The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การศึกษาและรวบรวมข้อมูลรูปแบบภาพตุงค่าวธรรมเพื่อการพัฒนาเป็น แหล่งเรียนรู้ศิลปกรรมทางพุทธศาสนาในจังหวัดลำปาง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by balllysa, 2022-06-20 23:51:18

การศึกษาและรวบรวมข้อมูลรูปแบบภาพตุงค่าวธรรมเพื่อการพัฒนาเป็น แหล่งเรียนรู้ศิลปกรรมทางพุทธศาสนาในจังหวัดลำปาง

การศึกษาและรวบรวมข้อมูลรูปแบบภาพตุงค่าวธรรมเพื่อการพัฒนาเป็น แหล่งเรียนรู้ศิลปกรรมทางพุทธศาสนาในจังหวัดลำปาง

 



 

รายงานการวจิ ัย

การศึกษาและรวบรวมข้อมูลรูปแบบภาพตุงค่าวธรรมเพื่อการพฒั นาเป็ น
แหล่งเรียนรู้ศิลปกรรมทางพทุ ธศาสนาในจังหวดั ลาํ ปาง

Studying and gathering of Jataka Banners for develop to
Buddhism Art Museum in Lampang.

โดย
หัวหน้าโครงการวจิ ยั : นายอนุกลู ศิริพนั ธ์ุ
ผู้ร่วมวจิ ยั : คณะวทิ ยาลยั อนิ เตอร์เทคลาํ ปาง

งานวจิ ยั นีไ้ ด้รับทุนอุดหนุนโดย กรมส่งเสริมวฒั นธรรม
ประจาํ ปี งบประมาณ 2558

    2 

 

รายงานการวจิ ยั

การศึกษาและรวบรวมข้อมูลรูปแบบภาพตุงค่าวธรรมเพ่ือการพฒั นาเป็ น
แหล่งเรียนรู้ศิลปกรรมทางพทุ ธศาสนาในจงั หวดั ลาํ ปาง

Studying and gathering of Jataka Banners for develop to
Buddhism Art Museum in Lampang.

โดย
หัวหน้าโครงการวจิ ยั : นายอนุกลู ศิริพนั ธ์ุ
ผู้ร่วมวจิ ยั : คณะวทิ ยาลยั อนิ เตอร์เทคลาํ ปาง

งานวจิ ยั นีไ้ ด้รับทุนอดุ หนุนโดยกรมส่งเสริมวฒั นธรรม
ประจาํ ปี งบประมาณ 2558



 
 

ช่ือโครงการ การศึกษาและรวบรวมขอ้ มูลรูปแบบภาพตุงคา่ วธรรมเพ่อื การพฒั นาเป็น
แหล่งเรียนรู้ศิลปกรรมทางพทุ ธศาสนาในจงั หวดั ลาํ ปาง
ผวู้ จิ ยั นายอนุกลู ศิริพนั ธุ์ และคณะวิทยาลยั อินเตอร์เทคลาํ ปาง
ทุนอุดหนุนการวิจยั กรมส่งเสริมวฒั นธรรม
ระยะเวลาทาํ การวิจยั 1 ปี

บทคดั ย่อ

โครงการวิจยั เรื่อง การศึกษาและรวบรวมขอ้ มูล รูปแบบภาพตุงค่าวธรรม เพื่อการศึกษา เป็ น
แหล่งเรียนรู้ศิลปกรรมทางพุทธศาสนา ในจงั หวดั ลาํ ปาง เป็ นงานวิจยั เชิงคุณภาพ และอธิบายรูปแบบ
ทางศิลปกรรมของ ตุงค่าวธรรม มีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือ สาํ รวจและเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล รูปแบบตุงค่าวธรรม
(พระบฎ) และวิถีชีวิตของคนในชุมชนลา้ นนาในอดีต ที่ปรากฏบนผืนผา้ ภาพตุงค่าวธรรม ศึกษา
รูปแบบของภาพจิตกรรม เทคนิควิธีการเขียนภาพ และลวดลายต่างๆ ที่มีความสาํ คญั โดยอาศยั วิธีการ
วิเคราะห์ และตีความ จากภาพจิตรกรรม และ เพ่ือหาแนวทางการจดั ต้งั ศูนยก์ ารเรียนรู้ศิลปกรรมทาง
พทุ ธศาสนา (ตุงค่าวธรรม) ในจงั หวดั ลาํ ปาง

การดาํ เนินการวิจยั เชิงคุณภาพ ศึกษารวบรวมขอ้ มูลเบ้ืองตน้ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึก ร่วมกบั
พระภิกษุ ผูน้ าํ ชุมชน ปราชญ์ชุมชน และร่วมสังเกตการณ์ใน พิธีเทศน์มหาชาติ (ต้งั ธรรมหลวง) ของ
จงั หวดั ลาํ ปาง การวิจยั คร้ังน้ี ไดค้ ดั เลือก วดั ท่ีมีความสาํ คญั และมีศกั ยภาพ ในการดาํ เนินการ จาํ นวน 5
วดั ท่ีปรากฏ มี ภาพตุงค่าวธรรม คือ 1 วดั ลาํ ปางกลางตะวนั ออก อาํ เภอเมือง จงั หวดั ลาํ ปาง 2 วดั บา้ น
เอ้ือม อาํ เภอเมือง จงั หวดั ลาํ ปาง 3 วดั บา้ นสัก อาํ เภอเมือง จงั หวดั ลาํ ปาง 4 วดั ปงสนุกดา้ นเหนือ
อาํ เภอเมือง จงั หวดั ลาํ ปาง 5 วดั สบลี อาํ เภอเมืองปาน จงั หวดั ลาํ ปาง ผลการศึกษา และรวบรวมขอ้ มูล
รูปแบบภาพ ท้งั 5 วดั เขียนช่ือ พระเวสสนั ดรชาดก

1 วดั ลาํ ปางกลาง ตะวนั ออก อาํ เภอเมือง จงั หวดั ลาํ ปาง มีจาํ นวน 2 ชุด จาํ นวน 31 ผนื ชุดท่ี 1 มี
จาํ นวน 17 ผนื และชุดที่ 2 มีจาํ นวน 14 ผนื เป็ นการเขียนลงบนผา้ ฝ้าย และบนผา้ ใบ วาดดว้ ยสีฝ่ นุ อายุ
ประมาณ 80 ปี มีรูปแบบการเขียนเป็ นงานจิตรกรรมผสมผสานระหว่าง ช่างทอ้ งถ่ิน และภาพตวั ละคร
จากไทยภาคกลาง

2 วดั บา้ นเอ้ือม อาํ เภอเมือง จงั หวดั ลาํ ปาง มีจาํ นวน 1 ชุด 35 ผนื เขียนลงบนผา้ ทอโรงงาน วาด
ดว้ ยสีฝ่ นุ รูปแบบการเขียนภาพเป็นงานช่างทอ้ งถิ่น อายปุ ระมาณ 100 – 120 ปี สภาพของรูปสมบูรณ์

  4 

 
 

(1)
3 วดั บา้ นสัก อาํ เภอเมือง จงั หวดั ลาํ ปาง มีจาํ นวน 1 ชุด 25 ผนื เขียนลงผา้ ทอโรงงาน วาดดว้ ยสี
ฝ่ นุ รูปแบบการเขียนภาพ เป็นงานช่างทอ้ งถิ่น อายปุ ระมาณ 100 – 120 ปี สภาพชาํ รุด
4 วดั ปงสนุกดา้ นเหนือ อาํ เภอเมือง จงั หวดั ลาํ ปาง ภาพ 2 ชุด จาํ นวน 59 ผืน ชุดท่ี 1 มีจาํ นวน
35 ผนื เขียนลงบนกระดาษสา ชนิดหนา วาดดว้ ยสีฝ่ นุ ชุดที่ 2 จาํ นวน 24 ผนื เขียนลงผา้ ทอโรงงาน วาด
ดว้ ยสีฝ่ ุน อายปุ ระมาณ 100 – 120 ปี มีสภาพสมบูรณ์ รูปแบบการเขียนเป็ น ช่างทอ้ งถิ่น ผสม ช่างภาค
กลาง
5 วดั สบลี อาํ เภอเมืองปาน จงั หวดั ลาํ ปาง จาํ นวน 1 ชุด 12 ผนื เขียนลงบนผา้ ฝ้ายพ้ืนเมืองทอ
มือ วาดดว้ ยสีฝ่ นุ และสีจากดินธรรมชาติผสมยางไม้ เป็นงานจิตรกรรมช่างทอ้ งถิ่น อายไุ ม่ต่าํ กวา่ 120 ปี
จากการสาํ รวจท้งั 5 วดั มีตุงค่าวท้งั หมด 162 ผืน มีขนาดกวา้ งประมาณ 80 เซนติเมตร ถึง 100
เซนติเมตร ความยาวประมาณ 100 เซนติเมตร ถึง 130 เซนติเมตร ปรากฏขนาดที่แตกต่างจากวดั อ่ืน คือ
วดั สบลี ท่ีมีความกวา้ งเพียง 70 เซนติเมตร ยาวพียง 80 เซนติเมตร เท่าน้นั เนื่องจากใชภ้ าพฝ้ายทอมือใน
ทอ้ งถิ่นในการสร้างภาพตุงค่าวธรรม ซ่ึงแตกต่างจากแหล่งอ่ืนที่ใชผ้ า้ ฝ้ายทอจากโรงงาน
รูปแบบการเขียนภาพโดยมีการอธิบายเป็ นเรื่องของพระเวสสันดรต้งั แต่มาลยั ตน้ มาลยั ปลาย
ทศพร หิมพานต์ ทานกณั ฑ์ วณประเวสน์ ชูชก จุลพน มหาพน กุมาร มทั รี สักกบรรพ มหาราช นคร
กณั ฑ์ จะสอดแทรกเร่ืองราว วิถีชีวิตของทอ้ งถิ่น ซ่ึงแบ่งออก เป็ น 9 กลุ่ม 1) งานสถาปัตยกรรมวดั วงั
และบา้ นเรือน 2) กลุ่มชาติพนั ธ์ 3) การบนั ทึกประวตั ิศาสตร์ 4) เครื่องแต่งกาย 5) เครื่องประดบั 6)
เคร่ืองไมส้ อย 7) อาชีพ การทาํ มาหากิน 8) สตั วต์ ่างๆ และ 9) พืชพรรณ
การเขียนภาพจิตรกรรม จะมีแม่แบบในการวาด ท่ีมีโครงร่างและแบบแผน การวางตวั ละคร ใน
ตาํ แหน่งที่ใกลเ้ คียงกัน การวาดตวั บุคคล การแต่งกาย จะอิงความเป็ นทอ้ งถิ่นของแต่ละชุมชน ซ่ึง
รูปแบบการเขียนไดส้ ะทอ้ นถึงใหเ้ ป็นตวั ตนของชุมชนไดเ้ ป็นอยา่ งดี รูปแบบการวาด ยงั
สะทอ้ นให้เห็นถึง สภาพภูมิประเทศของแต่ละชุมชน ประวตั ิศาสตร์การจารึก และ สถานท่ีในชุมชน
ของตนเอง บุคลิกการแต่งกาย ที่สะทอ้ นถึง กิจกรรมของชุมชน ขา้ วของเคร่ืองใชต้ ่างๆ เป็นสญั ลกั ษณ์ท่ี
บ่งบอกถึง ลกั ษณะทอ้ งถ่ิน ท่ีชดั เจน เรื่องเล่าพระเวสสันดรบางพ้ืนที่ ก็เรียงภาพตุงค่าวน้ี ไปต่างๆ เช่น
ภาพชูชก เวสันตะระ ตุงชูชก ค่าวชูชก เป็ นตน้ ทาํ ให้ทราบถึงภาษาทอ้ งถ่ิน ท่ีใชเ้ ร่ืองตุงค่าวธรรม หรือ
ศพั ทท์ างภาคกลางเรียกวา่ ภาพพระบฎ ทาํ ใหเ้ กิดความสาํ คญั ทางดา้ นมรดกทางวฒั นธรรมในหลายๆมิติ



  

(2)
จากการสาํ รวจความเหมาะสมท้งั 5 วดั ทางทีมวิจยั จึงไดเ้ ลือกวดั ปงสนุกดา้ นเหนือ อาํ เภอเมือง
จงั หวดั ลาํ ปาง จดั เป็ นจุดที่จดั นิทรรศการจาํ ลอง และจดั ต้งั เป็ น ศูนยก์ ารเรียนรู้ศิลปกรรมทางพุทธ
ศาสนา (ตุงค่าวธรรม) เน่ืองจากวดั ปงสนุกดา้ นเหนือ เป็ นพ้ืนที่ๆ อยใู่ นเขตอาํ เภอเมือง สะดวกในการ
คมนาคม และในบริเวณวดั ยงั มีพิพิธภณั ฑโ์ บราณวตั ถุต่างๆ อยา่ งมากมาย รวมถึงทางวดั จดั เก็บตุงค่าว
ธรรมของทางวดั จดั ไดเ้ หมาะสม พร้อมจะเป็ นตวั อยา่ ง และให้แนวทางในการอนุรักษ์ มีพ้ืนที่สาํ หรับ
การนาํ เสนอขอ้ มูลให้กบั ผูท้ ี่สนใจ ท้งั สถาบนั การศึกษา ท้งั ในจงั หวดั และต่างจงั หวดั และทุกๆ ปี ท่ี
จงั หวดั ลาํ ปางไดม้ ีกิจกรรมเทศน์มหาชาติ (ต้งั ธรรมหลวง) ของ วิทยาลยั สงฆน์ ครลาํ ปาง ทางทีมวิจยั ได้
นาํ ภาพจาํ ลอง ตุงค่าวธรรม เขา้ ร่วมกิจกรรม พร้อมจดั นิทรรศการ ส่งเสริมองคค์ วามรู้เก่ียวกบั ตุงค่าว
ธรรม และเร่ืองราวของการเทศน์มหาชาติ อยา่ งต่อเนื่อง ในกรณีที่วดั ไหนในจงั หวดั ลาํ ปาง ตอ้ งการที่จะ
ไดภ้ าพจาํ ลอง และนิทรรศการหมุนเวียน ทางทีมวิจยั ก็จะยา้ ยจากวดั ปงสนุก ไปติดต้งั ใหก้ บั วดั ที่มีความ
ตอ้ งการภาพตุงค่าวธรรม ซ่ึงถือไดว้ ่า เป็ นการเผยแพร่ ผนวกกบั นิทรรศการเทศน์มหาชาติ ซ่ึงทาํ ให้
ประชาชน ไดม้ องเห็นความสาํ คญั ของ ภาพตุงค่าวธรรม ของจงั หวดั ลาํ ปาง ที่ทาํ ให้เกิดการพฒั นา และ
ต่อยอด ในมิติต่างๆ ในอนาคต และเป็นการสืบทอดพระพทุ ธศาสนา ใหม้ ีอายยุ นื ยาว ตามแบบชาวพทุ ธ
ที่เคยไดป้ ฏิบตั ิสืบต่อกนั มาจนถึงปัจจุบนั และกาํ ลงั จะไดร้ ับการต่อยอดไปสู่ บุคคลในอนาคตต่อไป

  6 
 
 

 

(3)

ABSTRACT

This study project on exploring valuable design and data collection for a certain amount of
the Buddhist art patterns of Tung Khao Dharma banners for Buddhism education is an essential
source of religious art learning in Lampang province, being a qualitative research and also trying to
describe all styles of the artistic patterns of the Buddhist Tung Khao Dharma banners. The study
purposes were to: 1) survey and collect appropriate information about the Tung khao Dharma banner
patterns (Phra Bot) and the traditional way of life of ancient residents in the Lanna Community
represented by paintings on those specified banners; 2 ) classify essential patterns of visual images,
painting techniques, and methods of design patterns based on analytical method and interpretation the
mean of painting; and 3) find a possible way to set up a Buddhist art (Tung Khao Dharma) learning
center in Lampang province.

The study process of this qualitative research started with collecting preliminary information
method by in-depth interview with the resident monks, community leaders and sages, and joint
observation with the Thet Mahachat Preaching ceremonies (Tang Dhamma Luang sermons)
performed by various sectors in Lampang province. Five temples with most important and effective
measurement that appeared to have Tung Khao Dharma banners had been selected by the research
team, including: 1 ) Wat Lampang Klang temple, eastern side, located at Mueang Lampang district,
Lampang province; 2 ) Wat Ban Uem temple, located at Mueang Lampang district, Lampang
province; 3) Wat Ban Sak temple, located at Mueang Lampang district, Lampang province; 4) Wat
Pong Sanuk temple, northern side, located at Mueang Lampang district, Lampang province; 5 ) Wat
Sob Li temple, located at Mueang Pan district, Lampang province. The results and data collecti on of
the study could be concluded all patterns of target banners from five temples named Prince Vessantara
Jataka.

1) Wat Lampang Klang temple, eastern side, located at Mueang Lampang district, Lampang
province, exposed 2 sets of 31 batches of target banners. The first set consisted of 17 batches, and the
second set of 1 4 , written and drawn on cotton and canvas fabrics and painted by powder coating
colors, and their ages were about 80 years. The blended writing and painting



  

(4)
patterns were created by local painters’ styles and character designs of Thai painters from central
Thailand.

2) Wat Ban Uem temple, located at Mueang Lampang district, Lampang province, exposed 1
set of 35 batches of target banners, written down on factorial woven fabrics and painted with powder
coating colors. The writing patterns and painting jobs were made by certain local artisans. The
banners aged around 100 – 120 years, being actually perfect with their own natural features.

3) Wat Ban Sak temple, located at Mueang Lampang district, Lampang province, exposed its
one set of 25 batches of cloth banners, written down on factorial textured woven fabrics and painted
with powder coating colors. The writing styles were created by certain local artisans. These banners
aged about 100 - 120 years with their damaged appearance..

4 ) Wat Pong Sanuk temple, northern side, located at Mueang Lampang district, Lampang
province, exposed two sets of 5 9 batches of banners. The first set consisted of 3 5 batches written
down on thick mulberry papers. The second set consisted of 24 batches written on factorial textured
woven fabrics and painted with powder coating colors. Their ages were around 100 - 120 years old
with their great appearance. Their blended writing and painting styles were formulated together by
some local and central technicians.

5) Wat Sob Li temple, located at Mueang Pan district, Lampang province, exposed one set of
12 batches of local art painting banners on local craft woven cotton fabrics and painted with powder
coating and natural soil colors with gum resin mixture. Their ages were more than 120 years old.

From the surveys provided at all 5 temples, the total 162 Tung Khao banners with average 80
to 1 0 0 centimeters width were summarized. Their optimal piece length varied from 1 0 0 to 1 3 0
centimeters, except other different width and length of 70 and 80 centimeters respectively appeared at
the Wat Sob Li temple. As the deficiency of local craft woven cotton fabrics used to create essential
images of Tung Khao Dharma banners was allowed, while sufficient sources of manufactured woven
cotton fabrics were obviously displayed in other areas.



 

 

(5)
The painting styles have been describes the Great Chronicle of Prince Vessantara from Malai
Ton, Malai Plai, Thotsaphorn, Himmaphan, Tharnkan, Wana Prawet, Chuchok, Chulaphon, Maha
Phon, Kumarn, Mathri, Sakkabap, Maharat to Nakhon Kan, including the act encouraging the local
way of life, divided into 9 groups: 1) Temple,Palace, and House Architectures; 2) Ethnic Groups; 3)
Historical Records; 4 ) Costumes; 5 ) Jewelry; 6 ) Appliances; 7 ) Livelihoods; 8 ) Animals; and 9 )
Vegetable Crops.
All painting and drawing will have a template for drawing with sketch and layout of character
designs in a similar position. Drawing for certain specific persons and dresses were based on the local
identity of each community. Moreover, the writing styles have actually reflected the identical entities
of each community. The drawing styles also clearly identify the territory of each community,
historical inscriptions and places in their own communities, and dress personality, that reflect the
activities of each community, and each kind of appliances also reflects different symbols that clearly
indicates each local appearance. In some areas, the Tung Khao banners drawing has been used to
represented Prince Vessantara narrative essays by mixing with Chuchok, Vessantara, Chuchok
banners, Khao Chuchok, etc. in such a way that they can be used to represent the local dialects of the
Tung Khao Dharma or the specific terms of central Thailand called Phap Phra Bot painting,
increasing the consequence of cultural heritage in various dimensions.
From the survey of propitious selection of all 5 temples, Wat Pong Sanuk temple, northern
part, located at Mueang Lampang district, Lampang province was chosen by our research team to be
as the place where each exhibition will be organized and set up as a learning center for Buddhist art
(Tung Khao Dharma banners). As the selected location of Wat Pong Sanuk temple is appeared to be
an appropriate area that lies inside Mueang Lampang district supported by public transport options
with providing many monument museums in the temple area. Moreover, the maintenance of Tung
Khao Dharma banners inside the temple is available to be an excellent model that can be providing
guidelines for actual conservation with suitable floor space for presenting information related to the
interest of people from both local and provincial educational institutions. Each year in Lampang
province, the Buddha’s Sermon Festival,



 

(6)
Thet Mahachat Preaching ceremonies of Nakhon Lampang Buddhist College is always
active. To participate in the exhibition every year, the Tung Khao Dharma banners have been
introduced to the exhibition by the research team in order to promote continuously religious
knowledge about the Tung Khao Dharma banner and the practice of the Thet Mahachat Preaching
ceremony. Moreover, the research team can be requested by other temples in Lampang province to
achieve more replicas and travelling exhibitions at their temples. To be exhibited at the required
temples, The Tung Khao Dharma banners will be moved from Wat Pong Sanuk temple. It is
considered to be the specific banner exhibition with Thet Mahachat Preaching ceremony, giving the
public a sense of the importance of Tung Khao Dharma banners of Lampang province, leading to the
religious development, next extension of various dimensions, and succession of Buddhism to the
longevity as the representative of the Buddhist whose tradition has been continued until the present
and will be a succession to the future.

