“แม้ข้าพเจ้าจะรับเอากหาปณะแล้ว ก็ให้ลูกสาวไม่ได้ ก็ถ้าว่าบุตรชาย
ของท่านไม่ได้ลูกสาวของข้าพเจ้าแล้วไม่อาจจะเป็นอยู่ไซร้ ถ้ากระนั้น
บุตรของท่านจงเที่ยวไปกับพวกข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าจักให้ลูกสาวแก่เขา”
เมื่อบิดาบอกความนั้นแก่บุตรแล้ว บุตรเศรษฐีพูดว่า
“ฉันจักเที่ยวไปกับพวกนักฟ้อนนั้น”
แม้บิดามารดาของเขาจะอ้อนวอนไม่ให้ไป เขาก็ไม่สนใจ ได้ออกไปยัง
สำนักของนักฟ้อน
***
เขาได้แต่งงานกับนางนักฟ้อน และได้เดินทางร่วมกับคณะนักฟ้อน
เที่ยวแสดงศิลปะในบ้าน นิคม และราชธานีต่างๆ ไม่นานนัก นางนักฟ้อนก็
ตั้งครรภ์และคลอดบุตร นางประสงค์จะเย้าบุตรของตน จึงพูดว่า
“ลูกของคนเฝ้าเกวียน ลูกของคนหาบของ ลูกของคนไม่รู้อะไรๆ”
ฝ่ายบุตรเศรษฐีนั้น กำลังขนหญ้ามาให้โคในที่พักเกวียน และยก
สิ่งของที่ได้จากการแสดงศิลปะ บุตรเศรษฐีทราบความที่นางขับร้องปรารภ
ตน จึงถามว่า
“หล่อนพูดหมายถึงฉันหรือ”
นางตอบว่า “จ้ะ ฉันพูดหมายถึงท่าน”
“เมื่อเป็นเช่นนั้น ฉันจักไป”
“จะเกิดประโยชน์อะไรกับฉัน ถ้าท่านจะไปหรือจะอยู่”
ดังนี้แล้ว ก็ขับเพลงบทนั้นนั่นแลเรื่อยไป
ได้ยินว่า นางอาศัยรูปสมบัติของตนและทรัพย์ซึ่งเป็นรายได้ จึงมิได้
เกรงใจบุตรเศรษฐีในเรื่องอะไรๆ บุตรเศรษฐีนั้น คิดว่า
“นางนี้ถือตัวเช่นนี้ เพราะอาศัยอะไรเล่าหนอ”
83