แนวทางสโู่ สดาบัน
พระธรรมเทศนา
หลวงพ่อทลู ขปิ ปฺ ปญโฺ ญ
เมือ่ วนั ท่ี ๓๑ มกราคม ๒๕๕๑
ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์
เมืองพทุ ธคยา ประเทศอินเดีย
สารบัญ 1
5
อย่าเพงิ่ เช่ือตามต�ำรา 8
ปญั ญาวิมตุ ิ เจโตวิมตุ ิ 15
อย่าเอาตามต�ำราและอย่าทง้ิ ต�ำรา 18
แนวปิดเส้นทางปัญญา 25
พระโปฐิละ ผู้แบกคัมภรี ์เปล่า 33
พจิ ารณาการเกดิ ดบั ในวตั ถสุ มบัต ิ 38
การขู่เขญ็ การปลอบใจตวั เอง 40
ภมู ธิ รรมพระโสดาบัน 44
ขน้ั ตอนภูมธิ รรมพระอรยิ เจ้า ๔ ข้นั 48
พ่อแม่ของนางมาคันทยิ า 50
พจิ ารณาเลอื กเฟ้นธรรม
สร้างสมั มาทฏิ ฐิด้วยปัญญาเฉพาะตวั
อย่าเพง่ิ เช่อื ตามต�ำรา
วันนี้พวกเราได้มากราบนมัสการพระพุทธเจ้า มีต้น
พระศรีมหาโพธ์ิเป็นสัญลักษณ์ และก็มีพระมหาเจดีย์ท่ีตั้งเป็น
สง่าให้เราเห็นกันอยู่ ณ ขณะน้ี ที่เรียกว่า ที่บรรจุพระบรม
สารรี ิกธาตขุ องพระพุทธเจ้า คอื องค์น้ีแหละ
สำ� หรับหลวงพ่อทม่ี าอินเดยี หลายรอบ แต่ละรอบ กม็ า
ในลักษณะเปน็ ผู้น�ำอบรมแนวทางปฏบิ ตั ิ ให้เข้าใจในหลกั เดมิ ๆ
ทพ่ี ระองค์เจ้าสอน
หลักค�ำสอนของพระพุทธเจ้าที่สอนกันในสมัยครั้ง
พทุ ธกาลนน้ั ยากทคี่ นจะรไู้ ด้ และกม็ ตี ำ� ราบางตอน บางประเดน็
กไ็ ด้มองเหน็ ว่า น่เี ป็นค�ำสอนของพระพทุ ธเจ้าของจรงิ แต่บาง
ค�ำบางประโยค นักปราชญ์เจ้าท้ังหลายก็เรียบเรียงขึ้นมา
ตีความหมายไปอกี รูปแบบหนง่ึ บางทกี ็ถกู ต้องบ้าง บางทีกไ็ ม่
ถกู บางทีกไ็ ม่เข้าใจเลย อันนี้แหละ เร่อื งจะไปเข้าใจในคำ� สอน
ของพระพทุ ธเจ้าจงึ เป็นของยาก
สมัยที่พระองค์เจ้าเรามีชีวิตอยู่ พระองค์เจ้าได้มี
พระญาณหย่ังรู้ในอนาคตของพระองค์ว่า ศาสนาพุทธในยุค
ต่อไปน้ันจะเป็นไปอยา่ งไร พระองคร์ ู้แลว้ ว่า ภายภาคหนา้
2 แนวทางสู่โสดาบนั
โน้น ชาวพทุ ธเราน้เี อง จะเป็นผูแ้ ก้ไขเพม่ิ เตมิ ค�ำสอนของ
พระองค์ให้เพ้ียนไป ไม่เป็นไปตามหลักเดิมที่พระองค์เจ้า
สอนเอาไว้
พระองค์ตรสั ไว้ในหลกั ความเชือ่ ๑๐ ประการ พระองค์
เจ้าเทศน์พวกกาลามะชนในยุคนั้นสมัยน้ัน ความเชื่อ ๑๐
ประการ มีข้อหนง่ึ พระองคไ์ ด้ให้ข้อคดิ วา่ อยา่ เพิ่งเชื่อตาม
ต�ำราหรือคัมภีร์ เป็นข้อคิด ท�ำไมจึงเป็นอย่างนั้น พระองค์
เจ้าได้มองว่า ต�ำราคัมภีร์ท้ังหมดท่ีมีอยู่น้ัน มีนักปราชญ์
บางคนบางกลมุ่ เขยี นข้ึนตามความเข้าใจของตัวเองว่า คง
เปน็ อย่างนั้น คงเปน็ อย่างน้ี
แนวทางสูโ่ สดาบัน 3
หลังจากสังคายนาครงั้ ท่ี ๕ ผา่ นไปแล้วนั้น คนเร่ิม
จะตคี วามหมายเปลย่ี นไป เพราะในยคุ นนั้ สมยั นนั้ เรยี กวา่
พระอรรถกถาจารย์ สว่ นมากเปน็ พระปถุ ชุ น ผซู้ งึ่ มาตคี วาม
ขยายความออกมา มันเลยคลาดเคล่ือนจากความจริงไป
เรือ่ ยๆ
ในยคุ น้นั อรรถกถาจารย์ตคี วามไปแล้ว ยุคต่อมากย็ คุ
ฎีกาจารย์ตีความเพ่ิมเติมอีก ในการตีความก็เหมือนกันอีกว่า
ปถุ ชุ นนนั่ แหละเปน็ ผตู้ คี วามหมาย คำ� สอนของพระองคจ์ งึ คลาด
เคลือ่ นไปเร่อื ยๆ
ทนี ถี้ า้ จะพดู เรอื่ งศาสนาพทุ ธเรา ไปมอี ทิ ธพิ ลทเี่ มอื งจนี
หลายร้อยปี หลายท่ีหลายแห่ง ที่พม่าบ้าง ลาวบ้าง ศรีลังกา
บา้ ง คำ� สอนของพระองคเ์ จา้ เลยไมต่ ดิ ตอ่ กนั เพราะบางประเทศ
ก็ตีความไปตามความเห็นของตน แต่ละประเทศก็ตีความแตก
ต่างกันไป อย่างทิเบต เขาท�ำรูปแบบหนึ่ง ตีความแบบหนึ่ง
มหายานกห็ ลายสาขา หลายหมู่คณะ กต็ คี วามกันไป
ตกลงว่า เด๋ียวน้ีมันมีลักษณะ ๒ กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่ม
เถรวาท คอื กล่มุ คณะพวกเรา อกี กล่มุ หนงึ่ พวกมหายาน ทเ่ี ขา
ท�ำกันอยู่ในที่บริเวณนี้ น่ีพวกมหายาน ต่อจากมหายาน ก็
ตีความหมายแตกต่างกนั ไปมากมาย
4 แนวทางสโู่ สดาบัน
ถา้ เชน่ นนั้ เรยี กวา่ แนวทางทจ่ี ะไปสจู่ ดุ หมายปลาย
ทาง คอื มรรคผลนพิ พานทเี่ ราตอ้ งการนนั้ อยจู่ ดุ ไหนกนั แน่
อนั นแี้ หละทม่ี นั หายาก อา่ นหนงั สอื กแ็ ลว้ ยง่ิ อา่ นยงิ่ สบั สน
วกวน ปนเปกนั ไปหมด หลวงพอ่ เคยอา่ นตำ� รา เคยศกึ ษาเรอ่ื ง
ประวัติ พระไตรปิฎกมาหลายรอบ อ่านเท่าไร ตคี วามเท่าไร ใน
เรื่องเดียวกัน เม่ืออยู่ในที่แห่งหน่ึงเป็นอย่างหนึ่ง อยู่อีกแห่งก็
เปน็ อกี อยา่ ง เลยดงึ กนั ไปมา พยายามเรยี บเรยี งกนั เปน็ ถอ้ ยรอ้ ย
ค�ำอันเดียวกัน ก็พยายามท�ำกันอยู่ แต่บางจุดก็เรียบเรียงง่าย
ข้ึน แต่บางจุดก็เรียบเรียงไม่ได้เลย มันไม่ต่อกัน ประโยคหน่ึง
เป็นอย่างหน่งึ ประโยคหนง่ึ เปน็ อกี อย่าง
แนวทางสู่โสดาบัน 5
ปญั ญาวิมุติ เจโตวิมตุ ิ
อย่างหลวงพ่อได้เขยี นเรอ่ื งปัญญาวมิ ุติ เจโตวิมตุ ิ สอง
ประโยคนอ้ี ยู่คนละเล่มกนั ในหนังสอื คนละจุดกนั เลย หลวงพ่อ
พยายามจะดึงมาเรียบเรียงเร่ืองปัญญาวิมุติ เจโตวิมุติ ให้คน
เข้าใจมากขน้ึ
ท�ำไมพระองค์เจ้าจึงได้วางวิมุติ ๒ ประเภทนี้เอาไว้
พระองคเ์ จา้ ไดต้ รสั เอาไวช้ ดั เจนวา่ สมยั ครง้ั พทุ ธกาลนนั้ ผบู้ รรลุ
ธรรมเป็นพระอรยิ เจ้ามี ๒ กลุ่ม กลุ่มหน่งึ กลุ่มเจโตวมิ ุติ กลุ่ม
หนึ่ง กลุ่มปัญญาวิมุติ กลุ่มเจโตวิมุติน้ีมีน้อยมากสมัยครั้ง
พุทธกาล ให้เทียบได้ว่ามีอยู่ ๓๐% กลุ่มปัญญาวิมุติมีอยู่ถึง
๗๐%
ลกั ษณะกลมุ่ ปญั ญาวมิ ตุ หิ มายถงึ อะไร เขาทำ� อะไร
กัน คือกลมุ่ นเ้ี ขาไมไ่ ดท้ �ำสมาธสิ งบ แตเ่ ป็นสมาธติ งั้ ใจมนั่
เปน็ คกู่ นั กบั ปัญญา พวกเจโตวมิ ุตเิ ขาท�ำสมาธิสงบ เข้าฌาน
ได้ นีค่ อื ความแตกต่างกนั
ทนี จี้ ะอธบิ ายเรอ่ื งกลมุ่ ปญั ญาวมิ ตุ นิ กี้ อ่ น ครง้ั พทุ ธกาล
กลุ่มปัญญาวิมุติน้ี ผู้จะได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้า จะเป็น
บรรดาฆราวาสญาติโยมก็ดี พระสงฆ์ก็ดี พวกน้ีสามารถจะ
6 แนวทางสู่โสดาบัน
เทศน์กันได้ บรรดาพระสงฆ์กบั พระสงฆ์ด้วยกนั หรือพระสงฆ์
จะเทศนใ์ หฆ้ ราวาสใหบ้ รรลธุ รรมกไ็ ด้ ถา้ ปญั ญาวมิ ตุ ิ การบรรลุ
ธรรมมันง่ายขน้ึ ใครเทศน์กไ็ ด้
มนั ไม่เหมอื นกลุ่มเจโตวมิ ุติ เพราะกลุ่มเจโตวมิ ุติน้ี ต้อง
เฉพาะพระพทุ ธเจา้ เทา่ นน้ั จงึ จะเทศนไ์ ด้ เพราะกลมุ่ นเี้ ขาทำ� สงบ
ไปแล้ว มนั ก็จะลมื ตวั ลมื ตวั คอื ตดิ อยู่ในสุข แม้ว่าเข้าฌาน ติด
อยู่ในฌานอกี อันน้ีบรรดาพระด้วยกันจะไม่เช่อื กนั พวกน้ียง่ิ มี
ทฏิ ฐมิ านะ อตั ตาสงู ยง่ิ สงบเทา่ ไร ถา้ มอี ภญิ ญาเกดิ ขน้ึ สกั อยา่ ง
สองอย่าง เช่นว่า จกั ษญุ าณ โสตญาณ เกิดขน้ึ ยิ่งลืมตัวกนั ไป
ใหญ่ ยดึ มนั่ ถอื มนั่ วา่ เราเกง่ เราดี อตั ตามานะโดดเดน่ ขน้ึ มาทนั ที
เชน่ นนั้ เรยี กวา่ ผจู้ ะเทศนก์ ลมุ่ เจโตวมิ ตุ ไิ ดม้ อี งคเ์ ดยี วเทา่ นน้ั คอื
