The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by nidayakoa, 2022-10-23 22:57:23

อีบุค

อีบุค

43

สถานที่ ท่องเที่ ยว


บ้านปางค่าใต้ ต.ผาช้างน้อย อ.ปง จ.พะเยา

ได้แก่พาสปอร์ตที่ยาวที่สุดในโลก (ปัจจุบันใน


พื้นที่โครงการหลวงมีชาวเมี่ยนอาศัยอยู่ในพื้นที่

ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงปังค่า อ.ปง จ.พะเยา)
ชมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ การแต่งกายชุดประจำ
เผ่าที่สวยงามของชาวเมี่ยนและม้ง รวมทั้งงาน
ประเพณีต่าง ๆ ของทั้งสองชนเผ่า
เช่นงานปีใหม่ พิธีกรรมลุยไฟ ของชาวเมี่ยน
ในช่วงตรุษจีน ฯลฯ หรือในช่วงปีใหม่ของ

ชาวม้งก็มีการเล่นลูกข่าง การเป่าแคน ฯลฯ
ชมงานฝีมือที่สวยงามของทั้งสองเผ่า

44

ชนเผ่าไทยวน







ความเป็นมา
ไทยวน หรือ ไทยล้านนา
หรือ โยนก เป็นก
มลุ่มาเชป็นนกเลวุ่ลมาในหาญน่ที่เอรีายศกัยตอนยู่เใ
อนงวด่ิาน“แคดนนเลม้ืาอนงน”า

อาศัยอยู่ในเขตจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน
ลำปาง น่าน และแพร่ รู้จักในนามไทยล้าน
นา มีภาษาพูดใกล้เคียงกับ พวกไทลื้อ และ
ไทเขิน

ศาสนาและ 45

ความเชื่อ
ปชาฏวิบไัทติอยยว่นางสเ่วคนร่งมคารกัดนตั
บาถมืกอศฎามัสงนราายพุศทาธตรม์ีมคีควาวมามเคเชาื่รอพใแนลเะรื่องผี
ว่าอาจให้คุณหรือโทษ
ได้ ผีที่ชาวไทยวนให้ความสำคัญได้แก่

ผีเรือน หรือ ผีประจำตระกูล หรือ ผีบรรพบุรุษ คนไทยวน
เรียก ผีปู่ย่า ในตระกูลของคนไทยวนจะมีศาลผีหรือหิ้งผีอยู่ที่
บ้านของคนใดคนหนึ่ง เมื่อลูกหลานในวงศ์ตระกูลแต่งงาน
หรือเทศกาลสำคัญ เช่น สงกรานต ก็จะมาไหว้ผีปู่ย่าที่บ้านที่มี
ศาลหรือหิ้งผีอยู่

การแต่งกาย
ป่ผูา้ชจะายนุ่งกใานงอเกดีงตชัเกมื่เอปอาอลกักไษปณทำะงคานล้านยอกกาบง้เาก
นงหจีนรีอยเ้อดิมน
ด้วยสีคราม สวมเสื้อแลบแดง หน้าอกประด
ับด้วยลูก

กระดุมเงิน คาดเอวด้วยกระเป๋าถักสำหรับใส่สัมภาระ
ต่างๆ
ผู้หญิง การแต่งกายของหญิงไทยวนจะมีความโดด
เด่นเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง คือ “ผ้าซิ่น” ที่มี
ลักษณะเป็นผ้าริ้วลายขวาง ต่อตีนด้วยผ้าสีแดงหรือดำ
และต่อหัวซิ่นด้วยผ้าสีขาว สีแดง หรือดำ หรืออาจจะ
เป็นผ้าสีเดียวก็ได้ โดยการเย็บเข้าด้วยกันเรียกซิ่น
ชนิดนี้ว่า “ซิ่นต๋า” หรือ “ซิ่นต่อตีนต่อเอว”

ภาษา 46

ชาวไทยวนมีภาษาพูดและภาษาเขียนเป็น


เอกลักษณ์ของชาติพันธุ์ อักษรของชาว

ไทยวนมีใช้มาเป็นเวลานาน เมื่อได้อพยพ


มาอยู่ที่ประเทศไทยก็นำเอาอักษรเหล่านั้น

มาใช้ด้วย ใช้เขียนลงในสมุดข่อยหรือจาร
บนใบลาน ชาวไทยวนเรียกอักษรนี้ว่า
“หนังสือยวน” เรื่องที่บันทึกลงใบข่อยหรือ
สมุดไทยมักจะเป็นตำราหมอดู ตำรา
สมุนไพร เวทมนต์ และคาถาต่างๆ ส่วน
เรื่องที่จารลงใบลานส่วนใหญ่เป็นพระธรรม
เทศนา

อาหาร
คนไทยวนบริโภคข้าวเหนียวเป็นหลัก อาการคาวที่

มีชื่อและเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป ได้แก่ แกงโฮ๊ะ ลาบ


ผัดหมี่ ไส้อั่ว แคบหมู น้ำพริกหนุ่ม นอกจากนี้ยังมี
ขนมที่เป็นอาหารหวาน ได้แก่ ขนมเทียน ข้าวแตน

ข้าวหลาม ข้าวต้มมัด ที่นอกจากใช้เป็นอาหารแล้วใช้

เพื่อประกอบพิธีกรรมและงานบุญต่างๆ

47

ชาวไทยวนมีประเพณีที่สำคัญคือ “ประเพณีตาน

ขันข้าว” เป็นประเพณีถวายอาหารให้กับพระเพื่อ

ประเพณีและ เป็นการอุทิศส่วนบุญให้กับญาติที่ล่วงลับไปแล้ว
ประเพณีจุดประทีปตีนกา เป็นประเพณีที่จะทำ
วัฒนธรรม กันในช่วงวันเพ็ญเดือน 12 และประเพณีถวาย
สลากภัตในช่วงเดือน 12 เหนือของทุกปี และ

สามารถจัดต่อเนื่องมาจนถึงต้นเดือนยี่เหนือ


ประมาณเดือนกันยายน-ตุลาคม

ชนเผ่า 48
ภูไท
ประวัติความเป็นมา

ชาวภูไทในประเทศไทยมีถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่ที่สิบสองจุไท
บริเวณตอนเหนือของประเทศลาวและเวียดนาม ประกอบด้วย
กลุ่มเมือง 8 เมือง คือ เมืองแถง เมืองควาย เมืองคุง เมือง
ม่วง เมืองจา เมืองโมะ เมืองหวัดและเมืองซา มีอาณาเขต
ครอบคลุมพื้นที่ใกล้กับหลวงพระบาง การแบ่งกลุ่มชาวภูไทจะ
แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ตามลักษณะการแต่งกายและบริเวณที่
ตั้งถิ่นฐาน ได้แก่ กลุ่มภูไทขาวและกลุ่มภูไทดำ กลุ่มภูไทขาว
ตั้งถิ่นฐานอยู่ทางตอนเหนือของเวียดนามต่อพรมแดนของ
ประเทศจีนมีธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ อย่างชาวจีนและกลุ่มภู
ไทดำ นิยมแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำและสีคราม มีผิวพรรณ
คล้ายกับภูไทขาวแต่คล้ำกว่าเล็กน้อย แต่ลักษณะที่เหมือน
กันของชาวภูไททั้ง 2 กลุ่มคือ การใช้ภาษาพูดแบบเดียวกัน

วิถีชีวิต 49
ชนเผ่าภูไท
อัตลักษณ์ของชาวภูไทสื่อผ่านงานต่างๆ
มากมาย อาทิ การฟ้อนรำ ความเชื่อ
และการแต่งกาย

อาชีพ
ชนเผ่าภูไท

จะประกอบอาชีพมีอาชีพเกษตรกรรม งาน
ฝีมือ และค้าขายเป็นหลัก ในอดีตฝ่ายหญิงจะ
ทอผ้า เย็บปักถักร้อย ส่วนฝ่ายชายจะทำการ
ค้า โดยเป็นพ่อค้านำสินค้าไปขายยังต่างเมือง
ซึ่งในสมัยก่อนจะมี “นายฮ้อย” นำฝูง
คาราวานวัวและควายไปขายยัง
กรุงเทพมหานคร และบางคณะจะนำฝั่ ง
คาราวานควายไปขายยังต่างแดน ดังนั้น จึง
ได้พบเห็นความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมือ
งอื่นๆ อยู่เสมอพร้อมกับได้แลกเปลี่ยนสินค้า
กลับเข้ามาสู่หมู่บ้าน ปัจจุบัน ชาวภูไท
นอกจากมีรายได้จากภาคเกษตร ยังมีรายได้
เสริมจากการทอผ้า การทำเครื่องจักสาน ทำ
ขนม ค้าขาย และจากกิจกรรมอื่นๆจากการ
สร้างผลิตภัณฑ์ชุมชน และเงินงบประมาณ
สนับสนุนจากทางภาครัฐบาลให้มาลงทุนทำ
ใหม่โครงการต่างๆ ในชุมชนเกิดขึ้น เกิดการ
รวมกลุ่มกันทำสินค้าอุปโภคบริโภคออกมา
จำหน่ายทำให้เป็นการสร้างรายได้อีกทางหนึ่ง

ศาสนาและ 50
ความเชื่อชนเผ่าภูไท

การถือผีของชาวภูไทยังมีความเชื่อว่า ผีบิดา มารดา หรือ ปู่ ย่า ตา ยาย ที่
ตายไปแล้ว เป็นผีปกครองคอยดูแลการกระทำผิดของ บรรดาลูกหลานญาติ
พี่น้องอยู่เสมอ เช่น มีชายไปจับแขน หลอกกอดจูบลูกสาวบนเรือนอย่าง
หนึ่ง หรือคนในครัวเรือนนั้นไปเรียนวิชาอาคมอย่างใดอย่างหนึ่งโดยไม่บอก
กล่าวกับผีหรือลูกสะใภ้ หลานสะใภ้เดินบนเรือนกระทืบลงส้นแรงหรือเคาะ
ไม้เสาเรือน ฝาเรือน และไม้อย่างอื่นซึ่งเป็นเครื่องประกอบเรือนนั้นอย่าง
หนึ่งเหตุที่กระทำดังกล่าวนี้ถือว่าผิดผี ปู่ ย่า ตา ยาย ผีจะต้องมากระทำให้
คนใดคนหนึ่งมีอาการเจ็บป่วยขึ้น เมื่อมีคนเจ็บป่วยเกิดขึ้นแล้วต้องไปหา
หมอลำเหยา หรือหมอลำส่องมาเสี่ยงทาย ถ้าหมอลำเหยาทายว่า ผีนั้นทำผิด
อย่างนั้น ผีจะต้องกินไก่ กินหมูกินกระบือ คนที่กระทำผิดต้องจัดหามาเซ่น
ผีตามความต้องการ

