The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารคำสอนวิชา ศท 0301 วิทยาลัยชุมชนกับการเป็นพลเมือง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kmbase_tak, 2024-04-19 00:47:54

eBook วิชา ศท 0301

เอกสารคำสอนวิชา ศท 0301 วิทยาลัยชุมชนกับการเป็นพลเมือง

Keywords: Citizen

45 การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างจิตอาสากับจิตสาธารณะ ถ้าใช้มุมมองของการคิดที่เป็นระบบ ไม่มองแยกส่วน จะพบว่า จิตอาสาและจิตสาธารณะเป็นสิ่งที่เกื้อกูลซึ่งกันและกัน การมีจิตอาสาทำให้ แสดงพฤติกรรมออกมาซึ่งอาจเป็นประโยชน์ระดับส่วนบุคคลหรือในระดับส่วนรวม ถ้าเป็นประโยชน์ต่อ ส่วนรวมสิ่งนั้นจะกลายเป็นจิตสาธารณะ ส่วนการมีจิตสาธารณะบางครั้งต้องอาศัยจิตอาสาเป็นสิ่งกระตุ้น ให้แสดงพฤติกรรมเช่นกัน จากการวิเคราะห์และสังเคราะห์พฤติกรรมสำคัญของจิตอาสาและจิตสาธารณะ พบว่าทั้งจิตอาสา และจิตสาธารณะมีองค์ประกอบที่เป็นรากฐานร่วมกัน 3 ประการ ได้แก่ 1) การให้ 2) การไม่เบียดเบียน และ 3) การมุ่งประโยชน์ ดังตาราง ตาราง 1 องค์ประกอบที่เป็นรากฐานร่วมกันของจิตอาสากับจิตสาธารณะ ประเด็น พฤติกรรมหลัก องค์ประกอบที่เป็นรากฐานร่วมกัน การให้ การไม่ เบียดเบียน การมุ่ง ประโยชน์ จิตอาสา 1) การช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน 2) การเสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อประโยชน์ ส่วนรวม 3) การมุ่งมั่นพัฒนาสิ่งรอบตัวให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ จิตสาธารณะ 1) การงดเว้นการกระทำที่จะส่งผลทำให้เกิด ความชำรุดเสียหายของทรัพย์สินส่วนรวม 2) การมีส่วนร่วมดูแลรักษาทรัพย์สินส่วนรวม 3) การเคารพสิทธิของบุคคลอื่นในการใช้ ทรัพย์สินส่วนร่วม ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ที่มา : วิชัย วงษ์ใหญ่, ม.ป.ป., หน้า 3. 5. ประโยชน์และต้นทุนของการมีจิตสาธารณะ ประโยชน์ของการมีจิตสาธารณะต่อบุคคลและสังคม ต่อบุคคล 1. ทำให้บุคคลเป็นที่ยอมรับของสังคม เป็นการเพิ่มคุณค่าให้กับตนเอง 2. ให้บุคคลได้ฝึกฝนพัฒนาตนเอง ทั้งด้านร่างกาย จิตใจและทัศนคติ 3. เป็นแบบอย่างดีที่ในสังคม ต่อสังคม ประเทศไทยพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว ชุมชนเข้มแข็ง เกิดพลังสร้างสรรค์สังคม และปลอดภัยจาก ทั้งภายในและภายนอกประเทศ


46 สิ่งที่ต้องเสียสละ หรือเป็นต้นทุนของจิตสาธารณะ การพัฒนาตนให้เป็นผู้มีจิตสาธารณะหรือการสร้างสังคมอุดมจิตสาธารณะ ต้องใช้เวลาในการ พัฒนาและส่งเสริมให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ จึงมีสิ่งที่ต้องเสียสละหรือเป็นต้นทุนบางประการที่ ต้องเสียไป เช่น การเสียสละเวลาและงบประมาณ อดทนต่อการถูกต่อต้านจากความคิดเดิมหรือวิธีการ เดิม การต่อสู้กับสิ่งที่ไม่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติในสังคม การเสียทรัพย์สินหรือความรู้สึก ผู้ที่มีจิตสาธารณะต้องเสียสละแรงกาย แรงใจในการทำงาน การทำงานเพื่อสังคมนั้นไม่ได้ ค่าตอบแทน อีกทั้งบางครั้งยังต้องเสี่ยงต่อความไม่เข้าใจของครอบครัว ต้นทุนบางประการอาจเป็น รูปธรรม เช่น เวลา ทรัพย์สิน เงินทอง สุขภาพ หรือความเหน็ดเหนื่อย และที่เป็นนามธรรม เช่น โอกาสใน การไปทำสิ่งอื่นเพื่อประโยชน์ต่อตนเอง หรือการสูญเสียพลังใจ 6. ผลจากการขาดจิตสาธารณะ การละเลยไม่ใส่ใจคิดว่าไม่ใช่เรื่องของตนเอง หรือการคิดว่าสิ่งที่ตนทำเป็นเรื่องของตนเอง ไม่ เกี่ยวกับใคร เป็นเรื่องที่ต้องสร้างให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ว่าสิ่งที่บุคคลกระทำในฐานะเป็นสมาชิกของ ชุมชน สังคม และเป็นพลเมืองของประเทศนั้น ต่างส่งผลกระทบบางประการเสมอ ดังนี้ 1. ผลกระทบต่อบุคคล ได้แก่ การสร้างความเดือดร้อนให้กับตนเองไม่ทางตรงก็ทางอ้อม เช่น ถูกลงโทษ ถูกจับ ปรับ หรือทำงานไม่ประสบความสำเร็จ 2. ผลกระทบต่อครอบครัว ได้แก่ สร้างความเดือดร้อนให้แก่สมาชิกในครอบครัว มีผลต่อ ความสัมพันธ์ของสมาชิกในครอบครัว การแก่งแย่ง ทะเลาะเบาะแว้ง 3. ผลกระทบระดับองค์กร ได้แก่ บรรยากาศของความสัมพันธ์ของสมาชิกในองค์กร การแบ่ง พรรคแบ่งพวก การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น การเบียดเบียนสมบัติขององค์กรเป็นสมบัติส่วนตน องค์กรไม่ ก้าวหน้า ประสิทธิภาพและคุณภาพของงานลดลง 4. ผลกระทบระดับชุมชน ได้แก่ ชุมชนอ่อนแอ ขาดการพัฒนา เพราะต่างคนต่างอยู่ นานไปก็ เสื่อมลง เกิดอาชญากรรมในชุมชน ขาดการรวมใจในการแก้ไขปัญหา คนในชุมชนมองแต่ปัญหาของตัวเอง ขาดผู้อาสานำพาการพัฒนาเพราะกลัวเสียทรัพย์ เสียเวลา หรือเป็นที่ครหา 5. ผลกระทบระดับชาติ ได้แก่ การขาดการพัฒนาในระดับชาติ เกิดวิกฤตการณ์ไม่มีการ แก้ปัญหาอย่างจริงจัง เกิดการเบียดเบียนทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสมบัติส่วนรวม ประเทศตกอยู่ใน สภาพล้าหลัง มาตรการใด ๆ ก็ใช้ไม่ได้ผล เพราะไม่ได้รับความร่วมมือจากประชาชน ขาดพลังของคนใน สังคม แบ่งฝักฝ่าย เห็นแก่ประโยชน์ของกลุ่มและพวกพ้อง เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่น ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีจิตสาธารณะ วิถีการดำเนินชีวิตของบุคคลในสังคม และสภาพแวดล้อม ตั้งแต่ระดับครอบครัว ชุมชน สังคม ต่างเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีจิตสาธารณะ 1. ปัจจัยภายใน เป็นสำนึกของแต่ละบุคคลในการพิจารณาตัดสินคุณค่าและความดีงาม เป็นผล ทางจิตใจ 2. ปัจจัยภายนอก เป็นปัจจัยที่อยู่รอบตัว ทั้งบุคคล ชุมชน และสังคม รวมทั้งวัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ กฎหมาย ศาสนา รวมทั้งสื่อสารมวลชนส่งผลต่อจิตสำนึกด้านต่าง ๆ


47 หลักการในตัดสินใจต่อคุณค่าที่สำคัญใกล้เคียงหรือขัดแย้งต่อการมีจิตสาธารณะ 1. หลักสิทธิ เสรีภาพ หลักสิทธิส่วนบุคคลต้องไม่ถูกละเมิด ขณะเดียวกันผู้ที่รักษาความเป็น ส่วนตัวต้องตระหนักว่าความเป็นส่วนตัวสูงที่มากเกินไปและขาดการพบปะสังสรรค์ ทำให้จะทำให้บุคคล ขาดการสร้างแรงบันดาลใจ ขาดการกระตุ้นให้เกิดการเติบโตทางปัญญา และอารมณ์ 2. หลักประโยชน์ส่วนรวม หลักประโยชน์ส่วนรวมต้องได้รับการรักษาให้ดำรงไว้ หากผู้คนใน สังคมเห็นความสำคัญของสิทธิส่วนบุคคลหรือความเป็นส่วนตัวมากกว่าส่วนรวมแล้ว จะไม่มีใครพิทักษ์ ประโยชน์ส่วนรวมทั้งที่เป็นทรัพยากรธรรมชาติ วัตถุ สิ่งของ วัฒนธรรม ทั้งสิ่งที่เห็นได้และเห็นไม่ได้ ซึ่ง ทั้งหมดคือส่วนหนึ่งของชีวิตทุกคน ของสาธารณะไม่มีคนรักษา สิทธิของชุมชนไม่มีคนปกป้อง ชุมชนเสื่อม โทรมไม่มีคนใส่ใจ เพราะหน่วยงานรัฐไม่สามารถดูแลได้ครอบคลุม เป็นต้น 7. การพัฒนาจิตสาธารณะ การสร้างจิตสาธารณะ เป็นความรับผิดชอบในตน การสร้างจิตสาธารณะในจิตใจสามารถเรียนรู้ จากการปฏิบัติ ดังนี้ 1. การสร้างวินัยในตนเอง เป็นการตระหนักถึงการมีส่วนร่วมในระบบประชาธิปไตย รู้ถึงขอบเขต ของสิทธิ เสรีภาพ หน้าที่ ความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม 2. การให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อม ตระหนักเสมอว่าตนเองคือส่วนหนึ่งของสังคม ต้องมีความ รับผิดชอบในการรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเรื่องของส่วนรวม ทั้งต่อประเทศชาติ และโลกใบนี้ 3. การตระหนักถึงปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสังคม ให้ถือว่าเป็นปัญหาของตนเองเช่นกัน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องช่วยกันแก้ไข เช่น ช่วยกันดำเนินการให้โรงงานอุตสาหกรรมสร้างบ่อพักน้ำทิ้ง ก่อนปล่อยลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะ 4. การยึดหลักธรรมในการดำเนินชีวิต เพราะหลักธรรมหรือคำสั่งสอนในทุกศาสนาที่นับถือสอน ให้คนทำความดีทั้งสิ้น ถ้าปฏิบัติได้ก็จะทำให้ตนเองมีความสุข นอกจากนี้ ยังก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม ด้วย ทำให้เราสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข การคลุกคลีอยู่กับความถูกต้อง การปลูกฝัง การอบรม การฝึกปฏิบัติ การได้เห็นตัวอย่างที่ ประทับใจ จะช่วยพัฒนาจิตสำนึกสาธารณะได้ ดังนี้ 1. ครอบครัวที่อบอุ่น มีความรัก ความเข้าใจ มีการสื่อสารที่ดี ช่วยให้เกิดจิตสำนึก เห็น ความสำคัญของส่วนรวม การดูแลรับผิดชอบสมบัติส่วนรวม การแบ่งปันโอกาสในการใช้ของส่วนรวมให้ ผู้อื่น โดยเริ่มจากคนในครอบครัว จะช่วยลดการเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน และพัฒนาจิตสาธารณะ 2. สถาบันการศึกษาที่พัฒนาสำนึกส่วนรวม การไม่เอาเปรียบ ไม่มุ่งหวังกอบโกย ไม่มุ่ง ความสำเร็จในวิชาชีพที่ปราศจากพื้นฐานทางจริยธรรม จะพัฒนาไปสู่การมีจิตสาธารณะได้ 3. ศาสนา เพื่อสร้างความอ่อนโยนในจิตใจ ให้เห็นประโยชน์สุขของสังคมส่วนใหญ่ จะพัฒนา จิตสำนึกเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รู้จักปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกต้อง ทำให้ประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นตัวอย่างแก่คนใน สังคมในด้านการช่วยเหลือส่วนรวม 4. สื่อมวลชน เป็นสถาบันที่มีอิทธิพลต่อความคิดและการรับรู้ของประชาชน การนำเสนอตัวแบบ ที่ดี และความไม่เหมาะสมของตัวแบบที่ไม่ดี จะช่วยสร้างความเข้าใจและพัฒนาจิตสำนึกที่ถูกต้องได้ ในระดับบุคคล สามารถมีบทบาทส่งเสริมการมีจิตสาธารณะได้ ดังนี้


