The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ตัวกูของกู ท่านพุทธทาสภิกขุ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ืทีมงานกรุธรรม, 2022-07-10 00:18:35

ตัวกูของกู ท่านพุทธทาสภิกขุ

ตัวกูของกู ท่านพุทธทาสภิกขุ

Keywords: ตัวกูของกู ท่านพุทธทาสภิกขุ

บันดาลใหตนไดรับสง่ิ ท่ีตนตอ งการ ซึง่ ท่แี ทก ค็ อื กิเลสทเี่ ปน "ตัวตน-ของตน" นน่ั แหละ เปน ผู
ตองการ หาใชส ตปิ ญ ญาบรสิ ทุ ธ์ิเปน ผูตองการไม ฉะนั้น จึงเกิดมกี ารสอนใหท ําบุญใหทาน ดว ย
วิธีการแปลกๆ มงุ หมายแปลกๆ และเปน ภยั แกเ ศรษฐกจิ สังคม หรอื ศาสนาเองในท่สี ดุ

สําหรบั การรักษาศลี กม็ กี ารรกั ษาศีลดวยการคดิ วา จะทาํ ตนใหเ กดิ ความขลังความ
ศักดสิ์ ทิ ธิ์ หรือเปนการรับประกันอะไรบางอยางในกาลอนาคต แทนท่จี ะเปนการกาํ จดั กเิ ลสท่ี
เปนเหตใุ หตามใจตวั เอง คร้ันไปถึงขนั้ การทําสมาธิและวปิ สสนาก็ยง่ิ เขวออกนอกทางมากขึ้น
เพราะเปน เรอ่ื งอาํ นาจทางจติ และมชี อ งทางทีจ่ ะทําใหป ระหลาดมหศั จรรย โนมเอยี งไปตาม
ความตองการอันไมเปน ธรรมะ ดงั นน้ั จงึ เกดิ มกี ารกระทาํ ท่ีเรยี กวา วปิ ส สนาการคา วิปสสนา
อยากดงั ในลกั ษณะแปลกๆ อยา งมากมาย ซึง่ ลว นแตไมเ ปนไปเพอ่ื การกําจดั กิเลส แตเปนไป
เพือ่ อทิ ธปิ าฏหิ าริย หรือเปน เครื่องมือหาลาภสกั การะสรรเสรญิ ไปเสยี โดยอํานาจแหง "ตัวตน-
ของตน" เขามาครอบงําและลากจงู ไปนัน่ เอง เมอ่ื สง่ิ เหลา นน้ั ดําเนนิ ไปผิด ความมุง หมายของสง่ิ
ท่ีเรยี กวามรรคผลและนพิ พานของผนู นั้ กเ็ ลยผดิ ตามไปดวย จนกระทงั่ กลายเปน มจิ ฉาทฏิ ฐิ
อยางสมบูรณใ นที่สดุ นเ้ี รยี กวา สลี พั พตปรามาสท่ีเกย่ี วกับการปฏิบัติธรรม กลายเปน เนือ้ รา ย
เนอ้ื งอก ท่ีเพงิ่ งอกออกมาใหมๆ บนตัวพทุ ธศาสนาสําหรบั ทําลายพทุ ธศาสนาเอง ทง้ั นก้ี ม็ ีมลู มา
จากความยดึ มัน่ ถอื มนั่ ใน "ตวั ตน-ของตน" ดว ยกนั ทง้ั นนั้

อาการท่ีเขาใจสงิ่ ใดผิด แลวนําไปใชอ ยา งผดิ ความมงุ หมายทแี่ ทจ ริง ยอมเรียกไดว า เปน
สลี ัพพตปรามาสทง้ั นน้ั เชน วิชาความรทู างธรรม อนั ควรจะถกู นาํ ไปใชเ ปนเคร่ืองอํานวยสนั ติสุข
แกส ังคม แตกลับถูกนาํ ไปใชเ ปนเครือ่ งทํามาหากนิ จนทาํ ความเดือดรอ น หรอื ความทุกขใ หเกิด
แกสงั คม อยา งนกี้ ็เรียกวาเปน สีลพั พตปรามาสได เพราะอํานาจแหง ความรูสึกที่เปน "ตัวตน-
ของตน" ครอบงําจิตใจบุคคลเหลานน้ั จนมีความเห็นแกต วั จัด สิ่งทสี่ ะอาด หรือเปน
คุณประโยชนก ก็ ลบั กลายเปน ของสกปรก หรอื กลายเปน ทกุ ขเปนโทษแกสงั คม มนษุ ยท ั่วไปจงึ
ตอ งรับบาปอนั นี้ ฉะนั้น การลด "อตั ตา" ลงไปไดเ ทา ใด กย็ อ มทาํ ใหสลี ัพพตปรามาสของมนุษย
ไมว า แขนงไหนหมด ลดนอยลงไปเพยี งนนั้ แลว มนุษยก จ็ ะเลอื่ นจากภูมิของปุถชุ นข้ึนสภู ูมขิ อง
อารยชน คอื เปน พระอรยิ เจา ซง่ึ ลด "ตัวตน-ของตน" ไดในอนั ดบั ท่นี า พอใจอันดับหนง่ึ คือทา น
กําหนดไวว า ผทู ล่ี ะสักกายทฏิ ฐิ วิจิกิจฉา และสีลพั พตปรามาส เสยี ไดน น้ั เปน ผทู ่ีถึงกระแสแหง
พระนพิ พาน ซงึ่ เรยี กวา พระโสดาบัน นนั่ เอง

ถา "อตั ตา" ดับไปโดยสิน้ เชงิ บุคคลนน้ั ยอ มถึงความเปน พระอรหันต ดงั นนั้ ในกรณีแหงพระ
โสดาบนั น้ี ยอมหมายความวา ความดบั ไปแหง "อัตตา" เปนเพยี งบางสว น "โสตาปนนฺ " แยกศัพท
เปน "โสต" กับ "อาปนนฺ " โสต แปลวา กระแส อาปนนฺ แปลวา ทว่ั ถึง สงิ่ ทเ่ี รียกวา กระแสในท่ีน้ี

เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 51 of 73

หมายถงึ ทางทีไ่ ปสนู พิ พาน ถาเรยี กอกี อยา งหนงึ่ กค็ อื อรยิ มรรคมีองคแ ปด ซ่งึ มีองคส าํ คญั อยูท่ี
ความรอู นั ถูกตองหรือสมั มาทฏิ ฐิ ทท่ี ําใหร จู ักส่ิงทง้ั หลายทง้ั ปวงตามทเ่ี ปนจรงิ วาไมม อี ะไรทค่ี วร
ยึดมนั่ ถอื ม่ันวา เปน "ตวั ตน" หรอื "ของตน" นน่ั เอง

พระโสดาบนั นนั้ เปน ผูครองเรือนกม็ ี เปนนักบวชกม็ ี แลวอะไรเลาทที่ าํ ใหค น ๒ พวกนี้
เขาถึงกระแสนิพพานโดยเสมอกัน คําตอบกค็ ือการละเสยี ไดซ่ึงสังโยชน ๓ ประการดงั กลาวว
แลวนน่ั เอง การละสังโยชนทงั้ ๓ ประการนนั้ เปน ส่งิ ซึ่งมีไดกอนท่จี ะละกามโดยสน้ิ เชงิ คือ
ฆราวาส ทง้ั ๆ ทีย่ งั เกี่ยวขอ งกับกามอยูกย็ งั สามารถละสงั โยชนท ง้ั ๓ นน้ั ได แตทง้ั นีต้ อ งไมเ ปน ผู
หมกมนุ หรือมวั เมาในกามอยางมาก

มนั เปน ท่แี นน อนวา พระโสดาบนั จะตองมโี ลภะโทสะโมหะ หรือราคะโกธะโมหะเบาบาง
กวาคนสามญั เปนธรรมดา แตมไิ ดหมายความวา เปน ผหู มดราคะโทสะโมหะโดยสน้ิ เชิง ฉะนน้ั
เปนอันถือไดวา การละราคะโทสะโมหะเพยี งบางสวนนน้ั เปนสง่ิ ทฆี่ ราวาสมีได เปน ได เพราะ
สงั โยชนทง้ั ๓ หมดสนิ้ ไป (สงั โยชน ทั้ง ๓ ประการนก้ี ็คือ ราคะโทสะโมหะในรปู ลกั ษณะหนง่ึ ๆ)
และสงั โยชนช นดิ ไหนก็ตาม ยอมเปนความรสู กึ ทเ่ี ปน "ตัวตน-ของตน" อยูด ว ยกนั ทงั้ น้นั เพยี งแต
เราไปกลา วกนั ไวใ นช่ืออกี อยางหนึ่ง ความรสู ึกท่เี ปน "อตั ตา" ทร่ี วบรดั เอาส่ิงใดส่ิงหน่ึงเขา มาหา
ตวั เพราะความอยากไดนนั้ คอื ราคะหรือโลภะ ความรูส กึ ท่เี ปน "อตั ตา" ทีผ่ ลักดนั สง่ิ ใดออกไป
เพราะความเกลยี ดนนั้ กค็ ือ โทสะ สว นความรูส กึ เปน "อัตตา" ทว่ี นเวยี นพวั พนั อยูร อบๆ สง่ิ ทตี่ วั
สงสยั ไมเขา ใจน้ัน ก็คือโมหะ อาการของราคะโทสะโมหะ จึงเปน อาการของ "อัตตา" อยดู วยกนั
ทง้ั นั้น เมอื่ พระโสดาบันไมอ ยูในฐานะทจ่ี ะละกิเลสไดโดยสิน้ เชงิ ซึง่ หมายถงึ การลถุ งึ นพิ พาน
โดยสมบรู ณ พระโสดาบนั จงึ ละไดแ ตเ พียง ในลกั ษณะของผูที่กาํ ลังเดินอยใู นหนทางอันถกู ตอ ง
และจะลถุ ึงนพิ พานโดยแนน อน และในระยะกาลอนั ใกลเทาน้นั เอง

สงั โยชนท ง้ั ๓ ประการนมี้ อี ยอู ยางหนาแนน ในปถุ ชุ น (ซง่ึ แปลวา "คนหนา") คนชนดิ นี้จึงไม
อาจจะเขาใจพระอรยิ เจา พระอริยเจา ก็ไมพ อใจความเปน อยขู องคนชนิดน้ี เพราะทา นมีความ
หนาลดนอยลงจนมองเหน็ สง่ิ ตางๆ ถูกตอ งตามทเ่ี ปน จรงิ แลว ก็ไปดาํ รงตนอยใู นสภาพท่ีกลา ว
ไดว า พน อนั ตราย พน จากการเสียหาย เชนไมตกอบายโดยแนนอน เสน ขีดแบง ปน กนั ระหวา งคน
๒ พวกน้กี ็คือ การละสังโยชน ๓ ประการ และเมอ่ื ละสังโยชน ๓ ประการนั้นไดแลว จึงเรียกวา
เดนิ อยูในทางหรอื ถึงแลว ซ่งึ กระแสของนพิ พาน และไดน ามใหมว า อรยิ ชน ซงึ่ ตามตวั พยญั ชนะ
แปลวา ผไู ปแลวจากขา ศึกคอื กิเลส (อร=ิ ขา ศึก + ยะ = ไป) พระโสดาบนั ยงั ไดน ามวา "จกั ขมุ า"
คอื ผมู ดี วงตาเปน ธรรม เมอื่ พระโสดาบนั ไดนามวา เปน ผมู ีตาเปน พวกแรกดงั นี้แลว พระอริยเจา

เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 52 of 73

ในอันดับทสี่ งู ข้นึ ไปกต็ องเปน ผมู ีตาเหน็ ธรรมมากขน้ึ โดยแนนอน และสิ่งทท่ี ําใหต าบอดหรือมี
อาการเหมือนกบั ไมมีตาน้นั ก็คอื ส่งิ ที่เรยี กวา "ตวั เรา-ของเรา"

การลดไปแหง "อัตตา" นนั้ มตี ้งั แตข นั้ ต่าํ แลวคอ ยๆ สงู มากขนึ้ ไปตามลาํ ดับ แตด ับ "อตั ตา"
ไดม ากขึ้นเทาไรกย็ ่ิงหา งจากโลกียวสิ ัย กลายเปน โลกุตตรวสิ ัยมากย่ิงข้นึ เพยี งน้ัน และโลกุตต
รวสิ ยั อันดบั แรกกค็ ือความเปน พระโสดาบนั นน่ั เอง แมวาพระโสดาบันจะยังไมอยูเ หนือวิสัย
ชาวโลกโดยสน้ิ เชิง กย็ งั กลา วไดว าอยูเ หนอื ชาวโลก และจักอยูเหนอื วสิ ัยชาวโลกโดยสน้ิ เชงิ
อยางที่จะเปน อน่ื ไปไมไดในกาลอนาคต เราเรียกระดบั จติ ใจของพระอริยเจา ทง้ั หมด (นับตงั้ แต
พระโสดาบนั ขนึ้ ไปถงึ พระอรหันต) วาตงั้ อยูใ นโลกตุ ตรภูมิ หรือเปน โลกุตตรวิสยั มคี วามหมาย
สําคญั อยทู วี่ า จะไมตกตํ่าอยภู ายใตความยาํ่ ยขี องอารมณใ นโลก เพราะความรูเทา ทนั โลก จน
อารมณทัง้ ปวงไมทาํ ใหเกดิ "ตวั ตน-ของตน" หรือเกิดขน้ึ ไดนอยที่สุดในพระอริยเจาขนั้ ตน ๆ และ
รับรองวาไมเกดิ เตม็ ท่อี ยา งปถุ ชุ น

แมว าพระอรยิ เจาขัน้ ตน ๆ จะยงั คงมคี วามทุกขอ ยบู า ง เพราะการดับ "อัตตา" ยงั ไมห มดสิ้น
แตก ย็ ังเปน ความทกุ ขท แี่ ตกตางกบั ปถุ ชุ น คอื เปนความทกุ ขข องบคุ คลผูรเู ทา ทัน หรือมี
สตปิ ญ ญาเขา ใจแจม แจง ในเร่ืองของความทกุ ข เหตใุ หเ กดิ ทกุ ข ความดบั ไมเหลือแหง ทุกข และ
หนทางทจ่ี ะดบั ไมเ หลือแหง ความทกุ ข ซึ่งปถุ ชุ นไมประสปี ระสาตอสิง่ เหลา นีเ้ ลย จึงจมอยูใน
ความทกุ ขอยา งหลับหหู ลบั ตา สวนพระอริยเจาชนั้ สงู สดุ คือข้นั พระอรหันตนนั้ ยอมถงึ ทสี่ ดุ แหง
ทกุ ขโ ดยสนิ้ เชงิ เพราะความดบั ไปโดยส้นิ เชงิ แหง "อัตตา"

