๕๑
๒. พรรณนำโวหำร คอื โวหารท่ใี ช้กล่าวถงึ เรือ่ งราว สถานที่ บคุ คล ส่ิงของ หรือ
อารมณ์อย่างละเอยี ด สอดแทรกอารมณ์ ความร้สู กึ ลงไปเพอื่ โน้มนา้ วใจ ใหผ้ ้รู ับสารเกิด
ภาพพจน์ เกดิ อารมณ์คล้อยตามไปด้วย ตวั อยา่ งเช่น
“เสียงนา้ ใสไหลเย็นกระเซน็ เซาะ ซัดแก่งเกาะคลืน่ เกลยี วเลยี้ วซ้ายขวา
สุดแนวหินก็ไหลรินตกลงมา สธู่ าราเบื้องลา่ งอย่างงดงาม
สายนา้ สวยรวนรินเป็นฟองคลน่ื ละอองชน้ื สาดไปไกลเกนิ ห้าม
ต้องแสงทองท่ีสาดสอ่ งเป็นรุ้งงาม ทุกเม่อื ยามนา้ ไมเ่ คยเหือดแห้งไป”
. “ เขาใช้แขนยนั พ้ืนดนิ อาการเหนื่อยอ่อน กล่ินน้าฝนบนใบหญา้ และกล่ินไอดิน
โซยเข้าจมูกวาบหวิว อยากให้มีใครซกั คนผ่านมาพบเพื่อพาเขากลับไปหาหมอในหมบู่ ้าน
มดหลายตัวเดินสวนขบวนผา่ นไปมา มันไม่มีทที ่าจะสนใจเขาเลยแม้แต่น้อย เขามองดมู นั
อย่างเล่อื นลอยทาไมมนั จงึ เฉยเมยกบั ฉัน มันคงรแู้ น่ ฉนั อยากใหม้ ันเป็นคนจรงิ ๆ ฉนั
จะต้องกลับบ้านให้ได้ เขาคดิ พลางเหม่อมองดยู อดสนของหมบู่ า้ นหาดเสีย้ วเห็นอยูไ่ มไ่ กล
ดวงอาทติ ยส์ ีแดงเข้มกาลังคล้อยลงเหนือยอดไม้ทางทศิ ตะวนั ตก”
(นิคม รายวา: คนบนตน้ ไม้)
“ความเงียบปกคลุมท้องถนน มเี พียงเสยี งหอบหายใจคล้ายความเหนอ่ื ยของผม
ดงั อยู่ นานๆ จะมรี ถยนต์ผ่านมาสกั คนั ไม่มีคนั ใดใหค้ วามสนใจกบั เรา เธอยงั คงนอนฟบุ
นิง่ ข้างฟุตบาท ผมยกมอื กอดอก หนบี ขวดเหล้าเอาไว้ น้าตาเธอรนิ ออกมาอย่างไมม่ ีเสียง
ผมทรดุ ลงน่งั ข้างๆ เธอ มองใบหน้าทถ่ี ูกตบจนเลือดกบปาก รมิ ฝีปากสน่ั ระริกบอกถงึ
ความกลวั ทีผ่ ่านมา ดวงตาหวาด ระแวงท่มี องผมคลายจางลง กลายเป็นความขอบคุณ
ผมอา่ นแววตาเธอไดอ้ ย่างน้ัน แต่เธอยังคงไมป่ ริปาก”
( ผ้หู ญิงข้าใครอย่าเตะ ของ ธราธิป)
๕๒
๓. เทศนำโวหำร คอื โวหารท่มี ่งุ โนม้ น้าวใจให้เกิดความรสู้ ึกคล้อยตาม เป็นการ
กล่าวในเชงิ อบรม แนะนาส่ังสอน เสนอทศั นะ ชีแ้ นะ หรือโนม้ น้าว ชักจูงใจโดยยก
เหตุผล ตัวอยา่ ง หลักฐาน ขอ้ มลู ข้อเท็จจริง สุภาษติ คตธิ รรมและสัจธรรม ตา่ ง ๆ มา
แสดงเพอื่ ให้ผอู้ า่ นเกดิ ความเข้าใจ ตัวอย่างเช่น
…อย่าได้ถือตัวว่าเป็นลูกเจ้าแผ่นดิน พอมีอานาจยิ่งใหญ่อยู่ในบ้านเมือง ถึงจะ
เกะกะ ไม่กลัวเกรงคุมเหงผู้ใด เขา ก็คงจะมีความเกรงใจพ่อ ไม่ต่อสู้ หรือไม่อาจฟ้องรอ้ ง
ว่ากล่าว การซึ่งเชื่อใจดังนั้นเป็นการผิดแท้ทีเดียว เพราะความปรารถนาของพ่อไม่
อยากจะให้ลูกมอี านาจที่จะเกะกะอย่างนัน้ เลย เพราะรเู้ ปน็ แนว่ ่าเม่ือรักลูกเกินไป ปล่อย
ไม่ให้กลัวใครและประพฤติชั่วเช่นน้ัน คงจะเป็นโทษแก่ลูกน้ันเองทั้งในปัจจุบันและ
อนาคต เพราะฉะน้ันจงรูเ้ ถิดว่าถ้าเมื่อไดท้ าความผิดเม่ือใด จะไดร้ บั โทษโดยทนั ที การที่มี
พ่อเปน็ เจ้าแผ่นดนิ นั้นจะไม่เปน็ การช่วยเหลอื อดุ หนนุ แกไ้ ขอนั ใด ได้เลย
(พระบรมราโชวาท : พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจา้ อยูห่ ัว)
ประการหน่ึงซงึ่ จะเดนิ ดาเนนิ นาด คอ่ ยเย้อื งยาตรยกยา่ งไปกลางสนาม
อย่าไกวแขนสดุ แขนเขาหา้ มปราม เสงย่ี มงามสงวนไว้แต่ในที
อยา่ เดินกรายยา้ ยอกยกผา้ ห่ม อยา่ เสยผมกลางทางหว่างวิถี
อยา่ พดู เพ้อเจ้อไปไม่สดู้ ี เหยา้ เรือนมีกลบั มาจึ่งหารอื
(สภุ าษิตสอนหญงิ : สนุ ทรภู่)
๕๓
๔. สำธกโวหำร คอื การยกตัวอยา่ งเรอื่ งราวมาประกอบการอธบิ าย เนอื้ หาสาระ
เพื่อสนับสนุนขอ้ คดิ เห็นตา่ ง ๆ ใหห้ นักแนน่ สมเหตุสมผล เชน่
“ถ้าเธอไมอ่ ยากอยกู่ ับฉนั จริงจรงิ ยนิ ยอมทกุ สิ่ง ใหเ้ ธอทง้ิ ไป ฉนั ขอแคเ่ พยี งให้
เวลาหนอ่ ยได้ไหม อยากเล่านิทานให้ฟัง ชาวนาคนหนึ่งมีชีวิตลาพัง ไปเจองเู ห่ากาลังใกล้
ตายสงสารจงึ เก็บเอามาเล้ยี งโดยไมร่ ู้ สดุ ท้ายจะเป็นอย่างไร คอยดูแลด้วยความจรงิ ใจ
ห่วงใย และคอยให้ความรกั เป็นกังวลวา่ มันจะตาย เฝา้ คอยเอาใจทุกอยา่ ง แตส่ ดุ ทา้ ย
ชาวนาผู้ชายใจดี ด้วยความ ทเี่ ขาไวใ้ จ น่าเสียดายกลบั ตอ้ งตายด้วยพษิ งู นทิ านมันบอก
ให้ยอมรบั ความจรงิ ว่ามีบางสงิ่ ไม่ควรไวใ้ จอะไรบางอยา่ งทีทาดีซักแค่ไหน ไมเ่ ชอื่ ง ไมร่ ัก
ไมจ่ รงิ ่
(ชาวนากบั งเู หา่ : สีฟา้ )
พระโยคเี กาะแกว้ พิสดารเทศนาให้สงบศึก
ขณะน้ันค่อนดึกศกึ สงบ ต่างนอบนบนบั ถอื พระฤาษี
ไม่กรบิ เกรียบเงียบสงดั ทั้งปฐพี พระโยคเี ทศนาในอาการ.
