหลือ บรุ าณสาร. (2548). โอกาสโลกทปี นี. กรงุ เทพฯ : กรมศลิ ปากร
_______. (2543). “รายงานการฝึกอบรมการอนรุ ักษ์คมั ภรี ใ์ บลาน ณ สถาบัน
อนรุ ักษศ์ ิลปะ ศนู ยก์ ลางการอนุรกั ษศ์ ิลปะรัฐโอรสิ สา”. 27 พฤศจิกายน 2542 – 25 มีนาคม
2543. (เอกสารอัดสาเนา)
บวั ไข เพง็ พระจันทร์. (2551). การฟ้นื ฟคู มั ภรี ์ใบลานในยุคจินตนาการใหม่
สาธารณรัฐประชาธปิ ไตยประชาชนลาว. วิทยานิพนธ์ (ปร.ด. ไทศึกษา)
มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม.
ปฐม หงษส์ วุ รรณ. (2554). คตชิ นกบั ชนชาตไิ ท. มหาสารคาม : ภาควชิ าภาษาไทยและภาค
ตะวนั ออกคณะมนษุ ยศาสตร์และสังคมศาสตร.์
_______. (2550). กาลครงั้ หน่ึง : ว่าดว้ ยตานานกับวัฒนธรรม. กรงุ เทพฯ :
สานกั พมิ พ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ปราณี บานชนื่ . (2527). ความหมายและประวัตคิ วามเป็นมาของการต้งั ช่ือตาบล
หม่บู ้าน และสถานทสี่ าคัญต่างๆ ในเขตจงั หวดั เลย. (มปท.)
พรรณี วันเทียร. (2527). การศึกษาเชงิ พจิ ารณว์ รรณกรรมอสี านเร่อื งหน้าผากไกลกะดน้ .
วทิ ยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชามานุษยวิทยา มหาวทิ ยาลัยศิลปากร.
ไพโรจน์ ศรีแกน่ จนั ทร์. เปิดกรุหนังสือใบลาน ย้อนตานานรอยจารกึ . กรงุ เทพธุรกจิ 5 ตุลาคม 2543
หน้าพเิ ศษ 2.
ราเพย ไชยสินธ.ุ์ (2537). วเิ คราะหว์ รรณกรรมอีสาน. เลย : รุ่งแสงการพิมพ์.
เรืองศักดิ์ ละทยั นลิ . ธรรมาสนง์ ดงามจากไม้ส้มโฮงทจ่ี ังหวดั รอ้ ยเอ็ด. เลขเรยี ก CPS 2232
สานกั วิทยบรกิ ารมหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม. แหล่งข้อมูล แนวหนา้ 14 สงิ หาคม 2535.
109
วลัยลักษณ์ ทรงศิริ. (2555). ซายฟองนครแห่งอดีต. ออนไลน์ 22 ม.ค. 2562
http://lek-prapai.org/home/view.php?id=717
วสิ ทิ ธศิ กั ดิ์ สตั พันธ์. (2549). การศกึ ษาเปรียบเทยี บมหาเวสสนั ดรชาดกกณั ฑ์ชชู ก ฉบับภาษา
อีสานและฉบบั ภาษาเขมร. วทิ ยานิพนธป์ รญิ ญาศลิ ปศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชาจารกึ
ภาษาไทย มหาวิทยาลยั ศิลปากร.
วัชรพร องั กรู ชัชชยั . (2547). การศกึ ษาเปรียบเทยี บวรรณกรรมเรือ่ ง ภัยยราช ฉบับภาคเหนือและ
ภาคอสี าน. วทิ ยานพิ นธ์ปริญญาศลิ ปศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ าจารกึ ภาษาไทย
มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร.
วรางคณา สิรยิ ุตตะ. (บรรณาธิการ). (2554). ประวัติศาสตร์ 77 จังหวัด. กรุงเทพฯ :
เพอ่ื นเรยี นเด็กไทย.
ศารศิ า สขุ คง. (2556). นิทานพนื้ บ้านไทดาบา้ นนาป่าหนาด ตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน
จงั หวดั เลย. สถาบนั วิจยั และพัฒนา มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏเลย.
ศิราพร ณ ถลาง. (2552). ทฤษฎคี ตชิ นวิทยา วธิ ีวิทยาในการวิเคราะหต์ านาน-นิทานพืน้ บ้าน.
กรงุ เทพฯ: สานักพิมพแ์ ห่งจุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั .
ศริ สิ ภุ า เอมหยวก, ลายอง สาเร็จดี และเจนต์ คันทะ. (2550). การจดั การความร้ภู ูมิปัญญาทอ้ งถนิ่
การทอผา้ บ้านคลองเตย ตาบลบึงกอก อาเภอบางระกา จังหวดั พิษณโุ ลก. วารสาร
สานักหอสมดุ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษิณ, 6 (1), 94 - 106.
ศรศี กั ร วัลลโิ ภดม. (2554). พัฒนาการทางสงั คม-วัฒนธรรมไทย. กรงุ เทพฯ : เมืองโบราณ.
สถิต ภาคมฤค. (2551). การศึกษาภูมิปัญญาทอ้ งถนิ่ จากวรรณกรรมอสี านเร่ืองสุวรรณจักรกุมาร.
วิทยานิพนธป์ ริญญาศลิ ปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าภาษาไทย มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั
มหาสารคาม.
สมัย วรรณอุดร. (2545). ศึกษาเปรียบเทียบวรรณกรรมอีสานและลาวเรือ่ ง ลาบุษบา. วิทยานิพนธ์
ปรญิ ญาศลิ ปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าจารกึ ภาษาไทย มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร.
_______. (2557). พระลักพระลาม (รามเกยี รติ์ฉบับลาว) : การนาเสนอภาพแทน
อัตลกั ษณล์ าวและนเิ วศวัฒนธรรมลมุ่ น้าโขง. วทิ ยานิพนธ์ปริญญาปรัชญาดุษฎีบณั ฑติ
สาขาวชิ าภาษาไทย มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม.
สขุ ฤดี เอี่ยมบตุ รลบ. (2532). การศกึ ษาวรรณกรรมอีสานเรอื่ งพญาคนั คาก. วิทยานพิ นธ์
ปรญิ ญาศลิ ปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาจารึกภาษาไทย มหาวทิ ยาลัยศิลปากร.
สุเทพ ทิพรส. (2518). มปท. ประวัตเิ มืองเชียงคานและพระยาศรีอรรคฮาด ตานานวัดทา่ แขก
นทิ านแก่งคุดคู้. (เอกสารพมิ พด์ ดี )
สธุ ารนิ คูณผล. (2541). บทสารวจ “พ้นื ท่สี าธารณะ”. คณะรัฐศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์.
กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์.
110
สุภาพร รอดวรรณะ. (2536). วรรณกรรมอสี านเร่อื งลนิ ทอง. วทิ ยานิพนธป์ รญิ ญาศิลปศาสตรมหา
บัณฑติ สาขาวชิ าจารกึ ภาษาไทย มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร.
สรุ ยิ า บรรพลา. (2545). เจา้ เมืองเลย ก่อนปี พ.ศ. 2396. เลย : รงุ่ แสงธุรกิจการพิมพ.์
สุรยิ า มาตยค์ า, พระ. (2545). วิเคราะห์ปรศิ นาธรรมจากวรรณกรรมอสี าน. ปรญิ ญาศิลปศาสตร
มหาบัณฑิต สาขาไทยศึกษาเพอื่ การพัฒนา สถาบันราชภัฏเลย.
สายนั ต์ ไพรชาญจติ ร์. (2550). การจัดการทรพั ยากรทางโบราณคดใี นงานพัฒนาชมุ ชน.
(พิมพค์ รั้งที่ 3). กรุงเทพฯ: ศักด์ิโสภาการพิมพ์.
สานักงานวัฒนธรรมจงั หวัดลาปาง. (2551). การมสี ว่ นรว่ มของเครือขา่ ยวัฒนธรรมและชมุ ชน
ในการบรหิ ารจดั การวัฒนธรรม : กรณีศกึ ษากลุ่มก๋องปจู่ าบ้านวังหม้อ ตาบลต้นธงชยั
อาเภอเมือง จังหวดั ลาปาง.
สานักหอสมดุ แห่งชาติ. (2552). คู่มือสารวจ จดั หา รวบรวมทรัพยากรสารสนเทศ เอกสารโบราณ
ประเภทคมั ภีรใ์ บลานและสมุดไทย. กรงุ เทพฯ : สานักหอสมดุ แหง่ ชาติ กรมศลิ ปากร.
อคนิ รพีพัฒน.์ (2551). วฒั นธรรมคือความหมาย : ทฤษฎแี ละวิธกี ารของคลฟิ ฟอร์ด เกยี ร์ซ.
กรุงเทพมหานคร : ศูนยม์ านุษยวทิ ยาสริ ินธร (องค์การมหาชน).
อภญิ ญา เฟื่องฟสู กุล. (2543). พืน้ ที่ในทฤษฎที างสังคมศาสตร์. วารสารสงั คมศาสตร์, 12(2), 65-101.
อานนั ท์ กาญจนพันธ์ุ. (2548). ทฤษฎีวทิ ยาละวิธีวิทยาของการวิจยั วัฒนธรรม. กรงุ เทพฯ : อมรินทร์
อมรา พงศาพิชญ์. (2549). ความหลากหลายทางวัฒนธรรม กระบวนทัศน์และบทบาทใน
ประชาสงั คม. กรงุ เทพฯ : จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เอกวิทย์ ณ ถลาง. (2544). ภูมปิ ญั ญาอสี าน. กรุงเทพฯ : มูลนธิ ิภมู ปิ ญั ญา.
111
รายนามบคุ คลผใู้ ห้สัมภาษณ์
ชาวบ้านคกเลาใต้ ตาบลบุฮม อาเภอเชยี งคาน จังหวดั เลย
นายสวุ ัชชยั ไขมี สมั ภาษณ์ 12 กุมภาพันธ์ 2561
นายปัญญา ศรสิทธิ์ สมั ภาษณ์ 12 กุมภาพนั ธ์ 2561
นายกิตตศิ ักด์ิ ลาอ่อน สมั ภาษณ์ 12 กุมภาพนั ธ์ 2561
นายอุทนิ ทองเติม สมั ภาษณ์ 15 มีนาคม 2561
นายกันยา ภญิ โย สมั ภาษณ์ 16 มีนาคม 2561
นางนวย พิมพส์ ุด สัมภาษณ์ 15 มนี าคม 2561
นายทองคูณ ดตี า สัมภาษณ์ 25 เมษายน 2561
นางชื่น ดตี า สัมภาษณ์ 25 เมษายน 2561
นายกติ ตศิ ักด์ิ ดตี า สมั ภาษณ์ 25 เมษายน 2561
นางวมิ ลรตั น์ ดีตา สมั ภาษณ์ 25 เมษายน 2561
นางสาวอาภัสรา ดตี า สัมภาษณ์ 25 เมษายน 2561
นายประมงค์ ลาอ่อน สัมภาษณ์ 25 เมษายน 2561
นางเยือ ลาอ่อน สัมภาษณ์ 25 เมษายน 2561
นางสาวศรนิ ยา ลาออ่ น สมั ภาษณ์ 25 เมษายน 2561
นางหนรู ัก จนั ทบุตร สมั ภาษณ์ 25 เมษายน 2561
นายเตรยี ม จนั ทบตุ ร สัมภาษณ์ 25 เมษายน 2561
นายกองขนั ธ์ สารดี ี สมั ภาษณ์ 25 เมษายน 2561
นางเตอื น สารีดี สัมภาษณ์ 25 เมษายน 2561
นายวฒั นา พินโย สัมภาษณ์ 25 เมษายน 2561
นายประมวล ลาอ่อน สมั ภาษณ์ 25 เมษายน 2561
112
ภาคผนวก
113
ภาคผนวก ก.
