The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ปฎิปัตติปุจฉาวิสัชนา หลวงปู่มั่น

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ืทีมงานกรุธรรม, 2022-02-01 20:12:31

ปฎิปัตติปุจฉาวิสัชนา หลวงปู่มั่น

ปฎิปัตติปุจฉาวิสัชนา หลวงปู่มั่น

Keywords: ปฎิปัตติปุจฉาวิสัชน,หลวงปู่มั่น

ปฏิปต ติปุจฉาวสิ ชั นา

พระธรรมเจดีย (จมู พนธฺ โุ ล) : ถาม
พระอาจารยม ั่น ภรู ทิ ัตตเถร : ตอบ

อบุ ายแหง วิปสสนาอนั เปน เครอื่ งถายถอนกเิ ลส

เทศนาโดย พระอาจารยมน่ั ภูริทตั ตเถร

ชมรมกัลยาณธรรม

หนงั สอื ดีอนั ดบั ท่ี ๑๐๖

ปฏิปตตปิ ุจฉาวิสจั นา : พระธรรมเจดีย (จูม พนฺธุโล) ถาม
ทานพระอาจารยมนั่ ภูริทตั ตเถร ตอบ

จัดพมิ พถวายเปนพุทธบชู าโดย

ชมรมกลั ยาณธรรม ๑๐๐ ถ.ประโคนชัย ต.ปากนำ้ อ.เมอื ง

จ.สมุทรปราการ โทร. ๐๒-๗๐๒๙๖๒๔

หรือ ชมรมกัลยาณธรรม ๘๙/๖-๗ ซอยศึกษาวิทยา ถ.สาธรเหนือ

สลี ม บางรัก กทม. โทร. ๐๒-๖๓๕๓๙๙๘

รูปเลม -จัดพิมพ : กอ นเมฆแอนดก นั ยก รปุ โทร.๐๘๙๑๐๓-๓๖๕๐

พิมพครงั้ ที่ ๑ : ๕,๐๐๐ เลม

สพั พทานงั ธมั มทานงั ชินาติ
การใหธรรมะเปน ทาน ยอมชนะการใหท ง้ั ปวง

www.kanlayanatam.com

มอบเปน ธรรมบรรณาการ แด
.........................................................

จาก
.........................................................
.........................................................

หนงั สอื ธรรมะทรงคุณคา

ปฏปิ ตติปจุ ฉาวิสชั นา

พระธรรมเจดยี  (จมู พนฺธุโล) : ถาม
พระอาจารยมนั่ ภูรทิ ตั ตเถร : ตอบ



ปฏปิ ต ติปจุ ฉาวสิ ัชนา

ปฏปิ ต ตปิ จุ ฉาวิสชั นา

ก. ถามวา ผูป ฏบิ ตั ศิ าสนาโดยมากปฏิบัติอยูแคไ หน?
ข. ตอบวา ปฏบิ ัตอิ ยูภ มู กิ ามาพจรกุศลโดยมาก
ก. ถามวา ทำไมจงึ ปฏิบตั ิอยเู พยี งนนั้ ?
ข. ตอบวา อัธยาศัยของคนโดยมากยงั กำหนัดอยใู น

กามเห็นวา กามารมณทด่ี ีเปน สุข สว นที่ไมด ี เหน็ วา เปน
ทุกข จึงไดปฏิบัตใิ นบุญกิริยาวตั ถุ มกี ารฟงธรรมใหท าน
รักษาศีล เปน ตน หรือภาวนาบา งเลก็ นอ ย เพราะความ
มุง เพื่อจะไดสวรรคสมบตั ิ มนุษยสมบัติ เปนตน กค็ งเปน
ภูมิกามาพจรกุศลอยูน่ันเอง เบื้องหนาแตกายแตกตาย
ไปแลว ยอ มถึงสคุ ติบา ง ไมถ ึงบาง แลวแตว ิบากจะซดั
ไป เพราะไมใ ชนยิ ตบคุ คล คอื ยังไมป ดอบาย เพราะยงั
ไมไ ดบรรลโุ สดาปต ตผิ ล
ก. ถามวา กท็ านผปู ฏิบัติทด่ี กี วา นไี้ มมีหรือ ?
ข. ตอบวา มี แตวา นอย
ก. ถามวา นอยเพราะเหตุอะไร ?
ข. ตอบวา นอ ยเพราะกามทง้ั หลายเทา กบั เลอื ดในอกของ



ปฏปิ ตติปจุ ฉาวิสชั นา

สัตว ยากท่ีจะละความยินดีในกามได เพราะการปฏิบัติ
ธรรมละเอียด ตองอาศัยกายวิเวก จิตตวิเวก จึงจะเปน
ไปเพ่อื อุปธวิ เิ วก เพราะเหตุน้ีแลจึงทำไดดว ยยาก แตไ ม
เหลือวสิ ัย ตองเปนผเู ห็นทกุ ขจรงิ ๆจึงจะปฏิบตั ิได
ก. ถามวา ถาปฏิบัติเพียงภูมิกามาพจรกุศล ดูไมแปลก
อะไร เพราะเกดิ เปน มนษุ ยก เ็ ปน ภมู กิ ามาพจรกศุ ลอยแู ลว
สว นการปฏิบตั ิจะใหดีกวา เกาก็ตอ งใหเลือ่ นช้ัน เปนภูมริ ู
ปาวจรหรอื อรูปวจร และโลกอดุ ร จะไดแ ปลกจากเกา?
ข. ตอบวา ถูกแลว ถาคิดดูคนนอกพุทธกาล ทานก็ได
บรรลฌุ านชน้ั สงู ๆ กม็ คี นในพทุ ธกาล ทา นกไ็ ดบ รรลมุ รรค
แลผล มีพระโสดาบัน แลพระอรหันต โดยมากน่ีเรา
ก็ไมไดบรรลุฌาน เปนอันสูคนนอกพุทธกาลไมได แล
ไมไ ดบ รรลมุ รรคแลผลเปนอันสูค นในพทุ ธกาลไมได
ก. ถามวา เมอ่ื เปนเชนนจ้ี กั ทำอยา งไรดี ?
ข. ตอบวา ตองทำในใจใหเห็นตามพระพุทธภาษิตที่วา
มตตฺ าสุขปรจิ จฺ าคา ปสเฺ ส เจ วิปลุ ํ สขุ ํ
ถาวาบุคคลเห็นซ่ึงสุขอันไพบูลย เพราะบริจาคซ่ึงสุขมี
ประมาณนอยเสยี ไซร จเช มตฺ ตาสุขํ ธโี ร สมฺปสสฺ ํ วิ
ปุลํ สขุ ํ
บุคคลผูมีปญญาเครื่องทรงไว เมื่อเล็งเห็นซึ่งสุขอัน
ไพบลู ย พงึ ละเสียซ่ึงสขุ มปี ระมาณนอ ย



ปฏปิ ต ตปิ ุจฉาวสิ ชั นา

ก. ถามวา สขุ มปี ระมาณนอยไดแกส ขุ ชนดิ ไหน ?
ข. ตอบวา ไดแ กส ขุ ซง่ึ เกดิ แตค วามยนิ ดใี นกามทเ่ี รยี กวา

อามสิ สขุ น่ีแหละสุขมปี ระมาณนอย
ก. ถามวา กส็ ุขอันไพบลู ยไ ดแ กสขุ ชนดิ ไหน ?
ข. ตอบวา ไดแ กฌ าน วิปส สนา มรรค ผล นพิ พาน ที่

เรียกวา นริ ามสิ สุข ไมเจือดวยกาม นแี่ หละสุขอนั ไพบลู ย
ก. ถามวา จะปฏิบัติใหถึงสุขอันไพบูลยจะดำเนินทาง

ไหนดี ?
ข. ตอบวา จะตองดำเนินทางองคม รรค ๘
ก. ถามวา องคมรรค ๘ ใครๆ ก็รูทำไมจึงเดินกันไมใคร

จะถูก ?
ข. ตอบวา เพราะองคม รรคทงั้ ๘ ไมม ใี ครเคยเดนิ จงึ เดนิ

ไมใ ครถ กู พอถกู ก็เปน พระอรยิ เจา
ก. ถามวา ทเ่ี ดินไมถ ูกเพราะเหตุอะไร ?
ข. ตอบวา เพราะชอบเดนิ ทางเกา ซงึ่ เปน ทางชำนาญ
ก. ถามวา ทางเกานัน้ คอื อะไร ?
ข. ตอบวา ไดแกกามสุขัลลิกานุโยค แลอัตตกิลมถา

นุโยค
ก. ถามวา กามสขุ ัลลกิ านุโยคนั้นคอื อะไร ?
ข. ตอบวา ความทำตนใหเ ปน ผหู มกมนุ ตดิ อยใู นกามสขุ

น้แี ล ชอื่ วากามสุขัลลกิ านโุ ยค



ปฏิปตตปิ ุจฉาวิสัชนา

ก. ถามวา อัตตกิลมถานโุ ยคไดแกท างไหน ?
ข. ตอบวา ไดแ กผ ปู ฏบิ ตั ผิ ดิ แมป ระพฤตเิ ครง ครดั ทำตน

ใหลำบากสักเพียงไร ก็ไมสำเร็จประโยชน ซึ่งมรรค, ผล,
นิพพาน, น่แี หละเรียกวาอตั ตกลิ มถานโุ ยค
ก. ถามวา ถา เชน นนั้ ทางทง้ั ๒นี้เหน็ จะมคี นเดนิ มากกวา
มัชฌมิ าปฏปิ ทาหลายรอ ยเทา ?
ข. ตอบวา แนทีเดียว พระพุทธเจาแรกตรัสรู จึงได
ทรงแสดงกอนธรรมอยางอื่นๆ ท่ีมาแลวในธัมมจักกัปป
วัตตนสูตร เพื่อใหสาวกเขาใจ จะไดไมดำเนินในทางท้ัง
๒ มาดำเนนิ ในทางมัชฌิมาปฏิปทา
ก. ถามวา องคมรรค ๘ ทำไมจงึ ยกสัมมาทิฏฐิ ซ่ึงเปน ก
องปญญาข้ึนแสดงกอ น สว นการปฏบิ ตั ขิ องผูดำเนนิ ทาง
มรรค ตองทำศีลไปกอน แลวจึงทำสมาธิแลปญญา ซึ่ง
เรียกวาสิกขา ท้งั ๓ ?
ข. ตอบวา ตามความเหน็ ของขา พเจา วา จะเปน ๒ ตอน
ตอนแรก สวนโลกิยกุศลตองทำศีล สมาธิ ปญญา เปน
ลำดบั ไป ปญ ญาทเ่ี กดิ ขนึ้ ยงั ไมเ หน็ อรยิ สจั ทงั้ ๔ สงั โยชน
๓ ยังละไมได ขีดของใจเพียงนี้เปนโลกีย ตอนที่เห็น
อริยสัจแลวละสังโยชน ๓ ไดตอนนี้เปน โลกตุ ตร
ก. ถามวา ศลี จะเอาศลี ชนิดไหน ?
ข. ตอบวา ศีลมีหลายอยาง ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล



ปฏิปตติปจุ ฉาวิสชั นา

๒๒๗ แตใ นที่นีป้ ระสงคศีลทเี่ รียกวา สมฺมา วาจา สมฺมา
กมฺมนโฺ ต สมมฺ าอาชโี ว แตตองทำใหบ ริบรู ณ
ก. ถามวา สมมฺ าวาจา คอื อะไร ?
ข. ตอบวา มุสาวาทา เวรมณี เวนจากพูดเท็จ ปสุณาย
วาจายเวรมณี เวนจากพูดสอเสียด ใหเขาแตกราวกัน
ผรสุ าย วาจายเวรมณี เวน จากพดู คำหยาบ สมผฺ ปปฺ ลาปา
เวรมณี เวน จากพดู โปรยประโยชน
ก. ถามวา สมฺมากมฺมนโฺ ต การงานชอบนน้ั มกี ่อี ยาง ?
ข. ตอบวา มี ๓ อยาง คือ ปาณาติปาตา เวรมณี เวน
จากฆาสัตว อทินฺนาทานา เวรมณี เวนจากการลัก
ทรัพย อพฺรหมฺจริยา เวรมณี เวนจากอสัทธรรม ไมใช
พรหมจรรย
ก. ถามวา สมมฺ ากมมฺ นโฺ ต ในทอ่ี นื่ ๆ โดยมากเวน อพรฺ หมฺ
สว นในมหาสตปิ ฏ ฐานทำไมจงึ เวน กาเมสมุ ิจฉาจาร ?
ข. ตอบวา ความเห็นของขาพเจาวาที่ทรงแสดงศีล
อพฺรหมฺ เหน็ จะเปน ดวยรับสง่ั แกภกิ ษุ เพราะวาภิกษเุ ปน
พรหมจารบี คุ คลทง้ั นน้ั สวนในมหาสติปฏ ฐาน ๔ ก็รับสงั่
แกภ กิ ษุ เหมอื นกนั แตว า เวลานน้ั พระองคเ สดจ็ ประทบั อยู
ในหมชู นชาวกรุ ุ พวกชาวบา นเหน็ จะฟงอยมู าก ทานจึง
สอนใหเ วนกามมจิ ฉาจาร เพราะชาวบา นมักเปน คนมคี ู
ก. ถามวา สมมฺ าอาชโี ว เลยี้ งชวี ติ ชอบ เวน จากมจิ ฉาชพี
นั้นเปน อยา งไร ?