48 1. เป็นผู้เริ่มต้นการเป็นผู้มีจิตสาธารณะ และขยายผลไปสู่สังคมจากครอบครัว สถานศึกษา ชุมชน และสังคม 2. บุคคลต้องทำหน้าที่และพึ่งพาตนเองในฐานะสมาชิกของสังคมทุกระดับ เช่น ในฐานะพลเมือง ที่ทำหน้าที่ของตนอย่างดีอยู่ในระเบียบวินัยและไม่เอาเปรียบ ช่วยเหลือและตักเตือนแนะนำอย่าง เหมาะสมเมื่อเพื่อนทำผิด 3. เคารพสิทธิบุคคลอื่น รักษาของส่วนรวมและทรัพย์สินสาธารณะ ใส่ใจ และเข้ามีส่วนร่วมใน ประเด็นส่วนรวมระดับประเทศ สังคมพลเมืองเป็นสังคมที่ประกอบด้วยพลเมือง หรือสังคมที่ประกอบด้วยประชาชนที่มีสำนึก พลเมือง ซึ่งจิตสาธารณะเป็นส่วนหนึ่งของสำนึกพลเมือง เป็นการทำงานเพื่อตอบประโยชน์ตนเองและ สังคม มีการพัฒนาให้จิตอาสาเติบโตจนเป็นสำนึกพลเมือง พัฒนาเชื่อมโยงให้อาสาสมัครหรือคนในชุมชน เห็นความสัมพันธ์ระหว่างประเด็นส่วนตัวและประเด็นส่วนรวม และตระหนักถึงความสำคัญในการทำ กิจกรรมเพื่อสาธารณะ หรือส่วนรวม เน้นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว


49 หน่วยที่ 5 ปัญหาสังคมและผลกระทบ การพัฒนาแบบสมัยใหม่หรือแบบตะวันตก อาจมีผลดีหลายอย่าง เช่น ความสะดวกสบายจาก เครื่องทุ่นแรง การคมนาคม การขนส่ง บริการทางการแพทย์ แต่ก็ยังมีข้อถกเถียงถึงความถูกต้องและ ประโยชน์ของการค้าเสรี การเงินเสรี การใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในปี พ.ศ. 2504 นับเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศแบบไม่สมดุล (Unbalanced Growth) ที่ทำให้ แนวทางการพัฒนาประเทศมุ่งยึดถือภาคอุตสาหกรรมและเขตเมืองเป็นภาคเศรษฐกิจนำ และให้ภาค เกษตรกรรมและชนบทมีฐานะอยู่ในอันดับรอง โดยมีหน้าที่แบกภาระไม่ว่าจะเป็นด้านต้นทุน แรงงาน และ อาหาร เพื่อพัฒนาการเจริญเติบโตของภาคอุตสาหกรรมและเขตเมือง ส่งผลให้เกิดปัญหาสังคมที่เป็น วิกฤติจากการพัฒนามาจนถึงปัจจุบัน 1. ความมุ่งหมายในการศึกษาปัญหาสังคม 1. ให้ตระหนักถึงปัญหาสังคมที่มีอยู่ในสังคมปัจจุบัน 2. ศึกษาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหาให้เข้าใจเพื่อที่จะวิเคราะห์หรือให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องใด ๆ อย่างมีเหตุมีผลและตรงกับความเป็นจริง 3. ศึกษาสภาพสังคมที่เป็นปัญหาทั่วไปเพื่อให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหานั้น ๆ 4. ให้เข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างทฤษฎีกับการปฏิบัติ 5. ศึกษาปัญหาอย่างละเอียด ให้พิจารณาสิ่งต่าง ๆ ด้วยความถี่ถ้วน รอบคอบ ไม่มองเฉพาะตอน ใดตอนหนึ่งของปัญหาสังคม 2. กรอบความคิดเกี่ยวกับปัญหาสังคม: ความสัมพันธ์เชิงเหตุ-ผลลัพธ์ของปัญหาสังคม การจะบอกว่าสิ่งใดเป็นปัญหาสังคมนั้น จะต้องเป็นสิ่งที่สังคมนั้น ๆ ยอมรับและลงความเห็น ร่วมกันว่าสิ่งนั้นหรือปรากฏการณ์เช่นนั้นเป็นปัญหาสังคม (Social Problems) ปัญหาสังคม คือเงื่อนไขซึ่ง ถูกกำหนดโดยคนกลุ่มใหญ่หรือกลุ่มคนที่มีความสำคัญในสังคม ในชุมชนว่าเป็นรูปแบบของการเบี่ยงเบน ไปจากมาตรฐานของสังคม หรือทำให้องค์กร/สถาบันทางสังคมล่มสลาย (Denlter, 1971 : 14 อ้างถึงใน สุรพล ราชภัณฑารักษ์ และคณะ, 2546 หน้า 1-5) ธีรภัทร เสรีรังสรรค์ (อ้างถึงใน ประยงค์ อ่อนตา, ม.ป.ป., ออนไลน์ ) ให้ความหมาย ปัญหาสังคม เป็นสภาวการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วส่งผลกระทบกระเทือนต่อคนกลุ่มใหญ่ในสังคม หรือสภาวการณ์ที่คนในสังคม ส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นปัญหา และสมาชิกเหล่านั้นของสังคมเห็นพ้องต้องกันว่าควรจะมีการดำเนินการแก้ไข สภาวการณ์นั้นในรูปของการกระทำร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหานั้นให้หมดไปหรือบรรเทาลง และปัญหาสังคม จะเปลี่ยนแปลงไปตามความเห็นของกลุ่มคนในแต่ละช่วงเวลา 2.1 องค์ประกอบของปัญหาสังคม ฮอร์ตัน และ เลสลี (Horton and Leslie อ้างถึงใน เรื่องเดียวกัน, ออนไลน์) จำแนก องค์ประกอบของปัญหาสังคมไว้ 4 ประการ 1. สถานการณ์นั้นจะต้องกระทบกระเทือนบุคคลจำนวนมาก


50 2. สถานการณ์นั้นไม่เป็นที่พึงปรารถนาของคนหมู่มาก 3. บุคคลจำนวนหนึ่งมีความเห็นร่วมกันว่าควรมีการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลง 4. จะต้องมีการกระทำร่วมกันจากหลายฝ่ายเพื่อแก้ไขสถานการณ์ 2.2 ลักษณะพื้นฐานของปัญหาสังคม 1. ปัญหาสังคมมีสาเหตุมาจากปัจจัยหลายๆ อย่าง 2. ปัญหาสังคมมีผลกระทบต่อสมาชิกในสังคมแตกต่างกัน 3. ปัญหาสังคมมีความเกี่ยวเนื่องแก่กันและกัน 4. การแก้ไขปัญหาสังคมอาจมีผลกระทบหลายทาง 5. ปัญหาสังคมเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างใกล้ชิด 6. ปัจเจกชนไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงผลกระทบได้ 7. ปัญหาสังคมอาจเกิดขึ้นจากการบังคับใช้กฎเกณฑ์ 8. ปัญหาสังคมขึ้นอยู่กับการที่คนในสังคมรู้สึกว่าเป็นปัญหา 2.3 ประเภทของปัญหาสังคม การแบ่งปัญหาสังคมตามโครงสร้างของสังคมจะแบ่งได้เป็น 3 ระดับ คือ ระดับความสัมพันธ์ ระหว่างบุคคล ระดับกลุ่มคนหรือสังคมที่เล็กกว่ารัฐชาติ และระดับชาติและระดับโลก สภาพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจึงนำปัญหาสังคมมาแบ่งกลุ่มตามระดับโครงสร้างสังคม ดังนี้ 1. ปัญหาระดับชาติถึงระดับโลก เช่น ปัญหายาเสพติด เอดส์ โรคติดต่อร้ายแรง ความ ยากจน อาชญากรรม ความเสื่อมโทรมของสภาวะแวดล้อม การฉ้อราษฎร์บังหลวง ภัยสงคราม เป็นต้น 2. ปัญหาสังคมระดับชุมชนหรือระดับสังคม เช่น ชุมชนแออัด มลภาวะสิ่งแวดล้อม ธุรกิจ บริการทางเพศ ความคับคั่งของจราจร การว่างงาน เป็นต้น 3. ปัญหาสังคมระดับปัจเจกบุคคลและครอบครัว เช่น ปัญหาพฤติกรรมเบี่ยงเบนของเด็ก และเยาวชน ภาวะสุขภาพจิตเสื่อม การทอดทิ้งผู้สูงอายุ การห่างเหินระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ ครอบครัว แตกแยก การหย่าร้าง เป็นต้น แต่หากพิจารณาจะพบว่าปัญหาสังคมบางเรื่องมีความทับซ้อนอยู่ในทุกโครงสร้างสังคม เช่น ปัญหาการค้ามนุษย์ ซึ่งเป็นปัญหาสังคมทั้งในระดับปัจเจกบุคคลและครอบครัว ระดับชุมชนหรือสังคม และระดับชาติจนถึงระดับโลก นั่นเป็นเพราะปัญหาสังคมมีความเกี่ยวเนื่องแก่กันและกันซึ่งเป็นลักษณะ พื้นฐานของปัญหาสังคม ดังนั้นจึงมีแนวความคิดในการจำแนกปัญหาสังคมโดยการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ เชิงเหตุและผล เพื่อให้การแก้ไขปัญหาสังคมสามารถแก้ที่ต้นเหตุได้ 2.4 แนวความคิดในการจำแนกปัญหาสังคม การจำแนกปัญหาสังคมออกเป็นประเภทต่าง ๆ โดยคำนึงถึงสาเหตุและผลลัพธ์ของปัญหาสังคม จะจำแนกให้เห็นถึงความสัมพันธ์เชิงเหตุและผล (cause-effect) ของปรากฏการณ์ทางสังคม โดยอยู่บน เกณฑ์พื้นฐาน ดังนี้ 1. ปัญหาเบื้องต้นของสังคมเป็นเงื่อนไขทางสังคม ซึ่งจะก่อให้เกิดผลที่ตามมาหลายประการ เช่น สภาพของความแตกต่างทางเชื้อชาติเผ่าพันธุ์จะนำไปสู่ความแตกแยก ความขัดแย้ง และการแยกตัว ออกจากสังคม


