ชนเผา่ ไตหย่า
ประวัติความเปน็ มาของชนเผ่าไตหย่า
ชาติพันธุ์ไตหย่าคือ ชาวไตกลุ่มหนึ่งที่รู้จักกันในชื่อกลุ่มของชาติพันธุ์ไตในประเทศจีน ถิ่นที่อยู่ดั้งเดิมคือ
ตำบลโมซาเจียง อำเภอซินผิง จังหวัดยี่ซี มณฑลยูนาน ซึ่งอยู่ทางตอนบนของแม่น้ำแดง ชาวจีนเรียกว่า
ขานว่า ฮวาเย่าไต (Huayaodai) แปลว่า ไตเอวลาย (Flowery Belted) เหตุที่ได้ชื่อนี้เนื่องจากการแต่ง
กายของสตรีที่มีลักษณะโดดเด่นของผ้าคาดเอวที่ปักลวดลายและตกแต่งด้วยแถบผ้าหลากสีสันสวยงาม
บริเวณรอบเอว ชาวไตหย่าอพยพเข้าสู่ประเทศไทยในปี พ.ศ.2470 สิ่งสำคัญที่ทำให้ชาวไตหย่าย้ายถ่ิน
ฐานเข้ามาสู่ประเทศไทยคร้ังแรกคือ จากการทีค่ ระมิชชั่นนารที ีไ่ ปประกาศศาสนาศรสิ ต์ที่เมืองหย่าได้เสรจ็
สิ้นภารกจิ เม่อื ถึงเวลากลับประเทศไทยชาวไตหย่าจึงได้อาสาสมัครหาบของมาส่งให้เพราะต้องการมาเหน็
ประเทศไทยด้วยเมื่อไดม้ าเหน็ ประเทศไทยบางคนกไ็ ม่กลับไปอกี แตม่ ีบางคนได้กลับไปแล้วไปบอกเล่าใหพ้ ่ี
น้องไตหย่าในโมวาเจียงฟังถึงความสะดวกสบาย ความมีอิสรภาพในทุกด้านรวมถึงการนับถือศาสนาทำ
ให้หลายคนเกดิ ความสนใจและตดั สินใจยา้ ยถ่นิ ฐานมาอยู่ในประเทศไทยเป็นการถาวรจนถงึ เวลานี้ ชาวไต
หย่าชุดแรกเดินทางมาด้วยกัน 10 ครอบครัว เป็นการเดินเท้าจากเมื่อหย่าผ่านเมืองซือเหมา สิบสองปันนา
เมืองยอง และแม่สาย ได้หยุดพักรวมกันที่หมู่บ้านหนองกลม(บ้านสันธาตุ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย
ในปจั จบุ นั ) ใช้เวลาเดินทางกวา่ 40วนั ไปตัง้ หลกั แหลง่ แผ้วถางทีด่ ินท่หี มู่บา้ นสันขวาง ตำบลแมค่ ำ อำเภอ
แม่จัน จังหวัดเชียงราย เมื่อจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นชาวไตหย่ากลุ่มหนึ่งได้แยกตัวออกมาหาที่อยู่ใหม่ คือ
หมู่บ้านบ่อน้ำขาว ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ซึ่งทั้งสองหมู่บ้านอยู่ไม่ห่างไกลกันมาก
นัก สามารถเดินทางไปมาหาสู่กันได้สะดวก และชาวไตหย่ายังคงอาศัยอยู่จนถึงปัจจุบัน ชาวไตหย่าได้
ผสมกลมกลืนกับคนไทยโดยมกี ารแต่งงานมีลูกหลาน ย้ายถิ่นฐานไปอยู่หลายท่ีหลายแห่งของประเทศไทย
และในต่างประเทศ โดยประมาณแลว้ จำนวนชาวไตหย่าในประเทศมีประมาณ 1,000 กว่าคนเท่านั้น
วถิ ชี วี ติ ของชนเผา่ ไตหย่า
การดำเนินชีวิตของชาวไตหย่าในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ในอดีตไตหย่ามีช่ือเสียงเรื่อง
การทอเสื่อกก ทั้งนี้เนื่องจากเมื่อเดินทางอพยพมาสูป่ ระเทศไทยได้มชี ายผู้หนึ่งชื่อว่าเลาหลา่ ยนำหัวตน้ กก
แช่น้ำในกระบอกไม้ไผ่มาด้วย ระหว่างทางภรรยาของเลาหล่ายได้เอาหัวกกทิ้งไปถึง 3 ครั้งเพราะสัมภาระ
ที่หาบมาหนัก เลาหล่ายก็จะเก็บมาทกุ ครั้ง จนครัง้ สุดท้ายครอบครัวอานแตนได้เป็นผู้เก็บและนำหวั เสื่อกก
มาถึงประเทศไทย เมื่อถึงประเทศไทยไดเ้ พาะหัวกกไว้ถงึ 3 ปีจึงมีเส้นกกเพียงพอสำหรับทอเป็นเสือ่ ผืนแรก
โดยครอบครวั อานแตนเป็นผอู้ อกแบบฟืมในการทอเส่อื ดว้ ยตอ่ มาหวั กกไดแ้ พรข่ ยายเพมิ่ มากข้ึนชาวไตหย่า
จึงได้ปลูกกกกันเกือบทุกครัวเรือนในช่วงแรกการทอเสื่อถือเป็นอาชีพเฉพาะของ ชาวไตหย่าจนถูกเรียกว่า
“สาดไตหย่า” มีการประดิษฐ์ทำฟืมให้สามารถทอเสื่อขนาดต่าง ๆ กันต่อมามีการจ้างคนพื้นเมืองมาช่วย
ทอเส่ือและมีการจำหนา่ ยหวั กกออกไปจงึ ทำให้อาชีพการทอเส่อื ได้แพรก่ ระจายไปทัว่ จงั หวดั เชยี งราย (จุไร
รัตน์ และเลหลา้ 2552) ในปัจจบุ ัน แม้ไตหยา่ จะไมไ่ ดท้ อเสอ่ื เปน็ อาชพี แล้ว แตก่ ารทอเส่ือลายสองที่มีความ
ประณีตกย็ ังถือเป็นอตั ลักษณ์หนง่ึ ของไตหย่าในประเทศไทย
การแตง่ กายชนเผา่ ไตหย่า
ผู้ชาย ผู้ชายไตหยา่ จะสวมกางเกงสดี ำหรือสคี รามคล้ายกางเกงขากว๊ ย เสอ้ื สีเดยี วกับกางเกง เรียกว่า เส้ือ
ฮี ลักษณะเป็นเสื้อคอจีนแขนยาว ผ่าหน้าติดกระดุมผ้า ปลายแขนแต่งด้วยแถบผ้าสีแดงหรือสีฟ้า สวม
หมวกผ้าทรงกลมกลางศีรษะโล่ง ติดภู่หอ้ ยด้านข้างซ้าย ในปัจจุบนั มีการปรับรปู แบบของเสือ้ เพือ่ ใส่ในชว่ ย
อากาศร้อนเป็นแบบเสื้อแขนกุดตกแต่งด้วยเม็ดเงินผู้หญิง เครื่องแต่งกายของสตรีที่จะสวมผ้าซิ่น 2 ผืน
ซ้อนกันเป็นผา้ พืน้ มีดำ ประดับดว้ ยผ้าริ้วสีต่าง ๆ เย็บเป็นแถบรอบชายซิน่ ขณะสวมใส่จะรัง้ ผ้าซ่ินดา้ นซ้าย
ขึ้น ปล่อยชายด้านขาวห้อยต่ำลงมา นอกจาชายเสื้อและผ้าซิ่นจะประดับด้วยริ้วผ้าสีต่าง ๆ แล้วยังใช้เม็ด
เงินสอยเยบ็ ติดกบั ชายเส้อื สาบเสื้อ และขอบแขนเป็นลวดลายต่าง ๆ
ผู้หญิง เครื่องแต่งกายของสตรีที่จะสวมผ้าซิ่น 2 ผืนซ้อนกันเป็นผ้าพื้นมีดำ ประดับด้วยผ้าริ้วสีต่าง ๆ เย็บ
เป็นแถบรอบชายซิ่น ขณะสวมใส่จะรั้งผ้าซิ่นด้านซ้ายขึ้น ปล่อยชายด้านขาวห้อยต่ำลงมา นอกจาชายเสื้อ
และผ้าซิ่นจะประดับด้วยริ้วผ้าสีต่าง ๆ แล้วยังใช้เม็ดเงินสอยเย็บติดกับชายเส้ือ สาบเสื้อ และขอบแขนเป็น
ลวดลายตา่ ง ๆ
ศาสนาและความเชือ่ ของชนเผ่าไตหย่า
ชาวไตหย่าในประทศไทยกว่าร้อยละ 90 นับถือศาสนาศริสต์ ประเพณีกรรมสำคัญต่าง ๆ จึงขึ้นอยู่กับวัน
สำคัญของศาสนาคริสต์ ส่วนชาวไตหย่าที่อยู่ในประเทศจีนยังคงนับถือผี มีแม่มด ย่ามด เป็นผู้ประกอบ
พิธกี รรมตา่ ง ๆ
ประเพณแี ละวฒั นธรรมของชนเผ่าไตหย่า
ประเพณแี ละวฒั นธรรมตา่ ง ๆ ทส่ี ำคัญของชาวไตหยา่ จะข้นึ อยู่กบั วนั สำคญั ของศาสนาครสิ ต์เนอ่ื งจากชาว
ไตห่ ยา่ สว่ นมากจะนบั ถือศาสนาคริสต์
ภาษาของชนเผ่าไตหย่า
ชาวไตหย่ามีภาษาพูดเป็นของตัวเองที่ฟังแล้วคล้ายคลึงกับภาษาไทลื้อและภาษาไทยองแต่จากการไม่มี
ตัวอกั ษรในการจดบนั ทึกจงึ ทำให้ภาษามกี ารเปลี่ยนแปลงและสูญหายไปมาก
อาหารของชนเผา่ ไตหย่า
อาหารหลักของชาวไตหย่า คือ ข้าวเหนียว ไม่บริโภคอาหารดิบ และไม่บริโภคอาหารรสจัด อาหารจะทำ
ให้สุกด้วยการหุง ต้ม แกง ตุ๋น ทอด คั่ว ย่าง หรือจี่ เครื่องชูรสอาหารใช้แต่เกลือและน้ำส้มไม่บริโภค
เครื่องเทศนอกจากพริกไทย โดยปกติชาวไตหย่าจะเก็บถนอมอาหารไว้บริโภคนาน ๆ ด้วยการหมัก ดอง
และตากแห้ง
อาชพี ของชนเผา่ ไตหย่า
แต่เดิมประกอบอาชีพการทำเกษตรเพื่อการยังชีพ แต่ปัจจุบันวิถีชีวิตเปลี่ยนแปลงไป ชาวไตหย่าส่วนใหญ่
เดินทางเข้าไปทำงานในจังหวัดอื่นๆ เช่น เชียงใหม่ กรุงเทพฯ มีเพียงบางส่วนที่ประกอบอาชีพเกษตร ทำ
นาข้าว ทำนากก เนื่องจากกกเป็นพันธุ์พืชที่ชาวไตหย่านำมาด้วยในคราวที่อพยพจากแคว้นยูนนาน การ
ทำนากกในประเทศไทยจึงเริ่มต้นจากหมู่บ้านของชาวไตหย่าและต่อมาแพร่กระจายไปสู่หมู่บ้านใกล้เคียง
เมือ่ กกโตเตม็ ท่จี ะตดั เพ่อื ไปเป็นวตั ถุดิบในการทอเสอ่ื กก
ชนเผา่ บีซู
ประวัติความเปน็ มาของชนเผา่ บีซู
จากประวัติบอกเล่าสืบต่อกันมาจนถึงยุคสมัยของพ่ออุ่นเรือน วงศ์ภักดี ได้ความว่าชาวบีซูบ้านดอยชมภู
เดิมตั้งรกรากอยู่ในเขตหมู่บ้านแสนตอ และได้อพยพโยกย้ายมาอยู่ที่บ้านเหล่ามะเขือแจ้ ปัจจุบันคือบ้าน
เหล่าชวนชม ซึ่งในช่วงเวลานั้นมีผู้น าหมู่บ้านชื่อ กะกุละ (กากุละ) และกำนันชื่อ วงศ์ และมีเจ้าอาวาสชื่อ
พระคำปนิ ะ โดยมนี ายก่ำขาเปน็ ผู้ทีน่ ่าเกรงขามในหมบู่ ้าน และคนเมืองไมก่ ลา้ มาย่งุ เก่ียวด้วยเนือ่ งจากเป็น
คนรปู รา่ งสงู ใหญ่ มีกำลังมาก ไถนาแทนควายได้ และสามารถฆ่าววั ฆ่าควายไดด้ ้วยมอื เปล่าอกี ทง้ั ยงั กลืน
มะมว่ งพร้อมเมล็ดได้ ตอ่ มาเมื่อสน้ิ ผูน้ าแล้วชาวบซี ใู นหมู่บ้านถูกขม่ เหงรังแกจากคนเมืองมากขึ้น มีการมา
ขโมยสัตว์เลี้ยง หมู วัว ควาย และข่มเหงผู้หญิง จึงได้ย้ายบ้านเรือนขึ้นไปอยู่บนเนินเขาบริเวณบ้านเหล่า
หลวง ปัจจุบันคือบ้านใหม่สันอุดม มีผู้น าชื่อนายอินต๊ะ หนายจั๋นต๊ะ และครูบาค ามา แต่เกิดโรคระบาด
(ฝีดาษ) ชาวบซี ูเช่ือว่าเป็นเพราะมีการตั้งถิ่นฐานอยู่ใกล้สบห้วย (บริเวณที่แม่น้ ามาบรรจบกัน)ระหว่างห้วย
ชมภูแง่งซ้ายและแง่งขวา ชาวบีซูในหมู่บ้านล้มตายเป็นจำนวนมากจึงมีเหลืออยู่ประมาณ 17ครัวเรือนท่ี
อพยพโยกย้ายขยับขึ้นไปตั้งชุมชนอยู่บนเนินเขาสูงขึ้นไปทางทิศเหนือของที่ตั้งเดิม ตั้งชื่อหมู่บ้านใหม่ช่ือ
บ้านห้วยชมภู หรือห้วยจุ๋มปู๋ค่อง และเผอิญชื่อหมู่บ้านห้วยชมพูไปซ้ าซ้อนกับบ้านห้วยชมภู ตำบลห้วย
ชมพู อำเภอเมือง พระณรงค์ฤทธ์ิ อินต๊ะมา จงึ ได้ต้งั ชือ่ ให้ใหมว่ ่า บ้านดอยชมภู มาจนถงึ ปจั จบุ ัน
วิถชี ีวิตของชนเผา่ บซี ู
บีซูที่ดอยชมภูส่วนใหญ่ทำเกษตรกรรม ปลูกขา้ ว ข้าวโพด มนั สำปะหลัง ขา้ วเหนยี วและอื่น ๆ มีส่วนน้อยที่
ออกไปทำงานนอกหม่บู า้ น พื้นทีห่ มบู่ า้ นของบีซดู อยชมภู เปน็ เขตป่าสงวน มกี ารกนั พื้นทีส่ ่วนหน่งึ เปน็ ปา่
ชมุ ชน คนบีซูรักป่า และมกี ฎห้ามคนหมบู่ ้านอ่นื ทำลายปา่ คนบีซสู ามารถเข้าไปเก็บของปา่ ได้ เก็บเหด็ ได้
พน้ื ทที่ ำกินของคนบีซู จะไมข่ ายใหค้ นนอกกล่มุ แตจ่ ะให้ลูกหลานทำกนิ สืบทอดกนั ไปในครวั เรอื น ในการ
ปกครองชุมชน มพี ่อหลวงดูแล เมอ่ื เกดิ การทะเลาะววิ าทกนั พอ่ หลวงเป็นผู้ตกั เตือนหรือลงโทษ โดยการ
ปรับเงินเขา้ หมู่บ้าน 400-500 บาท มกี ารต้งั กฎเกณฑข์ อ้ ตกลงในชุมชน เพอ่ื ไมใ่ หเ้ กดิ ความวุ่นวาย เชน่
ผู้ใดยงิ ปนื ยามวกิ าล จะถกู ปรบั นดั ละ 500 บาท และสว่ นใหญค่ นในชมุ ชนจะฟงั กัน
การแตง่ กายของชนเผ่าบีซู
ชาวบีซูไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าตามอัตลักษณ์กลุ่มชาติพันธุ์ในชีวิตประจำวัน เช่นเดียวกับหลายกลุ่มชาติพันธุ์
ในประเทศไทย ที่เส้ือผ้าตามอัตลักษณ์มีไว้เพื่อเสดงออกถึงตัวตนเมื่อต้องเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ
ทางสังคม ส่วนในชีวิตประจำวันนั้นจะสวมใส่เสื้อผ้าทั่วไปตามสมัยนิยมเป็นหลัก โดยเสื้อผ้าตามอัต
ลักษณท์ างชาติพนั ธ์ุของชาวบีซู มีรายละเอยี ดดงั นี้
ชุดผู้ชาย ตัวเสื้อทำจากผ้าฝ้ายสีแดงน้ำหมาก คอจีน ผ่าหน้า ป้ายด้านขวาของผู้สวมใส่ แขนเส้ือ
ทรงกระบอกยาว ชายเสื้อขลิบผ้าสีน้ำเงิน กระดุมเสื้อทำมาจากกะลามะพร้าว มีหอยเบ้อประดับตัวเส้ือ
ส่วนกงเกงเปน็ ทรงขากว้าง สีดำหรอื สีน้ำเงนิ ส่วนของผ้าโพกหัวนิยมใช้สแี ดง
ชุดของผู้หญิง ตัวเสื้อเป้นผ้าฝ้ายสีน้ำเงินคอจีน ตัวเสื้อคลุมป้ายด้านซ้ายของผู้สวมใส่ เสื้อแขนกระบอก
ยาว คอเสื้อและชายเสื้อตกแต่งลายปักสีแดงและหอยเบี้ย สวมผ้าถุงสีเขียวทอลายแดงสลับดำคาดกลาง
(เครือขา่ ยสือ่ ชนเผ่าพืน้ เมือง ร่วมกบั สภาชนเผา่ พ้ืนเมอื งแหง่ ประเทศไทย
ศาสนาและความเชือ่ ของชนเผา่ บซี ู
บีซูนับถือศาสนาพุทธและมีความผูกพันแน่นแฟ้นกับวัดและพระสงฆ์ และมีความเคร่งครัดในการปฏิบัติ
ศาสนกิจตามขนบประเพณีดั้งเดิม บิดามารดานิยมให้บุตรหลานที่เป็นชายบวชเรียน ถ้าเป็นผู้ใหญ่จะบวช
ให้พ่อแม่ ถ้าเป็นเด็กจะบวชเพื่อเรียนหนังสือ ในวันสำคัญทางพุทธศาสนาจะมีการทำบุญในหมู่บ้าน
เช่นเดียวกันคนไทยทางเหนือ ในขณะเดียวกันก็ยังคงนับถือผีด้วยเช่นกัน มีทั้งผีหมู่บ้าน ผีในป่า ผีในถ้ำ
ในทุ่งนาและผีบรรพบุรุษ บีซูเรียกผีที่ดูแลหมู่บ้านหรือเสื้อบ้านว่า ‘อังจาว’ ซึ่งมีผู้ช่วยชื่อ ‘ม้า’ ( maa)
หมายถงึ ม้า มหี นา้ ทด่ี แู ลผีม้าทเ่ี ป็นหวั หนา้ ของมา้ ซึ่งชาวบา้ นบีซูจะใหค้ วามเคารพนับถืออังจาวเป็นอย่าง
มากโดยเชื่อว่า เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยคุ้มครองหมู่บ้านของตนให้ปลอดจากอันตรายได้ ดังนั้นคนบีซูจึงมี
ประเพณีที่สำคัญคือประเพณีไหว้หอเสื้อบ้านที่เรียกกันว่า “อังจาวไว” โดยมีบุคคลสำคัญที่เป็นผู้ ประกอบ
พิธีกรรมในหมูบ่ า้ น เรียกวา่ ปู่ต้งั
ประเพณีและเทศกาลของชนเผ่าบีซู
•การตายและการทำศพ
ในอดีตเมื่อมีคนเสียชีวิตในชุมชน จะไม่ให้เด็กและผู้หญิงออกจากบ้านชาว ผู้ทำหน้าที่จัดพิธีศพจเป็นกลุ่ม
ผู้ชาย ใช้การฝังศพเป็นหลัก เชื่อว่าจะต้องฝังศพผู้ตายภายใน 24 ชั่วโมง การเลือกสถานทำพิธีเสี่ยง
ทายจากไข่ ถ้าโยนไข่ หรือใข่หลุดมือแล้วแตกที่ไหนจะทำพิธีฝังศพ ณ ตำแหน่งนั้น แต่ถ้าเมื่อโยนและไข่
ไม่แตกต้องหาที่ฝังใหม่ พิธีการเสี่ยงทายด้วยไข่นี้มีชื่อเรียกตาม ภาษาบีซูว่า ยา-อู-จัน โดยผู้ทำพิธีนั้นไม่
จำเป็นต้องเป็นหมอผี แต่ต้องเป็นผู้ที่รู้และเข้าใจพิธี อาจเป็นคนเฒ่าคนแก่ (ลักษณะเดียวกับสัปเหร่อ) โดย
