สารบัญ
หนังสอื ตัวกขู องกู พทุ ธทาสภกิ ขุ ฉบับยอ
คาํ นํา ……………………………………………………………………………………………. 3
บทที่ ๑. ปรับความเขา ใจ ทีผ่ ิดๆ เก่ยี วกบั พุทธศาสนา ………………………………………… 6
บทท่ี ๒ พทุ ธศาสนามุงหมายอะไร ……………………………………………………………14
พทุ ธศาสนามไิ ดม งุ หมายนําคนไปสสู วรรค ทเ่ี ปน ดนิ แดนทจ่ี ะหาความสาํ ราญกนั ไดอยาง
เต็มเหวย่ี ง ซึ่งใชเ ปน เครอ่ื งลอ ใหค นทาํ ความดี แตก ็ทาํ ใหไ ปติดยดึ ในตณั หาอปุ าทาน ซ่ึง
เปน อปุ สรรคสาํ คัญที่ทาํ ใหค นเขาไมถ งึ จดุ หมายปลายทางของพทุ ธศาสนา
บทท่ี ๓ ปมเดยี วทคี่ วรแก ……………………………………………………………………….22
ความสับสนในการจบั หลักพระพทุ ธศาสนา นบั วา เปน อุปสรรคสําคญั ของการที่จะเขา ถงึ
ตวั แทของพทุ ธศาสนา จรงิ ๆแลว เรอ่ื งมีอยเู พยี งสน้ั ๆ วา เราไมตอ งศกึ ษาเรื่องอะไรเลย
นอกจาก เรอื่ ง "ตวั ตน-ของตน"
บทท่ี ๔ การเกดิ ขึน้ แหงอตั ตา …………………………………………………………………..30
มาจากจติ ทตี่ ง้ั ไวผ ิด ทําใหเกิดลัทธทิ ไ่ี มพ งึ ปรารถนาขึ้น ทาํ ใหเ กิดการอดอยาก การ
เบยี ดเบยี น และการสงคราม ฯลฯ
บทท่ี ๕ การดบั ลงแหงอัตตา ……………………………………………………………………40
ภาวะของจิตเดมิ แท ภาวะแหง ความวางจากความวนุ ภาวะแหงความความสมบูรณด ว ย
สติปญญา
บทท่ี ๖ วธิ ีลดอัตตา …………………………………………………………………………….46
หลกั เกณฑท ีร่ ดั กุม นาํ ไปสกู ารลด "ตัวตน" อยา งมปี ระสิทธิภาพ
แผนผังลําดับแหงปฏจิ จสมปุ บาท ……………………………………………………………..72
เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 1 of 73
ขาพเจา เปนหนบ้ี ญุ คุณ
ทา นอาจารยพทุ ธทาส
ขา พเจา เกดิ มา เตม็ ไปดวยความวิตกกงั วลใจนานาประการ ถงึ แมจะศึกษา หนังสอื คัมภรี
ศาสนา ทง้ั หลาย มากเทา ใดๆ ขา พเจา กย็ งั ลดความทกุ ขใ จ ลงไมไ ดเลย และซาํ้ ยงั ทาํ ให หมด
ความเลื่อมใส เพราะมองเหน็ ความงมงาย ไมฉลาด ในวงการของศาสนาตางๆ แตพ อขาพเจา
ไดพบ คําสอน ของทา นอาจารยพทุ ธทาส ขา พเจา ก็จบั หลกั ของพทุ ธศาสนา ไดทนั ที และรจู ัก
วธิ ีดาํ เนนิ ชีวติ จิตใจ ที่ผิดไปจากเดมิ ๆ คลา ยตายแลว เกดิ ใหม ขา พเจา จึงถือวา ชวี ติ ของ
ขาพเจา ในยคุ หลังน้ี เปน หนบี้ ญุ คุณ ของทา นอาจารยพ ทุ ธทาส อยางทไ่ี มม ีอะไร จะตอบแทน
ทา นได นอกจาก การชว ยประกาศสัจจธรรมตอไป เทา ท่สี ตปิ ญญา และความรู ของขา พเจา จะ
อํานวยให. ..
ปุน จงประเสรฐิ
ผยู อ -เรียบเรียง ธรรมบรรยาย เร่ือง "ตวั ก-ู ของก"ู
เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 2 of 73
คาํ นํา
หนังสือ เร่อื ง "ตัวกขู องกู"
เม่ือขาพเจา ยงั รับราชการเปนเลขานกุ ารเอก ประจาํ สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรงุ ไคโร
ขา พเจา ไดส่ังซื้อหนงั สอื พทุ ธศาสนาของจนี และญี่ปุน ลทั ธหิ ินยาน นิกายเซน็ ฉบบั ภาษาองั กฤษ
มาจากกรุงลอนดอน เปนจาํ นวน ๑๐ เลม และใชเวลาวา งงาน อานคําสอนของนกิ ายเซน็
ขาพเจา เล่ือมใส ในคําสอนของเขามาก เพราะ การสอน หลักพทุ ธศาสนา ของนกิ ายเซน็ ของจนี
และญีป่ นุ นน้ั เปน การสอนลัด ดงั ทเี่ ขาเรยี ก วธิ ีปฏิบัติ ของเขาวา "วิธลี ดั " หรือ เรียก นกิ ายของ
เขาวา "นิกายฉับพลัน" ทัง้ นก้ี ็เพราะวา พวกเขา ไมสนใจ พทุ ธประวตั ิ และเร่ืองราวเปนไปของ
พทุ ธศาสนา เขาไมส นใจในดา นภาษาของพทุ ธศาสนา ไมส นใจชอื่ ของธรรมะ ไมสนใจการ
ทาํ บุญ ใหท านแบบตางๆ เขาไมตอ งการมบี าป และไมต อ งการไดบ ญุ เพราะเขาถอื วาทง้ั บาป
และบญุ กย็ งั เปน อปุ สรรค ทจี่ ะทาํ คน มใิ หถ ึงพระนพิ พาน ยง่ิ เรอื่ งการหวงั เอาสวรรค เอาวิมาน
ดว ยแลว เขาถอื วา เปน ความปรารถนาของทารก เอาทเี ดยี ว เขาตดั พธิ รี ีตอง ของพทุ ธศาสนา
ออก ทง้ั หมด เหลอื เอาไวแต "หวั ใจ" ของพทุ ธศาสนา กลา วคือ เรอ่ื ง สุญญตา เรื่องเดยี วเทา นั้น
เขาจงึ พร่ําสอนแตเร่อื ง สญุ ญตา ปฏบิ ตั ิแตเร่ืองสญุ ญตา และหวงั ผลจากสุญญตา อยางเดยี ว
ทัง้ นี้ก็ตรงกับพุทธดาํ รัสทวี่ า "ใครไดฟ ง เร่ืองสญุ ญตา กถ็ อื วา ไดฟ ง เร่ืองทงั้ หมดของ พุทธศาสนา
ใครไดป ฏบิ ัติเรือ่ งสญุ ญตา กจ็ ัดวาไดป ฏบิ ัตธิ รรมทัง้ หมด ทง้ั สนิ้ ของพุทธศาสนา ใครไดร ับผล
จากสุญญตา กน็ ับไดวา ไดรับผลอนั สูงสุด ของพุทธศาสนา" กลา วคอื ความพนทุกข ไป
ตามลําดับๆ จนไมม คี วามทกุ ขใ จ เลยแมัแตนอย ซง่ึ เราเรยี กวา "นพิ พาน" เพราะ หมดกิเลส
หมดความเหน็ แกต วั อยางสิ้นเชงิ นน่ั เอง
ขา พเจา มใิ ชเ ปน คนพวก "ศรัทธาจริต" กลา วคอื ขา พเจา ไมยอมเช่อื ใคร เชื่ออะไรงา ยๆ
ขา พเจา มีมนั สมอง มคี วามรู ท้ังทางโลก และทางธรรม และไดประสพการณของชีวติ มา ๖๐ ป
แลว เคยพบคนดี คนชวั่ คนสจุ ริต คนทุจรติ คนพดู จรงิ และคนหลอกลวง มามากตอ มาก และ
เพราะมมี นั สมอง พอทจ่ี ะรวู า อะไรถูก อะไรผดิ นน่ั เอง ขา พเจา จงึ เหน็ วา คาํ สอนของนกิ ายเซน็
ถกู ตองทีส่ ุด และไมหลอกลวงใคร เพอ่ื หวงั ประโยชนอ ะไรเขา ตัว อยา งนกั บวชนกิ ายอน่ื ๆ ได
ปฏิบตั กิ ันอยู จนคนท่ีไมใ ชส ติปญ ญา ตองตกเปน เหยื่อ เพราะความโลภ อยากไดส วรรค เพราะ
ความหลง งมงาย ในสง่ิ ศักดสิ์ ทิ ธ์ิ หรอื ความกลัวผสี าง เทวดา จนตองเสียเงิน และเสียรคู น
หลอกลวง อยา งเต็มอกเตม็ ใจ
เว็บไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 3 of 73
ขาพเจา นกึ อยเู สมอวา ทาํ อยา งไรหนอ คาํ สอนของนกิ ายเซน็ จึงจะมาเผยแพรในประเทศ
ไทยบา ง ชาวพทุ ธไทย จะไดเขาถงึ ธรรม โดยไมตองไปเสียเวลา ปฏบิ ตั ิอะไร ตอ อะไร ท่ไี มเ ปน
สาระ ไมส มตามทพี่ ระพุทธเจา ทรงมงุ หมายจะใหแ ก พทุ ธศาสนิกชน พวกเราถกู สอน ใหต ดิ
ตณั หาอปุ าทาน ตดิ บุญ ติดตาํ รา อาจารย ติดประเพณี พิธรี ตี อง พระพทุ ธเจาสอนคน ใหหมด
ความอยาก ความยึด และความยงุ แตพ วกเรา ไดร ับคําสอน ใหอ ยาก ใหย ึด และใหย งุ ฉะนนั้
เรือ่ งมรรคผล นิพพาน จงึ หางไกลมอื ของพวกเรา ออกไปทกุ วนั ๆ เลยมคี นถือกนั วา เปนเรือ่ งพน
วสิ ัยของมนุษยใ นสมัยน้ี ไปเสยี แลว ใครนาํ เอาเรอ่ื งนพิ พาน มากลา วมาสอน ก็ถกู หาวา เปน คาํ
สอนทเ่ี หลวไหล พน สมัยทใ่ี ครๆ จะทาํ ได ใครนาํ เอาวธิ ปี ฏิบตั ทิ ถี่ ูกตอ ง มาอธิบาย กถ็ กู นกั
ศาสนาสมยั ใหม หาวา เปน การกลา ว นอกพระธรรมวนิ ยั หรอื ผิดไปจากตาํ หรับตํารา คําสอนที่
ถูกตอ ง เลยไมม ีใครสนใจ และฟงกนั ไมไ ด เพราะเหตทุ ไี่ มไ ดฟงกนั มาเสียนาน น่ีแหละ เปน
สถานการณในปจจบุ นั
ฉะนน้ั การจะนําเอาคําสอนของนกิ ายเซน็ ซึง่ ถงึ แมจะดที ีส่ ดุ สนั้ ทีส่ ดุ และหวงั ดตี อ
ประชาชนท่สี ดุ เขา มาเผยแพรใ นเมอื งไทย กเ็ หน็ จะไมม ีใครเล่อื มใส และกลบั จะมกี ารคดั คา น
กนั เปนการใหญ เพราะความยดึ มน่ั ถือมนั่ ในความเหน็ เดิมๆ ของตนวา ถกู ตอ ง ดกี วา ของ
ใครๆ น่นั เอง จึงมมี านะ ไมย อมฟง คาํ สอน ของนิกายอนื่
ทา นพทุ ธทาสภิกขุ เปนอรรถกถาจารย ทแ่ี ตกฉานในพระธรรมวนิ ยั ทง้ั ฝา ยหนิ ยาน และ
นกิ ายเซน็ ทา นไดแปล สตู รของทานเวยหลา ง และทา นฮวงโป ซ่ึงเปนพระอริยบคุ คล ของ
นกิ ายเซน็ ออกมาเปน ภาษาไทย และยงั ไดร วมความเหน็ ของฝา ยเถรวาท กบั นกิ ายเซน็ ใหเขา
กนั ได จนกลายเปน คําสอนทที่ นั สมัย และสมบูรณท ่สี ุด ซึ่งรวมอยูในหนงั สอื เลมนี้ ชนดิ ทใ่ี ครๆ
จะทาํ ไมได นบั วา เปนโชคดีของพวกเราอยางยิ่ง ทไี่ ดม ีหนงั สือเลมนี้ เกดิ ข้ึนในประเทศไทย ไม
ตองขายหนา นิกายเซน็ ของฝา ยจนี ญีป่ นุ อีกตอไป หากคําสอนนี้ จะมโี อกาสเผยแพรไป ถึง
ประเทศตา งๆ ในยโุ รป หรอื อเมรกิ า ก็ยงั เปน ทอ่ี นุ ใจไดวา จะไมทาํ ใหชาวตา งศาสนา เขายม้ิ
เยาะ ไดว า พทุ ธศาสนา เตม็ ไปดว ยอภนิ หิ าร ของขลงั ของศกั ดิส์ ิทธ์ิ ตดิ อยแู ตใ นเรื่อง ผีสาง
เทวดา หรอื พธิ ีรตี อง อนั ไมป ระกอบดว ย ปญญา และหลักวชิ าการ นอกจากเชื่อกันไป ทําตาม
กันไป ดงั ทม่ี กี ลา วอยูในคัมภีร
หนงั สอื เลมน้ี ไมตองอาศัย "คํานิยมชมชนื่ " จากผใู ด เพราะผูทอี่ า นดว ยความ พนิ จิ พิจารณา
และมปี ญญาพอสมควร ยอมจะนยิ มชมชน่ื ดวยตนเอง ซง่ึ ดกี วา คาํ ชมของผหู นง่ึ ผใู ด ทเี่ ขาเขยี น
ให เพือ่ ใหขายไดดี
เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 4 of 73
องคการฟน ฟพู ทุ ธศาสนาฯ หวงั วา ทา นทง้ั หลาย ทไ่ี ดอานหนงั สอื เลม นแ้ี ลว คงจะไดด วงตา
เหน็ ธรรม หรืออยางนอยกพ็ อ จะมองเหน็ ไดว า เราควรจะปฏบิ ตั ิธรรม ดว ยวธิ ใี ดดี จงึ จะเขาถงึ
สัจธรรม โดยฉบั พลนั ไมตอ งไปเสยี เวลา ศกึ ษาคัมภรี อนั ยุง ยาก ยืดยาว ซง่ึ อยา งมาก กท็ ําเรา
ใหเปนไดแตเ พียง คนอา นมาก จาํ ไดมาก พูดมาก แตย ังเต็มไปดว ยมจิ ฉาทฏิ ฐิ หรือ ตณั หา และ
อปุ าทาน เพราะ การยึดมน่ั ถอื ม่ัน ไมย อมปลอ ยวาง ในสงิ่ ใดๆ และยังเต็มไปดวยอัตตาตัวตน
ปนุ จงประเสรฐิ
องคการฟนฟูพุทธศาสนาฯ
เว็บไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 5 of 73
บทท่ี ๑. ปรบั ความเขา ใจ
พุทธศาสนกิ ชนไทย ทน่ี ับถือพุทธศาสนา ในลักษณะท่คี นอนื่ มองเหน็ วา เครง ครดั แตความ
จริง คนนัน้ ยงั เขา ไมถงึ ตัวแทแ หง พทุ ธศาสนาเลย กม็ อี ยเู ปน อนั มาก ทีเดยี ว แลว คนพวกนเี้ อง ที่
เปนคนหวั ด้ือ ถอื รนั้ หรือ อวดดี จนกระท่ัง ยกตนขม ผูอน่ื ท่เี ขารดู กี วา
การเกย่ี วขอ งกบั พทุ ธศาสนา โดยวธิ ปี ราํ ปรา หรอื ปฏบิ ตั ติ ามๆ กันมา อยางงมงาย นั้น แม
จะไดก ระทําสบื ๆ กันมา ตง้ั หลายชัว่ บรรพบรุ ุษ แตกห็ าสามารถทาํ ใหเ ขา ถงึ ตัวแทของพทุ ธ
ศาสนาไดไม มีแตจ ะกลายเปน ของหมกั หมม ทับถมกัน มากเขา จนเกดิ ความเห็นผดิ ใหมๆ
ข้นึ มา กลายเปน พทุ ธศาสนาเนือ้ งอก ไปหมด ทาํ ใหห า งจาก ตวั แทของพทุ ธศาสนา ออกไป
เรื่อยๆ จนกระทั่ง เกดิ การกลวั ตอการบรรลุ มรรคผลนพิ พาน ซง่ึ เราไดย ินกนั อยทู ว่ั ๆ ไป ใน
หมู พทุ ธบริษทั ชาวไทยสมยั นี้ ทห่ี ามไมใ หพ ดู กนั ถงึ เรอ่ื ง มรรคผล นพิ พาน ใครขนื พดู คนนนั้ จะ
ถูกหาวา อวดดี หรอื ถูกหาวา นาํ เอาเรอ่ื งท่เี หลือวสิ ยั มาพดู แลว กข็ อรอ ง ใหพ ดู กนั แตเ รือ่ งตํา่ ๆ
เต้ียๆ เชน ใหพ ูดแตเ รื่อง จรยิ ธรรมสากล ที่ศาสนาไหนๆ เขากม็ ีดวยกันทง้ั นนั้
น่ีแหละคือ สถานะอนั แทจ รงิ ของการศึกษา และปฏิบัติ พทุ ธศาสนาในประเทศไทย มีผล
ทาํ ให พุทธบริษัทชาวไทย กลายเปน ชาวตา งศาสนาของตนไป ฉะน้ัน เราควรตง้ั ตน ศกึ ษา และ
ปฏิบัติ หลักพระศาสนา ของเราเสียใหม อยามวั หลง สําคัญผิดวา เรารูพทุ ธศาสนาดีกวา ชาว
ตา งประเทศ เพราะนกึ วา เราไดอยูกับ พุทธศาสนา มานานแลว มีผเู ขยี น มีผแู ตง ตาํ รา เกย่ี วกบั
พทุ ธศาสนา มากพอแลว เราไปคน ควา เอาตวั พทุ ธศาสนา ผิดๆ หรือไปควาเอาแตเพยี งกระพี้
ของพทุ ธศาสนา ไปควาเอาพทุ ธศาสนาเนอ้ื งอก ใหมๆ มาอวดอาง ยนื ยันกนั วา น่เี ปน พทุ ธ
ศาสนาแท ฉะนั้น หนงั สอื พทุ ธศาสนา ทเ่ี ขยี นข้นึ มา จงึ มสี ิง่ ที่ ยงั มิใชต ัวแท ของพุทธศาสนา
รวมอยูดว ย ๔๐-๕๐% เพราะ รเู ทา ไมถ งึ การณ นาํ เอาพระพุทธศาสนา ไปปนกบั ลทั ธิอ่ืนๆ ซึ่งมี
อยใู นประเทศอินเดีย ซงึ่ บางอยาง ก็คลา ยคลึงกนั มาก จนถงึ กบั ผูทไี่ มแ ตกฉาน เพยี งพอ
อาจจะนาํ ไป สบั เปลีย่ น หรอื ใชแทนกนั ไดโ ดยไมรู เชน คาํ ตูต างๆ ของพวกบาทหลวง ทม่ี ีใจ
เกลียดพทุ ธศาสนา เมอ่ื บาทหลวงผนู น้ั เปน ผูม ชี ื่อเสียง และมีคนนบั ถือกวา งขวาง หนงั สอื เลม
นนั้ กก็ ลายเปน ทีเ่ ช่ือถือ ของผอู านไปตามๆ กนั
เราไดพ บหนังสอื ชนิดน้ี เปนคร้งั เปนคราว อยูตลอดมา นบั วาเปน ความเสยี หาย อยา งใหญ
หลวง แกพ ุทธศาสนา แลวเปน อนั ตราย อยา งยง่ิ แกผ อู าน ซงึ่ หลงเขา ใจผิด ในหลกั พทุ ธศาสนา
ท่ีตนสนใจ หรือ ตั้งใจจะศกึ ษา ดว ยเจตนาอันบรสิ ุทธิ์ เชน เรอ่ื งกรรม ที่วา ทาํ ด-ี ไดดี ทาํ ชวั่ -ไดช ั่ว
และ บุคคลผทู ํา เปน ผูไ ดร บั ผลแหงกรรม นน้ั น่เี ปน หลัก ทมี่ มี ากอ นพทุ ธกาล และมกี นั ทวั่ ไป ใน
เว็บไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 6 of 73
ทุกศาสนาใหญๆ ฉะนน้ั การทจี่ ะถือเอาวา หลักเรื่องกรรม เพยี งเทาน้ี เปน หลกั ของพุทธศาสนา
นน้ั จึงเปนเรอ่ื งทน่ี า หวั เราะ ทัง้ น้เี พราะ ความจรงิ มีอยูวา พทุ ธศาสนา แสดงเร่ืองกรรม มากไป
กวา นน้ั คือ แสดงอยา งสมบูรณท ีส่ ดุ วา ผลกรรม ตามหลกั ทก่ี ลา วนน้ั เปน มายา จงึ ถอื ไมได ยงั
มี กรรมท่ี ๓ อกี ประเภทหนงึ่ ทีส่ ามารถลบลาง อาํ นาจของกรรมดี กรรมชัว่ นนั้ เสียไดโดยสน้ิ เชงิ
แลวยังเปน ผูอยเู หนือกรรม โดยประการทง้ั ปวง การปฏิบตั ิ เพ่อื บรรลุ มรรคผลนิพพาน น่ันแหละ
คอื การทาํ กรรมท่ี ๓ ดังกลา ว ซงึ่ ศาสนาอน่ื ไมเ คยกลา วถึงเลย น่ีแหละ คอื กรรม ตามหลกั แหง
พทุ ธศาสนา ทถ่ี กู ตอง เพราะ พระพทุ ธศาสนา มีความมงุ หมาย ท่จี ะชว ยมนษุ ย ใหอยเู หนือ
ความทจ่ี ะตองเปนไปตามกรรม ฉะนนั้ มนั จงึ ไมใ ชลทั ธิ ทาํ ดไี ดด ี ทาํ ชว่ั -ไดช วั่ ทาํ บญุ ไปสวรรค
ทาํ บาปไปนรก
สําหรบั เรอ่ื ง การเวียนวา ยตายเกดิ ทางรา งกาย นน้ั กลา กลาวไดวา ไมใชห ลกั ของพทุ ธ
ศาสนา เพราะวา มันเปนเรอ่ื งคกู ันมากับหลักกรรม อยางตื้นๆ งา ยๆ กอ นพทุ ธศาสนา คนในยุค
โนน เชอื่ และสอนกนั อยแู ลววา สตั วห รือคน กต็ าม ตายแลวเกิดใหม เรือ่ ยไป แทบจะไมม ีที่
ส้นิ สุด คือมตี วั ตน หรือวิญญาณทถ่ี าวร ซ่ึงเวยี นวา ยตายเกิด เร่อื ยไปในวัฏฏสงสาร จะมีจุดจบ
ตา งๆ กนั ตามแตล ทั ธินนั้ ๆ จะบญั ญัตไิ วอ ยา งไร ฉะนน้ั การทีม่ ากลา ววา พทุ ธศาสนา มหี ลักใน
เรอื่ ง การเวยี นวา ยตายเกิดทางรา งกาย ทาํ นองนนี้ นั้ จงึ เปน สิง่ ท่ีนา หัวเราะเยาะ เชนเดียวกนั อกี
ท้งั น้กี เ็ พราะ การตรัสรขู องพระสมั มาสมั พทุ ธเจา นน้ั เปน การคนพบความจรงิ วา โดยทีแ่ ทแ ลว
คนหรือสตั ว ไมไดมอี ยูจรงิ หากแตค วามไมร ู และมคี วามยึดมน่ั เกิดอยใู นใจ จงึ ทาํ ให คนและ
สัตวน น้ั เกดิ ความสาํ คัญผดิ วา ตนมีอยูจรงิ แลว ก็ไปรวมเอาอาการ ท่เี รยี กวา "เกดิ " หรือ "ตาย"
เขามาเปน ของตนดว ย ขอนี้ ทาํ ใหเกิดความรูสึกอยางมนั่ ใจวา มคี น มีสตั ว มีการเกดิ การตาย
การประกาศศาสนา ของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา นนั้ กค็ ือ การประกาศความจรงิ พรอ มทง้ั วธิ ี
ปฏิบัติ จนสามารถทาํ ให คนรูหรอื เขา ใจถงึ ความจริงวา ไมม ตี ัวเรา หรือ ของเรา ดงั นนั้ ปญ หา
เรื่องการเกิด การตาย และ การเวยี นวา ยไปในวัฏฏสงสารน้ัน กห็ มดไป
เมอื่ ขอเท็จจรงิ มอี ยูดงั นแ้ี ลว การทม่ี ายืนยนั วา พทุ ธศาสนา มีหลกั เรื่องการตายแลว เกิด
ใหม ในทาํ นองความเชอ่ื ของลัทธิขนั้ ทารกสอนเดนิ แหง ยุคศาสนาพราหมณโบราณ ยอ มเปน
การตู เปนความไมย ตุ ิธรรม ตอพทุ ธศาสนา นีแ่ หละ คอื ปมท่ีเขา ใจไดย ากท่สี ดุ ของพุทธศาสนา
จนถงึ กับ ทาํ ใหชาวไทย ชาวตางชาติ เขียนขอความ ซึง่ เปน การตูพุทธศาสนา ไดเ ปน เลมๆ โดย
ใหช ่อื วา หลกั พระพทุ ธศาสนา ซึง่ มีอยูอ ยา งมากมายในระยะ ๒๐-๓๐ ป มาน้ี และนกั เขียน
เหลา น้ัน ยกเอาบทท่ีชือ่ วา กรรม และการเกดิ ใหมน นั่ เอง ขึน้ มาเปน บทเอก หรอื เปน ใจความ
สําคัญท่ีสุดของพทุ ธศาสนา สว นเร่อื งความไมมตี วั ไมมตี น หรอื ไมม ีอะไรเปนของตน และวธิ ี
ปฏิบตั ิเพอ่ื เขาถึงความวา ง เชน นนั้ เปนเรื่องท่ีไมก ระจา งแกเขา เขามักจะเวน เสีย หรอื ถาจะ
เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 7 of 73
กลา ว กก็ ลา วอยา งออมแอม คลุมเครือ ไมเ ปน ท่แี จม แจง ไดเ ลย จงึ ตอ งจดั บุคคล ผเู ขยี นตาํ รา
พทุ ธศาสนา เชน นี้ ไวใ นฐานะ เปน คนไมร จู กั พุทธศาสนา และ ทําลายสจั จธรรม ของพทุ ธ
ศาสนา
การเขาใจหลกั ของพทุ ธศาสนา อยา งผิดๆ ยอ มทาํ ให ไมเขาถงึ จุดมงุ หมายอนั แทจริง ของ
พุทธศาสนา อาการอนั นเ้ี อง ท่ีนาํ ผูปฏิบตั ิ ไปสคู วามงมงาย ทง้ั โดยทางปฏิบัติ และหลกั วิชา ทาํ
ใหเ กดิ การยึดม่นั ในแบบปฏบิ ตั ิ ตามความคดิ เหน็ ผิดของตน เลยเกิดการปฏบิ ตั แิ บบ "เถรสอ ง
บาตร" ข้ึนเปนอันมาก กลาวคอื เหน็ เขาทํากันมาอยา งไร ก็ทําตามๆ กนั ไป อยา งนา สมเพช เชน
ชาวตา งประเทศ ที่ไมเคยรูจักพทุ ธศาสนา พอเขามาเมอื งไทย กผ็ ลนุ ผลัน ทําวปิ ส สนา อยา งเอา
เปนเอาตาย อยูใ นสํานกั วิปส สนาบางแหง จบแลวกย็ ังมดื มวั อยูตามเดิม หรอื ไมก็ งมงาย ยดึ
มั่นถือมน่ั สาํ คญั ผดิ อยางใดอยา งหนง่ึ ขนึ้ มาอกี จากการทที่ าํ วิปสสนาแบบนั้นๆ แมใ นหมชู าว
ไทยเรา กย็ งั มอี าการดงั กลา วน้ี จนเกิดมกี ารยดึ มน่ั วา ถา จะใหสาํ เร็จ ขั้นหนึง่ ขั้นใด ในทางพทุ ธ
ศาสนา ก็ตองนั่งวิปส สนา เรอื่ งจงึ กลายเปน เพยี งพธิ ไี ปหมด การทาํ ไปตามแบบ โดยไมทราบถงึ
ความมงุ หมาย เปน เหตุใหเ กดิ แบบกรรมฐาน ขึน้ อยา งมากมาย ซง่ึ ทงั้ หมดนั้น ไมเ คยมีในครัง้
พทุ ธกาลเลย ทง้ั หมดนี้ รวมเรียกส้นั ๆวา "สีลัพพตปรามาส" กลา วคอื การบําเพญ็ ศลี และพรต
ทท่ี าํ ไป โดยไมทราบความมงุ หมาย หรอื มงุ หมายผดิ
ความงมงายน้ี มีไดต้งั แต การทาํ บญุ ใหท าน การรกั ษาศีล การถอื ธดุ งค และ การเจริญ
กรรมฐานภาวนา คนกย็ ึดมน่ั ถือมัน่ ในการทําบญุ ใหท าน แบบตา งๆ ตามท่นี กั บวช โฆษณา
อยางนน้ั อยา งนี้ วา เปน ตัวพุทธศาสนา ทส่ี ูงขึ้นหนอย กย็ ดึ มน่ั ถือศลี เครงครัด วา นเ้ี ปน ตวั แท
ของพทุ ธศาสนา และ การยดึ มั่นถือมนั่ อาจมมี าก จนกระทัง่ ดหู มน่ิ ผอู ่ืน ทไี่ มยดึ ถืออยางตน
หรอื กระทาํ อยา งตน สว นนกั ปฏบิ ตั ิ ทสี่ งู ขน้ึ ไปอกี กย็ ดึ มัน่ ถือมนั่ ในแบบของกรรมฐาน หรือวธิ ี
แหง โยคะ ที่แปลกๆ และทาํ ไดย าก วา เปน ตวั แทข องพทุ ธศาสนา ความสําคัญผิด ของบุคคล
ประเภทนี้ มีมากจนถงึ กบั ไปควา เอา วธิ ตี า งๆ ของโยคี นอกพทุ ธศาสนา ท่มี ีอยูกอนพทุ ธศาสนา
บาง ในยุคเดยี วกันบา ง และในยคุ หลงั พทุ ธกาลบา ง เขามาใสไ วใ นพทุ ธศาสนา จนเตม็ ไปหมด
