โพธิญาณ
From: http://www.ajahnchah.org/thai/ajahn-chah-thai-index.php
Download 105 กณั ฑ์ : http://www.watnongpahpong.org/mp3play.php
ทา นเจาคณุ พระโพธญิ าณเถร
ชวี ประวัติพระโพธิญาณเถร (ชา สภุ ทั โท)
MP3 ชีวประวัติพระอาจารยชา
http://www.watnongpahpong.org/mp3/lpchah/prawatlpc.mp3
ชาติภมู ิ
พระโพธิญาณเถร นามเดมิ ชา ชวงโชติ เกิดเมือ่ วนั ศกุ ร ขึ้น ๗ คาํ่ เดอื น ๗ ปม ะเมยี ตรงกับวันท่ี ๑๗ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๔๖๑ ณ บา นจิกกอ
หมูท่ี ๙ ต. ธาตุ อ. วารินชาํ ราบ จ. อบุ ลราชธานี บดิ าชอื่ นายมา มารดาชื่อ นางพมิ ชวงโชตมิ ีพนี่ อ งรวมบิดามารดาเดยี วกนั ๑๐ คน
ปฐมศึกษา
สมัยน้นั การศกึ ษายังไมเจริญท่ัวถงึ หลวงพอ จงึ ไดเขา ศึกษา ที่ ร.ร. บา นกอ ต. ธาตุ อ. วารนิ ชําราบ จ. อบุ ลราชธานี เรยี นจบ ชั้น ป. ๑
จึงไดออกจากโรงเรยี น เน่อื งจากหลวงพอ มคี วามสนใจ ทางศาสนา ตัง้ ใจจะบวชเปน สามเณร จงึ ไดข ออนญุ าตจากบดิ ามารดา
เมอ่ื ทา นเห็นดดี วยทา นจงึ นําไปฝากไวท ว่ี ดั
ชีวิตในรมกาสาวพสั ตร
ในขณะนน้ั หลวงพอ มีอายุ ๑๓ ป เมือ่ โยมบิดาไดนําไปฝากกบั ทานเจา อาวาส และไดร บั การฝกหดั อบรมใหรรู ะเบียบการ บรรพชาดแี ลว
จึงอนญุ าตใหบรรพชาเปน สามเณรเมือ่ เดอื นมนี าคม พ.ศ.๒๔๗๔ โดยมีพระครวู จิ ิตรธรรมภาษี(พวง) อดีตเจา อาวาสวัดมณวี นาราม
เปน พระอปุ ชฌาย
เมอื่ บรรพชาเปนสามเณรแลว ก็ไดทองทําวัตรสวดมนต เรียนหนังสอื พืน้ เมือง(ตัวธรรม) และไดศกึ ษานกั ธรรมชั้นตรี
อยปู ฏบิ ัติครบู าอาจารยเ ปน เวลา ๓ พรรษา
เน่อื งจากมคี วามจําเปน บางอยา งจึงไดล าสกิ ขาออกไปทํางานชว ยบดิ ามารดาตามความสามารถของตน
ตงั้ อยูในโอวาทของบดิ ามารดามคี วามเคารพบชู าในพระคณุ ของทา น พยายามประพฤติตนเปนลกู ท่ดี ีของทานเสมอมา
ครนั้ อยูต อมาอีกหลายป ไมวาจะทาํ งานอะไรอยูทไ่ี หนความสนใจในการอุปสมบทเพ่อื ศึกษาธรรม ดูเหมอื นคอยเตอื นใหมคี วามสํานกึ อยูเสมอ
คิดอยากจะบวชเปน พระ ไดป รกึ ษากับบิดามารดา เม่อื ตกลงกนั ดีแลว
บิดาจึงนําไปฝากทว่ี ัดบา นกอใน(ปจจบุ ันเปน ท่ีธรณีสงฆเ พราะรา งมานาน
แลว )และไดอปุ สมบทที่พทั ธสีมาวดั กอ ในต.ธาตุอ.วารนิ ชาํ ราบจ.อุบลราชธานี เมอ่ื วนั ท่ี ๒๖ เมษายน พ.ศ.๒๔๘๒ เวลา ๑๓.๕๕ น. โดยมี
ทานพระครูอินทรสารคณุ เปน พระอปุ ช ฌาย
ทานพระครูวิรฬุ สตุ การ เปน พระกรรมวาจาจารย
พระอธิการสวน เปน พระอนุสาวนาจารย
เม่อื อปุ สมบทแลว พรรษาที่ ๑-๒ จําพรรษาอยทู วี่ ัดกอนอก ไดศกึ ษาปริยัตธิ รรม และสอบนักธรรมชนั้ ตรไี ด
ออกศกึ ษาตา งถ่นิ
เมอ่ื สอบนกั ธรรมตรีไดแ ลว เน่อื งจากครบู าอาจารยหายาก ทมี่ อี ยูก็ไมคอ ยชาํ นาญในการสอน จงึ ตง้ั ใจจะไปแสวงหาความรตู างถนิ่
เพราะยังจําภาษติ โบราณสอนไวว า
ออกจากบาน ฮหู ม ทางเทย่ี ว เรียนวิชา หอ นสิมีความฮู
ป พ.ศ. ๒๔๘๒ จงึ ไดยายจากวัดกอนอกไปศึกษาปรยิ ตั ิธรรมที่วดั สวนสวรรค อ. พบิ ลู มงั สาหาร จ. อบุ ลราชธานี และอยทู ี่นี่ ๑ พรรษา
และไดพจิ ารณาเหน็ วา เรามาอยทู ีน่ ีเ่ พื่อศกึ ษากด็ ี พอสมควรแตย ังไมเ ปนทีพ่ อใจนัก ไดท ราบขา ววา ทางสํานัก
ตา งอําเภอมกี ารสอนดีอยหู ลายแหงซึ่งมีมากทั้งคณุ ภาพและ ปริมาณ จงึ ชวนเพอื่ นลาทานเจาอาวาสแจงความประสงคใ หทา น ทราบ
ป พ.ศ. ๒๔๘๕ เดนิ ทางจาก อ. พิบูลมังสาหาร มุงสูสาํ นกั เรยี นวดั หนองหลัก ต. เหลาบก อ.มวงสามสิบ จ. อุบลราชธานี
ไดพักอาศัยอยกู บั ทา นพระครอู รรคธรรมวจิ ารณ ไดถามจากเพ่ือนบรรพชิตก็ทราบวา ทา นสอนดมี คี รสู อนหลายรูปมพี ระภิกษุ
สามเณรมากรปู ดว ยกันสระยะท่ีไปอยเู ปน ฤดูแลง อาหารการฉนั รสู ึกจะอด เพ่ือนท่ีไปดวยกันไมชอบจงึ พดู รบเรา อยากจะพาไปอยสู าํ นักอ่นื
หลวงพอ พูดวา ท้ังๆทีเ่ ราก็ชอบอัธยาศยั ของครอู าจารยทวี่ ดั หนองหลกั แตไ มอยากจะขัดใจเพ่ือน จงึ ตกลงกนั วา
ถา ไปอยูแลวเกดิ ไมพ อใจหรือไมถ กู ใจแลวจะกลับมาอยทู ห่ี นองหลักอีก จึงไดเดนิ ทางไปอยูกับทา นมหาแจง วดั เคง็ ใหญ ต. เคง็ ใหญ อ.
อาํ นาจเจริญ จ. อุบลราชธานี ไดอ ยูจําพรรษาศึกษานักธรรมชน้ั โทและบาลีไวยากรณ
แตตามความรูสกึ เทาทีส่ ังเกตเห็นวา ทา นมไิ ดท ําการสอนเตม็ ที่ ดูเหมอื นจะถอยหลงั ไปดวยซ้าํ ตั้งใจไววา เมือ่ สอบนักธรรมเสร็จ
ไดเ วลาสมควรก็จะลาทานมหาแจงกลับไปอยทู ่ีวดั หนองหลกั เมอ่ื สอบแลว และผลการสอบตอนปลายปป รากฏวา สอบนักธรรมชั้นโทได
ป พ.ศ. ๒๔๘๖ จึงยายจากวัดเคง็ ใหญ มาอยูก บั หลวงพอ พระครูอรรคธรรมวิจารณว ัดหนองหลัก ต. เหลาบก อ.มวงสามสบิ จ. อุบลราชธานี
ต้ังใจศกึ ษาท้ังนกั ธรรมช้นั เอกและเรยี นบาลไี วยากรณซาํ้ อีกทง้ั พอใจในการสอนการเรยี นในสํานักนี้มาก
งดสอบเพือ่ ผบู ังเกิดเกลา
ท้ังๆท่ีปน ี้ (๒๔๘๖) เปนปท ่ีหลวงพอเองเกดิ ความภูมิใจ สนใจในการศกึ ษา มงุ หนา บากบน่ั ขยันเรียนอยา งเตม็ ที่ และไดต ั้งความหวงั ไวว า
เมอื่ ผลการสอบตอนปลายปอ อกมาจะพาใหไดรับความดีใจ
หลังจากออกพรรษา ปวารณาและกาลกฐินผา นไป...กไ็ ดรบั ขา วจากทางบานวา โยมบิดาปว ยหนกั หลวงพอก็เกิดความ ลังเลใจ พะวาพะวง
หว งการศกึ ษาก็หว ง หวงโยมบดิ ากห็ วง แตความหวงผบู งั เกดิ เกลา มีน้ําหนกั มากกวา เพราะมาคิดไดว า โยมบดิ าเปนผมู ีพระคณุ อยา งเหลอื ลน
เรามชี วี ติ และเปน อยู มาไดก ็เพราะทาน สมควรท่ีเราจะแสดงความกตัญใู หป รากฏ เสยี การศึกษายังมเี วลาเรียกกลบั มาได
แตส ิ้นบญุ พอ เราจะขอไดจากที่ไหน...ความกตัญมู พี ลงั มารั้งจติ ใจใหค ดิ กลบั ไปเยี่ยม
โยมพอเพือ่ พยาบาลรักษาทา น...ท้ังๆทวี่ ันสอบนักธรรมก็ใกล เขามาทกุ ที แตยอมเสียสละถา หากโยมพอยังไมห ายปว ย และ
นึกถึงคําสอนของพระพทุ ธองคท ่ีทรงตรัสไวว า ความกตญั กู ตเวที เปน เครอ่ื งหมายของคนดี
ดว ยความสาํ นกึ ดังกลา ว จงึ ไดเ ดินทางกลบั บา น เมอ่ื ถึงแลว ก็ไดเ ขาเย่ยี มดอู าการปวย ท้ังๆทไ่ี ดช วยกันพยาบาลรักษาจนสุดความสามารถ
อาการของโยมพอกม็ ีแตท รงกับทรุด คิดๆดกู เ็ หมือนตอไมทตี่ ายแลว แมใ ครจะใหนาํ้ ใหป ุยถูกตองตามหลกั วิชาการเกษตรสกั เพยี งใด
ก็ไมสามารถทําใหมนั แตกหนอ เจรญิ งอกงามข้นึ มาได
คาํ สัง่ ของพอ
ตามปกตนิ ้ันนับตง้ั แตห ลวงพอไดอ ุปสมบทมา เม่ือมีโอกาสเขา ไปเย่ียมโยมบดิ ามารดา หลงั จากไดพดู คุยเรือ่ งอ่ืนมาพอสมควรแลว
โยมพอ มักจะวกเขาหาเร่อื งความเปน อยูในเพศสมณะ ทานมกั จะปรารภดวยความเปนหว งแกมขอรองวา อยาลาสิกขานะ
อยเู ปนพระไปอยา งน้ีแหละดี สึกออกมามนั ยงุ ยาก ลําบาก หาความสบายไมไ ด ทา นไดยนิ แลว ก็น่งิ มิไดตอบ แตครัง้ นี้ ซงึ่ โยมพอ กาํ ลังปวย
ทา นกไ็ ดพดู เชน นนั้ อีกพรอ มกบั มองหนา คลา ยจะรอฟงคาํ ตอบอยู ทา นจึงบอกโยมพอไปวา ไมสกึ ไมเ สิกหรอกจะสกึ ไปทาํ ไมกัน
รสู กึ วาเปนคําตอบท่ที าํ ใหโยมพอพอใจ หลวงพอมาอยเู ฝา ดแู ลอาการปวยของโยมพอนับเปนเวลา ๑๓ วนั โยมพอ จึงไดถ ึงแกกรรม
ในระยะที่ไดเฝา ดอู าการปว ยของโยมพออยูน้นั เมอ่ื โยมพอไดท ราบวาอกี ๔-๕ วันจะถึงวันสอบนักธรรม
ทานจึงบอกวาถึงเวลาสอบแลว จะไปสอบก็ไปเสีย จะเสยี การเรยี น...แตหลวงพอไดพ จิ ารณาดูอาการปวยของทานแลว ตัง้ ใจวาจะไมไ ป จะอยูให
โยมพออุนใจกอนทที่ านจะจากไป...อีกอยางหน่งึ จะทําใหค นเขาตําหนไิ ดวา เปน คนเหน็ แกตวั ผบู งั เกดิ เกลา กาํ ลังปว ยหนักยังทอดทิง้ ไปได
เลยจะกลายเปน ลกู อกตัญเู ทา นน้ั
หลวงพอเลา วา ในระหวางเฝาดอู าการปว ยของโยมพอ จนกระทั่งทานถงึ แกกรรม ทําใหไ ดพ จิ ารณาถึงธาตุกรรมฐาน
พิจารณาดูอาการท่เี กดิ ดับของสงั ขารทงั้ มวล และเกิดความสงั เวชใจวาอันชวี ติ ยอ มส้นิ ลงแคนห้ี รือ? จะยากดีมจี นกพ็ ากันดิน้ รนไปหาความตาย
อนั เปนจดุ หมายปลายทาง อนั ความแก ความเจบ็ ความตายนั้น เปน สมบัติสากลทท่ี กุ คนจะตองไดร ับ
จะยอมรับหรือไมก ไ็ มเหน็ ใครหนพี นสักราย...
ป พ.ศ.๒๔๘๗ เมือ่ จัดการกับการฌาปนกิจโยมบดิ าเรยี บรอยแลว หลวงพอก็เดินทางกลบั สํานกั วัดหนองหลัก เพื่อตง้ั ใจศึกษาเลาเรยี นตอไป
แตบางวันบางโอกาส ทําใหท า นนกึ ถึงภาพของโยมพอทนี่ อนปว ย รา งซูบผอมออ นเพลยี นกึ ถึงคาํ สงั่ ของโยมพอ
และนึกถึงภาพทท่ี า นมรณะไปตอหนา ยิ่งทาํ ใหเ กิดความลดใจสังเวชใจ ความรูสึกเหลา นีม้ นั ปรากฏเปน ระยะๆ
ในระหวางพรรษาน้ี ขณะท่กี าํ ลงั แปลหนังสอื ธรรมบทจบไปหลายเลม ไดท ราบพทุ ธประวัตสิ าวกประวตั ิจากหนงั สอื เลม น้ันแลวมาพิจารณาดู
การทเ่ี ราเรียนอยูนค้ี รูกพ็ าแปลแตส ่งิ ท่ีเรารู เราเห็นมาแลว เชน เรื่องตนไม ภูเขา ผูหญงิ ผชู าย และสัตวต างๆ สตั วมีปกบาง ไมมีปก บาง สัตว
มีเทาบา ง ซ่งึ ลวนแตเ รา ไดพ บเห็นมาแลวเปนสว นมาก จติ ใจกร็ สู ึกเกิดความเบอ่ื หนา ย จงึ คิดวามใิ ชท างพน ทกุ ข
พระพุทธองคคงจะไมมีพุทธประสงคใ หบวชมาเพอ่ื เรียนอยางเดยี ว และเรากไ็ ดเรียนมาบา งแลว จงึ อยากจะศกึ ษาทางปฏบิ ตั ิดูบา ง
เพือ่ จะไดท ราบวามคี วามแตกตางกนั เพยี งใด แตย ังมองไมเหน็ ครูบาอาจารยผ ูพ อจะเปน ท่ีพึง่ ได จงึ ตดั สนิ ใจจะกลับบา น
พ.ศ.๒๔๘๘ ในระหวา งฤดูแลง จงึ ไดปรกึ ษากบั พระถวลั ย( สา) ญาณจารี เขากราบลาหลวงพอ พระครูอรรคธรรมวิจารณ
เดินทางกลับมาพักอยูวดั กอนอกตามเดิม และในพรรษาน้ันกไ็ ดเปน ครูชวยสอนนักธรรมใหท านอาจารยท วี่ ดั
จึงไดเ ห็นภกิ ษสุ ามเณรท่เี รียนโดยไมคอ ยเคารพในการเรียน ไมเ อาใจใส เรยี นพอเปน พิธี บางรปู นอนนํ้าลายไหล
จงึ ทาํ ใหเ กดิ ความสังเวชใจมากข้ึนตง้ั ใจวาออกพรรษาแลวเราจะตองแสวงหาครูบาอาจารย ดา นวปิ ส นาใหไ ด
เมอ่ื สงนกั เรียนเขาสอบและหลวงพอก็เขา สอบนกั ธรรมเอกดว ย (ผลการสอบปรากฏวาสอบนกั ธรรมเอกได)
ออกปฏบิ ัติธรรม
หลงั จากสอบนกั ธรรมเสรจ็ แลว สระยะนัน้ ไดทราบขา ววาทา นอาจารยมัน่ วดั ปห ลอ อ.เดชอดุ ม จ.อุบลราชธานี เปนผสู อนทางวปิ ส นาธุระ
จึงไดม ุงหนา ไดสวู ัดของทานทนั ที และไดฝากตวั เปน ศษิ ยอ ยปู ฏบิ ัติทดลองดไู ด ๑๐ วนั มีความรสู ึกวา ยังไมใ ชทางตรงแท
ยงั ไมเ ปน ที่พอใจในวธิ นี ั้น จงึ กราบลาทา นกลบั มาพกั อยูวดั นอกอีก
พ.ศ.๒๔๘๙ (พรรษาท่ี๘) ในระหวา งตนป ไดชวน พระถวัลยออกเดินธดุ งคม งุ ไปสูจ งั หวัดสระบรุ ีเปนเพอ่ื นรวมเดนิ ทาง
ไดพกั อยูต ามปาตามเขาไปเรอ่ื ยๆ จนกระทัง่ ไปถึงเขตหมูบ านยางคู
ต.ยางคจู .สระบรุ ีไดพ ักอยูท น่ี ่ันนานพอสมควรพิจารณาเหน็ วา สถานที่ยังไมเ หมาะสมเทาใดนัก ท้ังครูบาอาจารยก ็ยังไมด ี
จึงเดินทางเขา สเู ขตจังหวัดลพบุรีมงุ สูเขาวงกฏ อันเปน สํานกั ของหลวงพอเภา แตก น็ า เสียดายทหี่ ลวงพอเภาทานมรณภาพเสยี แลว
เหลอื แตอาจารยวรรณ ซง่ึ เปน ลกู ศิษยข องหลวงพอ เภาอยดู แู ล ส่งั สอนแทนทานเทาน้นั
แตก ย็ ังดีท่ไี ดอาศยั ศกึ ษาระเบียบขอ ปฏิบตั ทิ ่หี ลวงพอ เภาทานวางไว
และไดอานคติพจนท ีห่ ลวงพอเขียนไวต ามปากถา้ํ และตามทีอ่ ยูอาศัยเพื่อเตือนใจ ทง้ั ไดม โี อกาส ศึกษาพระวินัยจนเปน ที่เขาใจยง่ิ ข้นึ
เปน เหตใุ หม กี ารสงั วรระวัง ไมกลา ฝา ฝนแมแตส กิ ขาบทเล็กๆนอยๆ การศึกษาวนิ ัยนั้นศกึ ษาจากหนงั สอื บาง
และไดร ับคาํ แนะนาํ จากพระอาจารยผูชํานาญทง้ั ปรยิ ตั ิและปฏบิ ัตบิ าง ซ่งึ ทานมาจากประเทศกมั พชู า ทา นวา เขา มาสอบทานพระไตรปฎ กไทย
ทานเลาใหฟงวา ทแ่ี ปลไวใ นหนังสือนวโกวาทนน้ั บางตอนยงั ผดิ พลาด ทา นอาจารยรปู นั้นเกงทางวินัยมาก
จาํ หนงั สือบุพสกิ ขาไดแมน ยําเหมอื นกบั เราจาํ ปฏสิ ังขาโยฯ ทานบอกวา เม่ือเสรจ็ ภารกจิ ในประเทศไทยแลวทานจะเดนิ ทางไปประเทศพมา
เพ่ือศึกษาตอไป ทานเปนพระธุดงคช อบอยูตามปา นา สรรเสริญนาํ้ ใจทา นอยอู ยา งหน่งึ คือ
วนั หน่ึงหลวงพอ ไดศกึ ษาวนิ ัยกบั ทา นอาจารยร ูปนั้นหลายขอ มีอยขู อ หน่งึ ซึง่ ทา นบอกคลาดเคลอื่ นไป ตามปกติหลวงพอ
เมือ่ ไดศ ึกษาวนิ ัยและทํากิจวตั รแลว คร้นั ถงึ กลางคืนทา นจะข้นึ ไปพักเดินจงกรม น่งั สมาธิอยบู นหลงั เขา วนั นัน้ ประมาณ ๔ ทมุ กวา ๆ
ขณะที่กําลงั เดนิ จงกรมอยูไดย ินเสียงกง่ิ ไมใ บไมแ หง ดังกรอบแกรบ ใกลเ ขามาทกุ ทีทา นเขา ใจวา คงจะเปนงูหรอื สตั ว อยางอน่ื ออกหากนิ
แตพ อเสียงนัน้ ดงั ใกลๆเขา มา ทา นจึงมองเห็นอาจารยเขมรรปู น้ัน หลวงพอ จึงถามวา ทานอาจารยม ธี ุระอะไรจงึ ไดมาดกึ ๆดนื่ ๆ ทา นจงึ ตอบวา
ผมบอกวนิ ัยทานผดิ ขอหนง่ึ หลวงพอ จงึ เรียนวา ไมค วรลาํ บากถงึ เพยี งนี้เลย ไฟสอ งทางกไ็ มม ี เอาไวพรงุ น้จี ึงบอกผมใหมก ็ได ทานตอบวา
ไมไ ดๆ เมอื่ ผมบอกผิด ถา ผมตายในคนื นท้ี านจําไปสอนคนอ่ืนผิดๆอกี กจ็ ะเปนบาปเปน กรรมเปลาๆ เมื่อทานบอกเรยี บรอยแลวกก็ ลับลงไป
ดเู ถดิ น้าํ ใจของทา นอาจารยรูปนน้ั ชางประเสรฐิ และมองเห็นประโยชนจ ริงๆ แมจะมคี วามผดิ พลาดเล็กนอยในการบอกสอนกม็ ิไดประมาท
ไมรอใหข า มวันขา มคนื รบี แกไขทนั ทที ันใด จึงเปนตวั อยางทีด่ ีแกเราทงั้ หลาย และนาสรรเสรญิ นํา้ ใจของทานโดยแท
พดู ถงึ การปฏบิ ัตทิ ี่เขาวงกฏในขณะนนั้ รสู ึกวายังไมแยบคาย เทา ใดนัก
หลวงพอ จงึ คดิ จะหาอาจารยผ เู ชี่ยวชาญยิ่งกวานีเ้ พอ่ื ปฏบิ ตั แิ ละคน ควา ตอไป
ทานจงึ นกึ ถงึ ตั้งแตครัง้ ยงั เปน สามเณรอยทู ีว่ ดั กอนอกเคยไดเ ห็นพระกรรมฐานมลี กู ปดแขวนคอสาํ หรบั
ใชภ าวนากันลมื ทานอยากจะไดมาภาวนาทดลองดบู างนึกหาอะไรไมไ ดจ งึ มองไปเหน็ ลกู ตะแบก(ลกู เปอ ยภเู ขา) กลมๆ อยู
บนตนครัน้ จะไปเดด็ เอามาเองกก็ ลัวจะเปน อาบัติวันหนงึ่ มีพวกลิงพากันมาหกั กิง่ ไมและรดู ลกู ตะแบกเหลา น้นั มาคิดวา เขารอ ยเปนพวงคลอ งคอ
แตเราไมมอี ะไรจะรอ ยจงึ ถือเอาวาเวลา ภาวนาจบบทหนึ่งจงึ คอยๆ ปลอยลกู ตะแบกลงกระปอ งทลี ะลูกจนครบรอ ยแปดลกู
ทําอยอู ยางน้ันสามคืนจึงเกิดความรสู กึ วา ทําอยางนี้ไมใชทางเพราะไมตา งอะไรกบั เจกนับลกู หมากขาย ในตลาด จงึ ไดห ยดุ นบั ลกู ตะแบกเสยี
เหตุการณแปลกๆ ในพรรษาท่ี ๘ น้ี ขณะจําพรรษาอยูทว่ี ดั เขาวงกฏ วันหนงึ่ ขณะทข่ี ึ้นไปอยูบ นหลังเขา หลังจากเดินจงกรมและน่งั สมาธแิ ลว
ก็จะพักผอ นตามปกติ กอ นจาํ วตั รจะตอ งสวดมนตไ หวพ ระ แตว ันน้นั เชือ่ ความบรสิ ทุ ธขิ์ องตนเอง จงึ ไมไ ดส วดอะไร ขณะที่กําลงั เคล้ิมจะหลับ
ปรากฏวา เหมอื น มอี ะไรมารัดลาํ คอแนนเขา ๆแทบหายใจไมอ อก ไดแ ตนึกภาวนาพทุ โธๆเรอ่ื ยไป
เปน อยูนานพอสมควรอาการรดั คอนนั้ จึงคอ ยๆ คลายออก พอลมื ตาไดแ ตต ัวยงั กระดิกไมไ ด จึงภาวนาตอ ไป จนพอกระดิกตวั ไดแตย งั ลกุ ไมไ ด
เอามือลบู ตามลาํ ตัวนกึ วา มใิ ชตวั ของเรา ภาวนาจนลกุ นง่ั ไดแลว พอน่งั ไดจ ึงเกดิ ความรูสกึ วา เรอ่ื งการถอื มงคลตนื่ ขาวแบบสลี ัพพตปรามา
ไมใ ช ทางทถ่ี กู ทีค่ วรการปฏิบัตธิ รรมตอ งเร่มิ ตนจากมศี ลี บริสุทธิ์เปนเหตุใหพ จิ ารณาลงสวู า...สตั ว ทัง้ หลายมีกรรม เปน ของๆ
ตนแนช ัดลงไปโดยมิตอ งสงสัยนบั ตั้งแตนน้ั มา หลวงพอ ชามคี วามระวังสาํ รวมดว ยดี มใิ หมีความบกพรองเกิดข้นึ
แมก ระท่ังสิ่งของทไ่ี ดม าโดยไมบ ริสทุ ธต์ิ ามวินัย และปจจยั (เงนิ ทอง) ทา นก็ละหมด
และปฏญิ าณวาจะไมย อมรับต้งั แตวันนน้ั มาจนกระทงั่ ถงึ ทุกวันน้ี
ในระหวา งพรรษานัน้ ไดร ับขา ววา ทา นพระอาจารยม ่นั ภรู ทิ ตฺโต เปน ผูมีคณุ ธรรมสงู ทัง้ ชาํ นาญดา นวปิ สนาธุระมปี ระชาชนเคารพเลื่อมใมาก
ทา นมีสาํ นกั อยทู ่วี ดั ปาหนองผอื นาใน อ.พรรณานิคม จ.กลนครโดยมโี ยมอินทรม รรคทายก เขาวงกฏเลาใหฟง และแนะนาํ ใหไ ปหา
เพราะโยมอินทรเคยปฏบิ ัติรบั ใชท านอาจารยม ั่นมาแลว
พ.ศ.๒๔๙๐ เปนพรรษาท่ี ๙ จาํ พรรษาอยทู ่วี ดั เขาวงกฏ เม่ือออกพรรษาแลวจงึ มาพจิ ารณาดวู า เราเอาลูกเขามาตกระกาํ ลาํ บาก ขามภู ขา มเขามา
พอ แมเขาจะวา เราได (หมายถงึ พระมหาถวลั ย ญาณจารี ตงั้ แตครง้ั ยังเปน พระสามัญ) และเห็นเขาสนใจทอ งหนังสอื
ควรจะสง เขาเขา เรยี นหนังสอื ในกรุงเทพฯ จึงไดตกลงแยกทางกนั ใหพ ระถวัลยเ ขาไปเรียนปรยิ ัติธรรมในกรงุ เทพฯ
สวนหลวงพอ ชาจะเดินทางไปหาทานพระอาจารยมนั่ และมพี ระมาดว ยกัน ๔ รปู เปนพระชาวภาคกลาง ๒ รปู
พากนั เดินทางยอ นกลับมาทีจ่ ังหวัดอุบลฯ พักอยูที่วดั กอนอกชว่ั คราว จงึ พากนั เดนิ ธดุ งคกราํ แดดไปเรอ่ื ยๆ จุดหมายปลายทางคอื
สาํ นกั ทา นพระอาจารยม ่นั ออกเดนิ ทางไปไดพอถึงคนื ที่ ๑๐ จงึ ถึงพระธาตุพนม นมัสการพระธาตุพนมและพักอยูทนี่ ั่นหนง่ึ คนื
แลว ออกเดนิ ทางไปอําเภอนาแกไปแวะนมสั การทา นอาจารยส อนท่ี ภคู อ เพ่อื ศกึ ษาขอ ปฏิบตั ิ
แตเมื่อสังเกตพจิ ารณาดูแลว ยังไมเ ปน ท่พี อใจนักไดพักอยทู ่ภี คู อ สองคนื จงึ เดนิ ทางตอไปแยกกนั เดินทาง เปน ๒ พวกตรงนน้ั
หลวงพอ ชามีความตงั้ ใจวา กอนจะไปถึง ทานพระอาจารยม ัน่ ควรจะแวะสนทนาธรรมและศกึ ษาขอ ปฏิบตั จิ าก
พระอาจารยต า งๆไปกอ นเพ่ือจะไดเ ปรยี บเทียบเทยี บเคยี งกันดู
ดังนน้ั เมอ่ื ไดท ราบวามพี ระอาจารยดานวิปสนาอยทู างทศิ ใดจึงไปนมัสการอยเู สมอ
การกลับจากภูคอนคี้ ณะท่ีไปดว ยกันไดร ับความลาํ บากเหนด็ เหนอ่ื ยมาก จงึ มสี ามเณร ๑ รูป กบั อบุ าสก ๒ คน
เห็นวาตนเองคงจะไปไมไหวจึงลากลบั บา นกอน ยังมเี หลอื แตหลวงพอกับพระอีก ๒ รปู
เดนิ ทางตอไปโดยไมย อมเลิกลม ความต้งั ใจเดิมแมจะลําบากสักปานใดกต็ อ งอดทนหลายวันตอมา จงึ เดินทางถึงสาํ นกั ของทา นพระอาจารยม่ัน
ภูริทตฺโต สํานัก หนองผอื นาในอ.พรรณานคิ มจ.กลนคร วนั แรกพอ ยา งเขา สสู าํ นกั สมองดลู านวัดสะอาดสะอา น
เหน็ กริ ิยามารยาทของเพ่อื นบรรพชิต ก็เปนทน่ี า เลอ่ื มใสและเกิดความพอใจมากกวา ทใ่ี ดๆทีเ่ คยผา นมา
พอถึงตอนเย็นจึงไดเ ขา ไปกราบนมสั การพรอ มศิษยของทานและฟงธรรมรวมกนั ทานพระอาจารยไ ด ซกั ถามเรอ่ื งราวตางๆ เชน เก่ียวกบั อายุ
พรรษา และสาํ นักทเ่ี คยปฏบิ ตั ิมาแลว หลวงพอชาไดกราบเรียนวามาจากสํานักอาจารยเ ภา วดั เขาวงกฏ จ. ลพบุรี
พรอมกบั เอาจดหมายทโ่ี ยมอนิ ทรฝ ากมาถวาย ทานพระอาจารยม่นั ไดพ ูดวา ดี...ทานอาจารยเภากเ็ ปนพระแทอ งคห นง่ึ ในประเทศไทย
ตอ จากนัน้ ทา นก็เทศนใหฟ งโดยปรารภ ถงึ เรือ่ งนกิ ายวา ไมตอ งสงสัยในนกิ ายทั้งสอง ซ่ึงเปน เร่อื งท่หี ลวงพอ สงสัยมากอ นนนั้ แลว
ตอ ไปทานกเ็ ทศน เรอ่ื งสีลนิเทส สมาธนิ ิเทส ปญญานเิ ทส ใหฟงจนเปน ทพ่ี อใจและหายสงสัย และทา นไดอ ธิบายเร่อื ง พละ ๕อิทธบิ าท ๔
ใหฟง ซ่งึ ขณะนั้น ศิษยท ุกคนฟง ดว ยความสนใจมอี าการอนั สงบเสงีย่ ม ทั้งๆท่ีหลวงพอ และเพอ่ื นเดนิ ทางมาดวยความเหนด็ เหนอ่ื ยตลอดวนั
พอไดมาฟงเทศนท า นพระอาจารยมัน่ แลว รสู กึ วา ความเม่ือยลา ไดหายไป จิตใจลงสสู มาธิธรรมดว ยความสงบมคี วามรสู ึกวา ตวั ลอยอยบู นอานะ
นง่ั ฟง อยูจ นกระทง่ั เที่ยงจึงเลิกประชมุ
ในคืนที่ ๒ ไดเ ขา นมัสการฟง เทศนอกี ทา นพระอาจารยม ่ันไดแ สดงปกณิ กะธรรมตา งๆ
จนจติ เราหายความสงสัยมคี วามรสู กึ ซงึ่ เปน การยากท่จี ะบอกคนอน่ื ใหเ ขา ใจได
ในวนั ท่ี ๓ เน่ืองจากความจําเปน บางอยาง จงึ ไดกราบลาทา นพระอาจารยม่ันเดนิ ทางลงมาทางอาํ เภอนาแก และไดแ ยกทาง
กับพระบุญม(ี พระมหาบญุ มี) คงเหลือแตพระเลอ่ื มพอไดเปน เพอ่ื นเดนิ ทาง ไมวาหลวงพอจะเดินจงกรมหรือน่ังสมาธิอยู ณ ที่ใดๆกต็ าม
ปรากฏวาทานพระอาจารยมน่ั คอยตดิ ตามตกั เตือนอยูตลอดเวลา พอเดนิ ทางมาถึงวัดโปรง ครองซงึ่ เปน สํานักของพระอาจารยคําดี
เหน็ พระทานไปอยปู า ชาเกิดความสนใจมาก เพราะมาคิดวา เมอ่ื เปนนักปฏบิ ตั ิจะตอ งแสวงหาความสงบ เชน ปา ชา ซ่งึ เราไมเคยอยมู ากอ นเลย
ถา ไมอยคู งไมรวู ามคี วาม เหมาะสมเพยี งใดเมือ่ คนอนื่ เขาอยูไดเรากต็ อ งอยูไดจ ึงตัดสินใจ จะไปอยปู า ชา
และชวนเอาพอขาวแกวไปเปน เพือ่ นดว ย
ปรากฏการณแปลกคร้ังท่ี ๒ ชวี ติ ครัง้ แรกทเี่ ขา อยปู าชา ดเู หมอื นเปนเหตบุ งั เอญิ ในวนั นัน้ มเี ดก็ ตายในหมบู านเขา
จงึ เอาฝง ไวโยมเลยเอาไมไผท่หี ามเดก็ มานน้ั สบั เปนฟากยกราน เลก็ ๆ พอนง่ั ไดใ กลๆ กบั หลุมฝง ศพ หลวงพอชาเลา วา
ทัง้ ๆทีต่ วั เองก็รูสกึ กลวั เหมอื นกัน แตไลใหพอ ขาวแกวไปปก กลดหางกันประมาณ ๑ เสน เพราะถาอยูใกลกนั มันจะถือเอาเปนท่พี ่งึ คืนแรก
ขณะที่เดนิ จงกรมเกิดความกลวั เกิดความคดิ วา หยุดเถอะพอแลว เขาไปในกลดเถอะ ทั้งๆทย่ี งั ไมด กึ เทา ใด แตก็เกิดความคดิ ข้ึนใหมวา
ไมห ยุด เดนิ ตอ ไป เรามาแสวงหาของจรงิ ไมไ ด มาเลน ...ความคิดชวนหยดุ เขา กลดเพราะกลวั กับความคิด หักหามวา ไมหยุด เดนิ ตอ ไป
ยังไมด ึกมันเกดิ แยง กันอยเู รื่อยๆ ตอ งฝนความรสู กึ อดทน
อดกลัน้ ขม ใจไวอ ยา งนัน้ ...และในคืนแรกนีข้ ณะเดนิ จงกรมอยจู ิตเรม่ิ สงบพอเดนิ ไปถงึ หลมุ ฝง ศพปรากฏวา
เรามองลงไปในหลุมเหน็ องคก าํ เนดิ ของเดก็ ผชู ายชดั เจน ท้ังๆทีเ่ ราไมท ราบวา เขาเอาเดก็ ผชู ายหรอื ผหู ญงิ มาฝงไว
พอถงึ ตอนเชา จงึ ไดถ ามโยมวาเอาเด็กผชู ายหรอื ผหู ญงิ ไปฝง เขาตอบวาเดก็ ผชู าย คนื แรกผานไป ยังไมม ีเหตกุ ารณอ ะไรมากนัก
ความกลัวก็มีไมมาก
วนั ท่ี ๒ ก็มคี นตายอีก คราวนี้เปนผูใหญ เขาพามาเผาหางจากท่ีปก กลดประมาณ ๑๐ วาส คืนนแี้ หละเปนคนื สาํ คญั
หลังจากเดินจงกรมไดเวลาพอสมควร จงึ เขานงั่ สมาธภิ ายในกลด ไดยนิ เสยี งดังกกุ กักทางกองฟอน
เรานึกวาหมามาแยง กนิ ซากศพสักครูหนึง่ เสยี งดังแรงขึ้นและ
ใกลเ ขามาทา นคิดวา หรือจะเปน ควายของชาวบา นเชอื กผูกขาดมาหากินใบไมใ นปา
จิตใจเรมิ่ กลัวเพราะเสียงนนั้ ใกลเ ขามาทุกที...หลวงพอ ไดต้งั ใจแนว แนว าไมว า จะมีอะไรเกดิ ขน้ึ แมต ัวจะตายกไ็ มยอมลืมตาข้นึ มาดู
และจะไมย อมออกจากกลด ถา จะมีอะไรมาทําลายก็ขอใหต ายภายในกลดน้ี พอเสียงนัน้ ใกลเขามาๆก็ปรากฏเปน เสยี งคนเดิน
เดนิ เขา มาขางๆกลดแลว เดนิ ออ มไปทางพอขาวแกว กะประมาณพอไปถึงไดย นิ เสยี งดังอกึ อักๆ
แลว เสียงคนเดนิ นนั้ ก็เดินตรงแนว มาทหี่ ลวงพอชาอกี ใกลเ ขา มาๆมาหยุดอยขู างหนา ประมาณ ๑ เมตร
ตอนนแ้ี หละความกลวั ทงั้ หลายทมี่ ีอยใู นโลกดเู หมือน จะมารวมกันอยูท่นี นั่ หมด ลมื นึกถึงบทสวดมนตที่จะปอ งกัน ลืมหมดทุกสิ่งทุกอยา ง
กลวั มากถึงขนาดน่ังอยขู างๆบาตรกน็ ึกเอาบาตรเปน เพ่ือน แตค วามกลัวไมล ดลงเลย ปรากฏวาเขายัง ยนื อยขู างหนาเรา
ดหี นอยท่เี ขาไมเ ปด กลดเขา มา ในชีวิตต้ังแตเกดิ มาไมเ คยมีความกลัวมากและนานเทาครั้งน้ี เมื่อความกลัว
มนั มมี ากแลว มันกม็ ที ่สี ุดของความกลวั เลยเกดิ ปญ หาถามตวั เอง วา กลวั อะไร? คําตอบกม็ ีขนึ้ วา กลัวตาย ความตายมนั อยูทไ่ี หน?
