The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ปฎิปัตติปุจฉาวิสัชนา หลวงปู่มั่น

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ืทีมงานกรุธรรม, 2022-02-01 20:12:31

ปฎิปัตติปุจฉาวิสัชนา หลวงปู่มั่น

ปฎิปัตติปุจฉาวิสัชนา หลวงปู่มั่น

Keywords: ปฎิปัตติปุจฉาวิสัชน,หลวงปู่มั่น

๕๑

ปฏปิ ต ตปิ จุ ฉาวิสชั นา

อาศัยพืชที่ดซี ง่ึ นำมานดิ เดยี วปลูกไว ขอนฉี้ นั ใด จิตท่เี ปน
กุศลผองใสแลวตายในเวลาน้ัน จึงไปสูสุคติไดสมดวย
พระพทุ ธภาษิตทว่ี า
จตฺเต สงฺกิลิเฐทุคคฺ ติ ปาฏกิ งฺขา
เวลาจิตเศราหมองแลว ทุคตเิ ปน หวงั ได
จตฺเต อสงฺกิลิ เฐ สคุ ติปาฏกิ งฺขา
จติ ผอ งใสไมเศราหมองเวลาตาย สุคตเิ ปนหวังได.
ก. ถามวา อโยนโิ สมนสกิ าโร ความทำในใจไมแยบคาย
โยนิโสมนสิกาโร ความทำในใจแยบคาย ๒ อยางน้ัน
คือ ทำอยางไรจึงช่ือวาไมแยบคาบ ทำอยางไรจึงช่ือวา
แยบคาย?
ข. ตอบวา ความทำสภุ นมิ ติ ไวใ นใจ กามฉนั ทนวิ รณท ยี่ งั
ไมเกิดก็เกิดขึ้น ที่เกิดข้ึนแลวก็งอกงาม ความทำปฏิฆะ
นิมิตไวในใจ พยาบาทนิวรณที่ยังไมเกิดก็เกิดขึ้น ที่เกิด
ข้นึ แลว กง็ อกงามอยา งน้ี ชอื่ วาทำในใจไมแ ยบคาย การ
ทำอสุภสัญญาไวในใจ กามฉันทนิวรณที่ยังไมเกิดก็ไม
เกิดข้ึน ท่ีเกิดขึ้นแลวก็เส่ือมหายไป การทำเมตตาไวใน
ใจ พยาบาทนิวรณท่ยี งั ไมเ กิดกไ็ มเกิดขึ้น ท่เี กิดข้นึ แลว ก็
เสอ่ื มหายไป เชน นเี้ ปน ตวั อยา ง หรอื ความทำในใจอยา งไร
กต็ าม อกศุ ลทย่ี งั ไมเ กดิ กเ็ กดิ ขน้ึ ทเ่ี กดิ ขน้ึ แลว กง็ อกงาม ก็
ช่ือวาทำในใจไมแยบคาย หรอื จะคิดนกึ อยา งไรกต็ าม

๕๒

ปฏปิ ตตปิ จุ ฉาวิสัชนา

กุศลท่ียังไมเกิดก็เกิดข้ึน ท่ีเกิดข้ึนแลวก็บริบูรณ
อยางน้ีช่ือวาทำในใจแยบคาย สมดวยสาวกภาษิตท่ี
พระสารบี ุตรแสดงไวในพระทสตุ ตรสตู ร หมวด ๒ วา โย
จ เหตุ โย จ ปจจฺ โย สตตฺ านํ สงกฺ ิเลสสาย ความไมทำ
ในใจโดยอุบายอนั แยบคาย เปน เหตุดวยเปนปจ จยั ดว ย
เพ่อื ความเศรา หมองแหงสัตวทง้ั หลาย ๑ โย จ เหตุ โย จ
ปจจฺ โย สตตฺ นํ วสิ ทุ ธฺ ยิ า ความทำในใจ โดยอบุ ายแยบคาย
เปนเหตุดวยเปนปจจัยดวย เพ่ือจะไดบริสุทธิ์แหงสัตวทั้ง
หลาย.
ก. ถามวา ท่ีวา อนุสัยกับสังโยชนเปนกิเลสวัฏ สวน
นวิ รณห รอื อุปกเิ ลส ๑๖ วา เปน กรรมวฏั เวลาทเี่ กิดขึ้นนน้ั
มีอาการตางกันอยางไร จึงจะทราบไดวา ประเภทน้ีเปน
นิวรณ หรืออปุ กิเลส ๑๖?
ข. ตอบวา เชนเวลาตาเห็นรูป หูไดยินเสียง จมูกไดดม
กล่ิน ลน้ิ ไดลิ้มรส กายถกู ตอ งโผฏฐัพพะ รธู ัมมารมณดว ย
ใจ ๖ อยางนี้ แบงเปน ๒ สว น สว นทด่ี นี ั้นเปนอิฏฐารมณ
เปน ทตี่ ง้ั แหง ความกำหนดั ยนิ ดี สว นอารมณ ๖ ทไ่ี มด เี ปน
อนฏิ ฐารมณ เปน ตงั้ แหง ความยนิ รา ยไมช อบโกรธเคอื ง ผู
ทยี่ งั ไมร คู วามจรงิ หรอื ไมม สี ตเิ วลาทตี่ าเหน็ รปู ทด่ี ี ยงั
ไมทันคิดวา กระไร ก็เกิดความยินดีกำหนัดพอใจขึ้น
แคนี้เปนสังโยชน ถาคิดตอมากออกไป ก็เปนกาม

๕๓

ปฏิปตติปุจฉาวสิ ชั นา

ฉันทนิวรณหรอื เรยี กวา กามวติ กกไ็ ด หรือเกิดความ
โลภอยากไดที่ผิดธรรมก็เปนอภิชฺฌาวิสมโลโภท่ีอยู
ในอุปกิเลส ๑๖ หรือในมโนกรรม อกุศลกรรมบถ
๑๐ ชนิดน้ี ประกอบดวยเจตนา เปนกรรมวัฏฝาย
บาป เวลาตาเห็นรปู ที่ไมดีไมท ันคดิ กวากระไร เกิดความ
ไมชอบ หรือเปน โทมนัสปฏิฆะขน้ึ ไมป ระกอบดวยเจตนา
แคนี้เปน ปฏิฆะสังโยชน คือกิเลสวัฏ ถาคิดตอออก
ไปถึงโกรธเคืองประทุษรายก็เปนพยาบาทนิวรณ หรือ
อปุ กเิ ลส หรอื อกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ชนดิ นี้ กเ็ ปน กรรมวฏั
ฝา ยบาปเพราะประกอบดว ยเจตนานช้ี ใี้ หฟ ง เปน ตวั อยา ง
แมก เิ ลสอน่ื ๆ กพ็ งึ ตดั สนิ ใจอยา งนวี้ า กเิ ลสทไ่ี มต ง้ั ใจ
ใหเกิดก็เกิดขึ้นไดเอง เปนพวกอนุสัยหรือสังโยชน
เปนกเิ ลสวฏั ถา ประกอบดว ยเจตนา คือยดื ยาวออก
ไปก็เปน กรรมวฏั .
ก. ถามวา ถาเชนน้ันเราจะตัดสินกิเลสวัฏ จะตัด
อยางไร?
ข. ตอบวา ตอ งตดั ไดด ว ยอรยิ มรรค เพราะสงั โยชนก ็
ไมม เี จตนา อรยิ มรรคกไ็ มม เี จตนาเหมอื นกนั จงึ เปน
คปู รับสำหรบั ละกนั .
ก. ถามวา ถาการปฏิบัติของผูดำเนินยังออนอยู ไม
สามารถจะตดั ได สงั โยชนก ย็ งั เกดิ อยู แลว กเ็ ลยเปน กรรม

๕๔

ปฏิปต ติปุจฉาวสิ ัชนา

วัฏฝายบาปตอออกไป มิตองไดวิบากวัฏที่เปนสวนทุคติ
เสียหรอื ?
ข. ตอบวา เพราะอยา งนน้ั นะ ซิผทู ย่ี งั ไมถ งึ โสดาบนั จงึ ปด
อบายไมได.
ก. ถามวา ถา เชนนัน้ ใครจะไปสวรรคไดบ า งเลา ในชัน้ ผู
ปฏบิ ตั ทิ ีย่ งั ไมถ งึ โสดาบัน ?
ข. ตอบวา ไปไดเพราะอาศัยเปล่ียนกรรม สังโยชนยัง
อยูก็จริง ถาประพฤติทุจริตกาย วาจา ใจ เวลาตาย ใจ
เศราหมองก็ตองไปทุคติ ถามาตั้งใจเวนทุจริต อยูใน
สุจรติ ทางกาย วาจา ใจ แลเวลาตายกไ็ มเ ศราหมอง ก็มี
สติสัมปชัญญะ ก็ไปสุคติได เพราะเจตนาเปนตัวกรรม
กรรมมี ๒ อยาง กณหฺ ํ เปน กรรมดำ คอื ทุจริต กาย วาจา
ใจ สกกฺ ํ เปน กรรมขาว คอื สุจริต กาย วาจา ใจ ยอ มให
ผลตา งกัน.
ก. ถามวา ผูท่ียังมีชีวิตอยูไดประพฤติสุจริต กาย วาจา
ใจ เวลาตายใจเศรา หมอง มิตอ งไปทุคตเิ สยี หรอื หรอื ผู
ที่ประพฤตทิ ุจริต กาย วาจา ใจ แตเวลาตายใจเปน กุศล
มไิ ปสุคตไิ ด หรอื ?
ข. ตอบวา ก็ไปไดนะซี ไดเคยฟงหนังสือของสมเด็จ
พระวันรัต (ทับ) วัดโสมนัสบางหรือเปลา เวลาลงโบสถ
ทานเคยแสดงใหพระเณรฟง ภายหลังไดมาจัดพิมพ