สมตามพระพทุ ธภาษิตทีว่ า "ไมใ ชเพราะศลี หรอื เพราะการปฏิบตั อิ ันแปลกประหลาด และการ
ยึดม่ันถอื ม่ัน เหลา นัน้ ทค่ี นจะ บรสิ ุทธจิ์ ากทุกขท ัง้ หลาย ได แตท ่ีแท ตอ งเปนเพราะ มคี วาม
เขาใจถกู ตอ ง ในเรื่องของความทกุ ข เหตุใหเ กิดทุกข ในเรื่องความดับสนทิ แหง ทกุ ข และวิธีดับ
ความทุกขนน้ั "
ขอนห้ี มายความวา ผปู ฏิบตั จิ ะตองถอื เอา เรอื่ งของความทกุ ข มาเปน มลู ฐาน อันสาํ คัญ
ของปญ หาท่ีตนจะตอ งพจิ ารณา สะสาง หาใชเร่ิมตนขนึ้ มา ดวยความพอใจ ในสงิ่ แปลก
เว็บไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 8 of 73
ประหลาด หรอื เปนของตา งประเทศ หรอื เปน สงิ่ ที่เขา เลาลอื ระบือกนั วา เปน ของศกั ดิส์ ิทธิ์
และ ประเสริฐ นเี่ ปน ความงมงาย อยา งเดียวกนั ทที่ ําใหค นหนุมๆ เขามาบวชในพทุ ธศาสนา ซง่ึ
สวนมาก มาเพราะ ความยดึ มัน่ ถอื มนั่ ผิดๆ อยา งใดอยา งหนง่ึ โดยตนเองบา ง โดยบคุ คลอนื่
เชน บิดามารดา บาง หรอื โดยประเพณีบา ง มีนอ ยเหลอื เกนิ หรือ แทบจะกลาวไดวา ไมมีเลย ท่ี
เขามาบวช เพราะความเหน็ ภยั ในความทกุ ข อยา งถกู ตอง และแทจรงิ เหมอื นการบวช ของ
บคุ คลคร้ังในพุทธกาล เมือ่ มลู เหตุอนั แทจ ริง แตกตา งกันแลว กย็ อมเปนธรรมดาอยูเอง ทเ่ี ขาจะ
จบั ฉวยเอา ตวั แทของพทุ ธศาสนา ไวไมไ ดเ ลย
อกี เรอื่ งหนง่ึ ซงึ่ คอนขา งนา ขบขนั ไดแ ก ความยึดมน่ั ถือมน่ั ที่หา งไปไกลถงึ นอกเปลอื กของ
พุทธศาสนา ชาวยโุ รปบางคน ที่ไดร บั ยกยอ งวา เปน ศาสตราจารย ทางฝายพทุ ธศาสนาได
ยืนยนั วา เขาเปน พทุ ธบรษิ ทั ทแี่ ทจริง เพราะเขาเปน นกั เสพผัก หรือ งดเวน การกนิ เน้ือสตั ว เขา
เสยี ใจทภ่ี รรยาของเขา เปน พุทธบรษิ ัทไมไ ด เพราะไมส ามารถเปนนกั เสพผกั ได นัน่ เอง เรื่องนี้
นกึ ดกู น็ าสมเพช คงเปนทน่ี า หวั เราะเยาะ ของพวกอาซม้ิ ไหวเจา ตามโรงกนิ เจ เพราะอาซ้มิ
เหลา น้นั นอกจากไมรบั ประทานเนอื้ สตั วแลว ยงั เวน ผักที่มรี สจัด หรือกลน่ิ แรง อกี หลายชนิด
สวนพวกมงั สะวิรตั ิ ไมก นิ เนอ้ื สตั วก จ็ ริง แตกย็ งั กนิ ไข กนิ นม และกนิ ผักทกุ ชนิด นีเ่ ปน เพราะ
ความยดึ มน่ั ถอื มนั่ ในทางประเพณีแหง พธิ รี ตี อง นนั่ เอง แมใ นหมูชาวไทย ทีอ่ างตนวา เปน พุทธ
บรษิ ัท เปน ภิกษุ เปน พระเถระ เปน มหาบาเรียน เปน คนสอนศาสนาพทุ ธ แกป ระชาชน ไดดี
ขนึ้ มา ก็เพราะอาศยั พทุ ธศาสนา แลว ยงั กลายนื ยนั อยา งไมละอายแกใ จวา บา นของชาวพทุ ธ
ตอ งมศี าลพระภูมิ ไวท ําพธิ กี ราบไหวบชู า ถาไมท าํ อยา งนน้ั ก็เปน คนนอกพทุ ธศาสนา ขอ นี้ เปน
เครื่องแสดงอยแู ลว ในตัววา "โมษะบุรุษ" ประเภทน้ี ยงั เขา ใจผดิ หรือ บดิ ผันศาสนาของตน
เพยี งไร พทุ ธศาสนาของคนในยคุ น้ี จึงมีแตพิธี และวตั ถุ ทีน่ กึ วา ศักด์ิสิทธ์ิ เทา นน้ั เอง หลงกราบ
ไหว ผสี างเทวดา และสง่ิ ศกั ดิ์สทิ ธิ์ ในสากลโลก โดยคดิ วา นน่ั ก็เปน พทุ ธศาสนา แลวกส็ ่ังสอน
กัน ตอๆไป แมโ ดยพวกทปี่ ระชาชนเชอื่ วา รจู กั พุทธศาสนาดี เพราะมอี าชพี ในทางสอนพทุ ธ
ศาสนา
คนบางพวก มคี วามยึดมน่ั ถอื มั่นวา เขาจะเขาถึงพุทธศาสนาได ก็โดยทําตนใหเ ปน ผู
แตกฉานในคมั ภีร เทา นน้ั เพราะเวลาลว งมาแลว ตง้ั แต ๒,๕๐๐ กวา ป สิง่ ตางๆ เปลยี่ นแปลงไป
มาก จะตอ งศกึ ษาเอาจากคมั ภรี ทัง้ หมด เพอื่ ใหท ราบวา พทุ ธศาสนาเดิมแท แหง คร้งั กระโนน
เปน อยา งไร ฉะนนั้ การศกึ ษาพระไตรปฎ ก พระอภิธรรม และคมั ภรี อ่ืนๆ ก็อาจกลายเปน
อุปสรรค ไปไดเหมือนกนั จรงิ อยูการทจี่ ะพดู วา ไมต อ งศกึ ษาเสยี เลยนนั้ ยอ มไมถ กู ตอ งแน แต
การทจ่ี ะพดู วา ตอ งศึกษาพระคัมภีรเ สียใหห มด แลวจงึ จะรูจ กั พทุ ธศาสนา ย่งิ ไมถกู มากข้นึ ไป
อกี หรอื ไมถกู เอาเสยี เลย ทเี ดยี ว ถงึ ธรรมะท่แี ทจ ริง จะถา ยทอดกันไมไดท างเสียง หรือ ทาง
เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 9 of 73
ตัวหนังสือ แตว า วิธีปฏิบัติ เพือ่ ใหธ รรมะปรากฏแกใ จนนั้ เราบอกกลาวกันได ทางเสยี ง หรือ
ทางหนังสือ แตถา จิตใจของเขา เหลาน้นั ไมรูจ กั ความทกุ ขแลว แมจ ะมกี ารถา ยทอดกนั ทาง
เสียง หรอื ทางหนงั สอื สักเทา ไร เขากห็ าอาจจะถอื เอาไดไม ย่ิงเมอ่ื ไปยึดมน่ั ทเ่ี สยี ง หรือ
ตัวหนังสือ เขา ดว ยแลว กจ็ ะย่งิ กลายเปน อปุ สรรค ตอ การท่จี ะเขา ใจพุทธศาสนา มากข้ึนไปอกี
คอื กลายเปนผูเมาตํารา มคี วามรทู วมหวั เอาตัวไมรอด ปรยิ ตั ิไดก ลายเปนงพู ษิ ดงั ทพี่ ระพทุ ธ
องค ไดต รัสไว ชาวตางประเทศ ท่ีมีมนั สมองดี ไดก ลายเปน นกั ปรยิ ัติ ประเภทน้ไี ป เสยี มากตอ
มาก ไมจาํ เปนจะตองกลา วถึง ชาวไทยที่เรยี น ปรยิ ตั ธิ รรม อภิธรรม เพอื่ ประโยชนท างโลกๆ หรือ
ทางวตั ถุ กนั จนเปน ของธรรมดา ไปเสียแลว ถงึ ขนาดเปนกบฏ ไมรคู ณุ พระพทุ ธเจา กม็ มี าก เชน
การกลาววา การไหวพ ระภูมิ ยงั ไมเ สยี การเปน พทุ ธบรษิ ทั เปนตน
เราไมจาํ เปน จะตองศึกษาเรอื่ งราว ทางปรยิ ัติ ทางอภธิ รรม อยางมากมาย เพราะเหตุวา
คมั ภรี เ หลา นนั้ เปนทร่ี วม แหง เร่อื งตา งๆ ทง้ั หมด หลายประเภท หลายแขนงดวยกนั ในบรรดา
เร่อื ง ตง้ั หลายพนั เร่ืองนนั้ มเี ร่ืองท่เี ราควรขวนขวายใหรู เพยี งเรอ่ื งเดยี ว คอื เรื่องความดบั ทกุ ข
โดยแทจริง หรอื อยา งมากทส่ี ดุ กค็ วรขยายออกเพยี ง ๒ เรือ่ ง คือ เรื่องความทุกขอ ันแทจริง
พรอมทง้ั ตนเหตขุ องมัน (อีกเรอ่ื งหนง่ึ กค็ ือ ความมขี น้ึ ไมไดแ หง ความทกุ ขน ้ัน พรอ มทงั้ วธิ ที าํ
เพ่ือใหเปน เชน นน้ั ไดจริง) ถา ผูใดสนใจเฉพาะ ๒ ประเด็นเทา น้แี ลว ชวั่ เวลาไมน าน เขาก็จะเปน
ผรู ูปริยตั ิ ไดท ั้งหมด คอื สามารถเขาถงึ หวั ใจของปริยตั ิ ในลกั ษณะท่ีเพยี งพอ สาํ หรบั จะนาํ ไป
ปฏบิ ตั ิ ใหถงึ ความหมดทกุ ขไ ด
เราตองไมลมื วา ในคร้งั พุทธกาลโนน การศึกษาปริยัติ ในลักษณะทก่ี ลาวนี้ เขาใชเ วลากนั
ไมก่นี าที หรอื ไมกี่วนั คือ ชั่วเวลาท่พี ระพทุ ธองค ทรงซักไซร สอบถาม แลวทรงชีแ้ จง ขอ ธรรมะ
ซ่ึงถูกตรงกับ ความตอ งการแหงจิตใจของเขา เขากส็ ามารถบรรลธุ รรมะ อนั เปน ตวั แทของพทุ ธ
ศาสนาได ในที่นงั่ นน้ั เอง หรือในที่เฉพาะพระพกั ตรของพระพทุ ธเจา น่นั เอง บางคนอาจแยง วา
นัน่ มนั เปน เรื่องทพ่ี ระพทุ ธเจา ทานทรงสอนเอง และเปน เร่ืองในยุคโนน จะนาํ มาใชในยุคนี้
อยา งไรได คําแยง ขอนี้ นับวา มีสว นถกู อยู แตก็มีสวนผดิ หรอื สวนทม่ี องขา มไปเสยี อยูมาก
เหมือนกนั คอื มองขามในสวนทว่ี า ธรรมะไมไดเ กีย่ วเนอื่ งอยูกบั เวลา และไมไดเ นอ่ื งอยทู ่บี ุคคล
ผูส อน ไปเสียท้ังหมด หมายความวา ถา ใครมีตน ทุนทเ่ี พียงพอ เขากส็ ามารถเขา ถงึ ธรรมะได
เพราะไดฟง คาํ พูด แมเพียงบางประโยค
สําหรบั ขอทว่ี า มีตน ทุนมาแลวอยา งเพยี งพอนนั้ หมายความวา เขามคี วามเจนจดั ในดาน
จิตใจมาแลวอยา งเพยี งพอ คอื เขาไดเขาใจชวี ติ นี้มามากแลว ถงึ ข้ันทม่ี องเหน็ ความนาเบ่อื
หนา ย ของการตกอยูใตอํานาจของกิเลส ตอ งทนทรมานอยู อยางซา้ํ ๆ ซากๆ รูส กึ อึดอดั เพราะ
เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 10 of 73
ถูกบีบคัน้ และไรอ สิ รภาพ มองเหน็ ชดั อยวู า ตนยงั ปฏบิ ตั ิผิด ตอ ส่งิ ทัง้ ปวง อยอู ยา งใดอยางหนง่ึ
จงึ เอาชนะกิเลสไมได เขารสู ิ่งตา งๆ มามากแลว ยงั เหลอื อยเู พยี งจุดเดียว ท่เี ขายงั ควา ไมพบ ซึ่ง
ถา ควา พบเมื่อใด ความพนทกุ ขสิ้นเชงิ ก็จะมไี ดโ ดยงา ย และทนั ที เหมือนเราควา พบ สวิตซ
ไฟฟา ในทีม่ ดื ฉันใดก็ฉนั นน้ั
ตนทนุ ดงั ทกี่ ลา วน้ี ไมค อ ยจะมีแกบุคคลแหง ยุคที่มวั เมา สาละวนอยูแต ความ
เจรญิ กา วหนา ในทางวัตถุ คนเหลา นถี้ ูกเสนหของวัตถุ ยดึ ใจเอาไว และลากพาตวั เขาไป ไมมีที่
สิ้นสดุ จงึ ไมประสีประสา ตอ ความจริง ของธรรมชาติ โดยเฉพาะ ในดานจติ ใจ วา มนั มอี ยู
อยา งไร เพราะฉะนนั้ ถงึ แมว า เขาจะเปน คนเฉลยี วฉลาด และมีการศกึ ษาแหง ยุคปจ จุบนั มา
มากแลว สักเพียงใด กย็ งั ไมแนว า เขาเปน ผมู ตี นทนุ พอ ในการท่จี ะเขาถึงธรรมะตามแบบ หรือ
วธิ ี แหงยคุ พระพทุ ธเจา ได พระพทุ ธเจา ทแี่ ทจ ริง ยอ มปรากฏ หลงั จากทธ่ี รรมะปรากฏ แกผนู น้ั
แลวเสมอไป ฉะนน้ั ในกรณีเชน นี้ เราไมตอ งพดู ถงึ พระพุทธเจา กอนกไ็ ด ขอแตใหเ รา พจิ ารณา
อยา งแยบคายท่สี ดุ ในการมองดตู ัวเอง มองดชู วี ิต มองดสู ภาวะ อันแทจริงของชวี ติ ใหร อู ยู
ตามท่ีเปน จรงิ เรอ่ื ยๆไป กพ็ อแลว วนั หนึง่ เรากจ็ ะบรรลถุ ึงธรรมะ ดว ยเครือ่ งกระตนุ เพียงสกั วา
"ไดยินคาํ พดู บางประโยค ของหญงิ ทาสที่คยุ กนั เลนอยูตามบอนาํ้ สาธารณะ" ดงั ทพ่ี ระพทุ ธเจา
ทรงยนื ยนั ไว หรอื ยงิ่ กวา นนั้ กด็ ว ยการไดเ หน็ รูป หรือ ไดยนิ เสียง ของมดหรือแมลง นกหรอื
ตนไม ลมพดั ฯลฯ แลว บรรลุธรรมะถึงท่สี ดุ ได ตามวิธงี า ยๆ เฉพาะตน
ยังมคี วามเขา ใจผิด อีกอยา งหนึง่ ทท่ี าํ คนใหเ ขาใจพทุ ธศาสนาผดิ จนถึงกบั ไมสนใจพุทธ
ศาสนา หรือ สนใจอยา งเสียไมได ขอนี้คอื ความเขาใจทว่ี า พทุ ธศาสนามไี วสาํ หรับ คนท่ีเบื่อ
โลกแลว หรอื เหมาะแก บุคคลท่ลี ะจากสงั คม ไปอยูตามปา ตามเขา ไมเ อาอะไรอยางชาวโลกๆ
อีก ขอ นี้ มผี ลทําใหค นเกิดกลวั ข้นึ ๒ อยา ง คือ กลวั วา จะตองสลัดส่งิ สวยงาม เอรด็ อรอย
สนุกสนาน ในโลกโดยสนิ้ เชงิ อีกอยางหนง่ึ กค็ ือ กลวั ความลําบาก เนอื่ งจาก การทจ่ี ะตอ งไปอยู
ในปา อยางฤษนี น่ั เอง สว นคนที่ไมก ลวั นนั้ กก็ ลบั มีความยดึ ถือบางอยา ง มากขน้ึ ไปอกี คือ
ยดึ ถอื การอยปู า วา เปน สงิ่ จําเปน ที่สุด สาํ หรบั ผจู ะปฏบิ ัติธรรม จะมคี วามสาํ เร็จก็เพราะออกไป
ทาํ กนั ในปาเทา นน้ั การคิดเชน นี้ เปน อุปสรรคขัดขวาง ตอการปฏบิ ตั ิธรรมะ เพราะโดยปกติ คน
ยอ มตดิ อยใู น รสของกามคณุ ในบานในเรอื น หรือ การเปน อยอู ยา งโลกๆ พอไดย ินวา จะตอง
สละสงิ่ เหลา นไ้ี ป กร็ ูส กึ มีอาการ เหมอื นกบั จะพลดั ตกลงไปในเหวลกึ และมดื มดิ มที ั้งความ
เสยี ดาย และ ความกลวั อยูใ นใจ จงึ ไมส ามารถไดร บั ประโยชน จากพทุ ธศาสนา เพราะมคี วาม
ตอ ตา น อยใู นจติ ใจ หรือมคี วามรสู ึกหลีกเล่ยี งอยูแลว
เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 11 of 73
เมื่อคนคดิ กนั วา จะเขาถึงตวั แทของพทุ ธศาสนา ไมไดถาไมไปอยใู นปา จงึ มแี ตเพยี งการ
สอน และการเรยี น เพอื่ ประโยชน แกอาชพี หรอื เพื่อผลทางวตั ถไุ ป จะสอน หรือ จะเรียนกนั สัก
เทา ไรๆ กไ็ มมที างทีจ่ ะเขา ถงึ ตัวแท ของพทุ ธศาสนาได พุทธศาสนาจงึ หมดโอกาส ทจี่ ะทาํ
ประโยชนแ ก บุคคลผูครองเรอื น ไดเต็ม ตามทพ่ี ทุ ธศาสนาอนั แทจ รงิ จะมใี ห บางคนถงึ กับเหมา
หรอื เดาเอาเองวา บคุ คลใด หรือ สาํ นกั ไหน มกี ารสง่ั สอนพทุ ธศาสนา อยางถกู ตองแลว ท่ีนน่ั ก็
จะมีแตก ารชกั ชวนคน ใหทง้ิ เหยา เรอื น บุตรภรรยา สามี ออกไปอยูป า เขาเองไมอยากจะ
เก่ียวขอ งกบั สาํ นักนนั้ ๆ แลว ยงั กดี กนั ลกู หลาน ไมใ หเ ขา ไปเกย่ี วขอ งดว ย เพราะเกรงวา จะถกู
ชักจูง หรือ เกล้ียกลอม ใหไ ปหลงใหลอยูในปา นนั่ เอง พทุ ธศาสนา ไมไ ดม ีหลักเชน นน้ั การทมี่ ี
คาํ กลา วถงึ ภกิ ษุอยูในปา การสรรเสรญิ ประโยชนของปา หรอื แนะใหไ ปทาํ กรรมฐานตามปา นั้น
มไิ ดห มายความวา จะตองไปทนทรมานอยูในปา อยางเดยี ว แตหมายเพียงวา ปาเปน แหลง วา ง
จากการรบกวน ปา ยอมอาํ นวยความสะดวก และสงเสริมการกระทําทางจติ ใจ ถา ใครสามารถ
หาสถานทอ่ี นื่ ซึ่งมิใชป า แตอํานวยประโยชน อยา งเดียวกนั ไดแลว กใ็ ชไ ด
แมภ ิกษใุ นพทุ ธศาสนา กย็ ังเก่ยี วขอ งอยกู บั ชาวบา น มใิ ชอยูปาชนดิ ไมพบใครเลย จนตลอด
ชวี ติ เพราะจะตอ งชว ยเหลือชาวบา น ใหอ ยใู นโลกได โดยไมต องเปนทกุ ข ถา จะพดู โดยสํานวน
อุปมา กก็ ลา วไดว า "ใหรูจ ักกนิ ปลา โดยไมถูกกา ง" พทุ ธศาสนามีประโยชนแ กโลกโดยตรง กค็ อื
ชวยใหช าวโลก ไมต อ งถกู กา งของโลกทม่ิ ตํา ภกิ ษุสงฆท ั้งหมด มีพระพทุ ธเจาเปน ประมขุ กเ็ ปน
ผทู ีเ่ กยี่ วขอ งอยูกบั โลกตลอดเวลา เพือ่ ชว ยเหลือชาวบา น หรือ ศึกษาโลกพรอ มกนั ไปในตวั
จนกระทั่ง รแู จง โลก ซง่ึ เรยี กกันวา "โลกวทิ ู" จนสามารถขจัดความทกุ ข ทางโลกๆ ออกไปได และ
ตองการให ทุกคนเปน อยา งนัน้ ไมใ ชใ หห นโี ลก หรอื พา ยแพแกโลก แตใ หมชี ีวิตอยูใ นโลก อยา ง
มชี ยั ชนะ อยตู ลอดเวลา
ฉะนนั้ การท่ีใครๆ จะมากลา ววา ถา จะปฏิบตั ิธรรมะแลว ตอ งทิง้ บา นเรอื น เปด หนเี ขา ปา ก็
เปน การกลา วตพู ุทธศาสนา ดว ยคาํ เท็จ อยางย่งิ เพราะสถานทใี่ ด ท่มี กี ารพจิ ารณาธรรมะได ท่ี
นัน้ กม็ กี ารศกึ ษา และปฏบิ ตั ิธรรมะได พทุ ธศาสนาไมไ ดสอน ใหค นกลวั หรือ หลบหลกี สงิ่ ตา งๆ
ในโลก และไมไ ดสอนให มวั เมาในสง่ิ เหลานั้น แตสอนใหร ูจัก วิธที จ่ี ะทาํ ตวั ใหม ีอํานาจ อยเู หนือ
สิ่งเหลา นน้ั ฉะนนั้ เปน อนั กลา วไดวา จะเปนใครกต็ าม ยอมสามารถใช พุทธศาสนาเปน
เครอ่ื งมอื ใหตนอยูใ นโลกได โดยไมถ ูกกา งของโลกทม่ิ แทง แตเปน ทนี่ า เสยี ดายวา ผสู นใจพทุ ธ
ศาสนาทงั้ หลาย ไมไดม องเหน็ กันในแงน ี้ แตกลับไปเห็น เปนศาสตร หรอื เปน ปรัชญา หรอื เปน
วชิ าความรู อยา งหนง่ึ ในบรรดาวิชาความรู ทม่ี ีอยูในโลก แลวก็ศกึ ษา เพื่อจะเอาพทุ ธศาสนา
มาทาํ มาหากนิ กนั เมอ่ื ผสู อนเอง ก็ไมร วู า พทุ ธศาสนาประสงคอ ะไร ผูถ กู สอน ก็จะยง่ิ มดื มวั ขน้ึ
ไปอีก ฉะนน้ั จงึ ใครข อปรบั ความเขา ใจผดิ กันเสยี กอ นที่จะศกึ ษาเรอ่ื งอ่นื ๆ ตอ ไป
เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 12 of 73
หมนู กจอ ง มองเทา ใด ไมเหน็ ฟา
ถงึ ฝูงปลา ก็ไมเ หน็ นํา้ เยน็ ใส
ไสเ ดือนมอง ไมเ หน็ ดิน ทก่ี นิ ไป
หนอนกไ็ ม มองเหน็ คูต ทดี่ ดู กนิ
คนทวั่ ไป กไ็ ม มองเหน็ โลก
ตอ งทุกขโ ศก หงุดหงดิ อยนู จิ สนิ
สวนชาวพุทธ ประยุกตธรรม ตามระบิล
เห็นหมดสนิ้ ทกุ สิ่ง ตามจรงิ เอย
เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 13 of 73
บทที่ ๒
พทุ ธศาสนามงุ หมายอะไร
ความมงุ หมายของพทุ ธศาสนานนั้ มกั จะถกู คนสว นมากเขา ใจไปเสียวา มุงหมายจะนาํ คน
ไปเมืองสวรรค จงึ ไดม ีการสอนกนั เปน อยางมาก วา สวรรคเ ปนแดนทคี่ นควรไปใหถงึ สวรรคเ ปน
แดนแหงความสุขทส่ี ดุ เลยมกี ารชกั ชวนกนั ใหปรารถนาสวรรค ปรารถนากามารมณ อนั วเิ ศษ
ในชาติหนา
คนทงั้ หลายทไี่ มร คู วามจริง กห็ ลงใหลสวรรค มุงกนั แตจ ะเอาสวรรค ซง่ึ เปน แดนท่ีตนจะได
เสพยก ามารมณ ตามปรารถนา เปน เมืองทต่ี นจะหาความสําราญ ไดอยางสดุ เหวยี่ ง แบบ
สวรรคนริ นั ดร ของศาสนาอน่ื ๆ ทีเ่ ขาใชส วรรค เปนเคร่ืองลอ ใหคนทาํ ความดี คนจึงไมส นใจ ท่ี
จะดับทุกข กันท่ีน่ี และเด๋ียวนี้ ตามความมงุ หมาย อันแทจ ริง ของพุทธศาสนา น่ีคือ อปุ สรรค อัน
สาํ คัญ และเปน ขอ แรกทส่ี ุด ทที่ าํ ให คนเขา ถึงจดุ มงุ หมายของพทุ ธศาสนาไมได เพราะไปมงุ เอา
ตัณหาอุปาทาน กนั เสยี หมด
ฉะนน้ั เราควรจะตองสั่งสอนกันเสยี ใหม และพุทธบรษิ ัท ควรจะเขาใจเสยี ใหถ กู ตอ งวา
สวรรคดงั ทกี่ ลา ววา เปนเมืองที่จะตอ งไปใหถ งึ นน้ั เปน การกลา วอยางบุคคลาธิษฐาน คือ การ
กลา ว สง่ิ ทเ่ี ปน นามธรรม ใหเปน รปู ธรรม หรือเปน วตั ถขุ น้ึ มา การกลา วเชน นนั้ เปนการกลาวใน
ลกั ษณะโฆษณาชวนเชือ่ ในเบือ้ งตน ทเี่ หมาะสาํ หรับ บคุ คลไมฉลาดท่วั ไป ท่ยี งั ไมม สี ติปญ ญา
มากพอ ท่จี ะเขาใจถงึ ความหมาย อนั แทจริงของพทุ ธศาสนาได แมคําวา "นพิ พาน" ซึ่งหมายถงึ
การดบั ความทุกข ก็ยังกลายเปนเมืองแกว หรอื นครแหงความไมต าย มีลักษณะอยา งเดียวกนั
กบั เทยี นไท หรือ สขุ าวดี ของพวกอาซมิ้ ตามโรงเจทว่ั ไป สขุ าวดี นน้ั ตามความหมายอันแทจ รงิ
กม็ ไิ ดหมายความดงั ทพี่ วกอาซมิ้ เขา ใจ เชน เดยี วกนั แตมีความหมายถงึ นพิ พาน คือ ความวา ง
จากกเิ ลส สวา งจากทุกข มไิ ดห มายถงึ บา นเมืองอนั สวยงาม ทางทศิ ตะวนั ตก ซงึ่ มีพระพุทธเจา
ช่ือ อมติ าภะ ประทับอยูเ ปน ประธาน ทีใ่ ครๆ ไปอยทู ี่นน่ั แลวกไ็ ดร บั ความพอใจทกุ อยา ง ตามท่ี
ตนหวงั เพราะวาแวดลอมไปดว ยสิง่ สวยงาม และรน่ื รมยทส่ี ดุ ทมี่ นษุ ย หรอื เทวดา จะมีได นี่
เปนการกลา วอยางบุคคลาธษิ ฐาน ทงั้ สน้ิ
สวนพวกนกิ ายเซ็น ไมย อมเช่ือวา อมิตาภะ เปน เชน นน้ั แตไดเ อาคําวา อมติ าภะ นน้ั มาเปน
ช่อื ของจติ เดมิ แท อยา งท่ที า นเวย หลา งเรยี ก หรือ เอามาเปน ช่ือของ ความวา ง อยางทท่ี า นฮวง
โปเรียก เมอื่ เปนดงั น้ี อมิตาภะ หรือ สุขาวดี ของพวกอาซิม้ ตามโรงเจ กก็ ลายเปน ของเดก็ เลน
หรือของนา หวั เราะเยาะ สําหรับคนฉลาดไป
เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 14 of 73
ฉะนนั้ เมือ่ ถามวา พทุ ธศาสนา มคี วามมงุ หมายอยา งไร กค็ วรจะตอบวา มงุ หมายจะแกไข
ปญ หาชวี ิตประจาํ วนั ของคนทกุ คนในโลกนี้ เพ่อื ใหมีชวี ติ อยใู นโลกนี้ โดยไมมีความทุกขเลย พูด
อยา งตรงๆ สนั้ ๆ กว็ า ใหอ ยูในกองทุกข โดยไมต อ งเปนทุกข หรอื พดู โดยอุปมากว็ า อยูในโลก
โดยไมถกู กา งของโลก หรอื อยใู นโลก ทา มกลางเตาหลอมเหล็กอนั ใหญ ที่กาํ ลงั ลกุ โชนอยู แต
กลบั มีความรสู กึ เยอื กเย็นทสี่ ดุ ดงั นี้ ขอสรุปวา พทุ ธศาสนา มุงหมายทจ่ี ะขจดั ความทกุ ข ใหหมด
ไปจากคน ทน่ี ่ี และ เด๋ยี วน้ี หาใชม ุง หมาย จะพาคนไปสวรรค อันไมรกู นั วา อยทู ไ่ี หน มีจรงิ
หรอื ไม และจะถงึ ได หลังจากตายแลว หรอื ในชาตติ อ ๆไป จริงหรือไม เพราะไมมีใครพสิ ูจนไ ด
นอกจากการกลาวกนั มาอยา งปรําปรา แลว กย็ อมเชอ่ื กนั ไป โดยไมใ ชเ หตผุ ล จนเปน ความงม
งาย ไปอกี อยา งหนงึ่
บางคนอาจจะแยงวา คาํ สอนของพทุ ธศาสนา มอี ยูเปน ชั้นๆ ความมงุ หมายกค็ วรจะมเี ปน
ชั้นๆ เชน ใหม คี วามเจรญิ ในโลกน้ี แลวมีความเจรญิ ในโลกหนา แลว จงึ ถงึ ความเจรญิ อยา งเหนอื
โลก ดงั ทช่ี อบพดู กันวา มนษุ ยสมบตั ิ สวรรคสมบตั ิ และ นพิ พานสมบตั ิ ทเ่ี ปน เชน น้ี ก็เพราะวา