คือรูปรสกลน่ิ เสยี งไมเ่ ท่ียงแท้ ย่อมเฒ่าแก่เกดิ โรคโศกสงสาร
ความตายหน่ึงพึงใหเ้ หน็ เปน็ ประธาน หวังนพิ พานพน้ ทุกขส์ นุกสบาย.
ซึ่งบา้ นเมืองเคอื งเขญ็ ถึงเช่นนี้ เพราะโลกยี ต์ ัณหาพาฉบิ หาย
อนั ศลี หา้ ว่าอยา่ ทาใหจ้ าตาย จะตกอบายภมู ิขุมนรก
หนง่ึ ว่าอย่าลักเอาของเขาอื่น มาชมช่นื ฉอ้ ฉลคนโกหก
หน่ึงทาเจ้าชคู้ ูเ่ ขาเล่าลามก จะตายตกในกระทะอเวจี
หนงึ่ สบู ฝ่นิ กนิ สรุ ามุสาวาท ใครทาขาดศีลห้าสนิ้ ราศี
ใครสตั ยซ์ อ่ื ถอื มัน่ ในขนั ตี จะถึงที่พระนพิ พานสาราญใจ
(พระอภยั มณี : สุนทรภ)ู่
๕๔
๕. อปุ มำโวหำร คอื โวหารทก่ี ลา่ วเปรียบเทียบ เพื่อใหผ้ รู้ ับสารเข้าใจความหมาย
อารมณ์ความรู้สึก หรือเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น มักใช้ประกอบโวหารประเภทอ่ืน เช่น
เทศนาโวหาร บรรยายโวหารโดยเฉพาะพรรณนาโวหาร เพราะจะช่วยให้รสของถ้อยคา
และรสของเน้ือความไพเราะสละสลวยย่ิงข้ึน ท้ังสารท่ีเป็นรูปธรรมและนามธรรมการ
เปรียบเทยี บอาจเปรยี บความเหมอื นกัน หรือคลา้ ยคลงึ กัน เปรยี บเทียบความขัดแย้ง หรอื
ลักษณะตรงกันข้ามหรือเปรียบเทียบโดยให้ผู้รับสารโยง ความคิดหนึ่งไปสู่ อีกความคิด
หนึ่ง โดยอาจกล่าวลอย ๆ หรืออาจใช้ค้าแสดงการเปรียบเทียบ ซ่ึงมีอยู่หลากหลาย เช่น
เหมือน เสมือน คล้าย ดจุ ดงั ด่งั ดุจด่งั ราวดรู าว ปาน เพยี ง ประหน่ึง เช่น เฉก ฯลฯ
“…ดงั นี้เจา้ จะเห็นไดว้ ่าเมียท่ีพอ่ จดั หาใหม้ ีตระกูล สมชาติ สมเชอื้ กนั ดี เพราะ
ตระกลู ของเรากม็ ั่งมี มีคนนับหนา้ ถอื ตา ญาติพนี่ อ้ งทัง้ ฝา่ ยบิดามารดาของนางกบ็ ริบูรณ์
รูปรา่ งงามหาตาหนิมไิ ด้ ผมดาราวกับแมลงผ้ึง หน้าเปล่งปล่ังดัง่ ดวงจันทร์ เนตรประหนึง่
ตากวางจมกู แมน้ ดอกงา ฟันเทยี บไขม่ ุก ริมฝปี ากเพยี งผลตาลึงสกุ เสยี งหวานปานนก
โกกลิ า ขาคอื ลากล้วย เอวเหมาะเจาะไมอ่ ้วนเกิน เวลายา่ งเดนิ แคล่วคล่องมสี ง่าเสมอช้าง
ทรง เพราะฉะน้นั เจ้าจะหาทางตาหนขิ ัดขอ้ งมไิ ดเ้ ลย...
(เสถยี รโกเศศ : กามนติ )
…ถา้ แม้เจ้าอาลยั อยดู่ ้วยลูกจรงิ ๆ เหมือนวาจา กจ็ ะรบี กลับเข้ามาแต่วี่วันไม่ทนั
รอน เออนเี่ จ้าเท่ียวพเนจรนอนตามสนุกใจ ชมนกชมไม้ในไพรวนั สารพันก็มี ทั้งฤๅษีสทิ ธิ์
วทิ ยาธรคนธรรพ์ เทพารักษผ์ ้มู พี กั ตร์อันเจริญ เหน็ แลว้ ก็นา่ เพลดิ เพลินไม่เมนิ ได้ หรือเจ้า
ปะผลไมป้ ระหลาดรสสดสกุ ทรามเสวยไม่เคยกิน เจา้ ฉวยชิมชอบล้นิ ก็หลงฉนั อยจู่ ึ่งชา้
อปุ มาเสมอื นหน่งึ ภุมรนิ บนิ วะวินว่อน เทย่ี วซบั ซาบเอาเกสรสุคนธมาเลศ พบดอกไทอ้ ัน
วิเศษตอ้ งประสงค์หลงเคล้าคลงึ รสจนลืมรัง เข้าเถอ่ื นเจา้ ลมื พร้าได้หนา้ แล้วลมื หลงั ไมแ่ ล
เหลียวเทีย่ วทอดประทบั มากลางทาง
(มหาเวสสนั ดรชาดก กณั ฑ์ชูชก : เจ้าพระยาพระคลงั หน)
๕๕
บัตรกจิ กรรมท่ี ๔.๓
คำชแ้ี จง ใหน้ กั เรียนอ่ำนเรอื่ ง ขนุ ช้ำงขุนแผน ตอน ขนุ ชำ้ งถวำยฎีกำ แล้วยกตัวอยำ่ ง
บทประพนั ธ์ทม่ี คี ณุ คำ่ ทำงดำ้ นวรรณศิลป์ ในประเดน็ ตอ่ ไปน้ี
กำรใชโ้ วหำร
๑.บรรยำยโวหำร ......................................................................................................
๒.พรรณนำโวหำร ......................................................................................................
๓.เทศนำโวหำร ......................................................................................................
๔.อุปมำโวหำร ......................................................................................................
......................................................................................................
......................................................................................................
......................................................................................................
......................................................................................................
......................................................................................................
......................................................................................................
......................................................................................................
......................................................................................................
......................................................................................................
.....................................................................................................
......................................................................................................
......................................................................................................