พระพุทธเจ้าท่ีจะเทศน์ได้ เพราะว่าพวกนี้เขาไม่ลงกัน ต้องใช้
อภินหิ าร ใช้พลงั อย่างอ่นื ประกอบหลายๆ ด้าน
พวกกลุ่มปัญญาวิมุตินั้น เรากันเองช่วยกันได้ ยก
ตวั อยา่ งไดว้ า่ พระสารบี ตุ ร สมยั ทย่ี งั เปน็ ฆราวาส ทา่ นฟงั ธรรม
จากทา่ นอสั สชิ กส็ ามารถบรรลธุ รรมเปน็ พระอรยิ เจา้ ได้ ไมต่ อ้ ง
ฟงั มากมาย เมอื่ ฟงั ธรรมแล้วก็เปน็ พระอรยิ เจ้า และกไ็ ปเทศน์
ให้เพื่อนฟังด้วย พระโมคคัลลานะก็บรรลุธรรมได้เลยเช่น
เดียวกัน น่ีก็กลุ่มปญั ญาวมิ ตุ ิ ไม่จ�ำเป็นจะเป็นพระเทศน์
แนวทางสู่โสดาบัน 7
ส่วนอกี กล่มุ หนง่ึ คอื กลุ่มนางสามาวดกี บั คนรบั ใช้ หรอื
นางทาสี ชอ่ื ว่า นางขุชชตุ ตรา เรยี กง่ายๆ ว่า นางค่อม นางค่อม
น่ีก็เป็น ข้าทาสบริวารของนางสามาวดี ไปเทศน์ให้เจ้านายฟัง
เจ้านายก็สามารถบรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้าได้ น่ีกลุ่ม
ปญั ญาวมิ ตุ ิ ฆราวาสเทศนก์ นั เปน็ พระอรยิ เจา้ ไดม้ ากมายในครงั้
พุทธกาล นค่ี อื ว่าไม่จ�ำกดั การเทศน์ ไม่เหมอื นกลุ่มเจโตวมิ ุติ
กลุ่มเจโตวมิ ตุ ิต้องจ�ำกัดว่า ต้องพระพุทธเจ้าเท่านน้ั จึง
จะเทศน์ให้ได้ น่อี ย่างหนึง่ อย่างที่สอง จะเป็นลกั ษณะว่า ถงึ จะ
เป็นสาวกด้วยกันก็ตาม แต่ก็เป็นคู่ทรมานกันมา เหมือนกับ
พระยามิลินท์กับพระนาคเสน เป็นคู่ทรมานกันมา น้ีอีกอย่าง
หนึง่ เรียกว่ากลุ่มเจโตวมิ ตุ นิ ้ี
8 แนวทางสโู่ สดาบนั
อย่าเอาตามตำ� ราและอยา่ ท้งิ ต�ำรา
เรอื่ งมีอยู่ว่า พระ ๒ องค์ด้วยกนั องค์หน่งึ เป็นอาจารย์
องค์หน่ึงเป็นลูกศิษย์ องค์อาจารย์เป็นนิสัยเจโตวิมุติ องค์ลูก
ศษิ ย์เปน็ นสิ ยั ปญั ญาวมิ ตุ ิ แต่ชาตกิ ่อนๆ มาเคยร่วมบารมกี นั มา
บ�ำเพญ็ ด้วยกนั มา เคยทรมานกันมา พึ่งพาอาศัยกันมา เมอื่ มา
เกดิ ชาตินี้ กม็ าบวชร่วมกนั เปน็ ครอู าจารย์เดยี วกัน
ทีนี้นิสัยเดิมท่ีมีอยู่ ลูกศิษย์เป็นนิสัยปัญญาวิมุติ ก็ใช้
ปัญญาพิจารณา อาศัยปัญญาคู่กับสมาธิต้ังใจมั่น ใช้ปัญญา
พิจารณา เดินจงกรมบ้าง นั่งบ้าง พิจารณาอยู่เร่ือยๆ เร่ือง
สัจธรรมความเปน็ จรงิ ผลท่ีสดุ กบ็ รรลธุ รรมเป็นพระอรหันต์ มี
อภิญญาตามมา
แตอ่ าจารยน์ นั้ นสิ ยั เดมิ เคยเปน็ ดาบสฤๅษมี ากอ่ น ชอบ
ทำ� สมาธคิ วามสงบ เม่ือท�ำสมาธสิ งบไปแล้ว มปี ญั ญาเกดิ ขน้ึ มี
อิทธฤิ ทธ์ิ เรียกว่า มโนมยทิ ธิ ฤทธิท์ างใจ ทำ� ทกุ อย่างได้ ฤทธ์ิ
ทางใจ เม่อื ลูกศษิ ย์ลกู หาไปหาแต่ละวนั ๆ ต้องถามว่า เอ้า ลูก
ศิษย์ จะฟงั ธรรมะอะไรบ้าง ถามมา ท่านตอบได้ทกุ อย่าง ตอบ
ตามภาษาผู้มีนิสัยเจโตวิมุติ ไม่ตรงเท่าไรนักกับค�ำสอน
พระพทุ ธเจ้า
แนวทางสโู่ สดาบนั 9
ลกู ศษิ ยก์ ร็ อู้ ยหู่ รอกวา่ อาจารยเ์ ราหลงในความสขุ หลง
ในความสงบ หลงในสมาธิ หลงในอภญิ ญา เข้าใจผดิ ว่า ตวั เอง
เป็นผู้มีคุณธรรมสูง แต่ลูกศิษย์พยายามทุกวิถีทางว่า จะท�ำ
อย่างไรจะแก้ไขอาจารย์ได้
มวี นั หนงึ่ เมอ่ื วางแผนแลว้ กไ็ ปหาอาจารย์ อาจารยก์ เ็ ลย
บอกว่า เอ้า ลูกศษิ ย์ อยากถามอะไร เร่ืองธรรมะพระพุทธเจ้า
ถามไดเ้ ลย เราพรอ้ มจะอธบิ ายใหฟ้ งั ทกุ เมอื่ เมอื่ ลกู ศษิ ยไ์ ดช้ อ่ ง
ทางก็เลยมีอุบายถามว่า อาจารย์ ผมอยากเห็นอาจารย์แสดง
อิทธฤิ ทธ์ใิ ห้เทวดามาเต้นร�ำ ขบั ร้องในใบบัว สกั ร้อยคนได้ไหม
ทำ� ได้สิ แล้วกห็ ลบั ตาปี๋ลงไป แล้วกก็ �ำหนดมอี ภญิ ญาเกิดขึน้ ก็
เหน็ เทวดามาเต้นร�ำในสระดอกบวั นนั้ เป็นร้อยๆ
อันดับต่อไปก็เลยถามต่อไปว่า เอ้ ผมอยากเห็นท่าน
อาจารยแ์ สดงอทิ ธฤิ ทธ์ิ แสดงใหเ้ ปน็ ชา้ งนาฬาคริ ตี กมนั เอางวง
ม้วนเข้าไปในปาก แล้วกางหูให้ใหญ่ออกมา แล้วก็วิ่งมาไกลๆ
เสยี งร้องแผดดงั วงิ่ มาหาอาจารย์ทำ� ได้ไหม อาจารย์บอกทำ� ได้
สิ ไมม่ ปี ญั หา ทำ� ได้ ตอนนแ้ี หละตอนสำ� คญั ตอนลกู ศษิ ยเ์ ตรยี ม
ตัวล่ะ นี่คือหลงกลลูกศิษย์แล้วล่ะ อุบายลูกศิษย์จะทรมาน
อาจารย์ เอาสง่ิ ทอี่ าจารย์เป็นน่ันล่ะมาสอนอาจารย์เอง
10 แนวทางสู่โสดาบัน
พอหลบั ตาปี๋ลงไป นมิ ิตเป็นช้างนาฬาคริ ีตกมนั วง่ิ แผด
เสยี งมาแตไ่ กล วงิ่ เขา้ มาตรงอาจารยพ์ อดี แตล่ กู ศษิ ยเ์ ตรยี มตวั
แล้วล่ะว่า ต้องเป็นอย่างนี้ อาจารย์ต้องกลัวแน่ พอช้างว่ิงเข้า
มา พรบิ เดยี วเท่านน้ั อาจารย์กระโดด กลวั ช้างจะชน จะเหยยี บ
แตล่ กู ศษิ ยก์ เ็ ตรยี มตวั แลว้ ละ่ วา่ พออาจารยก์ ระโดด จะกระโดด
กอดเอวอาจารย์เอาไว้แน่น เกาะเอวไว้แน่นๆ อาจารย์ครับๆ
พระอรหนั ตเ์ ขาไมก่ ลวั ตายหรอกครบั เทา่ นนั้ นะ่ คำ� เดยี วไมต่ อ้ ง
เพม่ิ ที่อ่ืน สะดุ้งเลยอาจารย์ ลมื ตัวเอง แล้วกัน
แนวทางสโู่ สดาบนั 11
เหมอื นลกู ศษิ ยว์ า่ พระอรหนั ตเ์ ขาไมก่ ลวั ตายหรอกครบั
นคี่ อื คำ� เทศนข์ องลกู ศษิ ย์ อบุ ายธรรมะตวั นม้ี นั ฝงั ใจของอาจารย์
อาจารยเ์ ลยรตู้ วั ขน้ึ มา เออ ใช่ ลกู ศษิ ยพ์ ดู อยา่ งนนั้ เรายงั ไมเ่ ปน็
พระอรหนั ต์ เพราะไปกลัวในนมิ ติ ที่เราสร้างข้นึ มาเอง แสดงข้นึ
มาแท้ๆ แต่กลับไปกลวั ในนมิ ิตของตัวเอง จงึ ได้ยอมลูกศษิ ย์
ลูกศิษย์ก็เลยได้จังหวะ ก็ได้อธิบายให้ฟัง ก่อนอธิบาย
ตอ้ งมขี อ้ แมก้ นั กอ่ น เพราะอาจารยอ์ ยากใหล้ กู ศษิ ยแ์ สดงธรรมะ
แนวทางปฏบิ ัตใิ ห้ฟงั แต่ลกู ศิษย์ก็ยงั ออกตัวว่า ผมเป็นลูกศิษย์
ของอาจารย์นะ อาจารย์จะเชอื่ ได้ยังไง ผมกราบอาจารย์ทกุ วนั
ผมไมอ่ าจทจ่ี ะเทศนอ์ าจารยไ์ ดห้ รอก กค็ ะยนั้ คะยออกี แหละ ให้
ลกู ศิษย์เทศน์ให้ฟงั อกี
ลกู ศษิ ยก์ ม็ ขี อ้ แมว้ า่ ถา้ อาจารยจ์ ะฟงั ธรรมะจากผมจรงิ
ผมก็ท�ำได้ แต่มีข้อแม้ ข้อแม้อะไร ธรรมะท่ีอาจารย์ศึกษามา
ทงั้ หมดนนั้ ใหเ้ ปน็ ธรรมะในตำ� รา อนั นนั้ เปน็ คำ� สอนพระพทุ ธเจา้
กจ็ รงิ แตใ่ นความรสู้ กึ แนวนกึ คดิ เรอื่ งสตปิ ญั ญาน้ี อาจารยไ์ มม่ ี
เลย มแี ต่ความสงบ มีอภิญญา มีอภินิหารเท่านน้ั ธรรมะทเ่ี กดิ
ขนึ้ จากปัญญาของอาจารย์เองไม่มเี ลย
ในท่ีสุดหลังจากคะย้ันคะยอกันหลายครั้งหลายหน
อาจารยก์ ย็ อม ยอมทำ� ตามทวี่ า่ ใหอ้ าจารยใ์ ชป้ ญั ญาของตวั เอง
จากนี้ไป อาจารย์จะไม่ท�ำสมาธิความสงบอีกต่อไป อาจารย์
12 แนวทางสโู่ สดาบนั
ท�ำได้ไหม น่สี ญั ญาข้อแรก แต่ให้เป็นสมาธติ ้งั ใจมนั่ อย่าไปนกึ
คำ� บรกิ รรม ใหจ้ ติ สงบอยา่ งนน้ั สงบอยา่ งนี้ ผมไมส่ อน อาจารย์
จะว่ายงั ไง สดุ ท้ายกต็ กลงกนั ตรงนล้ี ่ะว่า ไม่ทำ� สมาธใิ ห้จติ สงบ
เหมอื นเดมิ นข่ี ้อ ๑
ข้อ ๒ เม่ืออาจารย์พิจารณาธรรมะในปัญญาแต่ละ
หมวด อย่าเอาธรรมะในต�ำรามาพิจารณา ให้เป็นปัญญาของ
