The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารคำสอนวิชา ศท 0301 วิทยาลัยชุมชนกับการเป็นพลเมือง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kmbase_tak, 2024-04-19 00:47:54

eBook วิชา ศท 0301

เอกสารคำสอนวิชา ศท 0301 วิทยาลัยชุมชนกับการเป็นพลเมือง

Keywords: Citizen

ก สารบัญ หน้า สารบัญ............................................................................................................................................. ก สารบัญตาราง.................................................................................................................. ................. ค สารบัญภาพ.................................................................................................... .................................. ค จุดมุ่งหมายและวัตถุประสงค์ของรายวิชา...................................................................................... 1 ชื่อวิชา และหน่วยกิต........................................................................................................... 1 คำอธิบายรายวิชา........................................................................................... ..................... 1 ผลลัพธ์การเรียนรู้ระดับหลักสูตรของหมวดวิชาศึกษาทั่วไป (Plan Learning Outcomes : PLOs)…………………………………………………….................................................................... 1 ผลลัพธ์การเรียนรู้รายวิชา (Course Learning Outcomes : CLOs) กับผลลัพธ์การ เรียนรู้ระดับหลักสูตร (PLOs) ของหมวดวิชาศึกษาทั่วไป……………………………………………. 1 การวัดผลและประเมินผล.................................................................................................... 2 โครงสร้างเนื้อหาการเรียนรู้ของรายวิชา.............................................................................. 4 หน่วยที่ 1 สถาบันวิทยาลัยและวิทยาลัยชุมชน.......................................................................... 5 ความเป็นมาของการจัดตั้งสถาบันวิทยาลัยและวิทยาลัยชุมชน................................... 5 ประวัติการจัดตั้งวิทยาลัยชุมชน.................................................................................. 5 สถาบันวิทยาลัยชุมชน................................................................................................. 6 วิทยาลัยชุมชนสุโขทัย.................................................................................................. 8 หน่วยที่ 2 จังหวัดของเรา................................................................................................. ........... 11 ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับจังหวัดสุโขทัย.............................................................................. 11 ข้อมูลพื้นฐานเพื่อการพัฒนาจังหวัดสุโขทัย................................................................. 11 ความรู้เกี่ยวกับภูมิปัญญาท้องถิ่น................................................................................ 11 ใบงานหน่วยที่ 2 จังหวัดของเรา................................................................................. 17 หน่วยที่ 3 พลเมืองและความเป็นพลเมือง................................................................................. 18 ความหมายของพลเมืองและความเป็นพลเมือง........................................................... 19 จริยธรรมแบบพลเมือง (civic virtues)....................................................................... 21 การสร้างสำนึกพลเมือง............................................................................................... 21 ความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย.................................................................. 22 พลเมืองตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ........................................................................... 27 ความสำคัญของการปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดีตามวิถีประชาธิปไตย.............................. 29 ความเป็นพลเมืองโลก และพลเมืองในศตวรรษที่ 21.................................................. 30 หน่วยที่ 4 จิตอาสาและสำนึกสาธารณะ..................................................................................... 42 ความหมายของจิตสำนึก จิตอาสา และจิตสาธารณะ.................................................. 42 ความสำคัญของจิตอาสา............................................................................................. 43


ข สารบัญ (ต่อ) หน้า ลักษณะและองค์ประกอบของจิตสาธารณะ................................................................ 44 ความสัมพันธ์ระหว่างจิตอาสากับจิตสาธารณะ........................................................... 44 ประโยชน์และต้นทุนของการมีจิตสาธารณะ............................................................... 45 ผลจากการขาดจิตสาธารณะ....................................................................................... 46 การพัฒนาจิตสาธารณะ............................................................................................... 47 หน่วยที่ 5 ปัญหาสังคมและผลกระทบ........................................................................................ 49 ความมุ่งหมายในการศึกษาปัญหาสังคม...................................................................... 49 กรอบความคิดเกี่ยวกับปัญหาสังคม: ความสัมพันธ์เชิงเหตุ-ผลลัพธ์ของปัญหาสังคม.. 49 ปัญหาสังคมไทยที่เป็นผลของการพัฒนา..................................................................... 52 สถานการณ์การพัฒนาประเทศไทยในระยะต่อไป....................................................... 54 การอยู่ร่วมกันในสังคมแห่งความหลากหลาย.............................................................. 57 สันติวิธีและการจัดการความขัดแย้ง............................................................................ 59 หน่วยที่ 6 การศึกษาชุมชน......................................................................................................... 63 ปรับทัศนคติสู่ความเข้าใจชุมชน.................................................................................. 63 เครื่องมือศึกษาชุมชน.................................................................................................. 63 การเก็บรวบรวมข้อมูลสมาชิกในครัวเรือนและการช่วยเหลือ/ดูแล............................. 63 การประเมินชุมชนและหาทางออก.............................................................................. 64 โครงการแก้ไขปัญหาและพัฒนาชุมชน........................................................................ 65 บรรณานุกรม.................................................................................................................................... 66


ค สารบัญตาราง ตาราง หน้า 1 องค์ประกอบที่เป็นรากฐานร่วมกันของจิตอาสากับจิตสาธารณะ...................................... 45 สารบัญภาพ ภาพ หน้า 1 ลักษณะความสัมพันธ์ของภูมิปัญญาท้องถิ่น..................................................................... 14 2 การสร้างสำนึกพลเมือง..................................................................................................... 22 3 องค์ประกอบหลักของความเป็นพลเมืองโลก.................................................................... 32 4 สมรรถนะการอยู่ในสังคมโลก........................................................................................... 37 5 ความสัมพันธ์ของสิ่งที่ต้องรู้และใช้ในการเข้าถึงปัญหาของโลก........................................ 37 6 แสดงการคิดวิพากษ์ วิจารณ์ และวิจารณญาณ................................................................ 39 7 แผนภาพแสดงความสัมพันธ์เชิงเหตุ-ผลลัพธ์ของปัญหาสังคม.......................................... 51


1 จุดมุ่งหมายและวัตถุประสงค์ของรายวิชา ชื่อวิชา: ศท 0301 วิทยาลัยชุมชนกับความเป็นพลเมือง GE 0301 Community Colleges and Citizenship หน่วยกิต: 3 (2-2-5) คำอธิบายรายวิชา: ปรัชญา อัตลักษณ์ของสถาบันวิทยาลัยและวิทยาลัยชุมชน บริบทจังหวัดของตนเอง การศึกษา ชุมชน เครื่องมือสำหรับการปฏิบัติการเรียนรู้ชุมชนในภาคสนาม ความเป็นพลเมือง สิทธิเสรีภาพ ความ ยุติธรรม หน้าที่รับผิดชอบต่อตนเองและสังคม จิตอาสา และมีส่วนร่วมในกิจกรรมสร้างสรรค์ชุมชน จัดทำ โครงการแก้ไขปัญหาและพัฒนาชุมชน ผลลัพธ์การเรียนรู้ระดับหลักสูตรของหมวดวิชาศึกษาทั่วไป (Plan Learning Outcomes : PLOs) PLO1 ประยุกต์ความรู้เชิงบูรณาการเพื่อเสริมสร้างการจัดการสุขภาวะ และการพัฒนาคุณภาพชีวิต PLO2 ใช้ภาษาในการสื่อสาร และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล PLO3 ประยุกต์ใช้ทักษะในศตรวรรษที่ 21 ในการเรียนรู้และการปฏิบัติงาน PLO4 วางแผนการปฏิบัติที่แสดงถึงการเข้าใจตนเอง ชุมชน ประวัติศาสตร์ รู้เท่าทันการ เปลี่ยนแปลง เป็นพลเมืองไทยและพลเมืองโลก PLO5 แสดงออกทางความคิด ถ่ายทอดความรู้สึกในงานศิลปวัฒนธรรมของท้องถิ่นหรือของชาติ PLO6 ทำงานแบบมีส่วนร่วมตามบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบอย่างมีคุณธรรมจริยธรรมต่อ ตนเอง ชุมชน สังคม สิ่งแวดล้อม และจิตอาสา PLO7 ประยุกต์ใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการพัฒนาตนเอง ชุมชน และสังคม ผลลัพธ์การเรียนรู้รายวิชา (Course Learning Outcomes : CLOs) กับผลลัพธ์การเรียนรู้ระดับ หลักสูตร (PLOs) ของหมวดวิชาศึกษาทั่วไป ผลลัพธ์การเรียนรู้รายวิชา (CLOs) ผลลัพธ์การเรียนรู้ระดับหลักสูตร (หมวดวิชาศึกษาทั่วไป) PLO1 PLO2 PLO3 PLO4 PLO5 PLO6 PLO7 CLO1 แสดงออกถึงความภาคภูมิใจต่อ การเป็นนักศึกษาของวิทยาลัยชุมชน CLO2 แสดงออกถึงการมีจิตอาสาและ สำนึกรักชุมชนท้องถิ่น จังหวัดของ ตนเอง CLO3 มีส่วนร่วมในกิจกรรมสร้างสรรค์ ของชุมชน CLO4 แสดงออกถึงพฤติกรรมพลเมืองที่ ดีของสังคม


2 การวัดผลและประเมินผล ผลลัพธ์การเรียนรู้ระดับ รายวิชา (CLOs) กลยุทธ์การสอน การประเมินผล สัดส่วน คะแนน CLO1:แสดงออกถึงความ ภาคภูมิใจต่อการเป็น นักศึกษาวิทยาลัยชุมชน สอดคล้องกับ PLO : 3, 4, 7 -การบรรยายและแลกเปลี่ยน ความคิดเห็นในชั้นเรียน - เรียนรู้จากกรณีศึกษา -ฝึกทักษะการคิดและการ สื่อสาร -การเรียนรู้จากภาคสนาม ในชุมชน -สังเกตพฤติกรรม - ประเมินจากการสะท้อน ความคิด - ประเมินจากการนำเสนอปาก เปล่า/การอภิปราย - ประเมินกระบวนการทำงาน - ประเมินผลงานตามที่ได้รับ มอบหมาย -ผู้เรียนประเมินตนเอง 15 CLO2: แสดงออกถึงการมี จิตอาสาและสำนึกรักชุมชน ท้องถิ่น จังหวัดของตนเอง สอดคล้องกับ PLO : 3, 4, 6, 7 - เรียนรู้จากบุคคลต้นแบบ -ศึกษาและวิเคราะห์จาก กรณีศึกษา -ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง หรือกลุ่มและนำเสนอในชั้น เรียน -ฝึกทักษะการคิดและการ นำเสนอ -การเรียนรู้จากภาคสนามใน ชุมชน และการนำเสนอ ผลงานในชั้นเรียนหรือ สาธารณะ -จัดการเรียนรู้โดยใช้โครงการ เป็นฐาน -สังเกตพฤติกรรมการแสดงออก อย่างมีส่วนร่วมและจิตอาสาใน ชั้นเรียนและภาคสนาม - ประเมินภาวะผู้นำ - ประเมินกระบวนการทำงานและ และผลงานตามที่ได้รับมอบหมาย - ประเมินผลการดำเนินงาน ภาคสนาม และการนำเสนอในชั้น เรียนหรือสาธารณะ - ประเมินกระบวนการและผลการ ดำเนินงานโครงการแก้ไขปัญหา/ พัฒนาชุมชนของพลเมืองอาสา - ประเมินตนเองและประเมินโดย ผู้อื่น 30 CLO3 : มีส่วนร่วมใน กิจกรรมสร้างสรรค์ของ ชุมชน สอดคล้องกับ PLO : 3, 4, 6 -จัดการเรียนรู้โดยใช้ประเด็น ทางสังคม และ/หรือโครงการ เป็นฐาน -การเรียนรู้จากภาคสนามใน ชุมชนและการนำเสนอ -สะท้อนองค์ความรู้คืนกลับ ชุมชน -การบรรยายและแลกเปลี่ยน ความคิดเห็นในชั้นเรียน -สังเกตพฤติกรรมการแสดงออก อย่างมีส่วนร่วม - ประเมินกระบวนการและผลการ ดำเนินงานในการศึกษาภาคสนาม ในชุมชน และการสะท้อนองค์ ความรู้คืนกลับชุมชน - ประเมินกระบวนการและผลการ ดำเนินงานในการจัดทำโครงการ แก้ไขปัญหา/พัฒนาชุมชน - ประเมินการนำเสนอผลงาน 35


3 ผลลัพธ์การเรียนรู้ระดับ รายวิชา (CLOs) กลยุทธ์การสอน การประเมินผล สัดส่วน คะแนน - ประเมินตนเองและประเมินโดย ผู้อื่น - ทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน CLO4: แสดงออกถึง พฤติกรรมพลเมืองที่ดีของ สังคม สอดคล้องกับ PLO : 3, 4, 6 -การบรรยายและแลกเปลี่ยน ความคิดเห็นในชั้นเรียน -ศึกษาค้นคว้าแบบกลุ่มและ อภิปรายแลกเปลี่ยนความ คิดเห็น - มอบหมายการจัดทำ โครงการแก้ไขปัญหา/พัฒนา ชุมชนของพลเมืองอาสา - เรียนรู้จากการศึกษา ภาคสนาม - ประเมินจากการสะท้อน ความคิด -สังเกตพฤติกรรมการแสดงออก - ประเมินกระบวนการทำงาน กลุ่มและการนำเสนอของผู้เรียน - ประเมินกระบวนการและผลการ ดำเนินงานโครงการแก้ไขปัญหา/ พัฒนาชุมชนของพลเมืองอาสา - ประเมินกระบวนการและผลการ ดำเนินงานภาคสนาม - ประเมินตนเองและประเมินโดย ผู้อื่น - ทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน 20


โครงสร้างเนื้อหาการเรียนรู้ของรายวิชา ศท


4 ท 0301 วิทยาลัยชุมชนกับการเป็นพลเมือง


5 หน่วยที่ 1 สถาบันวิทยาลัยและวิทยาลัยชุมชน ความเป็นมาของการจัดตั้งสถาบันวิทยาลัยและวิทยาลัยชุมชน 1. ประวัติการจัดตั้งวิทยาลัยชุมชน ที่มา : สถาบันวิทยาลัยชุมชน, 2566, ออนไลน์,


6 2. สถาบันวิทยาลัยชุมชน สถาบันวิทยาลัยชุมชนจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติสถาบันวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. 2558 โดยมาตรา 5 ให้จัดตั้งสถาบันวิทยาลัยชุมชนขึ้นเป็นนิติบุคคลและเป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการ งบประมาณ ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา มาตรา 8 เพื่อประโยชน์ในการจัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษาที่ต่ำกว่าปริญญา ให้สถาบันเป็น สถานศึกษาซึ่งจัดการศึกษาโดยวิทยาลัยชุมชน มีวัตถุประสงค์เพื่อให้การศึกษา วิจัย ให้บริการทางวิชาการ ทะนุบำรุงศิลปะและวัฒนธรรม และส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อสร้างความเข้มแข็งของท้องถิ่นและ ชุมชน การพัฒนาที่ยั่งยืน เสริมสร้างศักยภาพบุคคล ตอบสนองและสอดคล้องต่อความต้องการและการ ประกอบอาชีพของท้องถิ่นและชุมชนซึ่งนำไปสู่การพัฒนาประเทศ มาตรา 9 การดำเนินการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามมาตรา 8 สถาบันต้องให้ความสำคัญและ คำนึงถึงเรื่อง ดังต่อไปนี้ (1) การสร้างโอกาสและการเข้าถึงการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่ต่ำกว่าปริญญาและการ เรียนรู้ตลอดชีวิตของประชาชน ด้วยกระบวนการจัดการศึกษาในรูปแบบที่หลากหลาย สามารถเข้าถึง ผู้เรียนในชุมชนได้อย่างทั่วถึง (2) การตอบสนองต่อความต้องการของท้องถิ่นและชุมชนในเรื่องการศึกษา การฝึกอบรม ด้านวิชาการหรือวิชาชีพ (3) ความร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษาในการศึกษาต่อในระดับปริญญาของนักศึกษา (4) ความร่วมมือกับสถานศึกษา สถานประกอบการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สถาบัน ศาสนา องค์กรที่ดำเนินงานวัฒนธรรม หน่วยงานอื่นของรัฐ สถานศึกษาชั้นสูง สถาบันอื่นในประเทศหรือ ต่างประเทศ ในการจัดการศึกษา (5) มาตรฐานและคุณภาพทางวิชาการอันเป็นที่ยอมรับ (6) การระดมทรัพยากรทั้งจากภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเอกชนในการจัด การศึกษา (7) การบริหารจัดการโดยมุ่งเน้นหลักธรรมาภิบาล (8) การมีส่วนร่วมของประชาชนหรือชุมชนในการบริหารจัดการ (9) การประสานงานและร่วมมือกับส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือหน่วยงาน อื่นของรัฐที่เกี่ยวข้อง มาตรา 11 การจัดตั้ง การรวม การโอนหรือการยุบเลิกวิทยาลัย หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่าง อื่นที่มีฐานะเทียบเท่าวิทยาลัย ให้ทำเป็นกฎกระทรวง 2.1 ปรัชญาของสถาบันวิทยาลัยชุมชน เสริมสร้างโอกาสทางการศึกษาระดับอุดมศึกษา เพื่อเพิ่มคุณค่าชีวิตและศักยภาพของบุคคลและ ชุมชน


7 2.2 หลักการ ที่มา : สถาบันวิทยาลัยชุมชน, 2566, ออนไลน์. 2.3 วิสัยทัศน์ สถาบันวิทยาลัยชุมชนคุณธรรม สร้างสรรค์นวัตกรรมชุมชนเพื่อพัฒนาคนและสังคมอย่างยั่งยืน 2.4 พันธกิจ (1) จัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่ต่ำกว่าปริญญา (2) ฝึกอบรมด้านวิชาการหรือวิชาชีพ (3) วิจัย และบริการทางวิชาการเพื่อการพัฒนาชุมชน (4) ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อสร้างความเข้มแข็งของท้องถิ่นและชุมชน 2.5 การบริหารวิชาการ (1) หลักสูตรพัฒนามาจากการศึกษาวิจัยชุมชนเป็นฐานในการศึกษาความต้องการ ศักยภาพ และทิศทางการพัฒนาของชุมชน (2) หลักสูตรเปิดง่าย ปิดง่าย และเน้นประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับผู้เรียนและชุมชน (3) เน้นการค้นหาศักยภาพของบุคคลและชุมชนในพื้นที่มาใช้เป็นฐานในการจัดการความรู้ พัฒนาหลักสูตรและกระบวนการเรียนรู้ (4) มีความร่วมมือที่ดีกับครูภูมิปัญญา อาจารย์พิเศษ สภาวิชาการ และสภาวิทยาลัยชุมชน (5) มีความร่วมมือที่ดีกับสถาบันอุดมศึกษาและหน่วยงานในพื้นที่ที่วิทยาลัยชุมชนตั้งอยู่ (6) ชุมชนมีส่วนร่วมในการบริหารวิชาการในรูปของกรรมการสภาวิชาการวิทยาลัยชุมชน 2.6 การจัดการเรียนการสอน (1) เน้นการระดมทรัพยากรในพื้นที่มาเป็นเครือข่ายในการจัดการศึกษา ทั้งด้านสถานที่เรียน อาจารย์พิเศษที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิในพื้นที่


8 (2) จัดหลักสูตรพัฒนาศักยภาพผู้เรียนทั้งก่อนเข้าเรียนและระหว่างเรียน เพื่อให้สำเร็จ การศึกษาอย่างมีคุณภาพ (3) จัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ยืดหยุ่นเอื้อให้ผู้เรียนทำงานไปเรียนไปด้วยได้ ศึกษาเพิ่มเติม http://iccs.ac.th/ 3. วิทยาลัยชุมชนสุโขทัย วิทยาลัยชุมชนสุโขทัยอยู่ระหว่างดำเนินการขอจัดตั้ง ทั้งนี้เป็นไปตามประกาศสถาบันวิทยาลัย ชุมชน เรื่อง หลักเกณฑ์และขั้นตอนการจัดตั้งวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. 2561 ลงวันที่ 10 เมษายน 2561 เพื่อให้เป็นไปตามการพิจารณาการขอจัดตั้งวิทยาลัยชุมชนตามมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติสถาบัน วิทยาลัยชุมชน พ.ศ. 2558 โดยมีขั้นตอนดำเนินงานดังนี้ พ.ศ. 2561 จังหวัดสุโขทัยได้จัดการประชุมส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชน องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น เครือข่ายภาคประชาชน เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับวิทยาลัยชุมชน และร่วมกันพิจารณา ตัดสินใจจัดตั้งวิทยาลัยชุมชน และได้มีคำสั่งจังหวัดสุโขทัย แต่งตั้งคณะทำงานเตรียมความพร้อมในการ จัดตั้งวิทยาลัยชุมชนสุโขทัย เพื่อศึกษาถึงความพร้อมของการจัดตั้งวิทยาลัยชุมชนสุโขทัยและขับเคลื่อน การดำเนินงานอย่างจริงจังเพื่อให้เกิดการจัดตั้งวิทยาลัยชุมชนสุโขทัย โดยนำข้อมูลต่าง ๆ มาพิจารณา วางแผนขอจัดตั้งวิทยาลัยชุมชนสุโขทัย พ.ศ. 2563 เนื่องจากเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านของสถาบันวิทยาลัยชุมชนที่อยู่ในสังกัดจาก กระทรวงศึกษาธิการ ไปเป็นประทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ส่งผลให้การเสนอ แผนการขอจัดตั้งวิทยาลัยชุมชนสุโขทัยขาดความต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม สภาสถาบันวิทยาลัยชุมชนนยังให้ ความสำคัญกับการขยายพื้นที่บริการจัดการศึกษารูปแบบวิทยาลัยชุมชนน ในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย และใน คราวประชุมครั้งที่ 12/2563 เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2563 จึงได้มีมติเห็นชอบให้ดำเนินโครงการนำร่อง การบริหารจัดการวิทยาลัยชุมชนรูปแบบใหม่ ณ จังหวัดสุโขทัย และในคราวประชุมครั้งที่ 4/2565 เมื่อ วันที่ 19 เมษายน 2565 มีมติเห็นชอบให้จัดตั้งวิทยาลัยชุมชนสุโขทัยเป็นส่วนงานภายในของสถาบัน วิทยาลัยชุมชน ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารส่วนงานภายในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2550 ในคราวประชุมครั้งที่ 5/2565 เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2565 เห็นชอบประกาศสถาบันวิทยาลัย ชุมชน เรื่อง การจัดตั้งวิทยาลัยชุมชนสุโขทัยเป็นหน่วยงานภายใน พ.ศ. 2565 ประกอบกับพันธกิจตามพระราชบัญญัติสถาบันวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. 2558 กำหนดให้ จัดตั้ง สถาบันวิทยาลัยชุมชนขึ้นเป็นนิติบุคคลและเป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ ใน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การศึกษา วิจัย ให้บริการทาง วิชาการ ทะนุบำรุงศิลปะและวัฒนธรรม และส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อสร้างความเข้มแข็งของ ท้องถิ่นและชุมชน การพัฒนาที่ยั่งยืนน เสริมสร้างศักยภาพบุคคล ตอบสนองและสอดคล้องต่อความ ต้องการและการประกอบอาชีพพของท้องถิ่นและชุมชนซึ่งนำไปสู่การพัฒนาประเทศ จึงถือได้ว่า พันธกิจ สถาบันวิทยาลัยชุมชนเป็นกลไกหนึ่งที่ตอบสนองต่อแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาและ เสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ด้านที่ 11 ศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต ที่กำหนดเป้าหมายไว้ว่า “คน ไทยทุกช่วงวัยมีคุณภาพเพิ่มขึ้น ได้รับการพัฒนาอย่างสมดุล ทั้งด้านร่างกาย สติปัญญาและคุณธรรม จริยธรรม เป็นผู้ที่มีความรู้และทักษะในศตวรรษที่ 21 รักการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต”