๕๖
บตั รเฉลยกิจกรรมที่ ๔.๓
คำช้แี จง ใหน้ กั เรยี นอ่ำนเรอ่ื ง ขนุ ชำ้ งขุนแผน ตอน ขนุ ชำ้ งถวำยฎกี ำ แลว้ ยกตัวอย่ำง
บทประพนั ธ์ทม่ี ีคณุ ค่ำทำงดำ้ นวรรณศิลป์ ในประเดน็ ต่อไปน้ี
กำรใช้โวหำร
ครั้นวา่ ร่งุ สางสวา่ งฟา้ สรุ ิยาแย้มเยีย่ มเหลยี่ มไศล
๑.บรรยำยโวหำร จะกลา่ วถึงพระองค์ผทู้ รงชัย เนาในพระท่นี ัง่ บลั ลังกร์ ัตน์
๒.พรรณนำโวหำร
๓.เทศนำโวหำร พรอ้ มด้วยพระกานัลนกั สนม หมอบประนมเฝ้าแหนแน่นขนดั
๔.อุปมำโวหำร
ประจาตง้ั เคร่ืองอานอยงู่ านพดั ทรงเคืองขดั ขนุ ช้างแตก่ ลางคนื
เงยี บสตั วจ์ ตุบททวิบาท ดาวดาษเดอื นสวา่ งกระจา่ งไข
น้าคา้ งตกกระเซ็นเย็นเยือกใจ สงัดเสยี งคนใครไมพ่ ดู จา
ได้ยนิ เสียงฆ้องย่าประจาวัง ลอยลมล่องดงั ถึงเคหา
คะเนนับย่ายามได้สามครา ดูเวลาปลอดหว่ งทกั ทนิ
จงึ ปลอบวา่ พลายงามพ่อทรามรัก อยา่ ฮึกฮกั ว้าวุน่ ทาหนุ หัน
จงครวญใคร่ให้เหน็ ข้อสาคัญ แมน่ ้ีพรน่ั กลัวแต่จะเกดิ ความ
ดว้ ยเป็นขา้ ลักไปไทลกั มา เห็นเบ้อื งหนา้ จะอึงแม่จงึ ห้าม
ถา้ เจา้ เห็นเป็นสขุ ไมล่ ุกลาม กต็ ามเถิดมารดาจะคลาใคล
มาอยูใ่ ยกบั อา้ ยหนิ ชาติ แสนอุบาทว์ใจจติ รษิ ยา
ดงั ทองคาทาเลีย่ มปากกะลา หนา้ ตาดาเหมือนมนิ หม้อมอม
เหมอื นแมลงวันวอนเคล้าที่เนา่ ชัว่ มาเกลือกกล้วั ปทุมมาลย์ท่ี-
หวานหอม
ดอกมะเดอ่ื ฤาจะเจอื ดอกพะยอม ว่านักแม่จะตรอมระกาใจ
๕๗
บตั รเน้ือหำท่ี ๔.๔
ลีลำกำรประพนั ธ์
ลีลำกำรประพนั ธ์ เปน็ ท่วงทานองที่สาคญั ในการแตง่ คาประพันธ์ให้ดีเด่น ทาให้
ผู้อา่ นเกิดอารมณ์และความรู้สึกต่างๆ คล้อยตามไปดว้ ย ไดแ้ ก่
๑. เสำวรจนี เปน็ ลีลาทใ่ี ชแ้ ตง่ ชมความงาม ชมโฉม ชมความงามของสถานท่ี ชม
ความงามของธรรมชาตกิ ็ได้ ดังเช่น บทชมโฉมนางเงือก ซ่ึงติดตามพอ่ แมม่ าเพอ่ื พาพระ
อภยั มณีหนนี างผีเสือ้ สมุทร
พงศก์ ษตั ริยท์ ัศนานางเงอื กนอ้ ย ดูแชม่ ช้อยโฉมเฉลาทัง้ เผา้ ผม
ประไพพักตร์ลกั ษณล์ ้าลว้ นขาคม ท้งั เนอ้ื นมนวลเปล่งออกเต่งทรวง
ขนงเนตรเกศกรออ่ นสะอาด ดังสรุ างคน์ างนาฏในวังหลวง
พระเพลินพิศคิดหมายเสยี ดายดวง แลว้ หนกั หนว่ งนกึ ท่ีจะหนีไป
(พระอภัยมณี : พระสุนทรโวหาร (ภ่)ู )
บทชมรปู โฉมของวหิ ยาสะกา ซงึ่ ถกู สังคามาระตาสงั หาร กล่าวว่าวิหยาสะกานนั้
เปน็ ชายหนุ่มรปู งาม ฟันนนั้ เปน็ แสงแวววาวสแี ดงราวกบั แสงของทบั ทมิ ซง่ึ ตัดรบั กับค้ิว
รวมทง้ั ปลายเส้นผมซึ่งงอนงามขน้ึ เป็นทรงสวยงาม รับกบั ทรวดทรงองคเ์ อวของ
วิหยาสะกา
...หนมุ่ นอ้ ยโสภาน่าเสยี ดาย ควรจะนบั วา่ ชายโฉมยง
ทนตแ์ ดงด่ังแสงทบั ทิม เพรศิ พรม้ิ เพรารับกบั ขนง
เกศาปลายงอนงามทรง เอวองค์สารพัดไม่ขัดตา...
(อิเหนา : รชั กาลท่ี ๒)
๕๘
บทชมธรรมชำติ
มืดสนิ้ แสงเทียนประทปี ส่อง ก็ผ่องแสงจันทร์กระจ่างสว่างส่ง
บุปผชาตสิ าดเกสรขจรลง บษุ บงเบิกแบง่ ระบัดบาน
เรณูนวลหวนหอมมารวยรนิ พระพายพดั ประท่นิ กลน่ิ หวาน
เฉ่ือยฉวิ ปลวิ รสสมุ ามาลย์ ประสานสอดกอดหลบั ระงับไป
(ขนุ ช้างขุนแผน)
๒.นำรปี รำโมทย์ เป็นลลี าการประพนั ธ์ที่ม่งุ ไปในทานองเกีย้ ว ประเลา้ ประโลม
(นารี น. หญิง + ปราโมทย์ น. ความบนั เทงิ ใจ, ความปล้มื ใจ, ปราโมช กว็ า่ ) คือ การทา
ให้ "นารี" นั้น ปล้มื "ปราโมทย์" ซ่ึงรูปแบบหนงี่ กค็ อื การแสดงความรักผา่ นการเกยี้ วและ
โอโ้ ลมปฏิโลม เช่น ตอนอิเหนากาลังสั่งลาจากนางจินตะหรา ว่าตนไปกค็ งไปเพยี งไม่นาน
ขอจนิ ตะหราอย่ารอ้ งไหโ้ ศกเศร้าเลย
เมอื่ นั้น พระสรุ ยิ ว์ งศ์เทวญั อสญั หยา
โลมนางพลางกล่าววาจา จงผนิ มาพาทกี ับพีช่ าย
ซึ่งสญั ญาวา่ ไวก้ บั นวลน้อง จะคงครองไมตรไี ม่หนหี น่าย
มิได้แกลง้ กลอกกลบั อภิปราย อย่าสงกาว่าจะวายคลายรัก
ถงึ ม้วยดินส้ินฟา้ มหาสมทุ ร ไม่สิ้นสุดความรักสมัครสมาน
แมน้ เกิดในใต้ฟา้ สุธาธาร ขอพบพานพิศวาสไม่คลาดคลา
แม้นเน้อื เยน็ เปน็ ห้วงมหรรณพ พี่ขอพบศรีสวสั ดเิ์ ป็นมัจฉา
แมน้ เปน็ บัวตวั พ่ีเป็นภุมรา เชยผกาโกสุมปทุมทอง
เจ้าเป็นถา้ ไพขอใหพ้ ่ี เปน็ ราชสหี ส์ มสู่เป็นค่คู รอง
จะตดิ ตามทรามสงวนนวลละออง เป็นค่คู รองพิศวาสทกุ ชาตไิ ป
(สุนทรภู่)
๕๙
๓. พิโรธวำทงั (พิโรธ ก. โกรธเกร้ียว ไมส่ บอารมณ์ + วาทัง น. วาทะ คาพูด)
คือการแสดงความโกธรแค้นผา่ นการใช้คาตัดพ้อตอ่ วา่ ให้สาใจ ท้งั ยงั แสดงความน้อยเน้ือ
ต่าใจ ความผิดหวงั ไมพ่ อใจ โกรธ ตัดพอ้ ประชดประชนั กระทบกระเทียบเปรยี บเปรย
เสยี ดสี และด่าว่าอย่างรนุ แรง ตัวอยา่ งเช่น
นา้ ใจนางเหมอื นนา้ ค้างบนไพรพฤกษ์ เมือ่ ยามดกึ ดงั จะรองเข้าด่มื ได้
คร้ังรงุ่ แสงสรุ ยี ์ฉายก็หายไป เพิง่ เห็นใจเสยี เมื่อใจจะขาดรอน
(ไมป่ รากฏนามผแู้ ตง่ )
คร้ังนีเ้ สยี รักกไ็ ด้รู้ ถงึ เสียร้กู ไ็ ด้เชาวน์ทเี่ ฉาฉงน
เปน็ ชายหมิ่นชายตอ้ งอายคน จาจนจาจากอาลยั ลาน
(เจา้ พระยาพระคลัง(หน))