51 2. ปัญหาสังคมเป็นเกณฑ์เบื้องต้นที่นำไปสู่ผลลัพธ์ที่อาจมีตัวแปรแทรกซ้อนอื่น ๆ เกิดขึ้น ควบคู่ไปด้วย ฉะนั้นจึงอาจจำแนกปัญหาสังคมออกเป็น 3 ระดับ คือ ปัญหาพื้นฐาน ปัญหาที่ตามมา และ ปัญหาที่เป็นผลลัพธ์ของปัญหาพื้นฐาน ซึ่งในที่นี้ระบุให้เป็นปัญหาปฐมภูมิ ปัญหาทุติยภูมิ และปัญหา ตติยภูมิ ดังแผนภาพประกอบ ภาพ 7 แผนภาพแสดงความสัมพันธ์เชิงเหตุ-ผลลัพธ์ของปัญหาสังคม ที่มา : สุรพล ราชภัณฑารักษ์ และคณะ, 2546, หน้า 4. จากแผนภาพความสัมพันธ์ดังกล่าว จะเห็นได้ว่าประเภทของปัญหาสังคมจากกรอบความคิดที่ให้ ความสำคัญกับระดับของปัญหา เป็นปัญหาระดับต้น (พื้นฐาน) ปัญหาระดับสองและปัญหาระดับสาม ตามลำดับนั้น เป็นการมองที่ความสัมพันธ์ในเชิงของเหตุ-ผลลัพธ์และผลกระทบ (cause-results-impact) ทำให้มองเห็นปัญหาในเชิงลึกที่ทับซ้อน และความเป็นเหตุเป็นผลตลอดจนผลของการสะสมของปัญหา


52 5.5 ทัศนคติที่มีต่อปัญหาสังคม การที่มีปัญหาสังคมเกิดขึ้น บุคคลมักมีทัศนคติที่แตกต่างกันออกไป ฮอร์ตัน และ เลสสี่ (เรื่อง เดียวกัน, ออนไลน์) ได้จำแนกไว้ดังนี้ 1. วางเฉยไม่สนใจ (indifference) 2. เป็นเรื่องของกรรมเก่า (fatalistic resignation) 3. เยาะเย้ย (cynicism) 4. พระเจ้าลงโทษ (religious retribution) 5. ความรู้สึกอ่อนไหว (sentimental) 6. มีทัศนคติที่เป็นวิทยาศาสตร์สังคม (social scientific attitude) 3. ปัญหาสังคมไทยที่เป็นผลของการพัฒนา (พ.ศ. 2504 – ปัจจุบัน) 3.1 ความยากจนและช่องว่างในการกระจายรายได้ สาเหตุที่ส่งผลต่อสภาวะความยากจนสามารถอธิบายได้จากอัตราส่วนระหว่างราคาสินค้าเกษตร กับราคาสินค้าอื่น ๆ เนื่องจากอัตราส่วนดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความเสียเปรียบของภาคเกษตร ซึ่งส่วน หนึ่งเป็นผลมาจากราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกตกต่ำ แต่อีกส่วนหนึ่งมาจากนโยบายของรัฐบาลที่กด ราคาสินค้าเกษตรไว้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็นเพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมมีสินค้าเกษตรเป็นวัตถุดิบได้ในราคาต่ำ และเกิดแรงจูงใจที่จะขยายการลงทุนเพิ่มขึ้นต่อไป ขณะเดียวกันการที่สินค้าเกษตรมีราคาต่ำยังทำให้ราคา อาหารของแรงงานไม่สูงมากจนไม่จำเป็นต้องเกิดการผลักดันต่อการเรียกร้องค่าจ้างแรงงานให้สูงขึ้นจน เป็นเหตุให้ต้นทุนการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมต้องสูงขึ้นด้วย แต่ขณะที่รัฐให้การอุดหนุนอุตสาหกรรมโดย การส่งเสริมให้มีการผลิตสินค้าทดแทนการนำเข้า ทำให้สินค้าอุตสาหกรรมมีราคาแพง ภาคเกษตรจึงต้อง ซื้อสินค้าอุตสาหกรรมสำหรับใช้เป็นปัจจัยการผลิตหรือการอุปโภคบริโภคในราคาที่สูงขึ้น แนวทางการพัฒนาที่มุ่งแต่สนับสนุนทรัพยากรเพื่อพัฒนาเขตเมืองและภาคอุตสาหกรรม โดยมี คนในภาคเกษตรกรรมและชนบทเป็นแค่เพียงแรงงานหรือปัจจัยการผลิตที่จะต้องเคลื่อนย้ายตัวเองเข้า รองรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม จึงเป็นการดูดซับส่วนเกินจากภาคเกษตรและหมู่บ้านในชนบท ออกมาโดยไม่ให้โอกาสประชาชนสามารถเลือกใช้ชีวิตในสังคมชนบทได้ และได้เกิดปัญหาความยากจน ตามมา 3.2 มลภาวะของสิ่งแวดล้อม การขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง ของอุตสาหกรรมที่มีอุตสาหกรรมที่ผลิตกากสารพิษเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดมลภาวะจากอุตสาหกรรมเหล่านั้น ได้แก่ น้ำเสีย อากาศเสีย นอกจากนี้ยังมีความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะป่าไม้ซึ่งเป็น ปัญหาวิกฤติของสังคมไทย เพราะการพัฒนาที่ไม่สมดุลระหว่างภาคอุตสาหกรรมกับภาคเกษตรที่ส่งผลทำ ให้การสูญเสียทรัพยากรป่าไม้ ซึ่งเคยเป็นทรัพย์สินส่วนรวมที่ชุมชนในชนบทหรือพื้นที่ห่างไกลสามารถ พึ่งพาเพื่อการยังชีพได้เปลี่ยนแปลงไปจากการสร้างถนนผ่านพื้นที่ป่า การสร้างเขื่อนและอ่างเก็บน้ำ รวมทั้งการส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น อ้อย ข้าวโพด มันสำปะหลัง ประกอบกับการเจริญเติบโต ทางเศรษฐกิจทำให้การท่องเที่ยวขยายกิจการอย่างรวดเร็ว เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวทั้งจากภายในและ


53 ภายนอกประเทศ ได้นำไปสู่การใช้พื้นที่ป่ามากขึ้นในการสร้างรีสอร์ต สนามกอล์ฟ เป็นต้น และการ ลักลอบตัดไม้ทำลายป่าก็ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 3.3 การโยกย้ายถิ่นของคนในท้องถิ่นต่าง ๆ ปัญหาการขาดแคลนที่ดินทำกินอันเนื่องมาจากการกว้านซื้อที่ดินของนายทุน เพื่อทำการเกษตร อุตสาหกรรม และโรงงานอุตสาหกรรม รวมทั้งการเวนคืนที่ดินเพื่อสร้างถนนหนทาง เขื่อนและการ ชลประทาน ทำให้คนในชนบทเกือบทุกภูมิภาคต้องทิ้งถิ่นฐานเดิมไปทำงานและอยู่อาศัยในที่ต่าง ๆ การ ย้ายถิ่นฐานนี้ก่อให้เกิดการล่มสลายของสถาบันครอบครัวทำให้เกิดปัญหาสังคมตามมา การโยกย้ายถิ่น ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะกับคนชนบทซึ่งเป็นแรงงานเท่านั้น ในขณะที่ผู้ประกอบการเองก็ต้องย้ายถิ่นฐาน กระจายอยู่ตามเขตเมืองและชนบทที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมจนคนใน ท้องถิ่นอาจจะปรับตัวไม่ทัน ทำให้ขนบประเพณีและความสัมพันธ์ของผู้คนในท้องถิ่นหมดสิ้นไป และเกิด การเลียนแบบการบริโภคตามมา 3.4 การแย่งชิงทรัพยากร การเก็งกำไรที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ระบบทุนนิยมก้าวเข้าไปสู่การแสวงหาประโยชน์จาก ทรัพยากรธรรมชาติ ที่ปรากฏเห็นอย่างชัดเจนคือการเก็งกำไรซื้อขายที่ดินที่ทำให้ราคาที่ดินสูงขึ้นจน เกษตรกรต้องขายที่ดินเพราะได้ราคาดี เพราะขณะที่ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำการขายที่ดินจึงเป็นทางเลือก ของเกษตรกร ซึ่งเป็นการสร้างความกดดันให้เกษตรกรอีกทางหนึ่ง การกว้านซื้อที่ดินเพื่อทำธุรกิจต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง สะท้อนให้เห็นพลังของทุนนิยมและภาคธุรกิจที่แย่งชิงทรัพยากรทั้งที่ดิน ป่าไม้ และน้ำ จากเกษตรกร โดยมีรัฐบาลให้ความร่วมมือทั้งทางตรงและทางอ้อม ในทำนองเดียวกันการยึดคืนที่ดินจาก ชาวบ้านรัฐมักจะใช้วิธีบังคับให้ชาวบ้านย้ายถิ่นฐานด้วยการใช้โครงการต่าง ๆ หรือใช้เหตุผลเพื่อการ พัฒนา เช่น การสร้างเขื่อน ผลกระทบสำคัญของการแย่งชิงทรัพยากรคือ ทรัพยากรของส่วนรวมถูก นำไปใช้เพื่อประโยชน์ของคนส่วนน้อย โดยอ้างเหตุผลของการอนุรักษ์และพัฒนาซึ่งมีเบื้องหลังคือการใช้ อำนาจรัฐและพลังของระบบตลาดเปลี่ยนแปลงทรัพยากรของส่วนรวมให้กลายเป็นทรัพย์สินส่วนบุคคล มากขึ้น ชุมชนและชาวบ้านที่เคยมีอำนาจควบคุมและจัดการทรัพยากรส่วนรวมก็ค่อย ๆ สูญเสียอำนาจ นั้นไป 3.5 การเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางสังคม ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรีที่เกิดขึ้นในระหว่างการใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจ ได้เปลี่ยน โครงสร้างสังคมเดิมที่มีความสัมพันธ์แบบพี่น้อง เครือญาติ เพื่อนฝูง และมิตรสหาย ที่มีการเคารพในเรื่อง อาวุโส และความเป็นกันเองอย่างเสมอภาคมาเป็นความสัมพันธ์ทางสังคมที่แสดงความแตกต่างทาง ชนชั้นในลักษณะชนชั้นสูง ชนชั้นกลาง และชนชั้นต่ำ โดยมีเกณฑ์ในการแบ่งจากความมั่งคั่งและอำนาจ กับผู้ที่ไม่มีทรัพย์สิน และอำนาจจึงจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยกันจึงเกิดเป็นกลุ่มผลประโยชน์มากมาย 3.6 วิกฤติทางวัฒนธรรม การเน้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็นที่ตั้ง โดยการวัดความเจริญเติบโตก็จะมองเฉพาะวัตถุหรือ ทรัพย์สินเงินทองเพียงอย่างเดียว ส่งผลให้วัฒนธรรมมีการแปรเปลี่ยนไปในทิศทางที่ทำให้ทุกคนในสังคม เปลี่ยนวิธีคิดจากเดิมที่มีอิทธิพลของพุทธธรรมเข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิตประจำวัน วิถีการทำมาหากิน ความ เชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี ตลอดจนปรับตัวให้กลมกลืนกับธรรมชาติจนมีการสั่งสมเป็นภูมิปัญญาของ