เขาเหลา นนั้ ไมทราบวา สมบตั ทิ ้งั ๓ น้นั เปน เพยี งระดบั ตา งๆ ทีต่ อ งลถุ งึ ใหไดในโลกนี้ และ
เดย๋ี วนี้ หรอื ในชาตนิ น้ี ่นั เอง ไมใ ชเ อาสวรรค ตอเมื่อตายแลว และเอานพิ พาน หลงั จากนน้ั ไปอกี
ไมร ูกสี่ ิบชาติ
ตามความหมายทถี่ ูกตองนน้ั มนษุ ยสมบตั ิ หมายถงึ การไดป ระโยชน อยา งมนษุ ยธ รรมดา
สามัญ จะลถุ งึ ได ดวยการเอาเหงอื่ ไคลเขา แลก จนเปนอยูอยางผาสกุ ชนดิ ทีค่ นธรรมดาสามญั
จะพงึ เปนอยูกนั ทวั่ ไป สวรรคส มบัติ นนั้ หมายถงึ ประโยชนท่คี นมีสตปิ ญ ญา มบี ญุ มอี าํ นาจ
วาสนา เปนพเิ ศษ จะพงึ ถอื เอาได โดยไมตอ งเอาเหง่ือไคลเขา แลก กย็ ังมชี ีวติ รงุ เรืองอยไู ด
ทามกลางทรพั ยสมบัติ เกยี รตยิ ศ ชอ่ื เสยี ง และ ความเตม็ เปย มทางกามคุณ สวน นพิ พานสมบตั ิ
น้นั หมายถงึ การไดค วามสงบเยน็ เพราะไมถ ูก ราคะ โทสะ โมหะ เบียดเบยี น จัดเปน ประโยชน
ชนิดท่ีคนสองพวกขา งตน ไมอ าจจะไดรบั เพราะเขาเหลา นนั้ ยงั จะตอ งเรารอน อยูดว ยพษิ ราย
ของราคะโทสะ โมหะ ไมอ ยา งใด กอ็ ยา งหนึ่ง เปนธรรมดา แตถึงกระนนั้ กค็ วรพจิ ารณาใหเหน็
วา สมบัตทิ งั้ ๓ นี้ เปน เพยี งประโยชนท ีอ่ ยใู นระดบั หรือ ชนั้ ตางๆ กนั ทีค่ นเรา ควรจะพยายาม
เขาถงึ ใหไ ดทัง้ หมด ทนี่ ่ี และเด๋ียวน้ี คอื ในเวลาปจ จบุ นั ทนั ตาเห็น นจี้ ึงจะไดช่อื วา ไดรบั สงิ่ ซ่งึ
พทุ ธศาสนาไดม ีไวสาํ หรับมอบใหแ ก คนทกุ คน โดยเฉพาะอยา งยงิ่ กค็ อื คนที่ไมไรป ญ ญา
เสยี เลย
ทีนี้ ก็มาถงึ ปญ หา ท่ีจะตอ งพิจารณากนั อยา งรอบคอบทสี่ ุดวา ในบรรดาประโยชน ทง้ั ๓
คือ มนุษยสมบัติ, สวรรคส มบัติ และนพิ พานสมบตั ิ นนั้ ประโยชนอนั ไหนเปน ประโยชน ท่ีมงุ
เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 15 of 73
หมายอยา งแทจ ริง ของพทุ ธศาสนา ประโยชนอนั ไหน เปน เหมือน ปลาทีม่ กี าง ประโยชนอนั ไหน
เปน เหมอื นปลาไมม ีกา ง และอะไรเปน เครือ่ งทจี่ ะชว ยใหส ามารถกินปลามกี า งได โดยไมต องถูก
กางเลยอกี ดว ย ในขอ นี้ แมค นท่ีมีสติปญ ญาอยูบา งแลว กย็ อ มจะมองเหน็ ไดดวยตนเองวา
มนุษยสมบัติ และสวรรคสมบตั นิ นั้ เปน เหมือนปลาท่ีมกี า ง อยางมองเหน็ บา ง หรอื อยางซอ น
เรน อยา งหยาบ หรอื อยา งละเอยี ด โดยสมควรแก ชนั้ เชิงของมนั ทงั้ นนั้ คนตองหัวเราะ และ
รอ งไห สลบั กนั ไป อยา งไมร จู ักส้นิ สดุ ก็เพราะ มนุษยสมบัติ และสวรรคส มบัติ ตอ งทนทกุ ข
อยางซา้ํ ซาก ก็เพราะ สมบตั ิทง้ั สองนี้ ตองเปนทกุ ขโ ดยตรง หรอื โดยประจกั ษช ดั ในเม่อื
แสวงหามนั มา และตองเปน ทกุ ข โดยออม หรอื โดยเรน ลับ ในเมอ่ื ไดส มตามประสงค หรือ เม่อื
กาํ ลังบริโภคมนั อยู หรอื เมอื่ เก็บรกั ษามนั ไวกต็ าม ตลอดเวลาทเี่ ขายงั ไมไดรบั สมบัตอิ ันที่ ๓ อยู
เพียงใด เขาจะตอ งทนทกุ ข อยูอยางซํ้าๆ ซากๆ อยูใ นทา มกลาง ของสง่ิ ทีเ่ ขาหลงสาํ คญั ผดิ วา
เปนความสขุ ตอ เมอื่ ไดส มบตั ิอนั ท่ี ๓ เขา มา เมอ่ื นน้ั แหละ เขาจะสามารถปลดเปลอ้ื ง พษิ สง
หรอื ความบีบคั้น ของสมบตั ทิ ัง้ ๒ ประเภทขางตน ออกไปได มชี วี ติ อยูอ ยางอสิ ระ เหนอื การบบี
คน้ั ของสมบตั ทิ ั้ง ๒ น้นั อกี ตอไป นีแ่ หละ จงพิจารณาดดู วยตนเองเถดิ วา การไดมาซึ่งสมบตั ิ
ชนดิ ไหน จงึ จะนบั วา เปน การไดท่ดี ี การไดสมบตั ชิ นดิ ไหน จะทาํ ใหเ ราพบความมงุ หมาย อนั
แทจริงของพทุ ธศาสนา
ความเขา ใจผดิ ทเ่ี ปน อุปสรรคแกก ารจะเขา ใจพุทธศาสนา มอี ยอู ีกอยา งหนงึ่ คอื คนมกั
เขา ใจกันวา หลักพระพทุ ธศาสนา อนั วา ดวย สญุ ญตา หรือ อนตั ตา นั้น ไมม ีความมุงหมาย
หรือ ไมอ าจนาํ มาใชก ับคนธรรมดาสามญั ทว่ั ไป ใชไดแ ตผ ปู ฏิบตั ธิ รรม ในชนั้ สูงทอ่ี ยตู ามถา้ํ
ตามปา หรอื เปนนกั บวชท่มี งุ หมาย จะบรรลมุ รรคผลนพิ พาน โดยเร็วเทา นน้ั แลวก็เกดิ บญั ญัติ
กนั เองข้ึนใหมว า จะตอ งมหี ลักพทุ ธศาสนาอกี ระดบั หนง่ึ ซ่ึงเหมาะสําหรบั คนทัว่ ไป ทเ่ี ปน
ฆราวาสอยูตามบานเรอื น และคนพวกนีเ้ องท่ยี ดึ ม่นั ในคําวา มนษุ ยสมบตั ิ สวรรคส มบตั ิ แลวจดั
ตวั เองหรือสอนคนอนื่ ๆ ใหม งุ หมายเพยี งมนุษยสมบตั ิ และสวรรคส มบัตเิ ทานนั้ สวนนิพพาน
สมบตั ิ เขาจัดไวเ ปนสง่ิ สุดวสิ ยั ของคนทั่วไป เขาจงึ ไมเ กย่ี วขอ ง แมดว ยการกลา วถงึ คนพวกนี้
แหละ จงึ หา งไกลตอ การไดย นิ ไดฟ ง หลกั พระพทุ ธศาสนาอนั แทจ รงิ กลา วคือ เรื่องสญุ ญตา
และ อนัตตา คงสาละวนกนั อยแู ตเรอ่ื งทาํ บุญ ใหท าน ชนิดทจี่ ะทาํ ใหตนเปน ผูม โี ชคดีในชาติน้ี
แลวไปเกดิ สวยเกิดรวยในชาตหิ นา และไดครอบครองสวรรค หรอื วมิ านในทีส่ ุด วนเวยี นพูดกนั
ในเร่อื งน้ี ไมว า ในหมคู นปญญาออ น หรือ นักปราชญ เร่อื งนพิ พานสมบตั ิ จึงเปน เรือ่ งทน่ี ากลัว
ไป เพราะรสู กึ คลา ยกับวา การบรรลุนพิ พานนน้ั เหมอื นกบั การถกู จับโยนลงไปในเหว อันเวง้ิ
วาง ไมม ที ่สี ้ินสุด แตจ ะปด ทง้ิ เสยี ทีเดียวกไ็ มได เพราะเขาวาเปน สง่ิ สูงสดุ ในพระพุทธศาสนา จงึ
ไดแ ตเพยี งหา มปรามกนั ไมใ หพดู ถงึ แมใ นหมบู ุคคลช้นั เถระ หรอื สมภารเจา วดั พวกชาวบา น
เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 16 of 73
ทั่วไป จงึ หา งไกลจากการไดย นิ ไดฟง เรือ่ งซ่ึงเปน ตวั แทของพทุ ธศาสนา หรือ หลกั พทุ ธศาสนา
อันแทจ ริง ทพี่ ระพุทธองคท รงมุง หมายเอาไว หรือมไี ว เพอื่ ประโยชนแกค นทกุ คน และทุกชนั้
สถานการณด า นศาสนาของประเทศไทย กําลงั เปน อยูอยา งน้ี แลวจะเรยี กวา เปนการบวชเพอ่ื
สบื พระศาสนาไดอ ยา งไรกนั เลา
เรือ่ งสญุ ญตาน้ี เปน เรือ่ งของฆราวาส จะตอ งสนใจ ทราบไดจากบาลตี อนหนึง่ แหง สังยตุ ต
นกิ ายและทอ่ี น่ื ๆ ทต่ี รงกัน ขอ ความในบาลีนนั้ มใี จความท่พี อจะสรุปสั้นๆ ไดว า พวกชาวบาน ที่
มีอันจะกนิ กลมุ หนงึ่ ไดเ ขาไปเผา พระผมู พี ระภาคเจา แลว กราบทลู ใหท รงทราบ ตามสภาพท่ี
เปน จริงวา พวกเขาเปน ผูครองบานเรือน อดั แอดว ยบตุ รภรรยา ลูบไลก ระแจะจนั ทนหอม
ประกอบการงานอยอู ยา งสามัญชนทว่ั ไป ขอใหพ ระองคท รงแสดงขอธรรมะทท่ี รงเหน็ วา เปน
ประโยชนเ ก้อื กลู แกเขา ผอู ยใู นสภาพเชน นั้น พระพทุ ธองค จึงสอนเรอื่ งสญุ ญตา ซ่งึ เปนตัวแท
ของพุทธศาสนา แกคนเหลา นน้ั โดยทรงเหน็ วา เปน ประโยชนเ กอ้ื กลู แกช นเหลา นน้ั โดยตรง
และทรงยนื ยนั ใหเขาถือเปน หลกั ไวประจาํ ใจวา เร่ืองสญุ ญตานัน้ เปน เรอื่ งซงึ่ พระพทุ ธเจา สอน
สวนเรื่องอนั สวยสดงดงามตา งๆ นอกไปจากนนั้ เปน เร่ืองของคนชนั้ หลังสอน พวกชาวบา น
เหลา นั้นไดท ลู แยง ขึน้ วา เร่อื งสุญญตายงั สงู เกนิ ไป ขอใหท รงแสดงเร่ืองท่ีต่าํ ลงมา พระองคจ ึงได
แสดงเรอ่ื งการเตรยี มตัว เพ่ือความเปน ผูบ รรลถุ งึ กระแสแหงนิพพาน ซงึ่ ไดแ ก ขอ ปฏบิ ัตเิ พ่ือ
บรรลถุ งึ ความเปนพระโสดาบัน มใี จความโดยสรุปคือ มศี รทั ธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ
อยา งไมง อนแงน คลอนแคลน กับมีศลี ชนดิ ทพ่ี ระอรยิ เจา ชอบใจ คอื เปนศีลชนิดที่ผนู น้ั เอง กต็ ิ
เตียนตนเองไมไ ด และการไมมีความเชอื่ หรือปฏบิ ัติอยางงมงาย ในเรอ่ื งตางๆ พวกชาวบา น
เหลา นนั้ กแ็ สดงความพอใจ และกราบทลู วา ตนไดย ึดมนั่ อยใู นหลักปฏบิ ัตเิ หลา นนั้ อยแู ลว
เร่อื งน้ี เปน เรือ่ งทจ่ี ะตอ งพจิ ารณากันอยา งละเอยี ด เพ่ือความเขา ใจถึงความมงุ หมาย อัน
แทจ รงิ ของหลกั พระพทุ ธศาสนา พระองค ทรงแสดงเรอ่ื งสุญญตา แกบ คุ คลผคู รองเรือน เพราะ
เปนประโยชน เกื้อกลู แกเขาตามท่เี ขาขอรอ งตรงๆ พระพุทธองคป ระสงคจ ะใหพ วกฆราวาส รับ
เอาเรอ่ื งสญุ ญตา ไปใชใหเปน ประโยชน เพราะมนั ไมม เี รอ่ื งอื่น ที่ดกี วา นจ้ี ริงๆ สว นเรอื่ งที่
ลดหลั่นลงไป จากเรื่องสญุ ญตาน้ัน ก็ไดแ ก ขอปฏบิ ัติท่ที าํ ใหเ ปน พระโสดาบันนน่ั เอง เร่ืองนีก้ ็
เปนเรื่องเตรียมตัวสาํ หรบั การบรรลนุ พิ พานโดยตรง จึงนบั วา เปนเร่อื งเขา ถงึ สุญญตาโดย
ทางออมนนั่ เอง หาใชเ ปน เรอ่ื งทาํ บญุ ใหท าน ดวยการมวั เมาในมนุษยสมบตั ิ และสวรรคส มบตั ิ
อยา งไมมที ่สี น้ิ สดุ แตกไ็ มว ายทพี่ วกนักอธิบายธรรมะในช้ันหลงั ๆ จะดงึ เอาเรอื่ งเหลา น้ี มา
เก่ียวของกับสวรรคสมบัตจิ นได และทาํ ไปในลกั ษณะทเ่ี ปนการหลอก โฆษณาชวนเชอ่ื ยง่ิ ขนึ้ ทุก
ที จงึ ทาํ ใหเรือ่ งทเ่ี ปน บนั ไดขั้นตนของนพิ พาน หรือของสญุ ญตา ตองสลวั หรอื ลบั เลอื นไปอีก
จนพวกเราสมยั นี้ ไมม ีโอกาสทจี่ ะฟงเร่อื งสญุ ญตา หรือนําเอาเรอื่ งสญุ ญตา อันเปน ตวั แทข อง
เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 17 of 73
พระพทุ ธศาสนา มาใชในการบําบดั ทกุ ขป ระจาํ วนั อนั เปน ความประสงคท่ีแทจ รงิ ของ
พระพทุ ธเจา พวกเราจึงตอ งเหนิ หางจากหัวใจของพทุ ธศาสนา ออกไปมากขนึ้ ทกุ วนั ๆ เพราะนัก
สอนนกั อธบิ ายสมัยนี้เอง
การทพี่ ระพทุ ธองค ทรงแสดงเรอ่ื งสญุ ญตา แกฆ ราวาส ก็ตอ งมคี วามหมายวา ปญ หา
ยงุ ยากตางๆ ของฆราวาส ตองแกด วยหลักสุญญตา ความเปน ไปในชวี ติ ประจําวนั ของฆราวาส
จะตอ งถกู ควบคมุ อยดู วยความเขา ใจถูกตอง ในเรือ่ งอันเกย่ี วกับจิตวา ง เขาจะทําอะไรไมผ ดิ ไม
เปนทกุ ขขึน้ มา กเ็ พราะมีความรู ในเรื่องสญุ ญตา มาคอยกํากบั จติ ใจ ถา ผิดไปจากนแ้ี ลว
ฆราวาสก็คือ พวกทจี่ ะตอ งหวั เราะ และรอ งไห สลับกนั ไป ไมมีทส่ี น้ิ สดุ และ เพอื่ ที่จะใหฆราวาส
ไมต องเปน เชน นน้ั พระองคจ งึ ไดส อนเรอ่ื งสุญญตา แกฆราวาสในฐานที่ "เปนสง่ิ ทเี่ ปน ประโยชน
เก้ือกลู แกฆราวาส" ดงั ทกี่ ลา วแลว หลักพุทธศาสนาอนั สงู สดุ นนั้ มเี รอื่ งเดยี ว คือ เร่ืองสุญญตา
หรอื จิตวา ง ใชไ ดแ มแตพ วกฆราวาสทว่ั ไป และมุงหมายทจ่ี ะดบั ทกุ ขข องฆราวาสโดยตรง เพอ่ื
ฆราวาสผอู ยทู า มกลางความทุกขน ้ี จะไดก ลายเปน บุคคลท่ีความทกุ ขแปดเปอนไมไ ด ถาเปน
นพิ พาน กเ็ ปน ที่ความทกุ ขแ ปดเปอนไมไ ดนัน่ เอง ถาแปดเปอนไมไดเ ลย จนเปน การเดด็ ขาด
และถาวร ก็เรยี กวา เปน ผบู รรลุพระนิพพาน เปน พระอรหนั ต, เปนแตเพียงการแปดเปอ นที่
นอยลงมา กเ็ ปนการบรรลพุ ระนพิ พาน ในขน้ั ทเ่ี ปนพระอริยบคุ คล รองๆ ลงมา
"โสตาปตตยิ งั คะ" กค็ อื ศรัทธาแนน แฟน ในพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ และความมอี ริยกนั
ตศีล รวมทง้ั ๔ อยางน้ี เปนการเตรียมตวั เพอื่ ลสุ ญุ ญตาหรอื นพิ พาน ศรัทธา (ความเชือ่ ) จะยงั
ไมแนน แฟน แทจ รงิ จนกวา จะไดม องเหน็ วา พระพุทธเจา เปนผูตรัสรูเร่อื งสุญญตา คอื เรื่อง
สูงสุดท่ีดับทกุ ขไดจ รงิ และพระธรรมนัน้ ก็เปนเรือ่ งอะไรอน่ื นอกไปจากเรอ่ื งทง้ั หมดของสญุ ญ
ตา ทด่ี ับทกุ ขไดจริง กลา วคอื คาํ สอนและการปฏบิ ตั ิ รวมทั้ง ผลทม่ี ีมาจากความไมย ดึ มน่ั ในสงิ่
ท้ังปวง สวนพระสงฆนนั้ กค็ อื ผูทปี่ ฏบิ ัติ และไดร บั ผลการปฏิบตั เิ ชนนน้ั เม่ือมองเหน็ อยูอยา งน้ี
ศรัทธาจงึ จะแนน แฟนมนั่ คง ไมง อนแงน คลอนแคลน กลาวคือ จะไมเ ลอ่ื มใสในศาสดาอน่ื ๆ ใน
ขอ ส่งั สอนใดๆ และพวกนักบวชใดๆ ท่ไี มก ลา วสอนหรอื ปฏิบตั เิ รอื่ งสุญญตา หรือ นพิ พาน
สว น "อรยิ กนั ตศลี " นนั้ ก็เหมอื นกนั ศลี ทจ่ี ะบริสุทธห์ิ มดจด ถึงกับถกู จดั เปน "อริยกนั ตะ" คอื
เปนทพี่ อใจของพระอรยิ เจา ได กต็ อ เมื่อศลี นน้ั มีมูลมาจากการเห็น สญุ ญตา เทา นน้ั แมไ มโดย
สน้ิ เชิง ก็ตองโดยบางสว น คอื อยา งนอย จะตองมคี วามเหน็ วา สง่ิ ทง้ั ปวงไมค วรยดึ มนั่ หรอื ยึด
ม่นั ไมไดจ ริงๆ เทา นนั้ เขาจึงจะเปนผไู มมเี จตนา ที่จะทาํ อยา งใดอยา งหนง่ึ ลงไป ท่ีเปน การผิด
ศลี ไมว า จะเปน ศีลเทา ใดขอ ไหนก็ตาม อนง่ึ สขุ เวทนา และส่งิ อันเปนทตี่ ้งั ของสุขเวทนา นานา
ชนิดในโลกนน่ั เอง ท่เี ปนทต่ี งั้ ของความยดึ มน่ั ถอื มนั่ และทําใหค นเราลว งศีล ท้งั ๆทร่ี อู ยู หรือ
เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 18 of 73
ทั้งๆท่ีพยายามจะไมใ หลว ง มันก็ลว งจนได ย่งิ ไปบบี บงั คบั หนกั เขา มันกย็ ิ่งมปี ฏิกิริยามากขน้ึ
แตถ าหากมที างระบายความกดดันอันน้อี อก เสียได ดวยความรู เรอ่ื งสุญญตาอยูเสมอๆ แลว
การรักษาศีลใหบ ริสทุ ธ์ิ ก็จะมไี ดโ ดยงายขึ้น ไมม กี ารฝน หรอื ตอสูอะไรมากมาย ศลี กจ็ ะบรสิ ทุ ธิ์
ถงึ ขนาดเปนทพ่ี อใจ ของพระอรยิ เจาได
ทงั้ หมดน้ี เราจะเหน็ ไดว า โสตาปตติยงั คะ ทงั้ ๔ องคน ้ี แมจะเปน สงิ่ ทีพ่ ระพทุ ธเจา ตรสั เพ่อื
เล่ียงคําแยง ของพวกฆราวาสเหลานน้ั ในเร่อื งความยากเก่ยี วกับสญุ ญตา ก็ยงั ไมพน วงของเร่อื ง
สุญญตา อยนู นั่ เอง ถาจะกลา วอยา งโวหารธรรมดา ก็กลา วไดวา เปน การซอนกล บังคบั ใหรบั
เอาเร่อื งสุญญตา อยา งหลีกเล่ียงไมพน หรอื ในลักษณะทคี่ วามรเู รือ่ งสญุ ญตานนั้ จักตองงอก
งามเบกิ บานออกไปไดใ นอนาคต ในตวั มนั เองโดยแนน อน ถา เขาจะมศี รทั ธาจรงิ มศี ลี จริง ดังท่ี
กลาวมานี้ มันกต็ อ งเปน ศรทั ธา หรอื ศลี ทม่ี ีมลู มาจากสญุ ญตา ไมใชจากความกระหายตอ
สวรรค เชน อยากเปน เทวดา มวี มิ านทอง มีนางฟา ๕๐๐ เปน บรวิ าร หรืออะไรๆ ทีเ่ ขาลอๆ ให
คนหลงกนั อยทู ั่วไป แมจ ะเปน ศรัทธา หรอื ศลี อยางรนุ แรงเพียงใด ก็หาเปน สง่ิ ที่แนน แฟน มัน่ คง
หรอื เปน ทพ่ี อใจของพระอรยิ เจา ไม เพราะฉะนนั้ เมื่อจะมศี รทั ธาและมีศลี อยา งมนั่ คงได มนั ก็
ตองเปน ศรัทธา และศีล ทม่ี มี ลู มาจากสิ่งอ่ืนนนั้ จะตอ งลมลกุ คลกุ คลาน อยเู สมอไป ครัง้ ถกู
หลอกถกู ลอ หนกั เขา เจา ตัวกจ็ ะเบือ่ หนา ย ตอ ศรทั ธา และศลี เชนนน้ั ขน้ึ มาเอง จักเรมิ่ ใช
ปญญาของตน จนมาพบศรทั ธาและศีลทม่ี รี าก คือ สุญญตาเขา วนั หนึง่ จนได ฉะนน้ั ถา จะกลา ว
อยา งสาํ นวนชาวบา น เราก็อาจจะกลา วไดว า พระพุทธองคไดท รงวางกับดกั ลว งหนา ไวดีแลว
จนกระท่ังวา ทาํ อยา งไรเสีย พวกชาวบา นเหลา น้ัน ก็ไมห ลดุ รอดไปจากวงของเรอ่ื งสญุ ญตาได
ทง้ั ๆท่ีเขากาํ ลงั ปฏเิ สธ ไมย อมรับเร่อื งสุญญตาอยูอ ยางแข็งขนั ก็ตาม
สรปุ ความวา ในหมคู นทมี่ ีปญ ญาแลว โดยธรรมชาตทิ ีแ่ ทจ ริงนนั้ เขายอ มตอ งการธรรมะ
หรอื หลกั แหง พุทธศาสนาอนั เดยี วกนั คือ การระงบั ดับทกุ ข เพอื่ ใหเกดิ ความสุขดวยกนั ทุกคน
เพียงแตล ดหลนั่ กนั ตามสติปญ ญาเทา นน้ั เอง กลา วคอื เร่ืองสุญญตา ในระดบั หนง่ึ ทเ่ี หมาะสม
แกบ ุคคลเหลา หนง่ึ ๆ แตข อ เสียดายอยา งยิ่งก็คอื คนเหลานนั้ ไมเคยถกู สอน ใหต อ งการสิ่งทจี่ ะ
มาดับทกุ ขต ามฐานะของตนๆ ใหเ หมาะสมกนั กับความทกุ ขของตนๆ แตเ ขาไดถ กู สอนใ หแ ลน
เตลิดออกไป นอกลนู อกทาง คอื ไปตองการความสุข ชนดิ ใดชนดิ หนงึ่ ตามทเี่ ขาจะชอบนึกฝน
เอาเอง เม่อื เปน เชน น้ี กต็ องไปติดบว ง ของการเมาสวรรค เมาบญุ ทนี่ กั สอนศาสนาบางคน เขา
โฆษณากนั อยู ทุกคาํ่ เชา ฉะนัน้ ส่งิ ที่ชาวบา นตองการ จึงไมใ ชความดบั ทุกข หรือ ธรรมะท่ี
อาจจะดับทกุ ข ตามทพี่ ทุ ธศาสนาจะมใี ห แตม นั ไดก ลายเปน วา เขาตอ งการความสขุ ตามทเี่ ขา
คาดฝน เอาเอง สรา งวมิ านในอากาศ ฝน หวานๆ ตามความพอใจของเขาเอง ไปเสยี แลว
เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 19 of 73
ขอ นี้เอง เปน ขอ ทท่ี าํ ใหท ายกทายกิ า หรอื พทุ ธบริษัทท้ังหลาย เกดิ มคี วามมงุ หมายที่จะได
อะไรๆ เกินไปจากท่พี ทุ ธศาสนาจะใหได ผิดไปจากความมุงหมายเดมิ แทข องพระพุทธศาสนา
เพราะจบั หลักกนั ไมไ ด วา พระพทุ ธศาสนา มงุ หมายจะอาํ นวยประโยชนอ ันแทจ รงิ อะไรใหแ ก
มนุษย และหลักธรรมท่จี ะเปนเคร่อื งมือเชนวา นนั้ คอื อะไร ฉะนนั้ ขอเนน อยางสรุปสนั้ ๆ วา
พระพทุ ธศาสนา มงุ หมายจะใหคนทัง้ หลาย อยูไดทา มกลางของทุกข โดยไมต องเปน
ทกุ ข เพราะอาศยั ความรู และการปฏบิ ัติ ในเรอ่ื งสุญญตา หรือ ความวา งจากตวั ตน นนั่ เอง หา
ใชเพือ่ ความมัวเมาในสวรรคว ิมาน อยา งทม่ี ีการโฆษณา ชวนเช่อื อยตู ามวดั วาอารามตางๆ
ทัว่ ไปไม และขอใหพ วกเราเขา มารูจกั กนั เสยี ใหม นบั ตงั้ แตบ ดั นเี้ ปนตน ไป เพื่อมใิ หเ สียเวลา
(โปรดอา นหนงั สือ "วธิ ีระงบั ดับทกุ ข" ของทา นพทุ ธทาส)
ปญ หาตอไปกค็ อื วา ทาํ ไมพวกเราในสมัยน้ี จึงไดร บั ประโยชนจากพุทธศาสนา นอยเกินไป
ในเมือ่ เทยี บกบั ประโยชนท งั้ หมดทพ่ี ทุ ธศาสนาไดมีให ไมมสี ันตภิ าพอนั พอควรในหมูมนุษย ซง่ึ
ถอื กนั วา เปน สัตวสงู เหนือสัตวทง้ั ปวง จนถงึ กับกลา วไดวา สนั ตภิ าพมีในหมูสตั วเ ดยี รฉาน
ท่ัวไป มากกวา ท่ีมอี ยใู น หมมู นุษย เพือ่ จะตอบปญหานี้ เราควรจะทาํ ความเขา ใจเสียกอ นวา
คนทเ่ี ขา มาเกยี่ วขอ งกับศาสนานั้น มอี ยสู องประเภทใหญๆ คอื เขา มาเกยี่ วขอ งเพียงสกั วา ทาํ
ตามบรรพบุรษุ หรือตามประเพณี อยา งหนง่ึ กับอกี อยางหนงึ่ นน้ั เปน เพราะมีความตอ งการใน
ใจ อยางใดอยา งหนง่ึ จากศาสนา
สาํ หรับอยา งแรก คือ การถือศาสนา สกั วาทําตามบรรพบรุ ุษ หรอื ตามประเพณีนน้ั ไมม ผี ล
เปนชน้ิ เปน อนั สาํ หรบั ตัวบุคคลนั้นเอง สวนการถอื ศาสนาเพราะมีความมงุ หมายอยางใดอยา ง
หนง่ึ นนั้ ก็ยงั แบง ออกเปน อกี ๒ ประเภท คอื ประเภทท่มี ีเจตนาอนั บริสทุ ธิ์ คอื เขา มาเก่ียวขอ ง
กับศาสนา เพอ่ื อยากพน กเิ ลส พน ความทกุ ขใ จทง้ั ปวง คนพวกนี้ เปน พวกทน่ี า จะไดรบั การ
สนับสนนุ ชว ยเหลอื เทา ท่ีจะชว ยเขาได สวนอกี ประเภทหนง่ึ นนั้ ไมม เี จตนาอยา งนน้ั เขามา ก็
เพราะหวงั จะเอาอะไรโงๆ จากพระศาสนา เชน เอาเครือ่ งลางของขลงั ของศักดิ์สทิ ธ์ิ อยากใหมี
โชค อยากร่ํารวย ใหไ ดช ยั ชนะ หรือคลาดแคลว จากศตั รู จากภูตผปี ศาจ และโรคภยั ไขเ จ็บ แลว
กเ็ ทย่ี วหาวตั ถศุ ักด์ิสิทธิ์มาแขวนไวท ีค่ อ จนคอแทบจะทนไมไ หว โดยไมมีความรเู ลยวา นน่ั คือ
อะไร มีมลู มาจากอะไร และเพือ่ อะไร ส่ิงทต่ี นคิดวา เปน ของขลัง และศกั ดสิ์ ทิ ธิ์ นน้ั กลับ
กลายเปน ขา ศกึ แกตนเอง ปด บงั ปญ ญาของตัว
บางพวกกเ็ ขา มาบวชเพ่อื หาความรใู นทางศาสนา เพื่อจะไดวิชาความรูนัน้ เปนเครอ่ื งมอื ยงั