๕๕

ปฏิปตติปจุ ฉาวิสัชนา

กันข้ึน รวมกับขออ่ืนๆ ทานเคยแสดงวา ภิกษุรักษาศีล
บริสุทธิ์ เวลาจะตายหวงในจีวร ตายไปเกิดเปนเล็น แล
ภิกษุอีกองคหน่ึง เวลาใกลจะตายนึกข้ึนไดวา ทำใบ
ตะไครน้ำขาดมองหาเพ่ือนภิกษุท่ีจะแสดงอาบัติ ก็ไมมี
ใคร ใจกังวลอยูอยางน้ันแหละ คร้ันตายไปเกิดเปน
พญานาค แลอุบาสกอีกคนหนึ่ง เจริญกายคตาสติมาถึง
๓๐ ป ก็ไมไดบรรลุคุณวิเศษอยางใด เกิดความสงสัยใน
พระธรรม ตายไปเกิดเปน จระเข ดว ยโทษวิจิกจิ ฉานิวรณ
สวนโตเทยยะพราหมณน้ันไมใชผูปฏิบัติ หวงทรัพย
ที่ฝงไว ตายไปเกิดเปนลูกสุนัขอยูในบานของตนเอง
ดวยโทษกามฉันทนิวรณเหมือนกัน แลนายพรานผูหนึ่ง
เคยฆาสัตวมากเวลาใกลจะตาย พระสารีบุตรไปสอน
ใหรับไตรสรณคมน จิตก็ต้ังอยูในกุศลยังไมทันจะใหศีล
นายพราน ก็ตายไปสูสุคติ ดวยจิตท่ีเปนกุศล ต้ังอยูใน
ไตรสรณคมน น่ีก็เปนตัวอยางของผูที่ตายใจเศราหมอง
หรือบริสุทธิ์ กรรมของผูที่กระทำในเมื่อเวลาใกลจะตาย
นั้น ช่ือวาอาสันนกรรม ตองใหผลกอนกรรมอื่นๆ ทาน
เปรียบวา เหมือนโคอยูใกลประตูคอก แมจะแกกำลัง
นอ ย กต็ องออกไดกอ น สว นโคอ่นื ถึงจะมีกำลงั ท่ีอยขู า ง
ใน ก็ตองออกทหี ลัง ขอ น้ีฉันใด กรรมท่ีบุคคลทำเมอื่ ใกล
จะตาย จึงตอ งใหผลกอ นฉันนน้ั .

๕๖

ปฏปิ ต ติปุจฉาวสิ ชั นา

ก. ถามวา สว นอนสุ ยั แลสงั โยชน เปน กเิ ลสวฏั นวิ รณห รอื
อุปกิเลส ๑๖ หรืออกศุ ลกรรมบถ ๑๐ วา เปน กรรมวฏั ฝาย
บาป สว นกรรมวัฏฝายบญุ จะไดแ กอ ะไร?

ข. ตอบวา กามาวจรกุศล รูปาวจรกุศล อรูปาวจรกุศล
เหลานี้ เปนกรรมวัฏฝายบุญสงใหวิบากวัฏ คือ มนุษย
สมบัติบาง สวรรคสมบัติบาง พรหมโลกบาง พอเหมาะ
แกกศุ ลกรรม ทที่ ำไว

ก. ถามวา ถาเชนน้ันกรรมทั้งหลาย ท่ีสัตวทำเปนบุญ
กต็ าม เปนบาปก็ตาม ยอมใหผลเหมอื นเงาทไี่ มพรากไป
จากตนฉะนัน้ หรือ?

ข. ตอบวา ถูกแลว สมดวยพระพุทธภาษิตที่ตรัสไวใน
อภณิ หปจ จเวกขณว า กมมฺ สสฺ โกมหฺ ิ เราเปนผมู กี รรมเปน
ของๆ ตน กมฺมทายาโท เปนผูรับผลของกรรม กมฺมโยนิ
เปนผูมีกรรมเปนกำเนิด กมฺมพนฺธุ เปนผูมีกรรมเปนเผา
พนั ธุ กมมฺ ปฏสิ รโณ เปนผูมีกรรมเปนทพี่ ่ึงอาศยั ยํ กมมํ
กรสิ สฺ ามิ เราจกั ทำกรรมอนั ใด กลยาณํ วา ปาปกํ วา ดี
หรือชั่ว ตสสํ า ทายาโท ภวิสฺสามิ เราจักเปนผูรับผลของ
กรรมนัน้ .

ก. ถามวา อนุสัยกับสังโยชน ใครจะละเอยี ดกวา กนั
ข. ตอบวา อนสุ ยั ละเอยี ดกวา สงั โยชน เพราะสงั โยชนน น้ั

เวลาที่จะเกิดข้ึน อาศัยอายตนะภายในภายนอกกระทบ
กันเขา แลวเกดิ วญิ ญาณ ๖ ช่อื วา ผัสสะ เมอื่ ผูท่ีไมม สี ติ

๕๗

ปฏิปตติปจุ ฉาวิสัชนา

หรือไมรูความจริง เชนหกู ับเสียงกระทบกันเขา เกดิ ความ
รูขึ้น เสียงท่ีดีก็ชอบ เกิดความยินดีพอใจ เสียงที่ไมดี ก็
ไมช อบไมถกู ใจ ท่โี ลกเรียกกนั วาพ้นื เสีย เชนนแี้ หละชอ่ื
วาสังโยชน จึงหยาบกวาอนุสยั เพราะอนสุ ัยน้ันยอมตาม
นอนในเวทนาทั้ง ๓ เชน สุขเวทนาเกิดข้ึน ผูที่ไมรูความ
จรงิ หรอื ไมม สี ติ ราคานสุ ยั จงึ ตามนอน ทกุ ขเวทนาเกดิ ขน้ึ
ปฏฆิ านสุ ยั ยอ มตามนอน อทกุ ขมสขุ เวทนาเกดิ ขน้ึ อวชิ ชา
นุสัยยอมตามนอน เพราะฉะนั้นจึงละเอียดกวาสังโยชน
แลมพี ระพุทธภาษิตตรสั ไวใ น มาลุงโกย วาท สตู รวา เด็ก
ออนทน่ี อนหงายอยูในผาออม เพยี งจะรจู กั วานต่ี าน่รี ูป ก็
ไมม ีในเดก็ นัน้ เพราะฉะนัน้ สังโยชนจ ึงไมมใี นเด็กทนี่ อน
อยใู นผาออ ม แตวา อนสุ ัยยอมตามนอนในเดก็ น้นั ได.
ก. ถามวา อนสุ ัยนัน้ มปี ระจำอยเู สมอหรือ หรอื มมี า
เปน ครั้งเปนคราว?
ข. ตอบวา มีมาเปนครั้งเปนคราว ถามีประจำอยูเสมอ
แลวก็คงจะละไมได เชนราคานุสัยก็เพิ่งมาตามนอนใน
สุขเวทนา หรือปฏิฆานุสัยก็เพิ่งมาตามนอนในทุขเวทนา
หรืออวิชชานุสัยก็เพิ่งมาตาม นอนในอทุกขมสุขเวทนา
ตามนอนไดแ ตผูทีไ่ มร คู วามจริงหรอื ไมมสี ติ ถาเปนผูท่รี ู
ความจริง หรือมีสติก็ไมตามนอนได เรื่องนี้ไดอธิบายไว
ในเวทนาขนั ธแ ลว .

