The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การศึกษาและรวบรวมข้อมูลรูปแบบภาพตุงค่าวธรรมเพื่อการพัฒนาเป็น แหล่งเรียนรู้ศิลปกรรมทางพุทธศาสนาในจังหวัดลำปาง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by balllysa, 2022-06-20 23:51:18

การศึกษาและรวบรวมข้อมูลรูปแบบภาพตุงค่าวธรรมเพื่อการพัฒนาเป็น แหล่งเรียนรู้ศิลปกรรมทางพุทธศาสนาในจังหวัดลำปาง

การศึกษาและรวบรวมข้อมูลรูปแบบภาพตุงค่าวธรรมเพื่อการพัฒนาเป็น แหล่งเรียนรู้ศิลปกรรมทางพุทธศาสนาในจังหวัดลำปาง

78 

 

เงิน เป็ นฝี มือช่างแบบพ้ืนบา้ น อายขุ องภาพอยปู่ ระมาณร้อยปี มาแลว้ เป็ นภาพเรื่องพระเวสสันดรชาดก
และชาดกนอกนิบาติปะปนกนั ซ่ึงงานจิตรกรรมดงั กล่าวน้ีเองถูกเขียนข้ึนหลงั จากภาพตุงค่าวธรรมมี
สภาพท่ีชาํ รุดทรุดโทรม ทางวดั และศรัทธาจึงให้มีการเขียนจิตรกรรมบนฝาผนงั เพื่อให้ง่ายต่อการใช้
งานในประเพณีต้งั ธรรมหลวง

ภาพท่ี 53 จิตรกรรมฝาผนงั วดั สบลี
พ่อคาํ หลา้ อ่อนน้อม อายุ 78 ปี อดีตเจา้ อาวาสวดั สบลีท่ีปัจจุบนั ผนั ตวั เองมาเป็ นป่ ูจารย์ หรือ
มคั ธายก นอกจากน้นั ท่านยงั เป็ นผูเ้ ฒ่าที่เหลืออยู่ไม่ก่ีคนของหมู่บา้ นที่สามารถอ่านป๊ับสา(ค่าวธรรม)
อกั ษรลา้ นนา ท่านเล่าว่า วดั สบลีแห่งน้ีสร้างข้ึนเม่ือราวหลายร้อยปี ก่อน โดยเจา้ กาวิละมาละกา เจา้
อาวาสองคแ์ รก ไดส้ ร้างวิหารข้ึนประดิษฐานพระประธานศิลปะลา้ นนา ภายในวิหารยงั มีภาพเขียนสี
จิตรกรรมบนผนังไมเ้ ร่ืองราวนิทานพ้ืนบา้ นเรื่อง “วรวงศห์ งษ์อามาตย”์ โดยสล่าคาํ ตาน หลงั จากที่
วหิ ารวดั สบลีผา่ นฤดูกาลมาหลายร้อยปี กเ็ กิดการชาํ รุดผพุ งั หลงั คาร่ัวจนไม่สามารถประกอบศาสนกิจได้
ศรัทธาชาวบา้ นสบลีไดจ้ ึงคิดทาํ การร้ือวิหารเพ่ือจะสร้างข้ึนใหม่เมื่อปี พ.ศ.2528 แต่ไดร้ ับการยบั ย้งั จาก
อาจารยน์ คร พงษ์น้อย ซ่ึงท่านเกิดความเสียดายในคุณค่าของศิลปกรรมลา้ นนาที่สวยงามและหายาก
ท่านจึงได้ให้ชาวบ้านช่วยกันบูรณะรักษาให้คงสภาพเดิมเอาไว้ ซ่ึงในคร้ังน้ันก็ได้มีการซ่อมแซม
บางส่วนใหค้ งสภาพรูปแบบเดิม เช่น ไมท้ ่ีนาํ มาทาํ เสาวิหารกม็ ีการทาํ ข้ึนเหมือนของเดิมคือเป็นเสาแปด
เหล่ียม

79 

 

พ่อคาํ หลา้ เล่าให้ฟังอีกว่า ภาพเขียนในวิหารน้ีเป็ นภาพเขียนเก่าเมื่อหลายร้อยปี สมยั ท่ีพ่อของ
ตนเป็ นเด็กท่านเล่าให้ฟังว่าก็เห็นภาพเขียนน้ีมานานแลว้ ปัจจุบนั พ่อของท่านเสียชีวิตไปได้ 60 กว่าปี
แลว้ ท่านยงั เล่าอีกว่า สีฝ่ ุนที่ใชเ้ ขียนภาพจิตรกรรมน้ันนาํ มาจากดินใกล้ ๆ น้าํ แม่ลี ซ่ึงเป็ นแม่น้าํ สาย
ใหญ่ท่ีไหลผา่ นหมู่บา้ น ในบริเวณน้นั จะมีดินสีท่ีสามารถนาํ มาใชเ้ ขียนแทนดินสอได้ พ่อคาํ หลา้ ยงั เล่า
ยอ้ นถึงอดีตว่า สมยั ท่ีท่านเป็ นเด็กก็ไดน้ าํ ดินบริเวณน้ีมาใชท้ าํ ดินสอ ปัจจุบนั เม่ือแม่น้าํ เปลี่ยนเส้นทาง
บริเวณดงั กล่าวกก็ ลายเป็นไร่นาของชาวบา้ น

สาํ หรับงานจิตรกรรมท่ีมีความเก่าแก่ของวดั สบลีน้ัน คือภาพตุงค่าวของวดั สบลี พบว่ามีอยู่
จาํ นวน 12 ผืน โดยเป็ นงานจิตรกรรมวาดด้วยสีฝ่ ุน(สีจากหินตามธรรมชาติผสมยางไม)้ บนผา้ ฝ้าย
พ้นื เมืองทอมือ ซ่ึงเน้ือผา้ มีลกั ษณะหยาบ ตวั ภาพเป็นงานจิตรกรรมเป็นงานช่างพ้ืนถ่ิน พบวา่ จิตรกรรม
ภาพตุงค่าวธรรมชุดน้ีมีอายเุ ก่าแก่ท่ีสุดในบนั ดาลตุงคา่ วธรรมพพ่ี บในจงั หวดั ลาํ ปาง มีอายไุ ม่ต่าํ กวา่ 120
ปี และไม่เกิน 150 ปี ถูกสร้างข้ึนในสมยั ใดไม่มีปรากฏหลกั ฐานที่แน่ชดั แต่เชื่อว่าเป็ นงานจิตรกรรมยคุ
แรกของวดั สบลี ก่อนที่จะมีจิตรกรรมฝาผนงั ภายในวิหาร

ภาพท่ี 54 การลงพ้นื ท่ีสาํ รวจตุงค่าวธรรมวดั สบลี

จากการลงพ้ืนท่ีสํารวจและร่วมกันอนุรักษ์ ชะลอความเสื่อมของภาพตุงค่าวธรรมวดั สบลี
อาํ เภอเมืองปาน จงั หวดั ลาํ ปาง ระหว่างวนั ที่ 26-28 กนั ยายน 2558 น้ัน พบว่าภาพตุงค่าวธรรมชุด
ดงั กล่าว อยู่ในสภาพค่อนขา้ งชาํ รุด ทรุดโทรม และมว้ นเก็บรักษาไวใ้ นหีบธรรม มีขนาดเท่ากนั คือ
กวา้ งประมาณ 60 เมตร ยาวประมาณ 80 เมตร ซ่ึงถือวา่ เป็นเขียนที่สวยงามและเป็นธรรมชาติ สามารถ

80 

 

เล่าเรื่องราวภาพไดเ้ ป็ นอยา่ งดี ภาพเขียนโบราณน้ี ใชส้ ีจากธรรมชาติเขียนลงเน้ือผา้ ทอพ้ืนเมืองเพียงที่
เดียว โดยภาพตุงค่าวธรรมดงั กล่าว ไม่มีการแบ่งพ้ืนท่ีการเขียนออกเป็น 2 ส่วนเหมือนวดั อื่นๆ ดงั ที่ได้
กล่าวไวใ้ นขา้ งตน้ แต่จะมีการวาดภาพเตม็ พ้ืนท่ี เขียนเรื่องชาดกในแต่ละกณั ฑ์ ลกั ษณ์งานจิตกรรมเป็ น
งานพ้ืนบ้านแสดงออกบริบทต่างๆ ของทอ้ งถ่ินออกมา เช่น เครื่องแต่งกาย สถาปัตยกรรม วิถีชีวิต
พิธีกรรมและเรื่องราวต่างๆ อีกเป็นจาํ นวนมาก

ภาพที่ 55 ตุงคา่ วธรรมวดั สบลี

81 

 

ภาพท่ี 56 อาศรมพระเวสสนั ดร ศิลปะพ้ืนบา้ น ตุงค่าวสบลี

ภาพท่ี 57 รูปแบบการวาดผา้ ซิ่นของนางกษตั ริย์ ที่ถูกตอ้ งตามแบบแผน ตุงค่าวธรรมวดั สบลี

82 

 

ภาพท่ี 58 กณั ฑก์ มุ าร วดั สบลี

ภาพท่ี 59 กณั ฑท์ านกณั ฑ์ วดั สบลี

83 

 

แต่ดว้ ยสภาพผา้ ฝ้ายทอมือท่ีมีความถ่ีของผา้ ที่ทองไม่แน่น เส้นหยาบ และขนาดของเสน้ ดา้ ยที่
ไม่สม่าํ เสมอ ทาํ ใหเ้ น้ือสีที่ทารองพ้ืน ท่ีใชว้ าดรูปภาพ แตกกะเทาะหลุดออกไปมาก อีกท้งั การใชง้ านใน
อดีตท่ีไม่ไดใ้ หค้ วามสาํ คญั เรื่องการอนุรักษ์ ทาํ ให้สภาพตุงค่าวธรรมชุดน้ี ชาํ รุดมากที่สุด จึงทาํ ให้ตอ้ ง
เร่งทาํ การซ่อมแซมและชะลอความเสียหายในเบ้ืองตน้ โดยการรอผา้ พ้ืนเพ่ือลดการร้ังดึงของผา้ โบราณ
จากน้นั เยบ็ เนาของตลอดท้งั ผนื นอกจากน้ีคนในชุมชนบา้ นสบลีมีความตื่นตวั ที่จะร่วมช่วยกนั เป็นส่วน
หน่ึงในกิจกรรมทาํ นุบาํ รุงรักษามรดกทางวฒั นธรรมของชุมชนตนเอง ซ่ึงทาํ ให้คณะทาํ งานวิจยั ไดท้ าํ
กิจกรรมและไดร้ ับความร่วมมือจากคนในทอ้ งถิ่นเป็นอยา่ งดี

ภาพท่ี 60- 61การอนุรักษต์ ุงคา่ วธรรมวดั สบลี

84 

 

ภาพท่ี 62- 63การอนุรักษต์ ุงคา่ วธรรมวดั สบลี

85 

 