54 สังคม มาเป็นวิธีคิดแบบใหม่จนเกิดเป็นวิกฤติวัฒนธรรม ซึ่งมีวิธีคิดอยู่บนผลประโยชน์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง โดยขาดความรับผิดชอบต่อชุมชน สังคมและวัฒนธรรม และใช้วิธีการทุกอย่างรวมทั้งอำนาจและความ รุนแรงเพื่อให้ได้มาและรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง เช่น การโกง คอร์รัปชั่น การขาย ลูกสาวให้ค้าประเวณี การใช้สารเคมีเพื่อรักษาสินค้าโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภค รวมถึง วัฒนธรรมบริโภคนิยมที่ส่งเสริมให้เกิดการไม่รู้จักริเริ่มสร้างสรรค์ของคนในสังคม 4. สถานการณ์การพัฒนาประเทศไทยในระยะต่อไป สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (2565, หน้า 6-18) ได้ สังเคราะห์บริบทการพัฒนาของประเทศไทยในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 – 2570) โดยประมวลผลจากการพัฒนาประเทศภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2561 – 2565) ซึ่งมีประเด็นที่ต้องได้รับการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ประกอบ กับการประเมินผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงฉาก ทัศน์ของการพัฒนาทั่วโลกไปอย่างสิ้นเชิงและส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในหลากหลายมิติ ตลอดจน คาดการณ์แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในระดับโลกที่สำคัญหลายประการที่คาดว่าจะส่งผลต่อทิศทางการ พัฒนาประเทศไทยต่อไปในอนาคต เป็นการเตรียมความพร้อมในการปรับตัวท่ามกลางกระแสการ เปลี่ยนแปลงที่มีความซับซ้อนมากขึ้นของโลกยุคใหม่ 4.1 การพัฒนาประเทศในมิติด้านเศรษฐกิจ ปัจจุบันประเทศไทยขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยประสิทธิภาพ แต่ยังคงประสบปัญหาด้าน ประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร รวมทั้งยังมีอุปสรรคในการยกระดับประสิทธิภาพของตลาดสินค้า ตลาดแรงงาน และประสิทธิภาพของภาครัฐ ที่มีความล่าช้าส่งผลให้ประเทศไทยติดกับดักประเทศรายได้ ปานกลางมาเป็นเวลานาน การจัดสรรทรัพยากรระหว่างภาคเศรษฐกิจที่ผ่านมาไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจ ของไทยขับเคลื่อนสู่การเป็นประเทศรายได้สูง อีกทั้งยังไม่สามารถตอบสนองต่อโอกาสและทิศทางแนวโน้ม การเปลี่ยนแปลงในระดับโลกต่าง ๆ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ภาคการผลิตอุตสาหกรรมที่เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศมีการเติบโตช้า เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในระดับเดียวกัน อุตสาหกรรมส่วนใหญ่ยังเป็นการรับจ้างผลิตหรืออยู่ในภาค การผลิตเดิมที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้ไม่มากนัก ส่วนผลิตภาพการผลิตรวมยังคงขยายตัวเฉลี่ยต่ำกว่ากลุ่ม ประเทศรายได้ปานกลางระดับสูงอื่น ๆ ภาคการบริการ ส่วนใหญ่ยังคงมีรูปแบบดั้งเดิมที่ใช้แรงงานทักษะ น้อยเป็นหลัก ไม่เน้นการใช้เทคโนโลยี เป็นการให้บริการด้วยการใช้กำลังแรงงานที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้ต่ำ เติบโตในเชิงปริมาณมากกว่าคุณภาพ การพัฒนาเศรษฐกิจในระยะต่อไปจำเป็นต้องเร่งรัดผลักดันการปรับ โครงสร้างเศรษฐกิจภาคการผลิตเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยนวัตกรรมและมุ่งสู่การ พัฒนาอย่างยั่งยืน ที่เน้นการสร้างคุณค่าให้แก่สินค้าและบริการเชิงคุณภาพ พร้อมทั้งใหความสำคัญกับ กระจายผลประโยชน์สู่ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องภายในประเทศอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม โดยการปรับเปลี่ยนสู่ อุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคตที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูง ยกระดับภาคการเกษตรสู่การผลิตสินค้าเกษตร และเกษตรแปรรูปมูลค่าสูง ปรับเปลี่ยนภาคการท่องเที่ยวให้เป็นการท่องเที่ยวที่เน้นคุณภาพและความ ยั่งยืน เปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์สู่ยานยนต์ไฟฟ้าตลอดห่วงโซ่อุปทาน ผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลาง ทางการแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูง ดำเนินยุทธศาสตร์ให้ประเทศไทยเป็นประตูการค้าการลงทุนและ


55 ยุทธศาสตร์ทางโลจิสติกส์ที่สำคัญของภูมิภาค และยกระดับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของไทยให้เป็น ศูนย์กลางอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะและอุตสาหกรรมดิจิทัลของอาเซียน 4.2 การพัฒนาประเทศในมิติด้านสังคมและทรัพยากรมนุษย์ การพัฒนาในระยะที่ผ่านมายังไม่สามารถกระจายผลประโยชน์จากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ได้อย่างทั่วถึง รายได้ประชาชาติที่เพิ่มขึ้นไม่ได้ถูกจัดสรรให้แก่ประชากรทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม และมีคน จนที่ยังคงติดอยู่ในกับดักความยากจนอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาด ของโควิด-19 ที่ก่อให้เกิดภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลให้จำนวนคนจนเพิ่มสูงขึ้น โอกาสในการหลุดพ้น จากกับดักความยากจนเป็นไปได้ยากขึ้น จนมีแนวโน้มที่จะส่งต่อความยากจนข้ามรุ่นไปยังลูกหลาน ตอก ย้ำความเหลื่อมล้ำของโอกาสในการศึกษาและการพัฒนาทักษะแรงงานที่มีคุณภาพ ความเหลื่อมล้ำของ โอกาสในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี โครงสร้างพื้นฐาน และบริการสาธารณะ รวมถึงการ ขาดหลักประกันและสวัสดิการขั้นพื้นฐานที่เพียงพอต่อการสร้างความมั่นคงในชีวิต รวมถึงความเหลื่อมล้ำ เชิงพื้นที่จากการเจริญเติบโตและกระจุกตัวทางเศรษฐกิจในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยกรุงเทพฯ และภาคกลาง มีดัชนีความก้าวหน้าของคนสูงกว่าภูมิภาคอื่นเกือบทุกด้าน สะท้อนให้เห็นถึงความ เหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสาธารณะที่มีคุณภาพ อาทิ ด้านสุขภาพ การศึกษา ชีวิตการงาน รายได้ การ คมนาคมและการสื่อสาร และยังมีความเหลื่อมล้ำในการดำเนินธุรกิจระหว่างกิจการที่มีขนาดต่างกันใน ระดับสูง ขณะที่ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยียังอาจนำมาซึ่งปัญหาความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล ส่วน โครงสร้างประชากรของประเทศ พบว่าสังคมไทยเข้าสู่การเป็นสังคมสูงวัย ตั้งแต่ปี 2548 โดยปี 2563 มี ประชากรผู้สูงอายุรวมกว่า 11.6 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 17.57 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาด ว่าภายในปี 2566 ประเทศไทยจะกลายเป็นสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ ที่มีประชากรอายุมากกว่า 60 สูงถึง ร้อยละ 20.1 ของประชากรทั้งหมด สวนทางกับประชากรวัยเรียนและวัยแรงงานที่มีแนวโน้มลดลง อาจ นำมาซึ่งปัญหาขาดแคลนกำลังแรงงานในประเทศ มีความจำเป็นต้องพึ่งพาแรงงานต่างชาติมากขึ้น ส่งผล กระทบในด้านการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ความสามารถในการแข่งขัน และผลิตภาพแรงงาน รวมถึง ความต้องการงบประมาณเพื่อเป็นสวัสดิการรองรับวัยเกษียณ ในระยะต่อไปประเทศไทยต้องให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างเพื่อมุ่งสู่สังคมแห่ง โอกาสและความเป็นธรรม โดยการกระจายการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจและเมือง แก้ไขปัญหาความยากจน เรื้อรังและป้องกันการส่งต่อความยากจนไปยังลูกหลาน โดยเน้นส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาและการ พัฒนาทักษะอาชีพที่มีคุณภาพแก่เด็กและเยาวชนจากครัวเรือนยากจน พัฒนาหลักประกันและความ คุ้มครองทางสังคมที่มีการบูรณาการอย่างเป็นระบบ และพัฒนาศักยภาพวิสาหกิจขนาดกลางและขนาด ย่อมให้สามารถแข่งขันได้ 4.3 การพัฒนาประเทศในมิติด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การประเมินสถานการณ์ของทุนทรัพยากรป่าไม้ พบว่ามีแนวโน้มค่อนข้างคงที่ ทั้งนี้ปัจจุบันปัญหา ไฟป่ากลายมาเป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียพื้นที่ป่าไม้มากที่สุดของประเทศไทย และมีแนวโน้มที่ สถานการณ์ไฟป่าจะมีความรุนแรงเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ นำมาซึ่งภาวะโลกร้อนจะส่งผลให้ภัยคุกคามต่อพื้นที่ป่าไม้และความหลากหลายทางชีวภาพทวีความ รุนแรงเพิ่มขึ้นในอนาคต ในส่วนของทรัพยากรน้ำ ประเทศไทยมีการพัฒนาแหล่งน้ำต้นทุนเพิ่มขึ้นอย่าง ต่อเนื่อง แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจส่งผลให้มีปริมาณการใช้น้ำเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับความเสื่อมโทรม