ภาษา

ชนเผ่าภูไท

ภาษาภูไทเป็นภาษาไทภาษาหนึ่งและเหมือนกับภาษาลาว เพราะ
ชาวภูไทไม่มีอักษรของตนเอง ต้องยืมตัวอักษรของชาวลาว ภาษาภู
ไทจึงกลมกลืนกับภาษาลาว การเขียนตัวอักษรชาวภูไทจึงมีการ
ประยุกต์วิธีการเขียนของชาวลาว

การแต่งกาย 51

ชนเผ่าภูไท

ผู้ชายนิยมนุ่งกางเกงขาก๊วย สีดำหรือนุ่งโสร่งตาหมาก
รุก เสื้อใช้ผ้าสีครามหรือดำชนิดเดียวกับกางเกง สวม
เสื้อคอกลมแคบชิดคอหรือคอจีน ตัวเสื้อผ่าอกตลอด
ชายเสื้อผ่าข้าง จะเป็นแขนยาวหรือแขนสั้นก็ได้ มีผ้า
คาดเอว และโพกศีรษะ ผู้ชายโบราณมักนิยมสัก
แขนขา ลายด้วย หมึกสีดำ แดง ถือเป็นเครื่องราง
และแสดงออกถึงความเป็นชายชาตรี

ผู้หญิง นิยมนุ่งผ้าซิ่นที่ทำจากผ้า ซึ่งลักษณะเด่น

ของซิ่นภูไท คือ การทอและลวดลายเช่น ทอเป็น

ลายนาคเล็กๆนอกจากนี้มีลายอื่น ๆ เช่น หมี่ปลา

หมี่กระจัง หมี่ข้อ หมี่ขอ ทำเป็นหมี่คั่นหรือหมี่ลวด

ต่อด้วยหัวซิ่นและตีนซิ่นทั้งขิดและจก นอกจากนี้ยัง

พบผ้ามัดหมี่ฝ้ายสีขาวสลับดำย้อมใบครามหรือ ประเพณีวัฒนธรรม
มะเกลือสีดำ เย็บต่อด้วยหัวซิ่นตีนซิ่น

ชนเผ่าภูไท

ประเพณีบุญเดือน2จะจัดทุกปีในวัน ขึน
15 ค่า เดือน 2 เป็นบุญฉลองรอยพระ
พุทธบาท และบุญเบิกบ้านเป็นความเชื่อ
ทา เพื่อบูชาหลักบ้านให้ชาวบ้านอยู่ดีมี
แฮงจัดทา ที่ศาลากลางบ้านเพื่อตังกองบุญ
บูชา หลวงปู่ดา

52

อาหาร

ชนเผ่าภูไท

ชาวภูไทมักจะใช้ธรรมชาติที่อยู่รอบตัว
มาปรุงเป็นอาหาร เช่น ซั่วไก่ เมาะ
หน่อไม้ แกงยอดบวบใช้ปลานา ขนม
หวานประจา เผ่าภูไท เช่น ข้าวโจ้มะ
อูป (ข้าวเหนียวมูล ฟักทอง)
ส่วนผสมของเมาะหน่อไม้ ได้แก่ หน่อ
ไม้นึ่งใบย่านาง ตะไคร้พริกสด ผักสะ
แยะใบแมงลัก เครื่องปรุงรส
ส่วนผสมของข้าวโจ้มะอูป ได้แก่
ฟักทอง มะพร้าวเปลือกผง น้ำตาล
เกลือ

ชนเผ่าญ้อ 53

ประวัติความเป็นมา

ถิ่นฐานเดิมของไทยย้อ อยู่ที่เมืองหงสา แขวงไชยบุรี ของประเทศ
ลาวหรือจังหวัดล้านช้างของไทยสมัยหนึ่ง ไทยย้อส่วนใหญ่ได้อพยพ
มาตั้งถิ่นฐานใหม่ที่ไชยบุรี ปากน้ำสงครามริมฝั่งแม่น้ำโขง ตำบลไชย
บุรี อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนมในปัจจุบัน ในสมัยรัชกาลที่ 1
เมื่อปี พ.ศ. 2351 ต่อมาเมื่อเกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ในสมัย
รัชกาลที่ 3 พ.ศ. 2369 พวกไทยย้อที่เมืองไชยบุรีได้ถูกกองทัพเจ้า
อนุวงศ์กวาดต้อนไปแล้วให้ไปตั้งเมืองอยู่ ณ เมืองปุงลิง ฝั่งซ้าย
แม่น้ำโขง (อยู่ในเขตแขวงคำม่วนประเทศลาว) อยู่ระยะหนึ่งต่อมา
ได้กลับมาตั้งเมืองขึ้นใหม่ทางฝั่งขวาแม่น้ำโขงตั้งเป็นเมืองท่าอุเทน
เมื่อ พ.ศ. 2373 คือ บริเวณท่าอุเทน จังหวัดนครพนมในปัจจุบัน

ความเชื่อ

ชนเผ่าญ้อ

ความเชื่อของชาวไทยย้อนั้น มีประเพณีเลี้ยงผีปู่ตา
โดยชาวบ้านจะสร้างตูบปู่ตา หรือ โฮงผีปู่ตา โดยชาว
ไทยย้อถือว่าผีปู่ตาคือ ผีบรรพบุรุษที่ตายไปแล้ว แต่ยัง
มีความห่วงใยในความเป็นอยู่ของลูกหลานที่ยังมีชีวิต
อยู่ สำหรับที่ตั้งของผีปู่ตาจะอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่สำหรับผี
บรรพบุรุษของชาวไทยย้อที่ถือว่าเป็นผีปู่ตา สำหรับงาน
บุญของชาวไทยย้อส่วนมากก็เหมือนกับ ชาวอีสานทั่วที่
นับถือ พระพุทธศาสนาและ ปฏิบัติตนตาม ฮีตสิบสอง
คลองสิบสี่

ประเพณี 54

วัฒนธรรม

ชนเผ่าญ้อ

ประเพณีเกี่ยวกับชีวิตของชาวไทยย้อนั้น ประเพณีการแต่งงาน
เมื่อหนุ่มสาวคู่ใดที่รักใคร่ชอบพอถึง ขั้นตกลงปลงใจที่จะเป็น
สามีภรรยากันแล้ว ฝ่ายชายก็จะให้บิดามารดาของตนดำเนินการ
ให้ได้แต่งงานกับหญิงคนรัก ดังนี้ ไปเจาะ คือการส่งผู้ใหญ่ไป
ทาบทาม โอมสาว คือการ ทำพิธีสู่ขอ แฮกเสื่อแฮกหมอน คือ
การเตรียมการ ได้แก่ การจัดเตรียมเครื่องนอน ประกอบด้วยฟูก
หมอน ผ้าห่ม เสื่อ และมุ้ง ซึ่งเป็นหน้าที่ของฝ่ายหญิง ในการนี้
ต้องเชิญผู้เฒ่า ผู้แก่ที่ชาวบ้านยอมรับว่าเป็น ผัวค้ำเมียคูณ มา
ทำพิธีตัดเย็บให้ชาวไทยย้อเรียกว่า แฮกเสื่อแฮกหมอน เล่าดอง
คือบอกเล่าวันแต่งงาน มื้อกินดอง คือพิธีวันแต่งงาน ประเพณี
พิธีกรรม

ภาษา

ชนเผ่าญ้อ

ภาษาญ้อ (Nyaw) หรือ ภาษาไทญ้อ (Tai Yo/Tai Nyaw) หรือ ภาษาไทแมน (Tai Mène)
เป็นภาษากลุ่มไทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีความใกล้ชิดกับภาษาไทเปาในประเทศ
เวียดนาม ซึ่งมีชื่อเรียกว่า Tai Do และ Tai Quy Chau[4] เดิมเคยเขียนเป็นอักษรไทญ้อ แต่
ปัจจุบันไม่ใช้แล้ว[1] ภาษานี้พูดกันในหมู่ชาวไทญ้อซึ่งมีอยู่ในประเทศไทยราว 50,000 คน
(พ.ศ. 2533) ในจังหวัดสกลนคร หนองคาย นครพนม มหาสารคาม ปราจีนบุรี และสระบุรี พบได้
มากที่อำเภอนาหว้า อำเภอท่าอุเทน อำเภอโพนสวรรค์ อำเภอศรีสงคราม อำเภอเมืองสกลนคร
อำเภออรัญประเทศ เป็นต้นส่วนใหญ่อพยพมาจากทางตอนเหนือของแขวงหลวงพระบาง และแขวง
คำม่วนประเทศลาว

55

วิถีชีวิต อัตลักษณ์ เมื่อชาวญ้อจากบ้านแซงกระดาน กาฬสินธุ์ได้อพยพ
ย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานบริเวณบ้านท่าขอนยางในปัจจุบันได้มีการ
ชนเผ่าญ้อ สร้างประวัติศาสตร์ของผู้มาใหม่และได้รับการถ่ายทอด ผลิตซ้ำ
จนถึงปัจจุบัน ผ่านการสร้าง "อัตลักษณ์" ให้กับความเป็น
ชาติพันธุ์ "ญ้อ" เพื่อให้มีความแตกต่างจากกลุ่มคนชาติพันธุ์ "ลาว"
ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของท้องถิ่น ความภาคภูมิใจและมั่นใจ
ในอัตลักษณ์ของความเป็นชาติพันธุ์ญ้อ (ethnicity) นั้น ได้รับ
การขมวดเกลียวและตอกย้ำในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งนี้ในปัจจุบันอัต
ลักษณ์ที่โดดเด่นของความเป็นญ้อท่าขอนยางที่ยังได้รับการรักษา
ไว้ชัดเจนคือ ภาษาและความเชื่อบางอย่าง โดยเฉพาะความเชื่อ
เกี่ยวกับผี