บทตดั พอ้ ที่แสดงทัง้ อารมณ์รักและแค้นของ องั คาร กัลยาณพงศ์ จากบทกวี เสียเจ้า
จะเจบ็ จาไปถึงปรโลก ฤๅรอยโศกรรู้ ้างจางหาย
จะเกดิ กฟ่ี ้ามาตรมตาย อย่าหมายว่าจะให้หวั ใจ
(อังคาร กัลยาณพงศ)์
เมอ่ื นั้น พระผู้ผา่ นไอศูรยส์ ูงส่ง
ประกาศติ สีหนาทอาจอง จะณรงค์สงครามกต็ ามใจ
ตรสั พลางยา่ งเย้อื งยรุ ยาตร จากอาสน์แทน่ ทองผ่องใส
พนักงานปดิ มา่ นทนั ใด เสดจ็ เข้าข้างในฉับพลันฯ
ในบทที่ยกมาน้ี เปน็ ตอนที่ท้าวดาหาได้ฟังความจากราชทตู ของเมืองกะหมังกุ
หนงิ ทกี่ ล่าวไว้วา่ ถ้าท้าวดาหาไม่ยอมยกบุษบาใหก้ ับวหิ ยาสะกา ก็ขอใหเ้ ตรยี มบ้านเมอื ง
ไวใ้ หด้ ี เพราะเมอื งกะหมังกหุ นิงจะยกทพั มารบ เมือ่ ทา้ วดาหาไดฟ้ ังกโ็ กรธเดือดดาลทนั ใด
๖๐
๔. สัลลำปงั คพสิ ยั เป็นลลี าแหง่ การครา่ ครวญหวนไห้ ตดั พอ้ เศรา้ โศก
เชน่ ตอนสุนทรภู่คร่าครวญถงึ รชั กาลท่ี2ซึง่ สวรรคตแลว้ เปน็ เหตใุ ห้สนุ ทรภู่ต้อง ตกระกา
ลาบาก เพราะไมเ่ ปน็ ที่โปรดปรานของรัชกาลที่ 3 ตอ้ งระเห็จเตรด็ เตรไ่ ปอาศัยในที่ตา่ งๆ
ขณะล่องเรือผ่านพระราชวัง สุนทรภซู่ ึง่ ราลึกความหลังก็ครา่ ครวญอาลัยถึงอดีตท่ีเคย
รุ่งเรือง
เคยหมอบใกลไ้ ด้กล่นิ สคุ นธ์ตลบ ละอองอบรสรื่นช่ืนนาสา
สนิ้ แผ่นดนิ ส้นิ รสสุคนธา วาสนาเราก็สิ้นเหมอื นกล่ินสุคนธ์
(นิราศภเู ขาทอง : สนุ ทรภู่)
พระชนนีของลูกแกว้ ลกู จะทูลลาแลว้ พระทูลกระหมอ่ ม เคยถนอม
ลกู มาแตเ่ ยาวจ์ นคุ้มใหญ่ หวังพระหฤทัยจะฝากผี โอ้พระชนนีของลกู แก้ว
นบั วันลูกจะไกลแลว้ จากนเิ วศนว์ ัง พระมารดาอยู่ขา้ งหลงั จะประชวรโรคาไข้
ถึงส่สู วรรค์ครรไลย กท็ ีไ่ หนจะได้ถวายพระเพลิงพระชนนี ลูกจะบกุ ป่า
พนาลไี ปไกลเนตร ลกู จะทรงบรรพชาเพศบาเพญ็ ผล จะแผเ่ พิ่มเตมิ กศุ ลส่งมา
ทุกคา่ เช้า โอพ้ ระปน่ิ ปกเกล้าของลกู เอ่ย อย่าเศร้าเสยี พระทยั เลยถงึ ลูกแก้ว
ไดเ้ ล้ยี งลูกมาแล้วเอาแต่บญุ เถดิ นะพระทลู กระหมอ่ ม ทลู พลางเธอกน็ ้อม
พระเศยี รซบแทบพระบาทพระชนนี เดนิ สมเด็จพระผสุ ดีพนั ปหี ลวง เธอก็ค่อน
พระทรวงทรงพระโศกา ข้นึ จงึ ตรัสว่าโออ้ ย่าอาวรณ์ พ่อเวสสนั ดรของแม่เอ่ย อยา่
ท้อแทพ้ ระทัยเลยฟงั แม่ว่า ชะรอยวา่ กรรมได้ทามาแต่ก่อนแล้ว พระลูกแก้ว
จงึ มาจากพระชนนี
(มหาเวสสันดรชาดก ทานกณั ฑ)์
๖๑
บัตรกิจกรรมท่ี ๔.๔
คำชแี้ จง ใหน้ กั เรียนอำ่ นเร่อื ง ขนุ ช้ำงขนุ แผน ตอน ขนุ ชำ้ งถวำยฎกี ำ แลว้ ยกตวั อย่ำง
บทประพนั ธ์ทมี่ คี ณุ คำ่ ทำงดำ้ นวรรณศลิ ป์ ในประเดน็ ต่อไปนี้
ลลี ำกำรประพนั ธ์
๑.เสำวรจนี ............................................................................................................
................................................................................................................
................................................................................................................
.................................................................................................................
๒.นำรปี รำโมทย์ ................................................................................................................
....... ...............................................................................................................
..................................................................................................................
..................................................................................................................
3.พโิ รธวำทงั ..................................................................................................................
..................................................................................................................
................................................................................................................
..................................................................................................................
๔.ศลั ลำปงั คพิสัย ..............................................................................................................
...............................................................................................................
...............................................................................................................
...............................................................................................................