ภาพที่ 64 การบรรยาย สร้างความรู้ความเขา้ ใจเก่ียวกบั ตุงค่าวธรรมวดั สบลี
หลงั จากการ เกบ็ ตวั อยา่ งและรายละเอียดของภาพเรียบร้อยแลว้ คณะทาํ งานไดน้ าํ ภาพเขียนตุง
ค่าวธรรมท้งั หมดทาํ ความสะอาด ตามวิธีการและนาํ ภาพใส่กรอบแบบมาตรฐาน เพ่ือนาํ มาเกบ็ ไวใ้ นที่ท่ี
เหมาะสม เพื่อให้คนรุ่นหลงั ไดศ้ ึกษาเรียนรู้ภาพ ซ่ึงทางคณะผูว้ ิจยั ไดแ้ นะนาํ ให้ชุมชนอดั สําเนาภาพ
แลว้ พิมพภ์ าพจาํ ลองตุงค่าวธรรมลงบนผา้ ใบไวนิล เพื่อใชใ้ นการต้งั ธรรมหลวงต่อไป โดยไม่ไปยงุ่ กบั
ตุงค่าวธรรมผนื เดิม ที่มีสภาพชาํ รุดและเส่ียงต่อการเสื่อมสภาพต่อไปในอนาคต

86 

 

บทท่ี 5
บทวเิ คราะห์ผล สภาพสังคมวฒั นธรรมนครลาํ ปาง ผ่านตุงค่าวธรรม

งานจิตรกรรมพ้ืนบา้ น เป็ นงานสร้างสรรคท์ างศิลปะดว้ ยการถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดออกมา
เป็นรูปภาพเพ่ือสื่อความหมายก่อใหเ้ กิดความรู้สึกยอมรับ ความพึงพอใจและมีความสุข ซ่ึงท้งั น้ีสิ่งที่สื่อ
ออกมาน้นั ยอ่ มแสดงใหเ้ ห็นถึงวิถีชีวติ และสภาพสงั คมของยคุ และสงั คมน้นั ๆ ไดเ้ ป็นอยา่ งดี

ในบทน้ี จะเป็ นการศึกษาและวิเคราะห์ความเคล่ือนไหวในสังคมทอ้ งถ่ิน โดยเฉพาะสังคม
ชนบทและสังคมชาวลาํ ปางในอดีต ผ่านงานจิตรกรรมภาพวาดตุงค่าวธรรม ซ่ึงเน้นความสําคญั ของ
แนวความคิดและประเด็นเก่ียวกบั วิถีชีวิตของคนในชุมชนน้ันๆ ตลอดจนความสัมพนั ธ์ของชุมชนใน
สังคม ดว้ ยการใชว้ ิธีการศึกษาและอธิบายความที่ผสมผสานระหว่างประวตั ิศาสตร์สังคมในยคุ น้นั และ
มานุษยวทิ ยา

การเขียนรูปภาพจิตรกรรมพ้ืนบา้ นเพื่อรับใชพ้ ระศาสนาน้นั ในอดีตจนถึงปัจจุบนั มกั เขียนข้ึน
เพ่ือนาํ มาใชอ้ ธิบายพรรณนา หรือลาํ ดบั เร่ืองราวเก่ียวกบั ศาสนา โดยเฉพาะเก่ียวกบั พุทธประวตั ิ การ
พรรณนาและลาํ ดบั เรื่องอดีตชาติของพระสัมมาสัมมาพุทธเจา้ เมื่อยงั เสวยชาติเป็ นพระโพธิสัตวห์ รือ
อธิบายความเช่ือและเหตุผลแห่งหลกั ธรรมต่างๆ ให้คนทว่ั ไปเกิดความเขา้ ใจและยอมรับไดโ้ ดยง่าย
นอกจากน้นั ยงั แสดงพฤติกรรมและความเป็นไปในวิถีชีวิตของ คนในทอ้ งถ่ินไดเ้ ป็นอยา่ งดี ซ่ึงขอ้ มูลที่
นํามาวิเคราะห์ในบทน้ี ได้จากการเก็บขอ้ มูลภาคสนามแบบปฏิบตั ิการอย่างมีส่วนร่วม การศึกษา
พฒั นาการทางประวตั ิศาสตร์และการวิพากษ์ทางทฤษฎีควบคู่กันไป ซ่ึงสามารถจาํ แนกเน้ือหาและ
แนวทางในการวิเคราะห์ผลออกเป็น 9 กลุ่ม ดงั น้ี

1. งานสถาปัตยกรรม วดั , วงั , และบา้ นเรือน 2.กลุ่มชาติพนั ธุ์ 3.การบนั ทึกประวตั ิศาสตร์
4. เครื่องแต่งกาย 5. เครื่องประดบั 6. เคร่ืองไมใ้ ชส้ อย 7. อาชีพ, การทาํ มาหากิน
8. สตั วต์ ่างๆ และ 9. พืชพรรณ ซ่ึงมีรายละเอียดดงั ต่อไปน้ี

1. ด้านงานสถาปัตยกรรม
สถาปัตยกรรม เป็ นผลทางวตั ถุท่ีไดร้ ับการสร้างสรรคด์ ว้ ยศิลปะและวิทยาการในการก่อสร้าง

เป็ นส่ิงท่ีอาํ นวยประโยชน์แก่มนุษยท์ ้งั ในดา้ นความสะดวกสบาย ปลอดภยั และพึงพอใจ ซ่ึงในงาน
จิตรกรรมตุงค่าวธรรมน้นั ไม่ไดจ้ าํ กดั เพียงแต่การวาดส่ิงก่อสร้างท่ีอยอู่ าศยั เท่าน้นั แต่ยงั พบอาคารทาง
พทุ ธศาสนา ซ่ึงท้งั หมดลว้ นแลว้ แต่เกิดจากจินตนาการที่มีความเช่ือและศรัทธาในศาสนา เป็นเหตุสาํ คญั
ท่ีทาํ ใหช้ ่างพ้นื บา้ น สร้างสรรคอ์ อกแบบงานทางดา้ นสถาปัตยกรรมข้ึน

87 

 

ประเภทของสถาปัตยกรรมท่ีปรากฏบนภาพตุงคา่ วธรรม จะเก่ียวขอ้ งกบั การดาํ รงชีวติ ของคน
ในสงั คม ชุมชนน้นั ๆ จาํ แนกได้ 3 ประเภท กล่าวคือ

1. การวาดงานสถาปัตยกรรมทางพระพทุ ธศาสนา จดั เป็นสถาปัตยกรรมท่ีสร้างข้ึนตามวดั วา
อารามต่างๆ เพอื่ ประโยชน์ทางพทุ ธศาสนา มีดงั น้ี เจดียต์ ่างๆ, ศาลา, กาํ แพง, ศาลา เป็นตน้

1.1.1 เจดีย์
ในงานภาพวาดตุงค่าวธรรมน้ี ในส่วนภาพมาลยั ปลาย จะมีการวาดรูปพระธาตุเกศแกว้ จุฬามณี
ท่ีบรรจุพระเกศาของพระสัมมาสัมพุทธเจา้ บนสวรรค์ช้ันดาวดึงส์ รูปแบบเจดียด์ งั กล่าวจะมีความ
แตกต่างกนั ไปในแต่ละพ้ืนที่ รวมไปถึงฝี มือช่าง ซ่ึงจากการศึกษาจะพบวา่ มีฝี มือช่างหลายกลุ่ม คือกลุ่ม
พ้ืนบา้ น, กลุ่มช่างจีน, และกลุ่มช่างท่ีเรียนมาจากสยาม

ภาพท่ี 65 ภาพพระธาตุเกศแกว้ จุฬามณีแบบไทยภาคกลาง(สยาม) ตุงคา่ วธรรมวดั ปงสนุกเหนือ

88 

 

ภาพท่ี 66 ภาพพระธาตุเกศแกว้ จุฬามณีแบบไทยภาคกลาง(สยาม) ตุงค่าวธรรมวดั ลาํ ปางกลางตะวนั ออก

ภาพที่ 67 ภาพพระธาตุเกศแกว้ จุฬามณีแบบยอ่ มุมไม้ 12 ไทยภาคกลาง(สยาม) ตุงคา่ วธรรมวดั บา้ นเอ้ือม

89 

 

1.1.2 วหิ าร, ศาลา
ลกั ษณะวิหารหรือศาลาดงั กล่าว เป็นรูปแบบของศาลาการเปรียญ เป็นหอ้ งโถงและชานโล่ง
เครื่องบนประดบั ดว้ ยช่อฟ้า ป้ันลม มีการวาดกาํ แพงลอ้ มรอบ

ภาพที่ 68 วหิ ารหรือศาลา ตุงค่าวธรรมวดั ท่งุ ฮา้ ง
1.2 การวาดงานสถาปัตยกรรมประเภทวงั การวาดงานสถาปัตยกรรมที่จดั สร้างข้ึนเพ่ือเป็ นท่ี
อยู่อาศยั ของเจา้ นายหรือเจา้ เมือง จาํ แนกเป็ นพระราชวงั , คุม้ เจา้ , หอคาํ , ตาํ หนัก, กาํ แพงวงั , ทอ้ งพระ
โรง เป็นตน้
ปราสาทราชวงั
รูปแบบปราสาทพระราชวงั ส่วนใหญ่ จะถูกเขียนในกณั ฑท์ ศพร ซ่ึงเป็ นรูปแบบปราสาทพระ
อินทร์ ต้งั อยบู่ นหลงั ชา้ งเอราวณั , กณั ฑม์ หาราช, และกณั ฑน์ ครกณั ฑ์ ท่ีเป็ นลกั ษณะของพระราชของ
พระเจ้ากรุงสัญชัย ซ่ึงอาคารพระราชวงั ดังกล่าว จะวาดเป็ นอาคารปราสาทหลงั คาซ้อนช้ันกันไป
ประดบั เครื่องบนดว้ ยช่อฟ้า ป้ันลม ซ่ึงรูปแบบของอาคารปราสาทดงั กล่าว เป็ นการผสมผสานระหว่าง
ปราสาทแบบพ้นื เมืองและปราสาทแบบวฒั นธรรมสยาม

90 

 

1.2.1 รูปแบบปราสาทพระอินทร์

ภาพที่ 69 ปราสาทพระอินทร์บนหลงั ชา้ งเอราวณั ตุงค่าวธรรมวดั ปงสนุกเหนือ

ภาพที่ 70 ปราสาทพระอินทร์มีกาํ แพงลอ้ มรอบ ตุงค่าวธรรมวดั บา้ นเอ้ือม

91 

 

1.2.2 รูปแบบปราสาท, พระราชวงั
งานสถาปัตยกรรมระราชวงั ในงานตุงค่าวธรรมน้นั พบวา่ รูปแบบของอาคารมีลกั ษณะของงาน

ช่างพ้ืนถิ่นที่เลียนแบบอาคารสถาปัตยก์ รรมแบบภาคกลาง(สยาม) โดยภาพตุงค่าวธรรมของวดั ที่มี
รูปแบบการวาดโครงสร้างองคป์ ระกอบดา้ นงานสถาปัตยก์ รรมท่ีค่อนขา้ งถูกตอ้ งและสวยงาม พบท่ีวดั
ปงสนุกเหนือ, วดั ลาํ ปางกลางตะวนั ออก และวดั บา้ นเอ้ือม เม่ือดูพ้ืนท่ีทางกายภาพแลว้ วดั กลุ่มดงั กล่าว
ต้งั อยใู่ นตวั อาํ เภอเมือง ซ่ึงวดั ปงสนุกเหนือและวดั ลาํ ปางกลางตะวนั ออก ถือเป็ นวดั ท่ีมีเจา้ นายอุปถมั ภ์
มาโดยตลอด ส่วนวดั บา้ นเอ้ือม ถือเป็ นชุมชนท่ีมีกลุ่มพ่อคา้ ต่างแดนเขา้ ไปติดต่อคา้ ขายจนทาํ ให้ชุมชน
บา้ นเอ้ือมเป็ นชุมชนของกลุ่มคนมีฐานะ ดงั น้นั วดั กลุ่มดงั กล่าว จึงมีความสามารถในการจดั หาช่างวาด
ภาพหรือการไปดูงานจากสถานท่ีจริงแลว้ นาํ หลบั มาวาด ซ่ึงถือวา่ วดั ในกลุ่มน้ีมีโอกาสและสามารถผลิต
งานไดด้ ีกวา่ ชุมชนอ่ืน