ยงั มสี งั โยชนเหลอื อีก ๗ ประการ ซ่งึ พระอริยเจาชนั้ สูงจะตอ งละ พระอริยเจา ขนั้ ตอ ไปจาก
พระโสดาบนั กลา วคอื พระสกิทาคามี นน้ั ยังไมอ าจจะดบั สังโยชน ๗ ประการท่เี หลือได
เพียงแตวา นอกจากจะละสงั โยชน ๓ ประการทเี่ คยละมาในชน้ั ของพระโสดาบันแลว กย็ งั
สามารถดบั "อตั ตา" ทีม่ ีอยใู นรปู ของโลภะโทสะโมหะอน่ื ๆ ใหเบาบางลงไดม ากไปกวาพระ
โสดาบันเทานน้ั

คําวา สกิทาคามี แปลวา ผมู าเพยี งครั้งเดียว (สกึ = ครงั้ เดยี ว + อาคามี = ผูมา) คาํ วา "มา
เพยี งคร้งั เดียว" นน้ั หมายความวา การยอ นมาหาสงิ่ ซงึ่ เปนท่ีตง้ั แหง ความอาลัยอาวรณเ พยี งอกี
คร้ังเดียว นห้ี มายถงึ ภาวะ(ภพ) หรือความเปนอยทู ีม่ กี าม หรือพดู โดยเจาะจงกค็ ือ กาม น่ันเอง
ที่คนอาลยั อยา งยงิ่ สว นพระโสดาบนั ยงั คงเกี่ยวขอ งกบั กามอยู ในลกั ษณะดว ยสตปิ ญญาของ
พระอริยเจา พระสกทิ าคามีไปไดไกลกวานน้ั คอื เหินหา งออกไปจากกามแลว แตยงั มอี าลัย
อาวรณเหลยี วกลับมาดูอีกครัง้ หนง่ึ เปน อยา งนอย กอ นทจ่ี ะเลื่อนชนั้ ขน้ึ ไป

เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 53 of 73

สว นพระโสดาบนั ทีเ่ ปนบรรพชติ นนั้ ตอ งเวนจากการเกยี่ วขอ งกบั กาม เพราะการบงั คบั ของ
วินยั แตเนอื้ แทแหง จติ ใจของทา น ก็ยงั พอใจในกามตามภมู ิตามชนั้ ของพระโสดาบนั หาไดสงู
หรือมากไปกวา พระโสดาบนั ท่ีเปนฆราวาสไม หากแตไ มเกยี่ วของกบั วตั ถุกาม กเ็ พราะวนิ ยั
บังคบั เทา นน้ั หาใชโดยเนอ้ื แทข องจติ ใจไม ฉะนัน้ จงึ กลาวไดว า จิตใจแหง พระโสดาบันยอมอยู
ในระดบั เดียวกัน ไมวา จะเปน ผูครองเรือนหรือบรรพชติ ในเม่ือกลา วโดยหลกั ใหญของการละ
สังโยชน หรือความหมายอนั แทจ ริงของคาํ วา โสดาบนั

โดยปกตนิ น้ั ความเปน โสดาบันไมไดบบี ใหบ คุ คลนนั้ ๆ ละจากบา นเรือนไปสคู วามเปน
บรรพชิต สว นความเปน พระสกิทาคามนี ้นั มีความผลกั ดันใหไ ปสคู วามเปน บรรพชติ มากขึ้นเปน
ธรรมดา ความหางไกลจาก "ตวั ตน-ของตน" ของพระสกทิ าคามี จงึ เบาบางกวา ของพระโสดาบนั
อยา งทีเ่ หน็ ไดช ัด

ความประเสรฐิ แหง บคุ คล ยอ มขึน้ อยูทคี่ วามดับไปแหง "อัตตา" ไดมากนอ ยเพยี งไร ดับ
"ตัวตน" ไดมากขึ้นเทา ไร ความเปน พระอรยิ บคุ คลก็มีมากข้นึ เทานน้ั พระอรยิ บคุ คลลาํ ดับถดั ไป
ก็คอื พระอนาคามี ซงึ่ จะตองละสงั โยชนอกี ๒ ประการ คอื กามราคะ และ ปฏิฆะ ซ่งึ หมายถึง
ความรูส กึ ท่เี ปน "ตวั ตน-ของตน" ทเ่ี กดิ อยูในรูปของความพอใจในกาม และความพลงุ ข้นึ มาเปน
ความขดั ใจ หรอื หงดุ หงดิ ใจไมถงึ กบั โกรธ อนั เปน สงิ่ ท่ลี ะไดย าก จนถงึ กบั พระอรยิ บคุ คล ๒
ประเภทขางตน ๆ ไมสามารถจะละได แตก ็มไิ ดห มายความวา ทานท้งั ๒ นน้ั เปน ผมู วั เมาหนาไป
ดวยกเิ ลส ๒ ชอื่ นี้ ดังที่ปถุ ชุ นธรรมดาเปนกนั อยู พระอนาคามีจงึ อยเู หนอื ความยนิ ดใี นกาม และ
ยงั โกรธไมเ ปนอกี ดวย ฉะนน้ั "อตั ตา" จงึ ไมพลงุ ขึน้ มาในรูปของความพอใจในกาม หรอื ความขัด
เคอื งแมแ ตป ระการใด

คําวา อนาคามี แปลวา ผูไมม า (อน=ไม + อาคาม=ี ผมู า) พระสกทิ าคามี ยงั มคี วามอาลยั
อาวรณย อ นหลังมาสกู ามอกี ครง้ั หนึ่ง สว นอนาคามนี ้นั ไมม ีความอาลยั อาวรณเ หลอื อยใู นกาม
ไมพ ะวงหวนกลับมาระลกึ ถงึ กามของนา รกั นาใคร จึงทาํ ใหไ ดชอ่ื วาผไู มก ลับมาอีก แมว าทานจะ
ละราคะและความโกรธไดโ ดยสนิ้ เชงิ แตโ มหะบางชนดิ ยังเหลืออยู ซึง่ เปน ชัน้ ทล่ี ะเอยี ดประณีต
อยางย่งิ อนั จะตอ งละ จึงกลา วไดว า แมว า "ตวั ตน"ในรูปของกามราคะและปฏฆิ ะจะไมมที าง
เกิดข้ึนอกี ตอไปแลว แตกย็ งั มี "ตัวตน"ประเภทท่ลี ะเอยี ดไปกวา นน้ั เหลอื อยสู าํ หรบั ใหละตอ ไป

มสี ิ่งท่คี วรพจิ ารณาขอหนง่ึ กค็ ือวา การทลี่ ะกามราคะเสียได หรอื เปน ผอู ยเู หนอื อํานาจของ
ส่ิงทน่ี า รักนาใครน้นั จะเปนบคุ คลทีป่ ระเสริฐไดอยางไรและเพียงไหน คนธรรมดาสามญั หรือ
ปุถุชนทัว่ ๆ ไป อาจจะเหน็ ไปวาไมประเสริฐอะไร และ ความประเสริฐนน้ั ควรจะเปน ความ

เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 54 of 73

เพียบพรอมไปดวยกามตางหาก ถาใครยงั มคี วามเหน็ ดงั นี้ กย็ อ มไมมที างที่จะเขา ใจพทุ ธศาสนา
ไดว า เปน ส่ิงทคี่ วรศึกษา หรอื เปนทพ่ี ่ึงแกม นุษยได ตอ เมอื่ เขาผูนนั้ บรโิ ภคกาม พรอ มๆ กับการท่ี
ถูกกามนน้ั ขบกัดจนกระทัง่ มองเหน็ พิษของกามนน้ั ไดเนอื งๆ เขาจึงจะรูสึกขึน้ มาไดด ว ยตนเอง
วา กามนนั้ ประกอบไปดว ยทกุ ขและโทษ หากแตว า มนั เปน ไปอยา งซอ นเรนปด บงั ยากทจี่ ะเหน็
ไดง า ยๆ มนั แผดเผาอยตู ลอดเวลาในลกั ษณะของความเพลดิ เพลนิ เมอื่ เปน ดงั น้ี เขากเ็ ร่ิมสนใจ
ในธรรม เพื่อขจดั อาํ นาจของกาม ใหเ ปน ผอู ยูเหนอื กาม แลว บริโภคกามน้ันอยู โดยความหมาย
ทไ่ี มเปนกาม คือไมกอทกุ ขห รอื โทษแตประการใดเลย

กามนัน้ เปน เหมอื นกับเหยอื่ หรือสนิ จาง ทธี่ รรมชาติใชล อสัตวทั้งหลายใหสบื พนั ธุ ตาม
ความมงุ หมายของธรรมชาติ แตการสบื พนั ธุเปน งานหนกั หรอื งานเจ็บปวด ทนทุกขท รมาน จงึ
ตอ งมีสิง่ ใดส่งิ หนง่ึ มาปด บงั พรางตาเอาไว ไมใหสัตวเ หลา นนั้ มคี วามรสู ึกวาเปนการทนทกุ ข
ทรมาน บางครั้งแมจะมองเหน็ แตก ย็ งั กลา ทีจ่ ะรับเหยอ่ื หรอื สนิ จา งนนั้ มาเปน เครอื่ งชดเชย
กัน และเหยอ่ื หรอื สินจางอนั นีก้ ค็ ือ สงิ่ ท่เี รยี กวา "กาม" นน่ั เอง ฉะนนั้ ลองพจิ ารณาดเู ถดิ วา การ
ตอ งตกเปน ลกู จางชนดิ นกี้ ับการไมตกเปน ลกู จา งชนดิ นี้ อันไหนจะประเสรฐิ กวากนั และบุคคล
ชนิดไหนควรจะไดนามวา เปน อรยิ ะ ผปู ระเสริฐอยางแทจ รงิ และหลกั แหง ความเปน พระอรยิ เจา
ในพระพทุ ธศาสนานนั้ เปน ส่งิ ทโี่ งเงางมงายหรือหาไม

ปฏิฆะ (ความขดั ใจ) กม็ ีมลู อนั ลกึ ซงึ้ มาจากกาม ฉะน้ันถา ละกามราคะเสียได ก็ยอ มเปน
การตดั ตนตอของปฏฆิ ะไปในตัว สาํ หรับคนธรรมดาสามญั น้นั อะไรๆ กร็ วมอยทู ี่กาม ขดั ใจ
เพราะเจ็บไขไดปวย หรอื กลวั ตายก็มีมลู มาจากกาม เพราะเขาอยากมชี วี ติ อยูเพอื่ กาม ไมอ ยาก
เจบ็ ไขก ็เพ่ือกาม ถาตัดความรูสึกในเร่อื งกามได ปฏฆิ ะความขดั เคอื งในเรือ่ งความเจ็บไขและ
ความตาย กจ็ ะลดตามไปดว ย ดงั นน้ั พระอนาคามี จะมคี วามประเสรฐิ มากนอ ยเพยี งไร กเ็ ปน
สง่ิ ที่อาจจะรูไดจ ากคณุ คา แหง ความดบั ไปของ "อตั ตา" ที่อยูใ นรูปของกามราคะและปฏิฆะ
ดังกลา วน้ี

คร้นั มาถงึ พระอรหนั ต ก็จะตองละ "ตวั ตน" อนั อยูใ นรปู ของ รปู ราคะและอรูปราคะ กบั
ตอ งละ มานะ อทุ ธจั จะ และอวิชชา ซง่ึ เปน โมหะอยา งละเอยี ดดว ยกนั ทงั้ นน้ั และสาํ หรบั
อวิชชานัน้ ยงั แถมอยูในฐานะที่เปน ตน ตอหรือแมบ ท หรอื ประธานของบรรดากิเลสทั้งหลายทกุ ๆ
อยางดว ย พระโสดาบนั และพระสกทิ าคามี เริม่ ละกเิ ลสประเภทโมหะ พระอนาคามลี ะกิเลส
ประเภทราคะและโทสะ สวนพระอรหนั ตน ั้นละกเิ ลสประเภทราคะทเ่ี หลืออยู และประเภทโมหะ
ทเ่ี หลืออยูโดยสิ้นเชิง เม่อื มองดูใหตลอดแนวแหง การละกเิ ลสของพระอรยิ เจาทง้ั ๔ ประเภทแลว

เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 55 of 73

เราจะพบวากเิ ลสประเภทโมหะจะตองถูกละกอน แลว จงึ จะมาถงึ กเิ ลสประเภทราคะโทสะ แลว
ถงึ กิเลสประเภทราคะและโมหะทีเ่ หลือ คอื เปนการเริ่มตนดวยปญญาหรือสัมมาทฏิ ฐิ

ฉะนน้ั การที่จะทําอะไรๆ โดยใชป ญ ญานาํ หนาน้ี จะตอ งถือวา เปน ลักษณะเฉพาะของพทุ ธ
บริษัท การท่คี นเราจะดาํ เนนิ กจิ การงานอะไรๆ ใหเ ปน เรอื่ งเปนราวนนั้ จะตองลงมอื ดว ยปญ ญา
ประเภททที่ ําใหร ูจักทิศทางอยา งกวา งๆ เสยี กอ น ใหร แู นวทางท่ตี นจะตอ งดําเนนิ อยา งประจกั ษ
ชดั เสียกอ นทจ่ี ะลงมอื ทําไป ส่ิงทีก่ ระทํานนั้ จึงจะสะดวกและประสบความสาํ เร็จไดใ นทสี่ ุด ขอ นี้
ทําใหมองเหน็ ไดตอ ไปวา เปน การเหมาะสมแลว ท่พี ทุ ธศาสนาน้ไี ดช ื่อวาเปน ศาสนาแหง ปญ ญา
เพราะเปน ศาสนาท่ปี ระกอบดวยเหตุผลตั้งแตต นจนปลาย