ชพี หาประโยชนท างวตั ถเุ พอ่ื ตัวเอง เปน การเพิ่มกิเลสขน้ึ อีกอยา งเดยี วกัน ในท่สี ุด กไ็ มอาจ
เขาถงึ แกน ของศาสนาได เพราะไมม เี จตนจ ํานงคจะเขา ใหถ งึ ไมม ีใจรกั ทจ่ี ะเขาใหถ ึง หรือเหน็
เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 20 of 73
วา สจั ธรรมไมก อ ประโยชนเปนเงนิ เปน ทองทนั ตาเห็น ฉะนน้ั การทช่ี าวบา นลงทนุ เพอ่ื บาํ รุง
กจิ การพระศาสนา อนั ไมน อ ยกวา รอยลา น พนั ลา นบาท จึงไมไดรบั ผล ตามความมงุ หมายของ
ศาสนา ไมค ุม คาเงนิ ท่ใี ชลงทนุ ไป เพราะเขาไมต อ งการคําสอนท่ีแท ของพระพทุ ธเจา มคี วาม
ตอ งการ แตส ่ิงทไี่ มตรงจุดหมายของพระองค
จริงอยู ความกลวั ยอมเปน มูลเหตอุ นั แทจ รงิ ของการเกดิ ขน้ึ มา และการตง้ั อยูไ ด ของ
ศาสนาทงั้ ปวง พวกทกี่ ลวั อาํ นาจอนั ล้ีลับ ของผสี างเทวดา รวมทง้ั พระเปน เจา กต็ องการศาสนา
ไว เพยี งเพ่อื จะไดเ ปนท่โี ปรดปราน ของผสี างเทวดา และพระผูเปน เจา ทัง้ ๆ ท่ีสง่ิ ทงั้ หมดเหลา น้ี
ก็เปน เพยี งอวชิ ชาความโง อยา งหนง่ึ เทานน้ั พวกทก่ี ลวั ยากจน กลวั โชคราย กห็ นั เขา มาหา
ศาสนา เพือ่ เปน เครื่องมือ ชว ยขจัดความกลวั เหลา นน้ั สว นความกลวั ของพทุ ธบริษทั ที่แทจ ริง
นัน้ คอื กลัวความทุกข หรือ กลวั กิเลส ของตวั เอง โดยเหน็ วา เปน ภัยทใ่ี หญห ลวง ยง่ิ กวา ภยั ใดๆ
หมด พอเกดิ มา ก็ไดประสบภยั อันน้ีแลว และประสบอยตู อไป จนตลอดชีวติ จงึ ตอ งการ
เครื่องมอื กาํ จดั มันเสยี เพราะเหตนุ ้ีเอง พทุ ธบรษิ ัทที่แท ท่ีหวังจะไดรับผลจากพระพทุ ธศาสนา
โดยตรง จงึ ตอ งรีบสะสางปญ หาขอ นี้ โดยมคี วามตอ งการใหถูกตรง ตามจุดมุงหมายของพทุ ธ
ศาสนา แลว จะประสบส่ิงทเ่ี ราตองการ กลา วคอื สนั ตภิ าพอนั ถาวร ของเอกชน และสงั คม โดย
ไมต อ งสงสยั เลย และนบั วาไดร บั สงิ่ สงู สุด ทพี่ ทุ ธศาสนาเจตนาจะให กลาทา ใหพ ิสจู นไดวา ไมม ี
อะไรท่ีสูงยง่ิ ไปกวา นี้ ในการท่จี ะสรางสนั ติภาพ ใหแ กตนเอง และทกุ ๆ คนในโลก
เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 21 of 73
บทท่ี ๓
ปมเดียวที่ควรแก
มีความคิดเขา ใจผิดในหมูคนทไ่ี มรจู กั พทุ ธศาสนาจริง วา หลกั ของพระพทุ ธศาสนา เปนไป
ในทางท่จี ะทําใหค นสน้ิ หวงั หรือ เห็นโลกไปในแงร ายเสยี หมด ทาํ ใหค นฟง แลวเศรา สรอ ยไมเบิก
บาน เพราะพทุ ธศาสนาพูดถงึ เรื่องสญุ ญตา (ความวา ง) อนัตตา(ความไมม ตี ัวตน) หรือ บอกวา
สิ่งทงั้ ปวงเปน ทกุ ข ไมม ีอะไรเปน สาระแกน สาร ท่คี นควรจะเขาไปยดึ มน่ั ถอื มนั่ แมแ ตเรอื่ งสวรรค
ก็ไมม คี วามดีที่เราจะลมุ หลง ไมค วรใฝฝ น ไมควรหวงั เพราะเปน เรอื่ งของตณั หา และอุปาทาน
ไมดีไมว เิ ศษ อยางท่คี นสว นมากหลงเขา ใจผดิ กันอยู
ชาวตา งประเทศทเี่ ผอิญมาไดย ินไดฟง ดังนี้ หรอื ไดศ ึกษาแตเพียงบางตอน ก็เกิดมีความเหน็
ไปวา พุทธศาสนาเพง เลง็ ในแงราย และยิ่งไปกวา นน้ั ยงั แถมจัดใหเปน พวกทป่ี ฏิเสธส่ิงทงั้ ปวง
ซึง่ ในทส่ี ดุ กค็ งไมไดร บั อะไรเลย เพราะไมไ ดย ึดถือเอาอะไรเลย เมอื่ ใครมีความรสู กึ ดงั นี้
ความเหน็ ของเขาก็จะเดนิ ไปผดิ ทาง เปน มจิ ฉาทิฏฐิ อยา งใดอยา งหนึง่ ไปทนั ที สาํ หรบั ชาวไทย
ที่ไมไดศ กึ ษาพุทธศาสนาจนถงึ แกน ก็คดิ อยา งนน้ั เหมือนกนั และถาบคุ คลพวกนีม้ อี าชีพ หรือ
ทาํ งานเกยี่ วกบั การเผยแพรพ ทุ ธศาสนาดว ยแลว เขากจ็ ะทําใหค นอนื่ พลอยเห็นผดิ ตามไป เกดิ
ผลรายแกพทุ ธศาสนา และประชาชนผฟู ง เปนอยา งยงิ่ เพราะประชาชนเขาใจวา เขาเปน ผูมี
ความรู จนไดรบั เชญิ ใหม าบรรยายหลกั พระพุทธศาสนา และตอบปญ หาแกป ระชาชน ปรากฏ
อยูบอยๆ วา ผูสอนพทุ ธศาสนาบางคน ไดบิดผันคําสอนของพระพทุ ธเจาเพอื่ เอาใจประชาชน
หรือดว ยอคตเิ พราะรกั เพราะเกลียด เพราะกลัว และดวยความหลงงมงายของตนเอง
สวนอกี ทางหนึง่ น้ัน กไ็ ดแก พวกพทุ ธบรษิ ทั ทไี่ มชอบการเรียน หรือไมอ าจจะเรียนได ซง่ึ มี
อยูจ าํ นวนมากทส่ี ดุ คนพวกนนั้ มแี ตศรัทธา และความเขม แข็งในการทําบุญใหทาน เชอ่ื มน่ั ใน
บุญกุศล วา มผี ลเปน ความสขุ ความเจริญ ทั้งในโลกนแี้ ละโลกหนา โดยไมต องการคาํ อธบิ าย
อยางใดอกี พวกทเี่ ปน เชนน้ี ยอมมองพทุ ธศาสนาในลกั ษณะท่ตี รงกันขา ม คือมองในดานดี
อยา งเดยี ว คิดวาจะไดน นั่ ไดน ่ี จะเปน นนั่ เปน นี่ แลวกไ็ มฟ ง เสยี งใครๆ หากใครจะกรุณาช้แี จง
เร่ืองถูกตอง เขากไ็ มย อมรับฟง และยังจะโกรธ หรอื เหน็ วา ผชู ้ีแจงนน้ั เปน มิจฉาทิฏฐไิ ปดว ยกไ็ ด
อนั ตรายก็จะตกแกผนู น้ั เอง เพราะเขาไมร จู กั พระพทุ ธศาสนาทแ่ี ทจ รงิ
ฉะนน้ั พุทธศาสนาจงึ ไมใ ชพวกทมี่ องในแงร าย หรือพวกท่ีมองในแงดี แตเ ปน พวกทอี่ ยตู รง
กลาง เพราะมองเหน็ ส่ิงทกุ สิ่งประกอบอยูดวยคณุ และโทษ แตจกั เปน ผูม จี ิตวา งหรอื เฉยอยไู ด
ในทุกสง่ิ การท่ีมองอะไรๆ เปนแงด ี หรอื แงร ายไปโดยสว นเดียวน้ัน เปน ความคดิ ผดิ เปนการมอง
เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 22 of 73
อยา งเดก็ อมมอื คอื เห็นอะไรเทา ท่ตี วั เหน็ แลวก็วา มนั เปน อยา งนนั้ ไปหมด ฉะนนั้ พงึ เขา ใจวา
พทุ ธศาสนามองสิง่ ทั้งปวงตามทมี่ นั เปน จรงิ ท้ังดานนอกและดา นใน แลว ก็เกย่ี วของกบั สง่ิ
เหลาน้นั เทาทค่ี วร และในลกั ษณะทจ่ี ะไมเ ปนทกุ ขแกตนแตป ระการใดเลย ไมม ีอาการทีเ่ รยี กวา
ตดิ ในความดี หรอื อีดอัดขัดใจเพราะความชว่ั พุทธศาสนาไมปฏเิ สธวา ไมมอี ะไร แตย อมรบั วา
ทุกๆ อยา งมนั มี เพยี งแตว า ทุกๆ อยา งนนั้ เปน สงิ่ ท่ไี มค วรเขาไปยึดมนั่ ถอื มน่ั วา เปน ตวั เรา หรอื
เปนของเรา
ทกี่ ลาววา ไมม อี ะไรเปน ตัวเรา หรอื ของเรานน้ั มไิ ดหมายความวา เราไมม อี ะไร หรือ ไมรบั
อะไร ไมใชส อยบรโิ ภคสงิ่ ใด เราคงมีอะไร หรือบริโภคใชส อยสิง่ ใดๆ ไปตามทส่ี มควรจะมีจะเปน
แตภายในใจนน้ั ไมมกี ารยึดถอื วา ส่ิงเหลา นนั้ เปน ตัวตนของมันหรอื ของใครเทาน้นั ทัง้ นก้ี เ็ พ่อื จะ
ใหไ ดร ับความเย็นใจ เบากายเบาใจอยูตลอดเวลานน่ั เอง เรยี กวา เรารบั มันไว เพอื่ มาเปน บา ว
เปน ทาสเรา เพอ่ื อาํ นวยความสะดวกสบาย เทา ท่ีจาํ เปน ไมยอมรบั รูอะไร มากไปกวา น้ัน ความ
มีจึงมีคาเทา กบั ไมมี หรอื ความไมมีจงึ มคี า เทากบั มี แตความสาํ คญั สว นใหญน น้ั เราจะมีจติ ใจที่
ไมห วนั่ ไหว ไมท ุกขร อ น หรอื ลิงโลดไป เพราะการไดการเสยี จิตใจชนดิ นี้ ไมตอ งการทจ่ี ะรับ และ
ไมตองการทจี่ ะปฏิเสธ จงึ สงบเปน ปกตอิ ยไู ด พุทธศาสนาสอนใหเ รามจี ิตใจอยา งน้ี คือใหม ี
จิตใจเปน อิสระอยเู หนอื วสิ ยั ชาวโลก ไมหวนั่ ไหวไปตามสถานการณท ุกอยา งในโลก จงึ อยเู หนือ
ความทุกขท กุ อยา ง ท้ังในการคดิ การพูด การทาํ เพราะมจี ติ ใจเปนอสิ ระจากกิเลสนน่ั เอง จรงิ อยู
พทุ ธศาสนาปฏิเสธวา ไมมีอะไรทค่ี วรสนใจ หรือควรได แตก็ยอมรบั วา สิ่งทค่ี วรสนใจหรอื ควรได
น้ัน มีอยโู ดยแนน อน สงิ่ นน้ั กค็ อื ภาวะแหง ไมม ที กุ ขเลย เปนภาวะทเี่ กดิ จากความไมย ดึ มน่ั ถือ
มัน่ ตอสง่ิ ใดๆ ทัง้ หมดทง้ั สนิ้ วา เปนตวั เราหรอื ของเรา ไมยึดมน่ั แมก ระท่ังชวี ติ เกียรตยิ ศ ชอื่ เสียง
หรอื อะไรๆ ท้ังสนิ้ ท่ีคนท่ัวไปเขายึดถือกนั คือจิตใจเปน อสิ ระเหนอื สงิ่ ทง้ั ปวง เราเรียกวา สง่ิ นี้
อยา งสนั้ ๆ วา ความหลุดพน เมือ่ ถามวา หลุดพนจากอะไร ก็ตองตอบวา จากทุกสง่ิ ท่คี รอบงาํ จติ
หรอื ทาํ จิตไมใ หเปน อสิ ระ
ความสบั สนในการจับหลักพระพทุ ธศาสนา นบั วาเปน อปุ สรรคอันสาํ คัญ ของการท่ีจะ
เขา ถงึ ตวั แทของพทุ ธศาสนา เพราะตา งคนตา งถอื เรอ่ื งนน้ั เรอื่ งน้ี หมวดนน้ั หมวดนี้ วาเปนหลกั
ของพระพทุ ธศาสนา แตแ ลวกไ็ มพ น ท่ีจะควา นาํ้ เหลวอยูน น่ั เอง คอื ไมส ามารถจะปฏบิ ัตธิ รรมะ
ใหป ระสบผลสําเรจ็ ได ความไมส ําเร็จยงั เนื่องมาจาก ความยึดมั่นถอื มัน่ ดัง้ เดมิ ของคนนนั้ ๆ เมอ่ื
เขามคี วามเชอื่ อยางไรมากอ น เขากช็ อบแตทจ่ี ะดพู ระพทุ ธศาสนาในเหลย่ี ม หรอื แงท เ่ี ขา กันได
กับความรหู รอื ความเชื่อ ทม่ี อี ยเู ปนทนุ เดมิ ของเขา แลว ยงั ทาํ ใหคนอนื่ จับหลกั ผดิ ไปดว ย เพราะ
เขาเปนมหาเปรียญ เปน บณั ฑติ ในทางเผยแพรพ ทุ ธศาสนา และตางก็แยง กนั บอกผฟู งวา น่ันน่ี
เปน หลกั พระพุทธศาสนา
เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 23 of 73
แมบางคนจะถามเขาวา การกราบไหวออนวอนพระภูมนิ ั้น มเิ ปน การเสยี ความเปน พทุ ธ
บรษิ ทั หรือ นกั ปราชญชนดิ นกี้ ็ตอบวา ไมเสียความเปนพทุ ธบรษิ ทั เลย เพราะไมไดนับถือพระภมู ิ
มากกวา พระรตั นตรัย นี่เปน ตัวอยางของการพดู สับปรบั แมค นท่เี ปน นกั ศกึ ษาชาวตา งประเทศ
ชน้ั เยย่ี มยอด ก็ยงั เวยี นหัว แลว นบั ประสาอะไรกับที่ทายกทายกิ า อยา งคณุ ยา คุณยาย จะไม
เวยี นหวั ฉะนน้ั เปน การถกู ตอ งอยา งย่ิง ทจ่ี ะกลา ววา แมก ระทงั่ ทกุ วนั นี้ พวกเราชาวพทุ ธ กย็ งั
จับหลกั ไมไ ดว า หลักของพุทธศาสนาท่แี ทจ ริงเปนอยางไร สวนพวกทไ่ี มเ ปน ขบถตอ
พระพทุ ธเจา ก็อางเอาหมวดอริยสัจ หมวดมรรคมีองคแ ปด หมวดไตรสิกขา หมวดไตรลักษณ
หมวดปฏจิ จสมุปบาท หรือเชนหลกั ๓ ประการ เร่ืองไมใหท าํ ช่ัว ใหท าํ แตความดีทุกอยา ง และ
ใหท าํ จติ ของตนใหบ ริสทุ ธห์ิ มดจดนน้ั วา เปน หลกั ของพทุ ธศาสนา เหน็ กนั ไปคนละแงค นละมมุ
เลยกลายเปน หมขู องหลักทป่ี กไวม ากๆ ดสู ลอนไปหมด จนกระทง่ั พวกทายกทายกิ า ไมร ูวา จะ
ศึกษาเร่อื งอะไรดี
ความสับสนอกี ทางหนงึ่ กค็ อื การที่ธรรมะบางหมวดมีถอ ยคาํ ทเ่ี ขา ใจไมไ ด เพราะเหตวุ า
เขาไดแปลความหมายของคํานน้ั ๆ ผดิ ไปจากความหมายทแ่ี ทจริง หรอื พทุ ธประสงคเ ดมิ
ขอ ความจงึ คา นกนั และเมือ่ ฉงนมากขน้ึ เทา ไร ก็ยง่ิ มีผเู ขยี นคาํ อธบิ ายเพิม่ เติมมากขน้ึ เทา นนั้ ยิง่
เขียนเพ่ิมเติมมากข้ึนเทา ใด ก็ยงิ่ ผิดไกลออกไปทกุ ที แตเ นื่องจากคาํ อธิบายใหมๆ นนั้ ใชส าํ นวน
โวหารเปนนกั ปราชญม ากขนึ้ คนทไี่ ดฟง ไดเ หน็ กย็ ิง่ ยึดถอื คาํ อธบิ ายเหลาน้ีกนั อยางเต็มท่ี โดยมี
ความหลงผิดไปวา ย่ิงเขา ใจไดย ากนน่ั แหละ ยง่ิ เปน หลกั สําคญั ของพทุ ธศาสนา อาการดงั ท่ี
กลาวน้ีไดเกดิ ขนึ้ แกเรอื่ งเชน ปฏจิ จสมปุ บาท จนกระทง่ั เกดิ คาํ อธบิ ายเปน เลม สมุดขนาดใหญ
ไดร ับเกียรติอยา งย่งิ และนยิ มศกึ ษากนั แพรห ลายอยา งยิ่ง แตในทีส่ ุดก็หาสาระอนั ใดไมได ใช
เปนหลกั ปฏบิ ตั ใิ หสาํ เรจ็ ประโยชนตรงตามพระพทุ ธประสงคเดมิ ที่ไดตรัสเรื่องปฏิจจสมปุ บาทนี้
กไ็ มได ถึงแมค าํ อธิบายที่เรยี กกนั วา อภิธรรม ก็ตกอยูในลักษณะเพอ พก เชน เดยี วกนั จนกระท่ัง
เหลอื ความสามารถทจี่ ะเขาใจไดอ ยา งทวั่ ถงื หรือจะนาํ มาใชป ฏบิ ตั ใิ หส าํ เรจ็ ประโยชนได
เน่อื งจากไดพ จิ ารณาเหน็ อปุ สรรคตางๆ นานา ซ่งึ เปน เครอ่ื งกีดขวาง ไมใ หเ ราไดรบั
ประโยชนจ ากพทุ ธศาสนา เพราะเหตุเพยี งอยา งเดียวคอื การทีจ่ บั ปมยงั ไมได คอื ไมไดห ลักท่ี
ชดั เจน แจม แจง จนสะดวกท่ีจะเขาใจ และปฏิบัติ ใหต รงกนั กบั ความนกึ คดิ ของคนธรรมดา
สามญั จึงมคี วามคดิ เกิดขนึ้ วา เราควรจะชาํ ระสะสางปญ หาขอนกี้ ันเสียที เพ่ือใหไดหลกั ทใ่ี ชไ ด
เปนวงกวา งทวั่ ๆ ไป แกม นษุ ยท กุ คน สาํ หรบั จะไดถอื เอาไปเปน หลักเพอ่ื ปฏบิ ัตติ ามทางของเขา
เอง เพราะธรรมะเปนสัจธรรม เปนของกลาง เปน ของธรรมชาติ ไมใ ชเปน เร่อื งศลี ธรรม ทค่ี น
บญั ญัติเอาได ตามสมควรแกส ถานการณทแี่ วดลอมอยู แตการที่จะทําอยางนี้ ก็จาํ เปนทีจ่ ะตอ ง
ระมดั ระวงั ในการท่จี ะรกั ษาหลักเดิมๆ ไวอ ยางสมบูรณ ใหล งรอยกนั ไดก ับหลกั พุทธศาสนา
เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 24 of 73
ทั่วไปทง้ั หมด จนเปน ทยี่ อมรบั สําหรับ พวกพทุ ธบริษทั ผคู งแกเรยี นทง้ั หลายไดด วย และใหเขาใจ
งา ยๆ แมใ นหมูพทุ ธบริษัททไ่ี รการศกึ ษา เชน พวกทายกทายกิ า หรอื คณุ ยาคุณยายดวย
เมอื่ เปนดงั นี้ กย็ อ มจาํ เปน ทีจ่ ะตอ ง มีการแปลงการใชถ อ ยคาํ ใหเ ปน คาํ ธรรมดาสามัญ ที่
อาจจะเขาใจไดท ันทีสําหรบั คนทวั่ ไป แตเ น้อื ความนน้ั เปนเชน เดยี วกนั กับท่มี อี ยใู นพระคัมภรี
และทส่ี ําคัญกค็ อื ใหสามารถใชป ฏิบัตไิ ดทันที โดยไมต องศกึ ษาอะไรใหยงุ ยาก แมค นทีม่ ี
การศกึ ษานอ ย หรือ คนชราคนเจบ็ รอ แรจวนจะตายอยแู ลว ก็ยงั มีโอกาสทจ่ี ะเขาใจธรรมะได
ทนั เวลา เพราะฉะนน้ั ถาหากวา คําอธิบายตอ ไปนีจ้ ะแปลกจากทเ่ี คยไดยินไดฟ ง ไปบา ง กอ็ ยา
ประหลาดใจ จนถงึ กบั ไมยอมอา นเอาเสยี เลย หรอื อานอยางไมส นใจเพราะเขาใจวา เปน การ
กลา วเอาตามอัตโนมตั ติ ามชอบใจมากเกนิ ไป ขอใหท ราบความต้งั ใจของผกู ลาว วา เปน
ความจาํ เปน ทจ่ี ะตอ งกลา วในลักษณะเชน นี้ เพอื่ แกป ญ หาเฉพาะหนา ของพุทธบรษิ ทั นนั่ เอง
วิธที ่ีไดปรบั ปรงุ ใหม และใครจะขอเสนอ กม็ อี ยเู พยี งสนั้ ๆ วา เราไมต อ งศกึ ษาเรอื่ งอะไรเลย
นอกจากเรอื่ ง "อตั ตา" "ตวั ตน" และ "ของตน" ยงั ไมตองคาํ นงึ ถงึ พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ
หรอื คํานงึ ถงึ ขอ ธรรมะช่ือนนั้ ชือ่ นี้ แตป ระการใดเลย รวมท้งั ไมต องคาํ นึงถึง ประวัตคิ วามเปน มา
ของพระพทุ ธศาสนาดว ย ฉะนนั้ เราจะแอบพระคมั ภีรท งั้ หมดไปไวเสยี ทางหนง่ึ กอ น เพราะ
ความยงุ ยากมากมายของพระคมั ภีรเ หลา นน้ั จะทําใหออ นเพลยี ลงไปเปลาๆ เราจะมงุ ศึกษา
คนควา พนิ จิ พจิ ารณา ตรงไปยงั ส่ิงที่เรยี กวา "อตั ตา" อยา งเดยี วเทา นนั้ ในแงใ นมุมทเ่ี กยี่ วกับ
ความทุกข และความดบั ทกุ ขส น้ิ เชิง เพราะพระพทุ ธองคไ ดตรัสวา "แตกอ นกด็ ี เดยี๋ วนี้ก็ดี ฉัน
บัญญัติกฏเกณฑเฉพาะเรือ่ งอันเก่ยี วกบั ความทกุ ข และความดับไมเหลือแหง ทกุ ข"
ฉะนน้ั เราจะพจิ ารณากนั วา "ตวั เรา-ของเรา" นี้มนั ทาํ ใหเ กดิ ทกุ ขข ึ้นมาอยา งไร แลวเราจะ
จดั การกบั มนั อยางไร เร่มิ ต้ังแตช้ันทจ่ี ะทาํ ลายตวั เราชนิดอันชว่ั รา ย ใหเหลอื อยแู ตต วั เราชนิดท่ี
ดีๆ แลว คอ ยๆ บนั เทายึดถือในตวั เราชน้ั ดีใหน อ ยลงๆ จนกระทงั่ ถงึ ขนั้ สดุ ทาย คอื ไมม คี วามรูส ึก
ของ "ตัวเรา-ของเรา" ชนดิ ใดๆ เหลอื อยใู นใจเลย เร่อื งมันก็จบกนั เพยี งเทาน้ี และเปนการจบเรื่อง
หมดทง้ั พระไตรปฎก หรือทง้ั หมดในพระพทุ ธศาสนา แลวผนู นั้ ก็จะประสบสันตสิ ขุ อันถาวร ไมว า
จะอยูในสภาพเชน ไร เพราะสงิ่ ทเี่ รยี กวา "ตวั เรา-ของเรา" นม้ี นั เปน เหตุของความทกุ ขท กุ อยา ง
สิ่งที่เรยี กวา "ตัวเรา" และ "ของเรา" นี้ กม็ ีชือ่ โดยภาษาบาลวี า "อหงั การ" และ "มมงั การ" ถา เปน
คําทางจติ วทิ ยา จะเรยี กวา "อตั ตา" และ "อตั ตนยี า" กไ็ ด ทงั้ หมดน้ี กห็ มายถงึ จติ ทกี่ าํ ลังกลดั
กลุมอยูด ว ยความรสู ึกท่ีเห็นแกต ัวจัด กําลงั ดนิ้ รนทกุ อยา งเพ่ือจะทาํ ตามใจตน โดยไมคํานงึ ถงึ
ศลี ธรรม หรอื ความรสู ึกผิดชอบช่วั ดใี ดๆ
เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 25 of 73
อุปาทาน คอื การยึดมัน่ ถือมนั่ ทางจติ ใจ เชน ยดึ มนั่ ในเบญจขันธ คอื รางกายและจิตใจ
รวมกันวาเปน "ตัวตน" และยดึ ม่นั ถอื มั่นในส่งิ ทีถ่ กู ใจ อันมาเกยี่ วของดว ยวา เปน "ของตน" หรือท่ี
ละเอยี ดลงไปกวา นน้ั กย็ ดึ ถอื จิตสว นหนง่ึ วา เปน "ตวั เรา" แลวยดึ ถอื เอารปู รางกาย ความรูสึก
ความจาํ และความนกึ คิด สอ่ี ยา งน้วี า เปน "ของเรา" พทุ ธภาษติ มีอยวู า "เมอ่ื กลา วโดยสรุปแลว
เบญจขันธท ีป่ ระกอบอยดู วยอปุ าทาน นั่นแหละเปนตวั ทุกข" ฉะน้ัน คนท่ีมอี ปุ าทานยดึ มั่นวา
"ตัวเรา" วา "ของเรา" จึงมีเบญจขันธทีเ่ ปน ทกุ ข คอื แสดงอาการที่ทนไดย ากแกบคุ คลนน้ั และ
แสดงอาการทน่ี าเกลยี ด นา เออื มระอา แกบ คุ คลท่ไี ดพ บเหน็ ทวั่ ไป สวนเบญจขันธท ไ่ี มม ี
อุปาทานครอบงาํ นั้น หาเปน ทกุ ขไม ฉะนนั้ คําวา บริสทุ ธ์ิ หรือ หลุดพน จงึ หมายถึง การหลดุ พน
จากอุปาทานวา "ตวั เรา" วา "ของเรา" น้ีโดยตรง ดังมพี ระพทธภาษติ วา "คนทงั้ หลายยอ มหลดุ
พนเพราะไมย ดึ ม่ันถือมน่ั ดวยอปุ าทาน" ถา ยังมีอุปาทานกย็ งั ไมพ น จากความทกุ ข ส่งิ ท่ีเรยี กวา
"ตัวเรา-ของเรา" นน่ั แหละเปน บว งทกุ ข ทคี่ ลอ งหรือรอยรดั ผกู พนั เราทง้ั หลายอยู ถา เราตัดบวงนี้
ใหข าดไมไ ด อยเู พยี งใด เรากจ็ ะตอ งเปน ทกุ ขอยูเ ร่ือยไป
ความหลดุ พน (วิมุติ) เปน วตั ถุประสงคมุงหมาย ของการปฏิบตั ธิ รรมในพระพทุ ธศาสนา ดงั
พระพทุ ธภาษติ ตรสั เปนใจความวา "พรหมจรรยน ้ี มิไดม ลี าภสกั การะ สรรเสรญิ เปน อานสิ งส
มไิ ดมกี ามสขุ ในสวรรคเ ปนอานิสงส มิไดม ีการเขาถงึ ความเปน อนั เดยี วกับพรหมในพรหมโลก
เปนอานสิ งส แตว า มวี มิ ุติเปน อานิสงส ดงั น้"ี วมิ ุติ ในท่นี ก้ี ห็ มายถงึ ความหลุดพน จากอาํ นาจ
ของลาภสกั การะ สรรเสริญของกามสุขในสวรรค ของความอยากเปน พรหม แตค วามรสู กึ วา มี
"ตัวตน-ของตน" นน่ั แหละ เปนตัวการทห่ี วังลาภสกั การะสรรเสริญ ทง้ั กามสขุ ในสวรรค หรือ
ความเปน พรหม เพราะมนั เปน ความรสู กึ ทอี่ ยากได อยากเปน อยากเอา ถา มกี ารไดการเปน
ดวยอปุ าทานน้ี เพียงใดแลว ความทุกขย อมเกดิ อยูเ สมอไป ตอ เมื่อเอาอุปาทานน้ีออกไปเสีย
แลว การไดการเปนทงั้ หลาย จึงจะไมเปน ทกุ ข
ใจความสาํ คญั อยูต รงท่ี มกี ารได การเอา การเปน ดวยอุปาทาน อีกอยา งหนึง่ นั้น เปนการ
ไดการเอาการเปน ดว ยสตปิ ญ ญาไมมอี ปุ าทาน และคําวา สติปญญาในทน่ี ้ี หมายถงึ สตปิ ญ ญา
ท่ีแทจรงิ ไมใชสติปญญาชนดิ อปุ าทานครอบงําไวแลว เชนสตปิ ญ ญาของปุถชุ นทง้ั หลายใน
เวลาน้ี ทนี่ ับถอื กนั วา มกี ารศกึ ษาทางโลกกา วหนา เจริญทส่ี ดุ สว นจิตใจของเขากลับจมดงิ่ อยู
ภายใตอาํ นาจของอปุ าทาน ชนิดท่เี รยี กวา "ตัวเรา-ของเรา" สตปิ ญญาของเขา จงึ ไมบ ริสุทธ์ิ
สะอาดหมดจด ดังนนั้ จงึ ไมใ ชป ญ ญา ตามความหมายของพุทธศาสนา เขาไมม ีชวี ติ อยูดว ยการ
