แกน แทของพระพทุ ธศาสนา
(ทุกขส ําหรบั เหน็ – สุขสาํ หรบั เปน )
พระพรหมคณุ าภรณ
(ป. อ. ปยตุ ฺโต)
แกนแทข องพระพทุ ธศาสนา (ทกุ ขสาํ หรับเหน็ - สขุ สําหรบั เปน)
© พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต)
ISBN 974-87948-7-3
พิมพคร้ังที่ ๑๖ - มีนาคม ๒๕๔๘ ๑๕,๐๐๐ เลม
(เปลี่ยนแบบตัวอักษร และปรบั ปรุงเพม่ิ เติมเล็กนอย)
พมิ พครั้งท่ี ๑๗ - มาฆบูชา ๒๕๕๔
(เปลย่ี นแบบตัวอกั ษร)
- กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธกิ าร
แบบปก:
พมิ พท ่ี
คาํ ปรารภ
สารบัญ
คําปรารภ ......................................................................................(ก)
แกน แทของพระพทุ ธศาสนา................................... ๑
เกร่ินนาํ ……………………………………………………………...๑
๑ หัวใจพทุ ธศาสนา ........................................................................๒
หวั ใจพุทธศาสนาคืออะไร วากันไปหลายอยาง
ถกู ทั้งนน้ั อนั ไหนก็ได ..............................................................................๒
แตต องระวงั อนั ไหนก็ได จะทําใหพทุ ธศาสนางอนแงน
ชาวพุทธตองมีหลกั ทีแ่ นช ดั ใหปฏิบตั ิเดด็ แนว เปนหน่ึงเดยี ว ......................๔
วา กันไป กีห่ ลกั กหี่ ัวใจ
ในทีส่ ดุ กห็ ลกั ใหญเ ดยี วกนั .......................................................................๗
ถึงจะเลาเรียนจบหลัก ถา ไมรูจ กั หนาท่ีตออริยสัจ
กป็ ฏบิ ตั ไิ มถูก และไมม ีทางบรรลธุ รรม....................................................๑๑
อรยิ สจั คือ ธรรมที่นาํ เสนอเปน ระบบปฏบิ ตั ิการ
ใหมนษุ ยบ รหิ ารประโยชนจากความจรงิ ของธรรมชาติ..............................๑๔
อยาเขลาตามคนขาดความรู วา พุทธศาสนามองโลกแงราย
หลักพทุ ธสอนวา ทกุ ขเ ราตองมองเห็น แตส ุขเราตอ งใหมีใหเปน .............. ๑๘
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ค
๒ แกนแทข องพระพทุ ธศาสนา....................................................๒๒
ความจรงิ มีอยูตามธรรมดา
พระพทุ ธเจามีปญญา กม็ าคนพบและเปดเผย ........................................ ๒๓
เม่ือคนไมรูท ันความจรงิ ของธรรม
เขากน็ าํ ทุกขในธรรมชาติมาสรา งใหเปนทุกขของตวั เอง.............................๒๖
เมอื่ มีปญญารูค วามจรงิ ก็เลิกพึง่ พงิ ตัณหา
หันมาอยูดวยปญ ญา ทเ่ี อาประโยชนไดจากธรรม.................................... ๒๙
ธรรมชาติของมนษุ ยนน้ั พเิ ศษในแงดี คือ
มนุษยเปน สัตวทีศ่ ึกษาใหมปี ญ ญาได ......................................................๓๑
บนฐานแหง ธรรมชาติมนุษยผเู ปน สัตวตอ งศึกษา
พระพทุ ธเจาทรงตัง้ หลกั พระรัตนตรยั ขึ้นมา.............................................๓๔
ความจรงิ แหง ธรรมดาของโลกและชวี ติ
ทต่ี อ งรูใหทนั และวางทาทใี หถ ูก.............................................................. ๓๘
จะพฒั นาศักยภาพของคนใหม ชี ีวติ แหงปญญา
ก็ตองรูจักธรรมชาติของชวี ติ ซงึ่ จะทําหนา ทศี่ กึ ษา .....................................๔๐
๓ แกนธรรมเพ่อื ชวี ติ ....................................................................๔๕
การดําเนนิ ชีวติ ท้ังสามดาน
เปน ปจจยั เกื้อหนุนกันในการศกึ ษา..........................................................๔๕
บนฐานแหงหลักความสมั พันธของชวี ติ สามดา น
ทรงตง้ั หลักไตรสิกขาใหมนษุ ยพฒั นาอยา งบูรณาการ...............................๔๘
เมอื่ พฒั นาดวยไตรสกิ ขา ชีวติ กเ็ ปนอริยมรรคา
เพราะชีวติ ที่ดี คือชวี ิตที่ศึกษา.................................................................๕๑
ง แกน แทข องพระพุทธศาสนา