๕๘

ปฏปิ ตตปิ จุ ฉาวิสัชนา

ก. ถามวา แตเดิมขาพเจาเขาใจวา อนุสัยตามนอน
อยใู นสนั ดานเสมอทกุ เมอื่ ไป เหมอื นอยา งขตี้ ะกอน
ท่ีนอนอยูกนโองน้ำ ถายังไมมีใครมาคน ก็ยังไมขุน
ขึ้น ถามใี ครมาคนก็ขุน ขึ้นได เวลาทไี่ ดรับอารมณท ่ี
ดี เกดิ ความกำหนดั ยนิ ดพี อใจขนึ้ หรอื ไดร บั อารมณ
ท่ีไมดี ก็เกิดปฏิฆะหรือความโกรธขึ้น เขาใจวาน่ี
แหละขุนขนึ้ มา ความเขา ใจเกา ของขาพเจา มผิ ดิ ไป
หรือ?

ข. ตอบวา กผ็ ิดนะซี เพราะเอานามไปเปรียบกบั รูป คือ
โองก็เปนรูปท่ีไมมีวิญญาณ น้ำก็เปนรูปท่ีไมมีวิญญาณ
แลขี้ตะกอนกนโองก็เปนรูปไมมีวิญญาณเหมือนกัน จึง
ขังกันอยูได สวนจิตเจตสิกของเรา เกิดขึ้นแลวก็ดับ
ไปจะขังเอาอะไรไวได เพราะกิเลสเชนอนุสัย หรือ
สังโยชน ก็อาศัยจิตเจตสกิ เกดิ ขน้ึ ชั่วคราวหนึ่ง เมอ่ื
จิตเจตสิกในคราวนนั้ ดับไปแลว อนสุ ยั หรือสังโยชน
จะตกคางอยูก บั ใคร ลองนึกดูเม่อื เรายงั ไมเ กิดความรัก
ความรักน้ันอยูที่ไหน ก็มีขึ้นเม่ือเกิดความรักไมใชหรือ
หรือเมื่อความรักนั้นดับไปแลว ก็ไมมีความรักไมใชหรือ
และความโกรธเมอ่ื ยงั ไมเ กดิ ขนึ้ กไ็ มม เี หมอื นกนั มขี น้ึ เมอื่
เวลาท่โี กรธ เมอื่ ความโกรธดบั แลว ก็ไมม ีเหมือนกนั เรอื่ ง
น้ีเปนเรอื่ งที่ละเอียด เพราะไปตดิ สญั ญาทีจ่ ำไวนานแลว
วา อนุสยั นอนอยเู หมือนข้ตี ะกอนทีน่ อนอยูกนโอง.

๕๙

ปฏปิ ต ตปิ ุจฉาวสิ ชั นา

ก. ถามวา ก็อนุสัยกับสังโยชนไมมีแลว บางคราว
ทำไมจงึ มขี นึ้ อกี ไดเ ลา ขา พเจา ฉงนนกั แลว ยงั อาสวะ
อีกอยางหนง่ึ ท่ีวาดองสนั ดานนัน้ เปน อยา งไร?

ข. ตอบวา ถา พดู ถงึ อนสุ ยั หรอื อาสวะแลว เราควรเอา
ความวา ความเคยตวั เคยใจ ที่เรยี กวากิเลส กับวาสนา
ที่พระสัมมาสัมพุทธเจาละไดท้ัง ๒ อยางที่พระอรหันต
สาวกละไดแตกิเลสอยางเดียว วาสนาละไมได เราควร
จะเอาความวาอาสวะหรืออนุสัยกิเลสเหลานี้เปนความ
เคยใจ เชนไดรับอารมณที่ดี เคยเกิดความกำหนัดพอใจ
ไดรับอารมณที่ไมดี เคยไมชอบไมถูกใจ เชนนี้เปนตน
เหลา นแี้ หละควรรสู กึ วา เปน เหลา อนสุ ยั หรอื อาสวะ เพราะ
ความคุนเคยของใจ สวนวาสนานั้น คือความคุนเคยของ
กาย วาจา ที่ตดิ ตอ มาจากความเคยแหง อนุสัย เชน คน
ราคะจริตมีมรรยาทเรียบรอย หรือเปนคนโทสะจริตมี
มรรยาทไมเรียบรอย สวนราคะแลโทสะน้ันเปนลักษณะ
ของกเิ ลสกริ ยิ ามรรยาททเ่ี รยี บรอ ย แลไมเ รยี บรอ ย นนั่ เปน
ลกั ษณะของวาสนานก่ี ค็ วรจะรูไ ว.

ก. ถามวา ถาเชนนั้นเราจะละความคุนเคยของใจ
ในเวลาทไ่ี ดร บั อารมณท ดี่ หี รอื ทไี่ มด จี ะควรประพฤติ
ปฏิบัตอิ ยางไรด?ี

ข. ตอบวา วิธีปฏิบัติท่ีจะละความคุนเคยอยางเกา
คือ อนุสัยแลสังโยชน ก็ตองมาฝกหัดใหคุนเคยใน

๖๐

ปฏิปตตปิ จุ ฉาวสิ ัชนา

ศีลแลสมถวปิ สสนาข้ึนใหม จะไดถายถอนความคนุ
เคยเกา เชน เหลา อนสุ ยั หรอื สงั โยชนใ หห มดไปจาก
สนั ดาน.
ก. ถามวา สวนอนุสัยกับสังโยชน ขาพเจาเขาใจดีแลว
แตส ว นอาสวะนน้ั คือ กามาสวะ ภวาสวะ อวชิ ชาสวะ ๓
อยา งนน้ั เปน เครอื่ งดองสนั ดาน ถา ฟง ดตู ามชอื่ กไ็ มน า จะ
มีเวลาวาง ดเู หมือนดองอยูกบั จติ เสมอไป หรือไมไดดอง
อยเู สมอ แตส ว นตวั ขา พเจา เขา ใจไวแ ตเ ดมิ สำคญั วา ดอง
อยูเสมอ ขอนี้เปนอยางไร ขอทานจงอธิบายใหขาพเจา
เขา ใจ?
ข. ตอบวา ไมรูวาเอาอะไรมาซอกแซกถาม ไดตอบ
ไวพรอมกับอนุสัยแลสังโยชนแลว จะใหตอบอีกก็ตอง
อธิบายกันใหญ คำที่วาอาสวะเปนเคร่ืองดองน้ัน ก็ตอง
หมายความถงึ รปู อกี นนั่ แหละ เชน กบั เขาดองผกั กต็ อ งมี
ภาชนะ เชน ผักอยา งหนึง่ หรอื ชามอยางหน่ึง แล นำ้ อยาง
หนง่ึ รวมกนั ๓ อยา ง สำหรบั แชก ันหรอื ของทีเ่ ขาทำเปน
แชอ ่ิม กต็ อ งมขี วดโหลหรอื นำ้ เชื่อมสำหรบั แชของ เพราะ
สงิ่ เหลา นนั้ เปน รปู จงึ แชแ ลดองกนั ไดสว นอาสวะนนั้ อาศยั
นามธรรมเกดิ ขนึ้ นามธรรมกเ็ ปน สงิ่ ทไี่ มม ตี วั อาสวะกเ็ ปน
สิ่งที่ไมมีตัว จะแชแลดองกันอยูอยางไรได น่ันเปนพระ
อุปมาของพระสมั มาสัมพุทธเจา ทรงบญั ญตั ิขึ้นไวว า อา

๖๑

ปฏปิ ต ตปิ ุจฉาวสิ ชั นา

สวะเครอื่ งดองสันดาน คือกิเลสมปี ระเภท ๓ อยา ง เราก็
เลยเขาใจผิด ถือมั่นเปนอภินิเวส เห็นเปนแชแลดองเปน
ของจริงๆ จงั ๆ ไปได ความจริงกไ็ มมอี ะไร นามแลรปู เกิด
ข้ึนแลวก็ดับไป อะไรจะมาแชแลดองกันอยูได เพราะ
ฉะนั้นขอใหเปลี่ยนความเห็นเสียใหม ที่วาเปนนั่นเปนน่ี
เปนจริงเปนจังเสียใหได ใหหมดทุกสิ่งท่ีไดเขาใจไวแต
เกาๆ แลว ก็ต้ังใจศึกษาเสียใหม ใหตรงกับความจริงซ่ึง
เปนสัมมาปฏบิ ัต.ิ
ก. ถามวา จะทำความเหน็ อยา งไรจงึ จะตรงกบั ความ
จรงิ ?
ข. ตอบวา ทำความเห็นวาไมมีอะไร มีแตสมมติ
แลบัญญัติ ถาถอนสมมติแลบัญญัติออกเสียแลวก็
ไมม อี ะไร หาคำพดู ไมได เพราะฉะนนั้ พระพทุ ธเจาทรง
บัญญัติ ขนั ธ ๕ อายตนะ ๖ ธาตุ ๖ นามรูปเหลา น้ีก็เพื่อ
จะใหร เู รอ่ื งกนั เทา นนั้ สว นขนั ธแ ลอายตนะ ธาตุ นามรปู ผู
ปฏบิ ตั คิ วรกำหนดรวู า เปน ทกุ ข สว นอนสุ ยั หรอื สงั โยชน อา
สวะ โยคะ โอฆะ นิวรณ อุปกิเลสเหลาน้ีเปน สมทุ ยั อาศยั
ขนั ธห รอื ายตนะ หรอื นามรปู เกดิ ขน้ึ นน้ั เปน สมทุ ยั เปน สว น
หนง่ึ ทคี่ วรละ มรรคมอี งค ๘ ยน เขา กค็ อื ศลี สมาธิ ปญ ญา
เปน สว นที่ควรเจรญิ ความสิ้นไปแหงกเิ ลส คืออนสุ ัยหรือ
สังโยชน ชอ่ื วานิโรธ เปนสวนควรทำใหแจง เหลา นแี้ หละ