สังโยชนอ ีก ๕ ชื่อ ซึง่ พระอรหันตจ ะตองละนนั้ ไดแ ก รูปราคะ และอรปู ราคะ ราคะ ๒ อยา ง
น้ไี มไดเ กยี่ วกบั กาม เปนเพยี งความพอใจในรสของความสงบสุขท่ีเกิดมาจากการเพง รปู และ
การเพง่ิ สงิ่ ทไี่ มม รี ปู เปน ธรรมดาอยูเองทส่ี ขุ เวทนาอนั ประณตี กย็ อ มเปนทต่ี งั้ แหง ความยึดถอื ขนั้
ประณตี ดังนนั้ จึงเปน สง่ิ ทล่ี ะไดยาก ดงั คาํ กลา วในรูปของปคุ คลาธิษฐานทว่ี า อายขุ องพวก
พรหมโลกนน้ั ยนื ยาวเปนกปั ปๆ ทเี ดยี ว ขอ นี้หมายความวา ความพอใจในรูปราคะและอรปู ราคะ
หรือความทไี่ ดเ ปนพรหมนั้น มีกําลงั เหนยี วแนน และลกึ ซง้ึ มาก ยากที่จะถอนออกไดงา ยๆ เม่ือ
เทียบสว นกนั กับความพอใจในกามราคะท่วั ๆ ไปของมนษุ ย กลา วใหส ั้นท่ีสดุ ก็วา สขุ เวทนาที่
เกดิ มาจากความสงบของจติ และอาํ นาจของสมาธนิ น้ั มีรสชาติย่ิงไปกวา สุขเวทนาที่เกดิ มาจาก
กาม อยางทจ่ี ะเปรยี บกนั ไมไ ดท เี ดียว

ทีน้ี ก็มาถงึ สังโยชนท ี่มชี ื่อวา มานะ คือความรสู ึกยึดถอื "ตวั ตน" โดยไปเปรยี บเทยี บกับ
ผอู ื่นวา ตัวดีกวา เขา ตัวเสมอกนั กบั เขา หรอื ตัวเลวกวาเขา แลวกม็ คี วามลงิ โลดหลงระเรงิ บาง
มีความเศราหรือหดหูบาง เหมอื นทกี่ ลา วไวอยางปุคคลาธิษฐานวา พวกพรหมไมเ กย่ี วของกบั
กามและโกรธไมเปน แตม ัวเมาหรือทะนงในภาวะของตัววา เปน ผูบ รสิ ทุ ธ์ิจากกามและความ
โกรธ ทํานองจะอวดผูอืน่ วา เปนผทู ส่ี งู กวาบรสิ ุทธกิ์ วามคี วามสงบสุขกวาคนทงั้ ปวง แลว กช็ อบ
มาทา ทายลองภมู พิ ระพทุ ธเจา ดว ยการตงั้ คําถามอยา งนนั้ อยา งน้ี ในทํานองทีเ่ ปน การแขง ดี หา
ใชทลู ถามเพราะความไมร ูจรงิ ๆ อยา งสามญั ชนทว่ั ๆ ไปไม นีแ่ หละคอื ตัวอยางของสงิ่ ทเี่ รยี กวา
มานะ

สังโยชนถดั ไปทีเ่ รยี กวา อทุ ธจั จะ อยา ไปปนกบั อทุ ธัจจะท่ีเปน ชอื่ ของนิวรณในบรรดา
นิวรณ ๕ ประการ ซง่ึ เปน ขาศึกของสมาธิ เพราะอทุ ธัจจะท่ีเปน สงั โยชนน ี้ ถงึ จะเปน กเิ ลสช่ือ
เดียวกนั และมคี วามหมายคลา ยกนั แตวา เปน ชนั้ ทป่ี ระณตี ละเอียด จนถงึ กับมาตั้งอยใู นฐานะ

เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 56 of 73

เปนขาศึกของปญ ญา ฉะน้ันจึงไมไ ดห มายถงึ ความฟุงซา นดว ยอํานาจอารมณรบกวน หรอื
กเิ ลสกลมุ รุมอยางชนิดท่เี ปน นิวรณเลย แตวาเปน ความรสู กึ อยางหน่งึ ซง่ึ เม่อื เกิดขนึ้ แลว จะทํา
ใหจ ิตกระเพอ่ื มหวน่ั ไหวไปดวยอาํ นาจของความทง่ึ หรือความสงสยั ตอ สิ่งตา งๆ ทมี่ ากระทบ
เชน อยากรวู า มันเปน อะไร มนั จะเปนไปไดไ หม หรอื จะใชเปน ประโยชนอะไรแกต น แมท ส่ี ดุ แต
ความอยากรอู ยากเหน็ กน็ ับวา เปน อทุ ธจั จะในทนี่ ี้ ตอเมอ่ื หมดความรสู กึ วา มี "ตวั ตน" โดย
แทจ รงิ เทา นนั้ จติ จึงจะเฉยไดหรือไมกระเพ่ือมเลยตอเหตกุ ารณตางๆ

เมอื่ ละอทุ ธจั จะได กย็ อมหมายความวา มจี ิตใจอยเู หนอื ความหวนั่ ไหวตอส่ิงทัง้ ปวงโดย
ส้ินเชงิ พระอรยิ เจา ขั้นตน ๆ ยงั มตี วั ตนเหลอื อยูม ากพอทจี่ ะแสวงสง่ิ ซึง่ เปน ประโยชนแกต ัว และ
เกลียดกลวั อนั ตรายท่จี ะมมี าแกตัว พระอรหนั ตเ ทานนั้ ละความรสู ึกเหลานไ้ี ดโ ดยเดด็ ขาด
เพราะหมดความรูส ึกวา มตี วั ตนโดยเดด็ ขาด เมอ่ื ความรสู กึ วา มีตัวตนถูกละขาดไปแลว
ความรูส กึ วา "ของตน" กไ็ มม ีที่ตงั้ อาศยั จงึ พลอยถกู ละขาดไปดว ยในตวั ฉะน้นั สง่ิ ท่เี รียกวา
"อหงั การกบั มมงั การ" จงึ เปน สง่ิ ทีเ่ กดิ ดวยกันดับดว ยกันโดยอัตโนมัติ เมือ่ "ตัวตน-ของตน" ถกู ละ
ขาดแลว อาการแหงอทุ ธจั จะจงึ ไมอาจจะมีได

ทีนี้ กม็ าถงึ สงั โยชนข อสดุ ทา ย คอื อวชิ ชา ซึง่ จะตองละกอ นทจ่ี ะเปนพระอรหนั ต เพราะ
เปน กิเลสประเภทโมหะท่ีเหลอื อยรู ้งั ทา ยสุด เปน รากเงา หรอื ตน ตอของกเิ ลสอื่นๆ และของ
ความรสู ึกวา มี "ตวั ตน-ของตน" เมื่อละอวิชชาไดแลว ก็จะเกดิ วชิ ชาซง่ึ หมายถงึ การรจู กั ทุกสง่ิ ทุก
อยางท่คี วรจะรู คอื รูทกุ ขท ง้ั ปวง รมู ลู เหตุใหเ กิดทกุ ขทง้ั ปวง รคู วามดบั สนิทแหง ทกุ ขทัง้ ปวง และ
รูวิธีที่จะดับทกุ ขท ั้งปวง เปน ความรชู นดิ ที่แจงประจกั ษด ว ยใจของตนเอง เชน ไดเ ผชิญมาดวย
ตนเอง ไมใชรูเ พราะไดยนิ ไดฟง หรอื รูเพราะการคดิ คาํ นวณตามเหตผุ ล

นกั ปฏิบตั คิ วรจะสังเกตใหด ๆี วา ความรมู อี ยูตางกนั เปน ๓ ชนั้ คอื ๑. รูตามที่ไดย นิ ไดฟง
(เรียกวา รูอ ยา งปรยิ ัต)ิ ๒. รูอ ยา งเจนจดั ดว ยใจจากการปฏบิ ัติ ๓. ครน้ั ตอ มาเหน็ ผลเกิดขึ้นจาก
การทล่ี ะกิเลสไดส ําเร็จ จงึ รจู กั ความมีขึ้นแหง กเิ ลสและความสน้ิ ไปแหงกิเลสจากใจตนเองลว นๆ
(รูอ ยา งปฏเิ วธ) เปน ความรแู จงแทงตลอด วิชชาหรือการรอู รยิ สัจ มงุ หมายอยา งน้ี

สาํ หรบั คําวา อรหันตนนั้ เปน คาํ ท่ีมใี ชอยกู อ นพทุ ธกาลใชเ รียกบคุ คล ทีล่ ุถงึ ข้นั สูงสดุ แหง
การปฏิบัติตามลทั ธนิ น้ั ๆ ฉะนั้นใครๆ กเ็ รียกศาสดา หรือผูปฏิบตั ถิ ึงทส่ี ดุ ตามลัทธขิ องตนวา เปน
พระอรหนั ต กระทั่งถึงยุคพุทธกาลก็ไดใ ชค ําวา อรหนั ตใ นทกุ ๆ ลัทธิดวยกนั ทง้ั นน้ั พระราชา
ครองนครจะยอมรับวา หวั หนาทุกลทั ธเิ ปน พระอรหนั ต จะเพอื่ ประโยชนท างการเมอื งหรอื เพอื่
อะไรก็ตาม พระราชายอมปฏิบัติตอพระอรหันตเหลา น้นั อยา งเสมอกนั ทเี ดียว แมพวกท่บี าํ เพ็ญ

เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 57 of 73

ทกุ รกิรยิ าถงึ ขนาดสูงสดุ ก็ไดน ามวา พระอรหันต พวกทีเ่ ปลือยกาย(ซึง่ มคี วามหมายวา ไมมีความ
ยดึ ถอื หรือไมมที รัพยส มบตั อิ ะไรเลย) ก็ไดนามวา พระอรหนั ต พวกทมี่ วี ตั รปฏิบตั แิ ปลกๆ อยาง
เขา ใจไมได ก็ไดน ามวาพระอรหนั ต ย่ิงในหมชู นท่ีดอ ยการศกึ ษาดว ยแลว ยง่ิ มพี ระอรหนั ตม าก
ชนิดและแปลกออกไปอยา งท่ีไมน า จะเปน ได อยางเชนในเมอื งไทย ก็ยังชอบยกยองคนขลงั ๆ
หรอื นักหลอกลวง วาเปน อาจารยในทางนน้ั ทางน้ี แมคนที่ไมมกี ารศกึ ษาขนาดบาๆ บอๆ กย็ งั
ถกู เรยี กวาเปน อาจารย คําวา อรหนั ต จงึ มคี วามหมายแตเพียงวา เปน ผปู ฏบิ ัตสิ าํ เรจ็ ชนั้ สูงสดุ
ของลัทธิของเขาเทา นนั้ สําหรับพทุ ธศาสนานัน้ ถอื เอาความทีก่ ิเลสหรอื สังโยชน (เครือ่ งผกู พนั ให
เกดิ กิเลส) ไดส้นิ ไปไมม คี วามยดึ ม่นั ถือมั่นในสง่ิ ใดโดยการเปนตวั ตนหรือของตน นัน่ แหละคอื ถงึ
ความเปน พระอรหนั ต

คุณสมบตั ิบางอยา งของพระอรหันต ยงั ใชเ ปนคําแทนช่ือเรยี ก พระอรหนั ต เชน คําวา ผจู บ
พรหมจรรย ผขู ามนาํ้ ได ผูเดนิ ทางไกลถึงทส่ี ดุ ผขู น้ึ บกไดแ ลว ผนู ง่ั ลงได ผไู มแลน ไปในวัฏฏ
สงสาร ผไู มเลยี้ งคนอนื่ ผูมีหาบหนักอนั ปลดลงไดแลว ดงั นี้เปน ตน ถา พยายามจบั ความหมาย
ของคาํ เหลา นใี้ หไ ดมากยงิ่ ขน้ึ เพยี งใด ก็จะเขา ใจพระอรหนั ตมากข้ึนเพยี งน้ัน เชน คาํ วา "ผนู งั่ ลง
ได" หมายความวา ผทู ี่ไมใ ชพระอรหันตย อ มมกี เิ ลสเปน เคร่อื งกระตนุ อยูเ สมอไปจนใจน่ังลง
ไมไ ด ที่เรียกพระอรหันตเ ปน "ผูหยุด" เชนกรณเี ร่ืองพระองคลุ มิ าล กม็ คี วามหมายอยา งเดียวกนั
หรอื เชน คําท่ใี ชเ รียกพระอรหันตว า ผูม ีขนอนั ตกลงราบสนทิ กค็ ือ ไมเกดิ ความขนลกุ ขนชนั
เพราะความกลวั น้ยี อ มหมายความวากิเลสทเี่ ปนเหตุใหก ลัวนนั้ ไมม เี หลืออยูแกพ ระอรหนั ตอีก
ตอ ไป บางทกี ็เรยี กตรงๆ วา ผไู มส ะดุง ผูไมหวาดเสียว ผไู มว่ิงหนี หรือรวมทงั้ ท่ไี มไดนาํ มากลา ว
อกี มากมาย และรวมลงไดในความหมายของคําๆ เดียว คอื ในความดับไปแหง "ตัวตน-ของตน"
หรอื พนจากอปุ าทานทง้ั หลาย หรอื ไมยดึ มั่นถอื มน่ั ดว ยอุปาทานนน่ั เอง เมอ่ื ความรสู ึกวา มตี ัวตน
หรือของตนดบั ไปเสียอยา งเดยี วเทา นน้ั ทกุ อยา งจะดับไปหมด จนถงึ กบั เกิดความหมายขนึ้ มา
ใหมวา เปน ความวา ง หรอื จติ วาง เพราะกเิ ลสท่ีเปน เหตใุ หย ดึ ถือเชน นนั้ มันไดส ูญส้นิ ไปเสียแลว
เมือ่ ไมม กี ารยดึ ถอื มีก็เหมอื นกับไมม ี ฉะนน้ั จงึ เรยี กวา "วาง" (หรือสญุ ญตา) ตามความหมาย
ในพระพทุ ธศาสนา ซงึ่ หมายถึงวา งจาก "ตวั ตน" วางจากทกุ ขว า งจากกิเลสทเ่ี ปน เหตใุ หเ กิดทกุ ข
และวางจากความยึดถือเอาอะไรๆ มาเปนตัวตนใหเ กดิ ทกุ ข จึงเปน นิพพานอนั เปน ทส่ี น้ิ สดุ ลง
แหงความทกุ ข

การละอวิชชาเสยี ได ทาํ ใหรวู า โดยแทจ รงิ แลว ไมมอี ะไรเปน ตวั ตน มแี ตธรรมชาติ ไมว า จะ
เปนฝายรปู ธรรมหรอื ฝายนามธรรม หรอื รวมกันท้ังสองฝา ย เมอื่ รแู จง ดงั นี้ ความยดึ ถอื ในสิ่งใด
สิง่ หนง่ึ ทเี่ คยถอื วาเปน "ตวั ตน-ของตน" ก็ไมอาจจะเกิดข้ึนได แมในขณะที่ตาเหน็ รูป หูไดยนิ
เสียง จมกู ไดก ลนิ่ ฯลฯ น้คี อื ความดบั ไปแหง "อัตตา" อนั ทาํ ใหย ดึ ตดิ ในสิ่งตา งๆ ซง่ึ เกดิ มาจาก

เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 58 of 73

ความอยากในอารมณนนั้ ๆ ความวา งจากความยึดมนั่ ดว ยอปุ าทานวา "ตวั เรา-ของเรา" เทา นน้ั
ท่เี ปนความวางตามความหมายแหง คาํ วา นพิ พาน ซึ่งถอื วา เปน ความวางอยา งยง่ิ เพราะดับ
"ตัวเรา-ของเรา" ไดโ ดยสน้ิ เชงิ สมตามคําวา "นพิ พาน" ทีแ่ ปลวา "ดับไมเ หลือ"

อนง่ึ ความดับไปแหง "ตวั ตน" น้ี เปน อริยสจั ขอ ท่ี ๓ คอื ทกุ ขนิโรธ กลา วคือ ความดบั ไม
เหลือแหง ทกุ ข อนั เปน สิ่งทีจ่ ะพงึ ปรารถนาแกคนทงั้ ปวงและในกรณที ง้ั ปวง ฉะนนั้ เม่อื สุญญตา
เปนส่ิงๆ เดียวกบั ความดับไมเหลือแหง "ตวั ตน" ดังน้แี ลว สญุ ญตาก็ตอ งเปน สงิ่ ทพี่ งึ ปรารถนาแก
คนทวั่ ไป และทุกกรณดี วย แตคนบางคนไมเขา ใจสงิ่ น้ี หรือเขา ใจผิดตอ สง่ิ น้ี จนกระท่ังเกิดความ
เกลียดความกลวั ตอ สุญญตา ท้งั ๆ ทีเ่ ขาเปน ผูนับถอื พทุ ธศาสนา หรอื ทง้ั ๆ ทีเ่ ปนบรรพชิต เพราะ
ไปหลงเขา ใจผดิ หรือดว ยความอวดรวู า สญุ ญตาจะทาํ ใหประเทศชาตไิ มพ ัฒนา หรอื เปน
อปุ สรรคขัดขวางการกาวหนา ของสังคม

คนทว่ั ไปพอไดยนิ คาํ วา "วา งจากตัวตน" หรือ "ความวาง" กม็ คี วามกลัววาจะพลดั ตกล่ิวๆ
ลงไปในทที่ ีไ่ รท ี่เกาะทจี่ ับทย่ี ดึ และไมมที ่สี นิ้ สุด หาไดเขาใจวา ส่ิงทเี่ รียกวา ตวั ตน นนั่ แหละวา ง
ไป และกไ็ มม อี ะไรที่จะพลดั ตกลิว่ ๆ ไปทางไหนแตประการใดไม นแ่ี สดงวาเขาไมเ ขา ใจ "ความ
วา ง" จึงไดค าดคะเนเอาเองตามความโงข องตน ถาเขาไดเ ขา ถงึ "ความวา ง" ตามลักษณะดงั ท่ี
กลา ว กจ็ ะเกดิ ความเหน็ อยา งแจม แจง วา "ตัวตน" ไดก ลายเปน ของวา งไปพรอมกนั กับ "ของตน"
แลว จะมอี ะไรอกี ทีจ่ ะพลัดตกล่ิวๆ ลงไปในความวา ง ดังนนั้ ภาวะแหง สุญญตาจงึ ไมใ ชภาวะท่นี า
กลัว ดังความเขา ใจของบคุ คลผปู ระกอบอยดู วยอวชิ ชาและอปุ าทาน แตจ ะกลายเปนภาวะที่ไม
เปน ที่ตง้ั แหง ความกลวั ความรกั ความโกรธ ความเกลยี ด ความวิตกกงั วล ฯลฯ เขาจะไมถกู
รบกวนดว ยส่ิงเหลา นเ้ี ลย

ความไมถกู กิเลสรบกวนแตป ระการใดเลยนน่ั แหละ คอื ความดบั ไมเ หลอื แหงทุกข ซึง่
สมมติเรยี กกนั อีกอยางหนึ่งวา ความเปน สขุ ท่ีสดุ (นพิ พฺ านํ ปรมํ สุขํ = นพิ พานเปน สขุ อยางยงิ่ )
ดงั นน้ั เมอ่ื นพิ พานเปน ส่ิงๆ เดยี วกนั กบั สญุ ญตาแลว ภาวะแหงสญุ ญตาก็เปนสขุ อยา งยง่ิ
เชน เดยี วกนั เพราะหลักกม็ อี ยอู ยางตายตวั วา วา งอยางยิง่ นน่ั แหละ คอื นพิ พาน (นพิ พฺ านํ ปรมํ
สุญฺ )ํ ฉะนนั้ คนทพ่ี ดู วา ตวั ตองการนพิ พานแตกลับกลวั "ความวาง" นนั้ จงึ เปนเพยี งคนท่อี ยใู น
ความละเมอเพอฝน ตอนพิ พาน ไมมีความเขาใจในสง่ิ เหลา น้ีแมแ ตประการใดเลย ถา เขาพดู ถงึ
เรือ่ งนกี้ นั อยูบา ง ก็เปน เพยี งธรรมเนียมของคนท่ีนอนคุยกนั ตามศาลาวดั เพ่ืออวดคนอ่นื วาตนก็
มคี วามรูในสงิ่ สงู สุดของพทุ ธศาสนาเทา นน้ั

เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 59 of 73

สาํ หรบั คาํ วา นพิ พานนัน้ ยงั แบง ออกไดเ ปน ๒ ฝาย คอื ฝายทมี่ ีเช้อื เหลอื และฝายทไ่ี มม ี
เช้อื เหลอื ฝา ยท่ไี มมีเชือ้ เหลอื ก็คอื ฝายท่ีดบั "อัตตา" สนิ้ เชิง ฝา ยท่ีมเี ชอื้ เหลือนน้ั หมายถงึ การ
ดบั "อัตตา" ยงั ไมส้ินเชงิ (แตกเ็ รม่ิ มกี ารดบั "อัตตา" ลงไปบางแลว ) ไดแกการดับ "อตั ตา" ของ
พระอริยเจาชน้ั ตนๆ ที่ยงั ไมเ ปนพระอรหันต เชน พระโสดาบัน พระสกทิ าคามี พระอนาคามี ซง่ึ
ลวนแตลถุ งึ นพิ พานชนิดทยี่ งั มเี ชอ้ื เหลืออยตู ามสมควร ดังนน้ั จงึ มกี าร "เกดิ ใหม" คอื การเกิด
ความรสู ึกวา เปน "ตัวเรา-ของเรา" ขึ้นมาไดใหม โดยสมควรแกเช้อื ที่เหลอื อยมู ากนอ ยเพยี งไร แต
ก็เปน "ตวั ตน"ท่ีเบาบาง ไมเต็มอตั ราอยา งปถุ ชุ นซง่ึ มีกเิ ลสเต็มปร่ี และไมเ คยถกู ละไปแมแตส วน
ใดเลย นิพพานของพระอรยิ เจาข้ันตน ๆ เรยี กวา "สอุปาทิเสสนพิ พาน" แปลวา นพิ พานทม่ี ีเชือ้
เหลือ ดังนนั้ จงึ ยังมิใชน พิ พานท่ีเปน "ความวา งอยา งยงิ่ " ซง่ึ เรยี กวา อนปุ าทิเสสนิพพาน

คาํ บาลีวา "สุ ญฺ " นนั้ ทถี่ กู ควรแปลวา "วา ง" แตบางคนแปลกนั ผิดๆ วา "สูญเปลา " หรอื ไม
มีอะไรเลย นนั้ ใชไมไ ด ไมมีประโยชนอ ะไร เปน ความหมายท่ีไกลกนั อยา งยง่ิ หรอื ตรงกันขา ม
ทเี ดียว เพราะเรามที กุ ส่ิงทุกอยา งท่คี วรจะมไี ด และใชประโยชนไ ดทกุ อยา ง หากแตว าวา งจาก
ความยึดถอื วา เปน "ตวั เรา-ของเรา" เทา นนั้ เอง ดงั นนั้ การทีไ่ ปแปลคําๆ น้วี า สูญเปลา หรอื การ
ไมมีอะไรนนั้ จึงเปนการตพู ทุ ธศาสนา หรอื ถงึ กับทาํ ลายหลกั พทุ ธศาสนาอนั สูงสดุ ของตนเอง
โดยนาํ้ มอื ของผทู อ่ี างตนเองวา เปน พทุ ธบรษิ ัท

สํานวนท่พี ดู วา "ดบั เยน็ อยใู นโลกนี้" หรือ "นิพพานอยใู นโลกน"้ี มไิ ดห มายถงึ ความตาย
หรอื รอเอาผลหลังจากการตายแลว แตหมายความวา ยงั มชี วี ิตอยูใ นชาติน้ี โดยทําใหด ับเย็นลง
ไปดวยความไมยึดมั่นถือม่ัน พระพทุ ธองคเ คยตรสั วา เรอ่ื งเกย่ี วกับสญุ ญตานนั้ มคี วามหมาย
ลกึ ซึง้ เขา ใจยาก แตเปน สิง่ ทีเ่ ปน ประโยชนเ กือ้ กลู แกฆราวาสโดยตรง ทงั้ นกี้ เ็ พราะทรงมุงหมาย
จะใหทกุ คนเปน อยูด ว ยความดับเย็น หรอื ความดับไมมเี ชือ้ เหลือ เพราะถาไมไ ดอ าศยั หลกั สญุ ญ
ตาน้แี ลว ยอมไมมีใครสามารถหลกี เลย่ี งความทุกขไ ด ฉะนนั้ การที่คนใดคนหนง่ึ จะมีชีวิตอยูใน
โลกอยา งสงบเยน็ สมตามความหมายของคาํ วา มนุษย ไดน น้ั เขาจะตอ งศึกษา ตองเขาใจ และ
ตองปฏิบัตใิ นเร่อื งสุญญตา จงึ จะไมเ ปน ผเู หน็ ผดิ คดิ ผิด ทําผิดแตป ระการใดไดเลย แลวสังคมที่
ประกอบอยดู ว ยคนเชน นี้ กจ็ ะมแี ตความสงบสขุ ปกครองงา ย ไมมีปญ หายงุ ยากอนั ใดใหสะสาง
อยา งลาํ บากมากมายเหมอื นในปจ จุบันนี้

เม่อื ไมเ กิดมาเพ่อื ตวั เขาเองแลว ทุกอยา งกจ็ ะเปนไปเพ่อื สวนรวม กลายเปน วาเขาเกดิ มา
เพอ่ื ทาํ โลกน้ใี หง ดงามไปดว ยคณุ ธรรม แตเม่ือคนสว นใหญย งั ไมยอมรบั ความคิดเหน็ อนั นีแ้ ลว
เราซึ่งมชี วี ติ อยูใ นโลกน้กี ับเขาดวยคนหนงึ่ นนั้ จะทาํ อยา งไรดี คําตอบกค็ ือ พยายามทาํ ความดับ
ไปแหง "อตั ตา" ไปตามลาํ พงั ซ่ึงโลกก็จะพลอยไดประโยชน แลว ตนเองกจ็ ะไดอยา งเตม็ เปยม

เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 60 of 73

และกอนใครๆ ทงั้ หมด เม่อื สงั คมกาํ ลงั สกปรก (คอรปั ช่ัน) ก็ตองแกด ว ยความรูเ ร่ืองสญุ ญตา
(ความไมเห็นแกตัว) ซงึ่ เปน สิ่งตรงกนั ขามโดยตรง

วิธปี ฏบิ ัติเกยี่ วกับความดบั ไมเหลือแหง "อตั ตา" นั้น ไดแ กส่งิ ท่ีเรยี กวา "มรรค" (แปลวา
ทาง) หรือ "พรหมจรรย" ศาสนา และ ธรรมกไ็ ด ธรรมะนน่ั แหละเปน ตวั ทาง เหน็ ธรรมะก็คือเหน็
ทาง การเดนิ ไปตามทางคือการเดินไปตามธรรมะ และการลุถึงจุดหมายปลายทางกค็ ือความดบั
ไมเ หลอื แหง ทกุ ข หรือพระนพิ พาน (ซง่ึ ในท่นี ี้ เราเรยี กกนั วา ความดบั ไมเหลอื แหง "อตั ตา")

อรยิ มรรคมอี งค ๘ ประการ ทเ่ี ปนอริยสจั ขนาดยอ ม หรอื ขนาดธรรมดานน้ั พระพทุ ธเจาชี้
เอา "ความเกดิ " เปน ความทกุ ข เหตุใหเ กดิ ทุกข ก็คอื ความโลภโกรธหลงงมงาย ความดับไม
เหลือแหง ทกุ ข ทรงชไี้ ปยงั ความดับไมเ หลือแหง โลภโกรธหลงงมงาย วธิ ปี ฏิบัติเพื่อความดับทุกข
ก็คือ อริยมรรคมีองค ๘ สว นอริยสจั ขนาดใหญห รือทเ่ี รยี กไดว าเต็มภาคภูมินนั้ ไดต รสั ไวในรูป
ของ ปฏิจจสมปุ บาท แตเหตใุ หเกิดทกุ ขนน้ั ทรงระบุ ชาติ ภพ อปุ าทาน ตัณหา เวทนา ผสั สะ
อายตนะ นามรูป วญิ ญาณ สังขาร และอวชิ ชา เปน ที่สุด และจะดบั ทุกขไดก็ตองดับ ชาติ ภพ
อปุ าทาน ตณั หา เวทนา ผสั สะ อายตนะ นามรูป วิญญาณ สังขาร และ อวิชชา คือไดแ ก
อรยิ มรรคมอี งค ๘ อกี นน่ั เอง เพราะการเปน อยอู ยา งถกู ตองตามหลกั อริยมรรคมีองค ๘ นนั้
ยอมมผี ลทาํ ใหอวชิ ชาเกดิ ไมได หรอื ดับไปอยูตลอดเวลา

สาํ หรับมรรคมอี งค ๘ ซง่ึ มสี มั มาทิฏฐเิ ปนขอตน และมีสัมมาสมาธิเปน ขอ สดุ ทายนน้ั องคท ่ี
สาํ คัญท่ีสดุ อยทู ส่ี ัมมาทิฏฐิ กลาวคอื วิชชาซ่ึงตรงกนั ขามจากอวชิ ชา หมายความวา อยางนอ ยก็
ตองเรมิ่ ปฏบิ ัติธรรมดวยการดับอวชิ ชา แมบางสว นแลว สงิ่ ตา งๆ ทเี่ นอื่ งดวยอวชิ ชากจ็ ะดบั ไป
ตาม หรือกลาวอกี อยา งหนงึ่ ก็คอื วา เมื่อมวี ชิ ชาเกดิ ขึ้นมาแลว ความถกู ตองอยา งอนื่ ๆ กเ็ กดิ
ตามขึน้ มาไดโดยงา ย จนรวมกนั ครบเปน ๘ องค กลายเปน มรรคหรอื เปน วชิ ชาทีเ่ ตม็ ทข่ี ้ึนมา
ตามลําดับ กลายเปน ปฏจิ จสมปุ บาทฝา ยดับอยูในนนั้ อยา งมองไมเหน็ ตวั และเปน อยา ง
อัตโนมัตดิ วย