๑๐

ปฏปิ ตติปจุ ฉาวสิ ชั นา

ข. ตอบวา บางแหงทานก็อธิบายไววา ขายสุรายาพิษ
ศัสตราอาวุธ หรือขายสัตวมีชีวิตตองเอาไปฆา เปนตน
เหลานี้แหละเปน มิจฉาชพี .

ก. ถามวา ถา คนทไ่ี มไ ดข ายของเหลา นเี้ ปน สมมฺ าอาชโี ว
อยางนนั้ หรือ?

ข. ตอบวา ยังเปนไปไมได เพราะวิธีโกงของคนมีหลาย
อยา งนกั เชน คา ขายโดยไมซ อ่ื มกี ารโกงตาชงั่ ตาเตง็ หรอื
เอารัดเอาเปรียบอยางใดอยางหนึ่ง ในเวลาท่ีผูซื้อเผลอ
หรอื เขาไวใ จ รวมความพดู วา อธั ยาศยั ของคนทไี่ มซ อ่ื คดิ
เอารัดเอาเปรียบผูอื่น เห็นแตจะได สุดแตจะมีโอกาส
จะเปนเงินหรือของก็ดี ถึงแมจะไมชอบธรรม สุดแตจะ
ไดเปนเอาทั้งน้ัน ขาพเจาเห็นวา อาการเหลาน้ีก็เปน
มิจฉาชพี ทั้งสน้ิ สมฺมาอาชโี ว จะตองเวน ทุกอยาง เพราะ
เปน สง่ิ ทค่ี ดคอมไดมาโดยไมช อบธรรม.

ก. ถามวา สมมฺ าวายาโม ความเพยี รชอบนนั้ คอื เพยี ร
อยางไร?

ข. ตอบวา สงั วรปธานเพยี รระวงั อกศุ ลวติ ก๓ทย่ี งั ไมเ กดิ
ไมใ หเกดิ ข้นึ ปหานปธาน เพียรละอกศุ ลวติ ก ๓ ทเี่ กดิ ขนึ้
แลวใหหายไป ภาวนาปธาน เพียรเจริญกุศลท่ียังไมเกิด
ใหเกิดขึ้น อนุรักขนาปธาน เพียรรักษากุศลท่ีเกิดแลวไว
ใหส มบรู ณ.

๑๑

ปฏปิ ตติปจุ ฉาวสิ ัชนา

ก. ถามวา สมฺมาสติ ระลกึ ชอบนน้ั ระลกึ อยา งไร?
ข. ตอบวา ระลึกอยูในสติปฏฐาน ๔ คือ กายานุปสฺ

สนา ระลึกถงึ กาย เวทนานุปสฺสนา ระลึกถึงเวทนา จิตตฺ า
นปุ สสฺ นา ระลึกถึงจติ ธมฺมานปุ สฺสนา ระลึกถึงธรรม
ก. ถามวา สมฺมาสมาธิ ความตั้งใจไวชอบ คือตั้งใจไว
อยา งไร จงึ จะเปนสมฺมาสมาธ?ิ
ข. ตอบวา คอื ตง้ั ไวใ นองคฌ านทง้ั ๔ทเ่ี รยี กวา ปฐมฌาน
ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน เหลาน้ีแหละเปน
สมมฺ าสมาธิ.
ก. ถามวา สมฺ มา สงฺกปฺ โป ความดำริชอบน้ันดำริ
อยางไร?
ข. ตอบวา เนกขฺ มมฺ สงกฺ ปโฺ ปดำรอิ อกจากกามอพยฺ าปาท
สงกฺ ปโฺ ป ดำริไมพยาบาท อวหิ ึ สาสงฺกปฺโป ดำริในความ
ไมเบียดเบียน.
ก. ถามวา สมมฺ าวายาโม กล็ ะอกุศลวิตก ๓ แลว สมฺมา
สงฺกปฺโป ทำไมจงึ ตองดำริอกี เลา ?
ข. ตอบวา ตางกันเพราะ สมฺมาวายาโมนั้น เปนแต
เปล่ียนอารมณ เชน จิตท่ีฟุงซาน หรือเปนอกุศลก็เลิก
นึกเรอ่ื งเกา เสีย มามสี ตริ ะลึกอยใู นอารมณท ี่เปนกศุ ล จงึ
สงเคราะหเ ขา ในกองสมาธิสว นสมมฺ าสงกฺ ปโฺ ป มปี ญ ญา
พจิ ารณาเหน็ โทษของกาม เหน็ อานสิ งสข องเนกขมั ม จงึ

๑๒

ปฏปิ ตตปิ จุ ฉาวสิ ชั นา

ไดค ดิ ออกจากกามดว ยอาการทเี่ หน็ โทษ หรอื เหน็ โทษของ
พยาบาท วิหงิ สา เห็นอานิสงสของเมตตากรณุ า จงึ ไดค ดิ
ละพยาบาทวหิ งิ สา การเหน็ โทษแลเหน็ อานสิ งสเ ชน น้ี
แหละจงึ ผดิ กบั สมมฺ าวายาโม ทา นจงึ สงเคราะหเ ขา ไว
ในกองปญญา.
ก. ถามวา สมมฺ ทฏิ ฐิ ความเหน็ ชอบนน้ั คอื เหน็ อยา งไร?
ข. ตอบวา คือ เห็นทุกข สมุทัย นิโรธ มรรค ที่เรียกวา
อริยสัจ ๔ ความเหน็ ชอบอยา งนแ้ี หละ ชอื่ วา สมมฺ าทิฏฐิ.
ก. ถามวา อริยสจั ๔ นน้ั มกี ิจจะตองทำอะไรบาง ?
ข. ตอบวา ตามแบบที่มีมาในธรรมจักร มีกิจ ๓ อยาง
ใน ๔ อริยสัจรวมเปน ๑๒ คือ สัจญาณ รูวาทุกข กิจ
ญาณ รวู าจะตองกำหนด กตญาณ รวู า กำหนดเสรจ็ แลว
แลรูวาทุกข สมุทัยจะตองละ แลไดละเสร็จแลว และรู
วาทุกขนิโรธจะตองทำใหแจง แลไดทำใหแจงเสร็จแลว
แลรูวาทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา จะตองเจริญ แลได
เจรญิ เสร็จแลว นแี่ หละเรียกวากจิ ในอริยสจั ทัง้ ๔.
ก. ถามวา ทกุ ขน ัน้ ไดแกส ่ิงอะไร?
ข. ตอบวา ขันธ ๕ อายตนะ ๖ ธาตุ ๖ นามรูปเหลานี้
เปนประเภททุกขสจั .
ก. ถามวา ทุกขมีหลายอยางนักจะกำหนดอยางไรถกู ?
ข. ตอบวา กำหนดอยางเดียวก็ได จะเปนขันธ ๕ หรือ

๑๓

ปฏปิ ตติปุจฉาวิสัชนา

อายตนะ ๖ หรือธาตุ ๖ นามรูปอยางใด อยางหนึ่งก็ได
ไมใชวาจะตองกำหนดทีละหลายอยาง แตวาผูปฏิบัติ
ควรจะรูไว เพราะธรรมท้ังหลายเหลานี้ เปนอารมณของ
วิปสสนา.
ก. ถามวา การที่จะเห็นอริยสัจก็ตองทำวิปสสนาดวย
หรอื ?
ข. ตอบวา ไมเจริญวิปสสนา ปญญาจะเกิดอยางไร
ได เมอ่ื ปญญาไมม ีจะเหน็ อรยิ สจั ท้งั ๔ อยางไรได แตท่ี
เจริญวิปสสนากันอยู ผทู ่ีอินทรียออน ยังไมเ หน็ อรยิ สัจทัง้
๔ เลย.
ก. ถามวา ขนั ธ ๕ ใครๆ ก็รู ทำไมจึงกำหนดทกุ ขไ มถ กู ?
ข. ตอบวา รแู ตช อ่ื ไมร อู าการขนั ธต ามความเปน จรงิ
เพราะฉะนนั้ ขนั ธ ๕ เกดิ ข้นึ ก็ไมร ูว า เกดิ ขนั ธ ๕ ดับไปก็
ไมรูวาดับ แลขันธมีอาการสิ้นไปเสื่อมไปตามความเปน
จรงิ อยางไร กไ็ มท ราบท้งั นั้น จงึ เปนผูห ลงประกอบดวย
วปิ ลาส คอื ไมเ ทยี่ ง กเ็ หน็ วา เทย่ี ง เปน ทกุ ขก เ็ หน็ วา เปน สขุ
เปนอนัตตาก็เห็นวาเปนอัตตาตัวตน เปนอสุภไมงามก็
เห็นวาเปน สุภะงาม เพราะฉะนน้ั พระพุทธเจาจงึ ทรงสงั่
สอนสาวก ท่มี าแลว ในมหาสติปฏฐานสูตร ใหร ูจกั ขนั ธ
๕ แลอายตนะ ๖ ตามความเปนจริง จะไดกำหนดถกู .
ก. ถามวา ขนั ธ๕คอื รปู เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ
นั้นมลี ักษณะอยา งไร เมื่อเวลาเกดิ ขึ้นแลดบั ไป จะไดรู?

๑๔

ปฏปิ ตตปิ ุจฉาวิสัชนา

ข. ตอบวา รปู คือธาตดุ ิน ๑๙ น้ำ ๑๒ ลม ๖ ไฟ ๔ ช่อื
วามหาภูตรูป เปนรูปใหญแลอุปาทายรูป ๒๔ เปนรูปท่ี
ละเอียด ซ่งึ อาศัยอยใู นมหาภูตรปู ๔ เหลา นี้ ชอื่ วา รปู แต
จะแจงใหล ะเอยี ดกม็ ากมาย เมอื่ อยากทราบใหล ะเอยี ด ก็
จงไปดูเอาในแบบเถดิ .

ก. ถามวา กเ็ วทนานน้ั ไดแกส ิง่ อะไร?
ข. ตอบวา ความเสวยอารมณ ซงึ่ เกดิ ประจำอยใู นรปู

นี้แหละ คือบางคราวก็เสวยอารมณเปนสุข บางคราวก็
เสวยอารมณเปนทุกข บางคราวก็ไมท ุกขไมสุข น่แี หละ
เรียกวา เวทนา ๓ ถา เตมิ โสมนสั โทมนัส กเ็ ปนเวทนา ๕.
ก. ถามวา โสมนสั โทมนสั เวทนาดเู ปน ชอ่ื ของกเิ ลส ทำไม
จึงเปนขันธ ?
ข. ตอบวา เวทนามี ๒ อยา ง คอื กายกิ ะเวทนาๆ ซ่งึ
เกิดทางกาย ๑ เจตสกิ เวทนาๆ ซง่ึ เกดิ ทางใจ ๑ สขุ
เวทนาเสวยอารมณเ ปน สขุ ทกุ ขเวทนาเสวยอารมณ
เปนทุกข ๒ อยางน้ีเกิดทางกาย โสมนัสโทมนัส
อทุกขมสุขเวทนา ๓ อยางน้ีเกิดทางใจไมใชกิเลส
คือ เชนกับบางคราวอยูดๆี ก็มีความสบายใจ โดยไมได
อาศยั ความรกั ความชอบกม็ ี หรอื บางคราวไมอ าศยั โทสะ
หรอื ปฏฆิ ะ ไมส บายใจขนึ้ เอง เชน คนเปน โรคหวั ใจหรอื โรค
เสนประสาทก็มี อยางนเี้ ปน ขนั ธแ ท ตองกำหนดรวู า เปน

๑๕

ปฏปิ ตตปิ จุ ฉาวิสัชนา

ทุกข เม่ือเวทนาอยา งใด อยางหน่ึงปรากฏขนึ้ นัน่ แหละ
เปนความเกิดข้ึนแหงเวทนา เมื่อเวทนาเหลาน้ันดับหาย
ไป เปนความดับไปแหงเวทนา น่ีแหละเปนขันธแท เปน
ประเภททขุ สัจ.
ก. ถามวา เวทนาน้นั อาศยั อะไรจึงเกดิ ขนึ้ ?
ข. ตอบวา อาศยั อายตนะภายใน๖ภายนอก๖วญิ ญาณ
๖ กระทบกันเขา ช่ือวาผสั สะ เปนทเ่ี กดิ แหงเวทนา
ก. ถามวา อายตนะภายใน ๖ ภายนอก ๖ วญิ ญาณ ๖
ผสั สะ ๖ เวทนาทเี่ กดิ แตผ สั สะ ๖ กไ็ มใ ชก เิ ลส เปน ประเภท
ทุกขท ้ังนน้ั ไมใ ชห รือ ?
ข. ตอบวา ถูกแลว
ก. ถามวา แตทำไมคนเราเม่ือเวลาตาเห็นรูป หูไดยิน
เสียง จมูกไดด มกลน่ิ ลิ้นไดลิม้ รสหรอื ถูกตอ งโผฏฐัพพะ
ดวยกาย รูรับอารมณดวยใจ ก็ยอมไดเวทนาอยางใด
อยา งหนง่ึ ไมใ ชห รอื กอ็ ายตนะแลผสั ส เวทนากไ็ มใ ชก เิ ลส
แตท ำไมคนเราจงึ เกดิ กิเลส และความอยากขึ้นไดเ ลา ?
ข. ตอบวา เพราะไมรูวาเปนขันธแลอายตนะ แลผัสส
เวทนาสำคัญวาเปนผูเปนคนเปนจริงเปนจัง จึงไดเกิด
กเิ ลสและความอยาก เพราะฉะนัน้ พระพทุ ธเจา จึงทรง
แสดงไวใ นฉกั กะสตู รวา บคุ คลเมอื่ สขุ เวทนาเกดิ ขน้ึ
ก็ปลอยใหร าคานสุ ยั ตามนอน ทุกขเวทนาเกิดข้นึ ก็