ภาพท่ี 71 ทอ้ งพระโรง ในพระราชวงั ของพระเจา้ กรุงสญั ชยั ตุงคา่ วธรรมวดั ปงสนุกเหนือ

92 

 

ภาพที่72 ทอ้ งพระโรง ในพระราชวงั ของพระเจา้ กรุงสญั ชยั ตุงคา่ วธรรมวดั ปงสนุกเหนือ

ภาพที่73 ทอ้ งพระโรง ในพระราชวงั ของพระเจา้ กรุงสญั ชยั ตุงคา่ วธรรมวดั ลาํ ปางกลางตะวนั ออก

93 

 

ภาพท่ี74 ซุม้ ประตูเขา้ พระราชวงั ของพระเจา้ กรุงสญั ชยั ตุงค่าวธรรมวดั ลาํ ปางกลางตะวนั ออก
ตวั อยางซุม้ ประตูเขา้ พระราชวงั พระเจา้ กรุงสญั ชยั ในงานจิตรกรรมตุงค่าวธรรมวดั ลาํ ปาง กลาง

ตะวนั ออก ไดเ้ ลียนแบบซุ้มประตูจากภาคกลาง(เสาโลช้ ิงชา้ ) มาทาํ เป็ นซุ้มประตูของพระราชวงั โดย
รูปแบบการเขียนงานดังกล่าว ทาํ ให้เห็นได้วาศิลปิ นหรือช่างท่ีวาดภาพชุดน้ีเคยไปเห็นของจริง ท่ี
กรุงเทพ และนาํ มาวาดภาพในงานจิตรกรรม

ภาพที่75 ทอ้ งพระโรง ในพระราชวงั ของพระเจา้ กรุงสญชยั ตุงคา่ วธรรมวดั บา้ นเอ้ือม

94 

 

ภาพท่ี76 ทอ้ งพระโรง ในพระราชวงั ของพระเจา้ กรุงสญั ชยั ตุงค่าวธรรมวดั บา้ นเอ้ือม
ในส่วนของภาพวาดตุงค่าวธรรมดา้ นงานสถาปัตยกรรมวดั นาคตหลวงน้ัน จะมีลกั ษณะของ
งานแบบไทยภาคกลางผสมผสานกบลกั ษณะของความเป็ นงานพ้ืนบา้ น ที่ค่อนขา้ งจะยึดลกั ษณะของ
องค์ประกอบงานสถาปัตยกรรมพ้ืนถิ่น เช่น รูปแบบช่อฟ้าแบบพ้ืนเมือง ป้ันลมแบบหางวนั รวมถึง
ระเบียงที่ประดบั ดว้ ยซี่ลูกติ่งโดยรอบ อาคารมีแผงไมค้ อสองเป็ นส่วนประกอบโดยรอบ นอกจากน้ี
รูปแบบหลงั คาของตวั อาคาร ยงั เป็ นอาคารซ้อนช้นั ซ่ึงส่วนหน่ึงน่าจะไดร้ ับอิทธิพลจากรูปแบบงาน
สถาปัตยกรรมของช่างไทใหญ่ซ่ึงคนกลุ่มน้ีกพ็ บไดโ้ ดยทว่ั ไปในลาํ ปางเมื่อร้อยสองรอยปี ก่อน
ส่วนปราสาทราชวงั แบบพ้ืนบา้ น ที่ปรากฏในตุงค่าวธรรมวดั ทุ่งคา วดั ทุ่งผ้งึ วดั ทุ่งฮา้ งศรี ดอน
มูล และวดั สบลีน้นั เป็นการวาดข้ึนมาในลกั ษณะของงานช่างพ้ืนบา้ น ที่ไม่ไดเ้ นน้ องคป์ ระกอบ สดั ส่วน
รวมถึงรูปแบบที่ถูกตอ้ ง แต่วาดโดยใชจ้ ินตนาการการนึกคิด รวมถึงการพยายาม ลอกเลียนแบบจาก
รูปแบบของศิลปะแบบกรุงเทพ แต่ไม่ลงตวั ซ่ึงบางคร้ังอาจจะมองวาเป็ นการวาด ข้ึนมาเชิงสัญลกั ษณ์
โดยไม่เนน้ รูปแบบ องคป์ ระกอบท่ีสมบูรณ์และถูกตอ้ ง เพราะระดบั ฝี มือของ ช่างยงั ไม่ดีเท่าที่ควร

95 

 

ภาพท่ี77 พระราชวงั ของพระเจา้ กรุงสญั ชยั ตุงคา่ วธรรมวดั ทุ่งฮา้ งศรีดอนมูล

ภาพที่78 ทอ้ งพระโรง ในพระราชวงั ของพระเจา้ กรุงสญั ชยั ตุงค่าวธรรมวดั ทุ่งฮา้ งศรีดอนมูล

96 

 

จากรูปแบบของปราสาทราชวงั รวมถึงทอ้ งพระโรง ที่ปรากฏบนภาพตุงค่าวธรรมวดั ทุ่งฮา้ ง ศรี
ดอนมูลน้ัน จะมียอดปราสาทและชานยื่นออกมาเป็ นห้องทอ้ งพระโรง ทาํ ให้เห็นวาช่างพยายามที่ จะ
เลียนแบบองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมแบบสยาม ท้ังช่อฟ้า นาคสะดุ้ง รวมไปถึงยอดมณฑป
ปราสาท มาวาดในงานภาพตุงค่าวธรรม ซ่ึงค่อนขา้ งท่ีจะผิดเพ้ียนไปจากองคป์ ระกอบแบบ วฒั นธรรม
หลวง โดยส่ิงท่ีช่างวาดออกมาจะเป็ นการผสมผสานระหว่างรูปแบบแบบสยามเขา้ กบั รูปแบบงาน
พ้ืนบา้ น รวมถึงสีท่ีใชย้ งั เป็ นสีที่ฉูดฉาด เป็ นการเขียนดว้ ยลายเส้นแลว้ ถมดว้ ยสีพ้ืน โดน เนน้ สีเชียว สี
ฟ้า สีเหลือง สีแดงและสีส้ม ซ่ึงในการวาดลกั ษณะน้ีเองมกั จะเป็ นการวาดของช่าง พ้ืนบา้ นในแต่ละ
ทอ้ งถ่ิน

1.2.3 รูปแบบของอาศรมของฤาษี และพระเวสสันดร นอกจากปราสาทราชวงั ที่เป็ นที่ประทบั
ของเหล่ากษตั ริยแ์ ละพระเวสสนั ดรแลว้ ในทอ้ งเร่ือง

เวสสันดรชาดกยงั มีอาคารสถาปัตยกรรมอีก1แบบ ท่ีถูกวาดข้ึนมาเป็ นท่ีประทับของพระ
เวสสันดร และฤาษีคือ อาศรม ที่พกั ในป่ าหิมพานต์ซ่ึงรูปแบบของอาคารหลงั ดงั กล่าว ส่วนใหญ่จะมี
รูปแบบ หารสร้างเหมือนกนักล่าวคือการสร้างอาศรมต่อย่ืนออกมาจากปากถ้าํ แต่ลักษณะของ
องคป์ ระกอบ ทางสถาปัตยกรรมน้นั จะมีความแตกต่างกนดา้ นฝีมือเชิงช่าง

ภาพท่ี79 อาศรมพระเวสสนั ดร แบบไทยภาคกลาง(สยาม) ตุงค่าวธรรมวดั ปงสนุกเหนือ

97 

 

ภาพที่80 อาศรมฤาษีแบบไทยภาคกลาง(สยาม) ตุงค่าวธรรมวดั ปงสนุกเหนือ

ภาพที่81 อาศรมพระเวสสนั ดร ศิลปะพ้ืนบา้ นผสมผสานกบศิลปะไทย ตุงค่าวธรรมวดั บา้ นเอ้ือม

98 

 

ภาพที่82 อาศรมฤาษีศิลปะพ้ืนบา้ นผสมผสานกบศิลปะไทย ตุงค่าวธรรมวดั บา้ นสกั

ภาพท่ี83 อาศรมพระเวสสนั ดร ศิลปะพ้นื บา้ น ตุงค่าวสบลี

99 

 

1.3 การวาดงานสถาปัตยกรรมประเภทบา้ นเรือน วา่ ดว้ ยการก่อสร้างที่ชาวบา้ นยดึ ถือปฏิบตั ิเป็น
แบบอยางที่สืบทอดต่อกนั มา คือ ส่ิงก่อสร้างเพื่อใชเ้ ป็ นท่ีอยอู่ าศยั ของชาวบา้ น คนในชุมชน มีรูปแบบ
เป็ น เรือนอนั เป็ นที่อยู่อาศยั ประจาํ ซ่ึงรูปแบบเรือนพกั ที่วาดข้ึนน้ัน สร้างโดยวสั ดุธรรมชาติท่ีพบใน
ชุมชนน้นั ๆ เช่น ไมไ้ ผ่, มุงหลงั คาดว้ ยหญา้ คา, กระเบ้ืองดินขอ, ร้ัวบา้ นท่ีทาํ จากไมไ้ ผ่สานเป็ นตน้ ซ่ึง
ประกอบดว้ ยคติ นิยมในการเลือกใชว้ สั ดุ กรรมวิธีการสรรหาใชร้ ูปแบบและ องคป์ ระกอบสาํ คญั ท่ีมุ่ง
ประโยชน์ใชส้ อยของ สิ่งก่อสร้างและการตกแต่งสิ่งเหล่าน้ีจะตอ้ งปรากฏให้เห็นเป็ นลกั ษณะร่วมของ
ชุมชนน้นั อยา่ งปกติ

ภาพท่ี 84 การวาดบา้ นของนางอมิตดา แบบศิลปะพ้ืนบา้ น ตุงค่าวธรรมวดั ปงสนุกเหนือ
จากการศึกษาลักษณะของการวาดงานสถาปัตยกรรมพ้ืนบ้านในภาพตุงค่าวธรรมน้ี จะมี
ความสัมพนั ธ์กบั สภาพภูมิประเทศ ทรัพยากรธรรมชาติในเขตของทอ้ งถ่ิน เทคนิควิทยาการของชุมชน
คติความเชื่อพ้ืนฐานของชุมชน ตลอดจนคติของศาสนา และวฒั นธรรมของกลุ่มชนชาติพนั ธุ์อ่ืน ที่พบ
ในชุมชนน้นั ๆ ถึงแมว้ ่าช่างจะวาดงานจิตรกรรมไทยแบบภาคกลาง แต่ในส่วนของฉากบา้ นและวิถีชีวิต
ชุมชนน้นั มกั จะนิยมวาดความเป็นสงั คมชนบทไวไ้ ดเ้ ป็นอยา่ งดี

100 

 

ภาพที่ 85 การวาดบา้ นของชูชก แบบศิลปะพ้ืนบา้ น ตุงคา่ วธรรมวดั ลาํ ปางกลางตะวนั ออก
2. กล่มุ ชาตพิ นั ธ์ุ

