The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by nidayakoa, 2022-10-08 12:46:11

ชนเผ่าไตหย่า

ชนเผ่าไตหย่า

จึงเริ่มทอผ้าไหมสำหรับทำเครื่องนุ่งห่ม ไม่ว่าหญิงหรือชายจะสวมผ้าย้อมสีดำ สำหรับเด็ก ๆ ส่วนมาก
เปลอื ยกาย ไมใ่ สเ่ ส้ือผ้า

ศาสนาและความเช่อื

กาบอร์ วาชิยาส (Vargyas, 1996, p.117-119) ชาวฝร่ังเศสที่ได้ศกึ ษาชาวบรูในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษท่ี 18
ในพื้นที่รอยตอ่ ของเวียดนามและลาว วาชิยาส พบว่า เยียง (Yiang Su) เป็นผีที่ชาวบรนู ับถือ แบ่งออกเป็น
สองอยา่ ง คอื เยยี ง ขนคี (Yiang Kaneaq) และ เยยี ง ซู (Yiang Su) เยียง ขนคี เป็นผบี รรพบรุ ุษ ทำหน้าที่
คุ้มครองและดูแลชาวบรูในเรือนตระกูล ส่วนเยียง ซู (Yiang Su) เป็นผีใหญ่ที่มีอำนาจอยู่ตามป่าเขาทำ
หน้าที่ควบคุมผืนดิน ป่า และธรรมชาติ ระบบความเชื่อผีทั้งสองนี้ทำให้สังคมบรูมีการจัดตั้งองค์กรทั้งทาง
พน้ื ทแี่ ละสังคมวฒั นธรรม ซึง่ วาชยิ าส (Vargyas, 1996, p.126) ตคี วามว่า เป็นศาสนาผขี องชาวบรู มรี ะดับ
ความแตกต่างสมั พันธ์กนั
ระบบความเชื่อผีที่วาชิยาสกล่าวไว้นี้ มีลักษณะสอดคล้องกับชาวบรูที่ผู้วิจัยศึกษา เพียงแต่ผีที่มีอำนาจ
ใหญ่สุดของชุมชนจะมีชื่อเรียกต่างกันไป แต่ละหมู่บ้านมีชื่อเรียกผีของตนเองซึ่งสัมพันธ์กับสถานที่ที่เช้ือ
เชิญมาเช่น บ้านเวินบึกเรียกผีสูงสุดของตนเองว่า อัยยะจำนัก ส่วนบ้านท่าล้งเรียกผีสูงสุดว่า อัยยะขะ
นาว แต่ระดับความสัมพันธ์เชิงอำนาจไม่แตกต่างกันคือแบ่งเป็นผีบรรพบุรุษมีอำนาจเป็นใหญ่ในตระกูล
และผีสูงสดุ มีอำนาจเปน็ ใหญ่ในชมุ ชน ผนื ป่า ภเู ขาและธรรมชาติ

ประเพณีและวฒั นธรรม

ชีวิตของชาวบรูจะถูกหลอมรวมเข้ากับโลกของสิ่งเหนือธรรมชาติหรือผีซึ่งทำหน้าที่คอยควบคุมดูแลชะตา
กรรมตั้งแต่เกิดจนตาย รวมถึงหลังจากตายไปแล้ว ดังนั้นคนบรูจึงระมัดระวังไม่ทำผิดผี และถ้าหากทำผิด
ผี ก็จะพยายามหาทางทำให้ผีพอใจด้วยเครื่องเซ่นไหว้ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ (Miller, 1971, pp. 62-71)
ระบบความเชื่อดังกลา่ วก่อใหเ้ กดิ พิธกี รรมทง้ั ในการเปล่ยี นแปลงชีวิตและการทำมาหากนิ
ลาเปิป พิธีกรรมที่สำคัญอย่างหนึ่งของชาวบรู คือพิธีลาเปิป การทำพิธีลาเปิปเป็นการบูชาผีบรรพบุรุษที่
ล่วงลับไปแล้ว เป็นพิธีใหญ่และสำคัญ ฆ่าควายเพื่อใช้ในการประกอบพิธี มีการกินเลี้ยงแจกจ่ายในหมู่
เครือญาติพี่น้อง พิธีจะถูกจัดตามแต่ละกลุ่มตระกูล ซึ่งจะต้องมีผู้เข้าร่วมคือ เจ้าโคตรหรือเจ้ากกเจ้าเหล่า
และเครือญาติทางสายเลือด และโดยเฉพาะเขยของตระกูล เพราะเขยมีบทบาทสำคัญในการจัดงานและ
การฟ้อนรำบูชาผี ความศักดิ์สิทธิ์และความยิ่งใหญ่ของพิธีนี้ปรากฏผ่านการจัดงาน เครื่องเซ่นต่าง ๆ
ขนาดของควายที่เป็นเครื่องเซ่น และการเลี้ยงแจกจ่ายแก่แขกที่มาร่วม งานที่ยิ่งใหญ่และการแจกจ่าย
จำนวนมากยังส่งผลถึงฐานะของเจ้าภาพด้วย (เกียรติศักดิ์ บังเพลิง, 2558) การจัดพิธีนี้มิได้ถูก
กำหนดเวลาไว้อย่างตายตัว แต่โดยมากมักจะจัดในเดือน 4 ที่เรือนตระกูล (วินัย , สัมภาษณ์, พ.ค.
2559) บางครั้งอาจอยู่ในช่วงระยะเวลาหลังจากที่ผู้ตายได้ถูกทำฌาปนกิจเสร็จ บางครั้งก็ทิ้งไปหลายปี
แลว้ กลุ่มเครอื ญาตพิ ่ีน้องตระกูลตกลงกันจะจดั ขน้ึ ทั้งหมดน้ีขน้ึ อยกู่ ับความพรอ้ มของกลุ่มเครือญาติพี่นอ้ ง

เป็นสำคัญ โดยเฉพาะความพร้อมในเรื่องเศรษฐกิจ บางกลุ่มเครือญาติไม่มีเงินอาจจะต้องเลื่อนออกไป
อย่างไม่มีกำหนด ทั้งนี้ควาย เครื่องเซ่นอื่น ๆ อาหาร หรือเหล้ายา ที่ใช้ในการเลี้ยงแจกจ่ายในการ
ประกอบพิธีกรรมนั้นมีมูลค่าทางเศรษฐกิจมาก งานจะจัด 3 วัน 3 คืน ในพิธีจะมีการสวดเชิญวิญญาณผี
บรรพบุรุษ โดยหมอสวดที่เรียกว่า “หมออัลลอย” (ผ่านการร่ำเรียนวิชาอาคม รู้คาถาหรือบทสวดในการ
เชื้อเชิญผี รวมไปถึงปราบผีได้ หมออัลลอยมีน้อย/จำกัดเพราะยุ่งยากในการเรียนและสืบทอดวิชาอาคม
รวมถึงต้องรกั ษาปฏบิ ัติข้อห้าม (ขะลำ) ต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ (เหตุนีเ้ ป็นส่วนหนึง่ ทำใหก้ ารพธิ ีลาเปปิ ค่อย ๆ
หายไปในหมู่ชาวบรู) -อินทร์, สัมภาษณ์, มี.ค.2558) ในพิธีมีการฟ้อนรำและกินเลี้ยง มีเครื่องดนตรี
ประโคม กลางคืนจะมีการอบรม กินน้ำสาบานร่วมกันระหว่างเขย เจ้ากกเจ้าเหล่า และเครือญาติกลุ่ม
ตระกูลเพื่อบอกเตือนกันให้รักษาฮีตคอง รักษากฎระเบียบ ถือเป็นการอบรมสั่งสอนกันระหว่างสมาชิก เขย
สะใภ้ให้มคี วามเคารพเจา้ ฮีต พ่อเฒ่าแม่เฒ่า และผอู้ าวุโสในตระกูลคนอน่ื ๆ