ตวั เองล้วนๆ ส่วนท่เี ปน็ ปรยิ ตั ิ หรอื เป็นธรรมะทศ่ี ึกษามานน้ั มา
เป็นอบุ ายประกอบเฉยๆ ให้อาจารย์ใช้ปญั ญาของตัวเอง อย่า
เลียนแบบธรรมะจากคนอ่นื อาจารย์จะว่ายงั ไง
สุดท้ายอาจารย์ก็ยอมรับ เริ่มภาวนา ก็เร่ิมพิจารณา
เร่ืองการเกิด การดับ เรียกว่า เกิดแก่เจ็บตาย น่ันแหละ ให้
อาจารยพ์ จิ ารณาดว้ ยปญั ญาตวั เอง ใหค้ ดิ ไป ขณะใดทอี่ าจารย์
เผลอไป ไปหยบิ ยกเอาปรยิ ตั บิ างหมวดมาพิจารณา ลกู ศษิ ย์ก็
จะบอกว่า อาจารย์มนั ปริยตั นิ ะ ปรยิ ัตินะ เอ้า ตั้งใหม่ เริ่มต้น
ใหม่ เอาปญั ญาของตวั เอง คดิ ไปเรอ่ื ยๆ ใหเ้ ปน็ ลกั ษณะวา่ ตำ� รา
เปน็ ตำ� รา ปญั ญาคอื เปน็ ปญั ญา ปญั ญาเปน็ ของตวั เอง อยา่ เอา
ตามตำ� ราทงั้ หมด คอื ตำ� ราเปน็ เพยี งตัวอย่าง
เหมอื นกนั กับว่ากระทู้ธรรม กระทู้ธรรมนี้ เขาเขียนเอา
ไว้ว่า วริ เิ ยนะ ทุกขะมัจเจติ ผู้ล่วงทุกข์ได้เพราะความเพยี ร เขา
กอ็ ธบิ ายไป เฉลยไปๆ อนั นธ้ี รรมะภาษติ ผอู้ นื่ เชอ่ื มไปๆ เขาเขยี น
ตำ� ราเอาไว้
แนวทางสโู่ สดาบัน 13
ทีนี้เราจะเขียนลักษณะกระทู้เดียวกัน วิริเยนะ
ทุกขะมัจเจติ เราจะเขียนอย่างไร ไม่ให้เป็นไปตามต�ำราท่ีมีอยู่
คดิ ให้ดี จะเขยี นอย่างไรไม่ให้ไปตามตำ� ราทม่ี อี ยู่ แต่ให้เปน็ เรอ่ื ง
เดียวกันท้ังหมด เอาต�ำราที่มีอยู่ ที่เรียกว่า อย่าเอาตามต�ำรา
และอย่าทง้ิ ต�ำรา เรือ่ งเดียวกนั กต็ ้องเขียนภาษติ ตัวเดียวกันน่ี
แหละ แต่เวลาการเขยี นประโยคต่างๆ ประโยคต่างๆ จะไม่ซ้�ำ
รอยกนั กับตำ� ราทม่ี อี ยู่ก่อน ต้องเขยี นแบบใหม่ เขยี นอย่างไร
ในการพิจารณาความเกิดก็เหมือนกัน แต่ละคน
พิจารณาความเกดิ ถ้าปญั ญาแต่ละคนมอี ยู่แล้ว ให้เขยี นขน้ึ มา
แต่ละคน ดูสิว่า ส�ำนวนในการเขียนจะไม่เหมือนกัน เพราะ
ปญั ญาเปน็ ไปคนละรปู แบบ จะไมเ่ หมอื นกนั ทงั้ หมด บางทกี ต็ รง
กันบ้าง ไม่ตรงกันบ้าง แต่เป็นเรื่องเดียวกัน อันน้ันช่ือว่าใช้ได้
อนั นก้ี เ็ หมอื นกนั ธรรมะทเี่ ปน็ ตำ� รากค็ อื ตำ� รา แตเ่ รากไ็ มท่ ง้ิ
ต�ำรา เอาเปน็ ตวั อย่างไว้ เอาเปน็ บรรทัดฐานเอาไว้ แตเ่ รา
ไม่เอาตามน้ัน เราจะฝึกปัญญาของตวั เอง
อาจารย์กับลูกศิษย์ท่ีว่ามานี้ พิจารณาไปๆ ลูกศิษย์ก็
พยายามควบคุมอยู่ใกล้ชิด เพราะมีอภิญญา ผลสุดท้ายก็ได้
บรรลอุ รหนั ตด์ ว้ ยกนั ทงั้ คู่ นเี่ รยี กวา่ กลมุ่ หนงึ่ เปน็ นสิ ยั เจโตวมิ ตุ ิ
กลุ่มหนึ่งเป็นนสิ ยั ปญั ญาวิมตุ ิ
14 แนวทางสู่โสดาบัน
พวกเจโตวิมุติน้ี ก็ต้องหยุดในการท�ำความสงบ มาฝึก
แค่สมาธิตง้ั ใจมน่ั เขาเรยี กว่า เอาปญั ญามาก่อน พจิ ารณาได้
เลย อนั นม้ี นั ง่าย ถ้าไปเล่นอย่กู บั ความสงบ นก่ี เ็ หมอื นดาบสทงั้
สองท่ีต�ำราว่ามานั่นแหละ ตายแล้วเป็นพรหม ยังไม่ลงมาเกิด
เลย อันน้ีเรยี กว่า หลงในความสุข หลงในความสงบตวั เดยี ว นี่
ปญั ญาจะไปไม่ได้
แนวทางส่โู สดาบัน 15
แนวปิดเส้นทางปัญญา
ปญั ญาคนเราน้ี มนั จะไมเ่ ดนิ หนา้ ทางธรรม เพราะมแี นว
ปิดเส้นทางอยู่ ๒ ทางด้วยกนั
๑) สงบมากไป ถ้าสงบมากไปแล้ว แนวความคดิ จะไม่มี
จะไม่เกิดขึ้น มันจะหายไปเลย จะลงอุเบกขา มันจะวางไป
ทง้ั หมด อยใู่ นความเปน็ หนง่ึ ใจเปน็ หนงึ่ ตลอดเวลา ไมอ่ ยากคดิ
โน่น ไม่อยากคดิ น่ี น่คี ือตัวตัด ปิดฉากของปญั ญาลง คือความ
สงบตัวน้ี คนเราพดู กันในเมอื งไทย พูดเสมอๆ ว่า ท�ำสมาธไิ ป
เถอะ จิตสงบจะมีปัญญาเกิดขึ้น มันตรงกันข้ามกันเลยกับค�ำ
พูดท่ีว่ามานี้
แทจ้ รงิ จติ สงบมากเทา่ ไร ปญั ญาหมดไปเทา่ นนั้ มนั
ปิดฉากทันที ความสงบอันนี้ เท่ากับสมาธิปิดตัวปัญญาให้
ตายตัว ปิดฉากทนั ที มันปิดตรงกันข้าม ตำ� รามีอยู่ว่า มีคนพูด
อยู่เสมอๆ ว่า เม่อื จิตสงบแล้ว ก็ยกจติ ข้ึนสู่วปิ ัสสนา นกี่ ต็ ำ� รา
พดู ได้ แตม่ นั ทำ� ไมไ่ ด้ มนั เปน็ ไปไมไ่ ด้ เพราะจติ สงบแลว้ มนั หมด
ในความรสู้ กึ ในการคดิ มแี ตค่ วามสขุ ความสบาย เพลดิ เพลนิ ใน
ญาณ ในฌานของตัวเอง นคี่ อื ว่าตวั ปิดปญั ญาตวั หน่งึ ปัญญา
ไปไม่ได้
16 แนวทางสู่โสดาบนั
๒) รู้มากไป รูม้ ากไปอนั น้ี น่ีกต็ วั หน่งึ มันปิดปญั ญา
ปญั ญาจะไม่ไปเลย ถึงคิดไปกต็ าม คดิ ไปตามตำ� ราอกี แหละ
อนั นน้ั เปน็ สญั ญา ไมใ่ ชเ่ รอื่ งปญั ญา เขาวา่ คดิ ตามสญั ญาทรี่ มู้ า
เฉยๆ ไม่ใช่ปัญญาแต่อย่างใด แต่คนว่าเปน็ ปญั ญา ความจรงิ
แล้วไม่ใช่ น้ีคือคดิ ตามสัญญา ปัญญาเป็นไปตามสญั ญาคนอ่ืน
ครูบาอาจารย์คนอื่น เขียนธรรมะว่าอย่างไร ก็พิจารณาอย่าง
นั้นไปเร่อื ยๆ
แนวทางส่โู สดาบัน 17
เหมือนพระองค์หน่ึงท่ีเมืองไทย ท่านเป็นพระเทศน์
ธรรมกถกึ ท่องกัณฑ์เทศน์ของครูบาอาจารย์ กัณฑ์น้ัน กณั ฑ์นี้
เอามาท่องเปน็ ตเุ ปน็ ตะ การเทศน์อย่างน้ี เทศน์ท่องเข้าปาก จำ�
เอาได้แต่ละกณั ฑ์ แต่ละกณั ฑ์เอามาเทศน์ เอาไปเอามานานวนั
เข้า กัณฑ์เทศน์ทง้ั หมดท่ีมอี ยู่ มันหลงลมื ไปบ้าง หยดุ ทันที ไป
ต่อไม่ได้ เลยหลง เทศน์ต่อไปไม่ได้เลย คือว่าหลงกัณฑ์เทศน์
เสียแล้ว ลืมสูตร ไปไม่ได้ นี่คือว่าอาศัยกัณฑ์เทศน์จาก
ครูบาอาจารย์อ่ืนมาเปน็ ตวั นำ� นตี่ ัวอย่าง มที ีเ่ มอื งไทย กม็ เี ยอะ
ในขณะนี้ คอื วา่ ศกึ ษากณั ฑเ์ ทศนจ์ ากครบู าอาจารยม์ าเทศนต์ อ่
อกี ทหี นึ่ง โดยตวั เองไม่มปี ญั ญาส่วนตวั เลย พอหลงธรรมะข้อ
เดยี วเท่าน้นั แหละ ไปกันใหญ่เลย
เรียกว่า แนวความคิดทางปัญญา เราจะท�ำอย่างไร จะ
ไม่ให้ตวั เองอับจน ไม่ให้หมด ให้มีอุบายเชอ่ื มโยงต่อไปได้ ไม่ให้
ขาด เอาอุบายธรรมะผู้อื่นมาเตรียมเอาไว้ และอยากให้อุบาย
ธรรมะหมวดนเ้ี ชอ่ื มโยงตอ่ กนั เพยี งเอาความรอู้ ยา่ งเดยี วนี้ เอา
ธรรมะทั้งหมดมาพจิ ารณา มีคำ� ถามว่า ถกู ธรรมไหม ถูก ถูก
ธรรม แตธ่ รรมทถี่ กู นน้ั เปน็ ธรรมะของคนอน่ื เราเลยี นแบบจาก
ผู้อนื่ มาพดู มาคดิ ท�ำอะไรไม่ได้เลย
18 แนวทางสู่โสดาบัน
พระโปฐลิ ะ ผู้แบกคมั ภรี เ์ ปล่า
ยกตัวอย่างเช่น พระตุจฉะ พระตุจฉะมีเพ่ือนองค์หน่ึง
บวชร่วมกันสมัยนน้ั เมอ่ื บวชแล้วก็มาปรกึ ษากนั ว่า ยงั ไงดี องค์
หนง่ึ ชอบศกึ ษา ไดข้ อ้ มลู พอปฏบิ ตั ไิ ดแ้ ลว้ กอ็ อกธดุ งคก์ รรมฐาน
ตามถ�้ำตามเหว อีกองค์หน่ึงคือพระตุจฉะ ซึ่งชอบการศึกษา
ท่านเลือกที่จะศึกษาธรรม ธรรมะก็แตกฉานในปฏิภาณโวหาร
ในการศกึ ษา เปน็ ธรรมกถกึ เอก เทศน์เก่ง งานไหนงานนน้ั ต้อง
พระตุจฉะเป็นตัวแสดงธรรม งานต่างๆ ต้องพระตุจฉะ แสดง
ธรรมตลอดเวลา โวหารปฏภิ าณ จดจำ� ธรรมะของพระพทุ ธเจ้า
ได้แม่นยำ� และเทศน์เก่งด้วย