จะเรียกว่าผู้นำทาง ในภาษาบีซู เรียกว่า แก-บา-หนำ-ฮู ส่วนในปัจจุบันนั้น ใช้การเผาศพและพิธีแบบคน
พนื้ เมอื ง
•ประเพณีเซน่ ไหวบ้ รรพชน
ในบา้ นจะมหี ิ้งผแี ละแต่ละบา้ นไหวเ้ ฉพาะผีสายตระกูลที่ตนเองถือ เรยี กว่า “อังบาองั ตาอังแด” ในอดีตการ
ไหว้ผใี นบา้ น แบง่ เปน็ 2 สว่ นคือ
1.ผีบรรพบุรุษหรือผีพ่อแม่ปู่ย่า จะตั้งหิ้งบริเวณเขตของที่นอน หิ้งผีประจำบ้านถือเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ โดยใน
อดีตใช้การแบ่งพื้นที่นอนและพื้นที่บ้านด้วยการใช้ไม้กั้น โดยห้ามคนภายนอกท่ีไม่ใช่คนในบ้านข้ามเขต
เข้าไปในบริเวณที่นอน หากข้ามไปจะถือว่าผิดผี แม้จะนับถือผีข้างพ่อ แต่เมื่อญาติฝ่ายผีแม่ตายและมีลูก
สาวทเี่ ปลีย่ นไปถือผีฝ่ายชายแล้วกต็ ้องตามใหม้ าร่วมงานไหวผ้ ดี ว้ ยเช่นกัน
2. การไหว้ผียมุ แปง (เตาไฟ) ในสมัยก่อน ลักษณะบา้ นบซี ูเปน็ บ้านหลังใหญ่ มีเตาไฟอย่ใู นเรอื น บรเิ วณนมี้ ี
การตง้ั หิง้ ยมุ แปงเป็นทศี่ ักสิทธิ์ของแตล่ ะครัวเรือน เป็นของท่ีรกั ษาคนในเรือนหลงั น้นั ๆ แต่หากทำอะไรผดิ
ไม่ถูกใจผีที่รักษาบ้านหลังนั้น ๆ ผีอาจลงโทษคนในบ้านได้ จึงมีการไหว้หิ้งยุมแปงในเดือน 8 ของทุกปี
และจะทำการไหว้ยุมแปงทุกคร้ังที่มีคนในบ้านเจ็บป่วย ปัจจุบันเมื่อมีการใช้แก็สหุงต้มเข้ามาแทนที่ทำให้
เตาไฟกลางบ้านหายไป แต่บีซูส่วนหนึ่งยังคงนับถือยุมแปงดังเดิม แม้จะไม่ตั้งหิ้ง ก็มีการไหว้บอกกล่าว
ตอ่ ยมุ แปงในส่วนพ้นื ท่ีเตาไฟหรือทปี่ ระกอบอาหาร
ภาษาของชนเผ่าบซี ู
จัดอยู่ในตระกูลภาษาทิเบต-พม่า (Tibeto – Burmese family) ซึ่งตามหลักภาษาศาสตร์เรียกภาษากลุ่มน้ี
วา่ ภาษาโลโลใต้ (Southern Loloish) ภาษาบีซูเป็นภาษาท่ีเพิ่งมนี กั ภาษาศาสตรค์ น้ พบเมอ่ื ไมน่ านมานี้
อาหารของชนเผา่ บีซู
อาหารของชาวบีซู เช่น เมนูลาบพริก ที่ใช้วัตถุดิบมาจากพืชพรรณในท้องถ่ิน เช่น พริก ขิง ยอดผักไผ่
ส้มป่อย ตะไคร้ ใบหอมแป้น(กุยช่าย) ฯลฯ เอกลักษณ์อยู่ที่วิธีการลาบหรือการสับ จะทำในกระบอกไม้ไผ่
เป็นเมนอู าหารสุขภาพท่มี กั รบั ประทานกนั ในม้ือกลางวนั ของครอบครวั หรอื ในงานเก่ยี วข้าวของชุมชน
ชนเผ่าขมุ
ประวตั คิ วามเปน็ มาของชนเผา่ ขมุ
ขมุ เป็นชาวเขากลุ่มเล็ก ๆ ในภาคเหนือของประเทศไทย บริเวณชายแดนจังหวัดเชียงรายและน่ าน
เปน็ กลมุ่ ชาตพิ ันธทุ์ ่ีมถี น่ิ ฐานบริเวณตอนเหนือของเอเชียตะวนั ออกเฉียงใตม้ ายาวนาน ตง้ั แตบ่ รเิ วณทางใต้
ของประเทศจีน ทางภาคเหนือของประเทศไทย ประเทศเวียดนาม จนถึงสาธารณรัฐประชาธิปไตย
ประชาชนลาว ซ่ึงมีชาวขมุอยู่เป็นจำนวนมากทส่ี ุด
วถิ ีชวี ติ ของชนเผ่าขมุ
ดั้งเดิมนั้นคนขมุจะมีวิถีการผลิตแบบยังชีพ มีการปลูกข้าวไร่ เพราะพื้นที่ที่อยู่อาศัยก็เอื้อให้ทำการ
เพาะปลูกข้าวไร่ การปลูกพืชพาณิชย์เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และส่วนใหญ่แล้วลูกหลานรุ่นหลังมักจะ
ทำงานภายในพื้นทีแ่ ละต่างจังหวดั เพื่อหารายได้มาจนุ เจือครอบครวั ตัวอย่างของคนขมุบ้านห้วยเอียน มี
การประกอบอาชีพค้าขายตามตลาดนัดทกุ วันพธุ โดยจะนำเอาของป่าในพื้นที่ พืชผัก สัตว์เล็กสัตว์น้อยไป
ขาย ซึ่งในตลาดก็จะพบของป่าที่มาจาก "หล่ายหน้า" หรือฝั่งลาวด้วย อีกทั้งภายในหมู่บ้านยังมีร้านค้า
ขายของชำ ด้วยเพราะหมู่บ้านตั้งอยู่บนเส้นทางแห่งการท่องเที่ยว จึงทำให้พวกเขาต้องปรับตัวเองและ
ยกระดับคุณภาพชีวิตของครัวเรือน ที่ไม่ได้ยึดติดกับอัตลักษณ์เดิม แต่ชาวขมุยังมีการแสวงหารายได้จาก
หลากหลายชอ่ งทาง หรือ "ความหลากหลายในการดำรงชพี " เป็นตน้
การแตง่ กายของชนเผา่ ขมุ
ชาวขมุ นิยมแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำหรือคล้ำเข้ม ในชีวิตประจำวันจะพบการแต่งกายแบบขมุเฉพาะกลุ่ม
หญิงมีอายุ ส่วนผู้ชายและเด็กรุ่นใหม่จะนิยมแต่งกายแบบคนเมือง นอกจากนี้ ชาวขมุบางถิ่นจะแต่งกาย
คล้ายกลุ่มอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้ เช่น ขมุบ้านห้วยเย็นและบ้านห้วยเอียน จังหวัดเชียงราย นุ่งซิ่นสีคล้ำลงลาย
แบบลาวและโพกผ้าสีแดง ส่วนขมุที่อำเภอทุ่งช้างและเชียงกลาง จังหวัดน่าน ใช้ซิ่นลายขวางแบบไทลื้อ
และสวมเสื้อหนาตัวสั้นสีน้ำเงินเข้ม ตกแต่งด้วยด้ายสีและเหรียญเงิน ใส่กำไลเงินที่คอแบบแม้วและกำไล
ขอ้ มอื
ศาสนาและความเชื่อของชนเผ่าขมุ
กลุ่มชนขมุยังยึดถือขนบธรรมเนียมประเพณีภายในกลุ่มบนความเชื่อ 2 รูปแบบด้วยกัน ดังนี้ความเชื่อ
เกย่ี วกับบรรพบุรุษหรือส่ิงเหนือธรรมชาติ นบั เปน็ ความเช่อื ดงั้ เดมิ ของคนขมทุ ม่ี กี ารจำแนกไดเ้ ป็น
1.ความเชื่อในเร่ืองของบรรพบุรุษ ความเชื่อเกี่ยวกับพญาเจือง วีรบุรุษผู้กล้าหาญ โดยจะมีการประกอบ
พธิ ีกรรมในช่วงเทศกาลปีใหมข่ มุ
2.ความเชื่อในเรื่องของจิตวิญญาณบรรพบุรุษในระดับครอบครัว เช่น ผีปู่ ผีย่า ซึ่งคนขมุเชื่อว่ามีอิทธิพลที่
จะช่วยคุ้มครองลูกหลาน สมาชิกในครอบครัวจึงมีการแสดงออกผ่านการเซ่นไหว้ ในยามที่สมาชิกใน
ครอบครวั เกดิ การเจบ็ ป่วย
3.ความเชอื่ ในเรอ่ื งของสิง่ เหนอื ธรรมชาติ เชน่ ขวญั เจา้ ที่ จะมกี ารประกอบพิธกี รรมเชน่ การเรยี กขวญั การ
สู่ขวัญ การเล้ยี งผีต้นนำ้ เปน็ ตน้
ประเพณีและวัฒนธรรมของชนเผา่
ทุกปีก่อนจะถึงช่วงฤดขูทมำไุ ร่ ชาวเผ่าขมุจะจัดพิธีบนบานเทวดาฟ้าดินสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายและบรรพชนต้น
ตระกูล ช่วยดลบันดาลให้ฝนตกตามฤดูกาลเพราะชาวเผ่าขมุมีความเชือ่ ตอ่ ธรรมชาติและเชื่อว่าทุกสิ่งทุก
อยา่ งในโลกลว้ นมจี ติ วิญญาณทัง้ สนิ้
เมือ่ ถึงตน้ เดอื น 4 ตามจันทรคติ ชนชาวเผา่ ขมใุ นบา้ นแตน อำเภอเมอื งฟงั จงั หวัด DienBien จะเตรยี มการ
จัดพิธีบนบานขอฝนกันอย่างคึกคักซึ่งเป็นหนึ่งในงานใหญ่ประจำปีของชาวขมุ นาย QuangVanMuon
เลขาธิการพรรคสาขาบ้านแตนเผยว่า แม้วิธีการผลิตจะมีการเปลี่ยนแปลง แต่ชาวขมุไม่เคยลืมรากเหง้า
ไม่เคยลืมประเพณีดั้งเดิม ฉนั้นการจัดพิธีบนบานขอฝนก็เพื่อแสดงให้เห็นความเชื่อและความเคารพนับถือ
บูชาเทวดาฟ้าดิน“พิธีบนบานขอฝนนี้มีมานานแล้วและเป็นประเพณีถือปฏิบัติกันทุกปี เมื่อถึงเดือน 4
จันทรคติ ก่อนที่จะเริ่มทำไร่ เพื่อให้มีน้ำฝนพอเลี้ยงต้นข้าวให้เจริญงอกงาม ถ้าไม่ทำ การทำไร่ก็จะไม่
ได้ผล”
ภาษาของชนเผ่าขมุ
ชาวขมุจะมีภาษาพูดเป็นของตนเองตามสำเนียงเสียงท้องถิ่นและจะแตกต่างกันไปในแต่ละกลุ่มส่วนใหญ่
แล้วจะสามารถสอื่ สารกนั ไดอ้ ย่างเข้าใจ เพราะมกี ารเรียนรู้ทางภาษาระหวา่ งกนั
อาหารของชนเผ่าขมุ
อาหารการกนิ ชาวขมุกินข้าวเหนียวเป็นหลัก กนิ เนอื้ สตั วแ์ ละผกั ทุกชนิด อาหารประจำวันส่วนใหญ่จะเป็น
จำพวกพืชผักต่าง ๆ ทั้งที่ปลูกไว้ในไร่และพืชผักสวนครัว บางส่วนได้มาจากการล่าสัตว์ หาของป่า
อาหารจำพวกหมู ไก่ จะใชเ้ ฉพาะในพธิ กี รรม การประกอบอาหารสว่ นใหญจ่ ะใช้พริก เกลือ ผงชูรส และมกั
ใส่ผักขีอ้ ้น (กล้ชู )เพอื่ ให้มกี ล่นิ หอมและมีรส เปน็ แกงผกั น้ำใส และอาหารท่ีชาวขมุชอบมาก ได้แก่ ปลาหมก
(กะ้ กูบ)ชาวขมจุ ะหมกั เหลา้ ไวใ้ ช้เอง เหลา้ ของชาวขมุเปน็ เหล้าอุเรยี กวา่ “ปจู ” มีไว้สำหรบั ตอ้ นรับแขกผมู้ า
เยือน และใช้ในการเซ่นไหวผ้ ี
อาชีพของชนเผ่าขมุ
ทำการเกษตรเป็นหลักแบบยังชีพ ปลูกข้าว เผือกมัน และเครื่องปรุงรสอาหารต่าง ๆ พืชไร่และไม้ยืนต้นมี
เล็กน้อย ส่วนใหญ่ปลูกไว้กิน หากมีเหลือก็จะแบ่งปันให้ญาติพี่น้อง นอกจากนี้ยังมีการเลี้ยงสัตว์ เช่นหมู
ไก่ วัวควาย ส่วนใหญเ่ ลี้ยงไวเ้ พือ่ ใชป้ ระกอบพธิ ีกรรม
ชนเผา่ ไทใหญ่
ประวตั ิความเป็นมาของชนเผ่าไทใหญ่
ไต หรือเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ “ไทใหญ่” โดยความหมายของคำว่า “ไต” นั้น หมายถึงคน ขณะที่ชื่อ
เรียก “ไทใหญ่” นั้น เป็นชื่อที่คนไทยภาคกลางใช้เรียกคนไต หรือกลุ่มคนที่อยู่ในลุ่มน้ำสาละวิน ส่วนชื่อ
เรียก“เงี้ยว”เป็นคำทีค่ นยวนในล้านนาใชเ้ รียกพวกเขา แตเ่ ป็นคำท่ีคนไทใหญไ่ ม่ชอบเพราะสอ่ ไปในทำนอง
ดูถูก ในขณะท่ี “ฉาน” นั้นเป็นอีกชื่อเรียกหน่ึงที่ชาวพม่าใช้เรียกชาวไต จวบจนยุคอาณานิคม ชาวอังกฤษ
ก็เรียกชื่อนี้ตามอย่างพม่า ในขณะที่เจ้าของวัฒนธรรมเองนั้น ประสงค์ให้คนทั่วไปเรียกตนเองว่า “ไต”
มากกว่าชื่ออื่น ขณะเดียวกันชื่อเรียกนั้นมีการใช้สลับไปมา มีความลื่นไหลและพลวัต รขึ้นอยู่กับมิติ
ความสมั พนั ธ์
วิถชี ีวติ ของชนเผา่ ไทใหญ่
วถิ ีชีวิตชาวไทใหญด่ ่ังเดิมท่ตี งั่ ถนิ่ ฐานในเมอื งเชียงใหม่ ในอดีตแต่ละครวั เรือนจะประกอบอาชีพหลายอยา่ ง
ไม่ยดึ ประกอบอาชีพใดอาชพี หนง่ึ (สมโชติ ออ๋ งสกลุ , 2546) ได้แก่
1. การค้าวัวต่าง พ่อค้าวัวต่างส่วนใหญ่เป็นชาวไทใหญ่ ในช่วงฤดูแล้ง พ่อค้าวัวต่างจะรวมกลุ่มเป็น
ขบวน รวบรวมผลผลิตสนิ ค้าภายในท้องถ่ินไปแลกเปลย่ี นสินค้ากับหมบู่ ้านอนื่ ๆ กลบั มาในท้องถนิ่ เสน้ ทาง
การค้าวัวต่างมีทั้งระยะไกล เช่น เชียงใหม่ถึงมะละแหม่ง และเส้นทางระยะใกล้ เช่น เชียงใหม่ถึงฝาง
ต่อมาเม่ือมกี ารพฒั นาทางด้านการคมนาคม การสรา้ งทางรถไฟและการสร้างถนนทำใหบ้ ทบาทของพ่อค้า
วัวตา่ งหมดลงไป
2. การทำหนังพองขาย ในอดีตชาวไทใหญ่แทบทุกครัวเรือนจะทำหนังพอง ซึ่งเป็นการทำหนังควาย
แห้งนำมาทอด การขายหนังพองจะขายสองแบบ คือ แบบที่ยังไม่ได้ทอด และแบบที่ทอดแล้ว ขายให้กับ
พ่อค้าคนกลางที่มารับซื้อเพื่อนำไปขายต่อ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 เป็นต้นมา หลังจากที่เริ่มมีผู้คนจากพื้นท่ี
ต่าง ๆ เข้ามาอาศัยในเมืองโดยเฉพาะบริเวณชุมชนช้างเผือก-ป่าเป้า ทำให้การทำหนังพองของชาวไท
ใหญ่ต้องเลิกกิจการไป เนื่องจากการทำหนังพองใช้กรรมวิธีที่ต้องใช้เช้ือเพลิงความร้อน และมีควันมาก
เทศบาลนครเชยี งใหม่เกรงว่าจะเกดิ อคั คภี ยั จงึ ขอให้เลิกทำหรือย้ายไปทำทอ่ี ่ืน
3. การปั้นหม้อ ชาวไทใหญท่ ี่มอี าชีพปนั้ หม้อขายจะใชด้ ินในบริเวณบ้านทอ่ี ยู่อาศยั โดยการขุดดนิ ลงไป
เพอื่ นำเอาดินเหนยี วด้านล่างข้ึนมา นำมาตากแดด แลว้ จึงทุบให้ละเอยี ด นำมาร่อนแลว้ จึงผสมนำ้ ข้ึนเป็น
รปู ทรง นำไปเผาไฟเปน็ หมอ้ ดนิ สว่ นใหญจ่ ะขายทห่ี อ้ งแถวยา่ นถนนราชวงศ์
4. การทำรองเท้ากาบโปก รองเท้ากาบโปก เป็นภูมิปัญญาของชาวไทใหญ่ เป็นการนำเอาไม้ไผ่หรือไม่
ซางมาตัดเป็นพื้นรองเท้า แล้วใช้หนังควายหรือหนังหมูมาหุ้มทั้งด้านบนและล่าง และเย็บหนังติดกัน ส่วน
ใหญ่ทำขึน้ เพอ่ื ใช้ถวายพระภกิ ษุ
5. การทำนา ชาวไทใหญ่ที่อาศัยในเมืองเชียงใหม่ ส่วนน้อยที่จะทำนา ที่นาจะอยู่บริเวณหลังโรงเรียน
โกวทิ ธาํ รงเชยี งใหม่ รปู แบบการทำนาเป็นการจ้างแรงงานท้องถนิ่ มาทำ
6. ช่างคำ ชาวไทใหญ่บางครอบครัวที่แต่งงานกับคนเมืองเชียงใหม่ ประกอบอาชีพช่างคำ โดยการซื้อ
ทองคำในเมอื ง มาตีเปน็ แหวน หรอื กำไล
7. การค้าอัญมณี ชาวไทใหญ่ส่วนหนึ่งประกอบอาชีพการค้าขายอัญมณี เช่น เพชร พลอย หยก เป็น
ต้น ซ่ึงนบั วา่ ชาวไทใหญเ่ ป็นกลุม่ ท่ีมคี วามเชย่ี วชาญในเรอื่ งอญั มณีอา่ งมาก
8. หมอยาสมุนไพร หมอนวด หมอดู ชาวไทใหญ่ส่วนหนึ่งมีความเชี่ยวชาญทางด้านสมุนไพร จึงมีชาว
ไทใหญท่ ่ีเปน็ “สลา่ ยา” นอกจากนั้นสว่ นหนง่ึ กป็ ระกอบอาชพี เปน็ หมอนวดและหมอดู
9. สล่าหรือช่างทำงานก่อสร้าง ชาวไทใหญ่บางกลุ่มมีความเชี่ยวชาญทางด้านการก่อสร้างและช่างไม้
เรยี กวา่ “สลา่ ”
การแตง่ กายของชนเผ่าไทใหญ่
ผ้หู ญิง สตรชี าวไทใหญ่ในอดีตนิยมสวมเสื้อแซค เปน็ เสอื้ เน้อื บางแขนยาวหรอื สามสว่ น ป้ายสาบเส้ือทับ
ไปทางขวาโดยใช้กระดุมผ้าหรือกระดุมโลหะสอดยึดห่วง ซึ่งเสื้อป้ายนี้ได้อิทธิพลการแต่งกายมาจากชาว
จนี แบบราชวงศช์ งิ นุ่งซ่ินเนอ้ื บาง เชน่ ซิน่ กอ้ ง ซ่ินสว่ ยต้อง ซ่นิ ปะล่อง ซิน้ หล้าย ซิ่นฮายยา่ ซ่ินถุงจ้าบ ซิ่น
แพรปังลน้ิ และซิน่ ปาเตะ๊ ทรงผมเกล้ามวยตามอายุ
ผู้ชาย บุรุษชาวไทใหญ่ในอดีตนิยมสวมเสื้อแซคหรือเสื้อแต้กปุ่ง เป็นเสื้อแขนยาว คอกลม กระดุมผ่า
หน้า มีกระเป๋าเสื้อ นุ่งกางเกงสะดอเรียกว่า เรียกว่า ก๋นไต หรือ โก๋นโห่งโย่ง มัดเอวและเคียนหัวด้วยผ้าสี
อ่อน เช่น สีขาว ชมพู หรือเหลือง[15] ส่วนการแต่งกายในราชสำนักไทใหญ่มักจะได้รับอิทธิพลมาจากราช