การแต่งกาย

ชนเผ่าญ้อ

ชาย สวมเสื้อคอพวงมาลัยสีเขียวสด ใช้สไบไหม
สีน้ำเงินพับครึ่งกลาง พาดไหล่ ซ้ายและขวา ปล่อย
ชายสองข้างไปด้านหลังให้ชายเท่ากัน นุ่งผ้าโจง
กระเบนสีน้ำเงินเข้ม ใช้สไบไหมสีแดงคาดเอว
ปล่อยชายข้างซ้ายด้านหน้า เครื่องประดับสร้อยเงิน
ห้อยพระ ใบหูทัดดอก ดาวเรืองด้านซ้าย
หญิง สวมเสื้อแขนกระบอกสีชมพู (สีบานเย็น)
คอกลมขลิบดำ หรือน้ำเงินเข้ม นุ่งผ้าถุงไหมสีน้ำเงิน
มีเชิง (ตีนจก) เข็มขัดลายชิดคาดเอว ใช้สไบไหม
สีน้ำเงินพาดไหล่ด้านซ้ายแบบเฉียง ปล่อยชายยาว
ทั้งด้านหน้าและด้านหลังให้ชายเท่ากัน เครื่อง
ประดับสร้อยคอ ตุ้มหู สร้อยข้อมือเครื่องเงิน ผมเกล้า
มวยประดับดอกไม้สด หรือดอกไม้ประดิษฐ์

อาชีพ ชาวไทยย้อมีอาชีพด้านเกษตรเป็นหลัก โดย 56
เฉพาะการปลูกพืชเศรษฐกิจซึ่งส่วนใหญ่ได้แก่
ชนเผ่าญ้อ ข้าว กล้วย อ้อย สับปะรดยาสูบ และพืชผักตาม
ฤดูกาล รองลงมาได้แก่ อาชีพเลี้ยงสัตว์ และจับ
สัตว์น้ำในลำน้ำ เนื่องจากว่ามีการตั้งถิ่นฐานอยู่
ใกล้แม่น้ำ เช่น แม่น้ำโขง แม่น้ำสงคราม

อาหาร

ชนเผ่าญ้อ

หมกต่อ อาหารพื้นบ้านชนเผ่าไทยย้อ อำเภอ
ท่าอุเทน จังหวัดนครพนม เป็นสูตรจากนางตวงทิพย์
นครังสุ สมาชิกกลุ่มแม่บ้าน บ้านโพน ตำบลโนน
ตาล นึ่งให้สุกทั้งรังประมาณ 10-15 นาที จากนั้น
เคาะเอาตัวอ่อนออกมา เตรียมเครื่องปรุงไว้ มี
หอมแดงหั่น ต้นหอม ผักนางรัก ผักอีแง่ ตะไคร้ ใบ
มะกรูด พริกแห้งหรือพริกสด เกลือ และปลาร้าเล็ก
น้อย คลุกเคล้าตัวอ่อนของต่อมกับเครื่องปรุง ตอกไข่
ไก่ลงไป 1-2 ฟอง คลุกกันอีกครั้งจนส่วนผสมจับกัน
เป็นก้อน ตักใส่ใบตองย่างเตาถ่านประมาณ 20-30
นาที แกะใบตองออก ได้หมกต่อหอมกรุ่นรสแซบ
หมกต่อหาชิมได้ค่อนข้างยาก เพราะเป็นอาหารของ
ชาวไทยย้อ และยังมีอาหารอีกมากมาย เช่น ปลาดุก
ยัดไส้สมุนไพรทอด หมกเจาะปลากราย

ชนเผ่าบรู 57

ประวัติความเป็นมา

บรู เป็นชนพื้นเมืองที่กระจายอยู่ทั่วไปในเขตนิเวศต่าง ๆ ในดิน
แดนสองฟากฝั่งลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง ชื่อเรียกหรือคำว่า “บรู” นั้น
หมายถึง คนหรือมนุษย์ คนที่อาศัยอยู่บนภูเขาเป็นคนที่รักอิสระ
วัฒนธรรมดั้งเดิมเท่าที่มีการบันทึกไว้กล่าวว่า ชาวบรูเป็นกลุ่มอิสระ
อาศัยอยู่ตามภูเขาหรือบนที่สูง ทำไร่ย้ายที่ การอพยพโยกย้ายหรือ
เคลื่อนย้ายเป็นลักษณะทั่วไปของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ทำไร่หมุนเวียน
บนที่สูงด้วยเหตุปัจจัยต่าง ๆ เช่น หาที่ทำกินใหม่ เกิดโรคระบาด
หรือถูกรบกวนจากคนนอก พวกเขาก็จะเคลื่อนย้ายไปหาที่อยู่ใหม่

ศาสนาและความเชื่อ

ชนเผ่าบรู ระบบความเชื่อผีที่วาชิยาสกล่าวไว้นี้ มีลักษณะสอดคล้องกับชาว
บรูที่ผู้วิจัยศึกษา เพียงแต่ผีที่มีอำนาจใหญ่สุดของชุมชนจะมีชื่อ

เรียกต่างกันไป แต่ละหมู่บ้านมีชื่อเรียกผีของตนเองซึ่งสัมพันธ์

กับสถานที่ที่เชื้อเชิญมาเช่น บ้านเวินบึกเรียกผีสูงสุดของตนเอง

ว่า อัยยะจำนัก ส่วนบ้านท่าล้งเรียกผีสูงสุดว่า อัยยะขะนาว แต่

ระดับความสัมพันธ์เชิงอำนาจไม่แตกต่างกันคือแบ่งเป็นผี

บรรพบุรุษมีอำนาจเป็นใหญ่ในตระกูล และผีสูงสุดมีอำนาจเป็น

ใหญ่ในชุมชน ผืนป่า ภูเขาและธรรมชาติ

ประเพณีและ 58

วัฒนธชนรเรผ่มาบรู ชีวิตของชาวบรูจะถูกหลอมรวมเข้ากับโลกของสิ่งเหนือธรรมชาติ
การแต่งกาย หรือผีซึ่งทำหน้าที่คอยควบคุมดูแลชะตากรรมตั้งแต่เกิดจนตาย
รวมถึงหลังจากตายไปแล้ว ดังนั้นคนบรูจึงระมัดระวังไม่ทำผิดผี
ชนเผ่าบรู และถ้าหากทำผิดผี ก็จะพยายามหาทางทำให้ผีพอใจด้วยเครื่อง
เซ่นไหว้ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ (Miller, 1971, pp. 62-71)
ระบบความเชื่อดังกล่าวก่อให้เกิดพิธีกรรมทั้งในการเปลี่ยนแปลง
ชีวิตและการทำมาหากิน

ชาวบรูในลาวในครั้งอดีตนั้นผู้ชายจะนุ่งกระเตี่ยว ปล่อยผมยาว
เกล้าผม เจาะหู ใส่ตุ้มหูคล้ายผู้หญิงทำด้วยเงินและตะกั่ว สักขา
ลาย ที่แสดงถึงความเป็นคนกล้า มีฤทธิ์เดช ตัดฟัน และเอา
หนังควายทำรองเท้า สำหรับผู้หญิงต้องนุ่งผ้าถุง ห่มเสื้อ เกล้าผม
เจาะหู ใส่ตุ้มหู ที่ทำด้วยเงินและตะกั่ว ใส่ปลอกแขน ย้อมฟัน
ด้วยสีไม้เหมือด เดินเท้าเปล่าไม่ใส่รองเท้า หรือบางครั้งก็ตัด
หนังควายทำรองเท้า ภายหลังรู้จักวิธีทอผ้า จึงเริ่มทอผ้าไหม
สำหรับทำเครื่องนุ่งห่ม ไม่ว่าหญิงหรือชายจะสวมผ้าย้อมสีดำ
สำหรับเด็ก ๆ ส่วนมากเปลือยกาย ไม่ใส่เสื้อผ้า

59

อาหาร

ชนเผ่าบรู

ชาวบรูมักบริโภคข้าวเหนียว ใช้ไม้ไผ่หุงข้าวแทนหม้อ โดยใส่ข้าวแช่น้ำ
และเผาไฟ ไม่ใช้หม้อหุงข้าวแต่ใช้กระบอกไม้ไผ่นำข้าวมาใส่เทน้ำลง
แล้วนำไปเผาไฟหุงแทน (Amonier, 2000, p.55) นอกจากนี้ยังมี
อาหารประเภทแกง ปิ้ง จี่ลาบดิบ ก้อย ที่มีรสชาติเผ็ดและเค็ม การปรุง
แต่งอาหารมีตะไคร้ ขิง ผักอิคุ อาหารที่พวกเขาบริโภคส่วนมากมาจาก
ธรรมชาติ เป็นต้น

ภาษา

ชนเผ่าบรู

ภาษาบรู (Bru) จัดอยู่ในภาษาศาสตร์สาขากระตูอิค
(Katuic) หมวดภาษามอญ-เขมร (Mon-Khmer) กลุ่มตระ
กูลออสโตรเอเชียติก (Astro-Asiatic)

อาชีพ 60

ชนเผ่าบรู อาชีพหลักของชนเผ่าบรูคือ การทำการเกษตร ได้แก่
การทำนา ทำสวนยาง พาราเข้ามาแทนที่พื้นที่ที่เคย
วิถีชีวิต ปลูกมันสำปะหลัง) และมีการออกไปรับจ้างนอกชุมชน