๖๒
บตั รเฉลยกจิ กรรมท่ี ๔.๔
คำช้ีแจง ใหน้ กั เรียนอ่ำนเร่อื ง ขนุ ชำ้ งขุนแผน ตอน ขนุ ช้ำงถวำยฎีกำ แลว้ ยกตัวอยำ่ ง
บทประพนั ธท์ มี่ ีคณุ ค่ำทำงดำ้ นวรรณศลิ ป์ ในประเดน็ ตอ่ ไปนี้
ลีลำกำรประพนั ธ์
หอมหวนอวลอบบุปผาชาติ เบิกบานก้านกลาดก่งิ ไสว
๑.เสำวรจนี เรณูฟูฟอ่ นขจรไกล ยา่ งเท้ากา้ วไปไมโ่ ครมคราม
ข้าไทนอนหลับลงทับกัน สะเดาะกลอนถอนล่นั ถึงชัน้ สาม
กระจกหลากฉากสลบั วับแวมวาม อร่ามแสงโคมแก้วแววจับตา
โอเ้ จา้ แกว้ แววตาของพี่เอ๋ย เจ้าหลับใหลกระไรเลยเปน็ หนักหนา
๒.นำรปี รำโมทย์ ดังน่มิ นอ้ งหมองใจไม่นาพา ฤาขดั เคืองคิดวา่ พี่ทอดทิง้
ความรักหนักหน่วงทรวงสวาท พี่ไม่คลาดคลายรกั แต่สกั ส่งิ
เผอิญเป็นวิปริตพ่ีผิดจริง จะนอนนง่ิ ถือโทษโกรธอยใู่ ย
ครานัน้ พระองคผ์ ทู้ รงภพ ฟงั จบแคน้ ค่งั ด่ังเพลิงไหม้
3.พิโรธวำทงั เหมือนดินประสวิ ปลิวติดกบั เปลวไฟ ดดู ๋เู ปน็ ไดอ้ ีวนั ทอง
จะวา่ รกั ขา้ งไหนไมว่ ่าได้ น้าใจจะประดังเขา้ ท้งั สอง
ออกน่ันเข้านม่ี ีสารอง ย่ิงกว่าทอ้ งทะเลอนั ลา้ ลกึ
ครานน้ั จงึ โฉมเจา้ วนั ทอง เศรา้ หมองด้วยลูกเป็นหนกั หนา
๔.ศัลลำปงั คพิสยั พอ่ พลายงามทรามสวาทของแมอ่ า แม่โศกาเกอื บเจยี นจะบรรลัย
ใช่จะอ่ิมเอิบอาบดว้ ยเงินทอง มิใช่ของตวั ทามาแต่ไหน
ทั้งผู้คนชา้ งมา้ แลขา้ ไท ไม่รักใครเ่ ท่ากับพ่อพลายงาม
๖๓
บัตรแบบฝกึ หัดที่ ๔.๑
คำชี้แจง ใหน้ กั เรียนอ่ำนบทประพนั ธท์ ่ีกำหนดแล้ววเิ ครำะหค์ ณุ คำ่ ดำ้ นวรรณศลิ ป์
โดยเติมขอ้ ควำมในช่องวำ่ งตำมประเดน็ ตอ่ ไปน้ี
ลลี ำกำรประพนั ธห์ รือรสในวรรณคดี
ก. เสำวรจนี ข. นำรปี รำโมทย์
ค. พโิ รธวำทงั ง. ศัลลำปงั คพสิ ัย
ข้อ ๑. นิจจาเจ้าวันทองนอ้ งพ่อี า พจ่ี าหนา้ เน้อื น้องได้ทกุ แห่ง
นจิ จาใจชา่ งกระไรมาแปลกแปลง เอามือคลาแล้วยงั แคลงอยู่คลบั คล้าย
เจา้ ลืมนอนซ่อนพุ่มกระทมุ่ ตา่ เด็ดใบบอนชอ้ นนา้ ทีไ่ ร่ฝ้าย
พีเ่ ค้ียวหมากเจ้าอยากพี่ยงั คาย แขนซา้ ยคอดแล้วเพราะหนนุ นอน
(................................................................................)
ข้อ ๒ โอ้ว่าปา่ นฉะนพ้ี ระพเี่ จ้า จะโศกเศร้าราจวญหวนหา
ตง้ั แต่ไปแกส้ งสยั มา ไมเ่ ห็นขนษิ ฐาในถ้าทอง
พระจะแสนโศกสรอ้ ยละหอ้ ยไห้ รอ้ นราชหฤทัยหม่นหมอง
จะดน้ั ด้นคดนควา้ เทีย่ วหานอ้ ง ทุกประเทศเถ่ือนทอ้ งพนาลี
(................................................................................)
ข้อ ๓. เพดานดาดลาดลว้ นกระจกงามพระเพลิงพลามพร่างพรอ้ ยสวา่ งพราย
ตาข่ายแกว้ ปักกรองเปน็ กรวยหอ้ ย ระยะย้อยแวววามอรา่ มฉาย
(................................................................................)
๖๔
แบบฝึกหัดท่ี ๔.๑ (ตอ่ )
ให้นกั เรียนอา่ นบทประพนั ธ์ตอ่ ไปน้แี ลว้ บอกวา่ ผแู้ ตง่ ใช้ภาพพจนช์ นิดใดบ้างพร้อมอธบิ าย
ข้อ ๔. วกั ทะเลเทใส่จาน รบั ประทานกบั ข้าวขาว
เอื้อมเกบ็ บางดวงดาว ไวค้ ลุกเคล้าซาวเกลือกนิ
ดูปูหอยเรงิ ระบา เตน้ ราทาเพลงวังเวงสนิ้
กง้ิ ก่าก้งิ กือบิน ไปกินตะวันและจันทร์
คางคกขึน้ วอทอง ลอยล่องทอ่ งเท่ยี วสวรรค์
อ่ึงอา่ งไปด้วยกัน เทวดานัน้ หนเี ขา้ กะลา
ไส้เดอื นเทยี่ วเก้ยี วสาว ชาวอปั สรนอนชนั้ ฟ้า
ทกุ จุลนิ ทรีย์อมบี า เชิดหน้าได้ดิบไดด้ ี
(วักทะเล : อังคาร กลั ยาณพงศ์)
................................................................................................................................
............................................................................................................................................
............................................................................................................................................
.
ข้อ ๕. “เขาคลอขลยุ่ ครวญเสียงเพยี งแผ่วผิว
ชะลอนวิ้ พลิว้ ผ่านจากมานหมอง
โอดสะอืน้ ออ้ ยอง่ิ ทงิ้ ทานอง
เปน็ คาพร้องพริ้งพรายระบายใจ....
เจา้ ดอกเอยดอกขจรอาวรณ์ถวิล
นกขมน้ิ เหลอื งอ่อนจะนอนไหน
เขาวางขลุ่ยขม่ นา้ ตาวา้ เหวใ่ จ
ตอบไม่ไดด้ อกหนาขา้ คนจร”
(นกขม้นิ : เนาวรตั น์ พงษไ์ พบลู ย)์
............................................................................................................................................
............................................................................................................................................
๖๕
แบบฝกึ หัดที่ ๔.๑ (ต่อ)
คำช้แี จง ใหน้ กั เรยี นอธิบำยว่ำบทประพนั ธต์ อ่ ไปนมี้ ลี กั ษณะเดน่ ในด้ำนใด
ข้อ ๖. “เห็นจากจากแจกก้าน แกมระกา
ถนดั ระกาแกมจา จากชา้
บาปใดทโ่ี ททา แทนเท่า ราแม่
จากแต่คาบนห้ี น้า พนี่ ้องคงถนอม”
............................................................................................................................
............................................................................................................................
ข้อ ๗. “แลว้ สอยดาวสาวเดอื นที่เกล่ือนฟ้า
มาทาอาหารใหค้ นไร้สน้ิ
ฟนั นภาทเี่ ห็นออกเปน็ ช้ิน
เอามาสินเย็บเปน็ เสือ้ เผ่อื คนจน”
............................................................................................................................
............................................................................................................................
ขอ้ ๘. ทัง้ หนาวลมหนาวพรมน้าค้างหนาว
ไหนจะหนาวซากผาศลิ าเย็น
โอ้หนาวอ่นื พอขนื อารมณ์ได้
แตห่ นาวใจยากแค้นน้ีแสนเข็ญ
ทงั้ หนาวนอนไกลนชุ สดุ จะเยน็
ใครจะเปน็ เหมอื นหนงึ่ ขา้ จะว่าจริง
............................................................................................................................
............................................................................................................................