สำนักมณั ฑะเลย์
ศาสนาและความเช่อื ของชนเผา่ ไทใหญ่
ศาสนาและความเชื่อชาวไทใหญ่ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ซึ่งศาสนาพุทธได้เริ่มเข้ามามีบทบาทในกลุ่ม
ชาวไทใหญ่ที่อาศัยอยู่ในรัฐฉานในช่วง ปี พ.ศ. 2015 เริ่มเฟื่องฟูมากขึ้นในช่วงที่พระญาณคัมภีร์เดินทาง
มาจากเชียงใหม่ไปเผยแพร่ศาสนาพุทธนิกายโยน ในขณะเดียวกันชาวไทใหญ่ก็นับถือเทพและผีเจ้าเมือง
ด้วย เป็นความเชื่อดั่งเดิมทเี่ ชื่อว่าเจา้ เมอื งที่เสียชีวิตไปแล้วจะยังคงปกปักรกั ษาชาวบา้ นในชุมชนอยู่
ประเพณแี ละวัฒนธรรมของชนเผา่ ไทใหญ่
วิถีชีวิตชาวไทใหญ่ เช่นพิธีการดำหัวตามประเพณีดั้งเดิมของชาวไทใหญ่ การแสดงฟ้อนไต การฟ้อนนก
ฟ้อนโต การฟ้อนเจิง การฟ้อนดาบ กับเครื่องดนตรีโบราณ เช่น ระนาดเหล็ก ฆ้องแผง กลองยาว ฉาบ ตี
ยอ หรือไวโอลินพม่า อาหารของชาวไทใหญ่จะมี "ถั่วเน่า" เป็นเอกลักษณ์ คล้ายกะปิ เป็นอาหารที่มี
ประโยชน์เพื่อสุขภาพอาทิ น้ำพริกคั่วทรายที่ผสมถั่วเน่าเป็นหลัก การทำถั่วเน่าจิ้นลุง หรือลูกชิ้นข องชาว
ไทยใหญ่ นำ้ พรกิ พู หรอื ขนม เชน่ ขา้ วหลามมูล คลา้ ยๆ กะละแม แต่อย่ใู นกระ บอกไม้ไผ่
ภาษาของชนเผ่าไทใหญ่
ภาษาที่คนไทใหญ่ใช้อยู่ในตระกูลภาษาไท-กะได กลุ่มตะวันออกเฉียงใต้ เช่นเดียวกับ ไทเหนือ ไทอาหม
ไทขาว ไทลื้อ ไทสยาม ลาว (เรณู วิชาศิลป์ 2541 หน้า 264) ภาษาไทใหญ่แยกตัวจากออกจากกลุ่มภาษา
ไทอื่น ๆ มานานมากและเริ่มเห็นความแตกต่างอย่างเด่นชัดในราวศตวรรษที่ 12-13 จากการที่สามารถตั้ง
รฐั โบราณบนลมุ่ แมน่ ำ้ มาว จนขยายอิทธิพลออกไปทั้งทางเหนือและทางใต้ ทางใตข้ ยายไปครอบคลมุ เมอื ง
ยองห้วยในลุ่มน้ำคง ทางเหนือขยายเข้าไปในแคว้นอัสสัม จนก่อให้เกิดกลุ่มชนที่พูดภาษาคล้ายคลึงกัน
ครอบคลุมพื้นที่ทั้งในพม่า อินเดีย จีน ตลดจนภาคเหนือของไทย หรือครอบคลุมลุ่มน้ำ 3 แห่งคือ น้ำคง
(แม่น้ำสาละวิน) น้ำอิรวดี และน้ำพรมบุตร
อาหารของชนเผา่ ไทใหญ่
ชาวไทใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์เดียวในล้านนาที่นิยมทานข้าวเจ้าเป็นหลัก ใช้ผักเป็นวัตถุดิบหลักในการ
ประกอบอาหาร โดยเคร่อื งปรุงไดม้ าจากพชื ผักธรรมชาติ เชน่ พรกิ เกลอื หอม กระเทียม เครอ่ื งปรุงสำคัญ
ที่เป็นเอกลักษณ์ของอาหารไทใหญ่คือ “ถั่วเน่า” หรือถั่วเหลืองหมัก มีทั้งถั่วเน่าแผ่น เรียกว่า ถั่วเน่าแข็บ
และถั่วเหลอื งท่ีหมกั และบดละเอียดโดยจะเก็บไวใ้ นลักษณะคล้ายการเกบ็ นำ้ พรกิ ตาแดงจะไม่ทำใหแ้ ห้ง ใช้
แทนกะปิ เรียกว่าถั่วเน่าเมอะ อาหารที่ขึ้นชื่อของคนไทใหญ่ เช่น จิ๊นลุง อุ๊บไก่ ข้าวส้ม เป็นต้น นอกจาก
อาหารคาวแล้ว ก็ยังมีขนมหวานอีก เช่น ฮาละหว่า หย่ากู๊ ส่วยทะมิน แอบน้ำอ้อย ข้าวมูลห่อ เป็นต้น ซ่ึง
ขนมของชาวไทใหญม่ กั จะทำข้ึนในช่วงเทศกาลตา่ งๆ
อาชพี ของชนเผ่าไทใหญ่
ชาวไทใหญม่ ักประกอบอาชพี เกษตรกรรมและการคา้ ขาย
ชนเผา่ กะเหรี่ยงโพลง่
ประวัติและทม่ี าของกลุ่มชาติพนั ธ์กุ ะเหรย่ี งโพล่ง
ประวัติศาสตร์ชาวตะวันตกเชื่อว่า บ้านเมืองเดิมของชาวกะเหรี่ยงอยู่ทางตะวันตกของจีนในเขตกวางสี
ก่อนที่พวกเขาจะอพยพสู่ดนิ แดนที่พวกเขาอาศัยอยู่ในปัจจุบัน ชาวจีนเรียกแมน่ ำ้ แยงซีเกียงว่า "แม่น้ำของ
พวกยาง หรอื แมน่ ้ำของพวกกะเหรย่ี ง"
ชนชาติกะเหรี่ยงเข้าสู่ดินแดนอินโดจีนตามสายน้ำสำคัญ 3 สาย คือ สายน้ำอิระวดี สายน้ำสาละวิน และ
สายน้ำแม่น้ำโขง แม่น้ำเจ้าพระยา กลุ่มกะเหรี่ยงโปเป็นกลุ่มที่อพยพเข้ามาตามสายน้ำสาละวิน แม่น้ำโตง
แม่น้ำเมยและแม่น้ำตะนาวศรี โดยมีชุมชนหนาแน่นอยู่ที่เมืองตองอู, ผาปูน, ผาอ่าง, ท่าตอน, เมาะละแห
ม่ง, พะโค (หงสาวดี) กะเหรี่ยงกลุ่มนี้อยู่ปะปนกับชาวมอญจึงถูกเรียกว่า "ตะเลงกะยิน" กะเหรี่ยงโปนั้นมี
เมืองดั้งเดิมที่บรรพบุรุษได้ตั้งถิ่นฐานมั่นคง เรียกเมืองนั้นว่า กวยเกอบ่อง (กวยเกอบ่อ) เมืองดูยอ เมืองน้ี
เป็นที่ราบ มีภูเขาตั้งอยู่เด่นเป็นสง่าท่ามกลางที่ราบเป็นที่นาเวิ้ง พวกเขาถูกพม่า มอญ และคนไทยกวาด
ต้อนกระจดั กระจายไปตามทต่ี า่ ง ๆ พวกเขามีความเชอ่ื ว่าสักวันหน่ึงพวกเขาจะได้กลับมารวมตัวกันอีกคร้ัง
ท่ีเมอื งกวยเกอ่ บ่อ
วิถีชีวติ ของกลุม่ ชาติพันธก์ุ ะเหร่ยี งโผล่ง
อัตลกั ษณท์ มี่ ีลกั ษณะเด่นเฉพาะร่วมกนั ของคนในชุมชนพอสงั เขป มีดงั นี้
1. ด้านภาษา มีภาษาสื่อสารเป็นของตนเอง ลักษณะเฉพาะแตกต่างจากภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์
เดียวกัน แต่อยู่ต่างพื้นที่ สำเนียง การออกเสียง มีความเป็นท้องถิ่นแตกต่างจากถิ่นอื่น ๆ แต่สามารถ
สอื่ สารกับคนท่พี ูดภาษาเดียวกันท่ีอย่ทู ้องถิ่นอนื่ ๆ
2. การแต่งกาย ส่วนหนึ่งยังคงเป็นไปตามธรรมเนียมประเพณี เครื่องแต่งกายบ่งบอกถึงเพศ วัย
สถานภาพการแตง่ งานของเพศหญิงดว้ ย
3. ด้านศาสนาความเชือ่ มีลกั ษณะการบูรณาการความเช่อื ด้านต่าง ๆ ทงั้ ความเชือ่ พ้ืนบ้าน ผีบรรพบรุ ษุ
ศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธเข้าด้วยกนั
4. ด้านการทำมาหากิน ทำไร่หมุนเวียนเป็นหลัก ปลูกทั้งข้าวและพืชผักที่จำเป็นต่อการบริโภค เมื่อทำ
ไร่ปหี น่ึงแล้วจะปลอ่ ยทีท่ ้งิ ไว้ 7-10 ปี ใหป้ า่ เจริญเติบโตขน้ึ เป็นป่าทอ่ี ุดมสมบูรณ์อกี คร้ังจึงกลบั มาทำไรอ่ กี
5. ด้านการใช้สอยประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติ นำทรัพยากรมาใช้ประโยชน์หรือสร้างคุณค่าเท่าท่ี
จำเป็น ไม่นยิ มแสวงหาเก็บมาไว้เป็นสว่ นเกนิ หรอื จำหนา่ ยเป็นเงนิ ทอง
6. ด้านการอยู่ร่วมกัน คนในชุมชนอยู่ร่วมกันโดยใช้ภูมิปัญญาหรือวัฒนธรรมชุมชนสร้างคุณค่าที่เป็น
วัฒนธรรมด้านต่าง ๆ เช่น ความสามัคคี การแบ่งปัน การให้อภัย ฯลฯ จึงมีคำกล่าวที่ว่า "คนที่นี่ปลูกบา้ น
ไว้รบั แขก ใหแ้ ขกนอน หอ้ งนอนเจ้าของบา้ นแคบนดิ เดยี ว แต่สร้างพน้ื ที่ให้แขกนอนอยา่ งกว้างขวาง"
7. ด้านคุณธรรม มีคุณธรรมรับผิดชอบต่อส่วนรวม ไม่ต้องจ้างงาน ไม่ต้องแต่งตั้งกรรมการ ไม่ต้องมี
ใครกำหนดบทบาทหนา้ ที่ให้ แต่ทกุ คนมสี ำนกึ รบั ผดิ ชอบต่อสงั คม
8. ด้านอื่น ๆ เช่น ความสามารถไหวพริบในการเดินป่าและแสวงหาของป่ามาใช้ประโยชน์ในการ
ดำรงชีวติ (ผศ.เอี่ยม ทองดี และคณะ, 2558)
การแต่งกายของกลุ่มชาตพิ ันธ์ุกะเหร่ียงโผล่ง
การแต่งกายปัจจบุ ันกลุ่มกะเหรี่ยงยังคงสวมใส่เครื่องแต่งกายประจำเผ่า ในวิถีชีวิตยังคงรักษาลกั ษณะร่วม
ที่แสดงออกถึงสถานะของหญิงสาวและแม่หญิงแม่เรือนเช่นเดียวกัน คือหญิงทุกวัยที่ยังไม่ได้แต่งงาน ต้อง
สวมชุดยาวกรอมข้อเท้าสีขาว เมื่อแต่งงานแล้วจะต้องเปลี่ยนมาสวมใส่เสื้อ และผ้าถุงคนละท่อนกันเท่าน้ัน
ห้ามกลับไปสวมใส่ชุดยาวสีขาว ส่วนผู้ชายทั้งกลุ่มกะเหรี่ยงโป และสะกอ แถบจังหวัดภาคเหนือมักสวมใส่
กางเกงสดี ำ สนี ้ำเงินสกี รมทา่ ในแถบจังหวัดตาก อำเภอลี้ จงั หวัดลำพนู อำเภอดอยเตา่ จังหวัดเชียงใหม่
มักสวมผ้าสโหร่ง ลักษณะผู้ชายวัยหนุ่มใช้สีแดงทุกกลุ่ม แต่มีลวดลาย มากน้อยต่างกัน ผู้ชายสูงอายุจะ
สวมเส้ือสีขาว การแต่งกายของกะเหร่ยี งทยี่ งั คงสวมใส่เคร่ืองแต่งกายประจำเผา่ ในวิถีชีวติ ปกติมีเพียงกลุ่ม
โป และสะกอเทา่ น้นั สว่ นกลมุ่ คะยา และตองสไู มส่ วมใสช่ ุดประจำเผา่ ในชวี ิตประจำวนั แลว้ กระเหรีย่ งแตล่ ะ
กลุ่มนอกจากจะมีการแตง่ กายท่ีแตกต่างกัน กระเหรย่ี งกลุ่มเดยี วกันแตอ่ ยู่ตา่ งพื้นท่กี ม็ ีลักษณะการแต่งกาย
ไม่เหมือนกันด้วย เช่น กะเหรี่ยงโปแถบอำเภอ แม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน แต่งกายมีสีสันมากกว่าแถบ
อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ หญิงกะเหรี่ยงสะกอแถบจังหวัดแม่ฮ่องสอน และอำเภอแม่แจ่ม จังหวัด
เชียงใหม่ตกแต่งเสื้อมีลวดลาย หลากหลาย และละเอียดมากกว่าแถบจังหวัดตาก หรือกะเหรี่ยงโปแถบ
จงั หวัดราชบรุ ี มีลวดลายตกแต่งเส้อื ผา้ แตกตา่ งจากแถบภาคเหนือ
ศาสนาและความเชอ่ื ของกลุ่มชาตพิ ันธ์ุกะเหรี่ยงโพล่ง
ศาสนาและความเชื่อระบบความเชื่อของกะเหรี่ยงมีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ ดังนั้นคน
กะเหรี่ยงจึงให้ความสำคัญในทางศาสนามาก คนกะเหรี่ยงนับถือทั้งศาสนาพุทธ คริสต์และนับถือผี เกือบ
ร้อยละ 90 นับถือผี ผีมีอยู่ทุกแห่งในป่า ในไร่นา ในลำธาร ผีและวิญญาณเป็นบ่อเกิดของคุณธรรมและ
ค่านิยมหลายประการ เช่น การอยู่อย่างผัวเดียวเมียเดียว ไม่ประพฤติผิดลูกเมียใคร ผีที่นับถือ คือผีบ้าน
และผีเรือน ผีบ้านเปน็ ผีเจา้ ท่ีท่ีคอยปกปอ้ งดแู ลหมบู่ า้ น ผีเรือนเปน็ ผดี วงวญิ ญาณบรรพบุรุษ ซ่งึ คอยปกปอ้ ง
รักษาบุตรหลานเหลนผู้สืบตระกูลของตนด้วยความห่วงใย นอกนี้ยังมีผีประจำไร่หรือผีนา ซึ่งจะช่วยทำให้
ผลติ ผลของไร่นาเจรญิ งอกงาม ดงั นน้ั จงึ มกี ารทำร้านเลี้ยงผไี รห่ รอื ผีนาก่อนทำการปลูกขา้ วหรือพชื ไร่
ประเพณแี ละเทศกาลสำคัญของกลมุ่ ชาติพนั ธุ์กะเหร่ยี งโพลง่
ประเพณเี ทศกาลและพิธกี รรมสำคญั ในรอบปี
•การข้ึนปใี หม่
ประเพณเี ทศกาลและพิธกี รรมที่เกีย่ วกับชีวติ
•การตง้ั ครรภแ์ ละครอดบตุ ร
•การแตง่ งาน การหย่ารา้ ง
•ความตาย และการทำศพ
•การสักการะส่งิ ศักดสิ์ ทิ ธิ์และบรรพบุรษุ
รักษาบุตรหลานเหลนผู้สืบตระกูลของตนด้วยความห่วงใย นอกนี้ยังมีผีประจำไร่หรือผีนา ซึ่งจะช่วยทำให้
ผลติ ผลของไร่นาเจริญงอกงาม ดงั นั้นจงึ มกี ารทำรา้ นเล้ียงผไี ร่หรือผนี ากอ่ นทำการปลูกขา้ วหรือพืชไร่
ภาษาของกล่มุ ชาตพิ ันธุ์กะเหร่ยี งโพลง่
ภาษากะเหร่ียงจัดอยู่ในตระกูลภาษาจีน-ธิเบต ลักษณะเด่น ๆ ของภาษากะเหร่ียงที่แตกตา่ งจากภาษาไทย
ได้แก่ โครงสร้างพยางค์ เสียงพยัญชนะและเสียงสระ รวมทั้งเสียงวรรณยุกต์ซึ่งในบางถิ่นจะมีลักษณะ
น้ำเสียงเป็นส่วนประกอบอยู่ด้วย มีตัวพยัญชนะ 36 ตัว มีหน่วยเสียงสระ 9 เสียง เสียงวรรณยุกต์ 5 เสียง
นอกจากมีคำศัพท์เฉพาะเป็นภาษาของตนเองแล้ว ยังมีศัพท์ที่มาจากวัฒนธรรมมอญ ซึ่งรับมาใช้ท้ัง
ตัวอักษรและอกั ขระวธิ ี
อาหารของกล่มุ ชาติพันธ์กุ ะเหร่ยี งโพล่ง
อาชพี ของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหร่ียงโพลง่
ในอดีต อาชีพการเกษตรเป็นอาชีพที่ชนเผ่ากะเหรี่ยงจะยึดเป็นอาชีพหลัก เช่น การทำไร่ ทำนา สมัยก่อน
จะชอบทำไร่ข้าว แต่ภายหลังหันมาดำนาโดยใช้ช้างเป็นเครื่องมือบุกเบิก ระบบการทำไร่ของชาวกะเหรี่ยง
เป็นระบบการทำไร่ลักษณะหมุนเวียน โดยมีการหมุนเวียนใช้เวลาประมาณ 7-10 ปี เพื่อทำให้ระบบนิเวศมี
การฟื้นตัวกลับสู่สภาพเดิมมี อย่างไรก็ตามชาวกะเหรี่ยงมีความเชื่อว่า การทำไร่เปรียบเสมือนการเหยียบ
บนท่อนไม้ไผ่ อันหมายถึง ความไม่แน่นอนในด้านผลผลิต ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของดินและสภาพดินฟ้า
อากาศของแต่ละปี นอกจากนี้ยังปลูกพืชผักสวนครัวเอาไว้กินเอง พืชที่นิยมปลูกเป็นจำพวก ถั่ว ข้าวโพด
ขิง มะเขือ หัวหอม ผักประเภทต่าง ๆ นอกจากนี้ยังปลูกฝ้ายเอาไว้เองในครัวเรือน เพื่อถักทอเป็น
เครื่องน่งุ หม่ บ้างก็ปลกู เพ่อื สง่ ออกในตลาดเพอ่ื มาเปน็ เงินจุนเจอื ครอบครัว
การค้าขาย การค้าขายในอดีตจะไม่มีการใช้เงินตราส่วนใหญ่จะเป็นการแลกเปลี่ยนสินค้า คือ เมื่อล่าสัตว์
หรือหาของป่าได้ก็จะนำไปแลกเปลี่ยนกับสิ่งของเครื่องใช้ในเมืองหรือแลกเปลี่ ยนกันเองอยู่ที่ความพอใจ
และการตกลงกันระหว่างสองฝ่าย เมื่อเวลาผ่านยุคสมัยเปลี่ยนไปทำให้มีการค้าขายโด ยใช้เงินตราเป็น
ส่ือกลางในการแลกเปลี่ยน
การรับจ้าง ในอดีตไม่มีการรับจ้างแต่จะเป็นการช่วยเหลือกันมากกว่า ลักษณะจะเป็นแบบการเวียนกันใน
บ้านแต่ละหลัง ซึ่งเมื่อบ้านหลังแรกทำงาน บ้านอื่น ๆ ก็จะมาช่วยกันและผลัดเปลี่ยนกันไปจนครบทุกบ้าน
การตอบแทนก็จะเป็นข้าว อาหาร ที่นำมาเลี้ยงดูปูเสื่อกัน ปัจจุบันเป็นการทำงานรับจ้างแบบขายแรงงาน
ไดร้ บั ค่าตอบแทนเปน็ เงิน
การเล้ียงสตั ว์ ในอดตี จะนยิ มเล้ยี งสตั ว์จำพวกเป็ด ไก่ สุกร เพอ่ื นำมาเปน็ อาหาร โค กระบือ นำมาใช้ไถนา
และช้าง นำมาใช้ในงานลากไม้ซุง ปัจจุบันแรงงานสัตว์ถูกนำมาใช้ในเชิงธุรกิจการท่องเที่ยวมากขึ้น เช่น
ช้าง ก็จะเป็นการนำมาใช้ในการทำทัวร์ เป็ด ไก่ สุกร ก็มีการเลี้ยงเพื่อส่งเข้าโรงฆ่าสัตว์และนำเนื้อที่ได้มา