๑๖

ปฏปิ ตตปิ จุ ฉาวิสชั นา

ปลอ ยใหปฏิฆานสุ ัยตามนอน อทกุ ขมสุขเวทนาเกดิ
ขน้ึ กป็ ลอ ยใหอ วชิ ชานสุ ยั ตามนอน การทำทสี่ ดุ แหง
ทุกขในชาติน้ีไมใชฐานะที่จะมีไดเปนได ถาบุคคล
เมื่อเวทนาท้ัง ๓ เกิดข้ึน ก็ไมปลอยใหอนุสัยทั้ง ๓
ตามนอน การทำท่ีสุดแหงทุกขในชาติน้ีมีฐานะท่ีมี
ไดเ ปนได นกี่ ็เทากบั ตรสั ไวเ ปน คำตายตวั อยูแลว.
ก. ถามวา จะปฏบิ ตั อิ ยา งไรจงึ จะไมใ หอ นสุ ยั ทงั้ ๓ ตาม
นอน ?
ข. ตอบวา ก็ ตอง มี สติ ทำความ รูสึก ตัว ไว แล มี
สัมปชัญญะ ความรูรอบคอบในอายตนะ แลผัสส
เวทนาตามความเปน จรงิ อยา งไร อนสุ ยั ท้งั ๓ จึงจะ
ไมตามนอน สมดวยพระพุทธภาษิตในโสฬสปญหาท่ี
๑ ตรัสตอบอชิตะมานพวา สติ เตสํนิวารณํ สตเิ ปนดุจ
ทำนบเครอื่ งปด กระแสเหลา นนั้ ปญฺ าเยเตปถ ยิ ยฺ เร
กระแสเหลานั้นอันผูปฏิบัติจะละเสียไดดวยปญญา
แตในที่น้ันทานประสงคละตัณหา แตอนุสัยกับตัณหาก็
เปน กิเลสประเภทเดยี วกนั .
ก. ถามวา เวทนาเปน ขนั ธแ ท เปน ทกุ ขสจั ไมใ ชก เิ ลส แต
ในปฏจิ จสมปุ บาท ทำไมจงึ มี เวทนาปจจฺ ยาตณั หา เพราะ
เหตอุ ะไร?
ข. ตอบวา เพราะไมรูจักเวทนาตามความเปนจริง

๑๗

ปฏิปต ติปจุ ฉาวิสัชนา

เมอ่ื เวทนาอยา งใดอยา งหนงึ่ เกดิ ขน้ึ เวทนาทเี่ ปน สขุ
ก็ชอบเพลิดเพลินอยากได หรือใหคงอยูไมใหหาย
ไปเสยี เวทนาทีเ่ ปนทุกขไมด ีมีมา ก็ไมช อบประกอบ
ดวยปฏิฆะ อยากผลักไสไลขับใหหายไปเสียทุก
ขมสุขเวทนา ที่มีมาก็ไมรูอวิชชานุสัยจึงตามนอน
สมดวยพระพุทธภาษิตในโสฬสปญหาท่ี ๑๓ ท่ี อุทยะ
มานพทลู ถามวา กถํ สตสสฺ จรโตวิ ญฺ าณํอุปรชุ ฺฌติ เมอื่
บุคคลประพฤติมีสติอยางไร ปฏิสนธิวิญญาณจึงจะดับ
ตรสั ตอบวา
อชฺฌตฺตฺจ พหทิ ฺธา จ เวทนํ นาพนิ นทฺ โต
เม่ือบุคคลไมเพลิดเพลินย่ิง ซ่ึงเวทนาท้ังภายในแล
ภายนอก
อวํ สตสฺส จรโต วิ ฺญาณํ อปุ รุปชฌฺ ติ
ประพฤติมสี ตอิ ยูอ ยา งน้ี ปฏสิ นธิวิญญาณจึงจะดับ.
ก. ถามวา เวทนาอยา งไรช่ือวาเวทนาภายนอก เวทนา
อยางไรชอื่ วาเวทนาภายใน?
ข. ตอบวา เวทนาทเี่ กดิ แตจ กั ขสุ มั ผสั โสตะสมั ผสั ฆานะ
สมั ผสั ชวิ หาสมั ผัส กายสมั ผสั ๕ อยา งน้ี ช่ือวา เวทนาท่ี
เปน ภายนอก เวทนาทเี่ กดิ ในฌาน เชน ปต หิ รอื สขุ เปน ตน
ชอื่ วา เวทนาภายใน เกดิ แตมโนสัมผสั .
ก. ถามวา ปติแลสขุ กเ็ ปน เวทนาดวยหรอื ?

๑๘

ปฏปิ ต ติปจุ ฉาวิสชั นา

ข. ตอบวา ปติแลสุขนั้นเกิดข้ึนเพราะความสงบ อาศัย
ความเพยี รของผูปฏบิ ตั ิ ในคิรมิ านนทสูตร อานาปานสติ
หมวดที่ ๕ กับที่ ๖ ทานสงเคราะหเขาในเวทนานุปส สนา
สตปิ ฏ ฐาน เพราะฉะนัน้
ปติแลสุขจึงจัดเปนเวทนาภายในได.

ก. ถามวา ทเ่ี รยี กวา นริ ามสิ เวทนา เสวยเวทนาไมม อี ามสิ
คือไมเจือกามคุณ เห็นจะเปนเวทนาท่ีเกิดข้ึนจากจิตท่ี
สงบน้ีเอง แตถาเชนนนั้ ความยินดีใน รปู , เสียง, กล่นิ , รส,
โผฏฐพั พะ ท่เี รียกวากามคุณ ๕ เวทนาท่เี กดิ คราวนัน้ ก็
เปน อามิสเวทนา ถกู ไหม?

ข. ตอบวา ถูกแลว .
ก. ถามวา สว นเวทนาขา พเจา เขา ใจดแี ลว แตส ว นสญั ญา

ขันธ ความจำรูป จำเสียง จำกล่ิน จำรส จำโผฏฐัพพะ
จำธัมมารมณ ๖ อยางนี้ มีลักษณะอยางไร เมื่อรูป
สัญญาความจำรูปเกิดขึ้นนั้น มีอาการเชนไร แลเวลาท่ี
ความจำรปู ดบั ไป มอี าการเชน ไร ขา พเจา อยากทราบ เพอ่ื
จะไดกำหนดถูก?
ข. ตอบวา คือเราไดเ ห็นรปู คน หรอื รูปของอยางไร อยา ง
หนึ่งแลว มานกึ ขน้ึ รปู คนหรือรปู ของเหลา น้ันก็มาปรากฏ
ขน้ึ ในใจ เหมือนอยางไดเ หน็ จริงๆ นีเ่ รยี กวาความจำรปู .
ก. ถามวา ยังไมเขาใจดี ขอใหชี้ตัวอยางใหขาวอีกสัก
หนอย ?

๑๙

ปฏิปต ตปิ จุ ฉาวสิ ัชนา

ข. ตอบวา เชนกับเม่ือเชาน้ี เราไดพบคนที่รูจักกันหรือ
ไดพ ูดกนั ครนั้ คนนน้ั ไปจากเราแลว เม่ือเรานึกถึงคนนน้ั
รูปรา งคนน้ันก็ปรากฏชดั เจนเหมือนเวลาท่ีพบกนั หรอื ได
เหน็ ของสงิ่ ใดสงิ่ หนง่ึ ไว เมื่ อเวลานกึ ขน้ึ กเ็ หน็ สง่ิ นนั้ ชดั เจน
เหมอื นอยา งเวลาทเี่ หน็ รวมเปน ๒อยา งคอื อปุ าทนิ นกรปู
รูปท่มี ีวิญญาณ เชน รปู คนหรอื รูปสตั ว อนุปาทินนกรูป
รปู ที่ไมมวี ญิ ญาณครอง ไดแ กส่งิ ของตางๆ หรอื ตน ไมด ิน
หนิ กรวด.

ก. ถามวา ถา เชนนั้นคนเปน ก็เปน รูปทม่ี วี ิญาณ คนตาย
กเ็ ปน รูปท่ไี มม วี ิญญาณ อยางน้นั หรอื ?

ข. ตอบวา ถูกแลว นา สลดใจ ชาติเดียวเปน ได ๒ อยาง.
ก. ถามวา ถาเชนน้ันสัญญาก็เปนเร่ืองของอดีตทั้งนั้น

ไมใ ชปจ จุบนั ?
ข. ตอบวา อารมณน้ันเปนอดีต แตเมื่อความจำ

ปรากฏขน้ึ ในใจ เปน สญั ญาปจ จบุ นั นแ่ี หละ เรยี กวา
สัญญาขันธ.
ก. ถามวา ถาไมรูจักสัญญา เวลาที่ความจำรูปคนมา
ปรากฏขึ้นในใจ กไ็ มรูวาสญั ญาของตวั เอง สำคญั วาเปน
คนจรงิ ๆ หรอื ความจำรปู ทไี่ มม วี ญิ ญาณมาปรากฏขนึ้ ใน
ใจ กไ็ มร วู า สญั ญาสำคญั วา เปน สง่ิ เปน ของจรงิ ๆ เมอ่ื เปน
เชนน้ีจะมีโทษอยางไรบาง ขอทานจงอธิบายใหขาพเจา
เขาใจ ?

๒๐

ปฏิปต ตปิ จุ ฉาวิสชั นา

ข. ตอบวา มีโทษมาก เชนนึกถึงคนท่ีรัก รูปรางของคน
ที่รักก็มาปรากฏกับใจ กามวิตกท่ียังไมเกิดก็จะเกิดข้ึน ที่
เกิดขึ้นแลวก็จะงอกงาม หรือนึกถึงคนที่โกรธกัน รูปราง
ของคนที่โกรธกันนั้นก็มาปรากฏชัดเจนเหมือนไดเห็น
จรงิ ๆ พยาบาทวิตกท่ยี งั ไมเกดิ กจ็ ะเกิดขน้ึ ทเ่ี กิดข้นึ แลวก็
จะงอกงาม หรือนึกถึงส่ิงของท่ีสวยๆ งามๆ รูปรา งสง่ิ ของ
เหลานั้นก็มาปรากฏในใจ เกิดความชอบใจบาง แหละ
อยากไดบาง เพราะไมรูวาสัญญาขันธของตัวเองสำคัญ
วา สง่ิ ทง้ั ปวงเปนจรงิ เปนจงั ไปหมด ที่แทก็เหลวทั้งนน้ั .

ก. ถามวา ก็ ความ เกิด ข้ึน แหง สัญญา มี ลักษณะ
อยางไร?

ข. ตอบวา เม่ือความจำรูปอยางใดอยางหน่ึงมาปรากฏ
ในใจ เปนความเกิดข้ึนแหงความจำรูป เมื่อความจำรูป
เหลา น้ัน ดับหายไปจากใจ เปนความดับไปแหง ความจำ
รูป.

ก. ถามวา ความจำเสยี งน้นั มีลกั ษณะอยา งไร ?
ข. ตอบวา เชนเวลาเราฟงเทศน เม่ือพระเทศนจบแลว

เรานึกขึ้นจำไดวาทานแสดงวาอยางนั้นๆ หรือมีคนมา
พูดเลาเร่ืองอะไรๆ ใหเราฟง เม่ือเขาพูดเสร็จแลว เรานึก
ข้นึ จำถอ ยคำนน้ั ได น่ีเปนลกั ษณะของความจำเสยี ง เม่อื
ความจำเสยี งปรากฏขน้ึ ในใจ เปน ความเกดิ ขน้ึ แหง ความ

๒๑

ปฏปิ ตตปิ จุ ฉาวสิ ชั นา

จำเสียง เมื่อความจำเสียงเหลาน้นั ดับหายไปจากใจ เปน
ความดับไป แหงสทั ทสัญญา.
ก. ถามวา คันธสัญญาความจำกล่ิน มีลักษณะ
อยางไร?
ข. ตอบวา เชนกับเราเคยไดกลิ่นหอมดอกไมหรือน้ำอบ
หรือกลิ่นเหม็นอยางใดอยางหนึ่งไว เม่ือนึกข้ึนก็จำกลิ่น
หอมกลนิ่ เหมน็ เหลานนั้ ได นเี่ ปน ความเกิดขึน้ ของความ
จำกลน่ิ เมอื่ ความจำกลนิ่ เหลา นนั้ หายไปจากใจเปน ความ
ดบั ไปแหงคันธสญั ญา.
ก. ถามวา รส สัญญา ความ จำ รส น้ัน มี ลักษณะ
อยางไร?
ข. ตอบวา ความจำรสนนั้ เมอ่ื เรารบั ประทานอาหารมรี ส
เปรี้ยว หวาน จดื เคม็ หรอื ขม เปน ตน เมอื่ รับประทาน
เสรจ็ แลว นึกขึน้ กจ็ ำรสเหลาน้นั ไดอ ยา งนี้เรียกวา ความ
จำรส เมอื่ ความจำรสปรากฏข้นึ ในใจ เปนความเกิดขน้ึ
แหงรสสัญญา เมือ่ ความจำรสเหลานนั้ ดบั หายไปจากใจ
เปนความดับไปแหงรสสญั ญา.
ก. ถามวา โผฏฐัพพสญั ญานน้ั มลี กั ษณะอยางไร ?
ข. ตอบวา ความจำเครอื่ งกระทบทางกาย เชน เราเดนิ ไป
เหยียบหนาม ถกู หนามยอก หรอื ถกู ตองเย็นรอ นออนแข็ง
อยา งใดอยางหนึ่ง เมอ่ื นกึ ข้นึ จำความถูกตองกระทบทาง
กายเหลานน้ั ไดช อ่ื วา โผฏฐัพพสัญญา.