จดุ เร่มิ ของการศกึ ษา มีชอ งทางท่ีชวี ิตเตรียมไวให
แตต องใชเ ปน จึงจะเกิดการพฒั นา......................................................... ๕๓
เม่ือคนเรมิ่ ศกึ ษา การพฒั นาก็เรม่ิ ทนั ที
ความตองการอยางใหมก็มี ความสุขอยางใหมก ม็ า ..................................๕๖
การพัฒนามนุษยมีแหลงใหญอยูในมโนกรรม
จุดสําคัญนีถ้ า พลาดไป ก็คือชอ งทางใหญใหห ายนะเขา มา.........................๕๙
การพฒั นาคน พฒั นาสงั คม ไมม ีทางไดผลจรงิ
ถาทอดท้ิงฐานของการพัฒนา คอื มโนกรรม............................................ ๖๒
ตราบใดยังไมถงึ จดุ หมาย ยังมชี ีวิตอยู ก็ตอ งศึกษา
ความหมายของธรรมทีป่ ฏิบตั ิ จงึ วดั ดวยไตรสกิ ขา...................................๖๔
สมาธเิ ตรียมจติ พรอมใหปญญาทาํ งานเดนิ หนา ฉนั ใด
สนั โดษกเ็ ตรียมตวั พรอมใหมงุ เพียร ไมพะวกั พะวน ฉนั นน้ั .................... ๖๗
ถา คนไทยต้งั อยใู นหลักส่ี จะไมตกหลมุ วิกฤติ
ถึงแมถ ลาํ ไป ก็จะถอนตวั ขึ้นสวู วิ ัฒนไดโดยพลัน.....................................๖๙
แกนแทข องพทุ ธธรรม คอื ความหลดุ พนพง่ึ ตนได
ในสงั คมของกัลยาณมติ ร ผมู ชี ีวิตทเ่ี ก้ือกูลกัน........................................๗๔
แกน แทของพระพุทธศาสนา∗
(ทุกขสาํ หรบั เหน็ - สุขสําหรับเปน )
เกรน่ิ นํา
ขอเจริญพร ทานอธิบดี ทานรองอธิบดี และทานผูบริหารระดับสูงของ
กรมการศาสนา ทุกทาน
อาตมามคี วามคนุ เคยอยบู า งกบั กรมการศาสนา เพราะมงี านการเกยี่ วขอ ง
กนั อยู แตร ะยะหลังนี้ออกจะหางๆ ไปหนอย เมอื่ มกี ารประชมุ กไ็ มคอยไดมา
เพราะเรอ่ื งท่ีอยูไกลไปหนอ ยบา ง เรือ่ งสขุ ภาพบา ง เร่อื งการงานใกลต ัวบา ง
วันน้ี นับวาเปนโอกาสดีท่ีไดมาที่กรมฯ อีกครั้งหน่ึง และไดพบกับผู
บริหารระดบั สูงเกือบจะครบถว น แตเ ริม่ ตนกม็ เี หตุตอ งขออภัยนิดหนอ ย ทว่ี า
รถติดทาํ ใหมาชาไป ตลอดกระทั่งวาไมไดเตรียมอุปกรณเคร่ืองชวยในการที่
จะศกึ ษาเรอื่ งราวเปน ตน ขอใหถ ือวาเปน การมาคุยกัน
หัวขอ ท่ีตัง้ ใหพ ูดวนั นี้วา “แกน แทข องพระพทุ ธศาสนา” เปน เรือ่ งสาํ คญั
มาก และสาํ หรับพระพทุ ธศาสนาถือเปนเรือ่ งท่ียากมากดวย พิจารณางายๆ
แคเรื่องคมั ภรี กอน
“พระไตรปฎ ก” เปนคัมภีรชนั้ ตน หรอื ช้นั ท่หี น่ึงของพระพทุ ธศาสนา ที่
ถอื วา บรรจุพทุ ธพจน เพียงแคค มั ภรี ชน้ั หน่ึงนก้ี ม็ ากมายตง้ั ๔๕ เลม หรือท่ีพดู
กันวา ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ เราจะจับแกนไดอยางไร แกน แทอ ยูตรงไหน
และความคิดความเหน็ เกี่ยวกบั เรอื่ งตวั แกน แทน้นั จะตรงกันหรือไม
∗
บรรยายแกผบู ริหารระดับสงู ของกรมการศาสนา ท่ีกรมการศาสนา กระทรวงศกึ ษาธิการ วันที่
๑๒ กุมภาพันธ ๒๕๔๑ เดิมมชี อื่ เรอ่ื งวา “แกนแทของพระพทุ ธศาสนา”
-๑-
หัวใจพุทธศาสนา
หัวใจพุทธศาสนาคอื อะไร วากันไปหลายอยาง
ถกู ทั้งนัน้ อนั ไหนกไ็ ด
พอดีเมอ่ื วานเปน วนั มาฆบชู า กช็ วนใหน ึกถึงคาํ สอนของพระพุทธเจาใน
วนั มาฆบูชา เพราะวาวันมาฆบูชานน้ั ชาวพทุ ธจํากนั มาวา เปนวันทพ่ี ระพุทธ
เจา ทรงแสดงหลักการท่ีเรยี กกนั วา “หวั ใจพระพุทธศาสนา” ซึ่งเปนคาํ ไทย
ทเ่ี ราพูดกนั งายๆ ถาพดู เปนภาษาบาลีกค็ อื “โอวาทปาฏิโมกข”
เมื่อพูดถึงคาํ วา “แกน ” กใ็ กลกบั คาํ วา “หวั ใจ” และเราไดพ ดู ถงึ หัวใจ
พระพุทธศาสนากันมาเมอื่ วาน จงึ ขอนํามาทบทวนกันนิดหนอ ย แตไมได
หมายความวาจะจับเอาคําสอนท่ีเรายึดถือกันวาเปนหัวใจพระพุทธศาสนามา
วา เปน แกนแทใ นทนี่ ้ี แตเ รยี กวาเอามาเปน อารมั ภบท เพราะไหนๆ เม่อื วานนี้
เปน วนั ทเ่ี ราไดฟงเร่อื งหัวใจพระพทุ ธศาสนามาแลว กเ็ อามาทบทวนกนั ดู
หลกั ทเ่ี ราถอื วา เปน หวั ใจพระพทุ ธศาสนา กค็ อื คาํ ไทยทส่ี รปุ พทุ ธพจน
งา ยๆ สนั้ ๆ วา “เวน ชว่ั ทาํ ดี ทาํ ใจใหบ รสิ ทุ ธ”ิ์ ภาษาพระหรอื ภาษาบาลวี า