ภาษา

ภาษาบรู (Bru) จัดอยู่ในภาษาศาสตร์สาขากระตูอิค (Katuic) หมวดภาษามอญ-เขมร (Mon-Khmer) กลุ่ม
ตระกูลออสโตรเอเชียตกิ (Astro-Asiatic)

อาหาร

ชาวบรูมักบริโภคข้าวเหนียว ใช้ไม้ไผ่หุงข้าวแทนหม้อ โดยใส่ข้าวแช่น้ำและเผาไฟ ไม่ใช้หม้อหุงข้าวแต่ใช้
กระบอกไม้ไผ่นำข้าวมาใส่เทน้ำลงแล้วนำไปเผาไฟหุงแทน (Amonier, 2000, p.55) นอกจากนี้ยังมีอาหาร
ประเภทแกง ปิ้ง จี่ ลาบดิบ ก้อย ที่มีรสชาติเผ็ดและเค็ม การปรุงแต่งอาหารมีตะไคร้ ขิง ผักอิคุ อาหารท่ี
พวกเขาบริโภคส่วนมากมาจากธรรมชาติ เปน็ ต้น มปี ลา เนื้อสัตว์ปา่ ผักป่า และอ่นื ๆ พวกเขามีอาวุธเป็น
ดาบ หอก และธนู ปลายลูกศรอาบด้วยยาพิษทำด้วยก้านต้นจลัก (Chlak) ใช้ในการล่าสัตว์ชาวบรูดั้งเดิม
ในลาวมีวิถปี ฏบิ ัติเกย่ี วกับอาหารคือ สัตว์ทพี่ วกเขาเล้ียงไว้จะไม่นำมาทำเป็นอาหารในชีวิตประจำวัน แต่
สัตว์เหล่านั้นใช้เฉพาะในเวลาทำพิธีฮีตคอง คือ บุญลาเปิป อีกทั้งมีข้อห้ามลูกที่มีผัวหรือเมีย (สะใภ้หรือ
เขย) รว่ มวงกนิ ขา้ วร่วมกับพอ่ แม่ สว่ นลกู ที่ยงั เปน็ โสดกินข้าวรว่ มกบั พอ่ แมไ่ ด้ ลกู ๆ ทีม่ ีครอบครวั แล้วจะกิน
ข้าวรวมกันเป็นคู่ ๆ พร้อมด้วยลูกของตน ชนเผ่าบรูมักดื่มเหล้าไห เรียกว่า ซระแอก (Sra Ek) ดื่มน้ำดิบ
และมักสูบยาฉุน ๆ

อาชีพ

อาชีพหลักของชนเผ่าบรูคือ การทำการเกษตร ได้แก่ การทำนา ทำสวนยาง พาราเข้ามาแทนที่พื้นที่ที่เคย
ปลูกมนั สำปะหลัง) และมกี ารออกไปรับจ้างนอกชุมชน

ชนเผ่าญอ้

ประวตั คิ วามเปน็ มา

ถิ่นฐานเดิมของไทยย้อ อยู่ที่เมืองหงสา แขวงไชยบุรี ของประเทศลาวหรือจังหวัดล้านช้างของไทยสมัย
หนึ่ง ไทยย้อส่วนใหญ่ได้อพยพ มาตั้งถิ่นฐานใหม่ที่ไชยบุรี ปากน้ำสงครามริมฝั่งแม่น้ำโขง ตำบลไชยบุรี
อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนมในปัจจุบัน ในสมัยรัชกาลที่ 1 เมื่อปี พ.ศ. 2351 ต่อมาเมื่อเกิดกบฏเจ้า
อนุวงศ์เวียงจันทน์ในสมัย รัชกาลที่ 3 พ.ศ. 2369 พวกไทยย้อที่เมืองไชยบุรีได้ถูกกองทัพเจ้าอนุวงศ์กวาด
ต้อนไปแล้วให้ไปตัง้ เมืองอยู่ ณ เมืองปุงลิง ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง (อยู่ในเขตแขวงคำม่วนประเทศลาว) อยู่ระยะ
หนึ่งต่อมาได้กลับมาตั้งเมืองข้ึนใหม่ทางฝั่งขวาแม่น้ำโขงตั้งเป็นเมืองท่าอุเทนเมื่อ พ.ศ. 2373 คือ บริเวณ
ท่าอุเทน จังหวดั นครพนมในปจั จุบัน

วิถีชวี ติ

อัตลักษณ์ เมื่อชาวญ้อจากบ้านแซงกระดาน กาฬสินธุ์ได้อพยพย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานบริเวณบ้านท่าขอน
ยางในปัจจบุ นั ได้มีการสรา้ งประวัติศาสตร์ของผูม้ าใหม่และได้รับการถ่ายทอด ผลิตซำ้ จนถงึ ปัจจุบนั ผา่ น
การสร้าง "อัตลักษณ์" ให้กับความเป็นชาติพันธุ์ "ญ้อ" เพื่อให้มีความแตกต่างจากกลุ่มคนชาติพันธุ์
"ลาว" ซง่ึ เป็นประชากรสว่ นใหญ่ของทอ้ งถนิ่ ความภาคภมู ิใจและมั่นใจในอตั ลกั ษณข์ องความเป็นชาติพันธ์ุ
ญ้อ (ethnicity) นนั้ ไดร้ บั การขมวดเกลยี วและตอกย้ำในรูปแบบตา่ ง ๆ ท้ังนใ้ี นปจั จุบนั อัตลักษณ์ท่ีโดดเด่น
ของความเป็นญ้อท่าขอนยางที่ยังได้รับการรักษาไว้ชัดเจนคือ ภาษาและความเชื่อบางอย่าง โดยเฉพาะ
ความเชือ่ เกีย่ วกับผี
ในปัจจุบันชาวญ้อยังนิยมใช้ภาษาพูดญ้อในชีวิตประจำวันควบคู่กับภาษาลาวและภาษาไทยขึ้นอยู่กับคู่
สนทนาและสถานการณ์ แต่โดยทั่วไปจะใช้ภาษาญ้อกับคนในครอบครัวและคนในชุมชนด้วยกัน ซึ่ง
ภาษาญ้อจะมีลักษณะคล้ายภาษาลาว หากแต่จะมีความแตกต่างของการออกเสียงที่นุ่มนวลและสูงกว่า
รวมทั้งคำศัพท์บางคำที่เรียกแตกต่างกันและการลงท้ายประโยค ซึ่งลักษณะเด่นของภาษาญ้อจะใช้เสียง
สระ "เ-อ" (เออ) แทนคำทใี่ ช้ในภาษาไทยที่ออกเสียงสระ "ใ-" เปน็ ต้น และนยิ มออกเสียสระ "เอยี " มากกว่า
สระ "เอือ" เช่น เฮือ-เฮีย, ให้- เห้อ, หัวเจอ-หัวใจ, หมากเผ็ด-พริก, กินเข้างาย-กินข้าวเช้า, หัวสิเคอ-
ตะไคร้, ไปกะเลอ-ไปไหน อย่างประโยคที่ว่า "อยู่ทางได" เป็น "อยู่ทางเลอ" "เจ้าสิไปไส" เป็น "เจ้าสิไปกะ
เลอ" เปน็ ต้น