งานจิตรกรรมที่ถูกวาดข้ึนมา ถือมรดกทางวฒั นธรรมของชาติที่ทรงคุณค่าท้งั ดา้ นงานศิลปะ
และดา้ นอ่ืนๆ ซ่ึงเปรียบเสมือนห้องสมุดท่ีรวมรวมความรู้แขนงต่างๆไวเ้ พ่ือให้อนุชนรุ่นหลงั ไดศ้ ึกษา
คน้ ควา้ ที่นอกจากจะทรงคุณค่าดา้ นสุนทรียศาสตร์ตามแบบฉบบั ของฝี มือช่างหลวงและช่างพ้ืนบา้ น
แลว้ ภาพจิตรกรรมตุงค่าวธรรมยงั ไดบ้ นั ทึกองคค์ วามรู้ดา้ นต่างๆไวม้ ากมาย

หากเราพิจารณา ภาพกาก เราจะพบวา่ ภาพเหล่าน้ีเป็นสื่อสะทอ้ นสังคมในมิติต่างๆของยคุ สมยั
แห่งการสร้างงาน เช่น สะทอ้ นให้เห็นถึงพฤติกรรมของคนในสังคมในวิถีชีวิตของคนปกติสามญั ภูมิ
ประเทศ อาคารบา้ นเรือน ตลอดจนเคร่ืองใชไ้ มส้ อย ไวอ้ ยา่ งน่าสนใจ

การวาดภาพกลุ่มชาติพนั ธุ์ต่างๆ ก็ถือเป็ นการบนั ทึงประวตั ิศาสตร์ของชุมชน สังคมน้นั ไวด้ ว้ ย
ซ้ึงแสดงใหเ้ ห็นถึงการเขา้ มาของกลุ่มชนชาติพนั ธุ์ต่างๆในชุมชน การเดินทาง การติดต่อคา้ ขาย รวมถึง
ความสัมพนั ของสังคมดา้ นต่างๆ โดยภาพตุงค่าวธรรมที่ปรากฏในเมืองลาํ ปางน้ัน ไดบ้ นั ทึกเรื่องราว
ต่างๆเหล่านน้ีไว้ ทาํ ใหผ้ ศู้ ึกษาเห็นวา่ มีชนชาติพนั ธุ์กลุ่มใดบา้ งท่ีเขา้ มามีบทบาทในสงั คมลาํ ปางยคุ น้นั
คาํ วา่ "ชาติพนั ธุ์" และ "ชาติพนั ธุ์วิทยา" เป็ นคาํ ใหม่ในภาษาไทยการทาํ ความเขา้ ใจเรื่องชาติพนั ธุ์จาํ เป็ น
จะตอ้ งพิจารณาเปรียบเทียบกบั เร่ืองเช้ือชาติและสญั ชาติ อาจเปรียบเทียบเช้ือชาติ สัญชาติ และชาติพนั ธุ์
ไดด้ งั น้ี

101 

 

เช้ือชาติ (race) คือ ลกั ษณะทางชีวภาพของคน ซ่ึงเห็นไดอ้ ยา่ งชดั เจนจากลกั ษณะรูปพรรณ สีผวิ
เส้นผม และตา การแบ่งกลุ่ม เช้ือชาติ (racial group) มกั แบ่งออกเป็ น ๓ กลุ่ม คือ นิกรอยด์ (Negroid)
มองโกลอยด์ (Mongoloid) และคอเคซอยด์ (Caucasoid) ในตอนหลงั ไดเ้ พิ่มออสตราลอยด์ (Australoid)
โพลินีเชียน (Polynesian) ฯลฯ อีกดว้ ย

กลุ่มชาติพนั ธุ์หรือกลุ่มวฒั นธรรมมีลกั ษณะเด่น คือ เป็ นกลุ่มคนที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ
เดียวกนั บรรพบุรุษ ในท่ีน้ีหมายถึงบรรพบุรุษทางสายเลือด ซ่ึงมีลกั ษณะทางชีวภาพและรูปพรรณ (เช้ือ
ชาติ) เหมือนกนั รวมท้งั บรรพบุรุษทางวฒั นธรรมดว้ ย ผูท้ ่ีอยู่ในกลุ่มชาติพนั ธุ์เดียวกนั จะมีความรู้สึก
ผกู พนั ทางสายเลือด และทางวฒั นธรรมพร้อมๆ กนั ไปเป็ นความรู้สึกผกู พนั ที่ช่วยเสริมสร้างอตั ลกั ษณ์
ของบุคคลและของชาติพนั ธุ์ และในขณะเดียวกันก็สามารถเร้าอารมณ์ความรู้สึกให้เกิดความเป็ น
อนั หน่ึงอนั เดียวกนั ไดโ้ ดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถา้ ผูท้ ี่อยู่ในกลุ่มชาติพนั ธุ์นับถือศาสนาเดียวกนั ความรู้สึก
ผกู พนั น้ีอาจเรียกวา่ "สาํ นึก" ทางชาติพนั ธุ์

สังคมลา้ นนาในอดีต มีที่มาจากการผสมผสานและดาํ รงชีพอยรู่ ่วมกนั มาของชนชาติต่างๆ ใน
บริเวณแอ่งที่ราบ ท่ีถือไดว้ า่ เป็นบรรพบุรุษของชาวลา้ นนา ไดแ้ ก่ ชาวไทล้ือ ชาวไทเขิน ชาวไทยวน ชาว
ไทใหญ่(เง้ียว) ชาวเม็ง(มอญ) ชาวลวั ะ จากแอ่งที่ราบข้ึนสู่บริเวณภูเขาสูงก็จะพบกลุ่มชนชาติต่างๆ ต้งั
หมู่บา้ นกระจายอยทู่ ว่ั ไปตามพ้ืนที่สูงในดินแดนลา้ นนา ไดแ้ ก่ กะเหรี่ยง(ยาง) เม่ียน(เยา้ ) มง้ (แมว้ ) อาข่า
(อีกอ้ ) ลาหู่(มูเซอ) ลีซอ นอกจากน้ียงั มีชนบางกลุ่มท่ีอยใู่ นบริเวณชายขอบของลา้ นนา ไดแ้ ก่ ขมุ มลาบ
รี(ตองเหลือง) และยงั มีชนอีกหลายกลุ่ม ที่เขา้ มาผสมผสานในสงั คมลา้ นนา ซ่ึงช่างหรือศิลปิ นท่ีวาดภาพ
ตุงค่าวธรรมไดว้ าดสอดแทรกเขา้ ไปในทอ้ งเรื่องเวสสันดรชาดกในฉากต่างๆ ทาํ ให้เราเห็นถึงสภาพ
สงั คมลาํ ปางในอดีต วา่ มีชนชาติพนั ธุ์ไหนบา้ งท่ีเขา้ มามีบทบาทในสงั คม โดยมีรายละเอียดดงั ต่อไปน้ี

2.1 ไทยวน
ชาวไทยวนหรือคนเมือง อาศัยอยู่ท่ัวไปในเขตพ้ืนที่ภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย
โดยเฉพาะลุ่มแม่น้าํ ปิ งในเมืองเชียงใหม่ ซ่ึงถือเป็ นศูนยก์ ลางของอาณาจกั รลา้ นนา ลุ่มแม่น้าํ วงั ในเมือง
ลาํ ปาง หลงั จากไดอ้ พยพโยกยา้ ยมาจากเมืองเชียงแสน อนั เป็ นแหล่งตน้ กาํ เนิดของกลุ่มชาติพนั ธุ์ชาว
ไทยวน ชาวไทยวนมีเอกลกั ษณ์ดา้ นการแต่งกายที่มีความพเิ ศษ จากหลกั ฐานท่ีปรากฏอยใู่ นตุงค่าวธรรม
ทาํ ใหท้ ราบไดว้ า่ ชาวไทยวน มีความโดดเด่นเป็นเอกลกั ษณ์ของตนเอง แตกต่างไปจากกลุ่มไทอ่ืนๆ โดย
แสดงใหเ้ ห็นชดั ในเคร่ืองแต่งกายของสตรีที่เรียกวา่ “ผา้ ซิ่น” ซ่ึงเป็นเครื่องแต่งกายหลกั ของสตรีในแถบ
ภูมิภาคน้ี ผา้ ซ่ินในชีวิตประจาํ วนั ของไทยวนส่วนใหญ่เป็นซิ่นที่ประกอบจากผา้ ริ้วลาย

102 

 

ขวาต่อตีนดว้ ยผา้ สีแดงหรือดาํ และต่อหัวซ่ินดว้ ยผา้ สีขาว สีแดงหรือดาํ และอาจจะเป็ นผา้ สีเดียวก็ได้
โดยการเยบ็ เขา้ ดว้ ยกนั เรียกซ่ินชนิดน้ีว่า “ซิ่นต๋า” หรือ “ซิ่นต่อตีนต่อเอว” ซ่ึงภาพตุงค่าวธรรมท่ีศึกษา
ในคร้ังน้ีมีการวาดภาพกลุ่มคนเมืองไวไ้ ดเ้ ป็ นอย่างดี แต่ที่แสดงให้เห็นชดั เจนมากที่สุด ไดแ้ ก่ ตุงค่าว
ธรรมวดั บา้ นสกั ตุงค่าวธรรมวดั บา้ นเอ้ือม และตุงค่าวธรรมวดั ปงสนุกเหนือ

ภาพที่ 86 ภาพวาดหญิงชาวไทยวน(คนเมือง) ใส่ซ่ินลายต๋า ภาพตุงคา่ วธรรมวดั บา้ นเอ้ือม

ภาพท่ี 87 ภาพเปรียบเทียบการแต่งกาย หญิงชาวไทยวน(คนเมือง) ใส่ซิ่นลายต๋า ในอดีต

103 

 

ภาพท่ี 88 ภาพวาดหญิงชาวไทยวน(คนเมือง) ใส่ซ่ินลายต๋า ภาพตุงค่าวธรรมวดั ปงสนุกเหนือ

ภาพท่ี 89 ภาพวาดหญิงชาวไทยวน(คนเมือง) ใส่ซิ่นลายต๋า ใส่ผา้ มดั นม เกลา้ ผมปล่อยชายทดั ดอก
ภาพตุงค่าวธรรมวดั ทุ่งผ้งึ

104 

 

2.2 ไทใหญ่ (เงีย้ ว)
จากประวตั ิความเป็นมาไทใหญ่เป็นสาขาหน่ึงของกลุ่มตระกลู ไตหรือไท พวกเขาเรียกตนเองวา่

“ไตโหลง” หมายถึง “ไตหลวง” อนั เป็ นท่ีมาของช่ือชนชาติที่เป็ นทางการว่า “ไทใหญ่” ซ่ึงอาจเป็ น
เพราะชนชาติไทใหญ่ เป็ นตระกูลไทกลุ่มใหญ่มากกว่าไทกลุ่มอื่นๆ แต่คนเมืองจะเรียกคนไทใหญ่ว่า
“ชาวเง้ียว” และเน่ืองจากพรมแดนที่แบ่งแยกแควน้ ฉานกบั ลา้ นนาไทยในอดีตกาลไม่ชดั เจน ไทใหญ่จึง
อพยพไปมาระหว่างสองฟากฝั่งแม่น้าํ สาย กรอปกบั การเขา้ มาเป็ นคนงานทาํ ไม้ ในการควบคุมของคน
องั กฤษ จนกลายเป็นกลุ่มคนเง้ียวและต้งั ถิ่นฐานในลาํ ปางมาจนถึงปัจจุบนั แมจ้ ะตอ้ งทิ้งถิ่นฐานบา้ นเกิด
มา แต่ไทใหญ่(เง้ียว) ก็มิได้ละทิ้งเอกลักษณ์ทางวฒั นธรรมเก่ียวกับการแต่งกาย และยงั คงยึดถือ
ปฏิบตั ิงานบุญ ประเพณีสําคญั สืบต่อกนั มาไดเ้ ป็ นอย่างดี โดยภาพตุงค่าวธรรมที่พบว่ามีการวาดกลุ่ม
ชาติพนั ธุ์เง้ียวคือ วดั บา้ นสกั วดั บา้ นเอ้ือม วดั ทุ่งคา และ