  10 

  

(7)

กติ ตกิ รรมประกาศ

โครงการวิจยั เร่ือง การศึกษาและรวบรวมขอ้ มูลรูปแบบภาพตุงค่าวธรรมเพ่ือการพฒั นาเป็ น
แหล่งเรียนรู้ศิลปกรรมทางพุทธศาสนาในจงั หวดั ลาํ ปาง สาํ เร็จไดด้ ว้ ยความร่วมมือจากผูร้ ู้ ผูเ้ ชี่ยวชาญ
ของแต่ละพ้ืนที่โดยเฉพาะพระภิกษุสงฆท์ ่ีใหข้ อ้ มูล โดยเฉพาะวดั ปงสนุกดา้ นเหนือ อ.เมือง จ.ลาํ ปาง
ที่อนุเคราะห์ให้วดั ต้ังเป็ นศูนยก์ ารเรียนรู้ทางด้านศิลปกรรมทางพุทธศาสนา (ตุงค่าวธรรม) เพื่อ
ประโยชน์ทางด้านการศึกษาของชาวจงั หวดั ลาํ ปางตลอดจนพุทธศิลป์ ไม่ให้ถูกกลืนหายไปและยงั
ส่งเสริมเป็นแหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวที่สาํ คญั

ขอกราบขอบพระคุณ ทุนอุดหนุนการวิจยั โดยกรมส่งเสริมวฒั นธรรมปี งบประมาณ 2558
ตลอดจนเจา้ หน้าที่ของกรมส่งเสริมวฒั นธรรมท่ีให้คาํ แนะนําอาํ นวยความสะดวกด้านเอกสาร ให้
คาํ ปรึกษาและชีแนะ รวมถึงท่าท่ีปรึกษาที่ใหค้ าํ แนะนาํ ที่ชดั เจนในกระบวนการทาํ วจิ ยั ที่ผา่ นมา

กราบนมสั การขอบพระคุณพระเดชพระคุณพระราชจินดานายก เจา้ อาวาสวดั พระเจดียซ์ าวหลงั
เจา้ คณะจงั หวดั ลาํ ปาง

กราบนมสั การขอบพระคุณพระเดชพระคุณหลวงพอ่ พระครูโศภิตขนั ติยาภรณ์ เจา้ อาวาสวดั ปง
สนุกดา้ นเหนือ อาํ เภอเมือง จงั หวดั ลาํ ปาง

กราบนมสั การขอบพระคุณพระครูสุวดั นิคมเขต เจา้ อาวาสวดั บา้ นเอ้ือม อาํ เภอเมือง จงั หวดั
ลาํ ปาง

กราบนมสั การขอบพระคุณพระครูวิมลธรรมคุณาภรณ์ เจา้ อาวาสวดั บา้ นสัก อาํ เภอเมืองปาน
จงั หวดั ลาํ ปาง

กราบนมสั การขอบคุณพระครูพระปลดั ระฌานนท์ เจา้ อาวาสวดั สบลี อาํ เภอเมืองปาน จงั หวดั
ลาํ ปาง

กราบนมสั การขอบคุณเจา้ อธิการสรรณ สิคขาสโภ เจา้ อาวาสวดั ลาํ ปางกลางตะวนั ออก อาํ เภอ
เมือง จงั หวดั ลาํ ปาง

กราบนมสั การขอบคุณพระนอ้ ย นรุตตโม ผชู้ ่วนเจา้ อาวาสวดั ปงสนุกเหนือ อาํ เภอเมือง จงั หวดั
ลาํ ปาง

ขอกราบพระคุณ รศ.ดร.วรลญั จก์ บุณยสุรัตน์ คณบดีคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ ผศ.
เธียรชาย อกั ษรดิษฐ์ อาจารยป์ ระจาํ คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ ผศ.ดร.สืบศกั ด์ิ แสนยาเกียรติ
คุณ อาจารยป์ ระจาํ คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ และ ผศ.ดร.จกั รพนั ธุ์ พรนิมิต อธิการบดี
วทิ ยาลยั อินเตอร์เทคลาํ ปาง ซ่ึงใหค้ าํ แนะนาํ ในการดาํ เนินวจิ ยั โดยตลอด

11 

  

(8)
สุดทา้ ยน้ีหากมีสิ่งใดบกพร่อง ทีมวิจยั ขออภยั เป็นอยา่ งสูงและหวงั วา่ โครงการวิจยั คร้ังน้ีจะเป็น
ประโยชน์ท้งั ทางปฏิบตั ิและทางวิชาการ นโยบายแก่หน่วยงานท้งั ภาครัฐและเอกชนท่ีจะพฒั นาสิบสาน
มรดกทางด้านศิลปวฒั นธรรม ในรูปแบบของแหล่งการเรียนรู้ทางพุทธศาสนา ในระดับท้องถ่ิน
ระดบั ชาติและเป็ นเครื่องมือในการคน้ หาตวั ตนของแต่ละชุมชน เพ่ือสร้างความเขม้ แขง็ ในการพฒั นา
สืบต่อไป

12 

  

(9)

คาํ นํา

จงั หวดั ลาํ ปางเป็ นพ้ืนท่ีมีความหลายหลายทางวฒั นธรรม โดยเฉพาะงานพุทธศิลป์ หรืองาน
ศิลปกรรมทางพุทธศาสนาที่อยตู่ ามวดั อารามต่างๆ มากมายรวมไปถึงพิธีกรรมที่สะทอ้ นถึงบริบททาง
สังคมไดเ้ ป็ นอย่างดี ความหลากหลายของงานพุทธศิลป์ ท่ีชาวลาํ ปางยงั คงรักษาไวค้ วบคู่กบั พิธีกรรม
และประเพณีทอ้ งถิ่น เช่น ธรรมสน์ หีบธรรม ขนั ดอก สตั ภณั ฑ์ เป็นตน้ การเทศน์มหาชาติหรือประเพณี
ต้งั ธรรมหลวงของชาวลาํ ปางยงั คงยึดถือและปฏิบตั ิสืบต่อกนั มาถึงปัจจุบนั งานศิลปกรรมที่อยกู่ บั การ
เทศนม์ หาชาติและชาวบา้ นกใ็ หค้ วามเคารพนบั ถือเทียบเท่าพระพทุ ธรูป คือ ตุงค่าวหรือภาพพระบฎ (ตุง
ค่าวธรรม) เป็ นการเขียนเล่าเร่ืองราวเกี่ยวกบั พระเวสสันดรชาดกเพ่ือประกอบการเทศน์ที่สอดแทรก
ความเป็นทอ้ งถ่ินและวิถีชีวติ แต่ละพ้นื ท่ีไดอ้ ยา่ งงดงาม

การศึกษารวบรวมขอ้ มูลรูปแบบภาพคุงค่าวธรรมเพื่อเป็ นแหล่งเรียนรู้ศิลปกรรมทางพุทธ
ศาสนาในจงั หวดั ลาํ ปางเป็นการศึกษาวจิ ยั ท่ีไดร้ ับการสนบั สนุนทุนอุดหนุน โดยกรมส่งเสริมวฒั นธรรม
เพ่ือรวบรวมขอ้ มูลตุงค่างธรรมในจงั หวดั ลาํ ปาง รูปแบบและภาพวิถีชีวิตที่ปรากฏลงบนผืนผา้ รวมถึง
เป็ นแนวทางในการเผยแพร่และอนุรักษ์โดยนาํ ขบวนการจดั การทางมรดกทางวฒั นธรรมของแต่ละ
ชุมชนใหม้ ีส่วนร่วมในการรักษาผนื ผา้ (ตุงค่าวธรรม) รวมถึงภาครัฐบาลไดต้ ระหนกั ถึงความสาํ คญั ของ
งานศิลปกรรมท่ีอยใู่ นทอ้ งถ่ินและจดั ต้งั ศูนยก์ ารเรียนรู้ศิลปกรรมทางพระพทุ ธศาสนาในจงั หวดั ลาํ ปาง

งานวิจยั ชิ้นน้ีใชเ้ วลาท้งั หมด 12 เดือน ในการลงพ้ืนที่ศึกษา โดยเลือกพ้ืนที่วดั จาํ นวน 5 วดั ซ่ึง
ลว้ นแลว้ แต่ชุดภาพตุงค่าวธรรมสาํ คญั อีกท้งั ชุมชนมีศกั ยภาพในการรองรับการศึกษา ไดเ้ ลือก วดั ปง
สนุกดา้ นเหนือ อ.เมือง จ.ลาํ ปาง เป็นศูนยก์ ารเรียนรู้ศิลปกรรมทางพระพทุ ธศาสนา(ตุงค่าวธรรม) ท่ีหวงั
เป็นอยา่ งยงิ่ วา่ จะเป็นประโยชน์ต่อชุมชน สถาบนั การศึกษาท้งั ภาครัฐและภาคเอกชนของจงั หวดั ลาํ ปาง
และสถาบนั การศึกษาท่ีเก่ียวขอ้ งต่อไป

  13 

  

(10) หนา้
(1)
สารบัญ (8)
(10)
บทคดั ยอ่ (11)
กิตติกรรมประกาศ (12)
คาํ นาํ 1
สารบญั 13
สารบญั ภาพ 33
บทที่ 1 บทนาํ 38
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจยั ท่ีเกี่ยวขอ้ ง 85
บทที่ 3 วธิ ีการดาํ เนินการงานวิจยั
บทที่ 4 สภาพสงั คมและวฒั นธรรม 5 ชุมชนที่มีตุงคา่ วธรรม 178
บทท่ี 5 บทวิเคราะห์ผล สภาพสงั คมวฒั นธรรมนครลาํ ปาง ผา่ นตุงคา่ วธรรม 185
บทท่ี 6 บทสรุป การศึกษาและรวบรวมขอ้ มูลรูปแบบภาพตุงคา่ วธรรม

เพ่อื การพฒั นาเป็นแหล่งเรียนรู้ศิลปกรรมทางพทุ ธศาสนาในจงั หวดั ลาํ ปาง
บรรณานุกรม

14 

 
  

(11)
สารบญั ภาพ

ภาพที่ 1 การใชส้ ตั ตภณั ฑบ์ ูชาพระพทุ ธรูปในวหิ าร พบท่ีวดั บา้ นก่อ อ.วงั เหนือ จ.ลาํ ปาง 15

ภาพท่ี 2 วดั ลาํ ปางกลางตะวนั ออก 40

ภาพท่ี 3 ตุงคา่ วธรรมชุดที่ 1 41

ภาพที่ 4 ตุงค่าวธรรมชุดที่ 2 42

ภาพท่ี 5 ภาพพระธาตุเกศแกว้ จุฬามณีแบบไทยภาคกลาง(สยาม) ตุงค่าวธรรมวดั ลาํ ปาง

กลางตะวนั ออก 43

ภาพท่ี 6 ทอ้ งพระโรง ในพระราชวงั ของพระเจา้ กรุงสญั ชยั ตุงค่าวธรรมวดั ลาํ ปาง

กลางตะวนั ออก 43

ภาพท่ี 7 ซุม้ ประตูเขา้ พระราชวงั ของพระเจา้ กรุงสญั ชยั ตุงค่าวธรรมวดั ลาํ ปางกลางตะวนั ออก 44

ภาพท่ี 8 การวาดบา้ นของชูชก แบบศิลปะพ้นื บา้ น ตุงค่าวธรรมวดั ลาํ ปางกลางตะวนั ออก 45

ภาพที่ 9 วงกลองมโหรีแบบสยาม ตุงค่าวธรรมวดั ลาํ ปางกลางตะวนั ออก 45

ภาพท่ี 10 - 11 สาํ รวจและร่วมกนั อนุรักษ์ ชะลอความเสื่อมของภาพตุงค่าวธรรมวดั ลาํ ปาง

กลางตะวนั ออก 46

ภาพท่ี 12 - 13สาํ รวจและร่วมกนั อนุรักษ์ ชะลอความเสื่อมของภาพตุงค่าวธรรมวดั ลาํ ปาง

กลางตะวนั ออก 47

ภาพท่ี 14 วดั บา้ นเอ้ือม 48

ภาพที่ 15 ตุงคา่ วธรรมวดั บา้ นเอ้ือม 49

ภาพที่ 16 ภาพพระธาตุเกศแกว้ จุฬามณีแบบยอ่ มุมไม้ 12 ไทยภาคกลาง(สยาม) ตุงค่าวธรรม

วดั บา้ นเอ้ือม 50

ภาพที่ 17 ปราสาทพระอินทร์มีกาํ แพงลอ้ มรอบ ตุงค่าวธรรมวดั บา้ นเอ้ือม 51

ภาพที่ 18 ภาพวาดหญิงชาวไทยวน(คนเมือง) ใส่ซ่ินลายต๋า ภาพตุงคา่ วธรรมวดั บา้ นเอ้ือม 52

ภาพที่ 19 ทอ้ งพระโรง ในพระราชวงั ของพระเจา้ กรุงสญั ชยั ตุงคา่ วธรรมวดั บา้ นเอ้ือม 53 

ภาพที่ 20 ทอ้ งพระโรง ในพระราชวงั ของพระเจา้ กรุงสญั ชยั ตุงค่าวธรรมวดั บา้ นเอ้ือม 53

ภาพที่ 21 อาศรมพระเวสสนั ดร ศิลปะพ้ืนบา้ นผสมผสานกบั ศิลปะไทย ตุงค่าวธรรม 54
วดั บา้ นเอ้ือม 54

ภาพท่ี 22 การใชข้ นั แอวเป็นขนั สาํ รับอาหารของกญั หา ชาลี ตุงค่าวธรรมวดั บา้ นเอ้ือม

  15 

  

(12)

ภาพที่ 23 ภาพวาดกลุ่มคนเง้ียวที่สวมหมวกปี กกวา้ ง ปรากฏบนภาพตุงค่าวธรรมวดั บา้ นเอ้ือม 55

ภาพที่ 24-25 การลงพ้ืนท่ีสาํ รวจและร่วมกนั อนุรักษ์ ชะลอความเส่ือมของภาพตุงค่าวธรรม

วดั บา้ นเอ้ือม 56

ภาพท่ี 26 การดูดฝ่ นุ ชะลอความเสื่อมของภาพตุงคา่ วธรรมวดั บา้ นเอ้ือม 57

ภาพท่ี 27 การอนุรักษ์ ชะลอความเส่ือมของภาพตุงค่าวธรรมวดั บา้ นเอ้ือม 57

ภาพท่ี 28 วิหารวดั บา้ นสกั 58

ภาพที่ 29 สภาพการคน้ พบแรกเร่ิมจากการสาํ รวจ 59

ภาพท่ี 30 ตุงค่าวธรรมวดั บา้ นสกั 60

ภาพที่ 31 อาศรมฤาษี ศิลปะพ้ืนบา้ นผสมผสานกบั ศิลปะไทย ตุงคา่ วธรรมวดั บา้ นสกั 61

ภาพที่ 32 ภาพชายลา้ นนาสบั หมึกขาดาํ ท้งั แบบสบั ขากอ้ มและสบั ขายาวตุงค่าวธรรมวดั บา้ นสกั 61

ภาพท่ี 33 ภาพชายลา้ นนาสบั หมึกขาดาํ ไล่ตีชูชก ตุงคา่ วธรรมวดั บา้ นสกั 62

ภาพท่ี 34 รูปแบบการวาดผา้ ซิ่นพ้นื เมืองท่ีถูกตอ้ งตามแบบแผน ตุงค่าวธรรมวดั บา้ นสกั 62

ภาพที่ 35 ทหารมา้ สวมหมวกแฟร์ชนั่ แบบต่างๆ ประจาํ ตาํ แหน่งขนุ นาง วดั บา้ นสกั 63

ภาพท่ี 36-37 การลงพ้ืนท่ีสาํ รวจและร่วมกนั อนุรักษ์ ชะลอความเสื่อมของภาพตุงคา่ วธรรม

วดั บา้ นสกั 64

ภาพท่ี 38 - 39การลงพ้นื ที่สาํ รวจและร่วมกนั อนุรักษ์ ชะลอความเส่ือมของภาพตุงค่าวธรรม

วดั บา้ นสกั 65

ภาพท่ี 40 การจาํ ลองตุงคา่ วธรรมข้ึนมาใหม่ โดยพิมพล์ งบนผา้ ใบไวนิล โดยไม่นาํ ของเดิม

กลบั มาใช้ 66

ภาพที่ 41 วดั ปงสนุกเหนือ 67

ภาพท่ี 42 ตุงคา่ วธรรม ชุดท่ี 1 เขียนบนกระดาษสา 68

ภาพที่ 43 ตุงค่าวธรรมวดั ปงสนุกเหนือ อ.เมือง จ.ลาํ ปาง 69

ภาพท่ี 44 ภาพวาดพระเวสสนั ดรและนางมทั รี สวมรองเทา้ ประดบั ยศ กณั ฑว์ ณั ประเวศ

วดั ปงสนุกเหนือ 70

ภาพท่ี 45 ภาพพระธาตุเกศแกว้ จุฬามณีแบบไทยภาคกลาง(สยาม) ตุงค่าวธรรมวดั ปงสนุกเหนือ 71

ภาพที่ 46 รูปแบบปราสาทพระอินทร์บนหลงั ชา้ งเอราวณั ตุงค่าวธรรมวดั ปงสนุกเหนือ 71

ภาพท่ี 47 ทอ้ งพระโรง ในพระราชวงั ของพระเจา้ กรุงสญั ชยั ตุงค่าวธรรมวดั ปงสนุกเหนือ 72

ภาพท่ี 48 ทอ้ งพระโรง ในพระราชวงั ของพระเจา้ กรุงสญั ชยั ตุงคา่ วธรรมวดั ปงสนุกเหนือ 72

16 

  

(13)

ภาพที่ 49 ภาพวาดหญิงชาวไทยวน(คนเมือง) ใส่ซ่ินลายต๋า ภาพตุงคา่ วธรรมวดั ปงสนุกเหนือ 73

ภาพที่ 50 ภาพการแต่งกายหญิงในราชสาํ นกั ที่ใชผ้ า้ สไบพาดพนั อก ตุงคา่ วธรรม

วดั ปงสนุกเหนือ 74

ภาพท่ี 51 การวาดเคร่ืองประดบั ของเจา้ นาย วดั ปงสนุกเหนือ 74

ภาพท่ี 52 วหิ ารวดั สบลี 76

ภาพท่ี 53 จิตรกรรมฝาผนงั วดั สบลี 77

ภาพที่ 54 การลงพ้ืนท่ีสาํ รวจตุงคา่ วธรรมวดั สบลี 78

ภาพท่ี 55 ตุงค่าวธรรมวดั สบลี 79

ภาพที่ 56 อาศรมพระเวสสนั ดร ศิลปะพ้ืนบา้ น ตุงคา่ วสบลี 80

ภาพท่ี 57 รูปแบบการวาดผา้ ซ่ินของนางกษตั ริย์ ท่ีถูกตอ้ งตามแบบแผน ตุงค่าวธรรมวดั สบลี 80

ภาพที่ 58 กณั ฑก์ มุ าร วดั สบลี 81

ภาพที่ 59 กณั ฑท์ านกณั ฑ์ วดั สบลี 81

ภาพท่ี 60- 61 การอนุรักษต์ ุงค่าวธรรมวดั สบลี 82

ภาพท่ี 62- 63 การอนุรักษต์ ุงค่าวธรรมวดั สบลี 83

ภาพที่ 64 การบรรยาย สร้างความรู้ความเขา้ ใจเก่ียวกบั ตุงค่าวธรรมวดั สบลี 84

ภาพท่ี 65 ภาพพระธาตุเกศแกว้ จุฬามณีแบบไทยภาคกลาง(สยาม) ตุงคา่ วธรรมวดั ปงสนุกเหนือ 86

ภาพท่ี 66 ภาพพระธาตุเกศแกว้ จุฬามณีแบบไทยภาคกลาง(สยาม) ตุงค่าวธรรมวดั ลาํ ปาง

กลางตะวนั ออก 87

ภาพท่ี 67 ภาพพระธาตุเกศแกว้ จุฬามณีแบบยอ่ มุมไม้ 12 ไทยภาคกลาง(สยาม) ตุงคา่ วธรรม

วดั บา้ นเอ้ือม 87

ภาพที่ 68 วิหารหรือศาลา ตุงค่าวธรรมวดั ทุ่งฮา้ ง 88

ภาพท่ี 69 ปราสาทพระอินทร์บนหลงั ชา้ งเอราวณั ตุงค่าวธรรมวดั ปงสนุกเหนือ 89

ภาพท่ี 70 ปราสาทพระอินทร์มีกาํ แพงลอ้ มรอบ ตุงคา่ วธรรมวดั บา้ นเอ้ือม 89

ภาพที่ 71 ทอ้ งพระโรง ในพระราชวงั ของพระเจา้ กรุงสญั ชยั ตุงคา่ วธรรมวดั ปงสนุกเหนือ 90

ภาพที่ 72 ทอ้ งพระโรง ในพระราชวงั ของพระเจา้ กรุงสญั ชยั ตุงคา่ วธรรมวดั ปงสนุกเหนือ 91

ภาพท่ี 73 ทอ้ งพระโรง ในพระราชวงั ของพระเจา้ กรุงสญั ชยั ตุงค่าวธรรมวดั ลาํ ปาง

กลางตะวนั ออก 91

ภาพท่ี 74 ซุม้ ประตูเขา้ พระราชวงั ของพระเจา้ กรุงสญั ชยั ตุงค่าวธรรมวดั ลาํ ปางกลางตะวนั ออก 92

ภาพท่ี 75 ทอ้ งพระโรง ในพระราชวงั ของพระเจา้ กรุงสญั ชยั ตุงคา่ วธรรมวดั บา้ นเอ้ือม 92

17 

  

(14)

ภาพท่ี 76 ทอ้ งพระโรง ในพระราชวงั ของพระเจา้ กรุงสญั ชยั ตุงค่าวธรรมวดั บา้ นเอ้ือม 93

ภาพที่ 77 พระราชวงั ของพระเจา้ กรุงสญั ชยั ตุงคา่ วธรรมวดั ทุ่งฮา้ งศรีดอนมูล 94

ภาพที่ 78 ทอ้ งพระโรง ในพระราชวงั ของพระเจา้ กรุงสญั ชยั ตุงคา่ วธรรมวดั ทุ่งฮา้ งศรีดอนมูล 94

ภาพท่ี 79 อาศรมพระเวสสนั ดร แบบไทยภาคกลาง(สยาม) ตุงค่าวธรรมวดั ปงสนุกเหนือ 95

ภาพที่ 80 อาศรมฤาษี แบบไทยภาคกลาง(สยาม) ตุงค่าวธรรมวดั ปงสนุกเหนือ 96

ภาพที่ 81 อาศรมพระเวสสนั ดร ศิลปะพ้ืนบา้ นผสมผสานกบั ศิลปะไทย ตุงคา่ วธรรม

วดั บา้ นเอ้ือม 96

ภาพท่ี 82 อาศรมฤาษี ศิลปะพ้ืนบา้ นผสมผสานกบั ศิลปะไทย ตุงค่าวธรรมวดั บา้ นสกั 97

ภาพท่ี 83 อาศรมพระเวสสนั ดร ศิลปะพ้ืนบา้ น ตุงค่าวสบลี 97

ภาพท่ี 84 การวาดบา้ นของนางอมิตดา แบบศิลปะพ้นื บา้ น ตุงคา่ วธรรมวดั ปงสนุกเหนือ 98

ภาพท่ี 85 การวาดบา้ นของชูชก แบบศิลปะพ้ืนบา้ น ตุงคา่ วธรรมวดั ลาํ ปางกลางตะวนั ออก 99

ภาพท่ี 86 ภาพวาดหญิงชาวไทยวน(คนเมือง) ใส่ซ่ินลายต๋า ภาพตุงค่าวธรรมวดั บา้ นเอ้ือม 101

ภาพที่ 87 ภาพเปรียบเทียบการแต่งกาย หญิงชาวไทยวน(คนเมือง) ใส่ซ่ินลายต๋า ในอดีต 101

ภาพที่ 88 ภาพวาดหญิงชาวไทยวน(คนเมือง) ใส่ซิ่นลายต๋า ภาพตุงคา่ วธรรมวดั ปงสนุกเหนือ 102
 
ภาพที่ 89 ภาพวาดหญิงชาวไทยวน(คนเมือง) ใส่ซิ่นลายต๋า ใส่ผา้ มดั นม เกลา้ ผมปล่อย

ชายทดั ดอก 102

ภาพที่ 90 กลุ่มคนเง้ียวที่สบั หมึกดาํ ที่ขา โพกผา้ ท่ีหวั ที่ปรากฏบนภาพตุงค่าวธรรมวดั บา้ นเอ้ือม 103