ขายใหก้ ับนกั ทอ่ งเทยี่ วเป็นหลัก
กะเหรี่ยง (KAREN) “ปกาเกอะญอ”
ประวตั ิความเปน็ มา
ชาวกะเหรี่ยง เรียกตนเองว่า “ปกาเกอะญอ” ซึ่งแปลว่า “คน” เป็นชนเผ่าที่มีจำนวนมากที่สุด ในประเทศ
ไทย แบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ สะกอ หรือยางขาว หรือ ปากฺกะญอ เป็นกลุ่มที่มีประชากรมากที่ สุด
โป หรือ โพล่ อยู่ในเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ และลำพูน ปะโอ หรือ ตองสู และบะเว หรือ คะยา
ในเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอน ถิ่นฐานเดิมของกะเหรี่ยงอยู่บริเวณมองโกเลียเมื่อกว่า2,000ปีมาแล้ว ต่อมา
ได้หนีภัยจากการรุกรานจากกองทัพจีน มาอยู่ที่ธิเบต ถอยร่นลงมาทางใต้เรื่อยๆ ตั้งแต่บริเวณที่ราบลุ่ม
แมน่ ำ้ แยงซีเกยี ง ลมุ่ นำ้ สาละวิน มาถงึ คอคอดกระจังหวดั ประจวบคีรีขนั ธ์ จำนวนทอี่ พยพเข้ามาในประเทศ
ไทยในตอนปลายศตวรรษท่ี 18 ในรชั สมัยสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจา้ อยูห่ วั ฯ
วถิ ีชวี ิต
ปกาเกอะญอชาวกะเหรีย่ งมคี วามเป็นอยเู่ รยี บงา่ ย รกั สงบ รกั ธรรมชาติ ไม่ชอบ การตอ่ สู้ จึงมชี วี ติ ท่สี ันโดษ
และสมถะ เป็นสังคมที่น่ารัก มีระบบครอบครัวเดียว นับถือญาติฝ่ายมารดา ผู้หญิงเป็นใหญ่ในบ้าน เม่ือ
แต่งงานแล้ว ฝ่ายชาย จะต้องไปอยู่บ้านฝ่ายหญิง ลักษณะครอบครัวจะอยู่แบบผัวเดียวเมียเดยี ว ตลอดไป
และจะเข้มงวดเคร่งครัดในเรื่องชู้สาวมาก การได้เสียก่อนแต่งงาน ถือเป็นความผิด ต้องลงโทษปรับไหม
และเล้ียงผี เพราะเชอ่ื วา่ ใครทำผดิ ประเพณีผีจะโกรธ และลงโทษใหเ้ จบ็ ไขไ้ ด้ป่วย หรือเกดิ เหตรุ า้ ยตา่ ง ๆ
การแตง่ กาย
กะเหรี่ยงทอผ้าจนเป็นวัฒนธรรมประจำเผ่า เสื้อเด็กและหญิงสาวจะเป็นชุดทรงกระสอบ ผ้าฝ้ายพื้นขาว
ทอหรือปักประดบั ลวดลายให้งดงาม ส่วนหญิงทีม่ ีครอบครัวแลว้ จะสวมเสื้อสีดำ นำ้ เงนิ และผ้านุ่งสีแดงคน
ละท่อน ตกแต่งด้วยลูกเดือย หรือทอยกดอก ยกลาย สำหรับผู้ชายกะเหรี่ยงนั้นส่วนมากจะสวมเสื้อตัวยาว
ถึงสะโพก ตัวเสื้อจะมีการตกแต่งด้วยแถบสีไม่มีการปักประดับเหมือนเสื้อผู้หญิง นุ่งกางเกงสะดอ นิยมใช้
สรอ้ ยลกู ปดั เปน็ เคร่อื งประดับ และสวมกำไลเงินหรือตุม้ หู
ศาสนา
ความเชื่อและพิธีกรรม เดิมชาวกะเหรี่ยงนับถือผีมีการบวงสรวงและเซ่นสังเวยอย่างเคร่งครัด ภายหลังหัน
มานับถือศาสนาพทุ ธ และศาสนาคริสต์มากขึ้น แต่ก็ยงั คงความเชื่อเดมิ อยู่ไมน่ อ้ ย เช่น ความเชือ่ เร่ืองขวญั
หรือการทำกจิ กรรมตา่ งๆ จะตอ้ งมีการเซน่ เจา้ ท่เี จา้ ทาง และบอกกลา่ วบรรพชน ให้อุดหนุนคำ้ จูน ช่วยให้
กิจการงานนั้นๆ เจริญก้าวหน้า ทำเกษตรกรรมได้ผลผลิตดี ให้อยู่เย็นเป็นสุข ปกป้องคุ้มครองดูแล และยัง
เป็นการขอขมาต่อทา่ น
วัฒนธรรมและประเพณี
ชาวกะเหร่ียงมปี ระเพณีที่เกี่ยวขอ้ งกบั การ ทำพิธีกรรมเลี้ยงผี บวงสรวงดวงวิญญาณ ด้วยการต้มเหล้า ฆ่า
ไก่ - แกง และมัดมือผู้ร่วมพิธีด้วยฝ้ายดิบ ซึ่งเกี่ยวโยงกัน ประเพณีปีใหม่ โดยหัวหน้าหมู่บ้านจะเป็นผู้ระบุ
วันล่วงหน้า แต่ละหมู่บ้านจะมีปีใหม่ แต่ละปีไม่ตรงกัน เพราะเป็นพิธีที่หมายถึงการเริ่มต้นของฤดูกาล
การเกษตร และอยู่เย็นเป็นสุขประเพณีแต่งงาน ผู้หญิงจะเป็นผู้เลือกคู่ครองเอง เจ้าสาวจะต้องทอเสื้อผ้า
กางเกง ย่ามไว้ให้เจ้าบ่าว ทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาวต้องฆ่าหมูฆ่าไก่เพื่อทำพิธีกรรมบอกต่อผีบรรพบุรุษและ เป็น
อาหารเลย้ี งแขก แต่งงานแลว้ ฝา่ ยชายตอ้ งมาอยู่บ้านฝ่ายหญงิ 1 ฤดูเก็บเกย่ี ว ก่อนแยกไปปลูกบ้านใกล้กัน
ภาษา
กะเหรีย่ งแต่ละเผา่ มีภาษาพูด และภาษาเขียนเป็นของตนเอง โดยการดัดแปลงมาจากตัวหนังสือพม่า ผสม
อักษรโรมัน
อาหาร
อาหารท้องถิ่นของชุมชนกะเหรี่ยงหรือปากะญอ เป็นการผสมผสานวัตถุดิบจากธรรมชาติมาปรุงแต่ง
อาหารที่ใช้รับประทานกันในชีวิตประจำวัน โดยเน้นพืชผักและวิธีการปรุงที่เรียบง่ายไม่สลับซับซ้อน
โดยส่วนมากที่นิยมรับประทานกันทุกครัวเรือนคือ อาหารประเภทน้ำพริก ผักต้ม หรือผักสด ประเภทต้ม
แกง ประเภทปง้ิ ยา่ ง สำหรับวิธีการปรงุ รสจะแตกต่างกนั
อาชพี
กะเหรียงดั้งเดิมส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพทำไร่ ทำนา อยู่ตามป่าตามเขา ปลูกพชื ผักสวนครัวตามฤดกู าล
ส่วนสัตว์เลี้ยงก็จะเลี้ยงไว้เพื่อเป็นอาหารมากกว่าการค้าขาย ใช้ชีวิตแบบพึ่งป่าพึ่งน้ำอาศัยอยู่รวมกันเป็น
กลมุ่ ใหญ่
สถานทท่ี ่องเทย่ี ว
-บ้านกะเหร่ยี งรวมมติ ร
บนขอบริมของแม่น้ำกกด้านซา้ ย ในตำบลแมย่ าว อำเภอเมอื งเชยี งราย ณ บ้านกะเหรย่ี งรวมมติ ร ท่นี มี่ ีชน
เผา่ ท่มี าอาศยั รวมกนั ซง่ึ เปน็ ท่มี าของช่อื หมู่บา้ น ได้แก่ ชนกะเหรี่ยง อาขา่ ชนลาหู่ ม้ง ลซี อ ไทล้ือ มีชนเผา่
ทงั้ หมดถึง 1500 กว่าหลงั คาเรือน นกั ท่องเที่ยวจะไดท้ ำกจิ กรรมสนุก ๆ อยา่ งเช่น การข่ชี ้างเที่ยวชมบา้ น
ชาวเขา ชมน้ำตก น่งั เกวียนชมวิวทิวทัศน์ ชมการแสดง
ชนเผ่าชอง
ประวัตแิ ละทีม่ าของชาตพิ นั ธุ์ชอง
ชาวชองเป็นกลุ่มคนดั้งเดิมที่คงอยู่อาศัยในเขตรอยต่อระหว่างประเทศไทย กับกัมพูชามานานมากแล้ว
เพียงแตไ่ ม่ไดม้ ีการจดบันทกึ เอาไว้อยา่ งชัดเจน ช่อื ของชาวชองปรากฏในเอกสารเก่าสดุ อยใู่ นบันทึกของโจ
วต้ากวาน ทูตชาวจีนที่เดินทางเข้ามายังราชสำนักกัมพูชาเมื่อ พ.ศ.1839 ว่าชาวเขมรในกัมพูชาจับ “ชวง”
หรือ “จวง” (Chuang) ตามป่าเขามาเป็นทาสใช้สอยในเรือนของชาวเขมร คนกลุ่มนี้เป็นชาวป่าไม่ได้พูด
ภาษาเขมร เพาะปลูกกระวานและต้นฝ้าย (เฉลิม ยงบุญเกิด, 2543: 21) ซึ่งนับว่าสอดคล้องกับคำบอกเล่า
ของชาวชองจันทบุรีในปัจจุบันว่าอาชีพเดิมของชาวชองคือการปลูกกระวาน และชาวชองในกัมพูชาก็ทำ
อาชพี ปลูกกระวานเชน่ กนั
วถิ ีชีวิตของกลุ่มชาตพิ นั ธ์ุชอง
ก่อนหน้าปี พ.ศ.2500 ระบบเศรษฐกิจของชาวชองเป็นการเกษตรแบบยังชีพเป็นหลัก มีการปลูกข้าวเพ่ือ
เลี้ยงครอบครัวไม่ใช่เพื่อการค้า ยกเว้นการปลูกกระวานที่ทำเพื่อการค้าเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีการหาของ
ป่าและล่าสัตว์อีกด้วย เท่าที่สังเกตชาวชองส่วนใหญ่มักจะมีบ้านเรือนที่ค่อนข้างใหญ่และได้รับการศึกษาท่ี
ดีพอสมควร
1.การทำนา
ชาวชองใช้ระบบการทำนาและการทำไร่ควบคู่กัน แต่ในอดีตย้อนกลับไปเกิน 50 ปี ระบบการทำนา
ของชาวชองเป็นการปลกู ข้าวไร่ (ฮายบาย) พนั ธข์ุ า้ วไร่เท่าท่ีชาวบา้ นจำได้มีช่ือวา่ ข้าวนางบ่อ, ขา้ วลูกปลา,
และข้าวเม็ดลายกระจ่อน สำหรบั พนั ธ์ุข้าวนาเทา่ ที่ชาวบ้านจำได้ ได้แก่ ขา้ วเหลอื งทอง ข้าวนางกะลงิ และ
ข้าวขาวประแส ปัจจุบันพันธุ์ข้าวเหล่านี้หมดไปแล้ว เพราะชาวบ้านหันมาปลูกข้าวพันธุ์ กข. แทน
(สัมภาษณ์ นายเฉิน ผันผาย, 2558) ก่อนที่จะเริ่มต้นการทำนาจะมีการไหว้ศาลหมู่บ้าน และศาลนา โดย
จะไหวก้ นั ในเดือน 3 ขน้ึ 3 ค่ำ (เดือนสามตามจนั ทรคตมิ ักตรงกบั ช่วงเดือนเมษายน)
2.การปลกู พชื เศรษฐกิจ
ในอดีตชาวชองมีอาชีพในการเพาะปลูกเครื่องเทศโดยเฉพาะกระวาน และเร่ว เป็นหลัก โดยเฉพาะ
กระวานเปน็ พชื ท่สี ร้างรายได้ใหก้ ับชาวชองเป็นอย่างมาก
กระวาน (cardamom) เป็นพืชที่ขึ้นในป่าบนภูเขาสูง คนบ้านคลองพลูจะไปปลูกกระวานกันที่เขา
สอยดาวมีความเชื่อว่ากระวานไม่ให้ผู้หญิงที่มีประจำเดือนปลูกจะปลูกได้ดีเฉพาะผู้ชาย ส่วนผู้หญิงจะให้
รอทขี่ นำ (ฮะหนำ)
เร่ว สามารถเติบโตได้ทั่วไป มีอยู่ 2 ชนิดคือ เร่วหอม ปลูกได้ที่บ้าน และเร่วป่า เป็นเร่วขน หน่อหรือราก
สามารถเอามาจิ้มน้ำพริกได้ มีกลิ่นหอม สรรพคุณทางยาคือช่วยแก้ท้องอืดเฟ้อ ขับลม ในเขตจังหวัด
จนั ทบรุ แี ละใกล้เคยี งมกั เอามาทำแกง
3.การลา่ สตั ว์
แบ่งออกเป็น 2 แบบคือ พรานเที่ยวป่าใหญ่คือนายพรานที่ล่าสัตว์ใหญ่ และพรานสมัครเล่นคอื
นายพรานทลี่ า่ สัตว์เล็กเพยี งเพื่อพอยังชีพเทา่ นน้ั
สำหรับพรานป่าใหญ่จะไปล่าสัตว์กันที่เขาสอยดาวเป็นหลัก มีทั้งที่ล่าสัตว์ตามใบงานและล่า
สัตว์โดยไม่มีใบงาน ในกรณีของการล่าตามใบงานของนายทุน โดยนายทุนจะให้ปืนล่าสัตว์เช่นปืนไรเฟิล
ชาวชองจะทำดินปืนเอง นายเฉิน ผันผายได้บอกสูตรการทำดินปืนคือประกอบด้วยการตำดินปืน (ขี้
คา้ งคาว) ดินบด พริก กระเทยี ม ของรอ้ นต่าง ๆ ตำรวมกัน และมกี ารเอาไม้กระดูกหมา (ผเู้ ขยี นไมท่ ราบว่า
คืออะไร) ถอื วา่ เป็นเชอ้ื แล้วเอาทั้งหมดไปคั่ว ทส่ี ำคัญดว้ ยจะตอ้ งมี "ไม้บังคับป่า" เชน่ ไมส้ ว้ มร้าง บา้ นร้าง
วัดร้าง/โบสถ์ร้าง, ดินหลังเมือง เพื่อทำให้ดินปืนเกิดความขลงั การล่าสัตว์จะทำกนั ในทุกฤดู แต่ส่วนใหญ่
แล้วจะเริ่มกันในชว่ งหลังจากฤดกู ารเก็บเกีย่ ว ยกเวน้ ในช่วงเขา้ พรรษาพรานจะไม่ทำการลา่ สัตว์
การล่าสัตว์ต่าง ๆ ทั้งหมดเลิกกันไปเมื่อราว 30-40 ปีที่ผ่านมา เพราะได้มีการตั้งเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขา
สอยดาวขนึ้ เมอื่ พ.ศ.2515 ทำใหน้ ายพรานไม่สามารถเข้าไปล่าสตั วก์ นั ไดอ้ ีก (สมั ภาษณ์ นายเฉิน ผันผาย,
2558)
การแตง่ กายของกลุ่มชาตพิ ันธุช์ อง
ในอดีต ผู้ชายชาวชองจะนุ่งโสร่ง ไม่นุ่งกางเกง ไม่สวมเสื้อและมีผ้าขาวม้าเคียนเอว แต่ในบางโอกาสจะ
สวมเสื้อแขนส้ันสดี ำ สเี ทา หรือกรมท่าแลว้ แตค่ วามชอบ
สว่ นผู้หญิงนิยมน่งุ ผ้าโจงกระเบน ใสเ่ สือ้ แขนกระบอก ซึง่ ไม่คอ่ ยพบเหน็ ได้มากเทา่ ไหรน่ ัก ส่วนด้านในเป็น
เสื้อคอกระเช้า นอกจากนี้บางครั้งจะห่มสไบทับด้านนอกด้วย ผู้หญิงชาวชองหันมาเริ่มนุ่งกางเกงกันเมื่อ
ประมาณปี 2520 ส่วนเด็กผู้ชายสมัยก่อนจะนิยมไว้ผมเปียและไว้แกะ ผู้หญิงจะไว้จุก เชื่อว่าจะทำให้เด็กมี
อายุยืน และจะตัดกันเมือ่ อายุได้ 12 ปี สำหรับคนในปัจจุบนั มเี พียงเฉพาะคนแกท่ ี่ยังแต่งกายในแบบดั้งเดิม
ซง่ึ โดยมากมักมีอายุ 50-60 ปขี ึน้ ไป ส่วนคนรนุ่ หนมุ่ สาวเป็นการแต่งกายตามสมัยนิยมกนั หมด
ศาสนาและความเชอื่ ของกลุ่มชาตพิ นั ธ์ชุ อง
ชาวชองก็ไม่ได้แตกต่างจากคนกลุ่มอื่น ๆ ในภูมิภาคอุษาคเนย์คือมีความเชื่อผสมผสานกันระหว่างศาสนา
ผี พุทธ และพราหมณ์ โดยศาสนาผีเป็นศาสนาดั้งเดิมก่อนการรับศาสนาพุทธและ พรามหณ์เข้ามา ใน
ภาษาชองเรียกผีว่า "มู้จ" แบ่งผีออกเป็น 4 ชนิดได้แก่ ผีเรือน (มู้จต็อง) เป็นผีที่มีกันทุกบ้าน , ผีหิ้ง (มู้จต็
องพฮั ) และผีโรง
ประเพณแี ละวัฒนธรรมของกลุ่มชาตพิ ันธช์ุ อง
ภาษาของกลุ่มชาตพิ นั ธุช์ อง
อาหารของกล่มุ ชาตพิ ันธ์ชุ อง
อาชีพของกลุ่มชาตพิ นั ธุช์ อง
อาชีพหลักของชาวชองในสมัยโบราณ คือการล่องแพ การหาของป่ามาขายในเมือง การล่องแพคือการนำ
ไม้ที่ได้ตัดมาจากป่านำมาทำเป็นแพซุง เช่น ไม้กันเกราไม้มะค่า ไม้ยางแดง ไม้ตะเคียน และไม้เนื้อแข็ง
ชนิดอื่น ๆ เครื่องเทศ และสมุนไพรต่าง ๆ เช่น เร่ว ผลกระวาน สมอ เครื่องยาต่าง ๆ รวมทั้ง ยางไม้ ไม้
กฤษณาน้ำมันยาง หวายชนิดต่าง ๆ เก็บรง ขี้ผึ้ง ชัน หนังสัตว์ เขาสัตว์ ซึ่งจะนำไปขายในตัวเมืองจันทบุรี
โดยทางเกวียนและการล่องแพ แล้วซื้อสิ่งของที่ใช้ในการด ารงชีพกลับมา เช่น กะปิ เกลือ หอม กระเทียม
น้ำอ้อย ดา้ ยยาฉนุ ตาปู ขวาน เล่อื ยและพรา้ กบั สงิ่ จำเป็นอนื่ ๆ เอาไว้ใช้สอยการประกอบอาชชพี อกี อย่าง
หนึ่งของชาวชอง คือ การทำนาปลูกข้าว ซึ่งเป็นอาชีพหลักของชาวชองการทำนาจะปลูกเพียงเพื่อพอกิน
เท่านั้น ไม่ใช่เพื่อการค้าขายแต่อย่างใด จะทำกันใน 2 ลักษณะ คือ นาข้าวและนาไร่ โดยจะมีการลงแขก
เอาแรงกัน ปัจจุบันชาวชองได้หันมายึดอาชีพการท าเกษตรมากขึ้นด้วยการปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น เงาะ
ทเุ รียน มงั คุด ลำไย เป็นอาชพี หลกั เพราะในปัจจบุ ันมีการแข่งและการแลกเปลย่ี นที่สงู ข้นึ
อาข่า (Akah) หรือ อกี ้อ
ความเปน็ มา
ชาวอาข่าหรืออีก้อ หรือข่าก้ออาศัยอยู่ในมณฑลยูนาน แคว้นสิบสองปันนา และไกวเจา เมื่อถูกรุกรานจึง
ทยอย กันอพยพลงใต้ ไปยังแคว้นเชียงตุง พม่า แคว้นหัวโขง และแคว้นพงสาลี ในลาว บ้านหินแตก
ปัจจุบันตั้งอยู่ในเขตของดอยแม่สะลอง จ.เชียงราย เมื่อกว่า 80 ปีมาแล้ว และกระจายไปตาม จังหวัด