อยูทีต่ ัวเราเอง เม่อื รูวา อยทู ่ีตัวเรา จะหนีพนมนั ไปไดไหม? ไมพ น เพราะไมว า จะอยทู ่ีไหน เวลาใด คนเดยี วหรอื หลายคน ในท่ีมืดหรือท่ีแจง
ก็ตายไดทงั้ นน้ั หนีไมพนเลย จะกลวั หรือไมกลวั กไ็ มมีทางพน เมอื่ รอู ยา งนค้ี วามกลวั ไมร ูวา หายไปไหน เลยหยดุ กลวั
ดูเหมือนคลา ยกบั เราออกจากทม่ี ืดทสี่ ดุ มาพบแสงสวางน้นั แหละ เม่ือความกลวั หายไปผทู เ่ี ขา มายนื อยหู นา กลดกห็ ายไปดวย
เมอ่ื ความกลวั กับสง่ิ ที่กลวั หายไปไดส กั ครหู นง่ึ เกดิ ลมและฝนตกลงมาอยางหนัก ผา จีวรเปยกหมด
แมจะนง่ั อยูภ ายในกลดกเ็ หมือนนง่ั อยูกลางแจง เลยเกดิ ความสงสารตวั เองวา ตวั เราน้ีเหมอื นลกู ไมม ีพอแมไ มม ีทอ่ี ยูอ าศยั เวลาฝนตก
หนกั เพือ่ นมนุษยเขานอนอยูในบานอยา งสบาย แตเราซิมาน่ังตากฝนอยูอยา งนี้ ผาผอนเปย กหมด คนอืน่ ๆเขาคงไมร หู รอกวา
เรากําลังตกอยใู นภาพเชนน้ี ความวาเหวเกดิ ขึ้นนานพอสมควร เม่อื นกึ ไดก ห็ า มไวดวยปญญา พจิ ารณาอาการอยา งนน้ั ก็สงบลง
พอดีไดเ วลารุง อรณุ จึงลุกจากท่นี งั่ สมาธิ ในระยะทเ่ี กดิ ความกลัวนนั้ รสู ึกปวดปส สาวะ แตพ อกลัวถึงขีดสุดอาการปวดปสสาวะก็หายไป
และเม่ือลกุ จากทจ่ี ึงรูส ึกปวดปสสาวะ และเวลาไปปสสาวะมีเลอื ดออกมาเปน แทง ๆกอ นแลว จงึ มีน้ํา
ปสสาวะออกมาทาํ ใหร ูสึกตกใจนดิ หนึ่งคดิ วา ขางในคงแตกหรือขาด จึงมีเลอื ดออกอยา งนแ้ี ตก น็ ึกไดว าจะทําอยางไรไดในเมอ่ื เรามิไดท าํ
มนั เปนของมนั เองถา ถงึ คราวตายกใ็ หมันตายไปเสยี นกึ สอนตัวเอง ไดอ ยางน้ีก็สบายใจ ความกลัวตายหายไปตั้งแตนน้ั มา
พอไดเวลาบิณฑบาตพอขาวแกว ก็มาถามวา หลวงพอ...หลวงพอ ...เม่ือคืนนมี้ ีอะไรเห็นอะไรไปหาบา ง
?มนั เดนิ มาจากทางอาจารยอ ยูน น่ั แหละมนั แสดงอาการทน่ี ากลัวใสผ ม ผมตองชักมีดออกมาขมู ันมนั จงึ เดินกลบั ไป หลวงพอชาจึงตอบวา
จะมีอะไรเลา...หยดุ พูดดีกวา พอ ขาวแกวก็เลยหยุดถาม หลวงพอคดิ วา ถา ขนื พดู ไป ถาพอ ขาวแกว เกิดกลัวขึน้ มาเดี๋ยวกอ็ ยไู มไดเทา น้นั
เม่อื อยูปา ชา ใกลว ดั ทา นอาจารยคําดไี ด ๗ วัน ก็มีอาการเปน ไข เลยพักรกั ษาตวั อยกู บั อาจารยค าํ ดปี ระมาณ ๑๐ วัน จึง ยา ยลงมาทางบานตอ ง
พกั อยทู ่ีปา ละเมาะบา นตองไดเวลานาน พอสมควร จึงไดเ ดนิ ทางกลบั ไปหาทานอาจารยก นิ รีพักอยู ทนี่ ่ันหลายวัน
จงึ ไดก ราบลาทานอาจารยกินรี ทวี่ ัดปาหนองฮี อ. ปลาปาก จ. นครพนม แลว จงึ เดินทางตอไป...
อัฏฐบรขิ ารหมดอายุ
ในพรรษาที่ ๙ น้ี ไดมาจาํ พรรษาอยกู ับทานอาจารยกินรมี าขอพึง่ บารมีปฏิบตั ิธรรมกับทาน
และไดร บั ความสงเคราะหจากทานอาจารยเ ปนอยางดี ทา นอาจารยเ ห็นไตรจวี รเกา ขาด จะใช ตอไปไมไ ด
ทา นจึงไดก รณุ าตัดผา ฝายพน้ื เมืองใหจนครบไตรจีวร หลวงพอ ชาคดิ วา ผา นจี้ ะมเี น้ือหยาบหรือละเอยี ดไมสําคญั
สาํ คญั อยทู ี่ใชไดทนทานก็เปน พอ ในพรรษาน้หี ลวงพอไดมีความขยนั หม่นั เพยี รในการปฏิบัติอยางมากไมม ีความยอ ทอ แตประการใด
คนื วนั หนึง่ หลังจากหลวงพอทาํ ความเพยี รแลว คดิ จะ พกั ผอ นบนกุฏิเล็กๆ พอเอนกายลง ศีรษะถงึ หมอนดว ยการกําหนด ติ
พอเคลิ้มไปเกิดนมิ ติ ขึน้ วา ทา นพระอาจารยมั่น ภรู ทิ ตฺโต ไดมาอยใู กลๆ นาํ ลกู แกว ลกู หนงึ่ มาย่ืนใหแ ลว พูดวา
ชา...เราจะใหลูกแกว ลูกนีแ้ กทานมนั มีรศั มีสวางไสวมาก หลวงพอ ยื่นมอื ขวาไปรับลูกแกว ลูกนั้น รวบกับมือทานพระอาจารยม ่นั แลว ลุกขึ้นนง่ั
พอรสู ึกตวั ก็เหน็ ตวั เองยังกาํ มอื และอยใู นทาน่ังตามปกติมีอาการคิดคน ธรรมะเพอ่ื ความรเู ก่ียวกบั
การปฏบิ ตั ิมีติปลื้มใจตลอดพรรษา
รบกับกิเลส
ในพรรษาท่อี ยกู ับพระอาจารยกนิ รีน้นั ขณะทม่ี คี วามเพยี รปฏบิ ตั ธิ รรมอยางเครงครดั ในวาระหนึ่งไดเกดิ การตอ สูกบั ราคะธรรมอยา งแรง
ไมว า จะเดนิ จงกรมนง่ั สมาธหิ รืออยใู นอิรยิ าบถใด ก็ตาม ปรากฏวา มโี ยนขี องผูหญงิ ชนดิ ตา งๆ ลอยปรากฏเตม็ ไปหมด
เกิดราคะขึน้ จนทาํ ความเพยี รเกือบไมไ ด ตอ งทนตอ สูกับความ
รูสึกและนมิ ิตเหลา นนั้ อยา งลาํ บากยากเยน็ จรงิ ๆมคี วามรนุ แรงพอๆกับความกลวั ท่ีเกิดข้นึ ในคราวที่
ไปอยปู าชานั่นแหละ เดนิ จงกรมไมไ ดเ พราะองคก ําเนดิ ถูกผาเขา กจ็ ะเกดิ การไหวตัว
ตอ งใหท าํ ท่เี ดินจงกรมในปา ทบึ และเดินไดเ ฉพาะในทม่ี ดื ๆ เวลาเดนิ ตองถลกบงข้นึ พันเอวไวจ งึ จะเดนิ จงกรมตอ ไปได
การตอสูก ับกเิ ลสเปนไปอยางทรหดอดทน ไดทําความเพยี รตอ สูกนั อยนู านเปนเวลา ๑๐ วัน
ความรูสกึ และนมิ ติ เหลาน้ันจึงจะสงบลงและหายไป
เมื่อถงึ หนา แลง (ป ๒๔๙๐) หลวงพอจึงกราบลาทา นอาจารยก นิ รี เพือ่ แสวงหาวเิ วกตอไป กอนจากทา นอาจารยกินรไี ดใ หโอวาทวา ทา นชา...
อะไรๆกพ็ อสมควรแลว แตใ หท านระวงั การเทศนนะ ตอจากนน้ั กไ็ ดเ ดนิ ทางไปเรอ่ื ยๆ แสวงหาท่วี เิ วกบาํ เพญ็ สมณธรรมตอ ไป
จนเดนิ ธดุ งคไ ปถงึ บา นโคกยาว จงั หวัดนครพนม ไปพกั อยใู นวัดรา งแหงหน่งึ หา งจากหมบู านประมาณ ๑๐ เสน ในระยะน้จี ิตสงบและเบาใจ
อาการมุงจะเทศนก เ็ ริ่มปรากฏข้นึ มา
เหตุการณแปลกครง้ั ท่ี ๓ เมอื่ ไดป ฏบิ ตั ธิ รรมอยูทว่ี ัดรางแหง นนั้ วันหนง่ึ เขามีงานในหมูบา นมมี หรสพ เปด เครือ่ งขยายเสยี งดังออื้ อึงมาก
ขณะน้ันหลวงพอ กาํ ลังเดินจงกรมอยู เปนเวลาประมาณ ๔ ทมุ เดินไดนานพอสมควรจึงนง่ั สมาธิบนกฏุ ิ ช่วั คราว
ขณะทน่ี ั่งอยูน ัน้ จิตใจเขาสูความสงบ จนมีความรสู กึ วา เสยี งเปน เสยี ง จิตเปน จติ ไมป ะปนกัน ไมมคี วามกงั วลอะไรท้งั ส้นิ
อาการเหลานี้ปรากฏเปน เวลานาน ถา จะอยตู ลอดคืนกไ็ ดจ นจติ เกดิ ความรสู ึกวา เอาละพกั ผอ นเสยี ที จงึ มีการพักผอนตามภาพของสังขาร
พอเอนกายลงศรี ษะยงั ไมถงึ หมอน ดว ยติเตม็ เปย ม จติ มีการนอ มเขาสูมรณตเิ ปน ครัง้ แรก จนกระทัง่ จิตดําเนนิ เขาไปผา นจุดอนั หนง่ึ
ไดปรากฏวารา งกายระเบดิ เปน ผุยผง อาการจติ นั้นทะลเุ ขา สูจ ุดแหงความสงบใสสะอาดอกี ตอไป เมือ่ เวลานาน พอสมควรแลว
จึงมอี าการถอนออกมาเปนปกตธิ รรมดาอกี พักหนึ่ง แลว ก็มอี าการดาํ เนินเขา ไปถึงจดุ อยา งเกา
รา งกายมกี าํ ลังระเบดิ รนุ แรงละเอียดย่ิงกวาครง้ั แรกประมาณ ๓ เทา แลว ก็ทะลเุ ขาสจู ุดนานพอสมควร
จงึ มอี าการถอนออกมาถงึ ปกติจิตธรรมดา แลว กม็ ีอาการนอ มเขาไปผานจุดอยางเกามกี ารระเบดิ อยางรนุ แรงยง่ิ กวา ครงั้ ทส่ี องต้งั ๓ เทา
จนคลายๆกับโลกนีแ้ หลกละเอยี ดไมม อี ะไรเหลอื แลวจึงทะลุเขาสจู ุดมงุ สงบใสสะอาด ท้งั ละเอียดยิ่งข้นึ ถงึ ๓ เทา
แลว มกี ารถอนออกมาอีกเชนเคย จงึ มีความวติ กเกิดขึ้นวา น่ีคอื อะไร? มคี าํ ตอบเกดิ ขน้ึ วา สิ่งนไ้ี มต อ งสงสัย สง่ิ นค้ี อื ของเปนเอง
ตอ จากน้ันมากม็ คี วามเบาใจ...ยากแกก ารทีจ่ ะพดู ใหคนอ่ืนเขาใจได ลักษณะท่ีกลาวมาน้ีเราไมต อง ปรงุ แตงเปนพลงั จติ ท่เี ปน เองของมนั
หลงั จากน้นั การปฏิบัตมิ คี วามรสู ึกเปลีย่ นแปลงไปจากเดมิ มากทีเดยี ว เมือ่ พกั
อยูทว่ี ดั รางบานโคกยาวไดครบ ๑๙ วนั จงึ เดนิ ธุดงคไ ปตามบา นเลก็ บานนอ ยเร่ือยไป การแสดงธรรมและการแกปญ หาของตนเองและผอู น่ื
รสู ึกวา มคี วามคลองแคลว มาก ไมม ีความสะทกสะทานอะไรเลย
ชนะใจตนยอมพน ภัย
ในระยะเดินธุดงคระยะนี้ นอกจากมีพระเล่ือมเปน เพ่อื นแลวกย็ งั มีเด็กเปนลูกศิษยอ กี ๒ คน เดินตามไปดวยแตเ ปน
เดก็ พกิ าร...คนหนง่ึ หหู นวก อกี คนหน่ึงขาเปเขายงั อตุ สา หรวมเดนิ ทาง ดว ยและทาํ ใหไ ดขอคดิ อนั เปนธรรมะสอนใจอยูหลายอยา ง
คนหนึ่งนน้ั ขาดี ตาดี แตห พู กิ าร อีกคนหดู ี ตาดี แตขาพิการ เวลา
เดนิ ทางคนขาเปเ ดนิ ไปบางครงั้ ขาขา งท่เี ปก็ไปเกีย่ วขา งทด่ี ที าํ ใหห กลม หกลุกบอ ยๆ คนท่ีหูหนวกนั้นเลา
เวลาเราจะพูดดว ยตอ งใชมือใชไมป ระกอบแตพ อมันหันหลังใหก็อยา เรยี กใหเ มอื่ ยปากเลย เพราะเขาไมไ ดยนิ
เมอื่ มคี วามพอใจ...ความพกิ ารนัน้ ไมเปน อุปสรรค ขัดขวางในการเดนิ ทาง...ความพกิ าร แมตวั เขาเองก็ไมต อ งการ
พอ แมของเขากค็ งจะไมป รารถนาอยากใหลกู พิการอยา งน้ัน แตกห็ นกี ฎของกรรมไมพน จริงดังทพี่ ระพุทธองคตรสั วา สัตว
ทงั้ หลายมกี รรมเปนของๆ ตนมีกรรมเปนทายาท มีกรรมเปน แดนเกิดฯลฯ เมือ่ พิจารณาความพกิ ารของเดก็ ที่เปน เพอ่ื นรวมเดนิ ทาง
ยงั กลบั เอามาสอนตนเองวา เดก็ ทั้งสองพิการกายเดนิ ทางได จะเขา รกเขาปา ก็รู แตเราพกิ ารใจ (ใจมกี ิเลส)
จะพาเขา รกเขาปาหรือเปลา ...คนพิการกายอยา งเด็กน้มี ไิ ดเ ปน พิษเปน ภัยแกใคร แตถ าคนพิการใจมากๆ
ยอมสรางความวนุ วายยงุ ยากแกมนษุ ยแ ละสัตว ใหไดรับความเดือดรอ นมากทีเดยี ว
ครน้ั วนั หน่งึ เดินทางไปถึงปา ใกลห มบู านแหง หนึ่ง ซ่ึงอยใู นเขตจงั หวดั นครพนม เปน เวลาค่ําแลว และไดต กลงจะพักในปา แหงนั้น
และไดม องไปเห็นทางเกาซง่ึ คนไมค อ ยใชเดินเปน ทางผา นดงใหญเ ปนลาํ ดับไปถงึ ภูเขา พลันก็นกึ ถงึ คาํ สอนของคนโบราณวา
เขา ปาอยา นอนขวางทางเกา จงึ เกิดความสงสัยอยากจะพสิ ูจนดูวา ทาํ ไมเขาจงึ หา ม...จึงตกลงกับทานเลือ่ มใหหลีกจากทางเขาไปกาง
กลดในปา สวนหลวงพอทานก็กางกลดตรงทางเกาน่ันแหละ ใหเ ด็กสองคนอยูที่ก่ึงกลางระหวางกลดสองหลงั
ครั้นเวลาจาํ วตั รหลังจากนงั่ สมาธพิ อสมควรแลว ตางคนตา งก็พัก แตท าน(หลวงพอ ชา) คดิ วา
ถาเดก็ มองมาไมเหน็ ใครเขาอาจจะกลวั จงึ เลกิ ผามงุ ขึ้นพาดไวท่ีหลังกลดแลวกน็ อนตะแคงขวางทางอยู ใตกลดนน่ั เอง
หันหลงั ไปทางปา หันหนามาทางบา น แตพอกําลงั เตรยี มตัวกาํ หนดลมหายใจเพอ่ื จะหลับ ทันทีน้ันหกู แ็ ววไดย นิ เสยี งใบไมแหง ดงั กรอบแกรบๆ
ซ่ึงเปนอาการกาวเดินอยางชาๆ เปนจงั หวะใกลเขามา...ใกลเขา มาจนไดยนิ เสยี งหายใจ และวาระจติ กบ็ อกตวั เองวา เสอื มาแลว จะเปน สตั ว
อื่นไปไมไ ด เพราะอาการ กาวเดนิ และเสียงหายใจมันบง อยูช ัดๆ เม่อื รูวา เสอื เดินมา...เรากค็ ิดหวงชีวติ อยรู ะยะหนึง่
และพลันจติ กส็ อนตนเองวา อยาหว งชีวติ เลย แมเสอื จะไมท ําลาย เจาก็ตอ งตายอยูแลว
การตายเพ่ือรักษาสจั ธรรมยอ มมีความหมายเราพรอ มแลว...ท่จี ะเปนอาหารของมนั ถาหากเราเคยเปน คกู รรมคเู วรกันมากจ็ งไดใชห น้ีกันเสีย
แตถ า หากเราไมเ คยเปนคเู วรกบั มนั มันคงจะไมทาํ อะไรเราได พรอมกับจติ นอมระลึกถงึ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ เปน ทีพ่ ่ึง
เมอื่ เรายอมและพรอ มแลว ที่จะตาย จติ ใจกร็ ูสึกสบาย ไมม กี ังวล และปรากฏวาเสียงเดนิ ของมนั เงียบไป ไดยินแตเ สยี งหายใจ...
กะประมาณอยหู างจากทาน ๖ เมตร ทา นนอนรอฟงอยสู ักครู เขาใจวา มนั คงจะยนื พจิ ารณาอยวู า ใครเลา ...มานอนขวางทางขาฯ
แตแลว มันคิดอยางไรไมทราบมนั จงึ หันหลังเดนิ กลบั ไป เสียงกรอบแกรบของใบไมแหง ดังหางออกไปๆ จนกระทง่ั เงียบหายไปในปา...
หลวงพอ เลา วา เมือ่ เราทอดอาลยั ในชวี ติ วางมันเสีย ไมเสียดาย ไมก ลวั ตาย ก็ทาํ ใหเ ราเกิดความสบายและเบาใจจรงิ ๆ คืนนนั้ ก็ผานไปจนได
เวลาต่ืนข้ึนบาํ เพญ็ ธรรม หลังจากบณิ ฑบาตมาฉนั แลว กอ็ อกเดินทางตอ ไป...เพราะทา นไดรูแ ลววา ทําไมคนโบราณจงึ สอนไวว า
เขาปา อยานอนขวางทางเกา
หลวงพอ และคณะไดอ อกเดินทางไปถงึ แมน ้าํ สงคราม อ.ศรีสงคราม จ.นครพนมจนกระท่ังถงึ แมนาํ้ โขงขามไป นมสั การพระพุทธบาทพลสนั ต์ิ
ฝงลาว แลวจึงขา มกลบั มา ยอ นกลบั มาทางอําเภอศรสี งคราม
พักอยบู า นหนองกาในเวลานัน้ บริขาร ไมส มบรู ณเ นื่องจากหา งหมญู าติและขาดผมู ีศรทั ธา บาตรทใ่ี ชอยูน้นั รสู ึกวาเลก็ และมรี ูรวั่ หลายแหง
เกือบใชไมได พระวัดหนองกาจงึ ถวายบาตรขนาดกลางมชี อ งทะลนุ ดิ หนอ ย แตไมมีฝาบาตร จะหาฝาท่ีไหนกไ็ มได
ขณะเดนิ จงกรมอยกู ค็ ดิ ไดวา จะเอาหวายถกั เปน ฝาบาตร จึงใหโ ยมเขาไปหาหวายมาให เกดิ กงั วลในการหา บรขิ าร
คนื วนั หนึง่ ขณะท่ีจดุ ไตกาํ ลงั เอาหวายถกั เปนฝาบาตรอยู จนขไี้ ตหยดลงถูกแขนพองขึน้ รูสึกเจ็บแสบ จงึ เกดิ ความรสู ึก ขึน้ วา
เรามามัวกงั วลในบริขารมากเกนิ ไป จึงไดปลอยวางไว เริ่มทํากรรมฐานตอ ไปไดเวลานานพอสมควรจงึ หยดุ เพ่อื จะพกั ผอ น
แตพอเคลิ้มไปจึงเกดิ สบุ ินนมิ ติ วา สมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา เสดจ็ มาเตือนวา พฺเพอเิ มปริกฺขาราปจฺ กฺขนธฺ านํ ปรวิ าราเยว
บรขิ ารท้ังปวงเปนเพียงเคร่ืองประดบั ขนั ธ ๕ เทา นน้ั พอจบพทุ ธภาษิตนี้เทา น้ันกร็ สู ึกตวั พรอ มท้งั ลกุ ขน้ึ น่ัง ทนั ที
เปนเหตใุ หพ จิ ารณาไดค วามวา การไมร ูจ ักประมาณในการ บริโภคบริขารมคี วามกงั วลในการจดั หายอมเปน การยงุ ยาก
ขาดการปฏิบัตธิ รรมยอมไมไดร ับผลอนั ตนพงึ ปรารถนา
พ.ศ. ๒๔๙๑ (พรรษาที่๑๐) ในระยะตน ปนเี้ องหลวงพอ จงึ ยายจากบานหนองกา เดินทางไปไดระยะไกลพอสมควร จงึ ไดขอ คดิ วา
การคลกุ คลอี ยูรวมกับผูมีปฏิปทาไมเสมอกนั ทําใหเกดิ ความลําบาก จงึ ไดตกลงแยกทางกันกบั พระเลื่อม ตางคนตางไปตามชอบใจ
ทา นเลื่อมนาํ เด็กสองคนนั้นไปสงบานเขา สวนหลวงพอกอ็ อกเดนิ ทางไปคนเดียว จนกระท่งั เดินมาถงึ วัดรางในปา ใกลบ านขานอย
ซง่ึ อยูในเขตอาํ เภอศรีสงคราม นัน่ เอง เหน็ วาเปน ท่ีวเิ วกเหมาะแกก ารบาํ เพญ็ ธรรมจึงไดพักอยทู ว่ี ดั รา งน้นั
บําเพ็ญเพียรไดเ ตม็ ทีม่ กี ารสํารวมอยางดเี พือ่ ใหเ กดิ ความรู มิไดมองหนาผใู สบาตร และผถู วายอาหารเลย
เพียงแตรับทราบวาเปนชายหรือหญิงเทา นั้น เดนิ จงกรมอยูจนเทา เกิดบวมเดินตอไปไมได จงึ พักจากการเดนิ ไดแตน่งั สมาธิอยา งเดยี ว
ใชต บะธรรมระงบั อาพาธเปน เวลา ๓ วัน เทาจงึ หายเจบ็ การเทศนกด็ ี การรบั แขกกด็ ี ทา นก็งดไวเพราะตอ งการความสงบ
สระยะที่ปฏิบัติอยนู น้ั ทง้ั ๆ ทไ่ี ดแยกทางกบั เพื่อนมาเพราะไมอ ยากคลุกคลแี ตก ็เกดิ ความอยากจะไดเพือ่ นทด่ี ีๆ อกี สกั คน จงึ เกดิ คําถามข้นึ วา
คนดนี ะ อยทู ่ไี หน? กม็ ีคําตอบเกิดขน้ึ วา คนดอี ยูท่ีเรานแ่ี หละ ถาเราไมดแี ลว เราจะอยทู ่ไี หนกบั ใครมนั กไ็ มดที ั้งนั้น
จึงไดถ ือเปน คติสอนตนเองมาจนกระทัง่ ทกุ วันนี.้ .. เมือ่ อยูทน่ี ั่นไดค รบ ๑๕ วนั แลวจึงออกเดนิ ทางตอ ไปผานบา นขา ใหญมาถงึ กลางปา
พักผอ นอยูเกดิ กระหายนาํ้ มาก บอน้ําก็ไมม ี จงึ เดนิ ตอไป พอจวนจะถึงแอง น้ําทแี่ หงแลง เกดิ ฝนตกลงมาอยางแรง
นา้ํ ฝนปนดนิ ไหลลงรวมในแอง ดวยความกระหายจึงลวงเอาหมอกรองนาํ้ เดนิ ลงไป เอาหมอกรองจมุ ลงไปในนํ้า
แตเพราะน้าํ ขุน มากจึงไมไหลเขาในหมอกรองเลยไมไดฉ นั นาํ้ จึงอดทนตอความกระหายเดนิ ทาง ตอ ไป...
ผหู มดความโกรธ
เมอื่ หลวงพอ เดินทางมาจนกระทง่ั ถึงวดั ปาซ่ึงตง้ั อยูใ นเขต ปา ชา (เปนที่พักสงฆ) อยูใ นเขตจังหวดั นครพนม
เปน เวลาจวนจะเขาพรรษาอยูแ ลว หลวงพอ จงึ ขอพกั กับหัวหนา สงฆ มนี ามวา หลวงตาปุม ไดสนทนาธรรมกันนานพอสมควร ไดยินหลวงตา
รปู น้ันพูดวา ทานหมดความโกรธแลว จงึ เปน เหตใุ หหลวงพอ นึกแปลกใจ เพราะคําพูดเชนนี้ทา นไมเคยไดยินใครพูดมากอน
จึงคดิ วา พระองคน จี้ ะดแี ตพ ดู หรือวา ดเี หมอื นพดู เราจะตองพสิ ูจนใ หรู จึงตดั สินใจขออยเู พอ่ื การศกึ ษาธรรมะ แตเ น่อื งจากหลวงพอ ไปรปู เดยี ว
ทั้งอฏั ฐบรขิ ารก็เกา เตม็ ที เขาไมร ูตนสายปลายเหตเุ พราะไมมีใครรบั รอง ถึงแมจะขอจําพรรษาอยูดวย ทา นเหลา นั้นกไ็ มยอมเลยตกลงกันวา
จะใหไ ปอยทู ป่ี า ชาคนจนี ซ่ึงอยนู อกเขตวัดไมไ กลนัก หลวงพอกย็ นิ ดีจะไปอยูท ่นี ัน่ แตพ อถึงวันเขา
พรรษาหลวงตาปมุ และคณะจึงอนญุ าตใหจําพรรษาในวดั ได
ตอนหลงั ๆ ไดท ราบวา หลวงตาปุม เกดิ ความลังเลใจ ตัดสนิ ใจไมไดว า จะใหจําพรรษาอยูน อกวดั หรอื ในวัด จงึ ไปปรึกษาทา นอาจารยบ ญุ มา
ไดทราบวา อาจารยบุญมาไดแนะวา พระที่มอี ายุพรรษามาก มารูปเดยี วอยา งน้ีจะใหจ ําพรรษานอกวัดดูจะ ไมเ หมาะ
บางทีทานอาจจะมดี ขี องทา นอยู ควรใหจ ําพรรษาในวัดน่ันแหละ
ดังนน้ั หลวงตาปุมและคณะจึงอนุญาตใหอ ยูจาํ พรรษา ในวัดได แตต อ งทําตามขอกติกาดังน้ี
๑.ไมใหรบั ประเคนของจากโยม เปนแตเพียงคอยรับจากพระรูปอืน่ ทสี่ งให
๒.ไมใ หร ว มสังฆกรรม (อุโบสถ) เปน แตเพียงใหบ อกบริสทุ ธ์ิ
๓.เวลาเขา ทฉี่ นั ใหนัง่ ทา ยแถวของพระตอ กบั สามเณร
หลวงพอยินดที าํ ตามทกุ อยา ง แมทานจะมีพรรษาได ๑๐ พรรษากต็ าม ทา นกลบั ภมู ิใจและเตือนตนเองวา จะน่งั หัวแถวหรอื หางแถวก็ไมแปลก
เหมอื นเพชรนลิ จนิ ดา จะวางไวท่ไี หนก็มีราคาเทา เดิม และจะไดเปนการลดทฏิ ฐิมานะใหน อยลงดวย เมอ่ื ปลงตกเสยี อยา งนี้
จงึ อยูไดด วยความสงบสุข หลวงพอเลาวาเม่ือเราเปนคนพูดนอย คอยฟง คนอื่นเขาพดู แลวนาํ มาพิจารณาดู ไมแ สดงอาการที่ไมเ หมาะ ไมค วร
คอยสังเกตจริยาวตั รของทา นเหลานัน้ ยอ มทาํ ใหได บทเรียนหลายๆอยาง ภิกษสุ ามเณรเหลาน้ันก็คอยสงั เกตความบกพรอ งของหลวงพออยู
เขายงั ไมไ วใจ เพราะเพ่ิงมาอยูร วมกนั เปนพรรษาแรก
เมอื่ การอยจู าํ พรรษาไดผานไปประมาณคร่ึงเดอื น ทัง้ ๆ ทีท่ า นทราบวา ภิกษสุ ามเณรยงั ระแวงสงสยั ในตวั ทานอยู แตหลวงพอ กว็ างเฉยเสยี
มงุ หนาตอการปฏบิ ัติธรรม ทา นนกึ เสยี วา เขาชว ยระวงั รกั ษาความบกพรอ งใหเ รานนั้ ดีแลว
เปรยี บเหมอื นมีคนมาชว ยรกั ษาความสกปรกมใิ หแปดเปอ นจงึ เปนการดีเสียอีก...
ตามปกตหิ ลงั จากฉันเชา เสรจ็ แลว ทานนาํ บรขิ ารกลบั กฏุ ิ เม่ือเกบ็ ไวเ รียบรอยแลว
หลวงพอ มกั จะหลบไปพกั เพอื่ พิจารณาคน หาธรรมในเขตปา ชา ซึ่งเปน สว นหนึง่ ของวดั ตรงกลางปา ชา เขาปลูกศาลาเลก็ ไวหลังหน่งึ
เม่ือมองจากศาลายอ มมองเห็นหลมุ ฝง ศพและฝงเถาถานกระดูกของเพอ่ื นมนษุ ยเ ปนหยอมๆ ทําใหนกึ ถงึ ขอ ธรรมะท่ีเคยพจิ ารณาวา อธวุ ัง เม
ชวี ติ ัง ชีวิตของเราไมย่งั ยืน, ธุวงั เมสมรณงั ความตายของเรายัง่ ยืน,สอนิยะตัง เม ชีวิตัง ชีวิตของเราไมเ ทยี่ ง, นยิ ะตงั เมสมะระณงั
ความตายของเราเทย่ี ง, สักวนั หน่ึงเราก็จะตอ งทบั ถมดนิ เหมอื นคนเหลา น้ัน เราเกดิ มาเพอ่ื ถมดนิ ใหส งู ขึน้ หรอื ? หรือเกิดมาทาํ ไม...
อยตู อ มาวันหนึง่ ขณะที่หลวงพอกําลงั พิจารณาธรรมชาตขิ องตน ไมใ บไม เถาวลั ยตา งๆ อยทู ี่ศาลาเล็กกําลังสบายอารมณ
มกี าตัวหนึ่งบินมาจับก่งิ ไมใกลๆ ศาลา สง เสียงรอ ง กา...กา... ทา นไมสนใจเพราะนกึ วาคงรองไปตามประสาสัตว แตทีไ่ หนได
พอมันรวู าเราไมสนใจมันจึงลืน่ ลงมาจบั ท่ีพื้นตรงหนา เรา หา งกันเพียงประมาณ ๒ เมตร ปากมนั คาบหญาแหง คาบแลววางๆ
พลางรอ งวากวาวๆ...เหมือนมันจะย่ืนหญา แหง ใหพ อเราสนใจมองดู และรบั ทราบในใจวา ออ้ื ...เจามาบอกอะไรเลา...กาก็บินหนไี ป
อยตู อมาประมาณ ๓ วันมีเด็กชายคนหนงึ่ อายุประมาณ ๑๓-๑๔ ป ปวยเปน ไขและตายไป เขาจงึ นํามาเผาในปาชา ไมไ กลจากศาลา
และหลังจากเขาสวดมนตท ําบญุ แลว ได ๓-๔ วัน ขณะทห่ี ลวงพอ กาํ ลงั นัง่ พจิ ารณาธรรมอยกู ม็ กี าบินมาจบั กง่ิ ไมขางศาลาอีก
เมือ่ เราไมสนใจมนั ก็บนิ ลงมาจบั ดินและแสดงอาการเหมือนครง้ั แรก พอหลวงพอ มองดมู ันและรับทราบ
กาตวั นนั้ ก็บินหนีไป...อยตู อ มาอกี ประมาณ ๓ วนั พชี่ ายของเดก็ ท่ีตายไปแลว นน้ั ซึ่งมีอายปุ ระมาณ ๑๕-๑๖
ปเกิดปว ยเปน ไขก ะทนั หันและกต็ ายอกี พวกญาตินํามา เผาในปา ชา น้นั อีก หลังจากทาํ บุญตกั บาตรแลวประมาณ ๓-๔ วัน
ขณะทห่ี ลวงพอนง่ั พกั อยูใ นศาลากลางปา ชา ก็มีกาบินมาเกาะ กงิ่ ไม สงเสียงรองเหมือนเกา เมือ่ ไมส นใจมนั กบ็ ินลงมาจับพนื้
คาบหญา แหง เหมือนจะย่ืนให คาบวางๆพอรบั ทราบวา อะไร กันเลา จะมาบอกอะไรอีก...กาตวั น้นั ก็บนิ หนไี ป หลวงพอ จงึ คดิ วา ๒
ครง้ั กอ นมันทาํ อยา งนมี้ คี นตาย ๒ คน แตคราวนมี้ นั มาทาํ อีก ทําไมจะมคี นตายอกี หรือ อยูตอ มาอกี ๓-๔ วนั
พ่สี าวของเด็กพวกน้นั ซง่ึ มีอายปุ ระมาณ ๑๘-๑๙ ป ปว ยเปน ไขและกไ็ ดต าย ลงอกี และไดน ํามาเผาทปี่ าชา น้ันอีก
ความทุกขเ ปนอันมากดูเหมอื น จะมารวมแผดเผาพอแมแ ละญาติของเด็กพวกนั้นใหเกรียมไหมรองไหจ นแทบจะไมมีน้าํ ตาออกชว่ั ระยะ
เพียงครึ่งเดอื นเขาตอ ง สญู เสียลูกไปตงั้ ๓ คน หลวงพอ ไดม าเห็นภาพของคนเหลา นนั้ ผไู ดร บั ความทกุ ขโศก
ย่งิ ทาํ ใหเ กดิ ธรรมะเตือนตนมิใหประมาท ในการทาํ ความเพยี ร ความทุกขความโศกยอมเกดิ จากของท่ีเรารักเราหวงแหน
ซึ่งเปนความจรงิ ทพี่ ระพทุ ธองคตรสั ไวนานแลวและเปนความจริงเสมอไป
อาศัยศาลากลางปาชา และหลุมฝงศพเปน ทมี่ าแหงธรรมะสอนใจมใิ หประมาทเปน อยางด.ี ..
