The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนวรรณคดีมรดก ม. ุ6 ปี 64

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by yanasireewongkeaw, 2022-06-22 05:30:07

แผนวรรณคดีมรดก ม. ุ6 ปี 64

แผนวรรณคดีมรดก ม. ุ6 ปี 64





คำนำ

ชุดการสอน เรอื่ ง การวิเคราะห์คณุ คา่ วรรณคดีและวรรณกรรม วิชาภาษาไทย
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จัดทาขึ้นเพื่อใช้เป็นส่ือประกอบการเรียนการสอน รายวิชาภาษาไทย
พื้นฐาน รหัสวิชา ท33101 โดยมีวัตถุประสงค์ เพ่ือให้นักเรียนมีความรู้ ความเข้าใจ
เก่ียวกับแนวทางการวิเคราะห์คุณค่าวรรณคดแี ละวรรณกรรมไทย อันเป็นความรพู้ ื้นฐาน
ในการวิเคราะห์คุณค่าวรรณคดีและวรรณกรรมได้อย่างถูกต้อง และนามาประยุกต์ใช้ใน
ชวี ิตจริง

ชุดการสอน ชุดที่ ๔ การวิเคราะห์คุณค่าด้านวรรณศิลป์เล่มนี้ ประกอบด้วย คา
ชแ้ี จง คูม่ ือครู แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบกอ่ นเรียน บตั รเนอ้ื หา บตั รกจิ กรรม บตั ร
แบบฝึกหัด แบบทดสอบหลังเรียน บัตรเฉลยกิจกรรม บัตรเฉลยแบบฝึกหัด บัตรเฉลย
แบบทดสอบกอ่ นเรยี น-หลังเรียน บรรณนานุกรม

การสร้างชุดการสอนครั้งน้ี ผู้จัดทาได้ศึกษาค้นคว้ารูปแบบ การจัดทาจากตารา
เอกสารทางวิชาการต่างๆ ตลอดจนคาแนะนาจากผู้เชี่ยวชาญ ภายในชุดการสอนจัด
เรียงลาดับเนื้อหาจากง่ายไปหายาก ใช้ภาษาชัดเจนเข้าใจง่าย กิจกรรมหลากหลาย และ
สง่ เสริมการคิดวเิ คราะห์แก่ผู้เรยี น

ขอขอบคุณผู้ให้คาปรึกษาแนะนาทุกท่าน ที่ได้กรุณาตรวจสอบความถูกต้องและ
ให้คาแนะนาในการจดั ทา ผจู้ ดั ทาขอขอบพระคณุ ในความกรุณาเปน็ อยา่ งสูงไว้ในโอกาสน้ี
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ชุดการสอนเล่มน้ี จะเป็นประโยชน์ต่อครูผู้สอน และนักเรียนที่จะ
นาไปใชใ้ นการเรยี นการสอน เพื่อได้บรรลุตามเป้าหมายของหลักสตู รตอ่ ไป

วาสนา ชอ้ งทอง

สำรบญั ๓

เรื่อง หน้ำ
คานา ก
สารบัญ ข
คาช้แี จง ๑
คู่มือครู ๒
แผนการจดั การเรียนรู้ ๓
คู่มือนักเรียน ๒๔
แบบทดสอบก่อนเรยี น ๒๖
บตั รเนื้อหาท่ี ๔.๑ ๒9
บัตรกจิ กรรมที่ ๔.๑ ๓๓
บัตรเนอ้ื หาที่ ๔.๒ ๓๕
บัตรกจิ กรรมท่ี ๔.๒ ๔๕
บตั รเนือ้ หาที่ ๔.๓ ๔๗
บตั รกจิ กรรมท่ี ๔.๓ ๕๒
บตั รเน้ือหาท่ี ๔.๔ ๕๔
บัตรกจิ กรรมท่ี ๔.๔ ๕๘
บตั รแบบฝึกหัดท่ี ๔.๑ ๖๐
แบบทดสอบหลงั เรยี น ชดุ ท่ี ๔ ๖๘
บัตรเฉลยแบบทดสอบก่อน-หลังเรียน ๗๒
บรรณานกุ รม ๗๓



คำช้ีแจง

ชดุ การสอน เรอื่ ง การวเิ คราะหค์ ุณคา่ วรรณคดีและวรรณกรรม วิชาภาษาไทย
ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 6 เป็นสือ่ สาหรับใชป้ ระกอบการเรียนการสอนในรายวชิ าพน้ื ฐาน
กลุ่มสาระการเรียนรูภ้ าษาไทย ชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 6 ประกอบดว้ ย หน่วยการเรียนรู้
2 หนว่ ย คอื หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 1 ขนุ ช้างขุนแผน ตอนขุนช้างถวายฎกี า และหนว่ ยการ
เรียนรทู้ ่ี 2 กาพย์เหเ่ รอื ชุดการสอนท้งั หมดมี จานวน 10 ชดุ ดังนี้

หน่วยการเรียนร้ทู ่ี 1 ขนุ ชา้ งขุนแผน ตอน ขนุ ช้างถวายฎีกา
ชุดที่ 1 ประวัติความเป็นมาและเน้ือเรอื่ ง
ชุดท่ี ๒ การอ่านแปลความ ตคี วาม และขยายความ
ชดุ ท่ี ๓ การวิเคราะห์คณุ คา่ ด้านเน้ือหา
ชุดท่ี ๔ การวิเคราะหค์ ณุ ค่าด้านวรรณศิลป์
ชดุ ท่ี ๕ การวเิ คราะห์คุณคา่ ดา้ นสงั คม

หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 2 กาพยเ์ หเ่ รอื
ชุดที่ ๖ ประวตั คิ วามเป็นมาและเน้ือเรื่อง
ชดุ ที่ ๗ การอ่านแปลความ ตีความ และขยายความ
ชดุ ที่ ๘ การวิเคราะห์คุณค่าดา้ นเน้ือหา
ชดุ ที่ ๙ การวเิ คราะห์คณุ คา่ ด้านวรรณศลิ ป์
ชดุ ท่ี 1๐ การวิเคราะห์คุณค่าด้านสังคม

ชดุ กำรสอนเล่มนี้ เปน็ ชดุ ที่ ๔ กำรวิเครำะหค์ ุณค่ำดำ้ นวรรณศลิ ป์
ใช้เวลำในกำรเรยี นกำรสอน รวม 2 ชว่ั โมง



คมู่ ือครู

ชุดท่ี ๔ กำรวเิ ครำะหค์ ณุ คำ่ ด้ำนวรรณศลิ ป์
เวลำ ๒ ช่ัวโมง

คำช้แี จง
๑. ส่วนประกอบของชดุ กำรสอน ชดุ ที่ ๔ ประกอบด้วย

๑.๑ คมู่ ือครูพร้อมแผนการจัดการเรียนรู้
๑.๒ คมู่ อื นักเรียน

๑.๒.๑ แบบทดสอบกอ่ นเรียน
๑.๒.๒ บตั รเนื้อหา
๑.๒.๓ บตั รกิจกรรม
๑.๒.๔ บัตรแบบฝกึ หัด
๑.๒.๕ แบบทดสอบหลังเรยี น
๑.๒.๖ บตั รเฉลย
๑.๓ บรรณานกุ รม
๒. บทบำทของครผู ู้สอน
๒.๑ จัดเตรียมเอกสารให้พรอ้ มตามจานวนนักเรียน
๒.๒ จดั กิจกรรมการเรยี นการสอนเป็นไปตามลาดับขนั้ ตอน
๒.๓ เปน็ ทปี่ รึกษาและให้คาแนะนาแกน่ ักเรียนในขณะท่ที ากิจกรรม
๓. สอ่ื และอุปกรณท์ คี่ รผู สู้ อนตอ้ งเตรยี มล่วงหนำ้
๓.๑ เครอ่ื งคอมพิวเตอร์ เครอ่ื งฉายโปรเจคเตอร์
๓.๒ บัตรคาประพนั ธ์
๔. กำรจดั ชั้นเรยี น
ให้นกั เรยี นศกึ ษาบตั รเนอ้ื หาและปฏบิ ตั กิ ิจกรรมตามท่กี าหนด

แผนกำรจัดกจิ กรรมกำรเรียนรู้ ๖

กลมุ่ สำระกำรเรียนรู้ภำษำไทย รำยวิชำภำษำไทย รหสั วิชำ ท๓๓๑๐๑
ชัน้ มัธยมศึกษำปที ่ี ๖
หนว่ ยกำรเรยี นรู้ที่ ๑ เร่ือง ขุนช้ำงขุนแผน ตอนขนุ ชำ้ งถวำยฎกี ำ เวลำ ๒ ชว่ั โมง

แผนกำรจัดกำรเรียนร้ทู ี่ ๔ กำรพจิ ำรณำคณุ ค่ำทำงดำ้ นวรรณศลิ ป์

๑. มำตรฐำนกำรเรยี นรู้
มาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดงความคิดเหน็ วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอยา่ ง

เหน็ คุณค่าและนามาประยุกต์ใชใ้ นชีวติ จริง
ตวั ชว้ี ดั ท ๕.๑ ม.๔-๖/๓ วิเคราะหแ์ ละประเมนิ คณุ ค่าด้านวรรณศิลป์ของวรรณคดแี ละ

วรรณกรรมในฐานะทเี่ ปน็ มรดกทางวัฒนธรรมของชาติ

๒. สำระสำคัญ/ควำมคดิ รวบยอด
คุณค่าทางด้านวรรณศิลป์เป็นคุณค่าทางด้านการแต่งท่ีผู้ประพันธ์ใช้กลวิธีในการแต่งท่ี

น่าสนใจ รูจ้ ักเลอื กสรรคามาเรียงร้อยให้เกดิ ความงาม ความไพเราะ มคี วามหมายลึกซ้งึ กินใจ ทาให้
ผู้อ่านได้รับความเพลิดเพลิน ได้รับความรู้ ข้อคิด และคติธรรมท่ีเป็นประโยชน์ และนาไปปรับใช้ใน
ชีวติ ประจาวนั ได้ ผู้อ่านควรอ่านอย่างพินิจ พเิ คราะห์ พจิ ารณาคณุ คา่ ของวรรณคดีท่อี า่ น เพื่อให้เกิด
ความรู้และซาบซ้งึ ในความงามของภาษา

๓. จดุ ประสงคก์ ำรเรียนรู้
ดำ้ นควำมรู้ (K)
๔.๑ นกั เรียนสามารถอธิบายแนวทางการพจิ าณาคณุ ค่าทางด้านวรรณศิลปไ์ ด้
๔.๒ นักเรยี นสามารถยกตวั อยา่ งบทประพนั ธ์ที่มคี ณุ ค่าทางดา้ นวรรณศิลป์จากวรรณคดี

เร่ือง ขุนชา้ งขุนแผน ตอนขุนชา้ งถวายฎีกาได้
ดำ้ นทักษะและกระบวนกำร (P)
๔.๓ นกั เรียนสามารถวิเคราะหแ์ ละประเมินคณุ ค่าดา้ นวรรณศลิ ป์ของวรรณคดีเรอื่ ง ขุนชา้ ง

ขุนแผนตอนขุนช้างถวายฎกี าได้
ดำ้ นเจตคตแิ ละคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์(A)
๔.๔ นักเรียนมนี สิ ัยใฝ่เรยี นรู้



๔. สำระกำรเรยี นรู้
๔.๑ แนวทางการพิจารณาคุณค่าทางดา้ นวรรณศิลป์
-การสรรคา
-การใชโ้ วหาร
-โวหารภาพพจน์
-ลีลาการประพันธ์
๔.๒ วรรณคดีเรอ่ื ง ขุนชา้ งขนุ แผน ตอนขนุ ชา้ งถวายฎกี า