9 สถาบันวิทยาลัยชุมชนได้ดำเนินโครงการนำร่องการบริหารจัดการวิทยาลัยชุมชนรูปแบบใหม่ ณ จังหวัดสุโขทัย แล้วพบว่า จังหวัดสุโขทัยมีบริบท ศักยภาพ และเครือข่ายความร่วมมือที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ และภูมิปัญญาในพื้นที่ ตลอดจนมีการศึกษาปัญหาและความต้องการของกลุ่มเป้าหม ายพบว่า กลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่มีความสนใจที่จะศึกษาต่อ แต่จะสนใจเป็นหลักสูตรระยะสั้น เนื่องจากลุ่ม เป้าหมายมีความต้องการที่จะศึกษาและนำความรู้ที่ได้ไปประกอบอาชีพเลยทันที นอกจากนี้ กลุ่มเป้าหมายยังมีความสนใจในเรื่องของภูมิปัญญาสุโขทัยแต่ไม่มีโอกาสศึกษา เพราะไม่รู้ว่าจะไปศึกษา ต่อที่ใด การบริหารจัดการรูปแบบใหม่ ในการดำเนินงานของวิทยาลัยชุมชนสุโขทัย สถาบันวิทยาลัยชุมชนจะนำการบริหารจัดการ รูปแบบใหม่ ที่ใช้กำลังคนไม่มาก นำระบบเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีการดำเนินงานร่วมกับวิทยาลัยชุมชนอื่นอยู่ แล้ว เข้ามาใช้ในการบริหารจัดการ เป็นการสร้างความคุ้มค่าจากการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่แล้วให้เกิด ประโยชน์สูงสุด ตลอดจนการดำเนินงานตามพันธกิจวิทยาลัยชุมชนสุโขทัยจะสามารถเชื่อมโยงกับ โครงการวิจัยเรื่องช่างศิลป์ท้องถิ่น ที่จะขยายการดำเนินโครงการในพื้นที่จังหวัดสุโขทัยในปีต่อ ๆ ไปได้อีก ด้วย 3.1 ตราสัญลักษณ์ ตราวิทยาลัยชุมชนสุโขทัย สัญลักษณ์เป็นรูปทรงทางสถาปัตยกรรมไทยและลวดลายไทย ประสานกันซึ่งแสดงถึงเอกลักษณ์ของชุมชนไทย ลักษณะของปลายแหลม ด้านบนสื่อถึงการมุ่งสู่จุดมุ่งหมายสูงสุดในการดำเนินงาน วงกลมสีทองอยู่ ภายในสื่อถึงเป้าหมายในการดำเนินงาน ความสำเร็จ ความเจริญรุ่งเรือง มองภายในจะเห็นเป็นลักษณะของคนกับหนังสือที่เปิดออกซึ่งสื่อถึงการ เปิดโอกาสทางการศึกษาและการถ่ายทอดภูมิปัญญาจากบุคลากรของ ชุมชน เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของชุมชน และมีแถบสีธงชาติอยู่มุมด้านล่างของหนังสือ ซึ่งสื่อถึงความ เจริญรุ่งเรืองของชาติที่มีผลงานมาจากการที่บุคลากรของชาติมีคุณภาพ และมีเส้นโค้งรองรับด้านล่างซึ่ง สื่อถึงการศึกษาตลอดชีวิต การสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพให้แก่ชุมชน ดอกไม้ประจำวิทยาลัยชุมชนสุโขทัย ดอกบัวจงกลนี บัวจงกลนีได้ถูกกล่าวถึงในหน้าประวัติศาสตร์ไทยเมื่อ 650 ปีมาแล้ว ซึ่งปรากฏข้อความในหนังสือไตรภูมิพระร่วง นิพนธ์โดยพระ มหาธรรมราชาที่ 1 (พญาลิไท) ถือเป็นบัวที่หายากและพบในประเทศไทย เท่านั้น สีประจำวิทยาลัยชุมชนสุโขทัย สีชมพูดอกบัวจงกลนี (รหัสสี #RGB #fdb5d7)


10 3.2 คำนิยม คำนิยมโดย ศ.เกียรติคุณ นพ.เกษม วัฒนชัย “วิทยาลัยชุมชนเป็นการศึกษาของประชาชน บริหารจัดการโดยประชาชน และจัดตามความ ต้องการของประชาชน” คำนิยมโดย ดร.สิริกร มณีรินทร์ นายกสภาสถาบันวิทยาลัยชุมชน “ปัจจุบันบ้านเมืองของเรามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นสภาพสังคมและ สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ล้วนส่งผลกระทบต่อตัวท่านและชุมชน ดังนั้นการอยู่รอดท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าว เราต้องพร้อมที่จะปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง” คำนิยมโดย นายแพทย์ พิเชฐ บัญญัติ ประธานสภาวิทยาลัยชุมชนสุโขทัย “แนวคิดหลักของการตั้งวิทยาลัยชุมชนสุโขทัย เน้นความเป็นหนึ่งเดียวกับชุมชน สร้างโอกาสให้ คนในชุมชน ขยายผลคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่ในชุมชน ยกย่องปราชญ์ชุมชนให้เป็นครูบาอาจารย์ถ่ายทอด ความรู้เชิงประสบการณ์สู่ผู้คนในชุมชน” 3.3 วิสัยทัศน์ วิทยาลัยชุมชนสุโขทัยสร้างสรรค์ปัญญา พลังการเรียนรู้ และลดความเหลื่อมล้ำ นำไปสู่ความ เข้มแข็งของชุมชน 3.4 พันธกิจ (1) Education : จัดการศึกษา วิจัย บริการวิชาการ ทำนุบำรุงศิลปะและวัฒนธรรม และส่งเสริม การเรียนรู้ตลอดชีวิต (2) Area based education : สร้างโอกาสและลดความเหลื่อมล้ำการเข้าถึงการศึกษา และการ เรียนรู้ของกลุ่มเป้าหมายประชาชนที่ยากจนของจังหวัดสุโขทัย (3) Cultural heritage : เสริมสร้างคุณค่าและมูลค่าบนฐานทุนวัฒนธรรมอันโดดเด่นของจังหวัด สุโขทัยให้ดำรงอยู่อย่างยั่งยืน (4) Efficiency : บริหารวิทยาลัยชุมชนในรูปแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพและคล่องตัว ศึกษาเพิ่มเติม http://sktcc.ac.th/#


11 หน่วยที่ 2 จังหวัดของเรา 1. ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับจังหวัดสุโขทัย ศึกษาจาก http://www.sukhothai.go.th/sukhothai/index.php/th/ 2. ข้อมูลพื้นฐานเพื่อการพัฒนาจังหวัดสุโขทัย ศึกษาจาก https://drive.google.com/file/d/1AKfOo9CD8ssB1eYW6GEvC68RsqHzvUB/view?usp=sharing 3. ความรู้เกี่ยวกับภูมิปัญญาท้องถิ่น 3.1 ความหมายของภูมิปัญญา ภูมิปัญญา (wisdom) มาจากคำว่า “ภูมิ” ที่แปลว่าแผ่นดิน ส่วนคำว่า “ปัญญา” มีทั้ง ความหมายในทางโลกและทางธรรม สำหรับที่นี้ปัญญามีความหมายในทางโลก หมายถึง ความรู้ ดังนั้น หากแปลความหมายตามตัว “ภูมิปัญญา” จึงหมายถึง ความรู้ที่ติดแผ่นดิน หรือความรู้ของแผ่นดิน ภูมิปัญญาไทยจึงหมายถึงความรู้ที่ติดแผ่นดินไทย หรือความรู้ของแผ่นดินไทย ภูมิปัญญา หมายถึง ความรู้ ความสามารถ ความเชื่อ ที่นำไปสู่การปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหาของ มนุษย์ หรือ ภูมิปัญญา คือ พื้นความรู้ของปวงชนในสังคมนั้น ๆ และปวงชนในสังคมยอมรับรู้ เชื่อถือ เข้าใจร่วมกัน ภูมิปัญญาไทย หมายถึง องค์ความรู้ ความสามารถและทักษะของคนไทยอันเกิดจากการสั่งสม ประสบการณ์ที่ผ่านกระบวนการเรียนรู้ เลือกสรร ปรุงแต่ง พัฒนา และถ่ายทอดสืบต่อกันมา เพื่อใช้ แก้ปัญหาและพัฒนาวิถีชีวิตของคนไทยให้สมดุลกับสภาพแวดล้อมและเหมาะสมกับยุคสมัย ภูมิปัญญา ไทยนี้มีลักษณะเป็นองค์รวม มีคุณค่าทางวัฒนธรรมเกิดขึ้นในวิถีชีวิตไทย ซึ่งภูมิปัญญาท้องถิ่นอาจเป็น ที่มาขององค์ความรู้ที่งอกงามขึ้นใหม่ที่จะช่วยในการเรียนรู้ การแก้ปัญหา การจัดการและการปรับตัวใน การดำเนินวิถีชีวิตของคนไทย ลักษณะองค์รวมของภูมิปัญญามีความเด่นชัดในหลายด้าน เช่น ด้าน เกษตรกรรม ด้านอุตสาหกรรมและหัตถกรรม ด้านการแพทย์แผนไทย ด้านการจัดการทรัพยากรและ สิ่งแวดล้อม ด้านกองทุนและธุรกิจชุมชน ด้านศิลปกรรม ด้านภาษาและวรรณกรรม ด้านปรัชญา ศาสนา และประเพณี และด้านโภชนาการ วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญา ภูมิปัญญาชาวบ้าน หรือภูมิปัญญาท้องถิ่น (Folk Wisdom) หมายถึง องค์ความรู้ความสามารถ ของชุมชนที่สั่งสมสืบทอดกันมานาน เป็นความจริงแท้ของชุมชน เป็นศักยภาพที่จะใช้แก้ปัญหา จัดการ ปรับตน เรียนรู้ และถ่ายทอดสู่คนรุ่นใหม่ เพื่อให้ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างผาสุก เป็นแก่นของชุมชนที่จรรโลง ความเป็นชาติให้อยู่รอดจากทุกข์ภัยพิบัติทั้งปวง


12 3.2 ลักษณะของภูมิปัญญาท้องถิ่น 1. มีลักษณะเป็นทั้งความรู้ ทักษะ ความเชื่อ และพฤติกรรม 2. แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน คนกับธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และคนกับสิ่งเหนือ ธรรมชาติ 3. เป็นองค์รวมหรือกิจกรรมทุกอย่างในวิถีชีวิตของคน 4. เป็นเรื่องของการแก้ปัญหา การจัดการ การปรับตัว และการเรียนรู้ เพื่อความอยู่รอดของ บุคคล ชุมชน และสังคม 5. เป็นพื้นฐานสำคัญในการมองชีวิต เป็นพื้นฐานความรู้ในเรื่องต่าง ๆ 6. มีลักษณะเฉพาะ หรือมีเอกลักษณ์ในตัวเอง 7. มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อการปรับสมดุลในพัฒนาการทางสังคม 3.3 การจัดแบ่งสาขาภูมิปัญญาท้องถิ่น การจัดแบ่งสาขาภูมิปัญญาท้องถิ่นโดยใช้เกณฑ์การจัดแบ่งสาขาภูมิปัญญาไทย ซึ่งพบว่า มีการ กำหนดสาขาภูมิปัญญาไทยไว้อย่างหลากหลาย ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ และหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่หน่วยงาน องค์กร และนักวิชาการแต่ละท่านนำมากำหนด ในภาพรวมภูมิปัญญาไทย สามารถแบ่งได้เป็น 10 สาขา ดังนี้ 1. สาขาเกษตรกรรม หมายถึง ความสามารถในการผสมผสานองค์ความรู้ ทักษะ และ เทคนิคด้านการเกษตรกับเทคโนโลยี โดยการพัฒนาบนพื้นฐานคุณค่าดั้งเดิม ซึ่งคนสามารถพึ่งพาตนเองใน ภาวการณ์ต่าง ๆ ได้ เช่น การทำการเกษตรแบบผสมผสาน วนเกษตร เกษตรธรรมชาติ ไร่นาสวนผสม และสวนผสมผสาน การแก้ปัญหาการเกษตรด้านการตลาด การแก้ปัญหาด้านการผลิต การแก้ไขปัญหา โรคและแมลง และการรู้จักปรับใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับการเกษตร เป็นต้น 2. สาขาอุตสาหกรรมและหัตถกรรม หมายถึง การรู้จักประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการ แปรรูปผลิตผล เพื่อชะลอการนำเข้าตลาด เพื่อแก้ปัญหาด้านการบริโภคอย่างปลอดภัย ประหยัด และเป็น ธรรม อันเป็นกระบวนการที่ทำให้ชุมชนท้องถิ่นสามารถพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจได้ ตลอดทั้งการผลิต และการจำหน่ายผลิตผลทางหัตถกรรม เช่น การรวมกลุ่มของกลุ่มโรงงานยางพารา กลุ่มโรงสี กลุ่ม หัตถกรรม เป็นต้น 3. สาขาการแพทย์แผนไทย หมายถึง ความสามารถในการจัดการป้องกัน และรักษาสุขภาพ ของคนในชุมชน โดยเน้นให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองทางด้านสุขภาพและอนามัยได้ เช่น การนวดแผน โบราณ การดูแลและรักษาสุขภาพแบบพื้นบ้าน การดูแลและรักษาสุขภาพแผนโบราณไทย เป็นต้น 4. สาขาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หมายถึง ความสามารถเกี่ยวกับ การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้งการอนุรักษ์ การพัฒนา และการใช้ประโยชน์จากคุณค่า ของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยังยืน เช่น การทำแนวปะการังเทียม การอนุรักษ์ ป่าชายเลน การจัดการป่าต้นน้ำ และป่าชุมชน เป็นต้น 5. สาขากองทุนและธุรกิจชุมชน หมายถึง ความสามารถในการบริหารจัดการด้านการสะสม บริการกองทุน และธุรกิจในชุมชน ทั้งที่เป็นเงินตรา และโภคทรัพย์ เพื่อส่งเสริมชีวิตความเป็นอยู่ของ สมาชิกในชุมชน เช่น การจัดการเรื่องกองทุนของชุมชน ในรูปของสหกรณ์ออมทรัพย์ และธนาคารหมู่บ้าน เป็นต้น


13 6. สาขาสวัสดิการ หมายถึง ความสามารถในการจัดสวัสดิการในการประกันคุณภาพชีวิต ของคน ให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม เช่น การจัดตั้งกองทุนสวัสดิการ รักษาพยาบาลของชุมชน การจัดระบบสวัสดิการบริการในชุมชน การจัดระบบสิ่งแวดล้อมในชุมชน เป็น ต้น 7. สาขาศิลปกรรม หมายถึง ความสามารถในการผลิตผลงานทางด้านศิลปะสาขาต่าง ๆ เช่น จิตรกรรม ประติมากรรม วรรณกรรม ทัศนศิลป์ คีตะศิลป์ ศิลปะมวยไทย เป็นต้น 8. สาขาการจัดการองค์กร หมายถึง ความสามารถในการบริหารจัดการดำเนินงานของ องค์กรชุมชนต่าง ๆ ให้สามารถพัฒนา และการบริหารองค์กรของตนเองได้ ตามบทบาท และหน้าที่ของ องค์กร เช่น การจัดการองค์กรของกลุ่มแม่บ้าน กลุ่มออมทรัพย์ กลุ่มประมงพื้นบ้าน เป็นต้น 9. สาขาภาษาและวรรณกรรม หมายถึง ความสามารถผลิตผลงานเกี่ยวกับด้านภาษา ทั้ง ภาษาถิ่น ภาษาโบราณ ภาษาไทย และการใช้ภาษา ตลอดทั้งด้านวรรณกรรมทุกประเภท เช่น การจัดทำ สารานุกรมภาษาถิ่น การปริวรรตหนังสือโบราณ การฟื้นฟูการเรียนการสอนภาษาถิ่นของท้องถิ่นต่าง ๆ เป็นต้น 10. สาขาศาสนาและประเพณี หมายถึง ความสามารถประยุกต์ และปรับใช้หลักธรรมคำ สอน ความเชื่อ และประเพณีดั้งเดิมที่มีคุณค่าให้เหมาะสมต่อการประพฤติปฏิบัติ ให้บังเกิดผลดีต่อบุคลล และสิ่งแวดล้อม เช่น การถ่ายทอดหลักธรรมทางศาสนา การบวชป่า การประยุกต์ประเพณีบุญประทาย ข้าว เป็นต้น 3.4 ลักษณะความสัมพันธ์ของภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาท้องถิ่นสามารถสะท้อนออกมาใน 3 ลักษณะที่สัมพันธ์ใกล้ชิดกัน คือ 1. ความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดระหว่างคนกับโลก สิ่งแวดล้อม สัตว์ พืช และธรรมชาติ 2. ความสัมพันธ์ของคนกับคนอื่น ๆ ที่อยู่ร่วมกันในสังคม หรือในชุมชน 3. ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งเหนือธรรมชาติ ตลอดทั้งสิ่งที่ไม่สามารถสัมผัส ได้ทั้งหลาย ทั้ง 3 ลักษณะนี้ คือ สามมิติของเรื่องเดียวกัน หมายถึง ชีวิตชุมชน สะท้อนออกมาถึงภูมิปัญญาใน การดำเนินชีวิตอย่างมีเอกภาพ เหมือนสามมุมของรูปสามเหลี่ยม ภูมิปัญญาจึงเป็นรากฐานในการดำเนิน ชีวิตของคนไทย ซึ่งสามารถแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนโดยแผนภาพ 1


14 ภาพ 1 ลักษณะความสัมพันธ์ของภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่มา: สารานุกรมไทยฯ เล่ม 23. ลักษณะภูมิปัญญาที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติสิ่งแวดล้อม จะแสดงออกมาใน ลักษณะภูมิปัญญาในการดำเนินวิถีชีวิตขั้นพื้นฐาน ด้านปัจจัยสี่ ซึ่งประกอบด้วย อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่ อาศัย และยารักษาโรค ตลอดทั้งการประกอบอาชีพต่าง ๆ เป็นต้น ภูมิปัญญาที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนอื่นในสังคม จะแสดงออกมาในลักษณะจารีต ขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปะ นันทนาการ ภาษา และวรรณกรรม ตลอดทั้งการสื่อสารต่าง ๆ เป็นต้น ภูมิปัญญาที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งเหนือธรรมชาติ จะแสดงออกมา ในลักษณะของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ศาสนา ความเชื่อต่าง ๆ เป็นต้น 3.5 คุณค่าและความสำคัญของภูมิปัญญาท้องถิ่น/ภูมิปัญญาไทย คุณค่าของภูมิปัญญาท้องถิ่น/ภูมิปัญญาไทย ได้แก่ ประโยชน์ และความสำคัญของภูมิปัญญา ที่บรรพบุรุษได้สร้างสรรค์และสืบทอดมาอย่างต่อเนื่อง จากอดีตสู่ปัจจุบัน ทำให้คนในชุมชนท้องถิ่นและ คนในชาติเกิดความรักและความภาคภูมิใจ ที่จะร่วมแรงร่วมใจสืบสานต่อไปในอนาคต เช่น โบราณสถาน โบราณวัตถุ สถาปัตยกรรม ประเพณีท้องถิ่น การมีน้ำใจ ศักยภาพในการประสานผลประโยชน์ เป็นต้น ภูมิปัญญาท้องถิ่นจึงมีคุณค่าและความสำคัญ ดังนี้ 1. ภูมิปัญญาช่วยสร้างชาติให้เป็นปึกแผ่น พระมหากษัตริย์ไทยได้ใช้ภูมิปัญญาในการ สร้างชาติ สร้างความเป็นปึกแผ่นให้แก่ประเทศชาติมาโดยตลอด ตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช พระองค์ทรงปกครองประชาชนด้วยพระเมตตาแบบพ่อปกครองลูก ผู้ใดประสบความเดือดร้อนก็สามารถ ตีระฆังแสดงความเดือดร้อน เพื่อขอรับพระราชทางความช่วยเหลือ ทำให้ประชาชนมีความจงรักภักดีต่อ พระองค์ ต่อประเทศชาติ ร่วมกันสร้างบ้านเมืองจนเจริญรุ่งเรืองเป็นปึกแผ่น สมเด็จพระนเรศวรมหาราช