ปฏิจจสมปุ บาทก็คอื การบอกใหท ราบวา อะไรเกิดขน้ึ เพราะอะไรๆ และอะไรดับลงไปเพราะ
การดับแหงอะไร สวนวธิ ขี องการปฏิบัตนิ ัน้ ตองไมใ หป ฏิจจสมุปบาทฝายเกดิ เกดิ ข้ึนมาได หรอื
ใหป ฏิจจสมปุ บาทฝา ยดับเปน ไปไดน ั่นเอง เชน เมือ่ เวลาท่ีอารมณกระทบ รปู เสียง กลนิ่ รส
สมั ผสั ทางกาย และสัมผสั ทางใจ ก็จงทาํ ใหอารมณเ หลา นนั้ ไมปรุงเปน ความรสู กึ สขุ ทุกขข น้ึ มา
ได หรือถา ปรงุ เปนสขุ ทกุ ขขึ้นมาไดเสยี แลว ก็ตอ งไมใหป รงุ เปนความอยากขน้ึ มาได คือใหมัน
หยุดเสยี เพียงแคค วามรสู ึกทเี่ ปนสขุ ทกุ ขน นั่ เอง เม่ือความอยากเกิดขนึ้ ไมไ ด การยดึ ความเปน

เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 61 of 73

น่ันเปน นี่ และการเกิดความรสู กึ วา เปน "ตวั ตน" ก็เกิดข้ึนไมได แตก ารทจี่ ะทาํ ใหเ วทนาไมปรงุ
ตัณหานน้ั ก็ตอ งอาศยั วชิ ชาหรอื สมั มาทฏิ ฐิ ท่ีทาํ ใหเ ห็นแจงชดั วา เวทนาทง้ั หลายไมเ ที่ยงเปน
ทุกขเ ปน อนัตตา หรอื เปน เพยี งมายาหลอกลวงลว นๆ สัมมาทิฏฐิซง่ึ เปน หวั ใจของอรยิ มรรคมี
องค ๘ จงึ เปน หวั ใจของปฏจิ จสมุปบาทดว ย

ดังนน้ั การปฏิบตั ิท่ีมีหลกั แตเ พยี งวา ไมให "ตัวตน-ของตน" เกิดขึน้ เทา นน้ั กเ็ ปนการปฏบิ ัติ
ในปฏิจจสมปุ บาทฝา ยดบั ตลอดสาย และเปน อริยมรรคมอี งค ๘ อยางครบถว นรวมอยูใ นนนั้
เสรจ็ เพราะอาํ นาจของสมั มาทิฏฐทิ ่ีทาํ ใหความรูสกึ วา เปน "ตวั ตน-ของตน" เกิดข้ึนไมไ ดน่ันเอง
ในขณะนน้ั สัมมาสงั กปั โป สมั มาวาจา สมั มากมั มันโต สมั มาอาชีโว สมั มาวายาโม สมั มาสติ
และสมั มาสมาธิ จงึ เปน ไปเองอยา งสมบูรณและอยางอตั โนมตั ิ และการปฏบิ ัติเพียงเทาทจ่ี ะไม
เกิดความรสู ึกวา "ตวั ตน-ของตน" ขึ้นมาไดนแี้ หละ คือการปฏบิ ตั ิท้งั ส้นิ ในพระพทุ ธศาสนา ซงึ่ จะ
ถอื เปน ศีลสมาธิปญญา เปน อริยมรรคมอี งค ๘ เปนปฏจิ จสมปุ บาทหรือเปนอะไรๆ ก็ตาม ได
อยา งครบถว น และย่ิงไปกวานนั้ อกี กค็ ือในความดบั ไปแหง "ตวั ตน-ของตน" นน้ั เอง ยอ มมคี วาม
เปน พระพทุ ธพระธรรมพระสงฆ หรือมรรคผลนพิ พาน ซง่ึ เปนผลของการปฏิบตั ริ วมอยูในนั้นแลว
อยา งครบถว น

การปฏิบตั เิ พอื่ ความดบั ไปแหง "อัตตา" ในขณะที่เผชิญกบั อารมณ มรี ปู กระทบตาเปน ตน
นั้น โดยใจความสําคัญก็อาศยั หลกั พทุ ธภาษิตทีต่ รัสแกพ ระพาหยิ ะวา "ดกู อนพาหยิ ะ! เมือ่ ใด
เธอเหน็ รูปแลว กข็ อใหเ ปนเพยี งสกั แตวาไดเ ห็น ลมิ้ รสแลว ก็สักแตว าไดล ิ้ม ไดรบั สัมผัสทางผิว
กายแลว ก็สกั แตว า สมั ผสั ดงั น้แี ลว เม่ือนนั้ เม่ือใด "เธอ" ไมมี เมอ่ื นนั้ "เธอ" กไ็ มป รากฏอยูในโลก
น้ี ไมปรากฏอยใู นโลกอนื่ และไมป รากฏในระหวา งแหง โลกทงั้ สอง นน่ั แหละคือที่สน้ิ สุดแหง ทกุ ข
ละ" ดงั น้ี (อ.ุ ขุ. ๒๕/๘๓/๔๙)

จากพระพทุ ธภาษิตนี้ เราจะเหน็ ไดวาในขณะท่มี ีการกระทบกนั กับอารมณน น้ั มวี ธิ ีปฏิบตั ทิ ี่
จะทาํ ไมใ หเกดิ ความรูสึกวา มี "ตวั ตน" ทน่ี น่ั กเ็ ปน ทส่ี ดุ แหงทุกข (คอื นพิ พาน) ใจความสาํ คัญของ
การปฏิบัตนิ น้ั มอี ยูตรงขอที่ไมท าํ ใหอ ารมณน น้ั ๆ มอี ทิ ธพิ ลขึ้นมาในการท่ีจะครอบงาํ จติ ใจของ
ตน ใหก ารเหน็ เปนแตส กั วาเห็น เปน ตน ไมใ หก ารเหน็ นน้ั ปรงุ จิตจนเกดิ ความรูสกึ รักหรือชงั เปน
สุขเวทนา หรอื ทุกขเวทนาขนึ้ มานนั่ เอง เรยี กสน้ั ๆ วาไมใ หป รงุ เปน เวทนาขึ้นมา ใหเปนสักแตวา
การเหน็ เฉยๆ แลวกห็ ยดุ ไป กลายเปน รูปเปนสติปญ ญาเกดิ ขน้ึ มาแทน คือวาจะจดั การกับสงิ่ น้ี
อยางไร กจ็ ัดการไปดวยสตปิ ญ ญา ไมม ีความรสู กึ ทเี่ ปนกเิ ลสตณั หาหรืออปุ าทานวามี "ตวั ตน"
หรอื ถา ไมค วรจัดการแตป ระการใดเลยก็เลกิ กัน

เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 62 of 73

การปฏบิ ตั ิอยา งทีเ่ รียกวา "เห็นสกั แตวาเหน็ " นนั้ คือเม่อื ไดเห็นสง่ิ ใดและรูวา มนั เปน อะไร
แลว กใ็ หม ีความรสู ึกหรือความเขาใจทถี่ กู ตอ งวา มนั เปน สกั แตว า รูปหรอื ภพ เชน เหน็ ดอก
กหุ ลาบสวยงาม หรือเหน็ มนษุ ยเ พศตรงขา มทนี่ ารกั หรือของนาเกลียดเชน อุจจาระปส สาวะ ให
นึกวา มนั เปน เพยี งสกั วา รปู หรือภาพทไี่ ดเหน็ ไมปลอ ยใหจิตไปถือเอา "ความหมาย" ของมนั วาดี
เลวอยางนนั้ อยางน้ี ชนิดทีก่ อ ใหเ กิดความอยากหรือความเกลยี ดหรือความยึดมั่นถอื ม่นั อยา งน้ี
อยางนนั้ ข้นึ มา (คําอธิบายละเอยี ดมีอยูในหนังสอื วธิ ีระงบั ดับทุกข) แลว กเ็ ลกิ กนั จะกระทาํ
อยางนี้ไดดว ยการฝก ใหเ หน็ วา สขุ เวทนาทกุ ขเวทนาน้นั เปน มายาหลอกลวงอยูเปน ประจํา (แต
สําหรับทกุ ขเวทนานน้ั เปนผลอีกอนั หนงึ่ ซงึ่ เกดิ ขึ้น เนือ่ งจากความยึดม่นั ถือมน่ั ในสขุ เวทนาท่ี
ไมไ ดอ ยา งใจนกึ ถาความยดึ มัน่ ถือมน่ั ในสุขเวทนาไมมแี ลว ทางที่จะเกดิ ทกุ ขเวทนาก็ยอ มไมม)ี

เมอ่ื สุขเวทนาหมดความหมายไปแลว ก็ไมย วั่ ใหเกดิ ความยึดถอื อารมณ ในเมื่อไดส ัมผสั สิง่
ทชี่ อบใจ อนั เปนทต่ี งั้ แหง กิเลสตัณหา น่ันแหละคือการเห็นท่สี ักแตว า เหน็ สวนการไดย นิ ทีส่ กั แต
วาไดย นิ การไดก ลิ่นทส่ี กั แตวาไดด ม ฯลฯ ก็มหี ลกั เกณฑอ ยางเดยี วกนั ซ่งึ มีใจความสาํ คญั อยู
ตรงทีเ่ ขาไมตกเปนทาสของสขุ เวทนา นเี้ รยี กวา ไมม ี "ตัวตน" อยใู นโลกนหี้ รือในโลกไหน
กลายเปน ความวางจาก "ตัวตน" เปน นพิ พาน เพราะไมก อ เปน ปฏิจจสมปุ บาทฝา ยเกดิ ขน้ึ มาได
นนั่ เอง

เมอื่ สัมผสั (การกระทบ) เปน เพยี งสักแตก ารกระทบเฉยๆ แลว อายตนะ (คือตาและรูปท่ี
เปน ทต่ี ง้ั แหง กระทบนนั้ ) มนั จะไมมีคาหรอื ไมมคี วามหมายอะไร นั่นแหละคือความดบั ไปของ
อายตนะ เมือ่ อายตนะมีลักษณะเปน หมนั ไปเชนน้ีแลว นามรูปอนั เปน ทต่ี ง้ั ของอายตนะนน้ั กเ็ ปน
หมันไปดว ย เมอื่ นามรูปเปน หมนั วิญญาณธาตุทปี่ รุงแตง นามรปู ในกรณีนน้ั ก็เปน หมนั เมือ่
วิญญาณธาตเุ ปน หมัน สงั ขารที่ปรงุ แตงใหเ กิดวิญญาณธาตนุ น้ั กพ็ ลอยเปน หมนั เม่ือสังขารเปน
หมนั อวิชชาซงึ่ ปรุงแตง สงั ขารในกรณนี นั้ กเ็ ปน หมนั คือมีคาเทา กับไมม หี รือดบั อยู ทงั้ หมดน้กี ็
เพราะอาศัยเหตนุ ิดเดยี วทม่ี ีอยูตรงกลางของปฏิจจสมปุ บาท กลา วคอื ผสั สะทจ่ี ะตอ งทาํ ใหเปน
หมนั ไปเสยี เมอื่ ผัสสะเปนหมนั จงึ ไมเกิดเวทนา ปฏิจจสมปุ บาททง้ั สายก็เปน หมนั นเ้ี รียกวา
ปฏจิ จสมปุ บาทฝา ยดบั ทุกข

ฉะนนั้ ขอใหม องเหน็ จดุ สาํ คญั เรน ลับที่สุดตรงขอ ท่ีวา ในขณะแหง การสมั ผสั นน้ั มนั จะมี
อวชิ ชาเขา มาเก่ยี วขอ งดว ยหรือไม ถา ผสั สะใดมอี วิชชาเขา มาเกย่ี วขอ งดว ย ผัสสะนนั้ ก็จะเปน
ทตี่ ัง้ แหง ปฏิจจสมปุ บาทฝา ยเกดิ ทกุ ขจนตลอดสายทเี ดยี ว ในทางตรงกันขามถา ผสั สะใดถกู
ควบคมุ ไวด ีจนอวิชชาเขามาเกีย่ วขอ งไมไดผสั สะนน้ั กเ็ ปนท่ตี ง้ั แหง ปฏจิ จสมปุ บาทฝายดบั ทกุ ข
จนตลอดสายอยางเดยี วกัน ฉะนนั้ ผสั สะของคนพาลคนโงคนหลง กค็ อื ผสั สะทมี่ อี วชิ ชาเขา มา

เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 63 of 73

เกีย่ วของดวย ผสั สะของพระอรยิ เจา หรือของคนมีปญญา ก็เปนผัสสะทไี่ มม อี วชิ ชาเขา มา
เกี่ยวขอ งดว ย มันจงึ เปน เพียงสกั วา ผัสสะ (คือการกระทบ) ไมม ี "ตวั ตน" หรอื "ของตน" เกิด
ขึน้ มาได จงึ เปน การดับแหง ทกุ ขอ ยูตลอดไป ถา ผิดไปจากน้แี ลว ก็เปน ปฏิจจสมปุ บาททีพ่ ูดเพอ
ไปตามตัวหนงั สือ หรอื ตามคารมปากท่แี ยง กนั อธิบาย ซง่ึ ใชป ระโยชนแ กการปฏบิ ตั ิเพอื่ ดบั ทุกข
สักนิดก็ไมได