๒๒

ปฏปิ ตตปิ จุ ฉาวิสัชนา

ก. ถามวา เชนเมื่อกลางวันน้ีเราเดินทางไปถูกแดดรอน
จัด ครน้ั กลบั มาถงึ บาน นึกถึงท่ีไปถกู แดดมานนั้ กจ็ ดั ได
วา วันน้นั เราไปถกู แดดรอ นอยา งนีเ้ ปน โผฏฐพั พสญั ญา
ถูกไหม ?

ข. ตอบวา ถูกแลว ส่ิงใดสิ่งหน่ึงมากระทบถูกตองทาง
กาย เม่ือเรานึกคิดถึงอารมณเหลานั้นจำได เปนโผฏฐัพ
พสัญญาทั้งนั้น เม่ือความจำโผฏฐัพพสัญญาเกิดขึ้นใน
ใจ เปนความเกิดขึ้นแหงโผฏฐัพพสัญญา เมื่อความจำ
เหลาน้ันดับหายไปจากใจ เปนความดับไปแหงโผฏฐัพพ
สัญญา.

ก. ถามวา ธมั มสญั ญามีลักษณะอยา งไร?
ข. ตอบวา ธัมมสัญญา ความจำธัมมารมณนั้นละเอียด

ยิ่งกวา สัญญา ๕ ท่ไี ดอธิบายมาแลว.
ก. ถามวา ธัมมารมณนน้ั ไดแกส่งิ อะไร?
ข. ตอบวา เวทนาขนั ธ สญั ญาขนั ธ สงั ขารขนั ธ ๓ อยา งนี้

ชอ่ื วา ธมั มารมณ เชน เราไดเ สวยเวทนาทเี่ ปน สขุ หรอื ทเ่ี ปน
ทุกขไว แลเวทนาเหลาน้ันดับไปแลว นึกข้ึนจำไดอยางนี้
ชื่อวาความจำเวทนา หรือเราเคยทองบนอะไรๆ จะจำได
มากก็ตามหรือจำไดนอยก็ตาม เม่ือความจำเหลาน้ันดับ
ไป พอนึกขึ้นถึงความจำเกาก็มาเปนสัญญาปจจุบันข้ึน
อยา งนเ้ี รียกวาความจำสญั ญา หรือเราคดิ นกึ เรือ่ งอะไรๆ

๒๓

ปฏปิ ต ตปิ ุจฉาวสิ ัชนา

ขึ้นเองดวยใจ เม่ือความคิดเหลาน้ันดับไป พอเรานึก
เรอ่ื งอะไรๆ ขน้ึ เองดว ยใจ กจ็ ำเรอ่ื งนนั้ ได นเี่ รยี กวา ความ
จำสงั ขารขนั ธ ความจำเรอื่ งราวของเวทนา สญั ญา สงั ขาร
เหลา น่ีแหละชื่อวา ธัมมสัญญา ความจำธัมมารมณ เมอ่ื
ความจำธัมมารมณมาปรากฏขึ้นในใจ เปนความเกิดข้ึน
แหง ธมั มสญั ญา เมอื่ ความจำธมั มารมณเ หลา นน้ั ดบั หาย
ไปจากใจ เปนความดบั ไปแหง ธัมมสญั ญา.
ก. ถามวา แหมชางซบั ซอนกนั จรงิ ๆ จะสังเกตอยางไร
ถูก?
ข. ตอบวา ถา ยงั ไมร จู กั อาการขนั ธ กส็ งั เกตไมถ กู ถา รจู กั
แลวก็สงั เกตไดงาย เหมือนคนทีร่ จู กั ตวั แล รูจกั ช่ือกัน ถึง
จะพบหรือเห็นกันมากๆ คนก็รูจักไดทุกๆ คน ถาคนท่ีไม
เคยรูจักตัวหรือรูจักชื่อกันมาแตคนเดียวก็ไมรูจักวา ผูน้ัน
คือใคร สมดวยพระพุทธภาษิต ในคหุ ัฏฐกสตู รหนา ๓๙๕
ทว่ี า สฺญํ ปริญฺ า วติ เรยยฺ โอฆํ สาธชุ นมากำหนด
รอบรสู ัญญาแลวจะพึงขา มโอฆะได.
ก. ถามวา สังขารขนั ธคอื อะไร?
ข. ตอบวา สังขารขันธค ือความคดิ ความนึก.
ก. ถามวา สังขารขันธเปน ทกุ ขสจั หรือเปน สมุทยั ?
ข. ตอบวา เปน ทกุ ขสจั ไมใ ชสมุทัย.
ก. ถามวา ก็สังขารขันธตามแบบอภิธัมมสังคหะ ทาน

๒๔

ปฏปิ ต ตปิ ุจฉาวสิ ัชนา

แจกไวว า มีบาปธรรม ๑๔ โสภณเจตสกิ ๒๕ อญั ญสมนา
๑๓ รวมเปน เจตสกิ ๕๒ ดวงนน้ั ดูมที ัง้ บญุ ทัง้ บาป และ
ไมใ ชบ ญุ ไมใ ชบ าปปนกนั ทำไมจงึ เปน ทกุ ขสจั อยา งเดยี ว
ขา พเจายงั ฉงนนัก?
ข. ตอบวา อัญญสมนา ๑๓ ยกเวทนาสัญญาออก
เสีย ๒ ขันธ เหลืออยู ๑๑ นี่แหละเปนสังขารขันธแท
จะตอ งกำหนดรูวาเปนทุกข สวนบาปธรรม ๑๔ นน้ั เปน
สมุทัยอาศัยสังขารขันธเกิดข้ึน เปนสวนปหาตัพพธรรม
จะตองละ สวนโสภณเจตสิก ๒๕ นั้นเปนภาเวตัพพ
ธรรมจะตอ งเจรญิ เพราะฉะน้นั บาปธรรม ๑๔ กับโสภณ
เจตสกิ ๒๕ ไมใชสังขารแท เปน แตอาศยั สงั ขารขันธเ กิด
ขน้ึ จงึ มหี นา ทจี่ ะตอ งละแลตอ งเจรญิ ความคดิ ความนกึ
อะไรๆ ที่มาปรากฏข้ึนในใจ เปนความเกดิ ขึน้ แหง
สังขารขันธ ความคิดความนึกเหลาน้ันดับหายไป
จากใจ กเ็ ปนความดับไปแหงสังขารขันธ.
ก. ถามวา วิญญาณขันธท ร่ี ูทางตา ทางหู ทางจมกู ทาง
ลนิ้ ทางกาย ทางใจ ๖ อยา งน้ี มลี กั ษณะอยา งไร และเวลา
เกดิ ข้ึนแลดับไปมอี าการอยา งไร?
ข. ตอบวา คือ ตา ๑ รูป ๑ กระทบกันเขา เกิดความรู
ทางตา เชนกับเราไดเห็นคนหรือส่ิงของอะไรๆ ก็รูไดคน
น้ันคนน้ี หรือส่ิงนั้นสิ่งน้ี ชื่อวาจักขุวิญญาณ เมื่อรูปมา

๒๕

ปฏปิ ตติปจุ ฉาวิสัชนา

ปรากฏกบั ตา เกดิ ความรทู างตาเปน ความเกดิ ขนึ้ แหง จกั ขุ
วิญญาณ เมื่อความรูทางตาดับหายไป เปนความดับไป
แหงจกั ขุวญิ ญาณ หรอื ความรทู างหู รกู ล่ินทางจมูก รรู ส
ทางล้ิน รูโผฏฐัพพะทางกายมาปรากฏขึ้น ก็เปนความ
เกิดขึ้นแหงโสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ
กายวญิ ญาณ เม่อื ความรู ทางหู จมกู ล้ิน กาย หายไป ก็
เปน ความดับไปแหงโสตวิญญาณ ฆานวญิ ญาณ ชิวหา
วิญญาณ กายวิญญาณ เมื่อใจกับธัมมารมณมากระทบ
กนั เขาเกดิ ความรทู างใจเรยี กวา มโนวญิ ญาณ.
ก. ถามวา ใจนนั้ ไดแกส่ิงอะไร?
ข. ตอบวา ใจนั้นเปนเครื่องรับธัมมารมณใหเกิดความรู
ทางใจ เหมอื นอยา งตาเปน เคร่อื งรับรูปใหเ กดิ ความรูท าง
ตา.
ก. ถามวา รเู วทนา รูสัญญา รูสงั ขารนนั้ รอู ยา งไร ?
ข. ตอบวา รเู วทนานนั้ เชน สขุ เวทนาเปน ปจ จบุ นั เกดิ ขน้ึ ก็
รวู าเปนสุข หรือทกุ ขเวทนาเกดิ ขึ้น กร็ ูว าเปนทกุ ข อยางนี้
แลรเู วทนาหรอื สญั ญาใดมาปรากฏขน้ึ ในใจ จะเปน ความ
จำรปู หรอื ความจำเสยี งกด็ ี กร็ สู ญั ญานน้ั อยา งนเี้ รยี กวา รู
สญั ญาหรอื ความคดิ เรอื่ งอะไรๆ ขนึ้ กร็ ไู ปในเรอื่ งนน้ั อยา ง
นี้ รูสงั ขาร ความรเู วทนา สญั ญา สงั ขาร ๓ อยา งนี้ ตองรู
ทางใจ เรยี กวา มโนวญิ ญาณ.

๒๖

ปฏปิ ตตปิ จุ ฉาวสิ ชั นา

ก. ถามวา มโนวิญญาณ ความรูทางใจก็เหมือนกันกับ
ธรรมสัญญา ความจำธัมมารมณอยางน้ันหรือ เพราะ
นก่ี ็รวู าเวทนา สญั ญา สงั ขาร นน่ั ก็จำเวทนา สญั ญา
สงั ขาร ?

ข. ตอบวา ตา งกนั เพราะสญั ญานนั้ จำอารมณท ลี่ ว งแลว
แตตวั สญั ญาเอง เปนสัญญา ปจ จบุ นั สวนมโนวญิ ญาณ
นนั้ รเู วทนาสญั ญาสงั ขารทเี่ ปน อารมณป จ จบุ นั เมอ่ื ความ
รเู วทนา สัญญา สงั ขาร มาปรากฏขนึ้ ในใจ เปน ความเกิด
ขนึ้ แหงมโนวญิ ญาณ เม่อื ความรู เวทนา สัญญา สังขาร
ดบั หายไปจากใจ เปน ความดับไปแหง มโนวิญญาณ.

ก. ถามวา เชนผงเขาตา รูวาเคืองตา เปนรูทางตาใช
ไหม?

ข. ตอบวา ไมใช เพราะรูทางตานั้น หมายถึงรูปท่ีมา
กระทบกัน ตาเกิดความรูขึ้น สวนผงเขาตาน้ันเปนกาย
สมั ผัส ตอ งเรียกวา รโู ผฏฐพั พะ เพราะตานัน้ เปน กาย ผง
นัน้ เปน โผฏฐัพพะ เกดิ ความรขู ้นึ ช่ือวา รูทางกาย ถาผง
เขาตาคนอ่ืน เขาวานเราไปดู เมื่อเราไดเห็นผงเกิดความ
รขู ้นึ ชอ่ื วารูทางตา.

ก. ถามวา สาธุ ขาพเจาเขาใจไดความในเร่ืองนี้ชัดเจน
ดแี ลว แตขันธ ๕ น้นั ยังไมไดค วามวาจะเกิดข้นึ ทลี ะอยา ง
สองอยาง หรอื วา ตอ งเกิดพรอ มกนั ท้งั ๕ ขันธ

๒๗

ปฏิปตติปจุ ฉาวสิ ชั นา

ข. ตอบวา ตอ งเกิดพรอมกันทัง้ ๕ ขนั ธ.
ก. ถามวา ขนั ธ ๕ ทเี่ กดิ พรอ มกนั นน้ั มลี กั ษณะอยา งไร?