การแตง่ กาย

ชาย สวมเสื้อคอพวงมาลัยสีเขียวสด ใช้สไบไหมสีน้ำเงินพับครึ่งกลาง พาดไหล่ ซ้ายและขวา ปล่อยชาย
สองข้างไปด้านหลังให้ชายเท่ากัน นุ่งผ้าโจงกระเบนสีน้ำเงินเข้ม ใช้สไบไหมสีแดงคาดเอว ปล่อยชายข้าง
ซ้ายด้านหน้า เครอ่ื งประดับสร้อยเงนิ ห้อยพระ ใบหทู ดั ดอก ดาวเรอื งดา้ นซา้ ย
หญิง สวมเสื้อแขนกระบอกสีชมพู (สีบานเย็น) คอกลมขลิบดำ หรือน้ำเงินเข้ม นุ่งผ้าถุงไหมสีน้ำเงินมีเชิง
(ตีนจก) เข็มขัดลายชดิ คาดเอว ใชส้ ไบไหมสนี ้ำเงินพาดไหลด่ า้ นซ้ายแบบเฉยี ง ปลอ่ ยชายยาวท้ังด้านหน้า
และด้านหลังให้ชายเทา่ กัน เครื่องประดับสร้อยคอ ตุ้มหู สร้อยข้อมือเครื่องเงิน ผมเกล้ามวยประดับดอกไม้
สด หรือดอกไมป้ ระดษิ ฐ์

ศาสนาและความเช่อื

ในปัจจุบันชาวญ้อนับถือศาสนาพุทธเป็นหลัก ซึ่งลักษณะการนับถือพุทธศาสนาแบบชาวบ้าน กล่าวคือมี
การผสมผสานกับเชื่อผีเข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นลักษณะทั่วไปของการนับถือพุทธศาสนาในสังคมอีสาน โดยจะมี
การไหวผ้ ีในชมุ ชน และยงั มกี ารไหว้ศาลหลักเมืองด้วย โดยจะจัดให้มีการไหว้และเลี้ยงใหญ่ปีละครัง้ ส่วน
ในชีวิตประจำวันทั่วไปนิยมประกอบพิธีตามประเพณีที่วัดในชุมชน เช่น ทำบุญตักบาตร ฟังเทศน์ ปฏิบัติ
ธรรม

ประเพณแี ละวัฒนธรรม

ประเพณีเกี่ยวกับชีวิตของชาวไทยย้อนั้น ประเพณีการแต่งงานเมื่อหนุ่มสาวคู่ใดที่รักใคร่ชอบพอถึง ขั้นตก
ลงปลงใจที่จะเป็นสามีภรรยากันแล้ว ฝ่ายชายก็จะให้บิดามารดาของตนดำเนินการให้ได้แต่งงานกับหญิง

คนรัก ดังนี้ ไปเจาะ คือการส่งผู้ใหญ่ไปทาบทาม โอมสาว คือการ ทำพิธีสู่ขอ แฮกเสื่อแฮกหมอน คือการ
เตรียมการ ได้แก่ การจัดเตรียมเครื่องนอน ประกอบด้วยฟูก หมอน ผ้าห่ม เสื่อ และมุ้ง ซึ่งเป็นหน้าที่ของ
ฝ่ายหญิง ในการนี้ต้องเชิญผู้เฒ่า ผู้แก่ที่ชาวบ้านยอมรับว่าเป็น ผัวค้ำเมียคูณ มาทำพิธีตัดเย็บให้ชาว
ไทยย้อเรียกว่า แฮกเสื่อแฮกหมอน เล่าดอง คือบอกเลา่ วันแต่งงาน มื้อกินดอง คือพิธีวันแต่งงาน ประเพณี
พธิ ีกรรม

ภาษา

ภาษาญอ้ (Nyaw) หรือ ภาษาไทญอ้ (Tai Yo/Tai Nyaw) หรอื ภาษาไทแมน (Tai Mène) เปน็ ภาษากลมุ่ ไท
ในเอเชียตะวันออกเฉยี งใต้ โดยมีความใกล้ชิดกับภาษาไทเปาในประเทศเวียดนาม ซึ่งมีชื่อเรียกว่า Tai Do
และ Tai Quy Chau[4] เดิมเคยเขียนเป็นอักษรไทญ้อ แต่ปัจจุบันไม่ใช้แล้ว[1] ภาษานี้พูดกันในหมู่ชาวไทญ้
อซึ่งมีอยู่ในประเทศไทยราว 50,000 คน (พ.ศ. 2533) ในจังหวัดสกลนคร หนองคาย นครพนม
มหาสารคาม ปราจีนบุรี และสระบุรี พบได้มากที่อำเภอนาหว้า อำเภอท่าอุเทน อำเภอโพนสวรรค์ อำเภอ

ศรีสงคราม อำเภอเมืองสกลนคร อำเภออรัญประเทศ เป็นต้น ส่วนใหญ่อพยพมาจากทางตอนเหนือของ
แขวงหลวงพระบาง และแขวงคำมว่ นประเทศลาว

อาหาร

หมกตอ่ อาหารพืน้ บา้ นชนเผา่ ไทยย้อ อำเภอทา่ อเุ ทน จงั หวดั นครพนม เป็นสูตรจากนางตวงทิพย์ นครังสุ
สมาชิกกลุ่มแม่บ้าน บ้านโพน ตำบลโนนตาล นึ่งให้สุกทั้งรังประมาณ 10-15 นาที จากนั้นเคาะเอาตัวอ่อน
ออกมา เตรียมเครือ่ งปรุงไว้ มหี อมแดงหั่น ตน้ หอม ผกั นางรัก ผักอแี ง่ ตะไคร้ ใบมะกรูด พริกแห้งหรือพริก
สด เกลือ และปลารา้ เล็กนอ้ ย คลกุ เคล้าตวั ออ่ นของตอ่ มกับเครื่องปรุง ตอกไขไ่ กล่ งไป 1-2 ฟอง คลกุ กันอีก
ครั้งจนส่วนผสมจับกันเป็นก้อน ตักใส่ใบตอง ย่างเตาถ่านประมาณ 20-30 นาที แกะใบตองออก ได้หมก
ต่อหอมกรุ่นรสแซบ หมกต่อหาชิมได้ค่อนข้างยาก เพราะเป็นอาหารของชาวไทยย้อ และยังมีอาหารอีก
มากมาย เชน่ ปลาดกุ ยดั ไสส้ มนุ ไพรทอด หมกเจาะปลากราย

อาชพี

ชาวไทยย้อมอี าชีพด้านเกษตรเป็นหลัก โดยเฉพาะการปลูกพชื เศรษฐกิจซ่ึงสว่ นใหญไ่ ด้แก่ ขา้ ว กลว้ ย ออ้ ย
สับปะรด ยาสูบ และพืชผักตามฤดูกาล รองลงมาได้แก่ อาชีพเลี้ยงสัตว์ และจั บสัตว์น้ำในลำน้ำ
เนอื่ งจากว่ามีการตั้งถ่ินฐานอยใู่ กลแ้ ม่นำ้ เช่น แม่น้ำโขง แมน่ ำ้ สงคราม