๕. สมรรถนะของผู้เรยี น
๕.๑ ความสามารถในการส่ือสาร
๕.๒ ความสามารถในการคิด

๖. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
มุง่ ม่นั ในการทางาน

๗. ช้ินงำน/ภำระงำน
๗.๑ บัตรกิจกรรม 4.1-4.4 การพิจารณาคุณค่าทางดา้ นวรรณศลิ ป์
๗.๒ บตั รแบบฝึกหัดที่ ๔.๑ การวเิ คราะห์คณุ ค่าด้านวรรณศลิ ป์



๘. กำรวัดและประเมนิ ผล

สิ่งท่วี ัด วิธีกำรวัดและ เครอ่ื งมือวัดและ เกณฑก์ ำรวัดและ
ประเมินผล ประเมนิ ผล
ประเมินผล

ด้ำนควำมรู้(K)

-นักเรยี นอธบิ ายแนวทางการ ตรวจแบบทดสอบ แบบทดสอบก่อน ความก้าวหนา้ คะแนน
เรียน-หลังเรยี น กอ่ นเรยี นกบั หลังเรยี น
พจิ าณาคุณค่าทางด้าน

วรรณศลิ ปไ์ ด้

-นกั เรยี นยกตัวอย่าง ประเมนิ บัตรกจิ กรรม บตั รกิจกรรมบัตร คะแนนร้อยละ ๗0 ขึน้ ไป

บทประพนั ธ์ท่มี ีคุณค่าด้าน

วรรณศลิ ป์ได้

ด้ำนทกั ษะ/กระบวนกำร (P) ตรวจแบบฝึกหัด บัตรแบบฝกึ หัดที่ ๔.๑ คะแนนร้อยละ ๗0 ขึน้ ไป

นกั เรยี นวิเคราะหแ์ ละประเมิน

คุณค่าด้านวรรณศลิ ป์ได้ ประเมินการนาเสนอ แบบประเมนิ การ ระดบั คุณภาพ ดี ข้ึนไป
นาเสนอผลงาน
ผลงาน

ดำ้ นเจตคตแิ ละคุณลกั ษณะ

อันพงึ ประสงค์(A) สงั เกตพฤติกรรมการ แบบสังเกตพฤติกรรม ระดับคุณภาพ ดี ขน้ึ ไป
การทางานกล่มุ
-ใฝเ่ รยี นรู้ ทางานกลมุ่

-ความตัง้ ใจในการทางาน

๙. กจิ กรรมกำรเรยี นรู้
(ชั่วโมงท่ี ๑)
ข้นั นำเข้ำส่บู ทเรยี น
๑. ครูแจง้ จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ให้นักเรยี นทราบ
๒. นักเรยี นทาแบบทดสอบกอ่ นเรียน ครูตรวจและแจ้งผลใหน้ ักเรยี นทราบ
3. นักเรยี นอา่ นบทกวีร่วมสมยั “มืองานบนลานขยะ” ของ ศิวกานท์ ปทุมสูติ แล้วร่วมกนั

อภปิ รายแสดงความคดิ เห็นเก่ียวกบั เน้อื เรอื่ งที่อา่ น และคณุ ค่าทไี่ ดจ้ ากบทประพันธ์
ขัน้ ใหค้ วำมรู้
๔. นกั เรียนศึกษาความรู้ จากบตั รเนอื้ หา เรอ่ื ง การวิเคราะห์คณุ ค่าทางดา้ นวรรณศิลป์

โดยใหน้ กั เรยี นแบง่ กลุ่ม ๔ กลุ่ม แตล่ ะกลุ่มเลอื กประธาน และเลขานกุ าร ใหต้ ง้ั ชอ่ื กลุ่มเปน็ ชอื่ ตัว
ละครในเร่ือง ขนุ ชา้ งขนุ แผน และศึกษาในประเดน็ ตอ่ ไปน้ี



กลมุ่ ขุนชา้ ง ศึกษาเรอ่ื ง การสรรคา
กลุ่มขนุ แผน ศึกษาเรอื่ ง การใชโ้ วหาร
กลุ่มวันทอง ศึกษาเร่ือง การใช้ภาพพจน์
กลุ่มพลายงาม ศึกษาเร่อื ง ลีลาการประพนั ธ์
ข้นั ปฏบิ ัติ
6. นักเรยี นแต่ละกลุ่ม รับบตั รกิจกรรม ตามประเด็นที่ศึกษา ระดมความคดิ ร่วมกัน ทา
กจิ กรรมลงในบัตรกิจกรรมทีไ่ ดร้ บั และเตรยี มนาเสนอผลงานกลมุ่ หนา้ ชนั้ เรียนทีละกลุ่มตามลาดับ
จนครบทุกกล่มุ
ขน้ั สรปุ
๗. ครูประเมนิ การนาเสนอผลงานและแจ้งผลใหน้ ักเรียบทราบเพอื่ นาไปปรบั ปรงุ แกไ้ ขใน
ครัง้ ต่อไป
(ชั่วโมงท่ี ๒)
๑. ครทู บทวนความรู้เดิม เร่ืองแนวทางการพจิ าณาคุณค่าทางดา้ นวรรณศิลป์
๒. ปฏิบัตกิ ิจกรรมต่อจากชว่ั โมงที่แล้ว โดยใช้กลุม่ เดิม แตเ่ ปลีย่ นฐานการเรยี นรู้และปฏิบตั ิ
กจิ กรรมจนครบทกุ ฐาน
๓. ครูสงั เกตและประเมินพฤติกรรมการทางานกลุ่มของนกั เรยี นขณะที่นักเรียนทากจิ กรรม
๔. ตัวแทนนักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ รวบรวมบตั รกิจกรรม ทั้งหมดส่งครตู รวจ
๕. ครูและนกั เรยี นร่วมกนั สรุปบทเรียน
๖. นกั เรียนทาแบบฝึกหัดท่ี ๔.๑
๗. ครแู ละนกั เรยี นร่วมกนั ตรวจแบบฝึกหดั และแจ้งผลให้นกั เรียนทราบ
๘. ทาแบบทดสอบหลงั เรียนชดุ ที่ ๔ ครูตรวจและแจ้งผลใหน้ กั เรยี นทราบ

๑๐. สอื่ กำรเรยี นรแู้ ละแหล่งกำรเรียนรู้
๑. หนังสือเรยี นภาษาไทย วรรณคดแี ละวรรณกรรม ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ ๖
๒. บัตรคาประพันธ์ “มอื งานบนลานขยะ”
๓. ชุดการสอน ชุดที่ ๔ การวเิ คราะหค์ ุณคา่ ด้านวรรณศลิ ป์

๑๐

ควำมคดิ เห็นของผู้บรหิ ำรหรอื ผทู้ ไ่ี ด้รับมอบหมำย
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................

ลงช่ือ....................................................................
(............................................................)

๑๑

บนั ทึกผลหลงั กำรสอน

ผลการสอน
๑. ดา้ นความรู้ (K)
................................................................................................................................................
................................................................................................................................................
................................................................................................................................................
๒. ด้านทกั ษะ/กระบวนการ(P)
................................................................................................................................................
................................................................................................................................................
................................................................................................................................................
๓. ด้านเจตคติและคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ (A)
................................................................................................................................................
................................................................................................................................................
................................................................................................................................................

ปัญหา / อปุ สรรค / แนวทางแก้ไข
................................................................................................................................................
................................................................................................................................................
................................................................................................................................................

ขอ้ เสนอแนะ
................................................................................................................................................
................................................................................................................................................
................................................................................................................................................

ลงชอ่ื ...............................................................
(.....................................................)
........../........../.........

๑๒

มอื งำนบนลำนขยะ

ไม้กวาดเกา่ มอื กร้านกรางานกวาด
หยดุ ยืนปานเหง่ือบ้างข้างถนน
ทาหนา้ ทท่ี ีท่ าอยา่ งจาทน
เพราะความจนต้อยตา่ กรรมกร

กม้ หน้างดุ ขุดเงินจากงานง่าย
เก็บความกระดากอายเอาไวก้ ่อน
ภาระมากปากทอ้ งตอ้ งอาทร
ไมอ่ าจเลย่ี งเก่ียงงอนเลอื กงานงาม

ตาหลบตาหลายคู่ความรูส้ กึ
เกรงเขานกึ รังเกียจมองเหยยี ดหยาม
แมเ้ ขาถม่ ทิง้ ตอ่ หน้ากต็ าม
มอิ าจห้ามนา้ ใจเขาไดเ้ ลย

คนท้งิ ท้ิงตามใจได้เกลือ่ นกลาด
คนตามเก็บตามกวาดกก็ วาดเฉย
ระเบียบบทกฎหมายไม่คยุ้ เคย
หากใครเคร่งเขาวา่ เชยจนหนา้ ชา

ถังขยะยนื เงียบอย่างคนเหงา
ไกลมือเขากค็ ล้ายเหมือนไรค้ า่
คาขวญั คาประกาศโทษโฆษณา
ออกกลบหเู กลือ่ นตาใครตรกึ ตรอง

กวาดไปเถอะกวาดไปให้สะอาด
กวาดกันทงั้ ปชี าติกวาดให้คล่อง
ตราบทค่ี นมักง่ายมกี ายกอง
กต็ ้องเพิ่มไมก้ วาดให้เยอะ!1

1 ศวิ กานท์ ปทมุ สูต,ิ บทกวีรว่ มสมัย, พมิ พค์ ร้ังท่ี ๒ (กรุงเทพฯ: อักษรเจรญิ ทศั น์
,๒๕๔๖), ๒๙-๓๐.

๑๓

แบบประเมนิ กำรนำเสนอผลงำน

ช่ือกลุ่มผู้รับกำรประเมนิ .....................................

ลำดบั ที่ รำยกำรประเมนิ คะแนน รวม
๔ ๓ ๒ ๑ คะแนน
๑. ความพรอ้ มในการรายงาน
๒. ความชัดเจนถกู ตอ้ งของการใช้ภาษาในการนาเสนอ
๓. ความถูกต้องสมบูรณ์ของผลงาน
๔. ความสามารถในการตอบข้อซกั ถาม
๕. ความน่าสนใจของกลวิธีในการนาเสนอผลงาน

รวมคะแนน

ข้อเสนอแนะอนื่ ๆ
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................

ลงช่อื ...............................................................ผู้ประเมิน

(........................................................)

เกณฑ์กำรให้คะแนน เกณฑก์ ำรตัดสินระดบั คุณภำพ

๔ คะแนน = ดมี าก ๑๖ - ๒๐ คะแนน = ดีมาก
๓ คะแนน = ดี ๑๑ – ๑๕ คะแนน = ดี
๒ คะแนน = พอใช้ ๖ – ๑๐ คะแนน = พอใช้
๑ คะแนน = ปรบั ปรุง ๑ – ๕ คะแนน = ปรบั ปรงุ

๑๔

แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม
คาชี้แจง : ครูประเมนิ พฤติกรรมของนักเรียน แล้วให้คะแนนลงในช่องที่ตรงกบั พฤติกรรมนกั เรยี น

ที่ ช่อื -สกลุ ควำม ่รวม ืมอในกำรทำงำน รวม สรุปผลการ
ควำม ีมน้ำใจ เอื้อเฟ้ือ ประเมนิ
๑. เ ีสยสละ
๒. ุ่มง ั่มนในกำรทำงำน
๓. กำรแสดงควำม ิคดเห็น
๔. กำรวำงแผนกำรทำงำน
๕.
๖. ๔ ๔ ๔ ๔ ๔ ๒๐ ผ่าน ไมผ่ า่ น
๗.
๘.
๙.
๑๐.
๑๑.
๑๒.
๑๓.
๑๔.

ลงชือ่ ....................................................ผปู้ ระเมิน
(........................................)
........../............/............