ต่อมา เพ่ือนท่ีไปปฏิบัติอยู่ตามป่าเขา ก็ได้บรรลุธรรม
เป็นพระอรหันต์ แล้วก็คิดว่าจะลงมาเยี่ยมเพ่ือนในกรุงสาวัตถี
พอลงมาก็มีเพื่อนๆ อ่ืนไปบอกพระตุจฉะว่า เพื่อนของท่านไป
ภาวนาทบ่ี นเขา ลงมาแล้ว
พระตจุ ฉะเกดิ โอหงั ขน้ึ มาว่า ไหนเพ่อื นเรา ไม่จ�ำ ไม่เชือ่
เรา ไปน่งั หลับหูหลับตาตามป่าตามเขา มนั ได้อะไร มีแต่โง่กบั
โง่น่ันแหละ ไหน เราจะดัดสันดานดูซิ จะไปถามธรรมะของ
พระพทุ ธเจ้าให้มันตดิ ให้มันตอบไม่ได้ ให้มันอายคนทงั้ โลกดูซิ
นี่คอื ลืมตวั ว่าตัวเองเก่ง
แนวทางสูโ่ สดาบัน 19
จากนนั้ มา กเ็ ลยเดนิ จากกฏุ ขิ นึ้ ไปหาเพอ่ื น เพอ่ื นองคน์ นั้
องค์อรหันต์นั่นแหละ จะไปถามธรรมะหมวดนั้นบ้าง หมวดนี้
บ้าง ให้ตดิ ให้ตอบไม่ได้ ทถ่ี ามตดิ ไหม ตดิ เพราะเปน็ ภาคปรยิ ตั ิ
ท่านผู้อรหันต์ท่านไม่เก่ง ไม่รู้อยู่แล้ว ธรรมทนี่ �ำไปปฏบิ ตั ิกเ็ ปน็
บางหมวดเท่านนั้
ขณะท่กี �ำลังเดินมา พระองค์เจ้าเรานม้ี องเห็น เหน็ พระ
ตจุ ฉะเดินมา ฉบิ หายแล้ว พระตจุ ฉะจะไปทำ� บาป ทำ� กรรมแก่
ตัวเอง จะไปถามธรรมะอย่างนน้ั อย่างน้ี ให้พระเพื่อนตอบไม่
ได้ ชี้หน้าชี้ตา ดุด่าว่าร้ายต่างๆ ผลสุดท้ายก็จะเป็นบาปเป็น
กรรมแก่ตัวเอง
ในที่สุดพระองค์เจ้าก็เลยนิมิตปรากฏตัวข้ึนข้างหน้า
พรอ้ มกนั เมอื่ จะถงึ กฏุ นิ นั่ เอง ไมก่ เ่ี มตร พระองคเ์ จา้ กม็ าประจนั
หน้าพอดี ก็เลยถามว่า ตุจฉะ น่เี ธอจะไปไหน ก็บอกพระองค์
เจ้าว่า ข้าพระองค์จะไปเย่ยี มเพ่ือนเจ้าข้า เราก็เหมอื นกัน จะไป
เย่ยี มเพื่อนท่านเหมอื นกันนัน่ แหละ ไป ไปด้วยกนั ก็เลยข้นึ ไป
พระตุจฉะชักลังเล แล้วกไ็ ม่พดู อะไรเลย พระองค์เจ้าก็
เลยถามธรรมะเลย คือถามธรรมะ ถามใคร ถามเพอื่ นผู้บรรลุ
ธรรมอรหันต์แล้ว ให้พระตุจฉะฟงั ไว้ก่อน ถามธรรมะหมวดนั้น
หมวดน้ี หมวดหยาบ หมวดกลาง หมวดละเอยี ด ทกุ หมวด ผู้
เป็นพระอรหันต์ตอบได้ทุกอย่าง ละเอียดถ่ียิบทีเดียว ค�ำถาม
20 แนวทางสู่โสดาบัน
พระพุทธเจ้าถาม มันไม่เป็นไปตามต�ำราท่ีพระตุจฉะศึกษามา
เลย เขาถามเรอ่ื งจติ อาการของจติ เรอ่ื งบรรลธุ รรม จติ บรสิ ทุ ธิ์
อย่างไร ก็ต้องถามหมดทุกสูตรเลย ถามอาการท่ีเป็นอยู่ใน
ปัจจบุ ัน เปน็ อย่างไร ก็ถาม พระผู้เปน็ อรหันต์กต็ อบได้ทง้ั หมด
พระตุจฉะก็เลยงง ถ้าพระองค์เจ้าถามเราอย่างน้ีบ้าง
เราตอบได้ไหม ตอบไม่ได้เลย จึงก้มหน้าอยู่อย่างน้ัน เม่ือ
พระองคเ์ จา้ ไดจ้ งั หวะ ถามพระตจุ ฉะบา้ ง ตจุ ฉะ เราถามธรรมะ
หมวดน้กี ่อน แล้วก็ถามไป ถามธรรมะหมวดไหนก็ ไม่รู้พระเจ้า
ค่ะ ตอบไม่ได้ ถามธรรมะหมวดไหนก็ ไม่รู้พระเจ้าค่ะ ทุกอย่าง
คำ� เดยี วตอบไปว่า ไม่รู้พระเจ้าค่ะ
แนวทางสโู่ สดาบัน 21
พระองค์เจ้าว่า ตุจฉะโปฐิละ ท่านตุจฉะจึงได้นามว่า
โปฐลิ ะ จนถึงทกุ วนั น้ี โปฐลิ ะ เป็นช่อื ใหม่ โปฐลิ ะ แปลว่า ผู้แบก
คัมภรี ์เปล่า น่นั เอง คือว่า ความรู้ท่วมหัวเอาตวั ไม่รอด มคี วาม
รู้จรงิ ๆ แต่หาปญั ญาส่วนตัวไม่มี มแี ต่ความรู้เท่านน้ั
พระตุจฉะเสียอกเสียใจพอสมควร อายเพื่อน อับอาย
เตม็ ทแ่ี ลว้ ไอเ้ พอ่ื นเราตอบไดท้ กุ อยา่ ง แตเ่ ราศกึ ษามามาก ตอบ
พระพทุ ธเจ้าไม่ได้เลย น่ีคอื พระองค์เจ้าถาม
ได้อธิบายเร่ืองน้ีให้คนได้ศึกษาว่า พระตุจฉะโปฐิละน้ี
เป็นผู้ลืมตัวว่าตัวเองรู้มาก ศึกษามาก ตัวรู้มากตัวเดียวน้ี คน
เข้าใจว่าตวั เองมปี ญั ญามาก ความจรงิ ไม่ใช่ เป็นคนรู้มากเฉยๆ
ไม่ใช่ปญั ญามาก
พระตุจฉะก็เลยมีมานะขึ้นมาว่า เพื่อนเราไปปฏิบัติ
ธรรมะอะไร ก็ไม่รู้มากมายก่ายกอง แต่ไปปฏิบัติแล้วเป็นพระ
อรหันต์ได้ เรารู้มากกว่านั้น เราจะน�ำไปปฏิบัติให้รู้เร็วกว่าน้ัน
อกี ก็เลยออกไปปฏบิ ตั ิ เอาธรรมะท่พี ระองค์เจ้าตรัสไว้แล้วไป
พจิ ารณา ธรรมะหมวดนน้ั เปน็ อยา่ งนนั้ ธรรมะหมวดนเ้ี ปน็ อยา่ ง
นี้ ก็พจิ ารณาทกุ ธรรมทุกหมวด ทัง้ เดนิ ทงั้ น่งั ท้งั คนื ทั้งวัน เอา
เต็มท่ี นานหลายวันต่อหลายวัน ก็ไม่สามารถบรรลุธรรมเป็น
พระอรยิ เจ้าได้
22 แนวทางสโู่ สดาบัน
สดุ ท้าย กไ็ ปขอมอบกายถวายชวี ติ เปน็ ศษิ ย์ขององค์นนั้
บา้ ง องคน์ บ้ี า้ ง ใครกไ็ มก่ ล้ารบั เปน็ ครอู าจารย์สอนให้ เพราะว่า
เปน็ คนรมู้ าก เปน็ คนมโี อหงั เปน็ ผมู้ ที ฏิ ฐมิ านะสงู ใครกไ็ มอ่ ยาก
ไปยุ่งด้วย ไม่ได้เปน็ ครูอาจารย์ ไม่อยากสอนด้วย เพราะถอื ว่า
ตวั เองเก่ง เรียกว่า มานะอตั ตา มานะเกิดข้นึ จากการศกึ ษามา
มาก เรยี นรู้มากนั่นเอง ไอ้ตัวน้ี ใครกไ็ ม่กล้าสอน ก็ไปเรื่อยๆ ไป
หา มอบกายถวายตวั เปน็ ศษิ ย์องค์อน่ื ไปเรอื่ ยๆ ใครกไ็ ม่กล้ารบั
กพ็ อดไี ปเหน็ เณรองคห์ นง่ึ เดนิ จงกรมเล่นอย่ใู กลห้ นอง
นำ�้ แห่งหน่งึ เณรน้นั เป็นอรหนั ต์แล้ว มีอภญิ ญาแล้ว กไ็ ปมอบ
กายถวายตัวกับเณร เณรก็ไม่กล้ารับ ไม่เอาหรอก คือพระ
โปฐิละมาหา รู้ไหมว่าเณรเป็นอรหันต์ ไม่รู้ จะไปขอมอบกาย
ถวายตวั เป็นศษิ ย์ ให้เณรสอนธรรมะ สอนแนวทางปฏบิ ตั ิให้
ผลสุดท้ายก็ไปขอเณร เณรก็ไม่ยอม แต่ในท่ีสุดก็มีข้อ
ตกลงกันว่า ถ้าอาจารย์จะให้ผมสอนธรรมะให้ ต้องมขี ้อแม้นะ
คอื ถ้าธรรมะหมวดไหนผมไม่ได้ให้อุบาย อาจารย์อย่าไปปฏิบตั ิ
ทง้ั น้นั ธรรมะหมวดไหนทผ่ี มสัง่ เอาไว้ อาจารย์ไปปฏบิ ัตติ ามได้
น่เี รียกว่า ทรมานกนั
แนวทางสโู่ สดาบนั 23
ในเบือ้ งต้น เณรบอกให้อาจารย์ลงในหนองน�ำ้ พอเดิน
ลงไปๆ น�้ำถึงหัวเข่า ก็บอกให้อาจารย์ข้ึนมาๆ พอข้ึนมาถึงฝั่ง
แล้ว เอ้า อาจารย์ลงไปใหม่ ลงไปก็เดินไปเร่อื ยๆ จนกระทง่ั น�ำ้
ข้ึนมาถึงเอว จึงร้องบอกอาจารย์ขึ้นมาได้ ข้ึนมา พอมาถึงฝั่ง
แล้ว อาจารย์ลงไปอกี ไปอกี เดินไปเร่อื ยๆ จนนำ้� ถงึ บ่า กบ็ อก
อาจารย์ขึ้นมา เพราะรู้สึกว่าอาจารย์คงเชื่อฟังเราแล้ว คือลด
มานะทฏิ ฐลิ งแล้วนัน่ เอง
จากนัน้ กม็ าศกึ ษา มาคุยกันว่า สงิ่ ใดท่อี าจารยศ์ กึ ษา
มาท้งั หมดนน้ั คอื เปน็ ธรรมะพระพุทธเจ้ากจ็ รงิ ใหว้ างเอา
ไวก้ อ่ น ธรรมะคอื ธรรมะ แตต่ อนนอี้ าจารยไ์ มม่ ปี ญั ญาเลย
แม้แต่นิดเดียว มีแต่ความรู้เฉยๆ อาจารย์ต้องฝึกปัญญา
เปน็ ของตัวเองให้มากเอาไว้ ขณะน้ี ตอ้ งฝึกคดิ ให้เปน็
24 แนวทางส่โู สดาบัน
คดิ อย่างไร ก็บอกอุบายการคิดให้ คดิ ด้วยปัญญา คดิ
ตรงไหนทว่ี ่า คดิ ไปตามตำ� ราท่ตี ัวเองเคยศกึ ษามาแล้ว เณรจะ
บอก หยดุ ๆ อาจารย์หยุดๆ อันนีเ้ ป็นปรยิ ตั ิ อย่าไปคิด อันน้ัน
ไม่ใช่ปัญญาของอาจารย์นะ ธรรมะหมวดที่อาจารย์คิดอยู่นั่น
นะ เปน็ ธรรมของคนอนื่ เขา ไมใ่ ชป่ ญั ญาธรรมะของอาจารย์ คดิ
แบบใหม่ อย่างนี้ เณรก็พยายามดูแลอยู่ อาจารย์ก็พจิ ารณาไป