สพพฺ ปาปสฺส อกรณํ กสุ ลสฺสปู สมฺปทา
สจติ ตฺ ปริโยทปนํ เอตํ พุทธฺ านสาสนํ
แปลใหเ ตม็ เลยวา “การไมท าํ ความชวั่ ทงั้ ปวง การทาํ ความดใี หเ พยี บพรอ ม
การชาํ ระจติ ของตนใหบ รสิ ทุ ธผ์ิ อ งใส นเี้ ปน คาํ สอนของพระพทุ ธเจา ทงั้ หลาย”
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๓
คาํ ลงทา ยวา “นี้เปน คําสอนของพระพทุ ธเจาท้ังหลาย” ทาํ ใหเ ราคิดวา นี่
แหละเปนคําสรปุ แสดงวา เน้อื แทของพระพทุ ธศาสนาอยทู น่ี ่ี เราก็เลยเรียก
วา “หัวใจ” น่วี าตามเร่ืองวนั มาฆบชู า เอามาเปนจดุ เรม่ิ ตน
แตก ระนน้ั ชาวพทุ ธผไู ดย นิ ไดฟ ง พระสอนมามากๆ บางทกี ไ็ ดย นิ พระ
อาจารยห รอื พระเถระผใู หญบ างทา นพดู ถงึ หลกั การอนื่ วา อนั โนน สิ อนั นส้ี ิ เปน
หวั ใจพระพทุ ธศาสนา เมอื่ ไดฟ ง อยา งนนั้ บางทโี ยมกช็ กั งง จงึ ขอยกเอาเรอ่ื งน้ี
มาพดู เสยี ในตอนปรารภนี้ วา อะไรกนั แนท เี่ รยี กวา เปน หวั ใจพระพทุ ธศาสนา
บางทานบอกวา “อรยิ สัจสี่” เปน หัวใจพระพุทธศาสนา เพราะวาคํา
สอนของพระพทุ ธเจาท้งั หมดรวมอยูในอรยิ สจั สี่
เมือ่ พระพุทธเจาตรัสรูแลว เสดจ็ ไปแสดงปฐมเทศนา พระธรรมจักกปั -
ปวตั ตนสตู ร พระองคตรัสพทุ ธพจนต อนหนึ่งมคี วามวา ตราบใดทีเ่ รายงั ไมม ี
(จตูสุ อริยสจฺเจสุ ตปิ ริวฏฏํ ทวาทสาการํ ยถาภูตํ ญาณทสสฺ น)ํ ญาณทศั นะทีม่ ี
ปรวิ ฏั ๓ มีอาการ ๑๒ ในอริยสัจส่ี เราก็ยงั ปฏญิ าณไมไดว า ไดต รสั รู ตอ
เมือ่ เรามีญาณทศั นะน้ัน จึงปฏญิ าณไดวาตรัสรู
หมายความวา ตรัสรอู รยิ สัจสี่ครบ ๓ ดา น คอื ท้งั รูว าคอื อะไร แลว ก็รู
วาหนา ทีต่ ออริยสัจแตล ะอยา งนน้ั คอื อะไร และรูวาไดท ําหนาที่ตออรยิ สัจน้ัน
แลว เวยี นไปในทกุ ขอ เรียกวา ๓ ปรวิ ฏั
อธิบายวา รใู นอรยิ สจั สี่แตล ะอยาง เริม่ ตัง้ แตร วู า ทุกขค ืออะไร รวู าเรา
จะตอ งทําอะไรตอ ทุกข แลว กร็ วู า หนา ทต่ี อทุกขน ัน้ เราไดท ําแลว และตอไป
ในขอ สมุทัย นโิ รธ มรรค ก็เชน เดยี วกัน
ถายงั ไมร ูอริยสจั ดว ยญาณทัศนะครบท้งั ๓ ในแตละอยา ง (รวมทั้ง
หมดเปน ๑๒ เรยี กวา มีอาการ ๑๒) ก็ยังไมสามารถปฏิญาณวา ไดตรัสรู เปน
สมั มาสมั พทุ ธะ
ตอ เมื่อไดต รสั รูอรยิ สัจ โดยมญี าณในอริยสัจแตละขอ ครบท้งั ๓ รวม
เปน ๑๒ จึงปฏิญาณไดว า เปน สัมมาสัมพุทธะ
๔ แกนแทของพระพุทธศาสนา
พุทธพจนนมี้ าในพระธมั มจักกปั ปวตั ตนสตู ร จงึ ทําใหกาํ หนดเอาวา น่ี
แหละคือตัวหลักใหญท ่เี ปนหวั ใจของพระพุทธศาสนา ทานทีส่ วดธรรมจักร
ไดค งนกึ บาลอี อกวา ยาวกวี ฺจ เม ภิกขฺ เว อิเมสุ จตสู ุ อริยสจเฺ จสุ
รชั กาลที่ ๖ ทรงมีงานพระราชนพิ นธเลม หน่งึ ชอื่ วา “พระพุทธเจา ตรัสรู
อะไร” ซ่งึ ก็ทรงจับเอาท่ีจดุ นี้คือ อริยสจั สี่
เปนอันวา พระพุทธเจาตรัสรูอรยิ สจั ส่ี และการตรัสรูอรยิ สัจสที่ าํ ใหเปน
พระพุทธเจา อรยิ สัจสจี่ ึงเปน หวั ใจของพระพุทธศาสนา
บางทา นไปจับเอาทพี่ ระไตรปฎกอีกตอนหนึ่ง ซึง่ พระพทุ ธเจาตรัสไว
กะทัดรัดมาก วา “ปุพเฺ พจาหํ ภกิ ฺขเว เอตรหิ จ ทกุ ขฺ ฺเจว ปฺาเปมิ ทุกฺขสฺส
จ นิโรธํ” ภิกษุทั้งหลาย ท้ังในกาลกอนแลบัดนี้ เราบัญญตั ิแตท กุ ขแ ละ
ความดับทุกขเทานน้ั
ถาจับตรงน้กี แ็ สดงวา ทีพ่ ระพุทธเจา ทรงสอนทง้ั หมดน้นั หลกั การของ
พระพทุ ธศาสนาก็มีเทา น้ี คอื ทุกขและความดับทุกข
ทา นพทุ ธทาสกลา วถงึ หลกั อกี ขอ หนง่ึ ใหถ อื วา เปน หวั ใจพระพทุ ธศาสนา
คอื “สพเฺ พ ธมมฺ า นาลํ อภนิ เิ วสาย” แปลวา “ธรรมทงั้ ปวง ไมค วรยดึ มนั่ ”
คาํ วา “นาล”ํ แปลวาไมควร หรือไมอาจ ไมสามารถ คําวา “ไมควร” ใน
ทน่ี ้ี หมายความวา เราไมอาจไปยึดมั่นมันได เพราะมันจะไมเ ปนไปตามใจ
เราแนน อน เม่อื มันไมอาจจะยึดม่ัน เรากไ็ มควรจะยึดมั่นมัน อันนี้ทานกว็ า
เปน หัวใจพระพทุ ธศาสนา
เมอ่ื ไดฟง อยา งน้ี ก็ทําใหเ รามาสงสัยกันวาจะเอาหลักไหนดีเปน หัวใจ