วรรณกรรมท้องถนิ่ เรือ่ งพ้ืนเมอื งซายฟอง
ฉบบั ปรวิ รรต วัดศรชี มช่ืน บ้านคกเลาใต้ ตาบลบฮุ ม อาเอเชียงคาน จงั หวดั เลย
114
พ้ืนซายฟอง
ฉบบั วัดศรีชมชืน่ บา้ นคกเลาใต้ อาเภอเชยี งคาน จงั หวัดเลย
________________________________
(ลานท่ี 1 หนา้ 1)
- นะโม ตัสสตั ถชุ ะนะ สปั ปุริสาทัง้ หลาย จงตง้ั โสตาผาสาทหฟู ังยงั ตานานนิทานพระยาอินทาธริ าชเจา้
อันนเ้ี ทนิ สตั ถา อันว่าสพั พญั ญพู ระพุทธเจา้ ทั้งหลายแห่งเฮาจักเขา้ สู่นี
- ระพาน พระพุทธเจา้ ก็ไปเท่ียวโผดปณั ณสัตวท์ ัง้ หลาย ในสกลชมพทู ปี ท้ังมวลในเขตขงกงเมืองทั้งหลาย
บา้ นน้อยแลนคิ มบ้านใหญ่เมอื งหลวงทง้ั หลายตามประเวณดี ังพระพทุ ธเจ้าท้ังหลาย
- แตก่ ่อนอันเขา้ สู่นีระพานไปแล้ว พระพุทธเจ้าก็ตระเดนิ ไปเลียบโลกโผดตามประเวณีดงั พระเจา้
ท้ังหลายแล้วไปแลว้ แต่ก่อนก็มแี ล มหาอานนทแ์ ลอรหนั ตาเจา้ ทัง้ หลาย
- พระยาอโศกมหากษัตริย์กไ็ ปตามอุปฏั ฐากพระพุทธเจา้ ด้วยลาดับบา้ นนอ้ ยแลนิคมเทียวฮวั้ คือว่าแมน่ า้
แลภดู อยทั้งหลายควรโผด พระเจา้ ก็ไปโผด พระเจา้ ก็ไปโผดคือว่าคนแลเทวดาอาฮัก
(ลานท่ี 1 หนา้ 2)
- มเหสักขาแลครุฑนาคทัง้ หลายแล้วพระก็ไว้ฮอยปาทาลกั ษณแ์ ลให้เปน็ ท่ไี หวแ้ ลบชู าแก่คนแลเทวดา
ท้ังหลายแล้วพระพทุ ธเจ้าก็เสดจ็ ไปเถิงดอยอัน 1 ชอื่ วา่ ดอยชา้ งสารเปน็ ที่ดชู มยิ่งนกั ดอยอันนนั้ เป็นฮู
บช้างนอนอยู่ มสี ระนา้
- บ่ออัน 1 ต้ังอยู่เหนือปลายดอยที่น่ัน ยงั มหี นิ ผาลาก้อน 1 ฮาบเฮียงเพียงงามกค็ วรละเมาเอาใจย่งิ นัก มี
พญานาคตัว 1 กอ็ อกมาขอสรณาคมนด์ ังนนั้ พระพุทธเจา้ ก็อดี กู ูนายังพญานาคก็ให้
- สรณคมน์แก่พญานาคโตนน้ั พญานาคก็ขอฮอยพระบาทปาทาลักษณ์ไปให้แก่พญานาคอปุ ัฏฐากเพ่ือให้
เป็นทีไ่ หวแ้ ลบูชาแก่คนแลเทวดาทัง้ หลายกม็ ีแล อะถะ ตะทา ในกาละเมือ่ น้ัน สักโกเท
- วะราชา พระยาอินทาธิราชกม็ าติคะนงิ ในใจแห่งตนวา่ กูก็ควรลงไปไหว้สัพพญั ญูพระพุทธเจ้าเทศนา
ใหแ้ จ้งจงิ ควรแท้ดีหลแี ล อินทาติคะนงิ ดงั น้ีแล้ว โอตะรติ วา ก็ลงมา คนั ว่า
(ลานท่ี 2 หน้า 1)
- มาฮอดแลว้ ก็ไหวน้ บคมรบแลว้ แลบูชา วนั ทิตวา พระยาอินทรก์ ็ไหว้พระพทุ ธเจ้าวา่ ภนั เต ภะคะวา
ขา้ ไหวส้ พั พญั ญเู จา้ ในเม่อื พระพุทธเจ้ายงั อยโู่ ผดสตั วโ์ ลกท้ังหลาย กห็ ากสมริทธบี อระบวนด้วยคามกั คา
- ปรารถนาแหง่ สัตวโ์ ลกแทแ้ ล คนั วา่ สัพพัญญูเจ้านีระพานไปแล้วดงั น้ัน คนทั้งหลายเขากระทาบญุ ให้
ทานรกั ษาศลี ฟังธรรมสร้างกุสลโกศลคือวา่ เปิงเปน็ อนั คุรุอนั ใหญ่อนั หนักลามุก
115
- อันน้อยอันเบานักกย็ งั จกั มผี ลบญุ ผละอานิสงส์เป็นดงั รือก็ขา้ จา ยงั เปน็ เหมือนดงั เมื่อพระพุทธเจา้ ยังอยู่
โผดสตั ว์โลกนก้ี ็ข้าจา ฮูว้ า่ จกั หาผละอานสิ งส์บ่ไดก้ ข็ ้าจา ภะคะ
- วา อันว่าพระพุทธเจ้าก็ไดย้ ินคาพระยาอนิ ทร์หากไหวต้ นดงั นน้ั พระพทุ ธเจา้ กเ็ ทศนาว่า มหาราชา
ดรู ามหาราช ในเม่ือกูพระตถาคตนีระพานไปแล้วกจ็ ักตง้ั ไว้ยังคองแก้วคือวา่ ศาสนาไว้
(ลานที่ 2 หน้า 2)
- ถ้วน 5 พันวสั สาดงั น้ัน บคุ คละผู้ใดมใี จในศรัทธาในศาสนาดงั นั้น ชอ่ื วา่ ให้ทานรกั ษาศีลเมตตาภาวนา
กุสลโกศลอันใหญ่แลอันน้อยดงั นนั้ อนั ว่าผละอานิสงส์แห่งเขาอันได้พระทาบุญให้
- ทานรกั ษาศีลภาวนาในศาสนากพู ระตถาคตประถมหวั ทีต้ังต้นน้ันก็จกั มผี ละอานสิ งส์มีประมาณวา่ ได้
แสนกปั แทแ้ ล ในเม่อื ศาสนากูพระตถาคต
- ลาลดปลดลงไปเถิงพนั ถว้ น 2 ตถาคตลาลดถอยลงไปถว้ น 3 พนั วสั สาดงั น้นั เขาทัง้ หลายก็ยงั เลื่อมใส
ในศาสนา เขากระทาบญุ ให้ทานเมตตาภาวนากระทากุสละ
- โกศลอนั นอ้ ยอันใหญ่ อันวา่ ผลาผลบญุ ก็มีประมาณพัน 1 แล เหตผุ ไู้ ด้กระทาบญุ ดังน้ัน เขากบ็ เ่ ช่ือใน
กุสลบุญ ใจแหง่ สัตว์ท้งั หลายเปน็ บาปธรรมอกุศลเสยี จิงบ่มีผลาอันมากคามเพื่อดังน้ันแล
(ลานท่ี 3 หน้า 1)
- เจา้ ภิกขุตนรบั ทานทายกนนั้ ก็บ่ทรงธุตังค์คองวตั ร 13 ข้อ บ่รักษาสกิ ขาบทอนั น้อยอันใหญ่ ท่อรักษามา
แตป่ าราชกิ 4 ตวั เดยี วก็ท้ังยาก จงิ หาผลาอานสิ งสบ์ ่ได้เพื่ออ้ันแล ผิว่าเจ้า
- ภิกขตุ นทรงวนิ ยั กจ็ ิงมผี ลาอันมากเพอ่ื บุญนั้นแล ดรู าอนิ ทามหาราช เหตุใดกูพระตถาคตวา่ จา เหตุวา่
หาอรหนั ตาขีณาสาวกเจ้าบ่ได้แล ภันเต ขา้ ไหวส้ ัพพญั ญเู จ้า
- ศาสนาสพั พญั ญูเจ้าจักต้ังอยู่เทา่ 5 พนั วัสสาดงั นน้ั บุคคละเจ้าองค์ใดค่อยจักขบั ตามคาสอนสพั พัญญู
เจา้ ก็ยงั จักมีกข็ า้ รือ ฮวู้ ่าหาบ่ไดก้ ็ข้าจา ภะคะวา อนั วา่ สพั พญั ญเู จ้าก็
- เทศนาว่า มหาราชา ดูรามหาราช ลูกศษิ ยก์ ูตถาคตก็มักนอ้ ยมักบาง หาบุคคละผู้จักกระทาคองอันเป็น
ท่สี ุดที่แล้วในสิกขาบทอนั น้อยอนั ใหญก่ ็หาก็บ่ไดซ้ ะแล กเ็ ท่านบั อยู่นับกินตามครบู า
(ลานที่ 3 หน้า 2)
- อาจารย์แห่งเขาสัง่ สอนไว้น้ัน ท่อปฏบิ ัตติ ามฮีตคองเขาไปนน้ั แล คันวา่ ศาสนาของเฮาไปเถงิ 4 พนั วสั
สาดงั นนั้ หาบุคคละผู้ใดตนใดตน 1 จกั ชมุ รปู กันพอถ้วน 4 ให้ฮอดท่ที า
116
- สังฆกรรมมีตน้ วา่ อโุ บสถ จตสุ ันนิบาตสามัคคีกห็ าบ่มีไดแ้ ล ดรู ามหาราช ในเม่อื ศาสนาของเฮาล่วงไป
เถิง 5 พันวัสสา มาตาวา่ ผ้าเหลืองน้อย ๆ ห้อยบ่าควา่ ไปมานั้น เขาสมมตวิ ่าบคุ คละผนู้ น้ั เป็นภิกขุภาวะ
ยามนนั้ ซะแล บคุ คละผู้มใี จศรทั ธาให้ทานก็มีผลาแท้แล เหตวุ า่ เขาเลื่อมใสใน
- ศาสนาของพระตถาคตแท้แล พระพุทธเจ้าเทศนาแก่พระยาอนิ ทร์เทา่ น้ันแลว้ พระยาอินทร์ไหวน้ บคม
รบยาแยงสพั พัญญเู จ้าแลว้ ก็เสด็จเมือสู่ท่ีอยู่แห่งตนก็มีแล กิริยาจาห้องพระยา
(ลานท่ี 4 หน้า 1)
- อนิ ทร์ลงไหว้ถามผละอานิสงส์แหง่ คนแลเทวดาทั้งหลายอันกระทาบุญให้ทานกเ็ ปน็ ห้องเท่านีก้ ่อนแลฯ
อะถะ สกั โก ทนี น้ั บนั้ อนิ ทาธิราชกเ็ สวยสมบัตทิ ิพย์แห่งตนเส้ยี งกาลอันนั้นมากนกั พระพุทธเจา้
- ก็เสด็จเขา้ สูน่ ีระพานไปนานได้ 2 พนั ปลาย 4 ฮ้อย 33 พระวัสสาดงั นน้ั อนิ ทาธิราชเจ้ากม็ าหลงิ ดยู ัง
สัตว์โลกทั้งหลายอนั จักเป็นโพยภัยหลายประการต่างๆ กม็ แี ก่คนทงั้ หลายหาสุขสาราญบานใจบ่ได้ จัก
เกิดโพยภยั 3 ประการ ทุพภิกขาอนั 1 คือว่าอึดข้าว อัน 1 คือวา่ ผีตวั ฮ้าย อนั 1 คอื วา่ โพยภยั อนตาย
ต่างๆ มแี กค่ นทงั้ หลายมากนัก ยักขาคนั ธรรพท้งั หลายตวั มันใหญ่บังเกิดเป็นไข้ปว่ ยไขห้ ามแก่คน
ท้ังหลายทง้ั เมืองกม็ แี ล ยกั ษ์ตัว 1 มนั กระทาใหเ้ ป็นไค่เป็นพองเป็นบาดเป็นฝีเจ็บปวดเวทนามากยิ่งนักก็
มีแล ยกั ษ์ตวั 1 มันกระทาให้เป็นเสือควายชนแข้ขบแลเงือกกินตายด้วยประสูติลูกแก่ผู้
(ลานที่ 4 หน้า 2)
- หญงิ ท้งั หลาย ยักษ์ตวั 1 ใหญม่ ันให้บงั เกิดเป็นท้องข้ีฮากตากหงายแลลงเลือดลงมูกให้ลาบากมากนกั ก็
มีแล ยังมียักษ์ตัว 1 มันกระทาให้เป็นเหตุชอ่ื วา่ ยักษ์คะลาด มากินคาป้อยคาดา่ คนทั้งหลายดา่ วา่ ใหม้ ึง
ตายเนอ ว่าดงั น้นั ก็ตายแท้ ว่าให้เสือขบมึงเนอ เสือก็กินแท้ วา่ ใหผ้ หี งู ผีห่ากนิ มึงเนอ วา่ ดงั นน้ั ก็กินแท้แล
แตน่ นั้ พระยาอนิ ทาเจ้าก็มักใครอ่ ิดกู ูนาคนทัง้ หลายจงึ ให้คาถาแก่
- คนทง้ั หลาย อยากให้เห็นหน้าเจ้าผมู้ ีบญุ แทจ้ งใหพ้ ร้อมกันรักษาศีลฟงั ธรรมเทิน กจ็ ักหายอนตาย จกั ได้
เหน็ หนา้ ท่านผ้มู บี ุญซะแล เถิงปรี ะกานน้ั จักบังเกดิ โพยภยั อึดอยากผหี งู ผหี ่าจักให้
- บังเกิดเจบ็ ท้องข้ีฮากตากหงายมากนัก อัน 1 สากลหนแห่งท้ังบ้านทุกเมืองในชมุ พูทปี น้ีแลว้ เถิงปรี ะกา
ตอ่ ไปปีจอจักบังเกดิ เปน็ ข้าเสิกคนโจรววิ าทผิดเถียงกัน บ้านใตจ้ ักผิดบา้ นเหนือ บา้ นเหนือจักผดิ บา้ นใต้
เฮือนใต้จักผดิ
117
(ลานที่ 5 หน้า 1)
- เฮือนเหนือ เฮือนเหนือจักผดิ เฮือนใต้ ท้าวพระยาท้ังหลายกจ็ ักยาดชงิ กนั ด้วยเขตแดนไฮ่นาฮั้วสวนพดี
ชะงอดงาอากอน จักฆา่ ฟันกันตายหาสขุ สบายใจบ่ไดแ้ ก่คนท้งั หลาย ซะแล อนั ว่าพระยาอนิ ทราธริ าชเจ้า