15 พระองค์ทรงใช้ภูมิปัญญากระทำยุทธหัตถีจนชนะข้าศึกศัตรู และทรงกอบกู้เอกราชของชาติไทยคืนมาได้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พระองค์ทรงใช้ภูมิปัญญาสร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ และเหล่าพสกนิกรมากมายเหลือคณานับ ทรงใช้พระปรีชาสามารถแก้ไขวิกฤตการณ์ทางการเมือง ภายในประเทศจนรอดพ้นภัยพิบัติหลายครั้ง พระองค์ทรงมีพระปรีชาสามารถหลายด้าน แม้แต่ด้าน การเกษตร พระองค์ได้พระราชทานทฤษฎีใหม่ให้แก่พสกนิกร ทั้งด้านการเกษตรแบบสมดุลและยั่งยืน ฟื้นฟูสภาพแวดล้อม นำความสงบร่มเย็นของประชาชนให้กลับคืนมา แนวพระราชดำริ “ทฤษฎีใหม่” แบ่ง ออกเป็น 3 ขั้น โดยเริ่มจากขั้นตอนแรก ให้เกษตรกรรายย่อย “มีพออยู่พอกิน” เป็นขั้นพื้นฐาน โดยการ พัฒนาแหล่งน้ำในไร่นา ซึ่งเกษตรกรจำเป็นที่จะต้องได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยราชการ มูลนิธิ และ หน่วยงานเอกชน ร่วมกันพัฒนาสังคมไทย ขั้นที่ 2 เกษตรกรต้องมีความเข้าใจในการจัดการในไร่นาของ ตน และมีการรวมกลุ่มในรูปสหกรณ์ เพื่อสร้างประสิทธิภาพทางการผลิต และการตลาด การลดรายจ่าย ด้านความเป็นอยู่ โดยทรงตระหนักถึงบทบาทขององค์กรเอกชน เมื่อกลุ่มเกษตรกรวิวัฒน์มาขั้นที่ 2 แล้ว ก็จะมีศักยภาพในการพัฒนาไปสู่ ขั้นที่ 3 ซึ่งจะมีอำนาจในการต่อรองผลประโยชน์กับสถาบันการเงิน คือ ธนาคาร และองค์กรที่เป็นเจ้าของแหล่งพลังงาน ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งในการผลิต โดยมีการแปรรูปผลผลิต เช่น โรงสี เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิต ขณะเดียวกันมีการจัดตั้งร้านค้าสหกรณ์เพื่อลดค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน อันเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคลในสังคม จะเห็นได้ว่ามิได้ทรงทอดทิ้งหลักของความสามัคคีใน สังคมและการจัดตั้งสหกรณ์ ซึ่งทรงสนับสนุนให้กลุ่มเกษตรกรสร้างอำนาจต่อรองในระบบเศรษฐกิจ จึงจะ มีคุณภาพชีวิตที่ดี จึงจัดได้ว่าเป็นสังคมเกษตรที่พัฒนาแล้ว สมดังพระราชประสงค์ที่ทรงอุทิศพระวรกาย และพระสติปัญญา ในการพัฒนาการเกษตรไทยตลอดระยะเวลาของรัชสมัย 2. สร้างความภาคภูมิใจ ศักดิ์ศรี และเกียรติภูมิแก่คนไทย คนไทยในอดีตที่มี ความสามารถปรากฏในประวัติศาสตร์นั้นมีมาก เป็นที่ยอมรับของนานาอารยประเทศ เช่น นายขนมต้ม เป็นนักมวยไทยที่มีฝีมือเก่งในการใช้อวัยวะทุกส่วนทุกท่าของแม่ไม้มวยไทย สามารถชกมวยไทยจนชนะ พม่า (เมียนมาร์) ได้ถึงเก้าคนสิบคนในคราเดียวกัน แม้ในปัจจุบัน มวยไทยก็ยังถือว่าเป็นศิลปะชั้นเยี่ยม เป็นที่นิยมฝึกและแข่งขันในหมู่คนไทยและชาวต่างประเทศ ปัจจุบันมีค่ายมวยไทยทั่วโลกมากกว่า 30,000 แห่ง ชาวต่างประเทศที่ได้ฝึกมวยไทยจะรู้สึกยินดีและภาคภูมิใจในการที่จะใช้กติกาของมวยไทย เช่น การ ไหว้ครูมวยไทย การออกคำสั่งในการชกเป็นภาษาไทย เป็นต้น ถือเป็นมรดกภูมิปัญญาไทย นอกจากนี้ ภูมิปัญญาไทยที่โดดเด่นยังมีอีกมากมาย เช่น มรดกภูมิปัญญาทางภาษาและวรรณกรรม โดยที่มีอักษรไทย เป็นของตนเองมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย และวิวัฒนาการมาจนถึงปัจจุบัน วรรณกรรมไทยเป็นวรรณกรรมที่ มีความไพเราะได้อรรถรสครบทุกด้าน วรรณกรรมหลายเรื่องได้รับการแปลเป็นภาษาต่างประเทศหลาย ภาษา ด้านอาหาร อาหารไทยเป็นอาหารที่ปรุงง่าย พืชที่ใช้ประกอบอาหารส่วนใหญ่เป็นพืชสมุนไพรที่หา ได้ง่ายในท้องถิ่นและราคาถูก มีคุณค่าทางโภชนาการ และยังป้องกันโรคได้หลายโรค เพราะส่วนประกอบ ส่วนใหญ่เป็นพืชสมุนไพร เช่น ตะไคร้ ขิง ข่า กระชาย ใบมะกรูด ใบโหระพา ใบกะเพรา เป็นต้น 3. สามารถประยุกต์หลักธรรมคำสอนทางศาสนาใช้กับวิถีชีวิตได้อย่างเหมาะสม คนไทย ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ โดยนำหลักธรรมคำสอนของศาสนามาปรับใช้ในวิถีชีวิตได้อย่างเหมาะสม ทำ ให้คนไทยเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ประนีประนอม รักสงบ ใจเย็น มีความอดทน ให้อภัยแก่ ผู้สำนึกผิด ดำรงวิถีชีวิตอย่างเรียบง่าย ปกติสุข ทำให้คนในชุมชนพึ่งพากันได้ แม้จะอดอยากเพราะแห้ง แล้งแต่ไม่มีใครอดตาย เพราะพึ่งพาอาศัยกันแบ่งปันกันแบบ “พริกบ้านเหนือเกลือบ้านใต้” ทั้งหมดนี้สืบ เนื่องมาจากหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา เป็นการใช้ภูมิปัญญาในการนำเอาหลักของ


16 พระพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวัน และดำเนินกุศโลบายด้านต่างประเทศจนทำให้ชาวพุทธ ทั่วโลกยกย่องให้ประเทศไทยเป็นผู้นำทางพุทธศาสนา และเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่องค์การพุทธศาสนิก สัมพันธ์แห่งโลก (พสล.) 4. สร้างความสมดุลระหว่างคนในสังคม และธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน ภูมิปัญญาไทยมี ความเด่นชัดในเรื่องของการยอมรับนับถือ และให้ความสำคัญแก่คน สังคม และธรรมชาติอย่างยิ่ง มี เครื่องชี้ที่แสดงให้เห็นได้อย่างมากมาย เช่น ประเพณีไทย 12 เดือนตลอดทั้งปี ล้วนเคารพคุณค่าของ ธรรมชาติ ได้แก่ ประเพณีสงกรานต์ ประเพณีลอยกระทง เป็นต้น ประเพณีสงกรานต์เป็นประเพณีที่ทำใน ฤดูร้อนซึ่งมีอากาศร้อนทำให้ต้องการความเย็น จึงมีการรดน้ำดำหัว ทำความสะอาดบ้านเรือน และ ธรรมชาติสิ่งแวดล้อม มีการแห่นางสงกรานต์ การทำนายฝนว่าจะตกมากหรือน้อยในแต่ละปี ส่วน ประเพณีลอยกระทง คุณค่าอยู่ที่การบูชาระลึกถึงคุณของน้ำที่หล่อเลี้ยงชีวิตของคน พืช และสัตว์ ให้ได้ใช้ ทั้งบริโภคและอุปโภค ในวันลอยกระทงคนจึงทำความสะอาดแม่น้ำลำธาร บูชาแม่น้ำ ซึ่งล้วนเป็น ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติทั้งสิ้น ในการรักษาป่าไม้ต้นน้ำลำธารมีการประยุกต์ให้มีการบวชป่า สืบชะตาแม่น้ำ ให้คนเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ธรรมชาติ และสภาพแวดล้อม ยังความอุดมสมบูรณ์แก่ต้นน้ำ ลำธารให้ฟื้นสภาพกลับคืนมาได้มาก ส่วนด้านอาชีพการเกษตรซึ่งเป็นอาชีพหลักของคนไทย ที่คำนึงถึง ความสมดุลทำแบบพออยู่พอกิน เมื่อเหลือกินก็แจกญาติพี่น้อง เพื่อนบ้าน บ้านใกล้เรือนเคียง นำไป แลกเปลี่ยนกับสิ่งของอย่างอื่นที่ตนไม่มี เมื่อเหลือใช้จริง ๆ จึงจะนำไปขาย อาจกล่าวได้ว่าเป็นการเกษตร แบบ “กิน แจก แลก ขาย” ทำให้คนในสังคมได้ช่วยเหลือเกื้อกูล แบ่งปันกัน เคารพรัก นับถือเป็นญาติกัน ทั้งหมู่บ้าน จึงอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข มีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น ธรรมชาติไม่ถูกทำลายไปมากนัก เนื่องจากทำพออยู่พอกิน ไม่โลภมากและไม่ทำลายทุกอย่างที่ผิดกับในปัจจุบัน ถือเป็นภูมิปัญญาที่สร้าง ความสมดุลระหว่างคน สังคม และธรรมชาติ 5. เปลี่ยนแปลงปรับปรุงได้ตามยุคสมัย แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนไป ความรู้สมัยใหม่จะ หลั่งไหลเข้ามามาก แต่ภูมิปัญญาท้องถิ่นและภูมิปัญญาไทยก็สามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับยุคสมัย เช่น การรู้จักนำเครื่องยนต์มาติดตั้งกับเรือ ใส่ใบพัดเป็นหางเสือ แล่นได้เร็วขึ้นเรียกว่าเรือหางยาว การรู้จัก ทำการเกษตรแบบผสมผสาน สามารถพลิกฟื้นคืนธรรมชาติให้อุดมสมบูรณ์แทนสภาพเดิมที่ถูกทำลายไป การรู้จักออมเงิน สะสมทุนให้สมาชิกกู้ยืม ปลดเปลื้องหนี้สิน และจัดสวัสดิการแก่สมาชิก จนชุมชนมีความ มั่นคง เข้มแข็ง สามารถช่วยตนเองได้หลายร้อยหมู่บ้านทั่วประเทศ เช่น ชุมชนไม้เรียง ตำบลคีรีวง อำเภอ ลานสกา จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อป่าถูกทำลายเพราะถูกตัดโค่นเพื่อปลูกพืชเชิงเดี่ยวตามภูมิปัญญา สมัยใหม่ที่หวังร่ำรวย แต่ในที่สุดก็ขาดทุนและมีหนี้สิน สภาพแวดล้อมสูญเสียเกิดความแห้งแล้ง คนไทยจึง คิดปลูกป่าที่กินได้ มีพืชสวน พืชป่าไม้ผล พืชสมุนไพร ซึ่งสามารถมีกินตลอดชีวิต เรียกว่า “วนเกษตร” บางพื้นที่เมื่อป่าชุมชนถูกทำลาย คนในชุมชนก็รวมตัวกันเป็นกลุ่มรักษาป่า ร่วมกันสร้างกฎระเบียบกันเอง ให้ทุกคนถือปฏิบัติได้ สามารถรักษาป่าได้อย่างสมบูรณ์ดังเดิม เมื่อปะการังธรรมชาติถูกทำลาย ปลาไม่มีที่ อยู่อาศัย ประชาชนสามารถสร้าง “อูหยัม” ขึ้นเป็นปะการังเทียมให้ปลาอาศัยวางไข่ และแพร่พันธุ์ให้ เจริญเติบโตมีจำนวนมากดังเดิมได้ ถือเป็นการใช้ภูมิปัญญาปรับปรุงประยุกต์ใช้ได้ตามยุคสมัย


17 ใบงานหน่วยที่ 2 จังหวัดของเรา ให้นักศึกษาแบ่งกลุ่มค้นคว้าข้อมูล “จังหวัดสุโขทัย” ตามประเด็นที่สนใจ (ภายใต้มิติของการเป็น เมืองมรดกโลก สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ทรัพยากรการท่องเที่ยว ฯลฯ) พร้อมทั้งจัดทำรายงานในรูปแบบไฟล์นำเสนอ (Presentation) เพื่อนำเสนอและแลกเปลี่ยนผล การศึกษาค้นคว้าในชั้นเรียน


18 หน่วยที่ 3 พลเมืองและความเป็นพลเมือง “พลเมือง คืออะไร?” “พลเมือง ต่างจากประชาชน อย่างไร?” “พลเมือง มีความสำคัญ อย่างไร?” “พลเมือง เกี่ยวข้องกับพวกเรา อย่างไร?” “พวกเราต้องเป็น พลเมือง ด้วยหรือ?” หลากหลายคำถามของคำว่าพลเมือง ซึ่งแท้จริงแล้วพลเมืองไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ไม่ค่อยได้รับความ สนใจจากผู้คนในสังคมไทย ขณะที่การให้ความสำคัญต่อการพัฒนาความเป็นพลเมืองให้เกิดขึ้นสำหรับ เยาวชนไทยนั้นมีมาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน หลักฐานที่ประจักษ์สะท้อนได้จากพระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ที่พระราชทานในโอกาสสำคัญหลายครั้ง อาทิ “...อนาคตของชาติทุกชาติย่อมขึ้นอยู่แก่เด็ก เพราะเด็กก็คือผู้ใหญ่ในเวลาข้างหน้า ถ้าบุคคลได้รับ การอบรมบ่มนิสัย ให้เป็นพลเมืองดีอยู่ในศีลธรรม เคารพต่อบทกฎหมายของบ้านเมืองเสียตั้งแต่ยังเยาว์ เมื่อเติบใหญ่ขึ้น พลเมืองของประเทศก็จะมีแต่คนดี และประเทศจะเจริญก้าวหน้าต่อไปได้ ก็โดยต้องมี พลเมืองดีดั่งว่านี้...” พระราชดำรัส ในพิธีเปิดศาลคดีเด็กและเยาวชนกลางและสถานพินิจคุ้มครองเด็กกลาง วันที่ 28 มกราคม 2495 “...การศึกษาเป็นเครื่องมืออันสำคัญในการพัฒนา ความรู้ความคิด ความประพฤติ ทัศนคติ ค่านิยม และคุณธรรมของบุคคล เพื่อให้เป็นพลเมืองดีมีคุณภาพและประสิทธิภาพ เมื่อบ้านเมืองประกอบ ไปด้วยพลเมืองที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพ การพัฒนาประเทศชาติก็ย่อมทำได้โดยสะดวกราบรื่นได้ผลที่ แน่นอนและรวดเร็ว...” พระราชดำรัส พระราชทานแก่ครูใหญ่และนักเรียน ณ ศาลาดุสิตาลัย พระราชวังดุสิต วันที่ 22 กรกฎาคม 2520 พระราชดำรัสข้างต้นแสดงถึงพระอัจฉริยะภาพของพระองค์ที่ทรงตระหนักและทรงมีวิสัยทัศน์ ด้านการศึกษาเพื่อสร้างความเป็นพลเมือง ซึ่งเนื้อความยังคงเป็นสาระที่มีความทันสมัย และเป็นเรื่อง สำคัญที่ต้องได้รับการพัฒนาอย่างเร่งด่วน เนื่องจากผลของการขัดเกลาและพัฒนาความเป็นพลเมืองต้อง อาศัยระยะเวลานาน โดยเฉพาะการที่ประเทศจะยืนหยัดอยู่รอดปลอดภัยได้อย่างมั่นคงท่ามกลางกระแส แห่งโลกาภิวัตน์อันเชี่ยวกราด อย่างไรก็ตาม ในสังคมไทยยังมีความเข้าใจความหมายของคำว่า “พลเมือง” แตกต่างกัน หลาย ครั้งที่มักจะใช้คำว่า “พลเมือง” “ประชาชน” และ “ราษฎร” ควบคู่กันไปโดยไม่เข้าใจว่า 3 คำนี้มี ความหมายเหมือนกันหรือไม่ และสามารถใช้แทนกันได้หรือไม่ ดังนั้นในการสร้างความเป็นพลเมือง จึง ต้องทำความเข้าใจกับความหมายของคำแต่ละคำให้เข้าใจเสียก่อน เพื่อให้เห็นว่าเพราะเหตุใดพลเมืองจึงมี ความสำคัญ รวมไปถึงคุณสมบัติที่สำคัญและบทบาทหน้าที่ของพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขควรเป็นเช่นใด


19 1. ความหมายของพลเมืองและความเป็นพลเมือง ราษฎร (Subject) สำนักงานราชบัณฑิตยสภาให้ความหมายราษฎร ว่า ผู้ที่เป็นคนของประเทศ ถือสัญชาติเดียวกัน อยู่ภายใต้การปกครองเดียวกัน มีสิทธิตามกฎหมาย และต้องปฏิบัติตามกฎหมาย บ้านเมืองเหมือนกันทุกคน ราษฎร หมายถึง คนของรัฐ ความหมายเดิมหมายถึงสามัญชน คือคนที่ไม่ใช่ขุนนาง โดยใน สังคมไทยโบราณนั้น ประชาชนเป็นไพร่หรือทาสเกือบทั้งหมด พอมาถึงช่วงรัชกาลที่ 5 ได้มีการ เปลี่ยนแปลงการบริหารราชการแผ่นดิน มีการเลิกทาส ทำให้ประชาชนกลายเป็นราษฎรที่ไม่ต้องรับใช้เจ้า ขุนมูลนาย และมีสถานะทางกฎหมายเทียบเท่ากันในความหมายคือ ผู้ที่ต้องเสียภาษีให้กับรัฐและต้อง ปฏิบัติตามกฎหมายของบ้านเมืองเช่นเดียวเหมือนกันหมด “ราษฎร” จึงหมายถึงคนธรรมดา หมู่คนที่มิใช่ ข้าราชการ หรือทหารตำรวจ มีความหมายคล้ายกับคำว่า “ประชาชน” แต่มีความหมายเป็นทางการน้อย กว่าประชาชน สถาบันพระปกเกล้าให้ความหมาย ราษฎร หมายถึง ผู้ที่เป็นภาระให้แก่สังคมไม่สามารถพึ่งพา ตัวเองได้ รอการช่วยเหลือจากคนอื่นอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม สังคมจะต้องเปิดโอกาสให้พวกเขามีการ พัฒนาเพื่อพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น ผู้ที่อยู่ภายใต้การดูแลและมีบทบาทเพียงการรับคำสั่งและทำตามคำสั่ง ประชาชน (People) ตามความหมายของสำนักงานราชบัณฑิตยสภา คำว่าประชาชน ประกอบด้วย “ประชา” หมายถึง หมู่คน และ “ชน” หมายถึง คน “ประชาชน” หมายถึง คนที่เกิดและ อาศัยอยู่ในประเทศใดประเทศหนึ่ง ถือว่าเป็นเจ้าของหรือสมาชิกของประเทศ คำว่า ประชาชน มักใช้ใน ความหมายพหูพจน์ คือ หมายถึง หมู่คน หรือ คนจำนวนมาก ประชาชน หมายถึง คนทั่วไป คนของประเทศ ประชาชนทุกคนมีหน้าที่ต้องรู้กฎหมายใครจะ ปฏิเสธว่าไม่รู้ไม่ได้ ตามความหมายของสถาบันพระปกเกล้า ประชาชน หมายถึง คนที่อยู่ใต้อำนาจ เป็นผู้รับคำสั่ง และทำตามคำสั่ง เป็นผู้ดูและไม่ใช่ผู้เล่น ในอีกนัยยะคือ ในสังคมมีผู้ปกครองและผู้อยู่ภายใต้การปกครอง ประชาชนในที่นี้ถูกผู้ปกครองบอกให้ทำสิ่งใดก็จะทำตาม แต่ถ้ามีโอกาสก็จะไม่ทำ เพราะจะมองที่ ผลประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก หากต้องเสียผลประโยชน์จะไม่ยอมเสียสละหรือมีส่วนช่วยกันแก้ปัญหา แต่ก็ยังมีการสื่อถึงความเป็นเจ้าของประเทศ และอำนาจอธิปไตยมากกว่าราษฎร พลเมือง (Citizen) มีรากศัพท์มาจาก 2 คำ คือ “พละ” ที่แปลว่าพละกำลัง + เมือง หมายถึง บ้านเมือง เมื่อรวมกันแล้วแปลตามรากศัพท์จึงหมายถึงพละกำลังของบ้านเมือง ซึ่งสำนักงานราชบัณฑิตย สภาให้ความหมายว่า พลเมือง หมายถึง คนที่มีสิทธิและหน้าที่ในฐานะประชาชนของประเทศใดประเทศ หนึ่ง หรือประชาชนที่อยู่ภายใต้ผู้ปกครองเดียวกัน มักมีวัฒนธรรมเดียวกัน พลเมือง มีความหมายต่างจาก ประชาชน ในแง่ที่เน้นสิทธิและหน้าที่มากกว่าคำว่า ประชาชน ในขณะที่สถาบันพระปกเกล้ากล่าวว่า พลเมืองมีความหมายมากไปกว่าผู้ที่มีบทบาทหน้าที่เพียง แค่รับคำสั่งจากรัฐและทำตามกฎหมายเท่านั้น แต่ยังหมายถึง ผู้ที่เป็นกำลังหรือพลังของบ้านเมือง รวมตัว กันทำเรื่องดี ๆ รวมถึงมีจิตสำนึกความรับผิดชอบต่อตัวเองและสังคม ซื่อสัตย์ เสียสละและมีเหตุผล เห็น กับประโยชน์ส่วนรวมและเป็นส่วนช่วยให้สังคมและประเทศชาติมีความเจริญ พลเมืองจึงหมายถึงคนที่ เป็น “พละกำลังของบ้านเมือง” ไม่เป็นภาระให้กับคนอื่นแต่สามารถพึ่งตนเองและช่วยเหลือสังคมได้