พระพุทธศาสนา กเ็ ลยขอใหค วามเห็นวาอันไหนกไ็ ด
แตตองระวงั อันไหนก็ได จะทาํ ใหพ ทุ ธศาสนางอ นแงน
ชาวพุทธตองมหี ลกั ท่แี นช ัด ใหปฏบิ ตั เิ ดด็ แนว เปน หน่ึงเดียว
แตก ารพูดวา “อันไหนกไ็ ด” นี่ ก็ไมดีเหมอื นกนั เพราะทาํ ใหชาวพทุ ธ
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๕
เหมอื นวาไมม อี ะไรลงตวั แนนอน แลว ก็เลยกลายเปนคนท่ีเอาอยางไรก็ได
โงนเงนงอนแงน หรอื แกวง ไปแกวง มา เหมอื นไมม ีหลัก กจ็ ะกลายเปนไมได
เรอื่ ง เราตอ งชัดเจนวา ทีว่ าอนั ไหนก็ไดน ัน้ ท้ังหมดคอื อันเดยี วกัน
ทาํ ไมจงึ วาเปน อนั เดียวกัน เพราะวา การพูดถงึ หลกั คําสอนเหลา นน้ี ้ัน
เปนการพูดโดยจบั แงจ ับมมุ ตา งๆ กันของคําสอน ซงึ่ ท่ีจรงิ ทง้ั หมดอยูใน
ระบบเดียวกัน โยงถงึ กัน มคี วามเปนอนั หนงึ่ อนั เดียวกัน เพราะฉะน้นั ไมว า
จะจับทจ่ี ุดไหน ก็โยงถึงกันไดท้ังนนั้ ขอช้แี จงอยา งงายๆ
ถา เราพูดวาหัวใจพระพทุ ธศาสนาคอื “เวน ชั่ว ทาํ ดี ทําใจใหผ องใส”
ก็จะเห็นวา หวั ใจท่วี า น้เี ปน หลกั ในเชงิ ปฏิบัติท้ังน้ัน คือเปนเร่อื งของการ
ดาํ เนนิ ชวี ติ วา เราจะไมทาํ ช่วั ทาํ ดี และทําใจใหผ องใส
ทีน้ีลองหันไปดหู ลกั อรยิ สจั สี่ ซงึ่ มที ุกข สมุทยั นิโรธ มรรค จะเหน็ วา
ขอท่ี ๔ คอื “มรรค” เปนขอ ปฏิบตั ิ
ถาพูดวา มรรคมอี งค ๘ มสี ัมมาทิฏฐิเปน ตน และสัมมาสมาธเิ ปน ขอ สุด
ทา ย องคทัง้ ๘ น้ี มีตง้ั ๘ ขอ ก็จาํ ยาก จึงยอ งายๆ เหลอื ๓ เทา น้นั คือ
ศีล สมาธิ ปญญา
ชาวพุทธจาํ กันแมน วา มรรคมอี งค ๘ จําใหง ายก็สรปุ เหลือ ๓ คือ ศีล
สมาธิ ปญญา
ศลี นัน้ อธบิ ายงา ยๆ วา “เวน ช่วั ” สมาธิ ก็คือ “ทาํ ความดีใหถึงพรอ ม”
เพราะความดแี ทจ รงิ ท่ีสดุ กเ็ ปนคณุ สมบัติคือคณุ ธรรมตา งๆ อยูในจิตใจ ซง่ึ
จะตอ งบาํ เพญ็ ขึน้ มาใหพ รอ ม แลว สดุ ทาย ปญญา กไ็ ดแก “ชําระจิตใจให
บรสิ ทุ ธิ์” เพราะการทจ่ี ิตจะบริสุทธิห์ มดจดสน้ิ เชิง ก็ตองหลดุ พนจากกิเลส
และความทกุ ขดวยปญ ญา
ฉะนั้น เวนช่ัว ทําดี ทําใจใหบริสทุ ธ์ิน้ี ก็คอื ศีล สมาธิ ปญญา น่ันเอง
“เวน ช่ัว” เปน ศีล “ทําด”ี เปนสมาธิ “ชาํ ระจิตใจใหบ ริสทุ ธิ์” เปน ปญ ญา
พอแยกแยะอยางน้กี ็เหน็ แลว วา ออ เวนช่วั ทําดี ทําใจใหบรสิ ุทธิ์ ทว่ี า
๖ แกน แทข องพระพทุ ธศาสนา
เปนหวั ใจพระพทุ ธศาสนานนั้ ก็อยใู นมรรคนีเ่ อง เปน อริยสัจ ขอ ที่ ๔ คอื ขอ
สดุ ทา ย
ตกลงวา หลกั หวั ใจพระพุทธศาสนาในวนั มาฆบชู าน้ี เปนสวนหน่ึงใน
อรยิ สจั คอื เปน อริยสจั ขอ สดุ ทา ย ไดแ กม รรค ซ่งึ เปน ภาคปฏิบตั ิ อรยิ สัจจงึ
กวางกวาและครอบคลุมหลกั หวั ใจพระพทุ ธศาสนาในวนั มาฆบชู า
ทุกข คือตัวปญ หา เปนสิ่งทเี่ ราไมเ อา แตเรากย็ ังไมต อ งปฏิบตั ิ เราตอง
รใู หช ดั วาอะไรเปน ปญหาทเ่ี ราจะตองพน ไป
สมุทัย คอื ตวั เหตุแหงทกุ ข ซ่ึงตอ งสบื สาวใหรตู ามหลกั ความจรงิ ทเี่ ปน
ไปตามเหตปุ จจัยวา ออ ทกุ ขเ กดิ จากเหตุ และเหตุนั้นคืออะไร เหตนุ น้ั เรารู
วา จะตองกาํ จดั แตเราก็ยังไมไ ดทาํ อะไร
จากนนั้ เรากร็ ูดวยวาเม่ือกําจดั เหตุแหงทกุ ขไ ด เราจะเขาถงึ จดุ หมายคอื
นโิ รธ
แตท ้งั หมดนจี้ ะสําเร็จไดก็ดวยการลงมือทาํ ในขอสดุ ทา ยคอื มรรค
ฉะนนั้ ทุกข สมทุ ยั นโิ รธ สามอยางนเี้ ราเขา ใจวามนั คอื อะไร และเรา
จะตอ งทาํ อะไรตอ มนั แตเ ราปฏิบตั ิมันไมไ ด สิง่ ท่จี ะปฏบิ ัตไิ ดค ือขอท่ี ๔ ได
แกมรรค
เมอ่ื เราปฏบิ ตั ติ ามมรรค เรากก็ าํ จดั สมทุ ยั ...แกเ หตแุ หง ทกุ ขไ ด เรากพ็ น
จากทกุ ข… หมดปญ หา และเรากบ็ รรลนุ โิ รธ...เขา ถงึ จดุ หมายได เพราะฉะนนั้
ดว ยมรรคขอ เดยี วน้ี สามารถทาํ ใหส าํ เรจ็ งานสาํ หรบั ๓ ขอ แรกทงั้ หมด
เปน อนั วา ส่งิ ที่เราตอ งปฏิบตั มิ ีอยขู อเดียวคือขอ ๔ แตเ ราตอ งรู ๓ ขอ
ตนดวย