ควบคุมของสตปิ ญ ญา แตมีชวี ติ อยูภายใตก ารควบคุมของอปุ าทานวา "ตวั เรา-ของเรา" นเ้ี สมอ
ไป
เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 26 of 73
บรรยากาศของโลกสมยั นี้ จงึ มแี ตความเหน็ แกตวั จัดกลมุ อยูทว่ั ไปหมด และเขม ขนย่งิ ขึ้น
ทุกทีๆ นน่ั แหละคือ พิษสงของสิ่งท่เี รยี กวา "ตวั เรา-ของเรา" เปน อนั ตรายอยา งใหญห ลวง ที่
ชาวโลกกาํ ลงั ประสบอยู ถงึ กับทาํ ใหน อนตาหลับไมได ทั้งๆ ทีอ่ วดอา งอยวู า อะไรๆ กเ็ จรญิ
การศกึ ษาก็เจรญิ ประดิษฐกรรม และอตุ สาหกรรม ก็เจรญิ แตค วามทุกขท ที่ รมานดา นจติ ใจของ
คน กลับถูกสลดั ใหพนออกไปไมได กเ็ พราะอาํ นาจของสิ่งน้ี สงิ่ เดยี วเทา น้ัน คอื ความเหน็ แกต วั
จดั ฉะนนั้ แมวา คนสมยั นจ้ี ะไดทาํ ตนใหม ปี ระสทิ ธภิ าพในการงาน มากขึ้นเทาใด ประสทิ ธภิ าพ
เหลา นั้นๆ ก็มแี ตจ ะพาใหคนไหลไปสสู งั สารวัฎฎ คอื ความทกุ ขซ า้ํ ๆ ซากๆ ไมส นิ้ สุด ไมมสี วนที่
จะไหลไปใกลน ิพพาน หรือความพนทุกข กลาวคอื สนั ติภาพอนั แทจ รงิ และถาวรไดเลย มีแตจ ะ
ยิง่ หา งออกไปๆ จากสนั ติภาพท่ีแทจ รงิ
ฉะนน้ั เราจะเหน็ ไดวา ความสามารถของชาวโลกเราสมยั นี้ มแี ตจ ะกลายเปน ความสามารถ
ทผ่ี ิดทาง ไปเสียทง้ั นนั้ แลวเราจะปรารถนามนั ไปทาํ ไมกนั จงเอาสง่ิ ทเี่ รยี กวา "ตวั เรา-ของเรา" น้ี
ออกไปเสียกอ น โลกน้จี งึ จะมีความสามารถ หรือ การกระทําทพี่ งึ ปรารถนา นแี่ หละคอื
ความสาํ คญั ใหญย ่ิง ทคี่ วรศึกษาเรือ่ ง "ตวั เรา-ของเรา" และขอรอ งใหถ ือวา เปนหวั ขอเพียงหวั ขอ
เดียว สําหรับการศกึ ษาพทุ ธศาสนาของคนทกุ คน ในฐานะทเี่ รียกไดวา เปน บทเรียนสากล เปน
การเรียนลดั โดยไมตอ งจาํ กดั วา เปน พุทธศาสนา หรือเปน ศาสนาไหนหมด เพราะมนษุ ย
ท้ังหมดยอมมปี ญ หาอยา งเดยี วกนั มหี ัวอกเดียวกนั ไมวาเขาจะเปนชนชาติอะไร อยทู ีม่ มุ โลก
ไหน หรอื ถือศาสนาอะไร โลกทงั้ หมด กําลังเดอื ดรอน เพราะ "ตวั เรา" ตวั เดียวเทา น้เี อง รวม
ความวา สงั คมเดือดรอ น และเอกชนก็หาความสขุ แทจรงิ ไมได แมว าจะสมบรู ณด ว ยทรพั ย
สมบัติ อํานาจวาสนา หรอื สติปญ ญากต็ าม กเ็ พราะสง่ิ ทเี่ รียกวา "อัตตา" หรอื ความเห็นแกตวั
จัด นน่ั เอง
เราจะตอ งมีความเขา ใจใหถกู ตอ งเสียกอนวา ไมใ ชเปน เพราะพระเจาลงโทษเรา หากแตว า
มนั เปน ความเดอื ดรอนของเราเอง ทเี่ กดิ มาจากพิษสงของการถอื วา มี "ตัวตน-ของตน" เม่ือ
มนษุ ยเ ดือดรอ นหนกั เขา ๆ กค็ ดิ คนวธิ ที จ่ี ะกําจดั ความเดอื ดรอนเหลา น้ัน มนษุ ยจ งึ ไดคนพบหลกั
ตา งๆ นานาวา เราควรปฏบิ ัตติ อ กันอยางน้ี ตอ ตัวเราเองอยา งน้ี แลวสมมติสง่ิ ที่ตงั้ แหง ความเชอ่ื
วาเปน "พระเปนเจา " เพื่อจะทาํ ใหค นเช่ือ หรือยดึ มนั่ อยา งแนน แฟน ทีเดียว แทจ ริงนน้ั การท่ี
ความรูหรอื ความเขา ใจอนั ถกู ตอง ปรากฏออกมานั่นแหละคือ การที่พระเปน เจา อันแทจริงได
ปรากฏข้นึ แลว ดงั นนั้ ทุกคนก็ควรจะเห็นไดด ว ยตนเองวา เราตางหาก ทส่ี รางพระเจา ขน้ึ มา
พระพทุ ธศาสนา ตองการขจดั ทุกขภยั อนั เกดิ จาก "ตวั ตน-ของตน" เหลา นี้ จึงไดมีหลกั
ปฏบิ ัตเิ ปนข้ันๆ ไป นับแตต น จนปลาย โดยไมเ ก่ียวกับสงิ่ ภายนอก เชน ผีสางเทวดา พระผเู ปน
เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 27 of 73
เจา สงิ่ ศกั ดสิ์ ทิ ธทิ์ ัง้ หลายอนื่ ใดเลย แตไ มอ ยากขัดคอใครตรงๆ ในเรือ่ งพระเปน เจา เรอื่ งนรก
หรือเรอ่ื งสวรรค จงึ ปลอยเร่ืองเหลา น้ีไป ตามความเชื่อและความประสงคของคนทอี่ ยากจะเช่อื
ถา หากจะนาํ เรือ่ งเหลา นนั้ เขา มาเก่ียวขอ งบาง กจ็ ะนาํ มาเพยี งเปน เครอื่ งชวย บุคคลท่ีมปี ญ ญา
ออ น หรือบคุ คลที่เคยมีความเช่ืออยางนนั้ มากอน จะไดอ าศัยเปน กําลงั ใจสําหรบั จะละความชว่ั
และทําความดเี ทา น้ัน เพราะเขายงั ไมสามารถกาํ จัด "ตวั ตน-ของตน" โดยสิ้นเชงิ ได จงึ ไมถอื วา
เรือ่ งเหลา นน้ั เปน ตวั แทของพุทธศาสนา ทง้ั นี้เพราะเหตผุ ลงายๆ ทว่ี า แมเ ขาจะเวน ความชว่ั ทกุ
อยาง กระทําความดที กุ อยา ง กระทง่ั ไปเกิดในสวรรค มคี วามสุขแบบเทวดาแลว เขากย็ งั ไมพน
จากการบบี คั้น ของสงิ่ ทเ่ี รยี กวา "ตัวตน-ของตน" จักตอ งหวั เราะบาง รอ งไหบ า ง อยูในสวรรค
เชน เดียวกนั เพราะฉะนน้ั เขาจึงตองมหี ลกั เกณฑอ นั อน่ื ซง่ึ สงู ไปกวา นน้ั กลา วคือ หลกั ปฏิบัติ ที่
สามารถกาํ จดั อํานาจของสิง่ ท่ีเรยี กวา "อัตตา" เสยี ไดโดยสนิ้ เชงิ ทง้ั เปน หลกั การทส่ี ามารถใชไ ด
ทั่วไป ไมว า ในหมมู นษุ ยห รือหมเู ทวดา แตโดยเฉพาะอยางยง่ิ นน้ั เราตองการกนั ที่นแ่ี ละเด๋ียวนี้
เพราะฉะนน้ั ขอใหค นทีใ่ หมต อพุทธศาสนา จงเขา มาสนใจพทุ ธศาสนา โดยจับแตปมอันน้ี
เพอื่ ใหเขา ถึงพทุ ธศาสนาตวั แทเ สยี กอน และตวั เองจะไดไ มไ ขวเขว หรอื สอนใครผดิ ๆ ตอไป
อยา งนาสงสาร
เราตองไมลืมวา มนั มีส่งิ ๆหนึ่ง ซึ่งทําใหส ังคมไมเ ปน สุข และทําใหเ อกชนไมไ ดรับความสงบ
เย็น และถา ไมก าํ จดั ส่ิงนีใ้ หออกไปเสยี แลว มนษุ ยเรากแ็ ทบจะกลา วไดวา เกิดมาเพ่อื ความทน
ทุกขท งั้ นนั้ หรือกลาวอกี อยางหนงึ่ กค็ ือ ไมไดร ับส่ิงที่มนษุ ยควรจะไดรบั เพราะฉะนน้ั เราควร
แขงขันกันในการคนควาใหพบวา เราจะตอ งทาํ อยา งไร มนษุ ยจ งึ จะไดร บั สง่ิ ที่ดที ี่สดุ ซงึ่ มนษุ ย
ควรจะไดรับ และจกั ตอ งเปน สิ่งทว่ั ไปแกม นุษยโ ดยตรง โดยนาํ้ มือของมนษุ ย ไมต อ งไปหวังใน
ความกรุณาของพระผเู ปน เจา หรอื พระศาสดาตา งๆ เพราะถา ย่งิ ไปหวงั พระผูเปน เจา หรอื
ศาสดาตางๆแลว กม็ ีแตจะถกู ดึงใหไ กลออกไปจากตัวแทข องสิ่งทจ่ี ะกาํ จดั ทกุ ข ย่ิงข้นึ ไปอกี
ฉะนนั้ จงึ ตอ งยืนยนั ในขอทวี่ า เอาพระเปน เจา เอาพระศาสดาตา งๆ หรือแมกระทงั่ พระพทุ ธ
พระธรรมพระสงฆ ไปเก็บไวเ สยี ทอี่ น่ื กอน แลว มาสนใจสง่ิ ท่ีเรียกวา "ตวั ตน-ของตน" ใหจ รงิ จงั
เด็ดขาดลงไป คร้ันทาํ สาํ เร็จไดผ ลแลว พระเปน เจา หรือพระศาสดาตางๆ หรือแมกระท่ัง พระ
พทุ ธ พระธรรม พระสงฆ กจ็ ะพรูกนั มาหาเราเอง หรือมีเตม็ เปย มอยแู ลว ในการกระทาํ เสร็จไป
แลว นน้ั เอง เพราะ ความบรสิ ุทธ์ิ สะอาด หมดจด จาก"ตัวเรา-ของเรา" นนั้ ตางหาก คือองคพ ระ
พุทธ พระธรรม พระสงฆ ทแี่ ทจริง หรอื เปน พระเจา ทแ่ี ทจ รงิ เปนทพี่ ึง่ ไดจรงิ ๆ ถา ผิดไปจากน้ัน
แลว ก็เปน เพยี งเปลือกนอกของพระเจา หรือของพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ ซงึ่ อาจเปนท่ตี ้งั
แหงความยดึ มั่นถอื มนั่ จนกระทง่ั เกิด "ตวั ตน-ของตน" ขึ้นมาอกี แบบใหมๆ แปลกๆ เม่อื เปน
ดังน้ี แทนทมี่ นุษยจ ะจดั การกับ "ตวั ตน" หรอื "ของตน" เรอ่ื งก็กลบั กลายเปน วา มนษุ ยถูก
เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 28 of 73
"ตวั ตน" และ "ของตน" หลอกลวงหนกั ยงิ่ ขน้ึ ไปอีก จนหาสนั ติภาพไมไ ด ท้งั ในวงของหมูน กั บวช
ตามวดั วาอารามตา งๆ ตลอดจนชาวบาน นแี่ หละ คอื ขอท่เี ราจะตองเหน็ กนั ใหถกู ตอง เพราะ
ศัตรูทีจ่ ะตองกาํ จัดรว มกนั มเี พียงสง่ิ เดยี ว คอื ส่ิงท่เี รยี กในทน่ี ี้วา "ตัวตน-ของตน" น่นั เอง ซงึ่ เม่ือ
กาํ จดั เสียไดแลว กจ็ ะประสบสง่ิ ท่เี รียกวา "นพิ พาน" คือความสนิ้ สดุ แหง ความทุกขใ จทั้งปวง
เพือ่ ความสะดวกในการศกึ ษา เราอาจจะแบง "ตัวตน" ออกไดเปนช้ันๆ คือ ตวั ตนที่ชวั่
ตัวตนทด่ี ี ตัวตนทเ่ี บาบางลงๆ และตวั ตนทว่ี างจากความรสู ึกวา มี "ตัวตน" รวมเปน ๔ ชน้ั
ดว ยกนั การปฏบิ ัตเิ กยี่ วกับตัวตนกม็ ีเปน ๓ ชั้นคือ (๑) กาํ จดั ตัวตนทชี่ ัว่ ใหสน้ิ สญู สนิ้ ไป (๒)
สรา งตัวตนทด่ี ขี ้นึ มา และ (๓) ทําตวั ตนน้นั ใหเบาบางลงจนกระทั่งไมม เี หลอื สมตามหลกั ๓ ขอ
ท่ีเรียกวา หวั ใจพทุ ธศาสนา กลา วคือ ละชว่ั ทําดี และทําใจใหข าวบริสทุ ธ์ิ พทุ ธศาสนาจึงเปน
ศาสนาของมนุษยท กุ คน การเขาใจวา พทุ ธศาสนาเปน ของพุทธเจา ซงึ่ ช่ือสิทธตั ถะโคตมะน้ัน
เปน ความเขา ใจผดิ อยางยง่ิ พระพทุ ธองค ทรงปฏเิ สธความเปน เจาของธรรมะ หรอื ความเปน
เจา ของพุทธศาสนาโดยสนิ้ เชงิ และทรงยนื ยนั วา ธรรมะเปน สงิ่ ทมี่ อี ยกู อ นสิ่งทงั้ ปวง พระองค
ทรงคนพบ ในฐานะทีเ่ ปน มนษุ ยคนหน่งึ ซง่ึ ตอ งการคน ใหพ บสง่ิ ที่จาํ เปน แกม นุษย และทรงคน
เฉพาะแตในแงท จี่ ะเปน ความดับทุกขโดยสนิ้ เชงิ แลว กท็ รงเคารพธรรมะนน้ั พรอ มท้ังชกั ชวนให
คนทกุ คน ใหเ คารพธรรมะและ เขา ใหถึงธรรมะ ทง้ั ประกาศไวดวยวา "ส่ิงท่ีควรเขา ใหถงึ และ
เคารพนนั้ หาใชพระองคไม แตเปน ธรรมะ อยา มาเคารพทีเ่ นอ้ื ที่ตวั ของพระองค"
ทงั้ หมดนเี้ ปนเหมือนกับการประกาศวา ธรรมะนน้ั เปน ของมนษุ ย เพอ่ื มนุษย โดยมนษุ ย
และพุทธศาสนาท่แี ทจ ริงนน้ั ตอ งหมายถงึ ธรรมะบรสิ ทุ ธ์ิ หรือ ธรรมะลวนๆ ท่ีกลา วนตี้ องไมเปน
ของผูใ ด หรือของศาสดาองคใด ซง่ึ มีแตจ ะกลายเปนเรือ่ ง "ตวั ตน-ของตน" ข้นึ มาอกี แมจ ะมชี ื่อ
วา พทุ ธศาสนา กใ็ หม ีความหมายแตเ พียงวา เปนคาํ สอนของผูร ถู ึงทสี่ ดุ แลว จะเปน ใครก็ได
และส่งิ ที่รูแลวนาํ มาสอนนน้ั กค็ ือ ธรรมะ ฉะนนั้ ใหม องเหน็ วา พทุ ธศาสนากบั ธรรมะ เปน สง่ิ ๆ
เดยี วกนั อยาใหธรรมะกลายเปน ของนิกายนัน้ นกิ ายน้ี เพราะเมือ่ นิกายนนั้ สอน นกิ ายนจี้ ะไม
ยอมฟง ไมย อมอาน จงึ จะสามารถใชเปน เครื่องมอื กาํ จดั "ตวั ตน-ของตน" อันเปน ศตั รรู วมกนั ท่ี
รายกาจของมนษุ ยได
เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 29 of 73
บทที่ ๔
การเกดิ ขึน้ แหง อัตตา
การเกิดข้ึนแหง "อัตตา" นน้ั มาจากจิตท่ตี ง้ั ไวผิด พระพทุ ธองคไ ดทรงตรัสวา จิตท่ตี งั้ ไวผ ิด
ยอ มนาํ มาซงึ่ อันตรายซง่ึ รายยง่ิ กวา อันตรายทศี่ ตั รูใจอํามหติ จะพงึ กระทําให จิตทีต่ ง้ั ไวถ ูกจะ
นาํ มาซง่ึ ประโยชนมากกวา คนทห่ี วงั ดีท่ีสดุ มีบิดามารดา เปน ตน จะทาํ ใหได
ทง้ั น้เี ปน การชใ้ี หเหน็ โทษของการทีต่ ้ังจติ ไวผิด แตส ่งิ ทมี่ นุษยใ นโลกกําลังกลัวกนั นน้ั หาใช
จติ ท่ีตัง้ ไวผ ดิ ไม เพราะเขายงั ไมร ูจกั สง่ิ ๆ น้ี และไมเ คยคดิ ถงึ สง่ิ ๆ นี้ จึงไปสนใจกลัวสง่ิ ซึง่ ไมน า
กลวั เทาสง่ิ ๆ น้ี เชน กลวั ลทั ธกิ ารเมอื งฝา ยตรงกนั ขามบา ง กลวั สงคราม หรือ การอดอยาก กลัว
ผสี าง กลัวเทวดา กลวั สิง่ ศกั ด์ิสิทธ์ิ ฯลฯ กลัวกนั จนถงึ กบั หมดความสขุ หรือกลายเปน ความทกุ ข
ทั้งกลางวนั และกลางคืน
ทุกขภยั ทงั้ หมดของโลกมาจากจิตที่ตงั้ ไวผ ดิ นเ่ี อง คือ จติ ทต่ี ้ังไวผิด กท็ าํ ใหเ กิดลทั ธทิ ไ่ี มพึง
ปรารถนาขนึ้ ทาํ ใหเ กดิ การอดอยาก การเบียดเบยี น และการสงคราม ฯลฯ เมือ่ สงิ่ เหลานน้ั
เกิดขน้ึ แลว ชาวโลกกห็ าไดส นใจไม วา มนั เกดิ ขึ้นจากอะไรกันแน จึงจดั การแกไ ขไปอยา งผิดๆ
กระทาํ ไปดว ยความกลวั เพราะไมมีธรรมะ ซ่งึ สามารถขจัดความกลวั ออกไปเปน อยา งดี (แม
ลําพงั ความกลวั ลว นๆ ทา นกถ็ ือวา เปน จติ ที่ตงั้ ไวผิดเหมอื นกนั ) เพราะฉะนนั้ เราจะเหน็ ไดวา มี
จติ ทตี่ ัง้ ไวผ ิดอยเู ปนตอนๆ ตอ เนื่องกนั ไปหลายระดบั เมอ่ื ไมมีการต้ังจติ ไวในลกั ษณะที่ถกู ตอง
เลย สิ่งท่เี รียกวา "อตั ตา" หรอื ความเหน็ แกต วั จดั ความเห็นวามตี วั มตี น จงึ เต็มไปหมด แม
กระนน้ั กไ็ มมใี ครเอาใจใส ไมสนใจวา มนั เกิดขน้ึ ไดอยางไร จนทําใหโ ลกนต้ี กอยใู นสภาพ ที่อยู
ใตก ะลาครอบของอวิชชา คอื ความมดื มนอลเวง เตม็ ไปดว ยปญ หายงุ ยาก ซึ่งสรปุ แลว กค็ อื
ความทุกข แลว กแ็ กไ ขความทกุ ขกนั ไปเรื่อยๆ ดวยอาการท่ีรูส กึ วา ตื่นเตนสนกุ ดี คือไดลองฝมอื
ใชความรใู หมๆ แปลกๆ แมจ ะแกไขความทุกขของโลกไมไ ด ก็ยังเพลดิ เพลนิ อยูดว ยความรู หรือ
ความสามารถใหมๆ เหลานน้ั เปน เสมือนเครอ่ื งหลอกใหอ นุ ใจไปทีกอน อยางไมม ที ส่ี ิ้นสดุ
อาการเชน น้ีเอง ท่ีเปน เครอ่ื งปด บงั ไมใ หไ ปสนใจถงึ ตนเหตุอันแทจรงิ ของวิกฤตการณทง้ั หลาย
โดยเฉพาะอยา งยง่ิ กค็ ือ ไมส นใจในเรอื่ งจติ ทต่ี ง้ั ไวผ ดิ กลาวคอื "อัตตา" กระแสแหงการมี
"ตวั ตน-ของตน" จึงไหลไปเรอื่ ย ฉะนั้น ทาํ ใหเ ราเห็นไดวา กาํ เนิดของอตั ตา หรือ "ตวั เรา-ของเรา"
ก็คอื อวชิ ชา
เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 30 of 73
นา ประหลาดอยูอยางหน่ึง กค็ ือ ใครๆ กพ็ ยายามจะแสดงตนวา เปนผรู ูจ กั อวิชชา และให
ความหมายของอวชิ ชากนั ไปเองตามชอบใจ ดูประหน่งึ วา เขาเปน ผเู ขาใจ หรอื รูจ ักอวิชชา อยาง
แจม แจง แตแลวกเ็ ปน ทนี่ า ขบขนั ท่ีความรูนนั้ ใชป ระโยชนอ ะไรไมไ ดแมแตนิดเดียว และยังแถม
เขา กนั ไมไ ดกบั ความหมายของอวิชชาทพ่ี ระพุทธองคท รงแสดงไว อวิชชาไมไ ดห มายถงึ ความ
ไมรูอ ะไรเลยแตเพยี งอยา งเดียว กลบั จะหมายถงึ รูอ ะไรมากมายไมมที ส่ี น้ิ สุดดวยซาํ้ ไป แตเ ปน
ความผิดทงั้ นน้ั คอื เห็นกลบั ตรงกันขา มไปหมด เชน เหน็ มูลเหตขุ องความทกุ ข เปน มลู เหตขุ อง
ความสุขไป อยา งท่ีเรยี กวา เหน็ กงจกั รเปน ดอกบวั เขาไมเหน็ อยางถกู ตองตามทเี่ ปน จรงิ วา
ความทกุ ขนนั้ มนั อะไรกันแน อะไรเปนมลู เหตุทีแ่ ทจ ริงของความทุกข สภาพท่ปี ราศความทุกข
จริงๆ นน้ั เปน อยางไร และวธิ ปี ฏบิ ตั ิอยา งไรคนเราจึงจะเขา ถึงสภาพทไ่ี มมีความทกุ ข
เราอาจจะกลา วไดว า ความรชู นิดใดๆ มากมายเทา ใดกต็ าม ถา ปราศจากความรูท ถ่ี กู ตอง
ในสง่ิ ท้งั ๔ ดังท่กี ลาวมานีแ้ ลว ตอ งถือวาเปน อวชิ ชา ทัง้ นนั้ คือเปน ความรทู ใ่ี ชไ มไ ดเลยในการ
ทจ่ี ะกาํ จดั ความทกุ ข ฉะนน้ั ถา จะมีคําแปลทถ่ี ูกตองรดั กมุ ของคําวา อวชิ ชาแลว จะตองแปลวา
ธรรมชาตทิ ี่ปราศจากความรชู นดิ ท่ีจะดบั ทกุ ขได หรือกลา ววา สภาวะท่ปี ราศจากความรทู ีด่ บั
ทุกขได น่นั แหละคือ อวิชชา ดังทพ่ี ระพทุ ธองคต รสั ไวโ ดยเฉพาะคอื ตรสั เอาความไมรู
อริยสจั จทั้ง๔ วา เปน อวชิ ชา หมายความวา แมเขาจะมคี วามรูมากมายเทา ไรอยา งไรกต็ าม แต
ถา ไมรูอ ริยสจั จท ้ัง๔ แลว กถ็ กู จัดวาเปน อวชิ ชา ฉะนน้ั จึงทาํ ใหเรามองเห็นไดชดั เจนอกี วา โลก
เรากําลงั อยูใตก ะลาครอบของอวิชชา หรอื ความรทู ี่ไมใ ชว ิชชาของพระพทุ ธเจา จงึ ไมสามารถ
จะชวยชาวโลกได ในที่สดุ กเ็ ขาทาํ นองที่เรยี กวา "ความรูท วมหวั เอาตัวไมรอด" กลา วคอื ความรู
ชนดิ นนั้ จะกลายเปน เครื่องทําใหโ ลกวินาศอยภู ายใตค วามรนู ้ันเอง
ตามหลกั ธรรมะในพทุ ธศาสนา พงึ ทราบไวเ สยี กอนวา บรรดาเร่ืองราวตา งๆ ทจี่ ะเกดิ ข้นึ แก
จติ น้ัน ตอ งมีสง่ิ ท่เี รียกวา อารมณเ ปนท่ีตงั้ อาศยั หรอื ทีเ่ รยี กวา เปน เหตเุ ปนปจจัยสาํ คัญ
"อารมณ" แปลวา สงิ่ อันเปน ทยี่ ึดดวยความยนิ ดี แตค วามหมายอนั แทจริงน้ัน เปน ท่ยี ึดหนว งเพ่ือ
ยนิ ดกี ็ได หรือไมพอใจก็ได แลวแตว า จิตนั้นไดรับการอบรมมาอยา งไร คือมอี วชิ ชานน่ั เอง เมอ่ื
ตาหจู มกู ลนิ้ กาย กระทบ รปู เสยี งกลนิ่ รสวตั ถุ กเ็ กดิ ความรสู ึก แตค วามรูสึกของแตล ะคนยอ มไม
เหมือนกนั และอาจรูสกึ ตรงกนั ขา มกไ็ ด แมจ ะเปน ไปในทางใจก็ตาม แตก ็ยงั เปน ที่ตง้ั แหง การ
เกดิ ข้นึ มาของ "ตวั ตน-ของตน" ดว ยกันทง้ั นัน้ เวน เสยี แตว า จิตนนั้ เปน จิตทีห่ มดอวิชชาโดย
สิ้นเชงิ ฉะนัน้ อวิชชาจงึ เปน มลู เหตุใหเ กิด "ตวั ตน-ของตน" ขน้ึ มาเพราะอาศยั สิ่งที่เรยี กวา
อารมณเ ปนเหตุปจ จยั ถา เปน อารมณรายก็เกดิ "ตวั ตน" อยา งรา ย ถาเปน อารมณดีกเ็ กดิ
"ตวั ตน" อยา งดี
เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 31 of 73
เม่ือมคี วามรสู ึกเปน ตัวตนเปน ของตนเกดิ ข้นึ มาอยางเตม็ ในรปู น้แี ลว กน็ ับไดว า การเกิด
หรือชาติใหมไดปรากฏขึน้ มาแลว และหลงั จากนน้ั ความทกุ ขจกั ตอ งตามมาโดยสมควรแกก รณี
คอื มากบางนอ ยบา ง สว นในกรณขี องผทู หี่ มดอวิชชาเชน พระอรหนั ตน ้นั ทา นไมม คี วามรูสึกวา
พอใจหรือไมพอใจ กลา วคือ ไมค ดิ ปรงุ ใหเ ปน อารมณดี หรือเปนอารมณร า ยขน้ึ มาได ความรสู กึ
วา "ตัวเรา-ของเรา" จงึ ไมม ชี อ งทางทจ่ี ะเกดิ ข้นึ ทัง้ นเ้ี ปนเพราะไมม อี วชิ ชาเขา มาบนั ดาล มแี ต
วชิ ชาทีแ่ ทจรงิ อยูประจํา การกระทบของอายตนะทางตาหูจมูกลน้ิ กายใจ กเ็ ปน แตสักวาการ
กระทบ พอรูวาอะไรเปนอะไรแลว กส็ นิ้ สดุ ลง ไมค ดิ ปรุงเปน ความรูสกึ หรือเปนความอยากขนึ้
ตอไป ความรสู กึ วา "ตวั ตน-ของตน" จึงไมเ กิดข้นึ เพราะกระแสแหง การเกดิ ถูกตดั ตอนเสยี แลว
ต้ังแตใ นขั้นของการกระทบ ท้งั หมดนเี้ ปน เคร่อื งพิสจู นว า เพราะอวชิ ชามีอยู อารมณจ งึ เกิดมี
ความหมายขน้ึ มา จติ ท่ปี ระกอบอยดู วยอวิชชา ยอ มคดิ ปรงุ เปน ความรูส ึกทเ่ี ปน "ตวั เรา-ของเรา"
เน่ืองมาจากอารมณนนั้ ๆ
อารมณท ปี่ ระทับใจแรงและนาน เราเรียกเปน อารมณใหญ อารมณท ม่ี คี วามประทับใจนดิ
หนอ ย เรียกอารมณเ ลก็ สว นท่ีอยูในระหวา งน้ันเรยี กวา อารมณธ รรมดา กรรมตางๆ ที่กระทาํ ลง
ไปสุดแตกาํ ลงั ของอารมณท ใี่ หญห รือเลก็ อารมณท ีเ่ ปน เหตใุ หท ํากรรมขนาดใหญ ยอ มมีกาํ ลงั
มากพอทจ่ี ะทาํ ใหรางกายสนั่ หรอื ใจสั่น หมายความวา มกี ารประทบั ใจมาก จึงมเี จตนามาก มี
ผลเกิดขนึ้ คอื ทาํ ใหเ กดิ "ตวั เรา-ของเรา" ชนิดท่ใี หญห ลวง ทําใหเ กดิ ความระส่าํ ระสายเปนทุกข
อยางยงิ่ ถาอารมณนอยกเ็ ปน "ตวั เรา-ของเรา" อยางนอ ย และมีความทุกขน อ ย ฉะนนั้ จงึ เปน
ตัวตนอยา งมนุษยธ รรมดากไ็ ด ฉะนน้ั ใครจะเปนตวั ตนอยา งสัตวนรก หรือสตั วเ ดียรฉานกไ็ ด
หรือเปนตัวตนอยา งเทวดา หรอื พรหมก็ได
ในกรณีที่เปน ตวั ตนอยา งมนษุ ยน นั้ กอ็ าจจะผดิ แปลกแตกตา งกนั ไปอีก ทงั้ นี้แลว แต
ความรูสกึ วาตวั เองเปน อะไรในขณะนน้ั เชน เปน บิดามารดา เปนลกู หลาน เปนภรรยาสามี เปน
คนรวย เปนคนจน เปน นายเปน บาว เปนคนสวยคนไมส วย เปน คนแพคนชนะ กระทั่งรสู ึกวา ตวั
เปน คนโง หรือคนฉลาด เปนคนมบี ญุ มีบาป คนดคี นชว่ั คนมสี ุขหรือคนมีทกุ ข ดังนเี้ ปน ตน น้คี อื
"ตัวตน" ทถ่ี กู ปรงุ ขึ้นมาดว ยอวิชชาในรปู ตา งๆ กนั ลว นแตจะตองเปนทกุ ข เพราะความยดึ ถอื วา