20 กล่าวโดยสรุป พลเมืองมีความแตกต่างจากประชาชน และราษฎร ในแง่ของจิตสำนึกความ รับผิดชอบและพฤติกรรมการแสดงออกต่อสาธารณะ ตลอดจนการแสดงออกถึงความกระตือรือร้นในการ รักษาสิทธิต่าง ๆ ของตน รวมถึงการมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยการแสดงออกซึ่งสิทธิ เสรีภาพในการ แสดงความคิดเห็น ดังนั้นการพัฒนาสังคมหนึ่งๆ ให้มีคุณภาพ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องยกระดับความรู้ ความสามารถ (knowledge & capacity) ทักษะ (skill) และเจตคติ (disposition) ของผู้คนในสังคมจาก “ราษฎร” ที่ยังเป็นภาระให้คนอื่นและสังคมไปสู่ “ประชาชน” ที่เป็นเพียงผู้เฝ้ามองดูอยู่เฉยๆ ให้ กลายเป็น “พลเมือง” ที่มีความรู้ความสามารถ ตระหนักในศักยภาพของตน มีความกระตือรือร้นที่จะใช้ สิทธิเสรีภาพตามกฎหมายนั้นอย่างเหมาะสม เห็นกับประโยชน์ของส่วนรวมเป็นส่วนใหญ่ และทำให้ชาติ บ้านเมืองมีความเจริญก้าวหน้า มีความเป็นอยู่ที่ดีและมีความสุขกันทั่วหน้า ความเป็นพลเมือง (Citizenship) หมายถึง ประชาชนหรือพลเมืองของรัฐ หรือสังคม หรือ ชุมชนที่อาศัยอยู่ที่มีความกระตือรือร้น รับผิดชอบทั้งต่อตนเองและต่อสาธารณะหรือส่วนรวม ไม่ใช่เป็น บุคคลที่เห็นเรื่องสาธารณะหรือเรื่องส่วนรวมที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง แต่เป็นเรื่องของคนอื่น หรือหน่วยงาน อื่นที่ต้องทำแทนตน ตนเป็นเพียงผู้รับผลกระทบจากการกระทำเหล่านั้น ประชาชนในชุมชน หรือสังคม หรือในรัฐ ต้องมีความกระตือรือร้น ลุกขึ้นมารับผิดชอบต่อกิจการสาธารณะที่เกี่ยวข้องกับตน ทั้งการคิด พัฒนา และเข้าไปมีส่วนร่วมในประเด็นที่รัฐจัดทำขึ้น เพื่อให้เกิดความเสมอภาค เป็นธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้ (อเนก เหล่าธรรมทัศน์, 2545 อ้างถึงใน สยามรัฐ, 2561, ออนไลน์) ความเป็นพลเมือง คือ สถานภาพของบุคคลที่จารีตประเพณีหรือกฎหมายของรัฐรับรองซึ่งให้แก่ สิทธิและหน้าที่แห่งความเป็นพลเมืองแก่บุคคล ซึ่งอาจรวมถึงสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง การทำงานและอาศัย อยู่ในประเทศ สิทธิกลับประเทศ สิทธิครอบครองอสังหาริมทรัพย์ การคุ้มครองทางกฎหมายต่อรัฐบาลของ ประเทศ และการคุ้มครองผ่านกองทัพหรือการทูต พลเมืองยังมีหน้าที่บางอย่าง เช่น ปฏิบัติหน้าที่ตาม กฎหมายของรัฐ จ่ายภาษี หรือรับราชการทหาร บุคคลอาจมีความเป็นพลเมืองมาก และบุคคลที่ไม่มีความ เป็นพลเมือง เรียกผู้ไร้สัญชาติ (stateless) สถาบันพระปกเกล้า (2559, หน้า 5) ให้ความหมาย ความเป็นพลเมือง หมายถึง การที่บุคคล แสดงออกถึงความกระตือรือร้นในการรักษาสิทธิและผลประโยชน์ของตนเองและส่วนรวม แสดงความ สนใจที่จะมีส่วนร่วมทางการเมือง โดยการแสดงออกซึ่งสิทธิ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ความเป็นพลเมือง หมายถึง การมีสิทธิ เสรีภาพ การมีส่วนร่วมทางการเมืองในชีวิตของชุมชน ในทางกฎหมายยังเป็นเรื่องที่เชื่อมระหว่างปัจเจกชนกับรัฐ (ถวิลวดี บุรีกุล, รัชวดี แสงมหะหมัด, 2555, หน้า 4) ซึ่งการที่จะเป็นพลเมืองได้นั้นจะต้องมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้ (1) มีเอกลักษณ์ที่มาจากความเป็นสมาชิกของชุมชนทางการเมือง (2) ยึดถือค่านิยมเฉพาะและอุดมคติ (3) มีสิทธิและหน้าที่ (4) มีส่วนร่วมทางการเมือง (5) มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการเมืองการปกครอง


21 2. จริยธรรมแบบพลเมือง (Civic virtues) ความเป็นพลเมืองเป็นเรื่องของความกระตือรือร้นมากกว่าจะเป็นสภาวะของการอยู่เฉย ๆ ไม่ ดิ้นรน อาจเป็นเรื่องของการไม่เต็มใจที่จะมีส่วนร่วมในทางการเมืองการปกครอง หรือเป็นเรื่องตั้งแต่ พื้นฐานของสิทธิของบุคคล เราต้องเต็มใจที่จะยอมรับการมีความรับผิดชอบที่มากขึ้นและเข้ามามีส่วนร่วม ดังนั้นจริยธรรมของการมีส่วนร่วม (Ethic of Participation) ซึ่งได้รวมสิทธิและความรับผิดชอบไว้ด้วยนี้ เป็นจริยธรรมแบบพลเมืองที่จำเป็นเพื่อความยั่งยืนของประชาธิปไตย นอกจากนี้ยังมีจริยธรรมแบบ พลเมืองอีกมากมายที่ขึ้นกับบริบทของพื้นที่ เช่น ตามที่อริสโตเติลกล่าวว่า “พลเมืองที่ดีควรรู้และมี ความสามารถทั้งเรื่องกฎระเบียบและการถูกควบคุมโดยกฎระเบียบด้วย และสิ่งเหล่านี้คือจริยธรรมแบบ พลเมือง” (Aristotle อ้างถึงใน เรื่องเดียวกัน, 2555, หน้า 9) จริยธรรมของพลเมืองประกอบด้วย จริยธรรม 4 ประการ คือ (1) การควบคุมตนเอง และการเลี่ยงการกระทำที่ใช้ความรุนแรง หรือสุดขั้ว (2) ความเป็นธรรม (3) ความกล้าหาญ และความรักชาติ (4) การมีปัญญาและรอบคอบ มัธยัสถ์ ซึ่งรวมถึงความสามารถในการตัดสินใจได้ด้วย 3. การสร้างสำนึกพลเมือง การสร้างสำนึกพลเมืองต้องให้ความสำคัญกับแนวคิดของความรู้ ทักษะ และเจตคติ ซึ่งมี ความสำคัญเชื่อมโยงกันและเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของพลเมือง ดังนั้นการสร้างสำนึกพลเมืองคือมุ่ง สร้างให้บุคคลมีความรู้ความเข้าใจ (knowledge) มีทักษะ (skill) ในการแสดงออก และมีเจตคติ (disposition) เกี่ยวกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่เหมาะสม ผ่านการลงมือปฏิบัติ โดยทำให้เป็นรูปธรรม เนื่องจากมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน หากปราศจากส่วนใด ส่วนหนึ่งจะไม่สามารถสร้างสำนึกพลเมืองให้เกิดขึ้นได้ 1. ความรู้(knowledge) ในที่นี้หมายถึง ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ความเป็นพลเมือง การมีส่วนร่วมทางการเมืองใน รูปแบบต่าง ๆ เช่น การลงประชามติ หรือความรู้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่กลุ่มสนใจ 2. ทักษะ (skill) หมายถึง ความชำนิชำนาญ การทำงานได้อย่างคล่องแคล่ว ทักษะเป็นสิ่งที่ต้อง ฝึกฝนปฏิบัติให้เกิดความชำนาญในการปฏิบัติและในการปรับใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ทักษะที่ พลเมืองพึงมี อาทิ ทักษะในการคิด การเขียนเชิงวิเคราะห์ การพูดในที่สาธารณะ การประยุกต์ใช้ การ จัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธี การเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดี การฟังและการยอมรับความเห็นที่แตกต่าง เป็นต้น 3. เจตคติ (disposition) หมายถึง ภาษาท่าทาง ท่าทีหรือความรู้สึกของบุคคลต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด อาจจะส่งผลต่อแนวโน้มการแสดงออกของผู้นั้นทางกาย วาจา ใจ เจตคติมีทั้งด้านบวกและด้านลบ อาทิ การแสดงออกถึงความชอบ ความพอใจ ความสนใจ เห็นด้วย ในทางกลับกันเจตคติด้านลบ อาทิ การ แสดงออกถึงความเกลียดชัง ไม่พอใจ ไม่สนใจ ไม่เห็นด้วย ไม่ให้ความร่วมมือ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เจตคติอาจเปลี่ยนแปลงไปได้ตามข้อมูลที่ได้รับหรือความเชื่อที่เปลี่ยนไป เจตคติที่พลเมืองในระบอบ ประชาธิปไตยพึงมี เช่น การยอมรับความหลากหลาย การยึดหลักสันติวิธีในการแก้ไขปัญหา เชื่อมั่นใน ระบอบประชาธิปไตยและอำนาจของประชาชน เป็นต้น


22 ด้วยเหตุนี้ การสร้างสำนึกพลเมืองจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพัฒนาความรู้ (knowledge) ทักษะ (skill) และเจตคติ (disposition) ไปพร้อมกันดังแผนภาพ 2 ภาพ 2 การสร้างสำนึกพลเมือง 4. ความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย การศึกษาเพื่อสร้างพลเมืองในสังคมการเมืองแบบประชาธิปไตยจะเห็นคุณค่าในการพัฒนาคน ของรัฐให้มีคุณภาพ ตระหนักในสิทธิหน้าที่ความรับผิดชอบ มีคุณลักษณะในฐานะเจ้าของอำนาจอธิปไตย เป็นพลเมืองที่มีความกระตือรือร้น (active citizen) แต่ที่ผ่านมาสังคมไทยมีฐานความคิดในการจัด การศึกษาเพื่อสร้างพลเมืองที่ตั้งอยู่บนหลักจารีตประเพณีและอนุรักษ์นิยม ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานหลักการ ประชาธิปไตย ให้ความสำคัญกับวุฒิการศึกษามากกว่าความรู้ที่นำมาปฏิบัติจริง เน้นท่องจำมากกว่าเข้าใจ และนำไปใช้ รวมทั้งไม่เชื่อมโยงกับวิถีชีวิตในสังคม การมีส่วนร่วมและความเป็นหุ้นส่วนในการพัฒนา ประเทศและสร้างสรรค์ประชาธิปไตยจึงทำได้ค่อนข้างยาก (โกวิทย์ พวงงาม, 2555 อ้างถึงใน วิวัฒชัย หล่มศรี และภาณุวัฒน์ ภักดีวงศ์, ม.ป.ป., ออนไลน์) ดังที่ปริญญา เทวานฤมิตรกุล (อ้างถึงแล้ว, 2556) กล่าวไว้ว่า ถ้าประชาชนเป็น “พลเมือง” จะเกิด “สังคมพลเมือง” (Civil Society) และประชาธิปไตยจะ เป็นการปกครองโดยประชาชนอย่างแท้จริง นั่นหมายความว่า ถ้าประชาชนเป็น “พลเมือง” ประชาธิปไตยถึงแม้จะเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบผู้แทน (Representative Democracy) คือ


23 ประชาชนมิได้ใช้อำนาจอธิปไตยโดยตรง แต่ใช้โดยผ่านการเลือกผู้แทน แต่ก็ยังคงเป็นการปกครองโดย ประชาชน มิใช่การปกครองโดยผู้แทน หรือปกครองโดยนักการเมืองหรือพรรคการเมือง เพราะประชาชน ที่เป็น “พลเมือง” จะเป็นอิสระไม่อยู่ภายใต้การครอบงำหรือการกะเกณฑ์ของนักการเมืองหรือผู้มีอำนาจ คนใด ประชาธิปไตยของประเทศที่มีพลเมือง จึงยังเป็นประชาธิปไตยที่เป็นการปกครองโดยประชาชน มิใช่ปกครองโดยนักการเมือง เมื่อประชาชนในสังคมเป็น “พลเมือง” มากถึงจำนวนหนึ่ง (Critical Mass) สังคมนั้นก็จะกลายเป็น Civil Society หรือสังคมที่ประกอบด้วยพลเมืองที่เอาใจใส่ในความเป็นไปและมี ส่วนร่วมในการแก้ปัญหาของชุมชน ปัญหาของสังคม และปัญหาของบ้านเมือง ซึ่ง Civil Society นี้มักจะ แปลกันว่า “ประชาสังคม” แท้ที่จริงแล้ว Civil Society ก็คือ “สังคมพลเมือง” หรือสังคมที่ประกอบด้วย “พลเมือง” นั่นเอง ทั้งนี้ การสร้างความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย จำเป็นต้องทำความเข้าใจหลักของการ ปกครองในระบอบนี้เสียก่อน เพื่อให้ทราบว่าคุณสมบัติที่ดีของพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยควรเป็น เช่นใด 4.1 การปกครองแบบประชาธิปไตย ระบอบประชาธิปไตย (Democracy) หมายถึง ระบบการปกครองที่ประชาชนเป็นใหญ่ ดังนั้น การปกครองในระบอบประชาธิปไตย จึงเป็นรูปแบบการปกครองที่ยึดถืออำนาจอธิปไตยเป็นของ ปวงชน นั่นคือ ระบอบการปกครองที่เป็นของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ซึ่งการดำเนินชีวิตของผู้คนในสังคม เพื่อก่อให้เกิดความสงบสุขในสังคมได้นั้น ต้องอยู่บนรากฐาน หลักการของประชาธิปไตยที่สำคัญ 5 ประการคือ 1. หลักการอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน คือ ประชาชนเป็นผู้มีอำนาจในการปกครอง หรือกำหนดผู้ปกครองของตนเอง โดยผ่านกระบวนการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม หรือวิธีการอื่นโดยชอบ รวมทั้งประชาชนมีอำนาจในการคัดค้านและถอดถอนผู้ปกครองและผู้แทนที่ประชาชนเห็นว่ามิได้บริหาร ประเทศในทางที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม 2. หลักสิทธิและเสรีภาพ สิทธิ คือ อำนาจอันชอบธรรมที่สามารถกระทำได้ และได้รับการ ยอมรับจากกฎหมาย ส่วนเสรีภาพ คือ อิสระในการกระทำใด ๆ ตามความต้องการ แต่จะต้องไม่ละเมิด กฎหมายหรือสิทธิของบุคคลอื่น หมายความว่าประชาชนทุกคนมีความสามารถในการกระทำหรืองดเว้น การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่บุคคลต้องการ ตราบเท่าที่การกระทำนั้นไม่ไปละเมิดลิดรอนสิทธิ เสรีภาพของบุคคลอื่น หรือละเมิดต่อความสงบเรียบร้อยของสังคมและความมั่นคงของประเทศชาติสิทธิ และเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย ได้แก่ เสรีภาพในการพูด เสรีภาพในการนับถือศาสนา เสรีภาพใน การสมาคมหรือรวมกลุ่ม สิทธิในทรัพย์สิน สิทธิที่จะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย และสิทธิส่วนบุคคล 3. หลักความเสมอภาค ในสังคมประชาธิปไตยแม้คนจะแตกต่างกันเรื่องเพศ ชาติพันธุ์ ถิ่น ที่อยู่อาศัย ชนชั้น ศาสนา หรืออุดมการณ์ทางการเมือง แต่ทุกคนต้องมีความเท่าเทียมกันโดยได้รับความ คุ้มครองการบริการจากรัฐ การเข้าถึงทรัพยากร และสิ่งอื่น ๆ ของสังคมอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งความเสมอ ภาคจำแนกได้เป็น 5 ประการ คือ (1) ความเสมอภาคทางการเมือง หมายถึง การที่บุคคลทุกคนมีสิทธิที่จะเข้าร่วม กิจกรรมการเมือง เช่น สิทธิเลือกตั้งเมื่ออายุถึงเกณฑ์ สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเมื่อมีคุณสมบัติครบถ้วน เป็นต้น


24 (2) ความเสมอภาคต่อการปฏิบัติของกฎหมาย หมายถึง บุคคลจะได้รับการคุ้มครอง จากกฎหมายโดยเท่าเทียมกัน เมื่อกระทำความผิด การลงโทษและการได้รับเหตุอันควรปรานีจะต้องใช้ กฎหมายเดียวกัน (3) ความเสมอภาคในโอกาส หมายถึง คนทุกคนจะต้องได้รับโอกาสที่จะใช้ ความสามารถของเขาในการศึกษา การประกอบธุรกิจการงาน และการแสวงหาความเจริญก้าวหน้าหรือ เลื่อนสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมโดยทัดเทียมกัน (4) ความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ หมายถึง สภาพความใกล้เคียงกันในฐานะทาง เศรษฐกิจ แต่มิได้หมายถึงการที่ทุกคนจะต้องมีรายได้เท่าเทียมกัน โดยจะต้องมีการกระจายรายได้ที่เป็น ธรรมเพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างระหว่างชนชั้นมากนัก เช่น การเก็บภาษีในอัตราก้าวหน้า และบุคคลควรมีความ มั่นคงทางเศรษฐกิจพอสมควร คือมีรายได้เพียงพอในการดำรงชีพ เช่น การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ การ ใช้สิทธิในการรักษาพยาบาลหรือหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และสวัสดิการต่าง ๆ เป็นต้น (5) ความเสมอภาคทางสังคม หมายถึง คนทุกคนจะต้องได้รับการเคารพในศักดิ์ศรี ของความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน 4. หลักการปกครองโดยกฎหมายหรือหลักนิติธรรม (Rule of Law) กล่าวคือสังคม ประชาธิปไตยเป็นสังคมที่มีความหลากหลายและมีความแตกต่างกัน ดังนั้น เพื่อให้สังคมอยู่ร่วมกันได้อย่าง สงบสุขจึงจำเป็นต้องมีกติการ่วมกัน โดยทุกคนต้องอยู่ภายใต้กติกาหรือกฎหมายอย่างเสมอภาคกัน 5. หลักการเสียงข้างมาก (Majority Rule) ควบคู่ไปกับการเคารพในสิทธิของเสียงข้าง น้อย (Minority Rights) หมายถึง การที่บุคคลซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นรัฐบาลนั้น ถ้าหากไม่ได้รับเลือกตั้ง จากประชาชนโดยตรงแล้ว ก็ต้องเป็นคณะบุคคลที่ได้รับการยอมรับจากเสียงข้างมากของผู้แทนที่ได้รับการ เลือกตั้งเข้ามาโดยการออกกฎหมาย การวินิจฉัยปัญหาหรือการตัดสินใจในนโยบายต่าง ๆ ต้องเป็นไปตาม ความเห็นชอบของเสียงข้างมากของผู้แทนในสภา ในระบอบประชาธิปไตยนั้นมิได้หมายความเพียงการยึด หลักเสียงข้างมากเท่านั้น แต่จะต้องมีหลักประกันสำหรับเสียงข้างน้อยด้วย (Majority Rules but Minority Rights) นั่นคือสิทธิขั้นพื้นฐานของเสียงข้างน้อยจะต้องได้รับการเคารพ หากเสียงข้างมากละเมิด หรือก้าวก่ายสิทธิของเสียงข้างน้อยถือว่าเป็นการใช้ “กฎหมู่” นอกจากนี้ความเห็นหรือทัศนะของเสียงข้าง น้อยจะต้องได้รับการรับฟัง เพราะในระบอบประชาธิปไตยนั้นต้องเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายหรือผู้ที่มีความ คิดเห็นแตกต่างได้เผยแพร่ทัศนะหรือแนวความคิดของเขา และทัศนะหรือความคิดเห็นที่ตกเป็นเสียงข้าง น้อยนั้นไม่ได้หมายความว่าจะต้องสูญหายไปโดยสิ้นเชิง แต่อาจจะกลับมาเป็นทัศนะที่ได้รับการยอมรับ หรือเป็นเสียงข้างมากในโอกาสต่อไปได้ 4.2 วิถีชีวิตแบบประชาธิปไตย จำแนกได้ดังนี้ 1. เคารพเหตุผลมากกว่าบุคคล ประชาธิปไตยเชื่อว่ามนุษย์มีเหตุผล จึงไม่เคร่งครัดเรื่อง ระบบอาวุโสแต่ให้ความเคารพ ประชาธิปไตยจะดำเนินไปได้ด้วยดีเมื่อมีการรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่าย เพื่อค้นหาเหตุผลและความถูกต้องที่แท้จริง เพราะเหตุผลจะจรรโลงให้ประชาธิปไตยดำเนินไปได้ 2. รู้จักการประนีประนอม คือ การยอมรับการแก้ไขปัญหาและความขัดแย้งด้วยสันติวิธี ไม่ นิยมความรุนแรง ต้องรู้จักยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น ไม่ยึดมั่นหรือดึงดันแต่ความคิดเห็นของตนเองโดย ไม่ยอมผ่อนปรนแก้ไข และต้องยอมเปลี่ยนแปลงแก้ไขความคิดเห็นของตนเองเมื่อผู้อื่นมีความคิดเห็นที่ ดีกว่า ปรัชญาประชาธิปไตยโดยพื้นฐานไม่ปรารถนาให้มีการใช้กำลังและการล้มล้างด้วยวิธีการรุนแรง เพราะแสดงถึงความไม่มีเหตุผลของมนุษย์