๖๖
แบบฝึกหัดที่ ๔.๑ (ตอ่ )
คำชี้แจง ใหน้ กั เรียนอ่ำนบทประพนั ธท์ ีก่ ำหนดแลว้ วเิ ครำะหค์ ณุ ค่ำด้ำนวรรณศลิ ป์
โดยเติมขอ้ ควำมในช่องว่ำง ตำมประเดน็ ตอ่ ไปนี้
กำรใช้โวหำร
ก. บรรยายโวหาร
ข. พรรณนาโวหาร
ค. อุปมาโวหาร
ง. เทศนาโวหาร
ขอ้ ๙. “อนิจจาแสงเดอื นผอ่ งกระจา่ งจบั พระพักตรอ์ ยูเ่ ม่อื ก้ี ก็จางซีดขมกุ ขมวั ลง
ทอ้ งฟา้ สลัวมัวพยบั คร้มึ อากาศเยน็ เฉยี บจับหัวใจ นา้ ค้างหยดเผาะๆ เป็นหยาด
น้าตาแห่งสวรรค์ เกสรดอกรังร่วงพรูเป็นสายสหสั ธาราสรงพระพทุ ธสรีระ จักจั่น
เรไรสงัดเงยี บดูไม่มีแกใ่ จจะทาเสียง ธรรมชาตริ อบขา้ งตา่ งสลดหมดความคะนอง
ทุกสง่ิ ทกุ อย่าง แล้วจึงมีเสียงกระซิกๆ สะอนื้ ไหแ้ หง่ พระภษิ ุสงฆ์ ฝ่ายพวกมัลละก็
ร้องไหโ้ ฮแทบส้นิ สมฤดี”
(..................................................................................)
ขอ้ ๑๐. “อีกประการหนงึ่ ชวี ติ สังขารของมนษุ ยไ์ มย่ ง่ั ยืนยดื ยาวเหมอื นเหลก็
เหมือนศลิ า ถงึ โดยว่าจะมีพ่ออย่ใู นขณะหนงึ่ กค็ งจะมีเวลาทไี่ ม่มไี ด้ในขณะหนง่ึ
เป็นแน่แท้ ถา้ ประพฤตคิ วามชวั่ เสยี ในเวลามีพอ่ อยู่แลว้ โดยจะปิดบังซอ่ นเร้นอยู่
ได้ด้วยอยา่ งหนง่ึ อยา่ งใด เวลาไม่มีพอ่ ความชัว่ นน้ั คงจะปรากฏเปน็ โทษตดิ ตัว
เหมือนเงาตามหลังอยู่ไมข่ าด เพราะฉะน้ันจงเป็นคนอ่อนนอ้ ม ว่านอนสอนง่าย
อยา่ ให้เปน็ ทิฐมิ านะไปในทางทผ่ี ิด จงประพฤติตัวหนั มาทางทช่ี อบที่ถูกอยเู่ สมอ
เปน็ นจิ เถดิ ”
(..................................................................................)
๖๗
บัตรเฉลยแบบฝกึ หดั ท่ี ๔.๑
คำชี้แจง ใหน้ กั เรียนอ่ำนบทประพนั ธท์ ่กี ำหนดแล้ววิเครำะหค์ ณุ คำ่ ด้ำนวรรณศลิ ป์
โดยเติมข้อควำมในชอ่ งว่ำง ตำมประเดน็ ตอ่ ไปนี้
ลลี ำกำรประพนั ธห์ รอื รสในวรรณคดี
ก. เสำวรจนี ข. นำรปี รำโมทย์
ข. พโิ รธวำทงั ง. ศลั ลำปังคพสิ ยั
ข้อ ๑. นิจจาเจา้ วันทองนอ้ งพี่อา พี่จาหนา้ เนื้อนอ้ งไดท้ ุกแห่ง
นิจจาใจชา่ งกระไรมาแปลกแปลง เอามอื คลาแล้วยงั แคลงอย่คู ลับคลา้ ย
เจ้าลืมนอนซ่อนพุ่มกระทุ่มต่า เดด็ ใบบอนช้อนน้าทไ่ี ร่ฝา้ ย
พีเ่ คย้ี วหมากเจา้ อยากพยี่ งั คาย แขนซา้ ยคอดแล้วเพราะหนุนนอน
(ค. พิโรธวำทงั )
ขอ้ ๒. โอ้วา่ ปา่ นฉะนีพ้ ระพีเ่ จ้า จะโศกเศร้าราจวญหวนหา
ตัง้ แต่ไปแก้สงสัยมา ไม่เหน็ ขนษิ ฐาในถ้าทอง
พระจะแสนโศกสร้อยละหอ้ ยไห้ รอ้ นราชหฤทยั หม่นหมอง
จะดั้นดน้ คดนควา้ เทยี่ วหานอ้ ง ทุกประเทศเถอ่ื นทอ้ งพนาลี
(ง. ศัลลำปังคพสิ ยั )
ขอ้ ๓. เพดานดาดลาดลว้ นกระจกงาม พระเพลิงพลามพรา่ งพร้อยสว่างพราย
ตาข่ายแก้วปักกรองเป็นกรวยหอ้ ย ระยะยอ้ ยแวววามอรา่ มฉาย
(ก. เสำวรจนี)
๖๘
เฉลยแบบฝึกหัดที่ ๔.๑ (ต่อ)
ให้นกั เรียนอ่านบทประพนั ธต์ ่อไปน้ีแลว้ บอกว่าผู้แต่งใช้ภาพพจนช์ นดิ ใดบา้ งพร้อมอธบิ าย
ข้อ ๔. วกั ทะเลเทใสจ่ าน รับประทานกบั ข้าวขาว
เอื้อมเก็บบางดวงดาว ไว้คลุกเคล้าซาวเกลือกนิ
ดูปูหอยเริงระบา เต้นราทาเพลงวังเวงส้ิน
กิ้งกา่ กง้ิ กือบิน ไปกินตะวนั และจันทร์
คางคกขึน้ วอทอง ลอยล่องท่องเทย่ี วสวรรค์
อง่ึ อ่างไปดว้ ยกนั เทวดานัน้ หนเี ขา้ กะลา
ไส้เดือนเทีย่ วเก้ยี วสาว ชาวอัปสรนอนช้นั ฟา้
ทกุ จลุ ินทรีย์อมบี า เชดิ หน้าได้ดิบได้ดี
(วักทะเล : อังคาร กัลยาณพงศ)์
บทร้อยกรองนี้ใช้ภาพพจน์ ๒ ชนิด คือ อตพิ จน์ (การกลา่ วเกนิ จริง) กบั บุคคลวัต
(การสมมตใิ ห้ส่ิงที่ไมใ่ ชม่ นุษย์แต่แสดงกรยิ าอาการเหมือนมนุษย์ เชน่ ปู หอย กิ้งก่า
กิ้งกอื คางคก อง่ึ อา่ ง ทากรยิ า เตน้ รา บิน กิน ทอ่ งเท่ยี ว เปน็ ตน้ )
ข้อ ๕. “เขาคลอขลุ่ยครวญเสียงเพยี งแผว่ ผิว
ชะลอนวิ้ พลว้ิ ผ่านจากมานหมอง
โอดสะอน้ื อ้อยองิ่ ทิ้งทานอง
เป็นคาพร้องพร้ิงพรายระบายใจ....