56 ของแหล่งน้ำตามธรรมชาติทั้งจากมนุษย์และปัจจัยตามธรรมชาติ รวมถึงความแปรปรวนของปริมาณ น้ำฝนในแต่ละปี ทำให้มีปริมาณน้ำที่เก็บกักได้ลดลง ส่งผลให้เกิดปัญหาภัยแล้งขึ้นเป็นประจำทุกปีและมี แนวโน้มที่จะรุนแรงยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันประเทศไทยก็ยังคงประสบกับปัญหาน้ำท่วมอย่างสม่ำเสมอ ขณะที่ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ซึ่งมีบทบาทสำคัญในด้านการรักษาสมดุลของความหลากหลายทาง ชีวภาพ รวมทั้งด้านการคมนาคมขนส่ง การท่องเที่ยว และเป็นพื้นที่ทำประมง ยังอยู่ภายใต้ความเสี่ยงจาก ภัยคุกคามทางธรรมชาติและจากการกระทำของมนุษย์ ส่วนการจัดการของเสียที่เกิดจากการขยายตัวทาง เศรษฐกิจและรูปแบบการใช้ชีวิตของประชาชนที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้ปริมาณขยะในประเทศไทย เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ประเทศไทยยังมีปัญหามลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะจากฝุ่นละอองขนาด ไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM. 2.5) ที่มีปริมาณเกินค่ามาตรฐานเป็นประจำทุกปี สำหรับประเด็นด้าน สิ่งแวดล้อมที่ทั่วโลกให้ความสำคัญคือการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งประเทศไทยมีแนวโน้มปริมาณการ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมต่าง ๆ เพิ่มขึ้นมาโดยตลอด การพัฒนาทุนทางทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในระยะต่อไปคือการเปลี่ยนผ่านเชิง โครงสร้างจากการเน้นผลทางเศรษฐกิจระยะสั้นไปสู่การเจริญเติบโตที่ยั่งยืน โดยการส่งเสริมให้เกิด เศรษฐกิจหมุนเวียนที่มีการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ยั่งยืน และสอดคล้องกับขีดความสามารถใน การรองรับของระบบนิเวศอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งลดความเสี่ยงและผลกระทบจากภัยธรรมชาติและการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยส่งเสริมการใช้มาตรการเชิงป้องกันก่อนเกิดภัยในพื้นที่สำคัญ อาทิ การบูรณาการข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำแผนที่เสี่ยงภัยประกอบการวางผังเมือง การส่งเสริมการใช้ เทคโนโลยีในการบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การให้ ความรู้และสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมเพื่อเพิ่มศักยภาพประชาชนและชุมชนในการรับมือกับภัยธรรมชาติ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศ เป็นต้น 4.4 การพัฒนาประเทศในมิติด้านการบริหารจัดการภาครัฐ ประเทศไทยยังคงมีอุปสรรคที่ทำให้การพัฒนาประสิทธิภาพของภาครัฐไม่ดีขึ้นเท่าที่ควร แม้จะมี ความพยายามพัฒนาไปสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัลและการอำนวความสะดวกให้กับภาคธุรกิจ โดยข้อจำกัดที่ สำคัญในการพัฒนาประสิทธิภาพภาครัฐมาจากปัญหาเชิงโครงสร้างการบริหารงานภาครัฐที่มีขนาดใหญ่ มี ขั้นตอนกระบวนการตามระเบียบปฏิบัติของระบบราชการที่ล้าสมัย ไม่สนับสนุนการทำงานรัฐบาลดิจิทัล แบบครบวงจร การจัดเก็บและการเชื่อมโยงในรูปแบบดิจิทัลที่เป็นระบบและบูรณาการจากการที่ หน่วยงานยึดถือกรอบอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของตนเป็นหลัก รวมทั้งยังยึดติดกับบทบาทการเป็น ผู้ดำเนินการเองมากกว่าการให้ความร่วมมือสนับสนุน ส่งผลให้ภาครัฐมีความซ้ำซ้อนด้านบทบาทภารกิจ ระหว่างส่วนราชการต่าง ๆ ที่มีความแยกส่วนกัน ด้านความยั่งยืนทางการคลัง แม้ประเทศไทยจะมีเสถียรภาพทางการคลังที่ดี แต่แนวโน้มการ บริหารจัดการทางการคลังในระยะยาวของประเทศไทยยังคงมีความน่าเป็นห่วงจากสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้าน บุคลากรที่อยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในขณะที่ฐานการจัดเก็บภาษีค่อนข้างแคบ โครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมสูงวัยมากขึ้นจะยิ่งเพิ่มความท้าทายต่อการรักษาความยั่งยืนทางการคลัง เนื่องจากรัฐต้องจัดสรรงบประมาณด้านสวัสดิการและด้านสาธารณสุขเพิ่มมากขึ้น ขณะที่วัยแรงงานที่ ลดลงจะมีผลต่อความสามารถในการเติบโตทางเศรษฐกิจและการจัดเก็บรายได้ของภาครัฐ ส่วนประเด็น ด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสังคม โดยเฉพาะความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ยังความเป็นท้าทายของ ภาครัฐ ดังนั้นการพัฒนาในระยะต่อไปจึงต้องยกระดับคุณภาพและประสิทธิภาพของการบริหารจัดการ


57 ภาครัฐ ให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรมและทันต่อสถานการณ์ มี มาตรฐาน เท่าเทียม เชื่อมโยงจากส่วนกลางสู่ท้องถิ่นได้อย่างบูรณาการ และมีธรรมาภิบาล เร่งพัฒนา กลไกทางสถาบันที่เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลและนำเทคโนโลยีในการให้บริการสาธารณะให้มีความ สะดวกรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ใช้ข้อมูลและกระบวนการมีส่วนร่วมในการออกแบบนโยบาย สาธารณะและการกำกับดูแลการดำเนินงานของรัฐ เพื่อให้ประเทศไทยมีภาครัฐที่มีสมรรถนะ ทันสมัย คล่องตัว และตอบโจทย์ประชาชน เป็นปัจจัยผลักดันการพลิกโฉมประเทศได้อย่างแท้จริง 5. การอยู่ร่วมกันในสังคมแห่งความหลากหลาย สังคมปัจจุบันประกอบด้วยความหลากหลายในหลาย ๆ ด้าน มีความสัมพันธ์กัน กลายเป็นสังคม พหุวัฒนธรรม เราจึงจำเป็นต้องรู้จักวิธีปฏิบัติตนเพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันในสังคม และพึ่งพาอาศัยกันได้ อย่างมีความสุข 5.1 อัตลักษณ์และความหลากหลายในสังคมพหุวัฒนธรรม สังคมพหุวัฒนธรรม (Plural Society) หมายถึง การอยู่ร่วมกันของกลุ่มคนที่มีความหลากหลาย ทางเชื้อชาติ ศาสนา และประเพณีที่มีความแตกต่างกัน ก่อให้เกิดประเพณีและวิถีชีวิตที่มีความแตกต่าง กันในสังคม ทั้งด้านความคิด ความเชื่อ และวิถีชีวิต อัตลักษณ์ คือ ความเป็นตัวตนที่เป็นความรู้สึกนึกคิดที่เรามีต่อตนเองว่ามีลักษณะเช่นใด และ ความรู้สึกที่คนอื่นมองเราในโลกที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม สิ่งที่เรามองตนเองกับสิ่ง ที่คนอื่นมองเราอาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกันเสมอไป ลักษณะของอัตลักษณ์ของคนในสังคมจะขึ้นอยู่กับ อิทธิพลต่าง ๆ ดังนี้ 1. อิทธิพลของสิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกันจะทำให้คนมีอัตลักษณ์ที่แตกต่างกัน เช่น คนที่อาศัยในเขตเมืองจะมีความเร่งรีบในการใช้ชีวิตประจำวัน ส่วนคนที่อยู่เขตชนบทจะอยู่กันอย่าง ช่วยเหลือ พึ่งพาอาศัยกัน 2. อิทธิพลของถิ่นที่อยู่อาศัย คนมีเชื้อชาติเดียวกัน พูดภาษาเดียวกัน แต่มีถิ่นที่อยู่อาศัย แตกต่างกัน ก็จะมีอัตลักษณ์ที่แตกต่างกันอีกด้วย เช่น คนไทยที่ตั้งรากฐานอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ก็ จะมีความรู้สึกนึกคิด วิถีการดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของคนในถิ่นที่ตนอาศัยอยู่ 3. อิทธิพลของความเชื่อและศาสนา ศาสนาในโลกของเรามีหลายศาสนา แม้ทุกศาสนาจะ มุ่งสอนให้ศาสนิกชนของตนเป็นคนดี แต่ศาสนาแต่ละศาสนาก็มีความเชื่อ หลักธรรมคำสั่งสอนสำหรับการ ประพฤติปฏิบัติ ตลอดจนพิธีกรรมที่แตกต่างกัน 4. อิทธิพลของภาษา ภาษาถือเป็นสิ่งที่แสดงอัตลักษณ์ของคนในสังคมได้อย่างชัดเจน ประการหนึ่ง เช่น คนไทยใช้ภาษาไทยในการสื่อสาร หากเราได้ยินการพูดคุยสนทนากันด้วยภาษาไทย นั่น ย่อมแสดงให้เห็นว่า คู่สนทนานั้น ๆ เป็นคนไทย ขณะเดียวกัน คนในประเทศอื่น ๆ ก็ใช้ภาษาของตนใน การติดต่อสื่อสาร เป็นอัตลักษณ์ของตนเอง 5.2 ปัญหาของการคิดแบบถือพวกทางสังคม (Sociocentrism) คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่าความคิดฝังในที่ขาดวิจารณญาณที่ตนเองมีอยู่เป็นตัวสร้างอคติและความ เดียดฉันท์ขึ้นในสังคมหรือวัฒนธรรมของตนเอง นักสังคมวิทยาและนักมานุษยวิทยาได้ชี้ให้เห็นว่านี่คือ


58 สภาวะที่กำลังเกิดการกั้นเขตทางวัฒนธรรม ปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้เกิดจากการคิดแบบถือพวกทางสังคม ซึ่งรวมถึง 1. แนวโน้มที่ขาดวิจารณญาณในการยึดถือพวก ถือสังคม วัฒนธรรม ชาติ ศาสนา และถือ เผ่าพันธุ์ของตนว่ามีความเหนือกว่า 2. แนวโน้มที่ขาดวิจารณญาณในการเลือกที่จะยอมรับคำกล่าวถึงพวกตนแต่ในทางที่ดี และ ยอมรับแต่คำกล่าวในทางที่ไม่ดีถึงพวกอื่นที่คิดแตกต่างจากเรา 3. แนวโน้มที่ขาดวิจารณญาณในการรับบรรทัดฐาน (norm) และความเชื่อของกลุ่ม ยอมรับเอกลักษณ์ของกลุ่ม และยอมประพฤติปฏิบัติตนตามกลุ่มโดยปราศจากความนึกคิดว่าถูกต้อง เหมาะสมหรือไม่ 4. แนวโน้มในการทำตามข้อห้ามของกลุ่มอย่างมืดบอด (บ่อยครั้งที่ข้อห้ามเป็นไปโดย ปราศจากกฎเกณฑ์หรือโดยการถูกขู่เข็ญ) 5. ล้มเหลวในการเรียนรู้และนำความนึกคิดของวัฒนธรรมอื่นมาใส่ใจตน (เอาใจเขามาใส่ใจ เรา เพื่อช่วยให้การคิดของตนกว้างขึ้นและลึกขึ้น) 6. ล้มเหลวในการตระหนักว่าสื่อสารมวลชนในทุกวัฒนธรรมเขียนข่าวด้วยมุมมองเดียวของ วัฒนธรรมนั้น ๆ 7. ล้มเหลวในการที่จะมองเห็นว่าการคิดแบบถือพวกทางสังคมของตนเป็นสิ่งขัดขวางหน่วง เหนี่ยวการพัฒนาทางปัญญา การคิดแบบถือพวกทางสังคมนี้ เป็นเครื่องหมายของสังคมที่ขาดวิจารณญาณ การคิดลักษณะนี้จะ ลดลงได้ก็ด้วยการแทนที่ความคิดตนด้วยความคิดแบบข้ามวัฒนธรรมและความคิดที่มีใจเปิดกว้างและ ยุติธรรม ดังนั้นการคิดเชิงวิจารณญาณจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการอยู่ร่วมกันในสังคมที่มีความ หลากหลาย 5.3 การอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม และการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน การที่จะอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมได้นั้น จำเป็นที่จะต้องมีการพึ่งพาซึ่งกันและกัน ยอมรับ เรียนรู้ และทำความเข้าใจในความแตกต่างทางสังคมพหุวัฒนธรรมที่มีอยู่ในสังคม ซึ่งมีวิธีการปฏิบัติตน ดังนี้ 1. เคารพซึ่งกันและกัน การให้ความเคารพซึ่งกันและกันถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการอยู่ ร่วมกันอย่างสันติ เนื่องจากสังคมพหุวัฒนธรรมมีความหลากหลายในด้านต่าง ๆ เราจึงจำเป็นต้องยอมรับ และเคารพในวิถีการดำรงชีวิตของคนในสังคมที่แตกต่างจากเรา วิธีที่ดีที่สุด คือ การศึกษาทำความเข้าใจ รูปแบบทางสังคมที่แตกต่างจากเรา และปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมเหล่านั้น 2. ไม่แสดงกิริยาและวาจาดูหมิ่นผู้อื่น เมื่อต้องสนทนากับคนในสังคมที่มีวัฒนธรรมต่างจาก เรา เราต้องไม่แสดงกิริยาหรือวาจาที่แสดงความรังเกียจ ดูถูก ดูหมิ่น และล้อเลียน ควรแสดงกิริยาและ วาจาที่สุภาพ อ่อนโยน และให้เกียรติกันและกันเสมอ ควรศึกษาและทำความเข้าใจในวัฒนธรรมที่แตกต่าง กันให้ดี 3. แบ่งปันและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็นสิ่งสำคัญในสังคม เรา ควรแบ่งปันและให้ความช่วยเหลือด้วยการมอบหรือบริจาคสิ่งที่เรามีให้แก่ผู้ที่ยังไม่มีหรือผู้ที่ขาดแคลนโดย ที่ไม่ต้องการสิ่งใด ๆ ตอบแทน รวมถึงการให้ความดูแลทั้งทางร่างกายและจิตใจ การป้องกันจากอันตราย ต่าง ๆ และการให้ที่พักพิง