25 3. มีระเบียบวินัย ต้องปฏิบัติตามกฎหมายของบ้านเมืองอย่างสม่ำเสมอ และช่วยทำให้ กฎหมายของบ้านเมืองมีความศักดิ์สิทธิ์โดยไม่ยอมให้ผู้ใดมาละเมิดตามอำเภอใจ แต่ถ้ามีความรู้สึกว่า กฎหมายที่ใช้อยู่ไม่เป็นธรรม ก็ต้องหาทางเรียกร้องให้แก้ไขกฎหมายนั้นมิใช่ฝ่าฝืนหรือไม่ยอมรับ การใช้ เสรีภาพเกินขอบเขตจนละเมิดหรือก้าวก่ายในสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นย่อมทำให้เกิดความไม่สงบขึ้นในสังคม เพราะสังคมที่ไม่มีการจำกัดในเรื่องสิทธิเสรีภาพเลยนั้นไม่ใช่สังคมประชาธิปไตยแต่เป็นสังคมอนาธิปไตยที่ เปรียบเสมือนไม่มีรัฐบาล ไม่มีกฎหมาย ไร้ระเบียบวินัยทางสังคมโดยสิ้นเชิง 4. มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม ซึ่งเกิดขึ้นจากความรู้สึกของคนในสังคมว่าตนเป็น เจ้าของประเทศ และประเทศเป็นของคนทุกคน โดยสำนึกว่าการที่ตนได้รับการศึกษา สามารถทำมาหา เลี้ยงชีพและดำรงชีวิตอยู่ได้ก็เพราะสังคมอันเป็นส่วนรวมของทุกคน ดังนั้นจึงต้องมีหน้าที่ทำประโยชน์ให้ เป็นการตอบแทน ซึ่งการสร้างพลเมืองให้มีความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยนั้น มีหลักพื้นฐานอยู่ 3 ประการดังนี้ 4.3 ลักษณะของพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย ปริญญา เทวานฤมิตรกุล (2555, อ้างถึงใน สมชาย แสวงการ, 2558, หน้า 5-7) ได้อธิบายว่า พลเมืองในระบอบประชาธิปไตยต้องประกอบด้วยลักษณะ 6 ประการ คือ 1. รับผิดชอบตนเองและพึ่งตนเองได้ ระบอบประชาธิปไตยคือ ระบอบการปกครองที่ ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจสูงสุดในประเทศ ประชาชนในประเทศจึงมีฐานะเป็นเจ้าของประเทศ เมื่อ ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศประชาชนจึงเป็นเจ้าของชีวิต และมีสิทธิเสรีภาพในประเทศของตนเอง ทำนองเดียวกับเจ้าของบ้านมีสิทธิเสรีภาพในบ้านของตน ระบอบประชาธิปไตยจึงทำให้เกิดหลักสิทธิ เสรีภาพ และทำให้ประชาชนมีอิสรภาพคือเป็นเจ้าของตนเอง “พลเมือง” ในระบอบประชาธิปไตยจึงเป็น ไทย คือเป็นอิสระชนที่พึ่งตนเองและสามารถรับผิดชอบได้ และไม่ยอมตกอยู่ภายใต้อิทธิพลอำนาจหรือ ภายใต้ระบบอุปถัมภ์ของผู้ใด เด็กจะเป็นผู้ใหญ่และเป็นพลเมืองหรือสมาชิกคนหนึ่งของสังคมได้อย่าง แท้จริงเมื่อสามารถรับผิดชอบตนเองได้ 2. เคารพหลักความเสมอภาค ประชาธิปไตยคือระบอบการปกครองที่อำนาจสูงสุดใน ประเทศเป็นของประชาชน ดังนั้นในระบอบประชาธิปไตยไม่ว่าประชาชนจะแตกต่างหรือสูงต่ำกันอย่างไร ไม่ว่าจะร่ำรวยหรือยากจน จะจบการศึกษาระดับใด จะเป็นเจ้านายหรือเป็นลูกน้อง ทุกคนล้วนแต่เท่า เทียมกันในฐานะที่เป็นเจ้าของประเทศ พลเมืองจึงต้องเคารพหลักความเสมอภาค และจะต้องเห็นคนเท่า เทียมกัน คือเห็นคนในแนวระนาบ (horizontal) เห็นตนเท่าเทียมกับคนอื่นและเห็นคนอื่นเท่าเทียมกับตน ไม่ว่าจะยากดีมีจน ทุกคนล้วนมีศักดิ์ศรีของความเป็นเจ้าของประเทศอย่างเสมอกัน ถึงแม้จะมีการพึ่งพา อาศัยกันแต่จะเป็นไปอย่างเท่าเทียม ซึ่งจะแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากสังคมแบบอำนาจนิยมในระบอบเผด็จ การ หรือสังคมระบบอุปถัมภ์ซึ่งโครงสร้างสังคมจะเป็นแนวดิ่ง (vertical) ที่ประชาชนไม่เสมอภาค ไม่เท่า เทียม ไม่ใช่อิสระชน และมองเห็นคนเป็นแนวดิ่ง มีคนที่อยู่สูงกว่าและมีคนที่อยู่ต่ำกว่า โดยจะยอมคนที่อยู่ สูงกว่า แต่จะเหยียดคนที่อยู่ต่ำกว่า ซึ่งมิใช่ลักษณะของพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย 3. เคารพความแตกต่าง เมื่อประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ ประชาชนจึงมีเสรีภาพใน ประเทศของตนเอง ระบอบประชาธิปไตยจึงให้เสรีภาพ และยอมรับความหลากหลายของประชาชน ประชาชนจึงแตกต่างกันได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเลือกอาชีพ วิถีชีวิต ความเชื่อทางศาสนา หรือความ คิดเห็นทางการเมือง ดังนั้น เพื่อมิให้ความแตกต่างนำมาซึ่งความแตกแยกในสังคม พลเมืองในระบอบ


26 ประชาธิปไตยจึงต้องยอมรับและเคารพความแตกต่างของกันและกัน เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ถึงแม้จะ แตกต่างกัน และจะต้องไม่มีการใช้ความรุนแรงต่อผู้ที่เห็นแตกต่างไปจากตนเอง ถึงแม้จะไม่เห็นด้วยแต่ จะต้องยอมรับว่าคนอื่นมีสิทธิที่จะแตกต่างหรือมีความคิดเห็นที่แตกต่างไปจากเรา พลเมืองจึงคุยเรื่อง การเมืองกันในบ้านได้ถึงแม้จะเลือกพรรคการเมืองคนละพรรค หรือมีความคิดเห็นทางการเมืองคนละข้าง กัน 4. เคารพสิทธิผู้อื่น ในระบอบประชาธิปไตยทุกคนเป็นเจ้าของประเทศ ทุกคนมีสิทธิ เสรีภาพ แต่ถ้าทุกคนใช้สิทธิโดยคำนึงถึงแต่ประโยชน์ของตนเอง หรือเอาแต่ความคิดของตนเองเป็นที่ตั้ง โดยไม่คำนึงถึงสิทธิของผู้อื่น หรือไม่สนใจว่าจะเกิดความเดือดร้อนแก่ผู้ใด ย่อมจะทำให้เกิดการใช้สิทธิที่ กระทบกระทั่งกันจนไม่อาจจะอยู่ร่วมกันอย่างผาสุกต่อไปได้ ประชาธิปไตยก็จะกลายเป็นอนาธิปไตย เพราะทุกคนเอาแต่สิทธิของตนเองเป็นใหญ่ สุดท้ายประเทศชาติย่อมไปไม่รอด สิทธิในระบอบ ประชาธิปไตยจึงจำเป็นต้องมีขอบเขต คือมีสิทธิและใช้สิทธิได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น พลเมืองใน ระบอบประชาธิปไตยจึงต้องเคารพสิทธิผู้อื่นและจะต้องไม่ใช้สิทธิเสรีภาพของตนไปละเมิดสิทธิของผู้อื่น 5. เคารพกติกา ประชาธิปไตยต้องใช้กติกาหรือกฎหมายในการปกครอง ไม่ใช่ปกครองโดย อำเภอใจหรือใช้กำลัง โดยทุกคนต้องเสมอภาคกันภายใต้กติกานั้น แต่ถึงแม้จะมีกฎหมายหรือมีกติกา แต่ หากว่าประชาชนไม่เคารพหรือไม่ปฏิบัติตาม กติกาก็หามีประโยชน์อันใดไม่ ระบอบประชาธิปไตยจึงจะ ประสบความสำเร็จได้ต่อเมื่อมีพลเมืองที่เคารพกติกา และยอมรับผลของการละเมิดกติกา พลเมืองจึงต้อง เคารพกติกา ถ้ามีปัญหารือความขัดแย้งเกิดขึ้นก็ต้องใช้วิถีทางประชาธิปไตยและใช้กติกาในการแก้ไขไม่ เล่นนอกกติกา และไม่ใช้กำลังหรือความรุนแรง 6. รับผิดชอบต่อสังคมและส่วนรวม ประชาธิปไตยไม่ใช่ระบอบการปกครองตามอำเภอใจ หรือใครอยากจะทำอะไรก็ทำโดยไม่คำนึงถึงส่วนรวม ดังนั้น นอกจากจะต้องเคารพสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น และรับผิดชอบต่อผู้อื่นแล้ว พลเมืองในระบอบประชาธิปไตยยังจะต้องใช้สิทธิเสรีภาพของตนโดย รับผิดชอบต่อสังคมด้วย โดยเหตุที่สังคมหรือประเทศชาติมิได้ดีขึ้นหรือแย่ลงโดยตัวเอง หากสังคมจะดีขึ้น ได้ก็ด้วยการกระทำของคนในสังคมและที่สังคมแย่ลงไปก็เป็นเพราะการกระทำของคนในสังคม พลเมืองจึง ต้องตระหนักว่าตนเองเป็นสมาชิกคนหนึ่งของสังคม และรับผิดชอบต่อการกระทำของตน พลเมืองจึงไม่ใช่ คนที่ใช้สิทธิเสรีภาพตามอำเภอใจที่ทำให้สังคมเสื่อมลงหรือเลวร้ายลงไป หากเป็นผู้ที่ใช้สิทธิเสรีภาพโดย ต้องตระหนักอยู่เสมอว่าการกระทำใด ๆ ของตนเองย่อมมีผลต่อสังคมและส่วนรวม พลเมืองต้อง รับผิดชอบต่อสังคมและมองตนเองเชื่อมโยงกับสังคม เห็นตนเองเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาและมีส่วนร่วมใน การแก้ไขปัญหานั้น โดยเริ่มต้นที่ตนเอง หรือร่วมแก้ปัญหาด้วยการไม่ก่อปัญหา และลงมือทำด้วยตนเอง ไม่ใช่เอาแต่เรียกร้องคนอื่น หรือเรียกร้องแต่รัฐบาลให้แก้ปัญหาแล้วตนเองก็ก่อปัญหานั้นต่อไป 4.4 องค์ประกอบของคุณลักษณะของความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย 1. องค์ประกอบด้านความรู้มี 2 คุณลักษณะคือ 1) รู้จักการเมืองโดยรวมและเข้าใจ หลักการประชาธิปไตยทั้งในฐานะรูปแบบการปกครองและวิถีชีวิตในสังคม และ 2) รู้จักตนเอง ชุมชนและ สังคมที่ตนอยู่อาศัย 2. องค์ประกอบด้านทักษะ มี 4 คุณลักษณะคือ 1) คิดอย่างมีวิจารณญาณและแสดงออก อย่างรู้เท่าทัน 2) การใช้สิทธิเสรีภาพอย่างมีความรับผิดชอบ 3) การทำงานร่วมกับผู้อื่น และ 4) มีส่วนร่วม ทางการเมือง


27 3. องค์ประกอบด้านเจตคติ มี 4 คุณลักษณะคือ 1) ยึดถือผลประโยชน์ส่วนรวม 2) เชื่อใน ความเสมอภาค ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และความยุติธรรมในสังคม 3) ยึดหลักสันติวิธี และ 4) ศรัทธาใน อิสระและปกครองตนเองได้ 5. พลเมืองตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ เพื่อใช้ในการจัดระเบียบ การปกครองของประเทศ ซึ่งตั้งแต่ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา เรามี รัฐธรรมนูญแล้วทั้งสิ้น 20 ฉบับ โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 และ 2550 ซึ่งมีเนื้อหาด้านสิทธิ เสรีภาพ และกลไกสำคัญด้านพลเมืองอยู่มากพอสมควร และถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่สำคัญของพัฒนาการนี้ ปัจจุบันใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ที่ได้บัญญัติให้ทิศทางด้านการมีส่วน ร่วมของพลเมืองชัดเจนมากขึ้น ให้ความสำคัญกับการยกระดับประชาชนคนไทยให้เป็นพลเมืองเพราะ พลเมืองมีความสำคัญต่อการพัฒนาประชาธิปไตย ประชาธิปไตยจะประสบความสำเร็จได้ไม่ใช่เพียงแต่มี รัฐธรรมนูญที่ดีเท่านั้น หากแต่ประชาชนจะต้องมีความเป็นพลเมืองด้วย ดังนั้นรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันจึง ได้กำหนดให้ “การสร้างพลเมืองเป็นใหญ่” เป็นหนึ่งในสี่เจตนารมณ์สำคัญของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ควบคู่ไป กับการทำให้ “การเมืองใสสะอาดและสมดุล หนุนสังคมที่เป็นธรรม และนำชาติสู่สันติสุข” ซึ่งเป็น เป้าหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน การสร้างพลเมืองให้เป็นใหญ่ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ มีเจตนารมณ์ที่จะทำให้ประชาชนพ้นจากความ เป็นราษฎรไปเป็นพลเมือง ให้ตระหนักรู้ถึงสิทธิเสรีภาพ และหน้าที่ต่อบ้านเมือง ไม่ให้ผู้ปกครองหรือ นักการเมืองมาสั่งการอีกต่อไป โดยได้ขยายและยกระดับสิทธิและเสรีภาพหลายประการ เริ่มตั้งแต่ คุ้มครองสิทธิส่วนบุคคลตั้งแต่อยู่ในครรภ์จนหลังคลอด ดูแลการศึกษาตั้งแต่ปฐมวัยไปจนถึงมัธยมปลาย หรืออาชีวะ ให้ได้รับบริการสาธารณะอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม มีเสรีภาพในการจัดตั้งกลุ่มการเมือง และ ให้มีกลไกใหม่สำหรับภาคพลเมือง เช่น ให้มีส่วนร่วมในการพัฒนา มีการตรวจสอบจากภาคพลเมืองใน ระดับท้องถิ่นและระดับชาติ อีกทั้งมีกระบวนการคืนความเป็นใหญ่ขยายพื้นที่ทางการเมืองให้พลเมือง ใช้ อำนาจอธิปไตยทางตรงมากขึ้นในการออกเสียงประชามติ การเสนอกฎหมายภาคพลเมือง รวมทั้งการให้ ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายสาธารณะ มีสิทธิร้องขอข้อมูล ตรวจสอบผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หน่วยงานรัฐและเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นต้น 5.1 สาระสำคัญของรัฐธรรมนูญที่มุ่งสร้างพลเมืองให้เข้มแข็ง 1. การประกันและปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนพลเมือง จุดเด่นสำคัญคือ การเพิ่มและขยายสิทธิเสรีภาพของพลเมืองมากขึ้น การให้พลเมืองมีสิทธิ เสรีภาพในด้านต่าง ๆ อย่างชัดเจน ทำให้เกิดการคุ้มครองและโอกาสที่จะเข้าถึงการพัฒนาที่เท่าเทียมกัน ของพลเมือง โดยสรุปเนื้อหาเป็นประเด็นสำคัญ ดังนี้ - บุคคลย่อมมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มีสิทธิ เสรีภาพที่จะกระทำการใดและย่อมใช้ เสรีภาพของตนได้ การจำกัดสิทธิเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้จะกระทำมิได้ อีกทั้งความเสมอ ภาคของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง ปวงชนชาวไทยย่อมได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญเสมอกัน (มาตรา 4 มาตรา 25 มาตรา 26) - บุคคลย่อมได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน ชายและหญิงมีสิทธิเสรีภาพ เท่าเทียมกัน ไม่เลือกปฏิบัติตามความแตกต่างของถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ เพศสภาพ อายุ ความ


28 พิการ สภาพการ สุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษา อบรม ความคิดเห็นทางการเมือง (มาตรา 27) - สิทธิเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย การทรมาน ลงโทษอย่างโหดร้าย การจับและคุมขัง การค้นตัวกระทำไม่ได้ เว้นทำตามกฎหมาย (มาตรา 28 มาตรา 29) - สิทธิในครอบครัว และของบุคคลในการสมรส การคุ้มครองสิทธิในเกียรติยศชื่อเสียง ข้อมูลส่วนบุคคล (มาตรา 32) ครอบครัวมีสิทธิได้รับความคุ้มครองและช่วยเหลือจากรัฐให้อยู่ร่วมกันอย่าง เป็นปึกแผ่นและเป็นสุข มีมาตรฐานการดำรงชีวิต มีปัจจัยสี่ ทั้งมารดาและเด็กในครรภ์ เด็กเยาวชน ผู้สูงอายุ ผู้พิการทุพพลภาพ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เป็นพลเมืองที่ดี (มาตรา 48) (มาตรา 32 มาตรา 48 มาตรา 71) - เสรีภาพในเคหสถาน การคุ้มครองในการอยู่อาศัยและครอบครองเคหสถานโดยปกติ สุข สิทธิในทรัพย์สิน การสืบมรดก การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ต้องระบุวัตถุประสงค์ชัดเจน และมีการ ชดเชยที่เป็นธรรมเหมาะสม (มาตรา 33 มาตรา 37) - เสรีภาพในการสื่อสาร การแสดงความคิดเห็น และการเผยแพร่ความคิดเห็น คุ้มครอง เสรีภาพของสื่อมวลชนเพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ข่าวสารอย่างถูกต้องครบถ้วนและรอบด้าน สิทธิของ พลเมืองในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของรัฐ เสนอเรื่องราวร้องทุกข์ต่อหน่วยงานของรัฐ ฟ้องหน่วยงานของ รัฐให้รับผิดจากการกระทำหรือการละเว้นการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐ (มาตรา 34 มาตรา 35 มาตรา 36 มาตรา 41 มาตรา 58 มาตรา 59) - สิทธิในกระบวนการยุติธรรม การเข้าถึงโดยง่าย สะดวก การได้รับพิจารณาอย่าง ถูกต้องเป็นธรรม ได้รับการปฏิบัติที่เหมาสม (มาตรา 51 มาตรา 68) - พลเมืองมีเสรีภาพในการเดินทางและเลือกถิ่นที่อยู่ (มาตรา 38) การคุ้มครองมิให้มี การเนรเทศบุคคลสัญชาติไทยออกนอกราชอาณาจักร การห้ามมิให้ผู้มีสัญชาติไทยเข้ามาในอาณาจักร การ ถอนสัญชาติบุคคลซึ่งมีสัญชาติไทยโดยการเกิด (มาตรา 39) - เสรีภาพการประกอบกิจการ อาชีพหรือวิชาชีพ ไม่ก่อให้เกิดการผูกขาด การคุ้มครอง ผู้บริโภค สิทธิที่จะได้ค่าจ้างที่เป็นธรรม มีหลักประกันความปลอดภัย สวัสดิภาพการดำรงชีวิต (มาตรา 40 มาตรา 46 มาตรา 61 มาตรา 74) - สิทธิเท่าเทียมของพลเมืองได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพและหลากหลาย (มาตรา 54) - สิทธิเสรีภาพในการรวมกลุ่มเป็นองค์กร สมาคม สหภาพสหพันธ์ สหกรณ์ องค์กร เอกชน ฯลฯ พลเมืองมีเสรีภาพในการชุมนุมอย่างสงบ มีเสรีภาพในการจัดตั้งพรรคการเมืองหรือกลุ่ม การเมือง (มาตรา 42 มาตรา 44 มาตรา 45) - สิทธิพลเมืองด้านสาธารณสุข ได้รับบริการที่เหมาะสมทั่วถึง อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี มี ข้อมูล (มาตรา 47 มาตรา 55) - พลเมืองมีสิทธิเข้าถึงและได้รับบริการสาธารณะของรัฐอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม (มาตรา 56) - พลเมืองมีสิทธิเสนอเรื่องราวร้องทุกข์ และมีส่วนร่วมในกระบวนการพิจารณาอันมีผล ต่อสิทธิเสรีภาพของตน มีสิทธิได้รับข้อมูล คำชี้แจงก่อนการดำเนินโครงการที่อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพ คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้ส่วนเสียอื่นใด และมีสิทธิแสดงความคิดเห็น รัฐต้องฟังความคิดเห็นของ ประชาชนในการวางแผนพัฒนา การกำหนดยุทธศาสตร์ชาติที่อาจมีผลกระทบ พลเมืองมีสิทธิรับรู้ และ