จงิ ให้เอาคาถาอันน้ีไว้
- ใหแ้ กค่ นทง้ั หลายมักใคร่ อยากเหน็ หนา้ ท้าวผู้(มี)บญุ ดงั นั้น จงิ ใหภ้ าวนาคาถาอนั นี้เทิน ปเุ รยกุ ขะ
สัพพะสตั ตานงั อิชชะเสฏฐัง พมู ะภะฑัณทานงั เทวะเทโวสัพพะยกั ขา ปะลายันตุฯ หริ ิ
- โอตตัปปะสมั ปันนา สกุ กะธัมมา สัมมาหติ า สนั โตตะปุริสาโลเก เทวะธัมมาติ วุจจะเล ดงั น้ี วา่ ผลาบุญ
อันได้ ภาวนาคาถาอนั น้ี พ้นพายแุ ลโพยภยั แลอนตายท้ังมวล จกั ได้
- เหน็ หนา้ ท้าวผมู้ ีบญุ ให้ว่า พุทธงั สะระณัง คัจฉามิ ธมั มัง สะระณัง คัจฉามิ สงั ฆงั สะระณัง คจั ฉามิ
ตราบตอ่ เท่าถึง ทุติ ตะติ เทนิ เมือ่ จกั ภาวนาใหช้ าระเน้ือตน สาเกลา้ ดาหวั เสยี แล้ว จงึ รกั
(ลานที่ 5 หนา้ 2)
- ษาศลี 5 ศีล 8 จึงภาวนาเทิน จกั ไดเ้ ห็นหน้าทา่ นผ้(ู มี)บุญซะแล ใหค้ มรบย่าแยงผู้เฒ่าผู้แกพ่ อ่ แม่ ครูบา
อาจารยเ์ ทิน พระยาอนิ ทาเจ้ากม็ าหลงิ เห็น อันจกั เปน็ โพยภยั อนตายแกค่ นทงั้ หลาย ดงั นน้ั จิงกลา่ ว
- คาถาบทน้ีให้ภาวนาไปหาทา่ นผู้มีบุญ เทิน เสทัง สังนัง โสอะ สะอะ ทะนนู ะ บทน้ีภาวนาไปหาเจ้าผู้มี
บญุ ซะแล ฯ โอมนิทติ เิ ล สะวุวะหะมะ มะนาอติ พิ เพไขอติ ิ กะ
- ระมะนา มิทานะ โททธิกะฯ บทน้ีภาวนากันยักษ์แลพายุท้ังมวลแล ให้คนท้ังหลายฮู้แจ้งหนงั สอื พระยา
อนิ ทาเจา้ เทิน ในปรี ะกาตอ่ ปจี อกันนน้ั ทา่ นผู้มบี ุญจักมาโผดคนทง้ั หลาย บ่อยา่ ซะแล
- ท่านผู้มีบุญน้ันจักเกิดมาในเมืองภูซูนพุ้นแล ยังไปเฮียนศาสตรศิลป์ในป่าหิมพานต์จบบอระบวนแล้วจิ
งออกมาสร้างเมอื งซายฟองหนองคาแสนแท้แล ตาปะโส อันวา่ เจา้ รสั สี ก็ส่ังสอนศลิ ปะคุณบอระบวนทุก
ส่ิง
(ลานท่ี 6 หน้า 1)
- ทุกอันๆ 1 ดาลอดพ้ืนปฐวิงภายลมุ่ ก็ไดบ้ ท 1 บินเผ่นผายขน้ึ เมอื งฟา้ ดังหงส์บท 1 มนตก์ ล่อมกงิ่ หลับ
ทว่ั ท้ังเมือง คนทงั้ หลายตีงตน(บ)่ ไดบ้ ท 1 สบใสไม้ลม้ ท่าวเป็นถันฝูงสกั ขาล่าวเลยี นไปเสยี้ งบอระบวน ตา
ปะโส ส่วนดงั เจ้า พระก็
- ยอยนื่ ใหธ้ นูศิลป์อันประเสรฐิ เจา้ กช็ มชน่ื ยินดีเซงิ่ รสั สเี จ้าพอ่ ครูแลว้ เจา้ กก็ ้มขาบไหว้ ตาปะโสลาเลิก
นบนอบน้วิ พระรสั สแี ลว้ ลวดหนี ทา้ วกต็ ระเดินไปหน้าไปเถงิ ที่พระยาธร
118
- ตนหนึง่ กก็ ม้ ขาบไหว้ พระยาธรเจ้าซุอนั ผ้ขู า้ ไหวเ้ จ้าพอ่ พระยา ขอกนู าโผดผายตัวข้าน้อยจักไปอยูส่ ร้าง
เมืองใหญซ่ ายฟอง ขออย่าให้มีอนตายถกื ตนตัวข้า แต่นัน้ ก็สอนส่งั ใหศ้ ลิ ปะคณุ ทุกสิง่ สอน
- ส่ังใหบ้ าทา้ วจือ่ จาบอระบวนแลว้ พระยาธรก็ยืน่ ตะบองเพชร ยอใหแ้ ก่บาแลว้ ดรู าท้าว ศิลปะคุณอันนี้
ท่านจักดาดนิ บนิ บนก็ไดแ้ ล ตะบองเพชรนี้กวัดแกวง่ ขึน้ เป็นนา้ เป็นไฟกไ็ ด้ แมน้ วา่ ข้าเสิกศัตรจู กั มา
(ลานท่ี 6 หน้า 2)
-ท้าวจงกวดั แกวง่ ขอนตะบองเพชรไป อนั ว่าข้าเสิกเขาก็ออระทายหายไปบอ่ าจจกั ตง้ั อยไู่ ด้แล พระยาธร
ก็สงั่ สอนใหท้ ุกประการถ้วนแลว้ ท้าวกส็ ง่ั อาลาพระยาธรแล้วก็มาด้วยลาดับคาวทางแล้ว สมั ปัตโต
- ก็มาฮอดมาเถงิ ในเมืองภูซนู กม็ ีแล คนั วา่ มาฮอดผาสาดอันเป็นทอี่ ยู่แหง่ ตนแล้ว บาก็นบนอบไหว้พระ
แมม่ ารดาขอกนู าโผดผายตัวข้า ข้าจกั ไปล่าเยี่ยมโหนโลกโลกา อย่าให้มี
- โพยภยั เบยี ดตนตัวข้า ทา้ วควรไหว้แล้วพระแม่มารดา บากว็ อยวอยมาฮอดดา้ วภายพล้ี ่วงมา มาถงึ ห้อง
ซายฟอง หลิงลา่ เจา้ กผ็ อ่ เยย่ี มไปแท้ซุภาย ก็จงิ เอามือบายน้าวศรทอ้ นยิง ผาไมห้ ัก
- มุ่นเปน็ กระจอนไป คนทัง้ หลายอนั อยใู่ นชมพทู ีปทัง้ มวล เขาก็สะดงุ้ ตน่ื ตกใจกลวั มากนักก็มีแล แต่นัน้
ปืนก็กลับคนื มาสแู่ หลง้ ดังกล่าวห้นั แล แตน่ น้ั ทา้ วกล็ งสู่พ้นื ปัฐวิงภายลมุ่ แล้ว ท้าวก็เอามอื นวดน้าวยงั
(ลานท่ี 7 หน้า 1)
- สายธนแู ล้วกย็ งิ ไปเป็นดังฟ้าผา่ 7 ทีน้ันแล ปนื ก็กลบั คนื มาสู่แหลง้ ดังเกา่ ก็มแี ล แล้วก็ลวดกลายเกดิ มา
แท้บ่นาน ปาสาทัง ยังผาสาด 7 หลงั พรอ้ มท้งั หอหลงิ หอเลยทงั้ มวน ประดบั ประดาไปด้วยแก้วแลยอด
ช่อฟ้าแลดวงปเี ป็นดั่งวิมานเทพบตุ รอันเกิดในช้ันฟ้าตาวะติงสานั้นก็มแี ล ปาการัง อันวา่ ปราการเวยี ง
แก้วสามชนั้ ก็มาแวดลอ้ มทุกก้าทกุ ภาย มที ้ังหอหลิงแลหอเลย พรอ้ มบอระบวนก็ควรอัศจรรยม์ าก
- นักแล อันว่าเสนาทง้ั 4 ก็เกิดมาไหว้นบคมรบอยู่ ก็มีแล อันว่าเสนาอามาตย์ทง้ั หลาย อันได้ 3 แสน 6
หมืน่ ก็เกิดมามากนัก อันวา่ นางนักสนมท้งั หลายกไ็ ด้ 3 พัน 6 ฮ้อยกม็ าแวดล้อมอยู่ทุกวันทกุ ยามกม็ ีแล
เจา้ ก็เสด็จข้ึนสู่หอปราสาทแล้ว เจ้าก็น่ังอย่เู หนือแท่นแกว้ อันประเสรฐิ อันประดับด้วยแก้ว 7 ประการ ดู
ฮงุ่ เฮืองงามเป็นดง่ั เทวบตุ รน้นั ก็มีแล อะถะ ในกาลยามนั้น สว่ นดงั อนั วา่ ร้ีพนมหลโยธาท้ังหลายก็ไดแ้ สน
โกฏิ ก็บังเกิดมาก็ดว้ ยเต
(ลานที่ 7 หน้า 2)
- ชะ อานุภาพบุญสมภารก็มีแล อันว่าชา้ งมา้ ก็เกดิ มาไดด้ ว้ ยล้านดว้ ยแสนกเ็ ขา้ มาสสู่ มภารมหากษัตรยิ ์
เจ้าตนนนั้ บุญมาก สุวณั ณะระชะตัง อันวา่ เงินแลคาแกว้ 7 ประการก็ไหลหลั่งเขา้ มาสู่ เลม่ สางมากนัก
119
แลอันว่าเส้ือผ้าเงินคาแกว้ แลซืนก็เกิดมาด้วยบญุ สมภารเจ้ามากนัก อันวา่ ขา้ วของคือวา่ ข้าวเปลือก
ข้าวสารท้ังหลายก็ไหลหล่งั เข้ามาสสู่ างมากนักแล อนั วา่ คนทงั้ หลายกบ็ ไ่ ดก้ ระทาไฮ่นา เถงิ กาลฤดกู ็หาก
เกิดมาดว้ ย
- บุญสมภารมหากษตั ริยต์ นนั้นแล อันวา่ ลาด(ตลาด)ใหญ่ตัง้ เดยี ระดาษเป็นถันยทุ ่างคนท้ังหลายซื้อจ่าย
ขายกนิ ตามคามักซปู่ ระการก็มีแล อนั วา่ ฝูงชายหนุ่มนอ้ ยเป็นบา่ วนงฮาม ยทุ ่างกนิ สุราปีบโฮทกุ ภาย
ยทุ า่ งสนกุ ลน้ ซายฟองเมืองเอก ฮ้อยประเทศทา้ วมาน้อมสว่ ยไฮ คนไหลเข้าซายฟองแสนโกฏิ คับคั่งเม่า
เมืองกวา้ งซุภายก็มีแล ทา้ วก็เททานใหส้ ังโฆทุกหมู่ อย่สู าบายสขุ ลน้ เพง่ิ บุญบาทา้ ว ก็บม่ ีกลวั เกรงสัง
(ลานที่ 8 หนา้ 1)
- แต่ขา้ เสกิ ศัตรูก็หาบ่ได้แล อันวา่ คนท้ังหลายฝูงประจนั ตประเทศ กเ็ ขา้ มาสู่บุญสมภารบ่ขาดหัน้ แล
ท้าวพระยาทัง้ หลายก็นามาส่วยไฮทุกปี กด็ ว้ ยเตชะสมภาร มหากษตั รยิ ์เจ้าก็มีแล อะถะ ตะทา ในกาละ
- เม่ือน้ัน พระพุทธฮูป พระสิหิงค์เจ้า ก็เสด็จมาด้วย ล่วงอากาศมาตั้งอยู่ในเมืองซายฟอง โผดคน
ท้ังหลายก็มีแลโพยภัยทั้งมวลก็ระงับกลับหายก็บ่บังเกิด ด้วยเตชะพุทธฮูปเจ้าอันประเสริฐ คนท้ังหลาย
อยู่สบายด้วยข้าวเครื่องบริโภคทั้งมวล ก็ด้วยบุญสมภารมหาสัตว์เจ้าตนน้ัน ก็อุปัฏฐากพระพุทธฮูปเจ้า
ห้นั แล คนท้งั หลายกบ็ ไ่ ดก้ ระทาไฮ่นาถนิ่ สวน ก็หาบไ่ ด้ เครือ่ งท้ังหลายมีกม็ แี ล ตะทา ในกาลเม่ือน้ัน อัน
ว่าพุทธฮูปเจ้าพระสิหิงค์น้ัน ก็อยู่ในถ้าคูหาอันหน่ึง ก็อยู่จ่ิมใกล้แคมแม่น้าอันหน่ึง ฝ่ายข้างดอยผาบ่อง
ก้าหนเหนือภูยังมตี ระกูลผหู้ น่งึ มนี ามกร บป่ รากฏช่ือว่า เขินขนั บรุ ินทร์ บุคคละผู้น้นั เป็นคนเลื่อมใสใน
คณุ แก้ว 3 ประการ
(ลานที่ 8 หนา้ 2)
- ถือสัจจะ 4 ประการ ท่านผู้นั้นเป็นผู้อุปัฏฐากปิ่นปัวปักขะซู่ปี ในแท่นพระสิหิงค์เจ้าหั้นแลฯ ท่านก็จัก
ไดน้ าเอายงั แทน่ พุทธฮูปออกมาถวายแกท่ า่ นผู้มบี ุญ ก็จักได้เอาแท่นใส่ในองคพ์ ระพทุ ธฮปู เจา้ กด็ ว้ ย
- บญุ กรรมอันท่านทั้งหลายได้กระทามาแต่ก่อนพ้นุ แล คันว่าเมยี้ นคาบแล้ว ก็จกั ได้เมือเสวยสุขตามบุญ
แห่งตนก็มแี ล พระสหิ งิ ค์เจา้ ก็ให้บงั เกดิ ยังสุขสวัสดีในเขตขงกงแดน
- เมืองซายฟองเทพพระมหานครก็ผากฏทั่วอาบสาบ ด้วยเตชะสมพานพระมหากษัตริย์มีบุญอันมากก็มี
วันน้ันแลเจา้ กเ็ สวยเมอื งซายฟองนานได้ 16 ปี สว่ นดงั นน้ั นางเทวีก็ทรงคัพภ์
- ได้ 10 เดือนแล้ว วิชายิ ก็ประสูติออกแล้ว เป็นกุมารผู้หนึ่งมีฮูปอันงามยิ่งนัก เป็นดั่งคาอันช่างผู้ฉลาด
ลา้ หล่อคาเลียงไวใ้ นเบ้า บ่เศร้าแลดูงาม สว่ นอันว่าพระยาตนพอ่ กใ็ ช้ช่อื ซามนามกรกุมารผนู้ ั้นช่อื ว่า ท้าว
อาคา เหตุว่า
120