การปฏบิ ัตธิ รรมทกุ อยาง กเ็ พื่อดบั ตัณหาดวยกนั ทงั้ นนั้ แตการดบั ตณั หาน้ันมีอยู ๒ อยาง
คือ ดบั จริง กบั ดับไมจริง สําหรับการดับท่ไี มจ รงิ นนั้ เชน ทมี่ นั ดับไปเองตามธรรมดา คือวา เมือ่
ตัณหาไดเ สพยเ หย่อื นนั้ ๆ ไปแลวมันกด็ ับไปเอง เพอื่ ไปหาเหยื่ออนั ใหม หรืออารมณอนั ใหม ที่สงู
ข้นึ มาหนอ ยกค็ อื ดับเพราะความประจวบเหมาะบงั เอิญ เชน ไดอารมณแ หง ความสลดสังเวช เชน
เหน็ ซากศพหรอื ส่ิงปฏิกูล มันจึงดับไปเพราะความประจวบเหมาะเชน น้นั ท่ีสงู ข้ึนมาอีกก็คอื การ
พิจารณาไปตามความรูสึกผดิ ชอบชัว่ ดหี รอื ตามอํานาจของเหตผุ ล กท็ าํ ใหตัณหาดบั ไปได
เหมือนกนั แตห าไดเ ปนการดับทแ่ี ทจรงิ ไม เปน เพยี งการดบั ชั่วคราวและแกปญหาเฉพาะหนาไป
ทีกอ นเทา นน้ั เอง น่ีแหละคอื เหตุทว่ี า ทาํ ไมเมอื่ ศึกษาเรื่องอริยสจั กนั มาต้งั นมนาน หรอื ทํา
วิปสสนากนั มานาน จนถงึ เปน ชัน้ อาจารยแลว กย็ งั ไมดบั ตัณหาลงได ทัง้ น้ีกเ็ พราะวา เปน การดับ
อยางชวั่ คราว การดบั ตณั หาที่แทจ ริงนน้ั เรยี กโดยบาลีวา "อเสสวิราคนโิ รธ" แปลวา ดบั ไมม ีสว น
เหลือดวยอาํ นาจของวริ าคะ (คอื การจางคลายของตณั หา) ซึ่งเกิดสืบตอ มาจากนพิ พทิ า (ความ
เบ่ือหนา ย) เพราะเหน็ แจงตามทเ่ี ปน จรงิ วา สิ่งทงั้ หลายทงั้ ปวงไมเทย่ี ง เปนทกุ ข เปน อนัตตา ไม
ควรยึดมั่นถอื มัน่ วา เปน "ตวั ตน" หรือ "ของตน" การดบั ตณั หาดวยอุบายและดวยอาการอยา ง
หลงั น้เี ทา นน้ั จึงเปน การดับทีแ่ ทจ ริง นอกไปจากนน้ั ก็เปนการดบั เพยี งชวั่ คราว หรอื เปน การเลน
ตลก เชนที่คนบางคนบริกรรม หรอื ภาวนาวาดับตัณหาๆ หรือบางคนกต็ ง้ั ใจเอาเองวา จะดับ
ตัณหา โดยแกลงทาํ เปนเฉยตอ สง่ิ ทงั้ ปวงดว ยการบงั คบั ขม ขี่ แตแ ลวกไ็ ปไมรอด เพราะมกี ําลงั
ไมพ อทจ่ี ะดบั ตัณหา อนั มีกาํ ลังมากมายน้ันได ทยี่ ง่ิ ไปกวา นนั้ อีก ก็คือพวกคดโกงหลอกลวง
ผูอน่ื ดว ยมายาตา งๆ วาตนเปน ผดู บั ตณั หาแลว หลอกลวงตนเองโดยตรงกม็ ี คือการคดิ เอาดอื้ ๆ
วา เราไมย ินดยี ินราย ไมม ผี ูหญิงผูชาย ดงั นเ้ี ปนตน แตแ ลวกย็ งั มีการกระทําชนิดท่ีเปน ไปตาม
อํานาจของตณั หาเตม็ ไปหมด เปนการหลอกลวงตวั เองพรอมกับหลอกลวงคนอนื่ ไปในตวั ซงึ่
ลว นแตเ ปน การดับตณั หาที่คดโกง ท่ีโงเ ขลา ทไ่ี มแทถาวรทงั้ นัน้ ดงั น้ันจงึ เหลอื อยแู ตเพียง
ประการเดยี วเทาน้นั คอื การดับชนดิ ท่เี รยี กวา "อเสสวิราคนิโรธ" อันมมี ลู มาจากความเหน็ แจง
วา สง่ิ ทงั้ หลายทงั้ ปวงไมควรยึดมัน่ ถอื มนั่ อยา งแทจ รงิ เทา นน้ั

สําหรับความรหู รือความเหน็ แจงวา สง่ิ ท้งั ปวงไมควรยึดมน่ั ถือมน่ั นกี้ ็เหมอื นกนั ตอ งพึง
เขา ใจวา มันมอี ยู ๓ ระดบั คือรตู ามทีไ่ ดยนิ ไดฟง (นเ้ี รยี กวาความร)ู รเู พราะไปคิดคน ตามอาํ นาจ

เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 64 of 73

ของเหตุผล (นเี้ รยี กวา ความเขา ใจ) สว นความรูที่เกดิ มา หลงั จากไดผ านสิง่ เหลา นน้ั ๆ ไปแลว
ดว ยการปฏบิ ัติอยา งครบถว น จนมคี วามรซู บึ ซาบในทกุ สง่ิ ทกุ อยา งทกุ ข้นั ทกุ ตอน กระท่งั ถึงผลที่
เกดิ ขึ้นมาจากการปฏิบัตนิ น้ั ๆ (นเี้ รียกวา ความรแู จง แทงตลอด) จงึ จะทําใหเกิดนิพพทิ า (ความ
เบือ่ หนา ย) และสง เสรมิ ใหเ กดิ วริ าคะ (การจางคลายของกิเลส) ทสี่ ามารถเปล่ยี นความรสู กึ
ภายในจติ ใจไดเอง

ทีน้ี กม็ าถงึ ประโยคทวี่ า "สงิ่ ทัง้ หลายทงั้ ปวงไมควรยึดมน่ั ถือมน่ั " (สพเฺ พ ธมฺมา นาลํ อภนิ ิ
เวสาย) คํากลา วประโยคน้ี ควรจะถอื วา เปน หวั ใจของพทุ ธศาสนา เพราะมีเรื่องราวกลา วอยใู น
บาลีวา เมอ่ื มผี มู าทูลขอใหพ ระพทุ ธองคท รงประมวลคาํ สอนท้ังสน้ิ ใหเหลือเพียงประโยคสนั้ ๆ
เพยี งประโยคเดยี ว พระองคก ็ตรสั ประโยคนี้ และทรงยนื ยันวา นีแ่ หละคอื ใจความของคาํ สอน
ทัง้ หมด ถา ไดป ฏบิ ตั ใิ นขอ น้ี กค็ ือไดป ฏบิ ตั ิทัง้ หมดของพระองค ทรงยนื ยันวา ถา ไดฟง คาํ น้ี กค็ อื
ไดฟงทงั้ หมด ถา ไดรบั ผลจากการปฏบิ ัตขิ อ นี้ ก็คือไดรบั ผลจากการปฏบิ ตั ทิ งั้ หมด ฉะนน้ั เราจะ
มองเหน็ ไดท นั ทวี า การศกึ ษาธรรมะทง้ั หมด กค็ ือเรียนเพอ่ื ไมใ หยึดม่ันในสง่ิ ใดๆ นอกนนั้ ก็เปน
การเรยี นที่เฟอ

เม่ือมาถงึ การปฏบิ ตั ธิ รรม กต็ องปฏบิ ัติเพอื่ ละความยดึ มั่นถอื มน่ั ในสงิ่ ทง้ั ปวง นอกนน้ั เปน
การปฏิบตั เิ ฟอ เพราะการงมงายหรอื ความคดโกงอยา งใดอยางหนง่ึ เสมอ เชน จะรกั ษาศีลก็
จะตอ งใหมผี ลเปนไปเพ่อื บรรเทาความยึดม่นั ถอื มนั่ "ท่ีกาํ ลงั มอี ยูอยา งมากมายนนั้ เสยี (การฆา
เขา การลักขโมยของเขา การประพฤติผิดในกาม ฯลฯ นลี้ ว นมมี ลู มาจากยดึ มน่ั ถือมน่ั ทง้ั สนิ้ ) ถา
เจริญสมาธิ กต็ องเปนไปเพอื่ หยดุ ความยดึ มัน่ ถอื มน่ั ถา ผดิ ไปจากนีก้ ไ็ มเ ปน สมาธิ ทต่ี รงตาม
จดุ หมายของพุทธศาสนา ถา เปนการเจรญิ ปญ ญา หรอื วปิ ส สนา กต็ องเปนการขดุ รากเงา ของ
ความยึดมน่ั ถอื ม่ันขนึ้ มาทําลายเสีย ไมใ หก ลับงอกงามข้นึ มาอกี ตอ ไป จงึ จะเปน ปญ ญาท่ี
ถูกตองตามหลกั ของพทุ ธศาสนา ผดิ ไปจากนก้ี เ็ ปน ปญ ญาหลอกลวงหรอื ปญญางมงาย

สวนผลของการปฏบิ ตั ิธรรมท่เี รยี กวา มรรคผลนิพพาน นั่นก็คือตัวสภาพทอ่ี ยเู หนือความ
ยึดมน่ั ถอื ม่นั หรอื เปน ผลทม่ี าจากการทําลายความยดึ มั่นไดโ ดยสน้ิ เชงิ แลว (หรอื วา เหลอื อยู
เพียงบางสว นในกรณีของพระอรยิ บุคคลชั้นตน ๆ) ดังนนั้ ถาถกู ถามวา จะดับตณั หาหรืออปุ าทาน
ดวยอะไร ก็ตอบอยางไมผ ดิ วา จะดับมนั ดว ยความไมย ดึ มนั่ ถอื มนั่ เมอ่ื เหน็ เรื่องนเ้ี ปน เร่ือง
สาํ คัญ ปานนแ้ี ลว เรากค็ วรจะไดศกึ ษากนั โดยละเอยี ดวา เราจะนํามนั มาใชด บั ตณั หาได
อยางไร และเมอ่ื ไร

เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 65 of 73

๑. ในขณะทไ่ี มมีอารมณใดๆ รบกวนใจ เรากศ็ ึกษาพนิ ิจพจิ ารณาใหร ูวา ส่งิ ทงั้ ปวงนนั้ คือ
อะไร และทําไมส่งิ ทง้ั ปวงจงึ ไมควรยึดมั่นถือมัน่ ใหเ หน็ ชดั แจมแจง ย่งิ ขน้ึ ไปตามลําดบั จนถงึ ขัน้
ทีเ่ กดิ ความรสู กึ สลดสังเวช ตอความทส่ี ง่ิ ท้งั ปวงเปน มายา ไมน ายดึ มน่ั ถอื มนั่ จรงิ ๆ และเกดิ
ความสงั เวชในความโงห ลงของตัวเอง ที่เขาไปยดึ มัน่ ถอื มน่ั ในสง่ิ เหลา นน้ั ใหท าํ อยา งนอ้ี ยเู ปน
ประจาํ จนมีทงั้ ความรู ความเขา ใจ และความรูแจง แทงตลอด ในความจริงขอ นีอ้ ยเู สมอ มคี วาม
จางคลายของโลภะ โทสะ โมหะ เพราะอาํ นาจความสลดสงั เวชนน้ั ๆ กระทาํ อยา งนเี้ รอื่ ยๆ ไป
จนเคยชนิ เปน นิสยั ถึงขนาดทีว่ า มคี วามวางเฉย ตอ สิ่งทง้ั หลายทั้งปวงไดเ อง

วิธีที่ ๒ ไดแ กวธิ ที ่จี ะตอ งปฏิบตั เิ มื่อไดร บั อารมณท างตาหูจมกู ลน้ิ กายใจ โดยการดึงเอา
ความรูทีไ่ ดจ ากวธิ ปี ฏบิ ัตทิ ่ี ๑ นน้ั มาใชใ นขณะที่กระทบอารมณใหท นั ทว งที ดว ยอาํ นาจของ
สติสมั ปชัญญะ จนเกดิ ความเหน็ แจง วา สิง่ ทง้ั หลายทัง้ ปวงนี้ ไมเทย่ี งเปน ทกุ ขเ ปน อนัตตา ไม
ควรยึดมั่นถือมน่ั จริงๆ แลว กจ็ ะเกดิ ความสลดสังเวชขน้ึ มาตอการที่ตนจะยดึ มน่ั ถือม่ันใน
อารมณนน้ั ๆ และเกดิ นพิ พทิ าความเบอ่ื หนา ย และความจางคลายของกิเลสตามสมควรแกกรณี

สาํ หรบั ผูมีปญญาโดยกาํ เนดิ แตปญ ญานน้ั ยงั ไมถึงขนาด ถาจะรอใหถ งึ ขนาดกย็ งั จะตอ ง
ใชเวลาอกี นาน ดังนนั้ ควรผนวกวธิ ที าํ กรรมฐาน คอื การฝก จติ ใหเ หมาะสมแกป ญญา โดยมีการ
ฝกเพ่อื ใหจ ิตตัง้ ม่นั มอี ารมณเ ดยี วท่ีบริสทุ ธิ์ และพรอ มทีจ่ ะใชพ ลงั ทางจติ นน้ั ไดอ ยางวอ งไวถงึ
ที่สดุ

สว นการเจรญิ ปญ ญานน้ั หมายถงึ การทาํ ใหร ูอยางแจม แจงแทงตลอด ในความจริงของ
สงั ขารทงั้ ปวง ถึงขนาดทที่ ําไมใ หเกดิ ความรูสึกวาเปน "ตวั เรา-ของเรา" ขึ้นมาไดโดยเด็ดขาด จน
เกิดความสลดสงั เวช เกิดความเบ่อื หนา ยตอ การยึดมนั่ ถอื มนั่ สงิ่ ทง้ั หลายวา เปน "ตัวตน-ของตน"
มีความจางคลายออกของกเิ ลสดวยอาํ นาจแหง ความรแู ละความเบ่อื หนายนน้ั ๆ ถึงขนั้ ที่ไม
อาจจะหลงกลบั มายดึ มนั่ ถือม่ันไดอ ีกตอไป จนหมดกเิ ลสโดยสิ้นเชงิ เพราะอาํ นาจของความรทู ี่
เพมิ่ มากข้นึ ทกุ ที แกก ลา และเฉียบขาดยง่ิ ขนึ้ ทุกที การทาํ ใหร ูนน้ั เรียกวาการเจริญปญ ญา ดังนั้น
เราจะเหน็ ไดวา ตวั การทป่ี ฏบิ ตั ทิ เี่ ปนประธานหรือเปนหลกั นนั้ มอี ยู ๓ อยา ง คือ ศีลสมาธิ
ปญญา สว นขอ ปฏิบัติทม่ี ชี ่อื เรยี กเปน อยางอื่นอีกมากมายนนั้ กร็ วมลงไดในขอ ปฏิบัติ ๓ ชอื่ น้ี
ทง้ั นนั้

สว นการฝกจติ ใหเปนสมาธนิ น้ั ไมมีอะไรดไี ปกวา ลมหายใจเขาออก เพราะถา เราตองการท่ี
จะใหม ีความรคู วามเขาใจและความเหน็ แจมแจงแทงตลอด วา สงิ่ ทง้ั หลายทง้ั ปวงไมค วรยึดมนั่
ถือมัน่ โดยความเปน ตวั ตนหรือของตน ใหม าประทบั ใจอยตู ลอดเวลาอยางแนน แฟน เฉยี บขาด

เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 66 of 73

พอทจ่ี ะดบั หรอื จะทาํ ลายกิเลสตัณหาอปุ าทาน หรอื แมอ ยางนอ ยที่สุด ก็ปองกนั มนั ไมใ หเ กดิ
ข้ึนมาไดแลว เราจะตอ งหัดกาํ หนดสง่ิ ท่ีเราจะตองการกําหนดใหไ ดอยทู กุ ลมหายใจเขา-ออก แต
ตองเลือกเอาสงิ่ ทงี่ า ยๆ มาทําใหส ําเร็จกอ น สิ่งทีเ่ หมาะสมในระยะแรกที่สุดนี้ก็คือ ตวั ลมหายใจ
ของเราเอง เพราะมนั เนอื่ งอยใู นกายของเราและมนั กห็ ายใจเปน จงั หวะอยแู ลว ในระยะแรกน้ี
เพียงมงุ อยา งเดยี ววา จะกาํ หนดมนั ใหไดท กุ ครั้งที่มนั หายใจเขาหายใจออก ไมใ หสตผิ ละหนี
ออกไปจากลมหายใจนนั้ ไดน านตามท่ีเราตองการ นเี้ รยี กวา เราประสบความสาํ เรจ็ ในขน้ั ทจี่ ะ
ฝก จติ ของเรา ใหกาํ หนดอยทู ่ีอะไรตามทเ่ี ราตองการใหก ําหนด (รายละเอยี ดเก่ยี วกบั เรื่องน้ี พึง
ศึกษาจากบทที่ ๑๐ เรอ่ื งการฝกจติ ในหนงั สือ "วธิ ีระงบั ดบั ทุกข")

การฝก จติ ในลกั ษณะเชน นน้ั เมื่อทาํ ไดถ กู วธิ ีแลว จติ ใจก็จะสงบลงเปน ความสงบท่ีเปน สขุ
ท่ไี มเ คยรูร สมาแตกอ นชนิดทีใ่ ครไปล้มิ รสเขา กจ็ ะพอใจหลงใหลดว ยกนั ทงั้ นน้ั จนกลา วไดว า ไม
มีสขุ เวทนาชนดิ ไหนจะเสมอเหมอื น แมท ส่ี ดุ แตสขุ เวทนาทีเ่ กิดมาจากกามารมณ ดังนนั้ ก็เกดิ มี
หลกั ขน้ึ มาวาถา สามารถเอาชนะสุขเวทนาชนดิ ทสี่ ูงสุดไดจ รงิ ๆ สุขเวทนาทีต่ ํา่ ๆ เตยี้ ๆ รองๆ ลง
มา ก็จะหมดปญ หาไปเอง แตถงึ กระนนั้ กต็ องพจิ ารณาสุขเวทนาชน้ั ยอดเย่ยี มนีใ้ หเหน็ เปน
อนิจจงั ทุกขงั อนัตตา เหน็ เปนสกั วามายา ไมควรแกการยดึ ถือโดยประการท้งั ปวง

คร้นั เสรจ็ การปฏิบัติในขนั้ ควบคุมจติ แลว กเ็ ลอื่ นข้นึ ไปฝก กาํ หนดสัจจธรรมหรือความจรงิ ที่
ควรรอู ยูท กุ ครงั้ ทหี่ ายใจเขา-ออก เชน การเพงใหเ หน็ ความไมเท่ยี งของสิง่ ทง้ั ปวงอยูมขี น้ึ ไดเ พราะ
ธรรมะอะไร หรอื ดทู ีธ่ รรมะอันเปน เครื่องมอื ทําความจางคลายแกกเิ ลส ตามทปี่ รากฏชัดแกต น
มาแลวอยา งไร แลวพจิ ารณาดูความดับไปแหง กเิ ลส และความทกุ ข (ซงึ่ เราเรยี กกนั วา ความดบั
ไปแหง "ตวั ตน-ของตน") วา เปนสิ่งทม่ี ไี ดดว ยธรรมะอะไร และโดยวธิ ีใด ในสภาวะหรอื
ปรากฏการณเชน ไร และในทสี่ ุดกพ็ ิจารณาถงึ อาการท่ีจิตปลอ ยวางสิง่ ทงั้ ปวงวา มภี าวะเชน ไร
เปนไปไดเพราะอาํ นาจแหง ธรรมอะไร ทงั้ หมดน้ี ลว นแตพ ิจารณาใหเ หน็ ชดั อยูตลอดเวลาท่ี
หายใจเขา -ออก

นี้เราจะมองเหน็ ไดวา การฝกใหมีสติสัมปชญั ญะหรือความรแู จงนนั้ ยอมเปนศีล เปน สมาธิ
เปนปญ ญาไปในตวั ตลอดถงึ เปนสัทธา เปน พละ เปน ความเพยี ร ฯลฯ รวมอยูในการฝก สตเิ พียง
สนั้ ๆ เทานน้ั เอง

ทนี ้ี กม็ าถงึ สงิ่ ท่เี ปนอารมณส ําหรบั ใชในการฝก มอี ยู ๔ อยางคือ ลมหายใจ (กาย) เวทนา
จติ และ ธรรม (ลมหายใจนนั้ เรยี กโดยบาลึวา "กาย" เพราะวา เปนสว นสําคญั ของกายเน่ืองอยู
กับกาย (คนสว นมากมกั แปลผดิ วา เปน รา งกาย) ดงั นนั้ จงึ เรียก การฝก กาํ หนดลมหายใจ วา กา

เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 67 of 73

ยานปุ สสนาสตปิ ฏฐาน การกาํ หนดเวทนา กระทง่ั ถงึ การฝกควบคุมไมใ หเ วทนานัน้ ปรงุ แตงจติ
ท้ังหมดนนั้ เรยี กวา เวทนานปุ สสนาสติปฏฐาน การกําหนดจิตและการฝกจติ โดยวิธดี งั กลา วแลว
เรียกวา จิตตานุปส สนาสตปิ ฏ ฐาน การกาํ หนดสัจธรรมหรอื กฏเกณฑต า งๆ เหลา นน้ั เรียกวา ธัม
มานปุ ส สนาสตปิ ฏ ฐาน การกาํ หนดหรือพจิ ารณาทกุ ข้ันทกุ ตอน ท้ังหมดนล้ี ว นแตเปนการ
กาํ หนดในขณะทม่ี กี ารหายใจเขา-ออก อยตู ลอดเวลาติดตอ กนั ไมมีระยะวา งเวน และเพราะ
เหตุท่เี ปน การกาํ หนดอยทู ุกลมหายใจเขา-ออกน่นั เอง การปฏบิ ัติทั้ง ๔ ประการนีจ้ ึงไดน ามวา
อานาปานสติ

สาํ หรับชาวบา นทไ่ี มม เี วลาวา งพอจะมาทาํ กรรมฐานแลว จะทาํ อยา งไร ? ขอน้ีถากลา ว
อยางสนั้ ๆ และตรงๆ กค็ ือวาตองอาศัยวิธปี ฏบิ ตั ิลัดดังบรรยายมาแลว ทง้ั หมด อนั จะนาํ ไปสผู ล
อยางเดยี วกัน คือการควบคมุ "ตวั เรา-ของเรา" เรอ่ื ยไปจนกวา จะดบั มนั ไดโ ดยเดด็ ขาดในทสี่ ุด
โดยการถอื หลกั วา จะไมย ึดมนั่ ถอื มนั่ ในสงิ่ ใดๆ ท้ังสนิ้ หรอื วา ไมมีอะไรทนี่ า เขา ไปเอา หรือเขาไป
เปน ดวยความยึดมัน่ ถือม่ัน ขอนีห้ มายความวา แมเ ราจะมีอะไร หรอื เปน อะไรอยู ก็ใหม หี รอื เปน
แตสกั วา ตามโลกสมมตหิ รือตามกฏหมาย อยา ไปมหี รอื ไปเอาหรอื ไปเปนเขา ดวยชีวติ จิตใจ หรอื
ดว ยความยึดม่นั ถอื มน่ั คอยควบคุมตวั เองใหม คี วามระลกึ หรือมสี ตสิ มั ปชญั ญะเชน น้อี ยูเสมอ น้ี
เรยี กวา การเปนอยทู ีถ่ ูกตอ งอยูทกุ ลมหายใจเขา -ออก

การเปน อยูอ ยา งถกู ตอ งอยทู กุ ลมหายใจเขา -ออกชนดิ น้ี มนั เปน การตัดอาหารของกิเลส
ทาํ ใหกเิ ลสไมไ ดรบั อาหารเลยทงั้ ท่ีเราก็ไมมคี วามยุงยากลาํ บากแตป ระการใด ดจุ "เลย้ี งแมว
เทานน้ั หนกู ็หมดไปเอง" โดยท่ีเราไมตองยงุ ยากอะไรกบั หนู จงึ ถอื วา เปนวธิ ลี ัดและแนน อนที่สุด
ในการทีจ่ ะกาํ จดั ส่งิ ที่ไมพ งึ ปรารถนา แลวคนแกท ีไ่ มร ูหนังสือกป็ ฏิบตั ิได เพราะเปน ตวั การ
ปฏบิ ัตทิ แ่ี ทจรงิ มผี ลประเสริฐกวาการปฏบิ ตั ิของพวกมหาบาเรยี ญ ทคี่ วามรทู ว มหัวแตเ อาตัวไม
รอด ซึง่ มอี ยทู ว่ั ๆ ไปมากมาย

ขอทบทวนความจําวา เราจะบรสิ ทุ ธหิ์ ลดุ พนทกุ ขไ ด กด็ ว ยปญ ญา สง่ิ ทง้ั ปวงไมค วรเขาไป
เอา หรือเขา ไปเปน ดวยความยึดม่ัน เพราะไมยดึ ม่นั ถือม่ัน จึงไมทาํ ใหเ กดิ "อัตตา" ถาผิดไป
จากน้นั กเ็ ปนพทุ ธศาสนาปลอม ดงั ท่มี ีผอู ธิบายไปดวยอคตหิ วงั ประโยชนเ ขา ตัวอยา งใดอยาง
หนง่ึ ดงั น้ี เราจงึ มหี นา ทที่ ีจ่ ะคนใหพ บวา การปฏิบตั ิธรรมแนวไหน ท่จี ะเปนการไมย ดึ มน่ั ถือมนั่
ตง้ั แตต น จนถงึ ที่สดุ จริงๆ แลว ก็งา ยดายสาํ หรบั คนท่ีมกี ารศกึ ษานอยดวย

ทัง้ ๆ ท่ีส่ิงทงั้ ปวงไมมอี ะไรทน่ี า เอานา เปน เพราะมนั เปน มายาหลอกลวง และพรอมทจ่ี ะ
กลายเปน ยาพิษอยูเสมอแตบางครง้ั ความจําเปน ตามธรรมชาติ หรอื ทางสงั คม หรอื ทางรางกาย

เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 68 of 73

ไดบ ังคับใหเรามี หรือเปน หรือได เชน ตอ งครอบครองอะไรๆ ตา งๆ อยางไมม ที างจะหลีกเลย่ี ง
ได ดังนนั้ เราจะตอ งดใู หด ีๆ วา จะไปเอาไปเปน อยา งไร จึงจะไมเกดิ ทกุ ข ผลสุดทา ย ก็พบวา
จะตอ งเขา ไปเก่ียวของกับมนั ในลกั ษณะทเี่ ปนของไมน า เอานา เปน นนั่ เอง คือเขา ไปเก่ยี วของ
ดว ยสติปญญาเหมือนอยา งวา ถาจะเปน จะเขาไปเกยี่ วขอ งกบั สัตวร ายเชนเสอื ก็ตอ งไป
เกย่ี วของกบั เสอื ดว ยสตปิ ญ ญาใหม ากที่สดุ บกพรองหรอื เผลอไมไ ด จึงจะทาํ มนั ใหอ ยใู น
อํานาจของเราได อารมณต างๆ นนั้ มอี นั ตรายยง่ิ กวา เสือ แตก ็ไมมใี ครมองเหน็ เชน นนั้ ท้ังนี้
เพราะอารมณเ หลานน้ั กาํ ลงั ทําอนั ตรายคนอยทู กุ ลมหายใจเขา -ออกทวั่ ทกุ คน ไมย กเวน ใครใน
บรรดาทีเ่ ปน ปถุ ชุ น และทาํ อนั ตรายถงึ ขนาดทาํ ใหเ สียผเู สยี คน หรอื เสยี เกียรติแหง ความเปน
มนุษย จงึ นา กลวั กวา เสอื ดงั นนั้ เราจึงตอ งมีชวี ิตอยูในทา มกลางของอารมณทไ่ี มน า เอานา เปนน้ี
ดวยนโยบายหรืออุบายอนั แยบคาย หรือดวยศิลปะอนั สงู สดุ คอื การคิดไวว า จะไมเอาอะไรและ
ไมเ ปน อะไรเลย แมสังคมหรอื โดยกฏหมายจะถอื วา คนน้นั ไดส งิ่ น้นั มสี ่ิงน้ี หรอื เปน อยา งนน้ั เรา
กใ็ หเ ปน ไปแตสักวา โดยโลกสมมติ หรอื ตามกฏหมาย สว นภายในจิตใจสวนลกึ ๆจรงิ ๆ ทค่ี นอน่ื รู
ไมไดน น้ั มันยงั สงบเฉยอยู คอื เทากบั ไมไดเ อา ไมไ ดเ ปน ไมไ ดม ี ไมไ ดยึดครองสิ่งใด เลยไดผลดี
ทงั้ สองดาน คอื ทางภายนอกหรอื ทางโลก ก็มกี นิ มีใชม กี ารเปนอยทู ส่ี บาย ทาํ อะไรกบั ใครก็ได มี
ภาระหนา ท่ีอยา งสงู อยา งไรก็ได สว นทางภายในคอื จติ ใจกย็ งั คงวา งจากตวั ตน หรือเปนปกติอยู
ตามเดิม ไมมคี วามรอ นใจ ไมม ีความหนัก ไมข นึ้ ไมลง ไมหวน่ั ไหวเปลยี่ นแปลงไปตามส่ิงตา งๆ
ภายนอกเพราะผดิ คาดผดิ หวงั หรือไดส มหวงั การเปน อยูชนดิ นี้ถา จะกลาวโดยอุปมาก็ตอง
กลา ววา ขางนอกเปน วัฏฏสงสาร แตข า งในเปนนิพพาน แทท ่จี รงิ นน้ั กเ็ ปนนิพพานไปหมด คอื
วา งจากทุกขแ ละเหตุใหเ กิดทกุ ขโดยประการทงั้ ปวง น่ีแหละคอื ศลิ ปะแหง การมีชีวิตทเี่ ปนไป
ตามหลกั แหง พทุ ธศาสนา