ถึงตอนน้ี ก็หันกลับไปดูหลกั เวนช่วั ทําดี ทําใจใหบ ริสทุ ธิ์ จะเห็นวา
เปน หลกั การในภาคปฏบิ ัติท้ังหมดของพระพุทธศาสนา ซึ่งอยใู นมรรค คอื
ขอที่ ๔ ของอริยสจั เพราะมรรคเปนฝายลงมือทํา ลงมือปฏบิ ตั ิ
สวนในแงข องหลักความจริงตามสภาวะวาเปน อยา งไร จุดหมายคือ
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๗
อยา งไร กอ็ ยใู นขอ ๑-๒-๓ ของอรยิ สัจ
เพราะฉะนนั้ อรยิ สจั กวางกวาและครอบคลมุ คือครอบคลมุ หลักเวน
ช่ัว ทาํ ดี ทาํ ใจใหบ ริสทุ ธิ์ดว ย
ถาเราตอ งการจะพดู เฉพาะในเชิงปฏบิ ตั ิ ในภาคลงมอื ทาํ หรอื ในการ
ดาํ เนินชวี ิต เรากพ็ ดู ในแงเ วนชัว่ ทําดี ทําใจใหบ ริสทุ ธิ์ เอาแคน ้ี วา หัวใจพระ
พทุ ธศาสนาอยตู รงน้ี ปฏบิ ตั ิเทานี้ก็ครบหมด เพราะเปน ของท่ใี หลงมอื ทํา
ปฏิบตั ิไดท ันที
ถาพดู ถึงอริยสจั กก็ วางขวางและตอ งทาํ ความเขาใจกันมาก สาํ หรบั ชาว
พุทธทว่ั ไป เรม่ิ ตน กใ็ หเ หน็ กอนวาจะปฏิบตั ิอะไร
แตเ มอื่ ปฏิบตั ิไปถงึ ระดับหน่งึ ก็จะเกดิ ความจําเปน ตอ งรูหลกั การ หรอื
หลกั ความจริงท่วั ไปดว ย มฉิ ะนั้นการปฏบิ ัติกไ็ ปไมตลอด ถึงตอนน้นั ก็ตองรู
หลักอริยสจั สี่ แตเ บื้องตน น้พี อพดู ขึ้นมากใ็ หเ ริม่ ปฏบิ ัตไิ ดเลย
เปนอันวา เร่มิ ตน เราบอกวา...เอานะ เวนช่วั ทาํ ดี ทําใจใหบ รสิ ทุ ธิ์ ก็
เขา ใจงา ย ทาํ ไดเลย สะดวก กเ็ อาอนั น้ีมาเปนหวั ใจพระพทุ ธศาสนา แลว
จากหลกั ปฏิบตั ินเี้ ราก็กา วไปสูห ลักการที่ใหญข ึ้นไป คือ กา วไปสหู ลกั อริยสัจ
ซ่ึงเปนหลักท่ีครอบคลุม สมบูรณไปเลย
พดู อยา งนก้ี เ็ หมอื นกบั บอกวา หลกั เวน ชวั่ ทาํ ดี ทาํ ใจใหผ อ งใส น้ี เปน
หวั ใจพระพทุ ธศาสนาภาคบทนาํ หรอื เปน บทนาํ ทเ่ี ปด เขา สหู วั ใจพระพทุ ธศาสนา
อยา ลืมวา ไดห ลกั แนช ัดแลว นะ เรม่ิ ดวย “เวน ช่ัว ทาํ ดี ทําใจให
บริสุทธ์ผิ องใส” น่ีแหละเอาเปน หัวใจพระพุทธศาสนาไวก อน แลวกา วตอ
ไปใหค รบอรยิ สัจทงั้ ๔ ใหได จึงจะเปน ชาวพทุ ธท่ีแทจ ริงและสมบรู ณ
๘ แกนแทข องพระพทุ ธศาสนา
วา กันไป ก่หี ลักก่ีหวั ใจ
ในทีส่ ุดก็หลกั ใหญเดียวกัน
ทนี ีล้ องเทียบหลักอนื่ อีก เม่ือก้ีบอกวา พระพุทธเจา ตรัสไว “ทงั้ ในกาล
กอ นและบดั น้ี เราบัญญัติแตท กุ ขแ ละความดับทกุ ขเ ทานน้ั ” อันนก้ี ็เปน
การพูดถึงอรยิ สัจสีน่ นั่ เอง คอื อริยสัจ ๔ แบบสัน้ ทส่ี ุด ยอ เปน ๒ คู คอื
ทุกข และสมุทยั เหตแุ หง ทุกข อันน้ี ๑ คู
นโิ รธ ความดบั ทุกข และมรรค ทางใหถงึ ความดับทุกข ก็ ๑ คู
รวมแลวมี ๒ คู
เพราะฉะนั้น เวลาพูดสนั้ ๆ กบ็ อกวา เร่อื งทุกข (พรอมทั้งเหตขุ องมัน
อยใู นวงเล็บ ละไวในฐานเขาใจ) อยา งหน่ึง แลวก็เรอ่ื งความดบั ทุกข
(พรอมทง้ั วิธีปฏบิ ตั ใิ หถ ึงความดบั ทกุ ข) อยา งหนงึ่
ตกลงพดู งายๆ อรยิ สจั สี่ กย็ อเปน ๒
ฉะนน้ั ที่พระพทุ ธเจาตรัสวา ทงั้ ในกาลกอนและบัดน้ี เราบัญญัตแิ ต
ทุกขแ ละความดับทกุ ข กอ็ นั เดียวกนั คืออริยสจั สนี่ น่ั เอง ไมไ ดไ ปไหน
ยงั มอี กี ...เมอื่ กล้ี มื พดู ไป คอื เมอ่ื พระพทุ ธเจา ตรสั รแู ลว ตอนจะออก
ประกาศพระพทุ ธศาสนา พระองคไ ดท รงพระดาํ ริ ซง่ึ มคี วามตอนนใี้ นพระไตร
ปฎ กบอกวา “อธคิ โต โข มยฺ ายํ ธมโฺ ม” ธรรมทเ่ี ราบรรลแุ ลว น้ี ทรุ นโุ พโธ เปน
ของทร่ี ตู ามไดย าก กลา วคอื หนง่ึ ...อทิ ปั ปจ จยตาปฏจิ จสมปุ บาท สอง...นพิ พาน
แลว พระองคกต็ รสั เลาตอไปวา พระองคท รงดํารวิ า หมสู ัตวทงั้ หลาย
มัวหลงระเรงิ กนั อยูในสง่ิ ทลี่ อใหต ดิ ยากที่จะเขา ใจหลกั การทงั้ ๒ นี้ จึงนอ ม
พระทยั ไปในทางท่ีจะไมทรงสั่งสอน
ถา ดูตรงน้ีกจ็ ะเหน็ ชดั ตามท่ีพระพทุ ธเจาตรัสวา “ธรรมท่ีเราไดบ รรลุ
คือ อทิ ัปปจ จยตาปฏจิ จสมุปบาท และนิพพาน” ถา จบั ตรงน้ี กบ็ อกไดวา
นกี่ ็หัวใจพระพุทธศาสนาเหมอื นกัน
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๙