(ลานท่ี 9 หนา้ 1)
- มีฮูปอนั งามย่ิงนักก็มีแล เจา้ กมุ ารผนู้ ั้นเกดิ มาแลว้ พยาธิโรคาก็หาบ่ได้ มสี ติปญั ญาก็ฉลาด มบี ุญสมภาร
กม็ าก มีฮปู กง็ ามเปน็ ดั่งเทวบุตรลงมาแต่ชัน้ ฟ้ากม็ ีแล ฝูงคนท้ังหลายเห็นฮูปท้าวก็เป็นฮักแลเพงิ ใจแก่
- คนแลเทวดาทง้ั หลาย มศี าสตร์ศลิ ป์ก็กลา้ คมยิ่งนัก ฝูงสาวน้อยหนมุ่ ทั้งหลายเหน็ ฮูปดจ้าก็สลบทบท่าว
ไปดว้ ยฮปู กายแห่งกุมารผูน้ ้ันแล ตะทา ในกาละเมื่อน้ัน เจา้ ก็ขึน้ ใหญ่มาด้วยลาดบั ปเี ดือนนานได้ 16 ปี
- แลว้ เจา้ ก็ไหวพ้ ระปติ ตาแห่งตนวา่ ข้าไหวพ้ ระปติ ตาเป็นเจา้ ข้าจกั เข้าป่าไม้ไพยะมาศหิมพานต์ไปไหว้
เจา้ ตาปโสพระยอดคุณภายพุ้น ปิตตาไท้พระยาบุญกลอยกลา่ ว เจา้ ก็ไปฮอด
- พระรัสสีเจา้ ยอดคุณพอ่ ทอ้ น อะถะ ในกาละเม่ือนน้ั กุมารเจา้ อาคาผ้ปู ระเสรฐิ ส่งั พ่อแล้วบาทา้ วล่วง
ไปตนเดียว ผ้ายดงหลวงไพยมาศไปสู่รัสสีเจา้ กูนาผายโผดสอนสัง่ ให้ศิลปะคุณอันวิเศษ ข้าจักไปอยูส่ รา้ ง
(ลานที่ 9 หน้า 2)
- เมอื งบ้านท่ีไกล ค้อมวา่ แลว้ รัสสสี อนส่ัง บอกให้แก่เจา้ อาคาท้าวซูอ่ นั มนตเ์ ปา่ ใหเ้ ป็นน้า ให้น้าเดนิ ได้
โยชน์ 1 แม้นจกั ดาลอดพ้นื แผ่นดนิ นน้ั กด็ ังเดียว อนั 1 แม้นจักบนิ บนผา้ ยเวหาอากาศ เป็นด่งั หงสบ์ นิ
ผา้ ย
- ไปแทบ้ ่เซา แมน้ วา่ มนตก์ ล่อมกง่ิ หลบั ทว่ั ท้ังเมอื ง คนท้งั หลายบต่ งี ตนได้ บากเ็ ฮียนเอาแลว้ ศิลปะคณุ
ทกุ สิ่ง ทา้ วกช็ มชืน่ ได้ดังใจเจ้าซู่อัน พระรสั สีก็บายเอาให้ธนูศลิ ป์อนั ประเสรฐิ ว่าทา้ วกมุ ารได้
- ธนอู ันน้ีแลว้ ท้าวอย่าได้กลัวอนั ใดเทนิ คันว่ายงิ่ ธนอู นั น้ีจกั ใชใ้ ห้เป็นไฟกไ็ ด้ด่ังใจมักซู่อันแลมักจกั ใหเ้ ป็น
น้าบงั เกิดเปน็ น้าถุมถว่ มไหลข้าเสิกศัตรูทั้งมวลแล เพ่ือวา่ เตชะ
- บญุ ท้าวนนั้ แล คือว่าใชใ้ ห้ไปกาจดั ขา้ เสิกก็จิบหายเสยี เส้ยี งบ่หลอแทแ้ ล ตะทา ในกาละเม่อื นน้ั อาคา
กุมารกส็ ั่งอาลาพระรสั สเี จ้าแลว้ กค็ ืนมาบา้ นเมืองแห่งตนแลว้ กไ็ หวพ้ ระปติ ตา
(ลานที่ 10 หนา้ 1)
- มาดาตนพ่อ แลว้ ก็ส่ังอาลาพระยาตนพ่อวา่ ขา้ ไหว้พระปิตตาเป็นเจ้า ขา้ จกั ไปล่าเย่ยี มหนโลกเมอื งไกล
กอ่ นแล้ว ขออย่าใหม้ ีมารโพยภัยมาเบยี ดตนตัวข้า ขอให้พระปติ ตาเจ้ากูนาผาย
- โผดอนญุ าตโทษโทสาแก่ข้าแนเ่ ทนิ เม่อื พระยาพ่อแลแม่ก็ใหอ้ นุญาตแลว้ ท้าวกบ็ ายเอาธนศู ลิ ป์กบั ดาบ
สคี นั ไชแลว้ กเ็ สด็จไปด้วยลว่ งอากาศ ก็ไปฮอดไปเถงิ
- เมอื งใหญ่กุลาแลแล้วก็ลา่ หลงิ ดไู ปมาทกุ แหง่ แลว้ กเ็ ป็นอันเต็มไปทุกบ้านทุกเมืองแลว้ ก็อว่ ยซา้ ยป่นิ หน้า
สาเพาะเซิ่งนครเชียงใหม่แล้วก็เตม็ ไปด้วยคนทั้งหลายทุกบ้าน
121
- ทกุ เมอื งก็มีแล แลว้ กอ็ ่วยซา้ ยป่ินหนา้ สาเพาะเซ่ิงนครเชียงใหม่แลว้ กเ็ หน็ เต็มไปดว้ ยคนทั้งหลายทุก
บา้ นทุกเมืองก็มแี ล แลว้ เจ้าก็หลงิ มากา้ ทิสสาเภนที ุกทท่ี ุกแห่งแลว้ ก็เปน็ บ้านเป็นเมืองซู่ทซี่ ู่
(ลานที่ 10 หนา้ 2)
- แหง่ กม็ หี ัน้ แล แล้วเจ้าก็ย้ายไปเถงิ เชยี งแสนเชยี งของก็เห็นเมอื งฮา้ งอยู่บม่ ีท้าวพระยาผเู้ สวยเมอื งท่ีนัน้
บ่นานทอ่ ใดเจ้าก็ฮวายมือน้าวธนศู ลิ ป์ยงิ ผาเป็นดั่งเสียงฟ้าฮ้องดังก้องท่ัวแดน เป็นดั่งฟ้าผ่าได้ 7 ทีกม็ แี ล
แล้วทา้ วกล็ ง
- มาสพู่ ้ืนปถวภี ายลุ่ม แลว้ เจา้ ก็บายเอาดาบธนูศิลป์ยงิ ไปอ้อมขงเขตเมือง 3 ฮอบกบ็ ังเกดิ เปน็ เวียงลอ้ ม
อ้อม 3 ช้ันแล้วกม็ หี อหลิงเลยแลมปี ราการเวียงอ้อมเปน็ ดงั่ คนเฮากระทานน้ั แลว้
- กบ็ งั เกดิ ขน้ึ ยังผาสาททงั้ หอโฮงๆ ใสด่ังดาวดงึ ส์ฟ้า ก็บังเกิดขึน้ เสนาเจา้ ขุนหลวงท้ัง 4 นบนอบนิว้ ชุลี
ไหว้ซูภ่ าย เสนาได้ 6 พนั ปลาย 6 หม่ืน มาแวดล้อมบาท้าวซู่ภาย นางนกั 2 พันพร้อม
- แนมน้อมแนมเฝา้ บาท้าวซูภ่ าย อนั ว่าคนไหลเข้าเชียงแสน 2 โกฏิ ช้างแลม้าไหลเขา้ ซ่ทู าง เงินคาลน้
ไหลมาคับคง่ั คือดงั่ ฝนไหลลน้ เดือน 9 ยึ่งมา เสอื้ ผา้ พร้อมทั้งแผน่ กาสา ไหลนองมาดั่งทรายไหลแหลง่
(ลานท่ี 11 หน้า 1)
- ลาดใหญต่ ง้ั เดียระดาษเปน็ แถว อย่สู าบายสัง่ ไพรไ่ ททง้ั ค้าย ฝูงบา่ วนอ้ ยคนเปล่ยี วชายฮาม เสยี งโฮ่ดัง
ท่วั เมอื งท้งั ค้าย อยู่สนกุ ลน้ เชียงแสนสนุกย่ิง ฝงู ไพร่น้อยไหลเข้าซภู่ าย เขาก็บห่ ่อนไดก้ ระทาไฮ่
- นาสวนอันใดแล เถงิ ยามมาก็หากมเี ต็มเล้า ก็บบ่ ังเกดิ แท้คนลักเอาของ ทั้งงวั ควายบ่ห่อนมคี นฆา่ เขา
กส็ ้งอย่ยู ้อนบญุ บามมี าก ยูทา่ งเททอดใหส้ งั เคราะห์เจ้าซู่องค์ กห็ ากลือ
- ชาเท่าเชยี งแสนสนุกยิง่ คาซ้าเทา่ เมืองกว้างซา่ ซแู่ ดนคนไหลเข้าเชียงแสนบ่มีขาด เจ้าสนุกอยู่สร้าง
เมืองกวา้ งแหง่ ตน บม่ หี ย่อนยานทกุ ประเทศเมืองไกล อย่สู าบายสขุ ไพร่ไทยอย้อง
- ตะทา ในกาละเมื่อนนั้ คาซ่าเทา่ พระยาใหญ่ 3 ขา พระยาก็โกธาแขง็ เคยี ดฟุดบ่มีย้านก็มีแล ตะทา ใน
กาละยามน้ัน พระยา 3 ขากท็ นั มายังเสนาอามาตย์มาพร้อมเพรียงแลว้ ก็ตกแต่งห้างรี้พลทงั้ หลายได้ 3
ลา้ นปลาย 4
(ลานที่ 11 หนา้ 2)
- แสนตน พระยาก็เสดจ็ ไปกับด้วยเสนาโยธาทง้ั หลายไปดว้ ยลาดบั คาวทางนานได้ 3 เดือนไปแลว้
สมั ปัตโต ก็ไปฮอดไปเถงิ นาหลวงทง่ ใหญ่ แล้วก็ตัง้ ทัพฮาวคาวจอดอยู่ในทน่ี ัน้ แล้วก็ใช้ข่าวสารไปเถิงท้าว
122
อาคาอนั เป็นเจา้ เมอื งเชียงแสนว่า ดูราพระยาเชยี งแสน ท่านจงรบกับเฮารือ ฮู้วา่ บ่โดยดงั นน้ั จา เถิงระดู
แท้สังขานปใี หมเ่ มื่อได้ดังนน้ั ท่านจงนาเอามายังชา้ งม้าเงนิ คาแทม้ าสว่ ยเฮาเทิน
- คันวา่ บ่โดยเฮา เฮาจักตัดหัวใหข้ าดแล้วเอามาฮองน่ังกินเหล้าว่าดงั นัน้ คนั บ่ฟงั ความ คันว่าจักโยมตแู ท้
เชียงแสนใหว้ ่ามาท้อน คันว่าบ่ยอมตแู ท้จักบ่ไว้เมือง ท้าวบ่ยอมแทแ้ ล้ว คนั
- ว่าขืนขดั แล้ว จานายใช้ฮบี ขึ้นขม่ี ้าตวั กล้าถีบล่วงพลนั ไปเถิงทา่ นทา้ วเมืองใหญ่เชยี งแสน เขากเ็ มือขาบ
ไหว้ทูลเจา้ บน่ าน ฝงู เปน็ ทูตาเจา้ 3 ขาเมืองใหญ่ มาฮอดเจา้ ภายพขี้ าบก่อนวา่ ใหเ้ จา้ องอาจ
(ลานที่ 12 หนา้ 1)
- ย่อม จงให้มชี ้างม้าเงินคาแท้นามาแทข้ าบถวย เมอื่ สังขานขา้ มลว่ งระดเู ถิงปีใหม่ จงให้นามาส่งสวา่ ย
เจ้า อยา่ ไดล้ ะ ตะทา ในกาละเมื่ออาคาเจา้ ตนอาจเชียงแสน จงิ กล่าววา่ ดูราท่านนายตาคนใช้
- จงคนื เมอื คอบทา้ วพระยาใหญ่ 3 ขาเทยี วเทนิ ใหส้ ูนาบรรณาการของฝากมาสว่ายไฮกูแทเ้ นอ กลู ือชา
แท้เสวยราชเชยี งแสน กกู ็บ่มีกลัวแท้เมืองใดสกั หยาด ใหส้ ูนาชา้ งม้าเงินคาน้นั มาสง่ สว่ายกวู ่าเนอ คนั
- วา่ บน่ ามาแท้บรรณาการส่งสว่ายนน้ั กูจักฟันมอดเมีย้ นตายแทบ้ ่หลอท่านเฮย สูจงคืนเมอื คอบ
เจา้ พระยาใหญ่ 3 ขาสทู อ้ น จงใหส้ ูเอารี้พลกลับต่าวคืนเมือ
- บ้านสาทอ้ น ปติ ตาไทม้ าดาพ่อแม่ กบั ทั้งภรยิ าลูกฮักสนู ั้นเขาอยู่บา้ นซคิ องถา้ จ่มหาแลนา อะถะ ในกา
ละเมอ่ื พระยาเชียงแสนกลา่ วว่าดังนน้ั บนั้ คนใชพ้ ระยา 3 ขากล็ าลงหนตี า่ วคืนมากม็ แี ล แต่นนั้
(ลานที่ 12 หนา้ 2)
- เขาเมือฮอดทัพฮาวคาวจอดแลว้ เขาก็ไปทูลพระยาเจา้ แห่งเขาแล้ว เมอ่ื นน้ั พระยาก็มีใจโกรธเคียดมาก
นกั เปน็ ดั่งงูอสรพิษอันทา่ นหากเอามาตวี งหางน้นั แล้ว พระยาวา่ จกั ไปรบเอาเมืองเชียงแสน
- ใหไ้ ดเ้ ทนิ ว่าดงั นน้ั อะถะ ตะทา ในกาละเม่ือคนใช้ออกหนจี ากเมืองไปแลว้ ดังนน้ั พระยาเชยี งแสนกส็ งั่
เสนาอามาตย์ไปรกั ษาบ้านเมืองแหง่ เฮาก่อนเทิน เฮาจักเมือขอองั เชญิ พระปิตตา
- มาแขง็ บา้ นเมอื งก่อนแล คอ้ มสั่งเสนาอามาตย์แลว้ ดงั น้ัน เจ้ากบ็ ายธนูกับดาบสีคนั ไชแล้วเจา้ ก็เสดจ็ มา
ดว้ ยล่วงอากาศมาเถิงเมอื งซายฟองดังนนั้ เจ้าก็ลงมาจากอากาศแล้วดัง
- นน้ั เจา้ กข็ นึ้ เมือสผู่ าสาทพระยาตนพ่อแลแม่แห่งตนแล้ว ก็ไหวพ้ ่อตนว่า ขา้ แก่พระปิตตาธริ าชเจา้ ข้าผู้
ลกู กไ็ ด้เสวยเมืองใหญช่ ื่อวา่ เชยี งแสนท่ีพ้นุ กด็ ้วยสมภารพ่อเปน็ เจา้ กข็ า้ แล ยงั มพี ระยาตน 1