๑๕

เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ๔ คะแนน
ปฏบิ ัตหิ รอื แสดงพฤตกิ รรมอยา่ งสม่าเสมอ ให้ ๓ คะแนน
ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ ๒ คะแนน
ปฏบิ ัติหรอื แสดงพฤตกิ รรมบางครงั้ ให้ ๑ คะแนน
ปฏบิ ตั หิ รอื แสดงพฤติกรรมนอ้ ยครั้ง ให้

เกณฑก์ ำรตัดสนิ คุณภำพ

ชว่ งคะแนน ระดบั คุณภาพ

๑๗-๒๐ ดมี าก

๑๓-๑๖ ดี

๙-๑๒ พอใช้

๕-๘ ปรับปรงุ

๑๖

แบบประเมินสมรรถนะสำคัญผเู้ รยี น

สมรรถนะด้ำนที่ 1 ควำมสำมำรถในกำรส่ือสำร

ท่ี ชื่อ – สกลุ ข้อ ขอ้ ข้อ ขอ้ รวม ระดบั
.... .... .... .... คะแนน คณุ ภำพ

1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14

สรปุ ผลการประเมิน
นักเรียนทงั้ หมด จานวน...........คน
ผ่านเกณฑป์ ระเมินสมรรถนะ จานวน...........คน คิดเป็นรอ้ ยละ............

ลงช่ือ.....................................ผ้ปู ระเมิน
(........................................)

๑๗

เกณฑก์ ำรประเมนิ สมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี น

สมรรถนะที่ ๑ ควำมสำมำรถในกำรส่อื สำร
ตัวช้ีวัดท่ี ๑ ใช้ภำษำถำ่ ยทอดควำมรู้ ควำมเขำ้ ใจ ควำมคดิ ควำมรู้สกึ และทศั นะของ
ตนเองดว้ ยกำรพดู และกำรเขียน

พฤตกิ รรมบ่งชี้ ดีเยีย่ ม (๓) ระดบั คณุ ภำพ
ดี (๒) พอใช้ (๑) ปรบั ปรงุ (๐)

๑.พดู ถ่ายทอด พูดถา่ ยทอด พดู ถา่ ยทอด พูดถ่ายทอด พูดถา่ ยทอด

ความรู้ ความ ความรู้ ความ ความรู้ ความ ความรู้ ความ ความรู้ ความ

เข้าใจจากสารท่ี เข้าใจจากสารท่ี เข้าใจจากสารท่ี เขา้ ใจจากสารที่ เขา้ ใจจากสารที่

อ่าน ฟงั หรือดู อ่าน ฟัง หรอื ดู อ่าน ฟัง หรอื ดู อ่าน ฟัง หรือดู อ่าน ฟัง หรือดู

ดว้ ยภาษาของ ด้วยภาษาของ ด้วยภาษาของ ดว้ ยภาษาของ ตามแบบ

ตนเองพร้อม ตนเองพรอ้ ม ตนเองพรอ้ ม ตนเอง

ยกตวั อย่าง ยกตวั อยา่ ง ยกตวั อยา่ ง

ประกอบได้ ประกอบ ประกอบแต่ไม่

สอดคล้องกับ สอดคล้องกบั

เร่อื งทีถ่ า่ ยทอด เรอ่ื งทีถ่ า่ ยทอด

๒.พูดถ่ายทอด พดู ถ่ายทอด พูดถ่ายทอด พูดถา่ ยทอด พดู ถา่ ยทอด

ความคดิ ความคิด ความคดิ ความคิด ความคิด

ความรู้สกึ และ ความรูส้ กึ และ ความร้สู กึ และ ความรูส้ ึก และ ความร้สู กึ และ

ทศั นะของตนเอง ทัศนะของตนเอง ทัศนะของตนเอง ทศั นะของตนเอง ทศั นะของตนเอง

จากสารท่ีอ่าน จากสารทอ่ี ่าน จากสารทอ่ี ่าน จากสารท่ีอ่าน จากสารท่ีอ่าน

ฟัง หรอื ดู ด้วย ฟงั หรอื ดู ดว้ ย ฟงั หรอื ดู ดว้ ย ฟงั หรอื ดู ดว้ ย ฟัง หรือดู ตาม

ภาษาของตนเอง ภาษาของตนเอง ภาษาของตนเอง ภาษาของตนเอง แบบ

พร้อมยกตวั อยา่ ง พร้อมยกตัวอยา่ ง พรอ้ มยกตวั อย่าง และไมม่ ีตัวอยา่ ง

ประกอบได้ ประกอบ ประกอบแตไ่ ม่ ประกอบ

สอดคล้องกับ สอดคลอ้ งกบั

เรื่องที่ถ่ายทอด เร่ืองทถี่ ่ายทอด

๑๘

พฤตกิ รรมบ่งช้ี ดเี ยย่ี ม (๓) ระดบั คณุ ภำพ
ดี (๒) พอใช้ (๑) ปรบั ปรุง (๐)

๓.เขียนถ่ายทอด เขยี นถา่ ยทอด เขยี นถา่ ยทอด เขยี นถา่ ยทอด เขยี นถ่ายทอด

ความรู้ ความ ความรู้ ความ ความรู้ ความ ความรู้ ความ ความรู้ ความ

เขา้ ใจจากสารท่ี เข้าใจจากสารที่ เข้าใจจากสารท่ี เข้าใจจากสารท่ี เขา้ ใจจากสารที่

อ่าน ฟงั หรอื ดู อา่ น ฟัง หรือดู อ่าน ฟงั หรอื ดู อ่าน ฟงั หรอื ดู อ่าน ฟงั หรือดู

ดว้ ยภาษาของ ดว้ ยภาษาของ ดว้ ยภาษาของ ดว้ ยภาษาของ ตามแบบ

ตนเองพรอ้ ม ตนเองพร้อม ตนเองพร้อม ตนเองแตไ่ มม่ ี

ยกตวั อยา่ ง ยกตวั อยา่ ง ยกตวั อยา่ ง ตัวอยา่ งประกอบ

ประกอบได้ ประกอบ ประกอบแตไ่ ม่

สอดคล้องกับ สอดคลอ้ งกบั

เรอ่ื งทถ่ี ่ายทอด เรอ่ื งท่ถี า่ ยทอด

๔.เขียนถา่ ยทอด เขยี นถา่ ยทอด เขียนถา่ ยทอด เขียนถ่ายทอด เขยี นถ่ายทอด

ความคิด ความคิด ความคดิ ความคิด ความคดิ

ความรสู้ ึก และ ความรสู้ กึ และ ความรสู้ ึก และ ความรสู้ ึก และ ความรู้สกึ และ

ทัศนะของตนเอง ทศั นะของตนเอง ทัศนะของตนเอง ทศั นะของตนเอง ทัศนะของตนเอง

จากสารท่อี ่าน จากสารทีอ่ ่าน จากสารท่อี ่าน จากสารท่ีอ่าน จากสารทีอ่ ่าน

ฟัง หรอื ดู ดว้ ย ฟงั หรอื ดู ด้วย ฟัง หรอื ดู ด้วย ฟงั หรอื ดู ด้วย ฟงั หรอื ดู ตาม

ภาษาของตนเอง ภาษาของตนเอง ภาษาของตนเอง ภาษาของตนเอง แบบ

พร้อมยกตัวอยา่ ง พรอ้ มยกตวั อย่าง พร้อมยกตัวอย่าง และไมม่ ตี ัวอยา่ ง

ประกอบได้ ประกอบ ประกอบแต่ไม่ ประกอบ

สอดคล้องกบั สอดคลอ้ งกับ

เรื่องทีถ่ า่ ยทอด เรือ่ งทถ่ี า่ ยทอด

เกณฑก์ ำรประเมิน เกณฑก์ ำรตัดสินระดับคณุ ภำพ

ให้ ๓ คะแนน ปฏิบัตใิ นระดบั ดีเยีย่ ม 10-๑2 ระดับคุณภาพ ดีเย่ียม

ให้ ๒ คะแนน ปฏบิ ัติในระดบั ดี 7-9 ระดับคุณภาพ ดี

ให้ ๑ คะแนน ปฏิบัติในระดับ พอใช้ 4-6 ระดบั คุณภาพ พอใช้

ให้ ๐ คะแนน ปฏบิ ัตใิ นระดบั ปรับปรงุ ๐-3 ระดับคุณภาพ ปรบั ปรงุ

หมำยเหตุ นกั เรียนตอ้ งได้ระดบั พอใช้ ขึน้ ไป ผ่านเกณฑ์

๑๙

แบบประเมนิ สมรรถนะสำคัญผู้เรียน

สมรรถนะด้ำนท่ี ๒ ควำมสำมำรถในกำรคิด

ที่ ชื่อ – สกุล ขอ้ ขอ้ ขอ้ ขอ้ ข้อ รวม ระดบั
.... .... .... .... .... คะแนน คณุ ภำพ

1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14

สรปุ ผลการประเมนิ
นกั เรยี นทง้ั หมด จานวน...........คน
ผ่านเกณฑ์ประเมนิ สมรรถนะ จานวน...........คน คิดเปน็ ร้อยละ............

ลงชื่อ.........................................ผู้ประเมิน
(........................................)

๒๐

เกณฑก์ ารประเมินสมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน

คาชแี้ จง : ใหผ้ ้สู อนสงั เกตพฤตกิ รรมของนักเรยี น แลว้ ขดี  ลงในชอ่ งท่ีตรงกบั ระดบั คะแนน

สมรรถนะดา้ น รายการประเมิน ระดบั คณุ ภาพ มผ.
(0)
ดีเยย่ี ม ดี ผา่ น
(3) (2) (1)

ความสามารถ 1. มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์
ในการคิด 2. มีทักษะในการคิดนอกกรอบอย่างสรา้ งสรรค์
3. สามารถคดิ อย่างมีวจิ ารณญาณ
4. มีความสามารถในการคิดอย่างมีระบบ
5. ตัดสนิ ใจแกป้ ัญหาเกยี่ วกับตนเองได้

สรปุ

เกณฑก์ ารให้คะแนนระดบั คุณภาพ ให้ 3 คะแนน
ให้ 2 คะแนน
ดีเยย่ี ม - พฤตกิ รรมที่ปฏบิ ัตชิ ดั เจนและสมา่ เสมอ ให้ 1 คะแนน
ดี - พฤติกรรมท่ปี ฏบิ ตั ชิ ัดเจนและบ่อยครงั้
ผ่าน - พฤตกิ รรมท่ีปฏบิ ตั ิบางครั้ง ให้ 0 คะแนน
ไม่ผา่ น - ไมเ่ คยปฏบิ ตั ิพฤติกรรม

เกณฑ์การตัดสนิ คุณภาพ

ช่วงคะแนน ระดบั คณุ ภาพ

13 - 15 ดีเย่ยี ม

9 - 12 ดี

1 - 8 พอใช้

0 ไม่ผ่าน

๒๑

แบบประเมินคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์
คำชแ้ี จง : ให้ผูส้ อนสงั เกตพฤตกิ รรมของนกั เรียน แล้วขีด  ลงในชอ่ งท่ีตรงกับระดบั คะแนน

ระดับคุณภำพ

คณุ ลักษณะ รำยกำรประเมนิ ดเี ยย่ี ม ดี ผำ่ น มผ.
อนั พึงประสงค์ (3) (2) (1) (0)