และความดบั ไปมอี าการอยา งไร ? ขอใหช ตี้ วั อยา งใหข าว
สกั หนอย
ข. ตอบวา เชน เวลาเรานึกถึงรูปคนหรือรูปสิ่งของอยาง
ใดอยางหน่ึง อาการที่นึกข้ึนนั้นเปนลักษณะของสังขาร
ขันธ รปู รางหรือสิ่งของเหลา นน้ั มาปรากฏขึ้นในใจ น่เี ปน
ลกั ษณะของมโนวิญญาณ สุขหรอื ทุกขห รืออเุ บกขาที่เกดิ
ขึน้ ในคราวน้ัน นี่เปน ลักษณะของเวทนา มหาภตู รูป หรอื
อุปาทายรูปท่ีปรากฏอยูนั้น เปนลักษณะของรูป อยางนี้
เรียกวาความเกิดขึ้นแหง ขันธพรอมกันทัง้ ๕ เม่ืออาการ
๕ อยา งเหลานัน้ ดบั ไปเปน ความดับไปแหง ขนั ธทงั้ ๕.
ก. ถามวา สวนนามท้ัง ๔ เกิดขึ้นและดับไปพอจะเห็น
ดว ย แตท ่ีวา รปู ดับไปนั้นยังไมเ ขาใจ ?
ข. ตอบวา สว นรปู นนั้ มคี วามแปรปรวนอยเู สมอ เชน ของ
เกา เสอื่ มไป ของใหมเ กดิ แทนแตท วา ไมเ หน็ เอง เพราะรปู
สันตติ รปู ท่ีติดตอ เนื่องกนั บังเสีย จึงแลไมเหน็ แตก็ลอง
นกึ ดถู งึ รปู ตงั้ แตเ กดิ มาจนถงึ วนั น้ี เปลย่ี นไปแลว สกั เทา ไร
ถารูปไมด บั กค็ งไมมีเวลาแก แลเวลาตาย.
ก. ถามวา ถา เราจะสังเกตขนั ธ ๕ วา เวลาเกดิ ขนึ้ แลดับ
ไปนั้น จะสังเกตอยางไรจึงจะเห็นได แลท่ีวาขันธสิ้นไป

๒๘

ปฏปิ ต ติปจุ ฉาวสิ ชั นา

เสอื่ มไปนน้ั มลี กั ษณะอยา งไร เพราะวา เกดิ ขน้ึ แลว กด็ บั ไป
แลว กเ็ กิดข้นึ ไดอ ีก ดูเปนของคงทไ่ี มเ หน็ มคี วามเส่อื ม?
ข. ตอบวา พดู กบั คนทไี่ มเ คยเหน็ ความจรงิ นน้ั ชา งนา ขนั
เสยี เหลอื เกนิ วิธีสงั เกตขนั ธ ๕ นัน้ ก็ตอ งศกึ ษาใหร จู กั
อาการขันธตามความเปนจริง แลวก็มีสติสงบความคิด
อ่ืนเสียหมดแลว จนเปนอารมณอันเดียวที่เรียกวาสมาธิ
ในเวลาน้ันความคิดอะไรๆ ไมมีแลว สวนรูปนั้นหมาย
ลมหายใจ สวนเวทนาก็มีแตปติหรือสุข สวนสัญญาก็
เปนธรรม สัญญาอยางเดียว สวนสังขารเวลานั้นเปนสติ
กับสมาธิ หรอื วิตกวิจารอยู สว นวญิ ญาณกเ็ ปน แตค วาม
รอู ยใู นเรอื่ งทสี่ งบนน้ั ในเวลานนั้ ขนั ธ ๕ เขา ไปรวมอยเู ปน
อารมณเดียว ในเวลานั้นตองสังเกตอารมณปจจุบัน ที่
ปรากฏอยูเปนความเกิดขึ้นแหงขันธ พออารมณปจจุบัน
นน้ั ดบั ไป เปน ความดบั ไปแหง นามขนั ธ สว นรปู นน้ั เชน ลม
หายใจออกมาแลวพอหายใจกลับเขาไป ลมหายใจออก
นนั้ กด็ บั ไปแลว ครนั้ กลบั มาหายใจออกอกี ลมหายใจเขา
กด็ บั ไปแลว นี่แหละเปน ความดบั ไปแหงขันธท ั้ง ๕ แลว
ปรากฏขน้ึ มาอกี กเ็ ปน ความเกดิ ขนึ้ ทกุ ๆ อารมณ แลขนั ธ
๕ ทเี่ กดิ ขน้ึ ดบั ไป ไมใ ชด บั ไปเปลา ๆ รปู ชวี ติ นิ ทรยี  ความ
เปน อยขู องรปู ขนั ธ อรูปชวี ิตินทรยี  ความเปน อยขู องนาม
ขนั ธท ง้ั ๔ เมอื่ อารมณด บั ไปครงั้ หนงึ่ ชวี ติ แลอายขุ องขนั ธ
ท้ัง ๕ กส็ ้ินไปหมดไปทุกๆ อารมณ.

๒๙

ปฏิปต ติปุจฉาวิสชั นา

ก. ถามวา วิธีสังเกตอาการขันธที่ส้ินไปเส่ือมไปนั้น
หมายเอาหรอื คดิ เอา?

ข. ตอบวา หมายเอากเ็ ปน สญั ญา คดิ เอากเ็ ปน เจตนา
เพราะฉะนั้นไมใชหมายไมใชคิด ตองเขาไปเห็น
ความจริงทปี่ รากฏเฉพาะหนา จึงจะเปน ปญญาได.

ก. ถามวา ถา เชน นน้ั จะดคู วามสนิ้ ไปเสอื่ มไปของขนั ธท ง้ั
๕ มิตอ งต้ังพธิ ีทำใจใหเปน สมาธทิ กุ คราวไปหรือ?

ข. ตอบวา ถายังไมเคยเห็นความจริง ก็ตองต้ังพิธีเชนนี้
รำ่ ไป ถา เคยเหน็ ความจรงิ เสยี แลว กไ็ มต อ งตงั้ พธิ ที ำใจให
เปนสมาธิทกุ คราวก็ได แตพอมสี ติข้ึน ความจริงก็ปรากฏ
เพราะเคยเห็นแลรจู ักความจรงิ เสยี แลว เมื่อมสี ตริ ูตัวขน้ึ
มาเวลาใด กเ็ ปน สมถวิปสสนากำกบั กันไปทกุ คราว.

ก. ถามวา ทว่ี า ชวี ติ แลอายขุ องขนั ธส นิ้ ไปเสอ่ื มไปนนั้ คอื
สิน้ ไปเส่อื มไปอยางไร?

ข. ตอบวา เชน เราจะมลี มหายใจอยไู ดส กั ๑๐๐ หน กจ็ ะ
ตาย ถา หายใจเสยี หนหนงึ่ แลว กค็ งเหลอื อกี ๙๙ หน หรอื
เราจะคดิ จะนกึ อะไรไดส กั ๑๐๐ หน เมอ่ื คดิ นกึ เสยี หนหนง่ึ
แลว กค็ งเหลอื ๙๙ หน ถาเปน คนอายยุ ืน กห็ ายใจอยไู ด
มากหน หรอื คดิ นกึ อะไรๆ อยไู ดม ากหน ถา เปน คนอายสุ นั้
กม็ ีลมหายใจและคิดนึกอะไรๆ อยูไ ดน อ ยหน ที่สุดก็หมด
ลงวนั หนึ่ง เพราะจะตองตายเปน ธรรมดา.

๓๐

ปฏิปต ติปุจฉาวิสัชนา

ก. ถามวา ถา เราจะหมายจะคดิ อยใู นเรอ่ื งความจรงิ ของ
ขนั ธ อยา งนีจ้ ะเปน ปญ หาไหม ?

ข. ตอบวา ถาคิดเอาหมายเอา ก็เปนสมถะ ที่เรียกวา
มรณัสสติ เพราะปญ ญานัน้ ไมใ ชเรอ่ื งหมายหรือเรอื่ งคิด
เปนเรื่องของความเห็นอารมณปจจุบันที่ปรากฏ เฉพาะ
หนา ราวกับตาเหน็ รปู จึงจะเปนปญ ญา.

ก. ถามวา เม่ือจิตสงบแลว ก็คอยสังเกตดูอาการขันธ
ที่เปนอารมณปจจุบัน เพ่ือจะใหเห็นความจริง นั่นเปน
เจตนาใชไหม?

ข. ตอบวา เวลานั้นเปนเจตนาจริงอยู แตความจริงก็ยัง
ไมป รากฏ เวลาทค่ี วามจรงิ ปรากฏขน้ึ นนั้ พน เจตนาทเี ดยี ว
ไมม เี จตนาเลย เปน ความเห็นท่เี กิดข้ึนเปนพิเศษ ตอจาก
จติ ทสี่ งบแลว.

ก. ถามวา จติ คูกับเจตสิก ใจคกู ับธมั มารมณ มโนธาตุคู
กับธรรมธาตุ ๓ คูนเี้ หมอื นกนั หรอื ตา งกัน?

ข. ตอบวา เหมอื นกัน เพราะวาจิต กบั มโนธาตุกบั ใจน้ัน
อยางเดียวกัน สว นใจนัน้ เปน ภาษาไทย ภาษาบาลี ทา น
เรยี กวา มโน เจตสกิ นน้ั กไ็ ดแกเ วทนา สญั ญา สงั ขาร ธัม
มารมณน นั้ ก็ คอื เวทนา สญั ญา สงั ขาร ธรรมธาตนุ น้ั กค็ อื
เวทนา สญั ญา สังขาร.

ก. ถามวา ใจน้นั ทำไมจงึ ไมใ ครปรากฏ เวลาที่สงั เกตดูก็

๓๑

ปฏปิ ต ติปจุ ฉาวสิ ชั นา

เหน็ แตเ หลา ธมั มารมณ คอื เวทนาบา ง สญั ญาบา ง สงั ขาร
บาง มโนวิญญาณความรูทางใจ เพราะเหตุไร ใจจึงไม
ปรากฏเหมอื นเหลา ธมั มารมณ กับมโนวญิ ญาณ?
ข. ตอบวา ใจนน้ั เปนของละเอียด เหน็ ไดยาก พอพวก
เจตสิกธรรมที่เปนเหลาธัมมารมณมากระทบเขาก็เกิด
มโนวญิ ญาณ ถกู ผสมเปนมโนสัมผสั เสียทีเดียว จงึ แลไม
เห็นมโนธาตไุ ด.
ก. ถามวา อเุ บกขาในจตุตถฌาน เปน อทกุ ขมสขุ เวทนา
ใชหรือไม?
ข. ตอบวา ไมใ ช อทุกขมสุขเวทนา น้ันเปนเจตสิกธรรม
สว นอุเบกขาในจตตุ ถฌานนั้นเปน จิต.
ก. ถามวา สงั โยชน ๑๐ นนั้ คอื สกั กายทฐิ ิ วจิ ิกจิ ฉา
สลี พั พตั ตปรามาส กามราคะ พยาบาท รูปราคะ อรูป
ราคะ มานะ อทุ ธจั จะ อวชิ ชา ทีแ่ บง เปน สงั โยชนเบ้อื ง
ตำ่ ๕ เบ้อื งบน ๕ นัน้ ก็สว นสักกายทฐิ ิท่ที า นแจกไว ตาม
แบบขันธละ ๔ รวม ๕ ขนั ธ เปน ๒๐ ทีว่ า ยอมเหน็ รูป
โดยความเปนตวั ตนบาง ยอมเห็นตวั ตนวามีรูปบา ง ยอม
เห็นรูป ในตวั ตนบาง ยอมเห็นตัวตนในรปู บา ง ยอ มเห็น
เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ โดยความเปนตวั ตนบา ง
ยอมเหน็ ตัวตนวามี เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณบาง
ยอ มเห็น เวทนา สญั ญา สังขาร วิญญาณในตัวตนบาง

๓๒

ปฏิปต ตปิ ุจฉาวสิ ชั นา

ยอ มเหน็ ตัวตนในเวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณบา ง
ถาฟง ดูทา นท่ลี ะสักกายทิฐไิ ดแลว ดไู มเ ปน ตัวเปนตน
แตท ำไมพระโสดาบนั กล็ ะสักกายทฏิ ฐไิ ดแ ลว สงั โยชน
ยังอยอู ีกถึง ๗ ขา พเจา ฉงนนัก?
ข. ตอบวา สกั กายทฏิ ฐิ ทที่ า นแปลไวต ามแบบ ใครๆ ฟง
กไ็ มใ ครเ ขา ใจ เพราะทา นแตก อ น ทานพดู ภาษามคธกนั
ทานเขาใจไดความกันดี สวนเราเปนไทย ถึงแปลแลวก็
จะไมเขาใจ ของทาน จึงลงความเหน็ วา ไมเปนตวั เปน ตน
เสีย ดูออกจะแรงมากไป ควรจะนึกถึง พระโกณทัญญะ
ในธมั มจกั ร ทา นไดเ ปน โสดาบนั กอ นคนอน่ื ทา นไดค วาม
เหน็ วา ยงฺกิจฺ ิ สมทุ ยธมฺมํ สพพฺ นตฺ ํ นโิ รธธมมํ สง่ิ ใดสิง่
หน่ึง มีความเกิดข้ึนเปนธรรมดา สิ่งนั้นลวนมีความดับ
เปน ธรรมดา แลพระสารบี ตุ รพบพระอัสสชิ ไดฟงอรยิ สจั
ยอ วา
เย ธมมฺ า เหตปุ ฺปภวา เตสํ เหตุ ตถาคโต เตสฺจ โย นิ
โรโธ จ เอวํวาที มหาสมโณ
ธรรมเหลาใดเกิดแตเหตุ พระตถาคตเจาทรงแสดงเหตุ
ของธรรมเหลานั้น และความดับของธรรมเหลาน้ัน พระ
มหาสมณะมปี กติกลาวอยางนี้ ทานกไ็ ดด วงตาเหน็ ธรรม
ละสักกายทฐิ ไิ ด.
ก. ถามวา ถาเชนน้ันทานก็เห็นความจริงของปญจขันธ