ในพรรษาทอี่ ยวู ดั ปาแหง น้ี จติ ใจรูสึกมคี วามหนกั แนน และเขม แข็งพอสมควร การทาํ ความเพยี รกเ็ ปน ไปอยางสมํา่ เสมอ
และการเคารพตอ กฎกตกิ าทีต่ ัง้ ไวก ม็ ไิ ดบกพรองมีความสาํ รวม สระวงั อยมู ไิ ดป ระมาท พระพุทธองคตรัสวา ศลี จะรไู ดเ พราะ อยรู วมกันนานๆ
ดังน้นั ของสิ่งใดทีเ่ ห็นวา ไมถูกตอ งตามพระวนิ ยั หรือรบั ประเคนแตไมไ ดองคแหงการประเคน หลวงพอก็ไมฉนั
จะพิจารณาฉันเฉพาะสง่ิ ทเ่ี หน็ วา ถูกตอ งตามพระวินยั เทานัน้
ในพรรษาน้นั หลวงพอทาํ ความเพยี รหนกั ยิ่งขนึ้ แมฝน จะตกกย็ ังเดนิ จงกรมอยู เพ่ือคนหาทางพน ทกุ ขม ีเวลาจําวดั นอย ทส่ี ุด
วันหนึ่งเกดิ สุบินนิมติ วา ไดออกไปในท่ีแหงหนึง่ ไปพบคนแกแ ละปวย รองครวญครางมคี นพยงุ ตัวใหล ุกขนึ้ นัง่
หลวงพอพจิ ารณาดแู ลว ก็เดินผา นไป จงึ ไปพบคนเจ็บหนกั จวนจะตาย มรี า งกายซูบผอม
จะหายใจแตล ะครั้งทําใหมองเห็นกระดกู ซีโ่ ครงไลก นั เปนแถวๆ ทาํ ใหเ กิดความสังเวชจงึ เดินเลยไป จงึ ไปพบ
คนตายนอนหงายอา ปากยิ่งทําใหเกดิ ความลดใจมาก เมอ่ื รูสึกตวั ก็ยังจําภาพในฝน นน้ั ไดด อี ยู จึงคดิ หาทางพนทกุ ข
รสู ึกเบ่ือหนา ยตอชีวติ คิดอยากจะปลกี ตัวขึ้นไปอยบู นยอดเขาประมาณ ๗ วัน ๑๕ วนั จึงจะลงมาบณิ ฑบาต แตมีปญหาเร่อื งน้าํ ดม่ื จะตอง
ดมื่ ทกุ วัน จงึ นึกถึงกบในฤดแู ลงมันอยใู นรอู าศัยน้ําเยย่ี วมนั เองมนั ก็มชี วี ติ อยไู ด เมอื่ คดิ ไดด งั นน้ั จึงตกลงจะฉนั นาํ้ ปสสาวะของ ตวั เอง
จงึ ทาํ การทดลองดูกอน วนั นั้นหลังจากฉนั อาหารแลว จงึ ด่มื น้าํ บริสทุ ธ์ิจนอมิ่ อยไู ดป ระมาณ ๓ ชัว่ โมง
รูส ึกปวดปส สาวะเวลาปส สาวะออกมาจึงเอาแกวมารอง ไวเ สรจ็ แลว จึงเทหนาฝาออก นิดหน่ึง จึงยกขึ้นดม่ื รูส ึกวา มีรส เคม็ ทนี ้ีอยไู ดประมาณ
๒ ชว่ั โมง กป็ วดปสสาวะอีก เวลาปสสาวะออกก็เอาแกว มารองเสรจ็ แลว ก็ด่มื เขา ไปอีก คราวนี้อยูไดประมาณ ๑ ชว่ั โมง กป็ วดปส สาวะอกี
เวลาถายปส สาวะก็เอาแกวมารองไวเ สร็จแลวก็ด่มื เขาไปอกี ไดป ระมาณ ๒๐ นาทกี ็ปวดปส สาวะ และกท็ ําอยา งเกา ดืม่ เขา ไปอีก คราวนอี้ ยไู ด
๑๕ นาทีก็ปวดอีกถายออกมาแลวดื่มเขา ไปอีกและอยไู ดป ระมาณ ๕ นาที ปวดปส สาวะ
และถา ยออกมาหาอะไรรองแลว ดม่ื เขา ไปคราวนก้ี ะวาพอตกถงึ กระเพาะกไ็ หลออกเปน ปส สาวะ เลยมสี ขี าวๆ จึงไดเ กิดความรูส ึกวา
นํ้าปสสาวะเปนเศษของน้ําแลว จะอาศัยดืม่ อีกไมไ ด จึงทอดอาลยั ในการท่ีจะหานา้ํ ดม่ื เชน วิธนี น้ั
นอกจากน้นั ยังหดั ปลงผมดว ยตนเอง เลยเปน นิสยั มาจนทกุ วันนี้ และเปนแบบอยางใหศิษยท ้ังหลายไดทาํ ตาม
เมอื่ คดิ วาไมอาจไปอยูบ นยอดเขาไดกค็ ดิ หาวิธใี หม โดยทําการอดอาหารคอื ฉันวนั เวนวนั ลบั กนั ไป ทาํ อยปู ระมาณ ๑๕ วนั
และในระหวางนี้ทําใหร า งกายรอนผดิ ปกตเิ หมือนถูกไฟเผามอี าการทรุ นทุรายแทบจะทนไมไ หว จติ ใจกไ็ มสงบ จึงนกึ ไดวา มใิ ชทาง...ทำให
นึกถึง อปณณกปฏปิ ทา คอื ขอปฏบิ ตั ไิ มผดิ ไดแก โภชะเนมตั ตัญุตา รูจักประมาณในการฉนั อาหารพอสมควร ไมม าก ไมนอ ย สํารวม
อินทรียต ืน่ ขนึ้ ทาํ ความเพยี รไมเกยี จคราน และเม่ือนึกได จงึ หยุดวธิ ีทรมานน้ันเสยี
กลบั ฉนั อาหารเปนปกตวิ นั ละครัง้ ดงั่ เดมิ บําเพ็ญสมณธรรมไดจติ ใจก็
สงบดเี วลาเขาสมาธิ สามารถถอดรูปรางโดยมองเห็นรูปรางของตนอกี รางหน่งึ นัง่ อยูข า งหนา ดว ยความชัดเจน
มิไดง ว งนอนปราศจากนิวรณท กุ อยา ง รสู กึ วา การปฏิบตั ิกส็ ะดวกดีจิตใจสงบเยน็ ...เมอื่ ออกพรรษาแลว
หลวงตาปมุ ชวนขา มไปตัง้ สํานักกรรมฐานอยทู างฝง ประเทศลาว หลวงพอไมเหน็ ดดี ว ย จึงไมย อมไป พอจวนจะสนิ้ ปห ลวงตาจึง
พาลกู วัดยา ยหนไี ปจากวัดน้ันไดประมาณ ๗ วนั หลวงพอก็ไดย ายจากท่ีน่ันไปเชน กัน
พ.ศ.๒๔๙๒ (พรรษาท ี่๑๑) เมอ่ื ออกจากวัดปาอําเภอศรีสงครามแลว หลวงพอกเ็ ดนิ ทาง ข้ึนสูภ ลู ังกาซงึ่ อยูในเขต
อ.บา นแพงจ.นครพนมไดไปพักสนทนาธรรมกบั อาจารยวัน เปนเวลา ๓ วัน จึงไดเ ดินธดุ งคไปเรอื่ ยๆ
นานพอสมควรจงึ ไดล งจากภูลังกามากราบทานอาจารยก ินรี วดั ปาหนองฮี อีกทีหนง่ึ ทานอาจารยก ินรีไดเตือนตวิ า
ทานชา...เอาละ การเท่ียวธุดงคก็พอสมควรแลว ควรจะหาทอี่ ยูเปน หลักแหลง ท่ีราบๆ หลวงพอ จงึ เรียนทานวา กระผมจะกลับบาน
ทานอาจารยก ินรจี ึงพูดวา จะกลบั บา น คิดถงึ ใคร ถาคิดถงึ ผูใด ผูน ้ันจะใหโทษแกเ รานะ
หลวงพอชาจึงไดกราบลาทา นอาจารยกินรีเดินทางตอมาเปน เวลาหลายวนั จนกระท่ังไดมาถงึ บา นปาตาว ต.คําเตย อ.เลงิ นกทา จ.ยโสธร
(แตส มยั น้นั ข้นึ กบั จ.อบุ ลฯ) ไดพักอยูทป่ี าไมไ กลจากบา นเทา ใดนกั ไดม ีโอกาส
เทศนส ่งั สอนประชาชนแนะแนวทางแหง การปฏบิ ัติธรรมแกคนในถิ่นนน้ั จนเกดิ ความเลอ่ื มใสพอสมควร และไดพกั อยเู ปนเวลา ๒ เดอื น
จงึ ไดลาญาติโยมเดินทางลงมาทางใตก อ นจะจากมาโยมไดมอบเด็กคนหนึง่ เปนศษิ ย เม่อื เดนิ ทางมาอาํ เภอวารินฯ
แลว หลวงพอจงึ ใหเด็กชายทองดีผเู ปน ศิษย บรรพชาเปนสามเณรทีว่ ดั วารนิ ทราราม เมอื่ หลวงพอเดินทางมาถึงบานเกิดแลว
จงึ ไดไปพักอยทู ป่ี า ชาบา นกอ เปนเวลา ๗ วัน มโี อกาส ไดเ ทศนใหญาติโยมฟง พอรแู นวทางบา งเปนบางคนแลว หลวงพอ จงึ ไดออกเดนิ ทางไป
อ. กันทรลักษ จ. ศรีสะเกษและได พักอยูในปาใกลบา นสวนกลวยและในพรรษาท่ี ๑๑ น้กี ไ็ ดจ าํ พรรษา อยทู บี่ านสวนกลวย
(ปจจบุ ันสถานที่นน้ั เขาสรางเปนวัดแลว) และในพรรษานีไ้ ดเ กดิ เหตกุ ารณอนั เปนบรุ พนิมิตดงั ตอไปนี้...
๑.คนื วันหน่ึงเม่ือหลวงพอเดนิ จงกรม นัง่ สมาธเิ ปน เวลา พอสมควรแลวจงึ พกั ผอ นจาํ วัด ไดเกิดสุบินนิมติ ไปวา ... มีคนเอาไขมาถวายหนึง่ ฟอง
พอหลวงพอ รับแลว จงึ โยนไปขางหนา ไขฟ องน้ันแตกเกดิ เปน ลกู ไกสองตัววง่ิ เขามาหาจงึ ยน่ื มอื ทง้ั สอง ออกไปรับขางละตัว
พอถกู มอื กก็ ลายเปน เดก็ ชายสองคน พรอ มกับไดยินเสียงบอกวา คนอยูท างขวามือช่ือ บุญธรรม คนท่อี ยูทางซา ยมือชอ่ื บญุ ธง
ปรากฏวา หลวงพอไดเล้ียงเด็กสองคนนั้นไวกาํ ลงั เติบโตนารักวิง่ เลน ไดแ ลว ตอ มาเดก็ ชายบญุ ธงปวยเปนโรคบิด
อยางแรงพยายามรกั ษาจนสุดความสามารถ แตก็ไมหายจนกระทง่ั เดก็ นน้ั ไดตายอยูใ นมือ และไดย ินเสยี งบอกวาบญุ ธงตายแลว
เหลอื แตบุญธรรมคนเดียว จึงรสู กึ ตัวต่ืนขนึ้ จงึ เกิดคําถามวา นี่คืออะไร? มคี าํ ตอบปรากฏขนึ้ วา นี่คอื สภาวธรรมทเี่ ปนเอง
จงึ ไดหายความสงสัย
๒.ในคืนตอ มากม็ อี าการอยา งเดียวกนั พอเคลมิ้ จะหลับไปก็เกดิ สุบินวา หลวงพอชาไดตัง้ ครรภ รูสกึ วา ไปมาลําบากเหมือน
คนมีครรภจริงๆแตก็มีความรสู กึ ในสบุ นิ น้นั วา ตวั เองกย็ ังเปน พระอยู เมอ่ื ครรภแกเตม็ ท่คี รรภจะคลอดจงึ มคี นมานมิ นตไ ปบณิ ฑบาต
พอไปถงึ ท่ีทีเ่ ขานมิ นตม องไปรอบๆ บรเิ วณเหน็ ลําธาร กระทอ มไมไผขัดแตะกลางทุงนาและเห็นพระอยูบนเรอื น ๓ รปู
ไมท ราบวา มาจากไหน...โยมเขาพากนั ถวายอาหารบณิ ฑบาตพระ ๓ รปู นั้น
ฉันอยขู างบนแตห ลวงพอ ชาปรากฏวา ทองแกจ วนจะคลอดเขาจงึ ใหฉนั อยขู า งลางพอพวกพระฉันจงั หัน
ทา นหลวงพอชากค็ ลอดเด็กพอดแี ละเปน เด็กชาย มขี นนมุ นม่ิ บนฝามอื และฝา เทา มอี าการ ยมิ้ แยมแจม ใส ทองปรากฏวาแฟบลง
นึกวา ตัวเองคลอดจริงๆ จงึ เอามือคลําดูแตกไ็ มมีสง่ิ เปรอะเปอนใดๆ ทําใหนกึ ถงึ พระพุทธองค ทที่ รงประสูตจิ ากครรภพระมารดา
คงจะไมเ ปรอะเปอ นมลทนิ ใดๆ เชน กนั และเวลาฉันจงั หนั พวกโยมพจิ ารณากนั วา ทานคลอดบตุ รใหมจะเอาอะไรใหฉ นั เขาจึงเอาปลาหมอปง
๓ ตัวใหฉัน รสู กึ วาเหนือ่ ยออนไมอ ยากฉัน แตกอ็ ดใจฉนั ไปเพื่อฉลองศรัทธา เขา เพราะมันไมม รี ส ชาติอะไร
กอนจะฉันจงึ สงเดก็ ใหโยมอุมไว พอฉนั เสร็จเขาจงึ สงเดก็ คนื มาให พอถึงมือรับไวเ ด็กพลัดตกหลน จากมอื แลวจงึ รูส กึ ตัวต่นื ขึ้น เกิดคาํ ถามวา
นค่ี อื อะไร? มคี ําตอบวา น่ีคอื ภาวะทเ่ี ปน เองท้งั น้ัน เลยหมดความสงสัย
๓.คนื ทส่ี ามตอมาก็อยใู นอาการดังกลา วนนั่ แหละพอพกั ผอนเคลิ้มหลบั ไปก็เกิดสบุ นิ วา ไดร บั นมิ นตใ หข ึน้ ไปยอดเขากบั สามเณรรปู หน่งึ
ทางขึ้นเขานั้นเปนทางเวยี นขึ้นไปเหมอื นกนหอย วนั นั้นเปน วันเพ็ญ และภูเขาก็สงู มากพอข้ึนไปถึงแลว รสู ึกวา เปนทรี่ มร่นื ดีมีมานปูพื้นและกนั้
เพดานสวยงามมากจน
หาทเ่ี ปรยี บไมไ ด แตเ วลาจะฉันเขาก็นมิ นตล งมาทีถ่ ้าํ ขา งภเู ขามโี ยมแม
(แมพ มิ โยมมารดา) และนา มีพรอ มญาติโยมเปนบริวารจาํ นวนมากไปถวาย อาหาร อาหารทถ่ี วายน้ันโยมแมไดแ ตงและผลไมอ ื่นๆ
สวนนามไี ดไ กยา ง เปดยา งมาถวาย หลวงพอ จึงทกั ข้ึนวา โยมมอี ยเู ห็นจะมคี วามสขุ นะ ไดไ กย า งเปดยางมาถวายพระ โยมมกี ็ย้ิมแยม แจมใสดี
เมื่อฉนั อาหารเสร็จแลวไดเ ทศนใหเขาฟง นานพอสมควร เมอื่ เทศนจบจงึ รูส กึ ตวั ตนื่ ขึ้น
พ.ศ.๒๔๙๓ (พรรษาที๑่ ๒) ในระหวางตน ปไ ดรับจดหมายจากพระมหาบุญมี ซงึ่ เคยเปน เพอื่ นปฏิบตั ิมาดว ยกนั
แจง ขาวเร่อื งการปฏิบตั ิธรรมของหลวงพอวัดปากนาํ้ ภาษเี จริญธนบรุ ี จงึ ไดเ ดนิ ทางลงไป และไดพ ักอยูกับพระมหาบญุ มที ีว่ ัดปากนํา้ ๗
วันไดม โี อกาส นมัสการหลวงพอเจาอาวาสไดส ังเกตและพิจารณา ดแู ลวเห็นวาเปนไปเพอื่ รักษาโรคภัยบางอยา ง ยังไมถูกนสิ ยั
จงึ ไดเ ดนิ ทางออกไปพักอยูที่วดั ใหญ จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา และไดป ฏบิ ตั ิธรรมอยรู ว มกับพระอาจารยฉ ลวย และหลวงตาแปลก
และท่ีบริเวณใกลๆวดั มีสถานท่ลี ําธารและกระทอ มไมไผและสิ่งอนื่ ๆ เหมือนดงั ภาพที่ปรากฏในคราวฝน เห็นอยูท บี่ านสวนกลว ยจริงๆ
ไดจําพรรษาอยูทีว่ ดั นัน้ ๒ พรรษา การปฏิบตั ิธรรมรวมกนั นัน้ เปนไปโดยความสะดวกและสามคั คเี ปน อยางดี
รกั ษาโรคดว ยธรรมโอสถครั้งท่ี ๒ ในป พ.ศ.๒๔๙๔ น่นั เอง หลวงพอปว ยเปน โรคเกยี่ วกบั ทอ งมีอาการบวมขน้ึ ทางดานซา ย
รูสึกเจ็บปวดทท่ี องมาก และผมกบั โรคหืดทเ่ี คยเปน อยแู ลว ก็ซํา้ เตมิ อีก หลวงพอ ชาพิจารณาวา อนั ตัวเรานี้ก็อยูหางไกล ญาตพิ นี่ อง
ขา วของเงินทองก็ไมมี เม่ือปวยขน้ึ มาคร้ันจะไปรกั ษาทโี่ รงพยาบาลก็ขาดเงนิ ทอง จะเปน การทําความยุงยากแกค นอืน่
อยากระน้ันเลยเราจะรกั ษาดว ยธรรมโอสถโดยยึดเอาพระธรรมเปนทีพ่ ง่ึ ถามันจะหายก็หาย
ถา หากมันทนไมไ ดก ใ็ หม ันตายไปเสีย...จงึ ทอดธุระในสงั ขารของตนโดยการอดอาหารไมย อมฉันจะดม่ื
เพยี งแตนา้ํ นดิ ๆหนอ ยๆ เทาน้นั ...ทง้ั ไมย อมหลับนอน จงึ ไดแ ตเ ดินจงกรมและน่งั สมาธลิ บั กันไป เวลารงุ เชาเพอ่ื นๆเขาไปบณิ ฑบาต
หลวงพอ ก็เดนิ จงกรม พอเพ่ือนกลับมาก็ขึน้ กุฏิ นง่ั สมาธิตอไปมอี าการออ นเพลยี ทางรา งกาย แตกาํ ลงั ใจดีมาก ไมย อ ทอ ตอสิ่งท้ังปวง
หลวงพอ เคยพูดเตอื นวา การอดอาหารนัน้ สระวังใหดี...บางทจี ะทําใหเ ราหลง เพราะจิตคดิ ไปมองดูเพ่ือนๆ
เขาฉันอาหารนนั้ เปน การยุงยากมภี าระมากจรงิ ๆ เลยคดิ วา เปน การลาํ บากแกต วั เองอาจจะไมย อมฉันอาหารเลย เปนทางให ตายไดงา ยๆเสยี ดวย
เม่อื หลวงพออดอาหารมาไดค รบ ๘ วัน ทานอาจารยฉ ลวยจึงขอรองใหก ลบั ฉนั ดังเดมิ โรคในกายปรากฏวา หายไป
ทั้งโรคทอ งและโรคหืดไมเปน อีก หลวงพอ จงึ กลับฉัน อาหารตามเดมิ และไดใหคําแนะนําไวว า เมอื่ อดอาหารหลายวนั เวลากลบั ฉนั
สิ่งที่ควรระวงั กค็ อื อยาเพ่ิงฉนั มากในวนั แรก ถา ฉนั มากอาจตายได
ควรฉนั วนั ละนอยและเพิม่ ขนึ้ ไปทกุ วนั จนเปน ปกตใิ นระยะทจี่ ําพรรษาอยทู ว่ี ัดใหญนั้นหลวงพอมิได
แสดงธรรมตอ ใครอนื่ มแี ตอบรมตวั เองโดยการปฏบิ ัติและพิจารณาเตอื นตนอยตู ลอดเวลา เม่อื ออกพรรษาแลว ไดเ ดินทางไปพักอยูเกาะสชี ัง
เพ่อื หาความสงบเปน เวลาหน่งึ เดอื น และถือคติเตอื นตนเองวา ชาวเกาะเขาไดอาศยั พ้นื ดินทมี่ ีนา้ํ ทะเลลอมรอบ ที่ท่เี ขาอาศัย
อยไู ดต อ งพน นาํ้ จงึ จะเปน ท่พี ง่ึ ได เกาะสีชังเปน ทพ่ี ่ึงทางนอก ของสวนรางกาย เรามาอาศัยอยทู ่เี กาะนี้คอื ท่ีพ่งึ ทางในซ่งึ เปนทอี่ ันนาํ้
คอื กิเลสตณั หาทวมไมถึง แมเ ราจะอยบู นเกาะสชี งั แตก ย็ ังคนหาเกาะภายในอกี ตอไป ผทู ีท่ านไดพบ และอาศัยเกาะอยูไดนน้ั ทานยอ มอยูเปนสขุ
ตา งจากคนที่ลอยคออยูในทะเล คือความทุกขซ ่งึ มีหวงั จมนา้ํ ตาย ทะเลภายนอกมีฉลามและสตั ว รายอ่ืนๆ แตทะเลภายในยง่ิ รายกวา นนั้ หลายเทา
เม่ือไดธรรมะจากทะเล และเกาะสีชังพอสมควร ซึง่ เปน เวลาหนึง่ เดอื นแลว จงึ ออกจากเกาะสีชงั เดินทางกลบั วดั ใหญ จ.อยธุ ยา
และพกั อยูท ีว่ ดั ใหญเ ปนเวลานานพอสมควรจงึ ไดเ ดนิ ทางกลบั มาบา น และไดมาพกั ที่ปาชา บา นกอตามเคยมโี อกาส
เทศนโปรดโยมแมและพีช่ าย(ผูใหญล า) และญาตพิ ี่นองหลายคน จนเปน เหตใุ หงดทาํ ปาณาติบาต และเชอ่ื มั่นในพระรัตนตรัยยง่ิ ขึ้น
พกั อยทู ีป่ าชา บานกอเปน เวลา ๑๕ วนั จงึ เดินทางตอ ไป
พ.ศ.๒๔๙๕ (เปนพรรษาที่๑๔) ในระหวา งตนปน้ี หลวงพอ จงึ ไดเ ดินธุดงคข ้ึนไปจนถึงบานปาตาว อ. เลิงนกทา จ.ยโสธร
ซ่งึ เปนสถานทีเ่ คยอยูม ากอน คราวน้ไี มไปอยูท่ีเกา ไปอยูจําพรรษาในปาหา งจากหมูบาน ๒ กิโลเมตร ซง่ึ ปจ จุบนั เปนที่พักสงฆบ าํ เพญ็ ธรรม
หลวงพอไดมีโอกาส เทศนสั่งสอนประชาชนจนเต็มความสามารถ ทําใหเ ขาเขา ใจในหลักคําสอน ในศาสนาดยี ง่ิ ขน้ึ
และเกดิ ความเลอ่ื มใสการรบั แขกและการพบปะสนทนาธรรมมมี ากและบอยคร้งั ย่งิ ขึ้น
สถานทพ่ี ักแหงน้ันเรยี กวา วดั ถํ้าหินแตก เปน ลานหินดาด ทางดา นทศิ เหนือของท่พี กั น้ันเปน แองนํ้ามีปลาชุมทางทศิ ตะวนั ออก
ของแองน้ําเปนคันหินสูงนิดหนอย
ตอ จากคันหนิ ไปทางดานทศิ ตะวันตกเปนทล่ี าดลงไปเวลาน้ําลนแองกไ็ หลไปตามทลี่ าดลงสเู บื้องลา งโดยมาก
มพี วกปลาดกุ พยายามตะเกยี กตะกายขนึ้ มาตามนํ้า บางตวั ก็ขามคันหินไปถงึ แองน้ํา บางตัวก็ขามไปไมร อดจงึ นอนอยูบนคนั หิน
หลวงพอ เคยสังเกตเห็นตอนเชา ๆทา นจะเดนิ ไปดู เมื่อเหน็ ปลานอนอยบู นคนั ดินจึงจับมันปลอยลงไปในแอง น้าํ
แลวจึงกลบั มาเอาบาตรไปบิณฑบาต
ยอมอดเพื่อใหชวี ติ สตั ว
เชาวันหนึง่ กอ นจะออกบิณฑบาต หลวงพอ จึงเดินไปดปู ลาเพ่ือชว ยชวี ติ มันทุกเชา แตวนั นัน้ ไมท ราบใครเอาเบ็ดมาตกไวตามรมิ แองนาํ้
เหน็ เบ็ดทกุ คนั มปี ลาตดิ อยู หลวงพอ จงึ ราํ พึงวา เพราะมันกินเหยอื่ เขา ไป เหยอื่ น้ันมเี บ็ดดวยปลาจึงติดเบ็ดสมองดปู ลาตดิ เบ็ดสงสารก็สงสาร
แตช ว ยมันไมได เพราะเบด็ มีเจา ของ ทา นจงึ มองเหน็ ดวยความลดใจ เพราะความหิวแทๆ เจา จงึ หลงกินเหยือ่ ท่เี ขาลอ ไว ดิ้นเทา ไรๆกไ็ มห ลุด
เปน กรรมของเจา เองเพราะความไมพ จิ ารณาเปนเหตใุ หเตือนตนวา
ฉันอาหารไมพ ิจารณาจะเปนเหมอื นปลากินเหยอื่ ยอ มติดเบ็ด...ไดเวลาจึงกลบั ออกไปเทีย่ วภกิ ขาจาร
คร้นั กลับจากบณิ ฑบาตเห็นอาหารพิเศษสมองดูเหน็ ตม ปลาดุกตวั โตๆทง้ั นั้น หลวงพอ นกึ รทู ันทวี า ตองเปน ปลาตดิ เบด็ ที่เราเหน็ น้ันแนๆ
บางทอี าจจะเปน พวกที่เราเคยชวยชีวติ เอามนั ลงนาํ้ ก็ได
ความจรงิ กอ็ ยูใ กลๆแอง นาํ้ นี้เทานัน้ ...และโดยปกตแิ ลวอาหารจะฉันก็ไมคอ ยจะมอี ยแู ลว
แตหลวงพอเกดิ ความรงั เกยี จข้นึ มาถึงเขาจะเอามาประเคนก็รับวางไวตรงหนา ไมยอมฉนั ถึงแมจะอดอาหารมานานก็ตาม
เพราะทา นคดิ วาถาเราฉันของเขาในวนั นี้ วนั ตอๆไปปลาในแองนํ้าน้นั ก็จะถกู ฆาหมด เพราะเขาจะทําเปนอาหารนํามาถวายเรา
ปลาตวั ใดท่ีอตุ สาหตะเกยี กตะกายข้นึ มาพบแองนํา้ แลว กย็ ังจะตอ งพากนั มาตายกลายเปน อาหารของเราไปหมด ดังนัน้ หลวงพอจงึ ไมยอมฉนั
จึงสง ใหพระทองดซี ง่ึ น่งั อยขู า งๆ พระทองดเี ห็นหลวงพอ ไมฉ นั กไ็ มยอมฉันเหมอื นกันมีอะไรที่ไปบิณฑบาตไดมาก็แบงกันฉันตามมีตามได
สวนโยมท่ีเขาตม ปลามาถวายนง่ั สงั เกตอยตู ้ังนานเมอ่ื เหน็ พระไมฉนั จงึ เรยี นถามวา ทานอาจารยไ มฉนั ตมปลาหรือครับ
...หลวงพอจึงตอบวาสงสารมัน เทาน้เี อง ทาํ เอาโยมผูน าํ มาถวายถึงกบั นิ่งอง้ึ ...แลว จงึ พดู วา ถาเปนผมหิวอยา งนค้ี งอดไมไดแนๆ
ต้งั แตน ั้นมาปลาในแอง นํ้านน้ั จึงไมถกู รบกวนพวกโยมก็พากนั เขาใจวาปลาของวดั ...
ทา นท้ังหลายลองนึกดเู ถิดวา หลวงพอมีจติ ประกอบดวยเมตตามากแคไ หน ถาเปนเราแลว จะทนความหิวไดหรือเปลายังไมแน...
สว นหลวงพอทา นทนหวิ เพอื่ เหน็ แกชวี ติ เพอ่ื นรวมวดั ถานึกรงั เกยี จหรอื รู วาเขาฆา มาเฉพาะ (อุททสิ ะมังสะ) แบบน้ีทา นจะไมยอมฉนั เลย...
ถา เปนเราๆทา นๆปลาทง้ั หลายในแองนํ้า น้ันอาจจะสญู พนั ธใุ นระยะอนั นั้นก็อาจเปน ได
ดังน้นั เมอ่ื หลวงพอมาอยูวัดหนองปาพงน้ี ทา นจงึ หาม ไมใ หนาํ สัตว มีชวี ิตมาทําปาณาติบาตในวดั เปนเดด็ ขาด
ถึงแมว ดั เปนสาํ นกั สาขาของทา นกถ็ อื ปฏิบัติแบบเดยี วกนั
พ.ศ.๒๔๙๖ ซึ่งนับเปน ปที่ ๒ ทีห่ ลวงพอ ไดอยปู าใกลบ านปา ตาวมีพระภกิ ษสุ ามเณรอยู ๙ รปู เฉพาะศิษยท เ่ี ปนคน
ทางอาํ เภอวารนิ ชาํ ราบมีพระเท่ยี ง (อาจารยเท่ยี งวดั เกา นอย) กบั พระหนู (หนู ขวญั นู) ไดอยปู ฏิบตั ิธรรมรว มพระเณรอน่ื ๆ
เมอ่ื มพี ระเณรอยดู วยกันหลายรูปหลวงพอจึงคิดวา ควร จะปลกี ตัวไปอยูแ ตล าํ พังคนเดียว เพ่อื ใหไดรับความสงบยิ่งข้ึน
จึงตกลงใหพระเณรอยจู าํ พรรษาท่วี ดั ถํ้าหนิ แตก สวนหลวงพอเองข้ึนไปจําพรรษาอยภู กู อย ซงึ่ บรเิ วณน้ันหลงั จากหลวงพอไดจาก
ภกู อยไปหลายป จึงมีผูคน พบรอยพระพุทธบาทและเปน ที่ สักการบชู าของพทุ ธศาสนิกชนอยูเดีย๋ วนี้ ภูกอยน้ีอยูหางจาก ถํ้าหินแตกประมาณ ๓
กโิ ลเมตร ทาํ ใหไ ดรับความสุขมาก พอถงึ วันอโุ บสถสวดพระปาฏโิ มกข หลวงพอก็ลงมารวมทาํ สังฆกรรม ท่ีวดั ถาํ้ หินแตก
และไดใ หโ อวาทเตอื นติพระภกิ ษสุ ามเณรมไิ ดขาด บางโอกาส ไดเทศนใ หโยมฟง พอสมควรแลว กลับไปที่พักภูกอยตามเดิม
รกั ษาโรคดวยธรรมโอสถครงั้ ท่ี ๓ ในระหวางพรรษานี้หลวงพอปวยเปน โรคเกย่ี วกบั ฟนเหงอื กบวมทั้งขา งบนและขางลา ง รูส กึ บวมมาก
โรคปวดฟนนม้ี รี ส ชาติเปน อยางไรนนั้ ใครเคยเปน แลวไมอยากเปน อกี แตกห็ นีไมพนจงึ ตองจํายอม...ขนาดพวกเราปวดซเี่ ดียวสองซ่ี
กย็ ังทรมานไมนอยเลย หลวงพอ ทา นหายา มารกั ษาตามมตี ามได โดยใชต บะธรรมและขนั ติธรรมเปนทต่ี ั้ง พรอมท้ังพิจารณาวา พยาธิง
ธัมโมมหิ พยาธิง อะนะ ตโี ต เรามีความเจ็บไขเ ปน ธรรมดา หนีความเจ็บไขไ ปไมพน รูเทา ทนั สภาวธรรมนั้นๆมคี วามอดทนอดกลน้ั
แยกโรคทางกายกบั โรค ทางใจออกเปนคนละสว น เมอ่ื กายปว ยก็ปวยไปไมย อมใหใจ ปวยดว ย
แตถ ายอมใหใ จปว ยดวยกเ็ ลยกลายเปน ปว ยดวยโรค สองชน้ั ความทุกขเปน สองชัน้ เชน เดียวกนั โรคปวดฟน มนั ทรมานหลวงพอ มาก
กวาจะสงบลงไดตอ งใชเ วลาถงึ ๗ วนั
หลวงพอไดเลาใหฟ งวา พดู ถึงการสังวรระวงั เรอื่ งศีลแลว เมอื่ คราวออกปฏบิ ัตไิ ปคนเดียวอยูรปู เดยี ว ยง่ิ มีความหวาดกลัว ตอ อาบตั ิมาก
ออกปฏบิ ตั ิคร้งั แรกมีเขม็ เลม เดียวทงั้ คดๆเสียดว ย ตอ งคอยระวงั รกั ษากลัวมันจะหกั เพราะถาหกั แลว ไมร ูจะไปขอใคร ญาติพ่นี องก็ไมมี
ดา ยสาํ หรบั เยบ็ ก็เอาเสนไหมสําหรบั จงู ผี ขวั้นเปน เสน แลว หอรวมกนั ไวกับเขม็ เมือ่ ผา เกา ขาดไปบางกไ็ มย อมขอ
เวลาเดนิ ธดุ งคผ า นวัดตา งๆตามชนบท ไมม ีผา สาํ หรับปะ จึงไปชกั บังสุกลุ เอาผา เช็ดเทาตามศาลาวดั ปะบงจวี รท่ขี าดเสร็จแลว กเ็ ดนิ ธุดงคต อ ไป
และไดเตือนตนเองวา ถาไมมีใครเขาถวายดว ยศรัทธา เธอกอ็ ยาไดขอเขา เปน พระธุดงคน ใี่ หม นั เปลอื ยกายดซู ิ
เธอเกิดมาครงั้ แรกกม็ ไิ ดน ุงอะไรมใิ ชหรอื เปนเหตใุ หพ อใจในบริขาร ท่มี ีและเปนการหา มความทะเยอทะยานอยากในบรขิ ารใหมไดดีมาก
พดู ถงึ อาหารบิณฑบาตนบั วา มีหลายๆ ครั้ง เวลาออกบิณฑบาตไดแตข าวเปลา ๆ ทานก็สอนตนเองวาดแี ลว...ไดข า วฉันเปลาๆ
กย็ งั ดกี วามิไดฉ ัน ดูแตส ุนัขนนั่ ซมิ นั กินขาวเปลาๆมันยังอวนและแขง็ แรงดแี กลองเกดิ เปน หมาสักชาตดิ ซู ทิ าํ ใหฉ ันขา วเปลาๆ
ดวยความพอใจและมีกําลงั ปฏิบัติธรรมตอไป...
พูดถึงเรื่องอาพาธแลว หลวงพอ เลาวา ไดเ คยผา นความลาํ บากมามากคร้ังหน่ึงเม่ืออยใู นเขต สกลนคร นครพนม ปวยเปน ไขมาหลายวัน
อยคู นเดยี วกลางภเู ขาอาการหนักพอดู ลุกไมขน้ึ ตลอดวันดวยความออ นเพลยี จึงมอ ยหลบั ไป
พอรสู ึกตวั กเ็ ปนเวลาเยน็ มากตะวันจวนจะตกดินกาํ ลังนอนลมื ตาอยู ไดยินอเี กง มนั รอ งจงึ ตั้งปญหาถามตวั เองวา พวกอีเกงและสตั ว
ปามันปว ยเปน ไหม? คําตอบเกดิ ขนึ้ วา มนั ปวยเปนเหมือนกนั เพราะพวกมันเปนสังขาร
ท่ีตองปรงุ แตงเชนเดียวกบั เรานีแ่ หละมันมยี ากินหรอื เปลา ? มนั กค็ งหากินยอดไมใบไมตามมีตามไดมหี มอฉดี ยาใหมันไหม?