เชียงราย เชียงใหม่ ตาก กำแพงเพชร แพร่ ลำปาง และเพชรบูรณ์ อาข่า เป็นชนเผ่า ที่สามารถสืบสาว
รายนามบรรพบุรุษฝ่ายบิดาขึ้นไปถึงตัว "ต้นตระกูล" ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณี พิธีการ ทั้งตำนาน
สุภาษิต ได้เปน็ อยา่ งดี อาขา่ แปลวา่ อา...เปน็ คำข้นึ ตน้ ท่ีอาขา่ ใช้เรยี กบคุ คล ข่า.. แปลวา่ ไกล-ห่างไกล มี
ความหมายว่า กลุ่มคนท่ีอาศัยอยู่บนดอยสงู ซึ่งห่าง ไกลจากความเจริญ และไม่ชอบให้เรียก อีก้อ ด้วยถือ
เปน็ การดูถกู เหยยี ดหยาม ซ่งึ คำว่า อกี อ้ แปลว่า หนึง่ คน หน่ึงกลุ่ม
วิถชี วี ิต
ชาวอ่าข่ามักใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในไร่หรือพื้นที่เกษตรกรรมมากกว่า าข่าสามารถทำงานหนักได้เท่าเทียม
ผชู้ าย อยู่กับครอบครัว ผู้หญงิ ชาวอาข่าสามารถทำงานหนกั ไดเ้ ท่าเทียมผชู้ าย และสามารถทำงานในไร่ใน
ขณะที่แบกลูกน้อยไว้บนหลังไปด้วย ในปัจจุบัน ชาวอ่าข่าได้นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ร่วมกับ
ภูมิปัญญาท้องถิ่น การทำระบบการเกษตรผสมผสานอย่างยังไม่ เช่น น้ำ ในการจัดการทรัพยากรดิน น้ำ
และป่า เพื่อทำการเกษตรแนวใหม่ เช่น การขุดนา ขั้นบันได การปลูกพืชแนวระดับ เพื่อป้องกันหน้าดิน
พังทลาย การปลูกพืช หมุนเวียน การจัดทำระบบฝายอย่างง่าย การขุดร่องน้ำและทำท่อส่งน้ำเพื่อใช้ใน
การเกษตร รวมถงึ การบวชป่าชุมชนอาข่าเปน็ ชนเผา่ ทรี่ กั ความสนกุ สนาน ชอบการ รอ้ งรำทำเพลง แมข้ ณะ
ทำไร่อยู่หนุ่มอาข่าก็สามารถร้องเพลงโต้ตอบกับสาวอาข่า ได้ เมื่อถึงเวลากลางคืนหนุ่มสาวอ่าข่าก็จะมา
เจอกันในลานวัฒนธรรมของหมู่บ้าน บางคนเรียกสถานที่นี้ว่า ลานชุมชนหมู่บ้าน ลานสาวกอด ลาน
สันทนาการ ฯลฯ
การแตง่ กาย
อาขา่ ใช้ผ้าฝา้ ยทอเนอื้ แน่นยอ้ มเปน็ สีนำ้ เงนิ เขม้ และสดี ำ หญิง สวมเสอ้ื ตวั สั้น กระโปรงพลที สน้ั ผ้าคาดเอว
และผ้าพันน่อง ห้อยคอดว้ ยลูกปัด มจี ดุ เด่นที่หมวก ประดบั ด้วยลูกปัดหลากสี ความแตกต่างของหมวก อยู่
ที่หญิงวัยเด็ก วัยรุ่น สวมหมวกทรงกลม หากแต่งงานแล้วจะสวมหมวกทรงสูง ผู้ชาย สวมเสื้อคอกลมแขน
ยาว กางเกงขาก๊วย สีเดยี วกัน
ศาสนาและพิธีกรรมและความเชอื่
ชาวอาข่าอาข่าไม่มีคำว่า "ศาสนา" แต่มีคำว่า "บัญญัติอาข่า" ซึ่งครอบคลุมไปถึงขนบธรรมเนียมประเพณี
และพิธีการทุกอย่างในการดำเนินชีวิต มีความเชื่อในเรื่องผี โชคลาง และการเสี่ยงทาย เป็นที่สุด ผีหรือ ”
แหนะ” ได้เข้ามามีบทบาทในวถิ ีชวี ิตของชาวอาข่า มีผีดี เช่น ผีบรรพบุรษุ คอยให้ความคุม้ ครอง ส่วนผีรา้ ย
มักจะเป็นผีตายทั้งกลม ผีตายโหงผีป่า และผีน้ำ ซึ่งชอบทำให้คนเจ็บป่วย เหตุนี้เองอาข่าจึงไม่นิยมต่อน้ำ
เขา้ หมู่บ้าน และไมช่ อบอาบน้ำ ส่วนผีปา่ นั้นจะชอบหลอกหลอนคนและทำรา้ ยคนในป่า พธิ ีกรรมของอาข่า
มีอยู่ด้วยกัน 9 พิธี ได้แก่ พิธีขึ้นปีใหม่ พิธีเกี่ยวกับการเกษตรก่อนลงมือทำไร่ พิธีทำประตูหมู่บ้าน พิธี
บวงสรวงผีใหญ่ พิธีเลี้ยงผีบ่อน้ำ เพื่อความอุดมสมบูรณ์ของพืชไร่ พิธีโล้ชิงช้า เพื่อระลึกถึงเทพธิดาผู้
ประทานความอุดมสมบูรณ์ให้แก่พืชผลที่กำลังงอกงาม พิธีกินข้าวใหม่จัดขึ้นเพื่อฉลองรวงข้าวสุกและ
ขอบคณุ ต่อผีไร่ พิธไี ล่ผอี อกจากหมบู่ า้ น พธิ เี ล้ียงผีบรรพบุรษุ
วฒั นธรรมและประเพณี
ครอบครัวอาข่าเป็นแบบครอบครัวขยาย อยู่รวมกันหลายครอบครัว หนุ่มสาวอาข่ามีอิสระในการเกี้ยวพา
ราสีและการเลือกคู่ครอง หากแต่งงานแล้ว ผู้หญิงจะเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของผู้ชาย และมานบั
ถือผีฝ่ายสามี ทุกหมู่บ้านจะมีลานโล่งกลางหมู่บ้านเพื่อกิจกรรมต่าง ๆ ของหมู่บ้าน เป็นลานดินเรียกว่า
“ลานสาวกอด” หรือ “แดห่อง”เป็นลานที่ดินที่หนุ่มสาวชาวอาข่ามาพลอดรักกัน และเด็กๆมาร้องรำทำ
เพลงกัน นอกจากนี้ก็ยังมีประเพณี ปีใหม่ลูกข่าง ประเพณีไข่แดง โล้ชิงช้า ประเพณีไล่ผี ค่อนข้าง
หลากหลาย เช่น ประเพณี การฉลองปีใหม่ การฉลองพืชผล (กินข้าวโพดใหม่) การกินข้าวใหม่ การไหว้ผี
หลวง การไหว้ผีไร่ ผีนา การไหว้ผีบรรพบุรุษ ดนตรีเพลงชนเผ่า และการเต้นรำ เครื่องดนตรีชนเผ่ามีไม่
มากช้ิน ได้แก่ แคนน้ำเต้า และซงึ ใชเ้ ลน่ ประกอบการเต้นรำในงานต่างๆ เพลงลซี อมหี ลายประเภท เพลงที่
นิยมคอื เพลงเก้ยี วสาว ซ่งึ ชาย-หญงิ ร้องโตต้ อบกัน
เครื่องดนตรี จะเล่นในโอกาส ช่วงประกอบดำเนินพิธีในพิธีกรรม เช่น งานแต่งงาน งานบวช งานศพ พิธี
ดึงวิญญาณคนตายจากนรก เครื่องดนตรีของเมี่ยนมี 2 ประเภท คือ เครื่องเป่าได้แก่ ปี่ (จยัด) ทำด้วย
ทองแดง ทองเหลือง ความยาวประมาณไมน่ ้อยกว่า 50 เซนติเมตร และเครอื่ งตีได้แก่กลอง ฆอ้ ง และฉาบ
ภาษา
ภาษาอาขา่ จัดอยู่ในสาจา ยิ ( โลโล ) ของตระกลู พมา่ - ธิเบต มภี าษาพูด แต่ไม่มีภาษาเขียน
อาหาร
อาหารของอาข่าถือเปน็ อาหาร ‘คลีน’ ขนานแท้ เป็นอาหารเพื่อสุขภาพ เพราะจะกินผักสดท่ีปลูกหรือขึ้น
เองตามธรรมชาติ เช่น ผักกาดเขียว น้ำเต้า ฟักเขียว ฟักทอง บวบ ผักกูด ผักโขม หน่อไม้ หอม
ชู มะเขือ พริก แตง ถั่ว ฯลฯ กินกับน้ำพริกต่าง ๆ เช่น น้ำพริกมะแขว่น น้ำพริกถั่วลิสง น้ำพริกงา
ขาว น้ำพริกมะเขือเทศ น้ำพริกปลา ฯลฯ หรือนำผักสดมาต้ม ทำแกงจืด ผัดผัก หากมีเนื้อสัตว์ก็จะ
นำมาปรงุ เปน็ อาหารต่างๆ ท้งั อาหารแบบดง้ั เดมิ ของอาข่า หรือทำแบบอาหารเหนอื เช่น ลาบ ออ่ ม คว่ั
ฯลฯ ส่วนหมูหรือไก่จะนำมาทำอาหารตอนมีพิธีต่างๆ ถือเป็นอาหารพิเศษ ไม่กินพร่ำเพรื่อ ชาวอ่าข่าจะ
กินขา้ วกับนำ้ พรกิ และผกั เป็นหลัก หากใครเคยไปเยือนหมู่บ้านอา่ ข่าจะพบเหน็ คนอว้ นนอ้ ยมาก หรอื แทบ
จะไม่เห็นเลย (ยกเวน้ ผ้หู ญงิ หลังคลอด)
อาชีพ
ทำอาชพี ทางกสกิ รรม เชน่ การปลกู พืชไร่ เป็นการทำเพื่อยงั ชพี
สถานท่ที อ่ งเทีย่ ว
-บ้านกะเหร่ียงรวมมิตร
บนขอบริมของแม่น้ำกกด้านซ้าย ในตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย ณ บ้านกะเหรี่ยงรวมมิตร ที่นี่มีชน
เผ่าทีม่ าอาศัยรวมกนั ซ่ึงเป็นทีม่ าของชอื่ หม่บู ้าน ได้แก่ ชนกะเหร่ยี ง อาข่า ชนลาหู่ มง้ ลซี อ ไทลือ้ มีชนเผ่า
ทั้งหมดถึง 1500 กว่าหลังคาเรือน นักท่องเที่ยวจะได้ทำกิจกรรมสนุก ๆ อย่างเช่น การขี่ช้างเที่ยวชมบ้าน
ชาวเขา ชมน้ำตก นงั่ เกวียนชมวิวทิวทศั น์
เผา่ ม้ง
ประวตั ิความเปน็ มาของชนเผา่ ม้ง
ม้ง หมายถึง อิสระชน เดิมอาศัยอยู่ในประเทศจีน ต่อมาชาวจีนเข้ามาปราบปราม เป็นเหตุให้อพยพลง
มาถึงตอนใต้ของจีน และเขตอนิ โดจีน ในช่วงสงครามโลกครัง้ ที่ ๒ และตอนเหนอื ของประเทศไทย บริเวณ
ประมาณ พ.ศ. 2400 โดยมีสองกลุ่มได้แก่ ม้งน้ำเงินและม้งขาว ไม่ชอบให้เรียกว่าแม้ว โดยถือว่าเป็นการดู
ถูกเหยียดหยาม ประชากรของม้งในประเทศไทย มมี ากเปน็ อนั ดบั 2 รองจากกะเหรย่ี ง
วิถีชีวติ ของชนเผ่ามง้
ในอดีตน้นั มง้ อาศยั อยตู่ ามภูเขาอยูต่ ามธรรมชาติ ม้งตอ้ งตรากตรำทำงานหนักอยแู่ ต่ในไร่เทา่ นัน้ ทำให้ม้ง
ไม่มีเวลาที่จะดูแลตัวเองและครอบครัว ดังนั้นชีวิตความเป็นอยู่ของม้งจึงเป็นแบบเรียบง่าย เพราะคลุกคลี
กับธรรมชาตเิ ปน็ ส่วนใหญเ่ ท่านัน้
การแต่งกายของชนเผ่าม้ง
ม้งน้ำเงิน ผู้ชาย สวมเสื้อสีดำ หรือน้ำเงิน ตัวสั้น ตัวป้าย ปักลวดลาย แขนยาว ขลิบขอบแขนเสื้อด้วยสฟี า้
ส่วนกางเกงใช้สีเดียวกัน เป้ากางเกงจะกว้างและหย่อนต่ำลงมาถึงหัวเข่า ปลายขาแคบมีผ้าสีแดงคาดเอว
เอาไว้ ชายผา้ ท้ังสองข้างปักลวดลาย ห้อยลงมา ผูห้ ญิง สวมเส้อื สดี ำ หรอื สนี ้ำเงินเขม้ มลี วดลายที่หน้าอก
แขนยาวขลิบที่ปลายแขนด้วยสีฟ้า ปกเสื้อห้อยพับไปด้านหลัง ปักลวดลาย สวมกระโปรงจีบ รอบตัว
ลวดลาย จากการเขียนด้วยขี้ผึ้งแล้วนำย้อมสีน้ำเงิน มีผ้าผืนยาวปักลวดลาย หัอยชายปิดกระโปรง ผู้หญิง
ที่แต่งงานแล้ว จะใช้ผ้าพื้นเรียบ ขลิบชายด้วยผ้าสี มีผ้าแดงปักลวดลายที่ชายทั้งสองข้าง และปล่อยเป็นพู่
ห้อยลงมา คาดด้วยเขม็ ขัดเงินทบั พันแข้งด้วยผา้ สนี ำ้ เงินหรอื ดำ มวยผมไว้ท่ีกลางกระหม่อมมีชอ้ งผมมวย
พันเสริมให้ใหญ่ขึ้น แล้วใช้ผ้าโพกทับมวยผม ประดับเครื่องเงิน และเหรียญเงิน ม้งขาว ผู้ชาย แต่งกาย
คล้ายกันกับม้งน้ำเงิน แต่มีการประดับลวดลายน้อยกว่า ที่คอสวมห่วงเงินรอบคอหลายห่วง ผู้หญิง ส่วน
ใหญ่จะแต่งตัวคล้ายกันกับม้งน้ำเงิน เดิมนิยมสวมกระโปรงสีขาวล้วนไม่มีลวดลายใดๆ มีผ้าผืนยาวที่ปิด
ทับด้านหน้ากระโปรงปักลวดลาย พร้อมทั้งมีผ้าแถบสีแดงคาดเอว ปล่อยชายเป็นหางไว้ด้านหลัง ปัจจุบนั
นงุ่ กางเกงทรงจีนสนี ้ำเงนิ เข้มแทนกระโปรง พนั มวยผม และกนั เชิงผมด้านหน้าให้ดูมหี นา้ ผากกวา้ งข้ึน
ศาสนา ความเชอ่ื และพิธีกรรม
ชาวม้งมีการนับถือวิญญาณบรรพบุรุษ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวกับธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ที่อยู่บนฟ้า ใ นลำน้ำ
ประจำตน้ ไม้ ภูเขา ไรน่ า ฯลฯ ชาวมง้ จะต้องเซ่นสงั เวยสง่ิ ศักดสิ์ ิทธิ์ต่างๆ เหลา่ นีป้ ลี ะครงั้
วัฒนธรรม และประเพณี
ชาวเขาเผ่าม้งหรือม้งมีประเพณีและวัฒนธรรมตลอดทั้งความเชื่อ เป็นของตนเองสืบมาแต่บรรพบุรุษ เช่น
ประเพณีฉลองปีใหม่เรียกว่า “ น่อเป๊โจ่วซ์” แปลว่ากินสามสิบ โดยถือเอาวันสุดท้ายคือ 30 ค่ำ ของเดือน
12 ในทุกปีเป็นวันส่งท้ายปีเก่า อยู่ในราวปลายเดือนพฤศจิกายน ถึง ธันวาคม ชาวม้งจะประกอบพิธีกรรม
ต่าง ๆ ทุกคนจะสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ ประดับเครื่องเงินสวยงาม เด็ก ๆ จับกลุ่มกันเล่นลูกข่าง และร้องรำทำ
เพลง หนุ่มสาวจะจับคู่กันโยนลูกช่วง พูดคุยกัน ประเพณีแต่งงานชาวม้ง จะไม่เกี้ยวพาราสี หรือแต่งงาน
กับคนแซ่หรือตระกูลเดียวกันเพราะถือเป็นพี่น้องกัน ชาวม้งนิยมแต่งงาน ในระหว่างอายุ 15 – 18ปี เม่ือ
แต่งงานกันแล้วฝ่ายหญิงจะย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของฝ่ายชาย ซึ่งนับเป็นการเพิ่มสมาชิกในครอบครัวชาย
ชาวม้งอาจมีภรรยาได้มากกว่าหนึ่งคน อยู่รวมกนั ในบ้านของฝ่ายสามี
ภาษาของชนเผ่าม้ง
ภาษามง้ จดั อย่ใู นสาขาเมย้ี ว-เยา้ จองตระกลู จีน-ธิเบตไม่มภี าษาเขยี นแต่ยืมตวั อกั ษรภาษาโรมัน มาใช้
อาหารของชนเผา่ ม้ง
อาหารม้งเปน็ อาหารของชาวม้งที่พบส่วนใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จีนตอนใต้ และชมุ ชนมง้ อเมริกัน
ในประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นอาหารที่มีเอกลักษณ์ แต่ได้รับอิทธิพลจากอาหารลาว อาหารไทย อาหาร
เวียดนามและอาหารจนี อาหารม้งแตกต่างกันไปบา้ งตามภูมิภาค
อาชีพของชนเผา่ ม้ง
ม้งมีอาชีพอย่างเดียวคือ การเกษตร โดยจะปลูกไว้เพ่ือรับประทานในครัวเรือนเทา่ นัน้ เช่น ข้าว และพืชผัก
จะไม่มีการซื้อขายด้วยเงินตรา จะมีแต่การแลกเปลี่ยนกันด้วยสิ่งของเท่านั้น ม้งมีวิถีชีวิตที่ยากลำบากมาก
เพราะมง้ มีความคดิ ว่า ต้องมีลูกเยอะ ๆ เพ่ือตัวเองจะไดส้ บายในบนั้ ปลายของชวี ิต จึงเป็นเหตุให้ม้งมชี วี ิตท่ี
ลำบากมาก ๆ ต้องตรากตรำทำงานหนกั ในไร่เพ่ือมาเล้ียงปากเลี้ยงท้อง แต่ในปัจจุบันน้ี ม้งได้ถูกอพยพมา
ตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ราบลุ่ม ทำให้วิถีชีวิตของม้งเริ่มเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพการเป็นอยู่บนภูเขา การ
เป็นอยู่มีความดิ้นรนมากข้ึน การประกอบอาชีพทางเกษตรจึงมกี ารปรบั เปลี่ยนหลายรูปแบบมากขึ้น เช่น มี
การทำนา ทำไร่ และอ่ืน ๆ เป็นตน้
สถานท่ีท่องเทีย่ วของชนเผ่าม้ง
-บา้ นกะเหร่ยี งรวมมิตร
บนขอบริมของแม่น้ำกกด้านซ้าย ในตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย ณ บ้านกะเหรี่ยงรวมมิตร ที่นี่มีชน
เผ่าท่ีมาอาศยั รวมกนั ซ่ึงเป็นทมี่ าของชือ่ หมูบ่ ้าน ไดแ้ ก่ ชนกะเหรยี่ ง อาขา่ ชนลาหู่ มง้ ลซี อ ไทลือ้ มีชนเผ่า
ทั้งหมดถึง 1500 กว่าหลังคาเรือน นักท่องเที่ยวจะได้ทำกิจกรรมสนุก ๆ อย่างเช่น การขี่ช้างเที่ยวชมบ้าน
ชาวเขา ชมนำ้ ตก นัง่ เกวยี นชมวิวทวิ ทัศน์ ชมการแสดง
ลาหู(่ LAHU )หรอื มเู ซอ
ความเปน็ มา
ลาหู่ หรือ มูเซอ อาศัย อยู่ในประเทศจีน เมื่อถูกรุกราน จึงอพยพมาทางตอนใต้ เข้าสู่ประเทศพม่า และ
ทางเหนือของประเทศไทย เมื่อกว่า 13 ปีมาแล้ว โดยเข้ามาทางอำเภอแม่จัน เชียงแสน เชียงของ เวียงป่า