ชนเผ่าบรู ชาวบรูดำรงชีวิตบนภูในป่า ทำไร่หมุนเวียน เก็บของป่า
ล่าสัตว์ บางครั้งนำผลผลิตออกไปแลกข้าว เกลือ หรือ
ของใช้อื่นๆ โดยแบกหามใส่ตะกร้าเดินข้ามภูเขาไป
แลกกับชาวลาวอีกฟาก เช่น หมู่บ้านกระติน คุมทอง
สว่าง หนองไฮ คันยางและคันหว้า (ปัจจุบันเป็นเขต
เมืองโพนทอง จำปาสัก) แม้ชาวบรูจะสร้างบ้านเรือน
เป็นหมู่บ้านตามริมแม่น้ำ แต่ก็ขึ้นภูเขาไปทำไร่ในช่วง
ฤดูเพาะปลูก มีอาณาบริเวณกำหนดเฉพาะรับรู้กันว่า
เป็นของกลุ่มตระกูล (จุมรี๊ต) นอกจากการทำเกษตร
แล้ว ชาวบรูบ้านเวินบึกยังเก็บของป่าล่าสัตว์เพื่อยังชีพ
มีภูมิปัญญาเรื่องจักสานโดยนำไม้เฮี้ย (ไม้ไผ่) ในป่า
บนภูมาสานเป็นอุปกรณ์เครื่องใช้โดยเฉพาะหวดและ
กระติบข้าว ต่อมาประมาณทศวรรษที่ 2520 เป็นต้น
มา รัฐได้ประกาศขึ้นพื้นที่ป่าสงวนและอุทยานแห่งชาติ
พื้นที่อุทยานได้รวมเอาที่อยู่อาศัยและที่ทำกินของชาว
บรูด้วย ชาวบรูส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบ จึงเปลี่ยน
อาชีพมาเป็นแรงงานนอกหมู่บ้าน รับจ้างเป็นแรงงาน
ทั้งในพื้นที่ใกล้เคียงและไกลออกไป

61

ชนเผ่าญัฮกุร

ประวัติความเป็นมา

เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ท่ีถือว่าเป็นชนเผ่าพื้นเมืองของประเทศไทยกลุ่มหน่ึง มีประวัติศาสตร์การ
ต้ัง ถ่ินฐานอยู่ในแถบเทือกเขาเพชรบูรณ์ เทือกเขาดงพญาเย็น และเทือกเขาสันกาแพง
ซึ่งเป็นเทือกเขาที่ทอดตัว ต่อเนื่องกันในแนวต้ังจากทิศเหนือไปทางทิศใต้ ระหว่างภาค
เหนือตอนล่างกับภาคกลางและภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ
ญัฮกุร เป็นกลุ่มชาติพันธ์ุดั้งเดิมของจังหวัดชัยภูมิ นครราชสีมา และเพชรบูรณ์ ปัจจุบันหาก
มองอย่าง ผิวเผิน พวกเขาอาจเป็นชาวบ้านธรรมดาที่ทามาหากินอยู่ในพื้นท่ี แต่ในความเป็น
จริงชาวญัฮกุรเป็นกลุ่มคน ทางประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐานอาศัยอยู่ในพื้นท่ีน้ีมานานกว่าคน
ไทยหรือคนไทยอีสาน เพราะพวกเขาตั้งถ่ิน ฐานอยู่ในพ้ืนที่แถบน้ีมีประวัติศาสตร์ยาวนาน
กว่ากลุ่มคนอื่นๆ ชาวญัฮกุรในอดีตมีคนนอกกลุ่มเรียกพวกเขา ว่า “คนดง” หรือ “ชาวบน”
แต่สาหรับพวกเขา เรียกตัวเองว่า “ญัฮกุร” ซ่ึงหมายถึง “คนภูเขา”

ศาสนาและความเชื่อ 62

ชนเผ่าญัฮกุร

พระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ภาษา
เชื่อในเรื่องภูตผีและ วิญญาณ เวทมนต์คาถา
ชนเผ่าญัฮกุร

ภาษาไทยโคราช, ภาษาไทยถิ่นอีสาน,
ภาษาญัฮกุร และภาษาไทยกลาง

ประเพณีและวัฒนธรรม

ชนเผ่าญัฮกุร

ในอดีตชาวญัฮกุรเป็นกลุ่มคนที่นิยมทาไร่ข้าวและล่าสัตว์ในพื้นท่ีป่า
ไม้ มีความเชื่อในเรื่องภูตผีและ วิญญาณ เวทมนต์คาถา

อาหาร 63

ชนเผ่าญัฮกุร

อาหารของชนเผ่าญัฮกุร
เมนูหลักๆคือ ต้มผัก น้ำพริกทั่วไป กินอาหารป่า เช่น ตำ
สับปะรดใส่เปลือกนนทรี ตำถั่วฝักยาวใส่ขิง เมี่ยงคำ

การแต่งกาย 64

ชนเผ่าญัฮกุร

ชาวญัฮกุรเป็นกลุ่มชนพื้นเมืองที่ไม่นิยม
(หรือเรียกว่าไม่มีวัฒนธรรม) การทอผ้าใช้
เอง

อาชีพ

ชนเผ่าญัฮกุร

การแลกเปลี่ยนสินค้าจากกลุ่มคนภายนอก
เผ่ามาทำการตัดเย็บเสื้อผ้าและประดับ
ตกแต่งลวดลายด้วย การปัก

วิถีชีวิต

ชนเผ่าญัฮกุร

มีวิถีชีวิตท่ีมีลักษณะเฉพาะตน แต่งงานในกลุ่มชน
เผ่าเดียวกัน การสร้างบ้านเรือนจะ ไม่ถาวร สามารถ
เคลื่อนย้ายไปต้ังถิ่นฐานในพื้นท่ีใหม่ได้ นิยมใช้ไม้
ท่ีหาได้จากป่ามาสร้างบ้าน หลังคามุงด้วยตับ หญ้าคา
ยกพื้นสูง ฝาบ้านและพื้นเป็นไม้ไผ่ เมื่อแต่งงานกัน
ฝ่ายชายจะเป็นฝ่ายเข้าไปอยู่บ้านพ่อแม่ฝ่ายหญิง

ชนเผ่ามอญ 65

ประวัติคว

ามเป็นมา




ชาวมอญนับเป็นชนชาติพื้นเมืองเก่าแก่กลุ่มหนึ่งใน

ดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้ งนี้ ถิ่นฐานกำเนิดเดิม


ของชาวมอญก่อนที่ จะอพยพมายังดินแดนเอเชียตะวัน

ออกเฉียงใต้ยังคงเป็นข้อถกเถียงระหว่าง 3 แนวคิดที่

สำคัญ กล่าวคือ แนวคิดแรก สันนิษฐานว่า ชาวมอญมา

จากทางตะวันตกของประเทศจีน และเข้าสู่เอเชียตะวัน

ออกเฉียงใต้ แนวคิดที่สอง ชาวมอญมาจากภูเขาหิมาลัย

ลงมาที่ลุ่มแม่น้ำคงคา - พรมบุตร เข้าสู่แคว้นอัสสัมของ

อินเดีย และแนวคิดที่สาม ชาวมอญมาจากอินเดียทาง


ตอนใต้

วืถีช
ีวิต




ชาวมอญเป็นกลุ่มเศรษฐกิจที่ สำคัญอีกกลุ่ม

หนึ่งในสังคมไทยในอดีต แม้ว่าชาวมอญจะมี

สถานภาพเป็น “ไพร่หลวง” ภายใต้ระบบไพร่นับตั้งแต่

สมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงต้บนรัตนโกสินทร์ แต่รัฐ

ไทยก็ให้ความเป็นอิสระทางเศรษฐกิจต่อชาวมอญพอ

สมควร ชาวมอญจึงสามารถเลือกประกอบอาชีพต่าง ๆ

ตามความถนัดของตนเอง ตั้้งแต่ช่วงแรกที่อพยพมา


ประเทศไทย

การแต่งกาย 66

•การแต่งกายของผู้ชาย : นิยมสวมเสื้อคล้ายกับคนพม่า คือ เป็น

เสื้อสีขาวพื้น หรืออาจจะมีลายตารางสีแดงบนพื้นขาว คอกลมแขน

ยาวผ่าอกตลอดแล้วผูกเชือก หรือมีกระดุมผ้า แขนเสื้อยาวทรง


กระบอกและมีเสื้อตัวสั้นแบบเจ๊กเก๊ตสวมทับข้างนอก
• การแต่งกายของผู้หญิง : นิยมนุ่งผ้า “กานิน” หรือ “หนิ่น” ซึ่ง

คล้ายกับ “สะล่ง” ของชายแต่เล็กกว่าและมีวิธีนุ่งที่ต่างกัน ส่วนมาก

มักเป็นสีพื้นหรือมีตาเล็ก ๆ ที่ละเอียดและสวยงามกว่าของฝ่ายชาย

สาวมอญจะสวมเสื้อคอกระเช้าหรือเสื้อสีพื้นคอปก นุ่งผ้าถุงกรอมเท้า


ปล่อยชาย รัดทรงมีกระดุมด้านหน้า



ภาษา



ภาษามอญอยู่ในสายโมนิก (Monic branch) ของ

ตระกูลมอญ - เขมร (Mon – Khmer family) ซึ่ง


อยู่ในตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติก

(Austroasiatic phylum) โดยตระกูลภาษาดังกล่าว


มีอายุประมาณ 3,000 – 4,000 ปีมาแล้ว

ศาสนา 67
และ
ชาวมอญยอมรับนับถือศาสนาพุทธแบบเถรวาทมาช้านาน

ความเชื่อ ตั้งแต่อาณาจักรสุธรรมวดีหรือสะเทิม ซึ่งเป็นอาณาจักรแห่ง

แรกของชาวมอญ ชาวมอญนับถือศาสนาพุทธอย่างเคร่งครัด

มีข้อปฏิบัติเกี่ยวกับศาสนาพุทธอยู่มากมาย เช่น ห้ามใส่

รองเท้าเข้าบริเวณวัด ห้ามผู้หญิงเข้าในพระอุโบสถ มีการ

ฟังเทศน์ สวดมนต์ ปฏิบัติธรรมในวัดพระ และเมื่อถึงวัน

สำคัญในเทศกาลต่าง ๆ จะพากันไปทำบุญที่วัดอย่างพร้อม

เพรียง และนิยมที่จะบริจาคเงินให้แก่วัด ด้วยเชื่อมั่นว่า การ


ทำบุญอุทิศเพื่อศาสนานั้นจะเป็นผลอานิสงส์ส่งให้

วิญญาณไปสู่สวรรค์

อาหาร

ชาวมอญนับว่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งที่มี

เอกลักษณ์ของอาหารที่โดดเด่นและยังคงสืบทอด

กันอยู่ในวิถีชีวิตประจำวัน เอกลักษณ์อาหารมอญที่

เห็นได้ชัดนั่นก็คือ ชาวมอญมักจะนำพืชท้องถิ่น

หรือสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติมาประกอบอาหาร ซึ่งสิ่ง