เปลา...ไมมีเลย...แตก็ยงั มอี เี กง และสัตว เหลืออยูสืบพนั ธุกนั เปน จาํ นวนมากมิใชห รือ? คําตอบเกดิ ขึน้ วา
ใชแลว...ถูกแลว ...พอไดข อคดิ เทานท้ี าํ ใหมกี าํ ลังใจดีขึ้นมาก จงึ พยายามลกุ นงั่ จนได
และไดพ ยายามทาํ ความเพยี รตอไปจนกระท่งั ไขไดท เุ ลาลงเร่อื ยๆ หลวงพอพูดใหฟ ง วา เปน ไขหนักอยูคนเดยี วกลางภูเขาไมต ายหรอก
ถาไมถ ึงท่ตี าย แมจ ะไมม หี มอรกั ษาก็ตามแตว า มนั หายนานหนอยเทา น้ันเอง
พ.ศ.๒๔๙๗ ในระหวา งปลายเดอื น ๓ โยมมารดา (แมพ ิม) ของหลวงพอ พรอมท้งั พ่ชี าย(ผูใหญล า ) และญาตโิ ยมอกี ๕
คนไดเดนิ ทางขึ้นไปพบหลวงพอ เพื่อนมัสการนมิ นตใ หกลบั ลงมาโปรดญาติโยมในถน่ิ กาํ เนิด หลวงพอ พิจารณาเหน็ เปนโอกาส
อนั เหมาะแลวจงึ รับนิมนต และตกลงใหโยมมารดาและคณะทไ่ี ปนั้น ข้ึนรถโดยสารลงมากอ น สว นหลวงพอพรอ มดว ยพระเชอ้ื พระหนู
พระเลื่อน สามเณรออ ด พรอมดวยพอ กี พอ ไต บานปาตาว เดนิ ธุดงคล งมาเรอ่ื ยๆ หยดุ พักเปนระยะๆ ตามทางเปนเวลา ๕ คืน
กําเนดิ วัด
วันนน้ั เวลาตะวนั บา ย คณะของหลวงพอ ไดเ ดินทางมาถงึ ชายดงปาพงแหง น้ซี ่งึ เปนวันจนั ทร ขนึ้ ๔ คา่ํ เดอื น ๔ ปม ะเส็ง ตรงกับวันท่ี
๘มีนาคม พ.ศ.๒๔๙๗ ซึง่ เปน นิมติ เคร่ืองหมาย ครง้ั สําคญั ทจ่ี ะเปล่ียนแปลงปาทีน่ า กลวั ใหเ ปนปา ทนี่ า ชม รื่นรมยไ ปดว ยรสแหงสัทธรรม
เชาวันที่ ๙มีนาคม ๒๔๙๗ จึงไดพากันเขา สํารวจ สถานท่พี กั ในดงปาน้ี
โยมไดถ ากจอมปลวกถางตน ไมเ ล็กๆออกจดั ที่พักใหใกลตน มะมว งใหญหลายตน ซึ่งอยูขางโบสถด า นทิศใตปจ จบุ นั นี้
ตอ มามญี าตโิ ยมชาวบา นกอและบา นกลางผูเลื่อมใส จงึ ชวยกันปลกู กฏุ ิเลก็ ๆใหอ าศัยกนั ตอ ไป
บงั เกดิ นมิ ติ
เมื่อหลวงพอและคณะไดเขา มาอยใู นดงปาพงได ๑๐ วนั วันนน้ั เปนวันเพ็ญ เดือน ๔ เวลาน้ันประมาณทุมกวา ๆ
ญาติโยมมาฟง ธรรมไมม ากเทาใดนัก เกดิ บรุ พนิมติ มแี สงสวา งพงุ ปราด ไปขา งหนาเปนทางยาว
แลว หดตวั มาดบั วูบลงทม่ี มุ วดั ดานทิศตะวนั ออกเฉยี งใตน ่ันเอง ทําใหญ าติโยมทเี่ ห็นดวยตาเกิดอศั จรรยขนพองยองเกลา ตา งก็พูดไมอ อก
เมือ่ ไดม าอยทู ปี่ าพงแลว หลวงพอ ทานถือหลกั คําสอน ของพระพทุ ธองคท ตี่ รสั วา ทาํ ตนใหตง้ั อยใู นคุณอนั สมควรเสยี กอน
แลว จึงสอนคนอน่ื ทีหลัง จึงจักไมเปน บณั ฑิตสกปรกดงั น้ันไมวา กจิ วตั รใดๆเชน กวาดวดั จดั ทฉี่ นั ลางบาตร ตกั นา้ํ หามนา้ํ ทําวัตร สวดมนต
เดินจงกรม นง่ั สมาธิ วนั พระ ถือเนสชั ชกิ ไมนอนตลอดคืน หลวงพอ ชาลงมอื ทาํ เปนตัวอยา ง ของศิษย โดยถอื หลกั ทีว่ า
สอนคนดว ยการทาํ ใหดู ทําเหมอื นพดู พูดเหมือนทํา ดังนนั้ จึงมีศิษยและญาตโิ ยมเกดิ ความเคารพยําเกรง
และเลื่อมใสในปฏปิ ทาที่หลวงพอดําเนินอยู เมอื่ เทศนกช็ ีแ้ จงถงึ หลักความจรงิ ทจ่ี ะนําไปทาํ ตามใหเ กดิ ประโยชนไ ด
หลวงพอและศษิ ยรนุ แรกทีเ่ ขามาอยตู องตอ สูกับไขป า ขณะนนั้ ยงั ชกุ ชุมมากเพราะเปน ปาทึบ ยามพระเณรปวยจะหายารักษาก็ยาก ตอ งตม
บอระเพ็ดใหฉนั กพ็ อทเุ ลาลงบาง เนื่องจากโยมผอู ุปฏฐากยงั ไมคอ ยเขา ใจในการอปุ ถัมภ ทง้ั หลวงพอ กไ็ มยอมออกปากขอจากใครๆ
แมจะพดู เลียบเคยี งก็ไมท าํ ปลอยใหผูมาพบเหน็ ดว ยตา พจิ ารณาแลว เกิดความเล่ือมใสเอาเอง พูดถึงอาหารการฉันกร็ สู กึ จะฝด เคือง
เมอ่ื หลวงพอ ไดม าอยูทป่ี าพงแลว เดือนแรกผานไป และในเดือนตอมาคณุ แมพ มิ ชว งโชติ โยมมารดาของหลวงพอ พรอมดว ยโยมผหู ญิงอีก ๓
คน ไดม าบวชเปนชี อยปู ระพฤตปิ ฏบิ ัติธรรม พวกญาติโยมจึงปลูกกระทอมใหอยอู าศัย...โยม แมพ ิมจึงเปน ชีคนแรกของวัดหนองปา พง
และมแี มชอี ยูติดตอกนั มาจนถึงปจ จบุ ันนีเ้ ปน จํานวนมาก
ป พ.ศ.๒๕๐๐ ซงึ่ ชาวพุทธถือวา เปน ปท่สี ําคญั มกี ารทําบุญทงั้ สว นวตั ถทุ าน และธรรมทานมีการบวชตนเองและบวชลกู หลานเปน ภิกษสุ ามเณร
และบวชเปน ชีและตาปะขาวเปน จาํ นวนมากมีการประกอบพธิ ีกรรมทางศาสนาเปน พิเศษ
ทางวัดหนองปาพงหลวงพอก็อนุญาตใหม กี ารบวชเชนกันมบี วชเปน สามเณร ๒ รปู บวชเปนตาปะขาว ๗๐ บวชเปนชี ๑๗๘ คน รวมเปน
๒๕๐ คน
ป พ.ศ.๒๕๐๑ มีประชาชนสนใจการฟงเทศนฟง ธรรม และการปฏิบตั ิธรรมมจี าํ นวนเพ่ิมขึ้นมญี าตโิ ยมชาวบานเกา นอ ย ต.ธาตุ
ซงึ่ เคยมาฟง ธรรม ปฏบิ ัติธรรมท่ีหนองปา พงมานิมนตห ลวงพอใหไ ปพักอยทู ี่ปา ละเมาะใกลกับปาชา
และหลวงพอไดไ ปพกั อยูสอบรมธรรมะแกผูส นใจในถิ่นน้ันไดจาํ พรรษาอยูทป่ี าแหงน้ัน และนบั วาเปนสาขาแรกของวดั หนองปา พง
และในปตอ มาก็ไดจ ัดสงลกู ศิษยไ ปอยปู ระจําจนถึงทุกวันน้ี
และในปตอๆมา ก็มญี าติโยมผูเ ล่ือมใสสนใจในการปฏบิ ัตมิ านมิ นตห ลวงพอไปรับอาหารบิณฑบาตและอบรมธรรมะเพิ่มจาํ นวนมากข้ึนๆ เชน
นิมนตไ ปทางบานกลางใหญ อ.เขอื่ งในบาง นมิ นตไ ปเยย่ี มทางชาวไรภ ูดนิ แดง อ.กันทรลกั ษ จ.ศรีสะเกษบาง
นมิ นตไปทางบานหนองเดนิ่ หนองไฮบาง ซึ่งตอ มาก็ไดมลี กู ศิษยของหลวงพอ ไปอยูแ ละเปน สาขาที่ ๒-๓-๔ ของหนองปา พง
ประมาณเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๑ มญี าติโยมอําเภออาํ นาจเจริญมานมิ นตหลวงพอ ขนึ้ ไปฉนั ภัตตาหาร
และอบรมธรรมะที่วดั ตน บกเต้ีย(ปากทางเขาถ้าํ แสงเพชร) โดยมอี าจารยโสม พักอยูทน่ี ่นั และเขานมิ นตห ลวงพอเขาไปดูถํ้าแสงเพชร
(ถา ภูขาม) ขอนมิ นตใหทา นพิจารณาจัดเปนทป่ี ฏบิ ตั ธิ รรม แตห ลวงพอ ก็ยังมไิ ดต กลงใจ ยังเฉยๆอยู
คร้ันเมือ่ ออกพรรษา รบั กฐนิ แลว เมือ่ วนั ท่ี ๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๑ หลวงพอรบั นมิ นตข องโยมชาวจงั หวดั อดุ รฯ เดนิ ทางไปจังหวดั อุดรฯ
พกั ทว่ี ัดปา หนองตสุ ระยะทพ่ี ักอยทู น่ี นั่ หลวงพอ ไดพาไปกราบนมัสการทานพระอาจารยม หาบวั วดั ปาบานตาด
และทานพระอาจารยขาววดั ถ้ํากลองเพล และไดเ ดินทางไปเยยี่ มทานเจาคณุ เจา คณะจงั หวัดหนองคาย ทานเจาคุณพาไปเยย่ี ม วดั โศรกปาหลวง
นครเวยี งจนั ทน และไปเยยี่ มวัดเนนิ พระเนาว ซ่งึ ลว นแตเปนสาํ นักปฏบิ ตั ธิ รรมทั้งนน้ั แลว พักอยูวดั ศรีสะเกษ
กับทานเจา คณะจงั หวัดแลว เดนิ ทางกลบั มาถงึ อุดร และแวะเยย่ี มภูเพ็ก แลวเดนิ ทางมาถึงบานตองแวะกราบนมสั การทา นอาจารยก ินรี
ทีว่ ัดกนั ตศิลาวาส และกราบลาทา นอาจารยกินรี ลงมาถงึ อาํ เภออาํ นาจเจริญ หลวงพอ พาแวะไปเยีย่ ม อาจารยโสมท่ีวัดตนบกเตย้ี
วนั น้ันเปน วันท่ี ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๑๑ พักอยูหน่งึ คนื
ฉะนั้นจึงพอถือไดว า วนั ท่ี ๒๐ พฤศจกิ ายน ๒๕๑๑ เปน วนั บกุ เบกิ เรม่ิ ตน แหงการสรางวดั ถาํ้ แสงเพชร
และไดไ ปพกั อยตู รงถ้ําท่ีมีรปู พระพุทธองคแ ละปญ จวคั คยี (เขาเรียกกนั วา ถ้ําพระใหญ และเร่ิมปรับปรุงตรงน้นั พอเปนท่ีพกั ไดส ะดวก)
หลวงพอ ปรารภวา มาอยถู ้ําแสงเพชรนีส้ บายใจดมี าก สมองไปทางไหนจิตใจเบิกบานคลายกับ เปนสถานทีเ่ คยอยมู ากอน นัง่ สมาธิสงบดี
ถาไมค ิดอยากพักผอ นจะนง่ั สมาธิอยูตลอดคืนก็ได วัดน้มี พี ้นื ที่ ๑,๐๐๐ ไร เปนสาขาที่ ๕ ของวัดหนองปาพง
พ.ศ.๒๕๑๒ ในระยะเดือนเมษายนของปน ี้ ญาติโยมบา นสวนกลว ยไดม านมิ นตหลวงพอไปอบรมธรรมะและรับไทยทาน
เขาไดจ ัดที่พักไวใ นปา โดยปลกู กุฏไิ ว ๒ หลงั เมอ่ื ไดไ ปถึงแลว ญาตโิ ยมจงึ กราบเรียนขอใหหลวงพอ อุปการะเปน สาขาของทาน (เปน สาขาท่ี
๖) ไดจ ดั สง ลูกศษิ ยไ ปอยปู ระจาํ
เมอื่ วันท่ี ๒มกราคม พ.ศ.๒๕๑๓ หลวงพอไดร ับนิมนตจ ากคณุ แมบ ุญโฮม ศริ ิขันธ และญาติโยมทางอาํ เภอมวงฯ
ใหไปรว มงานทําบญุ รอยวันถงึ หลวงตาอุย (บิดาของแมบญุ โฮม) อาศยั ทญ่ี าติโยมเคยมาฟงเทศนแ ละมาถอื ศลี ปฏิบัติธรรมอยกู ับหลวงพอบอ ยๆ
และเปนเวลาหลายปมาแลว จงึ พิจารณาสถานทอ่ี นั เหมาะสมพอจะจัดเปน ทพ่ี กั ได จึงตกลงจดั ทีพ่ กั ให ณ ปาบา นราง
ดงหมากพริกอยหู างจากอาํ เภอมว งสามสบิ ๒ กม. และหลวงพอ ชา กับผูติดตามไดไปพกั ในดงแหง นน้ั และตอมากไ็ ดกลายเปน วัดปา
วิเวกธรรมชาน สาขาที่ ๗ หลวงพอ ไดส งลกู ศษิ ยไปอยูเปน ประจํา
สาขาวนโพธญิ าณ ในระยะเดยี วกับทช่ี าวอําเภอมวงสามบิ มีความประสงคอยากใหหลวงพออนุญาตใหต ้ังสาขาขึน้ ในเขตอําเภอนนั่ เอง
ญาตโิ ยมทางอาํ เภอพิบูลมังสาหาร เขื่อนโดมนอ ยซ่งึ มีพอใบ พอลา พอ ลอื
ไดม าปรารภนิมนตห ลวงพอไปชมปา หนาเข่ือนเหน็ วาเปน สถานท่ีเหมาะดีแกการปฏิบัตธิ รรม เปน ระหวา งที่นายปรชี า คชพลายุกต
นายอําเภอพบิ ลู มงั สาหารในสมัยน้ันไดไปเยีย่ มหลวงพอ ท่ีวดั ปาพงบอ ยครงั้ บางครัง้ กไ็ ดสนทนา
กับหลวงพอ ทาํ ใหเ กดิ ความซาบซงึ้ และเลื่อมใส เมอื่ ไดทราบวาหลวงพอ ไปเยีย่ มปาทางดานหนา เขอื่ น ก็ยนิ ดสี นบั สนุนในการ
จดั ปรับปรงุ ปาใหเ ปน ท่บี ําเพ็ญธรรม นายอาํ เภอและคณุ นายไดล ะทรพั ยส รา งกฏุ ถิ าวรไว ๑ หลัง และเปนกําลังในการสรา ง
ศาลาการเปรียญทีว่ ดั เขือ่ นแมแตน ายวเิ ชยี รสีมันตรผูวา ราชการ จังหวดั ในสมัยนั้นก็ใหก ารสนับสนุนอยางเตม็ ที่ ในระหวา งเดือนกรกฎาคม
๒๕๑๓ เม่อื หลวงพอ ไปเยย่ี มปา หนา เข่อื นอีก ญาตโิ ยม ขอรองหลวงพอวา พระพุทธบาททห่ี อพระบาท วดั ถา้ํ พระ
อยูในระดบั ใตพ ื้นนํ้าถานํ้าทว มจะเสยี หายจมอยูในนา้ํ เสียดายปชู นียวตั ถุสาํ คญั ขอใหพาอญั เชญิ รอยพระพทุ ธบาทขนึ้ ไปเกบ็ ไว ณ ทนี่ ํา้ ทวม
ไมถ ึง หลวงพอ จงึ พาญาติโยมอญั เชิญออกจากหอพระบาทเดมิ ไปเกบ็ ไวบนหวั หนิ (โขดหนิ ) ทส่ี ูงกวาระดบั น้าํ และตอ มาชาวบา น
และวดั หนองเม็ก โดยการนาํ ของเจาคณะผูปกครองมาเอาไปรกั ษาไวที่วดั หนองเมก็ ต.ฝางคํา อ.พบิ ลู ฯ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ เมอ่ื ออก
พรรษาแลวในวันแรม ๖ คํา่ เดอื น ๑๑ หลวงพอ จงึ สง ทา นอาจารยส ี กับสามเณร ๓-๔ รูป ไปอยูและตอ มาอีกประมาณ ๓ เดือนกวา
หลวงพอจึงสงอาจารยเรืองฤทธ์ิไปอยดู วย และเมอื่ ออกพรรษา ป ๒๕๑๔ ทานอาจารยส กี ลบั วัดปา พง
คงเหลืออาจารยเรืองฤทธ์ิปกครองพระเณรอยเู ปนประจาํ มาจนถึงปจ จุบันนี้ สาขาที่ ๘ นค้ี ร้ังแรกเรารกู นั ในนามสาํ นักวนอทุ ยาน
ครนั้ เมือ่ วันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจา อยูหัวรัชกาลปจ จบุ ัน หลวงพอ ไดรบั พระราชทานเปน พระราชาคณะนามวา
พระโพธิญาณเถร เลยเปลย่ี นชือ่ สาขานใี้ หมว า สาํ นักสงฆวนโพธญิ าณรูส กึ วาเปน สาขาทหี่ ลวงพอ ใหการสงเคราะหเปนพิเศษ
และสาขานมี้ เี นอ้ื ทป่ี ระมาณ ๒,๐๐๐ ไรเศษ จงึ เปนอนั ไดท ราบกนั วาในป พ.ศ.๒๕๑๓ น้ีหลวงพอไดอ นญุ าตใหจัดตง้ั สาขาที่ ๗ คือ
วดั ปา วิเวกธรรมชาน และสาขาที่ ๘ คอื วดั ปาวนโพธญิ าณข้นึ ในปเดยี วกนั ...
เมอื่ หลวงพอ ไดมาอยูเปน ท่พี ่ึงทางใจของศิษย และญาติโยมผใู ครตอการปฏบิ ัตธิ รรมทั้งหลาย เร่ิมแตป ๒๔๙๗ เปน ตน มาจนกระทั่งถงึ ป พ.ศ.
๒๕๑๓มศี ษิ ยและญาตโิ ยมบางคนกราบเรียน เรื่องการขออนุญาตตั้ง (สราง) วดั เมอื่ กอนน้นั หลวงพอ มักพูดวา
ไมตอ งขอสรางวดั เรากส็ รา งกต็ ัง้ มานานแลว แตเ พอื่ ใหถูกตองตามกฎระเบยี บ หลวงพอ จงึ อนญุ าตใหม กี ารขอสรา งวัดขึน้
และเม่ือไดรบั อนญุ าตใหส รางวัดเรียบรอยแลว จึงไดร ับตราต้ังดังนี้
๑)เปน เจาอาวาสวดั หนองปาพง เมื่อวนั ที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๑๖
๒)ไดร บั พระราชทานเปน พระราชาคณะมีนามวา พระโพธญิ าณเถร เม่ือวนั ที่ ๕ ธนั วาคม ๒๕๑๖
๓)เมื่อปลายเดอื นมกราคม ป๒๕๑๗ ไดรับหนังสือใหเ ขา ไปอบรมเปนพระอุปชฌาย และไดร ับตราตงั้ พระอปุ ช ฌาจารย เม่อื วันที่ ๔
กมุ ภาพนั ธ ๒๕๑๗
หลวงพอ ไดใ ชขนั ติธรรมอดทนตอ สูกับความลาํ บากมานานพอสมควร ไดผ า นทง้ั คนผหู วังดแี ละหวงั ไมด ีมามากตอ มาก
แตดว ยนํา้ ใจทีม่ ุง ประโยชนต อ เพ่ือนมนษุ ย และหวงั เจรญิ รอยตามยุคลบาทของพระสัมมาสมั พทุ ธเจา โดยเรยี นและปฏบิ ัตดิ ว ยตนเอง
แลว จึงนาํ ไปสอนคนอนื่ ตอ ไป มิไดห วงั เพยี งเอาตวั รอดแตผ เู ดยี ว
ฉะน้นั หลวงพอจึงไดย อมเสียละความสขุ สวนตนอตุ สา หแ นะนาํ สง่ั สอนศิษยและผูใ ครในธรรมใหไดร บั ความซาบซึง้ ใจ ซ่ึงทาน
ทงั้ หลายผทู ีไ่ ดม ากราบ และไดฟง โอวาทของหลวงพอ ยอ มกอ ใหเ กดิ ศรัทธาเลอื่ มใสเสมอมา
โยมมารดามรณะ
หลงั จากหลวงพอชาและคณะไดเ ขา มาอยูทดี่ งปาพงนเ้ี ดอื นกวา คุณแมพิม ชว งโชติ ซึ่งเปนโยมมารดาของทา นก็
ไดเ ขามาบวชเปนชอี ยปู ฏิบตั ิธรรมตามอยางพระลกู ชาย พรอ มทัง้ มีโยมผหู ญิงบวชตามอกี ๓ คน ยงั ผลใหคุณแมพิมไดรบั รส แหง ธรรม
ทําใหจ ิตใจเยอื กเยน็ เปนที่พึง่ แกตนทําใหตรีเหลาอืน่ ผูหวังความสงบไดเ ขา บวชชเี พิ่มจํานวนมากข้นึ เรอ่ื ยๆ โยมแมช ี ไดสรางความดี
ท้ังทเ่ี ปนสวนอามิสบชู า และปฏบิ ตั บิ ูชาตามกาํ ลังความสามารถ ไดโอกาส
อปุ ถัมภบาํ รงุ พระภิกษุสามเณรท้ังในยามปกติและคราวอาพาธเสมอมา
หลวงพอเองก็ไดท าํ การบาํ รงุ โยมมารดาตามสมควรแกหนาทีอ่ นั บตุ รทดี่ ีจะพึงกระทําแกผ ูบงั เกิดเกลา คอยเอาใจใส ทั้งอาหารกาย
และอาหารใจมไิ ดเพกิ เฉย คร้นั หลายปผ านๆไป หนีความผพุ งั ไปไมพ น...ดงั นน้ั เม่อื คราวทีโ่ ยมปวย หลวงพอ และญาติ
ตลอดทั้งบรรดาแมชีกไ็ ดเ อาใจใสพ ยาบาลรักษาตามความสามารถ หลวงพอก็หาโอกาส เขา ไปเยยี่ มและใหต ทิ างธรรมอยูบ อยๆ
ผลสุดทายแมช ีพิมกไ็ ดทอดท้งิ รา งกายอันแกหงอ มไปเมอ่ื วันท่ี ๑๗ มิถนุ ายน พ.ศ.๒๕๑๗
กาํ หนดงานฌาปนกิจศพโยมแมใ นระยะวันมาฆบูชา ซ่งึ ตรงกับวนั ที่ ๒๕มนี าคม พ.ศ.๒๕๑๘ และในงานนี้ไดอนุญาตใหกลุ บุตร
กุลธดิ าบวชเปนสามเณร ๑๐๕ รปู บวชเปนชี ๗๒ คน เพ่อื ถวายเปน พุทธบูชา...
จาริกสูตางประเทศ ครัง้ ที๑่
นับเปนเวลา ๒๓ ปกวา ที่หลวงพอ ชาไดอ าศัยวดั บานหนองปา พง เปน หลกั ชัยในการประกาศสจั ธรรมอนั นาํ สันติสขุ มาสมู วลมนษุ ย
ไดมีภกิ ษุสามเณร และประชาชน เดนิ ทางมา ฝากตัวเปน ลูกศษิ ย เพอื่ อบรมการปฏิบตั ิธรรม เพมิ่ จาํ นวนมากข้นึ เรอื่ ยๆ
จนกระท่ังไดขยายสาํ นกั สาขาแยกออกไป ในตางอําเภอและตางจังหวดั ซ่ึงในปจ จบุ นั นมี้ อี ยูประมาณ ๘๒ สาขา
และมชี าวตา งประเทศเกดิ ความเลอ่ื มใสมาขอบวชเปนศิษยเ พื่ออยปู ฏบิ ัตธิ รรม เพม่ิ จํานวนมากขึ้น
จนกระทง่ั หลวงพอ ไดอนญุ าตใหจัดต้งั สํานกั สาขา สําหรบั ชาวตา งประเทศขนึ้ เปน สวนหนงึ่ ตางหากมีช่ือเรยี กวา วดั ปานานาชาติ เปนสาขาที่
๑๙ ของวดั หนองปา พง ต้ังอยูในเขตตาํ บลบุง หวาย อําเภอวารินชําราบ จงั หวัดอบุ ลราชธานี
ในป พ.ศ.๒๕๑๙ อาจารยสเุ มโธ ไดเดินทางไปเยยี่ มโยมมารดาทสี่ หรัฐอเมริกา ขากลบั เดินทางมาแวะประเทศองั กฤษ
พกั ที่สํานักธรรมประทีปแฮมปสะเตท กรุงลอนดอน ประเทศองั กฤษ ไดมเี จา หนาทีข่ องสํานักนน้ั มาสนทนาธรรมจนเกิดศรทั ธาเลื่อมใส
เขาถามถงึ สํานกั ทเ่ี ปนครูบาอาจารย นิมนตใ หทานอยจู าํ พรรษาท่อี งั กฤษ อาจารยสเุ มโธ
จึงไดบ อกวาเปนลกู ศษิ ยของหลวงพอ ชาแหงวดั หนองปาพง อ. วารนิ ชาํ ราบ จ. อบุ ลราชธานี (ประเทศไทย)
ถาตอ งการอยากใหอยใู นประเทศองั กฤษ กใ็ หไ ปตกลงขอจากหลวงพอ ชาเสยี กอน ตอจากนนั้ อาจารยสุเมโธ จงึ ไดเดนิ ทางกลับมาประเทศไทย
จึงเปน เหตใุ หชาวสังฆทรสั ตแ หงประเทศองั กฤษ ไดต ดิ ตอ ขอนมิ นตหลวงพอชาและอาจารยส เุ มโธ ใหเ ดนิ ทางไปประกาศ สัจธรรม
และเพือ่ ประดิษฐานหลักปฏิบัตไิ วใ นภาคพน้ื ตะวนั ตก ใหเจรญิ รุงเรืองโชติชว งชชั วาล ตามสมควรแกกาลและฐานะท่จี ะพึงมีพึงเปน ได
ดังนน้ั เม่ือวนั ท่ี ๒ พฤษภาคม ๒๕๒๐ ซึ่งเปนปท ี่ หลวงพอ ไดม ีอายุ ๕๙ ป พรรษา ๓๘ หลวงพอไดออกเดนิ ทางจากวดั หนองปา พง
สูกรุงเทพฯ เมอื่ วนั ท่ี ๕ พฤษภาคม ๒๕๒๐ ข้ึนเคร่อื งบนิ ออกจากดอนเมือง
วันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๒๐ ขณะทเ่ี ครือ่ งบิน บนิ มงุ สเู มืองการาจปี ระเทศปากีสถานหลวงพอ ไดบ นั ทกึ ไวว าเหตุการณ ทีเ่ กดิ ขนึ้ ในการเดนิ ทาง
ในวันที่ ๖ ในขณะท่ีบินอยู เคร่ืองบิน ไดเ กิดอุบตั เิ หตยุ างระเบดิ ๑ เสน บนอากาศ พนักงานการบิน จงึ ไดป ระกาศ
ใหผ โู ดยสารเตรยี มตัวรัดเข็มขัดมีฟนปลอมกต็ องถอดออก แมก ระทงั่ แวนตาหรือรองเทา เครื่องบรขิ ารทุกอยา ง ตองเตรยี มพรอ มหมด
ผโู ดยสารทกุ คนเมอื่ เกบ็ บรขิ ารทุกอยางหมดแลว ตางคนก็ตางเงยี บคงคิดวา คงเปนวาระสดุ ทายของ พวกเราทุกคนเสยี แลว...
ขณะนน้ั เรากไ็ ดค ดิ วา เปน ครง้ั แรกท่เี ราไดเ ดนิ ทางมาเมอื งนอกเพอื่ สรางประโยชนแ กพ ระศาสนา จะเปนผูมบี ุญอยา งนเ้ี ทียวหรือ...?
เมือ่ ระลึกไดเชน นแ้ี ลว ต้งั สตั ยอ ธษิ ฐานสมอบชวี ิตใหพ ระพทุ ธ พระธรรม และพระสงฆ
แลว กก็ าํ หนดจติ รวมลงในสถานท่คี วรอันหนง่ึ ...แลว กไ็ ดรบั ความสงบ เยอื กเยน็
ดูคลายกบั ไมม ีอะไรเกิดข้ึน...พักในทีต่ รงนน้ั จนกระทงั่ เครอ่ื งบนิ ไดล ดระดบั ลงมาถงึ แผน ดนิ ดวยความปลอดภยั
เมอ่ื หลวงพอกลบั ถงึ ประเทศไทยแลว มคี นเรยี นถามหลวงพอ วา เม่อื เครอ่ื งบนิ เอยี งวูบๆเชนน้ันเจา หนาท่ีเขาบอก
ใหเ ตรยี มตัวแลว หลวงพอทาํ อยา งไร? หลวงพอตอบวา คขู าข้ึนนั่งสสมาธิ หลับตา ตั้งจติ รวมลงผอนลมเขา ออก
เพงๆไปทล่ี อเคร่อื งบินจนกระทั่งเครอื่ งบนิ มีการทรงตวั เมอ่ื เครอื่ งบินลงจอดเรยี บรอยแลว จงึ ลมื ตา หลวงพอ เลา วา ...ทางหอบังคบั การบินไดส ง
เฮลคิ อปเตอรข ้ึนคมุ กนั ความปลอดภยั ทางพน้ื ดินกม็ รี ถดับเพลงิ เตรยี มพรอมคอยดบั ถามกี ารเกิดเพลิงไหม
แตก ็นา แปลกใจทเี่ ครอื่ งบินลงสูนามดว ยความปลอดภยั และเรยี บรอย
วนั ที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๒๐ ซ่ึงนบั วา วันแรกทห่ี ลวงพอ ไดออกบณิ ฑบาต ท่ีบานเศรษฐผี นู ี้เขาไดถวายอปุ ฏ ฐากเปนอยา งดี เขาชอบฟงธรรม
สนทนาธรรม และนั่งสมาธิดว ย นับวา เมอ่ื มาอยู องั กฤษพึ่งจะไดออกบิณฑบาตเปน ครงั้ แรก หลวงพอไดแ สดงธรรม
และอบรมกรรมฐานใหญาติโยมผสู นใจ ซ่ึงมาประชมุ กนั อยูทีบ่ า นเศรษฐผี นู น้ั และพักอยูใ นบริเวณบานเศรษฐีซอร ๓ วันจงึ ไดก ลบั ลอนดอน
โยมฟรีดาผอู ุปฏ ฐากธรรมประทปี ไดเอารถมานิมนตไ ปชมมหาวิทยาลัยออ็ กซฟอรด ซ่ึงเปน มหาวิทยาลัยทีม่ ีชอื่ เสียง
คนรูจักดีและไดไปชมสถานทีต่ า งๆพอสมควร
วนั ที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๒๐ ไดม ีพระญ่ปี ุนมาพกั ดว ยกนั อยูทว่ี ดั ธรรมประทปี หลวงพอ ไดสนทนากนั ตอนหน่งึ หลวงพอ จงึ ถามวา
รกั ษาศลี เทาไหร? เขาจงึ ตอบวา การกระทํา ซ่ึงติใหสมบูรณอ ยเู ทานนั้ เรยี กวา การปฏิบตั ขิ องเรา และใหอ ยูในปจจุบันไมม ีตนไมมีปลาย
เปนอยทู ง้ั กลางวันและกลางคืน เขาบอก หลวงพอวา เขาเปน คนญี่ปุน ไดกระทําการปฏิบัตลิ ทั ธิเฉ็นจาธิเบต
วันท่ี ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๒๐ ออกบิณฑบาตในลอนดอน ครั้งแรก
หลวงพอไดเขยี นไวใ นสมดุ บันทกึ วา...วนั นี้เปน วนั แรกทไี่ ดออกบณิ ฑบาตในกรุงลอนดอนพรอ มดว ยพระสเุ มโธ ๑ พระเขมธัมโม ชาวองั กฤษ
๑ และสามเณรชินทตั โต ๑ ซ่ึงเปนสญั ชาตฝิ ร่งั เศส พระโพธิญาณเถรเปนหวั หนา
ออกบณิ ฑบาตวนั แรกไดขาวพออิ่ม ผลแอปเปล ๒ ใบ กลว ยหอม ๑ ใบ ม ๑ ใบ แตงกวาส๑ ลกู แครร อต ๒ หวั ขนม ๒ กอน
ดีใจซึ่งไดอ าหารวนั น้ี เพราะเราเขา ใจวา เปน อาหารพระพอ คอื เปนมูลของพระพทุ ธเจานนั่ เอง และเปนอาหารที่เกิดจากการ บิณฑบาตได
เมอื งนยี้ ังไมเ คยมีพระบณิ ฑบาตเลย เพราะเขามคี วามอายกันเปน สวนมาก แตต รงกนั ขามกับเราๆ เห็นวา คําทว่ี าอายน้ี เราเหน็ วาอายตอ บาป
อายตอความผดิ เทา นน้ั ซ่ึงเปนความหมายของพระองคน ี้ เปน ความเห็นของเราเอง จะถูกหรือผิดก็ขออภยั จากนักปราชญทงั้ หลายดวย
และวนั เดยี วกนั นัน้ โยมของเขมธมั โม ท้งั ผัวเมียไดถ วายอาหารดวย ไดข อฟงเทศนแ ละฝก กรรมฐานเปน พิเศษอยางเปนท่ีพอใจ
หนังสอื พมิ พไดสะกดรอยไปขา งหลงั แลวถา ยรูปเปน สระยะๆ ในระหวางการเท่ยี วบิณฑบาต เพราะเปน ของแปลกๆ
ประชาชนชาวเมืองลอนดอนยนื ดูกนั เปนแถวๆ ทัง้ เดก็ และผใู หญ
เยน็ วนั หนึง่ มหี ญงิ คนหนง่ึ มาทวี่ ัดธรรมประทปี ถามปญหาวา คนตายแลว ไปอยทู ่ไี หน? และวญิ ญาณไปอยอู ยางไร?
หลวงพอจงึ พดู วา...ปญหาอยา งน้พี ระพทุ ธเจา ไมทรงใหตอบ เพราะเรื่องอยา งน้มี ใิ ชเหตุ (จาํ เปน )
ขณะนนั้ หลวงพอ นง่ั อยบู นธรรมานมเี ทียนจดุ ไว ๒ เลม หลวงพอ จึงถามวา โยมมองเหน็ เทยี นนี้ไหม? เขาตอบวา เหน็ หลวงพอ จงึ ถามวา
เห็นไฟน่ไี หม? เขากต็ อบวา เหน็ ทนั ใดนนั้ หลวงพอจงึ เอาปากเปาลมใหเทยี นเลมหน่ึงดับแลว ถามวา เปลวของไฟนห้ี ายไปทศิ ไหน?
เขาตอบวา ไมรู รูแตวา เปลวไฟดบั ไปเทา นนั้ หลวงพอจึงถามอีกวา แกป ญ หาอยา งนพ้ี อใจไหม? เขาตอบวา ยงั ไมพ อใจ ในคาํ ตอบน้ี
หลวงพอ จงึ พูดวา ถา อยา งนัน้ เรากไ็ มพอใจในคําถามของโยมเหมือนกนั เทานนั้ เอง กเิ ลสของเขากพ็ ุงขน้ึ เขาทําตาถลึงขน้ึ
สะบดั หนา แลวก็หมดเวลาพอด.ี ..
การพกั อยูท ี่วัดธรรมประทีปลอนดอนนนั้ ทท่ี าํ ประจาํ คอื ตอนเชา ออกบิณฑบาต ตอนบา ยถงึ เย็นแสดงธรรมสอบรมกรรมฐานใหญาติโยมทีม่ า
และตอบปญหาท่เี ขาถามเปน ประจํา แมไปที่เมอื งอน่ื ๆ กป็ ฏบิ ัติอยางน้อี ยเู ปน ประจาํ แลวแตเวลาและโอกาส
ในขณะทหี่ ลวงพอ ไปประกาศสจั ธรรมอยูในประเทศองั กฤษ ไดมีฝรงั่ คนหนึ่ง เรยี นถามทา นวา ชีวิตของพระเปน อยางไร?
ทําไมชาวบานถงึ ไดเลย้ี งดูโดยทพี่ ระไมไ ดทำอะไร?
หลวงพอจงึ ตอบแบบใหเ ขาตอ งขบคดิ ปญหาของตัวเองวา ถงึ บอกใหก ไ็ มร ูหรอกมนั เหมอื นกับนกทอ่ี ยากรูเร่ืองของปลา ในนํ้า
ถึงปลาจะบอกความจรงิ วา อยใู นนํา้ น้ันเปน อยา งไร นกกไ็ มม ที างที่จะรูไ ด ตราบใดที่นกยังไมไดเ ปน ปลา
คาํ พูดทซี่ งึ้ ใจ จับใจของหลวงพอ มันเขาไปตดิ อยูก บั ใจของคนเหลา นนั้ อกี นาน ดงั น้ันเมื่อหลวงพอกลบั สูเมอื งไทยแลว ในระหวางพรรษาป
๒๕๒๐ นนั้ เอง หลวงพอจึงไดรบั หนงั สอื จาก คณะผูจ ัดทําภาพยนตรเพือ่ การศึกษาของสถานวี ิทยุ และโทรทศั น บี.บ.ี ซี. กรุงลอนดอน
ตดิ ตอเขามาถายทําภาพยนตร ในเรื่องทีเ่ กยี่ วกับพระพทุ ธศาสนา โดยเฉพาะวดั หนองปาพง
ตอนทายของหนงั สอื ตดิ ตอฉบบั น้นั มขี อความอยูประโยคหนึ่งทเ่ี ขาพดู เนน วา หวังวา ทานอาจารย คงจะเปน ปลาที่เห็นประโยชน (เก้ือกูล)
แกนก
ดังน้นั เมอื่ ประมาณตนเดือนตลุ าคมของปน ั้นเอง คณะของเขาจงึ ไดเ ดินทางเขามาเพื่อทาํ ภาพยนตรดังกลา วซึง่ เปน เรือ่ งราวสารคดเี กยี่ วกับชวี ติ
และกจิ วตั ร ประจาํ วัน และขอวตั รปฏิบตั ิท้ังปวงของพระปา อนั มีนามวา พระกรรมฐานโดยตรง หลงั จากนั้นไมนานภาพยนตรสารคดี
เพ่ือการศกึ ษาเรอ่ื งนน้ั กไ็ ดกระจายออกไปคอนโลก
ในคราวออกไปประกาศสัจธรรมสภู าคพนื้ ตะวันตกของหลวงพอ ครงั้ นี้ นอกจากท่ีประเทศองั กฤษแลวในระหวางวันท่ี ๓๐ พฤษภาคม ถงึ วนั ท่ี
๘ มิถุนายน ๒๕๒๐ น้ัน หลวงพอ ยงั ไดแ ผเ มตตาไปถึงชาวปารีสประเทศฝรงั่ เศสอกี ดว ย ชว ยให คนของประเทศน้นั
และผูพึ่งยายเขาไปอยูรวม เขาไดด ม่ื ดา่ํ ในรส แหง พระสทั ธรรม อันพรง่ั พรูออกจากโอษฐของหลวงพอเปนเวลา ต้งั ๙ วัน หลวงพอพูดใหฟงวา
เปนทีเ่ กิดความสังเวชนา สงสาร ชาวลาว เขมร ญวน อพยพเหลาน้นั บา นแตกสาแหรกขาด เปน คนพลดั ถนิ่ เหนิ หา งดนิ แดนมาตภุ มู ิส
เพราะไฟกเิ ลสทค่ี นเรากอ ขึ้นทาํ ลายกนั คนทเี่ คยรํา่ รวยอยดู สี บายมากลบั กลายเปนคนจนขัดนพลดั จากบา นเกิดเมืองนอนมผี วิ พรรณหมองคลํา้
นา้ํ ตานองหนา ความพลดั พรากจากของที่รักทพี่ อใจมันก็ เปน ทุกข คนตาดเี ทาน้นั จึงจะมองเหน็ ธรรม สวนคนตาบอด (ตาใน)
ยอ มมองไมเหน็ ธรรมเลย
ตอนหน่ึงทานไดใ หโ อวาท เปนการปลอบใจ ของผพู ลัดถ่นิ เหลา นัน้ วา เลกิ คดิ เสยี อยา ไปคดิ ถึงมนั เรื่องทีผ่ านไปแลวมนั ก็ผา นไปแลว
เหมือนวนั วาน อยาไปเกบ็ เอามาเปนหนามทิม่ แทงตวั เองอีกเลย ใหถือวา เราเกิดใหมแลว บานของเรานน้ั อยทู ีไ่ หนเลา อยทู ่นี ่ตี รงนี้แหละ
ญาตมิ ติ รของเราก็อยมู ที ่ีนี่แลว ท่เี ราจากมามันไมใ ชบา นของเรา
ถา เปน บานของเราจริงเราก็ตอ งอยไู ดซ ิ...อยาไปคิดอะไรมากจะลําบากตวั เองเปลาๆ
จงอุตสา หท ํามาหาเลีย้ งชพี โดยสจุ ริตดาํ รงชวี ิตสรางความดีตอ ไป ใหม คี วามสามคั คีเออื้ เฟอ ชวยเหลือกันมีเมตตาอารตี อ กัน จะอยูทไี่ หน
ก็ไมมีใครอยไู ดน านเทา ไหรห รอก เดยี๋ วเราก็พากันจากมนั ไปหมดนนั่ แหละ
ธรรมโอสถของหลวงพอ คงจะเปน ดงั่ ทิพยว ารชี าํ ระลางจิตที่เศราหมองระทมทกุ ขมาแรมป พอไดร างซาความเรารอ นลงไดบาง
คงจะเปน ผาสาํ ลแี ผน นอ ยๆ คอยซับนา้ํ ตาในยามทุกขไ ดบ า ง คงจะทําใหเ ขาเหลานนั้ พอมที างมองเห็นเข็มทศิ ชที้ างใหเ ขาเหลา นั้น
ไมค ิดสนั้ เกนิ ไปกระมงั ...
เมื่อกลบั คนื สวู ดั พระธรรมประทีป กรุงลอนดอนแลว หลวงพอก็ไดประกาศธรรม และทําศาสนกิจประจําดังเชนวนั กอ นๆ จนกระท่งั ถงึ วันท่ี
๑๔ กรกฎาคม ๒๕๒๐ หลวงพอ ไดเขยี นไวใ นสมดุ บนั ทกึ วา
ตอนกลางคืนวันที่ ๑๔ พลอากาศโทชู พรอ มดวยคุณนาย สุภาพและคณุ ทองนอ ย ซึ่งเปนคนของไทยอินเตอร ไดไปรวมกับพวกทํากรรมฐาน
และไดร ว มในการเปด สาขาท่ี ๑ (ภาคพืน้ ยุโรป) นีด้ ว ย และในวันท่ี ๑๕ กไ็ ดช ว ยบรกิ ารใหความสะดวกทุกอยา งบนเครอ่ื งบนิ ตลอดตน ทาง
ถึงปลายทางดวย ทั้งตอนไปกใ็ หความสะดวก และตอนกลับก็ใหค วามสะดวก
เราไดเ ดินทางไปเมอื งนอก และเมอื งในนอก และเมอื งในใน และเมอื งนอกนอก รวมเปน ๔ เมอื งดวยกนั
และภาษาท่ีตอ งใชในเมืองท้ังหลายเหลา นคี้ อื นิรตุ ติภาษาจงึ เกดิ ประโยชนเ ทาทีค่ วร ภาษาทง้ั หลายเหลา นี้
ไมม คี รูสอนเปน ภาษาท่ตี อ งเรยี นดว ยตนเองเทานนั้ เมื่อพบกับเหตุการณ ภาษาทัง้ หลายเหลา น้จี งึ จะปรากฏขึ้นเฉพาะ
ฉะนนั้ พระพุทธเจา พระองคท รงแตกฉานในภาษาทง้ั ปวง และไดเ หน็ ชนชาวยโุ รปนี้ เปนดอกบัว ๔ เหลา จรงิ ๆ เรามคี วามรูสึกอยา งนัน้
เราเปน พระอยแู ตในปามานมนาน นึกวาไปเมืองนอกจะมคี วามตนื่ เตน กเ็ ปลา พระพุทธเจาตามควบคมุ เราอยทู กุ อิริยาบถ
มิหนําซ้าํ ยงั ไมเกิดปญ ญาอกี ดวย เหมือนบัวในน้าํ ไมยอมใหน ้ําทวม ฉนั นน้ั พจิ ารณาตรงกันขามเร่อื ยไป
ไดเทยี่ วไปดใู นมหาวิทยาลยั ตา งๆแลว จงึ คดิ วา มนษุ ยศาสตรทัง้ หลายมันยิ่งเหน็ ไดช ัดวามแี ตศ าสตรที่ไมมคี มทงั้ น้ัน
ไมส ามารถจะตัดทกุ ขไ ดมแี ตกอ ใหเ กิดทกุ ขศ าสตร ท้ังหลายเหลานัน้ เราเห็นวา ถาไมม าขนึ้ ตอ พุทธศาสตร แลว มันจะไปไมรอดทั้งนนั้
เม่ือเราน่งั อยูบนเครอ่ื งบนิ มคี วามรสู กึ แปลกหลายอยาง และไดว ิตกไปถงึ คาํ ท่ที านวา สู
ท้งั หลายจงมาดโู ลกนอ้ี ันตระการดจุ ราชรถทีค่ นเขลายอ มหมกอยู แตผูรูหาขอ งอยไู ม อนั นก้ี ช็ ดั เจนย่งิ ข้นึ และคําทท่ี านตรสั ไววา
เมอื่ ยงั ไมร ูการประพฤตแิ ละประเพณีของชนในกลมุ ท้ังหลายเหลานน้ั เราอยา ไปถอื ตวั ในที่น้ัน อนั น้กี ็ชดั เจนข้ึนถงึ ที่สุด
ยานทน่ี าํ ประชาชนทั้งหลายไปสจู ดุ ประสงค กเ็ ปนยานอยา งหยาบๆ เพราะเปน ยานทน่ี ําคนทมี่ ที ุกขใ นท่ีน้ี
ไปสูทุกขใ นทน่ี น้ั อีกสวนไปเวียนมาอยูอยา งนไ้ี มร ูจบ และรูสกึ ขึน้ วาเรามาเมืองนอกได เพราะอะไรเปนเหต?ุ เพราะอะไรๆ เรา
กไ็ มไดศ กึ ษาและมาไดโดยสะดวกทกุ อยา งมีผูบริการทง้ั นนั้ เมื่อคิดๆดกู แ็ ปลกและรสู กึ ขบขันมากๆ
(เขยี นบนเครอ่ื งบนิ กําลังบนิ บนอากาศสูงสุดสองหมนื่ ฟุต)
ความรูสกึ ในเหตกุ ารณ ท่ไี ดไ ปเมอื งนอกในคราวนี้ ก็นาขบขนั เหมอื นกนั เพราะเราเห็นวา อยเู มืองไทยมานานแลว
คลา ยๆกบั พญาลิงใหคนหยอกเลนมาหลายปแลว ลองไปเปนอาจารยกบในเมอื งนอกดูสกั เวลาหนง่ึ มันจะเปน อยา งไร เพราะภาษาเขาเราไมร ู
ก็ตอ งเปน อาจารยกบอยา งแนนอน และกเ็ ปน ไปตามความคิดอยา งนัน้ กบมันไมร ภู าษาของมนษุ ย
แตพอมนั รองข้ึนแลว คนชอบไปหามนั จงั เลย
เลยเปนคนใบ สอนคนบา ไปอีกเสยี แลว ก็ดีเหมอื นกนั ปริญญาของพระพทุ ธเจา นนั้ ไมต องไปเรยี นไปสอนกบั เขาหรอก
ฉะน้นั พระใบเ ลยเปนเหตุใหไดต ั้งสาขา ๒ แหง คือกรุงลอนดอน และฝรง่ั เศส เพือ่ ใหคนบาศกึ ษากข็ บขันดีเหมอื นกนั ฯ...