เรอื่ ยๆ คอื ไม่เป็นไปตามปรยิ ตั ิท่ีเคยศกึ ษามา
การใชป้ ญั ญาพจิ ารณาคำ� สอนของพระพทุ ธเจา้ ทง้ั หมด
นั้น อย่าเอาตามต�ำรา และอย่าท้ิงต�ำรา น้ีเป็นค�ำสอนของนัก
ปราชญ์ ครบู าอาจารย์ท่านสอนเอาไว้ ในสมยั ก่อนๆ ยุคเรากม็ ี
หลวงปู่มั่นเคยเตือนหลวงปู่ขาว ท่านเล่าให้หลวงพ่อฟังหลาย
ครั้งหลายหนว่า หลวงปู่ม่ันสอนอย่างนี้ๆ ว่า การใช้ปัญญา
พิจารณานั้น ต้องอาศัยปัญญาเฉพาะตัวล้วนๆ พิจารณา
ธรรมะ แต่ธรรมะท่ีศึกษามาแล้วก็ไม่ท้ิง เอาอยู่ เอาเป็น
ตวั อยา่ งเฉยๆ แตไ่ มเ่ ลยี นแบบตามนนั้ แตก่ ค็ ดิ ใหใ้ กลเ้ คยี ง
กันท่สี ดุ อยใู่ นแนวเดยี วกัน เรยี กว่า อย่าเอาตามตำ� รา และ
อยา่ ทงิ้ ตำ� รา สดุ ทา้ ย พระโปฐลิ ะกไ็ ดบ้ รรลธุ รรมเปน็ พระอรหนั ต์
คืออาศัยเณรน้อยช่วย
แนวทางส่โู สดาบัน 25
พิจารณาการเกดิ ดบั ในวัตถุสมบตั ิ
แตท่ กุ วนั น้ี เราจะเอาอะไรเปน็ หลกั เกณฑ์ เพราะธรรมะ
ที่เราศกึ ษามาทั้งหมดนน้ั ทุกคนก็ศกึ ษามามาก ธรรมะกม็ ีมาก
ครบู าอาจารยแ์ ตล่ ะอาจารยเ์ ขยี นขน้ึ มามากมาย หลวงพอ่ กอ็ งค์
หน่ึงที่เขียนหนังสือขึ้นมาในยุคน้ีเพื่อให้คนได้อ่านกัน ให้คนได้
พจิ ารณา หลายต่อหลายคนกเ็ ข้าใจว่า หนงั สอื ธรรมะหลวงพ่อ
ทลู อ่านแล้วเข้าใจ และจะพยายามปฏบิ ัติตามหลวงพ่อทูล แต่
แล้วก็ไม่ท�ำตาม กลบั ไปทำ� สมาธเิ หมอื นเดมิ
หลวงพ่อเขียนหนังสือข้ึนมา หลวงพ่อจะเน้นหนักเร่ือง
สติปญั ญาเป็นแกนนำ� เปน็ ตัวนำ� ทางของการปฏบิ ัตทิ งั้ หมด ถ้า
คนสติปัญญาไม่เก่ง ไม่ดีแล้ว มนั ยากต่อการปฏิบัติ หลวงพ่อ
เห็นผลประโยชน์ในการใช้ปัญญา
สมยั นนั้ หลวงพ่อเป็นฆราวาสอยู่ กม็ หี ลวงพ่อองค์หนึง่
ชอ่ื หลวงพอ่ บญุ มา ในตอนหนงึ่ ทา่ นบณิ ฑบาต เรากไ็ ปใสบ่ าตร
ท่าน ท่านเลยบอกว่า ทลู ค�ำ่ ๆ น้ไี ปหาหน่อยนะ ครับ เรากน็ กึ
ว่า เอ ท่านป่วยหรือเปล่า ไม่สบายหรอื เปล่า ประมาณสัก ๕-๖
โมงเย็นก็เลยไปวดั สะพายเป้ยาไปด้วย ทั้งยาฉดี ยาไม่ฉดี ยา
เม็ด เอาหมด เผอ่ื ว่าถ้าท่านป่วยจะได้ใช้ แต่ก่อนหลวงพ่อเป็น
หมอเถอื่ นตามบ้านนอก ฉดี ยาคน ให้ยาคน
26 แนวทางสู่โสดาบนั
ไปถึงเห็นท่านเดินจงกรมอยู่ พอเห็นหน้า ท่านก็ขึ้นกุฏิ
ก็ข้นึ ตามท่านไป ท่านกน็ อน บนทีน่ อน ท่านบอกว่า จบั เส้นให้
หน่อย ท่านพดู เป็นคำ� แรก เรากจ็ บั เส้น จบั ไปจบั มา ประมาณ
ไม่เกิน ๑๐ นาที ท่านกล็ กุ ขนึ้ นงั่ แล้วกว็ ่า อยากฟังเทศน์ไหม
เราก็ตอบว่า อยากฟงั ครับ เอ้า ตัง้ ใจฟงั นะ ครับ เอานะ เกิด...
ดบั เกิด...ดับ ถามว่ารู้เรอ่ื งไหม เราก็ว่า รู้ครบั เอ่อ ฟงั อีกนะ
เกิด...ดบั เอ้า กลับบ้านได้
นคี่ อื ฟงั ธรรมะกณั ฑแ์ รกในชวี ติ จากพระกรรมฐาน ชวี ติ
น้ีเกิดมา อายุถึงปูนนั้นแล้ว ย่ีสิบกว่าปีแล้ว ไม่เคยฟังธรรมะ
กรรมฐาน แมแ้ ตค่ รง้ั เดยี ว เปน็ ครงั้ แรกคอื คำ� น้ี พอว่า เกดิ ...ดบั
แนวทางสโู่ สดาบัน 27
เท่าน้ันแหละ เหมือนกับว่า เกิดดับ มันลงถึงใจ น�้ำตามันไหล
พล่กั ๆ กราบท่านก็ไหล ลงบนั ไดมา น�้ำตามันไหล ปิติเอิบอ่มิ ใจ
อะไรมากมายขนาดน้ัน เหมือนกับว่า ปัญญาเราคอยสอนเรา
ไมม่ ใี ครสอนหรอก ในความรสู้ กึ สว่ นตวั มนั มองวา่ เกดิ คอื อะไร
ดับคอื อะไร
พอเดนิ ออกมาจากวดั กลบั บา้ น ระยะทางกโิ ลเดยี ว เดนิ
ทาง ๖ ชว่ั โมง กวา่ จะถงึ บา้ น ๖ ชว่ั โมง มนั เดนิ ไมไ่ ด้ เพราะอาศยั
ปญั ญา มนั พิจารณาเรอ่ื ง การเกดิ การดับ พิจารณาเร่อื งทุก
ส่งิ ทุกอย่าง คำ� ว่าเกิดน้ี เราเอามาจากไหน ตำ� ราเคยอ่านไหม
เคยอ่านมาก่อน สมยั เปน็ เณรกเ็ คยอา่ น เคยศกึ ษามา แต่ไม่เคย
ในภาคปฏบิ ตั ิ ไม่เคย คร้ังน้ีเปน็ วันแรก คอื จดุ แรกทไ่ี ด้อาศยั ฟัง
ธรรมะกรรมฐาน เขยี นย่อๆ ว่า เกดิ ดับ เท่านน้ั เอง
แต่ก็มาเพมิ่ เตมิ ใหม่อกี คำ� หนง่ึ เพราะว่า คำ� วา่ ดับ น้ี
มันเปน็ อาการสุดทา้ ยแลว้ เราตอ้ งการจะให้ปญั ญาขยาย
มากกวา่ น้ี ก็ตอ้ งเพ่มิ ค�ำวา่ ต้ังอยู่ เกิดข้ึน ตง้ั อยู่ แลว้ กด็ ับ
ไป ทนี เี้ ราใช้ปญั ญา ทเี่ รยี กว่า เกิดข้นึ และก็ต้งั อยู่ ตวั ต้งั
อยนู่ เี่ องเปน็ ตวั ขยายปญั ญาใหก้ วา้ งขวางพสิ ดาร ถา้ ดบั ไป
เลย ปญั ญามนั ไม่ขยาย มนั หมดแล้ว เช่นว่า เราเกิดข้นึ มา
เกดิ ขน้ึ มาแลว้ ดบั หมายถงึ ตาย ชวี ติ หมดไปแลว้ แตบ่ นั้ ปลาย คอื
ชวี ิตหมดไป เรายงั ไม่ถงึ จดุ นน้ั
28 แนวทางสูโ่ สดาบนั
เดี๋ยวน้ีเรายังมีการตั้งอยู่ คือยังไม่ตาย เอายังไม่ตายนี่
แหละ คือต้ังอยู่ มาเป็นหลักในการคิด เอามาแยกแยะ มา
พจิ ารณาหาความจรงิ เอาอาการตงั้ อยมู่ าเปน็ หลกั ในการคดิ
แยกแยะว่า คนที่มีความสุขก็ดี ทุกข์ก็ดี เดือดร้อน
กระวนกระวาย หรือโลภ โกรธ หลงก็ดี แสดงออกในจุดที่
ต้ังอยู่นเ่ี อง เอาต้ังอยู่มาคดิ กัน
ส่ิงใดเกิดข้ึน ค�ำว่า เกิด ค�ำเดียว คืออะไรเกิด เกิดมี
ลกั ษณะ ๒ ประเภท
๑) สงิ่ มจี ิตวญิ ญาณ
๒) สง่ิ ทีไ่ ร้วญิ ญาณ
ส่งิ ทไ่ี ร้วญิ ญาณ หมายถึง ต้นไม้ต่างๆ เปน็ สงิ่ ที่ไม่มจี ิต
ครองร่าง เขาเกิดได้ พวกเห็ดต่างๆ พืชพันธุ์ต่างๆ ตัวเกิดท้ังนน้ั
นี่เกิดจากธรรมชาตขิ องมัน
เม่ือเกดิ ข้ึนมา มนั กอ็ ยู่ชัว่ ขณะ ตั้งอยู่ช่วั ขณะ แล้วกด็ บั
ไป คือตายไป นี่ส่วนหนง่ึ คนเราก็มีลักษณะเกดิ ขนึ้ มาตามบุญ
กรรมของใครของมัน เม่ือเกดิ ขน้ึ มาแล้ว ก็มาตัง้ อยู่ช่วั ขณะ มา
รบั ผลกรรมทส่ี ร้างเอาไว้ คนจะมีความสขุ ความทุกข์ต่างกนั มี
ความรวยความจนต่างกนั กเ็ พราะกรรมเก่าตามสนองตวั นี้ คอื
สนองตอนตงั้ อยู่ แล้วก็ดบั ไปเช่นเดยี วกนั ไม่ว่า เศรษฐี คนจน
สดุ ท้ายกด็ ับเหมือนกนั
แนวทางสโู่ สดาบนั 29
หลวงพ่อก็ต้องอาศัยตัวตั้งอยู่เอามาคิด ตอนเป็น
ชาวสวน เอาเร่ืองการเกดิ ดับมาคิด ท�ำงานอยู่กค็ ิด ขดุ จอบขดุ
เสยี มเดยี๋ วกค็ ดิ ถางป่ากค็ ดิ เรอ่ื งการเกดิ ดบั ตลอดเวลา บางวนั
ต้องร้องห่มร้องไห้ ขณะท�ำงานอยู่ น้�ำตาไหล ร้องไห้ อ้าปาก
ร้องไห้กับตวั เอง คืองับปากไม่ได้ มนั ร้องเสยี งดงั ต้องสอนตัว
เอง ทูลเอ๋ย มงึ เกดิ มาท�ำไม มงึ เกดิ มา มึงต้องต่อสู้ในการงาน
อย่างนี้ มงึ เกดิ มามงึ ทกุ ข์อย่างน้ี อย่างน้ีหรอื สอนตัวเองตลอด
เวลา ท�ำงานไป ถางป่าไป ขดุ ดนิ ไป สอนตัวเองไป ร้องไห้ไป คอื
ร้องไห้หลายๆ คร้ัง เดอื นหน่งึ หลายครง้ั ร้องไห้ ยิง่ ร้องไห้ ยิ่ง
สอนตัวเองในลกั ษณะน้ี ในแต่ละอย่างเอามาคดิ ส่วนตัว
30 แนวทางสโู่ สดาบัน
มีเพ่ือนเขาเคยปฏิบัติมาก่อน เข้ามาถาม ทูลๆ เคย
ภาวนาไหม ไม่เคย ไม่รู้จกั ภาวนาคอื อะไรไม่รู้ ไม่เคย ภาวนา