เปนอยา งนัน้ ๆ ดว ยกนั ทั้งนั้น เพราะจะตอ งมคี วามเหน็ แกต วั ตามความเขาใจวาตวั เปน อยา งไร
กอ นแตจะเกดิ ความยึดถือข้นึ มานน้ั จะตองเกดิ ส่งิ ท่ีเรยี กวา "ตณั หา" ขึ้นกอ น ตณั หาแปลวา
ความอยาก เมือ่ มคี วามอยาก ชนิดหนงึ่ ชนิดใดในสง่ิ ใดกต็ าม สงิ่ ทเี่ ราเรยี กกนั วา ความยึดถือ
หรอื อุปาทาน กเ็ กิดข้นึ เพราะในความรสู ึกอยากน้ันเอง จะตอ งมคี วามรูสึกเปน ตัวผอู ยาก
รวมอยดู ว ยเสมอไป อารมณถ ูกใจกเ็ กิดความอยากขน้ึ ชนดิ หนึ่ง อารมณท ่ไี มถ กู ใจกเ็ กดิ ความ
เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 32 of 73
อยากขน้ึ อกี ชนดิ หน่ึง เปนความอยากดว ยกันท้ังนั้น ความรูสกึ ที่เปน ผอู ยากน่นั แหละคอื "ตวั ตน"
ในทนี่ ี้ ความรสู ึกทงั้ สองชนดิ นเ้ี รียกวา ความยดึ ถือ หรอื อปุ าทาน คือยดึ ถือวา เปน "ตวั เรา" และ
ยึดถอื วา เปน "ของเรา"
ผศู กึ ษาจะสงั เกตเหน็ ไดเลาๆ แลว วา ตณั หาและอปุ าทานนี้มีมลู มาจากอวิชชา กลา วคือ
เพราะไมร ูจงึ ไดไ ปอยากไปยดึ ถือ มีความโลภก็เพราะไมร ูวา ไมควรโลภ มีความโกรธก็เพราะไมรู
วาไมค วรโกรธ มีความหลงกเ็ พราะไมรูวา ไมค วรหลง น้ีแสดงวา โลภโกรธหลงมมี ลู เหตมุ าจาก
อวิชชา เพราะฉะนน้ั ความรสู ึกทง้ั หลายทีเ่ ปนของผดิ ก็ลวนแตมาจากอวิชชาทั้งนน้ั
ตัณหา(ความอยาก) แบง ออกไดเ ปน ๓ ประการ คอื อยากไปตามความใครในของอนั นา รกั
นา ใคร นเี้ รียกวา กามตัณหา ความอยากชนิดทท่ี าํ ใหอ ยากเปน นัน่ เปน น่ี หรอื แมอยากจะมีชวี ติ
อยู นเ้ี รียกวา ภวตัณหา ความอยากประเภทสุดทายนนั้ ตรงกนั ขามจากภวตณั หา กลาวคือ
อยากไมใหเปน อยางนนั้ อยากไมใหเ ปน อยา งนี้ แมก ระทง่ั อยากไมม ชี วี ิตอยนู ้ี เรียกวา
วิภวตณั หา
การทาํ ความเขา ใจอยางชดั แจง ในความหมายของตัณหาทง้ั ๓ น้ี เปน สงิ่ ที่สาํ คัญทสี่ ดุ ถา
ปนกนั จนฝน เฝอ แลวก็ยากที่จะเขาถึงธรรมะได ฉะนนั้ จาํ เปน จะตองรจู ักแยกแยะใหเ ปน
ประเภทๆ ไป ความรสู กึ ของ "ตวั ตน" กม็ อี ยูตามประเภทของตัณหา คอื เปน ๓ ประเภท
เหมอื นกนั "ตวั ตน" ในประเภทกาม กท็ ะนงเกยี่ วกบั เร่อื งกาม "ตัวตน" ในประเภทรปู พรหม ก็
ทะนงตัววาสงู หรอื ประเสริฐกวาพวกทพ่ี ัวพนั ในกาม "ตัวตน" ประเภทอรปู พรหมกท็ ะนงตวั วา
ความบรสิ ุทธขิ์ องตนนน้ั สงู กวาความบริสทุ ธิ์ของพวกรปู พรหม ดงั นัน้ มนั จงึ เปน มานะหรือทิฎฐิ
ไปดวยกันทงั้ นน้ั และยงั มีความทุกขอ ยนู น่ั เอง
เมอ่ื กลาวโดยทางปรมตั ถแลว ภาวะทง้ั หมดน้ีมไี ดในมนษุ ยเ ราครบทกุ ชนิดของตณั หาและ
ของ "ตวั ตน" เชน ในบางคราว จติ ของคนเราผละไปจากกามของรกั ของใคร ไปยึดถอื ทีเ่ กยี รตไิ ม
เกีย่ วกับกาม นกี้ ค็ ือ อาการทถี่ กู ภวตัณหาครอบงํา หรอื กลาวอยางสมมตกิ ว็ า กาํ ลงั เปน "ตัวตน"
ชนดิ รปู พรหม ทนี ้บี างคราวจติ เล่ือนไปสูงกวา น้ัน คอื ไมเห็นแกก ามไมเ ห็นแกเ กยี รติ แตไปพวั พนั
กบั นามธรรมอนั ละเอยี ด เชน ความรูจริงความดีจริง มีจติ ใจสูงข้ึนไปอีกช้นั หนงึ่ ไปมี "ตัวตนอยทู ่ี
สิง่ ท่ไี มม รี ูปอนั บรสิ ทุ ธิ์แบบอรปู พรหม จะเขาใจเรอื่ งนีไ้ ดงายๆ ดว ยการเทียบเคียงดูจนเหน็ วา
พวกทหี่ ลงใหลในนกเขา ตน บอน หรอื ตน ไมดดั เปนตน ยอ มมใี จสะอาดกวา พวกกําลงั หลงใหล
กามคุณ คอื เรอื่ งทางเพศตรงขาม สวนพวกท่ีสนใจพจิ ารณารูปธรรม หรอื นามธรรมบางอยา ง
เขาผูน นั้ ยอ มมีใจสะอาดข้นึ ไปกวาพวกเลน นก เลน บอน หรอื ไมดดั ฯลฯ ฉะนนั้ การแบงเปนชั้นๆ
เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 33 of 73
คอื ช้ันกามาวจร รูปาวจร และ อรปู าวจร จึงมีไดเปน ไดในหมคู นเราทีย่ งั เปนๆ อยนู ี้แหละ
ตามแตท ีอ่ วชิ ชาจะดึงไปในรปู ไหน แตทง้ั หมดนน้ั ยงั เปน เพยี งตัณหาทมี่ มี ูลมาจากอวิชชา และ
จะตองมีความทุกขใ นรูปทตี่ างกนั
เม่ือเรารจู ักส่งิ ท่ีเรียกวา ตัณหา แลว เราจะไดพจิ ารณากันถงึ การทีต่ ณั หาเกิดขึ้นไดใ น
อารมณนนั้ ๆ จนกระทัง่ เกิดอปุ าทานหรอื "อตั ตา" ตอ ไป ตวั อยา งเชน เม่อื เราเหน็ ดอกไมท่ี
งดงามดอกหน่งึ ความรูสกึ อาจจะเกิดขนึ้ ในทางที่เปน ตณั หาก็ได ไมเ ปนตณั หาเลยก็ได เชน ถา
เรารสู กึ สวยงามติดอกติดใจหลงใหลในสี และในกลิ่น การเหน็ เชน น้ี ก็กลายเปน ตัณหาไป แตถ า
การเหน็ น้นั กอใหเกิดความรูสึกไปในการศึกษาเกย่ี วกบั ธรรมชาตวิ ทิ ยาลวนๆ หรือเกดิ ความรสู กึ
วา ดอกไมน ้ีเปน มลู เหตุของความเหน็ดเหนื่อยความหมดเปลอื ง และความลมุ หลงของมนษุ ย
หรือมนั เปน อนิจจังทุกขงั อนตั ตา ท่ซี อ นไวภายใตความงามและความหอม อยา งน้ีเรยี กวา ยังไม
ถกู กามตณั หาครอบงาํ และการเหน็ ก็ไมไ ดเ ปนทต่ี ง้ั ของตณั หา เพราะไมม ีอวชิ ชาเขา มา
เก่ยี วของดวย แตก ลบั มวี ชิ ชาเขา มาแทน ตัณหาก็ไมเกดิ จงึ ไมเปน ทกุ ข เพราะตวั ตนไมเ กดิ น่ีคอื
หลักเกณฑ อนั เกย่ี วกบั ความหมายของอารมณท่มี ากระทบ ผูทีม่ สี ตสิ มั ปชญั ญะดีและมาก
เพียงไร ก็ยงั บงั คับควบคมุ อารมณข องตนไวไ ดโดยมใิ หเกิดเปนตณั หา ผใู ดไมต กอยูใ ตอ ํานาจ
ของอวิชชาแลว อารมณก ็เปน สักวา อารมณ สัมผสั หรือความรูสึกทเ่ี กดิ มาจากอารมณน้นั ๆ ก็
เปนแตส ักวา การสัมผัส และความรูสึกไมก อ ใหเ กิดตัณหา หรือความยดึ มัน่ ในอะไรๆ
หมายความวา ไมท ําความทกุ ขใ หเกิดขนึ้ แตเปนความวางจากทุกขอยตู ามเดมิ และสตปิ ญญา
ยังงอกงามไปในทางที่จะทําลายความทกุ ขใ นกาลขางหนา ยงิ่ ขึน้
ตณั หาประเภทท่ี ๑ ทอี่ าศัยอารมณอนั เปน ไปในทางกาม และยิ่งเมอื่ มีความหมายเกี่ยวดว ย
เพศตรงกนั ขามดว ยแลว กย็ อมจะเปนตณั หาท่ีแรงและสมบรู ณ ฉะนนั้ ตณั หาทเี่ กดิ ขนึ้ ใน
ลกั ษณะเชน นี้ ยอมถกู จดั ไวเปน ตณั หาของสตั วท ว่ั ไป ในภูมกิ ามาวจร คือ สัตวน รก สัตว
เดรัจฉาน เปรต มนุษย และเทวดา
ตัณหาประเภทที่ ๒ แปลกเปนพิเศษออกไป คือไมตอ งอาศยั สง่ิ ทเี่ รยี กวา กาม และยังรูส ึก
รังเกียจตอ สง่ิ ที่เรยี กวา กาม เสยี ดว ย ขอนหี้ มายความวา คนเราบางพวก หรอื บางขณะ มีจติ ใจ
ทไ่ี มแยแสตอกาม ในกรณขี องคนธรรมดาสามัญ กเ็ ชน ความอยากในเกียรติยศ หรือ ความดี
ความงาม อะไรอยา งใดอยางหน่งึ ตามทตี่ นยดึ ถอื หรอื ทรี่ สู ึกวานาปรารถนา บางคราวเรารูส ึก
อยากจะอยเู ฉยๆ โดยไมม ใี ครมากวน บางคราวอยากจะเดนิ ทางไกล หรือไปพกั ผอ นในทเ่ี งยี บ ท่ี
ชายทะเล ไปนัง่ นิ่งๆ คนเดยี ว แลวก็พอใจในรสชาตทิ ่ีเกดิ ข้นึ เพราะการทําอยางนน้ั เม่อื เปน สง่ิ ที่
ถกู ใจก็มคี วามอยาก ตณั หาชนดิ นจี้ งึ ไมควรถูกจดั ไวเ ปน พวกกาม ดังทก่ี ลาวในประเภทท่ี ๑ แต
เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 34 of 73
เปน ตัณหาอกี ประเภทหน่ึงทร่ี งั เกียจกาม และที่ยง่ิ ขึน้ ไปกวา น้ันกค็ ือ ความลุม หลงของผูทพี่ อใจ
ในสขุ อันเกิดจากฌาณ (การนงั่ เพง จนจติ แนว แน) อยางบทกลอนท่ีเราไดยนิ กันในหนงั สอื
แบบเรยี นสมยั กอนวา "เขา ฌานนานนบั เดอื น ไมเขยือ้ นเคลื่อนกายา จาํ ศีลกนิ วาตา เปน ผาสกุ
ทกุ คนื วนั " นมี่ คี วามหมายอนั แสดงวา เปน ความตองการ หรือความมงุ มาดอยางแรงกลา อยา ง
หนง่ึ อนั เปน ทตี่ ง้ั แหงความลมุ หลงเหมือนกัน รวมความวา นักสมาธหิ รือพวกบาํ เพญ็ ตบะแบบ
โยคี ถา เขาทําไปเพราะความหวงั ความสขุ จากความสงบลว นๆ ไมเ กยี่ วกบั กามเลย กเ็ รยี กวา
ตัณหาท่ีไมเ กย่ี วดวยกาม แตถ ามคี วามเชอ่ื และมีความมุง หมายวา การบําเพ็ญตบะนนั้ จะ
นํามาซง่ึ ผลเปน ความสุขจากเพศตรงขามในชาตนิ ้ี หรอื หลงั จากตายแลว เชนการไปเกดิ ใน
สวรรคทสี่ มบูรณไปดว ยกามคุณ เปนตน ความอยากของเขาก็ตองจัดเปน กามตัณหา ไป
ตามเดิม ขอนี้อาจจะเปรียบเทยี บไดกบั บางคนที่ยดึ มนั่ ในเกยี รติหรอื ความดจี รงิ แตถามี
ความหวงั อยวู า เกียรตหิ รือความดนี ั้นจะเปน ทางมาซง่ึ วตั ถปุ จ จยั อนั เปน ที่ตงั้ ของกามารมณ
หรอื ความสุขอนั เกดิ จากเพศตรงขามในเวลาตอไปแลว ตัณหาของเขาก็กลายเปน กามตัณหา
ไปตามเดิม
คาํ ทีเ่ ราไดย นิ กันทัว่ ๆ ไปวา มนุษยโลก พรหมโลก หรือ บางทเี รยี กวา กามโลก รปู โลก อรูป
โลกน้ี กห็ มายถึง ภาวะทางจติ ใจของเรานเี่ อง กามโลก คอื ภาวะของสตั วท จ่ี ิตใจตดิ ในกาม รูป
โลก คือภาวะของบุคคลท่ีมจี ติ ใจมองขามกาม แตยังไปติดอยูท่ีความพอใจของสงิ่ ทเ่ี ปน รปู ธรรม
ลวนๆ ทต่ี นนาํ มาเปน อารมณสําหรบั การเพงจติ หรอื การบาํ เพ็ญฌาน และอรปู โลกกห็ มายถงึ
ภาวะทางจติ ทใ่ี จสูงไปกวา นนั้ อกี เพราะมตี ัณหาละเอยี ดประณตี ยิ่งข้ึน เปนภาวะของหมูชนท่มี ี
ความหลุม หลงในสงิ่ ทีไ่ มม รี ปู หรือเปน นามธรรมลวนๆ ซง่ึ ตนนํามาใชเ ปน อารมณสาํ หรับการ
เพงจติ หรอื เพง ฌานของตน เมือ่ ทาํ สาํ เร็จก็นํามาซงึ่ ความพอใจลมุ หลงทส่ี ขุ มุ ยิ่งข้นึ ไป
ตัณหามไี ดใ นภพ(ภาวะ) ทงั้ ๓ ซงึ่ พอจะจดั คูกนั ไดวา กามตัณหายอ มเปน ไปในกามภพ
ภวตณั หายอมเปน ไปในรูปภพ นแี่ หละคอื ความปรารถนาของมนษุ ย ผทู ี่พยายามคิด ดวยหวงั วา
จะพบสงิ่ ทด่ี ที สี่ ุดทมี่ นษุ ยค วรจะได แมจะมาถงึ ทีส่ ุดเชน น้ีแลว กย็ งั หาไดดบั ทกุ ขโ ดยส้ินเชงิ ไม
เพราะความทเี่ ขาไมส ามารถนาํ "ตวั ตน-ของตน" ออกไปเสียไดน่ันเอง เขาจึงตกอยใู นขอบวงของ
ตณั หาเรอ่ื ยไป หรือจะพยายามเทาไรกอ็ อกไปพนจากขอบวงของตัณหาไมไ ด นับวา เปน เร่อื งท่ี
ตองศึกษาใหเ ขาใจแจม แจง จริงๆ จงึ จะเปน การปฏิบตั ิธรรมทางลดั
สาํ หรับตัณหานั้น ไมว า ชนิดไหนหมด มันจะตอ งมมี ูลฐานอยทู อ่ี ารมณท ้งั ๖ คือ รูปเสยี ง
กล่นิ รสสัมผสั ทางกายและสมั ผัสทางใจนน่ั เอง อารมณท ้งั ๖ นมี้ ไิ ดหมายถงึ แตอ ารมณเ ฉพาะ
หนา เพราะวา แมอารมณในอดีตท่ีลวงไปแลว ก็ยงั เปน อารมณของตณั หาไดอ ยูดี ดว ยการ
เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 35 of 73
เกีย่ วเนอื่ งกบั อารมณใ นปจ จุบันบาง ดวยการยอนระลกึ นึกถอยหลงั ไปถงึ บา ง ซงึ่ เราเรยี กกนั วา
ความหวงใยอาลยั อาวรณ ทน่ี ี้ สาํ หรบั อารมณใ นอนาคตท่จี ะพึงไดข า งหนา นน้ั ก็เปน อารมณ
ของตัณหาอยา งยงิ่ ดวยเหมอื นกนั ขอนก้ี ค็ อื สงิ่ ท่เี รียกวา "ความหวัง" และดจู ะเปนปญ หายงุ ยาก
กวา อยา งอ่ืนดว ยซํา้ ไป เพราะวา เราอาจจะหวงั กนั ไดมากๆ อยา งไมม ที สี่ น้ิ สุด และมนั เปน เครื่อง
หลอ เล้ียงกําลงั ใจ จนกระทัง่ พากันถือวา ชวี ิตน้ีอยูไดด วยความหวังอารมณในอนาคต น้นั แหละ
เปน ปญ หายงุ ยากทสี่ ดุ สาํ หรบั มนุษยเรา คือมนั เปนไปไดก วางขวางทสี่ ดุ ปญหายุงยากของโลก
ในปจ จบุ ันนี้ ซง่ึ จะเปน วกิ ฤตกิ ารณขนาดใหญเล็กชนดิ ไหนก็ตาม หรอื ถึงกับจะวนิ าศกนั ทเี ดยี ว
ทงั้ โลกก็ตาม ลว นแตม ีมูลมาจากอารมณใ นอนาคตของตณั หาทง้ั นน้ั รวมความวา อารมณท ้งั ที่
เปน อนาคตและปจ จุบนั กล็ ว นแตเ ปนตณั หาไปดวยกนั ทั้งนน้ั
จากทก่ี ลา วมาแลว ผูศึกษาจะตองสังเกตใหเ หน็ วา ในตณั หาทั้ง ๓ ประการ คอื กามตณั หา
ภวตัณหา และ วิภวตัณหา น้ัน ตณั หาประการแรกมกี ามเปน อารมณ และตัณหา ๒ ประการขาง
หลงั น้ัน หาไดม ีกามเปน อารมณไม เราจงึ อาจจะแยกตณั หาออกเปน ๒ ประเภท คือ ตณั หาที่
เน่อื งดว ยกาม และไมไ ดเ นือ่ งดว ยกาม ทาํ ใหกลาวไดว า ศัตรหู รืออนั ตรายของมนษุ ยเ รา สาํ หรับ
ในทางฝา ยจติ แลว ก็มีอยู ๒ อยา งนี้ และนยิ มเรยี กกนั สน้ั ๆ วา "กาม" และ "ภพ" ซ่งึ เปน คาํ
บญั ญตั ิข้นึ เฉพาะทพ่ี วกโยคี หรอื มนุ ี ใชพ ูดกนั วา "สิง่ ท่นี า เกลยี ดนา กลวั กค็ อื กาม หรือ ภพ" เขา
จึงออกแสวงหาหนทางรอดพน ดวยการทาํ ความเพยี รอยา งยง่ิ สวนคนในปจ จบุ นั นี้ แทบจะไม
รจู กั สิง่ ทง้ั ๒ นว้ี าเปน อะไร และไมส นใจทจ่ี ะรูจกั มแี ตบ ากบน่ั พยายามเพื่อจะใหไดก ามและภพ
ตามความตอ งการ และไมมองเหน็ วา เปน ส่ิงทีเ่ ปน อนั ตราย อยา งทเ่ี รียกวา "เหน็ งูเปน ปลา" แลว
ก็เกบ็ เอามากอดรัดยึดถอื ไวด วยอปุ าทาน คอื ความรสู ึกเปน "ตวั เรา-ของเรา" ทง้ั น้ี โดยไมร วู าตน
กาํ ลงั หลงรกั สง่ิ ท่ีเปน อนั ตราย เพราะเราควรจะอยูโ ดยไมต อ งมคี วามหลงรกั ในสิง่ ใดเลย คอื อยู
ดว ยจติ ทบ่ี ริสทุ ธิ์ ไมม คี วามรสู กึ วา เปน "ตวั เราหรอื เปน ของเรา" ในสง่ิ ใด และสามารถปฏิบัติตอ
ส่ิงตางๆ ไปไดดวยจิตทีบ่ ริสทุ ธิ์
สําหรับส่งิ ท่เี ราเรียกวา กามและภพนนั้ เมอื่ เรารูจักมนั ดแี ลว เราจะเหน็ ไดเองวา กามเปน
ทตี่ งั้ แหง ความยดึ ถือวา "ของเรา" สว นภพนน้ั เปน ทตี่ ั้งแหง ความยึดถอื วา "ตวั เรา" แตเ ราตอ งไม
ลืมหลกั ทมี่ ีอยวู า ถา มีความรสู ึกวา "ของเรา"เมื่อใด ก็ตองมคี วามรูสกึ วา เปน "ตวั เรา" ซอ นลกึ อยู
ในนน้ั ดว ย มนษุ ยต กเปน เหยอ่ื เปนทาสของความหลอกลวง ของส่งิ ที่เรียกา "ตวั เรา-ของเรา" นน้ั
โดยไมม ีความรสู ึกตวั แมแตนอ ย น่แี หละ คือขอ ที่ถือกนั เปนหลกั ในหมูผรู ูวา ซาตานหรือพญา
มารนน้ั จะตอ งมาหรอื มอี ยใุ นลกั ษณะท่ีไมม ีใครรูจ กั ตวั เสมอไป หรืออกี อยา งหนึ่งกค็ ือ รผู ิด เหน็
เปนไมใชพ ญามารหรอื ศัตรู แตเ ห็นเปน "ตวั เรา" เสียเอง พญามารจึงทาํ อนั ตรายเราไดต ามชอบ
ใจ เปน ความเสยี หายเหลอื ที่จะพรรณนาได แตพอเกดิ รูจักเขา เทา นัน้ พญามารก็จะหายหนา ไป
เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 36 of 73
ทนั ที หรอื ท่ชี อบพดู เปน สาํ นวนปคุ คลาธิษฐานวา "พญามารจะขาดใจตาย หรอื ปกหวั หกั คอ
ตวั เองตายลงทันท"ี นแ่ี หละคอื อวชิ ชาทคี่ ดิ วาเปน "ตวั เรา" ถาวางจาก "ตัวเรา" ก็คอื จติ ทบ่ี รสิ ุทธ์ิ
แตช าวโลกไมม ีประสีประสาตอส่งิ ท่เี รียกวา พญามาร นเี้ ลย จงึ มี "ตัวเรา" ท่ที าํ ความเผาลน
ใหแ กตวั เองดว ยความสนุกสนาน หรอื ดว ยความสมคั รใจอยา งเปน กจิ ประจาํ วนั คือซา้ํ ซากไมม ี
ที่สิน้ สุด จนกระทั่ง หนักเขา ๆ ตัวเองกต็ อบไมไ ดวา นจี่ ะทาํ ไปทําไมกนั ทงั้ หมดนเ้ี ปน โทษของ
การทีไ่ มร จู ักสงิ่ ท่ีเรียกวา กามและภพ หรอื "ตวั เรา-ของเรา" อยางเดยี วเทา น้ัน
การท่ีมนษุ ยเ ปน ทกุ ขก นั อยใู นโลกกระทงั่ ถงึ วนั น้ี กม็ มี ูลมาจากกามและภพ เปน มาไมรูกี่
แสนกลี่ านปแ ลว ความเปลยี่ นแปลงไมไ ดม แี กส่งิ ท่เี รียกวา กามและภพ แตม ีอยทู ่ีวตั ถุหรอื ส่ิงท่ี
เปน อารมณภ ายนอก โลกแหง ปจจบุ ันนี้เปนโลกของวัตถุนยิ มยิ่งขนึ้ ทกุ ที เปน โลกของกามขน้ึ ทกุ
ที แมจ ะทาํ ใหล ะเอยี ดประณตี สขุ ุมเพียงไร กห็ าไดปลอดภยั จากโทษของกามไม มแี ตจ ะ
กลายเปน โทษของกามอยางประณตี ละเอียดสขุ มุ ยง่ิ ข้นึ เชนเดยี วกนั ทง้ั น้ีเปน เพราะความไม
ประสีประสาตอความรเู รื่องกามและภพ ความตกเปน ทาสของกาม หรือวัตถุ มแี ตขยายตัวกวาง
ออกไป สามารถลกุ ลาํ้ เขา ไปไดแ มในเขตวดั วาอารามของพทุ ธศาสนา ซง่ึ ถอื วา เปน ปอมคายที่
มั่นคงท่จี ะใชต อตา นกามหรอื วัตถุนิยม แตป อ มคายกพ็ งั ทลายไป ดงั จะสังเกตไดว า นักบวชสมัย
น้ีตกเปน ทาสของกามของวตั ถุเพยี งใด ลมุ หลงแตกามหรือติดในวัตถกุ ันไปแลว แคไหน ไมผ ิด
แผกไปจากชาวบานเลย นเ้ี รยี กวา การขยายตัวของวัตถนุ ยิ ม ซึ่งเคยเรยี กกนั ครงั้ กระโนนวากาม
เมือ่ เปนดงั นแ้ี ลว ใครจะเปน ท่พี งึ่ ใหแกใ คร ในการท่จี ะทาํ ตนใหป ลอดภยั จากอนั ตรายของวตั ถุ
นิยม หรอื ส่งิ ทเ่ี รยี กวา กาม
เม่ือใครตกอยูในอิทธพิ ลของกามแลว ยอมตอ งตกอยูในอํานาจของภพโดยไมม ที างทจ่ี ะ
หลีกเลี่ยงได เพราะมนั เปน ของเน่ืองกนั อยา งสนทิ เม่อื มกี ามแลว กป็ ระกาศตนเปนเจาของของ
กามนน้ั ซงึ่ มคี วามหมายเปน ภพ ครนั้ มีผแู ขง ขนั หรอื แยงชงิ "ตวั เรา" ที่เปน ภพ ก็มีกาํ ลังแกก ลา
หรือเขมขนยง่ิ ข้ึนไปอีก "ตวั เรา" กเ็ ปลี่ยนจากกามหรอื ราคะ มาเปนโทสะ และเปน โทสะยิ่งขน้ึ
จนถงึ ขนาดท่ีเรยี กวา ลมื ตวั คือมนื เมาใน "ตวั ตน" จัดเกนิ ไป จงึ ทาํ อะไรตามอาํ นาจของโทสะ ซงึ่
เรียกกนั วา จะตอ ง "รักเกยี รติยิง่ กวา ชวี ติ " ความไมย อมกนั และกนั ยิ่งมีมากขน้ึ ในหมูมนุษยทม่ี นึ
เมาในตวั ตน โดยไมต อ งคาํ นงึ ถึงความถูกผดิ เพราะไปมวั หลงคํานงึ แตเรอื่ งเสยี หนา ไมเ สยี หนา
ซงึ่ เปนเรือ่ งของภพอยา งเดยี วเทา นน้ั อนั นแี้ หละเปนมลู เหตทุ ที่ าํ ใหค นเราเหมือนสัตวท ีก่ ัดกนั จน
ตาย โดยไมคาํ นงึ ถงึ วา จะไดอ ะไรมา เพราะอาํ นาจของ "ตวั ตน"ไดค รอบงําหรอื ปด บงั ดงั กลา ว
แลว แมจ ะเอาสง่ิ ที่เปน กามมายวั่ มากลอ มมาขอู ยา งไร กห็ าไดเ ปน ทส่ี นใจในขณะน้ี ลาํ พงั กาม
อยา งเดยี วคนเราก็ฆา กนั ได พอเปลีย่ นไปเปนรูปของภพ ก็ฆา กนั ไดงา ยข้นึ ไปอีก น้คี ืออาการท่ี
กามและภพกาํ ลงั ครอบงาํ จติ ใจคนเราอยู ฉะนน้ั หนาทีข่ องพวกเรากค็ อื การสะกัดกนั้ กระแสแหง
เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 37 of 73
กาม ไมใหค รอบงําจติ ใจชน้ั หนง่ึ กอน ถา เม่อื มันครอบงาํ จติ แลว ก็สะกัดกน้ั ไมใหเปน ภพ ซึ่งเปน
เหตุใหคนทาํ อะไรลงไปตามชอบใจตวั เอง โดยไมค าํ นงึ ถงึ อารยธรรม วฒั นธรรม หรอื แมแต
ศาสนา น้ีคอื อนั ตรายของเรอ่ื งกามและภพที่เน่อื งมาจากกาม
ถงึ แมว า มนุษยเ กอื บทกุ คน มกั จะตกอยูใตอํานาจของกาม หรือภพอันเนือ่ งจากกาม แตก็มี
บคุ คลบางจาํ พวกมองเหน็ โทษของกามโดยประจกั ษ ไมว าจะเปน โดยการไดผา นกามมาแลว
อยางโชกโชน หรือ ดว ยการศึกษาอบรมจติ ใจ เพ่อื ใหม องเหน็ อยา งนน้ั ก็ตาม ยอมมองเหน็ กาม
วา เปน สงิ่ นารงั เกยี จเพราะเปน ท่ีตง้ั แหง ความทุกข จึงจดั กามไวเปน สง่ิ ทไ่ี มพ งึ ปรารถนา หรอื
แมแ ตบญุ กุศลซ่งึ คนบูชากนั นกั นนั้ ก็พลอยถูกรงั เกียจไปดวยฐานะทเ่ี ปนปจ จัยของกาม ทั้ง
อยา งท่เี ปน ของมนษุ ยและเปน ของสวรรค จึงทําใหเ ขาชะเงอมองหาสง่ิ อืน่ ซงึ่ เปน กศุ ลอันแทจ ริง
ทอี่ าจจะตัดความเยื่อใยในกามใหขาดออกไปได ในทีส่ ดุ เขาก็คนพบภาวะทางจติ ใจอยา งใหมท ่ี
ไมเกยี่ วกบั กามเลย ซึ่งแทจรงิ กเ็ ปน สงิ่ ที่มตี ามธรรมชาตอิ ยแู ลว แตมนษุ ยธรรมดาสามัญ ได