วนั ท่ี ๑๙ ก.ค. ๒๕๒๐ เดนิ ทางกลบั จากกรงุ ลอนดอน สปู ระเทศไทย
การจาริกไปตางประเทศครง้ั ที่ ๒
ในการจาริกครั้งที่ ๒ นีเ้ นื่องจากหลวงพอ ไดบ นั ทึกไว ในสมุดเหมือนครง้ั แรกทา นคงพจิ ารณาเห็นวาคร้ังทห่ี นึ่งบันทึกไวข า ง
นอกเพ่อื ผอู ่ืนไดทราบผลงานจินตนาการบางอยา งของทาน เหมือนกบั เปดไฟใหมีแสงสวางหนาบา น เพ่อื เปนประโยชนแก คนทวั่ ไป
ท่ใี ครในการเดินทาง...
แตการไปครั้งที่สองของทานน้ี หลวงพอบนั ทึกไวขา งในมากกวา ผรู วบรวมจึงไมส ามารถทจ่ี ะนํามาเสนออยางละเอยี ดแกผูอ า นได
จึงมีเพยี งยอ ๆ เปรยี บเหมอื นหลวงพอ ไดเ ปด ไฟสวาง ในหอ งนอน แตแ สงสะทอ นซ่งึ สอ งออกมา กท็ ําใหผอู ยูขา งนอก
ไดรับแสงสวางสอ งทางเดนิ แหง ชวี ิตของเขาเหลา นนั้ ตามสมควรแกฐานะภาวะของตน
ดงั นนั้ จึงมชี าวสังฆทรสั ต แหง ประเทศอังกฤษ ไดตดิ ตอขอนมิ นตหลวงพอ ชา สุภทั โท ใหจาริกไปเผยแพรธรรมะทีน่ ั่นเปน ครัง้ ท่ี ๒ ในป
๒๕๒๒ หลวงพอ จึงไดออกเดนิ ทางไปตามคาํ นิมนตของเขา พรอมกบั พระปภากโรอีกคร้ังหน่ึง เมอ่ื วันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๒๒ นน้ั เอง
เมอ่ื เดนิ ทางถึงประเทศอังกฤษแลว ก็ได ใหการอบรมกรรมฐาน
แสดงธรรมและสนทนาธรรมกับผูมาพบเปน จํานวนมากขน้ึ กวา การไปครั้งแรกหลายเทา นอกจากนัน้ ทานยงั ไดไปดสู ถานทีท่ ี่เขาถวาย
เพ่ือจัดต้งั เปน สํานกั ถาวรข้ึน ในที่แหงใหมน้เี ปน ธรรมชาตนิ ารืน่ รมยใ จ เหมาะสมแกก ารปฏบิ ัติธรรมอยา งยง่ิ เพราะบริเวณกวางขวางดี
รสู กึ วา ไมคบั แคบเหมือน แฮมปสะเตท ซึ่งตั้งอยูใ นใจกลางเมอื งลอนดอน ไมเพยี งพอแกจํานวนคนผูใครตอการปฏิบัตธิ รรม
สว นสถานทีแ่ หงใหมน้เี ปน ปาธรรมชาติของเมอื งหนาวมที ะเลสาบอยใู กลๆ มีตกึ เกา หลังใหญอ ยหู ลังหน่งึ ใชเปนที่พกั พาอาศยั
และประกาศสจั ธรรมของพระภกิ ษุสามเณรซึง่ ลวนเปนชาวตะวันตก ผูไดร ับการบรรพชาอปุ สมบท ไปจากวัดหนองปาพง
จึงเปนอันกลา วไดว า พระสงฆผ ูเปนลกู ศษิ ย ของหลวงพอ คณะนัน้ ไดเ ขา มาอยอู าศยั ท่แี หงใหมนเ้ี พ่อื ปฏบิ ัตธิ รรม และประกาศสจั ธรรมเรื่อยมา
คณะกรรมการของธรรมประทีป เปนเพยี งผอู ปุ ถัมภต ามสมควรแกฐ านะเทาน้ัน ปจ จบุ นั นไ้ี ดร บั ความสนใจจากชาวไทยและชาวตา งประเทศ
ใหการสนบั สนนุ เพ่มิ มากขึ้นเร่ือยๆ นบั วาทา นสุเมโธและคณะลกู ศิษย ซงึ่ เดนิ ทางไปปฏิบตั ิหนา ที่
ในนามหลวงพอ ชาแหงวดั หนองปาพงไดถา ยทอดหลกั ปฏบิ ตั ธิ รรม ใหดํารงอยใู นภาคพ้นื ตะวนั ตกนน้ั ไดอ ยางดยี ง่ิ
เมอื่ หลวงพอ ไดพ ักอยูทซ่ี สั เซค็ พอเปน ทอี่ นุ ใจแกบรรดาสานุศษิ ยแ ลวจึงกลบั มาพักท่ีแฮมปส ะเตทระยะหนงึ่ เพอื่ เตรยี มตัว
ออกเดนิ ทางไปสหรัฐอเมริกา
จาริกสูอ เมรกิ า
หลวงพอชาออกเดนิ ทางสูส หรัฐอเมริกามที า นปภากโร เปนปจ ฉาสมณะ ไดไปพักท่ีสาํ นกั กรรมฐานของนายแจค ผเู ปนศษิ ยฝร่งั
ซงึ่ เคยมาบวชอยทู ว่ี ดั หนองปาพง หลวงพอไดพกั อยู ทีส่ าํ นกั นั้นเปน เวลาเกา วัน ทานไดอบรมขอ ปฏบิ ัตกิ รรมฐานแก
ชนชาวอเมริกนั เปน จาํ นวนมาก ทาํ ใหเขาเหลา นั้นไดร บั ปต สิ ขุ เกดิ ความสนใจในหลกั ปฏบิ ตั ิตามแนวหลวงพอ สั่งสอน
แลวจงึ ออกจากแมซาชเู ทเดนิ ทางไปเมืองซีแอต เติ้ล ซง่ึ เปน บานเกดิ เมืองนอนของทานปภากโร ภิกขุ ออกจากซีแอตเต้ิลแลวเดนิ ทางเขา สูชิคาโก
แลว กเ็ ดินทางไปสูป ระเทศแคนาดา จากนัน้ กไ็ ดย อ นกลับมาทแ่ี มซาชเู ท แลวเดินทางตอไปทน่ี ครนวิ ยอรค
แตล ะสถานท่ที ่หี ลวงพอไดไปเยยี่ มนน้ั ๆ
ทา นกไ็ ดแ นะนําหลักปฏิบัติธรรมไดสนทนาธรรมและตอบปญหาแกผ ทู ่ีสนใจจนเปนท่ีซาบซง้ึ ตรึงใจของเขาเหลา นน้ั
เมือ่ หลวงพอกลบั จากสหรัฐคนื สอู งั กฤษแลว พักที่ แฮมปสะเตททานไดอยูดแู ล
การเคลือ่ นยายบรขิ ารของพระสงฆสานศุ ษิ ยเพอ่ื เดนิ ทางไปสถานท่แี หงใหม ซง่ึ เปน ทีต่ ง้ั สาํ นักดังทก่ี ลาวมาแลว นนั้
ตอ จากนน้ั ทานก็ไดเ ดินทางไปเยี่ยมบา นของ มิสเตอรซอร เศรษฐชี าวพมาอยูทโี่ อค เกน็ โฮลท ไดร ว มสังฆกรรมบวชนาคกับทานมหาสยี าดอว
ซง่ึ เปนพระเถระพมา เปน อุปช ฌาย ใหก ารอปุ สมบทกลุ บตุ ร
ตอมาหลวงพอกไ็ ดร บั นิมนตใ หเดินทางไปยังสกอ ตแลนดพกั อยูท่ีน้ันสองคืน มีผสู นใจในการปฏิบัติธรรม
ซึ่งเคยมาฝก ภาวนาธรรมกบั ทานสเุ มโธก็มีอยูไมน อ ยและมผี สู นใจคิดอยากจะใหต งั้ สาํ นกั สาขาของหลวงพอข้ึนอกี ท่นี ่นั
สักหนง่ึ แหง แตทานยังพจิ ารณาอยวู าจะมีความเหมาะสมเพียงใดหรือไม
การเดนิ ทางไปประกาศสัจธรรมในตา งประเทศของ หลวงพอ ชา สภุ ทั โท ท้งั สองครัง้ นน้ี น้ั
จึงถอื ไดว าหลวงพอ ไดนําหลกั ปฏบิ ตั ธิ รรมทางพระพทุ ธศาสนา ไปเผยแพรยังตางประเทศ ในนามของคณะสงฆแ ละปวงชนชาวไทย
ใหเปนทีร่ จู กั ของชนชาวตะวนั ตก เพอ่ื จะไดดาํ รงคงอยใู นภาคพื้นสวนนน้ั ตลอดช่ัวกาลนาน
หลวงพอ ไดเดินทางกลับคืนสูประเทศไทย เพื่อกลบั มาเปน รม โพธิ์รม ไทรของสานุศษิ ย และพทุ ธศาสนกิ ชนเมอ่ื วนั ที่ ๓๐ มถิ นุ ายน ๒๕๒๒
หลวงพอ อาพาธ
สงั ขารรางกายของหลวงพอ ก็เกิดกอ มาจากดิน นํ้า ลม ไฟ ซึ่งมีใจครอง เหมือนเราๆทานๆนี่แหละ เม่ือสังขารผานมานานวัน
ยิง่ ใชง านมากความทรดุ โทรมกเ็ รว็ ขึ้นกวาปกติ สมัยขาพเจา มาอยูกับทา นปแ รกๆ เคยนงั่ สนทนาธรรมกบั หลวงพอต้ังแตส องทุม จนกระท่ังถึงตี
๓ ตี ๔ บางโอกาส เคยเห็นทานนงั่ สนทนาธรรม กบั ญาติโยม ผสู นใจในธรรมซึ่งเดนิ ทางมาจากถ่ินไกล จนกระทั่งถึงรงุ เชา ก็มีหลายๆคร้ัง
ชีวติ ของทา นเกิดมาเพอ่ื ผูอน่ื สมองเหน็ ประโยชนเ กอ้ื กลู แกหมมู นษุ ยผ ูมาสู แมจะออ นเพลียเม่อื ยลาสักปานใด
ทา นก็ไมแสดงออกถงึ ความออนแอใหเ หน็ เพราะอาศยั ความเมตตาเปน ท่ตี ั้ง แมล ูกศิษยจ ะอยใู นสํานักสาขาใดๆ จะไกลหรอื ใกลก ็ตาม
ทานยงั อตุ สาหเดนิ ทางไปใหกําลงั ใจและแนะนาํ การปฏบิ ัตสิ นับสนุนอยา งทว่ั ถึงแตส ังขารรางกายทกุ อยางก็มี ความ แก เจ็บ ตาย
ไปเปน ธรรมดา
ดงั นน้ั ในป ๒๕๒๐ ถงึ แมค วามผิดปกติของรางกายจะปรากฏขึ้นบาง แตเ พราะหลวงพอมงุ ประโยชนเ พอื่ สวนรวม
ทานก็ยังอดทนสูไดเดนิ ทางไปประกาศสัจธรรมในตา งประเทศถึงสองครั้ง เปนการนําธรรมโอสถจากดนิ แดนภาคตะวันออก
ไปสงเคราะหชาวตะวนั ตก ใหไ ดร บั ประโยชนอ ยางดียิง่ นคี่ อื พลงั แหงเมตตาธรรม ซงึ่ มปี ระจําอยใู นหทยั ของทา น
หลวงพอเริม่ อาพาธ และเริม่ มีอาการปรากฏขึ้นทลี ะนอยๆ จนกระท่งั ไดร ับการผา ตัดทางสมอง แตก เ็ ปนทีน่ ายนิ ดที ่ีไดมคี ณะแพทยห ลายทาน
หลายโรงพยาบาลไดถวายการรกั ษาจนสดุ ความสามารถ ซึ่งบรรดาคณะศษิ ยท ง้ั หลายขอขอบพระคณุ ไว ณ ที่นี้ และตามหนังสือรายงานแพทย
ซึง่ นายแพทยจ รัส สวุ รรณเวลา และนายแพทยสพุ ัฒน โอเจริญ แหงโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ จ.กรุงเทพฯ ไดบนั ทกึ ไวว า
หลวงพอชาอายุ ๖๔ ป แข็งแรงเปนปกติดี จนเริม่ มอี าการครง้ั แรกเมอ่ื พ.ศ.๒๕๒๐ ขณะเดนิ ทางไปประเทศอังกฤษ ดว ยรสู ึกโงนเงน
การทรงตวั ไมคอ ยดี ไมเ ทาซึง่ ใชถืออยเู ปน ประจํา อยูแ ลว รสู กึ วา จาํ เปน ตอ งใชมอี าการหนกั บริเวณตนคอดว ย
ต้ังแตน ้ันมา อาการโงนเงนทรงตวั ไมค อยดี ก็เปน มาตลอด บางระยะก็เปนมาก บางระยะกน็ อ ย
พ.ศ.๒๕๒๓มอี าการคลื่นไสมกั เปน ตอนดึกๆมนี อยครงั้ ทีเ่ กดิ อาเจียนดว ย อาการโงนเงนยงั เปน เชนเดิม ไมเคยถงึ กบั ลม
พ.ศ.๒๕๒๔ ราวเดือนกรกฎาคม เรมิ่ มีอาการความจาํ ไมดี อาการโงนเงนทรงตวั ไมดี ก็ทรดุ ลง มีอาการเม่อื ย
และออนเพลียดว ยมอี าการหนักตงึ ตน คอ แตเมื่อฉันยาหมอ สมนุ ไพร อาการหนกั ตน คอนหี้ ายไป ตอนนต้ี รวจพบวาเปน เบาหวานดว ย
นายแพทยส ุเทพ และแพทยหญิงประภา วงศแพทย ไดจ ดั ยาถวาย สวนอาการอืน่ ยงั คงอยู จนถงึ กลางเดอื นกันยายน รูส ึกออ นเพลยี มากขน้ึ
และเบ่ืออาหาร นายแพทยอ ทุ ัย เจนพานชิ ย ไดตรวจคลน่ื ไฟฟาหัวใจให พบวาปกติดี
อาการทรุดมากขนึ้ ในวนั ที๑่ ๔ตลุ าคม๒๕๒๔จึงเดนิ ทางไปกรุงเทพฯ เขาโรงพยาบาลสาํ โรง ขณะน้นั ยังเดนิ เองได แตตอ งชว ยพยงุ บา ง
ไดต รวจเอกซเรยคอมพิวเตอรซาํ้ พบวา ชอ งภายในสมองขนาดเลก็ ลงกวา ครง้ั แรกจนถงึ กลางเดือนมิถนุ ายน พ.ศ. ๒๕๒๕
เม่ือเดินทางกลับไปยังจงั หวดั อบุ ลราชธานียงั มีอาการทรงตวั ไมค อยดี เดินตอ งพยงุ และเดินไกลๆไมได ผูดแู ลสังเกตวา ขาขา งซายยกไมคอ ยถนัด
สูขา งขวาไมไ ด ความจาํ และการพูดบางวนั ดีพอสมควร บางวนั เลอะเลือน บางระยะรสู กึ เพลียและ
ไมอยากพดู หรอื ทาํ สง่ิ ใดอาการเปน มากขึ้นในระยะ๓สปั ดาหห ลงั นี้ บางวนั เพลีย และพูดไมม เี สียง เดินไดเ พยี งระยะไมก ่ีกาว
ตองใชร ถนัง่ เข็นไปในบรเิ วณวัดวนั ละสองครั้ง อาหารฉนั ไดนอยลง
เมอื่ ป ๒๕๒๕ อาการของหลวงพอทรดุ ลง ศษิ ยจงึ อาราธนาใหหลวงพอ เขารบั การรักษาในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ
พระบาทสมเดจ็ พระเจาอยูหัวฯ โปรดเกลาโปรดกระหมอ ม รับหลวงพอไวใ นพระบรมราชานุเคราะห ไดอ ยูในหองชุดพเิ ศษ ทตี่ ึกจงกลณี
อยูโรงพยาบาลนาน ๕ เดอื น มศี าสตราจารย นายแพทยจ รสั สวุ รรณเวลา ในขณะนน้ั เปนผอู าํ นวยการ
โรงพยาบาลจฬุ าลงกรณเปนหัวหนา คณะแพทยถ วายการรกั ษา เม่อื อยูจ นอาการทรงและพน ระยะอนั ตรายแลวแพทยใหพยากรณโ รควา จะคอยๆ
ทรดุ ลงคณะสงฆเ หน็ พองตองกันวา ควรจะนมิ นต หลวงพอ กลบั วัดหนองปา พงทางกองทัพอากาศไดจัดเครื่องบินเที่ยวบนิ พิเศษถวาย
กอนหนาน้นั ทางวัดไดจ ัดสรางกุฏิหลังใหมไวค อยทา ดวยพระราชทรพั ยของพระบาทสมเด็จพระเจาอยูห ัวฯ ท่โี ปรดเกลา
โปรดกระหมอมพระราชทานใหสวนหนง่ึ คณะศษิ ยทีเ่ คยอุปฏ ฐากสมาํ่ เสมอโดยตลอด ไดรว มสมทบโดยเสดจ็ พระราชกุศลดว ยอกี สวนหน่งึ
ไดอ อกแบบใหคลายไอซียู ในบริเวณปา ของวดั สรางเปนตึกช้นั เดียว หลังเล็ก จัดใหม ีท่ที างที่สะดวกกับการถวายการ อุปฏ ฐาก
และมเี ครอื่ งมอื แพทยทจ่ี ําเปนตองใช จงึ เอือ้ อาํ นวยใหถวายการดูแลไดใ กลเ คยี งกบั เมอ่ื อยูในโรงพยาบาล มแี พทยจ ากโรงพยาบาลสรรพสิทธ์ิ
ประสงคม าถวายตรวจอาการเปน ประจาํ ทุกวนั บุรุษพยาบาลเปลีย่ นเวรกนั มาเฝา
คณะพยาบาลเออ้ื เฟอ ใหความสะดวกเตม็ ทีแ่ ละพระอาจารยเลี่ยม ิตธมโฺ ม
จดั เวรพระสงฆศิษยหลวงพอทงั้ ในวัดหนองปา พงและตามสาขาตางๆ ใหเ ขา เวรวนั ละ ๒ ผลัดๆละ ๔ องค และสามเณรอีก ๑ รปู มิไดขาด
จนมีผูกลาว วา มหาเศรษฐกี ็มิอาจจะจางบุรุษพยาบาลไดถ งึ วันละ ๑๐ คน หรือผูมบี ุตร ๑๒ คน
เมอื่ ปวยก็ไมแนใจวาจะไดล กู มาดแู ลอยา งดเี ทา หลวงพอ ทั้งน้เี พราะหลวงพอ เปนผูเปย มดวยเมตตา เปน ทรี่ กั และเคารพของบรรดาศิษย
พระที่เขา เวรปฏบิ ตั ิหลวงพอนั้นตา ง ถวายแรงกาย แรงใจ และอทุ ิศเวลาใหห ลวงพอเปน ปฏบิ ัตบิ ูชา ตอผูมพี ระคณุ ย่ิงกวา บดิ าบังเกดิ เกลา
คณะชีกผ็ ลดั เวรกันมาประกอบอาหารเหลวตามทโี่ ภชนากรแนะใหท ุกวันมิไดขาดเลย
เม่อื ถงึ ระยะท่ีหลวงพอ มอี าการสําลักบอยข้ึนขณะใหอ าหารทางปาก แพทยเหน็ สมควรใหเปลยี่ นใหท างสายยางลงกระเพาะเพ่อื ปอ งกัน
โรคปอดบวมแทรกจากการสําลกั อาหารหรือเสมหะ พระอุปฏฐาก กเ็ รยี นวธิ ใี สสายยางจนชาํ นาญมกี ารซอ มใสต นเองกอน
ดว ยความหวงั ที่จะลดความระคายเคอื งตอเนือ้ เยอื่ ในหลอดคอ
และหลอดอาหารของหลวงพอในการใสแ ตละครง้ั ใหเหลอื นอ ยที่สุดเทาทีจ่ ะทาํ ได นอกจากน้ที านยังเรยี นวธิ ตี รวจเลอื ด ตรวจปส สาวะ
เพือ่ ดรู ะดบั น้ําตาลเพอ่ื บันทึกและรายงานตอแพทยแ ละปรับขนาดยา ตามสง่ั ไดถกู ตองแมห ลวงพอจะอาพาธนานนบั ปแ ตผิวพรรณกด็ ูผองใส
และไมเคยมแี ผลกดทบั อยา งผูปวยเรือ้ รังสวนใหญ
มผี กู ลาววาการทห่ี ลวงพออยเู ปน ขวัญใหลูกศษิ ยห ลายปนน้ั มผี ลใหพ ระสงฆเจรญิ ในธรรมและสามคั คี รว มแรง รวมใจ
เรง ปฏบิ ัตบิ ชู าแดห ลวงพอ ทําใหเ กิดมีสาขาตา งๆเพม่ิ ขึ้นท้งั ในและนอกประเทศ นอกจากน้ยี ังมกี ารรวบรวมเทปเทศนาของหลวงพอ
ถอดความออกมาเปน หนังสือแจกญาตโิ ยมไดมากมายหลายเรอ่ื ง ยังผลใหฆราวาส ผสู นใจในคาํ สอนของหลวงพอ มงุ ปฏบิ ตั ิธรรมมากข้นึ
มคี นเปนหมูคณะมากราบเยย่ี มหลวงพอ เปน ประจําทกุ วนั จนตอ งกาํ หนดเวลาเยี่ยมในภาคเชาและเยน็ เพอื่ มิใหเ ปนการรบกวน
หลวงพอมากเกินไป พระอปุ ฏฐากจะเขน็ รถออกมาใหญาติโยมไดก ราบตามเวลาทก่ี าํ หนด
รถเข็นนี้เปนรถท่ีสงั่ ประกอบพเิ ศษจากประเทศอังกฤษมีการวดั สดั สว นของหลวงพอ สง ใหเ ขา (ทาํ นองเดียวกับการวดั ตวั ตัดเส้อื )
จึงใชไดดมี ีท่ีพยงุ คอ แขนขาในสัดสว นท่เี หมาะเจาะ ผทู ไ่ี มเคยมากราบเย่ียมอาจเขาใจผิดวาหลวงพอทา นน่งั ไดเ อง และไมไดเปนอมั พาต
สําหรับโอสถท่ีใชเปนประจาํ สวนใหญเ บกิ ไดจ าก โรงพยาบาลสรรพสิทธิป์ ระสงค โอสถพิเศษท่ีไมม ีในจ.อบุ ลฯ
กส็ ง่ั มาท่โี รงพยาบาลจฬุ าลงกรณซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจาอยูห วั พระราชทานใหอยใู นพระบรมราชานเุ คราะหเสมอมา
ตั้งแตป ๒๕๓๐ คณะพระสงฆท ั้งวดั ปานานาชาติ ซ่ึงเปน ชาวตา งประเทศ มาเย่ียมถวายสักการะหลวงพอ ทุกวนั
พระเปนประจํามอี บุ าสกอุบาสกิ าโดยสาร รถสองแถวมาดวยเสมอ พากันมาสวดมนตบ ทสาํ คัญๆ เชน วปิ สนาภมู ิ และโพชฌงค เปนตน
ถวายหลวงพอ เปน ภาพทีป่ ระทับใจแกผมู าพบเห็นเปน อยา งยิ่ง ตอมาเมอื่ มคี ณะผปู ฏิบัติธรรมจากกรุงเทพฯมา กม็ กี ารสวดทําวัตร
ถวายหลวงพอ ดวยเปน ครงั้ คราว
ระยะตอ มา หลวงพอ อาการหนักเปนพกั ๆ มกั จะเปน ระยะ ทอ่ี ากาศเปล่ียนแปลงราวเดือนตลุ าคม-พฤศจิกายน
หลวงพอ ตอ งเขารบั การรักษาที่โรงพยาบาลสรรพสิทธปิ์ ระสงคตองเจาะคอเมอื่ เมษายน ๒๕๓๑ เพ่อื ใหด ูดเสมหะไดง ายขน้ึ
อาการของหลวงพอ ทรดุ ลงชา ๆ ตามวัยและสงั ขารทเ่ี สอื่ มลงไป
เหมือนกบั หลวงพอสาธติ ใหศ ษิ ยเ ห็นภัยในวัฏสงสารเหน็ ความเสื่อมไปสน้ิ ไปของสังขารวา เรามคี วามแก ความเจ็บไขเ ปนธรรมดา
ไมมใี ครจะลวงพนความแก ความเจ็บไขไ ปได พระอุปฏฐากเลา วา แมหลวงพอจะไมไ ดแ สดงธรรมเทศนา แตก ไ็ ดเรียนธรรมจากหลวงพอ เสมอ
เน่อื งจากหลวงพอไปเขาไอซยี ู ของโรงพยาบาล สรรพสิทธป์ิ ระสงคอยบู อยๆ
จึงมีผูป รารภใหคณะศษิ ยรวมสมทบทนุ สรางตึกไอซีย.ู ใหแ กโรงพยาบาล
ขณะนกี้ ็ยังดําเนินการสรางอยูยังไมแ ลวเสรจ็ เขาใจวา ยงั ขาดงบทจ่ี ะซ้ืออปุ กรณอ กี
มกราคม ๒๕๓๕ หลวงพอ หอบมากจงึ ตองเขา โรงพยาบาลอีก แพทยวินิจฉัยวา หวั ใจวาย ตอมามีอาการไตวายแทรกดวย
แพทยใหการรักษาเตม็ ท่ีอาการไมดขี น้ึ คนื วันท่ี ๑๕ มกราคม หลงั จากที่ทราบวาอาการของหลวงพอทรุดลงเรื่อยๆ
คณะสงฆเ หน็ สมควรนิมนตห ลวงพอกลับวัด เชาวนั ท่ี ๑๖ มกราคม เวลา ๕.๒๐ น. หลวงพอ กล็ ะสังขารไปอยา งสงบ จากไปอยา ง
ครผู ูยิ่งใหญในวนั ครู
ระยะนน้ั เปน ระยะทก่ี ารกอสรา งในวัดสวนใหญส าํ เรจ็ แลว และพระสงฆต า งชาตกิ าํ ลงั อบรมกรรมฐานกันทีว่ ัดปาวนโพธญิ าณ
มีพระอาจารยส เุ มโธศษิ ยฝ รงั่ องคแ รกของหลวงพอ เปน ผอู บรมธรรมอยู สว นพระสงฆไ ทยกเ็ ตรยี มจะประชมุ กนั ในเวลาอนั ใกลก นั นัน้
ศษิ ยจ ึงตา งเตรยี มพรอ มทีจ่ ะมาชุมนมุ กันทีว่ ัดหนองปาพง อยแู ลว เมอื่ ทราบขาวหลวงพอจึงมากนั อยา งพรอ มเพรยี งกันมากราบ
สกั การะรางของหลวงพอ ทท่ี อดลงสอนศษิ ยเ ปนคร้งั สุดทาย และตางพากนั ปฏบิ ตั ิบชู าหลวงพอ อยา งเขมแข็ง
ธรรมปฏิสนั ถาร
นาํ ธรรมะมาฝาก
อาตมาดใี จทโ่ี ยมไดมาเยี่ยมพระลกู ชาย และพกั อยูท ว่ี ดั หนองปาพง อกี ไมก ีว่ นั ก็จะกลบั ไปแลว เลยถอื โอกาสมาแสดงความดใี จ
แตกไ็ มม ีอะไรจะฝาก วัตถุสง่ิ ของอะไรท่ีประเทศฝรงั่ เศสนน้ั ก็มมี ากมายอยูแ ลว แตธ รรมะทจี่ ะบาํ รุงจิตใจของเราใหสงบระงบั
ดูเหมือนจะไมค อ ยมเี ทา ไร
อาตมาไปสังเกตการณแ ลว เหน็ มแี ตเร่ืองที่จะทําใหเ ราวุนวายยงุ ยากลาํ บากตลอดกาลตลอดเวลา เจริญไปดว ยวัตถหุ ลายอยางเปนกามารมณ
มรี ปู มเี สียง มีกลน่ิ มรี ส มโี ผฏฐพั พะ ธรรมารมณเปน ที่ย่ัวยวนของบคุ คลทไี่ มร จู ักธรรม ใหม ีความวนุ วายมาก
ฉะนนั้ จงึ จะขอฝากธรรมะเพือ่ ไปปฏบิ ตั ิทีป่ ระเทศฝรง่ั เศส เมอื่ จากวัดหนองปา พงและวดั ปานานาชาติไปแลว
สภาวะทตี่ ัดปญ หาและความยุงยากของชีวติ
ธรรมะนเ้ี ปน สภาวะอนั หน่งึ ซงึ่ จะตดั ปญหาความยุงยากลําบากในใจของมนุษยทัง้ หลายใหนอยลง จนกระทงั่ หมดไป สภาวะอันนเ้ี รียกวาธรรม
เราควรจะศกึ ษา เอาไปศกึ ษาในชีวติ ประจําวันและประจาํ ชวี ิต เม่อื มอี ารมณอ นั ใดมากระทบกระทง่ั เกดิ ขนึ้ จะไดแ กป ญหามันได
เพราะปญหานี้มีทุกคน ไมเ ฉพาะวา เมอื งไทยหรอื เมืองนอก มนั มีทุกแหง ถาคนไมรจู กั แกปญ หาแลว กม็ คี วามทกุ ขค วามเดอื ดรอนเปน ธรรมดา
เม่อื ปญ หาเกดิ ข้ึนมาแลว หนทางที่จะแกไขมันกค็ ือปญญา สรางปญญา อบรมปญญา คอื ทาํ ปญ ญาใหเกิดขน้ึ ในจิตใจของเรา
สาํ หรับขอ ประพฤติปฏบิ ัตินัน้ ก็ไมมีอะไรมากอน่ื ไกล อยใู นตวั ของเราน่ีเอง มีกายกบั ใจ คนเมอื งนอกก็เหมอื นกนั คนเมอื งไทยก็เหมือนกนั
มกี ายกบั ใจเทา นัน้ ทวี่ นุ วาย เปนผวู ุนวาย ฉะนนั้ ผูสงบระงับตอ งมกี ายกบั ใจสงบ
ความเปนจริงน้ัน ใจของเรามันเปน ปกตอิ ยู เปรยี บเหมอื นนํา้ ฝน เปนน้ําสะอาด มคี วามใสสะอาดบริสทุ ธิเ์ ปน ปกติ
ถา หากเราเอาสีเขียวใสเขาไป เอาสีเหลอื งใสเ ขาไป น้ํากจ็ ะกลายเปนสเี ขยี ว สีเหลืองไป จิตเรานกี้ ็เหมือนกนั เม่อื ไปถูกอารมณทชี่ อบใจ ใจก็ดี
ใจก็สบายเมอ่ื ถกู อารมณไ มช อบใจแลว ใจน้ันก็ขนุ มวั ไมส บาย เหมือนกันกับนํา้ ท่ถี ูกสีเขียว กเ็ ขียวไป ถกู สเี หลือง กเ็ หลอื งไป
เปลย่ี นสไี ปเรอ่ื ย
ความเปนจริงน้นั น้ําที่มนั เขียว มันเหลือง ปกตขิ องมันกเ็ ปน นาํ้ ใสสะอาดบรสิ ทุ ธิ์ คอื นา้ํ ฝน ปกตขิ องจติ เรานีก้ เ็ หมอื นกนั เปน จติ ทีใ่ สสะอาด
เปนจติ ท่ีมปี กตไิ มวุนวาย ท่ีจะวนุ วายนน้ั เพราะมนั เปน ไปกบั อารมณ มันหลงอารมณ พดู ใหเ หน็ ชัด
อยางขณะน้ีเราน่งั อยูในปา มีความสงบเหมอื นกันกบั ใบไม ใบไมน้นั ถาไมม ีลมพดั มนั กน็ ิง่ สงบระงบั อยู ถา มลี มมาพัด
ใบมนั ก็กวดั แกวงไปตามลม
จิตใจนก้ี เ็ หมือนกนั ถา อารมณม าถกู มันก็กวัดแกวงไปตามอารมณ ย่งิ มันไมร ูเรื่องธรรมะแลว กย็ ิ่งปลอยไปตามอารมณข องเจา ของไป
อารมณสุขกป็ ลอยตามไป อารมณท กุ ขก ป็ ลอ ยตามไปวนุ วายไปเรื่อยๆ จนชาวมนุษยทัง้ หลายเกดิ เปน โรคประสาทเพราะไมร ูเ รื่อง
ปลอยไปตามอารมณ ไมร ูจักตามรกั ษาจติ ของเจา ของ จติ ของเรานเ้ี มื่อไมม ใี ครตามรักษา มันกเ็ หมอื นคนๆหนง่ึ ท่ปี ราศจากพอแมท จ่ี ะดูแล
เปน คนอนาถา คนอนาถาน้ันเปนคนทีข่ าดทีพ่ ่ึง คนที่ขาดทพี่ ่ึงก็เปนทุกข จติ นก้ี เ็ หมือนกนั ถาหากขาดการอบรมบม นิสัย
ทําความเห็นใหถ กู ตอ งแลว จิตนก้ี ล็ าํ บากมาก
กรรมฐานเปน การทําจิตใหส งบ
ในทางพทุ ธศาสนา การทําจติ ใหส งบระงบั น้ี ทานเรียกวา การทํากรรมฐาน ฐาน คอื เปนทีต่ ัง้ กรรม
คือการงานท่ีเราจะตองทําขน้ึ ใหมีกายเราเปนสวนหนึ่ง จติ เราเปน อกี สวนหนึ่ง มสี องอยา งเทา นั้นแหละ กายนี้เปน สภาวธรรม
เปนรปู ธรรมทเี่ รามองเห็นไดด ว ยตาของเรา จิตเปนสภาวธรรมอันหนึ่ง เปนนามธรรมซ่งึ ไมม ีรูป มองดวยตาไมได แตเ ปนของมีอยู
ตามภาษาสามัญก็เรียกวา กายกับใจ กายเรามองเห็นไดดวยตาเน้อื จติ มองเห็นไดดว ยตาใน คอื ตาใจ มีอยูสองอยา งเทา นั้น มันวุนวายกนั
ฉะนน้ั การฝก จติ ท่ีจะฝากโยมวนั น้ี ก็คือเรอ่ื งกรรมฐาน ใหไ ปฝกจติ เอาจิตพิจารณากาย จิตนี้คืออะไร? จิตมันกไ็ มคอื อะไร มนั ถูกสมมติวา คอื
ความรูส กึ ผูทรี่ สู กึ อารมณ ผูท ่รี ับรอู ารมณทง้ั หลายในท่ีน้เี รยี กวาจิต ใครเปน ผรู บั รู ผูรับรูนน้ั ถูกเขาเรียกวา "จิต" รับรอู ารมณท ่สี ขุ บา ง
อารมณท ี่ทกุ ขบ า ง อารมณด ใี จบาง อารมณเ สยี ใจบาง ใครมภี าวะที่จะรับรูอารมณเ หลา นี้ ทา นเรยี กวาจิต
อยา งเชน อาตมาพดู ใหฟง ขณะนี้ จติ เรายังมี จติ รบั รวู า พดู อะไรอยา งไร มนั เขา ไปทางหู รูว าพดู อะไร เปนอยา งไร กร็ จู ัก
ผูรบั รนู ี้เรียกวา จติ จิตเปนผรู ับรอู ารมณ
จติ ไมมีตัวจิตไมมีตน จิตไมม รี ปู จติ เปนผูร บั รูอารมณเ ทา นัน้ ไมใ ชอ ื่น ถาหากวา เราสั่งสอนจติ อันนีใ้ หม คี วามเหน็ ทถี่ กู ตองดแี ลว
จติ นกี้ จ็ ะไมมปี ญ หา จิตก็จะสบาย จิตกเ็ ปนจติ อารมณกเ็ ปนอารมณอารมณไ มเ ปนจติ จติ ไมเ ปน อารมณ เราพิจารณาจิตกับอารมณนใี้ หเห็นชดั
จิตเปนผรู บั รูอารมณท ่จี รเขามา จิตกบั อารมณส องอยางนมี้ ากระทบกนั เขา ก็เกดิ ความรสู กึ ทางจติ ดีบาง ชว่ั บา ง รอ นบาง เยน็ บาง สารพดั อยาง