บ้างสิ ภาวนายงั ไง ไม่เคย เขากถ็ ามว่า เคยนง่ั สมาธไิ หม ไม่ ไม่รู้
จักสมาธิเลย ท�ำสมาธิบ้างสิ ท�ำอย่างไรสมาธิ เขาก็ว่า นั่งขัด
สมาธิ หายใจเข้านึกว่า พทุ หายใจออกนกึ ว่า โธ เอ้ จรงิ หรือ
เปล่า
กไ็ ปถามหลวงพอ่ หลวงพอ่ บญุ มา ไปถามวา่ หลวงพอ่ ๆ
เขาวา่ ภาวนาทำ� สมาธนิ กึ คำ� บรกิ รรม หายใจเขา้ นกึ วา่ พทุ ออก
นึกว่า โธ ใช่ไหม ใช่หรอื ไม่ เอ่อ ใช่ล่ะ นนั่ ก็อุบายประกอบหน่งึ
นะ เป็นอบุ ายประกอบอนั นงึ เรากจ็ �ำได้
กลบั บ้าน มาทดลองท�ำสมาธิ มาลองทำ� ดู ตั้งใจท�ำคนื
แรก หายใจเข้านกึ วา่ พทุ ออกนกึ วา่ โธ ทว่ี ่ามานี้ ทำ� ไปไมก่ นี่ าที
รู้สกึ ว่า ความต้งั มั่นของจติ มนั แน่วแน่ในการนกึ คำ� บริกรรมตัว
น้ี มนั แน่วแน่มาก เหมือนว่า ค�ำบรกิ รรมมนั ละเอยี ดเข้าๆ ในคนื
นั้นสงบไม่รู้กี่ชั่วโมง นับไม่ได้ น่ีเป็นคร้ังแรกของการท�ำสมาธิ
เป็นคร้งั แรกด้วย วนั แรกด้วย สงบเต็มที่ ลงเต็มทเ่ี หมือนกัน ใน
คนื นั้นก็มอี ะไรเกิดขึ้นหลายๆ อย่าง มีเสยี งเกิดข้นึ บ้าง มีเสียง
บอกว่า มาเปน็ ฆราวาสไม่ถูกละนะ ทลู มนั เกดิ ขึน้ จากใจตัวเอง
นคี่ ือตวั อย่างการเอาการเกดิ ดับมาเปน็ หลกั ในการคดิ
แนวทางส่โู สดาบัน 31
พืชผลท่ีเราปลูกมกี อี่ ยา่ ง เอามาคดิ ใหห้ มด สิง่ ใดท่ี
เราถอื วา่ เปน็ ของของเรา กรรมสทิ ธขิ์ องเรา เอามาคดิ ลงสู่
ไตรลักษณ์ทั้งหมด เพราะส่ิงเกิดข้ึนทั้งหมดนั้นมันเป็นไป
ตามไตรลักษณ์ คอื อนจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตา ท่เี อามาคิดกนั
ทกุ วันๆ ทำ� งานอยู่กไ็ มใ่ หข้ าดวรรคขาดตอน คิดบอ่ ยๆ ไป
ปลูกกลว้ ยแต่ละต้น ไปปลกู ท่ีไหนก็ต้องพจิ ารณากอ่ น ไป
ปลูกมันแต่ละหวั กพ็ จิ ารณาก่อน พจิ ารณาทกุ เรอ่ื ง คือไม่
ขาดวรรคขาดตอนกนั
คำ� ว่า เกดิ เราตคี วามหมายวา่ เราเกดิ เพราะอะไร อะไร
ท�ำให้เราเกดิ จะว่ากรรมใช่ไหม กถ็ ูก เรียกว่า กรรม แต่ส�ำคัญ
ที่ท�ำให้เรามาเกิดได้ มีตัวหนึ่ง เรียกว่า ตัวยึดม่ัน ค�ำว่า
อปุ าทาน ตามภาษาพระวา่ อปุ าทาน ความยดึ มั่น
ความยดึ ม่นั น่แี หละ ทำ� ให้เรามาตดิ ยดึ ในของส่งิ ใด
ภพชาติทเี่ กดิ ตอ้ งเกดิ ในของทีเ่ รายึด หลวงพ่อเข้าใจในคนื
นน้ั เดนิ จงกรมบา้ ง นง่ั บา้ ง ในปา่ กลว้ ย เดนิ จงกรม คดิ พจิ ารณา
เร่ืองการที่คนมาเกดิ มาเกดิ เพราะอะไร เพราะว่าความยึดม่นั
ก็มาศึกษาดูว่า ใครก็แล้วแต่ในโลกใบน้ี มาเกิดได้เพราะความ
ยึดม่ัน ทั้งหมดเลย อย่างเราเดี๋ยวน้ีก็เหมือนกัน มาเกิดเพราะ
ความยึดม่ันต่ออะไรสักอย่างหนึ่ง แต่ความยึดม่ันจะไม่เหมือน
กนั นะ แต่ว่ามาเกดิ เปน็ ภพชาติเหมือนกัน
32 แนวทางสโู่ สดาบัน
น่ีลักษณะเรียกว่า เอาเร่ืองความยึดมั่นมาเป็นหลัก
ในการใช้ปัญญา มาแก้ไขความยึดมั่นของตัวเองว่า อะไร
บ้างที่เราถือว่าเป็นกรรมสิทธ์ิส่วนตัว เรายึดว่าน่ีเป็นของ
ของเรา คำ� ว่า ตวั เรา เอาไวก้ อ่ นนะ คือธาตุ ๔ เราเอาไว้
กอ่ น ธาตดุ นิ นำ�้ ลม ไฟ เอาไวก้ อ่ น จะเอาพจิ ารณาวา่ ของ
ของเรามีอะไรบ้าง ก็พิจารณาเอาแต่ละอย่างในบ้านเรา
ของส่วนตัวอะไรบ้าง เอาแต่ละอย่างมาพิจารณาลงสู่
ไตรลกั ษณ์ พยายามสอนใจตวั เองให้ได้
แนวทางสโู่ สดาบัน 33
การข่เู ข็ญ การปลอบใจตวั เอง
เรียกว่า ปัคคหะ คือ รู้จักวิธีการปลอบใจตัวเอง และ
นคิ คหะ คอื รู้จักขู่เข็ญใจตัวเองบ้าง คอื ดุด่าตัวเองบางกาลบาง
เวลา และกป็ ลอบใจตัวเองบางกาลบางเวลาเช่นเดยี วกนั
คือใจเรามันมีตัวแปรส�ำคัญ คือตัวความอยาก ความ
อยากเร่ืองตัณหา มันท�ำให้ความอยากเกิดข้ึน แล้วท�ำให้เกิด
ความยึดตามมา ความอยากความยึด ยอ ๒ ยอ จ�ำให้ดี
อยากกบั ยดึ เขาคเู่ คยี งกนั มา ตวั ความอยากอนั นแ้ี หละ เปน็
พ้ืนฐานท�ำให้เกดิ กิเลสทงั้ หมด คอื ความอยากตวั น้ี
ความยดึ ความอยาก ๒ ตวั นเี้ ปน็ หลกั ใหญ่ คอื มนั อยาก
ของสงิ่ ใด มนั ยึดในของสง่ิ นั้น น่ี ๒ ตัวน้ี หลวงพ่อจะหนักแน่น
ใน ๒ ตวั น่ันล่ะ มันยดึ เพราะความอยาก อยากเพราะยดึ เอาล่ะ
ทีน้ี คนจะมาหลงโลกหลงสงสาร ก็มาหลงเพราะความอยาก
ความยึดของตัวเอง นก่ี โ็ มหะ หลงก็หลงตัวน้ี หลงความอยาก
ความยดึ เหมอื นเดมิ นี่ ๒ ยอ นค่ี วามอยากความยดึ ระวังให้ดี
นักปฏิบัติต้องมาศึกษาให้รู้ว่า ความอยากอยู่ที่ว่าใจ
เราเป็นตัวอยาก ความยดึ เม่อื ใจเปน็ ความอยาก แต่ส่ิงท่ใี ห้
ยึดมอี ะไรบา้ ง หาใหเ้ จอตวั น้ี ส�ำคญั มาก
34 แนวทางสู่โสดาบนั
ส่ิงที่ให้เรายึดมีอะไรบ้าง ส่ิงเหล่านี้คือ ของของตน มี
อะไรบ้างต้องหาให้เจอ ส่ิงให้อยากมีอะไรบ้าง อยากคืออะไร
อยากได้ อยากมี อยากรวย อยากโน่นอยากน่ี พอไม่เปน็ อิม่ ไม่
เปน็ น่ีความอยาก มันจะยาวไปอกี เป็นตวั เสรมิ ไปกบั ความยดึ
ย่ิงอยากมากเท่าไหร่ ความอยากยึดก็อยากมากเท่าน้ัน คือ
อยากอยู่กับยดึ คู่เดยี วน้เี ป็นหลักอบุ ายในการคดิ
ของหลวงพ่อสมยั เปน็ ฆราวาส ฝึกคดิ บ่อยๆ คดิ ทกุ วนั ๆ
๒ ตัวนี้ อุปาทานก็เหมือนกัน ค�ำน้ีเป็นค�ำบาลีเฉยๆ อุปาทาน
คือค�ำบาลี ภาษาไทยแปลไว้แล้วคือ ความอยาก ความยึด
นน่ั เอง
ให้พิจารณาบ่อยๆ ทุกอย่างแต่ละวันๆ พิจารณา
แต่ละอย่าง มันอยากในส่ิงของที่เป็นของของเรา เอามา
พจิ ารณา แลว้ กด็ ดุ ่าตัวเองบ้าง ขู่เข็ญตัวเองบา้ ง คอื ปล่อย
ให้เป็น คือวางแต่ละอย่างๆ ไป ไม่ได้วางพร้อมกัน วันน้ี
พจิ ารณาเร่ืองอะไร ตอ้ งละเรอ่ื งนี้ วางให้ได้ เอาเปน็ เร่อื งๆ
ไป พจิ ารณาเร่อื งไหน ก็ต้องวางเรอ่ื งนั้นให้ได้
ในท่สี ุด ในช่วงนนั้ วัตถสุ มบัตทิ ่ีเรามอี ยู่ ท้ังเงนิ ก็ดี พืช
ผลอน่ื กด็ ี เหมอื นกบั ไมม่ อี ะไรสกั อยา่ ง เหมอื นมนั ปลอ่ ย มนั วาง
หมดแลว้ ไมม่ อี ะไรเปน็ ของของเราเลย แตก่ ม็ คี วามรสู้ กึ อยลู่ กึ ๆ
ว่า มันมีสกั อย่างหน่งึ มนั มอี ยู่ แต่มองไม่เห็นว่าคอื อะไร
แนวทางสู่โสดาบนั 35
หลายวนั ต่อมา ก็ได้ไปสวน ไปดพู ชื สวนต่างๆ ท่มี ีอยู่ ไป
เจอตน้ มะมว่ งทปี่ ลกู เอาไว้ เคยพดู ในประวตั หิ ลวงพอ่ ไปเหน็ ตน้
มะม่วง มนั ดดู กนั เหมอื นกบั เหลก็ กลา้ ดดู เหลก็ ธรรมดา ดดู ดดู
ยาวไปเลย มันดูดใจตัวเองรุนแรงมาก มนั สะดุ้งขึ้นมา มะม่วง
แคน่ ห้ี รอื มงึ ดดู กู เรยี กวา่ สมบตั พิ ชื ผลตา่ งๆ กไ็ ดพ้ จิ ารณาหมด
แล้ว มะม่วงท่ปี ลกู ไว้แล้ว ๔-๕ ต้น มันเป็นมะม่วงพันธ์ุดี ปลกู
เปน็ พเิ ศษหนอ่ ย มนั ยดึ ลกึ ๆ มนั อยนู่ อกบา้ น ไกลบา้ นหนอ่ ย หา่ ง
ออกไปมันเลยลมื พอไปเจอเท่านน้ั แหละ มันดูดกนั ทนั ที
กต็ ้องนัง่ ลงกบั ท่ี นั่งเข้าท่ี พจิ ารณา พิจารณาไป ดดุ ่า