ภาพท่ี 91 ภาพเปรียบเทียบการแต่งกาย กลุ่มคนเง้ียวท่ีโพกผา้ ที่หวั ในรัฐฉาน ประเทศพม่า 104

ภาพท่ี 92 ภาพวาดกลุ่มทหารเง้ียวท่ีสวมหมวกปี กกวา้ ง ปรากฏบนภาพตุงค่าวธรรมวดั บา้ นสกั 104

ภาพท่ี 93 ภาพถ่ายเปรียบเทียบกลุ่มชาวเง้ียวที่สวมหมวกปี กกวา้ ง ในรัฐฉาน ประเทศพม่า 105

ภาพที่ 94 ภาพวาดกลุ่มคนเง้ียวท่ีสวมหมวกปี กกวา้ ง ปรากฏบนภาพตุงคา่ วธรรมวดั บา้ นเอ้ือม 105

ภาพที่ 95 ภาพวาดขนุ นางของพระเจา้ กรุงสญั ชยั ขี่มา้ สวมหมวกแบบทหารพม่า

ปรากฏบนภาพตุงค่าวธรรมวดั บา้ นเอ้ือม 106

ภาพที่ 96 ภาพหมวกของขนุ นางพม่า ที่นาํ มาเปรียบเทียบกบั ภาพวาดที่ปรากฏบน

ภาพตุงคา่ วธรรมวดั บา้ นเอ้ือม 106

ภาพท่ี 97 ภาพวาดกลุ่มแขกพราหมณ์ ปรากฏบนภาพตุงค่าวธรรมวดั บา้ นเอ้ือม 107

ภาพที่ 98 ภาพวาดชาวกะเหร่ียง ที่ปรากฏบนภาพตุงค่าวธรรมวดั บา้ นเอ้ือม 108

ภาพที่ 99 การวาดภาพชาวจีน ไวผ้ มเปี ย ภาพตุงคา่ วธรรมวดั บา้ นเอ้ือม 110

ภาพท่ี 100 การวาดภาพชาวจีนที่กาํ ลงั แสดงกายกรรม ภาพตุงค่าวธรรมวดั บา้ นเอ้ือม 110

18 

 
 

(15)

ภาพที่ 101 ภาพชายลา้ นนาสบั หมึกขาดาํ ท้งั แบบสบั ขากอ้ มและสบั ขายาว ตุงคา่ วธรรม

วดั บา้ นสกั 112

ภาพท่ี 102 ภาพชายลา้ นนาสบั หมึกขาดาํ ไล่ตีชูชก ตุงคา่ วธรรมวดั บา้ นสกั 112

ภาพที่ 103 ภาพชายลา้ นนาสบั ขายาวนุ่งผา้ ตอ้ ย ตุงคา่ วธรรมวดั บา้ นเอ้ือม 113

ภาพที่ 104 ภาพชายลา้ นนาสบั ขายาวนุ่งเคด็ ม่าม กาํ ลงั เล่นเจิงมวยกนั อยู่ ตุงค่าวธรรม

วดั บา้ นเอ้ือม 114

ภาพท่ี 105 ภาพช่างป่ี คลุมผา้ ตุม๊ ปรากฏบนภาพตุงค่าวธรรมวดั ทุ่งผ้งึ 115

ภาพท่ี 106 ภาพชาวบา้ น ห่มคลุมผา้ ตุม๊ ในช่วงฤดูหนาว ปรากฏบนภาพตุงคา่ วธรรมวดั ทุ่งคา 115

ภาพท่ี 107 ภาพดุริยางคท์ หาร แต่งกายแบบทหารสยาม ปรากฏบนภาพตุงค่าวธรรมวดั ทุ่งฮา้ ง

ศรีดอนมูล 116

ภาพที่ 108 ภาพการแต่งกายหญิงในราชสาํ นกั ที่ใชผ้ า้ สไบพาดพนั อก ตุงค่าวธรรม

วดั ปงสนุกเหนือ 117

ภาพที่ 109 ภาพการเกลา้ ผมวดิ วอ้ งของหญิงชาวบา้ น ท่ีใชผ้ า้ สไบพาดบ่าเปลือยอก

ตุงคา่ วธรรมวดั ทุ่งคา 118

ภาพที่ 110 ภาพการเกลา้ ผมแลว้ เหน็บดอกของหญิงช่างฟ้อน ที่ใชผ้ า้ สไบคลอ้ งคอเปลือยอก

ตุงคา่ วธรรมวดั ทุ่งผ้งึ 118

ภาพที่ 111 รูปแบบการวาดผา้ ซ่ินพ้นื เมืองท่ีถูกตอ้ งตามแบบแผน ตุงค่าวธรรมวดั บา้ นสกั 119

ภาพท่ี 112 รูปแบบการวาดผา้ ซิ่นพ้ืนเมืองที่ถูกตอ้ งตามแบบแผน ตุงค่าวธรรมวดั บา้ นเอ้ือม 119

ภาพที่ 113 รูปแบบการวาดผา้ ซ่ินของนางกษตั ริย์ ท่ีถูกตอ้ งตามแบบแผน ตุงคา่ วธรรมวดั สบลี 120

ภาพที่ 114 การนุ่งซ่ินตีนลวดของหญิงชาวบา้ นสมยั ใหม่ ภาพตุงค่าวธรรมของวดั ทุ่งฮา้ ง 120

ภาพท่ี 115 การสวมเส้ือบ่าหอ้ ยในระยะหลงั ของหญิงชาวบา้ นตุงค่าวธรรมสดั ทุ่งฮา้ งศรีดอนมูล 121

ภาพที่ 116 ทหารมา้ สวมหมวกปี กกวา้ งยอดแหลม(กบุ เสิก) หมวกประจาํ ตาํ แหน่งขนุ นาง

วดั บา้ นเอ้ือม 122

ภาพที่ 117 ทหารสวมหมวกปี กกวา้ งยอดแหลม(กบุ เสิก) หมวกประจาํ ตาํ แหน่งขนุ นางวดั ทุ่งคา 122

ภาพท่ี 118 ทหารมา้ สวมหมวกแฟร์ชนั่ แบบต่างๆ ประจาํ ตาํ แหน่งขนุ นาง วดั บา้ นสกั 123

ภาพท่ี 119 พระสงฆจ์ ะใส่วอ่ มหรือหมวกผา้ ท่ีไม่มีปี ก ตุงค่าวธรรมวดั ปงสนุกเหนือ 123

ภาพท่ี 120 ภาพวาดพระเวสสนั ดรและนางมทั รี สวมรองเทา้ ประดบั ยศ กณั ฑว์ ณั ประเวศ

วดั ปงสนุกเหนือ 124

ภาพท่ี 121 การวาดเคร่ืองประดบั ของเจา้ นาย วดั บา้ นเอ้ือม 125

19 

  

(16)

ภาพท่ี 122 การวาดเคร่ืองประดบั ของเจา้ นาย วดั ปงสนุกเหนือ 125

ภาพที่ 123 หญิงชาวบา้ นใส่ลานหู ตุงคา่ วธรรมวดั ทุ่งผ้งึ 126

ภาพที่ 124 การเกลา้ ผมมวยแลว้ ชกั หนีบ หรือเรียกวา่ “จอ๊ กวอ้ ง” ตุงค่าวธรรมวดั ทุ่งคา 126

ภาพที่ 125 ภาพวาดพ้ืนบา้ น หญิงชาววงั ท่ีตดั ผมบอ๊ บ ดดั เป็นลอน ตุงค่าวธรรมวดั ทุ่งฮา้ ง

ศรีดอนมูล 127

ภาพที่ 126 ขนั เชิญพระเวสสนั ดรออกจากเมือง ตุงคา่ วธรรมวดั บา้ นสกั 129

ภาพท่ี 127 ขนั แอว 130

ภาพที่ 128 การใชข้ นั แอวเป็นขนั สาํ รับอาหารของกญั หา ชาลี ตุงค่าวธรรมวดั บา้ นเอ้ือม 130

ภาพท่ี 129 ลกั ษณะของขนั ซ่ีท่ีถูกทาํ เป็นขนั เชิญพระเวสสนั ดรออกจากเมือง ตุงคา่ วธรรม  

วดั บา้ นเอ้ือม 131

ภาพที่ 130 ขนั ซ่ีไมก้ ลึง 131

ภาพที่ 131 การชกั โคมแขวนไวใ้ นศาลาหรือวหิ าร ตุงคา่ วธรรมวดั ทุ่งฮา้ งศรีดอนมูล 132

ภาพท่ี 132 การชกั โคมแขวนเสาหงส์ในวนั ยเี่ ป็ง วดั ทุ่งคา อ.แจห้ ่ม จ.ลาํ ปาง 132

ภาพที่ 133 ทรงผปี ่ ูยา่ ลงมาส่งเคราะห์ใหก้ บั ลูกหลานในวงศต์ ระกลู ในชุมชนบา้ นปงสนุกเหนือ 133

ภาพท่ี 134 การส่งเคราะห์ของชูชก โดยพรานบุญเป็นผทู้ าํ พิธี ภาพตุงคา่ วธรรมวดั นาคตหลวง 134

ภาพท่ี 135 ขนั ขา้ วที่จดั เล้ียงใหก้ บั ชูชก ในกณั ฑม์ หาราช ตุงคา่ วธรรมวดั บา้ นเอ้ือม 135

ภาพท่ี 136 ขนั โตกไมก้ ลึง 135

ภาพที่ 137 ขนั ขา้ วท่ีมีฝาชีครอบจดั เล้ียงใหก้ บั ชูชก ในกณั ฑม์ หาราช ตุงค่าวธรรม

วดั ปงสนุกเหนือ 136

ภาพที่ 138 ขนั ขา้ วที่มีฝาชีครอบที่พบในลา้ นนา 136

ภาพท่ี 139 ขนั ขา้ วมีฝาชีครอบ วดั พระธาตุเสดจ็ อ.เมืองลาํ ปาง 137

ภาพท่ี 140 ขนั ขา้ วท่ีมีฝาชีครอบจดั เล้ียงใหก้ บั ชูชก ในกณั ฑม์ หาราช ตุงค่าวธรรมวดั ทุ่งผ้งึ 137

ภาพท่ี 141 กล่องขา้ ว ตาํ บลเมืองมาย อาํ เภอแจห้ ่ม จงั หวดั ลาํ ปาง 138

ภาพที่ 142 ลายเสน้ ก่องขา้ ว ฝีมือของคาร์ลบอ็ ก คร้ังมาสาํ รวจลาํ ปาง 139

ภาพท่ี 143 ภาพวาดก่องขา้ วลาย แบบของตาํ บลเมืองมาย อาํ เภอแจห้ ่ม จงั หวดั ลาํ ปาง 139

ภาพท่ี 144 ภาพวาดวิถีชีวติ ของคนในชุมชนในการหุงหาอาหาร วดั ทุ่งผ้งึ 140

ภาพที่ 145 ภาพวาดวิถีชีวติ ของคนในวงั ในการหุงหาอาหาร วดั ปงสนุกเหนือ 140

ภาพท่ี 146 ภาพวาดวถิ ีชีวติ ของคนในชุมชนในการหุงหาอาหาร วดั ทุ่งฮา้ งศรีดอนมูล 141

ภาพที่ 147 การหุงหา และปรุงแต่งอาหารของคนเมืองในอดีต 141

20 

  

(17)

ภาพที่ 148 เฮือนน้าํ บา้ นชูชก ตุงคา่ วธรรมวดั ทุ่งคา 142

ภาพที่ 149 เฮือนน้าํ บา้ นชูชก ตุงค่าวธรรมวดั ทุ่งฮา้ งศรีดอนมูล 142

ภาพท่ี 150 เฮือนน้าํ หนา้ บา้ น ตามชนบท 143

ภาพที่ 151 เฮือนน้าํ หนา้ วงั ตุงค่าวธรรมวดั ทุ่งฮา้ งศรีดอนมูล 143

ภาพที่ 152 หมอ้ ประเภทต่างๆ บริเวณใตถ้ ุนเรือนที่นางอมิตดาป้ันไว้ วดั นาคตหลวง 144
ภาพท่ี 153 ทหารของพระเวสสนั ดร ถือน้าํ ตน้ ตุงคา่ วธรรมวดั ทุ่งฮา้ งศรีดอนมูล 145 

ภาพท่ี 154 นางรับใชข้ องพระเจา้ กรุงสญั ชยั ถือน้าํ ตน้ ตุงคา่ วธรรมวดั นาคตหลวง 145

ภาพที่ 155 ชูชกสะภายน้าํ เตา้ ออกเดินทาง ตุงคา่ วธรรมวดั นาคตหลวง 146

ภาพท่ี 156 ชูชกสะพายน้าํ คอกในการออกเดินทาง ตุงค่าวธรรมวดั บา้ นเอ้ือม 147

ภาพท่ี 157นางอมิตดาขดุ บ่อน้าํ ซึมทราย ก่อนใชก้ ระบวยตกั น้าํ ซึมใส่ในน้าํ คุ วดั นาคตหลวง 148

ภาพท่ี 158 หญิงชาวบา้ นลา้ นนาในอดีต จะนิยมจบั กลุ่มซกั ผา้ และตกั น้าํ ท่ีท่าน้าํ เป็นกิจวตั ร 148

ภาพที่ 159 คุตกั น้าํ ในอดีต 149

ภาพที่ 160 น้าํ ทุง้ 149

ภาพท่ี 161 น้าํ ทุง้ ตุงคา่ วธรรมวดั ทุ่งคา 150

ภาพที่ 162 หญิงสาวชาววงั ถือกระเป๋ าหิ้วแบบสยาม ตุงค่าวธรรมวดั ทุ่งฮา้ งศรีดอนมูล 151

ภาพท่ี 163 หญิงสาวชาววงั กางร่มแบบฝรั่ง ตุงค่าวธรรมวดั นาคตหลวง 151

ภาพที่ 164 ชูชกสะพายยา่ ม สาํ หรับใส่เครื่องใชส้ ่วนตวั 152

ภาพท่ี 165 นางมทั รีหาบซา้ สาํ หรับใส่เครื่องใชส้ ่วนตวั 152

ภาพท่ี 166 ภาพทหารหลวงตีกลองปูจา แจง้ ข่าวการตายของชูชก ตุงค่าวธรรมวดั นาคตหลวง 155

ภาพที่ 167 ภาพหอกลองหลวง ในวงั พระเจา้ กรุงสญั ชยั ตุงคา่ วธรรมวดั ทุ่งคา 156

ภาพท่ี 168 วงป้าดแห่งานศพชูชก ตุงคา่ วธรรมวดั ทุ่งฮา้ งศรีดอนมูล 157

ภาพท่ี 169 วงป้าดแห่งานศพชูชก ตุงค่าวธรรมวดั ทุ่งคา 157

ภาพที่ 170 การบรรเลงป่ี พาทยพ์ ้นื เมืองในการเฉลิมฉลองการกลบั มาของพระเวสสนั ดร

วดั บา้ นเอ้ือม 158

ภาพท่ี 171 การบรรเลงป่ี พาทยพ์ ้นื เมืองในปัจจุบนั 158

ภาพที่ 172 สล่าปี่ แน ในวงกลองแห่ ตุงคา่ วธรรมวดั ทุ่งฮา้ งศรีดอนมูล 159

ภาพที่ 173 ทหารกองเกียรติยศ ประโคมกลองชนะ ตุงค่าวธรรมวดั ปงสนุกเหนือ 160

21 

 
 

(18)

ภาพท่ี 174 ทหารกองเกียรติยศ ประโคมกลองชนะ ในริ้วขบวนพระอิสริยยศในงานพระราชพิธี

พระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิ วัฒนา กรมหลวง

นราธิวาสราชนครินทร์ 161

ภาพที่ 175 วงกลองต่ึงโนง ขบวนเสดจ็ ของพระเจา้ กรุงสญั ชยั ตุงค่าวธรรมวดั ทุ่งคา 161

ภาพท่ี 176 วงกลองสิ้งหมอ้ ง ขบวนเสดจ็ ของพระเจา้ กรุงสญั ชยั ตุงค่าวธรรมวดั นาคตหลวง 162

ภาพที่ 177 วงกลองสิ้งหมอ้ ง ขบวนเสดจ็ ของพระเจา้ กรุงสญั ชยั ตุงค่าวธรรม

วดั ทุ่งฮา้ งศรีดอนมูล 162

ภาพท่ี 178 วงกลองสิ้งหมอ้ ง ของชุมชนบา้ นวงั หมอ้ อาํ เภอเมืองลาํ ปางในงานสลุงหลวง

ปี 2552 163

ภาพที่ 179 วงปี่ จุมและช่างซอ ตุงคา่ วธรรมวดั ทุ่งฮา้ งศรีดอนมูล 164

ภาพท่ี 180 วงป่ี จุมและช่างซอ ตุงคา่ วธรรมวดั ทุ่งผ้งึ 164

ภาพที่ 181 วงปี่ จุมและช่างซอ ตุงคา่ วธรรมวดั ทุ่งคา 164

ภาพท่ี 182 ววั เทียมเกวยี น พบเห็นไดต้ ามชนบทในภาคเหนือ 165

ภาพท่ี 183 ราชรถพระเวสสนั ดร เป็นรูปแบบเกวยี นเทียมกวาง ตุงคา่ วธรรมวดั ปงสนุกเหนือ 166

ภาพที่ 184 รถมา้ ราชรถ ตุงคา่ วธรรมวดั บา้ นสกั 167

ภาพที่ 185 รถมา้ ราชรถ ตุงคา่ วธรรมวดั บา้ นเอ้ือม 167

ภาพท่ี 186 ขบวนเสดจ็ โดยชา้ งของเจา้ นครลาํ ปางในอดีต 168

ภาพท่ี 187 ขบวนเสดจ็ โดยชา้ ง ของพระเจา้ กรุงสญั ชยั ตุงค่าวธรรมวดั บา้ นสกั 169

ภาพท่ี 188 ขบวนเสดจ็ โดยชา้ ง ของพระเจา้ กรุงสญั ชยั และมเหสี กญั หาและชาลี

ตุงคา่ วธรรมวดั บา้ นเอ้ือม 169

ภาพที่ 189 ขบวนเสดจ็ โดยชา้ ง ของพระเจา้ กรุงสญั ชยั ตุงค่าวธรรมวดั ปงสนุกเหนือ 170

ภาพที่ 190 ขบวนเสดจ็ โดยรถยนต์ ของพระเจา้ กรุงสญั ชยั และเหล่านางใน ตุงค่าวธรรม

วดั ทุ่งฮา้ งศรีดอนมูล 170

ภาพท่ี 191 ดาบหลูบเงินแบบต่างๆ ท่ีพบในเขตลา้ นนา 171

ภาพที่ 192 ทหารกบั ดาบประจาํ ตาํ แหน่ง “ดาบหลูบคาํ ” ตุงค่าวธรรมวดั บา้ นเอ้ือม 172

ภาพท่ี 193 งา้ วหลูบเงินในลา้ นนา 173

ภาพท่ี 194 งา้ วหลูบเงินในลา้ นนา 173

ภาพที่ 195 ทหารพระเจา้ กรุงสญั ชยั ถืองา้ วหลูบคาํ ตามขบวนเสดจ็ ตุงค่าวธรรมวดั บา้ นเอ้ือม 174

ภาพที่ 196 หอกในลกั ษณะต่างๆ ตุงค่าวธรรมวดั บา้ นเอ้ือม 174

22 

  

(19)

ภาพท่ี 197 พรานเจตบุตร ใชห้ นา้ ไมไ้ ล่ยงิ ชูชก ตุงค่าวธรรมวดั บา้ นเอ้ือม 175

ภาพท่ี 198 ทหารสวมหมวกแบบฝร่ัง เดินถือปื นในขบวนเสดจ็ ตุงค่าวธรรมวดั ปงสนุกเหนือ 176

ภาพที่ 199 ทหารสวมหมวกแบบเง้ียว เดินถือปื นในขบวนเสดจ็ ตุงคา่ วธรรมวดั บา้ นเอ้ือม 176

ภาพที่ 200 ชาวบา้ นเดินแบกปื น ตุงคา่ วธรรมวดั ทุ่งคา 177

ภาพที่ 201 ทหาร เดินถือปื นในขบวนเสดจ็ ตุงคา่ วธรรมวดั ทุ่งฮา้ งศรีดอนมูล 177

ภาพที่ 202 รูปงานต้งั ธรรมหลวง วดั ปงสนุก 13-15 มค 59 180

ภาพที่ 203 การลงพ้นื ที่สาํ รวจและร่วมกนั อนุรักษ์ ชะลอความเส่ือมของภาพตุงค่าวธรรม

วดั บา้ นสกั 181

ภาพที่ 204 คนในชุมชนมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ รักษามรดกทางวฒั นธรรมของตนเอง 182

ภาพที่ 205 อนุรักษซ์ ่อมแซมภาพตุงคา่ วธรรม วดั ศรีดอนมูลทุ่งฮา้ ง อาํ เภอวงั เหนือ

จงั หวดั ลาํ ปาง 183

ภาพที่ 206 อนุรักษซ์ ่อมแซมภาพตุงค่าวธรรม วดั ทุ่งผ้งึ อาํ เภอแจห้ ่ม จงั หวดั ลาํ ปาง 183

23 

 

(20)

บทท่ี 1
บทนํา

1.ช่ือโครงการ (ภาษาไทย) “การศึกษาและรวบรวมขอ้ มูลรูปแบบภาพตุงค่าวธรรมเพือ่ การพฒั นา
เป็นแหล่งเรียนรู้ศิลปกรรมทางพทุ ธศาสนาในจงั หวดั ลาํ ปาง”

(ภาษาองั กฤษ) “Studying and gathering of Jataka Banners for develop to
Buddhism Art Museum in Lampang. ”

2. ช่ือผู้วจิ ยั
2.1 ช่ือหวั หนา้ โครงการ นายอนุกลู ศิริพนั ธุ์

หน่วยงาน คณะศิลปศาสตร์ วิทยาลยั อินเตอร์เทคลาํ ปาง
โทรศพั ท์ 087-115-1095
โทรสาร 054-/-231066
อีเมล์ [email protected]

2.2 ผู้ร่วมโครงการ ต้นสังกดั บทบาทในงานวจิ ัยนี้ สัดส่ วนของ
ช่ือ-สกลุ งานท้งั หมด
คณะศิลปศาสตร์ วทิ ยาลยั (กรุณาระบุกจิ กรรม และ/ ทรี่ ับผดิ ชอบ
2.1 นายอนุกลู ศิริพนั ธุ์ อินเตอร์เทคลาํ ปาง หรือหน้าทรี่ ับผดิ ชอบ (%)
50%
2.2 นายฐาปกรณ์ เครือระยา คณะศิลปศาสตร์ วิทยาลยั โดยละเอยี ด
อินเตอร์เทคลาํ ปาง -ควบคุมการลงพ้นื ท่ีและ 30%
การดาํ เนินงานวจิ ยั / การ
พฒั นา แหล่งเรียนรู้
ศิลปกรรมทางพทุ ธ
ศาสนา
-ลงพ้นื ที่ ศึกษารวบรวม
ขอ้ มูลรูปแบบภาพตุงคา่ ว
ธรรมร่วมกบั ชุมชน/ การ



 