ขอ้ ๔. ใฝ่เรยี นรู้ 1. ตั้งใจเรียน เอาใจใส่และมีความเพียรพยายามใน

การเรยี นรู้

2. สนใจเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ต่าง ๆ ใช้

เวลาวา่ งใหเ้ กดิ ประโยชน์

3. แสวงหาข้อมูลจากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ท้ังภายใน

และภายนอกโรงเรยี น

4. มกี ารจดบนั ทึกความรู้ อย่างเป็นระบบและ สรปุ

เปน็ องคค์ วามรู้

5. แลกเปลี่ยนความรู้ด้วยวิธีการต่าง ๆ และนาไปใช้

ในชวี ิตประจาวนั

สรุป

เกณฑ์กำรให้คะแนนระดบั คุณภำพ ให้ 3 คะแนน
ให้ 2 คะแนน
ดเี ยย่ี ม - พฤตกิ รรมทีป่ ฏิบตั ิชัดเจนและสมา่ เสมอ
ดี - พฤติกรรมทป่ี ฏิบัตชิ ัดเจนและบ่อยครง้ั ให้ 1 คะแนน
ผ่ำน - พฤติกรรมทปี่ ฏิบตั บิ างครงั้ ให้ 0 คะแนน
ไม่ผำ่ น - ไม่เคยปฏบิ ัติพฤตกิ รรม

เกณฑ์กำรตัดสนิ คุณภำพ

ช่วงคะแนน ระดบั คณุ ภำพ

13 - 15 ดีเย่ยี ม

9 - 12 ดี

1 - 8 พอใช้

0 ไมผ่ ่าน

๒๒

ผลกำรประเมนิ คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์

ข้อ ๔ ใฝเ่ รียนรู้

ท่ี ชอ่ื -สกุล ขอ้ ขอ้ ขอ้ ขอ้ ข้อ ข้อ รวม ระดับ

๔.๑ ๔.๒ ๔.๓ ๔.๔ ๔.๕ ..... คณุ

ภำพ

สรปุ ผลกำรประเมิน
นกั เรียนทง้ั หมด จานวน...........คน
ผา่ นเกณฑป์ ระเมนิ คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ จานวน..........คน คิดเป็นร้อยละ..............
หมำยเหตุ นกั เรียนที่ไม่ผา่ นเกณฑ์การประเมินมแี นวทางปรบั ปรุงแก้ไขดังนี้

............................................................................................................................................
............................................................................................................................................
...

ลงชอ่ื .......................................................ผู้ประเมนิ

(...........................................)

๒๓

แบบประเมนิ คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์

คำชี้แจง : ใหผ้ สู้ อนสงั เกตพฤติกรรมของนักเรียน แลว้ ขดี  ลงในชอ่ งท่ีตรงกบั ระดบั คะแนน

ระดบั คณุ ภำพ

คุณลักษณะ รำยกำรประเมนิ ดเี ยีย่ ม ดี ผำ่ น มผ.
อนั พึงประสงค์ (3) (2) (1) (0)

ขอ้ ๖. มุ่งมั่นในกำร 1. มคี วามต้งั ใจ และพยายามในการทางานที่ได้รับ
ทำงำน มอบหมาย

2. มคี วามอดทน และไม่ย่อทอ้ ตอ่ อุปสรรคเพอ่ื ให้
งานสาเรจ็

3. มคี วามรบั ผดิ ชอบในการทางาน

สรปุ

เกณฑก์ ำรใหค้ ะแนนระดบั คุณภำพ ให้ 3 คะแนน
ให้ 2 คะแนน
ดีเยย่ี ม - พฤตกิ รรมท่ปี ฏบิ ัตชิ ัดเจนและสม่าเสมอ
ดี - พฤตกิ รรมทป่ี ฏิบัตชิ ัดเจนและบอ่ ยคร้ัง ให้ 1 คะแนน
ผำ่ น - พฤตกิ รรมที่ปฏบิ ัติบางคร้ัง ให้ 0 คะแนน
ไมผ่ ่ำน - ไม่เคยปฏิบัติพฤติกรรม

เกณฑก์ ำรตัดสินคุณภำพ
ชว่ งคะแนน ระดบั คุณภำพ

8 - 9 ดเี ย่ยี ม
6 - 7 ดี
1 - 5 พอใช้

0 ไมผ่ ่าน

๒๔

ผลกำรประเมนิ คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์

ขอ้ ๖ มงุ่ มนั่ ในกำรทำงำน

ท่ี ช่อื -สกุล ข้อ ข้อ ขอ้ ขอ้ ขอ้ ขอ้ รวม ระดับ

๖.๑ ๖.๒ ๖.๓ ...... ...... ..... คณุ

ภำพ

สรุปผลกำรประเมนิ
นกั เรยี นทัง้ หมด จานวน...........คน
ผา่ นเกณฑ์ประเมินคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ จานวน..........คน คิดเป็นร้อยละ..............
หมำยเหตุ นักเรียนทีไ่ ม่ผา่ นเกณฑ์การประเมินมีแนวทางปรบั ปรุงแกไ้ ขดังน้ี

............................................................................................................................................
............................................................................................................................................
...

ลงชอื่ .......................................................ผู้ประเมนิ

(...........................................)

๒๕

แบบบนั ทกึ คะแนนกอ่ นเรยี น-หลงั เรยี น
ชุดท่ี 4 กำรวเิ ครำะห์คณุ ค่ำดำ้ นวรรณศลิ ป์

ท่ี ชอ่ื -สกุล ทดสอบกอ่ นเรียน ทดสอบหลังเรียน ความกา้ วหน้า

1 10 10
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14

รวมคะแนน
ร้อยละ

ลงช่ือ..................................................ผ้ปู ระเมนิ
(...........................................)

๒๖

แบบบนั ทกึ คะแนนแบบฝกึ หัด/บัตรกจิ กรรม
ชดุ ที่ 4 กำรวเิ ครำะห์คณุ คำ่ ดำ้ นวรรณศลิ ป์

ที่ ชือ่ -สกุล แบบฝกึ หดั ที่ บตั ร รวมคะแนน รอ้ ยละ
4.1 กิจกรรม

10 10 20

1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

13

14

รวม

รอ้ ยละ

ลงชอ่ื ..................................................ผูป้ ระเมนิ
(...........................................)

๒๗

คูม่ อื นักเรยี น

ชดุ ที่ ๔
กำรวเิ ครำะหค์ ณุ ค่ำดำ้ นวรรณศลิ ป์

เวลำ ๒ ช่วั โมง

คำชแ้ี จงสำหรบั นักเรียน
๑. สิ่งทน่ี กั เรยี นจะไดร้ บั มดี ังน้ี

๑.๑ บตั รคาส่ัง
๑.๒ แบบทดสอบกอ่ นเรียน
๑.๓ บัตรเน้อื หาท่ี
๑.๔ บัตรกจิ กรรม
๑.๕ บตั รแบบฝึกหัด
๑.๖ แบบทดสอบหลังเรยี น
๑.๗ บัตรเฉลย
๒. จดุ ประสงค์กำรเรียนรู้
๒.๑ นักเรยี นสามารถอธิบายแนวทางการพจิ าณาคณุ ค่าทางดา้ น
วรรณศลิ ปไ์ ด้
๒.๒ นักเรยี นสามารถยกตัวอย่างบทประพันธ์ที่มีคณุ ค่าทางดา้ น
วรรณศิลปจ์ ากวรรณคดเี ร่ือง ขุนชา้ งขุนแผน ตอนขุนช้างถวายฎีกาได้
๓.๓ นกั เรียนสามารถวิเคราะหแ์ ละประเมนิ คุณคา่ ด้านวรรณศลิ ป์ของ
วรรณคดเี ร่ือง ขนุ ช้างขุนแผนตอนขนุ ช้างถวายฎีกาได้
๓.๔ นักเรยี นมีนิสัยใฝ่เรียนรู้
๓. กจิ กรรมทนี่ กั เรียนตอ้ งปฏบิ ตั ิ
๓.๑ ตรวจสอบเอกสารทไ่ี ดร้ บั ใหค้ รบถ้วน
๓.๒ ปฏบิ ัติตามบตั รคาส่งั

๒๘

บัตรคำสงั่

โปรดอ่ำนบตั รคำสงั่ ก่อนปฏบิ ัติกิจกรรม
๑. นักเรียนควรฟังครชู ้แี จงก่อนลงมือปฏิบัตกิ ิจกรรม
๒. หา้ มนักเรียนขดี เขียนลงในบตั รคาสงั่ บตั รเน้ือหา บตั รแบบทดสอบ
๓. ทาแบบทดสอบกอ่ นเรยี น
๔. นักเรียนอ่านบตั รเน้ือหา แล้วลงมอื ปฏิบัติ ในบตั รกิจกรรม
๕. ทาแบบฝกึ หดั ลงในบัตรแบบฝึกหัด
๖. ทาแบบทดสอบหลงั เรยี น
๗. ตรวจคาตอบจากบัตรเฉลย
๘. เมอื่ ปฏบิ ตั กิ ิจกรรมเรียบร้อยแลว้ ให้ทกุ คนเก็บชุดการสอนสง่ คืนครผู ้สู อน
๙. นักเรียนควรมคี วามซ่ือสตั ยต์ อ่ ตนเองในการทาแบบทดสอบ
10.หากนักเรียนมขี อ้ สงสยั เกีย่ วกับการเรยี นการสอนใหส้ อบถามครผู ูส้ อน

๒๙

แบบทดสอบกอ่ นเรยี น ชดุ ที่ ๔

คำชีแ้ จง ใหน้ กั เรยี นเลอื กข้อที่ถกู ท่สี ดุ เพียงขอ้ เดียวแลว้ ทำเครื่องหมำย X ลงใน
กระดำษคำตอบ

๑. กำรพลิกแพลงภำษำท่ีใชพ้ ดู และเขยี นใหแ้ ปลกออกไปจำกท่ีใช้อย่เู ปน็ ปกตกิ อ่
ให้เกดิ จนิ ตภำพ หมำยถงึ ข้อใด
ก. การสรรคา
ข. การเรยี บเรยี งคา
ค. ลีลาการประพันธ์
ง. การใช้โวหารภาพพจน์

2. “จำกควำมวุ่นวำยวู่วำมสคู่ วำมวำ่ ง จำกควำมมดื มำสวำ่ งอยำ่ งเฉดิ ฉนั
จำกควำมรอ้ นระอุเปน็ เยน็ นริ นั ดร์ ไม่รพู้ ลนั พลิกเหน็ เปน็ ควำมรู้”
คุณคำ่ ดำ้ นวรรณศิลป์ของบทประพนั ธข์ ำ้ งตน้ คือข้อใด

ก. การเล่นเสยี งสมั ผสั
ข. การซ้าคาเนน้ ความหมาย
ค. การเล่นคาหลากความหมาย
ง. การใช้คาท่ีมคี วามหมายขดั แย้งกัน
๓. กำรสมมตสิ ่ิงต่ำงๆให้มกี รยิ ำอำกำร ควำมรู้สกึ เหมอื นมนุษย์ หมำยถงึ ขอ้ ใด
ก. บุคคลวัต
ข. อุปลกั ษณ์
ค. อติพจน์

ง. สทั พจน์

๓๐

๔. “บำงระมำดมำดหมำยสำยสวำท วำ่ สมมำดเหมอื นใจแล้วไมเ่ หมือน

แสนสวำทมำดหมำยมำหลำยเดือน มแี ตเ่ คลื่อนแคลว้ คลำดประหลำดใจ”

ขอ้ ใดไมป่ รำกฏในคำประพนั ธ์ขำ้ งตน้

ก. การซา้ คา

ข. การเล่นเสียงสัมผัส

ค. การเล่นคาพ้องเสียง

ง. การเลน่ คาตรงกันขา้ ม

๕. “ตกว่ำกูหำเปน็ เจ้ำชีวติ ไม่ มงึ ถือใจวำ่ เปน็ เจ้ำทโ่ี รงโขน

เป็นไม่มอี ำญำสทิ ธคิ์ ดิ ดึงโดน เที่ยวทำโจรใจคะนองจองหองครนั

เลย้ี งมงึ ไมไ่ ดอ้ ำ้ ยใจรำ้ ย ชอบแต่เฆ่ยี นสองหวำยตลอดสนั

แลว้ กลบั ควำมถำมขำ้ งวนั ทองพลนั เออเมื่อมนั ฉดุ ครำ่ พำมึงไป”