59 6. สันติวิธีและการจัดการความขัดแย้ง ราชบัณฑิตยสถาน (2542, อ้างถึงใน สถาบันดำรงราชานุภาพ, 2551, หน้า 3) ให้ความหมาย สันติวิธี หมายถึง วิธีที่จะก่อให้เกิดความสงบ เช่น เจรจาสงบศึกโดยสันติวิธี พระไพศาล วิสาโล (เรื่องเดียวกัน, 2551) ให้ความหมายของสันติวิธีว่า สันติวิธีมิใช่การยอมจำนน หรืออยู่นิ่งเฉย ปล่อยให้อีกฝ่ายมากระทำโดยไม่ตอบโต้ แท้ที่จริงสันติวิธีคือการตอบโต้อีกแบบหนึ่งโดยไม่ ใช้ความรุนแรง ทั้งนี้ เพื่อหยุดยั้งพฤติกรรมอันไม่ถูกต้องหรือเพื่อปรับเปลี่ยนสถานการณ์ให้เป็นไปในทาง สันติ คณะอนุกรรมการจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธี (เรื่องเดียวกัน, 2551, หน้า 5-6) ให้ความหมาย ของสันติวิธีว่าน่าจะประกอบด้วย 3 แง่มุม ดังนี้ 1) การแก้ปัญหาโดยไม่ใช้วิธีรุนแรง รวมไปถึงการไม่ตอบโต้ความรุนแรงด้วยความรุนแรง 2) การขจัดเงื่อนไขแห่งความรุนแรง และสร้างเงื่อนไขแห่งสันติวิธี เช่น การดูแลมิให้มีการละเมิด สิทธิมนุษยชน การเปิดพื้นที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกป้องชุมชน มีเสรีภาพในการแสดงความ คิดเห็น สามารถเข้าถึงทรัพยากรสาธารณะได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ปลอดพ้นจากความยากไร้ ได้รับ การปฏิเสธอย่างเสมอภาค และศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ ได้รับความเคารพ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือการ ขจัดความรุนแรงเชิงโครงสร้าง 3) ทัศนคติที่เอื้อต่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เช่น ความเอื้ออาทร ความห่วงใย ความใจกว้าง ยอมรับความหลากหลายและเคารพความแตกต่าง การรู้จักให้อภัย ไม่แบ่งเขาแบ่งเรา รวมถึงทัศนะที่ว่า ความรุนแรงไม่ใช่ทางออก จะแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนและได้ผลต้องสันติวิธี มูลนิธิส่งเสริมสันติวิธี ให้ความหมายของสันติวิธีว่า คือวิถีแห่งการดำเนินชีวิต ซึ่งมีรากฐานมาจาก การจัดการปัญหาความขัดแย้งในสัมพันธภาพของมนุษย์ ไม่ว่าในระดับปัจเจกหรือกลุ่มบุคคล เป้าหมาย ของสันติวิธีคือ การใช้ประโยชน์จากขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม และค่านิยมของชุมชน เพื่อเปลี่ยนความ ขัดแย้งนั้นมาสู่สัมพันธภาพที่เอื้อประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ สันติวิธีจึงมีความสำคัญกับการเคารพ ในศักดิ์ศรีของเพื่อนมนุษย์โดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ ศาสนา เพศ หรือ วัย 6.1 รูปแบบของความขัดแย้ง ความขัดแย้งเป็นธรรมชาติของสังคม มักมีพลวัตในตัวเอง และสามารถเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี หรือร้ายได้ ขึ้นอยู่กับคู่ขัดแย้งจะผลักดันให้ไปในทิศทางใด อาจสรุปเป็นด้าน ๆ ดังนี้ 1. ความขัดแย้งด้านความสัมพันธ์ เป็นปัญหาเกี่ยวกับบุคลิกภาพส่วนตัว 2. ความขัดแย้งด้านผลประโยชน์ เป็นปัญหาเกี่ยวกับความจำกัดของทรัพยากร หรือ กระบวนการ เช่น บทบาทของท้องถิ่นในการตัดสินใจ 3. ความขัดแย้งด้านข้อมูล เป็นเรื่องเกี่ยวกับความถูกต้อง และความเชื่อถือได้ของข้อมูลที่มีอยู่ 4. ความขัดแย้งด้านค่านิยม เป็นปัญหาที่มาจากการมีโลกทัศน์ ความเชื่อหรือปรัชญาต่างกัน 5. ความขัดแย้งด้านโครงสร้าง เป็นปัญหาที่มาจากระดับในสังคม หรือปัญหาการกระจาย ของความมั่งคั่งและอำนาจ ซึ่งกรณีพิพาทส่วนใหญ่จะซับซ้อน เกี่ยวข้องกับทุกชนิดของปัญหา 6.2 รูปแบบของสันติวิธี 1. สันติวิธีในการต่อสู้เรียกร้อง (Peacful Demonstrate / Protest) แนวทางในการ ต่อสู้นี้เป็นแนวทางที่ถูกนำมาใช้เมื่อเกิดความไม่พอใจ หรือมีความเห็นไม่สอดคล้องกับผู้ที่มีอำนาจ มีการ


60 ดำเนินการในลักษณะของการประท้วง หรือการเรียกร้อง หรือการต่อสู้โดยการยื่นหนังสือขอเข้าพบ หรือ การชุมนุมกันเพื่อแสดงออกถึงความไม่เห็นด้วย หรือแสดงออกถึงความคิดเห็นที่แตกต่างจากผู้มีอำนาจ โดยสงบ สันติ ไม่มีอาวุธ การต่อสู้ในแนวทางนี้อาจจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กระบวนการเรียกร้องหรือไม่ เชื่อฟังที่ไม่ใช้ความรุนแรงหรือที่เรียกกันว่า “การดื้อแพ่ง” หรือ “อารยะขัดขืน” (Civil Disobedience) ที่กำลังเป็นที่นิยม คำที่ว่าไม่ใช้ความรุนแรงนี้ก็ยังมีข้อถกเถียงว่าอย่างไรคือ “ไม่รุนแรง” หากจะพิจารณาจากผู้ที่ เป็นต้นแบบของการต่อสู้อย่างไม่ใช้ความรุนแรง หรือ “อหิงสา” อย่างเช่น มหาตมะคานธี ซึ่งต่อสู้ เรียกร้องเอกราชให้ประเทศอินเดียพ้นจากการปกครองของอังกฤษ กระบวนการต่อสู้ไม่ว่าจะเป็นการอด ข้าว หรือการประท้วงโดยรูปแบบใด ๆ ของมหาตมะคานธี กระทำโดยไม่ใช้ความรุนแรงทางกาย วาจา และแม้แต่ใจ การประท้วงของมหาตมคานธี จึงต่างจากการประท้วงที่เราเห็น ๆ ในประเทศไทย นอกจากนั้นท่านเองยังกำหนดไว้ในกระบวนการเรียกร้องว่า จะต้องยอมปฏิบัติตามตัวบทกฎหมายที่ อาจจะยังไม่เปลี่ยนแปลง คือ รู้ว่าทำผิดกฎหมายและพร้อมที่จะยอมให้จับไปขัง ไม่ได้ประกาศในการ เรียกร้องใด ๆ ว่า “ต้องไม่เอาผิดข้าพเจ้า และบรรดากลุ่มผู้ชุมนุมประท้วง” แต่อย่างใด 2. สันติวิธีในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง (Peacful Conflict Resolution) สำหรับ แนวทางนี้เป็นแนวทางที่ใช้ในการแก้ปัญหาหลังจากที่ความขัดแย้งหรือข้อพิพาทเกิดขึ้นแล้ว และพยายาม ที่จะยุติความขัดแย้งโดยการใช้แนวทางที่สันติ ซึ่งแนวทางที่เด่นชัดที่สุดได้แก่การเจรจาไกล่เกลี่ยกันเอง ระหว่างคู่พิพาท หรือโดยมีคนกลางซึ่งเป็นบุคคลที่สาม (เป็นบุคคลเพียงคนเดียวหรือหลายคนก็ได้) ช่วยใน กระบวนการเจรจาไกล่เกลี่ย แต่ไม่ได้ทำหน้าที่ตัดสินชี้ขาด หากมีบทบาทเป็นผู้กำกับการเจรจาให้ดำเนิน ไปได้อันจะนำไปสู่ทางออก คือการยุติความขัดแย้ง หรือเพื่อให้ได้ “ข้อตกลงร่วมกัน” ซึ่งอาจเรียกอย่าง หนึ่งว่า “การสร้างสันติ” (Peace Building) 6.3 การจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธี บรรทัดฐานของการจัดการความขัดแย้งต้องยึดมั่น “สันติวิธี” ซึ่งเป็นวิธีเดียวที่เป็นธรรมและสร้าง ความสงบสุขที่ยั่งยืน พื้นฐานทางปรัชญาของสันติวิธีเพื่อใช้ในการจัดวางระบบการจัดการความขัดแย้ง แบ่งเป็น 3 ประการ ได้แก่ 1. กรอบความคิดของสันติวิธี - ไม่มีความเกลียดชัง - เป้าหมายในการใช้สันติวิธีต้องเป็นธรรม - ผู้ใช้ฝ่ายรัฐยอมรับทุกข์เพื่อประโยชน์แห่งความมั่นคงของชาติและความปลอดภัยของ ผู้คนในบ้านเมือง 2. ยุทธศาสตร์สันติวิธี - ฟื้นคืนความไว้วางใจในสังคมไทย - ลดอคติและความเกลียดชัง - สร้างความร่วมมือระหว่างทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง - ส่งเสริมความเข้าใจสันติวิธี 3. มาตรการการจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธี - ป้องกันมิให้ความขัดแย้งกลายเป็นความรุนแรง