เหล่านั้นไม่ค่อยเป็นที่นิยมใช้เป็นส่วนประกอบใน

อาหารไทย เพราะคิดว่าถ้าเอามาทำอาหารคงไม่

อร่อยหรือคาดไม่ถึงว่าจะนำมาทำเป็นอาหารได้

ชนเผ่า 68
ลาวแง้ว

ประวัติความเป็ นมา

จากงานวิจัยต่าง ๆ ทำให้เกิดข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับการเดิน

ทางเข้ามาของกลุ่มคนลาวในอดีต พบว่า

ลาวแง้วน่าจะถูกกวาดต้อนมาพร้อมกับกลุ่มลาวจากหัวเมือง

แถบหลวงพระบาง เดินทางมาจากลาวในช่วงเหตุการณ์

กบฏเจ้าอนุวงศ์ สั่งเผาเมืองเวียงจันทน์ แล้วต้อนผู้คนมายัง

พระนครหลายระลอกเป็นจำนวนมาก มากจนมีคำกล่าวว่า

กวาดลาวมาครึ่งประเทศ ความรู้สึกนั้นยังถูกถ่ายทอดสู่ลูก


หลานลาวจนปัจจุบัน กลุ่มคนลาวถูกกวาดต้อนมาดั่ง
ย ย้อนกลับไปเมื่อครั้งสมัยอยุธยาที่มีการกวาดต้อนผู้คนมา

จากที่ต่าง ๆ ก็ไม่ได้จำแนกคนที่ถูกกวาดต้อนมาว่าเป็นคน


กลุ่มใด เรียกรวม ๆ ว่า ลาว

วิถีชีวิต 69

ส่วนใหญ่ลาวแง้วที่อยู่ภาคกลางมักทำการเกษตร โดยเฉพาะ

ทำนาปลูกข้าว พื้นที่ทำนาถูกปรับพัฒนาอยู่เป็นระยะอย่าง

ต่อเนื่อง จากอดีตมีการส่งส่วยให้รัฐเพราะเป็นเชลยศึก

สงคราม ต่อมารัฐมีการพัฒนาพื้นที่ภาคกลาง ทำระบบ


ชลประทาน เพื่ออำนวยการปลูกข้าวของราษฎร
การทำนาอดีตทำนาแบบไว้บริโภคเองในครอบครัว หากเหลือ

ก็เก็บไว้บ้างนำไปแลกอย่างอื่นเป็นการทำนาแบบยังชีพรอน้ำ

ฝนเพียงอย่างเดียว หากใครต้องการข้าวมากขึ้นก็จะซื้อที่นา
เพิ่มหรือถางเพิ่ม จับจองเพิ่ม ต่อมา มีชลประทาน สามารถทำ

นาแบบไม่ต้องรอฝน มีน้ำใช้ระหว่างฤดู เริ่มใช้วัวควายมาช่วย

ทำนาเป็นเครื่องทุ่นแรง พอหมดหน้านาชาวบ้านปลูกถั่วดิน


หรือ ถั่วลิสง

ประเพณีและ


วัฒนธรรม

ประเพณีเพาะกระจาด หรือใส่กระจาด

การใส่กระจาดจะเริ่มเมื่อมีการประกาศ

กำหนดงานบุญมหาชาติ โดยแต่ละ

หมู่บ้านจะกำหนดไม่ตรงกัน หมู่บ้าน

ใดตรงถึงวันกำหนดวันทำบุญ แต่ละ

บ้านจะทำขนมเส้นหรือขนมจีบ และ

ข้าวต้มมัดเพื่อเตรียมไว้สำหรับวันงาน


วันริ่มแรกของการทำบุญ เรียกว่า
"วันตั้ง" ในวันตั้งนี้หมู่บ้านที่ยังไม่


ทำบุญก็จะนำผลไม้
เช่น กล้วย อ้อย ส้ม ฯลฯ

70

ช น เ ผ่ า ล า ว เ วี ย ง

ค ว า ม เ ป็ น ม า

การตั้งถิ่นฐานของชาวลาวเวียงได้ถูกกำหนดให้ตั้งเป็น
หลักแหล่งไม่โยกย้ายไปที่อื่น เพื่อประโยชน์ทางด้าน
เศรษฐกิจ การปกครอง และที่สำคัญคือป้องกันการหนี
กลับ เนื่องจากเมืองเหล่านี้อยู่ไกลจากบ้านเมืองลาว และ
เป็นหน้าด่านป้องกันข้าศึกจึงมีผลต่อการสร้างความมั่นคง
โดยรวมของไทย แต่เมื่อประชากรของชาวลาวเวียงเพิ่มมาก
ขึ้น ที่ทำกินไม่พอเพียง ชาวลาวเวียงจึงจำเป็นต้องขยาย
ชุมชนออกไปในพื้นที่ใกล้เคียง การขยายถิ่นเพื่อแสวงหา
ที่ทำกินใหม่เพิ่มเติมเริ่มทำได้คล่องตัว

การแต่งกาย 71

การแต่งกายของชาวลาวแง้ว
อาหาร
เหมือนคนไทย
ชาวลาวแง้วปัจจุบันส่วนใหญ่

ภาคกลางทั่วไป มีผู้สูงวัยบาง
รับประทานอาหารเหมือนคน

คนที่ยังนุ่งผ้าถุง นุ่งโจงกระเบน ไทยภาคกลาง และด้วยการ

ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมน้ำจึงมีการ

ตัดผมสั้นทรงดอกกระทุ่ม ถนอมอาหารโดยเฉพาะการ

(ดกอกะโท่ม) ทำปลาร้า ปลาส้ม และทุกมื้อ

ต้องมีเมนู น้ำพริก ผักสด ผัก

ภาษา
ต้ม เป็นหลัก
ชาวลาวแง้วจะพูดภาษา

ลาวที่มีถิ่นฐานเดิมอยู่ที่
อาชีพ

เวียงจันทน์ ลาวแง้วส่วนใหญ่มัก

ทำการเกษตรโดยเฉพาะ

ทำนาปลูกข้าวและปลูกพืช


ต่างๆ

72

วั ฒ น ธ ร ร ม
ก า ร ทำ เ ก ษต ร แ บ บ ห า อ ยู่ ห า กิ น เ พื่ อ ยั ง ชี พ
มี รู ป แ บ บ ลั ก ษณะ ค ว า ม ผู ก พั น อ ยู่ กั บ
ก า ร เ ก ษต ร ภ า ย ใ น ค รั ว เ รื อ น แ ล ะ ชุ ม ช น
เ ป็ น ห ลั ก ไ ด้ แ ก่ ก า ร ทำ น า ป ลู ก ข้ า ว ป ลู ก
พื ช ไ ร่ บ า ง ช นิ ด เ ช่ น ฝ้ า ย พ ริ ก ข้ า ว โ พ ด
ฯ ล ฯ ร ว ม ถึ ง ก า ร ป ลู ก พื ช ยื น ต้ น จำ พ ว ก ไ ม้
ผ ล เ ช่ น ข นุ น ก ล้ ว ย ม ะ พ ร้ า ว เ ป็ น ต้ น
ก ร ะ บ ว น ก า ร ส ร้ า ง ผ ล ผ ลิ ต ใ ช้ แ ร ง ง า น ใ น
ค รั ว เ รื อ น แ ล ะ ชุ ม ช น เ ป็ น ห ลั ก จ ะ นำ อ อ ก ไ ป
แ ล ก เ ป ลี่ ย น ห รื อ ข า ย ใ ห้ แ ก่ ชุ ม ช น อื่ น เ พื่ อ
ซื้ อ ห รื อ แ ล ก เ ป ลี่ ย น เ ป็ น เ ค รื่ อ ง อุ ป โ ภ ค
บ ริ โ ภ ค ที่ ผ ลิ ต ไ ม่ ไ ด้ ภ า ย ใ น ชุ ม ช น เ ช่ น
เ ก ลื อ เ คี ย ว มี ด ถ้ ว ย ช า ม ผ ล ผ ลิ ต จ า ก
ก า ร เ ก ษต ร โ ด ย เ ฉ พ า ะ ข้ า ว ถื อ ว่ า เ ป็ น พื ช
เ ศ ร ษฐ กิ จ ที่ ส า ม า ร ถ ผ ลิ ต แ ล ะ ส ร้ า ง ร า ย ไ ด้
จ า ก ก า ร ซื้ อ ห า แ ล ก เ ป ลี่ ย น ใ ห้ กั บ ค รั ว เ รื อ น
แ ล ะ ชุ ม ช น ที่ มี ค ว า ม สำ คั ญเ ป็ น อ ย่ า ง ม า ก

73

พิ ธี ใ ต้ ห า ง ป ร ะ ที ป ป ร ะ เ พ ณี
บุ ญ เ ข้ า ก ร ร ม ช า ว ล า ว เ วี ย ง มี ป ร ะ เ พ ณี พิ ธี ก ร ร ม ที่
สื บ ท อ ด แ ล ะ ป ฏิ บั ติ ต่ อ กั น ม า อ ย่ า ง ช้ า
น า น จ น ก ล า ย เ ป็ น แ บ บ แ ผ น ใ น ก า ร
ดำ เ นิ น ชี วิ ต แ ต่ ล ะ ช่ ว ง ข อ ง ส ถ า น ภ า พ
บุ ค ค ล ตั้ ง แ ต่ เ กิ ด จ น ต า ย ใ น แ ต่ ล ะ

พิ ธี ก ร ร ม ส ร้ า ง ส ม ก า ร เ รี ย น รู้ ใ ห้ เ กิ ด ขึ้ น
ใ น สั ง ค ม แ ล ะ เ ป็ น ที่ นิ ย ม ใ น ก า ร
ป ร ะ พ ฤ ติ ป ฏิ บั ติ โ ด ย ส่ ว น ใ ห ญ่