เป้า แม่สรวย จังหวัดเชียงรายและอำเภอฝาง อมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ อำเภอบางมะผ้า จังหวัด
แม่ฮ่องสอน มีเพียงส่วนน้อยที่มาจากอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก มูเซอที่รู้จักกันมากได้แก่ มูเซอดำ มูเซอ
แดง มีวัฒนธรรมประเพณีคลา้ ยคลึงกัน มูเซอ เป็นภาษาพม่า แปลว่า นายพราน เนื่องจากมีความชำนาญ
ในการล่าสัตว์โดยใช้หน้าไม้ ภาษาอังกฤษเรียกว่า ลาฮู ในกลุ่มมูเซอดำเรียกว่าลาฮูนา มูเซอแดง เรียกว่า
ลาฮูยี
วถิ ชี ีวติ
ชนเผ่าลาหู่นั้น โดยปกติแล้วชนเผ่าลาหู่ชอบอาศัยอยู่บนที่สูง และเป็นชนเผ่าที่ไม่ชอบความวุ่นวาย มีวิถี
ชีวิตความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย เป็นชนเผ่าที่สามารถปรับตัวเข้ากับผู้คนได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้พวกเขายัง
เคร่งครัดกับกฎระเบียบของความถูกและผิด ทุกๆ คนจะตอบคำถามในพื้นฐานเดียวกับคนรุ่นเก่า ชาวลาหู่
เขม้ แขง็ ต่อการยึดม่นั ตอ่ ความเป็นนำ้ หนึ่งใจเดียวกนั และทำงานดว้ ยกันเพอ่ื ยงั ชีพ ลาหอู่ าจเป็นกลุ่มคนท่ีมี
ความเท่าเทยี มทางด้านเพศมากท่ีสุดในโลก
การแตง่ กาย
ผู้หญิง มูเซอแดง สวมเสื้อตัวสั้นสีดำ แขนยาว ผ่าอก ติดแถบผ้าสีแดงที่สาบเสื้อ รอบชายเสื้อและแขน
ตกแต่งเสื้อด้วยกระดุมเงิน ส่วนผ้าซิ่นใช้สีดำเป็นพื้น มีลายสีต่างๆ สลับกันอยู่ที่เชิงผ้าโดยเน้นสีแดง
เปน็ หลกั
ผู้ชาย สวมเสื้อสดี ำ ผ่าอกกลาง กระดุมโลหะเงิน หรือกระดุมเปลอื กหอย กางเกงจีนสีดำหลวมๆ ยาวลงไป
แค่เขา่ หรือใตเ้ ข่าเล็กน้อย
ผู้หญิง มูเซอดำ แต่งกายด้วยเสื้อแขนยาว ตัวเสื้อยาวถึงครึ่งน่อง ผ่ากลางตลอดตัวขลิบชายเสื้อและตก
แต่งตัวเสื้อด้วยผ้าสีขาว นุ่งกางเกงขาก๊วยสีดำ โพกศีรษะด้วยผ้าดำยาว และปล่อยชายผ้าห้อยไปข้างหลัง
ยาวประมาณ 1 ฟตุ ปจั จบุ นั ใช้ผ้าเช็ดตวั โพกศรี ษะแทน ใชผ้ า้ สีดำพันแข้ง
ผชู้ าย สวมกางเกงขาก๊วยสดี ำ เสอื้ สนี ้ำเงนิ แขนยาวผ่าหนา้ ป้ายขา้ ง สัน้ แคบ่ น้ั เอว
ศาสนา ความเชือ่ พิธกี รรม
มูเซอนับถือผี มีบรรพบุรุษและสิ่งศักดิส์ ิทธิ์เป็นหลัก แต่ปัจจุบันก็มีการนับถือศาสนาพุทธ หรือศาสนาครสิ ต์
มากขึ้น มีความเชื่อ ที่มีพิธีกรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง ในการดำรงชีวิต การเกิด เจ็บ ตาย บุคคลที่มีอิทธิพลใน
หมู่บ้านมากที่สุดได้แก่ พ่อครู หรือปู่จอง การตัดสินเรื่องสำคัญๆของหมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้านและทุกคน
จะต้องฟังความคิดเห็นของพ่อครูเป็นหลัก ซึ่งหัวหน้าหมู่บ้านกับพ่อครูอาจจะเป็นคนเดียวกัน ที่เป็นผู้นำ
ทางพิธกี รรมเปน็ ผู้ ทำนายทายทัก รักษาอาการเจบ็ ป่วยดว้ ย สมุนไพร หรือภมู ิปญั ญาท้องถิ่น
วัฒนธรรม ประเพณี
ชาวมูเซอ มีอิสระในการเลือกคู่ครอง มีสัมพันธ์ทางเพศในอายุยังน้อย ไม่ชอบแต่งงานกับหญิงสาวบ้าน
เดียวกัน การแต่งงาน การหย่า ของมูเซอ จะต้องมีการฆ่าหมู เพื่อสังเวยแก่ผีที่กลางลานใหญ่ของหมู่บ้าน
เป็นท่สี ำหรับเต้นจะคใึ นช่วง งานปีใหม่หรือ มีพิธีทำบุญตา่ งๆ เชน่ ทำบญุ ข้นึ บ้านใหม่ พธิ กี นิ ขา้ วใหม่
ภาษา
มูเซอพูดภาษาธิเบต- พม่า ซึ่งคล้ายคลึงกับพวกอาข่าและลีซอ มูเซอส่วนใหญ่พูดภาษาไทใหญ่และลาวได้
บางคนกพ็ ูดภาษาจีนยนู าน หรือพมา่ ภาษามูเซอแดงและมูเซอดำต่างกันไมม่ ากนกั จงึ ฟังกนั รู้เรอื่ ง
อาหาร
เนอ้ื หมยู ่างใส่กระบอกไมไ้ ผ่ น้ำพริกมูเซอ ตม้ ฟักเขยี ว ปลีกล้วยต้มใส่ปลาเเหง้ เเละตม้ ฟักทอง
อาชพี
อาชีพการทำไร่ ทำสวน
ชนเผา่ มอญ
ประวัติทีม่ าของกลุม่ ชาติพันธ์ุมอญ
ประวัติศาสตร์ชาวมอญนับเป็นชนชาติพ้ืนเมอื งเก่าแกก่ ลุ่มหน่งึ ในดินแดนเอเชยี ตะวันออกเฉยี งใต้ ทั้งนี้ ถ่ิน
ฐานกำเนิดเดิมของชาวมอญก่อนที่จะอพยพมายังดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงเป็นข้อถกเถียง
ระหว่าง 3 แนวคิดที่สำคัญ กล่าวคือ แนวคิดแรก สันนิษฐานว่า ชาวมอญมาจากทางตะวันตกของประเทศ
จีน และเข้าสู่เอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ แนวคิดทีส่ อง ชาวมอญมาจากภเู ขาหิมาลัย ลงมาที่ลุ่มแม่นำ้ คงคา -
พรมบตุ ร เขา้ สูแ่ คว้นอสั สัมของอินเดีย และแนวคดิ ทีส่ าม ชาวมอญมาจากอินเดียทางตอนใต้
วถิ ชี วี ิตของกลมุ่ ชาติพันธุ์มอญ
การดำรงชีพชาวมอญเป็นกลุ่มเศรษฐกิจที่สำคัญอีกกลุ่มหนึ่งในสังคมไทยในอดีต แม้ว่าชาวมอญจะมี
สถานภาพเป็น “ไพร่หลวง” ภายใต้ระบบไพร่นับตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงต้นรัตนโกสินทร์ แต่รัฐไทย
ก็ให้ความเป็นอิสระทางเศรษฐกิจต่อชาวมอญพอสมควร ชาวมอญจึงสามารถเลือกประกอบอาชีพต่าง ๆ
ตามความถนัดของตนเอง ตั้งแต่ช่วงแรกที่อพยพมาประเทศไทย ซึ่งแตกต่างจากแรงงานจีนที่เริ่มเข้ามา
เป็นแรงงานรับจ้างโดยตรง อย่างไรก็ตาม แม้ว่าชาวมอญมีบทบาทเป็นผู้ประกอบการสำคัญทางเศรษฐกจิ
ทั้งในแง่ผู้ผลิตและผู้ขาย อันมีส่วนขับเคลื่อนการแลกเปลี่ยนและไหลเวียนของสินค้าและเงินตราในระบบ
เศรษฐกิจ แต่ชาวมอญไม่ได้เป็นผู้กุมอำนาจทางเศรษฐกิจการค้าที่สำคัญของประเทศไทยแบบคนจีน
เพราะระบบเศรษฐกจิ ของชาวมอญมลี ักษณะเปน็ เศรษฐกจิ ท่เี ล้ียงตนเองได้ กิจกรรมทางเศรษฐกจิ สว่ นใหญ่
จึงหมุนเวียนอยู่ในระบบท้องถิ่นภายในหมู่บ้านของตนหรือบริเวณใกล้เคียงเท่านั้น อาชีพสำคัญของมอญ
ในอดีต คือ การทำนา เหมือนกับที่เคยทำอยู่ในประเทศพม่าและคนไทยทั่วไป กรรมวิธีในการทำนาของ
ชาวนามอญก็ไม่ต่างไปจากชาวนาไทยนัก เครื่องมือที่ใช้ในการประกอบอาชีพดังกล่าว ได้แก่ คันไถและ
คราด ใช้ววั และควายเปน็ แรงงานสำคญั ซึง่ นอกจากจะใช้ไถนาแล้วยงั ใช้ในการนวดขา้ วเพื่อแยกเมล็ดข้าว
ออกจากรวงอีกด้วย ในพื้นที่ไร่นาบางแห่งยังมีการปลูกพืชผลต่าง ๆ เช่น ผักและผลไม้ต่าง ๆ มันเทศ
น้ำเต้า สัปปะรด ออ้ ย ฯลฯ
การแต่งกายของกล่มุ ชาตพิ ันธุม์ อญ
ชายชาวมอญสวมเสื้อ เป็นเสื้อคอกลมผ่าอก แขนทรงกระบอก มีกระดุมผ้า หรือเชือกผูกเข้ากัน สมัยก่อน
นิยมโพกศีรษะ ท่อนล่างสวมผ้านุ่ง เรียกว่า เกลิด และเวลาออกงานสำคัญนุ่งผ้าผืนยาวที่เรียกว่า เกลิดฮะ
เหลิ่น แปลว่า ผ้านุ่งยาว (ลอยชาย) มีสไบพาดไหล่สองข้างทิ้งชายไปข้างหลังหรือพาดบ่าด้วยผ้าขาวม้า
หากเป็นงานบุญจะพาดดา้ นซ้ายมือ
หญิงชาวมอญสวมเสื้อตัวในคอกลมแขนกุดตัวสั้นแค่เอว เล็กพอดีตัว สีสันสดใส สวมทับด้วยเสื้อแขนยาว
ทรงกระบอก เป็นผ้าลูกไม้เนื้อบาง สีอ่อน มองเห็นเสื้อตัวใน หากยังสาวอยู่แขนเสื้อจะยาวถึงข้อมือ หากมี
ครอบครัวแล้ว จะเป็นแขนสามส่วน มีการคล้องผ้าสไบ ถ้าเป็นงานบญุ จะคล้องผา้ ทางด้านซา้ ยมือ แต่หาก
ไปงานรื่นเริงก็ใชค้ ล้องคอแทน หรือพาดลงมาตรง ๆ บนไหล่ซ้าย ท่อนล่างสวมสวม หนิ่น คล้ายผ้านุ่งของ
ผู้ชาย แต่ลายของผู้หญิงจะละเอียดกว่าและวิธีการนุ่งต่างกัน หญิงมอญนิยมเกล้าผมมวย ค่อนต่ำลงมา
ทางด้านหลัง มเี ครื่องประดับ 2 ช้ิน บงั คับไม่ให้ผมมวยหลุด คือ โลหะรูปตัวยูคว่ำ และ โลหะรูปปีกกาตาม
แนวนอน และปกั ปน่ิ ปักผม
ศาสนาและความเชอ่ื ของกล่มุ ชาตพิ นั ธุม์ อญ
ความเช่ือเก่ียวกบั พุทธศาสนาชาวมอญยอมรับนับถือศาสนาพทุ ธแบบเถรวาทมาช้านาน ตง้ั แต่อาณาจักรสุ
ธรรมวดีหรือสะเทิม ซึ่งเป็นอาณาจักรแห่งแรกของชาวมอญ ชาวมอญนับถือศาสนาพุทธอย่างเคร่งครัด มี
ข้อปฏิบัติเกี่ยวกับศาสนาพุทธอยู่มากมาย เช่น ห้ามใส่รองเท้าเข้าบริเวณวัด ห้ามผู้หญิงเข้าในพระอุโบสถ
มีการฟังเทศน์ สวดมนต์ ปฏิบัติธรรมในวัดพระ และเม่ือถึงวันสำคัญในเทศกาลต่าง ๆ จะพากนั ไปทำบุญท่ี
วัดอย่างพร้อมเพรียง และนิยมที่จะบริจาคเงินให้แก่วัด ด้วยเชื่อมั่นว่า การทำบุญอุทิศเพื่อศาสนานั้นจะ
เป็นผลอานสิ งสส์ ่งให้วิญญาณไปสสู่ วรรค์
ประเพณีและวัฒนธรรมของกลมุ่ ชาติพนั ธ์มุ อญ
ขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวมอญนั้น มีวัฒนธรรมเป็นแบบฉบับมายาวนาน บางอย่างมีอิทธิพลให้กับ
ชนชาติใกล้เคียง เช่น ประเพณีสงกรานต์ ข้าวแช่ ฯลฯ บางอย่างก็ถือปฏิบัติกันแต่เฉพาะในหมู่ชนมอญ
เท่านั้น ชาวมอญมีเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง ขณะเดียวกันก็นับถือผีบรรพบุรุษกับผีอื่น ๆ ที่มี
อิทธิฤทธิ์ รวมทั้งเทวดาองครักษ์ประเพณีแห่หงส์ ธงตะขาบ ของภาคกลางใน จังหวัดสมุทรปราการ โดย
ชาวพระประแดง (มอญปากลัด) ปกติมักจัดขึ้นในวันที่ 13 เมษายนหรือตรงกับช่วงวันสงกรานต์ ความ
เป็นมาหรือสาระสำคัญของประเพณีแห่หงส์ ธงตะขาบ ก็เพื่อเป็นการระลึกและเป็นการบูชา รวมไปถึงการ
เฉลิมฉลองให้กับครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จกลับลงจากจากชั้นภพ ดาวดึงส์ เป็นการถือปฏิบัติสืบทอดกันมา
จนถงึ ปัจจุบัน โดยผคู้ นต่างมกั จะนำเสาหงส์และธงตะขาบมาใช้คกู่ ัน
ภาษาของกลมุ่ ชาติพนั ธุม์ อญ
ภาษามอญอยู่ในสายโมนิก (Monic branch) ของตระกูลมอญ - เขมร (Mon – Khmer family) ซึ่งอยู่ใน
ตระกลู ภาษาออสโตรเอเชียตกิ (Austroasiatic phylum) โดยตระกูลภาษาดงั กล่าวมอี ายุประมาณ 3,000 –
4,000 ปีมาแล้ว
อาหารของกลมุ่ ชาติพนั ธมุ์ อญ
ชาวมอญนิยมนำผักตามฤดูกาลและปลาในท้องถิ่นมาประกอบอาหารเป็นแกงส้มและแกงเลียง ส่วนใน
เทศกาลสงกรานต์ ชาวมอญนิยมทำ ข้าวแช่ หรือ เปิงด้าจก์ หรือ เปิงซงกราน ที่แปลว่า ข้าวสงกรานต์
เพ่อื บชู าเทวดา
อาชีพของกล่มุ ชาตพิ ันธม์ุ อญ
อาชีพของชาวมอญคือ การทำนา การทำสวนผลไม้ ชาวมอญมคี วามชำนาญในการทำอุตสาหกรรมในครัว
เรอื น เช่น ตุ่ม หมอ้ ไห โอง่ และการทำอฐิ
ชนเผา่ ลาวแงว้
ประวตั แิ ละท่ีมาของกลมุ่ ชาติพนั ธ์ลุ าวแง้ว
จากงานวิจยั ตา่ ง ๆ ทำให้เกดิ ขอ้ สันนิษฐานเกี่ยวกบั การเดินทางเข้ามาของกลมุ่ คนลาวในอดีต จากเอกสาร
ประวัติศาสตร์ที่ปรากฏอยู่อย่างไม่ชัดเจนบ้าง จากคำบอกเล่าบ้าง พบว่า ลาวแง้วน่าจะถูกกวาดต้อนมา
พร้อมกับกลุ่มลาวจากหัวเมืองแถบหลวงพระบาง เดินทางมาจากลาวในช่วงเหตุการณ์กบฏเจ้าอนุวงศ์
(การเรียกว่า กบฏเจ้าอนุวงศ์ เรียกโดยรัฐไทยในกรุงเทพ ฝั่งลาวไม่เรียกเช่นนี้) ศึกเจ้าอนุวงศ์เกิดขึ้น ๒
ครั้ง คือ พ.ศ. ๒๓๗๑ และ ๒๓๗๓ รัชกาลที่ ๓ สั่งเผาเมืองเวียงจันทน์ แล้วต้อนผู้คนมายังพระนครหลาย
ระลอกเป็นจำนวนมาก มากจนมีคำกล่าวว่า กวาดลาวมาครึ่งประเทศ ความรู้สึกนั้นยังถูกถ่ายทอดสู่
ลูกหลานลาวจนปัจจุบัน กลุ่มคนลาวถูกกวาดต้อนมาดั่งเชลยศึกมีทั้งกลุ่มพวนและไทดำเดินทางมาด้วย
ย้อนกลับไปเมื่อครั้งสมัยอยุธยาที่มีการกวาดต้อนผู้คนมาจากที่ต่าง ๆ ก็ไม่ได้จำแนกคนที่ถูกกวาดต้อนมา
ว่าเปน็ คนกลุ่มใด เรียกรวม ๆ ว่า ลาว ซ่งึ เป็นการเรยี กทดี่ ถู กู หมายถึงคนทีอ่ ยู่ทางเหนอื หวั เมืองภาคเหนอื
และตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น เชียงใหม่ หลวงพระบาง จำปาศักดิ์ เรื่อยไปถึงสิบสองจุไท กลุ่มไทดำ ลาว
ซงึ่ ส่วนใหญ่พดู ภาษาไท-ลาว อยา่ งคำเรียกมณฑลลาวพุงดำ ลาวพุงขาว ลาวพงุ ดำคือคนท่สี กั รา่ งกาย สัก
ขา สักรูปมอมหรือสกั ดำทึบ การเรียกที่ดถู ูกยังปรากฏอยู่ในวรรณกรรม เช่น ขุนช้างขุนแผน ผู้หญิงลาวถูก
เรยี ก อลี าว กนิ กบ กิ้งกา่
วิถีชีวติ ของกลุ่มชาติพันธ์ลุ าวแงว้
ส่วนใหญ่ลาวแง้วที่อยู่ภาคกลางมักทำการเกษตร โดยเฉพาะทำนาปลูกข้าว พื้นที่ทำนาถูกปรับพัฒนาอยู่
เป็นระยะอย่างต่อเนื่อง จากอดีตมีการส่งส่วยให้รัฐเพราะเป็นเชลยศึกสงคราม ต่อมารัฐมีการพัฒนาพื้นที่
ภาคกลาง ทำระบบชลประทาน เพื่ออำนวยการปลูกข้าวของราษฎรการทำนาบ้านน้ำจั้นอดีตทำนาแบบไว้
บริโภคเองในครอบครัว หากเหลือก็เก็บไว้ บ้างนำไปแลกอย่างอื่นเป็นการทำนาแบบยังชีพรอน้ำฝนเพียง
อย่างเดียว หากใครต้องการข้าวมากขึ้นก็จะซื้อที่นาเพิ่มหรือถางเพิ่ม จับจองเพิ่ม ต่อมาช่วงปี ๒๔๘๙ มี
ชลประทาน สามารถทำนาแบบไม่ต้องรอฝน มีน้ำใช้ระหว่างฤดู เริ่มใช้วัวควายมาช่วยทำนาเป็นเครื่องทุน่
แรง ต่อมาใช้รถไถนา พอหมดหน้านาชาวบ้านปลกู ถัว่ ดิน หรือ ถั่วลิสง งา ต่อมามีการทำนา ๒ ครั้ง เรียก
นาปรัง การทำนาปรัง ทำให้ชาวนาเริ่มใช้เงิน เมื่อเงินไม่พอก็กู้เงินเจ๊กหรือรายทุนในตลาด เอาที่ดินไป