๓๓

ปฏิปตติปุจฉาวิสชั นา

ถา ยความเหน็ ผดิ คอื ทิฏฐิวปิ ลาสเสยี ได สว นสลี พั พตั กับ
วิจกิ ิจฉา ๒ อยา งนั้น ทำไมจงึ หมดไปดว ย?
ข. ตอบวา สักกายทิฏฐิน้ัน เปนเร่ืองของความเห็นผิด
ถึงสีลัพพัตก็เก่ียวกับความเห็นวาส่ิงที่ศักด์ิสิทธ์ิตางๆ ที่
มีอยูในโลกจะใหดใี หช ่ัวได วจิ ิกจิ ฉาน้ัน เมือ่ ผูท่ยี งั ไมเคย
เห็นความจริง ก็ตองสงสัยเปนธรรมดา เพราะฉะนั้นทาน
ที่ไดดวงตาเห็นธรรมคือเห็นความจริงของสังขารท้ังปวง
สว นสีลพั พตั น้นั เพราะความเห็นของทา นตรงแลวจึงเปน
อจลสัทธา ไมเห็นไปวาสิ่งอ่ืนนอกจากกรรมท่ีเปนกุศล
แลอกุศล จะใหดีใหชั่วได จึงเปนอันละสีลัพพัตอยูเอง
เพราะสงั โยชน ๓ เปนกิเลสประเภทเดยี วกนั .
ก. ถามวา ถาตอบสังโยชน ๓ อยางนี้แลว มิขัดกันกับ
สกั กายทฏิ ฐิตามแบบทว่ี า ไมเปนตวั เปนตนหรอื ?
ข. ตอบวา คำท่ีวาไมเปนตัวเปนตนนั้น เปนเรื่องที่
เขาใจเอาเองตางหาก เชน กับพระโกณฑัญญะ เมื่อฟง
ธรรมจักร ทานก็ละสักกายทิฏฐิไดแลว ทำไมจึงตองฟง
อนัตตลักขณะสูตรอีกเลา นี่ก็สอใหเห็นไดวาทานผูท่ี
ละสักกายทิฏฐิไดน้ัน คงไมใชเ ห็นวาไมเปนตัวเปนตน.
ก. ถามวา ถา เชน นนั้ ทวี่ า เหน็ อนตั ตา กค็ อื เหน็ วา ไมใ ชต วั
ไมใ ชต นอยางนั้นหรือ?
ข. ตอบวา อนัตตาในอนัตตลักขณะสูตรท่ีพระพุทธเจา

๓๔

ปฏิปต ตปิ ุจฉาวสิ ชั นา

ทรงซกั พระปญ จวคั คยี  มเี นอ้ื ความวา ขนั ธ ๕ ไมเ ปน ไปใน
อำนาจ สิง่ ที่ไมเ ปน ไปในอำนาจบงั คับไมได จึงช่อื วา เปน
อนตั ตา ถาขันธ ๕ เปนอัตตาแลวกค็ งจะบังคบั ได เพราะ
ฉะน้ันเราจึงควรเอาความวา ขันธ ๕ ท่ีไมอยูในอำนาจ
จึงเปนอนตั ตา เพราะเหตุที่บังคับไมได ถา ขันธ ๕ เปน
อตั ตา ตัวตนกค็ งจะบังคบั ได.
ก. ถามวา ถา เชน น้นั เห็นอยา งไรเลาจึงเปน สกั กายทิฏฐิ?
ข. ตอบวา ตามความเห็นของขาพเจาวา ไมรูจักขันธ
๕ ตามความเปนจริง เห็นปญจขันธวาเปนตนและเท่ียง
สุข ปนตัวตนแกนสาร และเลยเห็นไปวาเปนสุภะความ
งามดวย ท่ีเรียกวาทิฏฐิวปิ ลาส นีแ่ หละเปนสักกายทิฏฐิ
เพราะฉะน้ันจึงเปนคูปรับกับ ยงฺกิญจิ สมุทยธมฺมํ สพฺ
พนฺตํ นิโรธธมมํ ซ่ึงเปนความเห็นถูก ความเห็นชอบจึง
ถายความเห็น ผดิ เหลา นนั้ ได.
ก. ถามวา ถาเชนน้นั ทานท่ลี ะสักกายทิฐิไดแ ลว อนิจฺจํ
ทุกขํ อนตฺตา จะเปนอธั ยาศยั ไดไ หม ?
ข. ตอบวา ถาฟงดูตามแบบทานเห็น ยงฺกิฺจิ สมุทย
ธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ ชัดเจน อนิจฺจํ คงเปนอัธยาศัย
สว นทุกขํ กบั อนตฺตา ถงึ จะเหน็ กไ็ มเ ปน อัธยาศยั เขา ใจวา
ถาเหน็ ปญ จขันธ เปนทุกขมากเขา กามราคะพยาบาทก็
คงนอย ถาเห็นปญจขันธเปนอนัตตามากเขา กามราคะ

๓๕

ปฏิปต ตปิ ุจฉาวิสัชนา

พยาบาทกค็ งหมด ถาเห็นวา สพเฺ พ ธมมฺ า อนตตฺ า ชัดเจน
เขา สงั โยชนเ บื้องบนก็คงหมด นี่เปนสวนความเขา ใจ แต
ตามแบบทา นก็ไมไ ดอ ธิบายไว.
ก. ถามวา ท่ีวาพระสกิทาคามี ทำกามราคะพยาบาท
ใหนอยนั้น ดูมัวไมชัดเจน เพราะไมทราบวานอยแค
ไหน ไมแตกหักเหมือนพระโสดาบัน พระอนาคามีแล
พระอรหนั ต?
ข. ตอบวา แตกหักหรือไมแตกหักก็ใครจะไปรูของทาน
เพราะวา เปน ของเฉพาะตัว.
ก. ถามวา ถาจะสันนิษฐานไปตามแนวพระปริยัติก็จะ
ชี้ตัวอยา งใหเขา ไดบางหรอื ไม?
ข. ตอบวา การสันนิษฐานนั้นเปนของไมแน ไมเหมือน
อยางไดร ูเ องเหน็ เอง.
ก. ถามวา แนห รือไมแ นก เ็ อาเถดิ ขาพเจา อยากฟง ?
ข. ตอบวา ถาเชนนั้น ขาพเจาวาทานที่ไดเปนโสดาบัน
เสร็จแลว มีอัธยาศัยใจคอซ่ึงตางกับปุถุชน ทานไดละ
กามราคะพยาบาทสว นหยาบถงึ กบั ลว งทจุ รติ ซง่ึ เปน ฝา ย
อบายได คงเหลอื แตอยางกลางอยางละเอียดอีก ๒ สว น
ภายหลงั ทานเจรญิ สมถวปิ สสนามากขึน้ กล็ ะ กามราคะ
ปฏิฆะสังโยชน อยางกลางไดอีกสวน ๑ ขาพเจาเห็นวา
นีแ่ หละเปน มรรคท่ี ๒ ตอมาทานประพฤติปฏิบตั ิละเอียด

๓๖

ปฏิปตตปิ จุ ฉาวิสัชนา

เขา กล็ ะกามราคะพยาบาททเี่ ปน อยา งละเอยี ดไดข าด ชอื่
วา พระอนาคาม.ี
ก. ถามวา กามราคะพยาบาทอยางหยาบถึงกับลวง
ทุจริต หมายทจุ ริตอยางไหน ?
ข. ตอบวา หมายเอาอกุศลกรรมบถ ๑๐ วาเปนทุจริต
อยางหยาบ.
ก. ถามวา ถา เชน นั้น พระ โสดาบัน ทาน ก็ ละ อกุศล
กรรมบถ ๑๐ ไดเ ปนสมุจเฉทหรอื ?
ข. ตอบวา ตามความเห็นของขาพเจา เห็นวากายทุจริต
๓ คอื ปาณา อทนิ นา กาเมสมุ จิ ฉาจาร มโนทุจริต ๓ อภิ
ชฌฺ า พยาบาท มจิ ฉาทฏิ ฐนิ ล้ี ะขาดไดเ ปน สมุจเฉท สว น
วจีกรรมที่ ๔ คอื มุสาวาทก็ละไดข าด สวนวจกี รรมอีก ๓
ตัว คอื ปส ุณาวาจา ผรสุ วาจา สัมผัปปลาป ละไดแ ตส ว น
หยาบท่ีปุถุชนกลาวอยู แตสวนละเอียดยังละไมไดตอง
อาศัยสงั วรความระวงั ไว.
ก. ถามวา ทตี่ อ งสำรวมวจกี รรม ๓ เพราะเหตอุ ะไรทำไม
จงึ ไมขาดอยางมุสาวาท?
ข. ตอบวา เปน ดว ยกามราคะกบั ปฏฆิ ะสงั โยชนท ง้ั ๒ ยงั
ละไมไ ด.
ก. ถามวา วจกี รรม๓มาเกย่ี วอะไรกบั สงั โยชนท ง้ั ๓ ดว ย
เลา?

๓๗

ปฏิปต ตปิ จุ ฉาวิสชั นา

ข. ตอบวา บางคาบบางสมัย เปนตนวามีเรื่องที่จำเปน
เกดิ ขนึ้ ในคนรกั ของทา นกบั คนอกี คนหนงึ่ ซง่ึ เขาทำความ
ไมด อี ยา งใดอยา งหนง่ึ จำเปน ทจ่ี ะตอ งพดู ครนั้ พดู ไปแลว
เปนเหตุใหเขาหางจากคนนั้นจึงตองระวัง สวนปสุณา
วาจา บางคราวความโกรธเกิดขน้ึ ท่สี ดุ จะพูดออกไปดว ย
กำลงั ใจทโี่ กรธวา พอ มหาจำเรญิ แมมหาจำเริญ ท่ีเรียก
วา ประชดทา น กส็ งเคราะหเ ขา ในผรสุ วาจา เพราะเหตนุ นั้
จงึ ตองสำรวม สวนสัมผัปปลาปนน้ั ตริ จั ฉานกถาตางๆ มี
มาก ถาสมัยท่ีเผลอสติมีคนมาพูด ก็อาจจะพลอยพูดไป
ดว ยได เพราะเหตุน้ันจงึ ตอ งสำรวม.

ก. ถามวา ออ พระโสดาบนั ยังมเี วลาเผลอสตอิ ยหู รอื ?
ข. ตอบวา ทำไมทานจะไมเ ผลอ สงั โยชนยังอยูอ กี ถึง ๗

ทา นไมใชพระอรหนั ตจะไดบริบูรณด วยสต.ิ
ก. ถามวา กามราคะ พยาบาท อยางกลางหมายความ

เอาแตไ หน เมอ่ื เกดิ ขนึ้ จะไดร?ู
ข. ตอบวา ความรกั แลความโกรธทป่ี รากฏขน้ึ มเี วลาสนั้

หายเร็ว ไมถึงกบั ลว งทจุ ริต นี่แหละเปนอยา งกลาง.
ก. ถามวา กก็ ามราคะ พยาบาท อยา งละเอยี ดนน้ั หมาย

เอาแคไ หน แลเรยี กวา พยาบาทดหู ยาบมาก เพราะเปน ชอื่
ของอกศุ ล?
ข. ตอบวา บางแหงทานก็เรียกวาปฏิฆะสังโยชน ก็มีแต

๓๘

ปฏิปตติปุจฉาวสิ ชั นา

ความเห็นของขาพเจาวา ไมควรเรียกพยาบาท ควรจะ
เรียกปฏฆิ ะสงั โยชนดูเหมาะดี
ก. ถามวา ก็ปฏิฆะกับกามราคะที่อยางละเอียดนั้นจะ
ไดแกอาการของจติ เชนใด ?
ข. ตอบวา ความกำหนัดที่อยางละเอียด พอปรากฏข้ึน
ไมทันคิดออกไปก็หายทันที สวนปฏิฆะนั้น เชน คนท่ีมี
สาเหตุโกรธกันมาแตกอน คร้ันนานมาความโกรธกันมา
แตกอน คร้นั นานมาความโกรธนั้นก็หายไปแลว และไม
ไดน กึ ถงึ เสยี เลย ครน้ั ไปในทปี่ ระชมุ แหง ใดแหง หนงึ่ ไปพบ
คนน้ันเขามีอาการสะดุดใจ ไมสนิทสนมหรือเกอเขิน ผิด
กบั คนธรรมดาซงึ่ ไมเ คยมสี าเหตกุ นั ขา พเจา เหน็ วา อาการ
เหลาน้ีเปนอยางละเอียด ควรจะเรียกปฏิฆะสังโยชนได
แตตามแบบทานก็ไมไดอธบิ ายไว
ก. ถามวา สังโยชนทั้ง ๒ น้ี เห็นจะเกิดจากคนโดยตรง
ไมใ ชเกิดจากส่งิ ของทรพั ยสมบัติอืน่ ๆ ?
ข. ตอบวา ถูกแลว เชนวิสาขะอุบาสกเปนพระอนาคามี
ไดยินวาหลีกจากนางธัมมทินนา ไมไดหลีกจากสิ่งของ
ทรพั ยส มบตั สิ ว นอนื่ ๆสว นความโกรธหรอื ปฏฆิ ะทเ่ี กดิ ขน้ึ ก็
เปน เรอื่ งของคนทงั้ นน้ั ถงึ แมจ ะเปน เรอ่ื งสงิ่ ของ กเ็ กยี่ วขอ ง
กบั คน ตกลงโกรธคนนนั่ เอง
ก. ถามวา สว นสงั โยชนเ บอื้ งตำ่ นนั้ กไ็ ดร บั ความอธบิ าย