๖๒

ปฏปิ ต ตปิ จุ ฉาวสิ ัชนา

เปนความจริง ความรูความเห็นใน ๔ อริยสัจน้ีแหละคือ
เหน็ ความจริงละ.
ก. ถามวา สาธุ ขาพเจาเขาใจแจมแจงทีเดียว แตเม่ือ
อาสวะไมไดด องอยเู สมอ แลวทำไมทา นจึงกลาววาเวลา
ท่ีพระอรหันตสำเร็จขึ้นใหม ๆ โดยมากตามทีไ่ ดฟง มาใน
แบบทานรูวาจิตของทานพนแลวจากกามาสวะ ภวาสะ
อวชิ ชาสวะ ขา พเจาจงึ เขา ใจวา ผูทย่ี งั ไมพนก็ ตอง มี อา
สวะประจำอยูกับจติ เปนนติ ยไป ไมมีเวลาวา ง กวา จะพน
ไดก็ตอ งเปนพระอรหนั ต?
ข. ตอบวา ถาขืนทำความเหน็ อยอู ยา งน้ี ก็ไมม เี วลาพน
จริงดวย เม่ืออาสวะอยูประจำพ้ืนเพของจิตแลว ก็ใคร
จะละไดเ ลา พระอรหันตก็คงไมมีในโลกไดเหมอื นกัน นี่
ความจริงไมใชเชนนี้ จิตน้ันสวนหน่ึงเปนประเภท
ทุกขสัจ อาสวะสวนหนึ่งเปนประเภทสมุทัย อาศัย
จติ เกดิ ขน้ึ ชว่ั คราว เมอื่ จติ คราวนนั้ ดบั ไปแลว อาสวะ
ท่ีประกอบกับจิตในคราวน้ันก็ดับไปดวย สวนอา
สวะท่ีเกิดข้ึนไดบอยๆ นั้นเพราะอาศัยการเพง
โทษ ถาเราจักต้ังใจไมเพงโทษใครๆ อาสวะก็จะเกิดได
ดวยยากเหมือนกัน สมดวยพระพุทธภาษิต ที่ตรัสไววา
ปรวชฺชานุปสฺสสฺส เม่ือบุคคลตามมองดู ซ่ึงโทษของผู
อ่ืน นิจฺจํ อชฺฌาน สฺญิโน เปนบุคคลมีความหมายจะ

๖๓

ปฏิปตติปุจฉาวสิ ัชนา

ยกโทษเปนนิตย อาสวาตสสฺ วฑฺฒนฺติ อาสวะ ทัง้ หลาย
ยอมเจริญข้ึนแกบุคคลนั้น อาราโส อาสวกฺขยา บุคคล
น้ันเปนผูหางไกลจากธรรมที่สิ้นอาสวะ ถาฟงตามคาถา
พระพุทธภาษิตนี้ก็จะทำใหเราเห็นชัดไดวา อาสวะนั้นมี
มาในเวลาท่ีเพงโทษ เรายังไมเพงโทษอาสวะ ก็ยังไมมี
มาหรือเมื่อจิตท่ีประกอบดวยอาสวะคราวน้ันดับไปแลว
อาสวะก็ดับไปดวย ก็เปนอันไมมีเหมือนกัน การที่เห็น
วาอาสวะมอี ยูเสมอจงึ เปนความเห็นผิด.
ก. ถามวา อาสวะ ๓ นั้น กามาสวะเปน กิเลสประเภทรกั
อวิชชาสวะเปนกิเลสประเภทท่ีไมรู แตภวาสวะน้ันไมได
ความวาเปนกิเลสประเภทไหน เคยไดฟงตามแบบทาน
วาเปนภพๆ อยา งไรขาพเจา ไมเ ขา ใจ?
ข. ตอบวา ความไมรูความจริงเปนอวิชชาสวะ จึงได
เขาไปชอบไวในอารมณที่ดีมีกามเปนตน เปนกามสวะ
เม่ือไปชอบไวใ นทใี่ ด กเ็ ขาไปยดึ ถือตั้งอยใู นท่นี ้นั จึงเปน
ภวาสวะนี่แหละ เขาใจวา เปนภวาสวะ.
ก. ถามวา ภวะทา นหมายวา ภพ คอื กามภพ รปู ภพ อรปู
ภพ ไมใ ชหรือ ทำไมภพจงึ จะมาอยูใ นใจของเราไดเ ลา?
ข. ตอบวา ภพที่ในใจน่ีละซส่ี ำคญั นัก จึงไดต อ ใหไปเกดิ
ในภพขางนอก กล็ องสังเกตดู ตามแบบทเ่ี ราไดเคยฟงมา
วา พระอรหันตทั้งหลายไมมีกิเลสประเภทรัก และไมมี
อวิชชาภวะตัณหาเขาไปเปนอยูในท่ีใด แลไมมีอุปาทาน

๖๔

ปฏิปต ติปจุ ฉาวิสชั นา

ความชอบ ความยนิ ดียดึ ถอื ในส่ิงท้ังปวง ภพขางนอก คือ
กามภพ รปู ภพ อรปู ภพ ตลอดกระทง่ั ภพ คอื สทุ ธาวาสของ
ทา นน้ันจงึ ไมม.ี
ก. ถามวา อาสวะ ๓ ไมเห็นมีกิเลสประเภทโกรธ แต
ทำไมการเพง โทษนน้ั เปน กเิ ลสเกลยี ดชงั ขาดเมตตากรณุ า
เพราะอะไรจงึ ไดม าทำใหอ าสวะเกดิ ข้ึน?
ข. ตอบวา เพราะความเขาไปชอบไปเปนอยูในส่ิงใดที่
ถกู ใจของตน ครนั้ เขามาทำท่ไี มชอบไมถูกใจ จึงไดเ ขาไป
เพง โทษ เพราะสาเหตทุ เ่ี ขา ไปชอบไปถกู ใจเปน อยใู นสง่ิ ใด
ไว ซงึ่ เปน สายชนวนเดียวกนั อาสวะทั้งหลายจึงไดเจริญ
แกบุคคลนัน้ .
ก. ถามวา ความรูน้ันมีหลายอยาง เชนกับวิญญาณ ๖
คือ ความรูทาง หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ หรือความรูใน
เรอื่ งโลภ โกรธ หลง รษิ ยา พยาบาท หรอื รไู ปในเรอ่ื งความ
อยากความตอ งการ หรอื คนทหี่ ยบิ เลก็ หยบิ นอ ย นดิ หนอ ย
กโ็ กรธเขากว็ า เขารทู ง้ั นนั้ สว นความรใู นรปู ฌานหรอื อรปู
ฌาน กเ็ ปน ความรชู นดิ หนงึ่ สว นปญ ญาทร่ี เู หน็ ไตรลกั ษณ
แลอรยิ สจั กเ็ ปน ความรเู หมอื นกนั สว นวชิ ชา ๓ หรอื วชิ ชา
๘ ก็เปนความรพู ิเศษอยางย่ิง เมอื่ เปน เชน น้ี ควรจะแบง
ความรูเหลานี้เปนประเภทไหนบาง ขอทานจงอธิบายให
ขาพเจาเขา ใจจะไดไมป นกนั

๖๕

ปฏิปตติปจุ ฉาวิสชั นา

ข. ตอบวา ควรแบง ความรทู าง ตา หู จมกู ลนิ้ กาย
ใจ วา เปน ประเภททกุ ขสจั เปน สว นทคี่ วรกำหนดรวู า
เปน ทกุ ข สว นความโลภ ความโกรธ ความหลง รษิ ยา
พยาบาท ความอยากความตองการเปนสมุทัย เปน
สวนควรละความรูในรูปฌานแลอรปู ฌาน แลความ
รูในไตรลักษณหรืออริยสจั เปนมรรค เปน สว นท่คี วร
เจรญิ วชิ ชา ๓ หรอื วิชชา ๘ น้นั เปน ริโรธ เปนสว น
ควรทำใหแ จง.