ตัวเองไป ยดึ ท�ำไม สอนตัวเองบ้าง สอนว่า เธอมายดึ ของส่งิ ใด
36 แนวทางส่โู สดาบนั
มาเกิดในของส่งิ นน้ั ก็พิจารณาไปหมด เดี๋ยวก็ต้องตายไป แล้ว
ต้องเป็นด้วงบ้าง เป็นผีเส้อื บ้าง เปน็ อะไรที่มาเกดิ กบั ต้นมะม่วง
ต้นนี้ นค่ี ือด่าตัวเอง ให้มันวาง ให้มนั ถอนตัว
เหมือนกับเราเห็นงูท่ีกินเขียด พองูคาบขาเขียดปั๊บ จะ
บอกมนั ง่ายๆ ว่า งเู อ๊ย อย่าไปคาบขาเขยี ดเขานะ เขาร้อง เขา
จะตายเอานะ ปลอ่ ยเถอะ บอกแคน่ ้ี มนั จะวางไหม ไมว่ างหรอก
ไม่วาง ต้องใช้พระเดช คอื ถ้าไม่ตตี วั งู ก็ต้องตใี ห้ใกล้ตัวงู เอาไม้
ตี ปบั๊ ใกล้ๆ นะ มนั จะตน่ื ตัว มันจะวาง นค่ี ือว่า นิคคหะ คอื ว่า
ขู่เข็ญ ใจเราก็เช่นน้ัน คือด่าตัวเองให้เป็น ปัคคหะ ก็คือ การ
ปลอบใจตัวเอง บางครั้งบางเวลา น่ีคือว่า นิคคหะ ปัคคหะ
เรยี กว่า การขูเ่ ข็ญ การปลอบใจตวั เอง บางคร้งั บางครา
ในวันนั้นท้ังวันไม่ท�ำงาน ไปน่ังพิจารณามะม่วง ๕ ต้น
นั้น เอาเต็มท่ี สุดท้ายก็วาง วางขาดได้เลย วางขาดได้ มะม่วง
๕ ต้นนน้ั หายใจโล่งขน้ึ มาว่า ชีวติ เรามอี ีกไหม กน็ ึกถงึ มะม่วง
อีกต้นหน่ึงที่ปลูกเอาไว้ห่างออกไปอีก รักมากเป็นพิเศษ ไปดู
รอบสอง โอ้ ย่งิ ไปใหญ่ ยง่ิ ดดู แรงกว่าเก่าอกี ก็พจิ ารณากนั อกี
นั่งพิจารณาในวนั นน้ั ไม่ได้ ท้ังคนื ทง้ั วนั ตดิ ต่อกัน ๓ คืน ๓ วนั
กับมะม่วงต้นเดียว ให้มันถอนความยึดม่ันถือม่ันกับมะม่วงต้น
เดียว รนุ แรงขนาดไหน รนุ แรงมาก พจิ ารณา ๓ คนื ๓ วัน
วันสุดท้าย คือคืนน้ันประมาณเท่ียงคืน พิจารณาอยู่
เวลามันเหนื่อย ในการพิจารณาก็นึกค�ำบริกรรมให้จิตสงบไป
แนวทางสู่โสดาบัน 37
บ้าง ท�ำสมาธิไปบ้าง เพ่ือเอาก�ำลังต่อสู้กัน ในคืนน้ันเป็นวันที่
ตัดสินกัน ในความยึดมั่นถือม่ันในวัตถุสมบัติท้ังหลายทั้งปวง
เป็นอนั ว่ามะม่วงกด็ ี หรอื สมบตั ทิ อี่ ่นื ก็ดี มันตดั ขาดกันทงั้ หมด
ในชีวิตทเ่ี ราเกดิ มากบั โลกอันน้ี ตงั้ แต่กัปนนั้ จนถึงปจั จุบันน้ี แต่
กอ่ นเราเคยยดึ มน่ั ถอื มน่ั ในวตั ถสุ มบตั มิ า มาสนิ้ สดุ กนั ขณะนเ้ี อง
หรือ นค่ี อื สน้ิ สุดกัน
เลยร้สู ่วนตวั ขน้ึ มาในคนื วนั นน้ั ว่า เราอย่ใู นฐานะอะไร รู้
ส่วนตัวในคนื นน้ั ในวนิ าทนี ัน้ ทันที เหตุนัน้ เรยี กว่า เข้าใจในหลกั
คำ� สอนของพระพทุ ธเจ้าทง้ั หมด มเี ท่าไร ดูเหมอื นว่ามันขึ้นมา
ให้รู้หมดเลยในคนื นัน้ ภายใน ๖-๗ วัน มันจงึ รู้สึกตัวว่า เรามี
อะไรบ้าง ที่เทียบเคียงได้กับในต�ำราที่เขาเขียนขึ้นมาว่า
สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส น้ันมันเป็นอย่างไร รู้
หมด เข้าใจแล้ว
แต่ก่อนไม่รู้ เพราะเราไม่เป็น พอธรรมะหมวดน้เี กดิ ขึน้
กับเราเท่าน้ัน มนั จะรู้ของ ๓ ตวั นี้ รู้ภายหลงั เปน็ อย่างนๆ้ี แม้ว่า
พิจารณา ไอ้ความโลภทั้งหลายท้ังปวงท่ีฝังใจลึกๆ มาร้อยกัป
พันกลั ป์มาแล้ว มาส้นิ สุดในวันนนั้ ในคนื นนั้ ในวนิ าทนี ้ันทันที ท่ี
เราบอกว่า ละความโลภนะ ละความโกรธนะ ละความหลงนะ
นั้นเป็นต�ำรา ท่ีจริงการปฏิบัติมันต้องมีข้ันตอนอีก จะไปละ
ทั้งหมดท้งั ๓ อย่างไม่ได้ เพราะใจคนมันละเอยี ดอ่อนต่างกนั ก็
ต้องอาศยั ละเบ้อื งต้นไปก่อน
38 แนวทางส่โู สดาบัน
ภมู ธิ รรมพระโสดาบัน
ตัวอย่างภูมิธรรมท้ังหลายทั้งปวง มันไม่ละกันท้ังหมด
ตวั อย่างว่าภมู ธิ รรมพระโสดาบันน้ี ไม่ใช่ว่าละราคะ ละยังไม่ได้
ราคะ ยังมีเตม็ หัวใจของพระโสดาบัน เหมือนชาวโลกธรรมดา
ความหลง หลงในกามราคะตา่ งๆ หลงไหม หลง เหมอื นคนทวั่ ไป
เช่นเดียวกัน ด้วยเหตุน้ีจึงว่า พระโสดาบันนั้น เขาละในความ
โลภตวั เดยี ว เด็ดขาด หายห่วง ในภูมิธรรมโสดาบัน เขาละเช่น
น้ัน แต่ราคะตัณหาเหมอื นเดิม
แต่ตัณหาท่ีว่ามาน้ี เขาหาไหม หา เอาไหม เอา ยังมี
ความอยากตัวน้ี เอาความอยากที่มีอยู่น้ีให้เป็นประโยชน์ให้ได้
ใจอยากแต่ไม่ยึด มันมีตัวน้ีแหละ อยากแต่ไม่ยึด คืออยาก
อยากท�ำ อยากธรรมดาๆ แต่เม่อื อยากแล้ว ได้มาแล้ว ให้ถือว่า
สิ่งท่ีได้มาท้ังหมดน้ันเป็นสาธารณะในครอบครัว ไม่ยึด ปล่อย
ความรู้สกึ เป็นของของเราไม่มอี ยู่ในใจตรงนน้ั
แม้แต่ร่างกายเราทกุ ส่วนในขณะนน้ั สมมุตวิ ่า มคี นใด
คนหน่ึงจะมาขอลูกตาเรา ให้ได้ไหม ให้ได้ หรอื หากมีคนใดจะ
มาขอหัวใจเรา ให้ได้ไหม ให้ได้ เหมอื นกับว่า วัตถุสมบัตใิ ห้ได้
ท้ังหมดเลย เหตุน้ันจึงว่า เคยอ่านต�ำราที่พระองค์เจ้าตรัสเอา
ไว้ว่า ห้ามภิกษไุ ปขอสง่ิ ของในผู้บรรลุธรรมพระโสดาบัน อะไร
แนวทางสูโ่ สดาบัน 39
กแ็ ล้วแต่ห้ามไปขอ เพราะพวกน้เี ขาจะให้หมด ขออะไรกไ็ ด้ ขอ
ตาก็ได้ ขอหัวใจก็ได้ ให้หมด อันน้ีคือขอได้ ในช่วงน้ัน คนไป
ตีความหมายว่า พระโสดาบันเปน็ ผู้เสยี สละท้ังหมด ใช่ไหม ใช่
แทจ้ รงิ มนั ไมเ่ ปน็ อยา่ งนนั้ คอื เสยี สละไดใ้ นชว่ งขณะบรรลธุ รรม
เปน็ พระโสดาบนั ครบวาระ ๗ วนั คือภายใน ๗ วนั ห้ามขอ
เพราะเขาให้หมด
แต่ถ้าต่อไปแล้ว เขาจะตั้งหลักได้แล้วว่า ชีวิตน้ียังต้อง
อาศัยส่ิงของพวกนี้อยู่ จะให้เขาก็จะให้ตามมีตามเกิด ตามท่ี
เหมาะสม เหมอื นนางวสิ าขา พ่อสอนไว้ว่า ให้ของคน ให้ส่ิงท่ี
ควรให้ ไม่ให้สิ่งท่ีไม่ควรให้ นั้นเรียกว่า การดูแลทรัพย์สินเงิน
ทองต่างๆ ไม่เปน็ คนตระหน่ถี ่ีเหนียว แต่ให้ตามความเหมาะสม
40 แนวทางส่โู สดาบัน
ขั้นตอนภูมธิ รรมพระอรยิ เจา้ ๔ ขั้น
สมัยคร้ังพุทธกาลน้ัน ผู้บรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้า
ส�ำหรับฆราวาส บรรลุธรรมขนั้ ไหน จะอยู่จนกระทั่งถงึ วันตาย
ไม่ขยบั เขยอ้ื น ถ้าผู้บรรลธุ รรมเปน็ พระโสดาบนั ฝ่ายฆราวาส ก็
จะเปน็ โสดาบนั เปน็ ฆราวาสตอ่ ไปถงึ วนั ตาย ขยบั เปน็ สกทิ าคามี
อนาคามี ไม่ได้ นค่ี อื ครงั้ พทุ ธกาล หรอื ถ้าผ้บู รรลธุ รรมเปน็ พระ
สกทิ าคามขี ณะเป็นฆราวาส ก็จะอยู่ถึงวนั ตาย สกทิ าคามี
ยกตวั อยา่ งไดว้ า่ อนาถบณิ ฑกิ เศรษฐกี บั ลกู สาว ลกู สาว
บรรลธุ รรมเปน็ สกทิ าคามี เศรษฐบี รรลุธรรมเปน็ พระโสดาบัน
แนวทางสโู่ สดาบัน 41
พ่อบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน ลูกสาวบรรลุธรรมเป็น
พระสกิทาคามี ต่อมา ลูกสาวก็ป่วย พ่อไปเย่ยี ม ลกู สาวก็พูด
กับพ่อว่า น้องชายมาแล้วหรือ มาเย่ยี มหรอื คนเลยงงว่า เอ๊ะ
ลกู สาวคนนี้ เปน็ พระอรยิ เจา้ แลว้ ทำ� ไมเพอ้ ไป ทำ� ไมไปเรยี กพอ่
ว่าน้องชายได้อย่างไร ไปถามพระพุทธเจ้า พระองค์เจ้าก็เลย
ตอบว่า ถูกแล้ว นางเรียกถกู แล้ว น้องชาย หมายถงึ ว่า ผู้เป็น
พอ่ ภมู ธิ รรมตำ่� กวา่ นางภมู ธิ รรมสงู กวา่ เปน็ พระสกทิ าคามี นาง