พฒั นา แหล่งเรียนรู้

2.3 นายกิติศกั ด์ิ กล่ินหมื่นไวย คณะศิลปศาสตร์ วิทยาลยั ศิลปกรรมทาง 10%
อินเตอร์เทคลาํ ปาง พทุ ธศาสนา 10%
ศึกษาดา้ นรูปแบบการ 100%
2.4 นายนพพงษ์ สวา่ งอมั เจา้ หนา้ ท่ีประจาํ ศูนย์ พฒั นางานศิลปกรรมเพ่ือ
วฒั นธรรมลุ่มน้าํ โขง รองรับเป็ นแหล่ง
วิทยาลยั อินเตอร์เทค ท่องเที่ยว
ลาํ ปาง ศึกษาขอ้ มูลดา้ น
วฒั นธรรมที่ปรากฏบน
ภาพตุงคา่ วธรรม

รวมภาระงาน

2.3 ทป่ี รึกษาโครงการ
1. พระราชจินดานายก เจา้ อาวาสวดั พระเจดียซ์ าวหลงั เจา้ คณะจงั หวดั ลาํ ปาง
2. รศ.ดร. วรลญั จก์ บุณยสุรัตน์ อาจารยป์ ระจาํ ภาควิชาศิลปะไทย คณะวิจิตรศิลป์
มหาวิทยาลยั เชียงใหม่
3. ผศ.เธียรชาย อกั ษรดิษฐ์ อาจารยป์ ระจาํ ภาควิชาศิลปะไทย คณะวจิ ิตรศิลป์
มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่
4. อ.ดร. สืบศกั ด์ิ แสนยาเกียรติคุณ อาจารยป์ ระจาํ ภาควิชาศิลปะไทย คณะวิจิตรศิลป์
มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่
5. ผศ.ดร.จกั รพนั ธ์ พรนิมิต อธิการบดีวทิ ยาลยั อินเตอร์เทคลาํ ปาง

3. ความเป็ นมาของการวจิ ยั
ลา้ นนา เป็นพ้ืนท่ีท่ีอุดมไปดว้ ยศิลปวฒั นธรรมและงานศิลปกรรมท่ีมีคุณค่า มีความหลากหลาย

ในด้านรูปแบบ และยุคสมัย โดยงานศิลปกรรมท้ังหลายไม่ว่าจะเป็ น พระพุทธรูป สัตตภัณฑ์
ธรรมาสน์ อาสนะ รวมไปถึงส่วนประกอบทางสถาปัตยกรรมอ่ืนๆ ภายในวดั งานศิลปะเหล่าน้ีเช่ือมโยง
ความเชื่อ ศรัทธา ในพระพุทธศาสนาและการดาํ เนินชีวิตประจาํ วนั ของชาวลา้ นนาในอดีต สะทอ้ นให้
เห็นถึงคุณค่าของศิลปวฒั นธรรมท่ีเป็ นเอกลกั ษณ์เฉพาะตวั อนั โดดเด่นลว้ นแลว้ แต่มีความสัมพนั ธ์กบั



 

ประวตั ิศาสตร์ เศรษฐกิจ สังคม ของชุมชนน้ันๆ ซ่ึงควรจะดาํ รงอยู่ ต่อไปเพ่ือเติมเต็มคุณค่าและ
ความสาํ คญั ของทอ้ งถิ่น พร้อมท้งั ถ่ายทอดภูมิปัญญา ศรัทธา ความเช่ือ แก่คนรุ่นถดั ไป

“ตุงค่าวธรรม” คืองานพุทธศิลป์ อีกชนิดหน่ึงในรูปของภาพพระบฏ ซ่ึงมีลักษณะเป็ น
จิตรกรรมบนผนื ผา้ เขียนเล่าเร่ืองเวสสนั ดรชาดก หรือมหาชาติ มีท้งั แบบท่ีเป็นภาพเขียนเล่าเรื่องจนจบ
บนผืนผา้ เดียวกนั ท่ีมีความยาวหลายสิบเมตร และเล่าเร่ืองจบเป็ นตอนๆ บนผา้ ผืนเลก็ รวมกนั เป็ นภาพ
ชุดๆ ละ ๒๔ ผืน บา้ ง ๓๕ ผืนบา้ ง ตุงค่าวธรรมทาํ ข้ึนเพื่อใชใ้ นพิธีกรรมต้งั ธรรมหลวงในลา้ นนาท่ีจดั
ข้ึนเป็ นประจาํ ในช่วงเดือนพฤศจิกายน- มกราคม ของทุกปี ในการทาํ พิธีต้งั ธรรมหลวงจะมีประเพณี
เทศน์มหาชาติท้งั ๑๓กณั ฑ์ ภายในวนั เดียวกนั คนลา้ นนาเช่ือวา่ ใครไดฟ้ ังเทศน์มหาชาติจบท้งั ๑๓ กณั ฑ์
จะไดข้ ้ึนสวรรค์ ภาพเหล่าน้ีจะถูกนาํ ไปแขวนไวใ้ นวิหารเพื่อให้ผูฟ้ ังเทศน์ไดซ้ ึมซับภาพไปพร้อมกบั
การฟังเทศน์

ปัจจุบนั ประเพณีต้งั ธรรมหลวงลดนอ้ ยลง ทาํ ให้บทบาทของตุงค่าวธรรมไม่ไดน้ าํ กลบั มาใช้
งาน ถูกละทิ้งจนขาดการดูแลเอาใจใส่ของคนในชุมชน จนภาพตุงค่าวธรรมชาํ รุดและสูญหาย อีกท้งั ยงั
ไร้ซ่ึงคุณค่าและความหมายในสังคมยุคปัจจุบนั อนั เป็ นผลกระทบมาจากแนวคิดของสังคมลา้ นนาที่
เปล่ียนแปลงไป ทาํ ให้สภาวะของภาพตุงค่าวธรรมและเครื่องใชใ้ นพิธีต้งั ธรรมหลวงไม่ไดน้ าํ มาใชใ้ น
ปัจจุบนั ซ่ึงน่าเป็นห่วงและเสี่ยงต่อการสูญหาย การถูกเปล่ียนหนา้ ที่การใชง้ าน ซ่ึงส่ิงเหล่าน้ีถา้ ไม่ไดร้ ับ
การจดั การศึกษาในดา้ นขอ้ มูล การให้ชุมชนรับรู้ถึงคุณค่าและความสาํ คญั ดา้ นความหมายที่แฝงอยใู่ น
การวาดภาพ คติการสร้าง รวมถึงพิธีกรรมที่เกี่ยวขอ้ ง อาจส่งผลให้ในอนาคตภาพคุงค่าวธรรมเหล่าน้ี
เป็นเพียงแคง่ านจิตรกรรมบนผนื ผา้ ท่ีหาคุณคา่ ทางจิตใจไม่ไดเ้ ลย ดงั ท่ีกล่าวแลว้ ว่า ตุงค่าวธรรมเป็ น
งานเขียนภาพเล่าเร่ืองเวสสนั ดรชาดกเป็นองคป์ ระกอบหลกั แต่เพ่ือใหภ้ าพมีความสมบูรณ์ผเู้ ขียนมกั จะ
แทรกภาพวิถีชีวิตของชุมชนที่ตนเองพบเห็นอยู่ทุกเมื่อเช่ือวนั ลงไปดว้ ย เช่น ลกั ษณะบา้ นเรือน ผูค้ น
การแต่งกาย อาหารการกิน สภาพแวดลอ้ ม ความเช่ือและขนบธรรมเนียมประเพณีของชุมชน เป็ นตน้
ภาพองคป์ ระกอบยอ่ ยเหล่าน้ี เรียกวา่ ภาพกาก ซ่ึงเป็นท้งั ภาพกากและเทคนิควิธีการสร้างภาพ ต่อมาได้
กลายเป็ นหลกั ฐานสําคญั ในการศึกษาเร่ืองราวต่างๆ ของชุมชน ท้งั เรื่องวิถีชีวิต รูปแบบศิลปะและ
ความสมั พนั ธ์กบั ชุมชนภายนอก ในสมยั ที่มีการเขียนภาพตุงคา่ วธรรมน้นั ๆ ไดเ้ ป็นอยา่ งดี

จากการสาํ รวจเบ้ืองตน้ ในพ้ืนที่ทางวฒั นธรรมในเขตภาคเหนือตอนบนของวิทยาลยั อินเตอร์
ลาํ ปาง พบวา่ มีเพียง ๔ จงั หวดั ที่พบตุงค่าวธรรม ซ่ึงไดแ้ ก่ จงั หวดั เชียงใหม่ จงั หวดั ลาํ พนู จงั หวดั ลาํ ปาง
และจงั หวดั แพร่ ซ่ึงตุงค่าวธรรมมีสภาพชาํ รุดเป็ นจาํ นวนมาก เน่ืองจากการใชง้ านและระยะเวลาท่ีผา่ น
มา อีกท้งั การเก็บรักษาท่ีผิดหลกั วิธี ก่อเกิดความเสียหายกับตวั งานจิตรกรรมเป็ นอย่างมาก รอการ
ช่วยเหลือจากองคก์ ร หน่วยงานราชการเขา้ ไปจดั การ ใหอ้ งคค์ วามรู้ท้งั ในดา้ นการศึกษาและการอนุรักษ์



 

ฉะน้ันตุงค่าวธรรมจึงมีความสําคญั อย่างสูงท้งั ในฐานะมรดกทางวฒั นธรรมของชาติ และใน
ฐานะหลกั ฐานที่ใชใ้ นการศึกษาเร่ืองราวต่างๆ ของชุมชนในสมยั ท่ีภาพเหล่าน้นั ไดถ้ ูกสร้างข้ึนมา ภาพ
ตุงค่าวธรรมเหล่าน้ีจึงควรค่าที่จะตอ้ งดูแลรักษาและหวงแหนไวเ้ ป็ นมรดกทางวฒั นธรรมที่สําคญั
เพอื่ ใหค้ นรุ่นหลงั ไดเ้ รียนรู้และเขา้ ใจถึงความเป็นมาของผคู้ นในอดีตแต่ละยคุ สมยั

ดว้ ยเหตุน้ีจึงสมควรที่จะสํารวจขอ้ มูลและหลกั ฐานเชิงลึกของรูปแบบศิลปกรรมภาพตุงค่าว
ธรรม เพื่อให้คนในชุมชนไดเ้ ห็นถึงคุณค่าความสําคญั พร้อมนําเสนอให้กบั ชุมชนน้ันๆ ให้ไดร้ ับรู้
พร้อมกบั การพฒั นาภาพตุงค่าวธรรมต่อยอดจากองคค์ วามรู้เดิม โดยการจดั หาแนวทางปลูกจิตสํานึก
ของคนในชุมชนและเยาวชนรุ่นใหม่ใหต้ ระหนกั ถึงคุณค่าและการอนุรักษด์ ูแลรักษา หวงแหนงานพทุ ธ
ศิลป์ ที่มีอยใู่ นชุมชนของตนเอง รวมถึงเป็นแรงผลกั ดนั ใหค้ นเขา้ มาศึกษาเรียนรู้ พร้อมท้งั ขบวนอนุรักษ์
ภาพตุงค่าวธรรม การส่งเสริมประเพณีทอ้ งถิ่น ตลอดจนถึงเครื่องประกอบพิธีกรรมท่ีใชใ้ นการต้งั ธรรม
หลวง นาํ ไปสู่การพฒั นาเพื่อใหเ้ ป็นแหล่งเรียนรู้ทางดา้ นศิลปกรรมทางพทุ ธศาสนาในชุมชนต่อไป

4. วตั ถุประสงค์ของโครงการ
4.1 เพ่ือสาํ รวจและเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลรูปแบบภาพตุงค่าวธรรม(พระบฎ) และวิถีชีวิตของคนใน

ชุมชนลา้ นนาในอดีตท่ีปรากฏบนผนื ภาพตุงค่าวธรรม(พระบฎ)
4.2 ศึกษารูปแบบของภาพจิตรกรรม เทคนิควธิ ีการเขียนภาพ และลวดลายต่างๆท่ีมี คุณคา่

ความสาํ คญั ในดา้ นภูมิปัญญาทอ้ งถิ่นเพ่ือเป็ นแม่แบบและแนวทางในการศึกษาภาพตุงค่าวธรรมหรือ
ภาพพระบฏในแหล่งอ่ืนโดยอาศยั วิธีการวเิ คราะห์และตีความจากภาพจิตรกรรม

4.3 เพ่ือหาแนวทางการจดั ต้งั ศูนยก์ ารเรียนรู้ศิลปกรรมทางพุทธศาสนา(พระบฎ) ในจงั หวดั
ลาํ ปาง

5. ประโยชน์ทคี่ าดว่าจะได้รับ
5.1 หน่วยงานราชการระดบั จงั หวดั สามารถจดั ต้งั ศูนยก์ ารเรียนรู้ศิลปกรรมทางพุทธศาสนา

และพฒั นาเป็นแหล่งท่องเท่ียวแห่งใหม่เพอ่ื รองรับการท่องเท่ียวเชิงวฒั นธรรมในอนาคตได้
5.2 วดั และพทุ ธศาสนสถาน ไดม้ ีส่วนร่วมในการสร้างจิตสาํ นึกในการอนุรักษภ์ าพตุงคา่ วธรรม

และประเพณีต้งั ธรรมหลวงใหแ้ ก่พทุ ธศาสนิกชนและประชาชนในชุมชน
5.3 ผูน้ าํ ชุมชน ปราชญ์ชุมชน และสถานศึกษาของชุมชน ไดร้ ับความรู้และเห็นความสําคญั

ของภาพตุงค่าวธรรม(พระบฎ) ในดา้ นภูมิปัญญาและคุณค่าทางความงามอนั เป็ นมรดกทางวฒั นธรรม
และสามารถนาํ ไปพฒั นาต่อยอดกิจกรรมการอนุรักษศ์ ิลปกรรมทางพทุ ธศาสนาต่อไป



 

5.4 นกั เรียนและนักศึกษาท่ีเขา้ ร่วมโครงการวิจยั ไดม้ ีความตระหนักและรับรู้ในงานอนุรักษ์
ศิลปวฒั นธรรมทางพุทธศาสนา ตลอดจนมีความรู้ความเขา้ ใจเก่ียวกบั หนา้ ที่การใชง้ านของภาพตุงค่าว
ธรรมและประเพณีต้งั ธรรมหลวง
6. คาํ ถามหลกั ในการวจิ ยั

สภาพวิถีชีวิต สภาพแวดลอ้ มและสงั คมวฒั นธรรมของแต่ละชุมชนท่ีสร้างภาพตุงค่าวธรรม ใน
อดีตเป็ นอยา่ งไร เพ่ือบนั ทึกเป็ นขอ้ มูลพ้ืนฐานดา้ นการเปลี่ยนแปลงของสงั คม ซ่ึงสามารถเขา้ ใจวิถีชีวิต
สภาพแวดลอ้ ม และสงั คมวฒั นธรรมของลาํ ปางในอดีตผา่ นภาพตุงคา่ วธรรมได้ รวมถึงรูปแบบของภาพ
จิตรกรรม เทคนิควิธีการเขียนภาพ และลวดลายต่างๆ มีลกั ษณะเฉพาะอยา่ งไร ซ่ึงการไดม้ าซ่ึงขอ้ มูล
การศึกษาคร้ังน้ี สามารถสร้างองคค์ วามรู้และเป็นแนวทางในการพฒั นาเป็ นแหล่งเรียนรู้ศิลปกรรมทาง
พทุ ธศาสนาในจงั หวดั ลาํ ปาง ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกบั สภาพสงั คมยคุ ปัจจุบนั

7. กรอบแนวคดิ ของการวจิ ยั และนิยามศัพท์เฉพาะ
“การศึกษาและรวบรวมข้อมูลรูปแบบภาพตุงค่าวธรรมเพื่อการพัฒนาเป็ นแหล่งเรียนรู้

ศิลปกรรมทางพุทธศาสนาในจังหวดั ลาํ ปาง” เป็ นการศึกษาและรวบรวมขอ้ มูลด้านรูปแบบของ
ศิลปกรรมตุงค่าวธรรม รวมไปถึงสังคมและวฒั นธรรมนครลาํ ปางผ่านงานจิตรกรรมตุงค่าวธรรม เพ่ือ
การพฒั นาเป็ นแหล่งเรียนรู้ศิลปกรรมทางพุทธศาสนาในจงั หวดั ลาํ ปาง อนั จะส่งผลใหเ้ กิดความรู้ความ
เขา้ ใจในทอ้ งถ่ิน ดงั รายละเอียดท่ีแสดงไวใ้ นแผนภูมิ 7.1 ดงั น้ี



 

แผนภูมิ 7.1 กรอบแนวคิดของการวิจยั

8. นิยามศัพท์
ตุงค่าวธรรม หรือภาพพระเวสสนั ตระ คือภาพจิตรกรรมบนผนื ผา้ ท่ีเขียน
เร่ืองราวเกี่ยวกบั ประวตั ิพระเวสสนั ดร เพ่ือใชใ้ นพิธีต้งั ธรรมหลวง
(เทศน์มหาชาติ)
แหล่งเรียนรู้ศิลปกรรมทางพทุ ธศาสนา หมายถึง สถานที่รวบรวมองคค์ วามรู้ดา้ น
ศิลปกรรมอนั เก่ียวเน่ืองกบั พทุ ธศาสนา อนั งดงามเก่าแก่ สะทอ้ นภูมิ
ปัญญาของบรรพชนและควรคา่ แก่การอนุรักษแ์ ละสืบต่อองคค์ วามรู้น้นั ๆ

9. ระเบยี บวธิ ีวจิ ยั
การวิจยั น้ีเป็นการวิจยั เชิงคุณภาพ จาํ เป็นตอ้ งเกบ็ ขอ้ มูลรอบดา้ นแบบองคร์ วม เพื่อทาํ ความ

เขา้ ใจกบั บริบทหรือสิ่งแวดลอ้ มดา้ นต่างๆ ท้งั ดา้ นสงั คมเศรษฐกิจ ความเช่ือ และพิธีกรรมของชุมชน จึง
จะใช้การวิจยั เชิงปฏิบตั ิการอย่างมีส่วนร่วม (Participatory Action Research-PAR) ซ่ึงเป็ นการวิจยั ใน
ลกั ษณะที่มุ่งสร้างความสาํ นึกและความตระหนักของคนในชุมชน ให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ ใน
ฐานะเป็ นส่วนหน่ึงของชุมชน โดยให้มีส่วนรับรู้และเรียนรู้ ในเรื่องต่างๆ ที่เกิดข้ึน ต่ืนตวั ถึงความ
จาํ เป็นที่จะตอ้ งกระทาํ และพร้อมที่จะร่วมรับรู้ผลงานวจิ ยั ดว้ ย เพ่ือใหเ้ ป็นการร่วมกบั ชุมชนศึกษาสภาพ
ปัญหาและความตอ้ งการ เพื่อวางแผนพฒั นาชุมชนของตนเอง

10.วธิ ีการดําเนินงานและการรวบรวมข้อมูล
10.1 ชุมชนที่เกี่ยวขอ้ งกบั มรดกภูมิปัญญาทางวฒั นธรรม (ประกอบดว้ ยบุคคล กลุ่มคน องคก์ ร

ใดบา้ ง)
เป็ นการวิจยั เชิงคุณภาพที่เนน้ กระบวนการอนุรักษภ์ าพตุงค่าวธรรม (พระบฎ) เพ่ือการพฒั นา

เป็ นศูนยก์ ารเรียนทางพุทธศาสนาในชุมชน โดยใชว้ ิธีการศึกษาเน้ือหารายละเอียดในภาพตุงค่าวธรรม
(พระบฎ) สัมภาษณ์เชิงลึกพระภิกษุสงฆ์ ผูน้ าํ ชุมชน ปราชญ์ชุมชน สถานศึกษาของชุมชน และร่วม
สงั เกตการณ์ในพธิ ีกรรม อยา่ งมีส่วนร่วมในพ้นื ท่ีท่ีพบภาพพระบฎ (ตุงคา่ วธรรม) ในจงั หวดั ลาํ ปาง

10.2 พ้นื ท่ีในการรวบรวมและจดั เกบ็ ขอ้ มูล (ระบุจงั หวดั /อาํ เภอ/ตาํ บล/สถานท่ี)
เนื่องจากการสํารวจเบ้ืองตน้ ต้งั แต่ปี พ.ศ 2552 -2557 และเขา้ ไปทาํ การอนุรักษ์ภาพตุงค่าว
ธรรมในจงั หวดั ลาํ ปางท้งั หมด 12 วดั ซ่ึงแต่ละวดั จะมีภาพตุงค่าวธรรมท่ีแตกต่างกนั บางวดั เขียน เป็ น



 

ผนื ยาว บางวดั จะเขียนแยกผนื การบรรยายภาพที่ประกอบดว้ ย เรื่องราว วิถีชีวิต สภาพแวดลอ้ มของแต่
ละชุมชนในภาพตุงค่าวธรรม (พระบฎ) ที่มีความแตกต่างกนั จึงไดค้ ดั เลือกวดั ที่จะทาํ การศึกษาในคร้ังน้ี
จากเส้นทางท่ีสามารถเดินทางเขา้ ไปไดส้ ะดวก และมีแนวโน้มท่ีจะสร้างเป็ นศูนยก์ ารเรียนรู้ภายใน
ชุมชน ซ่ึงจะเช่ือมโยงกบั สถาบนั การศึกษาของแต่ละชุมชน และสภาพของภาพตุงค่าวธรรมที่มีความ
สมบูรณ์ รวมถึงศกั ยภาพของพระภิกษุสงฆ์ โดยเฉพาะเจา้ อาวาส ผูน้ ําชุมชน ปราชญ์ชุมชน การนํา
ขอ้ มูลเก่ียวกบั ขบวนการอนุรักษ์ คุณค่า และประโยชน์ของตุงค่าวธรรมของแต่ละชุมชน ความเป็นหน่ึง
เดียวของชิ้นงาน การใชว้ สั ดุทอ้ งถิ่น ขอ้ มูลดา้ นการจดั เป็นแหล่งการเรียนรู้ และขอ้ มูลดา้ นการท่องเท่ียว
เพือ่ สร้างเป็นแนวทางการจดั ต้งั เป็นแหล่งการ
เรียนรู้ของชุมชน โดยกาํ หนดพ้นื ที่ในการศึกษาท้งั หมด 5 วดั ดงั น้ี

1. วดั ลาํ ปางกลางตะวนั ออก อาํ เภอเมือง จงั หวดั ลาํ ปาง
2. วดั บา้ นเอ้ือม อาํ เภอเมือง จงั หวดั ลาํ ปาง
3. วดั บา้ นสกั อาํ เภอเมือง จงั หวดั ลาํ ปาง
4. วดั ปงสนุก อาํ เภอเมือง จงั หวดั ลาํ ปาง
5. วดั สบลี อาํ เภอเมืองปาน จงั หวดั ลาํ ปาง

10.3 กระบวนการใหช้ ุมชนมีส่วนร่วมในการรวบรวมและจดั เกบ็ ขอ้ มูล (อธิบายแต่ละข้นั ตอน)