ก. ถามวา อะไร ๆ กเ็ อาเปน อรยิ สจั ๔ เกอื บจะไมม เี รือ่ ง
อ่ืนพดู กนั ?

ข. ตอบวา เพราะไมร อู รยิ สจั ทงั้ ๔ แลไมท ำหนา ทกี่ ำหนด
ทกุ ข ละสมทุ ยั แลทำนโิ รธใหแ จง และเจรญิ มรรค จงึ ไดร อ น
ใจกันไปท้ังโลก ทานผูทำกิจถูกตามหนาท่ีของอริยสัจท้ัง
๔ ทา นจงึ ไมมีความรอนใจ ทพ่ี วกเราตองกราบไหวท ุกวนั
ขา พเจา จึงชอบพดู ถงึ อริยสจั .

ก. ถามวา ตามท่ีขาพเจาไดฟงมาวา สอุปาทิเสสนิพ
พานนั้น ไดแกพระอรหันตท่ียังมีชีวิตอยู อนุปาทิเสสนิพ
พานนั้นไดแก พระอรหันตท่ีนิพพานแลว ถาเชนน้ันทาน
คงหมายความถึงเศษนามรูป เน้ือแลกระดูกที่เหลืออยู
นเ่ี อง?

ข. ตอบวา ไมใช ถาเศษเน้ือกระดูกที่หมดแลววาเปน

๖๖

ปฏปิ ตติปจุ ฉาวิสชั นา

อนุปาทิเสสนิพพาน เชนน้ันใครๆ ตายก็คงเปนอนุปาทิ
เสสนิพพานไดเหมือนกัน เพราะเน้ือแลกระดูกชีวิตจิตใจ
กต็ องหมดไปเหมือนกัน.
ก. ถามวา ถาเชนน้ันนิพพานทั้ง ๒ อยางนี้จะเอาอยาง
ไหนเลา?
ข. ตอบวา เร่ืองนี้มีพระพุทธภาษิตตรัสสอุปาทิเสสสูตร
แกพระสารีบุตร ในอังคุตตรนิกายนวกนิบาตหนา ๓๑
ความสังเขปวา วันหนึ่งเปนเวลาเชา พระสารีบุตรไป
เท่ียวบิณฑบาต มีพวกปริพพาชกพูดกันวา ผูท่ีไดบรรลุ
สอปุ าทเิ สส ตายแลว ไมพ น นรก กำเนดิ ดริ จั ฉาน เปรตวสิ ยั
อบายทุคติวินิบาต คร้ันพระสารีบุตรกลับจากบิณฑบาต
แลว จึงไปเฝาพระผูมีพระภาคกราบทูลตามเนื้อความที่
พวกปรพิ พาชกเขาพดู กนั อยา งนน้ั พระผมู พี ระภาคตรสั วา
สอุปาทิเสสบุคคล ๙ จำพวก คือพระอนาคามี ๕ จำพวก
พระสกิทาคามี จำพวกหนง่ึ พระโสดาบนั ๓ จำพวก ตาย
แลวพนจากนรก กำเนิดดิรัจฉาน เปรตวิสัย อบายทุคติ
วิบาตธรรม ปริยายนี้ยังไมแจมแจง แกภิกษุ ภิกษุณี
อุบาสก อุบาสิกาเลย เพราะไดฟงธรรมปริยายนี้แลวจะ
ประมาท แลธรรมปริยายน้ี เราแสดงดวยความประสงค
จะตอบปญหาที่ถาม ในสอุปาทิเสสสูตรนี้ ไมไดตรัสถึง
อนุปาทิเสส แตก็พอสันนิษฐานวา อนุปาทิเสสคงเปน
สว นของพระอรหนั ต.

๖๗

ปฏิปตตปิ จุ ฉาวิสชั นา

ก. ถามวา ถา เชน ทา นกห็ มายความถงึ สงั โยชนคอื กเิ ลสท่ี
ยงั มเี ศษเหลอื อยวู า เปน สอปุ าทเิ สสนพิ พาน สว นสงั โยชน
ท่ีหมดแลวไมมีสวนเหลืออยู คือพระอรหัตผล วาเปน
อนุปาทเิ สสนิพพาน?

ข. ตอบวา ถกู แลว .
ก. ถามวา ถา เราพดู อยา งน้ี คงไมม ใี ครเหน็ ดว ย คงวา เรา

เขาใจผิดไมตรงกับเขา เพราะเปนแบบสั่งสอนกันอยูโดย
มากวา สอุปาทเิ สสนิพพานของพระอรหันตท่ียงั มชี วี ิตอยู
อนุปาทิเสสนิพพานของพระอรหันตที่นพิ พานแลว ?
ข. ตอบวา ขา พเจา เหน็ วา จะเปน อรรถกถาทขี่ บพระพทุ ธ
ภาษิตไมแ ตกแลว ก็เลยถือตามกันมาจงึ มที างคดั คา นได
ไมคมคายชัดเจน เหมือนท่ีทรงแสดงแกพระสารีบุตร ซึ่ง
จะไมม ีทางคดั คา นได หมายกเิ ลสนิพพานโดยตรง.
ก. ถามวา สอุปาทเิ สสสูตรนี้ ทำไมจงึ ไดตรัสหลายอยาง
นกั มที งั้ นรก กำเนดิ ดริ จั ฉาน เปรต วสิ ยั อบายทคุ ตวิ นิ บิ าต
สว นในพระสตู รอนื่ ๆ ถา ตรสั ถงึ อบายกไ็ มต อ งกลา วถงึ นรก
กำเนดิ ดริ ัจฉาน เปรตวิสยั อบายทุคติวิบาต?
ข. ตอบวา เห็นจะเปนดวยพระสารีบุตรมากราบทูลถาม
หลายอยา ง ตามถอ ยคำของพวกปรพิ พาชกทไี่ ดย นิ มา จงึ
ตรสั ตอบไปหลายอยา ง เพือ่ ใหต รงกับคำถาม.
ก. ถามวา ขา งทายพระสูตรน้ี ทำไมจึงมพี ระพทุ ธภาษิต

๖๘

ปฏปิ ต ตปิ จุ ฉาวิสชั นา

ตรัสวา ธรรมปริยายน้ี ยังไมแจมแจงแกภิกษุ ภิกษุณี
อุบาสก อุบาสิกาเลย เพราะไดฟงธรรมปริยายนี้แลวจะ
ประมาท แล ธรรมปรยิ ายน้เี ราแสดงดว ยความประสงค
จะตอบปญ หาท่ถี าม?
ข. ตอบวา ตามความเขาใจของขา พเจา เห็นจะเปน ดวย
พระพุทธประสงค คงมุงถึงพระเสขบคุ คล ถาไดฟ ง ธรรม
ปรยิ ายนแี้ ลว จะไดค วามอนุ ใจ ทไ่ี มต อ งไปทคุ ติ แลความ
เพียร เพอ่ื พระอรหนั ตจ ะยอยไปทา นจึงไดต รัสอยา งน้ี.
ก. ถามวา เห็นจะเปนเชนนี้เอง ทานจึงตรัสวาถาไดฟง
ธรรมปริยายนี้แลว จะประมาท?
ข. ตอบวา ตามแบบทไี่ ดฟ ง มาโดยมากพระพทุ ธประสงค
ทรงเรง พระสาวก ผยู งั ไมพ น อาสวะ ใหร บี ทำความเพยี รให
ถึงท่สี ุด คอื พระอรหนั ต.



อุบายแหงวปิ สสนา
อันเปนเครอ่ื งถา ยถอนกิเลส

(พระอาจารยมน่ั ภูริทตั ตเถร)

ธรรมชาติของดีทั้งหลาย ยอมเกิดมาแตของไมดี
อุปมาดงั ดอกปทุมชาติอันสวย ๆ งาม ๆ ก็เกดิ ขึน้ มาจาก
โคลนตม อนั เปน ของสกปรกปฏกิ ลู นา เกลยี ด แตว า ดอกบวั
นน้ั เม่อื ขึ้นพนโคลนตมแลว ยอ มเปน ส่งิ ท่ีสะอาด เปนท่ี
ทัดทรงของพระราชา-อุปราช-อำมาตย และเสนาบดี
เปน ตน และดอกบัวนั้น กม็ ิกลับคืนไปยงั โคลนตมอีกเลย
ขอน้ีเปรียบเหมือนพระโยคาวจรเจา ผูประพฤติพากเพียร