คำประพนั ธ์ขำ้ งตน้ ใช้ลีลำกำรประพนั ธต์ ำมข้อใด

ก. เสาวรจนี

ข. นารีปราโมทย์

ค. พิโรธวาทัง

ง. สัลลาปงั คพิสัย

๖. “ฉับฉวยชกฉกช้ำ ฉุกฉบั

โถมทบุ ทมุ่ ถองทบั ถบี ทำ้ ว

เตะตตี ่อยตบุ ตบั ตบตกั

หมดหมเู่ มงมอญม้ำว ม้ำนเมื้อหมำงเมนิ ”

คำประพนั ธ์ขำ้ งตน้ ไม่ใช้กลวธิ กี ำรแตง่ ในขอ้ ใด

ก. การเล่นคาซา้

ข. การเลน่ สมั ผัสสระ

ค. การเลน่ สัมผสั อกั ษร

ง. การเลียนเสียงธรรมชาติ

๓๑

๗. “เงียบสตั ว์จตั บุ ททวบิ ำท ดำวดำษเดือนสวำ่ งกระจำ่ งไข

น้ำคำ้ งตกกระเซน็ เยน็ เยอื กใจ สงดั เสยี งคนใครไมพ่ ดู จำ

ไดย้ นิ เสยี งฆ้องยำ่ ประจำวัง ลอยลมล่องดังถงึ เคหำ

คะเนนบั ย่ำยำมไดส้ ำมครำ ดูเวลำปลอดห่วงทกั ทนิ ”

คำประพนั ธ์ข้ำงตน้ ใช้โวหำรใดในกำรประพนั ธ์

ก. อุปมาโวหาร

ข. บรรยายโวหาร

ค. พรรณนาโวหาร

ง. สาธกโวหาร

๘. “ใจน้องมใิ หห้ มองอำรมณห์ มอ่ ม ไม่ตดั ใจใหต้ รอมเสนห่ ำ

ถ้ำตดั รกั หกั ใจแลว้ ไมม่ ำ หม่อมอย่ำว่ำเลยวำ่ ฉันไมค่ นื คดิ ”

คำประพนั ธข์ ำ้ งตน้ ใชล้ ีลำกำรประพนั ธต์ ำมข้อใด

ก. เสาวรจนี

ข. นารปี ราโมทย์

ค. พโิ รธวาทัง

ง. สัลลาปังคพสิ ยั

๙. ข้อใดใชภ้ ำพพจนแ์ ตกตำ่ งจำกข้ออืน่

ก. ลมระเริงลู่หวิวพล้ิวระลอก สัพยอกยอดไม้ไปลว่ิ ลอ่ ง

ข. หางนกยูงระยา้ เร่ยี คลอเคลียน้า แพนดอกฉ่าช้อยช่อวิจติ ร

ค. เห็นคลา้ ยปลาว่ายเฉวยี นฉวัด ระลอกซดั ลาดกระเซ็นขน้ึ เต้นหยอย

ง. เฝา้ แหงนดูดวงแขชะแง้พกั ตร์ เห็นจนั ทร์ชกั รถร่อนเวหาเหนิ

๑๐.“จอกแหนแพเสำสำเภำใหญ่ จะทอดถมเทำ่ ไรไมร่ ู้สกึ

เหมอื นมหำสมทุ รสดุ ซงึ้ ซกึ น้ำลกึ เหลอื จะหยง่ั กระทัง่ ดนิ ”

คำประพนั ธข์ ้ำงตน้ ใชโ้ วหำรภำพพจนช์ นดิ ใด

ก. อปุ ลกั ษณ์

ข. อปุ มา

ค. สัทพจน์

ง. บคุ คลวตั

๓๒

บัตรเนือ้ หำท่ี ๔.๑
คุณคำ่ ดำ้ นวรรณศิลป์

วรรณศิลป์ เป็นองคป์ ระกอบทสี่ าคัญซึ่งชว่ ยสง่ เสรมิ ให้วรรณกรรมมคี ณุ ค่า
นา่ สนใจ คาวา่ “วรรณศิลป์” หมายถึง ลกั ษณะดเี ด่นทางด้านวิธีแตง่ การเลือกใช้ถอ้ ยคา
สานวน ลีลา ประโยค และความเรียงตา่ ง ๆ ทปี่ ระณตี งดงาม มีความหมายลึกซึง้ กนิ ใจ
ทาใหผ้ อู้ า่ นเกิดจินตนาการ ซงึ่ มีแนวทางในการพจิ ารณาดงั นี้
๑. กำรสรรคำ เป็นการเลือกเฟ้นใชค้ าใหเ้ หมาะสม มีเสยี งไพเราะ และความหมายคม
คาย ทาให้ผอู้ า่ นเกดิ จนิ ตนาการ

๑.๑ กำรเลน่ คำ การเลน่ คามหี ลายลกั ษณะ เชน่ เลน่ คาสมั ผัสใน ซึ่งมีทั้งสัมผัส
อักษรและสมั ผัสสระ การเลน่ คาพ้อง การเล่นคาคาเดยี วในตน้ วรรค
ตัวอย่างเช่น

๑. กำรเลน่ สมั ผัสอกั ษร

ลางลิงลิงลอดไม้ ลางลิง
แลลกู ลิงลงชิง ลกู ไม้
ลงิ ลมไล่ลมตงิ ลิงโลด หนีนา
แลลกู ลงิ ลางไหล้ ลอดเล้ียวลางลิง
(ลลิ ติ พระลอ)

๒. กำรเลน่ สมั ผสั สระ

โอ้คลองขวางทางแดนแสนโสทก ดูบนบกกแ็ ต่ล้วนลิงแสม

เลยี บตลิง่ วงิ่ ตามชาวเรอื แพ ทาลอบแลหลอนหลอกตะคอกคน

คาโบราณท่านผกู ถกู ทกุ สิ่ง เขาวา่ ลงิ จองหองทาพองขน

ทาหลกุ หลิกเหลือกลานพาลลุกลน เขาดา่ คนจงึ ว่าลงิ โลนลาพอง

(นริ าศเมอื งแกลง : สุนทรภ)ู่

๓๓

๓. กำรเลน่ คำคำเดยี วในตน้ วรรค

เสยี งสรวลระรน่ี ้ี เสยี งใด

เสียงนุชพีฤ่ าใคร ใคร่รู้

เสียงสรวลเสียงทรามวัย นุชพ่ี มาแม่

เสียงบังอรสมรผู้ อืน่ น้ันฤามี

(กาพย์เห่เรือ : เจา้ ฟ้าธรรมธเิ บศร)

เจ็บรักเจบ็ จากชา้ เจบ็ เยยี ว ยากนา
เจ็บใคร่คนื หลงั เหลยี ว สหู่ ยา้ ว
เจบ็ พระลูกมาเดียว แดนท่าน
เจ็บเร่งเจบ็ องคท์ า้ ว ธิราชร้อนใจถงึ ลูกฤา
(ลลิ ิตพระลอ)

๔. กำรเลน่ คำซำ้ เพอื่ เนน้ เสยี งและควำมหมำย

“ ต้นตุมกำกำฝากฝงู กำลง กำหลงกำมองร้องกำกำ

โนน่ ไม้คำงขา้ งเขาล้วนเหล่าค่าง บ้างเกาคำงห่มคาบา้ งถา่ งขา

ตะลิงปงิ ลิงว่ิงไลล่ งิ ลง ลงิ ถลาโลดไต่ไม้ลางลงิ

หมูไ่ มใ้ หญย่ างยงู สูงระดะ ดูเกะกะเถาวัลยข์ น้ึ พนั กิ่ง

บา้ งกลมเกลียวเก่ยี วกนั ขนั จรงิ จรงิ บ้างเป็นชิงช้าน่าแกว่งไกว”

(ขุนชา้ งขุนแผน)

แกม้ ช้ำช้ำใครต้อง อันแกม้ น้องช้ำเพราะชม
ปลาทุกทกุ ข์อกตรม เหมือนทุกข์พีท่ ีจ่ ากนาง

(กาพยเ์ ห่เรอื : เจา้ ฟ้าธรรมธเิ บศร )

๓๔

สกั วาหน้าหนำวหนำวสดุ หนำว นา้ คา้ งพราวหนำวเยน็ ทกุ เสน้ ขน
หนำวจนสนั่ ซึมซาบเหมือนอาบชล หนำวสกนธ์ยงั ไม่หนำวเท่าฤทัย
หนำวสะทา้ นหนำวสะทอ้ นนอนไมห่ ลบั หนำวนจี้ บั แลว้ แทบโจนทนไมไ่ หว
หนำวอย่างนีไ้ ดส้ มหมายก็คลายไป หนำวอะไรไมต่ ้องบอกแปลออก เอย

(ชติ บุรทตั )

๕. กำรเลน่ คำพ้องเสยี ง คอื การใชค้ าทมี่ ีเสียงเหมอื นกันแต่เขียนตา่ งกัน

ว่าพลางทางชมคณานก โผนผกจับไมอ้ งึ ม่ี

เบญจวรรณจับวลั ย์ชาลี เหมือนวนั พ่ไี กลสามสุดามา

นางนวลจบั นางนวลนอน เหมอื นพ่แี นบนวลสมรจนิ ตะหรา

จากพรากจบั จากจานรรจา เหมือนจากนางสการะวาตี

แขกเตา้ จบั เต่าร้างร้อง เหมอื นรา้ งทอ้ งมาหยารัศมี

นกแกว้ จบั แกว้ พาที เหมอื นแก้วพท่ี ัง้ สามสง่ั ความมา

(อเิ หนา : พระราชนพิ นธ์ในรชั กาลท่ี ๒)

๒. จนิ ตภำพ หมายถงึ คาประพนั ธ์ท่ที าให้ผ้อู ่านคดิ คานึง เกิดจนิ ตนาการ เห็นภาพการ
เคล่อื นไหว ใหแ้ สงสี เสยี ง อารมณ์ ความร้สู ึก ตัวอยา่ งเช่น

๑. กำรมองเหน็ ภำพอยำ่ งชดั เจน

เจ้ารา่ งนอ้ ยนอนน่ิงบนเตียงต่า คมขางามแฉลม้ แจ่มใส

คว้ิ คางบางงอนอ่อนละไม รอยไรเรยี บรบั ระดับดี

ผมเปลอื ยเลอื้ ยประลงจนบ่า งอนปลายเกศาดสู มศรี

ทีน่ อนนอ้ ยนา่ นอนออ่ นดี มีหมอนขา้ งค่ปู ระคองเคยี ง

ขนุ ชา้ งขุนแผน : พระราชนิพนธ์ในรัชกาลท่ี ๒

๓๕

๒. บรรยำยให้เหน็ ทง้ั ภำพและเสยี ง

ไผซ่ อออ้ เอียดเบยี ดออด ลมลอดไลเ่ ลย้ี วเรียวไผ่

ออดแอดแอดออดยอดไกว แพใบไลน้ า้ ลาคลอง

(แพใบไผ่ : เนาวรัตน์ พงษ์ไพบลู ย์)

เปรย้ี งเปรย้ี งดังเสยี งฟา้ ร้อง กึกกอ้ งทั่วทศทศิ า

ตอ้ งอกทศกณั ฐอ์ สุรา ตกจากรถาอลงกรณ์

(รามเกยี รติ์)

วังเอย๋ วังเวง หงา่ งเหงง่ ย่าค่าระฆงั ขาน

ฝงู ววั ควายฝา้ ยลาทวิ ากาล คอ่ ยค่อยผา่ นท้องทุ่งมงุ่ ถนิ่ ตน

ชาวนาเหน่ือยออ่ นต่างจรกลบั ตะวันลับอบั แสงทุกแห่งหน

ทง้ิ ทงุ่ ใหม้ ืดมวั ทั่วมณฑล และท้ิงตนตูเปล่ียวอยเู่ ดยี วดาย

(กลอนดอกสร้อยราพงึ ในปา่ ชา้ : พระยาอปุ กติ ศลิ ปสาร)

๓. บรรยำยถงึ บรรยำกำศ

เพชรน้าค้างคา้ งหล่นบนพรมหญา้ เย็นหยาดฟ้ามาฝนั หลงวันใหม่

เคลา้ เคลยี หยอกดอกหญา้ อยา่ งอาลัย เม่อื แฉกดาวใบใผไ่ หวตะวัน

(วารีดุรยิ างค์ : เนาวรัตน์ พงษไ์ พบลู ย์)

๓๖

บัตรกจิ กรรมที่ ๔.๑

คำช้แี จง ใหน้ กั เรยี นอ่ำนเร่อื งขุนชำ้ งขนุ แผนตอน ขุนช้ำงถวำยฎกี ำ แล้วยกตวั อย่ำง
บทประพนั ธท์ มี่ คี ณุ คำ่ ทำงด้ำนวรรณศลิ ป์ ตำมประเดน็ ตอ่ ไปนี้

๑.กำรสรรคำ

กำรเลน่ สมั ผัสสระ/สัมผัสอกั ษร .....................................................................