เจา้ ดอกเอยดอกขจรอาวรณ์ถวิล
นกขมิน้ เหลอื งอ่อนจะนอนไหน
เขาวางขล่ยุ ขม่ น้าตาว้าเหวใ่ จ
ตอบไมไ่ ด้ดอกหนาข้าคนจร”
(นกขมิน้ : เนาวรัตน์ พงษไ์ พบลู ย)์
บทรอ้ ยกรองบทนี้ดีเด่นในดา้ น การสรรคา คือมกี ารเลน่ คาสัมผสั สระและสัมผสั
อกั ษร และมีการใชส้ ัญลกั ษณ์ คาวา่ นกขม้นิ หมายถึง คนรอ่ นเรพ่ เนจร
๖๙
เฉลยแบบฝกึ หัดท่ี ๔.๑ (ต่อ)
คำชี้แจง ใหน้ กั เรยี นอธิบำยว่ำบทประพนั ธ์ตอ่ ไปนม้ี ลี กั ษณะเดน่ ในดำ้ นใด
ขอ้ ๖. “เหน็ จากจากแจกก้าน แกมระกา
ถนดั ระกาแกมจา จากช้า
บาปใดท่โี ททา แทนเทา่ ราแม่
จากแต่คาบน้หี น้า พ่นี ้องคงถนอม”
บทร้อยกรองบทนดี้ เี ดน่ ในด้าน การสรรคา คอื มกี ารเล่นคาพ้องเสียง ได้แกค่ าวา่
จาก หมายถงึ ตน้ จาก และจาก หมายถงึ การพลดั พรากจากกัน
ขอ้ ๗. “แลว้ สอยดาวสาวเดอื นทเี่ กลื่อนฟา้
มาทาอาหารใหค้ นไรส้ ้ิน
ฟันนภาที่เห็นออกเปน็ ชิ้น
เอามาสนิ เยบ็ เป็นเสื้อเผ่ือคนจน”
บทรอ้ ยกรองบทนด้ี เี ด่นในดา้ นการใชภ้ าพพจน์ อติพจน์ กล่าวเกินจรงิ
ขอ้ ๘. ท้งั หนาวลมหนาวพรมน้าค้างหนาว
ไหนจะหนาวซากผาศลิ าเยน็
โอ้หนาวอืน่ พอขืนอารมณ์ได้
แตห่ นาวใจยากแค้นนแี้ สนเข็ญ
ทง้ั หนาวนอนไกลนชุ สุดจะเยน็
ใครจะเปน็ เหมือนหนึง่ ข้าจะวา่ จริง
บทประพนั ธ์บทนด้ี ีเดน่ ในดา้ นการเล่นคา โดยใช้คาวา่ หนาว ซา้ หลายคร้ัง
เพอื่ เนน้ ความหมาย
๗๐
เฉลยแบบฝกึ หดั ที่ ๔.๑ (ตอ่ )
คำช้ีแจง ใหน้ กั เรยี นอำ่ นบทประพนั ธท์ ่กี ำหนดแลว้ วเิ ครำะหค์ ณุ ค่ำด้ำนวรรณศลิ ป์
โดยเตมิ ข้อควำมในชอ่ งวำ่ ง ตำมประเดน็ ตอ่ ไปนี้
กำรใช้โวหำร
ก. บรรยายโวหาร
ข. พรรณนาโวหาร
ค. อุปมาโวหาร
ง. เทศนาโวหาร
ขอ้ ๙. “อนิจจาแสงเดอื นผอ่ งกระจา่ งจบั พระพกั ตรอ์ ยู่เม่อื กี้ ก็จางซีดขมุกขมวั ลง
ทอ้ งฟ้าสลวั มัวพยบั ครมึ้ อากาศเย็นเฉียบจบั หัวใจ นา้ ค้างหยดเผาะๆ เป็นหยาด
น้าตาแห่งสวรรค์ เกสรดอกรังร่วงพรูเปน็ สายสหสั ธาราสรงพระพุทธสรรี ะ จกั จั่น
เรไรสงัดเงียบดไู มม่ แี กใ่ จจะทาเสียง ธรรมชาติรอบขา้ งต่างสลดหมดความคะนอง
ทุกสงิ่ ทุกอย่าง แลว้ จงึ มีเสยี งกระซกิ ๆ สะอ้ืนไห้แหง่ พระภิกษุสงฆ์ ฝ่ายพวกมลั ละ
ก็ร้องไห้โฮแทบสิน้ สมฤดี”
( ข. พรรณนาโวหาร )
ขอ้ ๑๐. “อีกประการหนงึ่ ชวี ติ สังขารของมนษุ ย์ไมย่ ่ังยืนยดื ยาวเหมือนเหล็ก
เหมือนศลิ า ถึงโดยวา่ จะมีพ่ออยใู่ นขณะหนงึ่ กค็ งจะมเี วลาท่ไี ม่มีได้ในขณะหนง่ึ
เปน็ แน่แท้ ถ้าประพฤติความชั่วเสยี ในเวลามีพอ่ อยู่แลว้ โดยจะปิดบังซ่อนเรน้ อยู่
ได้ด้วยอย่างหนง่ึ อย่างใด เวลาไมม่ ีพ่อความชว่ั น้นั คงจะปรากฏเป็นโทษตดิ ตัว
เหมอื นเงาตามหลังอยไู่ มข่ าด เพราะฉะนนั้ จงเป็นคนออ่ นน้อม ว่านอนสอนง่าย
อย่าใหเ้ ป็นทิฐมิ านะไปในทางทีผ่ ดิ จงประพฤติตวั หนั มาทางทีช่ อบทีถ่ กู อยู่เสมอ
เป็นนิจเถิด”
ง. เทศนาโวหาร
๗๑
แบบทดสอบหลงั เรยี น ชดุ ท่ี ๔
คำชแี้ จง ใหน้ กั เรยี นเลือกข้อท่ีถกู ทสี่ ดุ เพียงข้อเดยี วแลว้ ทำเครื่องหมำย X ลงใน
กระดำษคำตอบ
๑. กำรพลิกแพลงภำษำท่ใี ชพ้ ดู และเขยี นใหแ้ ปลกออกไปจำกที่ใชอ้ ยูเ่ ปน็ ปกตกิ อ่
ใหเ้ กดิ จนิ ตภำพ หมำยถงึ ขอ้ ใด
ก. การสรรคา
ข. การเรียบเรียงคา
ค. ลีลาการประพันธ์
ง. การใช้โวหารภาพพจน์
2. กำรสมมตสิ ง่ิ ต่ำงๆให้มกี ริยำอำกำร ควำมรู้สกึ เหมือนมนษุ ย์ หมำยถงึ ข้อใด
ก. บคุ คลวัต
ข. อปุ ลักษณ์
ค. อติพจน์
ง. สทั พจน์
3. “บำงระมำดมำดหมำยสำยสวำท วำ่ สมมำดเหมอื นใจแลว้ ไม่เหมอื น
แสนสวำทมำดหมำยมำหลำยเดอื น มีแตเ่ คล่อื นแคล้วคลำดประหลำดใจ”
ขอ้ ใดไม่ปรำกฏในคำประพนั ธข์ ำ้ งตน้
ก. การซา้ คา
ข. การเล่นเสียงสัมผัส
ค. การเลน่ คาพ้องเสียง
ง. การเลน่ คาตรงกันข้าม
๗๒
4. “จำกควำมวนุ่ วำยวู่วำมสคู่ วำมว่ำง จำกควำมมืดมำสว่ำงอย่ำงเฉดิ ฉนั
จำกควำมร้อนระอเุ ปน็ เยน็ นริ นั ดร์ ไม่รพู้ ลนั พลิกเหน็ เปน็ ควำมรู้”
คณุ คำ่ ด้ำนวรรณศลิ ป์ของบทประพนั ธข์ ้ำงต้นคอื ขอ้ ใด
ก. การเล่นเสยี งสัมผสั