61 - จัดการความขัดแย้งด้วยการรักษาประโยชน์ร่วมกัน - แก้ไขสถานการณ์เผชิญหน้าด้วยสันติวิธี สำหรับการจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธีมี 3 วิธีด้วยกัน คือ 1. การป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งกลายเป็นความรุนแรงด้วยความ “โปร่งใส” โดยเน้น กระบวนการมีส่วนร่วมของฝ่ายต่าง ๆ อย่างแท้จริง แนวทางปฏิบัติข้อนี้ประกอบด้วยเกณฑ์เชิงปฏิบัติ 2 ประการ คือ “ความโปร่งใส” หมายถึง การสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกันของคนในชาติ โดยปรับปรุงกลไก การทำงานขององค์กรทุกวงการให้มีความโปร่งใส ซึ่งเป็นเกณฑ์ปฏิบัติเพื่อฟื้นคืนความไว้วางใจใน สังคมไทย “การมีส่วนร่วม” หมายถึง การเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมรับรู้และเสนอความคิดเห็นใน การตัดสินปัญหาสำคัญของประเทศ ไม่ว่าด้วยการแจ้งความเห็น การไต่สวนสาธารณะ การประชาพิจารณ์ การแสดงประชามติ หรืออื่น ๆ นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงการสร้างสันติในใจของทุกคน ได้แก่ การส่งเสริมสันติวัฒนธรรม ขันติธรรม ความผ่อนปรน การลดอคติ การเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และสิทธิมนุษยชน เป็นต้น 2. การจัดการความขัดแย้งที่เกิดขึ้นแล้ว ด้วยการเคารพสิทธิของประชาชนและให้มีการสื่อสาร สองทางระหว่างฝ่ายต่าง ๆ บนพื้นฐานของความเสมอภาค ปราศจากอคติและความเกลียดชัง เพื่อให้การ จัดการความขัดแย้งมีความคืบหน้าอย่างสร้างสรรค์ แนวทางปฏิบัติข้อนี้มีความมุ่งหมายเพื่อให้ความ ขัดแย้งที่เกิดขึ้นพัฒนาไปในทางที่สร้างสรรค์ ด้วยการให้ความสำคัญกับ “การสื่อสารสองทาง” ซึ่งจะ ดำเนินไปบนฐานอำนาจและความสำคัญที่เสมอกัน เพื่อลดอคติและความเกลียดชัง และให้ความสำคัญกับ ผู้คนในสังคมไทยที่มีวัฒนธรรมและความเห็นต่างกันบนฐานคิดที่ว่า ความหลากหลายทางความเห็นและ ความแตกต่างทางวัฒนธรรมเป็นฐานพลังของสังคมไทย “การสื่อสารสองทาง” จึงมีลักษณะที่คู่ขัดแย้ง สามารถมีปฏิสัมพันธ์ในเชิงแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน ทั้งในเรื่องข้อมูล การแสวงหาข้อตกลงร่วมกันที่ เป็นธรรม อาทิ การเจรจาเพื่อหาข้อตกลงร่วม การมีเวทีสื่อสารสร้างความเข้าใจและมีส่วนร่วมระหว่างรัฐ กับประชาชน การมีบุคลากรเจรจาไกล่เกลี่ย ทั้งนี้การสื่อสารสองทางจะแตกต่างและไม่ใช่การ ประชาสัมพันธ์ซึ่งมีลักษณะที่มุ่งให้ข้อมูลในทางเดียว และขาดการมีปฏิสัมพันธ์ในเชิงแลกเปลี่ยน เมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นคู่กรณีมักคิดว่าตนถูกและอีกฝ่ายผิด ในกรณีนี้ความยุติธรรมหมายถึงการ พิสูจน์ว่าใครผิดใครถูกโดยพึ่งศาลยุติธรรมหรือศาลอื่น ๆ หรือพึ่งการไกล่เกลี่ยโดยศาล หรือพึ่ง อนุญาโตตุลาการ หรือพึ่งการไกล่เกลี่ยโดยผู้มีอำนาจที่คู่กรณียอมรับ 3. การจัดการความขัดแย้งที่กำลังจะกลายเป็นความรุนแรง โดยอาศัยบุคคลที่มีทัศนคติต่อคู่ ขัดแย้งอย่างฉันท์มิตร มีความเข้าใจเรื่องสันติวิธีอย่างชัดเจนและมีทักษะในการเผชิญความขัดแย้ง แนวทางปฏิบัติข้อนี้ตระหนักถึงระดับของสถานการณ์ที่จะต้องได้รับการแก้ไขโดยมีการกำกับที่ดี และมี รูปแบบการเผชิญเหตุที่จะไม่ใช้ความรุนแรง รวมถึงนำคู่ขัดแย้งมาสู่การแสวงหาทางออกร่วมกัน นอกจากนี้ การเยียวยาหรือติดตามผลความขัดแย้งก็เป็นเรื่องสำคัญ โดยเยียวยาผู้แพ้ด้วยความใจกว้าง ของผู้ชนะ หรือการเยียวยาซึ่งกันและกัน เพื่อให้เกิดการคืนดี หรือคืนสันติสู่จิตใจ ผลเสียที่เกิดจากความ ขัดแย้งจะได้หมดไปภายหลังการแก้ไขความขัดแย้งแล้ว ตลอดจนปฏิบัติตามข้อตกลงและขจัดเงื่อนไข ความขัดแย้งให้บางเบาหรือหมดไป


62 สันติวิธีจะไม่พยายามค้นหาว่าใครผิดใครถูก หรือใครดีใครไม่ดี แต่จะพยายามหาทางออกจาก ความขัดแย้งสู่ข้อตกลงร่วมกันเป็นหลัก และเมื่อได้จุดประสงค์ร่วมกันแล้ว ขั้นต่อไปก็คือพยายามหา วิธีการสู่การบรรลุจุดประสงค์ร่วมกัน เมื่อตกลงจุดประสงค์ร่วมกันได้แล้วการค้นหาวิธีการมักจะเป็นไปได้ ในที่สุด สันติวิธีจะได้ผลต้องอาศัยเวลาและความอดทน เพราะมักไม่ให้ผลทันทีทันใด เนื่องจากไม่ได้มุ่ง แก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ให้ผลในระยะยาวและยั่งยืนมากกว่าวิธีรุนแรงที่ให้ผลทันใจ แต่ปัญหาก็มิได้หมด ไปและยังคงความรุนแรงอยู่ต่อไป


63 หน่วยที่ 6 การศึกษาชุมชน 1. ปรับทัศนคติสู่ความเข้าใจชุมชน ศึกษาจากเอกสารประกอบการเรียน https://drive.google.com/file/d/1gnFSe0wjG3YYOktLAnGx67p43Pw4Kt4a/view?usp=sharing 2. เครื่องมือศึกษาชุมชน ศึกษาจากเอกสารประกอบการเรียน https://drive.google.com/file/d/1gnFSe0wjG3YYOktLAnGx67p43Pw4Kt4a/view?usp=sharing หรือ https://drive.google.com/file/d/1y9MOcEGCV5KYGoOsgWQaLRjVLIpQ_FTY/view?usp=shari ng 3. การเก็บรวบรวมข้อมูลสมาชิกในครัวเรือนและการช่วยเหลือ/ดูแล การพัฒนาชุมชนท้องถิ่นให้เข้มแข็ง โดยการดำเนินงานที่ผสมผสานกระบวนการใช้ปัญหาและ ความต้องการของพื้นที่เป็นตัวตั้งในการแก้ไขปัญหา การพัฒนาอย่างมีส่วนร่วมของหลายภาคส่วน มีความ จำเป็นที่จะต้องใช้ข้อมูลในการตัดสินใจตามประเด็นปัญหาสำคัญของพื้นที่ ซึ่งจะต้องประกอบไปด้วยชุด ข้อมูลที่มีความหลากหลาย ทั้งนี้ในเบื้องต้นจึงได้นำตัวอย่างแนวทางการเก็บรวบรวมข้อมูลสมาชิกใน ครัวเรือนและการช่วยเหลือ/ดูแล มาให้นักศึกษาได้ศึกษาเป็นแนวทางสำหรับการจัดเก็บข้อมูลด้วยวิธีการ สัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง/สอบถามข้อมูลด้านสุขภาพจากคนในชุมชนเพื่อนำมาใช้วางแผนพัฒนาด้าน สุขภาพของคนในชุมชนโดยมีพื้นที่เป็นตัวตั้ง ตัวอย่างแบบสอบถามข้อมูลสมาชิกในครัวเรือนและการช่วยเหลือ/ดูแล 3.1 ส่วนปกหน้า ดังนี้ ส่วนปกหน้า ประกอบด้วย ข้อมูลเกี่ยวกับครัวเรือนที่ไปทำการสอบถาม ได้แก่ บ้านเลขที่ หมู่ที่ ถนน ตำบล อำเภอ จังหวัด จำนวนสมาชิกในครัวเรือนทั้งหมด และแยกเป็นเพศชาย เพศหญิง ผู้บันทึก ข้อมูล วันที่สอบถาม เวลาที่สอบถาม และผู้ให้ข้อมูล 3.2 ข้อมูลที่เป็นข้อคำถาม ได้แก่ 1) ข้อมูลทั่วไป ได้แก่ คำนำหน้าชื่อ/ชั้นยศ ชื่อ-นามสกุล เพศ อายุ สัญชาติ ศาสนา สถานภาพสมรส การศึกษา ความเกี่ยวข้องกับหัวหน้าครัวเรือน และการพักอาศัย 2) ข้อมูลการประกอบอาชีพ และประเภทความต้องการได้รับการช่วยเหลือ/ดูแล ได้แก่ ลำดับที่ของสมาชิกในครัวเรือน อาชีพหลัก อาชีพเสริม พื้นที่การทำงาน และความต้องการได้รับการ ช่วยเหลือ/ดูแล 3) ข้อมูลพฤติกรรมเสี่ยง ภาวะเสี่ยงจากการทำงาน ปัญหาสุขภาพและการเจ็บป่วย และ ภาวะฉุกเฉินที่ต้องรักษา ได้แก่ ลำดับที่ของสมาชิกในครัวเรือน พฤติกรรมเสี่ยง ภาวะเสี่ยงจากการทำงาน