ทีนี้เมอื่ เราไมมปี ญญาแกไข ปญหาทง้ั หลายเหลานีก้ ท็ าํ จติ ของเราใหย ุง
ลมหายใจเปน มงกฏุ กรรมฐาน
การทาํ จติ ข องเราใหมรี ากฐาน คือ กรรมฐาน เอาลมหายใจเขา ออกเปน รากฐาน เรยี กวา อานาปานสติ
ทนี ้จี ะยกเอาลมเปน กรรมฐานเปนอารมณ การทํากรรมฐา นมีหลายอยา งมากมาย มันก็ยากลําบากเอาลมน้ีเปน กรรมฐานดกี วา
เพราะวาลมหายใจนีเ้ ปน มงกุฏกรรมฐานมาแตค ร้ังดึกดาํ บรรพม าแลว พอเรามีโอกาสดีๆ เราเขา ไปนงั่ สมาธเิ อามือขวาทับมอื ซา ย
เอาขาขวาทบั ขาซาย ต้งั กายใหตรง แลวกน็ กึ ในจติ ของเราวา บัดน้ี เราจะวางภาระทกุ ส่งิ ทกุ อยางใหห มดไป ไมเอาอะไรมาเปนเครอ่ื งกังวล
ปลอ ย... ปลอ ยใหห มด แมจ ะมธี ุระอะไรอยมู ากมายกป็ ลอ ย ปลอ ยทิง้ ในเวลานน้ั สอนจติ ของเราวา จะกาํ หนดตามลมอันน้ี
ใหม คี วามรสู กึ อยูแตอ ารมณอ นั เดียว แลวก็หายใจเขา หายใจออก
การกําหนดลมหายใจน้นั อยา ใหม ันยาว อยา ใหมันสัน้ อยาใหมันคอ ย อยา ใหมนั แรง ใหมนั พอดๆี
สติ คอื ความระลึกได สมั ปชญั ญะ คือความรูตัวอนั เกิดจากจิตนนั้ ใหรูวาลมออก ใหร วู า ลมเขา สบาย ไมต อ งนึกอะไร
ไมตอ งคดิ ไปโนน ไมต อ งคดิ ไปน่ี ในเวลา
ปจจุบนั นี้ เรามหี นาท่ที จ่ี ะกําหนดลมหายใจเขา ลมหายใจออกอยางเดยี ว ไมม ีหนาที่ท่จี ะไปคดิ อยางอ่ืนใหมสี ตคิ วามระลึกไดตามเขา ไป
และสัมปชัญญะความรตู วั วา บัดน้ี เราหายใจอยู เม่อื ลมเขา ไป ตนลมอยูปลายจมกู กลางลมอยหู ทัยปลายลมอยูสะดอื เมอ่ื หายใจออก
ตน ลมอยูสะดอื กลางลมอยูหทยั ปลายลมอยูจมูก ใหร สู กึ อยา งน้ี
หายใจเขา :- ๑. จมูก ๒. หทยั ๓. สะดอื
หายใจออก :- ๑. สะดือ ๒. หทยั ๓. จมู
กาํ หนดอยสู ามอยางนี้ หายความกงั วลหมด ไมตอ งคดิ เรอ่ื งอื่นกาํ หนดเขาไปใหร ูตน ลม กลางลม ปลายลม สมา่ํ เสมอ
แลวตอ น้ันไปจติ ของเราจะมีความรูสกึ ตนลม กลางลม ปลายลม ตลอดเวลา
เมอื่ ทําไปเชนนี้ จิตอันควรแกก ารงานก็จะเกิดขนึ้ กายก็ควรแกการงาน การขบเม่อื ยทง้ั หลายจะคอยๆหายไปเร่ือยๆ กายกจ็ ะเบาขึน้
จติ กจ็ ะรวมเขา ลมหายใจกจ็ ะละเอียดเขา นอยลงๆ เราทาํ แบบน้ีเรื่อยๆ จนกวาจติ มนั จะสงบระงับลงเปนหนึ่ง
การทาํ จติ ใหสงบเปน "หน่ึง"
เปน "หนึ่ง" คือ จิตมันจะฝกใฝอ ยกู ับลม ไมแ ยกไปท่ีอื่นไมว ุน วาย ตนลมก็รจู กั กลางลมกร็ จู ัก ปลายลมก็รจู กั เมื่อจติ สงบระงบั แลว
เราจะรูอยแู ตตน ลม ปลายลมกไ็ ด ไมตอ งตามลงไป เอาแตปลายจมกู วามันออก มันเขา จิตเปน หนงึ่ อยกู ับลมหายใจเขาออกอันเดียวตลอดไป
การทําจติ เชน น้ี เรยี กวาทาํ จิตใหส งบ ทาํ จติ ใหเกิดปญ ญา อันนเ้ี ปน เบ้อื งตน เปนรากฐานของกรรมฐาน ใหพ ยายามทําทุกวนั ทุกวนั
จะอยทู ่ีไหนกไ็ ด จะอยบู านก็ได จะอยใู นรถก็ได อยูในเรือก็ได นัง่ อยกู ็ได นอนอยูก ็ได ใหเ รามสี ตสิ มั ปชญั ญะควบคมุ อยตู ลอดกาลตลอดเวลา
อนั นเี้ รียกวาการภาวนา
อิริยาบถของการภาวนา
การภาวนาน้ี ทาํ ไดใ นอริ ยิ าบถ ทง้ั นีไ่ มใ ชวา จะนง่ั อยา งเดยี ว จะยนื ก็ได จะนอนกไ็ ด จะเดนิ กไ็ ด ขอแตใ หเรามีสติ กําหนดอยเู สมอวา
บัดน้จี ิตใจของเราอยูใ นลักษณะอยา งไร มีอารมณอ ันใดอยจู ติ เปนสุขไหม จติ เปนทกุ ขไ หม จติ วุนวายไหม จิตสงบไหม ใหเรารูเหน็ อยางน้ี
หมายความวา ใหร ูจกั ความรับผิดชอบของจติ อยูตลอดเวลา นเ้ี รยี กวา การทาํ จติ ของเราใหสงบ
เมอื่ จติ สงบกเ็ กิดปญ ญา
เมื่อจิตสงบแลว ปญญามนั จะเกิด ปญญามนั จะรู ปญ ญามันจะเห็น เอาจติ ทส่ี งบพิจารณารา งกายของเรา ตงั้ แตศ ีรษะลงไปหาปลายเทา
ต้ังแตปลายเทาขนึ้ มาหาศีรษะ พิจารณากลบั ไปกลับมาอยูเ รือ่ ย ใหเห็นเกสา โลมา นะขา ทนั ตา ตะโจ เปนกรรมฐาน
ใหเ หน็ วา รปู รา งกายทง้ั หลายน้ี มีดิน มนี ้าํ มลี ม มไี ฟ กลมุ ทง้ั สก่ี ลมุ น้ี ทานเรียกวา กรรมฐาน เรียกวา ธาตุ ธาตดุ นิ ธาตนุ ํ้า ธาตุไฟ ธาตุลม
มาประชุมกนั เขา เรยี กวา มนษุ ย เรยี กวาสตั ว
พิจารณากายของเราอนั ประกอบดว ยธาตุ
พระบรมศาสดาของเราทา นทรงสอนวา อนั นส้ี ักแตวาธาตุเทานนั้ อวยั วะรางกายของเรา ส่งิ ทข่ี นแข็ง เปน ธาตุดนิ
สิ่งท่มี ันเหลวไหลเวยี นไปในรา งกาย ทา นเรยี กวา ธาตนุ ้าํ ลมพดั ขึ้นเบอื้ งบนลงเบือ้ งตํา่ ทานเรียกวา ธาตลุ ม ความรอ นอบอุนในรา งกาย
ทานเรยี กวาธาตุไฟ คนคนหน่ึง เมื่อแยกออกแลว มสี ีอ่ ยา ง น้ีเทา น้นั คือ มีดนิ น้ํา ลม ไฟ สัตวไ มมี มนุษยไมม ี ไทยไมมฝี รัง่ ไมม ี
เขมรไมม ีญวนไมมี ลาวไมม ี ไมมใี คร มีดนิ มีนาํ้ มไี ฟ มลี ม เทาน้นั ท่เี ปนอยูแลว สมมติวาเปน บคุ คลเปน สัตวข ้ึนมา
ชวี ติ รางกาย เปน อนิจจัง
ความเปนจรงิ ไมม อี ะไร ดินก็ดี น้าํ ก็ดี ลมก็ดี ไฟก็ดี ท่ีประกอบกนั เรยี กวามนษุ ยน ้ี เปนไปดว ยอนิจจงั ทกุ ขงั อนัตตา คอื เปนของไมแนน อน
เปน ของไมย ่งั ยืน เปนของหมุนเวียนเปลี่ยนไปแปรไป อยอู ยางน้ี ไมยัง่ ยืนอยูกับท่ี แมแ ตว ารา งกายของเราก็ไมแนไ มนอน
เคล่อื นไหวไปมาอยูเสมอ เปลีย่ นไป ผมก็เปล่ยี นไป ขนก็เปล่ียนไป หนงั กเ็ ปล่ียนไป สารพัดอยา งมันเปล่ียนไป เปลีย่ นไป เปล่ียนไปหมด
จิตใจของเราน้กี ็เหมือนกัน มันกไ็ มใชต ัว ไมใ ชตน ไมใ ชเราไมใ ชเ ขา ทค่ี ดิ ไปสารพดั อยา ง มนั ไมแนนอน บาทีคดิ ฆา ตวั ตายเลยกไ็ ด
บางทีคดิ สุขก็ได บางทีคดิ ทุกขก็ได ถา เราไมม ีปญญา เราก็ไปเชื่อจติ อนั น้ี มันก็โกหกเราเรอื่ ยไป เปนทกุ ขบ าง เปน สุขบาง สลบั ซบั ซ อนกันไป
จิตและกายเปนอนจิ จงั ทุกขัง อนตั ตา
จิตนี้มันก็เปน ของไมแ นน อน กายนก้ี ็เปนของไมแ นนอน รวมแลวเปน อนจิ จัง รวมแลว เปน ทกุ ขัง รวมแลวเปนอนัตตา สิ่งทงั้ หลายเหลา น้ี
พระบรมครขู องเราทานวา ไมใชส ตั ว ไมใ ชบ ุคคล ไมใชต วั ไมใชตน ไมใ ชเ รา ไมใชเ ขา เรียกวา ธาตุ คอื ดิน น้ํา ลม ไฟ เทา นน้ั เอง
เอาจติ ของเราพจิ ารณาลงไปใหมันเหน็ ชดั เมื่อมนั เหน็ ชดั แลวอุปาทานทีถ่ ือวา เราสวยบาง เรางามบาง เราดบี า ง เราชัว่ บาง เรามบี า ง
เราอะไรๆหลายอยา ง มันกถ็ อนไป ถอนไปเห็นสภาวะอนั เดยี วกัน เห็นมนษุ ยส ตั วท ้ังหลายเปน อนั เดยี วกัน เหน็ ไทยเปนอนั เดยี วกนั กับฝรง่ั
เหน็ ฝร่ังเปน อันเดยี วกันกับไทย เม่อื จติ เราเหน็ เชนน้ี มนั กถ็ อนอปุ าทานความยดึ ม่นั ออกจากจิตใจของเรา
เมื่อจติ เหน็ ธรรม โลภ โกรธ หลง กล็ ดนอยลง
เม่อื พิจารณาเห็นอนจิ จัง ทกุ ขัง อนตั ตา แลว มนั ก็นา สังเวชถอนอปุ าทานออกแลว ไมไดไปยดึ วาเปน ตัว วาเปนตน วา เปน เรา วา เปน เขา
จติ ใจเห็นเชนนี้ มันก็เกิดนิพพทิ า ความเบ่ือหนาย คลายความกาํ หนัด คอื เห็นวามนั เปน ของไมเที่ยง เปนทุกข เปน อนัตตา
แลว จิตใจของเราก็หยดุ จิตใจเราก็เปน ธรรมะ ราคะกด็ ี โทสะก็ดี โมหะก็ดี มนั กล็ ดนอยถอยลงไปทกุ ทๆี ผลท่สี ดุ เหลือแตธรรม
คือจิตนเ้ี ปนอยเู ทานนั้ น้ีเรียกวา การทํากรรมฐาน
หนทางท่ีถูกตอ งทคี่ วรพิจารณา
ฉะนั้น จงึ ขอฝากโยมเอาไปพิจารณา เอาไปศึกษาประจาํ วันประจาํ ชวี ิต เอาไวเปน มรดกตดิ ตัวสบื ไป โยมเอาไปพิจารณาแลว ใจก็จะสบาย
ใจก็จะไมว ุน วาย ใจก็จะสงบระงับ กายวุนวายกช็ างมัน ใจไมว นุ วาย เขาวุนวายในโลก เราไมว นุ วาย ถึงความวุนวายในเมอื งนอกมากมาย
เรากไ็ มว ุนวาย เพราะจติ เราเห็นแลว เปนธรรมะแลว อนั น้ีเปนหนทางทดี่ ี ท่ถี ูกตอ ง ฉะนัน้ จงจาํ คําสอนนี้ไวตอๆไป
ธรรมะกับธรรมชาติ
Audio : http://www.dhammatarn.com/fungdham/sound/cha/046b.wma
บางครงั้ ตนผลไม อยางตนมะมวงเปน ดอกออกมาแลว บางทีถูกลมพัด มันกห็ ลนลง แตย งั เปน ดอกอยา งน้ันก็มี
บางชอเปนลูกเลก็ ๆลมกม็ าพดั ไป หลนท้งิ ไปกม็ ี บางชอ ยงั ไมไดเ ปนลูก เปน ดอกเทานนั้ ก็หกั ไปก็มี
คนเรากเ็ หมอื นกนั บางคนตายตงั้ แตอ ยใู นทอง บางคนคลอดจากทองอยไู ดส องวัน ตายไปก็มี หรอื อายเุ พยี งเดอื นสองเดอื น สามเดอื น
ยงั ไมท นั โต ตายไปกม็ ีบางคนพอเปนหนุม เปน สาวตายไปกม็ ี บางคนก็แกเฒาแลว จึงตายก็มี
เมื่อนึกถงึ คนแลว ก็นึกถึงผลไม ก็เห็นความไมแ นน อน แมนกั บวชเรากเ็ หมือนกัน บางทยี งั ไมท ันไดบวชเลย ยังเปนเพียงผาขาวอยู
ก็พาผา ขาวว่งิ หนไี ปกม็ บี างคนโกนผมเทาน้นั ยงั ไมไดบวชขาวดวยซาํ้ กห็ นีไปกอนแลว กม็ ี บางคนกอ็ ยไู ดส ามสเี่ ดอื นก็หนไี ป
บางคนอยถู ึงบวชเปน เณรเปน พระ ไดพ รรษาสองพรรษาก็สกึ ไปกม็ ี หรือสี่หาพรรษาแลวกส็ กึ ไปก็มี เหมือนกับผลไมเ อาแนน อนไมไ ด
ดอกไมผ ลไมถกู ลมพัดตกลงไปเลยไมไ ดสุก จิตใจคนเรากเ็ หมือนกนั พอถกู อารมณม าพดั ไป ดงึ ไป กต็ กไปเหมอื นกับผลไม
พระพุทธเจาทา นกท็ รงเหน็ เหมือนกนั เห็นสภาพธรรมชาติของผลไม ใบไม แลวก็นึกถงึ สภาวะของพระเณรซ่งึ เปน บริษัท
บริวารของทานกเ็ หมือนกนั มนั เปน ของมนั อยูอยา งน้ัน ยอ มจะเปลย่ี นเปนอยางอนื่ ไมไ ด ฉะนั้นผปู ฏิบัติถามีปญ ญา
พจิ ารณาดอู ยกู ็ไมจ าํ เปน ทีจ่ ะตอ งมคี รอู าจารยแ นะนาํ พราํ่ สอนมากมาย
พระพทุ ธเจาของเรา ทีจ่ ะทรงผนวชในพระชาตทิ เ่ี ปน พระชนกกุมารนั้น
ทา นก็ไมไดศกึ ษาอะไรมากมายทา นไปทรงเหน็ ตน มะมวงในสวนอุทยานเทา นัน้ คือวนั หนึง่ พระชนกกมุ ารไดเสดจ็ ไปชมสวนอทุ ยานกับ
พวกอํามาตยทัง้ หลาย ไดท รงเหน็ ตนมะมว งตนหนงึ่ กําลังออกผลงามๆมากมาย ก็ต้ังพระทยั ไวว า ตอนกลับจะแวะเสวยมะมวงน้ัน
แตเ มื่อพระชนกกมุ ารเสดจ็ ผานไปแลว พวกอํามาตยก็พากนั เกบ็ ผลมะมว งตามใจชอบ ฟาดดวยกระบองบา ง แสบ าง เพ่ือใหกงิ่ หกั ใบขาด
จะไดเกบ็ ผลมะมวงมากิน
พอตอนเย็น พระชนกกุมารเสด็จกลบั กจ็ ะทรงเก็บมะมวง เพ่ือจะลองเสวยวา จะมีรสอรอ ยเพยี งใด แตก็ไมมมี ะมว งเหลอื เลยสักผล
มีแตต น มะมวงที่ก่งิ กานหกั หอ ยเกะกะ ใบกข็ าดว่ิน เมอ่ื ไตถาม กท็ รงทราบวาพวกอาํ มาตยเหลา น้นั ไดใ ชกระบอง
ใชแ สฟ าดตน มะมวงนั้นอยา งไมป รานี เพื่อทีจ่ ะเอาผลของมันมาบรโิ ภคฉะนน้ั ใบของมนั จึงขาดกระจัดกระจาย กง่ิ ของมนั ก็หัก หอยระเกะระกะ
เม่ือพระองคท รงมองมะมวงสักตน หนึง่ ทีอ่ ยูใกลๆกัน กท็ รงเห็นมะมวงตน นน้ั ยังมกี ่ิงกา นแขง็ แรง ใบดกสมบรู ณ มองดนู ารม เยน็ จึงทรงดาํ รวิ า
เหตุใดจึงเปน เชน นนั้ ? กท็ รงไดคาํ ตอบวา เพราะมะมว งตนน้ันมนั ไมม ีผล คนก็ไมตองการมัน ไมขวางปามัน ใบของมันก็ ไมหลน รว ง
ก่งิ ของมนั กไ็ มหัก
พอพระองคท รงเขาพระทัยในเหตุเทา นั้น กพ็ ิจารณามาตลอดทางทเี่ สด็จกลบั ทรงราํ พงึ วา ท่ีทรงมคี วามทกุ ขย ากลาํ บาก
กเ็ พราะเปน พระมหากษัตริย ตองทรงหวงใยราษฎร ตองคอยปองกนั แผนดนิ จากขาศึกศตั รู ท่คี อยจะมาโจมตตี รงนัน้ ตรงนี้อยูวนุ วาย
แมจะนอนกไ็ มเปน สุข บรรทมแลว ก็ยังทรงฝน ถงึ อกี แลวก็ทรงนึกถงึ ตน มะมว งที่ไมมีผลตน น้นั ที่มใี บสดดูรมเยน็ แลว ทรงดาํ รวิ า
จะทําอยางมะมว งตน น้นั จะไมดีกวาหรือ?
พอถงึ พระราชวัง กท็ รงพจิ ารณาอยูแตในเรอ่ื งนี้ในทส่ี ุดก็ตดั สนิ พระทัยออกทรงผนวช โดยอาศัยตนมะมวงน้นั แหละ เปน บทเรียนสอนพระทยั
ทรงเปรียบเทยี บพระองคเ องกบั มะมวงตน น้ัน แลวเห็นวาถาไมพวั พันอยใู นเพศฆราวาส ก็จะไดเปน ผไู ปคนเดยี ว ไมตองกงั วลั ทุกขร อน
เปนผูม อี สิ ระ จึงออกผนวช
หลงั จากทรงผนวชแลว ถามผี ใู ดทลู ถามวา ใครเปนอาจารยของทาน? พระองคก็จะทรงตอบวา "ตนมะมว ง" ใครเปนอปุ ช ฌายข องทา น?
พระองคก็ทรงตอบวา "ตนมะมวง" พระองคไ มตองการคําพร่าํ สอนอะไรมากมาย เพยี งแตทรงเห็นตนมะมว งนนั้ เทานั้น
ก็ทรงนอ มเขา ไปในพระทัย เปนโอปนยิกธรรม สละราชสมบัตทิ รงเปน ผทู ม่ี ักนอ ย สนั โดษ อยใู นความสงบผอ งใส
นค้ี ือในสมัยทพ่ี ระองค (พระพทุ ธเจา) ทรงเปนพระโพธสิ ัตว ก็ไดทรงบําเพญ็ ธรรมเชน นมี้ าโดยตลอดอันทจี่ รงิ
ทกุ ส่งิ ทกุ อยางในโลกน้ีมันเตรียมพรอมท่ีจะสอนเราอยเู สมอ ถาเราทาํ ปญ ญาใหเกดิ นดิ เดยี วเทานนั้ ก็จะรูแจงแทงตลอดในโลก
ตนไมเ ครอื เขาเถาวลั ยเ หลาน้ัน มันแสดงลักษณะอาการตามความจริงตามธรรมชาตอิ ยอู ยา งนัน้ อยแู ลว ถา มปี ญญาเทา นนั้ ก็ไมต อ งไปถามใคร
ไมต อ งไปศึกษาที่ไหน ดเู อาท่มี นั เปน อยูต ามธรรมชาตเิ ทานั้น ก็ตรสั รธู รรมไดแ ลว เหมือนอยา งพระชนกกุมาร
ถา เรามีปญ ญา ถาเราสังวร สํารวม ดูอยู รูอ ยเู ห็นอยตู ามธรรมชาตอิ นั นนั้ มันก็ปลงอนจิ จัง ทกุ ขังอนัตตาไดเทา นั้น เชน วา
ตนไมท ุกตน ท่ีเราเหน็ อยบู นพืน้ ปฐพนี ี้ มันกเ็ ปน ไปในแนวเดยี วกัน เปน ไปในแนวอนิจจังทุกขงั อนัตตา ไมเปนของแนน อนถาวรสกั อยา ง
มนั เหมอื นกนั หมด มีเกดิ ข้ึนแลวในเบอื้ งตน แปรไปในทามกลาง ผลทสี่ ดุ กด็ บั ไปอยา งน้ี
เม่ือเราเหน็ ตนไมเปน อยางนนั้ แลว ก็นอมเขามาถงึ ตัวสัตว ตัวบคุ คล
ตัวเราหรือบุคคลอื่นกเ็ หมือนกนั มีความเกดิ ข้ึนเปนเบอ้ื งตน ในทามกลางกแ็ ปรไป เปล่ียนไป ผลทสี่ ุดกส็ ลายไป น่คี อื ธรรมะ
ตนไมท ุกตน ก็เปนตนไมตนเดยี วกัน เพราะวามันเหมอื นกนั โดยอาการท่มี ันเกดิ ข้ึนมาแลว มันกต็ ง้ั อยู ตั้งอยแู ลว ก็แปรไป แลว มนั ก็เปลยี่ นไป
หายไป เส่ือมไปดบั สนิ้ ไปเปนธรรมดา
มนุษยเราทัง้ หลายก็เหมอื นกัน ถา เปน ผูมสี ตอิ ยรู ูอ ยู ศกึ ษาดว ยปญ ญา ดว ยสตสิ ัมปชญั ญะ ก็จะเห็นธรรมอันแทจรงิ คอื เหน็ มนุษยเราน้ี
เกดิ ข้นึ มาเปน เบื้องตน เกิดขึ้นมาแลว กต็ ั้งอยู เมอ่ื ต้งั อยูแลวก็แปรไปแลว กเ็ ปลี่ยนไป สลายไป ถึงที่สดุ แลว กจ็ บ ทกุ คนเปนอยูอยา งน้ี ฉะนั้น
คนทกุ คนในสากลโลกน้ี กเ็ ปน อันเดยี วกนั ถา เราเหน็ คนคนเดยี วชัดเจนแลว กเ็ หมือนกับเหน็ คนท้ังโลก มนั ก็เปน ของมนั อยอู ยางนน้ั
ทกุ สง่ิ สารพัดน้เี ปนธรรมะ สง่ิ ท่เี รามองไมเหน็ ดว ยตา คอื ใจของเราน้ี เม่อื ความคดิ เกิดขึ้นมา ความคดิ นั้นกต็ งั้ อยู เม่อื ตงั้ อยูแลวกแ็ ปรไป
เมอ่ื แปรไปแลว ก็ดบั สญู ไปเทา นั้น น้เี รยี กวา "นามธรรม" สกั แตว า ความรสู กึ เกดิ ขึน้ มา แลว มันก็ดบั ไป นี่คือความจรงิ ที่มันเปน อยอู ยา งนน้ั
ลว นเปนอริยสัจจธรรมท้ังน้ัน ถาเราไมมองดูตรงนี้ เราก็ไมเหน็
ฉะนั้น ถา เรามปี ญ ญา เราก็จะไดฟ งธรรมของพระพุทธเจา
พระพทุ ธเจาอยูทต่ี รงไหน?
พระพทุ ธเจา อยทู พี่ ระธรรม
พระธรรมอยทู ตี่ รงไหน?
พระธรรมอยทู พ่ี ระพทุ ธเจา อยตู รงนแี้ หละ
พระสงฆอยูท ี่ตรงไหน?
พระสงฆอยูทพ่ี ระธรรม
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ กอ็ ยูในใจของเราแตเ ราตอ งมองใหชัดเจน บางคนเกบ็ เอาความไปโดยผวิ เผิน แลวอทุ านวา "โอ! พระพทุ ธ
พระธรรมพระสงฆ อยใู นใจของฉนั " แตป ฏิปทาน้ันไมเ หมาะไมส มควร มนั กไ็ มเขา กันกบั การท่จี ะอทุ านเชน นั้น
เพราะใจของผทู ี่อทุ านเชน นน้ั จะตอ งเปน ใจท่รี ธู รรมะ
ถา เราตรงไปท่ีจุดเดียวกันอยา งนี้ ก็จะเหน็ วา ความจริงในโลกนม้ี ีอยู นามธรรม คอื ความรูส กึ นกึ คิดเปน ของไมแ นน อน
มคี วามโกรธเกิดข้ึนมาแลว ความโกรธตง้ั อยแู ลว ความโกรธกแ็ ปรไป เมอ่ื ความโกรธแปรไปแลว ความโกรธกส็ ลายไป
เมอ่ื ความสขุ เกดิ ข้นึ มาแลว ความสุขนนั้ ก็ตั้งอยูเมอ่ื ความสขุ ต้งั อยูแลว ความสขุ ก็แปรไป เม่ือความสุขแปรไปแลว ความสขุ มนั กส็ ลายไปหมด
กไ็ มมีอะไร มันเปน ของมนั อยูอยา งนท้ี กุ กาลเวลา ท้ังของภายในคอื นามรูปน้ีก็เปน อยูอ ยางนี้ ท้งั ของภายนอก คอื ตนไม ภเู ขา
เถาวลั ยเหลา น้ีมันกเ็ ปนของมนั อยอู ยางนี้ นเ่ี รยี กวาสจั จธรรม
ถา ใครเห็นธรรมชาติกเ็ หน็ ธรรมะ ถา ใครเห็นธรรมะกเ็ ห็นธรรมชาติ ถาผูใดเหน็ ธรรมชาติ เหน็ ธรรมะผนู ้ันกเ็ ปนผูรูจ ักธรรมะน่นั เอง
ไมใ ชอยไู กล
ฉะนนั้ ถาเรามสี ติ ความระลกึ ได มีสมั ปชัญญะความรูตวั อยูทกุ อริ ยิ าบถ การยนื เดิน น่ัง นอน ผูร ทู งั้ หลายก็พรอมที่จะเกดิ ขึน้ มา ใหร ู
ใหเ ห็นธรรมะตามเปนจรงิ ทุกกาลเวลา
พระพทุ ธเจา ของเรานน้ั ทานยงั ไมตาย แตคนมักเขา ใจวา ทา นตายไปแลว นิพพานไปแลว ความเปน จริงแลว
พระพทุ ธเจา ที่แทจ รงิ นนั้ ทา นไมน พิ พาน ทา นไมตายทานยังอยู ทานยังชว ยมนุษย ผปู ฏบิ ัตดิ ี ปฏบิ ัติชอบอยทู ุกเวลา
พระพุทธเจานั้นก็คอื ธรรมะน่นั เอง ใครทําดตี อ งไดด ีอยูว นั หน่ึง ใครทาํ ช่วั มนั ก็ไดชัว่ นี่เรียกวา พระธรรมพระธรรมนน้ั แหละเรียกวา
พระพทุ ธเจา และกธ็ รรมะน่แี หละทท่ี าํ ใหพระพทุ ธเจาของเรา เปนพระพทุ ธเจา
ฉะนน้ั พระองคจงึ ตรสั วา "ผูใดเห็นธรรม ผูน ั้นเห็นเรา" แสดงวาพระพทุ ธเจา กค็ ือพระธรรม และพระธรรมก็คอื พระพทุ ธเจา
ธรรมะที่พระพุทธเจาตรสั รนู น้ั เปน ธรรมะที่มีอยปู ระจําโลก ไมสญู หาย เหมอื นกบั นาํ้ ทม่ี อี ยูใ นพ้นื แผนดนิ
ผขู ุดบอ ลงไปใหถึงนํ้าก็จะเหน็ น้ําไมใชวาผนู นั้ ไปแตงไปทาํ ใหน้ํามีขึ้น บุรษุ น้ันลงกาํ ลงั ขดุ บอ เทา นนั้ ใหลกึ ลงไปใหถ งึ นํ้า นํ้าก็มอี ยแู ลว
อนั นี้ ฉนั ใดกฉ็ ันนนั้ พระพุทธเจาของเรากเ็ หมือนกนั ทานไมไดไ ปแตง ธรรมะ ทานไมไ ดบ ญั ญัตธิ รรมะ บัญญตั ิก็บัญญัติสิ่งท่มี นั มีอยแู ลว
ธรรมะคอื ความจริงที่มีอยแู ลว ทานพจิ ารณาเหน็ ธรรมะ ทานเขาไปรูธรรม คือรูความจรงิ อนั น้นั
ฉะน้นั จงึ เรยี กวาพระพุทธเจา ของเราทานตรัสรูธ รรม และการตรัสรูธรรมนีเ่ องจึงทาํ ใหท านไดรับพระนามวา พระพทุ ธเจา
เมื่อพระองคทรงอบุ ตั ขิ นึ้ ในโลก พระองคกท็ รงเปนเพยี ง "เจาชายสทิ ธตั ถะ" ตอเมอื่ ตรัสรูธรรมแลว จงึ ไดทรงเปน "พระพุทธเจา "
บุคคลทัง้ หลายกเ็ หมือนกนั ผใู ดสามารถตรสั รธู รรมได ผนู ้นั ก็เปน พทุ ธะ
ดงั นัน้ พระพทุ ธเจา จงึ ยงั มีอยู ยงั เมตตากรุณาสัตวทั้งหลาย ยังชว ยมนุษยสัตวท้งั หลายอยู ถา มนษุ ยผูใดมีความประพฤตปิ ฏิบัตดิ ี จงรกั ภกั ดี
พระพุทธเจา ตอ พระธรรม ผนู นั้ กจ็ ะมีคุณงามความดอี ยตู ลอดทกุ วนั ฉะนน้ั ถาเรามีปญ ญา ก็จะเห็นไดวา เราไมไ ดอ ยหู างพระพุทธเจาเลย
เดี๋ยวน้ีเรากย็ งั นง่ั อยตู อ หนา พระพุทธเจาเราเขาใจธรรมะเมอ่ื ใด เราก็เหน็ พระพทุ ธเจาเมอื่ น้นั
ผใู ดทีต่ ัง้ ใจประพฤติปฏิบตั ธิ รรมอยอู ยางสม่ําเสมอแลว ไมว า จะน่งั ยนื เดิน อยู ณ ทใี่ ด ผนู ัน้ ยอมไดฟ งธรรมของพระพทุ ธเจาอยูตลอดเวลา
ในการปฏบิ ตั ิธรรมน้นั พระพทุ ธเจา ทรงสอนใหอ ยูในท่ีสงบ สาํ รวมอินทรยี ตา หู จมกู ลน้ิ กาย จติ นีเ้ ปนหลักไว
เพราะสิง่ ทัง้ หลายเกดิ ข้ึนที่ตรงน้ี ไมเกดิ ทีอ่ ื่นความดีท้ังหลายเกิดข้นึ ทีน่ ่ี ความช่ัวทง้ั หลายเกดิ ข้ึนที่น่ี
พระพุทธเจาจึงใหส งั วรสํารวมใหร ูจักเหตทุ ี่มนั เกิดขนึ้
ความจรงิ พระพทุ ธเจา ทานทรงบอกทรงสอนไวหมดทกุ อยา งแลว เรอ่ื งศีลกด็ ี สมาธิก็ดี
ปญญากด็ ตี ลอดจนขอ ประพฤตปิ ฏบิ ัติทกุ ประการก็ทรงพราํ่ สอนไวหมดทุกอยาง เราไมตองไปคิด
ไปบญั ญัตอิ ะไรอีกแลว เพยี งใหท าํ ตามในสิ่งทีท่ านทรงสอนไวเ ทา น้ัน นับวาพวกเราเปน ผูม บี ุญ มโี ชคอยา งยง่ิ
ท่ไี ดมาพบหนทางทท่ี า นทรงแนะทรงบอกไวแ ลว คลายกับวาพระพทุ ธเจา ทานทรงสรา งสวนผลไมที่อดุ มสมบูรณพรอมไวใ หเรา
แลว กเ็ ชญิ ใหพวกเราท้ังหลายไปกินผลไมในสวนนั้น โดยที่เราไมตองออกแรงทาํ อะไรในสวนนนั้ เลย เชนเดียวกบั คําสอนในทางธรรม
ท่ีพระองคทรงสอนหมดแลว ยังขาดแตบุคคลทจี่ ะมศี รัทธาเขา ไปประพฤตปิ ฏบิ ตั เิ ทา นั้น
ฉะนนั้ พวกเราทัง้ หลายจึงเปนผูท มี่ โี ชคมบี ญุ มากเพราะเม่อื มองไปท่ีสตั วท งั้ หลายแลว จะเหน็ วาสัตวท ง้ั หลายเหลา น้นั เชน ววั ควาย หมู หมา
เปนตน เปนสตั วท อี่ าภัพมาก เพราะไมม โี อกาสทจ่ี ะเรยี นธรรม ไมมโี อกาสท่ีจะปฏิบัตธิ รรม ไมมีโอกาสที่จะรธู รรม
ฉะนั้นก็หมดโอกาสท่จี ะพนทกุ ข จึงเรยี กวา เปนสัตวท่อี าภพั เปน สตั วทต่ี องเสวยกรรมอยู
ดวยเหตนุ ้ี มนุษยท งั้ หลายจึงไมควรทาํ ตวั ใหเปนมนษุ ยท อี่ าภพั คือไมมขี อ ประพฤติ ไมม ขี อปฏบิ ตั ิ อยา ใหเ ปนคนอาภัพ คือ
คนหมดหวงั จากมรรค ผลนิพพาน หมดหวังจากคณุ งามความดี อยาไปคิดวา เราหมดหวงั เสยี แลว ถา คดิ อยา งนัน้
จะเปน คนอาภัพเหมอื นสัตวเ ดรัจฉานทั้งหลาย คือไมอยูใ นขายของพระพทุ ธเจา
ฉะน้ัน เมอ่ื มนษุ ยเ ปนผมู บี ุญวาสนาบารมีเชน น้ีแลว จึงควรทีจ่ ะปรับปรงุ ความรู ความเขา ใจ ความเห็นของตนใหอยใู นธรรม จะไดรธู รรม
เหน็ ธรรม ในชาติกาํ เนิดทเ่ี ปน มนุษยน ี้ ใหสมกับทเี่ กิดมาเปนสัตวท ี่ควรตรัสรธู รรมได
ถาหากเราคิดไมถ กู ไมไ ดป ระพฤติปฏิบัติ มนั กจ็ ะกลับไปเปนสตั วเดรจั ฉาน เปนสตั วน รก เปนเปรต เปนอสุรกาย เปน ยักษ เปน ผี
เปน สารพัดอยา ง มนั จะเปน ไปไดอ ยา งไร? กข็ อใหมองดูในจติ ของเราเอง เมื่อความโกรธเกดิ ขึน้ มันเปน อยา งไร? นนั่ แหละ!
เมอ่ื ความหลงเกดิ ขน้ึ แลว มนั เปน อยางไร?น่นั แหละ!
เม่ือความโลภเกิดขน้ึ แลว มนั เปน อยางไร?นน่ั แหละ!