ข. การซ้าคาเนน้ ความหมาย
ค. การเล่นคาหลากความหมาย
ง. การใช้คาทมี่ ีความหมายขัดแย้งกนั
๕. “ฉับฉวยชกฉกชำ้ ฉกุ ฉับ
โถมทุบทมุ่ ถองทบั ถบี ทำ้ ว
เตะตตี ่อยตบุ ตบั ตบตกั
หมดหมเู่ มงมอญมำ้ ว ม้ำนเมือ้ หมำงเมนิ ”
คำประพนั ธข์ ำ้ งตน้ ไมใ่ ชก้ ลวธิ กี ำรแตง่ ในขอ้ ใด
ก. การเล่นคาซ้า
ข. การเล่นสมั ผสั สระ
ค. การเล่นสมั ผัสอักษร
ง. การเลียนเสยี งธรรมชาติ
๖. “เงยี บสตั วจ์ ัตบุ ททวบิ ำท ดำวดำษเดือนสว่ำงกระจ่ำงไข
นำ้ ค้ำงตกกระเซน็ เยน็ เยอื กใจ สงดั เสยี งคนใครไมพ่ ดู จำ
ได้ยินเสียงฆอ้ งยำ่ ประจำวงั ลอยลมล่องดงั ถงึ เคหำ
คะเนนบั ย่ำยำมไดส้ ำมครำ ดูเวลำปลอดหว่ งทกั ทนิ ”
คำประพนั ธ์ขำ้ งตน้ ใช้โวหำรใดในกำรประพนั ธ์
ก. อปุ มาโวหาร
ข. บรรยายโวหาร
ค. พรรณนาโวหาร
ง. สาธกโวหาร
๗๓
๗. “ตกว่ำกหู ำเปน็ เจ้ำชวี ิตไม่ มงึ ถอื ใจวำ่ เปน็ เจำ้ ทโี่ รงโขน
เปน็ ไมม่ ีอำญำสทิ ธค์ิ ิดดึงโดน เทยี่ วทำโจรใจคะนองจองหองครนั
เล้ยี งมงึ ไมไ่ ด้อำ้ ยใจร้ำย ชอบแต่เฆีย่ นสองหวำยตลอดสนั
แล้วกลับควำมถำมข้ำงวนั ทองพลนั เออเม่ือมนั ฉุดครำ่ พำมึงไป”
คำประพนั ธ์ข้ำงตน้ ใชล้ ลี ำกำรประพนั ธต์ ำมขอ้ ใด
ก. เสาวรจนี
ข. นารปี ราโมทย์
ค. พิโรธวาทัง
ง. สัลลาปังคพิสยั
๘. “ใจน้องมใิ หห้ มองอำรมณห์ ม่อม ไมต่ ดั ใจใหต้ รอมเสนห่ ำ
ถำ้ ตัดรกั หกั ใจแลว้ ไม่มำ หมอ่ มอยำ่ ว่ำเลยวำ่ ฉนั ไมค่ นื คดิ ”
คำประพนั ธข์ ้ำงตน้ ใชล้ ลี ำกำรประพนั ธต์ ำมขอ้ ใด
ก. เสาวรจนี
ข. นารปี ราโมทย์
ค. พิโรธวาทงั
ง. สลั ลาปังคพิสยั
๙. “จอกแหนแพเสำสำเภำใหญ่ จะทอดถมเท่ำไรไมร่ ้สู กึ
เหมอื นมหำสมทุ รสดุ ซงึ้ ซกึ นำ้ ลกึ เหลอื จะหยงั่ กระทงั่ ดนิ ”
คำประพนั ธ์ขำ้ งตน้ ใช้โวหำรภำพพจนช์ นดิ ใด
ก. อุปลกั ษณ์
ข. อปุ มา
ค. สทั พจน์
ง. บุคคลวตั
๑๐. ข้อใดใช้ภำพพจน์แตกต่ำงจำกข้ออ่นื
ก. ลมระเริงลู่หวิวพล้ิวระลอก สัพยอกยอดไมไ้ ปลิ่วล่อง
ข. หางนกยงู ระย้าเรย่ี คลอเคลยี นา้ แพนดอกฉา่ ชอ้ ยช่อวิจิตร
ค. เห็นคล้ายปลาว่ายเฉวยี นฉวดั ระลอกซดั ลาดกระเซ็นขนึ้ เต้นหยอย
ง. เฝ้าแหงนดดู วงแขชะแงพ้ ักตร์ เห็นจันทรช์ ักรถรอ่ นเวหาเหิน
๗๔
กระดาษคาตอบแบบทดสอบก่อน-หลงั เรียน ง
ชื่อ...................................เลขท.่ี .............ช้ัน...............
ข้อ ก ข ค
๑.
๒.
๓.
๔.
๕.
๖.
๗.
๘.
๙.
๑๐.
๗๕
บัตรเฉลยแบบทดสอบ
กำรวเิ ครำะหค์ ณุ คำ่ ดำ้ นวรรณศิลป์
แบบทดสอบกอ่ นเรียน แบบทดสอบหลังเรยี น
ขอ้ ๑. ง ข้อ ๑. ง
ขอ้ ๒. ง ขอ้ ๒. ก
ขอ้ ๓. ก ขอ้ ๓. ค
ข้อ ๔ ค ขอ้ ๔. ง
ขอ้ ๕. ค ข้อ ๕. ก
ข้อ ๖. ก ข้อ ๖. ข
ข้อ ๗. ข ข้อ ๗. ค
ข้อ ๘. ค ขอ้ ๘. ค
ข้อ ๙. ค ข้อ ๙. ข
ขอ้ ๑๐.ข ขอ้ ๑๐.ค
๗๖
บรรณำนกุ รม
เนาวรัตน์ พงษ์ไพบลู ย์. (๒๕๕๗). เพยี งควำมเคลอ่ื นไหว. (พิมพค์ รั้งท่ี ๑๔). กรุงเทพฯ:
ภาพพมิ พ.์
เปรมเสร.ี (๒๕๔๐). ขนุ ชำ้ ง ขนุ แผน ชดุ วรรณคดไี ทยรอ้ ยแกว้ . (พมิ พ์ครั้งท่ี ๘).
กรงุ เทพฯ: รวมสาส์น
เยาวลักษณ์ ชาตสิ ุขศิริเดช. (๒๕๔๕). เรียงถ้อยรอ้ ยกรอง. (พิมพ์ครั้งท่ี ๓). กรุงเทพฯ :
อกั ษรเจรญิ ทศั น์.
เสนยี ์ วิลาวรรณ. (๒๕๔๗). กำรเขยี น ๒. กรุงเทพฯ : วัฒนาพานิช.
ศิลปากร, กรม. (๒๕๒๖). ควำมรทู้ ัว่ ไปทำงวรรณคดไี ทย ลิลติ พระลอ. (พมิ พค์ รั้งที่ ๑๗).
กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง.
ศิวกานท์ ปทุมสูต.ิ (๒๕๔๖). บทกวีร่วมสมยั . (พมิ พ์ครัง้ ท่ี ๒). กรงุ เทพฯ :
อกั ษรเจริญทัศน์.
โวหารภาพพจน์ในวรรณคดีไทย. [ออนไลน์]. เขา้ ถึงได้จาก. http://www.baanjomyut.
com/ library_2/quirky_image_in_thai_literature/index.html. [๒๕๕๗,
กรกฎาคม 7]
โวหาร. [ออนไลน]์ . เขา้ ถึงได้จาก. http:// www.thaigoodview.com/library/
studentshow/st2545/5-5/.../vohran.htm [๒๕๕๗, กรกฎาคม 7]
รสในวรรณคดไี ทย. [ออนไลน์]. เขา้ ถึงได้จาก. http://forum.02dual.com/index.
php?topic=๑๖๕.๐.[๒๕๕๗, กรกฎาคม 7]