ชนเผา่ พนื้ เมือง มอแกลน

ความเปน็ มา

กลุ่มชาติพันธุ์สามกลุ่มที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ทางตอนใต้ของประเทศไทย เฉพาะในประเทศ ไทยจะเรียกรวม ๆ
อย่างไม่จำแนกว่า ชาวเล เดิมเรียกว่า ชาวน้ำ ส่วนในพม่าจะเรียกรวมกับมอแกนว่า ซลัง เซลัง หรือซโลน
(Selung, Salon, Salone, Chalome) คล้ายกับคำว่า “ฉลาง” หรือ “ถลาง” ซ่ึงเป็นเมือง โบราณของภูเก็ต
(Junk Selon) ทมี่ ชี าวเลชุมนมุ กนั อยูม่ ากในสมยั กอ่ น และในมาเลเซียจะเรยี กชาวเลวา่ โอ รังลาอุต (Orang
Laut) แปลว่า "คนทะเล” ในอดีตอาศัยอยู่ตามชายฝั่งหรือเดินทาง เร่ร่อนตามเกาะในทะเลอันดามัน จึง
รู้จักกันในนาม “ยิปซีทะเล ชาวเลมอแกนอยู่อาศัยตั้งแต่หมู่เกาะมะริดของ เมียนมาจนถึงภูเก็ต ที่หมู่เกาะ
มะริดมีชาวมอแกนนับพันคน ส่วนโอรังลาอุต นั้นอยู่ในไทย ไล่ลงไปทางใต้ตาม ชายฝั่งของมาเลเชีย
อินโดนีเซีย และตะวนั ออกในหม่เู กาะซลู ขู องฟิลปิ ปินส์

วิถชี ีวิตและวัฒนธรรม

ชาวมอแกลนส่วนใหญ่ท าประมงหาสัตว์ทะเลตามชายฝั่ง ชายหาดและตามป่าชายเลน ชุมชนที่อาศัยอยู่
ริมฝั่งทะเลที่มีหาดทรายและแนวปะการัง มักจะหาปลา กุ้ง หอยชนิดต่าง ๆ และปลาหมึกสาย นอกจาก
อาชีพประมงแล้วชาวมอแกลนยังท าไร่ท านา บางชุมชนเลี้ยงสัตว์ เช่น ไก่และหมูซึ่งมักจะเป็นหมูขี้พร้า
การเลี้ยงเป็นแบบกึ่งอิสระคือให้หากินเองตามธรรมชาติควบคู่ไปกับการให้อาหาร การเลี้ยงหมูขี้พร้าแบบ
ปล่อยให้หากินเองทั่วหมู่บ้านนั้นจึงเป็นอัตลักษณ์ของชาวมอแกลนใน หลายชุมชน5การทำไร่ทำนาทำให้
เกิดวัฒนธรรมการช่วยเหลือลงแรงคล้ายกับสังคมเกษตรกรรมหลังจากที่เริ่มมีการทำสวนมะพร้าว สวน
ยางพารา อุตสาหกรรมเหมืองแร่ดีบุก ชาวมอแกลนก็หันมาทำงานรับจ้างเพื่อแลกกับข้าวและของจำเป็น
อน่ื ๆ ในระยะหลงั เม่อื อุตสาหกรรมการทอ่ งเท่ียว การคา้ และการบริการเติบโตข้นึ อยา่ งมากในพื้นที่ริมฝ่ัง
ทะเลอันดามนั ชาวมอแกลนในชุมชนท่ีไมห่ ่างจากแหล่งทอ่ งเทีย่ วและพ้ืนท่ีเมอื งหรือกึ่งเมืองเข้ามาท างาน
รับจ้างมากขน้ึ

การแต่งกาย

ชาวเลทุกกลุ่มไม่มีเครื่องแต่งกายที่เป็นอัตลักษณ์ประจำเผ่าหรือชาติพันธุ์ เพราะในสภาพอากาศร้อน
ชื้นและวิถีชีวิตที่ต้องสมบุกสมบัน ขึ้นลงทะเล สิ่งที่สวมได้ง่ายและสบายที่สุดคือ ผ้าขาวม้าสำหรับผู้ชาย
และ เสื้อคอกระเช้า-ผ้าถุงสำหรับผู้หญิง ชาวมอแกลนต้องซื้อหาเสื้อผ้าจากภายนอก และการที่ชาว
มอแกลนมี การปฏิสัมพันธ์กับคนหลายกลุ่มมาตั้งแต่อดีต การหยิบยืมและยอมรับวัฒนธรรมอื่น ทำให้เกิด
การผสมผสาน ทางวฒั นธรรม โดยเฉพาะการแต่งกายทเ่ี ห็นไดช้ ดั เจน

ศาสนาและความเชือ่

ชาวมอแกลนดั้งเดิมมีความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็น “วิญญาณบรรพบุรุษ” และ “วิญญาณใน
ธรรมชาต”ิ วิญญาณบรรพบรุ ุษและบุคคลสำคัญของกลุ่มหรือชุมชนของชาวมอแกลน มีเช่น พ่อตาสามพนั ,
พ่อตาหลวงจกั ร, ถว้ ยตายาย,พิธีลอยเรือ

ประเพณี

ประเพณีนอนหาด เป็นงานประเพณีประจำปีของชาวมอแกลนบ้านแหลมหลาหรือบ้านท่าฉัตรไชย
และบา้ นหินลกู เดียว จังหวัดภูเก็ต จัดขึน้ ในช่วงวันขึน้ 13-15 ค่ำเดือน 3 เปน็ เวลา 3 วนั 3 คนื งานนป้ี ฏบิ ตั ิ
สบื ทอดกนั มาเพ่ือแสดงความเคารพตอ่ สงิ่ ศักดิส์ ิทธ์ิในพ้ืนที่ คอื พ่อตาหินลูกเดยี ว และเก่ียวข้องกบั การบชู า
สิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ทางทะเล มีการแก้บนสะเดาะเคราะห์ด้วยประเพณีรับบุญสารทเดือนสิบ บุญสารทเดือนสิบ
เป็นประเพณีที่สำคัญของคนไทยปักษ์ใต้ เพื่อ รำลึกถึงบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วหรือบุคคลในครอบครัว
จัดขึ้นช่วงวันแรม 1 ค่ำ ถึงวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 ทางจันทรคติ ชาวไทยปักษ์ใต้จะไปทำบุญที่วดั และอทุ ิศ
ส่วนกุศลส่งดวงวิญญาณให้กับบรรพ บุรุษผู้ล่วงลับ และจะนำอาหารคาวหวาน ผลไม้ ขนม ใส่สำรับหรือ
หมุนรับเพื่อนำไปตั้งให้เหล่าวิญญาณ ที่เชื่อว่าจะกลับขึ้นมาจากยมโลกเพื่อมาเยี่ยมญาติหรือครอบครัว
หรือที่เรียกว่า “ตั้งเปรต” หรือ “ชิง เปรต” ส่วนชาวมอแกลนจะไปเป็นผู้รับบุญ ข้าวสาร ขนม และเงิน ใน
สมัยก่อนมกี ารน าสิง่ ของจาก ทะเลไปแลกเปล่ยี นกันด้วย

วัฒนธรรม

ชาวมอแกลนส่วนใหญ่ทำประมงหาสัตว์ทะเลตามชายฝั่ง ชายหาดและตามป่าชายเลน ชุมชนที่อาศัย
อยู่ริมฝั่งทะเลที่มีหาดทรายและแนวปะการัง มักจะหาปลา กุ้ง หอยชนิดต่างๆ และปลาหมึกสาย นอกจาก
อาชีพประมงแล้วชาวมอแกลนยังทำไร่ทำนา บางชุมชนเลี้ยงสัตว์ เช่น ไก่และหมูซึ่งมักจะเป็นหมูขี้พร้า
การเลี้ยงเป็นแบบกึ่งอิสระคือให้หากินเองตามธรรมชาติควบคู่ไปกับการให้อาหาร การเลี้ยงหมูขี้พร้าแบบ
ปล่อยให้ หากินเองทั่วหมู่บ้านนั้นจึงเป็นอัตลักษณ์ของชาวมอแกลนในหลายชุมชน5 การทำไร่ทำนาทำให้
เกดิ วฒั นธรรม การชว่ ยเหลอื ลงแรงคลา้ ยกับสงั คมเกษตรกรรม