ท่ี การดําเนินงาน ประเภทของข้อมูล วธิ ีการและ สถานที่ ระยะเวลา
2 เดือน
1. ศึกษาสภาพบริบท เคร่ืองมือทใ่ี ช้
ของตุงคา่ วธรรม
ของแต่ละชุมชน - ชิ้นงานภาพตุงคา่ ว - การสาํ รวจขอ้ มูล วดั ลาํ ปางกลาง
ร่วมกบั พระภิกษุ
สงฆ์ และผนู้ าํ ธรรมของแต่ละ เบ้ืองตน้ วดั บา้ นเอ้ือม
ชุมชน
ชุมชน - การสมั ภาษณ์เชิง วดั บา้ นสกั

- ภาพถ่ายสภาพ ลึก วดั ปงสนุก

ของตุงคา่ วธรรม - การสงั เกตการณ์ วดั สบลี

อยา่ งมีส่วนร่วม

2. จดั ลาํ ดบั และกลุ่ม - ประวตั ิประเพณี - การบนั ทึก วดั ลาํ ปางกลาง 3 เดือน

ความสาํ คญั ของตุง การต้งั ธรรมหลวง ทะเบียนประวตั ิ วดั บา้ นเอ้ือม

ค่าวธรรม เพอ่ื จดั ทาํ และภาพตุงคา่ ว ชิ้นงานภาพตุงคา่ ว วดั บา้ นสกั

ทะเบียนประวตั ิฯ ธรรม ธรรม วดั ปงสนุก



 

- การคดั กรอง วดั สบลี

ความสาํ คญั ของ

ชิ้นงาน

ท่ี การดาํ เนินงาน ประเภทของข้อมูล วธิ ีการและ สถานที่ ระยะเวลา
2 เดือน
เครื่องมือทใ่ี ช้
2 เดือน
3. สร้างความเขา้ ใจ - องคค์ วามรู้การ - การบรรยายให้ วดั ลาํ ปางกลาง
1 เดือน
ร่วมกนั ระหวา่ งวดั สร้าง, การอนุรักษ์ ความรู้แก่ชุมชน วดั บา้ นเอ้ือม

ชุมชน และ และการรับรู้คุณคา่ - การประชุมกลุ่ม วดั บา้ นสกั

สถานศึกษา ของมรดกทาง ยอ่ ยระหวา่ ง วดั ปงสนุก

เกี่ยวกบั โครงการ วฒั นธรรม พระภิกษุสงฆ์ ผนู้ าํ วดั สบลี

และใหค้ วามรู้ ชุมชน ปราชญ์

คุณคา่ ความสาํ คญั ชุมชน และ

ของตุงค่าวธรรม สถานศึกษาใน

ชุมชน

4. ศึกษารายละเอียด -ภาพตุงค่าวธรรมท่ี - การสมั ภาษณ์เชิง วดั ลาํ ปางกลาง

เชิงลึกของภาพตุง ปรากฎในงาน ลึก วดั บา้ นเอ้ือม

คา่ วธรรม (พระบฎ) สถาปัตยกรรมและ -การบนั ทึกภาพตุง วดั บา้ นสกั

จากหลกั ฐานเชิง ประเพณี/ความเช่ือ คา่ วธรรม วดั ปงสนุก

ประจกั ษ์ ของแต่ละชุมชน -การแยกประเภท วดั สบลี

เช่น เคร่ืองแต่งกาย การเขียน และการ

วฒั นธรรมและ เล่าเรื่อง

ประเพณีทอ้ งถ่ิน -การวิเคราะห์

เน้ือหาภาพเขียน

ตุงคา่ วธรรม

5. ศึกษาความเป็นไป -โครงการศึกษา - สมั มนาวิชาการ วดั ลาํ ปางกลาง

ไดแ้ ละวางแผน ความเป็นไปไดใ้ น ระหวา่ งคณะ วดั บา้ นเอ้ือม

แนวทางในการ การจดั ต้งั ศูนยก์ าร นกั วจิ ยั ร่วมกบั วดั บา้ นสกั

จดั ต้งั ศูนยก์ าร เรียนรู้ฯในชุมชน ชุมชนและ วดั ปงสนุก

เรียนรู้ภาพตุงคา่ ว -แผนการจดั ต้งั ศูนย์ หน่วยงานภาครัฐ/ วดั สบลี

ธรรม ภายในชุมชน การเรียนรู้ฯ เอกชนท่ีเกี่ยวขอ้ ง



 

6. ถ่ายทอดความรู้ - ขอ้ มูลศูนยก์ าร -การจดั วดั ลาํ ปางกลาง 1 เดือน

เกี่ยวกบั ภาพตงุ คา่ ว เรียนรู้ฯในแต่ละ นิทรรศการ วดั บา้ นเอ้ือม

ธรรมใหแ้ ก่ชุมชน ชุมชน แสดงผลงานวจิ ยั วดั บา้ นสกั

และผเู้ ก่ียวขอ้ ง - เวบ็ ไซตง์ านพทุ ธ -เอกสารคูม่ ือ วดั ปงสนุก

ศิลป์ (ตุงค่าวธรรม) ความรู้ภาพตุงค่าว วดั สบลี

ธรรม

- จดั ทาํ เวบ็ ไซตฯ์

7. สรุปผลการวิจยั และ จดั ทาํ รูปเล่ม -การสงั เคราะห์ วดั ลาํ ปางกลาง 1 เดือน

ขยายผลสู่ รายงาน -การวเิ คราะห์ วดั บา้ นเอ้ือม

ภาคปฏิบตั ิ - สรุปผล วดั บา้ นสกั

วดั ปงสนุก

วดั สบลี

11. ระยะเวลาทาํ การวจิ ัย และแผนการดําเนินงานตลอดโครงการ
ตารางที่ 11.1 แผนงาน

วตั ถุประสงค์ แผนงาน ช่วงที่ 1 ช่วงที่ 2
เดือนที่ เดือนที่ เดือนที่ เดือนท่ี ช่ือผู้ดาํ เนิน
1-3 4-6 7-9 10-12 โครงการ

1. เพอื่ สาํ รวจและ 1.1 ศึกษาสภาพ ทร่ี ับผดิ ชอบ
เกบ็ รวบรวมขอ้ มูล บริบทของตุงค่าว นายอนุกลู ศิริ
รูปแบบงานพุทธ ธรรมของแต่ละ พนั ธุ์ และคณะ
ศิลป์ (ตุงคา่ ว) เชิง ชุมชนร่วมกนั
ลึกและวถิ ีชีวิตของ 1.2 จดั ลาํ ดบั
คนในชุมชน ความสาํ คญั และ
ลา้ นนาในอดีตท่ี แยกประเภทเพอื่ ทาํ
ปรากฏบนผนื ภาพ ทะเบียนประวตั ิ
ตุงคา่ ว(พระบฎ) 1.3 สร้างความ

เขา้ ใจร่วมกนั
ระหวา่ งวดั ชุมชน

10 

 

2. เพอ่ื หาแนว และสถานศึกษา นายอนุกลู ศิริ
ทางการจดั ต้งั ศูนย์ 1.4 ศึกษา พนั ธุ์ และคณะ
การเรียนรู้ รายละเอียดเชิงลึก
ศิลปกรรมทาง ของตุงคา่ วธรรม
พทุ ธศาสนา 2.1 ศึกษาความ
(พระบฎ) ใน เป็นไปไดแ้ ละวาง
จงั หวดั ลาํ ปาง แผนการจดั ต้งั ศูนย์
การเรียนรู้
2.2 ถ่ายทอดความรู้
เกี่ยวกบั ภาพตุงค่าว
ธรรมใหแ้ ก่
สาธารณชน
2.3 สรุปผลการวิจยั
และขยายผลสู่
ภาคปฏิบตั ิ

ตารางท่ี 11.2 ผลงานในแต่ละช่วงเวลา

ช่วงท่ี เดือนท่ี ผลงานทคี่ าดว่าจะสําเร็จ
1 1 – 3 ไดค้ วามรู้และเขา้ ใจในสภาพบริบทของภาพตุงค่าวธรรม ไดท้ ะเบียนประวตั ิ

โบราณวตั ถุทางพทุ ธศาสนา และแนวทางการอนุรักษใ์ นชุมชน
4 – 6 สร้างกระบวนการจดั การ การรับรู้ และการตระหนกั ในคุณค่าความสาํ คญั ของ

ภาพตุงค่าวธรรมใหแ้ ก่พระสงฆ์ ผนู้ าํ ชุมชน ปราชญช์ ุมชน และสถานศึกษาใน
ชุมชน

2 7 – 9 ประชาชนและหน่วยงานภาครัฐทุกระดบั ท่ีเก่ียวขอ้ งไดม้ ีส่วนร่วมในการศึกษา
และหาแนวทางการจดั ต้งั ศูนยก์ ารเรียนรู้ภาพตุงค่าวธรรมในชุมชนและจงั หวดั
ลาํ ปางอยา่ งเป็นรูปธรรม

10 - 12 ไดอ้ งคค์ วามรู้ดา้ นศิลปกรรมทางพุทธศาสนาในชุมชน และสามารถถ่ายทอด
ให้เกิ ดการเรี ยน รู้ และเห็ น คุ ณ ค่าของม รดกภู มิ ปั ญ ญ าท างพุ ท ธศ าส น าแก่
พทุ ธศาสนิกชนในชุมชน

11 

 

12. งบประมาณรวมตลอดโครงการ 250,000 บาท (สองแสนหา้ หม่ืนบาทถว้ น)

รายการ จํานวนเงิน

1. งบบุคคลากร 20,000.-

1.1 ค่าจา้ งนักวิชาการ (ลงพ้ืนที่สํารวจ เก็บขอ้ มูล) 3 คนๆ ละ 1,000 บาท 5 15,000

คร้ัง

1.2 ค่าจา้ งนกั ศึกษา (ลงพ้ืนท่ีสาํ รวจ เกบ็ ขอ้ มูล) 5 คนๆ ละ 200 บาท 5 คร้ัง 5,000

2. งบดาํ เนินงาน

2.1 ค่าตอบแทนคณะผู้วจิ ยั 35,000.-

2.1.1 คา่ ตอบแทนหวั หนา้ โครงการวจิ ยั จานวน 1 คนๆ ตลอดโครงการ 20,000

2.1.2 คา่ ตอบแทนนกั วิจยั ร่วม จานวน 5 คนๆ ละ 3,000 บาท ตลอด 15,000

โครงการ

2.2 ค่าใช้สอย 150,000.-

2.2.1 ค่าใชจ้ ่ายการลงพ้ืนท่ีเกบ็ ขอ้ มูลรูปแบบงานพทุ ธศิลป์ (ตุงค่าวธรรม) 20,000

จาํ นวน 5 ชุมชนๆ ละ 4,000 บาท

2.2.2 ค่าใชจ้ ่ายการประชุมกลุ่มยอ่ ยและสมั ภาษณ์เชิงลึกพระภิกษุสงฆ์ ผนู้ าํ 20,000

ชุมชน ปราชญช์ ุมชน สถานศึกษาของชุมชน จานวน 5 ชุมชนๆ

ละ 4,000 บาท

2.2.3 คา่ ใชจ้ ่ายการจดั นิทรรศการ/สมั มนาทางวชิ าการ จาํ นวน 5 ชุมชนๆ 50,000

ละ 10,000 บาท

2.2.4 คา่ จดั ทารายงานวจิ ยั ความกา้ วหนา้ และรายงานฉบบั สมบูรณ์ 20,000

2.2.5 คา่ ใชจ้ ่ายในการทาบอร์ดนิทรรศการ 35,000

2.2.6 คา่ ใชส้ อยอื่นๆ 5,000

2.3 ค่าวสั ดุ 15,000.-

  12 

2.3.1 วสั ดุโฆษณาและเผยแพร่ 5,000
2.3.2 วสั ดุสานกั งาน 5,000.-

2.4 ค่าสาธารณูปโภค 25,000.-
ไปรษณีย์ ไฟฟ้า นา้ ประปา โทรศพั ท์ 250,000.-

2.5 ค่าธรรมเนียมอดุ หนุนวทิ ยาลยั 10%
รวมงบประมาณ

หมายเหตุ : ถวั เฉล่ียไดท้ ุกรายการ

13 

 

บทท่ี 2
เอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี กยี่ วข้อง

ในการศึกษาเร่ือง “การศึกษาและรวบรวมข้อมูลรูปแบบภาพตุงค่าวธรรมเพ่ือการพัฒนาเป็ น
แหล่งเรียนรู้ศิลปกรรมทางพุทธศาสนาในจังหวัดลาํ ปาง ” ผวู้ ิจยั ไดก้ าํ หนดการทบทวนวรรณกรรมใน
หลายประเดน็ ท่ีเกี่ยวขอ้ งสองกลุ่ม ไดแ้ ก่

1) ชนิด ประเภท ความสาํ คญั และลกั ษณะการใชง้ านของงานพุทธศิลป์ ต่างๆ รวมท้งั แนวทาง
การอนุรักษ์

2) การศึกษาเกี่ยวกบั ภาพพระบฎ
3) ประเพณีฟังเทศน์มหาชาติ (ประเพณีต้งั ธรรมหลวง)
4) งานวจิ ยั ที่เก่ียวขอ้ ง
5) การจดั การมรดกทางวฒั นธรรม
6) ความหมายของการมีส่วนร่วมของชุมชน

มีรายละเอียดดงั ต่อไปน้ี
กลุ่มแรกได้แก่ ชนิด ประเภท ความสําคญั และลกั ษณะการใช้งานของงานพุทธศิลป์ ต่างๆ
รวมท้งั แนวทางการอนุรักษ์ จากรายงานการวิจยั ของศูนยโ์ บราณคดีภาคเหนือ เร่ือง ศิลปกรรมทอ้ งถ่ิน
ทางพุทธศาสนา ในเขตอาํ เภอแม่ทะ จังหวดั ลาํ ปาง และ รายงานการวิจัย การศึกษาเปรียบเทียบ
ศิลปกรรมไทย-รัฐฉาน ประเทศพม่า และอาํ เภอแม่ทะ จงั หวดั ลาํ ปาง ซ่ึงอธิบายถึงความสาํ คญั เทคนิค
การสร้าง การใชส้ อยในพิธีกรรมต่างๆ ของศิลปกรรมทางพุทธศาสนาของลา้ นนาแต่ละประเภทไวอ้ ยา่ ง
ละเอียด
โบราณวตั ถุ และศิลปวตั ถุ เป็ นหลกั ฐานสําคญั ที่แสดงถึงความรุ่งเรืองทางวฒั นธรรมของคน
ทอ้ งถิ่นในยคุ สมยั ต่าง ๆ และยงั เปรียบเสมือนส่ือที่เล่าเรื่องราวในอดีตให้ผคู้ นในปัจจุบนั ไดศ้ ึกษา อาทิ
วถิ ีชีวิต ความเป็นอยู่ ภูมิปัญญา เทคโนโลยี ขนบธรรมเนียมประเพณี เศรษฐกิจ คติความเช่ือทางศาสนา
และยงั แสดงถึงการติดต่อสัมพนั ธ์ระหว่างชุมชนในสมยั โบราณ ดงั น้นั อาจกล่าวไดว้ ่าโบราณวตั ถุและ
ศิลปวตั ถุ เป็นสญั ลกั ษณ์ท่ีแสดงถึงความเป็นชาติ และเป็นมรดกทางวฒั นธรรมท่ีสาํ คญั ของชาติ ดว้ ยเหตุ

14 

 

น้ี จึงจาํ เป็ นอยา่ งยงิ่ ที่จะตอ้ งดูแลและสงวนรักษาโบราณวตั ถุและศิลปวตั ถุ ให้คงสภาพยืนยาว เพื่อเป็ น
ประโยชน์ในการศึกษาของคนรุ่นต่อ ๆ ไป ดงั จะยกตวั อยา่ ง งานพทุ ธศิลป์ ชิ้นที่เก่ียวขอ้ งต่อไปน้ี
ผ้าพระบฏกบั ประเพณตี ้ังธรรมหลวง หรือ ต้งั ธัมม์หลวง

ผา้ พระบฏหรือผา้ ต้งั ธรรมหลวง นบั เป็ นเครื่องพิธีกรรมอีกส่ิงหน่ึงที่นอ้ ยคนนกั จะรู้จกั และเคย
พบเห็นในปัจจุบนั เน่ืองดว้ ยว่าไดม้ ีการปรับเปล่ียนและตดั ทอนรายละเอียด ของการตระเตรียมเครื่อง
พิธีดงั กล่าวลงใหก้ ระชบั อีกท้งั ไดข้ าดช่วงของการสืบทอดภูมิปัญญาและฝี มือการสร้างสรรคข์ องช่าง
ผทู้ าํ เคร่ืองพิธีชิ้นน้ี

โดยผา้ ต้งั ธรรมหลวง แต่เดิมไดม้ ีบทบาทและหนา้ ที่ในการเป็ นท่ีประดิษฐานพระธรรมเทศนา
เรื่อง “พระเวสสนั ตระ” หรือ พระเวสสันดรชาดก อนั เป็นมหาชาติสุดทา้ ยของพระโพธิสตั วก์ ่อนเสด็จ
มาอุบตั ิเป็นพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ดงั น้นั การที่จะอญั เชิญใบลานเร่ือง “พระเวสสนั ตระ” มาประดิษฐาน
ยงั มณฑลพิธีจึงต้องมีที่จัดอยู่อย่างพิเศษด้วยการกางโครงไม้กลึงสามขาหรือส่ีขาไขวท้ ี่เรียกว่า
“ก๊างธมั ม”์ หรือ กากเยยี แต่ความพิเศษอยตู่ รงท่ีท้งั สามหรือสี่ดา้ นของก๊างธมั มน์ ้นั จะมีผา้ ปักเป็นรูปภาพ
เทวดาพนมมืออยูด่ า้ นละผืนหากเป็ นแบบผา้ แขวนส่ีดา้ นมกั เรียกว่า “ผา้ พรหมส่ีหน้า” โดยมีความยาว
ต้งั แต่ส่วนบนของก๊างธมั มจ์ รดถึงพ้ืนและมีความกวา้ งเท่ากนั ท้งั ทุกดา้ นของหนา้ ผา้ และก๊างธมั มด์ ว้ ย

การต้งั ธรรมหลวงน้ี จะจดั ข้ึนในเดือนย่ีเพง(ยี่เป็ ง) คือวนั เพ็ญเดือน 12 จะมีการเตรียมงาน
มากมาย นับต้งั แต่การเตรียมคมั ภีร์ที่ใช้เทศน์ เตรียมองค์ธรรมกถึกหรือพระนักเทศน์ การเตรียม
ผรู้ ับผิดชอบกณั ฑเ์ ทศน์หรือเจา้ ของกณั ฑ์ การจดั เตรียมสถานที่ในการเทศน์ และการเตรียมตวั ของผจู้ ะ
มาฟังเทศน์ ถือเป็ นเป็ นพิธีใหญ่คู่กบั งานทานสลากภตั ต์ ดงั น้นั จึงมีคตินิยมว่า ในวดั หน่ึงน้นั ปี ใดที่จดั
งานทานสลากภตั ต์ก็จะไม่จดั งานต้งั ธรรมหลวง และปี ใดท่ีจดั งานต้งั ธรรมหลวงก็จะไม่จดั งานทาน
สลากภตั ต์ นอกจากเทศน์มหาชาติหรือเวสสันดรชาดกแลว้ ธรรมหรือคมั ภีร์ที่นาํ มาเทศน์ในงานต้งั
ธรรมหลวงน้ี อาจเป็ นคมั ภีร์ขนาดยาวเรื่องใดเรื่องหน่ึงซ่ึงทางวดั และคณะศรัทธาจะช่วยกนั พิจารณา
โดยอาจเป็ นเรื่องในหมวด ทศชาติชาดก ปัญญาสชาดก หรือชาดกนอกนิบาตเร่ืองอื่น แต่ที่นิยมกนั มาก
คือเร่ือง"มหาชาติ"หรือเวสสันตรชาดก ซ่ึงมีความเชื่อกนั ว่า หากไดฟ้ ังเทศน์มหาชาติครบ 13 กณั ฑ์ จะ
ไดไ้ ปเกิดในแผน่ ดินยคุ พระศรีอาริยเมตรัยในอนาคต ซ่ึงหากเป็ นธมั มท์ ่ีมิใชเ้ ร่ืองมหาชาติแลว้ ก็มกั จะ
ฟังกนั ไม่เกิน 3 วนั แต่หากเป็ นเวสสันตรชาดกหรือมหาชาติแลว้ อาจมีการฟังธมั มต์ ่อเนื่องกนั ไปถึง 7
วนั ก่อนที่จะเทศน์มหาชาติกจ็ ะเทศนเ์ ร่ืองอ่ืนไปเร่ือยๆ พอจะถึงวนั
สุดทา้ ยก็จะเทศน์ดว้ ยคมั ภีร์ชื่อ มาลยั ตน้ มาลยั ปลาย และอานิสงส์มหาชาติ รุ่งข้ึนเวลาเชา้ มืดก็จะเริ่ม
เทศน์มหาชาติต้งั แต่กณั ฑ์ทศพรไปเร่ือย ๆ จนครบท้งั 13 กณั ฑ์ ซ่ึงมกั จะไปเสร็จเอาในเวลาทุ่มเศษ
ปัจจุบนั นิยมเทศน์จบภายในวนั เดียว ดว้ ยเหตุที่เทศน์มหาชาติเป็ นที่นิยม จึงมีนักปราชญ์ฉบบั ลา้ นนา
แต่งธรรมเป็ นจาํ นวนถึงประมาณ 150 ฉบบั หรือสํานวน เช่น ฉบบั วิงวอนน้อย วิงวอนหลวง วิงวอน

15 

 

ดอนกลาง หิ่งแกว้ มโนวอน ท่าแป้น ริมฅง สร้อยสังกร เป็ นตน้ ส่วนฉบบั ท่ีเป็ นภาษาบาลีลว้ นเรียกว่า"
คาถาพนั "
สัตตภัณฑ์

พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พุทธศกั ราช 2525 ไดใ้ ห้ความหมายสัตตภณั ฑไ์ วว้ ่า สัตต
หมายถึง เจ็ด, ภณั ฑ์ มาจากคาํ ว่า บริภณั ฑ์ หมายถึง ส่ิงของ รวมกนั คือ “สัตตภณั ฑ์” หรือ “สัตตบริ
ภณั ฑ์” หมายถึง เขาท้งั 7 ทิว ที่ลอ้ มรอบเขา้ พระสุเมรุ ในท่ีน้ีคือ เชิงเทียนสาํ หรับบูชาพระประธานใน
วิหาร อุโบสถหรือพระธาตุเจดียเ์ ป็นเครื่องสกั การะท่ีสาํ คญั อยา่ งหน่ึงในคติทางศาสนา

ภาพท่ี 1 การใชส้ ตั ตภณั ฑบ์ ูชาพระพทุ ธรูปในวหิ าร พบท่ีวดั บา้ นก่อ อ.วงั เหนือ จ.ลาํ ปาง

สตั ตภณั ฑห์ รือเชิงเทียน 7 ยอดน้ี มีผใู้ หค้ วามหมายดา้ นรูปลกั ษณ์ วา่ หมายความถึง ภูเขาท้งั 7 ท่ี

ลอ้ มรอบทะเลศรีทนั ดรและภูเขาสิเนรุราชบรรพตไว้ อนั หมายถึงสวรรคท์ ่ีประทบั ของพระเจา้ และเหล่า

เทวดาท้งั หลายประกอบดว้ ย

1. ยคุ นธร 2. อิสินธร 3. กรวกิ

4.วนิ นั ตกะ 5. เนมินธร 6.สุทศั นะ

7. อศั กนั ต1์

ธรรมาสน์

                                                           

  1สิทธิศกั ด์ิ เสือแฟง, สัตตภณั ฑ์ ในเขตอ าเภอเมือง จงั หวดั เชียงใหม่. การศึกษาเฉพาะเรื่อง, ( เชียงใหม่ :

มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่, 2539) ,หนา้ 7. 