๓๙

ปฏิปต ติปุจฉาวิสชั นา

มามากแลว แตส ว นสงั โยชนเ บอ้ื งบน ๕ ตามแบบทอ่ี ธบิ าย
ไวว า รูปราคะ คือ ยินดใี นรูปฌาน อรปู ราคะยนิ ดใี นอรูป
ฌาน ถาเชนนน้ั คนทไี่ มไ ดบ รรลฌุ านสมาบัติ ๘ สังโยชน
ทั้ง ๒ ก็ไมมีโอกาสจะเกิดได เมื่อเปนเชนนี้สังโยชน ๒
ไมมีหรือ ?
ข. ตอบวา มี ไมเ กดิ ในฌาน ก็ไปเกิดในเร่อื งอน่ื
ก. ถามวา เกิดในเรื่องไหนบาง ขอทานจงอธิบายให
ขา พเจาเขาใจ ?
ข. ตอบวา ความยินดีในรูปขันธ หรือความยินดีใน รูป
เสียง กล่ิน รส โผฏฐพั พะ น้นั ชอ่ื วารูป ราคะ ความยนิ ดใี น
เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ หรอื ยนิ ดใี นสมถวปิ ส สนา
หรือยนิ ดใี นสว นมรรคผล ทไ่ี ดบ รรลเุ สขคณุ แลว เหลา นก้ี ็
เปน อรปู ราคะได
ก. ถามวา กค็ วามยนิ ดใี นกาม ๕ พระอนาคามลี ะไดแ ลว
ไมใชห รอื ทำไมจึงมาเก่ียวกับสังโยชน เบอ้ื งบนอกี เลา ?
ข. ตอบวา กามมี ๒ ช้นั ไมใชช น้ั เดียวทพ่ี ระอนาคามลี ะ
น้ัน เปนสวนความกำหนัดในเมถุน ซ่ึงเปนคูกับพยาบาท
สว นความยนิ ดใี นรปู เสยี ง กลน่ิ รส โผฏฐพั พะทไ่ี มไ ดเ กย่ี ว
กบั เมถนุ จงึ เปนสงั โยชนเ บือ้ งบน คอื รปู ราคะ สว นความ
ยินดีในนามขันธทั้ง ๔ หรอื สมถวิปส สนาหรือมรรคผลชน้ั
ตน ๆ เหลานี้ ชื่อวา อรปู ราคะ ซ่ึงตรงกับความยินดใี น

๔๐

ปฏปิ ต ติปจุ ฉาวสิ ชั นา

ธัมมารมณ เพราะฉะน้ันพระอรหันตทั้งหลายเบ่ือหนาย
ในรปู ขันธ หรอื รปู เสยี ง กลน่ิ รส โผฏฐัพพะ เปน ภายนอก
จึงไดสิ้นไปแหงรูปราคะสังโยชน และทานเบ่ือในเวทนา
สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ และสมถหรือวปิ ส สนาท่อี าศยั
ขันธเกิดขึ้นเมื่อทานส้ินความยินดีในนามขันธแลว แม
ธรรมทง้ั หลายอาศยั ขนั ธเ กดิ ขน้ึ ทา นกไ็ มย นิ ดี ไดช อื่ วา ละ
ความยนิ ดยี นิ รา ยในนามรปู หมดแลว ทา นจงึ เปน ผพู น แลว
จากความยินดี ยนิ รา ยในอารมณ ๖ จึงถงึ พรอมดว ยคุณ
คือฉะลงั คุเบกขา.
ก. ถามวา แปลกมากยังไมเคยไดยินใครอธิบายอยางนี้
สวนมานะสงั โยชนนั้น มอี าการอยางไร?
ข. ตอบวา มานะสงั โยชนน นั้ มอี าการใหว ดั เชน กบั นกึ ถงึ
ตวั ของตวั กร็ สู กึ วา เปน เรา สว นคนอน่ื กเ็ หน็ วา เปน เขา แล
เห็นวาเราเสมอกับเขา หรือเราสูงกวาเขาหรือเราต่ำกวา
เขา อาการท่ีวัดชนดิ น้ีแหละเปนมานะสังโยชน ซ่ึงเปนคู
ปรบั กับอนัตตาหรือ สพเฺ พ ธมฺมา อนตฺตา.
ก. ถามวา ก็อุทธัจจสังโยชนนั้นมีลักษณะอยางไร เชน
พระอนาคามลี ะสงั โยชนเ บอื้ งตำ่ ไดห มดแลว สว นอทุ ธจั จ
สงั โยชนจ ะฟงุ ไปทางไหน?
ข. ตอบวา ตามแบบทานอธิบายไววา ฟุงไปในธรรม
เพราะทา นยังไมเ สรจ็ กจิ จงึ ไดฝ กใฝอยูใ นธรรม.

๔๑

ปฏิปต ตปิ จุ ฉาวสิ ชั นา

ก. ถามวา อวิชชาสังโยชนนน้ั ไมร ูอ ะไร?
ข. ตอบวา ตามแบบทา นอธบิ ายไวว า ไมร ขู นั ธท เี่ ปน อดตี

๑ อนาคต ๑ ปจ จบุ นั ๑ อรยิ สจั ๔ ปฏจิ จสมปุ บาท ๑ ความ
ไมร ูใ นที่ ๘ อยางนีแ้ หละชอ่ื วา อวิชชา.
ก. ถามวา พระเสขบคุ คลทา นกร็ อู รยิ สจั ๔ ดว ยกนั ทงั้ นน้ั
ทำไมอวชิ ชาสังโยชนจ งึ ยงั อย?ู
ข. ตอบวา อวิชชามีหลายช้ัน เพราะฉะน้ันวิชชาก็หลาย
ชั้น สวนพระเสขบุคคล มรรคแลผลช้ันใดที่ทานไดบรรลุ
แลว ทานกร็ เู ปน วชิ ชาขึ้น ชนั้ ใดยงั ไมร ู ก็ยังเปน อวิชชาอยู
เพราะฉะนัน้ จงึ หมดในข้ันทส่ี ุด คือ พระอรหนั ต.
ก. ถามวา พระเสขบุคคลทานเห็นอริยสัจ แตละตัณหา
ไมได มไิ มไดทำกิจในอริยสัจหรอื ?
ข. ตอบวา ทา นกท็ ำทุกชั้นนั้นแหละ แตกท็ ำตามกำลัง.
ก. ถามวา ทวี่ า ทำตามช้ันนัน้ ทำอยางไร?
ข. ตอบวา เชนพระโสดาบันไดเห็นปญจขันธ เกิดขึ้น
ดับไป ก็ชอื่ วาไดก ำหนดรทู กุ ข และไดละสังโยชน ๓ หรือ
ทุจริตสวนหยาบๆ ก็เปนอันละสมุทัย ความที่สังโยชน ๓
ส้ินไปเปนสวนนิโรธตามชั้นของทาน สวนมรรคทานก็ได
เจรญิ มีกำลังพอละสังโยชน ๓ ได แลทานปด อบายได ชือ่
วาทำภพคอื ทคุ ติใหหมดไป ทีต่ ามแบบเรยี กวา ขีณนิรโย
มีนรกสิ้นแลว สวนพระสกิทาคามี ก็ไดกำหนดทุกขคือ

๔๒

ปฏปิ ต ตปิ จุ ฉาวิสชั นา

ปญจขันธแลวแลละกาม ราคะ พยาบาทอยางกลางได
ช่ือวาละสมุทัย ขอท่ีกามราคะพยาบาทอยางกลางหมด
ไป จึงเปนนิโรธของทาน สวนมรรคน้ันก็เจริญ มาได
เพียงละกามราคะพยาบาท อยางกลางน่ีแหละจึงไดทำ
ภพชาตใิ หนอยลง สว นพระอนาคามีทกุ ขไดกำหนดแลว
ละกามราคะพยาบาทสว นละเอยี ดหมดไดช อ่ื วา ละสมทุ ยั
กามราคะพยาบาทอยางละเอียดท่ีหมดไปจึงเปนนิโรธ
ของทาน สวนมรรคนั้นก็ไดเจริญมาเพียงละสังโยชน ๕
ไดหมด แลไดส น้ิ ภพคอื กามธาต.ุ
ก. ถามวา ศีล สมาธิ ปญ ญา ที่เปน โลกีย กบั โลกตุ ตรน้นั
ตา งกนั อยา งไร?
ข. ตอบวา ศีล สมาธิ ปญญา ของผูปฏิบัติอยูในภูมิ
กามาพจร รปู าพจร อรูปาพจร น่ีแหละเปน โลกีย ทเ่ี รยี ก
วา วัฏฏคามกี ุศล เปน กุศลท่ีวนอยูในโลก สวน ศีล สมาธิ
ปญ ญา ของทา นผปู ฏบิ ัตติ ัง้ แตโสดาบันแลว ไป เรยี กวา
วิวัฏฏคามีกุศล เปนเคร่ืองขามขึ้นจากโลก นี่แหละเปน
โลกุตตร.
ก. ถามวา ทา นทบี่ รรลฌุ านถงึ อรปู สมาบตั แิ ลว กย็ งั เปน
โลกียอยู ถา เชนน้ันเราจะปฏบิ ตั ใิ หเ ปน โลกตุ ตร ก็เหน็ จะ
เหลือวิสัย?
ข. ตอบวา ไมเหลือวิสัย พระพุทธเจาทานจึงทรงแสดง
ธรรมสัง่ สอน ถาเหลือวิสยั พระองคกค็ งไมทรงแสดง.

๔๓

ปฏปิ ตตปิ ุจฉาวสิ ชั นา

ก. ถามวา ถาเราไมไดบรรลุฌานช้ันสูงๆ จะเจริญ
ปญ ญา เพ่อื ใหถึงซง่ึ มรรคแลผลจะไดไ หม?

ข. ตอบวา ได เพราะวิธีท่ีเจริญปญญาก็ตองอาศัย
สมาธิ จรงิ อยู แตไมต องถงึ กับฌาน อาศยั สงบจิตที่
พน นวิ รณ ก็พอเปนบาทของวิปส สนาได.

ก. ถามวา ความสงัดจากกาม จากอกุศลของผูที่บรรลุ
ฌานโลกีย กับความสงัดจากกาม จากอกุศลของพระ
อนาคามีตางกนั อยางไร?

ข. ตอบวา ตางกันมาก ตรงกนั ขา มทีเดยี ว.
ก. ถามวา ทำไมจึงไดต างกันถงึ กับตรงกนั ขา มทเี ดยี ว?
ข. ตอบวา ฌานที่เปนโลกีย ตองอาศัยความเพียร มีสติ

คอยระวังละอกุศล แลความเจริญกุศลใหเกิดข้ึน มีฌาน
เปนตน และยังตองทำกิจที่คอยรักษาฌานน้ันไวไมให
เสื่อม ถึงแมจะเปนอรูปฌานที่วาไมเส่ือมในชาติน้ี ชาติ
หนาตอๆ ไป กอ็ าจจะเสอ่ื มได เพราะเปนกุปปธรรม.
ก. ถามวา ถาเชนนัน้ สว นความสงดั จากกามจากอกุศล
ของพระอนาคามี ทา นไมมเี วลาเสื่อมหรอื ?
ข. ตอบวา พระอนาคามี ทานละกามราคะสังโยชนกับ
ปฏิฆะสังโยชนไดขาด เพราะฉะน้ันความสงัดจากกาม
จากอกุศลของทานเปนอัธยาศยั ทเี่ ปน เองอยเู สมอ โดย
ไมตองอาศัยความเพียรเหมือนอยางฌานท่ีเปนโลกีย

๔๔

ปฏปิ ตติปุจฉาวสิ ชั นา

สวนวิจกิ จิ ฉาสังโยชนน ้ัน หมดมาตงั้ แตเปนโสดาบนั แลว
เพราะฉะน้ันอุทธัจจนิวรณท่ีฟุงไปหากามและพยาบาท
กไ็ มม ี ถึงถนี ะมิทธนวิ รณก ไ็ มม ี เพราะเหตุนัน้ ความสงดั
จากกามจากอกุศลของทานจึงไมเสื่อม เพราะเปนเอง
ไมใชท ำเอาเหมือนอยา งฌานโลกีย.
ก. ถามวา ถา เชน นนั้ ผทู ไ่ี ดบ รรลพุ ระอนาคามี ความสงดั
จากกามจากอกศุ ล ที่เปน เองมิไมมหี รอื ?
ข. ตอบวา ถานึกถึงพระสกิทาคามี ที่วาทำสังโยชนทั้ง
สองใหน อ ยเบาบาง นา จะมคี วามสงดั จากกามจากอกศุ ล
ที่เปนเองอยูบางแตก ็คงจะออ น.
ก. ถามวา ท่ีวาพระอนาคามีทานเปนสมาธิบริปูริการีบริ
บูรณดวยสมาธิ เห็นจะเปน อยา งน้เี อง?
ข. ตอบวา ไมใชเปนสมาธิ เพราะวาสมาธิน้ันเปนมรรค
ตอ งอาศยั เจตนาเปน สว นภาเวตพั พธรรม สว นภาเวตพั พ
ธรรมสวนของพระอนาคามีทานเปนเอง ไมมีเจตนาเปน
สัจฉิกาตัพพธรรม เพราะฉะน้ันจึงไดตางกันกับฌานท่ี
เปน โลกีย.
ก. ถามวา นิวรณแลสงั โยชนน นั้ ขา พเจาทำไมจงึ ไมร ูจกั
อาการ คงรูจักแตช อ่ื ของนวิ รณแ ลสังโยชน?
ข. ตอบวา ตามแบบในมหาสตปิ ฏ ฐาน พระพทุ ธเจา สอน
สาวกใหรูจักนิวรณแลสังโยชน พระสาวกของทานต้ังใจ