ภาษา

ชาวมอแกลนใช้ภาษาตระกูลออสโตรนีเชียนใกล้เคียงกับมอแกนและสามารถสื่อสารกันได้ แต่มอแกลน
จะได้รับอิทธิพลจาก ภาษาไทยมากกว่ามอแกน ในขณะที่ภาษาอูรักลาโว้ยจะต่างออกไปค่อนข้างมากทั้ง
สามภาษาไมม่ ี ตวั อกั ษรและปจั จุบันชาวเลทง้ั สามกลุ่มกำลังเผชญิ วกิ ฤตทางภาษาและวัฒนธรรมที่กำลังถูก
กลนื

อาหารการกนิ

สมัยก่อนอาหารหลักของมอแกน คือ หัวมัน หัวกลอย พืชผัก ยอดไม้ ผลไม้ป่า ปลา ปู หอยชนิดต่าง ๆ
ข้าวถือว่าเป็นอาหารพิเศษที่หาได้ยาก ต่อมาเมื่อมอแกนถูกดึงเข้ามาในระบบค้าขายแลกเปลี่ยน ข้าวจึง
กลายเป็นอาหารหลัก และยังเป็นเครื่องประกันความอิ่มท้องเพราะเก็บรักษาได้นานไม่เหมือนอาหารสด
อื่น ๆ ท่เี น่าเสียไดง้ า่ ย

อาชพี

มอแกนมอี าชคี ้าขายเปลือกหอยและสตั ว์ทะเลเพ่ือซอื้ ข้าวสารตนุ เอาไว้เป็นกระสอบ

ชนเผา่ พ้ืนเมอื ง อรู กั ลาโวย้

ความเป็นมา

อรู ักลาโวย้ มคี วามหมายว่า "คนทะเล" มีเรือ่ งเล่าสบื ตอ่ กันมาวา่ ในอดีตชาวอรู กั ลาโวยจอาศยั อยูบ่ รเิ วณ
เทอื กเขาฆูนุงฌไึ ร ในแถบชายฝัง่ ทะเลในรฐั เกอดะฮ์ (ไทรบุรี) จากน้นั กเ็ รร่ ่อนเขา้ มาสูใ่ นน่านน้ำไทย แถบ
ทะเลอนั ดามนั ในชว่ งแรกยงั มีวถิ ชี ีวติ แบบเรร่ ่อน โดยอาศยั เรอื ไมร้ ะกำเปน็ ทอี่ ยแู่ ละพาหนะ พวกเขาใช้กา
ยัก หรอื แฝกสำหรับมุงหลังคาเปน็ เพงิ อาศยั บนเรือ หรอื เพิงพกั ชวั่ คราวตามชายหาดในฤดมู รสุม

วิถีชวี ติ

ชาวอูรักลาโวยจใช้ชีวิตครอบครัวแบบผัวเดียวเมียเดียว โดยฝ่ายชายจะเข้าอยู่กับครัวเรือนฝ่ายหญิง
ชั่วคราว ก่อนแยกเป็นครอบครัวเดี่ยวเมื่อถึงเวลาสมควร ชาวอุรักลาโวยจนั้นนับถือผีบรรพบุรุษ และสิ่ง
เหนือธรรมชาติวา่ มีอิทธิพลตอ่ วิถชี ีวิต "โตะ๊ หมอ"จะเปน็ ผนู้ ำในการทำพิธีกรรมตา่ งๆ เชน่ พิธีลอยเรือ พิธีแก้
บน เป็นตน้ ทกุ ครึง่ ปีในเดอื นหกและเดือนสบิ เอ็ด ไม่ว่าชาวอรู กั ลาโวยจ จะกระจัดกระจายอยู่ทีใ่ ด พวกเขา
ก็จะกลับมายังถิ่นฐานเดิมเพื่อเข้าร่วมในพิธีลอยเรือ หรือ "เปอลาจั๊ก" ในวันนั้นที่ชายหาดจะมีการบรรเลง
รำมะนา เสียงเพลง การร้องรำ การเล่นรองเง็ง ตลอดจนการดื่มฉลองพิธีการในวาระอันสำคัญของชาวอู
รกั ลาโวย

การแต่งกาย

ผู้ชายนุ่งผ้าขาวม้าแบบชาวไทยพุทธ หรือนุ่งกางเกงแบบชาวจีน (กางเกงเล) ผ้าขาวม้าคาดเอว เปลือย
ท่อนบน ผู้หญิงนุ่งผ้าปาเต๊ะกระโจมอก ต่อมา เมื่อติดต่อสัมพันธ์และท างานกับชาวจีน จะได้รับเสื้อผ้า
ตอบแทนเป็นสินน้ าใจบ้าง ซื้อจากร้านค้าในตลาด บ้าง หากต้องเข้ามาในตลาดศรีรายา หรือออกนอก
ชุมชน ผู้หญิงนิยม สวมเสื้อและนุ่งผ้าปาเต๊ะแบบชาวจีนและชาวไทย ชอบสีสด ๆ แต่ไม่ให้ความส าคัญกับ
คุณภาพ ของเนื้อผ้าและความกลมกลืนของสี ผู้ชายยังคงนิยมนุ่งกางเกงจีนหรือกางเกงเลผ้าขาวม้าคาด
เอว สวมเสื้อ บ้างบางโอกาสแตไ่ ม่นิยมติดกระดุมเสอ้ื

ศาสนา

ชาวอรุ ักลาโว้ยนั้นนับถอื ผีบรรพบรุ ษุ และส่ิงเหนอื ธรรมชาติว่ามีอิทธิพลต่อวถิ ชี ีวิต

ประเพณี

การจัดพิธีในช่วงวันเพ็ญเดือนหก ตกราวเดือนพฤษภาคมและช่วงเดือนสิบสอง เดือนพฤศจิกายน ชาวเล
จัดพิธีลอยเรือ เป็นประเพณีสืบต่อกันมาหลายชั่วคน ตั้งแต่สมัยโต๊ะฆีรี จุดมุ่งหมาย คือ การลอยบาป

สะเดาะเคราะห์ ทำให้ทุกข์โศกโรคภัยเสื่อมสลายไป และเพื่อเป็นการเส่ียงทายเรื่องการทำมาหากินจะ
อัตคดั ขาดแคลนหรือโชคดมี ีลาภ ดูจากเรือทลี่ อยไปในทะเล

วฒั นธรรม

การทำมาหากินแบบดั้งเดิมของชาวอูรักลาโว้ย คือการตกเบ็ด ดำน้ำแทงปลา หาหอย และล่าสัตว์ ทะเล
เป็นอาหาร ในช่วงมรสุมออกทะเลไม่ได้ต้องหลบลมหลบฝนตามชายฝั่ง หรือขึ้นฝั่งมาหาน้ำจืดก็จะหุงหา
อาหารโดยเก็บมะพร้าว เก็บยอดผัก ล่าสัตว์เล็กตามชายฝั่งสำหรับปรุงอาหาร หลังจากที่อูรักลาโว้ยบาง
กลุ่ม เริ่มขึ้นมาตั้งหลักแหล่งบนฝั่ง เพราะแหล่งที่เคยเร่ร่อนพักอาศัยถูกยึดครองโดยกลุ่มชนอื่นแล้ว ก็เร่ิม
เรียนรู้ การทำไร่ปลูกข้าว ปลูกผัก ผลไม้ ทำสวนยางพารา ฯลฯ แต่บางกลุ่มที่อาศัยในเขตพื้นที่อุทยาน
แห่งชาติไม่ สามารถปลกู พชื ไดก้ ย็ งั ยึดทะเลเปน็ แหล่งเสบียงอาหาร