123
(ลานที่ 13 หนา้ 1)
- เป็นใหญก่ วา่ ท้าวพระยาท้งั หลาย เฮียกชอ่ื ว่าพระยา 3 ขาก็ไดเ้ สวยเมืองอัน 1 ช่อื ว่าเมืองลื้อทะนครก็
เต้าเอาร้ีพลมหลโยธามาประมาณว่าได้ 2 โกฏิมาต้ังทัพฮาวคาวจอดอยู่ในท่ีนาหลวงทง่ ใหญ่ พระยา 3
ขาก็ได้ขา่ วสาร
- มาเถิงข้าน้อยผเู้ ป็นลกู ว่าให้ข้านาดอกไมเ่ งินคาช้างม้าเมือสวา่ ยไฮทุกปีๆ ว่าดังนัน้ ข้าผู้เป็นลกู ก็
ข่าวสารเมอื ตอบวา่ ให้พระยาใหญ่ 3 ขาใหส้ ง่ บรรณาการมาสว่ายไฮเฮาพ้ี กูกบ็ ่มีกลัว
- เกรงย้านฝงู พระยาเมืองอืน่ ใดนั้น ใหส้ นู าบรรณาการชา้ งม้าดอกไมเ้ งินคานัน้ มาสวา่ ยไฮกู ข้าผู้ลกู ก็มี
ขา่ วสารไปตอบวา่ อั้น บดั นข้ี อพอ่ เปน็ เจา้ จงเมือดอมข้า อยา่ ไลแด่ท้อน พระยาเชยี งแสนตนลกู กเ็ ลา่
- กริยาอาการตอ่ พอ่ ตนดงั นน้ั ทีนัน้ พระยาใหญ่ตนเป็นเจ้าเมอื งซายฟอง คนั ว่าเจา้ ได้ยินพระยาตนลูกเล่า
เหตุแกต่ นดงั นนั้ เจ้ากบ็ ก่ ลวั เกรงสน่อย เจา้ ก็มกั ใครเ่ มือกับดว้ ยลกู วา่ ดูราเจา้ ลกู ฮกั กพ็ ่อเฮย เจ้าอยา่ กลวั
(ลานที่ 13 หน้า 2)
- เกรงสังก็พ่อเทิน แมน้ ว่ามันจกั มนตเ์ ปา่ ม้างเหลอื ลน้ แผ่นดินกต็ าม ซ่างเขาท้อน แม้นวา่ เขาจกั บนิ บน
ข้ึนเวหาอากาศซ่างเขาก็พ่อท้อน แม้นว่าเขาจักฮวยมนตก์ ล้าเปน็ คนเหลือแผ่นดนิ แมน้ ว่าจกั ดาสอดพน้ื
มาแท้ก็บ่
- กลัว เขาจักมนต์เปา่ ใหเ้ ปน็ ไฟเผาแผ่นดินกต็ าม เขาจักมนตเ์ ป่าใหเ้ ปน็ น้าท่วมนองกด็ ี ก็บก่ ลวั อาคมเขา
ท่อไยยองน้อย พระยาใหญ่ซายฟองจากับด้วยลูกแห่งตนวา่ ดังนัน้ แลว้ แต่น้ันพระอาทติ ย์ตกตา่ ค่า
- ไปแลว้ พระยาท้ัง 2 พ่อลกู ก็นอนอยู่เหนืออาสนาอนั ดีแลว้ วิภาตายารตั ติ ในคืนอนั นั้นกฮ็ งุ่ แสงสาย
สรุ ิยะกพ็ ุ่งขน้ึ มา พระยาทงั้ 2 พ่อลูกลุกจากอาสนาแล้วก็สรงนา้ ชาระเนื้อตนบอระบวน
- แลว้ ก็เสวิยข้าวนา้ โภชนะอาหารเหนอื ไตคาอันนายพ่อครัวหากตกแต่งมาถวยหนั้ แล คนั วา่ เสวยเขา้
แล้ว 2 กษตั รยิ ์กต็ กแตง่ เดาดาแลว้ กถือเอาธนแู ลตระบองเพชรแลว้ กส็ ่ังเสนาอามาตยว์ ่า ดูราเสนา
ท้งั หลายเฮย
(ลานที่ 14 หนา้ 1)
- เฮาพระองค์กจ็ ักไปกบั ด้วยลูกเฮา เจา้ พระยาเชียงแสนก่อนแล้ว ท่านจงรกั ษาบ้านเมืองกอ่ นเทนิ คอบ
พระยาเสนาท้ังหลายแล้ว 2 กษัตริยก์ ็ได้ไปด้วยล่วงอากาศก็ไปฮอดไปเถงิ เมอื ง
- ใหญเ่ ชยี งแสน พอยามงายก็ขึน้ เมอื ส่ผู าสาทโฮงหลวงแล้วกส็ ถติ อยู่เหนือแทน่ แกว้ ดว้ ยศรีสวสั ดกี ็มแี ล
ตะทา ในกาละเมื่อน้ัน บ้ันเสนาทง้ั หลายเขาก็พร้อมกันมาแวดล้อมอ้อมเฝ้าพระยาเจา้ ทุกก้าทุก
124
- ภายอ้นั แต่นัน้ นายพ่อครวั ก็ตกแตง่ พางายมาถวายพระยาท้งั 2 พระองคก์ ็เสวยขา้ วงายแลว้ ทง้ั 2 กะ
แตง่ เดาดาคอื ว่าธนแู ละดาบสีคนั ไชแลว้ กเ็ สด็จไปดว้ ยลว่ งอากาศไปเถงิ นาหลวงท่งใหญ่
- ที่พระยา 3 ขาเอาร้ีพลมาต้ังทพั ฮาวคาวจอดอยูใ่ นท่นี ัน้ พระยา 3 ขา ทสิ วา คนั ว่าเหน็ พระยาท้ัง 2
พอ่ ลูกไปดังนั้น จิงเอิน้ ปา่ วเสนาแกว้ กล้าหาญท้ังหลายใหห้ าเคร่ืองศาสตราอาวุธทุกทบั ที่แลว้ ก็สาเพาะ
เพือ่ จักรบ
(ลานที่ 14 หน้า 2)
- เล็วกบั ด้วยพระยาทัง้ 2 ก็มีแล อะถะ ในกาละเมื่อนนั้ พระยาตนลกู ก็กลา่ วดว้ ยคาสหี นาทบเ่ กรงขามวา่
ดูราพระยา 3 ขา เฮย จงให้ท่านเอารี้พลเสนาแหง่ ทา่ นคืนเมือเมืองแห่งทา่ นเสยี ลูกแลเมียแหง่ สู
ทงั้ หลายกว็ ่า
- จกั คองถา้ ทุกวันทุกคนื บ่ขาดซะแล ผวิ ่าสบู ่เมอื ดังน้ัน จงพากันนาเอาร้ีพลโยธาช้างม้าเมือน้อม
นมสั การเฮาพระองค์เทนิ ประการ 1 จงให้ท่านพาเขาเมือหาบ้านเมืองแล้วจงนาเอาสว่ายไฮ
- ดอกไม้เงินคามาถวายทกุ ปที ุกปนี ัน้ เทิน พระยาเชยี งแสนกล่าววา่ ดังน้ัน บนั้ พระยา 3 ขาไดย้ นิ แล้วก็
ลวดมีใจอันเคยี ดมากนัก กเ็ ติ่นป่าวโยธาแก้วทหารท้งั หลายเพือ่ จักรบเล็วกนั น้นั แล ทา้ วก็บายเอาธนู
- แลว้ กย็ ิงไปเปน็ ประดจุ ดง่ั ฟ้าผ่าได้ 7 ทนี น้ั แล รี้พลบุคคลาทง้ั หลายคอื ว่าพระยา 3 ขาน้ัน คือว่าชา้ งมา้
ก็ล้มท่าวตายไปบเ่ สดสะหลอสักคนกม็ ีแล สว่ นว่าปนื ก็ไปตัดยงั หวั แหง่ พระยา 3 ขากเ็ ถงิ เซงิ่ อนั เสยี ชวี ติ
ตาย
(ลานที่ 15 หน้า 1)
- ไปบัดเดยี วนั้นแลว้ ท้าวกเ็ หน็ คนแลสัตวต์ ายไปหมดบ่เสดสะหลอสักคนดังน้นั พระยาก็ซา้ ยิงธนูศลิ ป์ข้นึ
ให้คนและสตั วช์ ้างม้าโยธาคนื มาดังเกา่ สว่ นคนท้งั หลายอนั ตายแล้วก็คนื มา ช้างม้าทัง้ หลายก็คืนมาหมด
เสี้ยงแลว้ เขาก็
- พรอ้ มกันทูลมือไหว้ทุกคนๆ ห้นั แล้ว พระยาก็กลา่ ววา่ ดูราฝูงเปน็ เสนาโยธาทัง้ หลาย สทู า่ นท้ังหลายจง
คนื เมอื สู่บา้ นสู่เมอื งแห่งสทู งั้ หลายเทิน อันว่าลูกแลเมียภายบา้ นแห่งสทู า่ นทั้งหลายกจ็ กั คองเหน็
- หนา้ ซะแล ตะทา ในกาละเมื่อนัน้ บน้ั คนท้ังหลายคันว่าได้ยินพระยากลา่ วดงั น้นั เจ้าก็ยอมือไหว้ต้งั ไว้
เหนือหวั ทุกคนๆ มเี สนาใหญ่ผเู้ ป็นแกก่ วา่ ท้งั หลาย ทา้ วพระยาใหญ่น้อยก็พรอ้ มกันไหว้ว่า เทวะ ข้า
- ไหวเ้ จา้ ผหู้ าทกุ ข์บ่ได้ ฝูงขา้ ทง้ั หลายจกั อังเชญิ เจา้ กูท้ัง 2 พระองค์ใหล้ งมาในทา่ มกลางทัพท่ีน้ี ฝูงข้า
ทั้งหลายขอถวายยอเครอ่ื งฝงู น้ีมเี ครือ่ งศาสตราอาวุธหอกดาบแลช้างม้าท้งั หลายฝงู นีแ้ กเ่ จ้าผู้ขา้ ท้งั 2 ก็
ให้
125
(ลานท่ี 15 หนา้ 2)
- ชวี ติ แก่ฝูงขา้ ทั้งหลายแด่เทิน พระยาทั้ง 2 พ่อลูก คันว่าได้ยนิ ถ้อยคาฝงู โยธาเสนาอามาตยข์ ออ่อนโยม
ดงั นั้น เจ้าทง้ั 2 ก็ลงมาในทา่ มกลางหมู่คนท้ังหลายแลว้ เขาก็องั เชิญเจ้าทั้ง 2 พ่อลกู ขึ้นสู่ชา้ งมงคลตัว
วิเศษอนั หางแลว้ ด้วยเครือ่ ง
- ประดบั ประดาทัง้ หลายแลว้ ก็แหแ่ หนเอาพระยาท้ัง 2 พ่อลูกคนื มาสู่เมืองเชียงแสนเทพมหานครแล้วก็
ขึ้นส่วู ิไชยนต์ผาสาทแลว้ เขาก็พร้อมกันถวายบา้ นเมืองท้ังมวลแกพ่ ระยาทง้ั 2 ว่า เทวะ ฝงู ข้า
- ไหว้มหาราชาเจ้า บดั น้ีฝงู ข้าทัง้ หลายขอถวายบา้ นเมืองทั้งมวลในอาณาเขตขงกงเมือง 3 ขาแลเมือง
น้อย 12 หวั เมืองเปน็ ข้าสวา่ ยไฮบ่ขาดแก่มหาราชาเจ้าท้ังมวลก็ข้าแล ตั้งแฮกแตว่ ันน้ีไป
- หน้า ขอมหาราชเจา้ จงเปน็ เจ้าแกฝ่ งู ขา้ ท้งั หลายก็ข้าเทนิ เสนาอามาตย์ทา้ วพระยากพร้อมกันถวาย
บ้านเมืองแลหอกดาบช้างมา้ ทั้งมวลแลว้ เจ้ากอ็ าลามหากษัตรยิ ์เจ้าแลว้ ก็หนีเมือหาบ้านเมือง 3 ขาอัน
เป็นที่อยู่
(ลานที่ 16 หน้า 1)
- แห่งตนกม็ แี ล อะถะ ตะทา ในกาละเม่อื นัน้ พระยาซายฟองตนพอ่ เจา้ ก็สั่งลูกแลว้ มักใคร่จักคืนหา
บ้านเมอื งแหง่ ตนก็บอกใหห้ มู่เสนาทั้งหลายว่าสเู จ้าทั้งหลายก็จงพากันปฏิบัตเิ จ้าพระยาเชียงแสน...(ใบ
ลานขาดชารดุ )....
- ราชในเมอื งเชยี งแสนมหานครทนี่ ั้นเทิน เฮาพระองค์ก็ใคร่จกั คืนเมือหาบ้านเมืองแห่งเฮาก่อนแล พระ
ยากส็ ่ังเสนาอามาตยแ์ ลว้ กแ็ ต่งห้างคดั ดาบสีคนั ไชแล...(ใบลานขาดชารดุ )....
- กาศสมบตั กิ ็มาฮอดมาเถิงเมืองซายฟองเทพมหานครแลว้ ก็ข้ึนสู่ผาสาทมีอาจแล้วเสนาหากมาสะพดั
แวดลอ้ มอ้อมเป็นบริวารกม็ หี ้ันแล ...(ใบลานขาดชารุด)....
- เมืองทงั้ มวลกอ็ ยู่กระทาบุญให้ทานบ่ขาดทุกวันๆ ก็มแี ล บ่อาจจักเห็นแตท่ า้ วพระยาข้าเสกิ ท้งั มวลอนั
จกั มาเถิงแก่บา้ นเมืองก็หาบ่ไดส้ ักแห่งก็มีแล เจ้าก็เสวยราชสมบัติ ...(ใบลานขาดชารดุ )....
(ลานที่ 16 หน้า 2)
- เจา้ ก็สุระคดุ จุติจากเมืองคนแล้วก็ไดเ้ อาตนเมือเสวยสมบัตใิ นเมอื งฟา้ เสวยสขุ ก็มีแล กิริยาอาจารย์เจ้าผู้
มปี ัญญาจาแกไ้ ขในเร่ืองเมืองซายฟอง ...(ใบลานขาดชารุด)....
- ดว้ ยปัญญาจงพิจารณาในมโนทวารจอื่ จานาไว้อนั เทพดาหากมาบอกแกช่ ายเฒา่ แก่ใหเ้ ป็นทานอนั จัก
มาภายหนา้ บค่ าดบ่คาโดยดัง ...(ใบลานขาดชารดุ )....
126
- ควรเท่าน้ีก่อน ฯ จุลสังกาศราชาได้ 2 พัน 2 ฮอ้ ย 61 ริจนาแล้วยามแลง เจ้าขนนั น้อยเปน็ ผู้รจิ นา
เดือนย่ี ข้ึน 4 คา่ วัน 5 แลเจา้ เฮย ...(ใบลานขาดชารุด)....
127
ภาคผนวก ข.