ได้ตายในภมู ธิ รรมนัน้ ไป
ผู้บรรลุธรรมเป็นพระอนาคามีก็เช่นเดียวกัน ฆราวาส
หลายต่อหลายคนสมัยคร้ังพุทธกาล เมอื่ ได้ภมู ิธรรมเสรจ็ แล้ว
ก็อยู่ในภูมิธรรมน้ันจนถึงวันตายเช่นเดียวกัน ไม่มีฆราวาสคน
ไหนท่ีบรรลุธรรมขั้นโสดาบันแล้ว ขยับข้ึนเป็น สกิทาคามีบ้าง
ขยับเป็นอนาคามีหรืออรหันต์บ้าง ไม่มีในต�ำรา น่ีในคร้ัง
พทุ ธกาล ผู้บรรลุธรรมทว่ี ่ามาน้ี
กพ็ จิ ารณาได้ว่า ถ้าเราปฏบิ ตั ถิ งึ จดุ นแี้ ล้ว เรากม็ องข้าง
หน้าว่า ท�ำอย่างไร ความสิน้ สดุ ของทุกข์อยู่ตรงไหน ถ้าเราจะ
ต้องการเพ่ือสิ้นสุดในภพในชาตินี้จริงๆ แล้ว จะท�ำอย่างไร มี
อย่างเดียวคือเราออกบวช ออกบวชเท่านั้น จึงได้ตัดสินใจ
ออกบวช
42 แนวทางสโู่ สดาบัน
เม่ือบวชมาแล้ว หลวงพ่อเคยพูดว่า ตั้งแต่วันบวชมา
จนถงึ ปจั จบุ นั ไมเ่ คยถามครบู าอาจารยว์ ่า ธรรมะหมวดนน้ั เปน็
อย่างไร ธรรมะหมวดน้ีเป็นอย่างไร ไม่เคยถามใคร แต่ฟัง
ครบู าอาจารย์เทศน์ ฟังเป็นไหม ฟังเป็น เข้าใจ แต่ไม่เคยถาม
ใครว่า ธรรมะหมวดนั้นเป็นอย่างไร ถามท�ำไม ก็รู้แล้ว มันรู้
ท้ังหมด จะถามเพื่ออะไร มันอายตัวเอง นึกถึงว่าจะถามคน
แต่ละอย่าง อายตวั เองข้นึ มาทันที ถามท�ำไม เรารู้อยู่แล้ว ไม่ว่า
แนวทางปฏิบัตนิ ั้น ทางท่ีตรงเราได้เดนิ เข้าไปแล้ว ไม่มีทางแยก
อน่ื เลย ไมม่ ที างอน่ื ถงึ ทางแยกมเี ยอะแยะ แตเ่ รากไ็ มแ่ ยก เพราะ
ทางตรงเรามี ทางส่วนตัวเรามี
ถึงจะมกี าลเวลาบางครงั้ บางเวลา เช่นว่า จะมมี ารบาง
สง่ิ บางอยา่ งมาผจญใหเ้ ราเขวจากทางไป มนั ออกไหม ออก ออก
ไปกเ็ สียนดิ เดยี ว เข้ามาทางตามเดมิ อำ� นาจของความรกั มันมี
ทางโลกมนั มีอยู่ เสียนดิ หน่อย เสยี ทางใจ แต่ในทส่ี ดุ ก็หนั กลับ
มาทางเดมิ อกี แล้วก็เดนิ เข้ามาน้ี
น้เี รยี กว่า ผู้บรรลธุ รรมครงั้ พุทธกาล ท่สี ุดของภยั พบิ ตั ิ
คือผู้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ทีน้ีผู้บรรลุธรรมอรหันต์ ขั้น
ตอนภูมธิ รรม ๔ ข้ัน บางคนไม่เคยบรรลธุ รรมอะไรมาก่อนเลย
พอปฏิบตั ิถึงท่ี กระโดดข้ามขน้ั เดียวไปเลย คืออรหนั ต์ไปเลยก็
มี ครง้ั พทุ ธกาล บางคนกบ็ รรลธุ รรมเปน็ พระโสดาบนั กอ่ น แลว้
ก็ต่อมาปฏิบัติไปเร่ือยๆ ถึงข้ันเข้าอรหันต์ก็มี บางคนเป็นพระ
แนวทางสู่โสดาบนั 43
โสดาบันแล้ว ก็ปฏิบัติเร่ือยๆ ขยับข้ึนไปเป็นสกิทาคาก็มี เป็น
อนาคามีกม็ ี บางคนกไ็ ม่ตามขนั้ กระโดดข้ามขนั้ ไปเลยกม็ ี ครั้ง
พทุ ธกาล ให้ดูตรงนนั้
หลวงพอ่ จะสอนใหค้ นไดศ้ กึ ษาประวตั ฆิ ราวาสสมยั ครง้ั
พุทธกาล ผู้ท่เี ขาเป็นพระอริยเจ้า ให้ศกึ ษาตรงน้ี ในพระสตู รมี
มากเลย หลวงพ่อเคยศกึ ษาเรอ่ื งในพระสตู ร ศกึ ษาหลายรอบ
จรงิ ๆ ทง้ั เรอื่ งฆราวาสญาตโิ ยมไดบ้ รรลธุ รรมเปน็ อยา่ งไร ศกึ ษา
เอาไว้ เพราะว่าอนาคตต่อไป เมอ่ื เราจะไปเทศน์คนสอนคน จะ
มีบุคคลเป็นตัวอย่างให้เขาได้เห็น ให้เขาได้รู้ว่า การปฏิบัติใน
ขณะที่ยงั เปน็ ฆราวาสเขาท�ำกันอย่างไร
44 แนวทางส่โู สดาบัน
พ่อแมข่ องนางมาคันทยิ า
ยกตัวอย่างอกี เร่ืองหนึ่ง เร่ืองพ่อแม่ของนางมาคนั ทยิ า
นางมาคนั ทยิ าเป็นคนทส่ี วย สวยมากๆ ยุคน้นั สมัยนน้ั มเี ศรษฐี
หลายตอ่ หลายคนมาขอนางมาคนั ทยิ าไปเปน็ เมยี แตพ่ อ่ แมก่ ไ็ ม่
ให้ คอื ว่าคนทม่ี าขอรวยกจ็ รงิ แต่ความหล่อความสวยไม่สมกนั
กับลูกสาวของตัวเอง พยายามหาลกู เขยให้คู่ควรกบั ลูกสาวตวั
เองให้ได้
ในวันหนึ่ง พ่อพราหมณ์ไปธุระนอกบ้าน พอดี
พระพทุ ธเจา้ เรากม็ พี ระญาณหยงั่ รวู้ า่ พอ่ แมข่ องนางมาคนั ทยิ า
เปน็ ผมู้ คี ณุ ธรรม เปน็ ผมู้ บี ารมมี าในอดตี กเ็ ลยไปโปรด พระองค์
เจ้าเดินมาในทศิ ทางของพ่อพราหมณ์
พ่อพราหมณ์เห็นหนุ่มหล่อเดินมาแต่ไกล ไอ้หนุ่มคนน้ี
รปู หลอ่ คอื เหน็ พระพทุ ธเจา้ นน้ั เอง หนา้ ตาสดสวยหลอ่ จรงิ สม
คเู่ คยี งกบั ลกู สาวของเราแทๆ้ ดสู ิ ผดิ แตห่ วั โลน้ ผา้ เหลอื งเทา่ นน้ั
เอง แต่ถ้าจับเปล่ียนผ้าชนิดอื่น ก็ดูจะเข้ากับลูกสาวเราได้ดี
เหมอื นๆ กัน สวยพอๆ กัน ทนี ้กี ็นกึ ข้นึ มาได้ว่า เอายังไง จะเอา
หนุ่มคนน้ีเป็นลูกเขยเราให้ได้ ก็เลยมีอุบายบอกว่า ไอ้หนุ่มๆ
คอยเราอยู่นน่ี ะ คอยเราอยู่น่ี เรามีธุระ เด๋ยี วไปธุระ เดี๋ยวกลบั
มา คอยอยู่นี่ แต่พระองค์เจ้ารู้เลยว่าไปธรุ ะอะไร
แนวทางสู่โสดาบนั 45
พอไปถงึ บ้านกไ็ ปบอกแม่พราหมณ์ๆ รบี แต่งตวั แต่งตวั
ให้ลูกสาวเด๋ยี วนี้นะ เอาเตม็ ท่ี เต็มยศเลย ประดบั ประดาทุกสง่ิ
ทกุ อยา่ ง ทำ� ใหเ้ ตม็ ท่ี ทำ� อะไรพอ่ พราหมณ์ ทำ� เถอะๆ พอลกู สาว
แต่งตัวทาแป้งทุกอย่างแล้ว ก็ออกมานอกบ้าน มากระซิบ
กระซาบวา่ ไปเหน็ หนมุ่ หลอ่ คนหนง่ึ คอยอยนู่ อกบา้ น เอาลกู สาว
ไปเทยี บกันดู ไหนๆ ดซู ิ พอออกไปในทใ่ี ห้หนุ่มยนื รอ ปรากฏว่า
ไม่เห็นใครเลย เห็นแต่รอยเท้าพระองค์ประทับเอาไว้ ห่างจาก
รอยไปประมาณ ๑๐ เมตร พระองค์เจ้ายืนอยู่ใกล้ๆ แต่บังตา
เอาไว้ไม่ให้ ๒ ผวั เมยี เหน็
ฝ่ายผู้เปน็ เมยี คอื แม่พราหมณ์ ได้เหน็ รอยเท้าจงึ ว่า พ่อ
พราหมณ์ รอยเทา้ น้ี เปน็ รอยเทา้ ของบคุ คลผไู้ มก่ ำ� เรบิ ทางราคะ
ตัณหาแล้ว เพราะนางจบศาสตร์มาหลายแขนง ขณะเดียวกัน
พระองค์เจ้าได้เปิดญาณให้ ๒ ผัวเมียกับลูกเห็นพระองค์ พ่อ
พราหมณไ์ ดพ้ ยายามจะจบั ลกู ไปเทยี บกบั พระพทุ ธเจา้ วา่ ความ
หล่อเหมือนกนั ไหม
ซง่ึ พราหมณท์ ง้ั สองผวั เมยี ตอ่ หนา้ พระพทุ ธเจา้ ไมร่ จู้ กั
พระพุทธเจ้ามาก่อน และยังจะเอาเป็นลกู เขยให้ได้นนั้ ตอนนั้น
พราหมณ์กราบพระพทุ ธเจ้าไหม กราบท�ำไม จะเอาเปน็ ลูกเขย
ให้ได้ จะกราบทำ� ไม จะไหว้ทำ� ไมเล่า พระองค์เจ้าเทศน์ธรรมะ
ให้ฟงั พราหมณ์จะนัง่ ฟังหรอื ยืนฟัง ดูสิ ก็ต้องยนื ฟงั
46 แนวทางสู่โสดาบนั
แต่อ�ำนาจพระพุทธเจ้าสะกดใจพราหมณ์ทั้งสองไว้ได้
กไ็ ด้อธิบายให้ฟงั ว่า นพ่ี ราหมณ์ รูปร่างกลางตัวของมนุษย์เรา
ทกุ สว่ นนน้ั ไมม่ อี ะไรหลอ่ ไมม่ อี ะไรสวยเลย ทกุ สว่ นของรา่ งกาย
มแี ต่สง่ิ สกปรกโสโครกดว้ ยกนั ทง้ั สน้ิ ผม ขน เลบ็ ฟนั หนงั ต่างๆ
มีแต่ของสกปรกด้วยกันท้ังส้ิน พระองค์ก็อธิบายเร่ืองสกปรก
เรอ่ื งอสภุ ะ ให้พราหมณ์ ๒ ผวั เมยี ฟงั
พอ ๒ ผวั เมยี ฟงั บวกกบั บารมเี ก่าของเขาทง้ั ๒ ทเ่ี คย
บำ� เพ็ญมาในอดีต มาจับจดุ ได้ พระองค์เจ้าจงึ ต่อยอดให้เขา ให้
พิจารณาอสุภะ ในท่สี ดุ พราหมณ์ ๒ คนก็พิจารณาอสุภะ ยืน
อยอู่ ยา่ งนนั้ พจิ ารณาอสภุ ะ ยนื พจิ ารณาตวั เองอยู่ พจิ ารณาสงิ่
ภายนอกบ้าง ตัวเองบ้าง ขณะเดียวกันที่ยืนฟังธรรมะ