29 แสดงความคิดเห็นเพื่อประกอบการทำนโยบายสาธารณะ กฎหมาย และโครงการที่จะมีผลกระทบ (มาตรา 58) - พลเมืองมีสิทธิร่วมกับชุมชนในการปกป้อง ฟื้นฟู อนุรักษ์ สืบสานและพัฒนา ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี ศิลปวัฒ นธรรม และภูมิปัญ ญ าอันดีงาม ร่วมบำรุงรักษา ทรัพยากรธรรมชาติ ร่วมกับชุมชนและท้องถิ่น โครงการที่เกิดผลต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนต้องมีการ ประเมินผลกระทบ (มาตรา 43) 2. การสร้างความเข้มแข็งและการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่น ชุมชนเป็นพื้นที่เชื่อมโยง ปัจเจกชนพลเมืองเข้าด้วยกัน สร้างจุดหมายแนวทางและการจัดการสิ่งต่าง ๆ ร่วมกัน เป็นพื้นที่ปกป้อง หล่อหลอม ส่งเสริมแก้ปัญหา การพัฒนาและการจัดการร่วมกันของพลเมือง เกิดแนวทาง แนวคิด และ วัฒนธรรมของกลุ่มที่ช่วยให้พลเมืองได้เรียนรู้ เข้าถึงสิทธิต่าง ๆ เป็นเกราะป้องกันพลเมืองและระบบ ครอบครัวให้มีความเข้มแข็ง ชุมชนเป็นระบบสวัสดิการพื้นฐานในการช่วยเหลือดูแลสมาชิกและผู้คนใน ชุมชน เป็นโครงสร้างพื้นฐานของพลเมืองในการอยู่ร่วมกันในสังคมไทย การส่งเสริมให้ชุมชนเข้มแข็งมี บทบาทการพัฒนาต่าง ๆ เท่ากับเป็นการสร้างโอกาสให้พลเมืองมีความเข้มแข็ง สามารถร่วมกันแก้ไข ปัญหาที่มีอยู่ของปัจเจกบุคคลและส่วนรวมต่าง ๆ มีพลังร่วม พลังที่สามารถต่อรอง สามารถเข้าถึงสิทธิ และการมีส่วนร่วม รวมทั้งการเชื่อมโยงระบบต่าง ๆ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้มีเนื้อหาที่เกี่ยวกับสิทธิ รวมถึง การสร้างคุณภาพความเข้มแข็งและการมีส่วนร่วมของชุมชนที่สำคัญไว้ เช่น - รัฐต้องอนุรักษ์ ฟื้นฟู ส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปะ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม และจารีตประเพณีอันดีงามของท้องถิ่นและของชาติ ให้มีพื้นที่สาธารณะสำหรับกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง ส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชน ชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ใช้สิทธิและมีส่วนร่วมในการดำเนินการ จัดให้มีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพ ให้เกิด ประโยชน์อย่างสมดุลโดยให้ประชาชนและชุมชนในท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมดำเนินการและได้รับ ประโยชน์ (มาตรา 57) - ความคุ้มครองชาวไทยกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ให้มีสิทธิดำรงชีวิตในสังคมตามวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตดั้งเดิมได้อย่างสงบสุข (มาตรา 70) - ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชุมชน และเอกชนมีส่วนร่วมกับรัฐในการจัดและ บริการให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณสุข พัฒนาสุขภาวะที่ยั่งยืนและเท่าเทียม เช่นเดียวกับการศึกษา (มาตรา 250) 6. ความสำคัญของการปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดีตามวิถีประชาธิปไตย หากสมาชิกในสังคมประชาธิปไตยรู้จักปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดีตามวิถีประชาธิปไตยแล้ว ย่อมเกิด ผลดีต่อสังคมและประเทศ ดังนี้ 1. ทำให้สังคมและประเทศชาติมีการพัฒนาไปอย่างมั่นคง เพราะการที่ทุกคนมีส่วนร่วมในการ แสดงความคิดเห็นอย่างหลากหลาย และมีเหตุผลในงานหรือโครงการต่าง ๆ ทั้งในระดับชุมชนถึง ระดับประเทศ ตลอดจนเปิดโอกาสให้คนที่มีความรู้ความสามารถได้ร่วมกันทำงาน ย่องส่งผลให้การทำงาน และผลงานนั้นมีประสิทธิภาพ 2. เกิดความรักและความสามัคคีในหมู่คณะ เพราะเมื่อมีการทำกิจกรรมร่วมกันย่อมมีความ ผูกพัน ร่วมแรงร่วมใจในการทำงานทั้งปวงให้บรรลุเป้าหมายได้


30 3. สังคมมีความเป็นระเบียบ สงบเรียบร้อย เพราะทุกคนต้องปฏิบัติตามระเบียบกติกาของสังคม ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ที่ทุกคนยอมรับ 4. สังคมมีความเป็นธรรม สมาชิกทุกคนได้รับสิทธิ หน้าที่ เสรีภาพ ความเท่าเทียมกัน ตาม กฎหมาย ทำให้สมาชิกทุกคนได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรมก่อให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม 5. สมาชิกในสังคมมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และมีน้ำใจต่อกันโดยยึดหลักศีลธรรมเป็นพื้นฐานในการ ปฏิบัติต่อกันตามวิถีประชาธิปไตย ในระบอบประชาธิปไตยเมื่อเกิด “สังคมพลเมือง” ขึ้นมาแล้ว สังคมก็จะเข้มแข็งในการถ่วงดุล อำนาจ ทั้งอำนาจทางการเมืองและอำนาจทางเศรษฐกิจ การเมืองภาคประชาชนจะเข้มแข็ง การปกครอง ท้องถิ่นจะเข้มแข็ง ชุมชนจะเข้มแข็ง ผู้บริโภคจะเข้มแข็ง ประชาชนจะมีบทบาทในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ไม่ ว่าจะเป็นปัญหาสังคม ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาศีลธรรม ปัญหาจราจร หรือปัญหาอื่น ๆ ทั้งหลาย ก็จะคลี่คลายแก้ไขไปได้แทบทั้งหมด เพราะสังคมจะไม่รอคอยหรือเรียกร้องให้รัฐบาล หรือให้ ส.ส. มาแก้ไขให้แต่อย่างเดียวอีกต่อไป แต่จะช่วยกันแก้ไขทั้งสังคม ใครอยู่ชุมชนใด ใครอยู่ภาคส่วนไหน ก็ จะช่วยกันแก้ไขในส่วนของตนเอง แม้กระทั่งปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาความยากจน (ปริญญา เทวา นฤมิตรกุล, 2556, ออนไลน์) ในทางกลับกัน ประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยที่มิได้ทำให้ประชาชนเป็นพลเมือง หรือไม่มี “การศึกษาเพื่อความเป็นพลเมือง” ประชาธิปไตยก็จะล้มเหลว และเต็มไปด้วยอุปสรรคปัญหา โดยมีรูปแบบหรือลักษณะของปัญหาอย่างน้อยสามประการดังต่อไปนี้ 1. เกิดชนชั้นปกครองใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง โดยประชาชนมิใช่ผู้ปกครองที่แท้จริง หากเป็นแต่ เพียงความชอบธรรมให้กับผู้ที่มาจากการเลือกตั้ง และประชาชนมิได้มีอิสรภาพหรือจิตสำนึกของความเป็น พลเมือง หากเป็นแต่ผู้อยู่ภายใต้ระบบอุปถัมภ์ของชนชั้นปกครองใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งเท่านั้น 2. เกิดการแตกแยกกันในสังคม เพราะประชาชนไม่ยอมรับความแตกต่าง และไม่เคารพสิทธิ เสรีภาพของกันและกัน ความเห็นที่ต่างกันจึงนำไปสู่ความแตกแยก ขัดแย้ง และแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย พรรคการเมือง และการเลือกตั้ง กลายเป็นสิ่งที่ทำให้สังคม หรือชุมชน หรือครอบครัวแตกแยกกัน ประชาธิปไตยกลายเป็นเรื่องของพวกและการแบ่งข้าง ไม่ฟังซึ่งกันและกัน และถ้าขัดแย้งกันมากแล้วมิได้ ตัดสินกันด้วยความจริง กติกา และกระบวนการยุติธรรม ในที่สุดก็จะนำไปสู่ความรุนแรงและเหตุการณ์ นองเลือด หรืออย่างเลวร้ายที่สุดคือเกิดสงครามกลางเมือง 3. ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรงนองเลือด ประชาธิปไตยที่ไร้พลเมือง ก็จะเป็นประชาธิปไตยที่ใช้ สิทธิเสรีภาพกันตามอำเภอใจ ทุกคนอ้างแต่สิทธิเสรีภาพของตนเอง แต่ไม่มีใครพูดถึงความรับผิดชอบต่อ สังคม ใครอยากทำอะไรก็ทำ ไม่เห็นว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้สังคมดีขึ้นหรือเลวลง สิทธิเสรีภาพก็ จะนำไปสู่ความเสื่อมทรามของสังคมในที่สุด 7. ความเป็นพลเมืองโลก และพลเมืองในศตวรรษที่ 21 การพูดถึงความเป็นพลเมืองมีทั้งมิติของความเป็นพลเมืองของชาติและรัฐนั้น ๆ และความเป็น พลเมืองในในระดับสากลที่พ้นไปจากชาติที่เรียกว่าพลเมืองโลก หรือพลโลก (Global Citizenship) การ สร้างความเป็นพลเมืองโลก (Foster Global Citizenship) มีจุดเริ่มต้นจากการที่อดีตเลขาธิการ สหประชาชาติ นายบัน คี มูน (Ban Ki-moon, 2555, อ้างถึงใน สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2561, หน้า ก) ได้แถลงการณ์ในการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (United Nations General


31 Assembly) ครั้งที่ 67 ประจำปี 2555 (2012) ที่นครนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา เนื่องจากเล็งเห็นว่า การศึกษาเป็นประตูสู่ความเท่าเทียมในสังคม และการให้การศึกษาและทักษะที่จำเป็นจะช่วยเสริมพลังให้ บุคคลนำไปสู่การสร้างโลกยุคใหม่ที่ดีขึ้น โดยหยิบยกประเด็นการศึกษาต้องมาก่อน (Education first) โดยมีเป้าหมายหลัก 3 ประการ ได้แก่ ส่งเสริมให้เด็กทุกคนได้เข้าเรียน ปรับปรุงคณภาพการเรียนรู้ และ สร้างความเป็นพลเมืองโลก ซึ่งถูกผนวกเข้าไปในเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ ที่สิ้นสุดเมื่อปีพ.ศ. 2558 และเป้าหมายของการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ซึ่งเริ่มต้น ใช้ในปี พ.ศ. 2559 – 2573 เราอาจแบ่งแนวคิดเกี่ยวกับความเป็นพลเมืองออกเป็น 3 แนวคิดหลัก ซึ่งความเป็นพลเมืองทั้ง สามแบบนี้ทำงานร่วมกันมากกว่าแยกขาดจากกัน นั่นคือ 1. ความเป็นพลเมืองชาติตามขนบ (traditional citizenship) แนวคิดความเป็นพลเมืองแบบ ดั้งเดิมนั้นให้ความสำคัญกับ “การเป็นสมาชิกภายใต้กฎหมายของรัฐชาติที่ตนสังกัด” หรือที่เรียกว่า ความ เป็นพลเมืองภายใต้กฎหมาย (legal citizenship) สิ่งสำคัญสำหรับการเป็นพลเมืองที่ดีตามแนวคิดนี้คือ การมีความรู้เกี่ยวกับรัฐบาลและหน้าที่พลเมืองตามกฎหมาย เช่น การไปเลือกตั้งและจ่ายภาษี 2. ความเป็นพลเมืองโลก (global citizenship) แนวคิดความเป็นพลเมืองโลกวิพากษ์ความเชื่อ ที่ว่าพลเมืองจะต้องผูกติดกับกับความเป็นชาติและวัฒนธรรมชาติที่ตนสังกัดเพียงหนึ่งเดียว ซึ่งตีกรอบ ความเป็นพลเมืองไว้คับแคบและกีดกันกลุ่มคนที่มีเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา และวัฒนธรรมอันแตกต่าง หลากหลายออกจากความเป็นพลเมือง แนวคิดความเป็นพลเมืองโลกตระหนักถึงความเชื่อมโยงและการ พึ่งพาอาศัยกันในระดับโลก และมีจิตสำนึกร่วมถึงปัญหาในระดับโลก เช่น ปัญหาโลกร้อน พลเมืองที่อาศัย ในสังคมโลกจึงต้องมีความสามารถและความเข้าใจในระดับโลก เช่น ความสามารถในการเชื่อมโยง ปรากฏการณ์ระหว่างท้องถิ่นกับโลก และทักษะการทำงานร่วมกับผู้คนที่มีความแตกต่างทั้งในเชิงภาษา วัฒนธรรม และเชื้อชาติ 3. ความเป็นพลเมืองดิจิทัล (digital citizenship) แนวคิดความเป็นพลเมืองดิจิทัลพูดถึง ความสามารถในการใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อมีส่วนร่วมในสังคมเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ มีความ รับผิดชอบ และปลอดภัย การปฏิวัติเทคโนโลยีการสื่อสารได้เปิดโอกาสและหยิบยื่นความท้าทายใหม่ๆ ให้กับพลเมืองดิจิทัล เราสามารถเข้าถึงข้อมูลโดยไร้ข้อจำกัดเชิงภูมิศาสตร์ เข้าร่วมชุมชนที่มีความสนใจ ร่วมกัน สร้างสรรค์แนวคิดใหม่ๆ ในการแก้ไขปัญหา และทำให้เสียงของพลเมืองดังขึ้นในสังคม แต่เราก็ ต้องเผชิญกับความเสี่ยงใหม่ๆ เช่น การสอดแนมความเป็นส่วนตัว อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ ดังนั้นเราใน ฐานะพลเมืองดิจิทัลจึงต้องตระหนักถึงโอกาสและความเสี่ยงในโลกดิจิทัล พัฒนาทักษะและความรู้ที่ จำเป็นในโลกใหม่ และเข้าใจถึงสิทธิและความรับผิดชอบในโลกออนไลน์ 7.1 ความหมายของความเป็นพลเมืองโลก พลเมืองโลก หรือพลโลก (Global Citizenship) หมายถึง ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิด หลักการ และสถาบัน การมีบทบาทที่เกี่ยวข้องในฐานะสมาชิกของสังคมทั้งในระดับท้องถิ่น ประเทศ และ ระดับโลก ตลอดจนการมีส่วนร่วมรับผิดชอบในฐานะพลเมืองที่ดีของสังคมที่คำนึงถึงสิทธิมนุษยชน และ อุดมการณ์ประชาธิปไตย Hodder & Stoughton (1988, อ้างถึงใน นภาพร แสงนิล, 2561,หน้า 16) ให้ความหมายความ เป็นพลเมืองโลก หมายถึง บุคคลซึ่งสามารถเรียนรู้วิธีการมองโลกให้ต่างจากที่เคยมอง มีความเข้าใจความ เชื่อมโยงระหว่างโลกและประชากรโลก มีความเข้าใจเรื่องความไม่ยุติธรรม สิทธิมนุษยชนและความ


32 รับผิดชอบต่อมนุษยชน สนับสนุนและทำงานเพื่อปรับปรุงชีวิตของคนยากจนในประเทศกำลังพัฒนา ตัวอย่างบุคคลที่ได้รับยกย่องว่าเป็นพลเมืองโลก ได้แก่ เนลสัน แมนดาลา (Nelson Mandala) พลเมืองโลก หมายถึง บุคคลผู้ซึ่งสามารถเชื่อมโยงการศึกษา เศรษฐกิจ ธุรกิจ หน้าที่พลเมืองและ วัฒนธรรมสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกันได้อย่างสร้างสรรค์และทรงประสิทธิภาพ 7.2 องค์ประกอบหลักของความเป็นพลเมืองโลก อ็อกแฟม (Oxfam, 1997 อ้างถึงใน เรื่องเดียวกัน, 2561, หน้า 27-28) ได้กำหนดรายละเอียด องค์ประกอบหลักของความเป็นพลเมืองโลกไว้ดังภาพ 3 ภาพ 3 องค์ประกอบหลักของความเป็นพลเมืองโลก 7.3 คุณลักษณะความเป็นพลเมืองโลกของไทย การศึกษาแนวทางการส่งเสริมความเป็นพลเมืองโลกที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2561, หน้า 51) ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับคุณลักษณะพลเมืองโลกที่คน ไทยควรมี ได้แก่ 1. คุณลักษณะด้านความรู้ความเข้าใจ (knowledge) ประกอบด้วยเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ความเสมอภาค และความเป็นธรรมในสังคม


33 2. คุณลักษณะด้านการรู้เท่าทัน (literacy) ประกอบด้วย การรู้เรื่องกฎหมาย การรู้เท่าทัน สิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ และการรู้เท่าทันทางการเมือง 3. คุณลักษณะด้านทักษะ (skill) ควรให้ความสำคัญกับเรื่อง การมีความรับผิดชอบต่อ ตนเองและต่อสังคม ความสามารถด้านภาษา การรู้ภาษาอื่นนอกจากภาษาไทย มีทักษะด้านข้อมูลข่าวสาร สื่อสาร และเทคโนโลยี วิเคราะห์ วิจารณ์ เลือกรับข้อมูลอย่างมีวิจารณญาณ 4. คุณลักษณะด้านค่านิยมและทัศนคติ (value and attitude) เน้นเรื่อง การตระหนักถึง สิ่งแวดล้อมและยึดมั่นในการพัฒนาอย่างยั่งยืน เห็นคุณค่าและเคารพในความแตกต่าง และมีความรู้สึกถึง การเป็นพหุพลเมืองทั้งระดับท้องถิ่น ชาติ และโลก 7.4 การเป็นพลเมืองในศตวรรษที่ 21 การเป็นพลเมืองในศตวรรษที่ 21 นั้น แตกต่างจากการเป็นพลเมืองในศตวรรษก่อนหน้า การ ใช้ชีวิตในสังคมโลกและในสังคมออนไลน์ได้ขยับขยายแนวคิดความเป็นพลเมืองออกไป ความเป็นพลเมือง ทุกวันนี้จึงไม่ได้ถูกตีกรอบแคบ ๆ ว่าหมายถึงการไปเลือกตั้งหรือการมีส่วนร่วมกับรัฐบาลชาติเท่านั้น แต่ ยังหมายถึงการทำความเข้าใจปรากฏการณ์ทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับโลกไปพร้อม ๆ กัน ไปจนถึงการใช้ชีวิตในโลกออนไลน์อย่างมีความรับผิดชอบ มีจริยธรรม และปลอดภัย 7.4.1 ทักษะแห่งศตรวรรษที่ 21 1. ความรู้เกี่ยวกับโลก (Global Awareness) ความรู้เกี่ยวกับการเงิน เศรษฐศาสตร์ ธุรกิจ และการเป็นผู้ประกอบการ ความรู้ด้านการเป็นพลเมืองที่ดี ความรู้ด้านสุขภาพ และความรู้ด้าน สิ่งแวดล้อม 2. ทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรม จะเป็นตัวกำหนดความพร้อมของนักศึกษาให้เข้า สู่โลกการทำงานที่มีความซับซ้อนมากขึ้นในปัจจุบัน ได้แก่ ความริเริ่มสร้างสรรค์และนวัตกรรม การคิด อย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา การสื่อสารและการร่วมมือ 3. ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี เนื่องด้วยปัจจุบันมีการเผยแพร่ข้อมูล ข่าวสารผ่านทางสื่อและเทคโนโลยีมากมาย จึงต้องมีความสามารถในการแสดงทักษะการคิดอย่างมี วิจารณญาณและปฏิบัติงานได้หลากหลาย โดยอาศัยความรู้ในหลายด้าน อาทิ ความรู้ด้านสารสนเทศ ความรู้เกี่ยวกับสื่อ ความรู้ด้านเทคโนโลยี 4. ทักษะด้านชีวิตและอาชีพ ในการดำรงชีวิตและทำงานในยุคปัจจุบันให้ประสบ ความสำเร็จนั้น จะต้องพัฒนาทักษะชีวิตที่สำคัญดังต่อไปนี้ ความยืดหยุ่นและการปรับตัว การริเริ่ม สร้างสรรค์และเป็นตัวของตัวเอง ทักษะสังคมและสังคมข้ามวัฒนธรรม การเป็นผู้สร้างหรือผู้ผลิต (productivity) และความรับผิดชอบเชื่อถือได้ ภาวะผู้นำและความรับผิดชอบ 7.4.2 คุณลักษณะของการเป็นพลเมืองโลกในศตวรรษที่ 21 Cogan and Derricott (1998 อ้างถึงแล้ว, 2561, หน้า 19) ได้กล่าวถึงคุณลักษณะของการเป็น พลโลกในศตวรรษที่ 21 ไว้ดังนี้ 1. สามารถที่จะเห็นและเข้าแก้ปัญหาในฐานะสมาชิกของสังคมโลก 2. สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่น 3. สามารถคิดอย่างมีวิจารณญาณ สร้างสรรค์และเป็นระบบ 4. เต็มใจที่จะแก้ไขข้อขัดแย้งโดยสันติวิธี