๔๕

ปฏปิ ต ตปิ จุ ฉาวสิ ัชนา

กำหนดสังเกตก็ละนิวรณแลสังโยชนไดหมด จนเปนพระ
อรหันต โดยมาก สวนทานท่ีอินทรียออน ยังไมเปนพระ
อรหนั ต กเ็ ปน พระเสขบคุ คล สว นเราไมต งั้ ใจไมส งั เกตเปน
แตจ ำวา นวิ รณห รอื สงั โยชนแ ลว กต็ ง้ั กองพดู แลคดิ ไปจงึ ไม
พบตวั จรงิ ของนวิ รณแ ลสงั โยชนเมอ่ื อาการของนวิ รณแ ละ
สังโยชนอยา งไรกไ็ มรูจกั แลว จะละอยา งไรได.
ก. ถามวา ถาเชนนั้นผูปฏิบัติทุกวันนี้ ที่รูจักลักษณะ
อาการของนวิ รณแ ลสังโยชนจะมีบา งไหม ?
ข. ตอบวา มีถมไปชนิดท่ีเปนสาวกตั้งใจรับคำสอนแล
ประพฤตปิ ฏบิ ัตจิ ริง ๆ.
ก. ถามวา นวิ รณ๕เวลาทเี่ กดิ ขนึ้ ในใจมลี กั ษณะอยา งไร
จงึ จะทราบไดว า อยา งนี้ คอื กามฉนั ท อยา งนค้ี อื พยาบาท
หรือถีนะมิทธะ อทุ ธจั จะกกุ กุจจะวจิ กิ จิ ฉา และมชี ื่อเสียง
เหมือนกับสังโยชน จะตางกันกับสังโยชนหรือวาเหมือน
กัน ขอทานจงอธิบายลักษณะของนิวรณแลสังโยชนให
ขา พเจาเขาใจ จะไดส งั เกตถกู ?
ข. ตอบวา กามฉนั ทนวิ รณ คือความพอใจในกาม สว น
กามนน้ั แยกเปน สอง คอื กเิ ลสกามหนงึ่ วตั ถกุ ามอยา งหนง่ึ
เชน ความกำหนัดในเมถนุ เปนตน ชื่อวา กิเลสกาม ความ
กำหนัดในทรพั ยส มบตั เิ งินทองทบี่ านนาสวน และเคร่ือง
ใชส อยหรอื บุตรภรรยาพวกพอง และสัตวของเลยี้ งทเี่ รียก

๔๖

ปฏปิ ต ติปจุ ฉาวิสชั นา

วา วญิ ญาณกทรพั ย อวญิ ญาณกทรพั ยเ หลา น้ี ชอ่ื วา วตั ถุ
กามความคิดกำหนดั พอใจในสว นทงั้ หลายเหลาน้ี ชอื่ วา
กามฉนั ทนวิ รณ สว นพยาบาทนวิ รณคอื ความโกรธเคือง
หรือคิดแชงสัตวใหพินาศ ช่ือวาพยาบาทนิวรณ ความ
งวงเหงาหาวนอน ช่ือวา ถีนะมิทธนิวรณ ความฟุงซาน
รำคาญใจ ช่ือวา อุธัจจกุกกุจจนิวรณ ความสงสัย ใน
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ แลสงสัยในกรรมทส่ี ัตวทำ
เปนบาป หรอื สงสยั ในผลของกรรมเหลาน้ี เปนตน ชื่อวา
วิจิกิจฉา รวม ๕ อยางนี้ ชื่อวานิวรณ เปนเครื่องก้ันกาง
หนทางดี.
ก. ถามวา กามฉันทนิวรณ อธิบายเก่ียวไปตลอดกระ
ท่ังวิญญาณกทรัพย อวิญญาณกทรัพย วาเปนวัตถุกาม
ถา เชนน้นั ผทู ี่ยังอยูค รองเรือน ซึง่ ตองเกย่ี วขอ งกบั ทรพั ย
สมบตั ิอัฐฬส เงนิ ทองพวกพอ ง ญาตมิ ติ ร ก็จำเปนจะตอ ง
นกึ ถงึ สงิ่ เหลา นนั้ เพราะเกย่ี วเนอ่ื งกบั ตนกม็ เิ ปน กามฉนั ท
นิวรณไ ปหมดหรือ?
ข. ตอบวา ถา นกึ ตามธรรมดาโดยจำเปน ของผทู ยี่ งั ครอง
เรือนอยู โดยไมไดกำหนัดยินดีก็เปนอัญญสมนา คือ
เปนกลางๆ ไมใชบุญไมใชบาป ถาคิดถึงวัตถุกามเหลา
นั้น เกิด ความยินดีพอใจรักใครเปนหวงยึดถือหมกมุน
พัวพันอยูในวัตถุกามเหลานั้น จึงจะเปนกามฉันทนิวรณ

๔๗

ปฏปิ ตตปิ ุจฉาวสิ ชั นา

สมดวยพระพุทธภาษิตที่ตรัสไววา น เต กามา ยานิ จิตฺ
รานิ โลเก อารมณท่ีวิจิตรงดงามเหลาใดในโลก อารมณ
เหลานนั้ มิไดเ ปนกาม สงกฺ ปปฺ ราโค ปุริสสฺส กาโม ความ
กำหนัดอันเกิดจากความดำรินี้ นี้แหละเปนกามของคน
ติฐฺ นฺติ จิตฺรานิ ตเถว โลเก อารมณท ่วี จิ ติ รงดงามในโลก
ก็ต้ังอยูอยางนัน้ เอง อเถตฺถธีรา วินยนฺติ ฉนทฺ ํ เม่อื ความ
จรงิ เปนอยา งนี้ นกั ปราชญทั้งหลายจึงทำลายเสียได ซ่งึ
ความพอใจในกามนน้ั นก่ี ท็ ำใหเ หน็ ชดั เจนไดว า ถา ฟง ตาม
คาถาพระพทุ ธภาษติ นี้ ถา คดิ นกึ ถงึ วตั ถกุ ามตามธรรมดา
กไ็ มเ ปน กามฉันทนิวรณ ถาคดิ นกึ อะไรๆ ก็เอาเปนนิวรณ
เสียหมด กค็ งจะหลีกไมพ นนรก เพราะนวิ รณเปนอกศุ ล.
ก. ถามวา พยาบาทนิวรณน้ัน หมายความโกรธเคือง
ประทุษรายในคน ถาความกำหนัดในคนก็เปนกิเลสกาม
ถกู ไหม?
ข. ตอบวา ถกู แลว .
ก. ถามวา ความงวงเหงาหาวนอน เปนถีนะมิทธนิวรณ
ถาเชนนั้นเวลาที่เราหาวนอนมิเปนนิวรณทุกคราวไป
หรือ?
ข. ตอบวา หาวนอนตามธรรมดา เปน อาการของรา งกาย
ท่ีจะตองพักผอน ไมเปนถีนะมิทธ นิวรณกามฉันทหรือ
พยาบาทที่เกิดข้ึนแลวก็ออนกำลังลงไป หรือดับไปใน

๔๘

ปฏิปต ติปจุ ฉาวสิ ชั นา

สมยั นนั้ มอี าการมวั ซวั แลงว งเหงา ไมส ามารถจะระลกึ ถงึ
กศุ ลได จึงเปนถนี ะมิทธนวิ รณ ถาหาวนอนตามธรรมดา
เรายังดำรงสติสัมปชัญญะอยูไดจนกวาจะหลับไป จึง
ไมใ ชนิวรณ เพราะถีนะมทิ ธนิวรณเ ปน อกศุ ล ถา จะเอา
หาวนอนตามธรรมดาเปน ถนี มทิ ธแลว เรากค็ งจะพน จาก
ถีนะมิทธนวิ รณไ มได เพราะตอ งมีหาวนอนทุกวันดวยกนั
ทกุ คน.
ก. ถามวา ความฟุงซานรำคาญใจ ที่วาเปนอุทธัจจ
กุกกุจจนิวรณน้ัน หมายฟุงไปในที่ใดบาง?
ข. ตอบวา ฟงุ ไปในกามฉนั ทบาง พยาบาทบาง แตใ น
บาปธรรม ๑๔ ทานแยกเปน สองอยา ง อุทธัจจะความ
ฟงุ ซา น กุกกจุ จ ความรำคาญใจ แตในนิวรณ ๕ ทานรวม
ไวเปน อยา งเดียวกนั .
ก. ถามวา นิวรณ ๕ เปนจิตหรือเจตสกิ ?
ข. ตอบวา เปนเจตสิกธรรมฝายอกุศลประกอบกับจิตท่ี
เปนอกศุ ล.
ก. ถามวา ประกอบอยา งไร?
ข. ตอบวา เชนกามฉันทนิวรณก็เกิดในจิต ท่ีเปนพวก
โลภะมูล พยาบาทกุกกุจจนิวรณ ก็เกิดในจิตท่ีเปนโทสะ
มูล ถีนะมิทธ อทุ ธัจจะ วิจิกิจฉา ก็เกิดในจิตท่ีเปนโมหะ
มูล พระพุทธเจาทรงเปรียบนิวรณทั้ง ๕ มาในสามัญ

๔๙

ปฏปิ ต ติปุจฉาวิสัชนา

ญผลสูตร ทีฆนิกายสีลักขันธวรรคหนา ๙๓ วา กาม
ฉันทนิวรณ เหมือนคนเปนหน้ี, พยาบาทนิวรณเหมือน
คนไขหนัก, ถีนมิทธนิวรณ เหมือนคนติดในเรือนจำ,
อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ เหมือนคนที่เปนทาส, วิจิกิจฉา
นวิ รณเ หมอื นคนเดนิ ทางกนั ดารมภี ยั นา หวาดเสยี ว เพราะ
ฉะนั้น คนท่ีเขาพน หน้ี หรือหายเจ็บหนัก หรือออกจาก
เรอื นจำ หรอื พน จากทาส หรอื ไดเ ดนิ ทางถึงทป่ี ระสงคพ น
ภยั เกษมสำราญ เขายอ มถงึ ความยนิ ดฉี นั ใด ผทู พี่ น นวิ รณ
ท้ัง ๕ ก็ยอมถึงความยินดีฉันน้ัน แลในสังคารวสูตร ใน
ปจจกนิบาตอังคุตตรนิกาย หนา ๒๕๗ พระพุทธเจาทรง
เปรยี บนิวรณด ว ยนำ้ ๕ อยา ง วา บคุ คลจะสองดูเงาหนา
กไ็ มเ หน็ ฉนั ใด นวิ รณท งั้ ๕ เมอื่ เกดิ ขน้ึ กไ็ มเ หน็ ธรรมความ
ดคี วามชอบฉนั นนั้ กามฉนั ทนวิ รณ เหมอื นนำ้ ทรี่ ะคนดว ย
สีตางๆ สคี รัง่ สชี มพู เปน ตน พยาบาทนวิ รณ เหมือนน้ำ
รอ นทเี่ ดอื ดพลา น ถนี ะมทิ ธนวิ รณ เหมอื นนำ้ ทม่ี จี อกแหน
ปดเสียหมด อทุ ธจั จกกุ กุจจนิวรณ เหมอื นนำ้ ทีค่ ลนื่ เปน
ระลอก วิจิกจิ ฉานิวรณ เหมือนน้ำท่ขี ุนขนเปนโคลนตม
เพราะฉะนน้ั นำ้ ๕ อยา งนี้ บคุ คลไมอ าจสอ งดเู งาหนา ของ
ตนได ฉนั ใด นวิ รณท ง้ั ๕ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ครอบงำใจของบคุ คลไม
ใหเหน็ ธรรมความดคี วามชอบไดก ็ฉันนน้ั .
ก. ถามวา ทำไมคนเราเวลาไขห นกั ใกลจ ะตาย กท็ ำบาป

๕๐

ปฏิปตติปุจฉาวสิ ชั นา

กรรมความชั่วอะไรไมไดแลวจะกลาว วจีทุจริตปากก็
พูดไมได จะลวงทำกายทุจริต มือแลเทาก็ไหวไมไดแลว
ยังเหลือแตความคิดนึกทางใจนิดเดียวเทาน้ัน ทำไมใจ
ประกอบดว ยนวิ รณ จงึ ไปทคุ ตไิ ดดไู มน า จะเปน บาปกรรม
โตใหญอ ะไรเลย ขอ นนี้ า อศั จรรยน กั ขอทา นจงอธบิ ายให
ขาพเจาเขาใจ?
ข. ตอบวา กเิ ลสเปน เหตใุ หก อ กรรมๆเปน เหตใุ หก อ วบิ าก
ที่เรียกวาไตรวัฏน้ัน เชน อนุสัย หรือ สังโยชน ท่ีเกิดข้ึน
ในเวลานั้นชื่อวากิเลสวัฏ ผูที่ไมเคยประพฤติปฏิบัติก็ทำ
ในใจไมแยบคาย ท่ีเรียกวา อโยนิโส คิดตอออกไป เปน
นิวรณ ๕ หรืออปุ กิเลส ๑๖ จึงเปน กรรมวัฏฝา ยบาป ถา
ดับจิตไปในสมัยน้ัน จึงไดวบิ ากวฏั ที่เปน สว นทุคติ เพราะ
กรรมวัฏฝายบาปสงให อุปมาเหมือนคนปลูกตนไม ไป
นำพืชพันธุของไมท่ีเบื่อเมามาปลูกไว ตนแลใบท่ีเกิดข้ึน
น้นั กเ็ ปนของเบื่อเมา แมผ ลแลดอกทอี่ อกมา กเ็ ปนของ
เบื่อเมา ตามพืชพันธุเดิม ซ่ึงนำมาปลูกไวนิดเดียว แตก็
กลายเปนตนใหญไปไดเหมือนกัน ขอนี้ฉันใด จิตท่ีเศรา
หมองเวลาตาย ก็ไปทุคติไดฉันนั้น และเหมือนพืชพันธุ
แหงผลไมท ด่ี ี มีกลิน่ หอมมรี สหวาน บคุ คลไปนำพืชพนั ธ
มานดิ เดียว ปลูกไวแมต นแลใบก็เปนไมท ี่ดที ้งั ผลแลดอก
ทอ่ี อกมา กใ็ ชแ ลรบั ประทานไดต ามความประสงค เพราะ


Click to View FlipBook Version