แตถ าเราโยงดู ก็บอกไดวา สาระไมไปไหน ทแี่ ทก อ็ ันเดยี วกนั นัน่ แหละ
อทิ ัปปจจยตาปฏิจจสมปุ บาท คืออะไร คอื หลักความจริงของธรรมชาติ ใน
แงท ีท่ าํ ใหเ กิดปรากฏการณท ีเ่ ราเรียกวา ความทุกข คอื จับท่ีตวั กฎธรรมชาติ
แหง ความเปนไปของการท่ีมที กุ ข มปี ญหาตา งๆ เกดิ ขนึ้
ฉะนัน้ อทิ ัปปจ จยตาปฏิจจสมปุ บาท กเ็ ปนเรอื่ งของทกุ ขแ ละสมทุ ัย แต
แทนที่จะจบั ท่ีปรากฏการณคอื ทกุ ข ก็ไปจบั ทีก่ ระบวนการของกฎธรรมชาติ
เริม่ ที่ขอสมทุ ัย ดเู หตุปจ จัยทเี่ ปน ไปจนปรากฏทุกขเปน ผลข้ึน จงึ รวมทั้งขอ
ทุกขและสมทุ ัย
ดงั จะเห็นไดวา เวลาตรัสปฏิจจสมปุ บาท พระพุทธเจา ทรงสรปุ วา
“เอวเมตสสฺ เกวลสสฺ ทุกขฺ กขฺ นธสสฺ สมุทโย โหติ” แปลวา “สมทุ ัย คือการเกดิ
ข้ึนพรอ มแหงทุกข จึงมีดวยประการฉะน”้ี หมายความวา จากความเปน ไป
ตามกระบวนการของกฎธรรมชาตินี้ จึงเกดิ มที ุกขข ้นึ
เพราะฉะนั้น ขอ วา อทิ ปั ปจจยตาปฏจิ จสมุปบาท กค็ อื ตรสั เรอ่ื งทกุ ข
และสมทุ ัย
จากนนั้ อกี อยางหน่งึ ท่ตี รสั ไว คือ นิพพาน ซงึ่ ก็คอื ขอนิโรธ ซงึ่ เราจะ
ตอ งบรรลุถึงดว ยการปฏบิ ัติตามมรรค การท่ีจะบรรลุนิพพานทเี่ ปน จดุ หมาย
ก็เรยี กรอ งหรอื เปน เงอ่ื นไขอยูใ นตัวใหตอ งปฏิบัติตามมรรค
ดังน้นั การตรัสถงึ นิพพาน คอื ขอนิโรธ ก็โยงเอามรรค เขา มาพว งไว
ดว ย
พดู ใหล กึ ลงไป ขอ แรก อทิ ปั ปจ จยตาปฏจิ จสมปุ บาท กค็ อื สงั ขตธรรม
พรอ มทัง้ กระบวนความเปน ไปของมันทงั้ หมด สว นขอ หลงั นพิ พาน ก็คือ
อสงั ขตธรรม ทพ่ี นไปจากสงั ขตธรรมน้ัน
ในพทุ ธพจนนี้ จบั ทตี่ วั ความจริงของกฎธรรมชาติ กับสภาวธรรมสุด
ยอดท่ตี องการ จึงเอา อิทัปปจ จยตา ทเี่ รียกกันงา ยๆ วา กฎปฏจิ จสมุปบาท
กบั เร่ืองนิพพาน มาเปน หวั ใจพระพทุ ธศาสนา
๑๐ แกนแทข องพระพุทธศาสนา
แตสองอยางนี้ เวลาขยายออกมา กเ็ ปนอรยิ สัจน่ันเอง เพราะฉะนน้ั กจ็ ึง
ไมไปไหน ท่แี ทก็อนั เดยี วกนั
อริยสัจน้ันเปนวิธีพูดหรือวิธีแสดงกฎธรรมชาติในแงท่ีมาเก่ียวของกับ
มนษุ ย ซงึ่ มนษุ ยจ ะนาํ มาใชป ระโยชนใ นการดาํ เนนิ ชวี ติ หรอื แกป ญ หาชวี ติ ของ
ตน พระพทุ ธเจา ตรสั วางไวใ นรปู ทใี่ ชก ารได เรยี กวา ทกุ ข สมทุ ยั นโิ รธ มรรค
แตต วั ความจรงิ ในกฎธรรมชาตกิ ค็ อื อทิ ปั ปจ จยตาปฏจิ จสมปุ บาท และ
สภาวะทเี่ ปน จดุ หมาย คอื นพิ พาน กม็ เี ทา นี้ เพราะฉะนนั้ จงึ บอกวา ไมไ ปไหน
สว นอีกหลักหน่งึ คือ “สพฺเพ ธมมฺ า นาลํ อภนิ ิเวสาย” แปลวาธรรมท้ัง
ปวงไมควรยึดมัน่ คอื เราไมอาจจะยึดมั่นถือมัน่ ไวไ ด
อันนีก้ เ็ ปน การสรุปหวั ใจของการปฏิบัติ ทโ่ี ยงไปหาตัวความจรงิ ของ
ธรรมชาติ หรือสภาวธรรมวา สง่ิ ทงั้ หลายหรอื ปรากฏการณท ง้ั หลายทัง้ ปวง
หรือสิ่งท่ีแวดลอมชีวติ ของเรา หรืออะไรก็ตามทเี่ ราเก่ียวของน้ี มนั ไมไ ดอ ยู
ใตอ าํ นาจความปรารถนาของเรา แตม ันเปนไปตามกฎธรรมชาติ เปนไปตาม
เหตปุ จจยั หรอื มีอยดู ํารงอยตู ามสภาวะของมัน เพราะฉะนน้ั เราจงึ ไม
สามารถยดึ ม่นั ถอื มน่ั มนั ได เราจะตอ งวางใจปฏิบตั ติ อมนั ใหถกู
หลักน้ีเปนการโยงธรรมดาธรรมชาติหรือความเปนจริงของส่ิงทั้งหลาย
มาสทู าทีปฏิบัติของมนษุ ยต อ ส่งิ เหลาน้นั ซึง่ รวมสาระสาํ คัญวา ...เราตอ งรทู นั
วาสง่ิ เหลานม้ี ันไมเปนไปตามใจปรารถนาของเรานะ มนั เปนไปตามเหตุ
ปจจยั ของมัน เราจะไปยดึ มนั่ ถอื ม่ันตามใจของเราไมไ ด แตตองปฏบิ ัตดิ วย
ปญ ญา คือดว ยความรเู ทา ทันและใหตรงตามเหตปุ จจัย
เพราะฉะน้นั หลกั น้ีก็เปนแงม ุมหนึ่งของการประมวลวธิ ปี ฏิบัติทั้งหมด
ตอ สิ่งท้งั หลาย ซึง่ ก็เปน พุทธพจนเ หมอื นกัน
เรอ่ื งมอี ยวู า พระสาวก (พระมหาโมคคลั ลานะ) ทลู ถามพระองคว า “สงั ขติ เตนะ”
ดว ยวิธีการอยางยน ยอ ทําอยางไรภกิ ษุจะเปน ผทู ่ีหลดุ พน แลว โดยความสิ้น
ไปแหง ตณั หา หมายความวา โดยยอทาํ อยา งไรภกิ ษุจะเปน ผูบรรลุนิพพาน