16 

 

คือ อาสนะสงฆ์ ที่ใชใ้ นการแสดงพระธรรมเทศนา หรือใชใ้ นการสวดพระปาฏิโมกข์ โดยต้งั อยู่
ท่ามกลางคณะสงฆ์ในพระอุโบสถ นอกจากน้ียงั ต้งั อยู่ดา้ นขวามือของพระประธานในวิหารลา้ นนา
โดยที่ธรรมาสนแ์ บ่งออกไดเ้ ป็นสองลกั ษณะคือ ธรรมาสน์ตง่ั และธรรมาสน์ทรงปราสาท

ปัจจุบนั ผลงานศิลปกรรม ทางพุทธศาสนาอนั ทรงคุณค่า เหล่าน้ีนบั วนั บทบาทหนา้ ที่กล็ ดนอ้ ย
ถอยลงไปทุกขณะและใกลจ้ ะสูญหายไป เช่น สตั ตภณั ฑ์ ที่ใชใ้ นโบสถห์ รือวหิ าร ถูกแทนท่ีดว้ ยโต๊ะหมู่
บูชาซ่ึงแพร่กระจายข้ึนมา อนั เป็ นผลมาจากการรับเอาวฒั นธรรมภาคกลางเขา้ มาใชโ้ ดยละทิ้งงานพุทธ
ศิลป์ ที่เป็ นเอกลกั ษณ์ของตนไว้ นอกจากน้ีความงดงามของงานศิลปกรรม ท่ีปรากฏเป็ นสัตตภณั ฑ์ก็
เป็ นที่ตอ้ งการของนักสะสมของเก่า หรือ ร้านขายงานศิลปกรรมโบราณเป็ นอย่างมาก สุดทา้ ยผลงาน
ศิลปกรรมแห่งภูมิปัญญาน้ีอาจถูกลืมเลือน และจางหายไปจากสงั คมชาวลา้ นนา ในท่ีสุด
ความหมายของการอนุรักษ์

การอนุรักษ์ คือ การดูแล รักษาเพ่ือให้คงคุณค่าไว้ และรวมถึงการป้องกนั การรักษา การสงวน
การปฏิสงั ขรณ์ และการบูรณะ

1. การสงวนรักษา หมายความถึง การดูแลรักษาไวต้ ามสภาพของเดิมเท่าท่ีเป็นอยู่ และป้องกนั มิ
ใหเ้ สียหายต่อไป

2. การปฏิสงั ขรณ์ หมายความถึง การทาํ ใหก้ ลบั คืนสู่สภาพอยา่ งท่ีเคยเป็นมา
3. การบูรณะ หมายความถึง การซ่อมแซมและปรับปรุงให้มีรูปทรงลกั ษณะกลมกลืนเหมือน
ของเดิมมากท่ีสุดเท่าที่จะมากไดแ้ ต่ตอ้ งแสดงความแตกต่างของส่ิงที่มีอยเู่ ดิมและส่ิงท่ีทาํ ข้ึน
ใหม่
หัวใจสําคญั ในการอนุรักษ์
1. ยบั ย้งั หรือชะลอการเส่ือมสภาพของวตั ถุโดยการดูแลรักษาอยา่ งถูกวิธี
2. การบูรณะซ่อมแซม ตอ้ งไม่ต่อเติม เสริมสร้าง ทาํ ของเก่าให้เป็ นของใหม่ แต่ควรคงสภาพ
เดิมไวใ้ หไ้ ดม้ ากท่ีสุดและควรใชช้ ่างผชู้ าํ นาญงานเป็นพิเศษ

การศึกษากยี่ วกบั ภาพพระบฎ
พระบฏ คือจิตรกรรมประเภทหน่ึงท่ีเขียนข้ึนบนผนื ผา้ ลกั ษณะการใชง้ านคือหอ้ ยตามความยาว

ของผืนผา้ ส่วนหัวและส่วนทา้ ยมีไมส้ อดให้ตึงคลา้ ยภาพเขียนของจีน ในอดีตผา้ ท่ีนาํ มาเขียนภาพมกั
เป็นของคนตายหรือเป็นผา้ ขาวสาํ หรับคลุมหีบศพ โดยเช่ือว่าผตู้ ายจะไดก้ ศุ ลจากภาพท่ีวาดข้ึนเพ่ือถวาย
แก่วดั (วิบูลย,์ 2548: 245) โดยทว่ั ไปมกั จะเขียนรูปพระพุทธเจา้ เพ่ือใชป้ ระดบั ภายในวิหารหรืออุโบสถ
ชาวลา้ นนามกั จะประดบั พระบฏไวด้ า้ นหลงั ท้งั สองขา้ งของพระประธาน นอกจากน้ียงั ใชพ้ ระบฏแทน

17 

 

พระพทุ ธรูปเมื่อมีการประกอบพิธีกรรมนอกสถานที่ ดงั เช่น พธิ ีเล้ียงผปี ่ ูแสะยา่ แสะ ซ่ึงบริเวณชายผนื ผา้
น้นั มีขอ้ ความวา่ “พทุ ธพิมพา” แปลวา่ พระพทุ ธรูป (ณฎั ฐภทั ร และเรียม, 2547:432)

นอกจากพระบฏท่ีนิยมเขียนเป็นรูปพระพทุ ธเจา้ แลว้ ยงั พบวา่ มีความนิยมเขียนภาพพระบฏ
เป็ นเร่ืองราวต่างๆ ท่ีเก่ียวขอ้ งกับพุทธศาสนา เช่น พุทธประวตั ิหรือชาดก เป็ นตน้ ในสังคมลา้ นนา
เรียกว่า “ตุงค่าวธรรม” ส่วนใหญ่มกั จะเขียนเร่ืองราวเวสสันดรชาดก แบ่งเป็ นตอน ตอนละ 1 ผืน ชุด
หน่ึงมี 15 ถึง 35 ผืน ข้ึนอยู่กบั การจดั สร้างของแต่ละวดั ภาพตุงค่าวธรรมมกั จะนาํ มาแขวนรอบพระ
วิหารดา้ นนอกในงานเทศน์มหาชาติ หรือประเพณีต้งั ธรรมหลวงในช่วงเดือนยี่เป็ ง หน้าท่ีการใชส้ อย
คลา้ ยกบั จิตรกรรมฝาผนงั ชวั่ คราว เพื่อสร้างพ้ืนที่ประกอบพิธีกรรมให้มีความหมายเฉพาะ รวมถึงช่วย
ใหพ้ ิธีการเทศนม์ ีบรรยากาศและอารมณ์ครบถว้ นสมบูรณ์ยง่ิ ข้ึน โดยหลงั จากเสร็จพิธีตุงค่าวธรรมจะถูก
มว้ นเก็บและจะไม่นาํ มาแขวนประดบั ในที่ใดๆ ภาพตุงค่าวธรรมจึงเป็ นพุทธศิลป์ เน่ืองในพิธีการต้งั
ธรรมหลวงอยา่ งแทจ้ ริง (เมธาพร, 2551: 113-114)

งานศึกษาเก่ียวกบั พระบฏหรือตุงค่าวธรรมในดินแดนลา้ นนายงั คงมีไม่มากนัก เน่ืองจากภาพ
พระบฏเป็ นจิตรกรรมท่ีสร้างสรรคข์ ้ึนบนผืนผา้ ซ่ึงเป็ นวสั ดุที่เกิดความชาํ รุด เสียหาย และเสื่อมสภาพ
ไดง้ ่าย อีกท้งั พระบฏเป็ นพุทธศิลป์ ท่ีใชป้ ระกอบในพิธีกรรม เช่น พิธีเทศน์มหาชาติหรือต้งั ธรรมหลวง
พิธีเล้ียงผปี ่ ูแสะยา่ แสะ ฯลฯ ทาํ ใหพ้ ระบฏมีบทบาทและหนา้ ท่ีการใชง้ านตามวาระโอกาส หากไม่มีการ
ประกอบพิธีต่างๆ ที่กล่าวถึงขา้ งตน้ ทางวดั มกั จะเก็บรักษาพระบฏไว้ รวมถึงปัจจุบนั ไม่นิยมแขวนพระ
บฏประดบั อาคารศาสนสถานดงั เช่นในอดีต จึงทาํ ให้หลกั ฐานเก่ียวกบั จิตรกรรมบนผนื ผา้ หลงเหลืออยู่
ไม่มากนกั ในปัจจุบนั เนื่องจากพระบฏซ่ึงเป็นพทุ ธศิลป์ โบราณท่ีหลงเหลืออยใู่ นปัจจุบนั จาํ นวนไม่มาก
นกั แนวทางการศึกษาพระบฏในลา้ นนาส่วนใหญ่จึงเน้นการศึกษาดา้ นรูปแบบ และสุนทรียะทางงาน
ช่าง ควบคู่กบั คติการสร้างหรือเรื่องราวท่ีสะทอ้ นผา่ นภาพจิตรกรรม ดงั เช่น การศึกษาพระบฏวดั ม่อน
สณั ฐานหรือวดั ม่อนป่ ูยกั ษ์ เมืองลาํ ปาง ซ่ึงเป็นพระบฏที่ไดร้ ับการศึกษามากท่ีสุดผนื หน่ึงในลา้ นนา จาก
หนงั สือจิตรกรรมฝาผนงั ลา้ นนา ภาณุพงษ์ เลาหสม (2541) ไดก้ ล่าวถึงจิตรกรรมวดั ม่อนป่ ูยกั ษซ์ ่ึงพบว่า
ปรากฏอยู่ 2 ส่วน ไดแ้ ก่ จิตรกรรมฝาผนงั ภายในพระวิหาร และจิตรกรรมบนผนื ผา้ ประดบั ภายในจอง
(วิหารไมท้ รงปราสาทซ้อนช้นั ) ติดต้งั ในตาํ แหน่งระหว่างช่วงเสาตอนบนของพ้ืนท่ีบริเวณโถงกลาง
โดยแต่เดิมน่าจะมีการติดต้งั พระบฏอยโู่ ดยรอบ แต่ปัจจุบนั พระบฏวดั ม่อนป่ ูยกั ษห์ ลงเหลืออย่เู พียง 2
ผนื เท่าน้นั

ผูเ้ ขียนไดต้ ีความเรื่องราวของพระบฏท่ีมีภาพปราสาทเป็ นประธานของภาพว่าเป็ นเรื่องราว
พรหมนารถชาดก ส่วนภาพพระบฏที่มีภาพประธานเป็ นภาพขบวนเสด็จ ยงั ไม่สามารถตีความไดอ้ ยา่ ง
แน่ชัด ในส่วนของรูปแบบจิตรกรรมมีลักษณะแบบกําหนดนิยม คือมีระเบียบกฎเกณฑ์ของ
องคป์ ระกอบและตวั ภาพที่แน่นอนตายตวั ฝี มือช่างละเอียดประณีตสม่าํ เสมอ การตดั เสน้ บรรจง รวมถึง

18 

 

องคป์ ระกอบที่ปรากฏมีลกั ษณะของอิทธิพลศิลปะพม่าอย่างเด่นชดั เช่น อาคารทรงปราสาทแบบพม่า
(พญาธาตุ) รวมถึงภาพบุคคลช้นั สูง และกลุ่มชนช้นั ต่างๆ ราชสํานักมีลกั ษณะการแต่งกายแบบพม่า
อยา่ งชดั เจน จึงสันนิษฐานวา่ พระบฏวดั ม่อนป่ ูยกั ษเ์ ป็ นงานช่างในสมยั ราชวงศค์ องบองตอนกลาง สกุล
ช่างอมรปุระ ราวคร่ึงหลงั ของพุทธศตวรรษท่ี ๒๔ โดยเป็ นจิตรกรรมแบบประเพณีนิยมช่วงทา้ ยก่อน
การรับอิทธิพลศิลปะตะวนั ตก และอาจเป็ นจิตรกรรมท่ีนาํ เขา้ มาจากประเทศพม่าโดยตรง ซ่ึงจิตรกรรม
พระบฏวดั ม่อนป่ ูยกั ษ์ไดส้ ่งอิทธิพลให้แก่ช่างเขียนในลา้ นนาในช่วงต่อมา ดงั เช่น จิตรกรรมฝาผนัง
ภายในวิหารลายคาํ วดั พระสิงห์ เมืองเชียงใหม่ แสดงให้เห็นว่าจิตรกรรมสกุลช่างอมรปุระเป็ นท่ีรู้จกั
ของช่างพ้ืนเมืองลา้ นนาแลว้ ต้งั แต่ตน้ พทุ ธศตวรรษที่ 25 (ภาณุพงษ,์ 2541: 122-124)

ทิพวรรณ ทง่ั มงั่ มี (2548) ไดท้ าํ การศึกษาพระบฏวดั ม่อนป่ ูยกั ษเ์ ช่นกนั แต่ไดก้ ล่าวถึงรูปแบบ
เน้ือหา และองค์ประกอบของจิตรกรรมในประเด็นต่างๆ โดยละเอียดมากข้ึน โดยพระบฏผืนแรก
ประกอบดว้ ยภาพปราสาทเคร่ืองยอดแบบศิลปะพม่าเป็นประธานของภาพ ภายในปราสาทมีภาพบุคคล
ครองจีวรประทบั น่ังบนบลั ลงั ก์ ขนาบท้งั สองขา้ งดว้ ยบุคคลในท่าหมอบกราบ ถดั ลงมาบริเวณลาน
ดา้ นหนา้ ปราสาททางดา้ นขวาเป็นภาพกลุ่มบุคคลหญิงในท่าหมอบกราบ ส่วนทางดา้ นซา้ ยของภาพเป็น
ภาพบุคคลชายในท่าหมอบกราบเช่นกนั ถดั ออกไปทางดา้ นซา้ ยเป็ นภาพกลุ่มบุคคลแสดงอาการช้ีมือ
และแหงนหนา้ มองบนทอ้ งฟ้าดว้ ยอาการตกใจ โดยบนทอ้ งฟ้ามีภาพบุคคลครองจีวรลอยอยกู่ ลางอากาศ
ผเู้ ขียนไดต้ ีความเรื่องราวท่ีปรากฏวา่ เป็ นเรื่องพรหมนารถชาดก อนั เป็นชาดกชาติท่ี 8 จากทศชาติชาดก
ส่วนพระบฏผนื ที่ 2 ประกอบดว้ ยภาพสตรีช้นั สูงถือพานนง่ั บนคอชา้ ง มีบุคคลถือกลดนง่ั อยบู่ นหลงั ชา้ ง
เป็ นประธานของภาพ บริเวณหนา้ ขบวนเป็ นส่วนท่ีชาํ รุดแต่ยงั คงปรากฏภาพกลุ่มบุคคลนุ่งโสร่งแบก
ฆอ้ ง ส่วนตอนทา้ ยของขบวนเป็นภาพขบวนมา้ ลดั เลาะโขดหินตามมาเป็ นแถว ผเู้ ขียนไดต้ ีความวา่ ภาพ
ดงั กล่าวเป็ นตอนท่ีนางรุจราชกุมารี พระราชธิดาของกษตั ริยอ์ งั คติราช เดินทางไปอธิษฐานขอพรเทพย
ดาเพ่ือช่วยดลใจใหพ้ ระราชบิดาหายจากความมีมิจฉาฐิติ ซ่ึงเป็นฉากหน่ึงของพรหมนารถชาดกเช่นกนั
(ทิพวรรณ, 2548: 36-46)

นอกจากน้นั ผเู้ ขียนยงั ไดท้ าํ การวิเคราะห์รายละเอียดขององคป์ ระกอบ และการใชส้ ีในงาน
จิตรกรรม โดยไดส้ รุปวา่ จิตรกรรมบนผนื ผา้ วดั ม่อนป่ ูยกั ษเ์ ป็นจิตรกรรมสกลุ ช่างอมรปุระ ซ่ึงน่าจะเป็ น
ท่ีรู้จกั ของช่างลา้ นนาแลว้ ต้งั แต่ราวตน้ พุทธศตวรรษที่ 25 แสดงให้เห็นถึงการติดต่อสัมพนั ธ์กนั ของ
เมืองลาํ ปางกบั พม่าในช่วงเวลาดงั กล่าวผา่ นความสมั พนั ธ์ดา้ นการคา้ โดยเฉพาะการดาํ เนินกิจการป่ าไม้
นอกจากน้นั พบวา่ รูปแบบของจิตรกรรมบนผนื ผา้ วดั ม่อนป่ ูยกั ษย์ งั ไม่ปรากฏอิทธิพลศิลปะตะวนั ตก จึง
เช่ือว่าน่าจะเป็ นตน้ แบบให้แก่จิตรกรรมในดินแดนลา้ นนาในช่วงต่อมา ดงั เช่น จิตรกรรมภายในวิหาร
ลายคาํ วดั พระสิงห์ จิตรกรรมภายในวิหารวดั บวกครกหลวง เมืองเชียงใหม่ หรือจิตรกรรมภายในวิหาร
วดั ป่ าแดด อาํ เภอแม่แจ่มที่เขียนข้ึนในสมยั รัชกาลที่ 5

19 

 

อยา่ งไรก็ตามนอกจากการศึกษาพระบฏที่เน้นประเด็นดา้ นรูปแบบศิลปะ หรือเทคนิคทางเชิง
ช่างแลว้ ยงั พบว่าการศึกษาบางกรณียงั ได้กล่าวถึงกระบวนการเปล่ียนแปลงเทคนิคการสร้างสรรค์
จิตรกรรมพระบฏ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงบทบาทของพระบฏในสังคม ดงั เช่น การศึกษาพระบฏที่พบ
ในเขตอาํ เภอวงั เหนือ อาํ เภอแจห้ ่ม และวดั สบลี อาํ เภอเมืองปาน จงั หวดั ลาํ ปาง โดยธีระพงษ์ ทาเกิด
(2535) กล่าวว่า พระบฏสามารถแบ่งตามเรื่องราว ท่ีปรากฏได้ ๒ ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ พระบฏที่แสดงภาพ
พุทธประวตั ิหรือรูปพระพุทธเจา้ ในอิริยาบถต่างๆ ซ่ึงแต่เดิมนิยมสร้างข้ึนเพื่อการอุทิศส่วนกุศลให้แก่
ผตู้ าย และพระบฏท่ีมีการเขียนภาพเหตุการณ์ตามเรื่องราวท่ีใชใ้ นการเทศน์มหาชาติ เช่น พระเวสสนั ดร
หรือพระมาลยั เป็นตน้

ในส่วนรูปแบบ และเทคนิควธิ ีการสร้างสรรคจ์ ิตรกรรมพระบฏพบวา่ มีการเปล่ียนแปลงไป
ตามสภาพสังคม โดยแต่เดิมรูปแบบของพระบฏในลา้ นนาส่วนใหญ่มีลกั ษณะเป็ นงานช่างพ้ืนบา้ นซ่ึงมี
ลกั ษณะงานช่างท่ีอิสระ ไม่มีแบบแผนมากนกั แต่ในระยะหลงั เร่ิมมีการเปลี่ยนแปลงอยา่ งชดั เจน ไดแ้ ก่
นิยมการเขียนภาพโดยลอกเลียนรูปแบบจากจิตรกรรมสกลุ ช่างภาคกลาง ส่วนการใชส้ ีในงานจิตรกรรม
แต่เดิมนิยมใชส้ ีฝ่ นุ ต่อมาจึงเร่ิมใชห้ มึกจีนเขา้ มาผสมผสาน จนกระทงั่ มีการใชส้ ีพลาสติก สีโปสเตอร์
ปากกาเมจิ สีน้าํ มนั กระป๋ อง เช่นเดียวกบั วสั ดุรองรับที่แต่เดิมนิยมเขียนบนผา้ ทอมือ จีวรพระ หรือผา้ ดิบ
ต่อมาจึงเปลี่ยนมาเขียนบนผา้ ใบเป็ นหลกั เนื่องจากเป็ นวสั ดุที่หาไดท้ ว่ั ไปตามการเปล่ียนแปลงตามยคุ
สมยั นอกจากน้นั ยงั พบว่าแนวโนม้ ในการใชง้ านภาพพระบฏในสังคมลา้ นนาเริ่มลดนอ้ ยลง เน่ืองจาก
วดั ส่วนใหญ่ไม่นิยมจดั พิธีเทศน์มหาชาติดงั เช่นในอดีต ประกอบกบั การเปล่ียนแปลงรูปแบบวิหารใน
สมยั ใหม่ท่ีวดั หลายแห่งบูรณะข้ึนใหม่ดว้ ยการก่ออิฐถือปูน จึงไดเ้ ขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังภายใน
วหิ ารในคราวเดียวกนั ส่งผลใหก้ ารสร้างสรรคจ์ ิตรกรรมภาพพระบฏมีจาํ นวนลดนอ้ ยลง ส่วนวดั ท่ียงั คง
จดั พธิ ีการเทศน์มหาชาติ ส่วนใหญ่นิยมเขียนจิตรกรรมพระบฏข้ึนใหม่โดยไดป้ รับเปล่ียนเทคนิคในการ
สร้างสรรคจ์ ิตรกรรมดว้ ยการใชว้ ิธีการ และเทคนิคสมยั ใหม่ดงั ท่ีกล่าวถึงขา้ งตน้ (ธีระพงษ,์ 2535: 1-32)
จนทาํ ให้พระบฏโบราณซ่ึงคงคุณค่าในดา้ นการศึกษาประวตั ิศาสตร์ และโบราณคดีไดส้ ูญหายไปจาก
สงั คมลา้ นนาอยา่ งรวดเร็ว

การศึกษาพระบฏในระยะหลงั จึงไดใ้ ห้ความสนใจในประเด็นดา้ นการอนุรักษม์ ากข้ึน ดงั เช่น
งานศึกษาพระบฏวดั ม่อนป่ ูยกั ษข์ อง ทิพวรรณ ทงั่ มง่ั มี และคณะ (2554) ซ่ึงเป็ นการต่อยอดการศึกษา
ศิลปกรรมพระบฏวดั ม่อนป่ ูยกั ษท์ ่ีไดท้ าํ การศึกษาในเบ้ืองตน้ เม่ือปี พ.ศ. 2548 โดยในการศึกษาชิ้นน้ีได้
เน้นทาํ การศึกษาดา้ นการอนุรักษ์ภาพพระบฏในเชิงกายภาพเป็ นหลกั จากการศึกษาผูเ้ ขียนไดต้ ีความ
เรื่องราวภาพจิตรกรรมใหม่ โดยกล่าวว่าจิตรกรรมท้งั สองผนื แสดงเรื่องราวพุทธประวตั ิ โดยจิตรกรรม
ผืนท่ี 1 เป็ นตอนท่ีพระพุทธเจา้ เสด็จนิวตั ินครกบิลพสั ดุ์เพื่อโปรดประยูรญาติ ส่วนจิตรกรรมผืนที่ 2
สภาพชาํ รุดมากแต่ยงั เห็นภาพประธานคือเป็ นภาพขบวนเสด็จของคนช้นั สูง ผเู้ ขียนไดต้ ีความเร่ืองราว