ภาษา

ภาษาอูรักลาโว้ย จัดอยู่ในตระกูลภาษาออสโตรนีเซียน กลุ่มภาษามาลาโย-โพลิเนเซียน สาขามาเลย์อิก
สาขาย่อยมาลายัน มีรากศัพท์ใกลเ้ คยี งกับภาษามาลายูหรือภาษามาเลเซียหรือภาษามาเลย์มาตรฐานบ้าง
ในด้านเสียง แต่มีความแตกต่างกันบ้างในลักษณะทางไวยกรณ์ โดยลักษณะทางภาษาจัดเป็นภาษาถ่ิน
หนงึ่ (dialact) ของภาษามาเลย์เชน่ เดียวกบั ภาษาของชาวไทยมุสลมิ ทางภาคใต้ของไทย

อาหารการกิน

อาหารหลักของชาวเล คือ อาหารทะเล กินและปรุงอาหารด้วยวิธีง่าย ๆ นอกจากอาหารทะเลแล้ว ข้าวได้
กลายเปน็ อาหารหลักของชาวอูลักลาโวย้ มาช้านานหลังจากที่ติดต่อกับกลุ่มชาตพิ ันธ์ุอ่ืน ๆ อูรักลาโว้ย บน
เกาะลันตา เคยเรียนรู้วิธีการปลูกข้าวไร่และทำนา มาหลายชั่วอายุคน แต่ปัจจุบันเลิกไปแล้วมี เพียง
หลักฐานยุ้งข้าวและที่นา มะพร้าว เป็นพืชหลักที่สำคัญในชีวิตประจำวันอีกอย่างหนึ่ง อูรักลาโว้ยจะใช้
มะพร้าวเป็นส่วนประกอบหลักในการปรุงอาหารคาวหวาน ตลอดจนใช้ประโยชน์สารพัดจากส่วนต่างๆ ใน
อดีตไม่มกี ารแบ่งมื้ออาหารจะหุงข้าวทิ้งไว้หวิ เมือ่ ไหร่ก็กินเมื่อนั้น พวกเขาสามารถอดอาหารได้ท้ังวัน หรือ
กนิ อาหารไดต้ ลอดท้ังวัน เพราะออกทะเลเวลาไม่แนน่ อน

อาชพี

ชาวอูรักลาโว้ยนำของทะเลที่เป็นส่วนเกินไปแลกเปลี่ยนของใช้จำเป็น บาง กลุ่มรับจ้างแรงงานกับชาวจีน
ได้ค่าตอบแทนเป็นเสื้อผ้าเก่า ข้าวสาร ในช่วงหลังอูรักลาโว้ยบางกลุ่มตกอยู่ ภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบ
พ่ึงพา ด้วยการเช่าซื้ออวน เรือหางยาวพร้อมเครื่องเรือจากนายทุน โดยมีเงื่อนไข ว่าจะต้องจับกุ้ง หรือ
ปลาส่งขายให้กับนายทุนเท่านั้นเพื่อหักหนี้สิน หลังเหตุการณ์สึนามิ จึงได้รับบริจาคเรือ และเครื่องมือหา
กินเป็นของตนเอง ประกอบกับธุรกิจการท่องเที่ยวเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น อูรักลาโว้ยที่อยู่ใกล้ แหล่ง

ท่องเที่ยว สามารถปรับตัวให้สามารถอยู่รอดในสังคมได้ด้วยการออกทะเลหาปลาไปขายร้านอาหารบ้าง
รับจา้ งแรงงานบ้าง

ชนเผ่าพ้ืนเมือง มานิ

ความเป็นมา

มันนิ เปน็ มนษุ ยชาตโิ บราณเผา่ หน่งึ ทีม่ ีถ่นิ ฐานอยูต่ ามป่าทบึ ทางภาคใต้ ของประเทศไทยนับตงั้ แตจ่ งั หวัด
ตรัง พัทลุง สตูล ยะลา ลงไปจนจดจังหวัดนราธิวาส ชนเผ่านี้คนไทยโดยทั่วไปเรียกว่า “เงาะ” ส่วนชาว
ไทยจะเรยี กวา่ “ซาไก” แปลว่าแข็งแรง หรือปา่ เถ่ือน บา้ งกเ็ รยี กพวกเขาวา่ ซินอย (Senoi) เซมัง (Semong)
และนกิ รโิ ต (Nigrito) แตช่ าวเงาะป่าจะเรยี กตวั เองวา่ “มันน”ิ

วถิ ชี วี ติ

ชนเผ่าพื้นเมืองชาวมานิ เป็นชนเผ่าที่มีการด ารงชีวิต พึ่งพาเพียงปัจจัยสี่ นั่นคือ ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม
อาหาร และยารักษาโรค และปัจจัยเหล่านี้ได้มาโดยการพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติในป่าไม้อย่างเกื้อกูล
มีการใช้ปัจจัยที่เป็นเงินตราเพื่อเป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนภายในชนเผ่าน้อยมากชาวมานิในปัจจุบันถือ
ว่าไม่แตกต่างอะไรมากนักกับในอดีต มีเพียงการใช้ภาษาที่ใช้พูด ถ้าพูดกันเองในเผ่าพวกเขาก็จะใช้ภาษา
มานิแต่ถ้าพูดกับคนภายนอกก็จะใช้ภาษาใต้ โดยเฉพาะผู้ชายที่พูดภาษาใต้ได้ ส่วนผู้หญิงจะไม่ค่อยพูด
ลักษณะนิสัยของพวกเขาดูแล้วจะเป็นคนนิ่งๆ เมื่อมีคนเข้าเยี่ยม จะมีเพียง 2-3 คนเท่านั้นที่ร่วมออกมา
พูดคุย โดยธรรมชาติพวกเขาก็อยากอยู่แบบส่วนตัว ไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายมากนัก จึงเป็นวิถี ชีวิตที่มี
เอกลกั ษณเ์ ฉพาะ

การแต่งกาย

การแต่งกายรูปแบบดั้งเดิมชาวมานิจะนุ่งเปลือกไม้และตะไคร่น้ำที่เกาะเป็นแผ่นตามก้อนหินใหญ่ ๆ ในป่า
โดยนำตะไคร่น้ำนี้มาตากให้แห้งและถักทอเป็นเครื่องนุ่งห่ม หญิงชาวมานิจะนุ่งยาวประมาณเข่าหรือคร่ึง
น่อง คาดอกหรือเปลือยอก ผู้ชายนุ่งสั้นแค่เข่าและเปลือยท่อนบน ส่วนเด็ก ๆ จะไม่นุ่งอะไรเลย นอกจากน้ี
ยังมีการนำใบไม้มาปกปิดร่างกาย โดยใช้ใบเตยหนามมาทำเป็นเครื่องนุ่งห่มด้วยการเอาหนามที่ใบเตย
ออกโดยใช้ไม่ไผ่บาง ๆ มาตัดหนามออกแล้วนำมาตากแดด จากนั้นก็นำไปสานเป็นเครื่องนุ่งห่ม ใบเตย
หนามสามารถหาได้จากบริเวณที่ตั้งทับ สำหรับเครื่องประดับของหญิงชาวมานิรูปแบบดั้งเดิมมีหวีไม้ไผ่
สำหรบั เสยี บผม เขม็ ขัด สรอ้ ยคอ และสร้อยขอ้ มอื ลว้ นทำมาจากธรรมชาติ