ป ร ะ เ พ ณี เ ห ล่ า นี้ มั ก ป ร ะ ก อ บ ขึ้ น เ พื่ อ ใ ห้
เ ป็ น สิ ริ ม ง ค ล แ ล ะ เ ป็ น ก า ร ส ร้ า ง ค ว า ม
มั่ น ใ จ ใ น ก า ร ดำ เ นิ น ชี วิ ต ที่ สั ม พั น ธ์ ต่ อ
เ นื่ อ ง ตั้ ง แ ต่ เ กิ ด จ น ต า ย โ ด ย มี พิ ธี ก ร ร ม

ป ร ะ เ พ ณี สำ คั ญใ น ร อ บ ปี ไ ด้ แ ก่

บุ ญ คู น ล า น บุ ญ ข้ า ว จี่ บุ ญ ส ร ง น้ำ

74

ศาสนา
ชุ ม ช น ช า ว ล า ว เ วี ย ง นั บ เ ป็ น สั ง ค ม อุ ด ม ด้ ว ย ค ว า ม
ห ล า ก ห ล า ย ท า ง ค ว า ม เ ชื่ อ เ ช่ น เ ดี ย ว กั บ สั ง ค ม ไ ท ย
โ ด ย ทั่ ว ไ ป ที่ มี ทั้ ง ค ว า ม เ ชื่ อ อั น เ นื่ อ ง ม า จ า ก พุ ท ธ
ศ า ส น า แ ล ะ ค ว า ม เ ชื่ อ ใ น เ รื่ อ ง เ กี่ ย ว กั บ อำ น า จ เ ห นื อ
ธ ร ร ม ช า ติ ค ว บ คู่ กั น ไ ป โ ด ย ป ร า ก ฏ ใ ห้ เ ห็ น จ า ก ก า ร
ป ฏิ บั ติ ใ น ป ร ะ เ พ ณี แ ล ะ พิ ธี ก ร ร ม ต่ า ง ๆ ซึ่ ง
น อ ก จ า ก จ ะ มี ก า ร แ บ่ ง แ ย ก กั น ต า ม ข อ บ เ ข ต ข อ ง
ค ว า ม เ ชื่ อ แ ล้ ว ใ น บ า ง ป ร ะ เ พ ณี แ ล ะ พิ ธี ก ร ร ม ยั ง
เ ป็ น ก า ร ดำ เ นิ น อ ยู่ ร่ ว ม กั น ข อ ง ค ว า ม เ ชื่ อ ทั้ ง ส อ ง
ฝ่ า ย อ ย่ า ง ก ล ม ก ลื น
ภาษา
เ ป็ น ก ลุ่ ม ช า ติ พั น ธุ์ ที่ ใ ช้ ภ า ษา ล า ว ใ น ก า ร
สื่ อ ส า ร ภ า ย ใ น ก ลุ่ ม ญา ติ แ ล ะ เ พื่ อ น พ้ อ ง

75

ลั ก ษ ณ ะ บ้ า น เ รื อ น

ก า ร ป ลู ก บ้ า น ส ร้ า ง เ รื อ น นิ ย ม ป ลู ก เ รื อ น แ ล ะ
หั น ห ลั ง ค า เ รื อ น ใ ห ญ่ ไ ป ใ น ทิ ศ ท า ง เ ดี ย ว กั น
โ ด ย ไ ม่ หั น มุ ม บ้ า น เ ข้ า ห า กั น เ พ ร า ะ เ ชื่ อ ว่ า จ ะ
ทิ่ ม แ ท ง กั น ใ น ห มู่ เ ค รื อ ญา ติ ผู้ ค น ใ น ชุ ม ช น
รู้ จั ก มั ก คุ้ น กั น อ ย่ า ง ดี ก า ร ปิ ด กั้ น ข อ บ เ ข ต ด้ ว ย
รั้ ว จึ ง ไ ม่ ป ร า ก ฏ ชั ด เ จ น ห า ก มี ก า ร แ บ่ ง
อ า ณา เ ข ต มั ก เ ป็ น รั้ ว เ ตี้ ย ๆ แ น ว ต้ น ไ ม้ ห รื อ
ก อ ง วั ส ดุ ต่ า ง ๆ แ ท น ก า ร ก่ อ รั้ ว ทึ บ ท า ง สั ญจ ร
ภ า ย ใ น ห มู่ บ้ า น มี ลั ก ษณะ เ ป็ น อิ ส ร ะ ป ร ะ ก อ บ
ด้ ว ย ท า ง ห ลั ก แ ล ะ ท า ง ร อ ง ที่ ค ด ล้ อ ม ลั ด เ ล า ะ
ไ ป ต า ม ก ลุ่ ม บ้ า น ต่ า ง ๆ ลั ก ษณะ ค ล้ า ย ใ ย
แ ม ง มุ ม แ บ บ ห ล ว ม ๆ อี ก ทั้ ง ยั ง แ บ่ ง แ ย ก พื้ น ที่
อ ยู่ อ า ศั ย แ ล ะ ที่ ทำ กิ น อ อ ก จ า ก กั น อ ย่ า ง ไ ร
ก็ ต า ม เ มื่ อ ชุ ม ช น เ ริ่ ม แ อ อั ด ช า ว บ้ า น บ า ง ก ลุ่ ม
เ ริ่ ม ข ยั บ ข ย า ย ที่ อ ยู่ อ า ศั ย อ อ ก ไ ป ร อ บ น อ ก

76

การแสดง
ห ม อ ลำ เ รื่ อ ง ต่ อ ก ล อ น เ ป็ น ก า ร รั บ เ อ า
วั ฒน ธ ร ร ม จ า ก ภ า ค อี ส า น ม า สู่ ชุ ม ช น บ้ า น
ด อ น ค า วั ฒน ธ ร ร ม ห ม อ ลำ ข อ ง ช า ว ล า ว แ ต่
เ นื่ อ ง ด้ ว ย บ้ า น ด อ น ค า ข า ด ก า ร สื บ ท อ ด
ห ม อ ลำ แ ล ะ ไ ม่ มี ห ม อ ลำ ใ น ชุ ม ช น ข อ ง
ต น เ อ ง จึ ง นำ ห ม อ ลำ จ า ก ภ า ค อี ส า น ม า
ทำ ก า ร แ ส ด ง ใ น ง า น บุ ญป ร ะ เ พ ณี ที่ สำ คั ญ
ห ล า ย ค รั้ ง ร ว ม ถึ ง ห ม อ ลำ เ รื่ อ ง ต่ อ ก ล อ น
ด้ ว ย ต่ อ ม า ท่ า น จึ ง ไ ด้ จั ด ตั้ ง ค ณะ ลิ เ ก ล า ว
ข อ ง บ้ า น ด อ น ค า ขึ้ น เ พื่ อ ทำ ก า ร แ ส ด ง ใ น
ง า น ข อ ง ชุ ม ช น โ ด ย อ า จ า ร ย์ สุ น ท ร ชั ย
รุ่ ง เ รื อ ง ป ร า ช ญ์ ด้ า น ห ม อ ลำ ข อ ง ภ า ค อี ส า น
เ ป็ น ผู้ ถ่ า ย ท อ ด แ ล ะ ฝึ ก ซ้ อ ม ใ ห้ กั บ ช า ว บ้ า น
ใ น ข ณะ นั้ น จึ ง ถื อ เ ป็ น ก า ร แ ส ด ง ลิ เ ก ล า ว
ค ณะ แ ร ก ที่ เ กิ ด ขึ้ น ใ น ชุ ม ช น

77

อ า ห า ร ก า ร กิ น

ช า ว ล า ว เ วี ย ง โ ด ย ทั่ ว ไ ป ที่ จ ะ กิ น ข้ า ว
เ ห นี ย ว เ ป็ น อ า ห า ร ห ลั ก สั น นิ ษฐ า น ว่ า
เ ป็ น ก า ร ป รั บ ตั ว ใ ห้ ส อ ด ค ล้ อ ง กั บ ค ว า ม
เ ห ม า ะ ส ม ข อ ง ภู มิ ป ร ะ เ ท ศ ที่ เ ห ม า ะ ใ น ก า ร
ป ลู ก ข้ า ว เ จ้ า ม า ก ก ว่ า ก ว่ า ข้ า ว เ ห นี ย ว ข้ า ว
เ ห นี ย ว จึ ง เ ป็ น ข้ า ว ที่ ช า ว ล า ว เ วี ย ง ใ ช้ ทำ
เ ป็ น ข น ม ห รื อ อ า ห า ร ที่ ไ ม่ ใ ช่ อ า ห า ร ห ลั ก
อ ย่ า ง ไ ร ก็ ต า ม จ า ก ก า ร สั ม ภ า ษณ์ ช า ว ล า ว
เ วี ย ง ถึ ง อ า ห า ร ที่ มี ลั ก ษณะ เ ฉ พ า ะ ข อ ง
ชุ ม ช น พ บ ว่ า มี อ า ห า ร ห ล า ย ช นิ ด ที่ สื บ ท อ ด
กั น ม า แ ต่ บ ร ร พ บุ รุ ษ แ ล ะ ที่ สำ คั ญคื อ ใ ช้
ป ล า ร้ า เ ป็ น ส่ ว น ป ร ะ ก อ บ ส า คั ญส า ห รั บ
อ า ห า ร ค า ว แ ท บ ทุ ก ช นิ ด ร ว ม ทั้ ง อ า ห า ร ที่
ไ ด้ รั บ อิ ท ธิ พ ล จ า ก ชุ ม ช น อื่ น เ ช่ น แ ก ง ก ะ ทิ
ก็ มั ก ใ ส่ ป ล า ร้ า แ ก ง ล า ว ห รื อ แ ก ง เ ป ร อ ะ
ป่ น ป ล า แ ก ง ผำ