วรรณกรรมท้องถ่นิ เรอ่ื งพ้ืนเมือง
ฉบบั ปรวิ รรต วดั ศรีชมชื่น บ้านคกเลาใต้ ตาบลบฮุ ม อาเอเชยี งคาน จงั หวดั เลย
128
พน้ื เมอื ง
ฉบับวัดศรชี มชนื่ บา้ นคกเลาใต้ อาเภอเชยี งคาน จงั หวดั เลย
________________________________
(ลานท่ี 1 หนา้ 1)
- นะโม ตัสสตั ถุ สสี วสั สะดีทิสสามงั คะละ นมัสการ ผู้ข้าจักกลา่ วตานานนทิ านพระยาธัมมิกราชให้
นักปราชญฮ์ าเพงิ เมอื ภายหนา้ วา่ สาธะโว ดูราสัปปุริสสาทัง้ หลาย สพั พญั ญู ตุมเห อันว่า
- สูท่าน ปญั ญาวตั ตา อนั มผี ญาปญั ญาศรัทธาเชือ่ ใสในคาสอนแห่งสพั พัญญเู จ้า ทานังทิปญุ ญงั กะโรติ
ก็เพ่ือวา่ ขนขวายกระทากุศลบุญคอื วา่ ให้ทานรักษา
- ศีล 5 ศีล 8 อยา่ ขาดทกุ เมื่อเทนิ ภาเวถะ เมตตาภาวนาด้วยคาว่า พุทโธ เม นาโถ ธัมโม เม นาโถ
สังโฆ เม นาโถ สุนนั ตุ เพิง่ ฟังธรรม ปสุ สะกะลงั ยัง
- วตั ถุตานานผู้มบี ุญอนั จักเกดิ มาเปน็ พระยาธัมมิกราชเจา้ นั้นเทิน ตะโย อสิ ิ อันว่าเจา้ ระสี 3 ตนๆ 1 ช่ือ
ว่า มะเมสียากาตา อนั เป็นพี่อ้ายแหง่ ธมั มะเทวนี ัน้ อันมาเมื่อ
- หาริภเู มนีแ้ ล เกตา เป็นลูกพระยาสุกโขไทแล อันว่าระสีตน 1 ชอ่ื ว่าสุวนั ตาระสแี ล ตน 1 ชือ่ วา่ เทพพา
กาลเี ปน็ เชื้อพี่อา้ ยแห่งเจ้าระสี 3 ตนนน้ั เจา้ ระสีตน 1 นน้ั ก็มาสร้าง
(ลานท่ี 1 หน้า 2)
- โพธิสมภารไปอยสู่ าราญในป่าหิมพานต์พนุ้ ดาย อนั ว่าเจ้าระสีตน 1 ช่ือวา่ ภาสเุ ทพพากเ็ สด็จจักมาลว่ ง
อากาศ กม็ าอยู่สาราญ ในป่าหมิ พานตด์ อยปู่เจา้ เขาหลวงวันนัน้ แล อันว่าเจ้าระสตี น (1) ช่ือวา่ กาสุกขา
จันทานัน้
- คนั ว่าสยองมาด้วยล่วงอากาศก็มาอย่ดู อยปู่เจา้ เขาหลวงอันน้ันแล อันว่าเจ้าระสตี น 1 ชอ่ื วา่ สุอาชนา
ไลยนนั้ คนั ว่ามาด้วยลว่ งอากาศกม็ าอยู่ดอยปเู่ จา้ เขาหลวงวนั นัน้ ดังกันนนั้ แล
- ส่วนว่าเขาอันนนั้ กเ็ ปน็ ดอยอนั ใหญ่ แมน้ วา่ คนจักขึ้น 4 วันจงึ เมอื ฮอดจอมดอยอนั นั้นแล เจ้าระสีตน 1
ชือ่ วา่ เทพพะกาลกี ็มาอยู่ใกล้กันห้นั แล อนั วา่ เจา้ ระสีชือ่ ว่าสุชนาไลยกไ็ ป
- อยรู่ กั ษายงั เมืองใต้พนุ้ ดาย ว่าดว้ ยดอยปู่เจา้ เขาหลวง คนผใู้ ดมศี ลี 5 ศลี 8 ก็จง่ิ ขน้ึ ได้ดาย ผู้ใดหาศีล 5
ศลี 8 บ่ได้ เสอื จกั ขบตายแล แม้นวา่ ดอยอนั ต้ังอยฝู่ ่ายตาวันออก
- เมืองผางเมืองอนั หลังนายน้ันแล อนั ว่าตีนดอยอนั นน้ั ฝ่ายก้า 1 จเุ มืองใต้ ฝา่ ยก้า 1 จุแม่นา้ ของ ฝา่ ยกา้
1 จุเมืองหมาน ฝ่ายก้า 1 จุเมืองอันชอื่ วา่ เวยี งจันทน์น้แี ล สว่ นอนั ว่าเจา้ ระสี 3 ตนนั้น ชาตคิ นดายท่าน
ก็อย่ปู า่
(ลานท่ี 2 หนา้ 1)
129
- หิมพานตพ์ นุ้ ดาย เพื่อจากันบ่ได้ จิ่งมาดว้ ยประโยชนะเพื่อหากนิ ดาย อนั ว่าเจ้าระสี 4 ตนนี้ก็เอา
ดอกบวั คาอันพระยาอนิ ทรห์ ากมาปลกู ไวเ้ หนอื จอมดอยปู่เจ้าเขาหลวงอนั มีในหวา่ งแดนเมืองมาชุมกนั
นั้นแล คอื วา่ เมืองไทยเมือง
- ยวนแลเมืองชาวเวยี งจันทนม์ าชมุ กนั น้นั แลดว้ ยอันมีฝ่ายตาวันออกเมืองผางน้นั แล บดั น้ีดอกบัวคาอัน
เจ้าระสปี ลกู ไว้เหนือจอมดอยปูเ่ จ้าเขาหลวงวันน้นั กเ็ ป็นจูมอันใหญ่ดงั นั้นแล คันวา่ พระยาธัมมิกราช
- ไดเ้ สวยเมืองเมื่อใดก็จักบานซะแล ประการ 1 ส่วนว่าบา้ นเมืองใดแฮงกลา้ ท้ังหลายปิน่ มาจับหลงั โฮงแล
หลังผาสาททา้ วพระยาเมืองใดดงั นนั้ กจ็ กั เปน็ เหตุอนั ใหญ่ สว่ นพระยาธมั มิกราชกไ็ ด้เกดิ มาใน
- เมืองอันน้นั ซะแล ทีนนั้ ยงั มีพระยา 2 ตนๆ 1 กอ็ ยู่ฝา่ ยเมืองหลา้ นา้ แม่นผาลังเสด (ฝรั่งเศส) ตน 1 อยู่
ขุนน้าก็แม่นผาลงั (ฝรงั่ เศส) อันกนิ เข้ามาวงั แวดเขตแขวงเมืองศรียทุ ธยิ าอยกู่ ล็ วดเอาปัญญารบกนั อยู่
- เถงิ ปมี ะโรงมะเสง็ กจ็ กั เกิดเป็นเสกิ ใหญ่ฆ่าฟนั กันมากนักบ่หนีกันกล็ วดเอาได้ ก็ทอ่ รบกันอยหู่ ้นั แล แต่
น้ันยงั มพี ระยาตน 1 กม็ ากบั ด้วยเสนารี้พลมากนักอนั อยเู่ มืองราชคฤห์ฝ่ายตาวันออกจักเข้า
(ลานท่ี 2 หนา้ 2)
- มารบเอาพระยา 2 ตนนน้ั ก็จ่งิ แพ้พระยา 2 ตนนีแ้ ล แต่นั้นภายบนหนอากาศ ส่วนวา่ ผอี ารกั ษเ์ สอ้ื เมือง
ทงั้ หลายกม็ ารบกันอยู่ทุกวันนี้แล เพราะวา่ เจา้ นายท้ังหลายกย็ งั ยาดกันด้วยจดซาพาดอากรเขตนา้ แดนดิ
นขอบฮัว้
- แดนสวนเซิ่งกนั ไปมาตัง้ แต่ปมี ะโรงรักษาบา้ นเมือง แม้นพระยามอดเมืองบใ่ หม้ บี ้านมเี มอื งแล ส่วนว่า
เสนาโยธาจกั ตายมากนักแลแตป่ มี ะโรงมะเสง็ จักเกิดอบุ าทว์ต่างๆ ต่อไป
- คนท้งั หลายจักตายมากนักแล สว่ นว่าพระยาเรอื งท้ังโลกจกั มาแล คนท้งั หลายจิง่ มีคาผาสกุ สาราญบาน
ใจแล สว่ นว่าพระยาผู้ใจบุญแพ้พระยาผ้ใู จบาปน้นั แล เหตวุ ่าพระยาผใู้ จบุญ
- เมือเกิดมาในชาตกิ ่อนวนั นนั้ ทา่ นก็ไดเ้ กดิ เป็นผู้น้อยใจบญุ มากนกั ท่านก็ให้ทานอันประเสรฐิ แล ท่อว่า
รูปสมเจา้ ภิกขุตนน้ันท้องใหญ่ ท่อว่าใจเจา้ ภิกขุตนนนั้ เป็นคนใจบญุ มาก
- นกั เจ้าผู้นัน้ เปน็ เชื้อไพร่น้อยคนขนี ใจเพราะดว้ ยชาตกิ อ่ นอนั นัน้ เจ้าก็ได้เปน็ พระยาใหญ่สบื สกลุ ทะรุ
ตะปิตตาแลในชาตนิ ว้ี ันนน้ั ก็ได้เป็นคนขนี ใจเพราะด้วยเจ้ากเ็ ลย้ี งชี
(ลานท่ี 3 หน้า 1)
- วิตอยไู่ ปตามขนุ แมน่ ้าใหญแ่ ล ทา่ นอยู่ท่ีใดคนยอ่ มตเิ ตียนนนิ ทาขวญั มากนักแล เจา้ ตนนน้ั กม็ ใี จฮ้คู อง
บุญคองธรรมคาสอนมากนัก เทียนย่อมกลา่ วคองศีลคองธรรมคมรบแกว้ ท้ัง 3 ดีนกั แล คนทงั้ หลายฝงู ใจ
บาปเจา้ ย่อมกล่าวคา
130
- ตเิ ตยี นบแ่ มน่ ใจเขาแล เจ้าเกดิ มาอายไุ ด้ 46 ปเี ม่ือใดจง่ิ ได้เป็นพระยาธมั มกิ ราชผาบท้าวพระยาทัง้ มวล
ท่วั ทิศทงั้ มวลนแี้ ล พระยาธมั มิกราชอายยุ ืนได้ 46 ปีแล เจ้าก็ไดเ้ ปน็ พระยา
- ธมั มิกราชในปีมะเสง็ ลาวเฮาวา่ ปีไส้ เดือน 7 เพ็งวัน 5 บางพอ่ งว่าเดอื น 3 เพง็ ยามจักใกล้รงุ่ แล ในวัน
น้นั อัศจรรย์มากนกั จักมดื มนอนธการมากนกั ถว้ น 3 วัน 3 คนื บ่เห็นตาวันจักเท่ือแล ถ้วน 7 วัน 7 คนื
- จิ่งเหน็ ตาวนั แล ในกาละยามน้ันอนิ ทาธริ าชจ่งิ เอาเสตตะฉัตรใหญแ่ ลหอยสังข์อนั ใหญ่ล่วงสูงได้ 8 ศอก
เอามาบูชากับชา้ งเผอื กมาถวายให้แก่พระยาธัมมกิ ราชหัน้ แล เมอ่ื นนั้ วิสกุ รรมเทวบตุ รก็เอาเคร่อื งทา้ ว 5
ประการ
(ลานที่ 3 หนา้ 2)
- คือวา่ ปัญจะกุตตะพดิ านมาถวายแหนแหอ่ สุ สาภิเสกให้เป็นเอกราชผาบชมุ พูในวันนั้นแลท่ีน้ัน ระสี 3
ตนคอื วา่ สุเทพาระสีแลสุชะไลยระสแี ลสุนันทะระสีนัน้ ก็เอาดอกบวั คามาบูชายามนั้นแล ส่วนว่า
- เทวบุตรทั้งหลายหม่นื ตนกบั ทง้ั ผเี ส้ือน้าเงือกยักก็ถืออาวธุ หอกดาบตามมาก่อนหนา้ แหนแห่พระ
ยาธัมมิกราชตนนั้น เทพบุตรเทพดาทัง้ หลายกเ็ อานางสาว 3 นางกับแก้วอุดรกุรทุ วีปมาใหเ้ ป็นปา
- ทบรจิ ากเป็นบรวิ ารแลเม่อื ภายลุนกจ็ ่ิงฮับเอานาท้ังหลายฝูงอนั ดีอันงามได้ 6 พันนางมาเปน็ นางเทวีแล
สว่ นอนั ว่าผาสาททิพย์ก็ได้ 3 หลังกเ็ กดิ มายามนนั้ แล หลัง 1 แลว้ ด้วยแกว้ หลงั 1
- แลว้ ดว้ ยเงนิ ก็บขุ นึ้ มาแต่พืน้ แผ่นดินข้นึ มา พระยาธัมมกิ ราชกไ็ ดเ้ สวยราชสมบตั ใิ นเมืองหนองคาแสน
แลเมืองผางอ้ายลูกนายให้ฮุ่งเฮืองงามนักแล เจา้ กม็ ลี ูกชาย 6 คนเปน็ ผูป้ ระเสริฐยิ่งนัก เทพดา
(ลานที่ 4 หน้า 1)
- แลพญานาคเอาเงนิ คาแก้วแหวนในพนื้ แผ่นดินออกมาถวายปางนั้นแล ทนี ้นั เจา้ ก็ได้ทานใหแ้ กค่ น
ทงั้ หลายแลสมณพราหมณ์แลยาจกคนขอทง้ั หลายแลว้ เจา้ ตนนน้ั เทียนย่อมรู้กูร์ณาคนชาวเมืองทั้งหลาย
มากนกั แล
- คันวา่ เจ้าไดเ้ ป็นพระยาธัมมิกราชแล้วเจ้ากเ็ ลิกยงั ศาสนาพระโคตมะเจา้ คอื วา่ ธาตใุ นเมืองผางอ้ายลกู
นายให้ฮ่งุ เฮอื งงามด้วยรสั มสี มบตั ิ เจา้ กต็ าทิพย์หลิงเหน็ สัตวโ์ ลกฝงู
- ไกลทัง้ มวล กบ็ ่ค้างบห่ ลอจักคน เจ้าก็มีผยาปญั ญาฮู้ธรรมปิฎกทงั้ 3 ทา่ นกข็ ้ึนใจเส้ียงแลว้ เห็นวา่ ท่านได้