ศาสนา

ชาวมานิบริเวณเทือกเขาบรรทัดไม่มีการนับถือศาสนาที่ชัดเจน ในอดีตชาวมานิแถบนี้ทั้งหมดจะให้ความ
เคารพต่อป่าธรรมชาติที่แวดล้อมตัว ซึ่งชาวมานิมีความผูกพันอย่างลึกซึ้งต่อป่า ลำธาร ต้นไม้ พืช สัตว์
และธรรมชาติทั้งหมด ซึ่งเป็นแหล่งอาหารและแหล่งเกื้อกูลชีวิตในทุกด้าน ป่าจึงเป็นแหล่งที่ให้คุณค่าทาง
จิตวิญญาณ บ่งบอกถึงที่มาและแผ่นดินท่ีบรรพบุรุษเคยอาศัยมาอย่างยาวนาน ชาวมานิกลัวอำนาจของ

วิญญาณและนางไม้ในต้นไม้บางชนิด เชื่อในวิถีปฏิบัติต่อธรรมชาติ แสดงออกโดยมีพิธีกรรมที่เคารพ
ธรรมชาติ และมวี ถิ ชี วี ติ ทีเ่ ปน็ มิตรกับธรรมชาติ

ประเพณี

ชาวมานิมีพิธีกรรมที่เชื่อมโยงกับความเชื่อและวิถีชีวิตที่ผูกพันกับธรรมชาติ ทั้งการนำพืชและสัตว์ช นิด
ต่าง ๆ มาใช้ในการประกอบพิธีกรรม รวมถึงสถานที่ธรรมชาติในการประกอบพิธีกรรม สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็น
พธิ ีกรรมท่ีเกยี่ วข้องกับการได้รับประโยชน์จากป่าแทบท้ังส้นิ

วฒั นธรรม

กลุ่มมานิ เป็นกลุ่มคนที่มีวิถีชีวิตผูกพันอยู่กับป่ามาอย่างยาวนาน ไม่มีถิ่นที่อยู่เป็นหลักแหล่ง มีการอพยพ
โยกย้ายไปตามความสมบูรณ์ของอาหาร โดยจะหาเผือก หามัน จากในป่านำมาเผากิน บ้างก็ล่าสัตว์ ลิง
ค่าง กระรอก หมูป่า โดยใช้ลูกดอกอาบยาพิษจากธรรมชาติ แล้วนำเนื้อสัตว์เหล่านั้นมาต้ม ปิ้ง หรือย่าง
ปรุงอาหารแบบง่ายๆ โดยภาชนะที่ใช้ในการทำอาหารก็จะถูกดัดแปลงจากสิ่งของในป่าด้วยความที่ผกู พัน
และอาศัยอยู่ในป่ามายาวนาน กลุ่มมานิก็ได้เรียนรู้คุณค่าของสมุนไพรต่าง ๆ หลากหลายชนิด ที่ขึ้นอยู่ใน
ป่าตามธรรมชาติ บ้างก็นำมากิน บ้างก็นำมารักษาโรค และหากใครที่ออกไปหาอาหาร เมื่อได้อาหารหรือ
สตั ว์ป่ามาแล้ว เขาจะมนี ้ำใจมาแบ่งปนั ใหก้ ับคนในกลมุ่ ไดก้ ินอยา่ งเทา่ ๆ กันด้วย

ภาษา

ภาษาในการสื่อสารที่ใช้พูดคุยกันจะเป็นภาษามานิ ซึ่งมีมานิบางคนเท่านั้นที่สามารถสื่อสารด้วยภาษาใต้
ได้

อาหารการกนิ

ชนเผ่ามันนิยังดำรงชีวิตอยู่ด้วยการเก็บหาอาหารจาก ธรรมชาติ ไม่รู้จักการเพาะปลูก อาหารจำพวก
เนื้อสัตว์ก็ได้จากการล่า ยังไม่รู้จัก เพาะเลี้ยง เครื่องมือเครื่องใช้ก็ล้วนแต่เป็นธรรมชาติ เช่น เอาไม้ไผ่มา
ทำเครื่องดนตรี หวี และอาวุธ เอากาบหมาก กะลา หรือใบตอง มาทำภาชนะใส่อาหาร ศิลปกรรม ต่างๆ
ไมม่ ี นอกจากการแกะสลกั เป็นลายเส้นรูปทรงเรขาคณติ ลงบนผิวไมไ้ ผท่ ่ีเอา มาทำหวีหรืออาวุธ เขารู้จักใช้
ไฟในการเผา ต้มอาหารใหส้ กุ

อาชีพ

ชนเผา่ ภูไท

ประวตั คิ วามเปน็ มา

ชาวภูไทในประเทศไทยมีถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่ที่สิบสองจุไท บริเวณตอนเหนือของประเทศลาวและเวียดนาม
ประกอบด้วยกลุ่มเมือง 8 เมือง คือ เมืองแถง เมืองควาย เมืองคุง เมืองม่วง เมืองจา เมืองโมะ เมืองหวัด
และเมอื งซา มอี าณาเขตครอบคลุมพ้ืนทใ่ี กล้กับหลวงพระบาง การแบ่งกลุ่มชาวภไู ทจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม
ตามลักษณะการแต่งกายและบริเวณที่ตั้งถิ่นฐาน ได้แก่ กลุ่มภูไทขาวและกลุ่มภูไทดำ กลุ่มภูไทขาวตั้งถิ่น
ฐานอยู่ทางตอนเหนือของเวียดนามต่อพรมแดนของประเทศจีนมีธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ อย่างชาวจีนและ
กลุ่มภูไทดำ นิยมแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำและสีคราม มีผิวพรรณคล้ายกับภูไทขาวแต่คล้ำกว่าเล็กน้อย แต่
ลกั ษณะที่เหมือนกนั ของชาวภูไททงั้ 2 กลุม่ คือ การใช้ภาษาพดู แบบเดียวกนั
การอพยพของชาวภูไทดำจากเมืองแถงมีสาเหตุมาจากการถูกรุกรานของกลุ่มภูไทขาวที่ขยายอำนาจจน
สามารถครอบครองหัวเมืองได้ถึง 11 หัวเมือง พร้อมทั้งประกาศตนไม่ยอมขึ้นกับเมืองแถง ส่งผลให้ภูไทดำ
ต้องอพยพลงสู่ดินแดนทีร่ าบสูงทางตอนใตท้ ี่เรียกว่า “หัวพันห้าพันหก” มีเมืองน้ำน้อยออ้ ยหนูเปน็ หวั เมอื ง
หลัก ต่อมาประสบปัญหาความขัดเเย้งกับชนพื้นเมือง และเกิดภัยแล้ง จึงอพยพลงมาตั้งถิ่นฐานบริเวณท่ี
ราบเชยี งขวาง

วิถชี วี ิต

อัตลกั ษณข์ องชาวภูไทส่อื ผา่ นงานตา่ งๆ มากมาย อาทิ การฟ้อนรำ ความเชอื่ และการแตง่ กาย