สภาวะท้ังหลายเหลา นแี้ หละ มนั เปน ภพ แลว กเ็ ปนชาติ เปน ความเกดิ ทเ่ี ปน ไปตามสภาวะแหง จิตของตน
สองหนา ของสจั จธรรม
ในชวี ิตของเรามีทางเลอื กอยูสองทาง คอื คลอยตามไปกับโลก หรอื พยายามปฏบิ ัตใิ หอ ยเู หนอื โลก
พระพุทธเจา นน้ั ทานทรงปฏิบัติจนพระองคเ องทรงพน โลก ดวยการตรสั รสู ัมมาสมั โพธิญาณ ในทาํ นองเดยี วกนั ปญ ญากม็ สี อง คือปญญาโลกีย
กบั ปญญาโลกุตตระ หากเราไมภ าวนาฝกปฏบิ ัติอบรมตนเอง ถึงจะมปี ญญาปานใด ก็เปนเพยี งปญญาโลกีย เปน โลกยี วสิ ยั
จะหลดุ พน โลกไปไมได เพราะโลกียวสิ ัยนน้ั มนั เวียนไปตามโลก เม่ือเวียนคลอยไปตามโลก จิตกเ็ ปน โลกคิดอยแู ตจะหามาใสต วั อยไู มเปน สขุ
หาไมร ูจ กั พอ วชิ าโลกียเ ลยกลายเปน อวิชชา หาใชวิชชาความรแู จงไม มันจงึ เรียนไมจบสักที เพราะมวั ไปตามลาภ ตามยศ ตามสรรเสริญ
ตามสุข พาใจใหตดิ ขอ งเปน กเิ ลสกองใหญ
เมื่อไดม าก็หึงก็หวง เห็นแกต ัว สูดว ยกําปนไมได กค็ ิดสรางเครือ่ งจักรเครอ่ื งยนต เครื่องกลเคร่อื งไก
สรางศาสตราวุธสรางลูกระเบดิ ขวางใสกนั น่ีคอื โลกยี มนั ไมห ยุดสักที เรียนไปกเ็ พือ่ จะเอาโลก จะครองโลก ไดอ ะไรกห็ วงอยูนัน่ แลว
นคี่ อื โลกียวสิ ัย เรยี นไปแลว กจ็ บไมได
มาฝก ทางโลกุตตระ โลกตุ ตระนีอ้ ยไู ดยาก ผูใ ดหวงั มรรค หวงั ผล หวงั นพิ พาน จงึ จะทนอยูได จงทาํ ตนใหเปนคนมกั นอ ย สันโดษ กินนอย
นอนนอย พดู นอ ย ทาํ ใหม ันหมดโลกีย
ถาเช้อื โลกยี ไมหมด มนั ก็ยาก มันยุง ไมห ยุดสักที แมมาบวชแลว กย็ ังคอยดงึ ใหอ อกไป มันมาคอยใหค วามรูค วามเหน็
มันมาคอยปรงุ คอยแตง ความรอู ยนู ่นั แลว ทําใหใ จติดของอยใู นกามคุณทงั้ หา คอื รปู เสียง กลนิ่ รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ
อารมณข องใจเปน กาม คือความใคร ในความสขุ ความทกุ ข ความดี ความชว่ั สารพัดอยาง มีแตกามทงั้ น้นั
คนไมร จู ักกว็ า จะทําสง่ิ ในโลกน้ใี หม ันเสรจ็ ใหม ันแลว เหมอื นคนทม่ี าเปนรฐั มนตรีใหม กค็ ิดวา ตนตองทาํ ได
บริหารไดแ ลว ก็เอาอะไรๆท่ีคนเกาทาํ ไวอ อกไปเสยี เอาวิธบี ริหารของตนเขา มาใชแ ทน กเ็ ลยตองไดหามกันออก
หามกันเขาอยูอ ยา งนัน้ ไมไดเ รือ่ งสักที ทว่ี าจะทําใหเสรจ็ มนั กไ็ มเ สร็จ เพราะจะทาํ ใหถูกใจคนทุกคนนัน้ มันทาํ ไมไ ดห รอก
คนหนึง่ ชอบนอ ย คนหนึ่งชอบมาก คนหนง่ึ ชอบสน้ั คนหนง่ึ ชอบยาว คนหน่ึงชอบเคม็ คนหนง่ึ ชอบเผด็ จะใหเหมอื นกนั นั้นไมมใี นโลก
คนอยคู รองโลก ครองบา น ครองเมือง ทําทุกอยางกอ็ ยากใหมนั สําเร็จ แตไ มมที างสาํ เรจ็ หรอก เรอ่ื งของโลกมันจบไมเ ปน
ถา ทาํ ตามโลกแลวจบได พระพุทธเจา ทา นก็คงทรงทําแลว เพราะทา นครองโลกอยูกอ น แตนี่มันทาํ ไมได
ในเรือ่ งของกาม คอื รปู เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ นั้น รูปอะไรกไ็ มจับใจเทารปู ผูหญิง ผูหญงิ รปู รางบาดตา ก็ชวนมองอยแู ลว
ยงิ่ เดินซอกแซก ๆก็ยง่ิ มองเพลิน
เสยี งอะไรมาจับใจเทาเสยี งผูหญงิ เปนไมม ี มันบาดถึงหวั ใจ กลน่ิ ก็เหมือนกนั กล่ินอะไรกไ็ มเ หมอื นกลิ่นผหู ญงิ
ตดิ กลิ่นอื่นก็ไมเ ทา กบั ตดิ กลิน่ ผูหญงิ มันเปน อยา งนั้น
รสอะไรกไ็ มเ หมือน รสขาว รสแกง รสสารพัดก็ไมเทยี บเทา รสผูหญงิ หลงติดเขาไปแลว ถอนไดยาก เพราะมนั เปน กามโผฏฐัพพะกเ็ ชน กนั
จบั ตอ งอะไรก็ไมท าํ ใหมึนเมาปน ปว น จนหัวชนกัน เหมือนกบั จบั ตองผูห ญิง
ฉะน้ัน เมอ่ื ลกู ทาวพญาทไี่ ปเรียนวชิ ากบั อาจารยต ักศิลาจนจบแลวจะลาอาจารยก ลบั บา น อาจารยจ ึงสอนวา เวทยม นตก ลมายาอะไรๆกส็ อนให
บอกใหจ นหมดแลว เมอื่ กลบั ไปครองบานครองเมอื งแลว มีอะไรมากไ็ มตองกลวั จะสไู ดหมดทั้งน้ัน จะมสี ัตวป ระเภทใดมาก็ไมตองกลัว
ไมว าจะเปน สัตวม ฟี น อยใู นปาก หรือมีเขาอยบู นหวั มงี วง มงี า กค็ มุ กันไดท้ังสนิ้ แตไมรบั รองอยูแ ตเฉพาะสัตวจําพวกหน่ึง
ทเ่ี ขาไมไดอยูบนหวั แตหากไปอยทู ี่หนาอก สตั วช นดิ นี้ไมม มี นตช นดิ ใดจะคุมกันไดมีแตจะตอ งคุมกนั ตวั เอง รูจ ักไหม สัตวท่ีมเี ขาอยหู นาอก
นัน่ แหละทานจงึ ใหร ักษาตวั เอาเอง
ธรรมารมณท ่เี กดิ ขึน้ กับใจแลว ทําใหอยากไดเงนิ อยากไดทอง อยากไดสิง่ อยากไดข อง ธรรมารมณอ ยา งนน้ั ไมพ อใหลมตาย
แตถา เปน ธรรมารมณท ่ชี ุมดว ยนํ้ากามเกดิ ข้นึ แลว มนั ทาํ ใหล ืมพอ ลืมแม แมพอแมเลยี้ งมา
กห็ นีจากไปไดโดยไมตองคาํ นงึ ถึงพอเกดิ ขน้ึ แลวรัง้ ไมอยู สอนก็ไมฟ ง
รปู หน่งึ เสียงหน่ึง กลิ่นหนึ่ง รสหนึง่ โผฏฐัพพะหนึ่งธรรมารมณห นึ่ง เปน บวง เปน บว งของพญามาร พญามารแปลวา ผูใ หรายตอเรา
บว งแปลวาเคร่อื งผกู พัน บว งของพญามารเปรียบไดกบั แรวของนายพราน นายพรานท่ีเปนเจา ของแรว น่ันแหละคือพญามาร
เชอื กเปนบวงเครือ่ งผูกของนายพราน
สัตวท้ังหลายเมื่อไปตดิ บว งเขา แลวลาํ บาก มนั ผูกไว ดงึ ไวร อจนเจาของแรว มา เหมือนกบั นกไปตดิ แรว เขา
แรว มนั รัดถกู คอดิ้นไปไหนกไ็ มห ลดุ ด้ินปด ไปปดมาอยา งน้ันแหละ มนั ผูกไวคอยนายพรานเจา ของแรว
ครัน้ เจา ของมาเหน็ ก็จบเร่ืองน้นั แหละพญามาร นกกลัวมาก สัตวท ้ังหลายกลัวมาก เพราะหนไี ปไหนไมพน
บวงกเ็ ชนกัน รปู เสียง กล่ิน รส โผฏฐัพพะ ธรรมา-รมณเปน บวงผกู เอาไว เมื่อเราติดในรูป เสียง กลิน่ รส โผฏฐพั พะ ธรรมารมณ
ก็เหมือนกับปลากินเบ็ด รอใหเจา ของเบ็ดมา ด้นิ ไปไหนก็ไมหลดุ อันท่จี ริงแลว มนั ย่ิงกวา ปลากินเบ็ดตองเปรยี บไดก บั กบกินเบด็
เพราะกบกินเบ็ดนน้ั มนั กนิ ลงไปถงึ ไสถงึ พงุ แตปลากนิ เบด็ กก็ นิ อยูแคปาก
คนตดิ ในรูป ในเสยี ง ในกล่นิ ในรส ก็เหมอื นกัน แบบคนติดเหลา ถาตบั ยงั ไมแข็ง ไมเลกิ ตดิ ตอนแรกๆกย็ งั ไมร ูจักเรอื่ ง
ก็หลงเพลดิ เพลินไปเรอ่ื ยๆ จนเกดิ โรครายขนึ้ นน่ั แหละ เปนทกุ ข
เหมอื นบรุ ษุ ผูห น่ึงหวิ นา้ํ จัด เพราะเดนิ ทางมาไกล มาขอกนิ น้าํ เจาของน้าํ กบ็ อกวา น้าํ นจี่ ะกินกไ็ ด สีมันกด็ ี กล่ินมนั กด็ รี สมันก็ดี
แตวากนิ เขา ไปแลว มนั เมานะ บอกใหรูเสยี กอน เมาจนตาย หรือเจ็บเจียนตายน่นั แหละ แตบ ุรุษผูหิวนํา้ กไ็ มฟง
เพราะหิวมากเหมือนคนไขหลังผา ตัดท่ถี ูกหมอบังคับใหอดนํา้ ก็รอ งขอนํ้ากิน
คนหิวในกามกเ็ หมอื นกนั หวิ ในรูป ในเสยี ง ในกล่นิ ในรส ลว นของเปนพษิ พระพุทธเจา ไดบ อกไวว า รปู เสียง กลนิ่ รส โผฏฐพั พะ
ธรรมารมณนั้น มันเปนพษิ เปนบวง กไ็ มฟ ง กนั เหมือนกับบุรษุ หิวนา้ํ ผูน้ัน ที่ไมย อมฟงคําเตอื นเพราะความหวิ กระหายมนั มีมาก
ถงึ จะตองทุกขย ากลาํ บากเพียงใด ก็ขอใหไ ดกนิ น้าํ เถอะ เมอื่ ไดกินไดด ่ืมแลว มันจะเมาจนตาย หรอื เจยี นตายกช็ างมัน จับจอกนาํ้ ไดก็ดมื่ เอาๆ
เหมอื นกบั คนหวิ ในกามก็กินรูป กนิ เสียง กินกลน่ิ กนิ รส กนิ โผฏฐพั พะ กนิ ธรรมารมณ รูสกึ อรอ ยมาก ก็กินเอาๆหยดุ ไมได กินจนตาย
ตายคากาม
อยางนที้ า นเรยี กวาตดิ โลกียวสิ ยั ปญญาโลกียก แ็ สวงหารปู เสียง กล่นิ รส โผฏฐพั พะ ธรรมารมณ
ถึงปญญาจะดสี ักปานใดก็ยงั เปนปญ ญาโลกียอ ยูนน่ั เอง สุขปานใดกแ็ คสุขโลกียม ันไมสขุ เหมือนโลกุตตระ คอื มนั ไมพนโลก
การฝกทางโลกตุ ตระ คอื ทาํ ใหม ันหมดอุปาทาน ปฏบิ ตั ิใหห มดอปุ าทาน ใหพจิ ารณารางกายนีแ่ หละ พจิ ารณาซ้ําแลวซ้ําอีก ใหมันเบื่อ
ใหม ันหนาย จนเกิดนพิ พทิ า ซงึ่ เกดิ ไดย ากมนั จงึ เปน ของยาก ถาเรายงั ไมเหน็ กย็ งิ่ ดมู นั ยาก
เราทงั้ หลายพากันมาบวช เรียน เขียน อา น มาปฏบิ ัติภาวนา กพ็ ยายามต้งั ใจของตวั เอง แตก็ทาํ ไดย าก
กําหนดขอ ประพฤติปฏิบตั ิไวอ ยา งน้อี ยา งนนั้ แลว ก็ทําไดเ พียงวนั หนึ่งสองวนั หรอื แคสองช่ัวโมง สามชว่ั โมง กล็ มื เสียแลว
พอระลึกข้นึ ไดกจ็ บั มนั ตง้ั ไวอ กี กไ็ ดเ พียงช่ัวคราว พอรูป เสียงกล่นิ รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ ผา นมา ก็พงั ไปเสียอกี แลว พอนึกไดกจ็ บั ตั้งอีก
ปฏบิ ตั อิ ีก น่ีเรามกั เปนเสยี อยางนี้ เพราะสรา งทาํ นบไวไ มดี ปฏิบตั ไิ มทนั เปน ไมท ันเห็น มันก็เปนอยอู ยา งน้นั มนั จงึ เปนโลกตุ ตระไมได
ถาเปนโลกตุ ตระได มันพนไปจากสง่ิ ทั้งหลายน่ีแลว มันก็สงบเทานนั้ เอง
ท่ไี มสงบทุกวันนี้ ก็เพราะของเกามันมากวนอยูไมห ยดุ มนั ตามมาพวั พัน เพราะมนั ติดตวั เคยชินเสยี แลว จะแสวงหาทางออกทางไหน
มนั ก็คอยมาผกู ไวด งึ ไว ไมใ หล ืมทเ่ี กา ของมันเราจึงเอาของเกา มาใช มาชม มาอยู มากินกนั อยอู ยางน้ัน
ผหู ญงิ กม็ ีผชู ายเปนอุปสรรค ผชู ายกม็ ีผูห ญิงเปน อปุ สรรคมันพอปานกัน ถา ผชู ายอยกู บั ผูชายดว ยกนั มันกไ็ มมีอะไร
หรอื ผหู ญงิ อยูกับผูห ญงิ ดวยกัน มนั ก็อยางนัน้ แหละ แตพอผชู ายไปเห็นผหู ญงิ เขา หัวใจมนั เตนต๊ิกตกั๊ ๆ ผหู ญิงเห็นผชู ายเขา กเ็ หมือนกัน
หัวใจเตน ติ๊กต๊กั ๆ เพราะมันดงึ ดดู ซง่ึ กันและกนั
น่ีก็เพราะไมเ หน็ โทษของมนั หากไมเ หน็ โทษแลว กล็ ะไมไ ด ตองเห็นโทษในกาม และเห็นประโยชนในการละกามแลว จึงจะทําได
หากปฏบิ ตั ยิ ังไมพ น แตพ ยายามอดทนปฏบิ ตั ติ อ ไปกเ็ รียกวา ทาํ ไดในเพียงระดับของศีลธรรม แตถา ปฏบิ ตั ไิ ดเห็นชดั แลวจะไมตองอดทนเลย
ที่มนั ยาก มันลาํ บาก กเ็ พราะยังไมเ หน็
ในทางโลกนน้ั ส่งิ ใดสิ่งหนง่ึ ทเี่ ราทําไว ถา จวนเสรจ็ เรยี บรอ ยเราก็สบาย ถายงั ไมเสรจ็ กเ็ ปนหวงผูกพนั น่คี อื โลกียมนั ผกู พันตามไปอยูเ รื่อย
วา จะทําใหห มดน้นั มนั หมดไมเ ปนหรอก เหมอื นกนั กับพอ คา พบใครก็วา ถาหมดหนห้ี มดสินแลว จะบวช เมือ่ ไรมันจะหมดเปน
เพราะพอหมดหนีเ้ กา กก็ มู าใหมอ ีก พอ คา ก็ไมม ีวนั หมดหน้ีหมดสนิ เมอื่ กไู มห ยุด แลว จะหมดไดอยา งไร นีแ่ หละปญญาโลกีย
การปฏิบตั ิของเรานก่ี ใ็ หเ ฝาดูจิตใจไว ขอวตั รขอ ใดมันหยอ น พอเห็น พอรสู ึก ก็ใหต้งั ขึ้นใหม ถา มันหยอนอกี ผมู ีสติกต็ อ งจับมันตั้งข้นึ อีก
สว นผูไมมสี ตกิ จ็ ะปลอยไปเลย ผูม สี ติก็ดึงขน้ึ มา ทําอยอู ยา งนั้นแหละ เรียกวา ทําไมร จู กั แลว เพราะวามนั เปนโลกีย
มันจึงดึงไปดงึ มาอยูน ั่นแหละ
การมาบวชนั้นเปน ของยาก จะตอ งต้ังอกต้งั ใจ เปนผมู ศี รัทธา ปฏิบัติไปจนมันรู มันเหน็ ตามความเปน จรงิ มันจงึ จะเบอ่ื เบอ่ื นัน้ ไมใชช งั
ตอ งเบ่ือท้งั รกั ทงั้ ชัง เบอื่ ทัง้ สุขท้งั ทุกขค ือเหน็ ทุกอยางไมเ ปน แกนสารนัน่ เอง
ธรรมะของพระพทุ ธเจานนั้ ซบั ซอน ไมเหน็ ไดโดยงาย ถาไมมีปญญาแลว เห็นไมไ ด เหมอื นเราไดไมม าทอ นหน่งึ เปนไมท อนใหญ
แตความเปน จรงิ ไมท อนนอ ยก็แทรกอยูใ นไมทอนใหญน้ันแหละ หรอื ไดไ มทอนนอ ยมา ไมท อ นใหญม ันกแ็ ทรกอยูในนั้นดว ย
โดยมากคนเราเห็นไมทอ นใหญ ก็เห็นแตวา มนั ใหญเ พราะคิดวานอ ยจะไมมี ไดไมทอนนอ ยกเ็ ห็นแตม ันนอ ย เพราะคิดวาใหญไ มม ี
มันไมมองไปขา งหนา ไมมองไปขา งหลังเม่อื สุขกน็ ึกวา จะมีแตส ขุ เมือ่ ทุกขก ็นกึ วา จะมแี ตทุกข ไมเ ห็นวาทุกขอยทู ีไ่ หน สุขก็อยทู นี่ ั่น
สขุ อยูท ไ่ี หน ทุกขก็อยทู ีน่ ั่น ไมเ หน็ วา ใหญอยูทีไ่ หน นอ ยก็อยูทีน่ ัน่ นอยอยูท ีไ่ หน ใหญกอ็ ยูทน่ี ั่น ใหคดิ เหน็ อยางนัน้
คนเราไมร ูจกั คิดยอ นหนา ยอ นหลงั เห็นแตห นา เดยี วไปเลยจงึ ไมจบสักที ทกุ อยางมนั ตองเหน็ สองหนา มีความสขุ เกดิ ข้ึนมาก็อยา ลืมทกุ ข
ทกุ ขเกดิ ข้ึนมา ก็อยา ลมื สุข มันเก่ียวเน่อื งซงึ่ กนั และกนั เชนวา อาหารน้นั เปนคุณแกมนุษยแ กส ัตวท ัง้ หลาย เปนประโยชนแ กรา งกาย
อยา งนเี้ ปน ตน แตความเปน จริงอาหารเปนโทษกม็ เี หมือนกัน มใิ ชม ันจะใหคุณแตอยางเดยี ว มันใหโทษดวยกม็ ี เม่อื ใดเราเห็นคุณ
กต็ องเห็นโทษของมันดวย เห็นโทษก็ตอ งเหน็ คณุ ดว ย เมอ่ื ใดมีความชังก็ใหนกึ ถึงความรกั คดิ ไดอยา งนี้จะทําใหจ ติ ใจของเรา ไมซวนเซไปมา
ไดอานหนงั สือของเซ็นที่พวกเซ็นเขาแตง พวกเซน็ เปนพวกมุงปฏบิ ัติ เขาไมใ ครส อนกนั เปนคาํ พดู นัก
เปน ตน วาพระเซน็ รูปหนง่ึ น่ังหาวนอนขณะภาวนา อาจารยก ็ถอื ไมม าฟาดเขา ท่ีกลางหลัง ลูกศษิ ยทถ่ี กู ตีกพ็ ูดวา "ขอบคุณครบั "
เซน็ เขาสอนกันอยางน้ัน สอนใหเรียนรดู ว ยการกระทํา
วนั หน่ึงพระเซน็ นง่ั ประชุมกนั ธงทปี่ กอยูขา งนอกก็โบกปลวิ อยไู ปมา พระเซน็ สององคกเ็ กิดปญหาข้ึนวา ทําไมธงจงึ โบกปลิวไปมา
องคห น่ึงวาเพราะมลี ม อีกองคก็วา เพราะมีธงตา งหาก ตางก็โตเ ถียงโดยยดึ ความคดิ เห็นของตน อาจารยก็เลยตัดสนิ วา มีความเห็นผิดดวยกนั ทง้ั คู
เพราะความจริงแลว ธงก็ไมมี ลมกไ็ มม ี
นตี่ อ งปฏบิ ัตใิ หไ ดอ ยางนี้ อยาใหม ลี ม อยาใหมธี ง ถา มธี งก็ตอ งมลี ม ถามีลมกต็ องมีธง มนั ก็เลยจบกันไมไดสักที นาเอาเร่ืองนี้มาพิจารณา
วางใหม นั วางจากลม วา งจากธง ความเกิดไมม ี ความแกไมม ี ความเจ็บตายไมมี มนั วาง ท่เี ราเขา ใจวาธงเขา ใจวา ลมน้นั
มันเปนแตค วามรูส กึ ท่ีสมมตขิ ึน้ มาเทานนั้ ความจรงิ มันไมม ี นาจะเอาไปฝก ใจของเรา
ในความวางน้นั มัจจุราชตามไมทนั ความเกิด ความแกค วามเจ็บ ความตาย ตามไมท ัน มนั หมดเรอ่ื ง
ถาไปเหน็ วา มีธงอยู ก็ตอ งมลี มมาพดั ถามลี มอยู กต็ องไปพดั ธง มนั ไมจ บสกั ที เพราะความเห็นผดิ แตถาเปน สมั มาทิฐิความเหน็ ชอบแลว
ลมกไ็ มม ี ธงกไ็ มม ี ก็เลยหมดหมดเรา หมดเขา หมดความเกิด ความแก ความเจ็บ ความตาย หมดทุกอยา ง
ถาเปนโลกยี วิสัย กส็ อนกนั ไมจบ ไมแ ลว สักที เราฟง ก็วา มันยาก เพราะมันเปน ปญญาโลกยี หากเราพิจารณาได เรากม็ ปี ญญามาก
พระพุทธเจาของเรากเ็ หมอื นกัน เมือ่ ตอนที่ทานครองโลกอยู ทานก็มปี ญ ญาโลกีย ตอ เม่อื ทานมปี ญญามากเขา ทา นจงึ ดบั โลกยี ได เปน โลกตุ ตระ
เปนผูเลิศในโลก ไมม ีใครเหมอื นทาน
ถา เราทําความคิดไวในใจใหไ ดด งั น้ี เห็นรปู กว็ ารปู ไมม ีไดย นิ เสียงก็วาเสยี งไมม ี ไดกล่ินกว็ ากลิน่ ไมมี ลิ้มรสกว็ ารสไมม ีมนั ก็หมด
ทเ่ี ปน รปู นน้ั กเ็ พียงความรูสึก ไดยนิ เสยี งกส็ ักแตว า ความรูสึกที่มกี ลน่ิ ก็สักแตวา มกี ลน่ิ
เปนเพียงความรสู ึกรสกเ็ ปน แตเพยี งความรูส ึกแลว กห็ ายไป ตามความเปน จรงิ กไ็ มม ี
รูป เสยี ง กล่นิ รส โผฏฐพั พะ ธรรมารมณ นเ้ี ปน โลกียถา เปนโลกตุ ตระแลว รูปไมม ี เสยี งไมม ี กลน่ิ ไมม ี รสไมมี โผฏฐัพพะไมมี
ธรรมารมณไ มม ี เปน แตค วามรูสึกเกิดขึ้นเทาน้นั แลวก็หายไปไมมอี ะไร เม่ือไมม อี ะไร ตัวเรากไ็ มมี ตวั เขากไ็ มมี
เม่อื ตวั เราไมมี ของเรากไ็ มม ี ตัวเขาไมม ี ของเขาไมม คี วามดบั ทกุ ขน ั้นเปนไปในทํานองน้ี คือไมม ีใครจะไปรับเอาทกุ ข แลว ใครจะเปน ทุกข
ไมมีใครไปรบั เอาสขุ แลว ใครจะเปน สขุ
นี่พอทกุ ขเขา กเ็ รียกวา เราทุกข เพราะเราไปเปน เจาของมนั ก็ทกุ ข สุขเกิดข้นึ มา เรากไ็ ปเปน เจาของสุข มันกส็ ขุ ก็เลยยดึ มัน่ ถือมนั่
อันนัน้ แหละ เปน ตวั เปน ตน เปน เรา เปน เขาขนึ้ มาเดี๋ยวนนั้ มันกเ็ ลยเปน เร่อื งเปน ราวไปอีก ไมจ บ
การทีพ่ วกเราทั้งหลายออกจากบา นมาสูปา กค็ ือมาสงบอารมณ หนีออกมาเพือ่ สู ไมใ ชหนมี าเพือ่ หนี ไมใ ชเพราะแพเราจึงมา
คนท่ีอยูในปา แลว กไ็ ปตดิ ปา คนอยูในเมือง แลวกไ็ ปติดเมอื งนัน้ เรียกวา คนหลงปา คนหลงเมือง
พระพุทธเจา ทา นวา ออกมาอยูป า เพอื่ กายวิเวก จติ วิเวกอุปธิวเิ วกตา งหาก ไมใ ชใ หมาตดิ ปา มาเพือ่ ฝก
เพอ่ื เพาะปญ ญามาเพาะใหเชอ้ื ปญ ญามนั มีข้นึ อยูใ นทวี่ นุ วาย เช้ือปญญามนั เกดิ ขน้ึ ยาก จงึ มาเพาะอยใู นปา เทา นนั้ เอง
เพาะเพ่อื จะกลับไปตอ สูในเมือง
เราหนรี ปู หนเี สียง หนีกลิน่ หนีรส หนีโผฏฐพั พะ หนธี รรมารมณ มาอยา งน้ี ไมใ ชหนีเพื่อจะแพส ่งิ ทั้งหลายเหลานีห้ นีมาเพอื่ ฝก
หรือมาเพาะใหป ญ ญาเกดิ แลวจะกลับไปรบกับมัน จะกลบั ไปตอ สูกบั มันดวยปญญา
ไมใชเขาไปอยใู นปา แลว ไมมรี ูป เสยี ง กล่ิน รส แลวกส็ บาย ไมใ ชอยา งน้นั แตตองการจะมาฝก เพาะเช้อื ปญ ญาใหเ กดิ ขน้ึ ในปา ในท่ีสงบ
เมอ่ื สงบแลว ปญญาจะเกดิ
เมื่อใครค รวญพิจารณาแลว ก็จะเห็นวา รูป เสียง กลิน่ รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณน้ัน เปน ปฏปิ กษตอ เรา ก็เพราะเราโงเ รายังไมม ปี ญญา
แตค วามเปนจริงแลว ส่งิ เหลานคี้ อื ครูสอนเราอยา งดี
เมื่ออยูในปาแลว อยา ไปยดึ ปา อยา มอี ปุ าทานในปา เรามานเี้ พื่อมาทาํ ใหป ญ ญาเกดิ ถา ยงั ไมมีปญ ญา กจ็ ะเห็นวา รูป เสียง กล่ิน รส โผฏฐัพพะ
ธรรมารมณ น้นั เปน ปฏิปก ษกบั เราเปนขา ศึกของเรา
ถา ปญ ญาเกิดข้ึนแลว รปู เสียง กล่นิ รส โผฏฐพั พะธรรมารมณ นั้น ไมใชข าศึก แตเ ปน สภาวะท่ใี หความรคู วามเหน็ แกเราอยางแจง ชัด
เมือ่ สามารถกลับความเห็นอยางนี้ แสดงวาปญญาไดเกิดขึ้นแลว
ยกตัวอยา งงายๆอยา งไกปา เราก็รูก นั ทกุ คนวา ไกป า นัน้ เปน อยา งไร สตั วในโลกน้ที จี่ ะกลัวมนุษยย งิ่ ไปกวา ไกปา น้นั ไมม แี ลว
เมอ่ื มาอยูใ นปา นคี้ รง้ั แรก กเ็ คยสอนไกป า เคยเฝาดูมัน แลวก็ไดความรจู ากไกป าหลายอยาง
คร้ังแรกมนั มาเพยี งตวั เดียว เดนิ ผานมา เรากเ็ ดินจงกรมอยใู นปา มนั จะเขา มาใกล กไ็ มมองมนั มนั จะทําอะไรกไ็ มม องมนั
ไมทาํ กิริยาอนั ใดกระทบกระท่งั มนั เลย ตอไปกล็ องหยุดมองดมู ัน พอสายตาเราไปถูกมันเขา มันว่ิงหนเี ลย
แตพอเราไมมองมนั ก็คุยเขยี่ อาหารกินตามเร่อื งของมัน แตพ อมองเมอื่ ไร กว็ งิ่ หนีเมื่อนน้ั
นานเขาสกั หนอ ย มนั คงเห็นความสงบของเรา จติ ใจของมนั กเ็ ลยวา ง แตพ อหวา นขา วใหเ ทา น้นั ไกมนั กห็ นเี ลย
กช็ า งมนั ก็หวา นทง้ิ ไวอ ยางนน้ั แหละ เดีย๋ วมันกก็ ลับมาทีต่ รงนน้ั อกี แตยังไมกลา กินขา วทหี่ วา นไวใ ห มนั ไมรูจ กั นึกวาเราจะไปฆา ไปแกงมนั
เรากไ็ มวา อะไร กินก็ชาง ไมก ินก็ชาง ไมส นใจกับมนั
ไมชา มนั กไ็ ปคยุ เขย่ี หากินตรงน้ัน มันคงเรมิ่ มคี วามรสู ึกของมันแลว วันตอมามันก็มาตรงน้ันอีก มันกไ็ ดกนิ ขา วอกี พอขา วหมด
ก็หวานไวใหอีก มนั กว็ ่งิ หนีอกี แตเมื่อทาํ ซํา้ อยอู ยา งนเี้ ร่ือยๆ ตอนหลงั มนั ก็เพียงแตเดนิ หนีไปไมไกล แลวกก็ ลับมากนิ ขาวทหี่ วานใหน ัน้
นก่ี ็ไดเ รอ่ื งแลว
ตอนแรก ไกมนั เห็นขาวสารเปน ขาศกึ เพราะมนั ไมร จู กั เพราะมนั ดไู มช ดั มนั จึงว่ิงหนเี ร่ือยไป ตอ มามนั เชื่องเขา จึงกลบั มาดตู ามความเปน จริง
กเ็ หน็ วา น่ขี า วสารนี่ ไมใชข าศึกไมม อี นั ตราย มันก็มากินจนตลอดทุกวนั นี้ นีเ่ รยี กวา เรากไ็ ดค วามรจู ากมนั
เราออกมาอยใู นปา กน็ ึกวา รปู เสียง กลน่ิ รส โผฏ-ฐพั พะ ธรรมารมณ ในบา นเปน ขา ศึกตอ เรา จรงิ อยู เมอ่ื เรายงั ไมร ู มนั กเ็ ปนขาศกึ จริงๆ
แตถาเรารตู ามความเปน จรงิ ของมนั แลว ก็เหมอื นไกรจู ักขา วสารวา เปนขาวสาร ไมใชขา ศกึ ขา ศกึ กห็ ายไป
เรากับรูป เสียง กล่นิ รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ กเ็ หมือนกันฉันนนั้ มนั ไมใ ชขาศึกของเราหรอก แตเ พราะเราคดิ ผิด เห็นผิด พจิ ารณาผิด
จงึ วา มันเปน ขาศกึ ถาพจิ ารณาถูกแลว ก็ไมใ ชข าศึก แตกลับเปนสิง่ ทีใ่ หความรู ใหว ชิ า ใหค วามฉลาดแกเ ราตา งหาก
แตถาไมร ู ก็คิดวาเปนขา ศึก เหมอื นกันกบั ไกท ี่เห็นขาวสารเปนขาศึกมนั นน่ั แหละ ถาเหน็ ขา วสารเปนขา วสารแลวขาศึกมนั ก็หายไป
พอเปนอยางนีก้ เ็ รียกวา ไกมนั เกดิ วปิ ส สนาแลว เพราะมนั รูตามเปนจรงิ มนั จึงเชือ่ ง ไมก ลวั ไมต ่นื เตน
เราน้ีกเ็ หมือนกันฉันนนั้ รปู เสียง กลิน่ รส โผฏฐัพพะธรรมารมณ เปนเครอื่ งใหเ ราตรัสรธู รรมะ เปนที่ใหขอคิดแกผ ูปฏิบัติทงั้ หลาย
ถา เราเหน็ ชดั ตามเปนจรงิ แลว กจ็ ะเปน อยางนนั้ ถาไมเ ห็นชดั กจ็ ะเปน ขา ศกึ ตอ เราตลอดไป แลว เรากจ็ ะหนีไปอยปู าเร่ือยๆ
อยานกึ วาเรามาอยปู า แลว ก็สบายแลว อยาคดิ อยา งนั้นอยาเอาอยา งน้นั อยาเอาความสงบแคนน้ั วา เราไมค อ ยไดเหน็ รูป ไมไ ดยินเสยี ง
ไมไ ดก ลน่ิ ไมไดรส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณแลว เรากอ็ ยูสบายแลว อยาคิดเพยี งแคนัน้ ใหคดิ วา เรามาเพือ่ เพาะเชอื้ ปญญาใหเ กิดขนึ้
เมอื่ มปี ญญารูตามเปน จริงแลว ก็ไมลมุ ๆดอนๆ ไมต า่ํ ๆสงู ๆ
พอถกู อารมณดกี เ็ ปน อยางหนึ่ง ถูกอารมณร า ยก็เปนอยา งหน่ึง ถูกอารมณทช่ี อบใจกเ็ ปน อยา งหนึ่ง ถูกอารมณทไี่ มชอบใจก็เปน อยางหนึง่
ถาเปนอยา งน้กี ็แสดงวามนั ยงั เปนขาศกึ อยู ถา หมดขาศกึ แลวมันจะเสมอกัน ไมลุมๆดอนๆ ไมต า่ํ ๆสูงๆ รูเรื่องของโลกวา มันอยางนัน้ เอง
เปน โลกธรรม โลกธรรมเลยเปลยี่ นเปน มรรค โลกธรรมมแี ปดอยาง มรรคก็มแี ปดอยา ง โลกธรรมอยทู ไี่ หน มรรคกอ็ ยูทน่ี ่นั ถารูแจงเมือ่ ใด
โลกธรรมเลยกลายเปนมรรคแปด ถายงั ไมรู มันกย็ งั เปนโลกธรรม
เมอื่ สมั มาทิฐเิ กิดขน้ึ ก็เปน ดงั นี้ มนั พน ทุกขอยูทต่ี รงนไี้ มใ ชพ น ทุกขโดยวิ่งไปท่ีตรงไหน ฉะนน้ั อยาพรวดพราด การภาวนาตองคอ ยๆทํา
การทาํ ความสงบตองคอยๆทาํ มนั จะสงบไปบางกเ็ อา มนั จะไมสงบไปบางก็เอาเรือ่ งจติ มันเปน อยางนน้ั เราก็อยูของเราไปเรื่อยๆ
บางคร้งั ปญ ญามนั ก็ไมเกดิ กเ็ คยเปน เหมือนกัน เมือ่ ไมม ปี ญญา จะไปคิดใหป ญ ญามันเกดิ มนั กไ็ มเกิด มันเฉยๆอยอู ยางน้นั กเ็ ลยมาคิดใหม
เราจะพิจารณาสง่ิ ทไ่ี มมี มันกไ็ มไ ด เมื่อไมม ีเร่อื งอะไรกไ็ มตองไปแกมนั ไมมปี ญ หาก็ไมต อ งไปแกมนั ไมต องไปคน มนั
อยไู ปเฉยๆธรรมดาๆอยางนน้ั แหละแตต อ งอยดู วยความมสี ติสมั ปชญั ญะ อยดู วยปญญา ไมใชอ ยเู พลินไปตามอารมณ
อยดู ว ยความระมัดระวงั ปฏิบัติของเราไปเรอ่ื ยๆ ถา มเี รื่องอะไรมา ก็พจิ ารณา ถาไมมกี แ็ ลว ไป
ไดไปเหน็ แมงมมุ เปน ตัวอยา ง แมงมุมทาํ รังของมันเหมอื นขา ย มันสานขายไปขึงไวต ามชอ งตางๆ
เราไปนงั่ พิจารณาดมู นั ทาํ ขายขึงไวเหมอื นจอหนงั เสร็จแลว มันก็เก็บตวั มันเองเงยี บอยตู รงกลางขาย ไมวิ่งไปไหน พอมแี มลงวนั หรอื แมลงอืน่ ๆ
บนิ ผานขายของมัน พอถูกขา ยเทานั้น ขา ยกส็ ะเทอื น พอขา ยสะเทือนปุบ มนั กว็ งิ่ ออกจากรังทนั ที ไปจับตัวแมลงไวเปน อาหาร
เสรจ็ แลว มันกเ็ กบ็ ไวท ีก่ ลางตาขา ยตามเดิม ไมว าจะมีผึ้งหรอื แมลงอนื่ ใดมาถูกขา ยของมนั พอขา ยสะเทอื น มนั ก็วิง่ ออกมาจับแมลงนัน้
แลว ก็กลบั ไปเกาะนิ่งอยทู ตี่ รงกลางขาย ไมใ หใ ครเหน็ ทุกทไี ป
พอไดเ ห็นแมงมมุ ทําอยา งน้นั เรากม็ ปี ญญาแลว อายตนะทง้ั หก คือ ตา หู จมูก ลน้ิ กาย ใจ น้ี ใจอยตู รงกลาง ตา หู จมกู ล้ิน กาย
แผพ ังพานออกไป อารมณนั้นเหมือนแมลงตา งๆพอรปู มากม็ าถึงตา เสียงมาก็มาถงึ หู กล่นิ มากม็ าถงึ จมูก รสมาก็มาถงึ ลน้ิ
โผฏฐพั พะมาก็มาถงึ กาย ใจเปนผรู จู กั มันก็สะเทอื นถงึ ใจ เทานกี้ ็เกิดปญญาแลว
เราจะอยดู ว ยการเก็บตวั ไว เหมือนแมงมุม ท่ีเก็บตวั ไวใ นขายของมัน ไมต อ งไปไหน พอแมลงตา งๆมนั ผานขา ย ก็ทาํ ใหส ะเทือนถึงตวั รูสึกได
ก็ออกไปจบั แมลงไวแลวกก็ ลบั ไปอยทู เี่ ดมิ
ไมแตกตางอะไรกบั ใจของเราเลย อยตู รงนี้ ใหอ ยดู ว ยสตสิ มั ปชญั ญะ อยดู ว ยความระมัดระวงั อยดู วยปญ ญา อยดู วยความคิดถกู ตอง
เราอยตู รงนี้ เม่อื ไมม ีอะไร เราก็อยเู ฉยๆแตไ มใชอยดู วยความไมป ระมาท
ถงึ เราจะไมเ ดินจงกรม ไมนัง่ สมาธิ ไมอ ะไรก็ชา งเถดิ แตเ ราอยูดวยสติสมั ปชญั ญะ อยูดว ยความระมดั ระวัง
อยดู วยปญญาไมใชอ ยูดวยความประมาท น่เี ปนส่ิงสําคญั ไมใ ชเราจะน่ังตลอดวนั ตลอดคืน เอาแตพ อกําลังของเรา
ตามสมควรแกร า งกายของเรา
แตเ ร่อื งจิตน้ี เปน ของสําคัญมาก ใหรูอายตนะวา มันสง สา ยเขา มาเปนอยา งไร ใหร จู ักส่งิ ทัง้ หลายเหลาน้ี เหมอื นแมงมุมทพี่ อขายสะเทือน
มนั ก็วงิ่ ไปจับเอาตวั แมลงไดท นั ที
ฉะนน้ั เมอ่ื อารมณม ากระทบอายตนะ มันกม็ าถึงจติ ทนั ที เม่ือไปจบั ผา นทกุ ข ก็ใหเ ห็นมันโดยความเปน อนิจจงั ทกุ ขงั อนัตตา
แลว จะเอามนั ไปไวท ี่ไหนละ อนจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตา เหลา นี้กเ็ อาไปไวเ ปนอาหารของจิตของเรา ถาทําไดอ ยา งนี้ มนั ก็หมดเทานั้นแหละ
จติ ทมี่ ีอนจิ จงั ทกุ ขัง อนัตตา เปนอาหาร เปน จิตท่ีกําหนดรู เมื่อรวู าอันน้นั เปนอนจิ จัง มันกไ็ มเท่ยี ง ทกุ ขงั เปนทุกข อนตั ตา กไ็ มใชเราแลว
ดมู นั ใหชัด มนั ไมเ ที่ยง มันเปน ทกุ ข มนั ไมเปนแกน สาร จะเอามันไปทาํ ไม มนั ไมใชตวั ไมใชตน ไมใชของเรา จะไปเอาอะไรกับมนั