จำนอง เอาเงนิ มาใช้ พอครบสัญญาไมม่ ีเงนิ ส่ง เจก๊ จะคดิ ดอก บางทกี ต็ ้องซอ้ื รถ ซื้อวัว ซอื้ ควาย เงนิ ไมพ่ อ
คืนเจ็กก็ถูกคิดดอกทบต้นทบดอก จนต้องขายที่นา วิธีการทำนาปรังเริ่มจากใช้รถไถผืนดิน คราดดินให้
เตียน รวมทั้งปั่นดินให้เตียน เรียกว่า การทำนาน้ำตม พอผืนดินเตียนเริ่มหว่านข้าว ก่อนหว่านข้าวจะ
นำไปแช่น้ำไว้ ๒ คืน ให้ข้าวงอก แล้วจึงนำข้าวไปหว่าน ก่อนจะเกี่ยวข้าวจะคอยสังเกตดูว่ามีหนอนและ
เพลี้ยหรือไม่ ถ้ามีเกษตรอำเภอจะมาให้คำแนะนำ บางครั้งนำยาฆ่าแมลงมาให้ พอข้าวเหลืองเตรียมจ้าง
รถมาเกี่ยว ได้ข้าวมานำข้าวมาตากให้แห้งเพื่อรอจำหน่าย หากไม่ขายเก็บไว้ทำพันธุ์ในฤดูต่อไปการทำ
นาที่บ้านหนองเมอื ง มกั ปลกู “หอม” เป็นอาชพี เสริม ทอผา้ และมบี างที่ให้เชา่ ทำสวนสม้ มกี รณที ี่ชาวบา้ น
ให้เช่าพื้นที่ที่ใกล้คลองชลประทานเพื่อทำสวนส้ม ถึงคราที่ชาวนาเจ้าของที่จะทำนาปรัง ซึ่งต้องใช้น้ำ ๒
ครั้งต่อปีในการทำนา และการนำน้ำมาใช้เพื่อทำนาต้องผ่านพื้นที่ของสวนส้ม จึงทำให้ผู้ที่มาเช่าท่ีทำสวน
ส้มไม่ยอมให้สวนเป็นทางน้ำผ่าน จึงมีการขายน้ำเพื่อให้ชาวนาได้ทำนาปรัง นอกจากนี้ในการทำสวนส้ม
ต้องพึ่งยาฆ่าแมลงเป็นจำนวนมาก และยังมีปัญหาอื่น ๆ ตามมา เช่น เมื่อชาวนาต้องปลูกข้าวเพื่อได้
ปริมาณมาก การใช้สารเคมีต่าง ๆ มักมาพร้อมกันเสมอ รวมทั้งการกู้เงินเพื่อทำนาทั้งในระบบและนอก
ระบบ ทำให้ชาวนาต้องรีบทำการปลูก เก็บเกี่ยว และส่งขาย ส่งผลให้บางพิธีกรรม เช่น การเอิ้นขวัญข้าว
หรือทำขวัญข้าว เชิญข้าวเข้ายุ้ง เริ่มไม่มีและลดน้อยลง เพราะชาวนาไม่มีเวลา ทุกอย่างต้องรีบเพื่อขาย
และนำรายได้ไปใช้หนี้
การแต่งกายของกล่มุ ชาติพนั ธ์ลุ าวแง้ว
ด้วยไม่มีการบันทึกอย่างชัดเจนถึงการแต่งกายของชาวลาวแง้วในเอกสารประวัติศาสตร์ทำให้ไม่สามารถ
ระบุได้อย่างแน่ชัด แต่จากคำบอกเล่าถึงความยากลำบากในการเดินทางอพยมาของบรรพบุรุษลาวแง้ว
ในช่วงขณะสงครามและจังหวะที่ถูกกวาดต้อน ชาวบ้านส่วนใหญ่กำลังดำเนินชีวิตประจำวันตามปกติอยู่
ทำให้ไม่มีเวลาเก็บข้าวของ หรือเตรียมตัวเดินทางมายังสยาม แต่ในปัจจุบันชาวลาวแง้ว บ้านทองเอนได้
ออกแบบและรณรงค์ใหก้ ารแตง่ กาย โดยนงุ่ ซิน่ และพาดสไบ จากผ้าทท่ี อด้วยลวดลายแบบลาว
ศาสนาและความเชอ่ื ของกล่มุ ชาตพิ นั ธ์ุลาวแงว้
ชาวลาวแง้วมีคติความเชื่อในหลาย ๆ สิ่ง เช่นเชื่อใน "คุณพระ" คุณพระอาจจะเป็นรากไม้หรือสิ่งอื่น ๆ ที่
นำมาบูชาไว้ในหิ้งพระ เชื่อว่าคุ้มครองภยันตรายและช่วยให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ คุณพระนี้จะไม่มีทุก
บ้าน และเมื่อถึงวันขึ้น 13 ค่ำ เดือน 12 บ้านที่มีคุณพระก็จะต้องทำพิธีไหว้ครู โดยที่ผู้ที่อยู่ใกล้เคียง หรือผู้
ที่เคยรกั ษาโรคจากคุณพระก็จะมารว่ มไหว้ครูด้วย ความเชื่อเก่ียวกับปู่ตา หรือวิญญาณของคนเฒ่า คนแก่
ที่ตายไปแล้วแต่ชาวบ้านให้ความนับถือมาก และได้ช่วยกันทำศาลเพียงตา หรือปัจจุบันเรียกศาลเจ้าพ่อ
ชาวบา้ นจะร่วมทำพธิ ีเซน่ ไหวใ้ นเดอื น 6 เพอ่ื แสดงความเคารพตอ่ ผีทคี่ ุ้มครองหม่บู ้าน[4] ความเช่ือเก่ยี วกบั
วิญญาณ และผี ชาวลาวแงว้ มีความเชอ่ื เก่ียวกบั ผีทุ่ง ผนี า ผีเรือน ผีปอบ ผกี ะ จึงมกี ารทำพธิ ีเซ่นไหวผ้ ีตา่ ง
ๆ ด้วย ในการดำเนินชีวิตประจำวัน ชาวลาวแง้วมีความเชื่อเช่น คนป่วยเจ็บห้ามกิน ขนมเส้น (ขนมจีน)
เด็กตอนที่ยังไม่มีฟันห้ามส่องกระจก เพราะฟันจะไม่ขึ้น ผู้หญิงที่เลี้ยงลูกยากหรือเป็นคนกินลูกกินผัว ให้
สักตามต้นแขนจะเลี้ยงลูกได้ง่ายขึ้น ห้ามปลูกต้นลั่นทมและต้นมะรุมในบ้านเพราะจะทำให้ไม่มีความสุข
ห้ามนอนขวางขื่อและห้ามนอนหันหัวไปทางทิศตะวันตก เพราะถือว่าเป็นทิศที่คนตายหันหัวไป คนที่กิน
กล้วยแฝดเชื่อว่าจะมีลูกแฝด คนท้องไปงานศพให้เอาเข็มกลัดติดเสื้อ ถือเป็นเคล็ดอย่างหนึ่งที่กันผีไม่ให้
มองเห็นเด็กและเมื่อกลับ จากงานศพให้อาบน้ำ ล้างหน้าทันที การฝังรกให้ฝังไว้ใต้บันได เด็กจะได้ไม่ไป
ไกลบ้าน แต่บางบ้านจะนำรกไปวางไว้บนหนามไผ่หรือหนามพุทรา ทั้งนี้เพื่อให้เด็กที่เกิดมามีปัญญาหลัก
แหลม เวลาแต่งงาน ถ้ามีแก้วแตก ห้ามบ่าวสาวเก็บ เชื่อว่าเก็บจะ ทำให้มีการแตกแยกกันในวันข้างหน้า
เวลาปั้นขนมเม็ดขนุนในงานแต่งงาน ปั้นแล้วปั้นเลยห้ามทำใหม่เพราะจะทำให้บ่าวสาว แตกแยกกัน ดังนี้
เปน็ ตน้
ประเพณแี ละเทศกาลสำคญั ของกลุ่มชาตพิ ันธล์ุ าวแง้ว
ประเพณีเพาะกระจาด โดยมากจะจัดช่วงปลายเดือนกันยายน ผู้มาร่วมประเพณตี ้องเอาของกำนัล อาหาร
หรืออะไรที่พอจะติดไม้ติดมือมาให้เจ้าภาพ มาร่วมทำบุญติดกันเทศน์ในบุญผเวส เทศน์มหาชาติ ทำบุญ
ด้วยผลไม้เพราะเชื่อว่าผลไม้แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ ทั้งยังอิงกับพระเวชสันดรชาดกตอนนางมัทรี
เดินทางอยู่ในเขาวงกต เจ้าบ้านหรือเจ้าภาพจะทำการเลี้ยงอาหารเป็นการตอบแทนผู้มาร่วมบุญ จะ
ทำอาหารเลี้ยงโดยเฉพาะขนมเส้นหรือขนมจีนด้วยความเชื่อที่ว่าชีวิตยืนยาวมีหลักธรรมสามัคคี และขนม
มัด พร้อมทั้งจะรวบรวมปัจจัยไปทำบุญที่วัด มีการเทศน์มหาชาติจบภายในวันเดียว บรรยากาศที่ตกแต่ง
ในวัดคล้ายป่าหินพานต์ ตกแต่งด้วยผลไม้ กล้วย อ้อย รวงผึ้ง อิงกับเรื่องเล่าเมื่อสมัยพุทธกาลตอน
พระพุทธเจ้าปฏิบัติธรรมในป่า มีช้างถวายกล้วยให้พระพุทธองค์ และลิงเห็นช้างถวายจึงถวายรวมผึ้งให้
พระพุทธองค์บ้าง ก่อนถึงวันงานบุญชาวบ้านจะร่วมทำเส้นขนมจีนเป็นการสร้างความสามัคคีในชุมชน
สำหรับการเป็นเจ้าภาพกัณฑ์เทศน์ทั้ง ๑๓ ชาวบ้านจะมาจับฉลากว่าตนเองได้ดูแลกัณฑ์เทศน์ใด และ
จัดทำต้นกัณฑ์เทศน์ถวายวัดระหว่างช่วงงานเทศน์มหาชาตินี้บ้านทองเอนมีประเพณีแห่ข้าวพันก้อน มัก
จัดขึ้นช่วง ๑๒ และ ๑๓ ค่ำเดือน ๑๑ เป็นพิธีกรรมหนึ่งในเทศน์มหาชาติ ตกแต่งบนวัดคล้ายป่าหินมา
พานต์ ชาวบ้านจะนำธงจำนวนเท่าอายุมาประดับตามเสาเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ ชาวบ้านจัดเตรียม
ข้าวของเพื่อประกอบพิธี ได้แก่ เมี่ยงห่อใบชะพลู ปั้นข้าวเหนียวนึ่งใส่กระทงใบตอง แล้วนำไปวางไว้หน้า
ธรรมมาสตร์ การปั้นข้าวเหนียวเรียกว่า การพันข้าว ไม่ใช่จำนวนหนึ่งพันก้อน เพื่อนำมาบูชาคถากัณฑ์
การบูชาจะทำตอนกลางวันบนศาลาการเปรียญ โดยจุดเทียนปักไว้ในจานที่มีข้าวเหนียวปั้น และเดินรอบ
ธรรมมาสตรบ์ นศาลาจำนวน ๓ รอบการฟังเทศน์มหาชาติ
ภาษาของกลุม่ ชาตพิ ันธล์ุ าวแงว้
อยู่ในตระกลู ภาษาไท-กะได กลุ่มตะวนั ตกเฉยี งใต้ จากการแยกเสยี งวรรณยุกต์พบวา่ ภาษาลาวแง้วมีความ
ใกล้เคียงกับสำเนียงภาษาแบบหลวงพระบางและลาวครั่ง ที่ถูกกวาดต้อนมาจากเมืองเพวิง เมืองเลย เมือง
แก่นท้าวบริเวณอำเภอท่าลี่ไม่ไกลจากเลยด่านซ้าย ซึ่งอยู่ในเขตหลวงพระบาง เมืองลม ปากลาย ใน
สาธารณรฐั ประชาธิปไตยประชาชนลาว
อาหารของกลุ่มชาติพันธ์ลุ าวแงว้
ลาวแง้วมีความเป็นอยู่กินกันอย่างเรียบง่าย เก็บผักตามหมู่บ้านและป่าละเมาะ หมู เนื้อ ไก่ ปลา เพิ่งนำมา
ประกอบเป็นอาหารกันบ้างในปัจจุบัน ชาวลาวแง้วบริโภคข้าวเจ้ากันเป็นส่วนใหญ่ แต่บางครั้งก็อาจนำ
ข้าวเหนียวไปด้วย หากต้องออกไปทำนาไกล ๆ สำหรับกับข้าวนั้นจะชอบกับข้าวที่มีรสจัด เช่น ลาบ ก้อย
ฯลฯ อาหารประเภทสุก ๆ ดิบ ๆ และ อาหารที่นิยมกิน เช่น ปลาร้า รับประทานทั้งดิบและสุก ปลาจ่อม
ปลาส้ม น้ำพริก แจ่ว แกงอ่อม โดยกินแนมกับผักสดต่าง ๆ ลาวแง้วไม่นิยมกินอาหารที่มีส่วนประกอบเป็น
กะทิ
อาชีพของกลมุ่ ชาตพิ นั ธุล์ าวแง้ว
ส่วนใหญ่ลาวแง้วที่อยู่ภาคกลางมักทำการเกษตร โดยเฉพาะทำนาปลูกข้าว พื้นที่ทำนาถูกปรับพัฒนาอยู่
เป็นระยะอย่างต่อเนื่อง จากอดีตมีการส่งส่วยให้รัฐเพราะเป็นเชลยศึกสงคราม ต่อมารัฐมีการพัฒนาพื้นท่ี
ภาคกลาง ทำระบบชลประทาน เพื่ออำนวยการปลูกข้าวของราษฎร พอหมดหน้านาชาวบ้านปลูกถั่วดิน
หรือ ถั่วลิสง งา ต่อมามีการทำนา ๒ ครั้ง เรียก นาปรัง การทำนาปรัง ทำให้ชาวนาเริ่มใช้เงิน เมื่อเงินไม่
พอก็กู้เงินเจ๊กหรือรายทุนในตลาด เอาที่ดินไปจำนอง เอาเงินมาใช้ พอครบสัญญาไม่มีเงินส่ง เจ๊กจะคิด
ดอก บางทีก็ตอ้ งซอื้ รถ ซอ้ื ววั ซื้อควาย เงินไมพ่ อคนื เจ็กกถ็ ูกคิดดอกทบต้นทบดอก จนต้องขายทนี่ า
ชนเผ่าพื้นเมอื งมอแกน
ความเป็นมาชนเผา่ พ้นื เมืองมอแกน
เดิมมีคำทใี่ ช้เรยี กชื่อผู้คนกลุม่ นีว้ ่าคอื “ชาวเล” ชือ่ ชนชาติเดิมพวกหน่ึงอย่ทู างทะเลด้านตะวนั ตกของแหลม
มลายู ฉลางหรือ “ชาวเล” ชาวเลทั้งหลายถือว่า “ชาวน้ำ” เป็นคำดูถูกดูแคลนทำให้รู้สึกแปลกแยกจาก
กลุ่มอื่นคำว่า “ชาวเล” ก็เป็นคำที่แสดงถึงทัศนะคติเชิงลบในหลายพื้นที่ ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลรู้สึกถึง
ความเป็นตัวตนที่ด้อยกว่าจนบางคนไม่อยากให้ใครรับรู้ว่าตนเองคือ “ชาวเล” ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดคำว่า
“ไทยใหม่” หมายถึงว่าชาวเลได้รับการยอมรับและยกระดับเป็นคนไทย ได้รับ สัญชาติไทย พูดสื่อสารด้วย
ภาษาไทยและได้รับการศึกษาในระบบของไทย ในปจั จุบัน เราเรียกชือ่ ชาวเลตามทกี่ ล่มุ เรียกตนเอง คือ มอ
แกน ตามตำนานที่เล่าสืบต่อกันมา คำว่า “มอแกน” มาจากคำว่า “ละมอ” (ในภาษามอแกน แปลว่า
จมน้ำ) และ “แกน” ซึ่งมาจากชื่อของน้องสาว ของราชินีซิเปียน ซึ่งถูกราชินีสาบให้มีชีวิตเร่ร่อนอยู่ในทะเล
ชีวิตของชาวมอแกน เดินทางไปตามเกาะต่างๆ จึงถูกกล่าวขานว่ามีชีวิตคล้ายกลุ่มยิปซีที่พักอาศัยอยู่ไม่
เป็นหลกั แหล่งแน่นอน และ เรียกกันวา่ “Sea gypsy” หรือ “ยิปซีทะเล”
วถิ ชี วี ิต
ชาวมอแกนตกปลา งมหอย ปลิงทะเล และสัตว์ทะเลอื่นๆ เพื่อเลี้ยงชีพและเพื่อค้าขายแลกเปลี่ยนกับข้าว
สารและข้าวของจ าเป็นมาช้านาน เครื่องมือที่ใช้เป็นเครื่องมือง่ายๆ ที่มักจะท าขึ้นเอง เช่น ฉมวกแว่นตา
ดำน้ำ เหล็กเกี่ยวปู เหล็กเจาะหอย ฯลฯ ในการออกทะเลไปในระยะใกล้ๆ ชายชาวมอแกนแจวเรือขนาด
เล็กที่เรียกว่า “ฉ่าพัน” ไปตกปลา งมหอย ปลิงทะเล จับปูและสัตว์ทะเลต่าง ๆ ผู้หญิงมอแกนจะชักชวนกัน
ไปหาอาหารยามที่น้ำทะเลลดลง โดยการเดินลัดเลาะไปตามโขดหิน หาดทราย แนวปะการัง ป่าชายเลน
ไปหาสตั ว์ทะเลมาท าเป็นอาหารสำหรบั คนในครอบครวั
การแตง่ กาย
มอแกนไม่มีเครื่องแต่งกายหรือชุดประจำเผ่าที่เป็นเอกลักษณ์ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของมอแกนเป็น แบบ
เรียบง่าย มีเพียงเสื้อ กางเกง หรือผ้านุ่ง ผ้าขาวม้าแบบคนในท้องถิ่นภาคใต้ หนุ่มสาวมอแกนสมัยนี้
แต่งตัวทันสมัยตามแฟชั่นเช่นคนเมืองมากขึ้น เช่น สวมกางเกงยีนส์เพราะได้รับอิทธิพลจากภาพยนตร์
ละคร แต่โดยทั่วไปหากอยู่ในชุมชน ชายมอแกนจะนิยมสวมกางเกงผ้าขายาว กางเกงขาสั้น ผ้าขาวม้า
เพียงตัว เดียวกับเสื้อยืดหรือเชิ้ต เพื่อความสะดวกและคล่องตัวในการทำงาน รวมถึงความเหมาะสมกับ
สภาพ อากาศ ขณะที่หญิงมอแกนจะสวมผ้านุง่ กับเสื้อ หรือผ้านุ่งเพียงอย่างเดียวแบบกระโจมอก หรือบาง
คนสวม ผ้านุ่งและเปลือยท่อนบนหรือสวมเพียงเสื้อชั้นในสำหรับหญิงที่แต่งงานแล้ว ส่วนเด็กเล็กๆ ก็จะ
สวมเสื้อผ้า ทัว่ ไป ขณะที่บางคนกไ็ ม่สวมใส่เส้ือผา้ เลย
ศาสนาและความเช่ือ
มอแกนมีความเช่ือเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็น “วิญญาณบรรพบุรุษ” และ “วิญญาณใน ธรรมชาติ” และ
ความเชือ่ เหลา่ นห้ี ลอมรวมและยดึ โยงชาวมอแกนในชุมชนไว้ดว้ ยกนั โดยมี “ออลางปตู ”ี หรอื ผู้น าทางจติ
วิญญาณที่เป็นคนเข้าทรงติดต่อสื่อสารกับวิญญาณเหล่านั้น และมีพิธีกรรมเพื่อให้สิ่งศั กดิ์สิทธิ์ ปกป้อง
ค้มุ ครองชมุ ชน ในพิธที ี่สำคัญคอื การฉลองเสาวญิ ญาณบรรพบุรุษในเดือน 5 ทางจนั ทรคติ มีการตัดไม้ มา
แกะทำเสาเพอ่ื เปน็ ตวั แทนของวิญญาณบรรพบรุ ษุ หญิง-ชาย หรือที่เรียกว่า “หลอ่ โบง”
ประเพณีและวัฒนธรรม
ชาวมอแกนตกปลา งมหอย ปลิงทะเล และสัตว์ทะเลอื่นๆ เพื่อเลี้ยงชีพและเพื่อค้าขายแลกเปลี่ยน กับ
ข้าวสารและข้าวของจำเป็นมาช้านาน เครื่องมือที่ใช้เป็นเครื่องมือง่ายๆ ที่มักจะทำขึ้นเอง เช่น ฉมวก
แว่นตาดำน้ำ เหล็กเกี่ยวปู เหล็กเจาะหอย ฯลฯ ในการออกทะเลไปในระยะใกล้ๆ ชายชาวมอแกนแจวเรือ
ขนาดเลก็ ทเี่ รยี กวา่ “ฉ่าพัน” ไปตกปลา งมหอย ปลิงทะเล จบั ปูและสัตวท์ ะเลต่างๆผู้หญิงมอแกนจะชกั ชวน