.....................................................................
.....................................................................
...................................................................

กำรเลน่ คำซ้ำ ...................................................................

.....................................................................
.....................................................................
.....................................................................

กำรใชค้ ำใหเ้ กดิ จนิ ตภำพ .................................................................

.....................................................................
.....................................................................
...................................................................

๓๗

บตั รเฉลยกจิ กรรมท่ี ๔.๑

คำชแ้ี จง ใหน้ กั เรยี นอ่ำนเรอ่ื งขุนช้ำงขนุ แผนตอน ขนุ ชำ้ งถวำยฎกี ำ แล้วยกตัวอยำ่ ง
บทประพนั ธท์ ม่ี คี ณุ ค่ำทำงดำ้ นวรรณศลิ ป์ ตำมประเดน็ ตอ่ ไปนี้

๑.กำรสรรคำ

กำรเลน่ สมั ผัสสระ/สมั ผสั อกั ษร ครน้ั เวลาดึกกาดัดสงัดเงียบ

ใบไม้แหง้ แกรง่ เกรียบระรบุ รอ่ น
พระพายโชยเสาวรสขจายขจร
พระจนั ทรแจ่มแจง้ กระจ่างดวง

กำรเลน่ คำซำ้ แสนแคน้ ดว้ ยมารดายังปรานี

ให้ไปขอชีวีขนุ ช้างไว้
แคน้ แม่จาจะแก้ให้หายแคน้
ไมท่ ดแทนไอ้ขุนช้างบา้ งไมไ่ ด้

กำรใช้คำใหเ้ กดิ จนิ ตภำพ พลายชุมพลกอดก้นทองประศรี
กมู ใิ ชช่ ้างขดี่ อกลูกหลาน

ลุกข้นึ โขยง่ โก้งโคง้ คลาน
ซมซานโฮกฮากอา้ ปากไป

(อยใู่ นดุลยพินิจของครผู ู้สอน)

๓๘

บัตรเน้ือหำท่ี ๔.๒
โวหำรภำพพจน์

ภาพพจน์ (Figure of Speech) หมายถงึ สานวนภาษารูปแบบหนึ่งเกดิ จากการ
เรียบเรียงถ้อยคาดว้ ยวิธีการต่างๆให้ผิดแผกไปจากการเรียงลาดับคาหรอื ความหมายของ
คาตามปกติ ไมก่ ล่าวอย่างตรงไปตรงมา เพื่อต้องการใหผ้ ูอ้ ่านเกิดภาพ มีสว่ นร่วมในการ
คิด มคี วามหมายพเิ ศษ เข้าใจ และรสู้ ึกอยา่ งลกึ ซงึ้ ตามผ้แู ต่ง

๑. อปุ มา ( Simile) คือ การเปรียบเทยี บว่าสิง่ หนงึ่ เหมือนกบั อกี สงิ่ หน่งึ โดยใชค้ าว่า
เหมอื น เปรียบ ดัง ดจุ ดจุ ดั่ง ประดุจ ประหนึ่งละม้าย เสมอ ปาน เพียง ราว เทยี บ เทียม
เฉก ปนู ปานเลห่ ์ กล ต่าง ฯลฯ ตวั อยา่ ง เช่น

สงู ระหงทรงเพรียวเรียวรูด งามละมา้ ยคล้ายอฐู กะหลาป๋า

พศิ แตห่ ัวตลอดเทา้ ขาวแตต่ า ท้ังสองแก้มกลั ยาดังลกู ยอ

คิว้ กง่ เหมือนกงเขาดดี ฝ้าย จมูกละม้ายคลา้ ยพร้าขอ

หูกลวงดวงพักตร์หักงอ ลาคอโตตนั ส้ันกลม

( ระเด่นลนั ได : พระมหามนตรี ( ทรัพย)์

ในบทกลอนข้างต้นน้ีเปน็ การนาเอาลักษณะของอวัยวะหรือรูปร่างของคนมาเปรยี บกับ
ลักษณะของส่ิงท่ีดูเหมือน เชน่ แก้มเปน็ ปุม่ ปมเหมอื นกบั ผิวลูกยอ จมูกทด่ี งู องมุ้ ท่ปี ลาย
จมกู เหมือนกบั ตะขอ เปน็ ต้น
อุปมาไม่ได้มแี ต่ในภาษากาพย์กลอนเท่าน้นั ในร้อยแก้วกม็ อี ปุ มาเช่นกนั ตัวอย่างเชน่

“… ขา้ พเจา้ รบี เดินดมุ่ ๆไมเ่ หลียวหลังผ่านไปในระวางละแวกบา้ นมองดขู ้างหน้า
ในเวลาฟ้าขาวจวนจะสว่างเหน็ ถนนหนทางนอกเมืองดวู า้ เหว่ทอดยาวยดื ไปไกล
ลบิ ลับดูประหนงึ่ ว่ำจะไม่มเี ขตสุดลงไปฉะนน้ั …”
( กามนติ – เสฐียรโกเศศและนาคะประทีป)

๓๙

๒. อปุ ลกั ษณ์ (Metaphor) ภาพพจนท์ ่ีนาเอาสิ่งต่างกนั ๒ ส่ิงหรอื มากกวา่ มาปรียบเทยี บ
ในคณุ ลกั ษณะทรี่ ว่ มกนั โดยตรงไมต่ ้องมคี าเชอื่ มโยง บอกได้เลยว่าคืออะไรเปน็ อะไรตาม
ลักษณะเด่นทต่ี ้องการเปรียบ กวแี ละนักเขียนนยิ มใชอ้ ปุ ลกั ษณ์ในวรรณกรรมทแี่ ต่งพราะ
ได้ความกะทดั รดั แสดงความเฉียบ แหลมในการหาจดุ เหมอื นที่บง่ บอกถงึ ประสบการณ์
และทศั นคตขิ องผูแ้ ต่งคาเชอื่ มที่ใช้ในอปุ ลักษณ์มี เปน็ และ คอื

ตัวอย่างเช่น

มนั ก็เปน็ ช้างงาอนั กล้าหาญ เราก็เปน็ ช้างสารอนั สูงใหญ่
จะอยปู่ า่ เดยี วกันน้ันฉนั ใด นานไปก็จะยบั อปั มาน

( ขุนช้างขนุ แผน)

ในบทกลอนนี้เป็นการเปรียบเทียบระหวา่ งหม่นื หาญกบั ขนุ แผนโดยเปรยี บ
ขนุ แผนเป็นช้างที่กลา้ หาญ หมืน่ หาญกเ็ ป็นช้างทด่ี ใู หญ่โตจะอยูด่ ว้ ยกนั ได้อยา่ งไร

“... เออหนอ! ถา้ เรามีนาวาทิพย์ทาด้วยมกุ ดา มคี วามปรารถนาเปน็ ใบ
มีความอาเภอใจเปน็ หางเสอื ได้แลน่ เรอื ลอยละลอ่ งไปในแมน่ ้านัน้ ขนึ้ ไปถงึ ต้นน้า …”

( กามนิต : เสฐยี รโกเศศและนาคะประทีป)

ธรณินปราณีแกเ่ รานกั พรอ้ มจะให้ลูกรักไดพ้ ักผ่อน
ใจแผน่ ดนิ คอื มารดาผ้อู าทร ใหล้ ูกหนุนตักนอนไปจนตาย

(แผ่นดินคือมารดา : ไพวรนิ ทร์ ขาวงาม)

๔๐

๓. บคุ คลวตั (Personification) บคุ ลำธษิ ฐำน หรือบคุ คลสมมตุ ิ คอื ภาพพจน์การ
สมมุติสง่ิ ไมม่ ชี ีวิต หรอื มชี วี ติ แตไ่ ม่ใชค่ น ความคดิ นามธรรม หรอื สตั ว์ ใหม้ ีสติปัญญา
อารมณ์ หรือกริ ิยาอาการเหมอื นคน ตวั อยา่ งเชน่

ลมระเรงิ ลูห่ วิวพลวิ้ ระลอก สัพยอกยอดไมไ้ ปลว่ิ ลอ่ ง
แล้วใบไมก้ ไ็ หวส่ายขงึ ขา่ ยกรอง ทอแสงทองทอดประทับซับนา้ คา้ ง

(วารีดรุ ยิ างค์ : เนาวรัตน์ พงษไ์ พบลู ย์)

“ลมหนาวเริ่มล่องมาจากฟ้าแลว้ พรมจบู แผว้ เจ้าพระยาโรยฝ้าฝัน

คล่ืนคลีเ่ กลยี วแก้วม้วนกับนวลจนั ทร์ กระซบิ สนั่ ซ่านกระเซน็ เปน็ ลานา

( ลมหนาว : เนาวรัตน์ พงษ์ไพบลู ย)์

ในบทนเี้ ปน็ การนาเสนอของกวีที่ให้ลมหนาวมาทาอาการจูบลาน้าเจา้ พระยาคล่นื กระซิบ
และส่นั จนเกิดเปน็ เพลงลานา

สีแดงส้มพรมแต้มตดิ แก้มฟา้ เมฆฟอ้ นรา่ กวกั มอื ปรอื เนตรหวาน

ตะวันพร้ิมย้ิมลาทิวากาล สนสะท้ำนลมไล้ใจรัญจวน

(เพราะขอบฟา้ กว้าง : วทิ ยา อสิ ราตชิ าติ)

“... คาฝรั่งมีอยวู่ ่า “ เงินพดู ได้ ” แต่ที่จรงิ มันพูดเม่ือเจา้ ของเปน็ คนปากโป้งและถ้า
เชน่ น้ันมนั จะพูดอะไรออกมาแต่ละคาก็ล้วนแตจ่ ะบาดหคู นท้ังนัน้ ส่วนความจน
แร้นแค้นนน้ั ก็พดู ได้ แต่มันจะพดู ว่ากระไรไมม่ ใี ครอยากฟัง... ”

( จดหมายจางวางหรา่ – น.ม.ส.)