34 5. เต็มใจที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตและบริโภคพิสัยเพื่อพิทักษ์สิ่งแวดล้อม 6. มีจริยธรรมคุณธรรม 7. มีความรู้ทั่วไปเพื่อดำรงชีวิตและมีความรู้เฉพาะในการประกอบอาชีพ 8. มีทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม 9. มีทักษะทางเทคโนโลยี สื่อ และสารสนเทศ 10. มีทักษะอาชีพ และทักษะชีวิต 7.5 พลเมืองดิจิทัล: พลเมืองแห่งศตวรรษที่ 21 ในฐานะพลเมืองที่ใช้ชีวิตอยู่ในสังคม การเรียนรู้และเข้าใจถึงสิทธิและความรับผิดชอบออนไลน์ ย่อมเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการเป็นพลเมืองดิจิทัลที่ดี ในโลกดิจิทัลเราเวียนว่ายอยู่ในข้อมูลที่ท่วมท้น ทักษะกับความรู้ดิจิทัลที่จำเป็นสำหรับการเข้าถึง ประเมิน ใช้ และสร้างสรรค์ข้อมูล มีความสำคัญต่อการ เป็นพลเมืองที่ประสบความสำเร็จ นอกจากนั้น การพัฒนาความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องความ เป็นส่วนตัวและความปลอดภัยจะช่วยให้เราใช้ชีวิตในสังคมเศรษฐกิจยุคใหม่โดยห่างไกลจากภัยออนไลน์ เราอาจนิยามความเป็นพลเมืองดิจิทัลออกเป็น 3 มิติคือ 1. มิติด้านความรู้เกี่ยวกับสื่อและสารสนเทศ พลเมืองดิจิทัลต้องมีความรู้ความสามารถในการ เข้าถึง ใช้ สร้างสรรค์ ประเมิน สังเคราะห์ และสื่อสารข้อมูลข่าวสารผ่านเครื่องมือดิจิทัล ดังนั้นพลเมืองยุค ใหม่จึงต้องมีความรู้ด้านเทคนิคในการเข้าถึงและใช้เครื่องมือดิจิทัล เช่น คอมพิวเตอร์ สมาร์ตโฟน แท็บเล็ต ได้อย่างเชี่ยวชาญ รวมถึงทักษะในการรู้คิดขั้นสูง เช่น ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ซึ่ง จำเป็นต่อการเลือก จัดประเภท วิเคราะห์ ตีความ และเข้าใจข้อมูลข่าวสาร 2. มิติด้านจริยธรรม พลเมืองดิจิทัลจะใช้อินเตอร์เน็ตได้อย่างปลอดภัย มีความรับผิดชอบ และมี จริยธรรมได้อย่างไร พลเมืองที่ดีจะต้องรู้จักคุณค่าและจริยธรรมจากการใช้เทคโนโลยี ต้องตระหนักถึงผล พวงทางสังคม การเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมที่เกิดจากการใช้อินเทอร์เน็ต รวมถึงรู้จักสิทธิและความ รับผิดชอบออนไลน์ อาทิ เสรีภาพในการพูด การเคารพทรัพย์สินทางปัญญาของผู้อื่น และการปกป้อง ตนเองและชุมชนจากความเสี่ยงออนไลน์ เช่น การกลั่นแกล้งออนไลน์ ภาพลามกอนาจาร สแปม เป็นต้น 3. มิติด้านการมีส่วนร่วมทางการเมืองและสังคม พลเมืองดิจิทัลต้องรู้จักใช้ศักยภาพของ อินเทอร์เน็ตในการมีส่วนร่วมทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม อินเทอร์เน็ตเป็นได้ทั้งเครื่องมือเพิ่มการมี ส่วนร่วมทางการเมืองในระบบ เช่น รัฐบาลใช้อินเทอร์เน็ตในการรับฟังความเห็นของประชาชนก่อนออก กฎหมาย การลงคะแนนเสียงอิเล็กทรอนิกส์ (e-Voting) หรือการยื่นคำร้องออนไลน์ (online petition) นอกจากนั้นอินเทอร์เน็ตยังใช้ส่งเสริมการเมืองภาคพลเมืองผ่านวิธีการใหม่ๆ ซึ่งท้าทายให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงทางการเมืองในระดับโครงสร้าง กล่าวโดยสรุป การจะเป็นพลเมืองดิจิทัลที่ดีนั้น เราจะต้องมีชุดทักษะและความรู้ทั้งในเชิง เทคโนโลยีและการคิดขั้นสูง หรือที่เรียกว่า “ความรู้ดิจิทัล” (digital literacy) เพื่อใช้ประโยชน์จากข้อมูล ข่าวสารในโลกไซเบอร์ รู้จักป้องกันตนเองจากความเสี่ยงต่าง ๆ ในโลกออนไลน์ เข้าใจถึงสิทธิ ความ รับผิดชอบ และจริยธรรมที่สำคัญในยุคดิจิทัล และใช้ประโยชน์จากอินเตอร์เน็ตในการมีส่วนร่วมทางการ เมือง เศรษฐกิจ และสังคม-วัฒนธรรม ทั้งเพื่อตนเอง ชุมชน ประเทศ และโลก


35 7.6 การเป็นพลเมืองดีในระบอบประชาธิปไตยแบบเสรีภาพในยุคศตวรรษที่ 21 Angela Wentz Faulconer (2004 อ้างถึงใน ถวิลวดี บุรีกุล และรัชวดี แสงมหะหมัด, 2555 หน้า 9) แสดงความเห็นว่าสุดยอดของความเป็นพลเมืองคือ การมีจริยธรรมแบบพลเมืองที่ต้องมีใน ประชาธิปไตยเสรี จริยธรรมแบบพลเมืองในชุมชน เน้นที่การมีส่วนร่วมของพลเมืองในสภาพแวดล้อมของ ท้องถิ่น อันประกอบด้วย 1. การร่วมมือกัน (cooperation) 2. การมีส่วนร่วม (participation) 3. การพึงระแวดระวัง (vigilance) 4. ความเป็นเลิศในการไตร่ตรองคิดรอบคอบ (deliberatiive excellence) 5. การเคารพกฎหมาย (obedience of law) ในสังคมประชาธิปไตยแบบเสรี จริยธรรมแบบพลเมืองเสรี ซึ่งหมายถึง การจงรักภักดีต่อแนวคิด เสรีที่ชัดเจน อันได้แก่ 1) ความจงรักภักดีต่อชุมชนประชาธิปไตยเสรี 2) เคารพต่อความคิดที่แตกต่างกัน และ 3) เคารพสิทธิ รวมถึงจริยธรรมของการปกครองตนเอง อันประกอบด้วย การปกครองตนเอง ความ รับผิดชอบ และการควบคุมตนเอง หักห้ามใจตนเอง จริยธรรมแบบพลเมืองที่เป็นคุณสมบัติส่วนบุคคลจะ ช่วยคงความยั่งยืนของชุมชนทางการเมืองจากสิ่งที่เข้ามาคุกคาม ทั้งจากภายในและภายนอก จริยธรรม แบบพลเมืองเสรีที่พึงประสงค์ ได้แก่ 1. ทัศนคติเช่น การเคารพกันและกัน การเคารพผู้อื่นในชุมชน และความเต็มใจที่จะ ประนีประนอม 2. มีสิ่งจูงใจ เช่น การจงรักภักดีต่อชุมชนและสถาบันที่คงอยู่ การผูกพันต่อสิ่งดีร่วมกัน การมี ความทรงจำในฐานะพลเมือง 3. มีทักษะ เช่น ความรู้เรื่องงานสาธารณะ ทักษะในการตัดสินใจทางการเมือง ความสามารถ/ การเปิดกว้างที่จะเสวนา 4. คุณภาพของคุณสมบัติต่าง ๆ เช่น ความซื่อสัตย์ เที่ยงตรง กล้าหาญ มีอิสระ การควบคุม ตนเองได้ 7.7 สมรรถนะการอยู่ในสังคมโลก (Global Competence) คุณภาพของการเป็นพลเมืองโลก เป็นเรื่องใหม่และเป็นเรื่องที่ท้าทายต่อระบบการศึกษาว่า สามารถสร้างผู้เรียนให้มีความสามารถที่จะปฏิบัติตนให้มีคุณภาพและประสบความสำเร็จไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ในโลกกว้างใบนี้(สสวท., 2561, หน้า 1-4) สมรรถนะการอยู่ในสังคมโลก หมายถึง ความสามารถในการวิเคราะห์ประเด็นของโลกหรือต่าง วัฒนธรรมอย่างมีวิจารณญาณและจากมุมมองที่หลากหลาย เพื่อให้เข้าใจถึงความแตกต่างที่ส่งผลต่อการ รับรู้ การตัดสินใจ แนวคิดของตนเองและผู้อื่น และการเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างเปิดกว้าง ในท่าทีที่เหมาะสม และสัมพันธ์กับผู้อื่นที่มีภูมิหลังที่แตกต่างอย่างได้ผล บนพื้นฐานของความเคารพในศักดิ์ศรีของความเป็น มนุษย์ สมรรถนะการอยู่ในสังคมโลกจึงสามารถตีความเสมือนเป็นกรอบอ้างอิงด้านสติปัญญา ทักษะ และพฤติกรรม เสมือนเป็นกรอบแนวคิดประนีประนอมและให้ยับยั้งชั่งใจตนเองว่าต้องเคารพในความ แตกต่างในวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของผู้อื่น ถ้าความแตกต่างนั้นไม่ได้ทำร้ายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของตน


36 7.7.1 องค์ประกอบของสมรรรถนะการอยู่ในสังคมโลก 1. มิติด้านความรู้และความเข้าใจ (knowledge and understanding) อ้างอิงถึง ความรู้ความเข้าใจในประเด็นต่าง ๆ ที่ปรากฏในโลก และความรู้ในวัฒนธรรมอื่น ๆ ที่มีอยู่ในโลกกว้าง 2. มิติด้านทักษะ (skill) อ้างอิงกับทักษะการคิดหรือทักษะด้านพฤติกรรมที่จะปฏิบัติ ตนเองให้ประสบความสำเร็จในโลก 3. มิติด้านเจตคติ (Attitude) ที่จะใช้ความรู้ ความเข้าใจ และทักษะในการสร้าง พฤติกรรมที่ก่อให้เกิดสมรรถนะการอยู่ในสังคมโลก 7.7.2 องค์ความรู้และทักษะที่สำคัญ 1. ความรู้และความเข้าใจในประเด็นปัญหาของโลก (knowledge and understanding of global issues) หมายถึง ความคุ้นเคยกับประเด็นสำคัญที่อยู่เกินขอบเขตของชาติ เช่น การ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การอพยพย้ายถิ่น ความยากจน เป็นต้น และความสามารถที่จะเข้าใจ ความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกันในระหว่างประเด็นปัญหา แนวโน้ม และระบบต่าง ๆ ในโลก 2. ความรู้และความเข้าใจระหว่างวัฒ นธรรม (intercultural knowledge and understanding) หมายถึง ความรู้และความเข้าใจในเรื่องปฏิสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรม ซึ่งเกี่ยวข้องกับ วัฒนธรรมของตนเอง วัฒนธรรมของผู้อื่น ความเหมือนและความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรม การมีความ เข้าใจในเรื่องปฏิสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรม หมายถึง การรู้ว่าทัศนะหรือมุมมองของคนนั้นมาจาก หลากหลายอิทธิพลที่หล่อหลอมมา เช่น วัฒนธรรม ศาสนา เพศ สถานะทางเศรษฐกิจและสังคม การศึกษา เป็นต้น ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับที่จะพัฒนาความเข้าใจเกี่ยวกับผู้อื่น 3. การคิดวิเคราะห์และการคิดแบบมีวิจารณญาณ (analytical and critical thinking) สมรรถนะการอยู่ในสังคมโลกต้องแสดงว่ามีทักษะการคิดวิเคราะห์และการคิดแบบมีวิจารณญาณด้วย ทักษะในการคิดวิเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการเข้าถึงปัญหาโดยใช้ความเป็นเหตุเป็นผล ความมี ระบบและมีขั้นตอน ทักษะนี้ยังรวมถึงความสามารถในการแปลความหมายของแต่ละส่วนในข้อความ และ ตรวจสอบแต่ละส่วนว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร เพื่อจะหาความสอดคล้องหรือความแตกต่างที่ขัดแย้งกัน ส่วนทักษะในการคิดแบบมีวิจารณญาณต้องใช้เพื่อประเมินคุณค่า ความถูกต้อง และความน่าเชื่อถือของ สิ่งใด ๆ บนพื้นฐานของความสอดคล้องกันภายในตัวของมันเอง และความสอดคล้องกับประจักษ์พยาน ความสอดคล้องกับความรู้และประสบการณ์ของตนเอง การใช้ความคิดแบบมีวิจารณญาณในประเด็น ปัญหาของโลกหรือต่างวัฒนธรรม ต้องรู้ด้วยว่าบางทีข้อสันนิษฐานของตนเองอาจจะมีผลต่อการเบี่ยงเบน กระบวนการตัดสินใจ และยอมรับว่าความเชื่อส่วนตัวและการตัดสินของตนมักจะยึดวัฒนธรรมและ มุมมองของตนเองเป็นหลักเสมอ


37 ภาพ 4 สมรรถนะการอยู่ในสังคมโลก ที่มา : สสวท., 2561, หน้า 3. จากองค์ความรู้และทักษะที่สำคัญดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันของสิ่งที่ ต้องรู้และใช้ในการเข้าถึงปัญหาของโลก ดังแผนภาพ 5 ภาพ 5 ความสัมพันธ์ของสิ่งที่ต้องรู้และใช้ในการเข้าถึงปัญหาของโลก


38 มิติดังกล่าวต่างก็มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างมากที่นักศึกษาจะต้องรู้และใช้ในการเข้าถึง ปัญหาของโลก ในขณะเดียวกันองค์ประกอบทั้งสามก็บอกถึงความสามารถของนักศึกษาในการคิดแบบ ต่างวัฒนธรรม สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับความสามารถในการรับรู้และจำแนกการมองผู้อื่นแบบเหมารวมและ การลงข้อสรุปทางวัฒนธรรม ความตระหนักรู้ถึงวัฒนธรรมของตนและความลำเอียงในใจของตนเอง ความสามารถที่จะเลือกวิธีแก้ปัญหาสำหรับเรื่องหนึ่ง ๆ ในบริบทของท้องถิ่นและบริบทของโลก 7.8 ทักษะการคิดสำหรับสมรรถนะการอยู่ในสังคมโลก ความคิดเป็นผลจากการทำงานของสมองในการก่อรูป (Formulate) บางสิ่งบางอย่างขึ้นใน มโนคติ(mind) ผ่านการทำงานของระบบการรับรู้ทางจิต (cognitive system) โดยในส่วนของความคิด จะทำหน้าที่แยกแยะการกระทำและความรู้สึกผ่านกระบวนการทางความคิดอันจะนำไปสู่พฤติกรรมที่ ตอบสนองสถานการณ์นั้น การคิดเป็นเรี่องที่สำคัญ การคิดไม่เหมือนกัน การคิดแบบจินตนาการ การคิด หวนรำลึกถึง การคิดใช้เหตุผล และการคิดแก้ปัญหา (เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์, 2547, หน้า 1) ขณะที่ สมรรถนะการอยู่ในสังคมโลก จำเป็นต้องมีทักษะการคิดขั้นสูงอย่างน้อย 3 แบบ ได้แก่ การคิดวิเคราะห์ การคิดเชิงวิพากษ์ และการคิดแบบมีวิจารณญาณ ดังนี้ 7.8.1 ทักษะการคิดวิเคราะห์(Analytical Thinking) การคิดวิเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการจำแนกแยกแยะองค์ประกอบต่าง ๆ ของสิ่งใดสิ่ง หนึ่งซึ่งอาจจะเป็นวัตถุ สิ่งของ เรื่องราว หรือเหตุการณ์ และหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่าง องค์ประกอบเหล่านั้น เพื่อค้นหาสภาพความเป็นจริงหรือสิ่งสำคัญของสิ่งที่กำหนดให้หลักการคิดเชิง วิเคราะห์ประกอบด้วย 1. หาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลของข้อมูลที่ได้รับ 2. ใช้หลักการตั้งคำถาม 3. ใช้หลักการแยกแยะความจริง เช่น 3.1 แยกแยะระหว่าง ความจริง (truth) กับความเชื่อ (belief) 3.2 แยกแยะโดยจำกฎขั้วตรงข้าม (the principle of contradiction) 3.3 แยกแยะระหว่างข้อเท็จจริง (facts) กับข้อคิดเห็น (opinions) คุณสมบัติที่เอื้อต่อการคิดวิเคราะห์ ได้แก่ 1. ความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่จะวิเคราะห์ 2. มีความช่างสังเกต ช่างสงสัย ช่างซักถาม 3. มีความสามารถในการตีความ 4. มีความสามารถในการหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผล ประโยชน์ของการคิดวิเคราะห์ ได้แก่ 1. ช่วยให้เรารู้ข้อเท็จจริง 2. ช่วยให้เราไม่ด่วนสรุปสิ่งใดง่ายๆ 3. ช่วยในการพิจารณาสาระสำคัญอื่น 4. ช่วยพัฒนาความเป็นคนช่างสังเกต 5. ช่วยให้เราหาเหตุผลที่สมเหตุสมผล 6. ช่วยประมาณการความน่าจะเป็น


39 7.8.2 ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์(Critical Thinking) การคิดเชิงวิพากษ์ หมายถึง กระบวนการคิดที่มีความตั้งใจจะพิจารณาตัดสินเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดย ไม่เห็นคล้อยตามข้ออ้างที่นำเสนอ แต่ได้ตั้งคำถามท้าทายหรือข้ออ้างโต้แย้งเหล่านั้นเพื่อนำไปสู่การค้นหา ความจริง และเพื่อเปิดโอกาสให้แก่ความคิดใหม่ที่แตกต่าง อันจะนำไปสู่คำตอบที่สมเหตุสมผลมากกว่า ข้ออ้างเดิม เหมาะสมกับบริบทแวดล้อมมากกว่า รวมถึงเกิดผลดีแก่ชีวิตและสังคมส่วนรวมมากกว่า การคิดวิพากษ์มักจะถูกนำมาใช้ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์หรือในสถานการณ์วิกฤต (Critical Situation) ที่สำคัญหรือมีผลกระทบสูงต่อการตัดสินใจ เช่น การจัดการกับปัญหาที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ แรงงาน สังคม เป็นต้น หรือไม่ก็ใช้หลังจากสถานการณ์นั้นผ่านพ้นไปแล้วเพื่อมองหาแนวทางในการพัฒนา หรือปรับปรุงให้การแก้ปัญหาหรือการตัดสินใจในครั้งต่อไปมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม ในชีวิตประจำวัน ของเราคำว่า “วิพากษ์” “วิจารณ์” และ “วิจารณญาณ” นั้นมักจะถูกนำมาใช้อยู่เสมอ ในเวลาที่ต้องการ แสดงความคิดเห็นบางสิ่งบางอย่างต่อคำกล้าวอ้างหรือประเด็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง กระทั่งบ่งบอกถึง ความคิด ซึ่งในเชิงของการคิดแล้ว คำเหล่านี้มีความหมายที่แตกต่างกัน “การวิพากษ์” เป็นการคิดพิจารณาตัดสินเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยใช้การตั้งคำถามท้าทายหรือ โต้แย้งเหตุผลที่นำมากล่าวอ้าง เนื่องจากยังสงสัยและไม่ปักใจเชื่อว่าข้อกล่าวอ้างนั้นเป็นความจริง เพื่อเปิด ประเด็น ขยายมุมมองให้กว้างกว่าเดิม พิจารณาความเป็นไปได้อื่น รวมทั้งสะท้อนความคิดของตนเอง ซึ่ง จะนำไปสู่การพิสูจน์สมมติฐานนั้นใหม่ ขณะที่ “การวิจารณ์” เป็นการให้คำตัดสินสิ่งที่กำลังพิจารณาว่าดีหรือไม่ดีอย่างไร มีคุณค่าอย่างไร หรือ ขาดตกบกพร่องอย่างไรบ้างตามมาตรฐานสังคมหรือมาตรฐานส่วนบุคคลทั้งมุมบวกและมุมลบ โดยไม่ จำเป็นต้องเป็นมุมลบเสมอไป ส่วนคำว่า “วิจารณญาณ” หมายถึง การมีปัญญาที่สามารถรู้หรือให้เหตุผลที่ถูกต้องได้ อันเกิดจากการ ใคร่ครวญเรื่องนั้น ๆ อย่างลึกซึ้งจนเกิดความเข้าใจ (นักวิพากษ์ที่ดีจึงย่อมต้องเป็นผู้ที่มีวิจารณญาณที่ดี ด้วย) ดังภาพ 6 ภาพ 6 แสดงการคิดวิพากษ์วิจารณ์ และวิจารณญาณ ที่มา : สำนักงาน กพร. 2557, หน้า 6.