๗๑

อุบายแหง วปิ ส สนา

ประโยคพยายาม ยอ มพจิ ารณาซงึ่ สง่ิ สกปรกนา เกลยี ด จติ
จงึ พนส่ิงสกปรกนา เกลยี ดได สิ่งสกปรกนาเกลยี ดนั้นกค็ ือ
ตัวเรานี้เอง รางกายน้ีเปนท่ีประชุมแหงของโสโครก คือ
อจุ จาระ ปส สาวะ (มูตร คถู ท้งั ปวง) สง่ิ ท่ีออกจาก ผม
ขน เลบ็ ฟน หนัง เปน ตน ก็เรียกวาขีท้ ัง้ หมด เชน ข้ีหัว
ขี้เล็บ ข้ีฟน ข้ีไคล เปนตน เม่ือส่ิงเหลาน้ีรวงหลนลงสู
อาหาร มแี กง กบั เปน ตน ก็รังเกียจ ตอ งเททงิ้ กินไมไ ด
และรางกายนี้ตองชำระอยูเสมอ จึงพอเปนของดูได ถา
หากไมชำระขดั สกี ็จะมีกลิ่นเหมน็ สาบ เขา ใกลใ ครกไ็ มได
ของทัง้ ปวงมีผาแพร เครือ่ งใชตาง ๆ เม่ืออยนู อกกายของ
เราก็เปนของสะอาดนาดู แตเมื่อมาถึงกายนี้แลว ก็เปน
ของสกปรกไป เมื่อปลอ ยไวน าน ๆ เขา ไมซักฟอก กจ็ ะเขา
ใกลใครไมไดเลย เพราะเหม็นสาบ ดังนี้ จึงไดความวา
รางกายของเราน้ีเปนเรือนมูตรเรือนคูถ เปนอสุภะของไม
งาม ปฏกิ ลู นา เกลยี ด เมอ่ื ยงั มชี วี ติ อยู กเ็ ปน ถงึ ปานนี้ เมอ่ื
ชีวิตหาไมแลว ยิ่งจะสกปรกหาอะไรเปรียบเทียบมิไดเลย
เพราะฉะนั้น พระโยคาวจรเจาท้ังหลาย จึงพิจารณา
รางกายอันน้ใี หชำนิชำนาญดวยโยนิโสมนสิการ ตั้งแตต น
มาทเี ดยี ว คอื ขณะเมอื่ ยงั เหน็ ไมท นั ชดั เจน กพ็ จิ ารณาสว น
ใดสวนหน่ึงแหงกาย อันเปนที่สบายแกจริต จนกระท่ัง

๗๒

พระอาจารยม ั่น ภูรทิ ตั ตเถร

ปรากฏเปนอุคคหนิมิต คือปรากฏสวนแหงรางกายสวนใด
สว นหน่งึ แลวกก็ ำหนดสวนนน้ั ใหมาก เจรญิ ใหมาก ทำให
มาก การเจรญิ ทำใหม ากน้ัน พงึ ทราบอยางน้ี อันชาวนา
เขาทำนา เขาก็ทำทีแ่ ผนดนิ ไถทแี่ ผน ดิน ดำลงไปในดนิ
ปต อ ไปเขากท็ ำทด่ี นิ อกี เชน เคย เขาไมไ ดท ำในอากาศกลาง
หาว คงทำแตท ด่ี ินอยา งเดียว ขาวเขากไ็ ดเ ตม็ ยงุ เต็มฉาง
เอง เมื่อทำใหมากในท่ีดินน้นั แลว ไมต องเรยี กวา ขา วเอย
ขา ว จงมาเตม็ ยงุ เนอ ขา วกจ็ ะหลง่ั ไหลมาเอง และจะหา ม
วา ขา วเอย ขา ว จงอยามาเต็มยงุ เต็มฉางเราเนอ ถาทำนา
ในที่ดินนั่นเองจนสำเร็จแลว ขาวก็จะมาเต็มยุงเต็มฉาง
ฉนั ใดก็ดี พระโยคาวจรเจากฉ็ นั นัน้ คงพจิ ารณากายในท่ี
เคยพิจารณาอันถูกนิสัย หรือท่ีปรากฏมาใหเห็นครั้งแรก
อยา ละทิ้งเลยเปน อันขาด การทำใหมากน้ันมิใชห มายแต
การเดินจงกรมเทาน้ัน ใหมสี ติหรอื พจิ ารณาในท่ที ุกสถาน
ในกาลทกุ เม่อื ยืน เดิน น่ัง นอน กนิ ด่มื ทำ คดิ พดู
ก็ใหมีสติรอบคอบในกายอยูเสมอ จึงจะช่ือวาทำใหมาก
เมอ่ื พจิ ารณาในรา งกายนนั้ จนชดั เจนแลว ใหพ จิ ารณาแบง
สวน แยกสวนออกเปน สว นๆ ตามโยนิโสมนสิการ ตลอด
จนกระจายออกเปน ธาตุดนิ ธาตุน้ำ ธาตไุ ฟ ธาตุลม และ
พจิ ารณาใหเ หน็ ไปตามนนั้ จรงิ ๆ อบุ ายตอนนต้ี ามแตต นจะ

๗๓

อุบายแหงวิปสสนา

ใครครวญออกอุบายตามท่ีถูกจริตนิสัยของตน แตอยา
ละทิง้ หลกั เดิมทต่ี นไดร คู ร้งั แรกนั่นเทยี ว พระโยคาวจรเจา
เมื่อพิจารณาในท่ีนี้พึงเจริญใหมาก ทำใหมาก อยา
พิจารณาคร้งั เดียว แลว ปลอ ยทิ้งตงั้ ครึ่งเดอื น ตง้ั เดอื น ให
พิจารณากาวเขาไป ถอยออกมา เปนอนุโลมปฏิโลม
คอื เขา ไปสงบในจติ แลว ถอยออกมาพจิ ารณากาย อยา
พจิ ารณากายอยา งเดียว หรอื สงบที่จิตแตอยางเดียว พระ
โยคาวจรเจาพิจารณาอยางน้ีชำนาญแลว หรือชำนาญ
อยางยิ่งแลว คราวนี้แลเปนสว นท่จี ะเปนเองคือ จิตยอ ม
จะรวมใหญ เมื่อรวมพรึบลงยอ มปรากฏวาทกุ ส่งิ รวม
ลงเปน อนั เดยี วกนั คอื หมดทง้ั โลก ยอ มเปน ธาตทุ ง้ั สน้ิ
นิมิตจะปรากฏข้ึนพรอมกันวา โลกนี้ราบเหมือนหนา
กลอง เพราะมสี ภาพเปน อันเดียวกัน ไมวาปาไม ภูเขา
มนษุ ย สตั ว แมท ่ีสุดตวั ของเราก็ตองลงราบเปนที่สุดอยา ง
เดยี วกนั พรอ มกบั “ญาณสมั ปยตุ คอื รขู นึ้ มาพรอ มกนั ”
ในทนี่ ี้ ตดั ความสนเทห ใ นใจไดเ ลย จงึ ชอื่ วา “ยถาภตู ญาณ
ทัสสนวิปสสนา คือทั้งเห็นทั้งรู ตามความเปนจริง”
ขน้ั นเี้ ปน เบอ้ื งตน ในอนั ทจ่ี ะดำเนนิ ตอ ไปไมใ ชท สี่ ดุ อนั พระ
โยคาวจรเจา จะพงึ เจรญิ ใหม าก ทำใหมาก จงึ จะเปนไป
เพ่อื ความรยู ่ิงอกี จนรอบจนชำนาญ เหน็ แจง ชดั วา สงั ขาร

๗๔

พระอาจารยมั่น ภรู ิทัตตเถร

ความปรงุ แตงอนั เปนความสมมตวิ า โนนเปนของเรา นั่น
เปน ของเรา เปน ความไมเทย่ี ง อาศัยอุปาทานความยึดถอื
จงึ เปน ทกุ ข กแ็ ลธาตทุ ง้ั หลายตา งหาก หากมคี วามเปน อยู
อยา งนีต้ ้ังแตไหนแตไรมา เกดิ -แก-เจ็บ-ตาย เกดิ ขน้ึ เสื่อม
ไปอยอู ยา งนี้ อาศยั อาการของจติ คอื ขนั ธ ๔ ไดแ ก เวทนา
สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณไปปรงุ แตง สำคัญม่ันหมายทุก
ภพทุกชาติ นับเปนอเนกชาติเหลือประมาณ มาจนถึง
ปจ จุบันชาติ จงึ ทำใหจิตหลงอยูต ามสมมติไมใชสมมติมา
ตดิ เอาเรา เพราะธรรมชาตทิ งั้ หลายทง้ั หมดในโลกนจี้ ะเปน
ของมวี ญิ ญาณหรอื ไมก ต็ าม เมอ่ื วา ตามความจรงิ แลว เขา
หากมหี ากเปน เกดิ ขน้ึ เสอื่ มไป มอี ยอู ยา งนนั้ ทเี ดยี วโดยไม
ตอ งสงสัยเลย จึงรูข้ึนวา ปุพเฺ พสุ อนนสุ ฺ สุเตสุ ธมเฺ มสุ
ธรรมดาเหลานหี้ ากมมี าแตกอน ถึงวา จะไมไดฟง จากใคร
กม็ ีอยอู ยางน้ันทีเดียว ฉะนนั้ ในความขอ นี้ พระพทุ ธองค
เจาจึงทรงปฏิญญาณพระองควา เราไมไดฟงมาแตใคร
มิไดเรียนมาแตใคร เพราะของเหลาน้ีมีอยูมีมาแตกอน
พระองค ดงั นไี้ ดความวา ธรรมดาธาตทุ ้ังหลายยอมเปน
ยอ มมอี ยูอยา งนัน้ อาศยั อาการของจติ เขาไปยึดถือเอาสิ่ง
ท้ังปวงเหลานั้นมาหลายภพหลายชาติ จึงเปนเหตุใหเปน
ไปตามสมมตนิ นั่ เปนเหตใุ หอนุสัยครอบงำจิตจนหลงเชือ่