ภาพที่ 90 กลุ่มคนเง้ียวท่ีสบั หมึกดาํ ที่ขา โพกผา้ ท่ีหวั ที่ปรากฏบนภาพตุงคา่ วธรรมวดั บา้ นเอ้ือม

105 

 

ภาพท่ี 91 ภาพเปรียบเทียบการแต่งกาย กลุ่มคนเง้ียวที่โพกผา้ ท่ีหวั ในรัฐฉาน ประเทศพม่า

ภาพที่ 92 ภาพวาดกลุ่มทหารเง้ียวท่ีสวมหมวกปี กกวา้ ง ปรากฏบนภาพตุงค่าวธรรมวดั บา้ นสกั

106 

 

ภาพที่ 93 ภาพถ่ายเปรียบเทียบกลุ่มชาวเง้ียวที่สวมหมวกปี กกวา้ ง ในรัฐฉาน ประเทศพม่า

ภาพท่ี 94 ภาพวาดกลุ่มคนเง้ียวท่ีสวมหมวกปี กกวา้ ง ปรากฏบนภาพตุงค่าวธรรมวดั บา้ นเอ้ือม

107 

 

.3 ชาวพม่า(ม่าน)
ชาวพม่า หรือคนเมืองเรียกว่า คนม่าน กเ็ ป็ นอีกหน่ึงชาติพนั ธุ์ท่ีเขา้ มามีบทบาทในดินแดนแห่ง

น้ี เช่นเดียวกบั การเขา้ มาของชาวเง้ียว คือการเขา้ มาเป็ นคนงานทาํ ไม้ ในการควบคุมของคนองั กฤษ จน
กลายเป็ นกลุ่มคนเง้ียวและต้งั ถ่ินฐานในลาํ ปางมาจนถึงปัจจุบนั โดยภาพตุงค่าวธรรมท่ีพบว่ามีการวาด
กลุ่มชาติพนั ธุ์พม่า หรือคนม่าน คือ วดั บา้ นสกั และวดั บา้ นเอ้ือม

ภาพท่ี 95 ภาพวาดขนุ นางของพระเจา้ กรุงสญั ชยั ข่ีมา้ สวมหมวกแบบทหารพม่า ปรากฏบนภาพตุงคา่ วธรรมวดั บา้ น
เอ้ือม

ภาพท่ี 96 ภาพหมวกของขนุ นางพม่า ท่ีนาํ มาเปรียบเทียบกบั ภาพวาดที่ปรากฏบนภาพตุงค่าวธรรมวดั บา้ นเอ้ือม

108 

 

2.4 ชาวแขก
ชาวไทเช้ือสายอินเดีย หรือ คนลา้ นนาเรียกกนั ว่า “แขก” ในประเทศไทยนอกจากใชเ้ รียกชาว

มุสลิมแลว้ ยงั ใชเ้ รียกอีกกลุ่มคนอีก 3 กลุ่ม ไดแ้ ก่ แขกซิกข์ แขกนามธารี และแขกพราหมณ์ ซ่ึงอพยพ
หนีความยากลาํ บากจากอินเดีย มาพ่ึงพระบรมโพธิสมภารของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ของไทย

ซ่ึงภาพแขกที่ปรากฏบนตุงค่าวธรรมวดั บา้ นเอ้ือมน้นั จะเป็ นแขกพราหมณ์ ที่มีหนวดเครา ผม
ยาว และผวิ ดาํ ในฉากที่เขา้ มาขอชา้ งสาํ คญั กบั พระเวสสันดร กณั ฑท์ านกณั ฑ์ ตามทอ้ งเร่ืองเวสสันดร
ชาดก

ภาพที่ 97 ภาพวาดกลุ่มแขกพราหมณ์ ปรากฏบนภาพตุงค่าวธรรมวดั บา้ นเอ้ือม

109 

 

2.5 ชาติพนั ธ์ุกะเหร่ียง(ยาง)

กะเหรี่ยง เป็ นกลุ่มชาติพนั ธุ์หน่ึง เดิมอาศยั อย่แู ถบบริเวณตน้ แม่น้าํ สาละวินของพม่า ต่อมาได้
อพยพเขา้ สู่ประเทศพม่าและทางเหนือและชายแดนไทย มีภาษาพูดเรียกว่าภาษากะเหร่ียง จดั ในตระกูล
ภาษาจีน-ทิเบต ชาวกะเหร่ียงมีเอกลกั ษณ์เฉพาะตวั หลายอยา่ ง นอกเหนือจากภาษาพูดแลว้ ยงั มีการแต่ง
กาย ศิลปะการแสดง และประเพณีต่างๆ

กลุ่มชาติพนั ธุ์ “กะเหรี่ยง” คนลา้ นนาและคนทางภาคตะวนั ตกมกั เรียกกะเหรี่ยงว่า “ยาง” พม่า
เรียกพวกน้ีว่า “กะย่ิน” ฝรั่งเรียกว่า “กะเรน”(บางท่ีเขียนว่า กะเร็น) อย่างไรก็ตามเร่ืองของชื่อเรียก
“กะเหร่ียง” น้ียงั เป็ นปัญหาไม่เป็ นท่ียตุ ิ หลายคนในปัจจุบนั เขา้ ใจว่าช่ือเรียกกลุ่มชาติพนั ธุ์น้ีไม่สมควร
จะเรียกว่า “กะเหร่ียง” อีกต่อไป เพราะมีความหมายไปเชิงดูถูก โดยสมควรให้เรียกว่า “ปกาเกอะญอ”
แทน กลุ่มชาติพนั ธุ์ท่ีถูกเรียกว่ากะเหร่ียงมีหลายกลุ่มแตกต่างกนั ไป กลุ่มชาติพนั ธุ์กลุ่มใหญ่ๆ มี ปกา
เกอะญอ (สกอว)์ โพล่ง (โปว)์ ตองสู้ (ปะโอ) และบะแก (บะเว)

ในส่วนของการวาดภาพชาติพนั ธุ์กะเหรี่ยงหรือท่ีคนเมืองเรียกวา่ “ยาง” ลงบนภาพตุงค่าวธรรม
น้นั จะวาดโดยกาํ หนดให้คนกลุ่มน้ีเป็ นเพียงไพร่พล ชาวบา้ น ประกอบกบั ฉานนครกณั ฑ์ ซ่ึงไม่ไดใ้ ห้
ความสาํ คญั เท่าที่ควร แต่ยงั คงวาดโดยแสดงเอกลกั ษณ์ของการแต่งกาย และการกาํ หนดหนา้ ที่ไดอ้ ยา่ ง
น่าสนใจ ซ่ึงการวาดภาพชาวกะเหร่ียงบนตุงค่าวธรรมน้นั ปรากฏท่ีวดั บา้ นเอ้ือม วดั บา้ นสัก และวดั ทุ่ง
คา

ภาพท่ี 98 ภาพวาดชาวกะเหรี่ยง ที่ปรากฏบนภาพตุงคา่ วธรรมวดั บา้ นเอ้ือม

110 

 

2.6 ชาวจีนฮ่อ

ชาวจีนฮ่อ หรือ ห้อ แต่พวกเขาเรียกตวั เองว่า "ยนู นานเยอ่ " เดิมอาศยั อยทู่ างตอนใตข้ องจีน ซ่ึง
ส่วนใหญ่อยู่ในมณฑลยูนนาน พรมแดนระหว่างไทย-ลาว มีท้งั อาศยั อยู่บนเทือกเขาและในเมือง ใน
ประเทศไทยชาวจีนฮ่อมกั อาศยั อยใู่ นจงั หวดั เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลาํ ปาง และพะเยา

ชาวจีนฮ่อที่อพยพเขา้ มาน้นั พอจะแบ่งไดเ้ ป็ น 3 กลุ่ม กลุ่มแรก คือกลุ่มพ่อคา้ คาราวาน ท่ีใชม้ า้
ต่างหรือ ล่อ เป็นพาหนะในการบรรทุกสินคา้ ผา่ นมาทางฮ่องลึก หรือด่านแม่สาย เดินทางตามช่องทางน้ี
มาต้งั แต่โบราณ กลุ่มท่ีสอง คือกลุ่มจีนฮ่อล้ีภยั ในช่วงปราบปรามกบฏพนั เธย์ ในช่วงปี ค.ศ.1856–1873
และกลุ่มสุดทา้ ย คือ กลุ่มทหารกูช้ าติจีนอพยพเขา้ มา หลงั จากการปฏิวตั ิประเทศจีนประสบความสาํ เร็จ
ในปี ค.ศ. 1949 ภายใตก้ ารนาํ ของเหมาเจ๋อตง ทาํ ใหท้ หาร ของจีนคณะชาติหรือพรรคก๊กมินตง๋ั ตอ้ งถอย
ร่นลงมาอยตู่ ามแนวชายแดนไทย-พม่า และต่อมาส่วนหน่ึงไดเ้ ดินทางไปอยทู่ ่ีประเทศไตห้ วนั อีกส่วน
หน่ึงปักหลกั อยทู่ างภาคเหนือของไทย

ในส่วนของชาวจีนฮอ้ ท่ีเป็ นท่ีคุน้ ชินชองสังคมลา้ นนาน้ัน ส่วนมากจะเป็ นชาวจีนฮอ้ ที่เป็ น
พอ่ คา้ คาราวานววั ต่าง มา้ ต่าง ทาํ การคา้ ขายและแลกเปล่ียนสินคา้ กบั คนพ้ืนเมือง เช่น ผา้ แพร ผา้ ไหม ยา
จีน กระดาษ รวมไปถึงฝ่ิ น ที่ในอดีตเป็ นสินคา้ ท่ีนิยมกนั มากในพ้ืนท่ีบริเวณภาคเหนือตอนบนของไทย
จึงเป็นชาวต่างชาติอีกกลุ่มหน่ึงที่เขา้ มาในลา้ นนา ทาํ ใหส้ งั คมและวฒั นธรรมมีการเปล่ียนถ่ายซ่ึงกนั และ
กนั และถูกช่างศิลปิ นวาดและบนั ทึกเหตุการณ์ลงบนตุงค่าวธรรมในเมืองลาํ ปาง

ภาพชาวจีนท่ีถูกบนั ทึกลงบนภาพวาดน้นั มกั จะอยใู่ นฉากนครกณั ฑ์ โดยชาวจีนเป็ นส่วนหน่ึง
ของประชากรของนคร อยรู่ วมกบั ชาติพนั ธุ์อื่นและเป็ นทหาร รวมไปถึงชาวจีนท่ีเป็ นลกั ษณะของพอ่ คา้
สวมหมวกกุ๊บแบบจีน และท่ีน่าสนใจคือฉากการเฉลิมฉลองการกลบั พระนครของพระเวสสันดร ท่ีมี
การแสดงกายกรรมโดยชาวจีน ซ่ึงแสดงใหเ้ ห็นถึงวิวฒั นาการของจีนท่ีเขา้ มามีบทบาทและเป็ นที่สนใจ
ของคนทอ้ งถ่ิน โดยวดั ที่มีการวาดภาพชาวจีนคือ ภาพตุงค่าวธรรมวดั นาคตหลวงท่ีวาดชาวจีนเป็ น
นายทหาร, ภาพตุงค่าวธรรมวดั สกั วดั ทุ่งคา วาดชาวจีนเป็นประชากรในพระนคร, และภาพตุงค่าวธรรม
วดั บา้ นเอ้ือม วดั ทุ่งผ้งึ วาดชาวจีนกาํ ลงั แสดงกายกรรม