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๑๑
พระพทุ ธเจา ก็ตรัสพทุ ธพจนนข้ี ้นึ มาวา ภกิ ษุไดสดบั หลกั การทวี่ า “สพเฺ พ
ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย” (องฺ.สตฺตก. ๒๓/๕๘/๙๐) ธรรมทัง้ ปวง ไมอ าจจะยดึ ม่ันถือ
ม่ันได เพราะเปนอนจิ จงั ทุกขงั อนตั ตา เม่อื รเู ขา ใจความจรงิ ของมนั ก็จะไม
ยดึ ตดิ ถอื ม่ันส่ิงใดในโลก จงึ ไมร านรนเรา รอน กจ็ ะสงบเยน็ นพิ พาน
รวู า ธรรมทง้ั ปวงไมอ าจยึดมน่ั ได ก็คอื รสู ภาวะของมนั ทเ่ี ปนทุกข ความ
ยดึ ม่นั ทจ่ี ะตอ งละนัน้ คอื สมทุ ยั ปญ ญาท่ที าํ ใหละความยึดม่นั น้ันเสยี ไดก ็
เปนมรรค เมื่อละความยดึ ม่นั ไดก็สงบเยน็ นพิ พาน คือขอ นโิ รธ
หลักน้ีนับวาเปนจุดยอดของการปฏิบัติตอส่ิงท้ังหลายในขัน้ ทถี่ ึงปญญา
เลย ซึ่งใหรูเทา ทนั ความจริงวา ส่ิงท้ังหลายมันเปน ของมนั ตามสภาวะของ
ธรรมชาติ เชน เปน ไปตามเหตุปจจยั ของมนั เอง เราจะเอาความยดึ ม่ันถอื มนั่
ของเราไปกาํ หนดมันไมได
ตกลงวา เทา ทม่ี กี ารกลาวถึงหวั ใจพระพทุ ธศาสนากันหลายแบบหลาย
แนวนน้ั ทัง้ หมดก็เปน อันเดียวกนั ซ่ึงในท่สี ุดหลกั ใหญท ค่ี รอบคลมุ ก็คอื
อริยสัจสีน่ ี่แหละ ไมไปไหน
ท่ีพูดมาในตอนน้ที ั้งหมด กเ็ ปน การแยกแยะและเชอื่ มโยงใหเห็นชดั ลง
ไปวา หลกั หัวใจพระพทุ ธศาสนา ทพี่ ูดกันหลายอยา งน้ัน ที่จริงกอ็ นั เดียวกัน
ตา งกันโดยวธิ พี ดู เทา นัน้ และขอยาํ้ วา
อยา มัวพดู วาอยางนน้ั กไ็ ดอยางนี้กไ็ ด ขอใหจบั หลกั ลงไปใหช ดั และ
ปฏิบตั ใิ หม นั่ ใหเดด็ เดย่ี วแนลงไป อยางที่วาแลว ขา งตน
ถึงจะเลาเรียนจบหลัก ถาไมรูจกั หนา ทต่ี อ อรยิ สจั
กป็ ฏบิ ตั ิไมถูก และไมม ีทางบรรลุธรรม
เมื่อพดู ถงึ อรยิ สัจสี่ ก็เลยจะตองพดู ถงึ หนา ทต่ี อ อรยิ สจั ดว ย เมื่อกีน้ ้ไี ด
พูดไปแลววา พระพทุ ธเจาตรัสวา ถาพระองคยงั ไมทรงรูเขาใจอริยสจั สีโ่ ดยมี
๑๒ แกนแทข องพระพุทธศาสนา
ญาณทศั นะครบทั้ง ๓ อยางในอรยิ สจั สแ่ี ตละขอ ซ่งึ เมอ่ื รวมแลว ๓ คูณ ๔
เปน ๑๒ กจ็ ะไมปฏิญาณวาไดตรัสรูแลว
ดงั นนั้ เราจะรอู ริยสจั อยา งเดียวไมไ ด ตอ งรูห นาที่ตอ อริยสจั และ
ปฏิบัตหิ นา ท่ีตอ อริยสัจใหสําเร็จดว ย การเรียนอริยสจั โดยไมรหู นา ทตี่ อ
อรยิ สัจอาจจะทาํ ใหเ ขา ใจสบั สน
พระพทุ ธเจา ตรสั กจิ หรอื หนา ทต่ี อ อรยิ สจั สไ่ี วค รบถว นแลว แตล ะอยา ง ๆ
๑. หนา ทต่ี อ ทกุ ข คอื ปรญิ ญา แปลวา กาํ หนดรู รเู ทา ทนั จบั ตวั มนั ใหไ ด
๒. หนาทตี่ อ สมทุ ัย คือ ปหานะ แปลวา ละ หรือกาํ จัด
๓. หนาทตี่ อ นโิ รธ เรยี กวา สจั ฉิกิริยา แปลวา ทําใหแจง คอื บรรลถุ งึ
นน่ั เอง
๔. หนา ทีต่ อมรรค เรยี กวา ภาวนา แปลวา บาํ เพ็ญ ก็คือปฏบิ ตั ิ ลงมอื
ทํา ทาํ ใหเ กิด ทาํ ใหม ขี ้นึ
๑) ทุกข...เรามีหนาท่ีตอมันอยางไร พระพุทธเจาตรัสวา “ทกุ ขงั
ปริญเญยยัง” ทุกขนั้นเปน สิ่งทจี่ ะตองรูเทาทัน ภาษาพระแปลกันวา “กําหนด
รู” ทุกขเปนส่งิ ทีต่ อ งกาํ หนดรู
“ปรญิ เญยยัง” นเ่ี ปนคุณศัพท ถา ใชเปน คาํ นามกเ็ ปน “ปรญิ ญา” ทีเ่ รา
เอามาใชเปนชือ่ ของการสําเร็จการศึกษา
ทกุ ข...เรามีหนาทร่ี จู ักมนั รทู ันมัน เรยี กวา “ปริญญา” ทุกขนนั้ เปน ตัว
ปญ หา เปน ปรากฏการณ ทา นเปรยี บเหมอื นกับ “โรค”
ในทางรา งกายของเราน่ี เมื่อเรามโี รค เราก็จะแกไ ขบาํ บดั หรือกําจัดโรค
แตพอเอาเขา จริง เรากาํ จัดโรคไมได แตเราตอ งเรยี นรจู ักโรค เหมือนหมอจะ
แกไขโรค ตอ งกําหนดรใู หไ ดว าเปนโรคอะไร เปน ที่ไหนตรงไหน เพราะ
ฉะนั้น นอกจากตองรูโรคแลว ตองรรู างกายซึง่ เปน ทีต่ ั้งของโรคดวย
ทํานองเดยี วกัน ในขอทกุ ขนี้ จงึ ไมใชเ รยี นเฉพาะปญ หา แตเรยี นชวี ิต
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๑๓
ซึ่งเปน ที่ตั้งแหง ปญหาดว ย หมายความวา ทุกขคอื ปญ หาเกดิ ทีไ่ หน มนั เกดิ