มองขา มมนั ไปเสีย เชน บางขณะจิตของคนเราผละไปจากกาม ไปพอใจอยใู นความวา งจากกาม
เปน ครัง้ เปน คราว แตเ ขาก็ไมสนใจ และไมถ อื วา เปน การพกั ผอ นเสยี ดว ยซา้ํ ไป เวนแตจะเปน
บคุ คลพิเศษซง่ึ เหน็ กามเปน สงิ่ ทน่ี าขยะแขยง ถา ใครเผอญิ มาเปน ดงั น้ี เรากต็ อ งยอมรับวา เขา
เปนบุคคลทผี่ ดิ ไปจากพวกคนธรรมดา นน่ั แหละคอื มูลเหตุ แหง การเกดิ ขน้ึ ของพวกพรหม และ
ภมู ิท้งั ๒ นี้เอง คือ ภูมหิ รือภพทีไ่ มเน่ืองดว ยกาม แมจะยงั มคี วามรสู กึ วา เปน "ตัวเรา-ของเรา"
เหลอื อยเู ตม็ ท่ี แตก ็ถือวา เปน เสน เขตแดน ปก ปน กนั ระหวา งโลกุตตรภมู ิ ซึ่งเปนทีม่ งุ หมายของ
พทุ ธศาสนา กบั โลกียภมู ิ ซึง่ ไมเ ปนทมี่ งุ หมายของพุทธศาสนาแตประการใด
ดงั นน้ั ทุกคนจะตอ งมองใหเหน็ อยางชดั วา หลกั พทุ ธศาสนานนั้ เปน ไปเพื่อโลกุตตรภมู ิ หา
ใชเ พือ่ กามาวจรภมู ,ิ รปู าวจรภมู ิ และ อรูปาวจรภมิ แตประการใดไม ถา จะมพี ูดถงึ เร่ืองหลงั
เหลาน้ีบาง กข็ อใหเขา ใจไวเ ถิดวา พดู เพ่อื เปน เครอื่ งช้ใี หเ หน็ วา น่ีแหละคือ ตัวอปุ สรรคของการ
ปฏิบัติเพื่อดบั ทกุ ข และเปน สง่ิ ทเี่ ราตองกา วใหพ น ไปทงั้ กามและภพ จนกระทง่ั ไมเปน ภพใน
ลักษณะไหนหมด นน่ั แหละคอื ขอ ยนื ยันทว่ี า โลกุตตรภูมิหรอื นพิ พานนน้ั จะเปน ภพชนิดไหนไป
ไมไดเลย เพราะเปน ส่ิงทีป่ ราศจาก "ตวั ตน-ของตน" โดยแทจรงิ เราตองกา วข้นึ มาถงึ ข้ันนจ้ี ริงๆ
เทา นนั้ จึงจะพบกับตวั แทของพทุ ธศาสนา ไมห ลงเอาโลกยี ภมู ิมาเปน พทุ ธศาสนา แลว ยงั มา
ยนื ยนั ทมุ เถยี งกนั คอเปน เอน็ หรอื สอนใหผ อู นื่ ใหเขา ใจผดิ ซง่ึ นบั วา เปน การทําบาปอยา งย่ิง
สรปุ ความสั้นๆ วาถงึ เปน พรหมแลว แมจะปราศจากกามโดยสิ้นเชงิ กย็ งั ไมห ลุดพน จาก
อปุ าทานทยี่ ดึ ถอื วา "ตัวตน-ของตน" และยงั ถกู จดั วา เปน โลกียภูมิ เปนวัฏฏสงสารเพราะเขายงั มี
"ตวั ตน-ของตน" อยา งเตม็ ท่ี ยังเปน ปถุ ชุ นไมใ ชอริยบุคคลอยูน นั่ เอง หวงั วา การกลา วยืนยันสจั
เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 38 of 73
ธรรมเชน น้ี ผูท ี่ยกตวั เองวา เปน ปราชญในการสอนพทุ ธศาสนาทง้ั หลาย จะไมเ หมาเอาวาเปน
การพดู โดยอตั โนมตั ิ พูดนอกตําหรับตํารา หรือผดิ ไปจากหลกั อภิธรรมท่ีตนเคยศกึ ษาเลาเรียน
มา เพราะถา จะปฏบิ ัติพุทธศาสนากนั เพอ่ื ใหเขาถงึ ตัวแทข องพทุ ธศาสนาโดยเรว็ แลว เรา
จําเปนตองขามสิง่ ทงั้ หลายทจ่ี ะทําใหเ ราเสยี เวลา เชน การเรียนพทุ ธประวัติ ประวตั ิศาสตรข อง
พุทธศาสนา คมั ภรี ตา งๆ ชาดกตา งๆ ตลอดจนอภิธรรม ซง่ึ อาจทาํ ใหผ ศู ึกษาหรือผูสอนเกดิ มี
"ตัวตน" และ "ของตน" ใหญข นึ้ ไปอกี
เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 39 of 73
บทที่ ๕
การดับลงแหง อัตตา
ดังทก่ี ลา วมาแลวในบทกอนวา การเกดิ ขน้ึ แหง "อัตตา" กค็ ือการตง้ั จติ ไวผดิ เพราะฉะนนั้
การตั้งจิตไวใหถูกจงึ เปน รากฐานแหง การดบั "อตั ตา" ตลอดเวลาทม่ี ีการต้งั จิตไวถกู ความดบั
ของ "ตวั เรา" กม็ ีอยูเ พยี งนนั้ ไมวา การกระทาํ นัน้ ๆ จักเปน ไปโดยบังเอญิ หรือวา เปนไปเพราะการ
กระทาํ อยา งใดอยา งหนงึ่ เชน ใชอํานาจของสมาธปิ ด กน้ั โอกาสแหง การเกดิ ข้นึ ของ "ตวั ตน หรือ
วา เปน เพราะอาํ นาจของปญ ญาซึง่ ตัดราก "ตัวเรา-ของเรา" เสยี โดยสน้ิ เชงิ กต็ าม ลวนแตกลาวได
วา ในขณะนน้ั มีภาวะแหงความดับของ "ตัวเรา-ของเรา" ดวยกนั ทงั้ นนั้ ตา งกนั แตวา อยา งที่ ๑
เปน ไปอยา งผวิ เผนิ อยางท่ี ๒ เปนไปตลอดเวลาท่มี ีการบงั คบั อยา งท่ี ๓ เปนการดบั สนิทเพราะ
ทาํ ลายรากเงา ของมนั เสยี โดยสิน้ เชงิ และความดับทเ่ี ราประสงคใ นที่นี้ กห็ มายถงึ อยา งท่ี ๓
โดยเฉพาะ แตถ ึงอยา งน้ัน กค็ วรทําความเขาใจในอยา งที่ ๑ และที่ ๒ ดว ยเหมอื นกนั เพ่อื
ปอ งกนั ความสําคัญผิด หรอื ความสับสนนนั่ เอง
การไมป รากฏของ "อตั ตา" อยา งที่ ๑ ซ่ึงมีขน้ึ ไดดว ยการประจวบเหมาะนน้ั หมายถงึ
ขณะน้ัน เผอญิ มีส่ิงบางส่งิ (ซึ่งจะเปน การไดเ ห็นหรือไดฟ ง หรือไดอ า นอยูก็ตาม หรอื ไดร ับ
อารมณซึง่ เปน ความเงยี บสงดั ไมชวนใหเกดิ ความคดิ นกึ อะไรกต็ าม) ทาํ ใหเ กิดความรสู ึก ทเ่ี ปน
การดับ "ตวั เรา-ของเรา" อยไู ดเ ปนเวลาระยะหนง่ึ นานตลอดเวลาทคี่ วามรสู กึ เชน นน้ั มอี ยู
ลกั ษณะเชน นเี้ ปนไปได ในคนธรรมดาสามญั ท่ัวๆ ไป แมด วยความไมต ้งั ใจ และอาจเปน ไดม าก
สาํ หรบั ผทู ี่อยูในทท่ี เ่ี หมาะสม มสี ิ่งแวดลอมหรอื มีการสมาคมกบั บุคคลท่เี หมาะสม หรอื แมแ ต
ดินฟา อากาศทีเ่ หมาะสม ซง่ึ พอจะเรยี กไดสน้ั ๆ วา เปนความสบายทางจิตนนั่ เอง อาการอยา งน้ี
พอจะเรียกไดวา "ตทังควิมุตติ" คือการพนไปจากอาํ นาจของ "ตัวเรา-ของเรา" ดวยความบงั เอิญ
ประจวบเหมาะ นิสัยของคนบางคน ธรรมชาตสิ รา งมาใหเ ปน ผมู จี ติ วา งจาก "ตวั ตน" ไดง ายๆ
กลา วคือ ความรสู ึกวา "ตัวเรา-ของเรา" เกดิ ขึน้ ไดโดยยาก กน็ บั รวมอยใู นขอน้ี
สําหรบั ความดับแหง "อัตตา" อยางท่ี ๒ ซง่ึ เปน ดว ยการกระทาํ ทางจติ (ซ่งึ ไมใชท างปญ ญา
นน้ั ) หมายถงึ ขณะน้นั มกี ารทาํ จิต ใหติดอยูก บั อารมณข องสมาธอิ ยางใดอยา งหนง่ึ จติ กําลงั อยู
ในสภาพที่เปรยี บเหมอื นกับววั ทถ่ี ูกผกู ตดิ อยกู บั แอก กลา วคอื อารมณข องสมาธิไมมโี อกาสทีจ่ ะ
หนไี ปหาอารมณอ ืน่ ตามทมี่ นั ชอบ ความรสู กึ เปน "ตวั เรา-ของเรา" จงึ ไมอาจจะเกดิ ขนึ้ ใน
ขณะนนั้ ความวา งจาก "ตวั ตน" ในลกั ษณะเชนน้ี ไมใชเปน ไปโดยบงั เอิญ แตเปน ไปโดยอาศยั
การกระทาํ ท่เี อาจรงิ เอาจงั โดยวิธีเหนย่ี วรง้ั จิตไวใ นอารมณท บี่ ริสุทธจิ์ นไมเกิด "ตัวตน" แมจ ะมี
เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 40 of 73
บาง กเ็ ปนไปแตในทางท่ดี ี คือเปน "ตวั เรา-ของเรา" ฝา ยดี ยงั ไมม ีอนั ตรายมาก ยงั มีทางท่จี ะ
ทําลายใหห ายไปดวยการทําสมาธทิ ่ีถกู ตอ งได
ตัวอยา งเชน ในการทําอานาปานสติภาวนา เมือ่ ทําจติ ใหเปน สมาธิได กเ็ กิดสุขเวทนา
ขึ้นมาจากสมาธิ ถามีสตสิ ัมปชญั ญะเพยี งพอ คือมกี ารกระทําทถ่ี กู วิธอี ยตู ลอดเวลานนั้ จติ ก็ไม
อาจจะเกดิ ความรูสกึ วา มี "ตวั ตน" มแี ตการทจี่ ะพจิ ารณาตอ ไป วาแมความสุขทีเ่ กดิ จากสมาธิก็
เปน มายา คอื ไมเทีย่ ง เปน ทกุ ข และเปน อนตั ตา "อตั ตา" กย็ งั ไมอาจจะเกดิ ขึ้นได สว นในกรณที ่ี
เผลอสติ หรือทาํ ผิดวธิ นี นั้ กจ็ ะพอใจอยา งหลงใหลในสุขเวทนานนั้ หรือถึงกบั เกิดความรสู กึ
ทะนงวา ตนประสบผลสําเรจ็ ในคณุ วิเศษแลว "ตัวเรา-ของเรา" ก็ยอมจะเกดิ ขน้ึ มาอกี อยา งนจี้ ะ
ไปโทษสมาธไิ มถูก เพราะวา ในขณะนน้ั ไมเปนสมาธิทถ่ี ูกตอ งเสยี แลว
วิกขัมภนวมิ ุตติ กค็ ือการพน ไปจากอํานาจของ "อัตตา" ดว ยการอาศยั สง่ิ ใดส่ิงหนง่ึ มาปด
กั้นทางเกิดแหง "อตั ตา" ไวอ ยางหนาแนน และอยางเฉลยี วฉลาด การพยายามทาํ อะไรบางอยา ง
เพ่อื กลบอารมณราย เชน การสวดมนตเพือ่ กลบอารมณรายทเ่ี ปน "ตัวเรา-ของเรา" ถา ทาํ สําเรจ็
ก็นับรวมเขา ในขอนี้ นเี้ ปน ตวั อยางสาํ หรบั การกระทาํ เลก็ นอ ย ซงึ่ คนธรรมดาสามญั กท็ ําได แมท ี่
สุดแตเร่ืองท่สี อนใหน บั ๑ ถงึ ๑๐ กอนทีจ่ ะโกรธใคร แลวก็นบั เรอ่ื ยไปจนความโกรธเกิดขึ้นไมได
แมอ บุ ายอยา งนก้ี ็นบั รวมไวใ นขอ นี้ ทง้ั นี้มหี ลกั สนั้ ๆ วา ตอ งใชความพยายามอยา งยงิ่ ไมใชมัน
เปน ไปโดยบงั เอญิ จงึ แตกตา งจากอยางที่ ๑ และเราเรยี กมนั วาเปน การดบั ตัวตนดว ยอํานาจ
การกระทําทางจิต เชน การทาํ สมาธิ ยังไมใ ชก ารกระทาํ ทางปญญา
สาํ หรบั ความดับ "ตวั ตน" อยา งท่ี ๓ คอื ดว ยการอาศัยปญ ญานนั้ หมายถงึ อบุ ายทีแ่ ยบ
คายไปกวา นนั้ มาก และไมใชเปน การกระทําที่บีบบังคับโดยตรง แตเปน การกระทาํ ทเี่ รยี กวา
เปนการถอนรากเงาขึน้ มาทาํ ลายเสียโดยสิน้ เชิง ตวั อยางเชน ในการทาํ ลายหญาคา ถา เอามดี
เอาพรา มาฟาดฟนอยา งผวิ เผนิ หญาคากห็ ายหนาไปพกั หน่ึงแลวกง็ อกข้ึนมาอกี หรอื ถา เอา
อะไรมาทบั มาปดไว หญาคาก็หายหนา ไปเหมือนกัน แตเมื่อเอาของทับออกเสียแลว หญาคาก็
กลบั ปรากฏอกี แตกน็ านกวา วิธที ี่ ๑ ทนี ถี้ า ขดุ รากหญา คาข้ึนเผาเสยี ใหหมด หญาคากห็ มดไป
เปนการถาวร เราทราบแลว วา "อวิชชา" เปน รากเงาของ "อตั ตา" ฉะนน้ั การทาํ ลายอวชิ ชา กเ็ ปน
การทาํ ลาย "อตั ตา" และเพราะเราใชว ิชชาหรือปญญามาทาํ ลายอวิชชา เราไมใชกาํ ลงั จติ ลว นๆ
อยางวธิ ที ี่ ๒ เราจงึ เรียกการกระทาํ อยางนวี้ า เปนไปดวยอาํ นาจของปญ ญา และเราเรียกการดบั
ของ "ตัวตน" ในลักษณะนว้ี า "สมุจเฉทวมิ ตุ ติ" เปน การดบั "ตัวตน" ดว ยการถอนรากเงา ข้นึ โดย
สน้ิ เชงิ
เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 41 of 73
แมค นเราจะไดพบกบั ความดับไปแหง "อตั ตา" โดยบังเอญิ อยางวิธที ่ี ๑ นัน้ อยูบอยๆ ก็
ตาม แตก็หามใี ครเห็นวา เปน เรือ่ งสําคญั ที่ควรจะสนใจ คือเขาสนใจกนั แตเ ร่ืองทกี่ าํ ลงั อยาก
กําลงั ตอ งการ ไมสนใจเร่อื งของความวางจากความอยากความตอ งการ หรือ แมแตรสชาติของ
จิตทวี่ า งจากความตอ งการ เขาจงึ ไมม ีโอกาสรจู กั ภาวะของจติ ทวี่ า งจาก "ตวั ตน" ซง่ึ ทแ่ี ทกม็ ีอยู
บอ ยๆ เม่อื ไมสนใจเพราะไมร ูจักแลวมนั ก็มีคา เทา กบั ไมม ี เหมอื นกบั ไกที่เดนิ ไปบนกองเพชร
พลอย มันก็ไมรสู ึกวา มอี ะไรทมี่ ีคา นา สนใจ แตถาเห็นขา วสารสกั เมด็ หนง่ึ ตกอยูบนดนิ มนั จะ
เห็นคา ข้นึ มาทนั ที อาการอยา งน้ีมอี ยูแ มใ นอุบาสกอุบาสกิ า ตลอดถงึ ทเี่ ปนบรรพชิต ตลอดจน
แมเถระ ฉะนน้ั การปฏบิ ัตเิ กย่ี วกบั การดับของ "อตั ตา" จงึ กอ รปู ขึ้นไมได มีแตจ ะเปนไปในทางที่
จะเกิด "อัตตา" เสียตะพึดจงึ ไมไ ดร ับแมแตความดับของ "อัตตา" ชนิดทเ่ี ปนดว ยการบงั เอญิ ถา
คนยงั เปนเหมอื นไกอ ยูเพียงใด เพชรพลอยอยา งมากมายในพระพทุ ธศาสนากจ็ ักยงั เปนหมนั อยู
เพียงนน้ั เพชรพลอยในทน่ี ้เี ราหมายถงึ พระพทุ ธ พระธรรม พระอรยิ สงฆ การดบั ไปแหง "ตวั ตน"
เปน ยอดของพระธรรม คอื เปนธรรมชัน้ สงู สดุ หรอื เปนบรมธรรมทีเดียว เพราะเปน ไปเพ่อื การไม
เบียดเบียนตนเอง และไมเบยี ดเบยี นผูอ น่ื ถึงที่สดุ จรงิ ๆ ฉะนน้ั เพ่ือการปฏบิ ัติธรรมทางลัด เรา
จะตองหนั มาสนใจ เลือกเอาเพชรพลอยชนดิ ใดชนดิ หนง่ึ กลา วคอื การดับไปแหง "ตัวตน-ของ
ตน" ชนิดใดชนิดหนึง่ ที่เหมาะแกต ัวเรา นาํ เอาเขา สกู ารประดับประดาของเราเปน ประเดิม
เริม่ แรกกันเสยี กอน สําหรับจะไดท าํ ใหก าวหนาไปตามลําดับ จนถึงทสี่ ุด
ความดบั ไปแหง "อตั ตา" นน้ั ไมไดห มายถงึ ความดบั ไปของรา งกายหรอื ของชีวติ มิได
หมายถงึ การดบั ไปแหง ความรูสกึ เชน หมดความรูสกึ น่ิงเงยี บไปเพราะอาํ นาจของฌาน แต
หมายถงึ การดบั ของความรสู กึ ทีร่ วู ามี "ตวั เรา-ของเรา" ซง่ึ เราเรยี กกนั สน้ั ๆ เพอ่ื ความสะดวก วา
"ความดับไปแหงอัตตา" และคําวา "ความดบั " ในทนี่ ี้ หมายถึงการปอ งกนั ไมใ หเกดิ ขนึ้ รวมทง้ั
การดบั ตัวตนทีป่ รากฏอยูแลวดว ย ฉะนนั้ โดยใจความทแ่ี ทจ ริงกค็ ือ ภาวะแหงความท่ีจติ
ปราศจากความรสู ึกวาเปน "ตัวเรา-ของเรา" นนั่ เอง
อน่ึง ยงั มีความหมายที่ยิ่งไปกวา นน้ั อีก คอื ไมไดห มายความวา จติ วา งเปลาไมมอี ะไรเลย
หรือจิตเองก็ดบั ไปดวย ตอ งทราบไวว า เมอื่ ใด "ตัวตน" ดบั ลงไป ความวางอยา งหนง่ึ ก็ปรากฏข้นึ
แทน เปนความวา งจาก "อัตตา" แตท วา ประกอบอยดู ว ยสตปิ ญ ญาอยางยงิ่ ในตวั ความวา งนั้น
เมอ่ื "อตั ตา" ยงั เดอื ดพลานอยู จติ มีแตความวนุ เมอ่ื "ตัวตน" มอี ยู จิตกม็ ดื มน เพราะความเดอื ด
พลานของความรสู ึกวามี "ตวั ตน" ครน้ั "ตวั ตน" ดับไป จิตกห็ มดความมดื และมีความสวาง
เกดิ ขน้ึ แทน เม่อื "ตวั ตน" มอี ยู จติ มีแตค วามโงดว ยอาํ นาจของอวิชชา ซ่ึงเปน เหตใุ หเ กดิ "ตัวตน"
เม่ือ "ตวั ตน" ดบั ไปจิตก็พนความโง กลายเปนธรรมชาตทิ ีป่ ระกอบไปดว ยความรูสึกอยางเตม็ ที่
ไดในตัวมนั เอง คือมนั รสู งิ่ ทเ่ี ปนความวา ง ความไมม ที ุกข ความรสู กึ วา มี "ตวั เรา-ของเรา" นน้ั
เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 42 of 73
ไมใชธรรมะแตเ ปน อธรรม ตอ เมอ่ื วางจากความรสู กึ วา มี "ตัวเรา-ของเรา" เมอ่ื นน้ั จึงจะเปน
ธรรมะ
อกี อยางหนง่ึ จะถอื วา เมือ่ จติ ประกอบอยดู วยความรสู กึ วามี "ตัวเรา-ของเรา" จิตยอม
สูญเสียความบรสิ ุทธิ์ คือไมเปน จติ เดมิ แทท ี่บรสิ ทุ ธิ์สะอาด แตก ลายเปนเพยี งของมายา เปน
เพยี งความคดิ ปรุงแตง ไปตามเรื่องตามราวของอารมณท เี่ ขามาแวดลอม ใหเ กดิ ความรูสกึ วามี
"ตวั เรา-ของเรา" ตอ เมือ่ ใดจติ วา งจากความคิดปรุงแตง หรอื วางจาก "ตัวเรา-ของเรา" จติ จึงคนื สู
สภาพเดิม คือ เปน จติ ทส่ี ะอาดอยูตามธรรมชาติ
สรุปความวา เมอื่ ความรูสึกวา เปน "ตัวเรา-ของเรา" ดบั ไป จะตอ งมีสงิ่ อื่นปรากฏขนึ้ มา
แทนสงิ่ นนั้ นนั่ ก็คอื ภาวะของจิตเดิมแท เปน ภาวะแหง ความวา งจากความวนุ ดว ยอํานาจการนกึ
คดิ เกดิ ภาวะแหง ความสวา งและความเปน ธรรมะ และทส่ี าํ คญั อยา งย่ิงนัน้ ก็คอื จะเกิดภาวะ
แหง ความสมบรู ณด ว ยสตปิ ญญา ฉะนั้นความดบั ไปแหง "อัตตา" จึงไมใ ชส งิ่ ทนี่ า กลวั ไมใ ชส ิง่ ที่
ไรค ุณคา ไมใ ชส งิ่ ท่จี ะทาํ ใหค นเราเส่อื มสมรรถภาพ แตก ลบั ทาํ ใหเราสมบูรณไปดวยสติปญญา
ไมมที างทจี่ ะทาํ อะไรผดิ พลาด และมีแตค วามสงบสุขทางใจ
ผทู ไ่ี ดฟง เรอื่ งน้ีแลว ยงั ไมเ ขา ใจ หรอื เขา ใจหรือครึง่ ๆ กลางๆ อาจเกิดความเขา ใจผดิ อยาง
แรง อาจเห็นวา ความดบั แหง "ตวั ตน-ของตน" น้เี ปน โทษไปกไ็ ด คอื เขาเขา ใจผดิ ไปวา ถา ดบั
ความรูส กึ วามี "ตัวตน-ของตน" เสยี แลว คนเรากจ็ ะไมท าํ อะไร จะไมยอมพัฒนาประเทศชาติ จะ
ไมย อมทาํ ประโยชนใหแ กสงั คม เพราะวา ไมมีอะไรทเ่ี ปน เครอ่ื งกระตนุ ใหท ํา มแี ตค วามรูส กึ ท่ี
อยากจะอยเู ฉยๆ เปน กอนดนิ กอ นหนิ ไป ความหลงผดิ เชน น้เี กิดข้ึน จากการทเี่ ขาไมเขาใจอยาง
ถกู ตอ ง ในเรือ่ งของความดับของ "ตวั ตน-ของตน" และอีกอยา งหนึ่งนนั้ เขามคี วามเคยชนิ เปน
อยางยิง่ กับความรูสึกวา เปน "ตวั ตน-ของตน" เม่ือเขามคี วามรสู ึกเปน "ตัวตน-ของตน" ข้นึ มา เขา
กร็ สู ึกเปน สขุ หรือเปน ความเอร็ดอรอยในทางจิตใจ จนกระทง่ั มคี วามติดใจหลงใหลเอาทีเดยี ว
และยิ่งเปน อยา งนม้ี ากข้ึนตามอายทุ ่ีลว งไปๆ เขาจึงเปนเกลอกับ "ตัวตน-ของตน" อยางท่ีจะขาด
เสียไมไ ด และกลายเปน ปุถชุ นคนหนาไปดวยกเิ ลส คือในลกั ษณะที่ "เห็นงเู ปน ปลา" ไปเสีย
ตะพดึ จงึ อยูในฐานะลาํ บากอยา งยงิ่ ท่ีจะทําความเขา ใจในเรอ่ื งความดับไปของ "ตวั ตน-ของ
ตน"
ขอนี้กส็ มตามความหมายของคําวา ปถุ ุชน ซ่ึงแปลวา "คนหนา" คอื หนาไปดว ยสงิ่ หมุ หอ
ดวงตา หรอื จติ ใจ หรือปญญา จนกระท่งั ปญญาไมอาจสอ งแสงได แตว า "ตวั ตน-ของตน" นนั่
แหละเปนผสู อ งแสงแทน เรอ่ื งมันจงึ ทาํ ใหเ หน็ ผิดไปหมด คนโงๆพวกน้ี ไมพ อใจทจี่ ะดับ "ตวั ตน-
เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 43 of 73
ของตน" โดยไปเขา ใจวาจะเปนการขาดทนุ อยา งยอยยบั ไมมอี ะไรเหลอื ฉะนน้ั การแนะนาํ ส่ัง
สอนธรรมะในขัน้ ทจ่ี ะถอนอปุ าทานเชนนี้ จึงทาํ ไมไดในหมูชนซ่ึงเปน ปุถชุ นมากเกนิ ไป จะทําไดก ็
เพียงแตแนะนาํ สง่ั สอนใหเ ลอื กยดึ ถอื "ตวั ตน-ของตน" ชนิดทีไ่ มสเู ปน อนั ตรายมากมายนกั ไป
พลางกอ น แมจ ะตอ งรองไหบ าง กย็ ังมเี วลาทึ่จะไดห วั เราะสลับกันไป แตท ่จี ะใหไมต อ งหวั เราะ
และรองไหเลยนนั้ ยังเปน ไปไมไ ด (อา นหนังสือ "อะไรถกู อะไรผิด" ซึ่งอธิบายเรือ่ งนอี้ ยา ง
ละเอยี ด)
ทนี ้ี กม็ าถงึ บุคคลอีกประเภทหนง่ึ ซง่ึ เรยี กวา ปถุ ุชนชนั้ ดี หรอื กลั ยาณปุถชุ น หมายถงึ
บคุ คลทม่ี ีเครอ่ื งหมุ หอ ตาไมห นาจนเกนิ ไป มผี งในดวงตาไมม าก เขาจึงสามารถลา งผงออกจาก
นัยนต าของเขาไดหมด และผงทก่ี ลาวน้กี ค็ อื ความรสู กึ วาเปน "ตัวตน-ของตน" อกี นน่ั เอง พวกที่
มีผงในดวงตาเพียงเล็กนอยนี้ หมายถงึ คนบางคนทีไ่ ดรับการศึกษาทางธรรมทถ่ี ูกตอ งมาแตแรก
รวมทง้ั เปนผมู อี ปุ นสิ ัยดี ไมห วั ด้ือร้นั อวดฉลาด เขามีสตปิ ญญาตามธรรมชาตชิ นดิ ทีอ่ าจรสู ิ่ง
ทง้ั หลายทง้ั ปวงตามท่ีเปน จริง เปน ผูเตรียมพรอมทจ่ี ะมคี วามรูย งิ่ เหน็ จริงอยเู สมอ พอไดร ับ
คาํ แนะนําชี้แจงเรอ่ื งโทษของ "ตวั ตน-ของตน" เขากจ็ ับฉวยเอาไดท นั ที รวมความวา เขาจะเขาใจ
อยางเดด็ ขาดลงไปวา การดบั เสียไดซ ึ่ง "ตัวตน-ของตน" นั้น จะทาํ ใหค นเราทําอะไรไดมากขึน้
ทําไดด ียงิ่ ขนึ้ ทาํ อะไรไมผ ิดพลาด เพราะไมม ีความเหน็ แกตวั และในที่สุด สงั คมจะประสบสนั ติ
สุขที่แทจ รงิ การพฒั นาประเทศชาติก็จะไดผล และจะไมม คี อรัปชั่นมากมายอยางทเ่ี ปน อยใู น
ขณะนี้
สถิตขิ องโลกในทกุ วนั นป้ี รากฏวา ในบางประเทศมคี ดกี ารขม ขืนสตรที กุ ๆ ๓๔ นาที มีการ
ตดั ชอ งยองเบาขโมยเลก็ ขโมยนอ ยทุกๆ ๓๙ นาที มีการทําอนั ตรายกนั ถงึ ตายทุกๆ ๕๐ นาที
ตัวอยา งเพยี งเทานีก้ แ็ สดงใหเ ห็นแลว วา สง่ิ ทน่ี า ขยะแขยง หรอื เสนยี ดจญั ไรในโลกนนั้ มีอยไู ม
นอ ยเลย และเปน ท่แี นน อนวา จะทวมี ากข้ึนเรว็ ขึน้ ยง่ิ กวา การทวขี องพลโลก เมื่อเทียบสว นกนั
น่แี สดงใหเหน็ วา การตกอยูใตอํานาจ "ตวั เรา-ของเรา" ของมนษุ ยน ั้น ไดทวขี ้นึ ฉะนั้น หากวา มี
การดบั "ตัวเรา-ของเรา" ลงไปไดเ พยี งใด สงิ่ ทไ่ี มพ ึงปรารถนาเหลานนั้ กจ็ ะลดลงตามสวน ถา
มนษุ ยเรายงั ไมส ามารถจบั ตนตอของความชวั่ เหลา นีไ้ ด กจ็ ะไมส ามารถขจดั มนั ได ทง้ั นกี้ เ็ พราะ
มองขามเรอ่ื งความดบั แหง "ตัวเรา-ของเรา" โลกจงึ ตอ งประสบชะตากรรมอยา งน้ี และจะลุกลาม
จากวกิ ฤติการณสว นบุคคลไปเปนวกิ ฤตการณของโลก จากวกิ ฤติการณชั่วคราวไปเปน
วกิ ฤตกิ ารณถ าวร จนถงึ ขนาดเหลือวิสยั ทมี่ นษุ ยผ ูยงั งมอยูในลกั ษณะเห็นผดิ เปน ชอบเชนน้ี จะ