111 

 

ภาพที่ 99 การวาดภาพชาวจีน ไวผ้ มเปี ย ภาพตุงค่าวธรรมวดั บา้ นเอ้ือม

ภาพท่ี 100 การวาดภาพชาวจีนท่ีกาํ ลงั แสดงกายกรรม ภาพตุงค่าวธรรมวดั บา้ นเอ้ือม

112 

 

3. เคร่ืองแต่งกาย
การเขียนภาพจิตรกรรมสีฝ่ ุนเป็ นงานท่ีใชเ้ วลามาก งานบางแห่งใชเ้ วลาหลายสิบปี ครูช่างซ่ึง

เป็ นนายงานของการเขียนภาพ เป็ นผูว้ างโครงการของงานท้งั หมด ในขณะเดียวกนั ก็มีช่างเขียนท่ีเป็ น
ศิษย์ เป็ นลูกมือช่วยอยู่ ครูช่างจะตอ้ งสอนลูกศิษย์ เพ่ือสืบทอดวิชาความรู้ใหส้ ามารถทาํ งานแทนตนได้
จนกว่าจะแลว้ เสร็จ ดงั น้นั การสร้างสรรคง์ านจิตรกรรมผา้ ตุงค่าวธรรมแต่ละคร้ัง จึงเปรียบเสมือนเป็ น
โรงเรียนศิลปะของช่างต่างๆ โดยลูกศิษยจ์ ะเริ่มตน้ ดว้ ยการคอยปรนนิบตั ิรับใช้ครู ครูจะใช้งานทุก
ประเภทและสอนเทคนิคต่างๆ ซ่ึงเป็นเร่ืองเฉพาะของแต่ละสกลุ ช่างซ่ึงแตกต่างกนั เช่น เทคนิคการบดสี
ผสมสี การเตรียมพ้ืน จนศิษยม์ ีความรู้ความสามารถ ศรัทธา และมีฝี มือช่างที่ใชก้ ารได้ ต่อไปครูช่างจึง
จะอนุญาตให้เริ่มเขียน เริ่มจบั พู่กนั ได้ การสอนเป็ นไปอยา่ งเป็ นข้นั ตอน จนศิษยม์ ีความรู้ความชาํ นาญ
จึงใหแ้ สดงฝีมือในบางส่วนของภาพเขียนตุงค่าวธรรมได้

ระบบการทาํ งานดงั กล่าว เป็ นสิ่งสาํ คญั ในการร่างเรื่องราวต่างๆ ของงานวาดภาพตุงค่าวธรรม
เนื่องจากครูช่างตอ้ งร่างภาพดว้ ยจินตนาการท่ีตอ้ งอิงเน้ือเรื่องตามทอ้ งเร่ืองเวสสันดรชาดก และอาศยั
สภาพเหตุการณ์ สภาพสงั คมและวฒั นธรรมในช่วงเวลาน้นั มาเป็นส่วนประกอบของรายละเอียดในการ
เล่าเร่ืองที่สมบูรณ์ ซ่ึงครูช่างตอ้ งร่างเองท้งั หมด ก่อนจะให้ศิษยช์ ่วยถมสีและตดั เส้นในข้นั ตอนต่อไป
โดยส่วนการเล่าเร่ืองท่ีสําคญั สุดคือการบนั ทึกรายละเอียดของเคร่ืองแต่งกายของตวั ละครต่างๆ ใน
ทอ้ งเร่ือง เพ่อื สื่อและเล่าเร่ืองเวสสนั ดรชาดกโดยไม่มีคาํ อธิบาย เป็นสิ่งที่ช่างตอ้ งสงั เกตการณ์เครื่องแต่ง
กาย เคร่ืองประดบั และรายละเอียดอีกมากมายในช่วงเวลาน้นั ก่อนนาํ มาเขียนและถ่ายทอดออกมาเป็ น
ภาพวาด

การแต่งกายของชาวลา้ นนา แมจ้ ะเป็ นชนกลุ่มใดก็ตาม ก็จะมีลกั ษณะร่วมกนั อยโู่ ดยเฉพาะ จะ
ประกอบดว้ ยเครื่องนุ่งและเครื่องห่ม ยอ่ มมีลกั ษณะไม่ต่างกนั ในแง่ของผา้ ท่ีทอข้ึนในทอ้ งถ่ินและการ
ใชง้ านที่ไม่ต่างกนั จึงน่าจะมีความคลา้ ยคลึงกนั อยใู่ นแง่ของรูปแบบและประเพณีนิยม ซ่ึงการแต่งกาย
ของชายหญิงชาวพ้นื เมือง ท่ีปรากฏบนภาพตุงค่าวธรรมเมืองลาํ ปาง มีลกั ษณะดงั ต่อไปน้ี

3.1 เคร่ืองนุ่งห่มชาย
ชายลา้ นนา เมื่อเขา้ สู่วยั หนุ่ม ชายชาวลา้ นนานิยมการสักขาลาย ซ่ึงสับขายาว จะเป็ นการสัก
ต้งั แต่เอวลงมาเสมอเข่าหรือต่าํ กวา่ เข่าเลก็ นอ้ ย ส่วนสับขากอ้ ม จะเป็ นการสักในช่วงเอวถึงกลางขาการ
สับหมึกคือการสักยนั ตด์ ว้ ยหมึกดาํ กล่าวกนั ว่าหญิงสาวจะเมินชายหนุ่ม ท่ีปล่อยสะโพกขาว เพราะถือ
วา่ เป็ นคนข้ีขลาด ซ่ึงภาพตุงค่าวธรรมท่ีแสดงใหเ้ ห็นภาพท่ีชดั เจน ปรากฏที่ภาพตุงค่าวธรรมวดั บา้ นสัก
วดั บา้ นเอ้ือม และวดั นาคตหลวง

113 

 

ภาพท่ี 101 ภาพชายลา้ นนาสบั หมึกขาดาํ ท้งั แบบสบั ขากอ้ มและสบั ขายาว ตุงค่าวธรรมวดั บา้ นสกั

ภาพที่ 102 ภาพชายลา้ นนาสบั หมึกขาดาํ ไล่ตีชูชก ตุงคา่ วธรรมวดั บา้ นสกั

114 

 

ภาพที่ 103 ภาพชายลา้ นนาสบั ขายาวนุ่งผา้ ตอ้ ย ตุงค่าวธรรมวดั บา้ นเอ้ือม
ส่วนผา้ นุ่งของชายเป็ นผา้ พ้ืนซ่ึงเป็ นผา้ ฝ้ายทอมือ เรียกว่า ผา้ ตาโกง้ คือผา้ ลายดาํ สลบั ขาว หรือ
บางทีกจ็ ะเป็นผา้ สีพ้ืน ซ่ึงมีวธิ ีนุ่งสามแบบ คือ
1. การนุ่งแบบปกติจะจบั รวบตรงเอวแลว้ เหน็บตรงก่ึงกลาง มีบางส่วนเหลือปล่อยห้อยลงมา

จากเอว
2. อีกวิธีหน่ึงจบั รวบเหน็บตรงเอว ส่วนชายอีกดา้ นหน่ึงดึงไปเหน็บไวด้ า้ นหลงั คลา้ ยกบั นุ่ง

โจงกระเบน เรียกวา่ นุ่งผา้ ตอ้ ย
3. เป็ นการนุ่งผา้ ท่ีมุ่งความกระชบั รัดกุมจนมองเห็นสะโพกท้งั สองขา้ งเผยให้เห็น รอยสักได้

ชดั เจนเรียกว่า เฅวด็ ม่าม หรือ เฅด็ ม่าม ในเม่ือตอ้ งการความกระฉับกระเฉงสะดวกในการ
ต่อสู้ ทาํ งาน ขุดดิน ทาํ ไร่ ทาํ นา ขี่ควาย ดงั ท่ีปรากฏบนภาพตุงค่าวธรรมวดั บา้ นเอ้ือม ใน
กณั ฑน์ ครกณั ฑ์ ซ่ึงเป็นฉากการแสดงเจิง(ต่อสู)้ ของชายลา้ นนา
ซ่ึงส่วนใหญ่ การแต่งกายของชายลา้ นนาจะไม่นิยมสวมเส้ือ โดยการนุ่งผา้ ท้งั 3 แบบน้ีส่วนบน
จะเปลือยอก นอกจากกรณีงานสาํ คญั จะมีการสวมเส้ือบา้ ง ข้ึนอยกู่ บั งานและความเหมาะสมเป็นกรณีๆ
ไป

115 

 

ภาพท่ี 104 ภาพชายลา้ นนาสบั ขายาวนุ่งเคด็ ม่าม กาํ ลงั เล่นเจิงมวยกนั อยู่ ตุงค่าวธรรมวดั บา้ นเอ้ือม

การสับหมึกดาํ ท่ีขาของชายลา้ นนาน้ัน นอกจากจะมีการสักที่สบบูรณ์แลว้ ยงั มีชายบางกลุ่มท่ี
สับหมึกดาํ ไม่สาํ เร็จ กล่าวคือข้นั ตอนของการสับหมึกดาํ น้นั ช่างสับหมึกจะทดลองสับนกให้ก่อน เพื่อ
เป็ นการทดสอบความอดทนและความเจบ็ ปวด ถา้ ทนไหวจะไดร้ ับการสบหมึกจนเตม็ พ้ืนท่ีหนา้ ขา แต่
ถา้ ชายใดทนไม่ไหว กจ็ ะไดแ้ ค่นกตวั ที่ทดสอบน้นั แค่ตวั เดียว

ส่วนเต่ียว หรือ กางเกงที่ใชน้ ุ่งน้นั มีรูปแบบคลา้ ยกบั กางเกงจีนคือตวั โต เป้าหลวม เต่ียวน้ีจะมี
ท้งั ขาส้ัน(คร่ึงหนา้ แขง้ ) ท่ีเรียกเต่ียวสะดอ และชนิดขายาวถึงขอ้ เทา้ เรียกว่า เตี่ยวยาว เต่ียวน้ีตดั เยบ็ จาก
ผา้ ฝ้ายทอมือ แต่ในส่วนของการวาดเจา้ นาย(กษตั ริย,์ พระเวสสนั ดร)และผมู้ ีอนั จะกิน(เหล่าขนุ นาง) น้นั
แมเ้ ส้ือผา้ จะถูกวาดให้มีรูปแบบเช่นเดียวกบั ชาวบา้ นทว่ั ไปก็ตาม แต่ก็มกั เลือกสรรวสั ดุท่ีประณีต มีค่า
รวมไปถึงลวดลายผา้ อีกดว้ ย