๔๑

๔. อติพจน์ อธพิ จน์ ( Hyperbole) คอื การเปรียบเทียบโดยกลา่ วเกินจริง หรอื ผิดจาก
ความจรงิ ดว้ ยเจตนาเน้นข้อความทก่ี ล่าวน้นั ให้มนี า้ หนักย่ิงขึ้นเพ่ือให้เกดิ ความรู้สกึ
เพม่ิ ข้ึน แตอ่ ยา่ งไรก็ตามก็มเี ค้าแหง่ ความจริงเจือปนอยูบ่ า้ งไมใ่ ชเ่ รอื่ งทกี่ ุข้นึ หลอกลวง
ตวั อยา่ งเช่น

เรียมรา่ นา้ เนตรถว้ ม ถึงพรหม

พาหมู่สัตวจ์ ่อมจม ชีพม้วย

พระสุเมรเปื่อยเปน็ ตม ทบท่าว ลงนา

หากอกนิษฐ์พรหมช่วย พี่ไว้จึ่งคง

(โคลงเบด็ เตล็ด : ศรปี ราชญ)์

รถเอยรถที่นั่ง บษุ บกบลั ลังกต์ ้งั ตระหงา่ น
กว้างยาวใหญเ่ ทา่ เขาจักรวาล ยอดเยี่ยมเทยี มวมิ านเมอื งแมน
ดมุ วงกงหันเปน็ ควันคว้าง เทียมสิงห์ว่ิงวางขา้ งละแสน
สารถีขขี่ ับเข้าดงแดน พ้นื แผน่ ดินกระเดน็ ไปเป็นจุณ
นทตี ีฟองนองระลอก คลน่ื กระฉอกกระฉ่อนชลขน้ ขนุ่
เขาพระเมรเุ อนเอียงอ่อนละมนุ อานนท์หนนุ ดินดานสะทา้ นสะเทอื น
ทวยหาญโห่รอ้ งกอ้ งกมั ปนาท สธุ าวาสไหวหว่ันล่ันเลือ่ น
บดบังสรุ ิยันตะวันเดอื น คลาดเคลอ่ื นจตุรงคต์ รงมา
( รามเกยี รต์ิ : รชั กาลท่ี ๒)

บททกี่ ล่าวมานถี้ า้ พจิ ารณาตามหลกั ความเป็นจริงแลว้ จะหาความจรงิ ไม่ไดเ้ ลย
เพราะจะไม่มีรถทไ่ี หนจะใช้สิงห์เทยี มไดถ้ งึ ๑ แสนตวั หากเทยี มได้สนามรบกค็ งใหญ่ กวา่
สนามหลวงเป็นสบิ เท่าแมแ้ ตน่ า้ ในมหาสมุทรก็คงจะขุ่นไม่ไดห้ ากไมม่ คี ลนื่ ยักษเ์ กดิ ขึ้น
แบบสึนามิดงั นัน้ บทกลอนท่ีกล่าวมาจึงอดุ มไปดว้ ยอติพจน์เปน็ อย่างยิง่

๔๒

๕. ปฏิทรรศน์ ปฏิพำกย์ หรอื ปฏพิ จน์ (Paradox) คือ การใช้โวหารบอกความตรงข้าม
ภาพพจน์ท่ีใช้คากล่าวที่มองอย่างผิวเผินแล้วจะขัดกันเอง หรือไม่น่าจะเป็นไปได้ด้วย
เพราะขัดแย้งกันแต่ถ้าพิจารณาให้ดีจะเป็นคากล่าวที่มีความหมายลึกซ้ึงและเป็นไปได้
ตัวอยา่ งเชน่

ศัตรูคอื ยากาลัง เลวบรสิ ทุ ธิ์ บาปบริสทุ ธิ์ สวยเป็นบ้า
สวยอยา่ งร้ายกาจ สนุกฉิบหาย สวรรคบ์ นดนิ ย่งิ รีบยง่ิ ชา้
นา้ รอ้ นปลาเป็น น้าเยน็ ปลาตาย เสยี น้อยเสียยาก เสียมากเสยี ง่าย
รกั ยาวให้บ่นั รกั สนั้ ให้ต่อ แพเ้ ปน็ พระ ชนะเปน็ มาร
มีความเคลอื่ นไหวในความหยดุ นงิ่

แทบฝง่ั ธารทเ่ี ราเฝ้าฝันถึง เสยี งนา้ ซ่ึงกระซิบสาดปราศจากเสยี ง
จกั รวาลวุ่นวายไรส้ าเนยี ง โลกนีเ้ พยี งแผน่ ภพสงบเย็น
(วารีดรุ ยิ างค์ : เนาวรัตน์ พงษไ์ พบูลย์)

เธอตำยเพอื่ จะปลกุ ให้คนต่นื เธอตายเพือ่ ผอู้ ื่นนับหมน่ื แสน
เธอเปน็ ดนิ กอ้ นเดียวในดนิ แดน แตจ่ ะหนักและจะแนน่ เตม็ แผน่ ดนิ

(กระทุม่ แบน : เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์)

ในบทประพันธ์น้ี กล่าวถึงหญิงสาวผู้ใช้แรงงานในโรงงานแห่งหน่ึง ท่ีอาเภอ
กระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร ถูกทาร้ายถึงแก่ชีวิต ในครั้งท่ีประท้วงต่อสู้กับนายทุน
ในยุคก่อนปีพุทธศักราช 2514 ซึ่งเป็นยุคประชาธิปไตยเบ่งบานของเมืองไทย กวีได้
กลา่ ววา่ การตายของชนผใู้ ชแ้ รงงานนเี้ ป็นการตายท่มี คี ณุ ค่า อาจปลุกจิตสานึกของผคู้ นใน
สงั คมไดแ้ ละกลา่ วเปรยี บหญิงผู้ใชแ้ รงงานนั้นเปน็ ดินทีแ่ มจ้ ะเปน็ เพยี งดินก้อนเดียว แต่ดิน
ก้อนน้ี "หนักและแน่นเต็มแผ่นดิน" การกล่าวว่า เธอตายเพ่ือจะปลุกให้คนต่ืน และ ดิน
กอ้ นเดียวท่ีหนกั แนน่ เต็มแผน่ ดนิ เปน็ ปฏิพากย์

๔๓

๖. สัญลักษณ์ (Symbol) ภาพพจน์ที่ใช้ส่ิงมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตมาเปรียบเทียบกับส่ิงที่
ต้องการเปรียบดว้ ยคณุ สมบตั ริ ว่ มกนั บางประการ สงิ่ ทนี่ ามานนั้ ตอ้ งเกดิ การตีความ
และเข้าใจกันในวงกว้างและเป็นที่ยอมรับกัน สัญลักษณ์ในบางครั้งอาจจะเป็นสิ่งท่ี
กาหนดขนึ้ เองเพ่อื จดุ ประสงคข์ องนักประพันธ์กไ็ ด้ ตวั อย่างเชน่

“อย่าเอ้อื มเด็ดดอกฟ้ำ มาถนอม

สงู สุดมอื มักตรอม อกไข้

เดด็ แตด่ อกพยอม ยามยาก ชมนา

สูงกส็ อยดว้ ยไม้ อาจเออ้ื มเอาถึง”

( โคลงโลกนิติ : สมเด็จกรมพระยาเดชาดศิ ร)

โคลงบทนี้มีความหมายเป็นสองนัย ความหมายแรกอาจจะเป็นการสอนผู้ชายว่า
อย่าหมายเป็นเจา้ ของผหู้ ญิงที่มีศักด์สิ ูงกว่า โดยใชส้ ญั ลักษณ์ ดอกฟา้ แทนหญิงอนั สูงศักด์ิ
หรืออีกความหมายหน่ึง เป็นการสอนว่าอย่าทะเยอทะยานเกินกว่าวิสัยของตนที่จะ
สามารถทาได้

“เมฆสีดำแตม้ ฟ้าเวลานี้ มันจะมวี นั จางร้างฟ้าไหม
เราอยากเห็นรุง้ ทองของฟา้ ไทย ผอ่ งอาไพกระจ่างทาบกลางฟ้า”

กลอนบทนีใ้ ช้คาว่า เมฆสีดาเปน็ สญั ลกั ษณ์แทนความทุกข์ ความชวั่ อทิ ธพิ ล การ
แกง่ แยง่ ชงิ ดีชงิ เด่นกนั และใช้คาว่า รงุ้ ทองเปน็ สญั ลกั ษณแ์ ทน ความดี

สัญลักษณ์เป็นภาพพจน์ท่ีต้องการการตีความหมาย สัญลักษณ์จึงเป็นความยาก
ของผู้ท่ีไม่มคี วามชานาญในการวิจารณ์ อีกทั้งการเปน็ สัญลักษณย์ งั เปน็ สงิ่ ที่กว้างในเชิง
ความหมายจึงต้องคิดอย่างระมัดระวัง

๔๔

๗. นำมนยั ( Metonymy) ภาพพจน์ทใ่ี ชค้ าหรอื วลบี ง่ บอกลักษณห์ รอื คุณสมบตั ขิ องส่ิง
หนึง่ สิ่งใดมาแสดงความหมายแทนสง่ิ ของท่มี ลี กั ษณะเดน่ หรอื ส่ิงของทม่ี ีสัมพันธภาพ
ใกลช้ ดิ กับสง่ิ ที่แทน ในความหมายเปน็ สากล นามนัยอาจจะคล้ายกับสญั ลักษณแ์ ตต่ า่ งกัน
ท่นี ามนัยจะแสดงความหมายทตี่ รงตัวและชัดเจนกวา่ เชน่

เก้าอี้ แทนตาแหน่งหนา้ ทข่ี องผู้บรหิ าร
มงกฎุ เปน็ เคร่ืองทรงสูงสุดของกษตั ริย์ หมายถงึ ราชสมบัติ

...วา่ นครรามินทร์ ผลัดแผ่นดนิ เปล่ยี นราช เยยี ววิวาทชิงฉตั ร
(ลลิ ิตตะเลงพ่าย)

ฉตั รเปน็ ช่อื เครื่องสูงอย่างหน่ึงท่ีสาคัญยิ่งสาหรบั พระมหากษัตรยิ ์ แสดงความเป็นกษตั รยิ ์
ในทนี่ ี้ กวใี ช้ ฉัตร ให้หมายถึงองค์พระมหากษัตรยิ ์ หรอื ความเปน็ กษตั รยิ ์

ยุงร่ำนมนั กนิ มาหลายวัน อุตสา่ ห์ใหน้ อ้ งนั้นไดข้ ม่ี า
ถา้ แพล้ งคงปรบั ทับทวี เลือดเนอื้ เท่าน้เี ปน็ เงนิ ทอง
ขดุ เผอื กมนั สู่กันมาตามจน พกั รอ้ นผ่อนปรนมาในป่า

(เสภาเร่อื งขุนช้างขนุ แผน)

ยุงร่ำน เปน็ นามนัย แทนสตั วท์ ีก่ นิ เลือดเปน็ อาหาร
เลอื ดเน้ือ เปน็ นามนยั แทนชวี ิต
เผอื กมนั เป็นนามนัย แทนอาหารทหี่ าไดต้ ามป่าตามเขา

หมายว่าจะมอบ เศวตฉัตร สบื วงศ์จกั รพรรดนิ าถา
( รามเกียรติ์ : รชั กาลท่ี ๑)

เศวตฉตั ร เป็นนามนัย หมายถึง ราชสมบัติ

๔๕

“เก้ำอ้ีนายกสมาคมกาลังคลอนแคลน”
“เกา้ อ้ี” หมายถึง ตาแหน่ง
· “การทางานชนิ้ น้ีเปน็ ภาระสาคัญต้องระดมสมองระดบั หัวกะทิ”
“สมอง” หมายถึง ผู้มกี าลังความคดิ มสี ตปิ ัญญาสูง มีความเฉลยี วฉลาด
รอบคอบ

๘. อนนุ ามนยั ( Synicdoche ) คือการนาส่วนน้อยหรือส่วนย่อยท่ีเห็นเดน่ ชัดมากลา่ ว
โดยหมายถงึ ส่วนทั้งหมด เชน่ กรงุ เทพฯ คือประเทศไทย เพชรบรุ ี เมืองคนดุ