20 

 

ว่าเป็ นภาพขบวนของกษตั ริยเ์ มืองโมรีเดินทางไปอนั เชิญพระองั คารของพระบรมศาสดากลบั เมือง ใน
พทุ ธประวตั ิตอนแจกพระบรมสารีริกธาตุ (ทิพวรรณ และคณะ, 2554: 64-89)

จากแนวทางการศึกษาพระบฏท่ีกล่าวถึงขา้ งตน้ พบวา่ การศึกษาส่วนใหญ่ทาํ การศึกษาพระ
บฏหรือตุงค่าวธรรมในประเด็นเก่ียวกบั รูปแบบศิลปกรรม เทคนิคทางงานช่าง และคติการสร้างหรือ
เร่ืองราวท่ีแสดงผา่ นภาพจิตรกรรม เพ่ือทราบท่ีมารวมถึงกาํ หนดอายศุ ิลปกรรม ซ่ึงส่วนใหญ่เนน้ ศึกษา
รายละเอียดหรือองค์ประกอบหลักของภาพเป็ นหลัก อย่างไรก็ตามภาพพระบฏยงั ประกอบด้วย
รายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ ที่แมจ้ ะมิใช่องคป์ ระกอบสําคญั ของภาพแต่ภาพเหล่าน้ีไดแ้ สดงให้เห็นถึง
สภาพวิถีชีวิต และวัฒนธรรมในด้านต่างๆ ของผู้คนในสังคม ที่เป็ นประโยชน์ต่อการศึกษา
ประวตั ิศาสตร์ชุมชนไดเ้ ป็นอยา่ งดี อีกท้งั ยงั เป็นการเปิ ดประเดน็ การศึกษาในมุมมองดา้ นอ่ืนๆ ต่อไปใน
อนาคต เช่น การอนุรักษศ์ ิลปกรรม หรือการฟ้ื นฟปู ระเพณีต้งั ธรรมหลวงใหก้ ลบั คืนสู่ชุมชนอีกคร้ัง เป็น
ตน้

การจดั กิจกรรมรวมถึงโครงการลกั ษณะน้ี ในยคุ ปัจจุบนั มีหลายหน่วยงานเขา้ มาใหค้ วามสาํ คญั
รวมถึงเลง็ เห็นคุณค่าทางโบราณวตั ถุศิลปวตั ถุ คุณค่าดา้ นประเพณีวฒั นธรรม คุณค่าดา้ นองคค์ วามรู้ทาง
พทุ ธศาสนาท่ีส่ือออกมาในรูปแบบต่างๆ อนั สะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงลกั ษณะวิถีชิวิตความเป็นอยู่ เคร่ืองใชไ้ ม้
สอย ท้งั ความงดงามดา้ นศิลปกรรม เทคนิควิธีกรรม การส่ือถึงคติความเช่ือและความเปลี่ยนแปลงของ
บา้ นเมืองในแต่ละยคุ แต่ละสมยั ไดเ้ ป็นอยา่ งดี แสดงถึงความเจริญงอกงามของพุทธศาสนาท่ีเป็ นบ่อเกิด
ของขนบประเพณีนิยม วฒั นธรรม และวิถีการดาํ รงชีวิตของคนในอดีต ตุงค่าวธรรมจึงเป็ นมรดกที่
สําคญั ของชาติ ที่ควรค่าแก่การดูแล รักษา เชิดชูและหวงแหนไวเ้ ป็ นมรดกทางศิลปวฒั นธรรม ศูนย์
โบราณคดีภาคเหนือ คณะสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่(2553) จึงเห็นควรท่ีจะเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
ศึกษาวิจยั และจดั การอนุรักษ์ตุงค่าวธรรม ในเขตพ้ืนท่ีจงั หวดั ลาํ ปาง ให้ไดเ้ ห็นถึงคุณค่าความสําคญั
พร้อมนาํ เสนอใหก้ บั ชุมชนน้นั ๆ ใหไ้ ดร้ ับรู้พร้อมกบั การพฒั นาตุงค่าวธรรม ต่อยอดจากองคค์ วามรู้เดิม
เพ่ือปรับรูปแบบการสื่อความหมาย การสร้างตุงค่าวธรรมข้ึนมาใหม่เพ่อื ทดแทนของเดิมใหเ้ ขา้ กบั สงั คม
ยคุ ปัจจุบนั โดยการศึกษาคร้ังน้ีไดร้ ับงบประมาณจากสาํ นกั งานคณะกรรมการวฒั นธรรมแห่งชาติ ให้
จดั ทาํ โครงการ “การปลูกจิตสาํ นึก
ในการอนุรักษ์ที่ยง่ั ยืนผ่านการสร้างส่ือผสม(Mixed Media) ร่วมกบั ชุมชน”นาํ โดย รศ.ดร. วรลญั จก์
บุณยสุรัตน์ เป็นหวั หนา้ โครงการ และ ผศ.ดร. สุภาพร นาคบลั ลงั ก์ เป็นผคู้ วบคุมการดาํ เนินงาน และ อ.
อนุกลู ศิริพนั ธุ์ ผใู้ หก้ ารสนบั สนุนความรู้ดา้ นพธิ ีกรรม

โดยการวาดภาพตุงคา่ วธรรมใหว้ ดั วงั หมอ้ เพือ่ นาํ ใชป้ ระกอบพิธีเทศน์มหาชาติในคร้ังน้ี ได้
มีอาจารยท์ วี เสรีวาศ อาจารยค์ ณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ ใหค้ วามอนุเคราะห์ในการวาดภาพ
ท้งั 13 กณั ฑ์ รวมท้งั หมด 28 ผนื ซ่ึงวตั ถุประสงคส์ าํ คญั กเ็ พื่อปลูกจิตสาํ นึกของคนในชุมชนและเยาวชน

21 

 

รุ่นใหม่ใหห้ นั กลบั มามองงานศิลปกรรมอนั มีค่าและอนุรักษด์ ูแลรักษา หวงแหนงานพทุ ธศิลป์ ที่มีอยใู่ น
ชุมชนของตนเอง ดึงดูดให้คนเขา้ มาศึกษาเรียนรู้พร้อมท้งั อนุรักษง์ านตุงค่าวธรรมและที่สาํ คญั เยาวชน
ยคุ ใหม่จะไดม้ ีความภูมิใจในภูมิปัญญาของบรรพบุรุษตน ที่ไดส้ ร้างสรรคง์ านศิลป์ ไวก้ บั พทุ ธศาสนาไว้
ใหล้ ูกหลานไดศ้ ึกษา

ประเพณฟี ังเทศน์มหาชาติ (ประเพณตี ้งั ธรรมหลวง)
เทศน์มหาชาติเป็ นการพรรณนาถึง “เร่ืองพระเวสสันดรชาดก” คาํ ว่า “ชาดก” น้นั เป็ นช่ือเรียก

คมั ภีร์ประเภทหน่ึงของพทุ ธศาสนา ที่กล่าวถึงอดีตชาติของพระพทุ ธเจา้ เป็นคาํ สอนประเภท
บุคลาธิษฐาน คือยกตวั ละครข้ึนมาเล่าแลว้ สอดแทรกคาํ สอนเขา้ ไปในการเล่าเร่ืองน้นั ๆ ชาดกมีอยู่
มากมาย แต่ที่นบั วา่ สาํ คญั ที่สุดมีอยู่ 10 ชาดก หรือสิบชาติ ตามท่ีนิยมเรียกกนั วา่ “ พระเจา้ สิบ
ชาติ”ในแต่ละชาติพระพุทธเจา้ ทรงบาํ เพญ็ บารมีต่าง ๆ กนั เพ่ือมุ่งหวงั ที่จะให้สาํ เร็จพระสัมมาสัมโพธิ
ญาณ

วถิ ี พานิชพนั ธ์(2548) กล่าวในวิถีลา้ นนาวา่ ทางภาคเหนือนิยมจดั เทศนม์ หาชาติในเดือนยเี่ ป็ง
ซ่ึงเรียกว่า “ประเพณีต้งั ธมั มห์ ลวง” หมายถึงการฟังพระธรรมเทศนาเร่ืองใหญ่หรือเรื่องสาํ คญั เพราะ
ธรรมหลวงท่ีใชเ้ ทศน์มกั จะเป็นเวสสันดรชาดก อนั เป็นพระชาติสุดทา้ ยของพระโพธิสัตวก์ ่อนจะไดม้ า
ประสูติแลว้ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจา้ ในชาติต่อมา มีท้งั หมด 13 กณั ฑ์ คาํ วา่ “ต้งั ” แปลว่า เร่ิมตน้ การ
ต้งั ธรรมหลวง ก็อาจแปลวา่ การสดบั พระธรรมเทศนาจากคมั ภีร์ท่ีจารข้ึนใหม่เป็นคร้ังแรกดว้ ย ประเพณี
น้ีตรงกบั งานประเพณีฟังเทศน์มหาชาติของภาคกลาง การต้งั ธรรมหลวงน้ีจะจดั ข้ึนในเดือนเพ็ญท่ี
เรียกวา่ เดือนยเ่ี ป็ง คือวนั เพญ็ เดือน 12 จะมีการเตรียมงานมากมาย นบั ต้งั แต่การเตรียมสถานท่ีในการ
เทศน์และการเตรียมตวั ของผจู้ ะมาฟังเทศน์ ถือเป็ นพิธีใหญ่คู่งานทานสลากภตั ต์ ดงั น้นั จึงมีคตินิยมว่า
ในวดั หน่ึงน้นั ปี ใดท่ีจดั งานทานสลากภตั ตก์ จ็ ะไม่จดั งานต้งั ธรรมหลวง และปี ใดท่ีจดั งานต้งั ธรรมหลวง
กจ็ ะไม่จดั งานทานสลากภตั ต์

นอกจากเทศน์มหาชาติหรือเวสสันดรชาดกแลว้ ธรรมหรือคมั ภีร์ที่นาํ มาเทศน์ในงานต้งั ธรรม
หลวงน้ี อาจเป็นคมั ภีร์ขนาดยาวเร่ืองใดเรื่องหน่ึงซ่ึงทางวดั และคณะศรัทธาจะช่วยกนั พจิ ารณา โดยอาจ
เป็ นเรื่องในหมวด ทศชาติชาดกปัญญาสชาดก หรือชาดกนอกนิบาตเรื่องอ่ืน แต่ที่นิยมกนั มากคือเรื่อง
“มหาชาติ” หรือเวสสันดรชาดก ซ่ึงมีความเชื่อกนั วา่ หากไดฟ้ ังเทศน์มหาชาติครบท้งั 13 กณั ฑ์ จะได้
ไปเกิดในแผน่ ดินยคุ ของพระศรีอาริยะเมตไตรยในอนาคตนอกจากน้ี มณี พยอมยงค(์ 2548) ไดเ้ สริมว่า
หากเป็ นธรรมท่ีมีใช่เร่ืองมหาชาติแลว้ ก็มกั จะฟังกนั ไม่เกิน 3 วนั แต่หากเป็ นเวสสันดรชาดกหรือ
มหาชาติแลว้ อาจมีการฟังเทศน์ต่อเน่ืองกนั ไปถึง 7 วนั โดยแบ่งการเทศน์เป็นวนั แรกเทศน์ธรรมวตั ร

22 

 

วนั ท่ีสองเทศน์คาถาพนั ก่อนที่จะเทศน์มหาชาติกจ็ ะเทศน์เรื่องอ่ืนไปเรื่อยๆ พอถึงวนั สุดทา้ ยก็จะเทศน์
ดว้ ยคมั ภีร์ช่ือ มาลยั ตน้ มาลยั ปลายและอานิสงส์มหาชาติ รุ่งข้ึนเวลาเชา้ มืดกจ็ ะเร่ิมเทศน์มหาชาติต้งั แต่
กณั ฑ์ทศพรเร่ือยไป จนครบท้งั 13 กณั ฑ์ ซ่ึงมกั จะไปเสร็จเอาในเวลาทุ่มเศษ แลว้ จะมีการเทศนา
ธรรมพุทธาภิเษกปฐมสมโพธิ สวดมนตเ์ จด็ ตาํ นานยอ่ ธมั มจกั กปั ปวตั ณสูตร และสวดพุทธาภิเษก ซ่ึง
ปัจจุบนั นิยมเทศนจ์ บภายในวนั
เดียว

การฟังเทศน์มหาชาติ นิยมแต่งเคร่ืองบูชาครบตามท่ีไดป้ ฏิบตั ิกนั มา โดยเจา้ ของกณั ฑ์จะตอ้ ง
จดั เตรียมเคร่ืองกณั ฑอ์ ยา่ งใหญ่โต มีสิ่งของต่างๆ ท่ีเหมาะสมกบั สมณะวิสัยท่ีจะใชเ้ ป็ นเคร่ืองอุปโภค
บริโภค ตลอดจนจดั แต่งเครื่องไทยทานเครื่องบูชา ดงั น้ี คือ ช่อพนั ผืน (ธงเล็กหรือตุง) ผา้ คมั ภีร์สาม
หนา้ ชา้ งร้อย มา้ ร้อย รูปพระอาทิตย์ รูปพระจนั ทร์ ธงเงิน ดอกคาํ ฆอ้ ง กลอง ฉาบฉ่ิง มดั ไวก้ บั ตน้ คา
ฉางเงิน ฉางทอง ธูปเทียนอยา่ งละพนั ดอก ดอกปี บ บวั แดง ผกั ตบ รูปสัตวป์ ้ันดว้ ยข้ีผ้งึ เต่า ปู ปลา
จระเข้ ตะพาบน้ํา มงั กร ใส่ไวใ้ นอ่างน้ํา มีพวกใบบัว ผกั ตบ มีดอกบัวลอยไวด้ ้วย ต้ังไวท้ ี่หน้า
ธรรมาสน์ มีโคมไฟ มีค่าวพระเวสสนั ดรหรือภาพเขียนเรื่องพระเวสสันดรแขวนตามผนงั โบสถเ์ พ่ือให้
ประชาชนมาดู และจดั ใหม้ ีราชวตั รฉตั รธง ตน้ กลว้ ย ตน้ ออ้ ย ช่อชา้ งธงไชย (ตุงไชย) เป็นตน้

วิถี พานิชพันธ์(2548) ยงั กล่าวเพ่ิมอีก ว่าก่อนจะถึงวนั ฟังเทศน์มหาชาติ ทุกวดั วาอารามจะ
เตรียมสถานที่ ทาํ ซุม้ ประตูวดั เรียกกนั วา่ ซุม้ ประตูป่ า สมมุติวา่ เป็นประตูเขา้ สู่ป่ าหิมพานต์ อนั เป็นด่านที่
พรานเจตบุตรคอยเฝ้าระวงั มิใหค้ นใดผา่ นเขา้ ไปรบกวนพระเวสสนั ดร ต่อจากประตูวดั เขา้ ไปจะทาํ ราช
วตั รปลูกกลว้ ยออ้ ยประดบั ช่อตุงและฉตั ร บริเวณลานวดั จะผงั คา้ งโคมแขวน โคมทาํ ดว้ ยกระดาษ โครง
ทาํ ดว้ ยไมไ้ ผห่ ักเป็นเหล่ียมเป็นมุม หุม้ รอบป้องกนั มิใหล้ มพดั ไฟดบั ดา้ นล่างของโคมจะใชก้ ระดาษตดั
ขนาดเท่าผา่ มือ ยาวเหมาะสมกบั โคมน้นั ทาํ เป็นชายหอ้ ยลงมาหลายชาย เวลาแขวนอยบู่ นคา้ งชายโคมน้ี
จะถูกลมพดั พริ้วน่าดูมาก หนา้ วิหารจะมีโคมกระดาษรูปร่างแปลก ๆ แขวนเป็นระยะ ถา้ มีโคมมากกจ็ ะ
แขวนถึงในวหิ าร ส่วนในวิหารน้นั ประดบั ดว้ ยธงราวและเครื่องบูชามหาชาติ

มณี พยอมยงค์(2548) ไดใ้ หก้ าํ หนดการวนั ต้งั ธรรมหลวงในประเพณีสิบสองเดือนลา้ นนาไทย
ว่า การจดั งานจะไม่พร้อมกนั ข้ึนอยู่กบั ความสะดวกของทางวดั และคณะศรัทธา โดยตอ้ งใชเ้ วลาสอง
หรือสามวนั เป็ นอย่างน้อย แต่ไม่เกินเจ็ดวนั กาํ หนดการมีดงั ไปน้ีคือ วนั แรกเทศน์ธรรมวตั ร คือการ
เทศน์ถึงอานิสงส์ของการเทศน์มหาชาติและธรรมอ่ืนๆเช่น “ธรรมมาลยั โปรด” ซ่ึงมีเน้ือหาว่าดว้ ยการ
อุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติโยมบิดามารดาและบุคคลท่ีล่วงลบั ไปแลว้ วนั ท่ีสองนิยมเทศน์คาถาพนั ซ่ึง
นักปราชญ์โบราณไดร้ วบรวมเอาคาถาภาษาบาลีมาจากมหาชาติท้งั 13 กณั ฑ์ มารวมเป็ นผูกเดียวกนั
เพ่ือแสดงความเคารพต่อพระธรรมคาํ สั่งสอนของพระพุทธเจา้ ชาวลา้ นนาเชื่อกนั ว่าการแสดงธรรม
เทศนาหากไม่มีภาษาบาลีเลยจะไม่ศกั ด์ิสิทธ์ิ วนั ที่สามเป็ นวนั เทศน์มหาชาติ จะเทศน์เรียงลาํ ดบั กนั ไป

23 

 

จนครบ 13 กณั ฑ์ เชื่อกนั วา่ ผทู้ ี่ฟังเทศน์มหาชาติจบภายในวนั เดียวจะไดพ้ บพระศรีอาริย์ ดงั น้นั จึงตอ้ ง
เร่ิมเทศน์ต้งั แต่เชา้ ตรู่ พระจะผลดั กนั เทศน์ตามลาํ ดบั เม่ือเทศน์จบกณั ฑห์ น่ึงๆ เจา้ ของกณั ฑก์ ็จะถวาย
กณั ฑ์เทศน์และพระก็จะให้จากน้ันก็จะมีการตีกลองท่ีเรียกว่า “กลองป่ ูจา” (กลองบูชา) เสียคร้ังหน่ึง
และอาจจะมีการจุดประทดั และประโคมฆอ้ งกลองอ่ืนๆ ดว้ ย เพื่อให้คณะศรัทธาและผมู้ าฟังเทศน์เกิด
ความปี ติโสมนสั

เมื่อเทศน์จบท้งั 13 กณั ฑ์แลว้ ก็จะมีการเทศน์ธรรมท่ีเรียกว่า “พุทธาภิเษกปฐมสมโพธิ” สวด
มนตเ์ จด็ ตาํ นานยอ่ ย และสวดธรรมจกั รกปั วตั นสูตร ต่อจากน้นั กจ็ ะสวด “เบิก” คือการสวดพุทธาภิเษก
ภาษาบาลี ใชพ้ ระสงฆ์สวดประมาณ 10 – 15 รูป การสวดเบิกน้ีเมื่อจบตอ้ งกะเวลาให้ไดร้ ุ่งอรุณพอดี
จากน้นั จึงมีการถวายขา้ วมธุปายาสแด่พระพุทธรูปจาํ นวน 49 กอ้ น ตามแบบอยา่ งท่ีนางสุชาดาถวายแด่
พระพุทธเจา้ เมื่อก่อนจะตรัสรู้ คร้ันแลว้ พระให้พร อุบาสก อุบาสิกากรวดน้าํ เป็นอนั เสร็จพิธี จึงแยกยา้ ย
กนั กลบั บา้ น ในงานเทศน์มหาชาติน้ียงั มีพิธี “บวชพระเจา้ ” คือการที่ชาวบา้ นนาํ พระพุทธรูปมาสมโภช
ดว้ ย โดยจดั เครื่องบูชาเฉพาะ ไดแ้ ก่ ขา้ วสุก กลว้ ย ออ้ ย หมาก ขนมขา้ วตม้ เป็นตน้

งานวจิ ยั ทเี่ กย่ี วข้อง
เธียรชาย อกั ษรดษิ ฐ์(2551) ไดเ้ สนอผา้ ต้งั ธรรมหลวง วา่ แต่เดิมมีบทบาทและหนา้ ท่ีในการเป็น

ท่ีประดิษฐานพระธรรมเทศนาเร่ือง “พระเวสสสันตระ” หรือ พระเวสสันดรชาดก อนั เป็ นมหาชาติ
สุดทา้ ยของพระโพธิสัตว์ ก่อนเสด็จมาอุบตั ิเป็ นพระสัมมาสัมพุทธเจา้ ดงั น้ันการที่จะอญั เชิญใบลาน
เร่ือง “พระเวสสันตระ” มาประดิษฐานยงั มณฑลพิธี จึงตอ้ งมีท่ีจดั ใหอ้ ยอู่ ยา่ งพิเศษ ดว้ ยการกางโครงไม้
กลึงสามขาไขวท้ ่ีเรียกว่า “ก๊างธรรม” หรือ “กากะเยีย” แต่ความพิเศษจะอยู่ตรงท่ี ท้งั สามดา้ นของก๊าง
ธรรมน้นั จะมีผา้ ปักเป็นรูปภาพเทวดาพนมมืออยดู่ า้ นละผนื โดยมีความยาวต้งั แต่ส่วนบนของก๊างธรรม
จรดถึงพ้ืน และมีความกวา้ งเท่ากนั ท้งั สามดา้ นของหนา้ ผา้ และก๊างธรรมดว้ ย โดยจากหลกั ฐานจารึกสมยั
สุโขทยั ไดก้ ล่าวถึงการใชผ้ า้ ต้งั ธรรมหลวงมาแลว้ โดยอาจมีความแตกต่างหรือคลา้ ยคลึงกนั กบั รูปแบบ
ที่ปรากฏในวฒั นธรรมลา้ นนาไปบา้ ง ดงั น้ี

“...แต่น้ีนกั บุญช่วยสร้างไวก้ บั พระเป็นเจา้ แพรส...
บรรทดั ที่ 28 ...ดกากะเยยี (4) ผนื หน่ึง คา่ หกบาทอ าแดงกอนซ้ือไวร้ องพระธรรมคมั ภีร์
บรรทดั ที่ 29 . .พรสมุดชายปักผนื หน่ึง คา่ ต าลึงหน่ึงอ าแดงหอมซ้ือไวร้ องมหาเวสสนั ดร.”