ใหท้ านพ่าเพ็งบุญสมภารมาแต่กอ่ นพุ้นมากนกั ยามเม่ือเจา้ เกดิ มาชาติก่อนพุ้น
- วนั นั้น ทา่ นก็ได้เป็นพ่อค้าเคร่อื งทองก็ไปขายเคร่ืองทองแห่งตนแลว้ กใ็ ห้เจ้าภกิ ขุตน 1 เทียวทางมาจวบ
โจร โจรก็ยาดเอาเครื่องบริขารแหง่ เจ้าภกิ ขุเสยี เสีย้ งแลว้ บห่ ลอสงั สกั เย่อื ง เจ้าภิกขุตนนนั้ กล็ าบากดว้ ย
อนั
131
(ลานท่ี 4 หนา้ 2)
- เทยี วทางฝนฮามากนักแล ส่วนว่าพ่อค้าเครอื่ งทองผูน้ น้ั เหน็ เจา้ ภิกขตุ นนน้ั ก็จ่ิงตดั ตองกลว้ ยตีบมาให้
เป็นทานแกภ่ ิกขุตนน้ันก้งั หวั ไปหน้ั แล กด็ ้วยบุญแหง่ ตนอนั ทานตองกล้วยตบี นั้นจงิ่ ได้เป็นพระยาธมั มิก
ราชเพอื่ บุญอัน
- นั้นแล ในเมอ่ื พระโคตรมะนิพพานไปได้พันปลายน้นั แล ผิวา่ ทา่ นได้ให้ทานเสตตะฉตั รแลพิดานทานจัก
ได้เป็นพระยาจกั รวรรติราชซะแลไปในอากาศกลางหาวก็จักไดซ้ ะแล บ่ท่อ
- แต่นัน้ ไปทิศท้ัง 8 กจ็ ักได้ทุกแหง่ ซะแล ท่อว่าเจา้ ตนนีไ้ ด้ทานตองกลว้ ยตีบใบเดยี วแก่เจา้ ภิกขทุ ่อนั้น ก็
ยังไดเ้ ป็นพระยาธมั มิกราชแลเจ้ากฮ็ ปู้ ฎิ กทง้ั 3 ท่านขึน้
- ใจเสี้ยงแล้วเหตุวา่ ทา่ นตาทิพยน์ ัน้ แล พระยาธมั มิกราชตนน้ที า่ นจกั ไดเ้ ป็นสาวกพระศรีอริยะเมตไตย
เจ้านัน้ แล บ่ทอ่ แตน่ ้ัน ยังมพี ระยา 2 ตนก็รบกนั ก็มแี ล พระยาตนนัน้ กต็ ายแลว้ พระยาตน 1 กจ็ ักไดเ้ ป็น
เอก
(ลานท่ี 5 หน้า 1)
- กษตั รยิ ใ์ นผาสาททิพย์ดว้ ยตนก็มแี ล ทนี ัน้ พระยาธมั มิกราชเจ้าจักเขา้ มายามนัน้ แล คนั ว่าพระยาธมั มิก
ราชมาแลว้ ดงั น้ัน คนทง้ั หลายกจ็ กั มีความสขุ ความสาราญบานใจมากนักแล ท่านทั้งหลายอย่าได้สงสัย
เทนิ คาถาฝูงน้เี จา้ รัสสหี ากกล่าวไวใ้ ห้
-พิจารณาเทนิ ทีน้ันยงั มีนักปราชญ์ตน 1 กลา่ วว่าดังนี้ คาถาอันน้พี ระพุทธเจา้ หากเทศนาให้คมรบยา่
แยงซู่คนเทนิ แตน่ ้นั ยงั มีพระปจั เจกองค์ 1 กับพระยาธัมมิกราชจักมาเสวยเมืองเมื่อภายลุนหลังเฮาในปี
- ไสน้ ีแ้ ล แลว้ กต็ ้ังไว้ยงั ฮบู แห่งตนให้คนทง้ั หลายแลเทวดาทั้งหลายไหวท้ กุ วันทุกคืนนี้แล อนั วา่ น้าเต้า
แตกสายมันยังนัน้ คอื วา่ ศาสนาพระพทุ ธเจ้ากับท้งั ปฎิ กทั้ง 3 มาเปน็ เช้ือสายเป็นสายแก่คนทง้ั หลาย
- สบื มาเป็นเชือ้ เป็นสายนแี้ ล มาให้คนท้ังหลายได้ไหวแ้ ลบูชาน้ันแล เฮือไหลถา้ ยงั น้ันคอื ว่าพระพุทธเจา้ นี
ระพานไปแล้วก็ต้ังไว้ยงั ศาสนาประการ 1 คือว่าสขุ เมืองฟ้าแลเมอื งคนแลนีระพานอนั ดับทกุ ขใ์ นวฏั ฏะ
สงสารน้ีแล
- กใ็ ห้พรอ้ มกันฝากศาสนากบั ชาวเจา้ ภกิ ขุสงฆ์อนั สบื ศาสนาแห่งพระพุทธเจา้ น้ีเทิน คาปรารถนาแห่ง
ท่านท้ังหลายอยา่ ประมาทภกิ ขุแลสามเณรแลผเู้ ฒา่ แก่ครูบาอาจารยท์ ้ังหลาย คาถาอนั ตั้งไว้นผ้ี ้ใู ดยาแยง
จกั ไดเ้ ห็น
(ลานที่ 5 หนา้ 2)
- หน้าพระยาธัมมิกราชเจ้าบ่อย่าซะแล ผู้ใดบ่เช่ือบ่ฟังยังวัตถุพ้ืนเมืองอันน้ีจักตายด้วยอุบาทว์ต่างๆ ซะ
แล ยงั มีพระยาตน 1 2 ตน 3 ตน 4 ตน จักเขา้ มาในเวียงปเี ส็ด เดอื น 8 เพ็งวัน 4 น้ัน เจ้าตนบุญจกั เข้า
มาคอื วา่ พระยาธัมมิกราช
132
- ก็จกั มาเสวยเมอื งซะแล ฝนห่าแกว้ จักตกในเมอื งซะแล ฝนห่าแกว้ จกั ตกในเวยี งน้ันแล เดอื น 10 ฝนจัก
ตกทั่วทิศาทงั้ มวล ทัง้ บา้ นน้อยแลเมอื งใหญ่ ฝนห่าแก้วจักตกไปทุกแห่งแล คาถาอันนี้
- ว่าดังนี้ โอมกะมะนิทิวะนิเยสวาหะ มะมะภะพุสิภะมะโคมะมะสวาหะ ให้ยกใส่หัวสักการะบูชาทุก
คนๆ ทั้งหญงิ ชายใหญ่น้อยทุกเฮอื นให้ไต้ประทีปบูชาดว้ ยอนั คมรบยาแยงทกุ คน
- เทิน หากได้เห็นหน้าพระยาธรรมซะแล อย่าสงสัยเทิน หนังสอื อินทาธิราชไวใ้ ห้วิสุกรรมเทวบุตรเอาลง
มาไวจ้ อมดอยปู่เจา้ เขาหลวงให้คนทัง้ หลายได้ฟังทุกบา้ นทุกเมืองแลให้ปฏบิ ัติพอ่ แม่เฒา่ แกค่ รบู าอา
(ลานท่ี 6 หนา้ 1)
- จารยก์ บั พระแกว้ ทัง้ 3 จักได้เหน็ หนา้ พระยาธรรมบญุ กว้างบ่อย่าซะแล อนั 1 น้นั เมียกย็ าผัวใหแ้ ปงที่
อยู่ท่ีนอนตามจาฮีตประเวณีมาแต่ก่อน อ้ายใหเ้ ป็นดง่ั พ่อ เอื้อยใหเ้ ปน็ ด่ังแม่ แต่ปฐมกัปยังมพี รหมตน 1
ลง
- มาหากินในเมืองลุ่มเฮานี้ ยังม(ี พรหม)หญิงตน 1 ลงมาตามหลังลวดเอากันเป็นผวั เมียเลยลวดขึ้นชั้นฟ้า
บ่ได้ก็มีแล อนั วา่ คนทง้ั หลายซ้ือของให้แก่กนั ติดน้าหนักตาบ่พอฮอ้ ยกว็ า่ ตาพอฮ้อย ตาบ่พอพนั ก็ว่า
- ตาพอพัน ตาบพ่ อชงั่ กว็ ่าตาพอชั่ง ผหู้ ลกั ก็ได้ ผู้ใบก้ ็หลบุ ผีจักเอาค้อนเหล็กมาตหี วั คนพวกบาปซ้ือขาย
บ่เซ่ืองน้ันให้แตกเป็น 7 เสย่ี ง ทเ่ี ขาเจบ็ ตาเจบ็ หวั มัวตาน้นั กห็ ากแม่นผี
- เอาเหลก็ มาตีหัวเขาทกุ มือ้ ทุกยามน้ันแล อนั หนึ่งนัน้ ท่เี ขาอยากของกิน เจ้าของไปถามเอาก็บ่ใหก้ ็ดี กู้
ข้าวก้เู งนิ กู้ทองอนั ใดๆ กด็ ี แม้นว่าเขม็ เลม่ 1 กด็ ี ผวิ า่ กู้ไปสูเ่ มยี ก็ดี เมียไปกสู้ ูผ่ วั กนิ ก็ดี ลูกกู้
(ลานที่ 6 หน้า 2)
- ไปสู่พอ่ แมก่ ด็ ี ซีก 1 กด็ ี ลา 1 ก็ดี เจา้ หนมี้ าถามปฏเิ สธวา่ บ่ฮูบ้ เ่ หน็ ว่าไปเปน็ อนตายตา่ งๆ ผจี ักเอา
เหล็กมาตอกตาให้มดื ในโลกนี้ พวกก้ขู องบ่แทนแตป่ ีไส้ตอ่ ไปน้ันแล แม้นทาอนั ใดก็บ่ขึน้ จักยามแล ได้
ของ
- มากบ็ ่ชอบธรรม ได้ลูกเกิดมาก็บ่ฟังคาพอ่ แม่ ตายจากชาติน้ีกไ็ ด้เอาไปตกนรกอเวจีแฮ้งกาหมาสบเหล็ก
สบทองจิกกัด ประการ 1 นนั้ เหลก็ แดงเกดิ กลางหวั มันอยู่ บ่ท่อแตน่ ้ัน บงั เกดิ เปน็ หนอนเจาะตา
- เจาะปากเป็นทุกขเวทนามากนกั บท่ ่อแต่นัน้ ปากบังเกิดเปน็ ฮากเป็นใบ เหลก็ แดงเกิดกลางหวั อยู่
เจบ็ ปวดเป็นทุกขเวทนา อยากกนิ อันใดก็ได้กิน ทนทุกขป์ ระมาณ 9 โกฏิแสนลา้ นปีอยใู่ นอเวจนี รกที่
133
- น้ัน อนิจจงั นเป็นเท่ยี งแท้ในปีเส็ดนั้น เงินจกั ฆา่ ให้เปน็ ทองแดงเสียหมดซะแล เทพดาหลิงดูคนทง้ั หลาย
เขากระทาบาปมากนักเป็นต้นวา่ ฆา่ สัตว์ ลกั ของท่าน หลิน้ ชู้สูเ่ มยี ท่าน หลิ้นชูก้ บั ผัว บเ่ หน็ หนา้ พระ
ยาธมั มกิ ราชตนองอาจส่ังสอนคน
(ลานท่ี 7 หน้า 1)
- ท้งั หญิงชายใหญน่ อ้ ยฝงู มักใคร่เถงิ สมบตั ิ 3 ประการใหร้ ะนึกว่า พทุ ฺโธ เม นาโถ ธมโฺ ม เม นาโถ สงโฺ ฆ
เม นาโถ ให้ภาวนาทุกวนั เทิน ไดเ้ ห็นหนา้ พระยาธมั มิกราชแล ในปไี ส้ เดือน 12 คนทง้ั หลายจกั ตาย
- อยากขา้ วมากนักแล ตั้งแต่เดือน 1 ออกใหม่ จักเป็นเหตุอันใหญ่นกั จกั บงั เกดิ เป็นไฟไหม้เฮือนท้าว
พระยาฝงู ใจบาป ทา้ วพระยาเมืองใดทสราชคองธรรมบเ่ ที่ยงจกั บงั เกิดอบุ าทวใ์ สต่ า่ งๆ แล พ่อบา้ นใด ตา
แสงใด
- อาเภอใดทสราชคองธรรมเห็นแก่สนิ จ้างรางวัลก็เกดิ อุบาทวใ์ ส่บ้านใส่เฮือนตา่ งๆ แล สัตว์ 4 ตีนบ่
สวสั ดี คนท้ังหลายปลกู กินสร้างกนิ อันใดก็บ่อุดมแล จักเกิดพยาธิสารพัดต่างๆ แก่คนฝูงบาปน้ันแล เมอื่
จักกิน
- คน ฟา้ จักผ่าคนท้งั หลาย ฝนหอกดาบจักตกลงมาถืกคนทง้ั หลาย จกั เกดิ เป็นไอไขฮ้ ้อนไข้หนาว เจ็บหวั
มวั ตา เจ็บทอ้ งมูกท้องเลือด เป็นตุ่มเปน็ พอง เปน็ พยาธิสารพัดตา่ งๆ คนเอายาเก่ามาใส่บ่ถืก คน
ทง้ั หลายกินทานทกุ วนั นี้ เขาทานดว้ ยอาศยั ทกุ ข์มวน
(ลานท่ี 7 หนา้ 2)
- กจ็ ิง่ เกดิ พยาธสิ ารพดั ต่างๆ กับเขาตเิ ตียนชาวเจ้าภิกขุจิ่งเปน็ บาปแกค่ นท้ังหลาย แม้นว่าเขาปลกู พชี ชะ
อนั ใดก็บ่อุดมสกั อันแล เพราะวา่ เขาประมาทคุณแก้ว 3 ประการ แม้นวา่ เขาเลีย้ งสัตวก์ ็บ่แผ่ ได้ลูกเกดิ
มาก็บป่ ระกอบ
- เป็นลกู บ่สชู้ นคนหีนชาติ บ่ฟังคาพ่อแมส่ ่ังสอน ฆ่าฟันกนั มากนักแล อนั ว่าฝนตกลมมายามนั้น ผปี ่า
ใหญ่กจ็ กั มากินคนทั้งหลายฝูงนน้ั ดว้ ยเขาบย่ าพ่อแม่ครบู าอาจารย์แลเฒ่าแกแ่ ลแก้วทัง้ 3 แลบ่ยาพระ
ศาสนาอัน
- เป็นลกู ศษิ ยพ์ ระเจ้า แลบ่ยาคาสอนแหง่ กูอินทาธิราชนี้ ผีหัวหลวงแลผมี เหศักดทิ์ ้งั หลายก็จกั ออกมากนิ
คนทั้งหลายซะแล มีท่อใดกด็ ีก็จักตายละปละเสยี ยังขา้ วของยามนนั้ ซะแล บอกว่า อนจิ จงั ภาวนาได้