78

ก า ร แ ต่ ง ก า ย

ช า ว ล า ว เ วี ย ง ที่ มี อั ต ลั ก ษณ์ ก า ร แ ต่ ง ก า ย
แ ล ะ ผ้ า ท อ ที่ โ ด ด เ ด่ น อั ต ลั ก ษณ์ ข อ ง ท อ คื อ
ก า ร ต่ อ ตี น ซิ่ น ด้ ว ย ฝ้ า ย ห รื อ ไ ห ม ตี น ซิ่ น
ต อ น บ น ต ก แ ต่ ง ด้ ว ย ก า ร จ ก ล ว ด ล า ย แ ล ะ
เ ว้ น ตี น ซิ่ น ต อ น ล่ า ง เ ป็ น ผื น ผ้ า อั ต ลั ก ษณ์
ข อ ง ล า ย ผ้ า ส่ ว น ใ ห ญ่ จ ะ ม า จ า ก สิ่ ง ข อ ง ใ ก ล้
ตั ว ที่ ใ ช้ ใ น วิ ถี ชี วิ ต

อ า ชี พ
อ า ชี พ ทำ น า เ ป็ น ห ลั ก จ น สั ง ค ม เ กิ ด ก า ร พั ฒน า ช า ว ล า ว
เ วี ย ง จึ ง ต้ อ ง ป รั บ ตั ว ต า ม ไ ป ด้ ว ย จ า ก อ า ชี พ ทำ น า ผั น
เ ป ลี่ ย น ม า เ ป็ น อ า ชี พ รั บ จ้ า ง รั บ ร า ช ก า ร ค้ า ข า ย เ กิ ด
ก า ร ป รั บ ตั ว ข อ ง ช า ว ล า ว เ วี ย ง

79

ความเป็นมา

เดิมมีคำที่ใช้เรียกชื่อผู้คนกลุ่มนี้ว่าคือ “ชาวเล” ชื่อ
ชนชาติเดิมพวกหนึ่งอยู่ทางทะเลด้านตะวันตกของ
แหลมมลายู ฉลางหรือ “ชาวเล” ชาวเลทั้งหลายถือว่า
“ชาวน้ำ” เป็นคำดูถูกดูแคลนทำให้รู้สึกแปลกแยก
จากกลุ่มอื่นคำว่า “ชาวเล” ก็เป็นคำที่แสดงถึงทัศนะ
คติเชิงลบในหลายพื้นที่ ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ชาวเล
รู้สึกถึงความเป็นตัวตนที่ด้อยกว่าจนบางคนไม่อยากให้
ใครรับรู้ว่าตนเองคือ “ชาวเล” ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดคำว่า
“ไทยใหม่” หมายถึงว่าชาวเลได้รับการยอมรับและยก
ระดับเป็นคนไทย ได้รับ สัญชาติไทย พูดสื่อสารด้วย
ภาษาไทยและได้รับการศึกษาในระบบของไทย ใน
ปัจจุบัน เราเรียกชื่อชาวเลตามที่กลุ่มเรียกตนเอง คือ
มอแกน ตามตำนานที่เล่าสืบต่อกันมา คำว่า “มอ
แกน” มาจากคำว่า “ละมอ” (ในภาษามอแกน แปล
ว่า จมน้ำ) และ “แกน” ซึ่งมาจากชื่อของน้องสาว ของ
ราชินีซิเปียน ซึ่งถูกราชินีสาบให้มีชีวิตเร่ร่อนอยู่ใน
ทะเลชีวิตของชาวมอแกน เดินทางไปตามเกาะต่างๆ
จึงถูกกล่าวขานว่ามีชีวิตคล้ายกลุ่มยิปซีที่พักอาศัยอยู่ไม่
เป็นหลักแหล่งแน่นอน และ เรียกกันว่า “Sea
gypsy” หรือ “ยิปซีทะเล”

80

ภาษา

ภาษามอแกน เป็นภาษาที่อยู่ในตระกูลออสโตรเน
เชียน สาขามลาโย – โพลีเนเชียน สาขาย่อยมอ
แกน – มอแกลน มีความใกล้เคียงกับภาษามอ
แกลนซึ่งอยู่ในสาขาย่อยเดียวกัน

ศาสนา

มอแกนมีความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็น “วิญญาณ
บรรพบุรุษ” และ “วิญญาณใน ธรรมชาติ” และความเชื่อ
เหล่านี้หลอมรวมและยึดโยงชาวมอแกนในชุมชนไว้ด้วยกัน
โดยมี “ออลางปูตี” หรือ ผู้นำทางจิตวิญญาณที่เป็นคนเข้า
ทรงติดต่อสื่อสารกับวิญญาณเหล่านั้น และมีพิธีกรรมเพื่อให้
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ปกป้องคุ้มครองชุมชน ในพิธีที่สำคัญคือการ
ฉลองเสาวิญญาณบรรพบุรุษในเดือน 5 ทางจันทรคติ มีการ
ตัดไม้ มาแกะทำเสาเพื่อเป็นตัวแทนของวิญญาณบรรพบุรุษ
หญิง-ชาย หรือที่เรียกว่า “หล่อโบง”

81

วัฒนธรรม

ชาวมอแกนตกปลา งมหอย ปลิงทะเล และ
สัตว์ทะเลอื่นๆ เพื่อเลี้ยงชีพและเพื่อค้าขาย
แลกเปลี่ยน กับข้าวสารและข้าวของจำเป็น
มาช้านาน เครื่องมือที่ใช้เป็นเครื่องมือง่ายๆ
ที่มักจะทำขึ้นเอง เช่น ฉมวก แว่นตาดำน้ำ
เหล็กเกี่ยวปู เหล็กเจาะหอย ฯลฯ ในการ
ออกทะเลไปในระยะใกล้ๆ ชายชาวมอแกน
แจวเรือ ขนาดเล็กที่เรียกว่า “ฉ่าพัน” ไป
ตกปลา งมหอย ปลิงทะเล จับปูและสัตว์
ทะเลต่างๆผู้หญิงมอแกนจะชักชวน กันไป
หาอาหารยามที่น้ำทะเลลดลง โดยการเดิน
ลัดเลาะไปตามโขดหิน หาดทราย แนว
ปะการัง ป่าชายเลนไป หาสัตว์ทะเลมาทำ
เป็นอาหารสำหรับคนในครอบครัว

82

ลักษณะบ้านเรือน

บ้านหรือเพิงพักแบบดั้งเดิมของชาวมอแกนที่สร้างริม
หาดจะมีเสาบ้านสูง ลดหลั่นกันตามลักษณะของ
ชายหาด การปลูกบ้านใต้ถุนสูงทำให้อากาศมีการ
ถ่ายเท ลมพัดเย็น และการสร้างบ้านริมหาดทำให้
สังเกตเห็น เรือเข้า-ออก สังเกตคลื่นลมได้ง่าย บ้านที่
อยู่ถัดเข้ามาด้านในหาดจะมีใต้ถุนเตี้ยลงมา บ้านบาง
หลังต่อเติมพื้นที่ เป็นชานหรือระเบียง การสร้างบ้าน
แบบนี้สะท้อนให้เห็นถึงความรู้ความเข้าใจ

อาชีพ

ชาวมอแกนตกปลา งมหอย ปลิงทะเล และสัตว์
ทะเลอื่นๆ เพื่อเลี้ยงชีพและเพื่อค้าขายแลก
เปลี่ยน กับข้าวสารและข้าวของจำเป็น

83

เครื่องดนตรี

เครื่องดนตรีพื้นบ้านที่สำคัญของชาวมอแกนมีเครื่องสาย และเครื่องตี
สำหรับเครื่องตีกระทบ มีรำมะนา ฉิ่ง และฆ้อง ที่ชาวมอแกนใช้ตีกำกับ
จังหวะ ของเพลง และประกอบการร่ายรำต่างๆ ส่วนเครื่องสายประเภทใช้
คันสีเรียกว่า “กาติ๊ง” เป็นเครื่องสายที่ทำ ขึ้นจากจากปล้องไม้ไผ่ มีสายที่
ทำจากเส้นเอ็น 2 สาย หรือบางครั้งก็ท าจากไม้แกะสลัก มีรูปลักษณะ
คล้ายกับ ไวโอลิน นอกจากนั้นก็มีกาติ๊งที่มีคอเป็นไม้แต่ใช้กระป๋องเปล่า
เป็นตัวทำให้เกิดความก้องของเสียง ชาวมอแกน ใช้กาติ๊งบรรเลงเพลงใน
โอกาสต่างๆ

84

อาหารการกิน

มีการแบ่งบทบาทหน้าที่ระหว่างหญิงชายในครัวเรือน
ขณะที่ผู้ชายแจวเรือฉ่าพันออกไปตก ปลา หญิงมอ
แกนจะชักชวนกันไปหากับข้าวยามที่น้ำทะเลลดลง
เดินลัดเลาะไปตามโขดหินเพื่อหาหอยติบ ขุด เพรียง
ทราย มาทำเป็นอาหารสำหรับคนในครอบครัว ในช่วง
ฤดูฝน อาหาร พืชพรรณจากป่ามีความอุดม สมบูรณ์
ชาวมอแกนก็ได้ใช้ประโยชน์จากป่า ขุดหัวเผือก
หัวมัน หัวกลอย ผลไม้ป่า หน่อไม้ และพืชผักต่างๆ
ได้อย่างมากมาย เป็นระบบที่พึ่งพากันระหว่างมอแกน
กับธรรมชาติ ระบบที่คนช่วยดูและรักษาป่าและ
ธรรมชาติ ป่าก็ให้ประโยชน์ในด้านอาหาร สมุนไพร
กับมอแกนและใช้สอยอื่นๆ เช่น ท าเครื่องมือเครื่อง
ใช้ใน บ้าน ไม้ฟืนหุงหาอาหาร