เลือดสุพรรณวันกอ่ นเคยรอ้ นรุ่ม หลง่ั ลงรุ่มฉาบดินทกุ ถิ่นฐาน
บดั นเี้ ย็นเป็นสขุ ทกุ ประการ เพราะไทยหาญหวงถ่ินไวใ้ หไ้ ทยเอย
(เลือดสพุ รรณ : ประสิทธิ์ โรหิตเสถียร)

นามนัยและอนุนามนัย เปน็ ภาพพจน์ที่ใชเ้ พื่อหลีกเลยี่ งการใช้คาธรรมดา ซ้าซาก
มาใชค้ าสัน้ ๆ ทบ่ี อกจุดเด่นของส่งิ น้นั ได้ โดยผ้สู ่งสารไม่ต้องเสยี เวลาอธบิ ายและทาใหผ้ ู้รับ
สารมองเห็นภาพไดท้ ันที

๔๖

๙. สทั พจน์ ( Onomatopoeia) ภาพพจน์ทใี่ ช้เสียงธรรมชาติตา่ งๆ มาแสดงประกอบ
เพอ่ื ใหเ้ กิดมโนภาพภาพพจน์ชนดิ น้มี ลี กั ษณ์ทเ่ี ดน่ ชัดมากและเข้าใจง่ายทส่ี ุดในบรรดา
ภาพพจน์ทัง้ หมดและยงั เป็นที่นิยมของกวีในการแตง่ คาประพนั ธ์ ตวั อยา่ งเชน่

ตอ้ ยตะรดิ ตดิ ตเ่ี จ้าพ่เี อ๋ย จะละเลยเร่ร่อนไปนอนไหน
แออ้ อี อ่ ย สร้อยฟา้ สมุ าลยั แม้นเด็ดได้แล้วไมร่ า้ งใหห้ ่างเชย

( พระอภยั มณี – สนุ ทรภู่)
ตอ้ ยตะรดิ ตดิ ตี่ , แอ้ออี ่อย เป็นเสียงของป่ี

ณยามสายัณห์ตะวันยงิ่ ย้อย แนะเรง่ เทา้ หนอ่ ยทะยอยเหยยี บหนา
ตะแลก้ แต้กแตก้ จะแหลกแล้วจ้า กระด้งรีบมาแถอะรับข้าวไป

( ณยามสายัณห์ : สุภรผลชวี ิน)

ตะแลก้ แตก้ แต้ก เปน็ เสียงของครกกระเดอ่ื ง
นอกจากน้ียงั มีโวหารภาพพจนอ์ ืน่ ๆ อกี คอื

อวพจน์ คือการกล่าวน้อยเกินความเป็นจริง ตวั อย่าง
“คอยสกั อึดใจเดยี ว”
“มีทองเท่าหนวดกุ้ง นอนสะดุ้งจนเรือนไหว”
“จะเป็นความถามไถใ่ นบุริน เงนิ เท่าปีกร้ินกไ็ ม่มี”

อุปมำนิทัศน์ คือการเปรียบเทียบโดยยกเรื่องราวหรือนิทานมาประกอบ ขยาย
หรือแนะโดยนัยให้ผู้อ่านผู้ฟังเข้าใจแนวความคิด หลักธรรม หรือความประพฤติท่ี
สมควรไดแ้ จ่มแจง้ ยงิ่ ขน้ึ เชน่

นิทานเร่ือง คนตาบอดคลาช้าง เป็นอุปมานิทัศน์ชี้ให้เห็นว่า คนท่ีมี
ประสบการณ์ หรือภูมิหลังต่างกันย่อมมีความสามารถในการรับรู้ความเช่ือและทัศนคติ
ต่างกนั

๔๗

โคลงโลกนิตบิ ทท่วี า่ ด้วย หนูทา้ รบราชสหี ์ เป็นอุปมานิทัศน์ แสดงให้เห็นว่า
คนโง่หรอื คนพาลที่ด้อยทั้งกาลังกายและกาลังปัญญาบังอาจขมขู่ท้าทายผู้มกี าลังเหนือว่า
ตนทุกด้านแต่ผู้ที่ถูกท้ากลับเห็นว่า ถ้าตนลดตัวลงไปเก่ียวข้องด้วยเท่ากับเอาพิมเสนไป
แลกเกลือ จงึ หลกี เล่ยี งเสีย ปลอ่ ยใหค้ นโง่ซ่ึงมีความอหงั การน้ันพา่ ยแพแ้ ก่ตนเอง

นาฏกร เปน็ การใช้ภาพการสรู้ บต่างๆ หรือ ภาพของการเคล่ือนไหวท่สี วยงาม
ภาพพจน์เป็นความงามของภาษาในภาษาไทยท่ีแยกออกจากภาษา ไม่ได้ในทุก
วนั นค้ี นไทยทกุ คนใชภ้ าพพจนใ์ นชีวิตประจาวันกนั อย่างเคยชินจนกระทงั่ ทกุ วันน้ีไมม่ ีใคร
ทราบวา่ เราใช้ภาพพจน์กนั มากเทา่ ใดในชีวิตประจาวัน
ภาษาไทยเป็นภาษาที่ร่ารวยในคาศัพท์และมีความงามในความหมายเป็นอย่าง
มากแม้แต่กระทั่งคาหยาบคายท่ีเราเลี่ยงกันก็ยังมีการใช้ภาพพจน์เปรียบเปรยในการพดู
เพ่ือให้ดูสุภาพแต่แท้จริงแล้วก็ยังหยาบคายอยู่ดี และในบางครั้ง ภาพพจน์ก็ไปแอบแฝง
อยู่กับ บทละครโทรทัศน์ หรือนวนิยายท่ีเราชอบอ่านกัน แต่อย่างไรก็ตามเราต้องถือว่า
ภาพพจน์เป็นส่ิงสาคัญที่ทาให้ภาษาไทยเกดิ ความงามในเชิงความหมาย ดังน้ันเราจึงควร
เรง่ ศึกษาให้เกิดความชานาญและถอ่ งแท้ใหส้ มกบั ทีเ่ ราเป็นเจา้ ของภาษา

๔๘

บัตรกจิ กรรมท่ี ๔.๒

คำช้ีแจง ใหน้ กั เรียนอ่ำนเร่อื ง ขนุ ช้ำงขนุ แผน ตอน ขนุ ชำ้ งถวำยฎีกำ แลว้ ยกตวั อยำ่ ง
บทประพนั ธ์ทม่ี คี ณุ ค่ำทำงดำ้ นวรรณศิลป์ ในประเดน็ ตอ่ ไปน้ี

กำรใชภ้ ำพพจน์

๑.อุปมำ .......................................................
.......................................................
๒.อปุ ลกั ษณ์ .......................................................
๓.สญั ลกั ษณ์ .......................................................
๔.อติพจน์
๕.สัทพจน์ ........................................................
........................................................
........................................................
.........................................................

..........................................................
..........................................................
..........................................................
..........................................................

.........................................................
.........................................................
.........................................................
..........................................................

...........................................................
..........................................................
..........................................................

๔๙

บัตรเฉลยกจิ กรรมท่ี ๔.๒

คำช้แี จง ใหน้ กั เรียนอ่ำนเรื่อง ขนุ ช้ำงขนุ แผน ตอน ขนุ ช้ำงถวำยฎกี ำ แลว้ ยกตวั อยำ่ ง
บทประพนั ธ์ทมี่ คี ณุ คำ่ ทำงดำ้ นวรรณศลิ ป์ ในประเดน็ ตอ่ ไปน้ี

กำรใชภ้ ำพพจน์

๑.อุปมำ ครานั้นพระองค์ผทู้ รงภพ
ฟังจบแค้นคง่ั ดงั่ เพลงิ ไหม้
๒.อปุ ลักษณ์ เหมอื นดนิ ประสวิ ปลวิ ติดกบั เปลวไฟ
๓.สญั ลักษณ์ ดูดเู๋ ปน็ ได้อีวันทอง
๔.อตพิ จน์
๕.สัทพจน์ เจ้าพลายงามตามรบั เอากลับมา
ทีนหี้ น้าจะดาเป็นน้าหมึก
กาเรบิ ใจด้วยเจ้าไวยกาลงั ฮกึ
จะพาแม่ตกลกึ ให้จาตาย

เหมอื นแมลงวันวอนเคล้าทเ่ี นา่ ชั่ว
มาเกลอื กกลว้ั ปทมุ มาลย์ทีห่ วานหอม
ดอกมะเด่ือฤาจะเจือดอกพะยอม
วา่ นกั แม่จะตรอมระกาใจ

ออกน่ันเขา้ น่ีมสี ารอง
ยง่ิ กว่าทอ้ งทะเลอันลา้ ลกึ
จอกแหนแพเสาสาเภาใหญ่
จะทอดถมเท่าไรไมร่ ู้สกึ

ครน้ั เวลาดึกกาดัดสงดั เงียบ
ใบไม้แห้งแกร่งเกรียบระรุบรอ่ น
ใต้เตียงเสียงหนกู ็กกุ กก
แมงมุมท่มุ อกทีร่ มิ ฝา

๕๐

บตั รเน้อื หำที่ ๔.๓
กำรใชโ้ วหำร

โวหาร หมายถงึ ถ้อยคาทใี่ ช้ในการส่ือสารทีเ่ รยี บเรียงเป็นอยา่ งดี มวี ิธีการ มีชั้น
เชิงและมีศลิ ปะ เพ่ือส่อื ให้ผ้รู บั สารรบั สารได้อย่างแจม่ แจง้ ชัดเจนและลึกซึง้ รบั สารได้
ตามวตั ถุประสงคข์ องผู้ส่งสาร
ประเภทของโวหำร

๑. บรรยำยโวหำร คอื โวหารที่ใชเ้ ลา่ เรื่อง หรืออธิบายเรื่องราวตา่ ง ๆ ตามลาดับ
เหตุการณ์ มุ่งความชัดเจน เขียนตรงไปตรงมา รวบรัด ในการเขียนท่ัว ๆ ไป มักใช้
บรรยายโวหาร เพราะเหมาะในการติดต่อสื่อสารเนื่องจาก สานวนประเภทน้ีมุ่งสาระ
เขียนอย่างส้ัน ๆ ไดค้ วามชดั เจน ตวั อย่างเชน่

“ฉนั ยืนต้นอยู่ในป่าลกึ ฉันมีลาต้นสงู ใหญ่ กิ่งกา้ นใบแน่นหนาและแผก่ วา้ ง
แสงอาทิตย์ ไม่อาจส่องลอดได้ เบื้องล่างจึงร่มร่ืน ลาธารนอ้ ย ๆ ไหลผ่านใกลล้ าต้นฉนั ไป
นา้ ในลาธาร ใสจนเห็นกรวดทราย ทอ้ งธารและปลาว่ายเวียน ทกุ วันจะมสี ตั ว์ปา่ นานา
ชนดิ มากินนา้ ทล่ี าธารสายน้ี บางตัวจะอาศัยใต้รม่ ใบของฉันนอนหลบั อย่างเปน็ สุข”

(จาก ฉนั คอื ตน้ ไม้ ของไมตรี ลิมปชิ าติ)

“ อันเกาะแกว้ พิสดารสถานน้ี โภชนาสาลีก็มีถม

แตค่ ราวหลัวครั้งสมทุ รโคดม มาสร้างสมสิกขาสมาทาน

เธอทาไรไ่ ว้ทรี่ ิมภเู ขาหลวง ครน้ั แตกรวงออกมาเล่าเปน็ ขา้ วสาร

ไดส้ ืบพืชยืดอยแู่ ตบ่ ูราณ คิดอา่ นเอาเดียวมาเหลยี วไป"

(พระอภัยมณี : สุนทรภู่ )


Click to View FlipBook Version