การแตง่ กาย

ผู้ชายนิยมนุ่งกางเกงขาก๊วย สีดำหรือนุ่งโสร่งตาหมากรุก เสื้อใช้ผ้าสีครามหรือดำชนิดเดียวกับกางเกง
สวมเสื้อคอกลมแคบชิดคอหรือคอจีน ตัวเสื้อผ่าอกตลอด ชายเสื้อผ่าข้าง จะเป็นแขนยาวหรือแขนสั้นก็ได้
มผี า้ คาดเอว และโพกศรี ษะ ผชู้ ายโบราณมกั นิยมสกั แขนขา ลายด้วย หมึกสีดำ แดง ถอื เปน็ เคร่ืองรางและ
แสดงออกถงึ ความเป็นชายชาตรี
ผู้หญิง นิยมนุ่งผ้าซิ่นที่ทำจากผ้า ซึ่งลักษณะเดน่ ของซิ่นภูไท คือ การทอและลวดลายเชน่ ทอเป็นลายนาค
เล็กๆ นอกจากนมี้ ีลายอ่นื ๆ เชน่ หม่ีปลา หม่ีกระจัง หมี่ข้อ หม่ขี อ ทำเปน็ หมค่ี ่นั หรอื หม่ลี วด ต่อด้วยหัวซ่ิน
และตีนซิ่นทั้งขิดและจก นอกจากนี้ยังพบผ้ามัดหมี่ฝ้ายสีขาวสลับดำย้อมใบครามหรือมะเกลือสีดำ เย็บต่อ
ดว้ ยหัวซ่นิ ตีนซ่ิน

ศาสนาและความเชอื่

ชาวภูไทมีความเชื่อ (รัตติกาล โกฒินทรชาติ, 2549) เล่าสืบกันมาว่า เมื่อพระยาก่าได้นางลาวมาเป็น
ภรรยา ไดม้ ีบตุ รเป็นชายดว้ ยกนั 3 คน คนท่ี 1 ชื่อทา้ วคำ คนท่ี 2 ชอ่ื ท้าวกำ่ คนท่ี 3 ชือ่ ท้าวแก้ว คร้ังน้ันมี
ผู้อยู่ที่เขาถ้ำ จำแลงให้เห็นเป็นตัวคนธรรมดา ถ้าชาวภูไทมีกิจการจะทำงานสิ่งใดไปขอแรงพวกผีมาช่วย
ทำงานเช่นเดียวกับคนธรรมดา แต่อาหารที่จะเลี้ยงพวกผีจะเลี้ยงได้แต่เครื่องของหวาน ของคาว คือ
อาหารที่ไม่สุกให้พวกผีกิน พวกผีกับมนุษย์พูดจากันได้เหมือนกับคนธรรมดา แต่จะทำงานต้องแยกกันทำ
เป็นฝา่ ยหนงึ่ ต่างหากไม่รวมกัน โดยกล่าวว่าพวกผนี ั้นเหมน็ สาบกล่นิ คน
การถอื ผีของชาวภูไทยังมีความเชื่อวา่ ผบี ดิ า มารดา หรือ ปู่ ยา่ ตา ยาย ที่ตายไปแล้ว เป็นผปี กครองคอย
ดูแลการกระทำผิดของ บรรดาลูกหลานญาติพีน่ ้องอยู่เสมอ เช่น มีชายไปจับแขน หลอกกอดจูบลูกสาวบน
เรือนอย่างหนึ่ง หรือคนในครัวเรือนนั้นไปเรียนวิชาอาคมอย่างใดอย่างหนึ่งโดยไม่บอกกล่าวกับผีหรือ
ลูกสะใภ้ หลานสะใภ้เดินบนเรือนกระทืบลงส้นแรงหรือเคาะไม้เสาเรือน ฝาเรือน และไม้อย่างอื่นซึ่งเป็น
เครื่องประกอบเรือนนั้นอย่างหนึ่งเหตุที่กระทำดังกล่าวนี้ถือว่าผิดผี ปู่ ย่า ตา ยาย ผีจะต้องมากระทำให้
คนใดคนหนึ่งมีอาการเจ็บป่วยขึ้น เมื่อมีคนเจ็บป่วยเกดิ ข้ึนแล้ว ต้องไปหาหมอลำเหยา หรือหมอลำส่องมา
เสี่ยงทาย ถ้าหมอลำเหยาทายว่า ผีนั้นทำผิดอย่างนั้น ผีจะต้องกินไก่ กินหมู กินกระบือ คนที่กระทำผิ ด
ตอ้ งจดั หามาเซ่นผีตามความตอ้ งการ

ประเพณแี ละวฒั นธรรม

ประเพณีบุญเดือน2จะจัดทุกปีในวัน ขึน 15 ค่า เดือน 2 เป็นบุญฉลองรอยพระ พุทธบาท และบุญเบิกบ้าน
เปน็ ความเชื่อทา เพ่อื บชู าหลกั บ้านใหช้ าวบา้ นอย่ดู มี ีแฮงจัดทา ทศ่ี าลากลางบา้ นเพือ่ ตังกองบญุ บูชา หลวง
ปดู่ า

ภาษา

ภาษาภูไทเป็นภาษาไทภาษาหนึ่งและเหมือนกับภาษาลาว เพราะชาวภูไทไม่มีอักษรของตนเอง ต้องยืม
ตัวอักษรของชาวลาว ภาษาภูไทจึงกลมกลืนกับภาษาลาว การเขียนตัวอักษรชาวภูไทจึงมีการประยุกต์
วิธกี ารเขยี นของชาวลาว

อาหาร

ชาวภูไทมักจะใช้ธรรมชาติที่อยู่รอบตัว มาปรุงเป็นอาหาร เช่น ซั่วไก่ เมาะหน่อไม้ แกงยอดบวบใช้ปลานา
ขนมหวานประจา เผ่าภูไท เช่น ข้าวโจ้มะอูป (ข้าวเหนียวมูล ฟักทอง)ส่วนผสมของเมาะหน่อไม้ ได้แก่
หน่อไม้นึ่งใบย่านาง ตะไคร้พริกสด ผักสะแยะใบแมงลัก เครื่องปรุงรสส่วนผสมของข้าวโจ้มะอูป ได้แก่
ฟักทอง มะพรา้ วเปลือกผง น้ำตาล เกลือ

อาชพี

จะประกอบอาชีพมีอาชีพเกษตรกรรม งานฝีมือ และค้าขายเป็นหลัก ในอดีตฝ่ายหญิงจะทอผ้า เย็บปักถกั
ร้อย ส่วนฝ่ายชายจะทำการค้า โดยเป็นพ่อค้านำสินค้าไปขายยังต่างเมือง ซึ่งในสมัยก่อนจะมี “นายฮ้อย”
นำฝูงคาราวานวัวและควายไปขายยังกรุงเทพมหานคร และบางคณะจะนำฝั่งคาราวานควายไปขายยัง
ต่างแดน ดังนั้น จึงได้พบเห็นความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองอื่นๆ อยู่เสมอพร้อมกับได้แลกเปลี่ยนสินค้า
กลับเข้ามาสู่หมู่บ้าน ปัจจุบัน ชาวภูไท นอกจากมีรายได้จากภาคเกษตร ยังมีรายได้เสริมจากการทอผ้า
การทำเครื่องจักสาน ทำขนม ค้าขาย และจากกิจกรรมอื่นๆ จากการสร้างผลิตภัณฑ์ชุมชน และเงิน
งบประมาณสนับสนุนจากทางภาครัฐบาลให้มาลงทุนทำใหม่โครงการต่างๆ ในชุมชนเกิดขึ้น เกิดการ
รวมกลมุ่ กันทำสนิ ค้าอุปโภคบรโิ ภคออกมาจำหน่ายทำให้เปน็ การสรา้ งรายไดอ้ ีกทางหนง่ึ


Click to View FlipBook Version