๗๕

อบุ ายแหงวปิ ส สนา

ไปตาม จึงเปนเหตุใหกอภพกอชาติ ดวยอาการของจิต
เขาไปยึด ฉะนน้ั พระโยคาวจรเจาจงึ มาพิจารณาโดยแยบ
คายลงไปตามสภาพวา สพเฺ พ สงขฺ ารา อนจิ จฺ า สพฺเพ
สงฺขารา ทุกฺขา สังขารความเขาไปปรุงแตง คืออาการ
ของจติ นน่ั แลไมเ ทย่ี ง สตั วโ ลกเขาหากมอี ยเู ปน อยอู ยา งนนั้
ใหพ จิ ารณาอรยิ สจั ธรรมทงั้ ๔ เปน เครอื่ งแกอ าการของจติ
ใหเหน็ แนแ ทโ ดยปจ จักขสทิ ธวิ า ตัวอาการของจติ นเ้ี องมนั
ไมเ ทยี่ ง เปน ทกุ ข จงึ หลงตามสงั ขาร เมอ่ื เหน็ จรงิ ลงไปแลว
ก็เปนเครื่องแกอาการของจิต จึงปรากฏข้ึนวา สงฺขารา
สสสฺ ตา นตถฺ ิ สงั ขารทงั้ หลายท่เี ทยี่ งแทไมม ี สงั ขารเปน
อาการของจติ ตา งหาก เปรียบเหมอื นพยับแดด สว นสตั ว
เขาก็อยูประจำโลกแตไหนแตไรมา เมื่อรูโดยเง่ือน ๒
ประการ คือรูวาสัตวก็มีอยูอยางนั้น สังขารก็เปนอาการ
ของจติ เขา ไปสมมตเิ ขาเทา นน้ั ฐตี ภิ ตู ํ จติ ดง้ั เดมิ ไมม อี าการ
เปนผหู ลดุ พน ธรรมดาหรือธรรมท้งั หลายไมใชตน จะใช
ตนอยา งไร ของเขาหากเกดิ มีอยา งนั้น ทานจึงวา สพเฺ พ
ธมมฺ า อนตฺตา ธรรมทั้งหลายไมใชต น ใหพ ระโยคาวจร
เจาพิจารณาใหเห็นแจงประจักษตามน้ี จนทำใหรวม
พรึบลงไปใหเห็นจริงแจงชัดตามนั่น โดยปจจักขสิทธิ
พรอมกับญาณสัมปยุตปรากฏข้ึนมาพรอมกัน จึงช่ือวา

๗๖

ปฏิปตติปจุ ฉาวิสัชนา

วุฏฐานคามินีวิปส สนา ทำในทีน่ จ้ี นชำนาญเห็นจรงิ แจง
ประจกั ษพ รอ มกบั การรวมใหญ และญาณสมั ปยตุ รวมทวน
กระแสแกอ นสุ ยั สมมตเิ ปน วมิ ตุ ติ หรอื รวมลงฐตี จิ ติ อนั เปน
อยมู อี ยอู ยา งนนั่ จนแจง ประจกั ษใ นทน่ี น้ั ดว ยญาณสมั ปยตุ
วา ขีณา ชาติ ญาณํ โหติ ดังน้ี ในทีน่ ี้ไมใ ชสมมติ ไมใช
ของแตงเอาเดาเอา ไมใ ชข องอันบคุ คลพึงปรารถนาเอาได
เปน ของทเี่ กดิ เอง เปน เอง รเู องโดยสว นเดยี วเทา นน้ั เพราะ
ดว ยการปฏบิ ตั อิ นั เขม แขง็ ไมท อ ถอย พจิ ารณาโดยแยบคาย
ดว ยตนเอง จึงจะเปน ข้นึ มาเอง ทานเปรยี บเหมอื นตน ไม
ตางๆ มีตน ขาว เปนตน เมื่อบำรงุ รักษาตน มนั ใหดีแลว
ผลคือรวงขาวไมใชสิ่งอันบุคคลพึงปรารถนาเอาเลย เปน
ข้นึ มาเอง ถาแลบคุ คลมาปรารถนาเอาแตร วงขา ว แตหา
ไดรักษาตนขาวไม เปนผูเกียจคราน จะปรารถนาจนวัน
ตายรวงขา วกไ็ มม ขี นึ้ มาใหฉ นั ใด วมิ ตุ ตธิ รรม กฉ็ นั นน้ั แล
มิใชสิ่งอันบุคคลพึงปรารถนาเอาได คนผูปรารถนาวิมุตติ
ธรรม แตป ฏิบตั ไิ มถูก หรอื ไมปฏบิ ตั ิ มัวเกยี จครา นจนวัน
ตาย จะประสบวมิ ุตติธรรมไมไดเ ลย ดว ยประการฉะน้ี

รายนามผูรวมศรัทธาพิมพหนงั สอื ปฏปิ ตติปุจฉาวสิ ัชนา ๗๗

ลำดับ ชอื่ สกุล จำนวนเงนิ

๑ คุณวภิ าดา ไตรรตั นว รากรณ รานสะกิดใจหัวหนิ ๕,๘๐๐
๒ คุณสิรินาถ นาถวงษ ๔,๔๐๐
๓ คณุ สภุ าพ ทพิ ยทศั น ๔,๐๐๐
๔ คุณระพีพรรณ อบุ ลครุฑ ๔,๐๐๐
๕ คุณศุภนิจ-คณุ ทศั นยี  วงั วิวรรธนแ ละคุณศรัณยา สรุ ิยจนั ทร ๔,๐๐๐
๖ คุณดาราวรรณ อัศวแสงพิทักษ ๒,๖๗๐
๗ คณุ อรทัย ไทยผลิตเจริญ ๑,๘๘๐
๘ คณุ อำพล ลิ้มทองคำ ๑,๘๐๐
๙ คุณประวัติ ๑,๖๐๐
๑๐ ดร.ภคั ศิลาวภิ าพร ๑,๕๐๐
๑๑ คุณสาคร ขาวขำ ๑,๕๐๐
๑๒ คณุ วาสนา บำรุงสขุ ๑,๓๓๕
๑๓ คณุ ธญั ภล กั ษณ วงศาโรจน ๑,๓๐๐
๑๔ คุณอภชิ าติ สมุทราพทุ ธา ๑,๒๘๐
๑๕ คณุ พณั ณชิตา นคิ เปรมจตุรัตน ๑,๑๖๐
๑๖ คณุ สวา ง จิตตมนั่ ๑,๐๐๐
๑๗ คุณสุวรรณา จิราวรรณสถติ และครอบครวั ๑,๐๐๐
๑๘ คณุ ธนภทั ร ธมั มาพงศ ๑,๐๐๐
๑๙ คุณกนกพร มณรี ตั นพร ๑,๐๐๐
๒๐ คณุ จิราพร ติตยางกรู
๒๑ คุณกัลยกร พาณชิ ยร งั สี ๙๘๐
๒๒ คุณสมใจ ฉินธนะปทุมพร ๘๑๐
๒๓ คุณพลู วิไล จันทรธาดา ๗๐๐
๒๔ ผไู มประสงคอ อกนาม ๗๐๐
๒๕ คณุ จุรยี  พรวฒั นากูร ๖๗๐
๒๖ พ.ต.อ.บญุ เสริม ศรชี มภู ๖๕๐
๒๗ คลนิ กิ วรรณาทันตแพทย ๖๓๐
๒๘ คณุ ศริ ิพรรณ อทุ าศิริ ๖๐๐
๒๙ คณุ ยุพา พงศะบุตร ๖๐๐
๓๐ คุณจุม ๕๘๐
๓๑ คณุ จรี พนั ธุ พิมพพ นั ธดี ๕๑๐
๓๒ คุณผาสพร ธปู พลี ๕๐๐
๓๓ คุณนิรมล ตันติพนู ธรรม ๕๐๐
๓๔ คุณปวีณา เทศชูกล่นิ ๕๐๐
๓๕ ด.ช.ณฐั กมล รกั ษอารกี ลุ ๕๐๐
๕๐๐