ทีก่ ลา ววา ใชไ ดแ มแกคณุ ยา คุณยายทไ่ี มร หู นงั สอื นนั้ ขอนหี้ มายความวา ผเู ฒาเหลา น้นั ไม
ตองศกึ ษาอะไร นอกจากหดั มองดูท่คี วามไมนาเอานา เปน ของส่ิงตา งๆ เชน เปนคนดกี ม็ คี วาม
ทุกขไ ปตามแบบของคนดี เปนคนชวั่ ก็มีความทกุ ขไ ปตามแบบของคนช่ัว ดงั นน้ั การไมเ ปน อะไร
น่แี หละจงึ จะไมม ที กุ ข อกี ทหี นง่ึ กว็ า ถา เปน คนมีบุญกต็ องเปนทกุ ขไปตามประสาของคนมีบญุ
ซึ่งแตกตา งไปจากความทกุ ขของคนมีบาป แตเปน ทกุ ขเ หมอื นๆ กนั ก็ตรงทวี่ า มันยังเปน การ
แบกของหนกั ทางใจเอาไวด ว ยกนั ทง้ั น้ัน ผดิ กนั แตว า ของหนักของคนชัว่ นน้ั กาํ ลังลกุ เปนไฟ แต
ของหนกั ของคนดีนัน้ ถึงจะหอมหวนเยอื กเยน็ อะไรกต็ าม แตม นั กห็ นักอยา งเรน ลบั อีกทหี นง่ึ ซงึ่
สงู ขนึ้ ไปกว็ า เกิดมาเปน ผูมคี วามสขุ กย็ งั ตองทกุ ขไ ปตามประสาของคนมคี วามสุข เพราะ
ความสุขนน้ั มนั กย็ งั เปน ส่งิ ทตี่ อ ง "แบก" และความสขุ นน้ั ตั้งรากฐานอยูบ นความ

เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 69 of 73

เปลย่ี นแปลง บนอารมณท ง้ั หลายท่เี ปน มายาทส่ี ดุ สูไมเ ปน อะไรเสียเลยไมได นแี่ หละจึงวา ไมม ี
อะไรท่นี า เอานาเปน

ทีนี้ เมือ่ ตองดไู ปถึงสง่ิ ท้งั ปวง ก็จะมองเหน็ ไดวา สง่ิ ทงั้ หลายมคี วามหมายอยเู พยี ง ๒ อยา ง
คอื เปน คณุ อยา งหนงึ่ และเปน โทษอยา งหนง่ึ และทกุ อยา งจะตองมที ัง้ คณุ และโทษ ไมม อี ะไรท่ี
จะมีไดแ ตค ณุ อยา งเดยี ว หรอื โทษอยา งเดยี ว แตเ ปน เพราะปถุ ชุ นมองมนั ไมอ อกเทา น้นั จงึ ได
หลงไปวา อยา งนน้ั เปน คณุ อยา งนีเ้ ปน โทษ แตก ็ลว นแตเปน มายายึดถอื เขา ไมได เพราะยึดถอื
แลว จะเปน ทุกข สูไมเอาอะไรเสียเลยดีกวา คือมีจิตวา งจากความยดึ มนั่ ถือมนั่ ตอ สงิ่ ทง้ั สองนน้ั
แลว กค็ วบคมุ สิ่งทงั้ สองนัน้ ใหอ ยูในใตอํานาจเทา ทจ่ี าํ เปน จะตองเก่ยี วของกับมัน นแี่ หละคือ
ความหมายของคําวา "ไมเ อาอะไร" ซง่ึ คกู บั คาํ วา "ไมเปน อะไร"

ถาจะใหงา ยยงิ่ ขนึ้ ไปอีกสําหรบั ผูเฒา ผแู ก ก็ตงั้ ปญ หาไปในทาํ นองวา มันนา สนุกไหมใน
การท่จี ะเปนคน? เปน ผหู ญงิ นาสนุกไหม? เปนผชู ายนา สนกุ ไหม? เปน ผวั นา สนกุ ไหม? เปนเมยี
นาสนกุ ไหม? เปน แมเขานาสนุกไหม? แลวผเู ฒา เหลา นน้ั จะสนั่ ศรี ษะกนั ไปทกุ คนทเี ดียว เพราะ
ไดม คี วามชํานชิ ํานาญในสง่ิ เหลา น้ันมาอยา งโชกโชนซมึ ซาบเตม็ ทีแ่ ลว ไมเหมอื นกับเด็กๆ หรอื
คนหนมุ คนสาวทยี่ งั ไมประสปี ระสาตอความเปนเชน น้ัน แตอ าจจะมีคนหนมุ สาวบางคนท่ถี า
ไดรบั คาํ อธบิ ายแลว กเ็ ขาใจไดเหมือนกนั นนั่ แหละคอื ลกั ษณะของผทู จ่ี ะเปน พระอรหนั ตต ้งั แต
อายุ ๑๕ ป ดังที่ถอื กนั วา มีอยู ๒-๓ คนในประวตั ิศาสตรแหงพทุ ธศาสนา ถาผเู ฒา เหลา นั้น ปลง
ตกและทําได กจ็ ะมีความสขุ สดชืน่ กลบั กลายเปน ความหนุมความสาวขึ้นมาอกี ชนดิ หนงึ่ ทไ่ี ม
กลับแกเฒา แมว ารางกายจะเนา เขา โลงไปนแี่ หละ คือศิลปะแหง ชวี ติ ตามหลกั หวั ใจของพทุ ธ
ศาสนา จึงทาํ ใหเ ราเหน็ ไดวา พทุ ธศาสนาคอื ยอดของศลิ ปะของการดาํ เนนิ ชวี ติ ชนดิ ทผี่ เู ฒา ไมรู
หนงั สอื งกๆ เงน่ิ ๆ กเ็ ขา ถึงไดใ นเมอื่ ดําเนนิ ตนไปอยางถูกทางดงั ทกี่ ลาวแลว

ถา ไมเ ปน อยางนน้ั คือมีชวี ติ อยมู าจนกระท่งั ถงึ ขณะท่ีจะตาย โอกาสก็มีอยใู นวินาทีสุดทา ย
ท่ีจิตจะดับ คอื ถือเอาอบุ ายชนิดทีเ่ รียกวา "ตกกระไดพลอยกระโจน" กลา วคือ เม่อื รางกายจะ
แตกดบั โดยแนน อนแลว กพ็ ลอยกระโจนตามไปดวยความแนใจวา ไมม ีอะไรเหลืออยูทไ่ี หนทน่ี า
เอานา เปน ความรใู นเรอ่ื งไมม อี ะไรทีน่ า เอานา เปน ที่ไดศ กึ ษาและปฏิบตั ิมาบางนน้ั อาจจะมา
ชวยไดทนั ทว งที นีแ้ หละเรยี กวาการดับขันธไดด วยสตสิ ัมปชญั ญะอยา งยง่ิ และอาจลถุ งึ นพิ พาน
ไดดว ยอุบายท่เี รยี กวา "ตกกระไดพลอยกระโจน" แมวา จะตายโดยอุบตั เิ หตุ และเวลาจะ
เหลืออยูสักวินาทหี นง่ึ หรอื คร่งึ วินาทกี ต็ าม กอ นแตจะหมดความรูสกึ ตัว กใ็ หผูเฒา เหลานน้ั
ระลึกถึงความรใู นเรือ่ งความดบั ไมเ หลือขนึ้ มา และถาสามารถนอ มจติ ใจไปสคู วามดบั ไมเ หลอื
ได แลว ปลอ ยใหนามรปู ดบั ไป กเ็ ปน การบรรลนุ ิพพานได เพราะไมไ ดนกึ ถึงอะไร ไมไ ดนกึ ถงึ ผู

เวบ็ ไซตพทุ ธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 70 of 73

ชวยเหลอื หรอื ทรัพยส มบัติ ลูกหลานหรอื ส่งิ ตา งๆ ในขณะน้ันนกึ ถงึ แตเ พยี งอยา งเดียว คือ ความ
ดับไมเ หลอื เทา นนั้

น้เี รยี กวา ปฏิบตั ิธรรมอยางลัดส้ันท่สี ดุ งายท่สี ดุ และใชไดแ กท ุกคน เทา ทบี่ รรยายมา
ท้ังหมดนี้ เปน การชใ้ี หเหน็ ลกั ษณะตา งๆ ของสงิ่ ทเี่ รียกวา "ตัวตน-ของตน" ใหเ หน็ มลู เหตแุ หง
การเกดิ ขึ้นของมัน ใหเ หน็ สงิ่ ตรงกนั ขา ม (คอื ความวา งจากความม"ี ตัวตน-ของตน") และใหเ หน็
วธิ ปี ฏิบตั ิเพ่อื เขา ถึงความวา งจาก "อตั ตา" ในฐานะที่เปน ปญ หาสาํ คญั สําหรบั มนุษยชาติทงั้ มวล
เพราะวา ความทกุ ขของคนท้งั หลายไมว า จะอยใู นภูมิไหนสูงตาํ่ อยา งไร ก็ลว นแตมีความทกุ ข
เน่อื งมาจากสงิ่ ทเ่ี รียกวา "ตวั ตน-ของตน" น้ีทง้ั นนั้ "อตั ตา" นน่ั แหละเปน ตัวทกุ ข ดังที่
พระพทุ ธเจา ตรัสวา "โดยสรปุ อยา งสน้ั ท่สี ดุ แลว เบญจขนั ธท ปี่ ระกอบอยดู วยอุปาทานนน่ั แหละ
เปนตัวทกุ ข" อวชิ ชาก็เปน มูลเหตใุ หเ กดิ อัตตา การดบั อวชิ ชาเสยี ได คอื การดบั ทกุ ขสนิ้ เชิง การมี
ชีวิตอยูอยา งถกู ตอ งทกุ ลมหายใจเขา-ออก ทง้ั ในขณะปกติท่ไี มมอี ารมณร บกวน และทง้ั ใน
ขณะทเ่ี ผชญิ หนา กนั กบั อารมณน น่ั แหละ คือการปฏิบัติชอบ หรอื ตัวพรหมจรรยใ นพทุ ธศาสนาท่ี
จะดับอวชิ ชาอนั เปน บอ เกิดแหงอัตตาเสียได อันจะทาํ ใหมนษุ ยชาติประสบสนั ตสิ ุขอนั ถาวรทง้ั
ภายนอกและภายใน รวมทง้ั สว นสังคมและสว นเอกชนตลอดเวลาทม่ี นุษยเ ราไมเ ขา ถึงความจริง
ขอ น้ี โลกนีจ้ ะยงั คงมวี กิ ฤตกิ ารณถ าวร ระส่ําระสายวนุ วายไมม ีหยดุ อยา งท่ีไมมใี ครจะชว ยได
เพราะเปน การกระทาํ ท่ฝี น หลกั ความจริงของธรรมะ หรอื ของธรรมชาตกิ ลา วอยางปคุ คลาธษิ
ฐาน กว็ าฝน พระประสงคข องพระเปน เจา นัน่ เอง ฉะนนั้ จึงอยาไดป ระมาท ในเร่อื งอตั ตา จงได
พิจารณาดกู นั ใหม ใหมสี มั มาทฏิ ฐิ หรอื ความเขาใจอยา งถูกตองทัง้ ทางกายทางวาจาทางใจ
แลวก็จะไดประสบสิง่ ทีด่ ีที่สดุ หรือประเสริฐทส่ี ุดท่มี นษุ ยเ ราควรจะไดรับ โดยไมตองสงสัยเลย

พุทธศาสนามคี วามมงุ หมายเพียงเทา น้ี ใจความสาํ คญั ของคําสอนของพทุ ธศาสนาจึงมีอยู
เพยี งเทา นี้ ผูห วงั ทจ่ี ะเขา ถึงตวั พทุ ธศาสนาอยางแทจรงิ โดยรวดเร็ว หรอื หวงั จะไดรบั ประโยชน
จากพทุ ธศาสนาอยา งเตม็ ที่ จงพยายามศึกษา และพจิ ารณาดว ยการกระทาํ ทส่ี ุขมุ และ
รอบคอบเถิด จะไดรบั ประโยชนค รบถว นจากพุทธศาสนา ไมเ สียทีที่เขา มาเกยี่ วขอ งกบั พทุ ธ
ศาสนาโดยไมต องสงสยั เลย

เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 71 of 73

ลําดบั แหง ปฏจิ จสมุปบาทฝายเกดิ ทุกข

อวิชชา เปน เหตใุ หเ กดิ สงั ขาร (การปรงุ แตง )
สังขาร เปน เหตใุ หเ กิด วญิ ญาณ (การรบั ร)ู
วิญญาณ เปนเหตใุ หเ กิด นามรปู (รางกายจติ ใจ)
นามรปู เปนเหตใุ หเกดิ อายตนะ (เคร่อื งทาํ ใหเ กิดผัสสะ)
อายตนะ เปน เหตุใหเ กดิ ผสั สะ (การกระทบ)
ผัสสะ เปนเหตุใหเกิด เวทนา (ความรูส ึก)
เวทนา เปน เหตุใหเกดิ ตัณหา (ความอยาก)
ตณั หา เปนเหตใุ หเกิด อปุ าทาน (ความยึด)
อุปาทาน เปน เหตุใหเ กิด ภพ (ภาวะทางจิต)
ภพ เปน เหตุใหเ กดิ ชาติ (การเกดิ "ตัวตน")
ชาติ เปนเหตุใหเ กิด ความทุกขตางๆ

เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 72 of 73

ลําดับแหง ปฏจิ จสมปุ บาทฝายดับทกุ ข

ความทกุ ข จะดับไปไดเ พราะดับ ชาติ
ชาติ จะดบั ไปไดเ พราะดบั ภพ
ภพ จะดับไปไดเ พราะดบั อุปาทาน
อุปาทาน จะดับไปไดเ พราะดบั ตัณหา
ตณั หา จะดบั ไปไดเพราะดบั เวทนา
เวทนา จะดบั ไปไดเพราะดับ ผสั สะ
ผัสสะ จะดับไปไดเ พราะดบั อายตนะ
อายตนะ จะดบั ไปไดเพราะดบั นามรูป
นามรูป จะดบั ไปไดเพราะดับ วญิ ญาณ
วญิ ญาณ จะดับไปไดเพราะดับ สังขาร
สงั ขาร จะดบั ไปไดเ พราะดบั อวชิ ชา

เวบ็ ไซตพุทธทาส.คอม www.buddhadasa.com หนา 73 of 73


Click to View FlipBook Version