ภาพวาดพ้ืนบา้ นส่วนใหญ่ ชายจะไม่สวมเส้ือ และเมื่อถึงฤดูหนาวก็จะใชผ้ า้ ทุม้ (“ผา้ ตุ๊ม”) ปก
คลุมร่างกาย ผา้ ทุม้ น้ีเป็นท่ีนิยมใชท้ ้งั ชายและหญิง สีของผา้ จะยอ้ มดว้ ยสีจากพืช เช่น คราม มะเกลือ ซ่ึง
ใหส้ ีน้าํ เงินและดาํ และ คร่ังที่ใหส้ ีแดงเป็นตน้ ซ่ึงจะถูกถกั ทอใหเ้ ป็นเหมือนผา้ ห่ม โดยพ้ืนเป็นฝ้ายสีขาว
สบั ช่วงกบั เส้นฝ้ายสีดาํ แดง ถา้ ผา้ ตุ๊มเป็นฝ้ายขาว สลบั ข้นั กบั เส้นฝ้ายดาํ เรียกผา้ “แซงดาํ ” และถา้ ผา้ ตุ๊ม
เป็นฝ้ายขาว สลบั ข้นั กบั เสน้ ฝ้ายแดง เรียกว่าผา้ แซงแดง พบไดท้ วั่ ไปในเขตอาํ เภอวงั เหนือ อาํ เภอแจห้ ่ม
อาํ เภอเมืองปานและอาํ เภอแม่ทะ ซ่ึงผา้ ตุ๊มน้ีก็ถูกช่างวาดบนั ทึกไวใ้ นภาพตุงค่าวธรรมตามวดั ในเขต
อาํ เภอน้นั ดว้ ย ซ่ึงปัจจุบนั ยงั พบวา่ มีการเกบ็ รักษาผา้ ตุม๊ แบบน้ีอยู่ แต่ไม่มีการทอข้ึนมาใหม่อีกแลว้

116 

 

ภาพท่ี 105 ภาพช่างปี่ คลุมผา้ ตุม๊ ปรากฏบนภาพตุงค่าวธรรมวดั ทุ่งผ้งึ
ภาพที่ 106 ภาพชาวบา้ น ห่มคลุมผา้ ตุม๊ ในช่วงฤดูหนาว ปรากฏบนภาพตุงคา่ วธรรมวดั ทุ่งคา

117 

 

สําหรับการวาดคนสวมเส้ือน้ันมานิยมกนั ในตอนหลงั (ไม่รวมการวาดเสนาอามาตยท์ ี่อยู่ใน
พระราชวงั ) คือตุงค่าวธรรมที่มีอายุไม่เกิน 100 ปี ซ่ึงพบหลกั ฐานชดั เจนในงานวาดตุงค่าวธรรมวดั ทุ่ง
ฮา้ งศรีดอนมูล, วดั นาคตหลวง, วดั ป่ าแขม เป็นตน้ มีลกั ษณะเป็นเส้ือคอกลมซ่ึงมีอยู่ 2 แบบ

แบบแรก เป็นเส้ือคอกลมแขนส้นั หรือแขนยาวผา่ หนา้ ตลอด ผกู เชือก มีกระเป๋ าปะท้งั สองขา้ งสี
ของเส้ือเป็ นสีพ้ืนทอจากใยฝ้าย มีบา้ งท่ีวาดเป็ นสีน้าํ เงินซ่ึงแสดงถึงการยอ้ มครามท่ีเรียกว่า หมอ้ ห้อม
และแบบท่ีสอง เป็ นเส้ือคอกลมผา่ คร่ึงอก ติดกระดุม มีกระเป๋ าหรือไม่ก็เรียบท้งั ตวั ซ่ึงการวาดชาวบา้ น
สวมเส้ือน้นั ถือเป็นงานยคุ หลงั ท่ีวาดสงั คมท่ีปรับเปลี่ยนตามยคุ ตามสมยั

ภาพที่ 107 ภาพดุริยางคท์ หาร แต่งกายแบบทหารสยาม ปรากฏบนภาพตุงค่าวธรรมวดั ทุ่งฮา้ งศรีดอนมูล
นอกจากรูปแบบการแต่งตวั ของชาวบา้ นแลว้ เรื่องของการวาดขา้ ราชการ ทหาร เสนาขนุ นาง

ต่างๆ ก็เป็ นส่ิงที่น่าสนใจ ซ่ึงตวั บุคคลดงั กล่าว ช่างไดว้ ากดารแต่งกายที่แตกต่างไปจากชาวบา้ น โดย
เนน้ รูปแบบการแต่งกายที่มาจากวฒั นธรรมสยาม ช่วงประมาณรัชกาลที่ 7-9 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ชาย
ท่ีเป็ นขุนนางจะนุ่งกางเกงขายาว และนิยมสวมเส้ือซ่ึงมีลกั ษณะเป็ นเส้ือคอกลม ผ่าคร่ึงอก ติดกระดุม
ในบรรดาตวั ละครเจา้ นาย เส้ือผา้ ท่ีใชใ้ นโอกาสพเิ ศษหรือเป็นพิธีการจะนุ่งผา้ ไหมโจงกระเบน เส้ือแขน
ยาวคลา้ ย “เส้ือพระราชทาน” และท่ีน่าสนใจสุดคือการวาดของท่านยมฑูตในฉากนรก ของตุงค่าวธรรม
วดั ทุ่งฮา้ งศรีดอนมูลและวดั ทุ่งผ้ึง จะให้ยมฑูตนุ่งผา้ ม่วง สวมเส้ือราชปะแตน สวมถุงเทา้ ยาวสีขาว
พร้อมดว้ ยรองเทา้ คทั ชูสีดาํ อนั เป็นวฒั นธรรมขา้ ราชการช้นั ผใู้ หญ่เช่นเดียวกบั ทางกรุงเทพฯ

118 

 

3.2 เครื่องนุ่งห่มหญงิ
การวาดภาพเคร่ืองแต่งกานผหู้ ญิงน้นั นิยมวาดการมดั เกลา้ มวยสูงกลางศีรษะแลว้ ปักปิ่ นหรือ

เสียบดอกไมป้ ระดบั โดยเฉพาะภาพวาดที่เป็ นกลุ่มชาวบา้ นมกั จะไม่สวมเส้ือ เพราะการเปลือยอกของ
หญิงในอดีตเป็ นเรื่องธรรมดา แต่อาจจะมีผา้ สไบ(ผา้ สะหวา้ ย) เป็ นผา้ สีอ่อนพนั พาดเพื่อปกปิ ด ซ่ึงมี
วิธีใชห้ ลายอย่าง เช่น การพนั ผา้ ไวใ้ ตท้ รวงอกหรือปิ ดอก, ใชค้ ลอ้ งคอ, ปล่อยชายผา้ ไวด้ า้ นหน้าหรือ
คลอ้ งทิ้งชายไปดา้ นหลงั , ใชห้ ่มเฉียงแบบสไบเรียกว่าสะหวา้ ยแหลง้ หรือเบี่ยงบา้ ย ซ่ึงเป็ นการวาดท่ีอิง
รูปแบบการแต่งการตามวฒั นธรรมพ้ืนบา้ น ซ่ึงตุงค่าวธรรมที่มีรูปแบบการวาดภาพเครื่องแต่งกายผหู้ ญิง
ท่ีมีความสมบูรณ์ เช่น พบที่วดั ปงสนุกเหนือ, วดั บา้ นสกั , วดั บา้ นเอ้ือม,วดั ทุ่งผ้งึ เป็นตน้

ภาพท่ี 108 ภาพการแต่งกายหญิงในราชสาํ นกั ที่ใชผ้ า้ สไบพาดพนั อก ตุงคา่ วธรรมวดั ปงสนุกเหนือ

119 

 

ภาพที่ 109 ภาพการเกลา้ ผมวดิ วอ้ งของหญิงชาวบา้ น ท่ีใชผ้ า้ สไบพาดบ่าเปลือยอก ตุงค่าวธรรมวดั ทุ่งคา

ภาพท่ี 110 ภาพการเกลา้ ผมแลว้ เหน็บดอกของหญิงช่างฟ้อน ท่ีใชผ้ า้ สไบคลอ้ งคอเปลือยอก ตุงคา่ ว
ธรรมวดั ทุ่งผ้งึ

120 

 

ในส่วนของการวาดการนุ่งผา้ ซิ่นน้นั ผา้ ซิ่นคนเมืองจะเป็ นผา้ ทอลายขวางยาวกรอมเทา้ เรียกว่า
ซิ่นต่อตีนต่อแอว องคป์ ระกอบของซ่ินมี 3 ส่วนคือ ส่วนหวั ซิ่น, ส่วนตวั ซ่ิน, และส่วนตีนซ่ิน

ผา้ ซ่ินแบบที่ใชง้ านปกติเป็นตวั ซิ่นที่ทอลายขวางเยบ็ ตะเขบ็ เดี่ยว สีของผา้ ซิ่นจะยอ้ มดว้ ยสีจาก
ธรรมชาติเป็ นสีต่างๆ เช่น สีแดงยอ้ มจากครั่ง, สีน้าํ เงินยอ้ มจากตน้ คราม, สีดาํ ยอ้ มจากลูกมะเกลือ เป็ น
ตน้ และมีผา้ ตีนสิ้น คือ เชิงผา้ ซิ่นสีอ่ืน เช่นสีดาํ กวา้ งประมาณหน่ึงคืบ นาํ มาต่อเขา้ กบั ส่วนชาย ส่วนผา้
ที่นาํ มาต่อกบั ส่วนเอวแมจ้ ะกวา้ งประมาณหน่ึงคืบแต่กม็ กั ใชส้ ีขาว ซ่ึงส่วนต่างๆของผา้ ซ่ินพ้ืนเมืองที่ได้
กล่าวไวน้ ้ี ช่างวาดภาพตุงค่าวธรรมไดว้ าดไดถ้ ูกตอ้ งตามแบบแผนผา้ ซิ่นลา้ นนา โดยเฉพาะการวาดของ
ช่างท่ีวดั สบลี วดั บา้ นสกั และวดั บา้ นเอ้ือม ถือเป็นตวั อยา่ งที่ดีและสมบูรณ์แบบ

ภาพท่ี 111 รูปแบบการวาดผา้ ซิ่นพ้ืนเมืองที่ถูกตอ้ งตามแบบแผน ตุงค่าวธรรมวดั บา้ นสกั

ภาพท่ี 112 รูปแบบการวาดผา้ ซ่ินพ้ืนเมืองท่ีถูกตอ้ งตามแบบแผน ตุงค่าวธรรมวดั บา้ นเอ้ือม

121 

 

ภาพท่ี 113 รูปแบบการวาดผา้ ซ่ินของนางกษตั ริย์ ท่ีถูกตอ้ งตามแบบแผน ตุงคา่ วธรรมวดั สบลี
นอกจากการวาดภาพหญิงสาวนุ่งซิ่นท่ีมีองคป์ ระกอบที่ถูกตอ้ งแลว้ ในส่วนของตุงค่าวธรรมวดั

ทุ่งฮา้ งศรีดอนมูลยงั ว่าหญิงนุ่งผา้ ซิ่นที่มีรูปแบบที่ไม่ใช่ซิ่นลายต๋า กล่าวคือช่วงเวลาของการวาดภาพตุง
ค่าวธรรมของวดั ทุ่งฮา้ ง เป็ นช่วงเวลาของคนจึงหนั ไปนิยมนุ่งซ่ินตีนลวด คือผา้ ซ่ินที่ทอไดต้ ้งั แต่เชิงถึง
เอวรวดเดียว โดยไม่มีการเยบ็ ต่อเช่นที่ผา่ นมา และระยะน้ียงั เริ่มนิยมนุ่งซ่ินมีเชิงเป็น ลวดลายดอกสลบั
สี ซ่ึงเป็นรูปแบบท่ีนิยมมาถึงปัจจุบนั อีกดว้ ย

ภาพท่ี 114 การนุ่งซ่ินตีนลวดของหญิงชาวบา้ นสมยั ใหม่ ภาพตุงค่าวธรรมของวดั ทุ่งฮา้ ง