40 ในการรับมือและจัดการกับปัญหาต่าง ๆ ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ปริมาณข้อมูลข่าวสารมีเข้ามา มากมาย จึงมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการตัดสินใจที่เหมาะสม แนวทางการคิดเชิง วิพากษ์ที่ถูกต้อง ต้องสะท้อนในมุมที่บ่งชี้ว่า ข้อมูลยิ่งมีมากก็ยิ่งจำเป็นต้องใช้การคิดเชิงวิพากษ์เข้ามาช่วย วิเคราะห์ให้มาก หากเป็นเรื่องที่มีความยุ่งยากซับซ้อนและสำคัญมาก ๆ ก็ยิ่งมีความจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยง ไม่ได้ที่จะต้องขบคิดด้วยการหยุดฟังและเริ่มคิดช้า ๆ ตามอย่างมีปัญญา รวมถึงทำความเข้าใจให้ลึกซึ้ง ก่อนที่จะประเมินหรือตัดสินใจ แทนการฟันธงหรือด่วนสรุปทันทีอย่างที่คุ้ยเคยและกระทำกัน การคิดเชิงวิพากษ์นั้นมักถูกนำไปใช้สำหรับการแก้ไขปัญหาและการตัดสินใจอย่างเป็นระบบ หลักการคิดเชิงวิพากษ์ ได้แก่ หลักที่ 1 ให้สงสัยไว้ก่อน................อย่าเพิ่งเชื่อ หลักที่ 2 เผื่อใจไว้...............อาจจะจริงหรืออาจจะไม่จริงก็ได้ หลักที่ 3 เป็นพยานฝ่ายมาร............ตั้งคำถามซักค้าน ประโยชน์ของการคิดเชิงวิพากษ์ ในภาวะที่ต้องรับมือกับข้อมูลอันล้มหลามหลากหลาย แถมต้องการการตัดสินใจที่เร่งรีบ การคิด เชิงวิพากษ์นั้นมีประโยชน์อย่างมหาศาลที่จะนำมาช่วย “ลดจุดอ่อนตามธรรมชาติของการขี้เกียจคิด” หรือ การคิดแบบไม่ทันระมัดระวัง ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้ 1. ช่วยสืบค้นความจริงแทนการคล้อยตามความเชื่อและอัตตา 2. ช่วยให้เชื่อในสิ่งที่ถูกต้องไม่ถูกหลอก 3. ช่วยนำไปสู่การตัดสินใจที่มีคุณภาพมากกว่า เพราะตัดสินตามข้อเท็จจริงไม่ใช่ตามอารมณ์ และความรู้สึก 4. ช่วยทำให้เกิดการพัฒนาไม่ด่วนสรุปตัดสินใจ แต่พิจารณาครบถ้วนทุกมุม รอบด้าน 5. ช่วยให้เกิดการเรียนรู้และสะท้อนความคิดว่าในหลายๆ ครั้งเป็นการตัดสินใจที่บกพร่องซึ่ง ไม่น่าจะเกิดขึ้น 6. ช่วยสังเกตความเสมือนให้เห็นแตกต่าง คือไม่ปักใจเชื่อในสิ่งเดิม 7. ช่วยส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกัน (Collaboration) เพราะทำให้เรามองจากมุมของคน อื่นที่แตกต่าง 8. เป็นจุดเริ่มต้นของความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมทางความคิด เพราะกล้าคิดแนวใหม่ และนอกกรอบ 7.8.3 ทักษะการคิดแบบมีวิจารณญาณ (Critical Thinking) การคิดอย่างมีวิจารณญาณ หมายถึง การคิดที่มีเหตุผลโดยผ่านการพิจารณาไตร่ตรองอย่าง รอบคอบ มีหลักเกณฑ์ มีหลักฐานที่เชื่อถือได้เพื่อนำไปสู่การสรุปและตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพว่าสิ่งใด ถูกต้อง สิ่งใดควรเชื่อ สิ่งใดควรเลือก หรือสิ่งใดควรทำ สาเหตุที่ต้องคิดเชิงวิจารณญาณก็เพราะเป็นธรรมชาติที่มนุษย์ต้องคิด แต่การคิดส่วนใหญ่ก็จะ เป็นอย่างที่มันเป็นคือมีความลำเอียง มีความบิดเบือน เข้าข้าง อวิชชา-ไม่รู้ หรือการเลยลึกไปถึงความมี อคติและความรังเกียจเดียดฉันท์ที่ตามมา แต่กระนั้นคุณภาพชีวิตของเรา ทุกสิ่งที่เราทำ ทุกสิ่งที่เราผลิต หรือสร้างขึ้นมาก็ขึ้นอยู่โดยตรงกับคุณภาพความคิดของเรา แต่ระบบการคิดที่ดีเลิศนั้นจะเกิดได้ก็ด้วยการ บ่มเพาะและการฝึกฝนอย่างเป็นระบบเท่านั้น (ริชาร์ด พอล และลินดา เอลเดอร์, ม.ป.ป., หน้า 4)


41 จุดประสงค์ของการคิดเชิงวิจารณญาณ 1. เพื่อให้ได้ความคิดที่รอบคอบสมเหตุสมผลผ่านการพิจารณากลั่นกรองอย่างดีแล้ว 2. เพื่อการตัดสินใจอย่างถูกต้อง 3. เพื่อการแก้ปัญหาอย่างมีเหตุผลและเหมาะสม 4. เพื่อการศึกษาวิจัยและการเรียนรู้ 5. เพื่อการริเริ่มสร้างสรรค์ ผลลัพธ์ของการฝึกคิดเชิงวิจารณญาณ 1. ตั้งคำถามและตั้งปัญหาสำคัญอันจำเป็นที่เกิดจากการเตรียมขึ้นด้วยความกระจ่างและแม่น ประเด็น 2. รวบรวมข้อมูลที่เข้าประเด็นด้วยการใช้แนวคิดเชิงจิตวิสัยมาตีความอย่างมีประสิทธิภาพ 3. ได้ข้อสรุปและทางออกที่มีเหตุผลหนักแน่น โดยทำการทดสอบกับเกณฑ์และมาตรฐานที่ เหมาะสมตรงและประเด็น 4. คิดอย่างใจกว้างด้วยระบบเผื่อเลือกหลายๆ ทาง ดูและประเมินตามความจำเป็นในข้อ สมมุติ การส่อนัย และผลกระทบที่จะตามมาในแนวทางที่เป็นไปได้ 5. ติดต่อประสานกับผู้อื่นอย่างมีประสิทธิภาพในการหาทางแก้ปัญหาที่มีความซับซ้อน “การเป็นพลเมืองโลกไม่ใช่เรื่องของโลกาภิวัตน์ ธุรกิจ หรือเรื่องการเงิน แต่คือเรื่องของการ แบ่งปันความรับผิดชอบ คุณค่า และเคารพซึ่งกันและกัน” - Arnaud Castaignet-


42 หน่วยที่4 จิตอาสาและสำนึกสาธารณะ “...ใครต่อใครบอกว่า ขอให้เสียสละส่วนตัวเพื่อส่วนรวม อันนี้ฟังจนเบื่อ อาจรำคาญด้วยซ้ำว่า ใครต่อใครก็มาบอกว่าขอให้คิดถึงประโยชน์ส่วนรวม อาจมานึกในใจว่า ให้ๆ อยู่เรื่อย... แล้วส่วนตัวจะได้อะไร ขอให้คิดว่าคนที่ให้เพื่อส่วนรวมนั้นมิได้ให้ส่วนร่วมแต่อย่างเดียว เป็นการให้เพื่อตัวเองสามารถที่จะมีส่วนรวมที่จะอาศัยได้...” พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยขอนแก่น 2514 แนวคิด “จิตอาสา” และ “จิตสาธารณะ” เป็นหนึ่งใน 5 แนวคิดรากฐานประชาธิปไตย เพื่อสร้าง ความเป็นเมืองที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในการอยู่ร่วมกันในสังคมประชาธิปไตย มีวิถีการ ปฏิบัติของการเป็นพลเมืองประชาธิปไตยภายใต้บริบทสังคมวัฒนธรรมไทย ที่จะนำไปสู่สังคมสันติสุขที่ อุดมด้วยสิทธิ เสรีภาพ ความเท่าเทียมกัน และความรับผิดชอบต่อตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคมและ ประเทศชาติ จิตอาสาทำให้ทุกคนในสังคมสามารถอยู่ร่วมกันได้ เป็นสังคมที่มีการให้และแบ่งปันซึ่งกันและกัน คำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ซึ่งต้องขับเคลื่อนทั้งระบบ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยเรียน เพราะจิต อาสาและจิตสาธารณะเป็นคุณลักษณะอันพึงประสงค์อย่างหนึ่งที่จะต้องปลูกฝังอย่างต่อเนื่อง การสร้างจิต สาธารณะของพลเมือง จะต้องมีการสร้างความคิดในเชิงสร้างสรรค์เพื่อสังคม และส่งเสริมให้มีการยึดหลัก ความดีในการดำเนินชีวิต เกิดพฤติกรรมที่แสดงออกมาต่อสาธารณชนและสิ่งแวดล้อมอย่างมีคุณค่า ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อสังคมส่วนรวม จิตอาสาเป็นคำใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นในช่วงหลังเหตุการณ์พิบัติภัยสึนามิที่ภาคใต้ของไทยปลายปี 2547 โดยมองว่างานอาสาสมัครเป็นหนึ่งช่องทางสำคัญที่นำไปสู่การมีจิตสำนึกใหม่หรือจิตวิวัฒน์ (new consciousness) จึงเลือกผสมคำว่า “จิต” กับคำว่า “อาสา” และเลือกใช้คำภาษาอังกฤษว่า “volunteer spirit” หรือ “volunteer mind” 1. ความหมายของจิตสำนึก จิตอาสา และจิตสาธารณะ จิตสำนึก (consciousness) เป็นความรู้สึกนึกคิดภายในบุคคลที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วยากจะหายหรือ หมดไป คนที่มีจิตสำนึกที่ดีจะประพฤติปฏิบัติอย่างเหมาะสม และใช้จิตสำนึกของตนเพื่อประโยชน์ต่อสิ่ง ต่าง ๆ เช่น บุคคลที่มีจิตสำนึกด้านระเบียบวินัย จะไม่ขับรถผิดกฎจราจร บุคคลที่มีจิตสำนึกสาธารณะจะ


43 ไม่ขีดเขียนในสถานที่สาธารณะ จิตสำนึกจึงเป็นเรื่องที่ตระหนักรู้ด้วยตนเอง เป็นพฤติกรรมภายในที่ เกี่ยวกับความรู้สึก ความคิด ความปรารถนาต่าง ๆ และสามารถตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆ จิตสำนึก หมายถึง เป็นภาวะที่จิตตื่นและรู้ตัว รู้ว่าทำอะไร อยู่ที่ไหน เป็นอย่างไร สามารถ ตอบสนอง ต่อสิ่งเร้าจากประสาทสัมผัสทั้ง 5 คือ รูป เสียง กลิ่น รส และสิ่งที่สัมผัสได้ด้วยกาย จิตอาสา (volunteer mind) มุ่งเน้นถึงการให้ การเป็นผู้ให้หรือผู้บริจาค เสียสละทั้งแรงกาย แรงใจ หรือกำลังสมอง กำลังทรัพย์ต่าง ๆ เพื่อส่วนรวม ที่ช่วยทำให้เกิดสำนึกที่ดีและเห็นประโยชน์ต่อ ผู้อื่นมากขึ้น (สถาบันพระปกเกล้า, 2558, หน้า 43) “อาสาสมัคร” สำหรับคำว่าอาสาสมัครนั้น เป็นคำที่ใช้เรียกบุคคลที่มีจิตอาสา เสียสละทำงานเพื่อ ส่วนรวมโดยไม่รับผลประโยชน์ใด ๆ ผู้ที่เป็นอาสาสมัคร จึงเป็นผู้ที่เอื้อเฟื้อ เสียสละ ทั้งเวลา แรงกาย แรงใจ ช่วยเหลือผู้อื่น หรือสังคม โดยไม่หวังผลตอบแทน จิตอาสา หมายถึง ความสำนึกของบุคคลที่มีต่อส่วนรวม เป็นจิตที่เป็นผู้ให้ คิดดี คิดทางบวก มี ความหวังดีต่อผู้อื่น เป็นความสมัครใจ เต็มใจ ตั้งใจทำ อยากช่วยเหลือ โดยไม่หวังผลตอบแทน และส่งผล ให้เกิดความสุขทางจิตใจ ผู้ที่มีจิตสาธารณะจะแสดงพฤติกรรมที่อาสาทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม การงดเว้น การกระทำที่จะส่งผลให้เกิดความชำรุดเสียหาย การมีส่วนร่วมดูแลรักษาและเคารพสิทธิของบุคคลอื่นใน การใช้ทรัพย์สินส่วนรวม (วิชัย วงษ์ใหญ่, ม.ป.ป., หน้า 1) จิตสาธารณะ (public mind) หมายถึง การตระหนักรู้ และคำนึงถึงการมีส่วนรวมร่วมกัน ที่จะ ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อประโยชน์ส่วนรวม หรือการคำนึงถึงผู้อื่นที่มีความสัมพันธ์ที่เป็นสังคมเดียวกัน เป็นการ แสดงออกเพื่อสังคมส่วนรวม การบริการชุมชน การทำประโยชน์เพื่อสังคม ถ้าเป็นวัตถุหรือสิ่งของทุกคน สามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ จิตสาธารณะจึงเปรียบได้กับความรู้สึกนึกคิด ถึงการเป็นเจ้าของในสิ่งที่เป็น สาธารณะร่วมกัน การใช้สิทธิและหน้าที่ที่จะดูแล รวมทั้งการบำรุงรักษาสิ่งของที่เป็นส่วนรวมร่วมกัน ข้อสังเกต ความแตกต่างระหว่าง “จิตอาสา” กับ “จิตสาธารณะ” “จิตอาสา” เป็นการให้ การเสียสละ ทำกิจกรรมเพื่อสาธารณะประโยชน์ หรือสิ่งที่เป็นประโยชน์ แก่ผู้อื่น โดยไม่หวังผลตอบแทน ด้านหนึ่งก็เพื่อเป็นการฝึกฝนตนเองเพื่อลดอัตตาตนเอง ในขณะที่ “จิตสาธารณะ” นอกจากการอุทิศตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ยังรวมถึงการใช้และ รักษาสิ่งของที่เป็นส่วนรวมอีกด้วย ดังนั้นโดยทั่วไปแล้วมีความเข้าใจว่า “จิตอาสา” กับ “จิตสำนึก สาธารณะ” เป็นคำเดียวกัน แต่แท้จริงแล้วมีความแตกต่างกัน 2. ความสำคัญของจิตอาสา 1. ทำให้บุคคลมีความคิดขั้นสูงช่วยยกระดับจิตใจที่เปี่ยมไปด้วยเมตตา เพราะจิตอาสามุ่งเน้นการ ให้มากกว่าการรับ ทำให้ได้พบความสุขที่เกิดจากการให้ ซึ่งเป็นความสุขที่มีคุณค่ากว่าความสุขที่เกิดจาก การได้รับ 2. บุคคลที่มีจิตอาสาย่อมเป็นที่รักใคร่ของบุคคลรอบข้าง เพราะมองเห็นคุณค่าในความดีที่มีอยู่ ในบุคคลนั้น มากกว่ามูลค่าของทรัพย์สินใด ๆ นอกจากนี้ยังเป็นการผูกมิตรแท้ได้อย่างยั่งยืน 3. ทำให้สังคมมีการแบ่งปัน การช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ร่วมมือกันดูแลรักษาสิ่งของ สาธารณะเพื่อการใช้ประโยชน์ร่วมกัน รวมทั้งสิ่งแวดล้อมรอบตัว 4. ทำให้สังคมน่าอยู่และเป็นสังคมคุณภาพที่ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้ พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน


44 3. ลักษณะและองค์ประกอบของจิตสาธารณะ จิตสาธารณะเป็นสิ่งสำคัญในการปลูกจิตสำนึกให้คนร่วมแรงร่วมใจ เสียสละ ร่วมมือในการทำ ประโยชน์เพื่อส่วนรวม ช่วยลดปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม ช่วยกันพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อเป็นหลักการใน การดำเนินชีวิต ช่วยแก้ปัญหาและสร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์สุขแก่สังคม ประชาชนจึงจำเป็นต้องพัฒนา ไปสู่การเป็นบุคคลที่มีจิตสาธารณะ ที่มีลักษณะสำคัญ ดังนี้ 1. รู้จักหน้าที่ของตนเองทั้งมีความรับผิดชอบในส่วนของตน ไม่สร้างความเดือดร้อนเสียหาย ให้กับผู้อื่น เช่น การไม่เอาเปรียบผู้อื่น การไม่ประพฤติคดโกงเป็นจิตสำนึกในความรับผิดชอบต่อตนเอง 2. แสดงออกซึ่งความรับผิดชอบต่อสังคม สร้างสรรค์สิ่งที่ดีให้เกิดในสังคมและการไม่ทำลายสังคม ไม่ว่าทางใดก็ตาม เช่น รักษากฎระเบียบที่ดีงาม อยู่ภายใต้และปฏิบัติตามกฎหมาย ช่วยเหลือผู้อื่นตาม กำลังและความสามารถของตนเอง มีส่วนร่วมและส่งเสริมการพัฒนาไปสู่สังคมที่ดีขึ้น หรือการมีส่วนร่วม ในการออกกฎระเบียบของสังคม 3. รักษาทรัพย์สมบัติและผลประโยชน์ของชุมชนและสังคม หรือการเข้าไปมีบทบาทในการรักษา ประโยชน์ของส่วนรวม หรือการช่วยเหลือผู้อื่นและร่วมมือกับคนอื่นในการแก้ปัญหา และสร้างสรรค์ ประโยชน์ต่อส่วนรวม 4. มีสำนึกต่อส่วนรวม รู้ถึงผลกระทบต่อส่วนรวมทั้งทางตรงทางอ้อมจากการตัดสินใจหรือการ กระทำของตน 5. ไม่ทำตนเป็นภาระต่อผู้อื่นและสังคม มุ่งมั่นปรับปรุงการปฏิบัติหน้าที่ให้ดียิ่งขึ้น มี ประสิทธิภาพอย่างเต็มกำลังความสามารถ บางครั้งผู้คนมักคิดว่าการมีจิตสาธารณะคือการทำอะไรเพื่อส่วนรวมเท่านั้น แต่การมีจิตสาธารณะ ได้ต้องเริ่มต้นจากตนเอง คือ การมีสำนึกเริ่มต้นจากการทำหน้าที่ที่ตนพึงปฏิบัติต่อส่วนรวมให้สมบูรณ์เป็น สำคัญ การปราศจากหน้าที่อันพึงกระทำต่อสังคมแล้ว อาจกลายเป็นผู้ที่สร้างปัญหาความเดือดร้อนให้ สังคม เบียดเบียนส่วนรวม เอาเปรียบผู้อื่น บริโภคหรือใช้สิ่งที่เป็นสาธารณะโดยไม่คำนึงถึงส่วนรวม ซึ่ง กลายเป็นรากฐานของพฤติกรรมไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ เอารัดเอาเปรียบ กอบโกยผลประโยชน์ของตนเอง แต่ฝ่ายเดียว ซึ่งเป็นภาระต่อผู้อื่นและสังคมในที่สุด 4. ความสัมพันธ์ระหว่างจิตอาสากับจิตสาธารณะ “จิตอาสา” (volunteer mind) หมายถึง จิตใจที่คิดช่วยเหลือผู้อื่น จิตใจที่เป็นผู้ให้ เช่น ให้ สิ่งของ ให้เงิน ให้ความช่วยเหลือด้วยกำลังแรงกาย แรงสมอง ซึ่งเป็นการเสียสละสิ่งที่ตนเองมี แม้กระทั่ง เวลา โดยมีปัญญาเป็นเครื่องกำกับ เป็นการกระทำที่ไม่เบียดเบียนตนเอง ส่งผลให้แสดงพฤติกรรมหลัก 3 ด้าน ได้แก่ 1) การช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน 2) การเสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อประโยชน์ ส่วนรวม และ 3) การมุ่งมั่นพัฒนาสิ่งรอบตัวให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น “จิตสาธารณะ” (public mind) บางครั้งอาจใช้คำว่า “จิตสำนึกสาธารณะ” หมายถึง จิตใจที่ คำนึงถึงส่วนรวมร่วมกัน คำนึงถึงบุคคลอื่นที่ต่างมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน รวมทั้งมีความ สำนึกและยึดมั่นในระบบคุณธรรม และจริยธรรมที่ดีงาม ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ประหยัด และมี ความสมดุลระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ส่งผลทำให้แสดงพฤติกรรมหลัก 3 ด้าน ได้แก่ 1) การงดเว้นการ กระทำที่จะส่งผลทำให้เกิดความชำรุดเสียหายของทรัพย์สินส่วนรวม 2) การมีส่วนร่วมดูแลทรัพย์สิน ส่วนรวม 3) การเคารพสิทธิของบุคคลอื่นในการใช้ทรัพย์สินส่วนรวม บางครั้งหมายถึงจิตอาสา


Click to View FlipBook Version