64 ปัญหาสุขภาพและการเจ็บป่วย (ในระยะ 6 เดือนที่ผ่านมา) และภาวะฉุกเฉินที่ต้องรักษา (ในระยะ 6 เดือนที่ผ่านมา) 4) ข้อมูลการเจ็บป่วยเรื้อรังหรือพิการ การดูแลรักษาเมื่อมีภาวะเจ็บป่วย ปัญหาและความ ต้องการในการดูแลรักษาสุขภาพ และสภาวะการเจ็บป่วยในปัจจุบัน ได้แก่ ลำดับที่ของสมาชิกในครัวเรือน การเจ็บป่วยเรื้อรังหรือพิการ แนวทางการดูแลรักษาเมื่อมีภาวะเจ็บป่วยปัจจุบันหรือเรื้อรัง สถานที่ ให้บริการหรือดูแลสุขภาพในกรณีที่เจ็บป่วยเล็กน้อย ผู้ให้การดูแลเมื่อมีภาวะเจ็บป่วยปัจจุบันหรือเรื้อรัง สิทธิ/สวัสดิการในการรักษา ปัญหาและความต้องการในการดูแลรักษาสุขภาพ สภาวะการเจ็บป่วยใน ปัจจุบัน 5) ข้อมูลผู้ที่ครัวเรือนให้การช่วยเหลือดูแล 4. การประเมินชุมชนและหาทางออก ศึกษาจากเอกสารประกอบการเรียน https://drive.google.com/file/d/1y9MOcEGCV5KYGoOsgWQaLRjVLIpQ_FTY/view?usp=shari ng 5. โครงการแก้ไขปัญหาและพัฒนาชุมชน แนวทางการทำโครงการแก้ไขปัญหาและพัฒนาชุมชน จากการประเมินชุมชนและหาทางออกในหัวข้อที่ 3 ให้นักศึกษาศึกษาโครงการมีส่วนร่วมในการ แก้ไขปัญหาและพัฒนาชุมชน ตามกระบวนการและขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 การระบุปัญหาในชุมชน เป็นขั้นที่มุ่งกระตุ้นให้นักศึกษาเสนอปัญหาที่ตนรับรู้ สนใจและ ต้องการศึกษา และร่วมกันระบุปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชน โดยเปิดโอกาสให้ทุกคนได้มีโอกาสแสดงความ คิดเห็น ขั้นที่ 2 การคัดเลือกปัญหา เป็นขั้นของการคัดเลือกปัญหาที่กลุ่มเห็นว่ามีความสำคัญที่สุดเพียง 1 ปัญหา เพื่อกลุ่มจะได้ร่วมกันแก้ไขปัญหา โดยกลุ่มจะได้ทบทวนเกณฑ์หรือหลักการที่จะนำมาใช้ในการ คัดเลือกปัญหาให้เป็นที่เข้าใจตรงกัน ทุกขั้นตอนของการคัดเลือกปัญหาจะดำเนินการด้วยกระบวนการ ฉันทามติ เปิดโอกาสให้ผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหากันได้อย่าง เสรี ขั้นที่ 3 การเก็บรวบรวมข้อมูล และลงพื้นที่ภาคสนาม เพื่อนำมาพัฒนาเป็นแนวทางแก้ไข ปัญหา และดำเนินการตามปัญหาที่คัดเลือก นักศึกษาควรทบทวนแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้อง การค้นหาข้อมูล เพิ่มเติมเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้น และได้ลงพื้นที่ภาคสนามเพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาในระดับ ความสามารถของนักศึกษา ขั้นที่ 4 การพัฒนาและการจัดทำรายงาน เป็นขั้นของการพัฒนาข้อมูลที่ได้จากการลงพื้นที่ ภาคสนามมาเขียนเป็นรายงานผลการดำเนินงาน ซึ่งอาจจัดทำในรูปบอร์ดนิทรรศการ แฟ้มสะสมผลงาน หรือ information graphic (infographic) ขั้นที่ 5 การนำเสนอผลการดำเนินงาน เป็นการนำเสนอผลการดำเนินงานต่อสาธารณะในที่นี้คือ ชั้นเรียน สถาบันการศึกษา ชุมชนที่เป็นพื้นที่เป้าหมาย หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง


65 ขั้นที่ 6 การสะท้อนประสบการณ์การเรียนรู้เป็นการทบทวนประสบการณ์ความรู้ความเข้าใจ จากการเข้าร่วมกระบวนการสร้างสำนึกพลเมืองทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการดำเนินกิจกรรม รวมไปถึง ความสำเร็จและข้อท้าทายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในกระบวนการที่ผ่านมา เพื่อใช้ปรับปรุงต่อไปในอนาคต อาจ ทำได้ทั้งรูปแบบการสรุปบทเรียน (Wrap up) หรือการถอดบทเรียน (After Action Review: AAR) จากกิจกรรมดังกล่าว จะสะท้อนให้เห็นได้ว่าพลเมืองคือผู้ที่จะเป็นพละกำลังสำคัญให้แก่บ้านเมือง โดยพลเมืองสามารถมีส่วนร่วมได้หลายวิธี ทั้งในการคิด การตัดสินใจ รวมทั้งร่วมดำเนินการและร่วม รับผิดชอบในกิจการของชุมชน ซึ่งกระบวนการสร้างสำนึกพลเมืองนี้จะเป็นการสร้างเสริมความรู้ ทักษะ เจตคติ และการมีส่วนร่วมของภาคพลเมือง ทั้งนี้หากนักศึกษาได้มีโอกาสร่วมทำกิจกรรมที่พัฒนาจิตสำนึก สาธารณะ จะสามารถช่วยให้เกิดการเริ่มต้นการมีส่วนร่วมในสังคม และสร้างสำนึกความเป็นพลเมืองใน ระบอบประชาธิปไตยได้ต่อไป หมายเหตุ* นักศึกษาสามารถดาวน์โหลดเอกสารประกอบการบรรยายการจัดทำโครงการเพื่อแก้ไข ปัญหาและพัฒนาชุมชน รวมทั้งเอกสารแบบฟอร์มข้อเสนอโครงการ และรายงานผลการดำเนินงาน โครงการได้จากงานของชั้นเรียนใน Google Classroom ของรายวิชา


66 บรรณานุกรม เกรียงศักดิ์เจริญวงศ์ศักดิ์. (2547). การคิดแบบนักบริหาร, รายงานสรุปการบรรยายหลักสูตรนายอำเภอ รุ่นที่ 56 วันที่ 13 ธันวาวคม 2547. โรงเรียนนายอำเภอ วิทยาลัยการปกครอง กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย. ขนิษฐา นันทบุตร และคณะ. (2553). คู่มือการจัดเก็บชุดข้อมูลพื้นฐาน 7 ด้านที่แสดงถึงศักยภาพของ ตำบล. กรุงเทพมหานคร: ทีคิวพี. ถวิลวดี บุรีกุล และรัชวดี แสงมหะหมัด. (2555). ความเป็นพลเมืองในประเทศไทย. รายงานวิจัย, สถาบัน พระปกเกล้า. นภาพร แสงนิล. (2561). กลยุทธ์การเสริมสร้างคุณลักษณะความเป็นพลโลกให้กับผู้เรียนโรงเรียน มัธยมศึกษา จังหวัดน่าน. วิทยานิพนธ์หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาผู้นำทางการศึกษา และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์, บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่. ปริญญา เทวานฤมิตรกุล. (2556). การศึกษาเพื่อสร้างพลเมือง (Civic Education). ค้นเมื่อ 20 เมษายน 2563 จาก https://www.learningcitizen.com/articles/62-782.html ประยงค์ อ่อนตา. (ม.ป.ป.). ปัญหาสังคม. ค้นเมื่อ 22 เมษายน 2563 จาก http://human.bsru.ac.th/ e-learning/@PWP%20to%20PDF/57%20Social/57%20Social%20Prayong.pdf พลเมืองดิจิทัล. (ม.ป.ป.). ความเป็นพลเมืองดิจิทัล : พลเมืองแห่งศตรวรรษที่ 21. ค้นเมื่อ 21 เมษายน 2563 จาก https://thaidigizen.com/digital-citizenship/ch1-digital-citizenship/ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์. (2559). รายงานการวิจัยเพื่อจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายการพัฒนาการศึกษา เพื่อสร้างความเป็นพลเมือง. รายงานวิจัย สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. ค้นเมื่อ 20 เมษายน 2563 จาก http://www.thaiedresearch.org/index.php/home/paperview/35 มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย สำนักวิชาบริหารรัฐกิจ. (ม.ป.ป.). รายวิชา GEN1144 การเมืองการ ปกครองของไทย. เชียงราย: มหาวิทยาลัย. ราชกิจจานุเบกษา. (2560). รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย. เล่ม 134 ตอนที่ 40 ก วันที่ 6 เมษายน 2560, หน้า 4-75. ริชาร์ด พอล และลินดา เอลเดอร์, เดชา บุญค้ำ (แปล). (ม.ป.ป.). สมุดนำทางขนาดจิ๋วสู่แนวคิดและ เครื่องมือการคิดเชิงวิจารณญาณ. กรุงเทพมหานคร: มูลนิธิเพื่อการคิดเชิงวิจารณญาณ. เลิศพร อุดมพงษ์. (ม.ป.ป.). การศึกษาเพื่อสร้างความเป็นพลเมือง (Civic/Citizenship Education) ใน การส่งเสริมบทบาทของภาคพลเมืองในการเมืองระบบตัวแทน: แนวทางที่ยังยืนผ่าน ประสบการณ์จากต่างประเทศ. กรุงเทพมหานคร: สถาบันพระปกเกล้า, สำนักวิจัยและพัฒนา. วิชัย วงษ์ใหญ่. (ม.ป.ป.) จิตอาสา. กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, บัณฑิตวิทยาลัย, อัดสำเนา. วิทยาลัยชุมชนสุโขทัย. (2565). ข้อมูลเกี่ยวกับวิทยาลัยชุมชนสุโขทัย. ค้นเมื่อ 30 สิงหาคม 2566 จาก http://sktcc.ac.th/ วิวัฒชัย หล่มศรี และภาณุวัฒน์ภักดีวงศ์. (ม.ป.ป.). ปฏิรูปการเมือง รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนา ความเป็นพลเมือง ตามระบอบประชาธิปไตยของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย. ค้นเมื่อ 21 เมษายน 2563 จาก http://www.fpps.or.th/news.php?detail=n1482863059.news


67 สถาบันพระปกเกล้า, ศูนย์พัฒนาการเมืองภาคพลเมือง. (2559). พลเมืองในระบอบประชาธิปไตย, เอกสารประกอบเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความเป็นพลเมืองและการเมืองภาคพลเมือง. ลำพูน: ผู้แต่ง. สถาบันพระปกเกล้า, สำนักส่งเสริมการเมืองภาคพลพเมือง. (2558). รากฐานประชาธิปไตยเพื่อพลเมือง ไทยที่พึงปรารถนา – จิตสาธารณะ. กรุงเทพมหานคร: ผู้แต่ง. สถาบันวิทยาลัยชุมชน. (ม.ป.ป.). ข้อมูลเกี่ยวกับสถาบันวิทยาลัยชุมชน. ค้นเมื่อ 30 สิงหาคม 2566 จาก http://iccs.ac.th/index.php สถาบันส่งเริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2561). สมรรถนะการอยู่ในสังคมโลก (Global Competence) ใน PISA 2018, ใน ประเด็นจาก PISA ฉบับที่ 26 (กุมภาพันธ์ 2561). สมชาย แสวงการ. (2558). สร้างความเป็นพลเมืองไทยในระบอบประชาธิปไตย. เอกสารวิชาการส่วน บุคคล หลักสูตรหลักนิติธรรมเพื่อประชาธิปไตย รุ่นที่ 3, วิทยาลัยรัฐธรรมนูญ, ศาลรัฐธรรมนูญ. อัดสำเนา. สยามรัฐ. (2561). ความเป็นพลเมือง. ค้นเมื่อ 20 เมษายน 2563 จาก https://siamrath.co.th/n/29845 สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน. ภูมิปัญญาไทย สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ เล่ม 23. ค้นเมื่อ 22 เมษายน 2563 จาก http://saranukromthai.or.th/sub/book/book.php?book= 23&chap=1&page=chap1.htm สุรพล ราชภัณฑารักษ์, สมิหรา จิตตลดากร, และวุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์. (2546). เอกสาร ประกอบการบรรยาย กระบวนวิชา PS 706 สัมมนาเศรษฐกิจและการเมืองไทย. กรุงเทพมหานคร: คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาข้าราชการพลเรือน. (2557). การคิดเชิงกลยุทธ์และการคิดเชิงวิพากษ์เพื่อ ยกระดับการตัดสินใจ. กรุงเทพมหานคร: ผู้แต่ง. สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย, สถาบันดำรงราชานุภาพ. (2551). การจัดการความขัดแย้งด้วย สันติวิธี. กรุงเทพมหานคร: ผู้แต่ง. สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. (2557). ความหมาย ราษฎร ประชาชน พลเมือง. ค้นเมื่อ 20 เมษายน 2563 จาก http://www.royin.go.th/?knowledges= สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. (2559). การเสริมสร้างความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย. กรุงเทพมหานคร: สำนักการพิมพ์, ผู้แต่ง. สำนักนายกรัฐมนตรี, สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. (2565). แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566-2570). กรุงเทพมหานคร: ผู้แต่ง.


Click to View FlipBook Version