๗๘ รายนามผูรว มศรทั ธาพมิ พห นงั สอื ปฏปิ ตตปิ ุจฉาวิสชั นา

ลำดับ ชอื่ สกลุ จำนวนเงิน

๓๖ คุณสมควร ฮาวกองแกว ๕๐๐
๓๗ คณุ สพุ ัฒน ตรงตอ กจิ ๔๗๐
๓๘ คณุ รัตนา วงศดีประเสริฐ ๔๗๐
๓๙ คณุ ภารดี แสนรงั ค ๔๔๐
๔๐ พระรักเดช ตกิ ขปญ โญ ๔๓๐
๔๑ ผูไมประสงคอ อกนาม ๔๒๐
๔๒ คณุ สกุ ัญญา จรูญยง่ิ ยง ๔๐๐
๔๓ คณุ ธรี ุตม รักษบ ำรงุ ๔๐๐
๔๔ คณุ เอกลกั ษณ ๔๐๐
๔๕ คุณกาญจนา จันทรคง ๔๐๐
๔๖ คณุ ศมน พรหมคณุ ๔๐๐
๔๗ คุณศริ อิ ร ไพรหารวจิ ติ รนุช ๓๘๔
๔๘ คณุ ภัคจิรา ๓๘๐
๔๙ คณุ จำนง แจงอกั ษร ๓๘๐
๕๐ คุณเกตนสิรี วัชรสิริโรจน ๓๖๐
๕๑ คุณยุพดี มาลีพันธ ๓๕๐
๕๒ คุณอภพิ ร ตตยิ างกรู ๓๕๐
๕๓ คณุ โกศล บวั จา ๓๑๐
๕๔ คณุ พรทพิ ย ไชยณรงค ๓๐๐
๕๕ คณุ พรทิพย ไชยณรงคและครอบครวั ๓๐๐
๕๖ คุณกญั จนณ ฏั ฐ เทอญชชู พี ๓๐๐
๕๗ คุณทวิ าพร หลวงบำรุง ๓๐๐
๕๘ คุณปราณี ชวนปกรณ ๒๙๐
๕๙ คุณอจั ฉราพันธุ วงคแปลง ๒๘๐
๖๐ พลตรีหญิงฤดี กมลมาศ ๒๘๐
๖๑ คุณหรรษา ตรีมงั คลายน ๒๕๐
๖๒ คุณวาทินี สธุ นรกั ษ ๒๕๐
๖๓ คุณผาด-คณุ ชิต ภูบงั บอน ๒๕๐
๖๔ คุณอุกฤษฎ-คุณเขษมศกั ด์ิ อายตวงษ ๒๕๐
๖๕ คุณวสุทนย จงศรีรตั นพร ๒๔๐
๖๖ ด.ต.ฐิติวัชร เกษศรีรตั น ๒๔๐
๖๗ คณุ นภา สทุ ธาวงศ ๒๒๐

รายนามผูรว มศรทั ธาพมิ พหนังสอื ปฏปิ ต ติปุจฉาวิสัชนา ๗๙

ลำดับ ชอ่ื สกุล จำนวนเงิน

๖๘ คุณสกาวลกั ษณ พวงเพช็ ร ๒๒๐
๖๙ คุณจริ าภา กอฝน ๒๑๐
๗๐ คณุ ธัญชลี วไิ ลวรรณ ๒๐๐
๗๑ คณุ ทวศี กั ดิ์ ตันตฉิ นั ทการรญุ และครอบครวั ๒๐๐
๗๒ คณุ ยายทวี คลอ งชาง ๒๐๐
๗๓ คณุ ธรณัส แจง คำ ๒๐๐
๗๔ คณุ พรทพิ ย ไชยณรงคแ ละครอบครวั ๒๐๐
๗๕ คณุ พรรณนภิ า โรจนฐติ กิ ุล ๒๐๐
๗๖ ด.ช.พีรกานต พรายประเสรฐิ ๒๐๐
๗๗ คณุ พยอม มณีพฤกษแ ละครอบครวั ๒๐๐
๗๘ คุณภทร เที่ยงทอง ๑๘๐
๗๙ คณุ ธนาภรณ เตชะสิรไิ พศาล ๑๖๐
๘๐ คุณภีษช สีไธสง ๑๖๐
๘๑ คุณโยธนิ เปรมปราณรี ชั ต ๑๕๐
๘๒ คุณวชิ าญ รตั นมงคลกิจ ๑๕๐
๘๓ คณุ วนารี สมใจดี ๑๕๐
๘๔ คุณชำนาญ วอ งพิบลู ย ๑๔๐
๘๕ คุณกมล พิพัฒนจรัสสกุล ๑๐๐
๘๖ คณุ ปราณี ชวนปกรณ ๑๐๐
๘๗ คณุ แมเสียม แซเตยี ว ๑๐๐
๘๘ คณุ ธนทั วรงคพรกลุ ๑๐๐
๘๙ คุณวารณี องั ศโุ กมทุ กุล ๑๐๐
๙๐ คุณระเบียบ มนั่ กระจา ง ๑๐๐
๙๑ คณุ ดลยา ธัญญศริ ิ ๑๐๐
๙๒ คณุ ศรวี รรณ สุขแสนไกรศร ๑๐๐
๙๓ คณุ พยอม มณีพฤกษ ๑๐๐
๙๔ คณุ ผกาวดี แสนสุข ๑๐๐
๙๕ คณุ ศริ พิ รรณี นักรอ ง ๑๐๐
๙๕ คณุ นพพร รพ.สมุทรปราการ ๑๐๐
๙๗ คณุ เกรียงไกร คณุ มงคลวฒุ ิ ๑๐๐
๙๘ คณุ เบญญาภา ศริ ิศาถาวร ๑๐๐
๙๙ คุณปรชี า ๑๐๐

๘๐ รายนามผูรว มศรัทธาพิมพหนังสือ ปฏิปต ติปจุ ฉาวสิ ัชนา

ลำดับ ชื่อ สกลุ จำนวนเงิน

๑๐๐ ผไู มป ระสงคอ อกนาม ๑๐๐
๑๐๑ พ.ต.อ.บุญเสรมิ ศรชี มภู ๑๐๐
๑๐๒ คุณฤดีพร มัวร ๑๐๐
๑๐๓ คุณนรนิ ทรพันธ เชียงชู ๑๐๐
๑๐๔ คณุ กัญญณัช มุงสวัสด์ิและครอบครัว ๑๐๐
๑๐๕ คณุ พรทิพย หทัยพันธลกั ษณ ๑๐๐
๑๐๖ คุณศริ พิ รรณี นักรอง ๑๐๐
๑๐๗ คณุ ลลิ ลี่ ภทั รโชคชวย ๑๐๐
๑๐๘ คณุ คำพล-ด.ญ.พรไพลนิ หนองยางและคณุ เสาวนยี  กองดนิ ๑๐๐
๑๐๙ พ.ต.ท.หญงิ ปราณตี เพง็ ระนยั ๑๐๐
๑๑๐ คุณนิลเนตร ถงุ ศาศรี ๑๐๐
๑๑๑ คณุ วมิ ล พัวรกั ษา ๑๐๐
๑๑๒ พ.ต.ท.วรวฒุ ิ ปานขาว ๑๐๐
๑๑๓ คุณกฤษฎ แกวชม
๑๑๔ คณุ ปองทพิ จปุ ะมะตัง ๘๕
๑๑๕ คุณพนิ ิจ มะลิ ๘๐
๑๑๖ คณุ เกรยี งไกร ๘๐
๑๑๗ คุณรฐั นันท วงศจ ำปา ๖๐
๑๑๘ คุณสรชา แสนสรุ ิวงศ ๖๐
๑๑๙ คณุ วนั ชนะ สยั เกตุ ๕๐
๑๒๐ คณุ ภทั รพร รว มบุญมี ๕๐
๑๒๑ คุณศิรดา สยั เกตุ ๕๐
๑๒๒ คุณจตุรงค ภูด อก ๔๐
๑๒๓ คณุ ปราณี ชวนปกรณ ๔๐
๑๒๔ คณุ ปณ ณธร บำรักษา ๔๐
๑๒๕ คุณวสมุ นย จงศรีรัตนพร ๔๐
๑๒๖ คณุ สกาวลกั ษณ พวงเพ็ชร ๔๐
๑๒๗ คุณสภุ าพร เลศิ ประธานพร ๓๐
๑๒๘ คณุ วรษิ พร กลึงวิจิตร ๒๐
๑๒๙ คุณเพ่มิ พงษ-ด.ช.เอกสหัส ธนพพิ ัฒนสจั จา ๒๐
๒๐

รวมศรทั ธาทัง้ ส้ิน ๖๙,๘๗๔


Click to View FlipBook Version