122 

 

ท้งั น้ีในระดบั ผมู้ ีอนั จะกินน้นั มกั จะแต่งกายเลียนแบบเจา้ นายท้งั ในแง่รูปแบบเส้ือผา้ และทรง
ผมท่ีดดั เป็ นลอนซ่ึงเมื่อสามญั ชนเห็นว่าสวยงามก็มกั จะรับแบบอยา่ งไปแต่งบา้ ง ซ่ึงวฒั นธรรมแต่เดิม
น้นั หญิงสามญั ชนหรือชาวบา้ นและตามชนบทอ่ืนๆ ไม่สวมเส้ือ แต่จะใชผ้ า้ ผนื ยาวคลา้ ยผา้ แถบ พนั รอ
บอก หรือคลอ้ งคอปล่อยชายปิ ดส่วนอก หรือพาดไหล่ปล่อยชายท้งั สองขา้ งไปดา้ นหลงั แต่ผา้ ดา้ นหนา้
จะปิ ดคลุมทรวงอกหรือไม่ก็ได้ หรือจะห่มเฉียงที่เรียกว่าสะหวา้ ยแหลง้ ก็ได้ แลว้ แต่ความสะดวกของผู้
แต่ง ถา้ หากอาศหนาวกจ็ ะใช้ ผา้ ทุม้ อ่านวา่ ผา้ ตุม๊ (ผา้ คลุมไหล่) เช่นเดียวกบั ผชู้ าย

สาํ หรับการสวมเส้ือคงจะเป็ นความนิยมในระยะหลงั เส้ือจะเป็ นเส้ือที่ตดั เยบ็ จากผา้ ทอดว้ ยมือ
สีขาวตุ่น ซ่ึงเป็ นสีของฝ้ายพนั ธุ์พ้ืนเมือง รูปแบบของเส้ือมีหลายแบบคือ เส้ือคอกลม ตวั หลวม แขน
กระบอกต่อแขนต่าํ ผา่ อกตลอด ผกู เชือกหรือติดบ่าต่อมแตบ็ (กระดุมแป๊ บ) มีกระเป๋ าท้งั สองขา้ ง เส้ือคอ
กลมตวั หลวม แขนกระบอก ต่อแขนต่าํ ผา่ คร่ึงอก ติดบ่าต่อมแตบ็

เส้ือช้นั ใน ถา้ เป็ นผูใ้ หญ่จะเป็ นเส้ือคอกลมต่าํ เวา้ แขน เป็ นเส้ือพอดีตวั เส้ือช้ันในไม่มีแขน
เรียกวา่ เส้ือบ่าหอ้ ย ซ่ึงช่างวาดภาพบางคนวาดชาวบา้ นผหู้ ญิงเมื่อแต่งตวั ไปวดั ผหู้ ญิงสูงอายจุ ะสวมเส้ือ
บ่าห้อยแลว้ ใชผ้ า้ ทุม้ ห่มเฉียงบ่าอีกทีหน่ึง เส้ือสําหรับเด็กหญิงสาว เส้ือช้นั ในจะเป็ นเส้ือ บ่าห้อย ตวั
หลวม ๆ

ภาพที่ 115 การสวมเส้ือบ่าหอ้ ยในระยะหลงั ของหญิงชาวบา้ น ตุงคา่ วธรรมสดั ทุ่งฮา้ งศรีดอนมูล

123 

 

ในส่วนของการวาดแฟร์ชน่ั การสวมหมวกน้นั จะถูกวาดและนาํ เสนอเม่ือตวั กากภาพไปอยนู่ อก
บา้ น ซ่ึงในยุคแรกๆ ชาวลา้ นนาจะสวมกุบตามลกั ษณะงาน เช่น ในการไปศึกก็จะสวม กุบเสิก คือใส่
หมวกปี กกวา้ งยอดแหลม หมวกประจาํ ตาํ แหน่งสาํ หรับออกศึก, เม่ือไปทาํ งานกลางแดดก็สวมหมวก
อยา่ งงอบปี กกวา้ ง, หากหนาวนัก ท้งั เด็ก คนแก่และพระสงฆจ์ ะใส่ว่อม คือหมวกผา้ ที่ไม่มีปี ก เป็ นตน้
แต่การวาดภาพคนใส่หมวกในยุคหลงั ๆ เช่นที่ภาพตุงค่าวธรรมวดั ทุ่งฮา้ ง จะเป็ นการสวมหมวกที่เป็ น
แฟร์ชนั่ ยคุ 70 ซ่ึงนิยมสวมหมวกแบบฝร่ังกนั มากข้ึน

ภาพท่ี 116 ทหารมา้ สวมหมวกปี กกวา้ งยอดแหลม(กบุ เสิก) หมวกประจาํ ตาํ แหน่งขนุ นาง วดั บา้ นเอ้ือม

ภาพท่ี 117 ทหารสวมหมวกปี กกวา้ งยอดแหลม(กบุ เสิก) หมวกประจาํ ตาํ แหน่งขนุ นาง วดั ทุ่งคา

124 

 

ภาพที่ 118 ทหารมา้ สวมหมวกแฟร์ชนั่ แบบต่างๆ ประจาํ ตาํ แหน่งขนุ นาง วดั บา้ นสกั

ภาพท่ี 119 พระสงฆจ์ ะใส่วอ่ มหรือหมวกผา้ ท่ีไม่มีปี ก ตุงค่าวธรรมวดั ปงสนุกเหนือ

125 

 

การวาดคนสวมใส่รองเทา้ หรือเครื่องสวมท่ีเทา้ ของชาวลา้ นนา สามารถแยกไดส้ ามลกั ษณะ ได้
3 ประเภท คือ

1. รองเทา้ ที่ใชใ้ นการเดินป่ าหรือเดินทาง
2. รองเทา้ ท่ีสวมใส่ในบา้ นและ
3. รองเทา้ ท่ีเป็นเครื่องประกอบยศ
รองเทา้ ท่ีใชใ้ นการเดินทางหรือเดินป่ า น้นั เรียกวา่ กวา้ นหรือกวา้ นตีน มีพ้ืนทาํ ดว้ ยหนงั ควาย มี
สายสําหรับคีบระหว่างหัวแม่เทา้ และนิ้วช้ี กวา้ นน้ีโดยมากไม่มีส่วนหุ้มส้น ส่วนรองเทา้ ที่สวมใส่ใน
พ้ืนที่ใกลบ้ า้ น เพ่ือใชอ้ ยา่ งลาํ ลอง เรียกเขียงตีน ทาํ ดว้ ยไม้ มีลกั ษณะพอดีกบั ฝ่ าเทา้ มีป่ ุมระหว่างหัวแม่
เทา้ กบั นิ้วช้ี ผสู้ วมจะวางเทา้ ลงบนเขียงตีนแลว้ ใชน้ ิ้วท้งั สองคีบป่ ุมน้นั แลว้ พาเดิน ท้งั น้ีรองเทา้ ลาํ ลองใน
ลกั ษณะหลงั น้ี มกั เรียกตามเสียงที่ดงั กระทบพ้ืนว่า ค็อบแค็บ (อ่าน “ก๊อบแก๊บ”) และสุดทา้ ยรองเทา้
ประดับยศ ซ่ึงปรากฏระบุในคมั ภีร์ในกลุ่มท่ีว่าด้วยเครื่องท้าวห้าประการ คือ เครื่อง ราชูปโภคว่า
ประกอบดว้ ย กระโจมหัว(มงกุฎ) ดาบสรีกญั ชยั ไมเ้ ทา้ วีชนีและเกิบตีนทิพย์ ใชส้ ําหรับเจา้ นายและ
กษตั ริยเ์ ท่าน้ัน ดังน้ันรองเทา้ ประดับยศน้ี ช่างจะวาดให้แต่เจา้ นาย กษตั ริยส์ วมใส่เท่าน้ัน เช่นพระ
เวสสนั ดร, นางมทั รี เป็นตน้

ภาพท่ี 120 ภาพวาดพระเวสสนั ดรและนางมทั รี สวมรองเทา้ ประดบั ยศ กณั ฑว์ ณั ประเวศ วดั ปงสนุก
เหนือ

126 

 

4. เคร่ืองประดับ
การวาดรูปเจา้ นาย กษตั ริย์ มกั จะประดบั ตกแต่งดว้ ยเคร่ืองแต่องคม์ ากมาย นิยมสวมสร้อยคอ

ลูกทบั ลายดอกหมาก ซ่ึงลงสีใหเ้ ป็นเครื่องประดบั ที่ทาํ จากทอง จาํ นวนมากนอ้ ยข้ึนอยกู่ บั ฐานนั ดร เช่น
การประดบั ทบั ทรวง กรรเจียกจร ชฎา ขอ้ แขน ขอ้ เทา้ เป็นตน้

ภาพที่ 121 การวาดเครื่องประดบั ของเจา้ นาย วดั บา้ นเอ้ือม

ภาพท่ี 122 การวาดเคร่ืองประดบั ของเจา้ นาย วดั ปงสนุกเหนือ

127 

 

ส่วนชาวบา้ นมกั จะประดบั แค่การสวมตุม้ หูที่เรียกว่า “ลานหู” ซ่ึงหญิงชาวบา้ นโดยทว่ั ไปจะใช้
ใบลานมว้ นกลมสอดในรูหูที่เจาะไว้ นอกจากน้ีสาํ หรับคนมีฐานะกอ็ าจใชแ้ ผน่ โลหะเช่น เงิน ทอง นาก
ทองเหลือง มาทาํ เป็ นแผน่ แลว้ มว้ นในลกั ษณะเดียวกบั ใบลานและอาจจะประดบั อญั มณี โดยวิธีฝังเขา้
กบั โลหะ คลา้ ยการทาํ หัวแหวน แลว้ ปิ ดครอบมว้ นโลหะหรือกา้ นโลหะ ท่ีปลายกา้ นมีเกลียวสําหรับ
หมุดยดึ เครื่องประดบั หูแบบน้ีเรียกวา่ ละคดั (อ่าน”ละกดั๊ ”)

ภาพท่ี 123 หญิงชาวบา้ นใส่ลานหู ตุงคา่ วธรรมวดั ทุ่งผ้งึ
รูปแบบทรงผม เป็ นอีกสิ่งหน่ึงที่จะบอกสภาพสังคม วฒั นธรรมในช่วงเวลาน้นั ผหู้ ญิงลา้ นนา
จะรวบผมเกลา้ มวยไวเ้ หนือทา้ ยทอย หรือต่าํ บริเวณทา้ ยทอยพอดี โดยดึงผมดา้ นหน้าตึงเรียบ สําหรับ
มวยผมจะเสียบดว้ ยดอกไม้ หรือเครื่องประดบั โลหะ เช่นปิ่ นปักผม ซ่ึงอาจจะทาํ ดว้ ย เงิน ทอง นาก หรือ
โลหะอื่นๆ ซ่ึงข้ึนอยกู่ บั ฐานะของผใู้ ช้ นอกจากน้ีพบว่าการวาดผหู้ ญิงบางคนบางกลุ่ม ยงั วาดแบบการ
เกลา้ ผมมวยแลว้ ชกั หนีบ หรือเรียกวา่ “จอ๊ กวอ้ ง”

ภาพท่ี 124 การเกลา้ ผมมวยแลว้ ชกั หนีบ หรือเรียกวา่ “จอ๊ กวอ้ ง” ตุงคา่ วธรรมวดั ทุ่งคา


Click to View FlipBook Version