มนั ก็หมดตรงน้ี
ดแู มงมมุ แลว ก็นอมเขา มาหาจิตของเรา มนั กเ็ หมอื นกนั เทานน้ั ถาจติ เหน็ อนจิ จงั ทุกขัง อนตั ตา มนั กว็ าง ไมเ ปน เจาของสุข
ไมเ ปน เจา ของทุกขอ กี แลว ถาเหน็ ชดั ไดอยางนีม้ ันกไ็ ดความเทานั้นแหละ จะทําอะไรๆอยกู ส็ บาย ไมตอ งการอะไรอีกแลว
มีแตการภาวนาจะเจรญิ ยิ่งขึ้นเทา นน้ั
ถาทาํ อยา งนอี้ ยดู ว ยความระมัดระวงั กเ็ ปนการทเ่ี ราจะพนจากวัฏสงสารได ทีเ่ รายงั ไมพ นจากวัฏสงสาร ก็เพราะยงั ปรารถนาอะไรๆอยูท้ังนัน้
การไมทาํ ผิด ไมทาํ บาปนน้ั มนั อยูใ นระดับศลี ธรรม เวลาสวดมนตกว็ า ขออยาใหพลัดพรากจากของท่ีรักท่ชี อบใจ
อยา งนมี้ นั เปน ธรรมของเด็กนอย เปนธรรมของคนทีย่ ังปลอยอะไรไมได นค่ี ือความปรารถนาของคน ปรารถนาใหอ ายุยืน
ปรารถนาไมอ ยากตาย ปรารถนาไมอ ยากเปน โรค ปรารถนาไมอยากอยา งนัน้ อยา งนี้ นีแ่ หละความปรารถนาของคน
"ยมั ปจฉงั นะ ละภะติ ตัมป ทกุ ขัง" ความปรารถนาส่งิ ใดไมไดส่งิ นัน้ นัน่ ก็เปนทกุ ข น่แี หละมันสบั หวั เขา ไปอกี มนั เปนเรื่องปรารถนาทัง้ นน้ั
ไมว าใครก็ปรารถนาอยา งน้ันทกุ คน ไมเ หน็ มีใครอยากหมด อยากจนจริงๆสักคน
การปฏบิ ัตธิ รรมเปนสิ่งละเอยี ด ผูมีกริ ยิ านุม นวลสาํ รวมปฏบิ ตั ิไมเปลีย่ นแปลง สมาํ่ เสมออยเู รื่อย นนั่ แหละจึงจะรจู ัก
มันจะเกิดอะไรก็ชางมันเถิด ขอแตใ หม นั่ คงแนวแนเ อาไวอยา ซวนเซ หวนั่ ไหว
การฝกใจ
บทนํา
ชวี ติ คนในสมัยของทา นอาจารยมัน่ และทานอาจารยเสารน ัน้ สบายกวาในสมัยนี้มาก ไมมีความวุนวายมากเหมือนอยา งทกุ วนั น
ส้ี มยั โนนพระไมตองมายุง เกี่ยวกบั พิธรี ตี องตางๆ เหมือนอยา งเดยี๋ วนี้ทานอาศยั อยูตามปา ไมไดอ ยูเปนที่หรอก ธุดงคไปโนน ธุดงคไ ปนีเ่ รอ่ื ยไป
ทานใชเ วลาของทานปฏบิ ตั ภิ าวนาอยา งเตม็ ท่ี
สมัยโนน พระทานไมไ ดมขี า วของฟุมเฟอยมากมายอยางที่มกี ันทกุ วนั นี้หรอก เพราะมันยงั ไมมอี ะไรมากอยา งเดย๋ี วน้ี กระบอกน้ํากท็ ําเอา
กระโถนก็ทาํ เอา ทําเอาจากไมไ ผน น่ั แหละ
ความสันโดษของพระปา
ชาวบานกน็ านๆจึงจะมาหาสกั ที ความจรงิ พระทานก็ไมไดตอ งการอะไร ทา นสันโดษกบั สิง่ ที่ทา นมี ทา นอยไู ป
ปฏิบตั ภิ าวนาไปหายใจเปนกรรมฐานอยนู ัน่ แหละ
พระทานก็ไดร ับความลําบากมากอยูเหมอื นกัน ในการทอ่ี ยตู ามปา ตามเขาอยา งนนั้ ถา องคใดเปน ไขป า ไขมาลาเรยี
ไปถามหาขอยาอาจารยก ็จะบอกวา "ไมต อ งฉันยาหรอก เรงปฏิบัติภาวนาเขาเถอะ"
ความจริงสมัยนัน้ กไ็ มมหี ยูกยามากอยา งสมัยน้ี มแี ตสมุนไพรรากไมท ่ขี นึ้ อยตู ามปา พระตองอยอู ยางอดอยางทนเหลอื หลาย
ในสมัยนัน้ เจบ็ ไขเ ล็กๆนอ ยๆ ทา นกป็ ลอ ยมนั ไป เด๋ียวนีส้ ิเจ็บปวยอะไรนิดหนอ ยกว็ ิง่ ไปโรงพยาบาลแลว
บางทกี ต็ องเดินบณิ ฑบาตตง้ั หา กิโล พอฟา สางกต็ องรบี ออกจากวัดแลว กวา จะกลับก็โนน สิบโมงสิบเอ็ดโมงโนน
แลว กไ็ มใชบิณฑบาตไดอะไรมากมาย บางทีกไ็ ดขา วเหนยี วสักกอน เกลอื สกั หนอย พรกิ สักนิด เทานัน้ เอง
ไดอะไรมาฉนั กับขา วหรอื ไมกช็ างทา นไมค ิด เพราะมนั เปนอยา งนัน้ เอง ไมม อี งคใดกลาบนหิวหรอื เพลยี ทานไมบ น เฝาแตร ะมัดระวังตน
ทานปฏบิ ตั ิอยูในปาอยางอดทน อนั ตรายก็มีรอบดาน สตั วดรุ า ยกม็ ีอยหู ลายในปา นัน้ ความยากลาํ บากกาย
ลาํ บากใจในการอยูธดุ งคก ม็ ีอยหู ลายแทๆ แตท า นกม็ คี วามอดความทนเปนเลิศ เพราะส่งิ แวดลอ มสมยั น้นั บังคบั ใหเ ปนอยางนนั้
การภาวนาของทานนักปฏิบัตสิ มยั น้ี
มาสมยั น้ันสง่ิ แวดลอมบังคับเราไปในทางตรงขา มกับสมยั โนน ไปไหนเรากเ็ ดินไป ตอ มาก็นงั่ เกวยี นแลว ก็นงั่ รถยนต
แตความทะยานอยากมันก็เพิม่ ข้นึ เร่ือยๆ เดย๋ี วนีถ้ า ไมใชร ถปรับอากาศ กจ็ ะไมย อมน่งั ดจู ะไปเอาไมไ ดเทยี วแหละ ถา รถนน้ั ไมป รับอากาศ
คณุ ธรรมในเร่อื งความอดทนมนั คอ ยออ นลงๆ การปฏบิ ัตภิ าวนาก็ยอหยอนลงไปมากเด๋ียวนเี้ ราจงึ เหน็ นักปฏิบัติภาวนาชอบทาํ ตามความเห็น
ความตองการของตวั เอง
เม่ือผูเฒา ผแู กพ ดู ถึงเรื่องเกาๆแตค รง้ั กอน คนเดีย๋ วนฟี้ ง เหมือนวาเปนนิทานนยิ าย ฟงไปเฉยๆแตไ มเ ขาใจเลยแหละ เพราะมนั เขา ไมถ ึง
พระภกิ ษทุ ี่บวชในสมัยกอนน้ันจะตองอยูกบั พระอปุ ช ฌายอ ยางนอ ยหาป น่ีเปนระเบียบท่ีถือกนั มา และตองพยายามหลกี เลย่ี งการพูดคุย
อยา ปลอ ยตวั เท่ียวพูดคุยมากเกินไป อยา อา นหนังสือ แตใ หอานใจของตัวเอง
พจิ ารณาอา นใจและดใู จตวั เอง
ดูวดั หนองปาพงเปน ตวั อยา ง ทุกวนั นี้มพี วกทจ่ี บจากมหาวิทยาลัยมาบวชกันมาก ตอ งคอยหามไมใหเ อาเวลาไปอา นหนงั สอื ธรรมะ
เพราะคนพวกนี้ชอบอานหนงั สอื แลว ก็ไดอานหนงั สือมามากแลว แตโอกาสท่ีจะอานใจของตวั เองนะหายากมาก
ฉะนัน้ ระหวางท่มี าบวชสามเดือนน้ี ก็ตอ งขอใหปดหนงั สอื ปดตํารับตาํ ราตางๆใหหมดในระหวางที่บวชนี้นะ
เปนโอกาสวิเศษแลว ท่ีจะไดอ า นใจของตัวเอง
การตามดูใจของตวั เองน่ี นา สนใจมาก ใจท่ยี ังไมไ ดฝก มันกค็ อยว่ิงไปตามนสิ ัยเคยชินที่ยังไมไดฝ ก ไมไ ดอบรม
มันเตน คกึ คกั ไปตามเรื่องตามราว ตามความคะนอง เพราะมนั ยงั ไมเคยถกู ฝก ดงั น้ันจงฝก ใจของตวั เอง
การปฏิบัติภาวนาในทางพทุ ธศาสนาก็คอื การปฏิบัตเิ รื่องใจ ฝก จติ ฝกใจของตัว ฝก อบรมจติ ของตวั เองนแี่ หละเร่ืองน้ีสาํ คญั มาก
การฝกใจเปน หลักสําคัญ พุทธศาสนาเปน ศาสนาของใจ มนั มเี ทาน้ี ผทู ฝี่ ก ปฏิบัติทางจิต คือผปู ฏิบตั ิธรรมในทางพุทธศาสนา
การฝก ใจ
ใจของเรานี่มันอยใู นกรง ยิ่งกวา นน้ั มนั ยงั มเี สอื ทีก่ ําลงั อาละวาดอยใู นกรงนน้ั ดว ย ใจทีม่ ันเอาแตใจของเราน้ี
ถา หากมันไมไดอะไรตามท่ีมันตอ งการแลว มนั ก็อาละวาด เราจะตอ งอบรมใจดวยการปฏิบตั ภิ าวนา ดว ยสมาธิ นแี้ หละทีเ่ ราเรียกวา
"การฝกใจ"
พื้นฐานของการปฏบิ ตั ิธรรม
ในเบ้อื งตน ของการฝก ปฏิบตั ธิ รรม จะตองมศี ีลเปน พนื้ ฐานหรอื รากฐาน ศลี นเ้ี ปนสงิ่ อบรมกาย วาจา
ซง่ึ บางทีก็จะเกิดการวนุ วายขึ้นในใจเหมือนกนั เม่ือเราพยายามจะบงั คบั ใจไมใ หท าํ ตามความอยาก
กินนอ ย นอนนอ ย พดู นอย นิสยั ความเคยชินอยา งโลกๆ ลดมันลง อยายอมตามความอยาก อยา ยอมตามความตดิ ของตน หยดุ เปน ทาสมนั เสยี
พยายามตอ สเู อาชนะอวชิ ชาใหไดด ว ยการบังคบั ตวั เองเสมอ นเ้ี รยี กวาศลี
เม่อื พยายามบังคบั จติ ของตวั เองนน้ั จติ มันก็จะดิ้นรนตอสูมันจะรสู กึ ถูกจาํ กัด ถูกขม ขี่ เม่ือมันไมไ ดทําตามที่มันอยาก
มนั กจ็ ะกระวนกระวายด้ินรน ทีนี้เหน็ ทุกขชดั ละ
เห็นทุกขทําใหเ กิดปญญา
"ทุกข" เปน ขอแรกของอรยิ สจั จ คนท้ังหลายพากันเกลียดกลวั ทุกข อยากหนที ุกข ไมอยากใหมที กุ ขเ ลย ความจรงิ
ทกุ ขนแี่ หละจะทาํ ใหเ ราฉลาดขึ้นละ ทําใหเ กิดปญญา ทาํ ใหเรารูจกั พิจารณาทุกข สขุ น่นั สิมนั จะปดหูปด ตาเรา มนั จะทําใหไ มร ูจกั อด
ไมร ูจกั ทน ความสขุ สบายทง้ั หลายจะทาํ ใหเ ราประมาท
กิเลสสองตัวนีท้ ุกขเ ห็นไดงา ย ดงั นน้ั เราจึงตองเอาทุกขน แี่ หละมาพจิ ารณา แลวพยายามทาํ ความดับทุกขใหได
แตก อ นจะปฏิบัตภิ าวนาก็ตอ งรจู กั เสยี กอนวา ทกุ ขคืออะไร
ตอนแรกเราจะตองฝก ใจของเราอยางนี้ เราอาจยังไมเ ขาใจวา มันเปน อยางไร ทาํ ไป ทาํ ไปกอ น
ฉะนน้ั เม่อื ครอู าจารยบอกใหท ําอยา งใดกท็ ําตามไปกอน แลวกจ็ ะคอ ยมคี วามอดทนอดกล้นั ขึน้ เองไมวา จะเปนอยางไรใหอ ดทนอดกลั้นไวก อน
เพราะมนั เปนอยางน้นั เองอยา งเชนเมอื่ เรม่ิ ฝกนง่ั สมาธิ เราก็ตอ งการความสงบทเี ดยี วแตกจ็ ะไมไ ดความสงบ เพราะมนั ยังไมเ คยทําสมาธิมากอ น
ใจกบ็ อกวา"จะนง่ั อยา งนแี้ หละจนกวา จะไดความสงบ"
อยา ทอดทิง้ จิต
แตพอความสงบไมเ กดิ กเ็ ปน ทุกข ก็เลยลุกขึ้น วงิ่ หนเี ลย การปฏิบตั ิอยางน้ีไมเปน "การพัฒนาจติ " แตม นั เปน การ
"ทอดทงิ้ จติ "ไมค วรจะปลอยใจไปตามอารมณ ควรท่จี ะฝก ฝนอบรมตนเองตามคําสง่ั สอนของพระพุทธเจา ขีเ้ กียจกช็ าง ขยันกช็ า ง
ใหปฏบิ ตั ิมันไปเรอื่ ยๆ ลองคิดดูซิ ทาํ อยางนจี้ ะไมด กี วาหรือ การปลอ ยใจตามอารมณนั้นจะไมม วี นั ถงึ ธรรมของพระพทุ ธเจา
เมือ่ เราปฏิบัติธรรม ไมวา อารมณใดจะเกดิ ขนึ้ กช็ า งมัน แตใ หปฏบิ ัติไปเร่ือยๆ ปฏิบตั ใิ หสมา่ํ เสมอ
การตามใจตัวเองไมใ ชแนวทางของพระพุทธเจา ถาเราปฏบิ ัตธิ รรมตามความคดิ ความเหน็ ของเรา เราจะไมม วี ันรูแจง วาอันใดผดิ อันใดถูก
จะไมม วี นั รูจ ักใจของตวั เองและไมม ีวนั รจู ักตวั เอง ดงั น้นั ถาปฏบิ ัติธรรมตามแนวทางของตนเองแลวยอมเปน การเสยี เวลามากทีส่ ดุ
แตก ารปฏบิ ตั ิตามแนวทางของพระพุทธเจาแลว ยอ มเปนหนทางตรงทส่ี ุด
การพัฒนาจิต
ขอใหจ าํ ไววา ถงึ จะขเ้ี กียจก็ใหพยายามปฏิบตั ไิ ป ขยันก็ใหป ฏบิ ัติไป ทุกเวลาและทกุ หนทุกแหง น่จี ึงจะเรยี กวา "การพัฒนาจิต"
ถาหากปฏบิ ัตติ ามความคดิ ความเห็นของตนเองแลว กจ็ ะเกดิ ความคดิ ความสงสยั ไปมากมาย มนั จะพาใหคดิ ไปวา "เราไมม ีบญุ
เราไมมวี าสนาปฏบิ ตั ธิ รรมก็นานนักหนาแลว ยงั ไมร ู ยงั ไมเ หน็ ธรรมเลยสกั ที" การปฏิบัติธรรมอยา งน้ีไมเ รียกวาเปน "การพฒั นาจติ "
แตเ ปน "การพฒั นาความหายนะของจติ "
ถา เมื่อใดที่ปฏิบัตธิ รรมไปแลว มคี วามรสู กึ อยา งนีว้ า ยงั ไมร อู ะไร ยงั ไมเหน็ อะไร ยงั ไมม อี ะไรใหมๆเกิดขน้ึ บา งเลย น่กี เ็ พราะที่ปฏบิ ตั มิ ามนั ผิด
ไมไดป ฏิบัตติ ามคาํ สอนของพระพุทธเจา
สิน้ สงสัยดวยการปฏิบตั ิท่ีถูกตอง
พระพุทธเจา ทรงสอนวา "อานนท ปฏบิ ตั ใิ หม าก ทําใหมากแลว จะสน้ิ สงสยั " ความสงสยั จะไมมีวนั สิ้นไปได ดว ยการคิด ดวยทฤษฎี
ดวยการคาดคะเน หรอื ดว ยการถกเถยี งกนั หรือจะอยเู ฉยๆไมปฏบิ ตั ิภาวนาเลย ความสงสัยก็หายไปไมไดอีกเหมอื นกนั
กเิ ลสจะหายสนิ้ ไปไดก็ดวยการพฒั นาทางจติ ซึง่ จะเกิดไดก ็ดวยการปฏิบตั ิที่ถกู ตองเทาน้ัน
การปฏิบัติทางจิตที่พระพุทธเจา ทรงสอนน้ัน ตรงกันขา มกบั หนทางของโลกอยา งสิน้ เชิง คําสัง่ สอนของพระองคม าจากพระทยั อนั บรสิ ทุ ธิ์
ทไ่ี มข อ งเก่ยี วกับกิเลสอาสวะทงั้ หลาย นี่คอื แนวทางของพระพุทธเจาและสาวกของพระองค
เม่ือเราปฏิบตั ิธรรม เราตองทาํ ใจของเราใหเปนธรรม ไมใ ชเ อาธรรมะมาตามใจเรา ถาปฏิบตั อิ ยา งนี้ ทุกขก ็จะเกดิ ขน้ึ
แตไ มมีใครสกั คนหรอกทีจ่ ะพนจากทกุ ขไปได พอเรมิ่ ปฏบิ ัติ ทกุ ขก อ็ ยตู รงนั้นแลว หนา ที่ของผปู ฏบิ ตั นิ ัน้ จะตอ งมสี ติ สํารวม และสนั โดษ
สิง่ เหลา นีจ้ ะทําใหเ ราหยุด คือเลิกนสิ ยั ความเคยชนิ ท่ีเคยทาํ มาแตเ กากอ นทาํ ไมถงึ ตอ งทาํ อยา งนี้ ถา ไมทําอยางน้ี
ไมฝ ก ฝนอบรมใจตนเองแลวมันกจ็ ะคกึ คะนอง วุน วายไปตามธรรมชาตขิ องมัน
ธรรมชาตขิ องจิตฝก ไดเสมอ
ธรรมชาติของใจนมี้ นั ฝก กนั ได เอามาใชป ระโยชนได เปรยี บไดก บั ตนไมในปา ถา เราปลอ ยท้ิงไวต ามธรรมชาตขิ องมนั
เรากจ็ ะเอามนั มาสรา งบา นไมได จะเอามาทําแผน กระดานกไ็ มไ ด หรอื ทาํ อะไรอยา งอื่นทีจ่ ะใชส รางบานกไ็ มได
แตถ าชา งไมผ านมาตองการไมไ ปสรา งบา น เขาก็จะมองหาตน ไมใ นปา นแ้ี ละตัดตน ไมใ นปา นเี้ อาไปใชป ระโยชน
ไมช า เขาก็สรา งบา นเสรจ็ เรียบรอ ย
การปฏบิ ัตภิ าวนาและการพฒั นาจติ กค็ ลายกันอยา งนี้ ก็ตองเอาใจทยี่ งั ไมไ ดฝก เหมอื นไมใ นปานี่แหละ มาฝก มนั จนมนั ละเอียดประณตี ขึน้ รูขน้ึ
และวอ งไวขนึ้ ทุกอยางมนั เปน ไปตามภาวะธรรมชาตขิ องมัน เม่อื เรารูจกั ธรรมชาติ เขาใจธรรมชาติ เราก็เปลยี่ นมันได ทงิ้ มนั ก็ได
ปลอยมนั ไปกไ็ ด แลวเราก็จะไมทุกขอกี ตอ ไป
จติ ยึดม่ันมันก็สบั สนวนุ วาย
ธรรมชาตขิ องใจเรามนั กอ็ ยางน้ัน เม่ือใดทเี่ กาะเกยี่ วผูกพนั ยดึ มน่ั ถือม่นั ก็จะเกดิ ความวนุ วายสับสน
เด๋ยี วมันกจ็ ะวงิ่ วุนไปโนน ไปน่พี อมันวุนวายสับสนมากๆเขา เรากค็ ิดวา คงจะฝกอบรมมันไมไ ดแ ลว แลวกเ็ ปนทุกข
นก่ี เ็ พราะไมเ ขา ใจวา มันตอ งเปน ของมนั อยา งน้ันเองความคดิ ความรูสกึ มันจะวิ่งไปวิ่งมาอยูอยา งนี้ แมเราจะพยายามฝก ปฏบิ ัติ
พยายามใหมันสงบ มันก็เปนของมนั อยอู ยางน้นั มันจะเปน อยางอื่นไปไมไ ด
เม่อื เราตดิ ตามพจิ ารณาดธู รรมชาตขิ องใจอยูบอ ยๆกจ็ ะคอ ยๆเขาใจวา ธรรมชาติของใจมนั เปน ของมนั อยูอยา งน้นั มนั จะเปนอยา งอนื่ ไปไมไ ด
ปลอ ยวางไดจติ ใจกส็ งบ
ถาเราเหน็ อนั นช้ี ัด เราก็จะทิ้งความคดิ ความรูส กึ อยางน้ันได ทีน้กี ็ไมต องคิดน่นั คิดนีอ่ ีก คอยแตบ อกตวั เองไวอ ยา งเดียววา
"มันเปน ของมันอยางนั้นเอง" พอเขา ใจไดชัด เหน็ แจง อยางนแ้ี ลว ทนี ้ีกจ็ ะปลอ ยอะไรๆไดท ง้ั หมด กไ็ มใ ชวาความคิดความรสู กึ มันจะหายไป
มนั ก็ยงั อยูน น่ั แหละ แตม นั หมดอาํ นาจเสยี แลว
เปรียบกเ็ หมอื นกบั เด็กท่ีชอบซน เลนสนุก ทาํ ใหร าํ คาญ จนเราตองดเุ อา ตีเอา แตเ รากต็ อ งเขาใจวา ธรรมชาติของเด็กกเ็ ปนอยา งนนั้ เอง
พอรูอยางนี้ เราก็ปลอ ยใหเด็กเลน ไปตามเรอ่ื งของเขาความเดือดรอ นรําคาญของเราก็หมดไป มันหมดไปไดอยา งไร
ก็เพราะเรายอมรับธรรมชาตขิ องเด็ก ความรสู ึกของเราเปล่ยี น และเรายอมรบั ธรรมชาติของสิ่งทัง้ หลาย เราปลอ ยวาง
จติ ของเราก็มีความสงบเยือกเย็น นีเ่ รามคี วามเขา ใจอนั ถูกตอ งแลว เปน สัมมาทฏิ ฐิ
ถายงั ไมมคี วามเขาใจทถ่ี กู ตอง ยังเปนมจิ ฉาทิฏฐอิ ยู แมจ ะไปอยูในถาํ้ ลึกมืดสกั เทา ใด ใจมันกย็ ังยุง เหยงิ อยู ใจจะสงบไดกด็ วยความเห็นที่ถูกตอ ง
เปน สมั มาทฏิ ฐเิ ทา น้นั ทีน้กี ห็ มดปญหาจะตอ งแกเพราะไมมีปญ หาอะไรเกดิ ข้ึน น่ีมันเปน อยา งนี้ เราไมช อบมัน เราปลอยวางมนั
เม่ือใดที่มีความรูสกึ เกาะเกยี่ วยึดม่นั ถอื ม่ันเกดิ ข้ึน เราปลอ ยวางทนั ที เพราะรูแ ลว วา ความรสู กึ อยางนนั้ มนั ไมไ ดเ กดิ ขึน้ มาเพ่ือจะกวนเรา
แมบางทีเราอาจจะคดิ อยา งน้ัน แตค วามเปนจริงความรูส ึกนนั้ เปนของมันอยา งนั้นเอง
ถา เราปลอยวางมนั เสีย รปู ก็เปนสักแตวารปู เสียงก็สักแตวา เสียง กลิ่นก็สกั แตว า กลนิ่ รสก็สักแตวา รส โผฏฐัพพะก็สกั แตวา โผฏฐพั พะ
ธรรมารมณก ็สกั แตวาธรรมารมณ เปรียบเหมอื นนาํ้ มนั กบั น้าํ ทา ถาเราเอาทงั้ สองอยา งน้เี ทใสข วดเดยี วกัน มนั กไ็ มป นกัน
เพราะธรรมชาตมิ ันตา งกนั เหมือนกบั ท่คี นฉลาดกต็ างกบั คนโง พระพุทธเจา ก็ทรงอยกู ับรปู เสียง กลน่ิ รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ
แตพระองคทรงเปนพระอรหันต พระองคจงึ ทรงเหน็ สงิ่ เหลาน้ีเปน เพียงส่งิ "สกั วา " เทานัน้
ใจก็สกั วาใจ ความคิดก็สักวา ความคดิ
พระองคท รงปลอยวางมนั ไปเรอื่ ยๆ ตง้ั แตท รงเขาพระทัยแลววา ใจกส็ กั วา ใจ ความคดิ กส็ กั วา ความคิด พระองคไ มทรงเอามนั มาปนกัน
ใจกส็ กั วา ใจ ความคิดความรสู กึ กส็ ักวา ความคดิ ความรสู ึกปลอยใหมันปนเพียงสง่ิ "สักวา " รูปกส็ ักวา รปู
เสยี งก็สักวาเสยี งความคิดกส็ กั วาความคดิ จะตองไปยดึ มน่ั ถอื มน่ั ทําไม ถา คิดไดร สู กึ ไดอ ยางนี้เรากจ็ ะแยกกนั ได ความคิดความรูสกึ (อารมณ)
อยูทางหน่ึงใจก็อยูอ กี ทางหนงึ่ เหมอื นกับนา้ํ มนั กบั นํ้าทา อยูในขวดเดียวกนั แตมนั แยกกนั อยู
พระพุทธเจาและพระอรหันตสาวกของพระองค ก็อยูรวมกบั ปุถชุ นคนธรรมดาทไ่ี มไดรธู รรม ทา นไมไ ดเพียงอยูรว มเทาน้ัน
แตท า นยงั สอนคนเหลานั้น ทง้ั คนฉลาด คนโง ใหรจู ักวธิ ีทจี่ ะศกึ ษาธรรมปฏิบตั ิธรรมและรูแจงในธรรม
ทานสอนไดเพราะทา นไดปฏิบัติมาเองทานรวู ามันเปนเรอื่ งของใจเทานั้น เหมือนอยา งท่ไี ดพดู มานีแ่ หละ
ดังน้ันการปฏิบัติภาวนานี้อยาไปสงสยั มันเลย เราหนจี ากบานมาบวช ไมใ ชเพอื่ หนีมาอยกู ับความหลงหรอื อยกู บั ความขลาดความกลวั
แตหนมี าเพ่ือฝกอบรมตัวเอง เพ่ือเปน นายตวั เอง ชนะตวั เองถา เราเขา ใจไดอ ยางน้ี เราก็จะปฏบิ ตั ิธรรมได ธรรมะจะแจม ชัดขึน้ ในใจของเรา
ธรรมะมีอยทู ุกหนทกุ แหง
ผูท ีเ่ ขา ใจธรรมะก็เขาใจตัวเอง ใครเขา ใจตวั เองก็เขา ใจธรรมะทกุ วนั นก้ี ็เหลือแตเปลือกของธรรมะเทา นัน้
ความเปน จริงแลว ธรรมะมีอยูทกุ หนทุกแหง ไมจ าํ เปนท่จี ะตอ งหนไี ปไหน ถาจะหนีกใ็ หห นีดวยความฉลาด ดวยปญ ญา
หนีดวยความชาํ นชิ าํ นาญ อยา หนดี วยความโง ถาเราตอ งการความสงบกใ็ หสงบดวยความฉลาด ดว ยปญ ญาเทานนั้ กพ็ อ
เมื่อใดท่ีเราเห็นธรรมะ นัน่ กเ็ ปนสัมมาปฏิปทาแลว กิเลสกส็ กั แตวากเิ ลส ใจก็สักแตวา ใจ เม่อื ใดที่เราท้ิงได
ปลอยวางไดแ ยกไดเมื่อน้นั มนั ก็เปนเพียงส่ิงสกั วา เปนเพียงอยา งนีอ้ ยา งนนั้ สาํ หรับเราเทานนั้ เอง เมอ่ื เราเห็นถูกแลว กจ็ ะมแี ตความปลอดโปรง
ความเปนอิสระตลอดเวลา
พระพุทธองคตรัสวา "ดูกอนภกิ ษทุ ั้งหลายทานอยายึดมนั่ ในธรรม" ธรรมะคืออะไร คอื ทกุ สิง่ ทกุ อยา ง
ไมมีอะไรทไ่ี มใชธรรมะความรักความเกลยี ดกเ็ ปนธรรมะ ความสขุ ความทกุ ขก เ็ ปน ธรรมะความชอบความไมช อบก็เปนธรรมะ
ไมว า จะเปน ส่งิ เลก็ นอยแคไหนกเ็ ปนธรรมะ
ปฏิบตั ิเพื่อละ อยาปฏิบัติเพอื่ สะสม
เมอ่ื เราปฏิบัตธิ รรมเราเขาใจอันน้ี เรากป็ ลอยวางได ดงั นน้ั กต็ รงกับคําสอนของพระพทุ ธเจา ทว่ี า ไมใ หยึดมัน่ ถอื มั่นในสง่ิ ใด
ทกุ อยางทีเ่ กดิ ขนึ้ ในใจเรา ในจิตเรา ในรางกายของเรา มีแตความแปรเปลีย่ นไปทง้ั นัน้
พระพทุ ธองคจ งึ ทรงสอนไมใหยดึ มนั่ ถือม่นั พระองคทรงสอนพระสาวกของพระองคใหปฏิบตั เิ พ่ือละ เพือ่ ถอนไมใ หป ฏบิ ตั ิเพอ่ื สะสม
ถาเราทําตามคาํ สอนของพระองค เรากถ็ ูกเทา นัน้ แหละ เราอยใู นทางทถ่ี ูกแลว แตบางทกี ็ยงั มคี วามวุนวายเหมือนกนั
ไมใชคาํ สอนของพระองคท ําใหวนุ วาย กิเลสของเรานน้ั แหละทีม่ นั ทําใหว นุ วาย มันมาบังคับความเขา ใจอนั ถกู ตองเสีย ก็เลยทาํ ใหเราวุนวาย
ความจริงการปฏบิ ตั ติ ามคําสอนของพระพุทธเจา นน้ั ไมม อี ะไรลาํ บาก ไมมอี ะไรยงุ ยาก
การปฏิบัตติ ามทางของพระองคไ มม ีทกุ ขเพราะทางของพระองคคือ "ปลอ ยวาง" ใหห มดทุกสง่ิ ทุกอยาง
จุดหมายสูงสุดของการปฏบิ ตั ภิ าวนานั้น ทานทรงสอนให"ปลอ ยวาง" อยาแบกถืออะไรใหม ันหนัก ทิ้งมันเสีย ความดกี ็ทง้ิ ความถกู ตองกท็ ิง้
คาํ วาทงิ้ หรอื ปลอยวางไมใ ชไมต อ งปฏิบัติ แตห มายความวา ใหปฏิบตั ิ "การละ" "การปลอยวาง" นน่ั แหละ
จงอยูกับปจจบุ นั อยาจมอยกู บั อดตี
พระองคทรงสอนใหพจิ ารณาธรรมทั้งหลาย ท่กี ายทใ่ี จของเราธรรมะไมไ ดอยไู กลท่ไี หน อยูทต่ี รงน้ี
อยูท่ีกายท่ีใจของเรานแี่ หละดังน้ันนักปฏบิ ัตติ องปฏบิ ตั อิ ยา งเขมแข็ง เอาจรงิ เอาจงั ใหใ จมนั ผอ งใสข้ึน สวา งขนึ้ ใหม นั เปน ใจอิสระ
ทําความดีอะไรแลวก็ปลอยมันไป อยา ไปยึดไว หรอื งดเวน การทาํ ชว่ั ไดแ ลว กป็ ลอยมันไป พระพุทธเจา ทรงสอนใหอ ยกู ับปจจุบันนี้
ท่ีนแี้ ละเดย๋ี วนี้ ไมใ ชอ ยกู ับอดีตหรืออนาคต
คําสอนทีเ่ ขา ใจผิดกันมาก แลวก็ถกเถียงกนั มากทีส่ ดุ ตามความคิดเหน็ ของตนก็คอื เร่ือง "การปลอ ยวาง" หรือ "การทํางานดวยจติ วาง"
นแ่ี หละ การพดู อยางน้ีเรียกวา พูด "ภาษาธรรม" เมื่อเอามาคดิ เปน ภาษาโลกมนั กเ็ ลยยงุ แลว ก็ตีความหมายวา อยางน้ัน
ทาํ อะไรก็ไดต ามใจชอบละซิ
ความจริงมันหมายความอยางน้ี อปุ มาเหมือนวา เราแบกกอนหินหนักอยกู อ นหนงึ่ แบกไปก็รสู ึกหนัก
แตก ็ไมร จู ะทาํ อยา งไรกบั มันก็ไดแ ตแ บกอยอู ยา งน้นั แหละ พอมีใครบอกวา ใหโ ยนมนั ท้ิงเสยี ซิ กม็ าคดิ อีกแหละวา
"เอ...ถาเราโยนมนั ทิง้ ไปแลว เราก็ไมม ีอะไรเหลือนะซ"ิ ก็เลยแบกอยูน ัน่ แหละ ไมยอมท้ิง
ประโยชนข องการปลอยวาง
ถา จะมีใครบอกวา โยนทง้ิ ไปเถอะ แลว จะดอี ยางน้นั เปน ประโยชนอยางนี้ เรากย็ งั ไมยอมโยนทง้ิ อยูนน่ั แหละ
เพราะกลวั แตว าจะไมม อี ะไรเหลือ ก็เลยแบกกอนหนิ หนักไว จนเหนอ่ื ยออนเพลียเต็มที จนแบกไมไ หวแลวก็เลยปลอ ยมนั ตกลง
ตอนทปี่ ลอ ยมนั ตกลงนแี้ หละกจ็ ะเกิดความรูเร่ืองการปลอยวางขนึ้ มาเลย เราจะรสู กึ เบาสบาย
แลว กร็ ไู ดด ว ยตัวเองวา การแบกกอ นหินนั้นมนั หนกั เพียงใดแตตอนทเ่ี ราแบกอยนู ั้นเราไมรหู รอกวา การปลอ ยวางมปี ระโยชนเ พียงใด
ดังน้ันถามีใครมาบอกใหป ลอ ยวาง คนที่ยงั มดื อยูก็ไมร ไู มเ ขาใจหรอก กจ็ ะหลบั หูหลับตาแบกกอ นหินกอนน้ันอยา งไมยอมปลอย
จนกระทง่ั มนั หนักจนเหลือทจี่ ะทนนนั่ แหละ ถงึ จะยอมปลอ ย แลวกจ็ ะรสู ึกไดดวยตวั เอง
วา มนั เบามนั สบายแคไ หนที่ปลอ ยมนั ไปไดต อ มาเราอาจจะไปแบกอะไรอีกก็ได แตตอนนี้เราพอรแู ลววา ผลของการแบกน้นั เปน อยา งไร
เรากจ็ ะปลอ ยมนั ไดโ ดยงา ยขึน้ ความเขา ใจในความไรป ระโยชนของการแบกหาม และความเบาสบายของการปลอ ยวางน่ีแหละ
คือตัวอยางที่แสดงถงึ การรจู ักตวั เอง
ความยดึ มนั่ ถอื มน่ั ในตัวของเราก็เหมือนกอ นหนิ หนักกอนนน้ั พอคิดวา จะปลอ ย "ตวั เรา" กเ็ กดิ ความกลัววา ปลอยไปแลว ก็จะไมม อี ะไรเหลอื
เหมือนกับที่ไมย อมปลอยกอนหินกอ นนั้น แตในที่สุดเมอ่ื ปลอยมันไปได เรากจ็ ะรูสึกเองถึงความเบาสบายในการที่ไมไดย ดึ มนั่ ถอื ม่นั
การฝกใจตองไมยดึ มั่นถอื มน่ั
ในการฝกใจนี้ เราตองไมย ึดมน่ั ทั้งสรรเสริญ ท้งั นนิ ทา ความตอ งการแตสรรเสรญิ และไมตองการนนิ ทานัน้
เปนวิถีทางของโลกแตแ นวทางของพระพุทธเจา ใหรบั สรรเสริญตามเหตตุ ามปจจัยของมัน
และก็ใหร ับนินทาตามเหตตุ ามปจจยั ของมนั เหมือนกนั เหมือนอยางกบั การเล้ยี งเด็ก บางทีถาเราไมดเุ ด็กตลอดเวลา
มนั กด็ เี หมอื นกนั ผูใหญบางคนดมุ ากเกินไป ผใู หญท ่ีฉลาดยอมรูจกั วา เมือ่ ใดควรดเุ ม่อื ใดควรชม
ใจของเรากเ็ หมอื นกัน ใชปญญาเรยี นรูจ ักใจ ใชความฉลาดรักษาใจไว แลวเราก็จะเปนคนฉลาดที่รจู ักฝกใจ
เมอื่ ฝกบอยๆมนั ก็จะสามารถกําจัดทกุ ขได ความทกุ ขเกดิ ข้นึ ทใ่ี จนเ่ี อง มันทาํ ใหใ จสบั สนมืดมวั มันเกดิ ขึ้นท่นี ม่ี นั ก็ตายท่ีน่ี
ถา ยึดม่นั เขา เรากถ็ ูกกัด
เรือ่ งของใจมันเปนอยางน้ี บางทกี ค็ ิดดี บางทีก็คดิ ช่ัว ใจมันหลอกลวง เปน มายา จงอยาไวใจมนั แตจ งมองเขา ไปที่ใจ
มองใหเห็นความเปน อยอู ยางน้นั ของมนั ยอมรบั มันทั้งน้ัน ทั้งใจดีใจช่วั เพราะมันเปน ของมันอยางน้ัน ถา เราไมไปยดึ ถือมัน
มนั ก็เปน ของมนั อยแู คนัน้ แตถาเราไปยดึ มันเขา เราก็จะถกู มนั กดั เอา แลว เรากเ็ ปน ทกุ ข ถา ใจเปน สมั มาทฏิ ฐแิ ลวกจ็ ะมีแตความสงบ
จะเปน สมาธิ จะมีความฉลาด ไมวา จะนง่ั หรอื จะนอน กจ็ ะมีแตความสงบ ไมวา จะไปไหน ทาํ อะไรก็จะมแี ตค วามสงบ
วนั นที้ าน (ภกิ ษชุ าวตะวันตก) ไดพ าลกู ศษิ ยม าฟง ธรรม ทา นอาจจะเขาใจบาง ไมเขา ใจบาง ผมไดพ ดู เร่ืองการปฏิบตั ิเพื่อใหท านเขา ใจไดง าย
ทา นจะคิดวา ถกู หรอื ไมก็ตาม กข็ อใหทานลองนาํ ไปพจิ ารณาดู ผมในฐานะอาจารยอ งคห นง่ึ
กอ็ ยูใ นฐานะคลา ยๆกันผมเองก็อยากฟงธรรมเหมอื นกนั เพราะไมว าผมจะไปทีไ่ หน ก็ตองไปแสดงธรรมใหผูอน่ื ฟง
แตต ัวเองไมไดม ีโอกาสฟงเลย คราวน้กี ด็ ทู านพอใจในการฟง ธรรมอยู เวลาผา นไปเรว็
เม่ือทา นนั่งฟง อยา งเงียบๆเพราะทานกาํ ลังกระหายธรรมะ ทานจึงตอ งการฟง
เมอ่ื กอนน้ี การแสดงธรรมกเ็ ปนความเพลิดเพลนิ อยา งหนง่ึ แตต อมาความเพลิดเพลนิ กค็ อ ยหายไป รสู กึ เหนือ่ ยและเบื่อ กก็ ลบั อยากเปน ผูฟงบา ง
เพราะเมอื่ ฟงธรรมจากครูอาจารยน ้นั มนั เขา ใจงา ยและมกี าํ ลงั ใจ แตเมอ่ื เราแกข นึ้
มคี วามหวิ กระหายในธรรมะรสชาติของมันก็ย่ิงเอรด็ อรอ ยมากขึ้น
การเปนครูอาจารยของผอู ืน่ นัน้ จะตองเปน ตวั อยา งแกพ ระภิกษุอ่ืนๆ เปน ตวั อยา งแกลูกศิษย
เปนตัวอยางแกท ุกคนฉะน้นั อยาลืมตนเองแลว กอ็ ยาคดิ ถงึ ตนเอง ถาความคดิ อยางนัน้ เกิดข้ึน รีบกําจัดมันเเสยี
ถาทาํ ไดอยางนี้กจ็ ะเปน ผทู รี่ จู กั ตวั เอง
ใหร สู ึกตัวทวั่ พรอมอยูตลอดเวลา
วธิ ีปฏบิ ตั ิธรรมมีมากมายเปน ลา นๆวิธี พูดเรื่องการภาวนาไมมที ่ีจบ สงิ่ ที่จะทาํ ใหเ กดิ ความสงสยั มมี ากมายหลายอยา ง
แตใ หกวาดมันออกไปเรือ่ ยๆ แลว จะไมเ หลือความสงสัย เมือ่ เรามีความเขา ใจถูกตอ งเชนนี้ ไมวา จะนงั่ หรือจะเดนิ ก็มีแตค วามสงบ
ความสบายไมว า จะปฏิบตั ิภาวนาท่ไี หน ใหมีความรูส กึ ตัวท่ัวพรอม อยา ถอื วา จะปฏิบัติภาวนาแตเฉพาะขณะนั่งหรอื เดินเทา นั้น
ทุกส่งิ ทกุ อยางทุกหนทุกแหงเปน การปฏิบัตไิ ดท งั้ น้ัน