แกไ ขมันได
เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 44 of 73
การขม ขืนสตรี การตัดชอ งยอ งเบา หรอื การปลน สดมภ การลกั การขโมย การฆากันโดย
บันดาลโทสะ หรอื โดยเจตนา และ การกระทําอยา งอื่นๆ ซึง่ เรียกวา อาชญากรรมนนั้ มีตน ตอท่ี
ลกึ ซึ้ง อยูทกี่ ารพลุงออกมาของ "อตั ตา" กลา วคอื ความรสู กึ ทีเ่ ปน "ตัวเรา-ของเรา" ถา พลงุ ขึ้น
มาถงึ ขีดสุดแลว มนั ทาํ ใหไมกลัวอะไร ฉะนนั้ อํานาจการบงั คบั หรอื อํานาจกฏหมาย ยอ ม
ควบคมุ สงิ่ เหลา น้ีไวไมไ ด เพราะในขณะนน้ั เขาไมก ลวั แมแตความตาย หรอื โทษภัยใดๆ ทัง้ สน้ิ
ทนี ี้ ถา เราหนั มาใชวิธที ไ่ี มเปน การบังคับ เชน วธิ ศี ึกษาอบรมกันท่ัวไป ใหเ ขา ใจถกู ในเรอ่ื ง
ความดับแหง "อตั ตา" กข็ อยนื ยนั วา เม่อื ดบั "อตั ตา" ไดมากเทาไร คนกจ็ ะไมมคี วามเห็นแกต วั จัด
เพราะมีสตปิ ญ ญา หรือเหตุผลไดมากขน้ึ ตามหลกั พทุ ธศาสนา ยอมจะกลา วไดว า ศีลธรรมกด็ ี
สจั ธรรมทส่ี ูงขน้ึ ไปกด็ ี หรอื โลกุตตรธรรมขอใดกด็ ี ลว นแตม คี วามมงุ หมายท่ีจะเขน ฆาสงิ่ ที่
เรียกวา "อตั ตา" ใหดับไป ใหเ หลอื แตสตปิ ญ ญาควบคมุ ชีวิตน้ี ใหดาํ เนนิ ไปถงึ จดุ หมายทแี่ ทจรงิ
ท่มี นษุ ยค วรจะได สว นจรยิ ธรรมทมี่ ชี อ่ื ไพเราะตางๆ นานา เชน ความซอ่ื สตั ย ความเห็นแกผ ูอื่น
ความรกั ใครเ มตตากรุณา การสารภาพความผดิ ฯลฯ โดยมากกเ็ ปนเพียงสกั วา ช่อื ตามปายหรอื
ตามฉลากท่ปี ด ไวต ามที่ตางๆ หรอื สมาคมตา งๆ ไมสามารถจะปราบอธรรมได เพราะวา "อัตตา"
ของมนุษยในโลกทกุ วนั น้ไี ดห นาแนน ยงิ่ ขน้ึ และรุนแรงถึงกบั เดือดพลา นน่ันเอง ฉะนน้ั ถาเราหวงั
ทจ่ี ะมีจรยิ ธรรมมาเปน ทพี่ งึ่ ของชาวโลกแลว จะตองสนใจในเร่อื งความดบั ไปแหง "อตั ตา" ให
มากเปน พเิ ศษ สมตามท่หี ลกั แหง พุทธศาสนายนื ยนั วา มันเปน เพยี งสง่ิ เดียว ซง่ึ เปนตนเหตุแหง
ความทกุ ขทงั้ ปวง
เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 45 of 73
บทท่ี ๖
วิธีลดอตั ตา
เพ่ือความเขา ใจถึงวิธีลด "อตั ตา" ไดอยา งงา ยๆ โดยอาศยั หลกั เกณฑท ร่ี ัดกุม จึงจะได
พิจารณากนั ถงึ ส่งิ ที่เรียกวา "สังโยชน" ๑๐ ประการ แลวผปู ฏิบตั ิธรรมกจ็ ะทราบไดเองวา พุทธ
ศาสนามีความมงุ หมายท่ีจะลด "ตวั ตน" อยา งมีประสทิ ธิภาพเพยี งไร
สังโยชนประการที่ ๑ มชี อื่ โดยภาษาบาลีวา "สกั กายทิฏฐิ" หมายถงึ ความยดึ ถอื วา กายกบั
ใจนี้เปนของตน เมอื่ มีความรูสกึ คดิ เชน นน้ั แลว เขากห็ วงแหน อยากใหม นั ดใี หม นั เทย่ี งแทถ าวร
เพอื่ ประโยชนแ ก "ตวั เขา" โดยธรรมชาตทิ แ่ี ทน นั้ มนั ไมม อี ะไรท่ีจะเปน ของเขาไดเ ลย แตค วาม
หลงผิด ทําใหเขาเขาใจวา มนั มีอะไรๆ เปน ของเขาจนได โดยเหตนุ ี้ สงิ่ ทเ่ี ปนเพยี งธาตุดนิ นํา้ ลม
ไฟ อากาศธาตุ วญิ ญาณธาตุ ที่รวมกลมุ กนั อยู กถ็ กู ยดึ ถอื เปนกายและใจ "ของเขา" มนั จงึ มี
ลักษณะเปน ความเหน็ แกตวั แลว กท็ าํ อะไรๆ ไปในลกั ษณะทเี่ ปน ความทกุ ขย ากลาํ บากแก
ตัวเองและแกผ ูอ ่นื ปญ ญาอยา งโลกๆ ก็สงเสริม "ตวั ตน-ของตน" ใหห นักยงิ่ ขนึ้ ตอเมอ่ื ไดร ับ
การศึกษาอบรมทถี่ กู ทาง หรอื ปฏิบัตทิ ถ่ี ูกตอ งตามหลกั แหงพุทธศาสนา เขาจงึ จะไมอ าจมี
"ตวั ตน-ของตน" ชนิดทีจ่ ะไปฆา ไปลกั หรอื เบยี ดเบยี นผอู นื่ และจะเร่ิมนกึ ถงึ การท่กี ายทุกกาย
หรอื ธาตทุ กุ กลมุ เปน เพือ่ เกดิ แกเ จ็บตายอยา งเดยี วกนั จึงลดความหมายมน่ั ปน มือทจ่ี ะเอา
ประโยชน จากผูอนื่ มาเปน ของตนเองลว นๆ ดังแตกอน
ความลดไปแหง สกั กายทฏิ ฐนิ ี้ ทําใหเกิดความสงบเยน็ ความสงบเยน็ ทาํ ใหเ กดิ
สติสัมปชัญญะ สติสัมปชญั ญะกท็ าํ ความปลอดภยั ใหแกต นเองและผอู ืน่ ถา เพยี งแตค นเรา
สามารถ ละสงั โยชนขอที่ ๑ นีไ้ ดเ ทานนั้ โลกน้กี ็จะเปลี่ยนแปลงไป อยา งหนา มอื เปน หลังมอื
อยางนอ ยทส่ี ดุ การเบยี ดเบยี นกนั จะหายไปจากโลก มีแตก ารเอื้อเฟอ เผ่อื แผก นั อยา งแทจ ริง เขา
มาแทน
ตอ ไปก็คือ ความลดไปแหง "ตวั ตน" ในรปู ของสงั โยชนประการท่ี ๒ ทเ่ี รยี กวา "วจิ กิ ิจฉา" ซง่ึ
หมายถงึ ความลงั เล เนื่องจากความสงสยั หรอื ความกลวั ถา ไมพ ิจารณาใหดี ก็จะไมเ หน็ วามนั
เก่ยี วกับเรือ่ ง "ตวั ตน" หรือ "ของตน" ยงิ่ กวา นน้ั ยงั มองขา มไปเสยี วา ความลงั เลน้ี ไมม ี
ความสาํ คัญอะไรในเร่อื งความทกุ ขแ ละความดบั ทุกข แตแททจ่ี ริงนน้ั วิจกิ จิ ฉา ก็มคี วามสาํ คญั
เชน เดียวกนั อกี ถา เปนการปฏิบตั ใิ นขัน้ สมาธิ วจิ ิกจิ ฉานก้ี ็เปน นวิ รณป ดก้ัน หรือรบกวนจติ ไมใ ห
เปนสมาธิ ถา เปน การปฏิบตั ิในขน้ั ปญ ญา วิจกิ จิ ฉากเ็ ปน เครอ่ื งรบกวน ความเช่ือและปญญา
ไมใหอยูใ นรอ งในรอยได คนเราจึงไมส ามารถเอาชนะความทกุ ขได และตวั ความลังเลนั้นเอง ก็
เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 46 of 73
เปน เครื่องรบกวนความสุข หรือเปนความทกขช นิดหนงึ่ อยูในตัวมนั เอง ไมว า จะเปนเร่ืองทาง
ศาสนาหรือเรอื่ งตามธรรมดาของชาวโลก
การตอ สกู นั ระหวา งความรสู กึ ฝายตา่ํ กับฝา ยสงู นนั่ เอง เรียกวา วิจิกจิ ฉา ซ่งึ อาจขยาย
ความออกไปเปนความไมแ นใจ ความไมก ลาหาญ ความไมไวใ จ หรอื ไมเช่ือถอื ตวั เอง ฯลฯ
วจิ ิกจิ ฉาชนิดที่เปน อยา งชาวโลกๆ ทสี่ ดุ กเ็ ชน ไมแนใ จวา จะประกอบอาชพี อะไร จะทําอะไร จะ
แสวงหาชอ่ื เสยี งอะไรดี ฯลฯ และทสี่ งู ขึ้นมาก็คอื ความไมแ นใจในการทจี่ ะยดึ เอาความดี หรือ
ความยุตธิ รรม วาเปนหลักทแี่ ทจรงิ ไดห รือไม ความกลวั จะเสียประโยชนสวนตวั กลวั จะ
เสียเปรยี บเขา จะพา ยแพเ ขา เปนเหตุใหไมแ นใจในการที่จะถอื เอาความดีความจริงเปนหลกั
เปน ความกระอักกระอว นใจ ในทางหนาทหี่ รือทางศลี ธรรม
เราพอจะมองเหน็ วา ความระส่ําระสายทกุ ขย ากลาํ บาก หรอื วกิ ฤตกิ ารณตา งๆ ในโลก
ยอมเกดิ มาจากความไมแนใจของชาวโลกน่นั เอง โดยเฉพาะอยางยง่ิ กข็ องชนชน้ั ผนู าํ กลุมตางๆ
ทีไ่ มแ นใ จในการทจี่ ะยึดม่ันในความดี หรือความจริง จนกระทง่ั ยอมเสยี สจั จ เชน พอเกิด
สงคราม หวาดกลวั ขนึ้ มากห็ ันไปหาพระเปน เจา หรอื ศาสนา แตพอเหตุการณน น้ั ผา นไปก็หนั
หนา กลบั ไปหาประโยชนใหแ ก "ตวั ตน-ของตน" ไมมฝี า ยไหนแนใ จในการที่จะยดึ ถือความดี
ความจรงิ เปน หลกั ทงั้ ที่ตัวเองก็รอู ยวู า อะไรเปนอะไร โลกจึงตกอยใู นหวงแหง ความเทจ็ ความ
โลเล หลอกลวงตัวเอง เพราะไมสามารถบงั คับความเช่ือ หรอื สตปิ ญ ญาของตนใหแนว แนอยูใน
รองในรอยได โลกจึงมีอาการเหมือนกับวิจกิ จิ ฉา เควงควา งไปตามความลงั เลของคนในโลก ทง้ั
ในกรณีทเี่ ปน ไปทางโลกๆ และทางศาสนา
สําหรับวิจกิ จิ ฉาในทางฝายพุทธศาสนานนั้ เมอ่ื กลาวไปตามหลกั ทถี่ อื ๆ กนั อยู กไ็ ดแ ก
ความลงั เลใน พระพทุ ธ พระธรรม พระอริยสงฆ ลังเลในการตรัสรจู รงิ ของพระพทุ ธเจา ความ
สงสยั ในพระพทุ ธเจา ก็คือ ลงั เลในการท่ีจะเชอ่ื หรอื ปฏิบัติตามคําแนะนาํ ของทา น เพราะมนั ขดั
ตอความรูสึกของตนทม่ี อี ยูก อ น ขดั ตอ ประโยชนท ี่ตนหวงั จะไดร ับ การลงั เลในพระธรรมกเ็ ปน
อยา งเดยี วกนั เลยทาํ ใหค นถอื ศาสนากันเพยี งแตป าก หรอื เลน ตลกกบั พระเปน เจาของตน จน
อาการเชน น้มี อี ยูท่ัวไป สาํ หรบั ความลังเลในพระอริยสงฆน ัน้ หมายถงึ วา เหน็ ทานเปน ผพู น ทกุ ข
ไดอ ยางนน้ั ๆ แลว ตนกย็ งั ลงั เลทีจ่ ะเดนิ ตาม โดยทีไ่ มเชอ่ื วาทานเหลา น้ันพนทกุ ขไดจ ริงบา ง หรือ
การพน ทกุ ขข องทา นเหลา นนั้ จะนาํ มาใชไ ดแ กตนบา ง เมอ่ื ยงั ลงั เลในตวั ผสู อน ในสงิ่ ทนี่ าํ มาสอน
และในหมูคนที่เคยปฏิบตั ติ ามคําสอนจนประสบความสําเร็จมาแลว คนโงเ หลา นี้ แมจะศกึ ษา
ไปสกั เทา ไรๆ กม็ แี ตจะยงิ่ กลายเปน คนลงั เลมากขนึ้ จนกลายเปน โรคประสาทหรอื โรคจิตข้นึ มาก็
ได
เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 47 of 73
เทาทกี่ ลา วมาทัง้ หมดนย้ี อมจะเหน็ ไดวา การทคี่ นเราเกดิ ความคดิ ลังเลแมใ นพระศาสดา
ของตน ในหลกั ธรรมะหรอื หลักปรชั ญา กก็ ลาวไดวา "อตั ตา" อีกนั่นเองทเ่ี ปน มูลเหตอุ ันแทจรงิ
แหงความลงั เล ถา เราดบั ความลังเลหรอื ควบคมุ มนั ได กย็ อ มหมายความวา เราดับ หรือควบคุม
"อัตตา" ได เพราะอาการแหง ความลังเลกค็ อื ลักษณะอยา งหนง่ึ ของ "อตั ตา" หรอื ความเห็นแกตวั
นั่นแหละ เปนเหตใุ หเกิดความลงั เล ไมวาทง้ั ในทางโลกและทางธรรม
สลี ัพพตปรามาส สงั โยชนข อ ท่ี ๓ เปน ชื่อของความงมงายเขา ใจผิดตอ ศีลและพรต ซ่ึงเปน
เคร่ืองปฏิบตั สิ ําหรบั ลดความทุกข กลา วคอื ความเขา ใจผิด ใชผ ดิ กระทาํ ผิด ตอ สิง่ ซง่ึ ถอื กนั วา
เปน เครอ่ื งปฏบิ ตั ิเพือ่ ความดบั ทุกข อนั ไดแ ก ศาสนาหรือธรรมะนั่นเอง แบง ไดเ ปน ๒ ประเภท
คือเขา ใจผิด หรือปฏบิ ัตผิ ดิ ในส่ิงทผ่ี ดิ มาแตเดมิ กับ เขา ใจผดิ ตอ สิง่ ทถี่ กู ตองดอี ยูแลว แตปฏบิ ัติ
ไปอยางงมงายหรอื ผดิ ๆ นก่ี ม็ ีมูลมาจากการมี "ตวั ตน-ของตน" ทีม่ คี วามประมาทสะเพรา หรือ
ทะนง แทนท่ีจะมสี ติปญ ญาอยางสขุ ุมรอบคอบ กลับจบั ฉวยเอาขอปฏบิ ัติเหลาน้นั ผดิ ไปจาก
ความหมายทแี่ ทจ ริง เปน ความโง ความดอ้ื ของ "ตัวตน-ของตน" นน่ั เอง มีอยเู ปนปกตแิ กป ุถุชน
คนเขลาทว่ั ไปในการท่จี ะจบั ฉวยเอา อยางปุบปบ ในสิง่ ทแี่ ปลกประหลาด หรอื อัศจรรย ซงึ่ ตัว
คิดนึกไดเ อง หรือมผี นู าํ มาสอนให ตลอดจนมคี วามรเู ทา ไมถงึ การณ ในส่งิ ท่ีตนคิดขน้ึ หรอื กาํ ลัง
กระทาํ อยู แลว กม็ คี วามเชอื่ ม่ันในสง่ิ นนั้ จนกลายเปน ความงมงาย คิดวา สงิ่ เหลา นนั้ จะเปน ท่พี งึ่
แกต นได แตแลวก็หาเปน ไปไดไ ม คงเปนสกั วา พธิ รี ตี อง เปนสกั วา เครอ่ื งปลอบใจตวั เอง หรอื
หลอกตัวเองใหห ายกลวั เพราะมันไมม ีเหตผุ ล หรอื ไมตรงตามหลกั วชิ า แตตัวก็ไมรูวา ตวั โง
สาํ หรับสลี ัพพตปรามาสชนดิ ทีผ่ ดิ มาแตเดิม แลว เอามายึดมนั่ ถือมนั่ เพือ่ ปฏิบตั ินั้น
สว นมากเปน เรอื่ งของการกระทาํ ปรมั ปราสบื ๆ กนั มาแตโ บราณ กระทงั่ ยคุ หนิ ทีม่ ีคนบางพวกยัง
ยึดม่ันถอื มั่นอยู เพราะมนั เขา รปู กนั ไดก ับภูมิปญ ญาของเขา แมต กมาในสมัยน้ี ก็ยงั ประพฤตกิ นั
อยอู ยางเครง ครดั ดว ยความโงเขลาเบาปญ ญา และความไมร ู สวนอกี แขนงหนง่ึ นน้ั คอื การ
ประพฤติบา บน่ิ นอกคอก นอกรตี ตางๆ ซงึ่ พวกมจิ ฉาทฏิ ฐิ หรอื มิจฉาชพี ท่ฉี ลาดบญั ญัติขึ้นเปน
เครือ่ งตบตาหาเงนิ จากคนอนื่ หรอื ดวยความหลงสาํ คญั ผดิ คิดวาเปนของดีจริงก็มี ซึ่งลว นแต
อุตรวิ ติ ถารดว ยกนั ทงั้ นนั้ นเ้ี รยี กวา เปน สงิ่ ทีผ่ ิดมาแตเดมิ แลวถูกนาํ มายดึ มน่ั ถอื มน่ั เปน หลกั
ปฏบิ ัติตามๆ กันไปดว ยความหลงงมงายเขาใจผดิ
สว นสลี พั พตปรามาสในเรือ่ งสิ่งทถี่ กู ตองอยแู ลว แตค นจับฉวยเอาผิดเองนน้ั ไดแ กห ลัก
ธรรมะ ตลอดถงึ ระเบยี บวธิ ปี ฏบิ ตั ติ างๆ ซงึ่ ไดบญั ญตั ไิ วอยางถกู ตองในศาสนาตางๆ เปนหลัก
วิชาตามเหตผุ ล ซงึ่ เมอ่ื ปฏบิ ตั ิตามนน้ั แลว ก็สามารถดับทุกขไ ดจริง แตก ย็ ังมกี ารจบั ฉวยเอาผิด
เรียกวา เปนการลบู คลําทําใหส ิง่ ซ่งึ บริสทุ ธิ์สะอาดนน้ั กลายเปนของสกปรกไปดวยอาํ นาจของ
เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 48 of 73
ความงมงาย สีลพั พตปรามาสชนิดนีม้ ีไดแ มใ นหมนู ักศกึ ษาทเี่ รียกวา มกี ารศกึ ษาอยา งดที ่ีสุด
ตามทน่ี ิยมกันในหมมู นษุ ย แตไ มไ ดม ีการศกึ ษาขอธรรมะหรอื ศาสนาน้นั ๆ อยางถกู ตองและ
สมบูรณ เพราะมันเปน คนละเร่อื งกนั ดังตวั อยางทเ่ี ราเหน็ ๆ กันอยทู ่วั ไป ในหมผู ูไดร ับปรญิ ญา
ตรี โท เอก ในฝา ยวชิ าการทางโลก ที่ยงั เขาใจวา พระพทุ ธเจา อาจจะบันดาลอยา งน้นั อยา งน้ี
ตามทีต่ วั ตอ งการได ในเมอื่ มีการบูชาออ นวอน หรือประกอบพธิ ที างศาสนาทงี่ มงายมาก ถงึ กับ
บนบานขอใหเ กดิ บุตรแกผ ูไ มม ีบตุ รกย็ งั มี บางคนคดิ วา การรดนาํ้ มนตล างซวย หรอื ใหราํ่ รวย
หรืออะไรในทาํ นองนน้ั กเ็ ปน พุทธศาสนาดว ย เสร็จการศกึ ษากลบั มาจากเมืองนอก กร็ บี ไปหา
พระรดนํา้ มนตท นั ที น่เี ปน การพสิ จู นวา การศึกษาท่ไี ปเรยี นมาอยางมากมายน้นั กย็ งั ไมท าํ ให
เขาหายงมงาย แลว กม็ าเกณฑใหศาสนามหี นา ทที่ าํ อะไรๆ ตามท่ีตัวตองการ โดยไดย นิ แตเพียง
วา ธรรมะหรือศาสนานี้ เปน เครอื่ งชวยดบั ทุกข และมีความศักด์สิ ทิ ธิ์ ทกุ ประการ
ถงึ แมใ นศาสนาอน่ื กเ็ ปน อยางเดยี วกนั เชน จดั พระผูเปน เจา ไวในฐานะเปน ผูมหี นา ที่
ปลอบใจเม่อื จนแตม ทไ่ี ปโบสถห รอื ปฏบิ ตั ติ ามระเบียบพธิ ตี างๆ ก็เพยี งแตท ําเผ่ือๆ ไว เพราะจะ
ไดเ ปนท่ถี กู ใจพระเปนเจา ไว หรือเปน การสะสมบุญกุศลไว มอี าการที่กระทําเหมอื นกบั คน
ละเมอๆ โดยทีไ่ มเ ขาใจอยา งถกู ตองวา พระเจาทีแ่ ทจ รงิ นน้ั คอื อะไร หรอื บญุ กุศลทแ่ี ทจรงิ นนั้ คือ
อะไร และไมรูเลยสกั นิดเดยี ววา พระเปน เจา หรอื บญุ กุศลทีแ่ ทจรงิ นน้ั คือการชําระจิตใจให
สะอาดดว ยการกระทําท่ถี กู ตองกนั ทนี่ ่ี และเดย๋ี วนี้ ดวยการบ่นั ทอนหรือทําลาย "ตัวตน-ของตน"
น่นั เอง ไปมัวหวงั แตพ ระเปน เจาที่อยทู ่ีไหนกไ็ มรู ใหคอยชวยคุมครองตนอยางคมุ ครองเดก็ ๆ
และเมอ่ื ทุกขร อ นจนแตม ขน้ึ มา กโ็ วยวายใหส ิง่ ที่ไมร ูวาอะไรอยทู ่ไี หนนนั่ แหละมาชว ยตน ไม
สามารถใชส มั มาทิฏฐิของตน ปลดปลอ ยหรอื ขจดั ปด เปา ความทกุ ขร อนในใจของตน ใหออกไป
จากตนได ทัง้ ๆ ท่ขี อ ปฏิบตั ทิ างธรรมะหรอื ทางศาสนาทุกขอ ทกุ อยาง กล็ ว นแตเ ปน ไปเพอ่ื ชาํ ระ
กายวาจาใจใหส ะอาด ใหเกดิ มีภาวะใหมข ึน้ มาเปนความไมม ที กุ ขห รือมที กขนอยลงไปกวา เดมิ
สาํ หรบั ในฝา ยพทุ ธศาสนาโดยเฉพาะนนั้ สีลัพพตปรามาสไดง อกงามมากขนึ้ ในหมพู ทุ ธ
บรษิ ทั ท้งั ในทางปริยตั ิและในทางปฏบิ ตั ิ ในทางปริยัตนิ นั้ ไดมกี ารจบั พลดั จบั ผลไู ปเอาส่งิ ซงึ่
ไมใชพุทธศาสนา เขา มาตูเปน พทุ ธศาสนาอยเู รื่อยๆ ทาํ สง่ิ ทีไ่ มใ ชพ ทุ ธพจนใหเปน เหมอื นพทุ ธ
พจน นิยมศกึ ษาทฤษฎที ่ีลกึ ซึง้ กวางขวางไมรูจบเพือ่ ความเปนนักปราชญ ยง่ิ กวา ท่จี ะศกึ ษา
เฉพาะเร่ืองของการดบั ทุกข แทนทจ่ี ะพดู จะสอนจะอภิปรายกนั ถงึ เร่ืองดับทกุ ขโ ดยตรง เชน เรือ่ ง
อริยสจั จ เปน ตน ก็กลายเปน ไปนําเอาเร่ือง "อพั ยากตวตั ถ"ุ ท่ีพระพทุ ธองคท รงหา มไมใ หนาํ เอา
มาพดู กนั ใหเสยี เวลา และพระองคเ องก็ไมทรงสอนเรื่องเหลาน้ี เชน เรือ่ งคนตายแลว เกดิ หรอื ไม
ศึกษาวพิ ากษว ิจารณค นควา กนั อยา งเปน วรรคเปนเวร โดยนําเอาลัทธสิ ัสสตทฏิ ฐิของพวก
พราหมณมาอธบิ าย โดยที่เขา ใจวา เร่อื งนเ้ี ปน ตวั แทของพทุ ธศาสนา แมแ ตค ําอธิบายเรือ่ งกรรม
เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 49 of 73
เรื่องอนตั ตา และเรื่องนพิ พาน ก็ดาํ เนนิ ไปอยา งผดิ ๆ เพราะจบั ฉวยผิด ถึงขนาดที่ไปควาเอาเรือ่ ง
กรรม เร่อื งอนตั ตา เรอ่ื งนิพพานของศาสนาอน่ื มาถือวา เปน กรรมเปน อนัตตาและนิพพานใน
พทุ ธศาสนา จนกระทั่งเกิดการทะเลาะววิ าทกนั เพราะเหตุนี้
แมใ นสวนท่ีเกยี่ วกบั พระไตรปฎกเอง กม็ คี วามยึดม่ันถอื มนั่ อยา งผดิ ๆ อยูหลายประการ
เชน ยดึ มนั่ ถอื ม่นั วา ทกุ ตวั อกั ษรที่เรียกวา พระไตรปฎ ก ไดออกมาจากพระโอษฐข องพระพทุ ธเจา
ทั้งน้ัน จะไปแตะตองดว ยการวพิ ากษว จิ ารณไื มไ ด บางพวกก็บชู าพระไตรปฎ กอยางวตั ถุ
ศักดิ์สทิ ธ์ิ บางพวกก็คดิ วาเพยี งแตซ อื้ หรือสรางพระไตรปฎ กขึน้ เทา นนั้ ก็พน ทกุ ขไดแ ลว บางคน
เปน ไปมากถงึ กับเอาพระไตรปฎกบางเลม มาใชเปน เครื่องมือเส่ียงทาย เสยี บไมเขา ไปในระหวา ง
ใบลานหรอื หนาหนงั สือนนั้ แลว เปด ดวู ามนั จะถูกเร่อื งดีหรือราย โดยถือเอาขอ ความใน
หนา กระดาษทีต่ นเอาไมเสยี บเขาไปนน่ั เองเปน หลกั และมีความเชือ่ มั่นอยา งแทจ รงิ วา เปนการ
ทาํ นายทถี่ กู ตอ ง นับวา เปนสลี พั พตปรามาส หรอื ความงมงายทีย่ งั ไมเ คยมมี ากอ น และไดเ กิดมี
ข้ึนเกยี่ วกบั พระคัมภรี เขาไมท ราบวา พระพทุ ธเจา ไดต รสั ไวอ ยา งไรเก่ยี วกับเรอ่ื งนี้ ดงั ทตี่ รัสไวใน
กาลามสูตร หรือตรสั ไวในเรือ่ งมหาปเทศ สาํ หรบั วนิ ิจฉยั ขอ ความแทจ รงิ วา สงิ่ ทเี่ รยี กวา
พระไตรปฎ กมีความเปน มาอยา งไร น้เี ปน ตวั อยางแหง สลี พั พตปรามาสในสว นปรยิ ัติ ซงึ่ มอี ยู
อยา งมากมายจนเหลือท่จี ะนํามากลา วใหห มดสิ้นได
สําหรับสลี ัพพตปรามาสในสว นการปฏบิ ตั นิ น้ั ย่งิ มีทางเกดิ ขนึ้ ไดมากมาย เพราะคน
สวนมากเชือ่ งา ย และเตม็ ไปดว ยความกลวั ไมม ีสติปญ ญา หรอื ความรเู พียงพอทจี่ ะควบคมุ
ความเชอื่ และความกลัว จงึ ทาํ อะไรอยา งงมงาย หรอื ผลีผลามไปตามอาํ นาจของความเช่ือ และ
ความกลวั เหลา นน้ั ในลกั ษณะงา ยๆ และสะดวกๆ หรือถงึ กบั ใชค นอนื่ ทาํ แทนใหก ย็ ังมี เชน บาป
ของตวั เองกใ็ หคนอน่ื ชวยลา งให หรือเชอ่ื วา ความตายเปน ส่ิงทผ่ี ดั เพย้ี นกนั ไวกอ นได อายุเปน ส่ิง
ที่ตอกนั ไดดวยการทาํ พธิ ี และถือวา อะไรๆ ท่ีตัวกลวั หรอื เปน ทกุ ขอ ยนู ัน้ ยอ มแกไ ดห มดดวยพธิ ี
ตางๆ ในทางศาสนา นเี้ ปน ตัวอยา งความงมงายชนั้ ตาํ่ ทส่ี ดุ ซง่ึ มอี ยมู ากมายเหลือท่ีจะนํามา
กลาว
สวนทส่ี งู ขนึ้ มาจากนน้ั ก็หมายถงึ ความเขา ใจผดิ เกี่ยวกบั ความหมายของการทาํ บญุ ให
ทาน การบวช การบาํ เพ็ญศลี สมาธิ ปญญา ตลอดถงึ ปฏบิ ัติธรรมปลีกยอยอนื่ ๆ มคี วามเขาใจ
ผดิ ถึงกบั ทาํ ใหเ กดิ ผลตรงกนั ขามไปเสียทกุ อยา งทกุ ประการ ขอวตั รป ฏบิ ตั ติ า งๆ ทง้ั หมดนน้ั โดย
ที่แทแ ลว ยอ มเปนไปเพ่ือขูดเกลากิเลส เชน โลภโกรธหลงงมงาย ขจดั ความยดึ มัน่ ถอื มั่นวา เปน
"ตัวตน-ของตน" ฯลฯ แตก็กลบั ประพฤตปิ ฏบิ ตั ไิ ปในทางทสี่ งเสรมิ ความรูส กึ เปน "ตัวตน-ของตน"
ใหเ หนียวแนน ประณีตลึกซึ้งย่ิงข้ึน จนกลายเปนเรื่องของความศกั ดิส์ ทิ ธิ์ความขลงั ทจี่ ะดล
เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 50 of 73