85

ชนเผ่ามอแกลน

ความเป็นมา

กลุ่มชาติพันธุ์สามกลุ่มที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ทางตอนใต้
ของประเทศไทย เฉพาะในประเทศ ไทยจะเรียก
รวม ๆ อย่างไม่จำแนกว่า ชาวเล เดิมเรียกว่า ชาวน้ำ
ส่วนในพม่าจะเรียกรวมกับมอแกนว่า ซลัง เซลัง
หรือซโลน คล้ายกับคำว่า “ฉลาง” หรือ “ถลาง”
ซึ่งเป็นเมือง โบราณของภูเก็ต ที่มีชาวเลชุมนุมกัน
อยู่มากในสมัยก่อน และในมาเลเซียจะเรียกชาวเล
ว่า โอ รังลาอุต แปลว่า "คนทะเล” ในอดีตอาศัย
อยู่ตามชายฝั่งหรือเดินทาง เร่ร่อนตามเกาะในทะเล
อันดามัน จึงรู้จักกันในนาม “ยิปซีทะเล ชาวเลมอ
แกนอยู่อาศัยตั้งแต่หมู่เกาะมะริดของ เมียนมาจนถึง
ภูเก็ต ที่หมู่เกาะมะริดมีชาวมอแกนนับพันคน ส่วน
โอรังลาอุต นั้นอยู่ในไทย ไล่ลงไปทางใต้ตาม
ชายฝั่งของมาเลเชีย อินโดนีเซีย และตะวันออกใน
หมู่เกาะซูลูของฟิลิปปินส์

86

ภาษา

ชาวมอแกลนใช้ภาษาตระกูลออสโตรนีเชียนใกล้เคียงกับ
มอแกนและสามารถสื่อสารกันได้ แต่มอแกลนจะได้รับ
อิทธิพลจาก ภาษาไทยมากกว่ามอแกน ในขณะที่ภาษาอู
รักลาโว้ยจะต่างออกไปค่อนข้างมากทั้งสามภาษาไม่มี ตัว
อักษรและปัจจุบันชาวเลทั้งสามกลุ่มกำลังเผชิญวิกฤตทาง
ภาษาและวัฒนธรรมที่กำลังถูกกลืน

การแต่งกาย

ชาวเลทุกกลุ่มไม่มีเครื่องแต่งกายที่เป็นอัตลักษณ์ประจำเผ่าหรือชาติพันธุ์ เพราะ
ในสภาพอากาศร้อน ชื้นและวิถีชีวิตที่ต้องสมบุกสมบัน ขึ้นลงทะเล สิ่งที่สวมได้
ง่ายและสบายที่สุดคือ ผ้าขาวม้าสำหรับผู้ชาย และ เสื้อคอกระเช้า-ผ้าถุงสำหรับผู้
หญิง ชาวมอแกลนต้องซื้อหาเสื้อผ้าจากภายนอก และการที่ชาวมอแกลนมี การ
ปฏิสัมพันธ์กับคนหลายกลุ่มมาตั้งแต่อดีต การหยิบยืมและยอมรับวัฒนธรรมอื่น
ทำให้เกิดการผสมผสาน ทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะการแต่งกายที่เห็นได้ชัดเจน

87

ลักษณะบ้านเรือน

ชาวมอแกลนสร้างบ้านเองโดยอาศัยแรงของครอบครัวและ
เครือญาติบ้านแบบดั้งเดิมของ ชาวมอแกลนนั้นนิยมสร้าง
เป็นเรือนไม้ไผ่ หลังคามุงด้วยใบจาก ใบค้อ หรือใบไม้ที่หา
ได้ง่ายในท้องถิ่น บ้านเป็น ทรงสูงมีใต้ถุน มีบันไดไม้ไผ่
พาดขึ้นบ้านและสามารถจะยกตัวบันไดออกได้เพื่อป้องกัน
สัตว์ร้ายหรือสัตว์ ป่า พื้นที่ภายในบ้านชาวมอแกลนสมัย
ก่อนมักจะทำเป็นโถงโล่งไม่ได้กั้นแบ่งเป็นห้อง ยกเว้น
บริเวณครัวซึ่งมักจะตั้งอยู่ด้านหลังของตัวบ้าน ต่อมาก็มีการ
กั้นห้องแบ่งพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านอย่างเป็นสัดส่วนมาก
ขึ้น และมีห้องน้ำแยกจากตัวบ้าน

อาชีพ

มอแกนมีอาชีค้าขายเปลือกหอยและสัตว์ทะเล
เพื่อซื้อข้าวสารตุนเอาไว้เป็นกระสอบ

88

วัฒนธรรม

ชาวมอแกลนส่วนใหญ่ทำประมงหาสัตว์ทะเล
ตามชายฝั่ง ชายหาดและตามป่าชายเลน ชุมชน
ที่อาศัย อยู่ริมฝั่งทะเลที่มีหาดทรายและแนว
ปะการัง มักจะหาปลา กุ้ง หอยชนิดต่างๆ และ
ปลาหมึกสาย นอกจาก อาชีพประมงแล้วชาวมอ
แกลนยังทำไร่ทำนา บางชุมชนเลี้ยงสัตว์ เช่น
ไก่และหมูซึ่งมักจะเป็นหมูขี้พร้า การ เลี้ยงเป็น
แบบกึ่งอิสระคือให้หากินเองตามธรรมชาติควบคู่
ไปกับการให้อาหาร การเลี้ยงหมูขี้พร้าแบบปล่อย
ให้ หากินเองทั่วหมู่บ้านนั้นจึงเป็นอัตลักษณ์
ของชาวมอแกลนในหลายชุมชน5 การทำไร่ทำ
นาทำให้เกิดวัฒนธรรม การช่วยเหลือลงแรง
คล้ายกับสังคมเกษตรกรรม

89

เครื่องดนตรี

มอแกนไม่มีองค์ประกอบที่แน่นอน วงดนตรีดั้งเดิมประกอบ
ด้วย คนร้อง ก่าติ๊ง และเครื่องประกอบจังหวะ เครื่องประกอบ
จังหวะดั้งเดิมสันนิษฐานว่ามาจากไม้ หิน และสิ่งอื่น ๆ ที่มา
จากธรรมชาติ ต่อมาเมื่อชาวมอ-แกนรู้จักใช้เครื่องหุงหาอาหารที่
เป็นโลหะ ชาวมอแกนจึงนำเครื่องมือในการประกอบอาหารและ
เครื่องมือที่ใช้อยู่ในชีวิตประจำวันมาเคาะเป็นเครื่องประกอบ
จังหวะ ถือว่ามอแกนได้หยิบหาของใกล้ตัวมาใช้ตาม
สถานการณ์

อาหารการกิน

สมัยก่อนอาหารหลักของมอแกน คือ หัวมัน หัวกลอย พืชผัก ยอดไม้ ผลไม้
ป่า ปลา ปู หอยชนิดต่างๆ ข้าวถือว่าเป็นอาหารพิเศษที่หาได้ยาก ต่อมาเมื่อ
มอแกนถูกดึงเข้ามาในระบบค้าขายแลกเปลี่ยน ข้าวจึงกลายเป็นอาหารหลัก
และยังเป็นเครื่องประกันความอิ่มท้องเพราะเก็บรักษาได้นานไม่เหมือน
อาหารสดอื่นๆ ที่เน่าเสียได้ง่าย

90

วัฒนธรรม

ชาวมอแกลนส่วนใหญ่ทำประมงหาสัตว์ทะเลตามชายฝั่ง
ชายหาดและตามป่าชายเลน ชุมชนที่อาศัย อยู่ริมฝั่งทะเลที่
มีหาดทรายและแนวปะการัง มักจะหาปลา กุ้ง หอยชนิด
ต่างๆ และปลาหมึกสาย นอกจาก อาชีพประมงแล้วชาวมอ
แกลนยังทำไร่ทำนา บางชุมชนเลี้ยงสัตว์ เช่น ไก่และหมู

ศาสนา

ชาวมอแกลนดั้งเดิมมีความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็น
“วิญญาณบรรพบุรุษ” และ “วิญญาณในธรรมชาติ” วิญญาณ
บรรพบุรุษและบุคคลสำคัญของกลุ่มหรือชุมชนของชาวมอแกลน
มีเช่น พ่อตาสามพัน, พ่อตาหลวงจักร, ถ้วยตายาย,พิธีลอยเรือ

91

ประเพณี

ประเพณีนอนหาด เป็นงานประเพณีประจำปีของชาวมอ
แกลนบ้านแหลมหลาหรือบ้านท่าฉัตรไชย และบ้านหินลูก
เดียว จังหวัดภูเก็ต จัดขึ้นในช่วงวันขึ้น 13-15 ค่ำเดือน 3
เป็นเวลา 3 วัน 3 คืน งานนี้ปฏิบัติ สืบทอดกันมาเพื่อแสดง
ความเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพื้นที่ คือ พ่อตาหินลูกเดียว
และเกี่ยวข้องกับการบูชาสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ทางทะเล มีการแก้บน
สะเดาะเคราะห์ด้วย

ประเพณีรับบุญสารทเดือนสิบ ชาวมอแกลนไปทำบุญที่วัดและ
อุทิศส่วนกุศลส่งดวงวิญญาณให้กับบรรพ บุรุษผู้ล่วงลับ และจะนำ
อาหารคาวหวาน ผลไม้ ขนม ใส่สำรับหรือหมุนรับเพื่อนำไปตั้งให้
เหล่าวิญญาณ ที่เชื่อว่าจะกลับขึ้นมาจากยมโลกเพื่อมาเยี่ยมญาติ
หรือครอบครัว หรือที่เรียกว่า “ตั้งเปรต” หรือ “ชิง เปรต” ส่วนชาว
มอแกลนจะไปเป็นผู้รับบุญ ข้าวสาร ขนม และเงิน ในสมัยก่อนมี
การน าสิ่งของจาก ทะเลไปแลกเปลี่ยนกันด้วย

92

ช น เ ผ่ า อู รั ก ล า โ ว้ ย

ค ว า ม เ ป็ น ม า

อูรักลาโว้ย มีความหมายว่า "คนทะเล" มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า
ในอดีตชาวอูรักลาโวยจอาศัยอยู่บริเวณเทือกเขาฆูนุงฌึไร ใน
แถบชายฝั่งทะเลในรัฐเกอดะฮ์ (ไทรบุรี) จากนั้นก็เร่ร่อนเข้า
มาสู่ในน่านน้ำไทย แถบทะเลอันดามัน ในช่วงแรกยังมีวิถีชีวิต
แบบเร่ร่อน โดยอาศัยเรือไม้ระกำเป็นที่อยู่และพาหนะ พวกเขา
ใช้กายัก หรือแฝกสำหรับมุงหลังคาเป็นเพิงอาศัยบนเรือ หรือ
เพิงพักชั่วคราวตามชายหาดในฤดูมรสุม


Click to View FlipBook Version