อานิสงสฮ์ ้อยโกฏิกัปแล
134
- อนัตตา ภาวนาได้ 2 พนั โกฏกิ ปั แลได้ชกั ฮูบพระธรรมเหมือนดัง่ บทต้นแล สทั ธะนะทะโลอาสทั ธัง
ทะเน ผู้ใดไดภ้ าวนาก็ได้เห็นหนา้ เจา้ ตนบญุ อย่าสงสัยเทนิ อะตตี ะโทสงั อะนาคะตะโทสัง ปัจจปุ ันนา
โทสงั ขะมะถะ เม
(ลานที่ 8 หน้า 1)
- ภันเต กายะกมั มัง มะโนกัมมัง สัพพะกัมมงั วนิ าสสนั ตุ อนั น้ีภาวนาล้างบาปท้ังมวลแล อะอิออุ ะติปิ
ภะทะอุตาตะนะโมพทุ ธายะ พทุ ธะรัสสะกา ธัมมะรสั สะกา สังฆะรสั สะกา อนิ ทารัสสะกา สัพพะสนั ตุ
วินาสสนั ติ บทนี้ภาวนา
- กันยักษ์ผีหัวหลวง กันได้เส้ียงแล ภันเต เสมะติ วาจามิ ยิตะวะระนัง อะนะโลจาเน ปาตะอุปปะทะ
หายยะ สะหะสะหายะเรเปตะปัคคะ ให้ภาวนากันยักษ์แล บูชาเทิน ทุกขังวัตตะเมปาปัง อะนิจจังทุก
ขัง
- อะนัตตา นะโมพุทธัสสะ นะโมธัมมัสสะ นะโมสังฆัสสะ หุลุสวะหะ วรรคน้ภี าวนาดับปาบท้ังมวลแล
สริ ะปาปังมะภุมโมโมมมุ ะอุอุอะมะ อันน้ีภาวนากันทุกข์ทั้งมวลแล มะอะอุทุกขัง มะอุอะอะนิจจัง อุอะ
มะอะนัตตา
- มะอะอุชีวัง วัตติ วรรคน้ีภาวนากันพญายมถามบ่ได้แล คนตายไปให้เขียนใส่ปาก บ่ได้ตกนรกแล มะ
สัจจะมะระกนั นงั มะระภะโวเตโช ธัมมะจันโทรัสสะปัคคะเรสังขารักขาเนเสฏโฐ อัมเห รกั ขันตุ ปากะ
โต คาถายอดไตรปฎิ ก
(ลานที่ 8 หนา้ 2)
- พระพุทธเจา้ บัญญัตใิ ห้ภาวนาหายบาปไดเ้ ห็นหนา้ เจ้าผู้มีบุญบ่อย่าซะแล กิญจะกุสะละกัมมัง กัตตังคิ
ลียะมะมะโนทิตาชปี ัญญาเมยยะกาทะเยเทวาคันตะพระนิเวเทยยะอะหะระเหตุกามมะนะยะโพชะหะ
นาหปุ าปีมาตัง
- คาถาโมคคัลลาน์มอดไฟนรก ให้ภาวนาบ่ได้ตกนรกแล ส่วนว่าพระยาธัมมิกราชตนน้ันก็เข้ามายามน้ัน
ทา่ นจักเลือกยกยอยังศาสนาพระโคตะมะแล แต่นน้ั ยังมีพระนารายณ์ตน 1 ใหญท่ อ่ ชา้ งสาร
- ก็จะบุขน้ึ มาแต่พนื้ แผ่นดินออกมากินพวกคนบาปให้หมดตั้งแต่ปีไสไ้ ปเถิงปีเร้าก็จิ่งอย่าแล บุคคละผู้ใด
บย่ าพระศาสนากจ็ ักตายหมด พวกอริภิกขุแลสามเณรแลผู้ใดตขิ องทา่ นแลผเู้ ฒ่า
135
- ผู้แก่ครูบาอาจารยป์ ระมาทพวกบญุ มันผปู้ ระมาทนนั้ ก็จักตายน่ังอยู่ ตายนอนอยู่ ตายไลตายฮากเลือด
ตายลงดาตายลงแดงตายเจ็บหัวมัวตา พยาธิต่างๆ มาขบมากินมาตอด บังเกิดอุบาทว์มาใส่คนพวกน้ัน
แม้นมที ่อใดกต็ าย
(ลานท่ี 9 หน้า 1)
- หมดดว้ ยฤทธ์ยิ กั ทาอบุ าทว์ใส่คนฝูงนน้ั แล แม้นภกิ ขุกด็ ี สามเณรก็ดี ได้อรพิ ระภกิ ขผุ ูถ้ ือศีล 5 ศลี 8
มากนัก ดว้ ยผละอานิสงส์บญุ อันนั้น ก็ไดม้ าเกิดเปน็ พระยามีเสนาโยธาชา้ งมา้ มากนัก อนั ว่ารบเสกิ ยัง
ยอ่ มแพท้ า่ นแล บัดนี้
- ทา่ นยงั กระทาบญุ ให้ทานมากนักแล ชาติภายหนา้ นท้ี า่ นก็ยังจักได้มาเป็นพระยาธมั มกิ ราชตน 1 ใน
ศาสนาพระโคตมะนแ้ี ล ในเมื่อศาสนาพระโคตมะเจ้าสังกาสราชาได้ 3 พันปลายนน้ั แล ส่วนว่าท้าวพระ
ยาตนใจบาป คนท้ังหลายฝงู ใจมักบาปน้ันก็จักตาย ในเม่ือรบเสกิ นน้ั คนจักตาย 9 ล้าน 9 โกฏิ 9 แสน 9
หม่นื 9 คนเสยี เสย้ี ง พวกคนกระทาบาปมันอ้างว่าเป็นเจ้าเป็นนาย เปน็ เสมียน พวกคนอทินนาทาน
มจิ ฉาจารบห่ ยอ่ น ลกั ผา้ ผ่อนสงั ฆะ ข่ม
- เหงแมป่ ้านา้ สาวเอาของเพิ่นมาเปน็ ของตน หลนิ้ ชสู้ เู่ มยี ท่าน พวกบย่ าเฒา่ แก่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ พวก
มนั ตเิ ตยี นชาวเจา้ ภิกขุสามเณร พวกมันลักเอาของท่านมากิน 1234567 พวกมันกู้เงนิ ทา่ นแลว้ บแ่ ทน
ทา่ น พวกมันประมาทท่ีไกลแลคนสร้างศีลกนิ ทาน
(ลานที่ 9 หนา้ 2)
- แม้นภิกขกุ ด็ ี แม้นคนก็ดีก็จักตายในเม่ือรบเสกิ นั้นแล แม้นมนั จะไปอยู่ในถ้าในฮูมันก็ตายบค่ ้างบ่หลอ
สักคน พระภิกขุทุกวันนีม้ ีใจโลภดว้ ยเงนิ ทองบแ่ ม่นคองนกั บวช เขาลวดคา้ นธูปแท่นภาวนา บ่ฟงั คาพ่อ
แม่ครูบาอาจารย์ส่ังสอน จง่ิ ขาดโภชนะ
- อาหารยากลาบากเพ่ือตัณหาของเขาน้ัน ยังค้างแตฝ่ ูงทาบุญกินทานน้ันแล สว่ นวา่ ผู้หญงิ ท้งั หลายกจ็ กั
เป็นแมฮ่ ้างแมห่ มา้ ยมากนัก เม่อื นั้นชาวเจา้ สมณะพราหมณ์เจา้ ทง้ั หลายกจ็ ักสกิ ออกมาเปน็
- คฤหัสถม์ ากนัก เหตวุ ่าฝูงหญิงท้ังหลายหาทีเ่ พิ่งบ่ได้ เขาก็ขอให้สิกออกมาเอาเขาเล้ียงเขายามนนั้ แล
ผชู้ ายท้งั หลายกจ็ กั ได้เมยี ผู้ละ 9 คน 10 คนหนั้ แล ในกาละยามนน้ั ก็จกั เกดิ เปน็ พายุเสกิ ใหญม่ ากนัก คน
ทง้ั หลายจกั มี
- คาเดอื ดเนื้อฮ้อนใจมากนักห้ันแล แต่ปีมะโรงมะเส็งมะเมียนนั้ เจา้ ตนบุญนน้ั จกั ได้เสวยเมืองแล ในเม่ือ
ศาสนาพระโคตมะสงั กาสได้ 2 พนั 3 พันเก่งิ ไปทางนัน้ ทางน้ีหัน้ แล บัดน้ีทา่ นยังบวชเปน็ ภกิ ขอุ ยู่กอ่ นแล
ส่วนว่าเจ้าภกิ ขตุ นน้นั ก็มผี ยา
136
(ลานท่ี 10 หน้า 1)
- ปญั ญามากนักแล อันวา่ ธรรมดนี ั้นพระภกิ ขุพวกเลีย้ งสัตว์ขายซื้อของขายของต่างๆ ในอารามวา่ ตวั เปน็
ผูส้ ดู เอามาเป็นอานาประโยชนะแกต่ ัวคนเดยี วบ่ให้พวกคณะสงฆ์อยูน่ ากนั นั้นเหน็ แมน้ วา่ หล่อแลตีกด็ ี
แมน้ ว่าภกิ ขตุ นใดหากกระทาการฆารวาสเหยา้ เฮือนตน
- เองกด็ ี เหน็ แก่ผู้หนด้ี ว้ ยตณั หาต่างๆ กด็ ี กบ็ ่เฮด็ ตามคาสอนพระพุทธเจ้าว่าตวั เปน็ ภิกขุแลสามเณร
ภิกขุตนนน้ั เณรผู้นน้ั ทาผิดคองสิกขาบทล่วงเหมือนดงั เอาตองมาห่อปลาเน่าไว้นนั้ แลกับติเตยี นภกิ ขผุ ู้ถือ
คองวปิ ัสสนา
- ธรรมกมั มัฏฐาน ผตู้ ิเตยี นน้นั ก็จักตายด้วยอุบาทว์ตา่ งๆ ตายแล้วก็จกั ได้ไปตกนรกอเวจที รงทุกข์เวทนา
ประมาณว่าได้ฮ้อยปซี ะแล พ้นนรกแล้วได้มาเกดิ เป็นสัตวเ์ ป็นเปรตต่างๆ แลอนั แล 5 ฮ้อยชาตกิ ม็ ีแล
- พระพุทธเจ้าว่าคนพวกน้ีบ่ไดเ้ ห็นหน้าพระอริยเมตไตยอนั จกั มาภายหน้าน้แี ล ชาตนิ กี้ บ็ ่ไดเ้ หน็ หน้าพระ
ยาธรรมเจา้ ตนจกั มาเสวยเมืองซายฟองหนองคาแสนในเมื่อศาสนาพระโคตมะได้ 2 พัน 3 พนั เกงิ่ นแ้ี ล
พระยาธรรมได้เสวย
(ลานท่ี 10 หนา้ 2)
- เมอื งแลว้ คนทงั้ หลายบ่ทุกข์บ่ยากแลยุทา่ งสรา้ งศลี กินทานแล บุคคละผใู้ ดไดส้ รา้ งหนังสอื พน้ื เมืองพระ
ยาธมั มิกราชองคน์ ี้ แมน้ ว่าบาปก็หาย หลน้ิ ชกู้ บั ผวั กห็ าย แมน้ ว่ากรรมมาแตอ่ เนกชาติๆ ใดๆ กด็ หี าย
หมดแล แมน้ ผ้ชู ายก็ดี ผู้หญงิ กด็ ีก็หายหมดแล
- แมน้ ได้ฟังท่านผู้อ่นื เทศนาก็ดี ได้เห็นหน้าพระยาธรรมแล แมน้ เอาคามาก่อพระธาตุขน้ึ ฮอดชัน้ ฟ้าอก
นิฏฐาพรหมก็ดี ก็บ่ปานสรา้ งหนังสือน้ีแล แม้นได้ลึบกด็ ี ได้ลานมาให้ทา่ นเขยี นให้ก็ดี ได้น้ามันยางมาให้
- ลึบกด็ ี จา้ งทา่ นผอู้ ่นื เขียนให้ก็ดี ไดม้ าฟงั ก็ได้บุญคุบาดยา่ งแล ไดส้ เี ทียนไต้บชู าก็ได้บุญคุบาดสที าเทยี น
แล ได้ปา่ วท่านผูอ้ ่นื มาฟังก็ได้บญุ คบุ าดป่าวนนั้ แล ได้เก็บดอกไมม้ าบูชาก็ได้บญุ คใุ บ
- ไมน้ ั้นแล ไดฝ้ ้ายมาสเี ทียนก็ไดบ้ ุญคุเสน้ ฝา้ ยน้นั แล ไดน้ บกไ็ ด้บุญบาดนบนนั้ แล แม้นผู้หญิงปรารถนา
เป็นผู้ชายกจ็ กั ได้เปน็ ในชาตอิ ันจักมาภายหน้านี้แล ทาบาปอันใดกห็ ายหมดแล
(ลานท่ี 11 หนา้ 1)
- นิตถิตงั กเ็ สร็จบรบวนควรเทา่ น้กี ่อนแล ฯ รจิ นาแลว้ ยามตดุ ซ้ายแลเจ้าเฮย หม่อมกันยาได้สร้าง
หนงั สอื พื้นเมอื งไว้กบั พทุ ธศาสนาพระพุทธเจ้า พุทธสังกาสราชาได้ 2 พนั 4 ฮ้อย 65 เดอื น 9 แรม
137
- 4 ค่า วัน 6 หมอ่ มกนั ยาเปน็ สาคญั อนั หน่งึ น้นั ขอให้ฮอดให้เถิงพ่อแม่ผู้ข้าอนั จุติตายไปแลว้ ขอให้ไป
คา้ ไปชู คันวา่ ตกที่ฮ้ายขอใหย้ ้ายไว้ที่ดีแดกข็ า้ เทนิ ขอใหพ้ ้นโอฆะ
- สงสารอันทุกขย์ าก ให้ไปเกิดในชัน้ ฟ้าแลนรี ะพานเป็นยอดกว่าเพ่ินทั้งหลายแด่ท้อน สาธๆุ พ่อผ้ขู า้ ชอื่
ว่าอ้ายดี แม่ผู้ข้าช่ือวา่ สาวดก ขอให้ค้าใหช้ ูหลายๆ แดเ่ ทนิ หมอ่ มกันยาเปน็ ผูส้ ร้างน้ีขอให้
- ไดเ้ ถิงชั้นฟ้านรี ะพาน กรรมเวรอนั ใดอย่าได้มากระทาแก่กันเทิน สาธๆุ ฯ
138
ภาคผนวก ค
ภาพประกอบการลงพ้นื ทีภ่ าคสนาม