(จารึกวดั เขมา สุโขทยั 2079)
ผา้ ต้งั ธรรมหลวงของลา้ นนาน้นั จะเป็ นงานประณีตศิลป์ ท่ีสร้างสรรคโ์ ดยสตรี อนั ประกอบไป
ดว้ ยงานเยบ็ ปักถกั และร้อย โดยเลือกสรรวสั ดุมาจากผา้ เน้ือดีจากแดนไกลจาํ พวกผา้ ไหมผา้ แพร ผา้ ยกด
อก ตลอดจนผา้ กาํ มะหยี่เน้ือดีสีสดใส นาํ มาจดั องคป์ ระกอบดว้ ยงานฉลุและดุนแผ่นเงิน เป็ นภาพของ

24 

 

เทวดาพนมมือหรือถือช่อพนั ธุ์พฤกษชาติ หากเป็ นชิ้นงานโดยผูม้ ีจิตศรัทธาและพร่ังพร้อมทางดา้ น
สถานภาพทางสังคม ก็จะประดิษฐ์สร้างภาพเทวดาน้นั ดว้ ย “แผน่ ค าใบ” หรือทองใบ และอาจมีการใช้
เน้ือทองคาํ เฉพาะใบหนา้ และศิราภรณ์ของเทวดาน้นั ไดอ้ ีกรูปแบบหน่ึง

นอกจากน้ียงั มีการสอดสลบั กบั การปักไหมสีถมลายแวดลอ้ มเป็นเครือดอกนานาชนิด หรืออาจ
สร้างเป็นภาพพทุ ธประวตั ิในฉากสาํ คญั ต่างๆ

ในปัจจุบนั การสร้างผา้ ต้งั ธรรมหลวงไดเ้ ลือนหายไปจากวฒั นธรรมลา้ นนา เน่ืองจากความ
เปล่ียนแปลงของสภาพสังคมและวฒั นธรรม อนั ส่งผลให้เกิดการลดทอนบทบาทหนา้ ท่ีของประเพณี
พิธีกรรมโบราณที่เคยจดั อยา่ งเตม็ รูปแบบ ดงั ประเพณีต้งั ธรรมหลวง หรือเทศน์มหาชาติในอดีต ท่ีเคยมี
การสร้างผา้ ต้งั ธรรมหลวง ไวส้ ําหรับรองรับประดิษฐานใบลานเรื่อง “มหาเวสสันตระชาดก” ท้งั 13
กณั ฑ์ สําหรับใช้เทศนาส่ังสอนพุทธศาสนิกชนได้สดบั ฟังให้ครบถว้ นในเวลาหน่ึงวนั อนั ถือว่าได้
อานิสงส์สูงสุดถึงกบั จะมีโอกาสมาเกิดร่วมสมยั ในยคุ พระศรีอาริยภ์ ายหนา้ น้ี

การศึกษาของ ภาณุพงษ์ เลาหสม(2541) ในจิตรกรรมฝาผนงั ลา้ นนา พบจิตรกรรมบนผืนผา้ ณ
วดั ทุ่งคา อาํ เภอแจห้ ่ม จงั หวดั ลาํ ปาง เรื่องเวสสันดรชาดก จาํ นวน 27 ผืน สิ่งท่ีน่าสนใจเป็ นพิเศษของ
งานจิตรกรรมชุดน้ี คือหนา้ ที่การใชส้ อย ซ่ึงโดยปรกติจะถูกนาํ ออกแขวนปี ละคร้ัง รอบพระวิหารดา้ น
นอก ในงานประเพณีต้งั ธรรมหลวง ในเดือนยเี่ ป็ ง นบั เป็ นพิธีกรรมทางศาสนาที่เราจะเห็นถึงบทบาท
ของงานจิตรกรรมบนผนื ผา้ ท่ีมีการติดต้งั ในลกั ษณะคลา้ ยกบั งานจิตรกรรมฝาผนงั ชงั่ คราว เขา้ ใจว่าคง
จะเป็นการเนน้ ใหก้ ารเทศนม์ ีบรรยากาศและอารมณ์ครบถว้ นสมบูรณ์ยงิ่ ข้ึน ตลอดจนเป็นการเสริมสร้าง
ให้พ้ืนท่ีประกอบพิธีมีความหมายเฉพาะ โดยมีภาพเป็ นตวั กาํ หนดส่วนหน่ึง และเมื่อเสร็จพิธีต้งั ธรรม
หลวงแลว้ ผา้ เหล่าน้ีจะถูกมว้ นเก็บ จะไม่นาํ มาดูหรือติดประดบั ในที่ใดๆ ท้งั สิ้น งานจิตรกรรมเหล่าน้ี
จึงนบั เป็นอุปกรณ์อนั เนื่องในพิธีกรรมต้งั ธรรมหลวงอยา่ งแทจ้ ริง

ส่วน สุรชยั จงจิตงาม(2552) ไดเ้ สนองานจิตรกรรมภาพพระบฏซ่ึงคน้ พบใหม่ ท่ีวดั นาคตหลวง
อาํ เภอแม่ทะ จงั หวดั ลาํ ปาง ซ่ึงเขียนเร่ืองเวสสันดรชาดก อนั เป็ นชาดกเรื่องสาํ คญั ที่สุดของพุทธศาสนา
โดยเขียนสีฝ่ ุนบนผืนผา้ ดว้ ยสีแดง ส้ม เขียว ดาํ ขาว น้าํ ตาล น้าํ เงิน และม่วง เวสสันดรชาดกเป็ นชาดก
เรื่องสุดทา้ ยของนิบาตชาดก ในมหาชาติชาดก ขทุ ทกนิกาย ชาดก พระสุตตนั ตปิ ฎก และมีการแต่งขยาย
ความเพิ่มเติมข้ึนในคมั ภีร์อรรถกถาชาดก ซ่ึงเป็ นท่ีมาสําคญั ส่วนหน่ึงของเวสสันดรชาดกสํานวน
ทอ้ งถิ่นในภายหลงั ในลา้ นนา คน้ พบคมั ภีร์ใบลานเร่ืองเวสสนั ดรชาดกสาํ นวนทอ้ งถิ่นจาํ นวนมาก เป็ น
หลกั ฐานยนื ยนั ความนิยมเร่ืองเวสสันดรชาดก เฉพาะวดั นาคตหลวงเพียงแห่งเดียว สาํ รวจพบคมั ภีร์ใบ
ลานเรื่องเวสสนั ดรชาดกไม่นอ้ ยกวา่ สิบผกู

เวสสันดรชาดกเป็ นชาติที่พระโพธิสัตวพ์ ระเวสสันดรทรงบาํ เพญ็ ทานบารมี ถือว่าเป็ นชาดก
สาํ คญั ท่ีสุด เพราะเป็ นพระชาติที่ไดท้ รงบาํ เพญ็ บารมีเต็มเปี่ ยมก่อนจะไดต้ รัสรู้เป็ นพระสัมมาสัมพุทธ

25 

 

เจา้ ในชาติต่อมาและนิยมกนั แพร่หลายในศิลปกรรมอนั เนื่องในพุทธศาสนา นอกจากพระบฏวดั นาคต
หลวงจะเป็ นจิตรกรรมลา้ นนาที่มีความงดงามของฝี มือช่างแลว้ ยงั เป็ นพระบฏท่ียาวที่สุดของศิลปะ
ลา้ นนาเท่าคน้ พบในปัจจุบนั ดว้ ย โดยมีความยาวกวา่ 23 เมตร

รูปแบบศิลปกรรมของจิตรกรรมพระบฏวดั นาคตหลวงน้นั ต้งั ขอ้ สังเกตเบ้ืองตน้ ไดว้ ่าแสดงถึง
ที่มาทางศิลปกรรมหลากหลาย ท้งั ความสัมพนั ธ์เชิงรูปแบบจากจิตรกรรมในศิลปะรัตนโกสินทร์ของ
สยาม ผสมผสานอิทธิพลจิตรกรรมศิลปะพม่าที่แพร่หลายในเมืองลาํ ปางและเชียงใหม่ในช่วงคร่ึงแรก
ของพุทธศตวรรษท่ี 25 ท้งั ยงั สะทอ้ นถึงวฒั นธรรมและประวตั ิศาสตร์ของลา้ นนาในช่วงกลางพุทธ
ศตวรรษที่ 25 ผา่ นเรื่องราวการแต่งกาย สถาปัตยกรรม และวิถีชีวิตแบบพ้นื เมืองลา้ นนาท่ีไม่ปรากฏแลว้
ในปัจจุบนั

จารึกบนภาพทาํ ใหท้ ราบว่า โบราณเรียกพระบฏผนื น้ีว่า “ผา้ ฅ่าวเวสสันตร” และจารึกยงั กล่าว
ว่า ภาพพระบฏผืนน้ีเขียนข้ึนเม่ือจุลศกั ราช 1261 (พ.ศ. 2442) โดยมี “คูเจา้ สีวิไชย” เป็ นประธาน เพื่อ
อุทิศถวายแก่ศาสนาไวจ้ นตราบเท่าอายขุ องพระศาสนาครบ 5,000 ปี

ในอดีต ระหวา่ งพธิ ีต้งั ธรรมหลวงหรือเทศน์มหาชาติ หลงั วนั ออกพรรษาของทุกปี พระบฏหรือ
ทุงพระบด ดงั กล่าวจะถูกแขวนไวภ้ ายในวิหารวดั นาคตหลวง ตลอดช่วงการเทศน์มหาชาติ 13 กณั ฑ์
ประเพณีน้ีปฏิบตั ิสืบเนื่องมาอยา่ งยาวนาน เชื่อกนั วา่ ผทู้ ่ีฟังครบท้งั หมดจะไดอ้ านิสงส์สูงยง่ิ

อยา่ งไรก็ตาม ทุกวนั น้ีท้งั ประเพณีการเทศน์มหาชาติ และการแขวนพระบฏในระหว่างพิธีการ
เทศน์มหาชาติ ณ วดั นาคตหลวงไม่มีอีกแลว้ ดงั น้ัน ในปัจจุบนั จึงมีการจดั ต้งั “โครงการวิจยั อนุรักษ์
พระบฏและฟ้ื นฟูประเพณีต้งั ธรรมหลวง วดั นาคตหลวง อ าเภอแม่ทะ จงั หวดั ล าปาง” ข้ึน โดยความ
ร่วมมือระหว่างคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ และชุมชนนาคตหลวงนอกเหนือจากการอนุรักษ์
จิตรกรรมภาพพระบฏในเชิงกายภาพตามหลกั วิชาการแลว้ จะไดค้ ดั ลอกจิตรกรรมพระบฏข้ึนใหม่อีก
หน่ึงผนื เพ่ือใชฟ้ ้ื นฟูประเพณีต้งั ธรรมหลวง หรือเทศน์มหาชาติ ซ่ึงเป็นประเพณีทอ้ งถ่ินลา้ นนาที่หาชม
ไม่ไดใ้ นปัจจุบนั และไดร้ ับการฟ้ื นฟูข้ึนอีกคร้ัง แนวคิดดงั กล่าวนอกจากจะสามารถรักษาจิตรกรรมอนั
ทรงคุณค่าไวไ้ ดแ้ ลว้ การอนุรักษย์ งั ไดค้ ืนชีวิตของงานจิตรกรรมกลบั ไปสู่วิถีชีวิตของชุมชนโดยผ่าน
การฟ้ื นฟปู ระเพณีทอ้ งถ่ิน อนั นบั เป็นการอนุรักษ์
จิตรกรรมอยา่ งยงั่ ยนื

การจดั กิจกรรมรวมถึงโครงการลกั ษณะน้ี ในยคุ ปัจจุบนั มีหลายหน่วยงานเขา้ มาใหค้ วามสาํ คญั
รวมถึงเลง็ เห็นคุณค่าทางโบราณวตั ถุศิลปวตั ถุ คุณค่าดา้ นประเพณีวฒั นธรรม คุณค่าดา้ นองคค์ วามรู้ทาง
พทุ ธศาสนาท่ีส่ือออกมาในรูปแบบต่างๆ อนั สะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงลกั ษณะวถิ ีชิวิตความเป็นอยู่ เครื่องใชไ้ ม้
สอย ท้งั ความงดงามดา้ นศิลปกรรม เทคนิควิธีกรรม การส่ือถึงคติความเชื่อและความเปลี่ยนแปลงของ
บา้ นเมืองในแต่ละยคุ แต่ละสมยั ไดเ้ ป็นอยา่ งดี แสดงถึงความเจริญงอกงามของพุทธศาสนาที่เป็ นบ่อเกิด

26 

 

ของขนบประเพณีนิยม วฒั นธรรม และวิถีการดาํ รงชีวิตของคนในอดีต ตุงค่าวธรรมจึงเป็ นมรดกท่ี
สําคญั ของชาติ ท่ีควรค่าแก่การดูแล รักษา เชิดชูและหวงแหนไวเ้ ป็ นมรดกทางศิลปวฒั นธรรม ศูนย์
โบราณคดีภาคเหนือ คณะสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่(2553) จึงเห็นควรท่ีจะเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
ศึกษาวิจยั และจดั การอนุรักษต์ ุงค่าวธรรม ในเขตพ้ืนที่จงั หวดั ลาํ ปาง ให้ไดเ้ ห็นถึงคุณค่าความสําคญั
พร้อมนาํ เสนอใหก้ บั ชุมชนน้นั ๆ ใหไ้ ดร้ ับรู้พร้อมกบั การพฒั นาตุงค่าวธรรม ต่อยอดจากองคค์ วามรู้เดิม
เพอ่ื ปรับรูปแบบการสื่อความหมาย การสร้างตุงค่าวธรรมข้ึนมาใหม่เพื่อทดแทนของเดิมใหเ้ ขา้ กบั สงั คม
ยคุ ปัจจุบนั โดยการศึกษาคร้ังน้ีไดร้ ับงบประมาณจากสํานกั งานคณะกรรมการวฒั นธรรมแห่งชาติ ให้
จดั ทาํ โครงการ “การปลูกจิตส านึกในการอนุรักษท์ ี่ยงั่ ยนื ผา่ นการสร้างส่ือผสม(Mixed Media) ร่วมกบั
ชุมชน”นาํ โดย รศ.ดร. วรลญั จก์ บุณยสุรัตน์ เป็นหวั หนา้ โครงการ และ ผศ.ดร. สุภาพร นาคบลั ลงั ก์ เป็น
ผคู้ วบคุมการดาํ เนินงาน และ อ.อนุกลู ศิริพนั ธุ์ ผใู้ หก้ ารสนบั สนุนความรู้ดา้ นพิธีกรรม

โดยการวาดภาพตุงค่าวธรรมให้วดั วงั หมอ้ เพื่อนาํ ใชป้ ระกอบพิธีเทศน์มหาชาติในคร้ังน้ี ไดม้ ี
อาจารยท์ วี เสรีวาศ อาจารยค์ ณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ ให้ความอนุเคราะห์ในการวาดภาพ
ท้งั 13 กณั ฑ์ รวมท้งั หมด 28 ผนื ซ่ึงวตั ถุประสงคส์ าํ คญั กเ็ พื่อปลูกจิตสาํ นึกของคนในชุมชนและเยาวชน
รุ่นใหม่ใหห้ นั กลบั มามองงานศิลปกรรมอนั มีค่าและอนุรักษด์ ูแลรักษา หวงแหนงานพทุ ธศิลป์ ท่ีมีอยใู่ น
ชุมชนของตนเอง ดึงดูดให้คนเขา้ มาศึกษาเรียนรู้พร้อมท้งั อนุรักษง์ านตุงค่าวธรรมและท่ีสาํ คญั เยาวชน
ยคุ ใหม่จะไดม้ ีความภูมิใจในภูมิปัญญาของบรรพบุรุษตน ท่ีไดส้ ร้างสรรคง์ านศิลป์ ไวก้ บั พทุ ธศาสนาไว้
ใหล้ ูกหลานไดศ้ ึกษา

ในดา้ นของ สาํ นกั งานกองทุนสนับสนุนการวิจยั ทอ้ งถ่ิน (สกว)(2552)ไดจ้ ดั โครงการสืบสาน
และถ่ายทอดภูมิปัญญา การทาํ โคมบา้ นวงั หมอ้ ลาํ ปาง ความเป็ นมาของการร้ือฟ้ื นประเพณีการแห่โคม
เขา้ วดั โดยเห็นว่าชุมชนบา้ นวงั หมอ้ เป็ นชุมชนเก่าแก่มีศิลปวฒั นธรรมท่ีดีงามสืบทอดมาเป็ นเวลาชา้
นาน ผคู้ นในชุมชนลว้ นสืบเช้ือสายมาจากบรรพบุรุษท่ีมาต้งั ถิ่นฐานแต่ด้งั เดิมสืบต่อมาหลายชวั่ อายคุ น
ทุกคนในชุมชนจึงมีความสนิทสนมคุน้ เคยกนั เป็ นอยา่ งดี แต่ดว้ ยสภาพสังคมปัจจุบนั ทาํ ให้วิถีชีวิตคน
เริ่มเปล่ียน จากวิถีชีวิตด้งั เดิมในสังคมเกษตรกรรมที่กลายเป็ นวิถีชีวิตของคนในเมืองมากข้ึน เด็กและ
เยาวชนใชเ้ วลาในการเรียนมากข้ึน ผูใ้ หญ่ตอ้ งออกจากบา้ นทุกเชา้ เพื่อไปทาํ งานและกลบั เขา้ บา้ นใน
ตอนเยน็ หรือค่าํ แต่ดว้ ยความรักทอ้ งถ่ินความยดึ มนั่ ศรัทธาในศาสนาอยา่ งไม่เสื่อมคลาย ตลอดจนความ
เขม้ แข็งของชุมชนทาํ ให้การร้ือฟ้ื นวฒั นธรรมประเพณีการทาํ โคมและการแห่โคมเข้าวดั ซ่ึงเป็ น
ประเพณีด้งั เดิมของชาวชุมชนบา้ นวงั หมอ้ สามารถเป็นจริงได้ โดยการริเริ่มของอาจารยจ์ ากมหาวทิ ยาลยั
เทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา และสล่ามณฑล ปิ นตาสี สล่าพ้ืนบา้ นซ่ึงไดส้ ืบทอดองคค์ วามรู้มาจาก
บรรพบุรุษ ดว้ ยความภาคภูมิใจในศิลปะท่ีงดงาม คนในชุมชนจึงอยากเห็นองคค์ วามรู้ที่เขามีอยู่ถูก
ถ่ายทอดไปยงั อนุชนรุ่นหลงั และคนอื่นๆ ในชุมชนที่มีความรักความสนใจในศิลปะการทาํ โคม

27 

 

การจดั การมรดกทางวฒั นธรรม
จะเห็นไดว้ า่ ที่ผา่ นมาน้นั มีหน่วยงานต่างๆ เขา้ มามีบทบาทในการอนุรักษร์ วมถึงการจดั การกบั

ประเพณีที่มีอยู่ภายในชุมชนต่างๆ ในเขตจงั หวดั ลาํ ปางพอสมควร ส่งผลให้การจดั การกบั ประเพณี
บางคร้ังไม่ประสบความสาํ เร็จเท่าท่ีควร เน่ืองจากการให้ความสาํ คญั กบั คนในชุมชนน้นั ๆ ซ่ึงบางคร้ัง
อาจทาํ ให้ประเพณีพิธีกรรม เปลี่ยนแปลงไป ซ่ึงวิวฒั น์ เตมียพนั ธ์(2547) พูดถึงเรื่องประเพณี ในสาระ
ของชนบทในบางมิติ ว่าประเพณีน้ันสะทอ้ นให้เห็นวิถีทางของการดาํ เนินชีวิตในองคร์ วมของแต่ละ
สังคมที่เป็ นกายภาพหรือรูปธรรม บ่งช้ีถึงภูมิปัญญาท่ีเป็ น “มรดกทางวฒั นธรรม” (Cultural Heritage)
ของสงั คมอนั ไดจ้ ดั การวางระบบใหส้ อดคลอ้ งกบั สภาพแวดลอ้ มไดเ้ ป็นอยา่ งดี

การรักษามรดกทางวฒั นธรรมให้มีสภาพคงคุณค่าต่อไปท่ามกลางการพฒั นาซ่ึงมุ่งเนน้ การนาํ
ความเจริญสมยั ใหม่ไปสู่เมือง การอนุรักษ์ดงั กล่าวเป็ นสิ่งท่ีกระทาํ ไดย้ าก แต่หากจะปฏิบตั ิให้ไดผ้ ล
จะตอ้ งใชว้ ิธีการท่ีต้งั อยบู่ นพ้ืนฐานของหลกั วิชาการ และอาศยั ความร่วมมือจากทุกฝ่ ายท่ีเก่ียวขอ้ ง ซ่ึง
กรมศิลปากร(2544)ไดเ้ สนอวธิ ีการจดั การไวใ้ นรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดลอ้ ม ดงั ขอ้ เสนอแนะ
ต่อไปน้ี

ควรใหค้ วามรู้และสร้างจิตสาํ นึกดา้ นการอนุรักษส์ ิ่งแวดลอ้ มศิลปกรรมใหป้ ระชาชนเห็นคุณค่า
ความสําคญั ของงานศิลปกรรมในทอ้ งถ่ิน มีความรู้สึกเป็ นเจา้ ของแหล่งศิลปกรรมในทอ้ งถ่ินท่ีตอ้ ง
ร่วมมือกนั อนุรักษ์ โดยปลูกฝังและเผยแพร่ความรู้เรื่องของทอ้ งถิ่นน้นั ๆ ท้งั ทางดา้ นประวตั ิความเป็นมา
วิถีชีวิต การอนุรักษ์และพฒั นา ซ่ึงอาจกระทาํ ผ่านส่ือทอ้ งถ่ิน เช่น หนังสือพิมพท์ อ้ งถ่ิน ผูน้ ําชุมชน
รวมท้ังในสถาบันการศึกษาทุกระดับช้ัน เพ่ือประโยชน์ในการอนุรักษ์แหล่งโบราณคดีและ
ประวตั ิศาสตร์ใหย้ งั่ ยนื ต่อไป

หน่วยงานท่ีเก่ียวขอ้ งในภาครัฐควรพิจารณากาํ หนดนโยบายและแนวทางการพฒั นาและ
อนุรักษ์งานศิลปกรรมให้นาํ ไปสู่การปฏิบตั ิ และติดตามตรวจสอบและประเมินผลการอนุรักษ์งาน
ศิลปกรรมอย่างต่อเน่ือง รวมท้งั ควรดาํ เนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเพ่ือแกไ้ ขปัญหาที่เกิดข้ึนอย่าง
เร่งด่วนเพือ่ ประโยชน์ในการคุม้ ครองมรดกทางวฒั นธรรมของชาติ

หน่วยงานท่ีเกี่ยวขอ้ งกับการคุม้ ครองอนุรักษ์ และพฒั นา ท้ังหน่วยงานผูก้ าํ หนดนโยบาย
ส่วนกลางและทอ้ งถ่ินตอ้ งทาํ ความเขา้ ใจร่วมกนั และกาํ หนดรูปแบบการดาํ เนินการ “พฒั นาเชิงอนุรักษ”์
พร้อมเสริมสร้างความรู้ ความเขา้ ใจเกี่ยวกบั “การพฒั นาเชิงอนุรักษ”์ ให้กบั หน่วยงานราชการ องคก์ ร
และประชาชนในทอ้ งถิ่น เพ่ือกระตุน้ และส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมในการคุม้ ครองอนั ควรแก่การ
อนุรักษศ์ ิลปกรรม รวมท้งั เป็ นแนวทางหน่ึงในการสร้างความเขา้ ใจร่วมกนั เพ่ือลดความขดั แยง้ ในการ
ดาํ เนินโครงการพฒั นาของรัฐในพ้ืนที่ระหวา่ งหน่วยงานภาครัฐและองคก์ รประชาชน


Click to View FlipBook Version