กันไปหาอาหารยามที่น้ำทะเลลดลง โดยการเดินลัดเลาะไปตามโขดหิน หาดทราย แนวปะการัง ป่าชาย
เลนไป หาสัตว์ทะเลมาทำเป็นอาหารสำหรบั คนในครอบครวั
ภาษา
ภาษามอแกน เป็นภาษาที่อยู่ในตระกูลออสโตรเนเชียน สาขามลาโย – โพลีเนเชียน สาขาย่อยมอแกน –
มอแกลน มคี วามใกล้เคียงกบั ภาษามอแกลนซ่ึงอยูใ่ นสาขายอ่ ยเดยี วกัน
อาหาร
มีการแบ่งบทบาทหน้าที่ระหว่างหญิงชายในครัวเรือน ขณะที่ผู้ชายแจวเรือฉ่าพันออกไปตก ปลา หญิงมอ
แกนจะชักชวนกันไปหากับข้าวยามที่น้ำทะเลลดลง เดินลัดเลาะไปตามโขดหินเพื่อหาหอยติบ ขุด เพรียง
ทราย มาทำเป็นอาหารสำหรับคนในครอบครัว ในช่วงฤดูฝน อาหาร พืชพรรณจากป่ามีความอุดม
สมบูรณ์ ชาวมอแกนก็ได้ใช้ประโยชน์จากป่า ขุดหัวเผือก หัวมัน หัวกลอย ผลไม้ป่า หน่อไม้ และพืชผัก
ต่าง ๆ ได้อย่างมากมาย เป็นระบบที่พึ่งพากันระหว่างมอแกนกับธรรมชาติ ระบบที่คนช่วยดูและรักษาป่า
และ ธรรมชาติ ป่าก็ให้ประโยชน์ในด้านอาหาร สมุนไพรกับมอแกนและใช้สอยอื่นๆ เช่น ท าเครื่องมือ
เครือ่ งใช้ใน บ้าน ไมฟ้ นื หงุ หาอาหาร
อาชีพ
ชาวมอแกนตกปลา งมหอย ปลิงทะเล และสัตว์ทะเลอื่น ๆ เพื่อเลี้ยงชีพและเพื่อค้าขายแลกเปลี่ยน กับ
ขา้ วสารและขา้ วของจำเปน็
ชนเผ่าญฮั กรุ
ประวัตคิ วามเปน็ มา
เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ท่ีถือว่าเป็นชนเผ่าพื้นเมืองของประเทศไทยกลุ่มหน่ึง มีประวัติศาสตร์การต้ัง ถ่ินฐานอยู่
ในแถบเทือกเขาเพชรบูรณ์ เทือกเขาดงพญาเย็น และเทือกเขาสันกาแพง ซึ่งเป็นเทือกเขาที่ทอดตัว
ต่อเนื่องกันในแนวต้ังจากทิศเหนือไปทางทิศใต้ ระหว่างภาคเหนือตอนล่างกับภาคกลางและภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือญัฮกุร เป็นกลุ่มชาติพันธ์ุดั้งเดิมของจังหวัดชัยภูมิ นครราชสีมา และเพชรบูรณ์
ปัจจุบันหากมองอย่าง ผิวเผิน พวกเขาอาจเป็นชาวบ้านธรรมดาที่ทามาหากินอยู่ในพื้นท่ี แต่ในความเป็น
จริงชาวญัฮกุรเป็นกลุ่มคน ทางประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐานอาศัยอยู่ในพื้นท่ีน้ีมานานกว่าคนไทยหรือคน
ไทยอีสาน เพราะพวกเขาตั้งถ่ิน ฐานอยู่ในพ้ืนที่แถบน้ีมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่ากลุ่มคนอื่นๆ ชาวญัฮกุ
รในอดีตมีคนนอกกลุ่มเรียกพวกเขา ว่า “คนดง” หรือ “ชาวบน” แต่สาหรับพวกเขา เรียกตัวเองว่า “ญัฮ
กุร” ซ่ึงหมายถึง “คนภูเขา” (ญัฮ แปลว่า คน กุร แปลว่า ภูเขา) และยังมีการเรียกตัวเองตามพ้ืนท่ี คือ
ชาวญัฮกุรจังหวัดเพชรบูรณ์ เรียกว่าตัวเองว่า “ละว้า” ชาวญัฮกุรเขตจังหวัดนครราชสีมาเรียกตัวเอ งว่า
ชาวบน และชาวญัฮกุรจังหวัดชัยภูมิเรียกตัวเองว่า “ชาวดง”มีการสืบค้นข้อมูลทางประวัติศาสตร์ชาวญัฮกุ
รจากนกั วชิ าการในสาขาท่เี ก่ยี วขอ้ งทั้งชาวไทยและชาว ต่างประเทศทีส่ ามารถลาดับความเปน็ มาไดด้ ังนี้
พ.ศ. 2461 อีริค ไซเดนฟาเดน (Erik Seidenfaden) สารวจพบเขตนครราชสีมา เรียกตัวตนของ ตนเองวา่
“เนียะกุล” โดย “เนียะ” แปลว่าคน “กุล” แปลว่าภูเขา อีกทั้งอธิบายว่า ญัฮกุรมีวิถีชีวิตเป็น นายพราน
เร่ร่อนในเขตป่าดงใกล้กบั เชิงเขาพนมดงรัก ซึ่งอยู่ใกล้กับรอยต่อของจังหวัดนครราชสีมาในเขต อาเภอปัก
ธงชัย และจังหวัดปราจีนบุรี คนภายนอกเรียกญัฮกุรว่า “ชาวบน”พ.ศ. 2462 อีริค ไซเดนฟาเดน (Erik
Seidenfaden) สารวจพบในเขตจังหวัดชัยภูมิ ทางราชการ เรียกกลุ่มนี้ว่า “ละวา” (Lava) เม่ือศึกษา
ทางด้านภาษาแล้วพบว่าเป็น “ญัฮกุร” ท่ีอพยพมาจากเพชรบูรณ์พ.ศ.2464พระเพ็ชร์บูรณ์บุรี(ผู้ว่าราชการ
จังหวัดสมัยน้ัน)ได้เรียกชาวญัฮกุรในพ้ืนที่จังหวัด เพชรบูรณ์ว่า “ละวา” (ไม่มีไม้โท) *คนภายนอกทั่วไป
เรียกชาวญัฮกุรว่า “ชาวบน” ทั้งสามพื้นที่พ.ศ. 2541 อภิญญา บัวสรวง ได้จัดทาสารนุกรมญัฮกุ้ร ใน
หนงั สอื เลม่ นีไ้ ด้ใส่ไม้โทเพือ่ กากบั เสยี ง ใหเ้ ปน็ เสยี งสูง นบั เปน็ หนงั สอื เล่มแรกๆ ทเี่ รียกชือ่ ญฮั กุร อย่างเป็น
ทางการพ.ศ.2549มีการส่งเสริมให้ญัฮกุรทาวิจัยร่วมกับนกั วิจัยของสถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรม เอเชยี
มหาวิทยาลัยมหิดล ทาให้ชาวญัฮกุรมีความภูมิใจในการเรียกชื่อตนเองว่า “ญัฮกุร” ในช่วงเวลาเดียวกัน
คาว่า “มอญโบราณ” ได้เริ่มแพร่หลาย โดยสุวิไล เปรมศรีรัตน์ ได้ตีพิมพ์หนังสือชื่อ “ญัฮกุร มอญโบราณ
แห่ง เทพสถิต” เผยแพร่ สาเหตุที่เรียกว่ามอญโบราณน้ัน เป็นเพราะภาษาของญัฮกุรมีความใกล้เคียงกัน
มากกับ ภาษามอญโบราณในสมัยทวารวดี ซ่ึงก่อนหน้านั้น นักภาษาศาสตร์ชื่อ เจอราร์ด ดิฟโฟลธ
(Gérard Diffloth) ไดศ้ ึกษาไวแ้ ล้วอย่างละเอยี ดในหนังสอื เรอื่ ง “The Dvaravati Old Mon Language and
Nyah Kur” ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1984
ชนเผ่า
พ.ศ.2551สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบทมหาวิทยาลัยมหิดลร่วมกับ สานักงานกองทุน
สนับสนุนการวิจัย และกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จัดประชุมวิชาการ โดยชุมชนมี
ส่วนรว่ ม “มหกรรมฟ้นื ฟภู าษาเพอื่ พฒั นาทอ้ งถนิ่ เม่อื 28-29 ตุลาคม พ.ศ. 2551 มีการนาเสนอ กรณศี ึกษา
กลุ่มชาติพันธุ์ 12 กลุ่ม โดย ญัฮกุรเป็นกลุ่มหนึ่งท่ีได้เข้าร่วมนาเสนอและแลกเปล่ียนความรู้ด้วยพ.ศ.2552-
2555มีการส่งเสริมการทาวิจัยเพื่อศึกษาแนวทางการจัดทาหลักสูตรท้องถิ่น ภาษาญัฮกุรของโรงเรียนวัง
โพธ์ิสว่างศิลป์ โดยการมีส่วนร่วมของชุมชนตาบลบ้านไร อาเภอเทพสถิต จังหวัด ชัยภูมิ และกระบวนการ
รวบรวมองค์ความรู้จากป่าชุมชนโคกคาเปรียงด้วยภาษาญัฮกุรเพ่ือหาแนวทางการ อนุรักษ์และสืบทอดสู่
ลูกหลานชาวฮัญกุร บ้านวังอ้ายโพธิ์ ตาบลบ้านไร่ อาเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิพ.ศ.2559ถึงปัจจุบันได้มี
การตื่นตัวของชุมชนชาวญัฮกุรในการพัฒนาตนเองในหลายพ้ืนที่ โดยเฉพาะในเขตตาบลบ้านไร่ ซึ่งเป็น
ที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม แหล่งท่องเที่ยวชมดอกกระเจียวช่วง เดือนมิถุนายนถึงกันยายนของ
ทกุ ๆ ปี
วถิ ีชีวิต
มีวิถีชีวิตท่ีมีลักษณะเฉพาะตน แต่งงานในกลุ่มชนเผ่าเดียวกัน การสร้างบ้านเรือนจะ ไม่ถาวร สามารถ
เคลื่อนย้ายไปต้ังถิ่นฐานในพื้นท่ีใหม่ได้ นิยมใช้ไม้ท่ีหาได้จากป่ามาสร้างบ้าน หลังคามุงด้วยตับ หญ้าคา
ยกพนื้ สูง ฝาบ้านและพ้นื เป็นไมไ้ ผ่ เมื่อแตง่ งานกนั ฝา่ ยชายจะเปน็ ฝา่ ยเข้าไปอย่บู า้ นพ่อแมฝ่ า่ ยหญงิ
การแตง่ กาย
ชาวญัฮกุรเป็นกลุม่ ชนพน้ื เมอื งทไ่ี มน่ ิยม (หรือเรยี กว่าไมม่ วี ัฒนธรรม) การทอผ้าใชเ้ อง
ศาสนาและความเชือ่
พระพทุ ธศาสนานิกายเถรวาทเช่อื ในเร่ืองภตู ผีและ วิญญาณ เวทมนต์คาถา
วัฒนธรรมและประเพณี
ประเพณีชาวญัฮกุรมีประเพณีสงกรานต์ ประเพณีกระแจ๊ะหอดอกผึ้ง ประเพณีแห่พระและจุดพลุ ประเพณี
แต่งงาน ชาวญัฮกุรไม่รู้จกั กรรมวิธีการทอผ้า แต่จะปลูกฝ้ายเพ่ือไปแลกกับผ้าทอของคนกลุ่มไทย และลาว
ปจั จุบันชาวญฮั กุรแต่งกายเหมือนคนไทยทัว่ ไป
ฟ้อนผีฟ้า
ฟ้อนผีฟ้า นิยมจัดเป็นงานประจำปีในเดือน 5 (ประมาณเดอื นเมษายน) ลักษณะความเชื่อเปน็ การเซน่ สรวง
ต่อผีฟ้า "พญาแถน" หรือ เทวดาที่สถิตอยู่บนท้องฟ้าเพื่อขอความเป็นสิริมงคล และอัญเชิญท่านให้ลงมา
เข้าร่างทรงเพื่อช่วยปัดเป่าทุกข์โศกโรคภัยแก่ชาวบ้านที่มาชุมนุมในพิธี นอกจากนี้เพื่อเชิญเจ้าเข้าทรง
รักษาอาการเจ็บไข้ของผู้ป่วยเป็นราย ๆ ไปพิธีกรรมผู้ฟ้อนผีฟ้ามีทั้งชายและหญิง เป็นผู้สูงอายุ แต่งกาย
ดว้ ยชุดพนื้ เมอื ง แบง่ เป็นกลุ่มละ 14–15 คน มคี นเปา่ แคนหนึ่งคน เมื่อพรอ้ มจะนำเครือ่ งเซน่ ได้แก่ ขันหมาก
เบ็ง หรือพานบายศรี ดอกไม้ธูปเทียน ผ้าไตรจีวร แป้งหอม น้ำอบไทย อาหารคาว-หวานซึ่งประกอบด้วย
ข้าวเหนียว ไข่ต้ม และของกินพื้นเมืองนำไปตั้งบูชา นำดาบที่สะพายติดตัวมา 3–4 เล่มวางรวมกัน จุดธูป
เทียนผู้นำทำพิธีเป็นแม่ใหญ่หรือคุณยายซึ่งเรียกว่าหมอทรง หรือนางทรง หรือนางเทียม นำสวดมนต์
อาราธนาศีลรับศีลห้ากล่าวขอขมาลาโทษที่รบกวนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และขออัญเชิญเจ้าผู้เป็นใหญ่ให้มา
เข้าทรง เอาแป้งโรยไปบนเครื่องเซ่น แจกแป้งหอมและน้ำอบไทยทากันทั่วทุกคน การฟ้อนรำแบบง่าย ๆ
ตา่ งคนต่างรำบางคนกระทืบเท้าใหจ้ ังหวะ ตามเสียงแคน โดยฟ้อนเป็นวงกลมเวียนไปทางขวามือของหมอ
แคน คนฟ้อนจะหยุดเมื่อแคนหยุดเป่า และจะเดินไปกราบที่เจ้าพ่อพระยาแล เป็นการเซ่นสรวงต่อผีฟ้า"
พญาแถน" หรือเทวดา
ภาษา
ภาษาไทยโคราช, ภาษาไทยถ่ินอีสาน, ภาษาญัฮกรุ และภาษาไทยกลาง
อาหาร
เมนูหลักๆคือ ต้มผัก น้ำพริกทั่วไป กินอาหารป่า เช่น ตำสับปะรดใสเ่ ปลอื กนนทรี ตำถั่วฝักยาวใส่ขงิ เมี่ยง
คำ
อาชีพ
การแลกเปลย่ี นสนิ ค้าจากกลุ่มคนภายนอกเผ่ามาทำการตดั เย็บเสอื้ ผ้าและประดับตกแต่งลวดลายด้วย การ
ปกั
ชนเผ่าบรู
ประวัตคิ วามเปน็ มา
บรู เป็นชนพื้นเมืองที่กระจายอยู่ทั่วไปในเขตนิเวศต่าง ๆ ในดินแดนสองฟากฝั่งลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง ชื่อ
เรียกหรอื คำวา่ “บร”ู น้ันหมายถงึ คนหรอื มนุษย์ คนทีอ่ าศัยอยบู่ นภเู ขาเปน็ คนทีร่ กั อิสระ วัฒนธรรมดงั้ เดมิ
เท่าที่มีการบันทึกไว้ กล่าวว่า ชาวบรูเป็นกลุ่มอิสระ อาศัยอยู่ตามภูเขาหรือบนที่สูง ทำไร่ย้ายที่ การอพยพ
โยกย้ายหรือเคลื่อนย้ายเป็นลักษณะทั่วไปของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ทำไร่หมุนเวียนบนที่สูงด้วยเหตุปัจจัยต่าง ๆ
เช่น หาที่ทำกินใหม่ เกิดโรคระบาด หรือถูกรบกวนจากคนนอก พวกเขาก็จะเคลื่อนย้ายไปหาที่อยู่ใหม่
โดยตามระบบการจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์อย่างเป็นทางการของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ได้
กำหนดช่อื เรยี กกลุ่มชาตพิ ันธ์ดุ งั กล่าวว่า “กะตาง” นักวิชาการแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
เชื่อว่าชนกลุ่มบรู นี้ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนลุ่มแม่น้ำโขงมากกว่าห้าพันปี ชนในตระกูลนี้ ในดินแดน
ลุ่มแม่น้ำโขงตอนลา่ ง มีชื่อเรียกอยู่หลายชือ่ เช่น บรูตรี บรูมะกอง และหลายชนเผ่าในลาวใต้แถบจำปาสัก
ก็เรียกตัวเองว่า “บรู” เช่น ชาวละแว ชาวกะตู อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ชนเผ่าอื่นจะเรียกพวกเขาว่า “กะต่าง”
แตช่ ่อื ทพ่ี วกเขาชื่นชอบและชอ่ื ที่ใชท้ างการในปจั จบุ นั คือ ชนเผา่ กะตาง
วิถชี ีวติ
ชาวบรูดำรงชีวิตบนภูในป่า ทำไร่หมุนเวียน เก็บของป่าล่าสัตว์ บางครั้งนำผลผลิตออกไปแลกข้าว เกลือ
หรือของใช้อื่นๆ โดยแบกหามใส่ตะกร้าเดินข้ามภูเขาไปแลกกับชาวลาวอีกฟาก เช่น หมู่บ้านกระติน คุม
ทอง สว่าง หนองไฮ คันยางและคันหว้า (ปัจจุบันเป็นเขตเมืองโพนทอง จำปาสัก) แม้ชาวบรูจะสร้าง
บา้ นเรอื นเปน็ หมู่บ้านตามรมิ แมน่ ้ำ แต่ก็ข้ึนภเู ขาไปทำไร่ในชว่ งฤดเู พาะปลูก มอี าณาบริเวณกำหนดเฉพาะ
รับรู้กันว่าเป็นของกลุ่มตระกูล (จุมรี๊ต) นอกจากการทำเกษตรแล้ว ชาวบรูบ้านเวินบึกยังเก็บของป่าล่าสัตว์
เพื่อยงั ชีพ มภี ูมิปญั ญาเร่อื งจักสานโดยนำไม้เฮ้ยี (ไม้ไผ)่ ในปา่ บนภมู าสานเป็นอุปกรณเ์ ครอื่ งใชโ้ ดยเฉพาะ
หวดและกระติบข้าว ตอ่ มาประมาณทศวรรษที่ 2520 เปน็ ต้นมา รัฐไดป้ ระกาศข้ึนพืน้ ที่ป่าสงวนและอทุ ยาน
แห่งชาติ พื้นที่อุทยานได้รวมเอาที่อยู่อาศัยและที่ทำกินของชาวบรูด้วย ชาวบรูส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบ
จึงเปลี่ยนอาชีพมาเป็นแรงงานนอกหมู่บ้าน รบั จา้ งเป็นแรงงานทัง้ ในพื้นที่ใกล้เคยี งและไกลออกไป
การแต่งกาย
ชาวบรูในลาวในครั้งอดีตนั้นผู้ชายจะนุ่งกระเตี่ยว ปล่อยผมยาว เกล้าผม เจาะหู ใส่ตุ้มหูคล้ายผู้หญิงทำ
ด้วยเงินและตะกั่ว สักขาลาย ที่แสดงถึงความเป็นคนกล้า มีฤทธิ์เดช ตัดฟัน และเอาหนังควายทำรองเท้า
สำหรับผู้หญิงต้องนุ่งผ้าถุง ห่มเสื้อ เกล้าผม เจาะหู ใส่ตุ้มหู ที่ทำด้วยเงินและตะกั่ว ใส่ปลอกแขน ย้อมฟัน
ด้วยสีไม้เหมือด เดินเท้าเปล่าไม่ใส่รองเท้า หรือบางครั้งก็ตัดหนังควายทำรองเท้า ภายหลังรู้จักวิธีทอผ้า