ทช่ี วี ติ หรอื เกิดในโลก เราก็ตอ งรจู กั โลก รจู ักชวี ิต
เหมอื นกบั แพทยจ ะแกไ ขโรค เวลาเรยี นเรมิ่ ที่อะไร ก็ตอ งไปเรียนตงั้ แต
anatomy (กายวิภาค) ตอ งไปเรยี น physiology (สรรี วทิ ยา) แทนท่จี ะเริ่ม
เรยี นทีโ่ รค กไ็ ปเรียนที่รา งกายซึ่งเปนที่ตัง้ ของโรค
เชน เดยี วกบั เราจะแกไ ขทกุ ข เราตอ งเรียนรูเขา ใจชวี ิต ตลอดถงึ โลกท่ี
เราเกยี่ วขอ งสมั พันธ ซึง่ ในท่ีสดุ ปญหาเกิดที่ชวี ติ ถาเราไมเ ขาใจชวี ิต เรากแ็ ก
โรคของมัน คือปญหาหรือทุกขไมได เร่ืองนี้ก็ทํานองเดียวกนั
ดงั นัน้ ในขอทกุ ขน ีค้ วามหมายจึงคลุมท้ังตวั ปญ หาและสิง่ ซง่ึ เปนทตี่ ัง้
แหง ปญหา โดยเฉพาะชวี ิตมนุษยน เ่ี ราจะตองเขาใจ คอื ปริญญามัน
ทกุ ข ก็คอื ความผนั แปรบบี คน้ั กระทบกระเแทก ซ่ึงเกิดเปนปญหาแก
ชีวิต เหมอื นกับโรค กค็ ือความแปรปรวนวิปริตผิดปกตขิ องรา งกาย เชน
อวยั วะบางสวนถูกบีบคน้ั บอนเบยี นกระทบกระแทกเสียดแทง ตลอดจน
ทํางานไมปกติ
เม่ือเรยี นรจู ักรา งกายและระบบการทาํ งานของมันแลว กก็ ําหนดรโู รคท่ี
จะบาํ บัดแกไ ขได น่กี เ็ ชนเดยี วกนั การจะกาํ หนดรทู กุ ข ก็ตองรูจักชีวิตและดู
ที่ชวี ติ (นามรปู /ขันธ ๕) นแี่ หละ
๒) พอรโู รควา เปนโรคอะไร จับไดแ ลว ก็ตองสบื สาวหาสาเหตุของโรค
สมทุ ยั ไดแ กตวั เชอ้ื โรคทเี่ ราจะตองกาํ จัด หรอื ความบกพรองทาํ งานผดิ ปกติ
ของรางกายทีจ่ ะตอ งปรับแก
เวลาแกไ ขบาํ บดั โรคน่ี เราไมไ ดแ กไ มไ ดก าํ จดั ตวั โรคนะ เชน เราไมไ ดข จดั
ความปวดหวั เราตอ งขจดั สาเหตขุ องความปวดหวั ถา ไมอ ยา งนน้ั เราจะแกได
แตอาการ ยาจาํ นวนมากไดแคร ะงบั อาการใชไหม เชน ระงบั อาการปวดหวั
ตราบใดทเี่ รายงั ไมไ ดก าํ จดั เหตขุ องการปวดหวั เรากแ็ กโ รคปวดหวั ไมส าํ เรจ็
๑๔ แกน แทข องพระพุทธศาสนา
ฉะนั้น ในขอ ทีห่ นงึ่ น้เี ราจงึ เรยี นรูจกั ทุกข เหมอื นกบั แพทยทวี่ นิ จิ ฉยั
โรคใหได ตอจากน้ันกส็ ืบสาวหาตวั สาเหตขุ องโรค ซึง่ อาจจะเปน เชอื้ โรค
หรือความบกพรองของอวยั วะ ไมใ ชเ ช้อื โรคอยา งเดียว
บางทกี ารเปน โรคนน้ั เกดิ จากการกระทบกระทั่งกบั สิ่งแวดลอ ม ความ
บกพรอ งของอวัยวะ หรอื การทาํ งานวิปริต หรือความแปรปรวนตา งๆ ซ่งึ จะ
ตองจบั ใหได เพราะเมือ่ มีโรคกต็ อ งมีสมุฏฐาน หรือสมทุ ยั
สมทุ ยั นแี้ หละเปน ตวั ท่ีตอ งแกไ ขหรอื กาํ จัด หนาทต่ี อสมุทยั เรียกวา
“ปหานะ”
๓) ตอ ไป เมอื่ จะกาํ จดั โรค เราตอ งมเี ปา หมายวา เราจะเอาอะไร และจะ
ทาํ ไดแ คไ หน จดุ หมายอะไรทเ่ี ราตอ งการ กาํ หนดใหไ ด อนั นเี้ รยี กวา นโิ รธ...รู
วา เราตอ งการอะไร และรคู วามเปน ไปไดใ นการแกไ ข
คนทไ่ี มม คี วามชดั เจนวา เราตอ งการอะไร มคี วามเปน ไปไดอ ยา งไร กจ็ ะ
ทาํ อะไรไมส าํ เรจ็
แพทยก็ตองวางเปา หมายในการรกั ษาเหมือนกนั วา มนั เปน ไปไดแ ค
ไหน เราจะเอาอะไรเปนจุดหมายในการรักษาน้ี แลวก็ทําไปใหไ ด ใหบ รรลุ
จุดหมายนน้ั เรียกวา “สจั ฉิกริ ิยา” แปลวา ทําใหป ระจกั ษแ จง ทาํ ใหเ ปน
จริงข้นึ มา คอื ทําใหส าํ เรจ็ หรือบรรลุถึง
๔) พอวางเปาหมายเสรจ็ กม็ าถงึ ขั้นลงมือปฏบิ ตั ิ จะผา ตดั ใหย า และ
ใหคนไขป ฏบิ ตั ิตัวบรหิ ารรางกายอยางไร
วิธรี กั ษาทั้งหมดมาอยูในขอ ๔ คอื มรรค เปนข้นั ทีต่ อ งลงมอื ทาํ เรยี ก
วา “ภาวนา” ซึ่งเปน เรือ่ งใหญ มรี ายละเอยี ดมากมาย
เพราะฉะนัน้ อริยสจั ๔ จึงเปนวธิ กี ารวิทยาศาสตร จะใชในการสอนก็
ได ในการรกั ษาโรคก็ได แพทยก ็ใชวิธกี ารนี้
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๑๕
อรยิ สจั คือ ธรรมท่ีนาํ เสนอเปนระบบปฏิบตั ิการ
ใหมนษุ ยบ รหิ ารประโยชนจ ากความจริงของธรรมชาติ
ทจ่ี รงิ สภาวะตามธรรมชาตนิ นั้ ในทส่ี ดุ กค็ อื กระบวนการอทิ ปั ปจ จยตา
ปฏิจจสมปุ บาท และภาวะเหนอื กระบวนการนนั้ คอื นพิ พาน เทา น้นั เอง
แตพระพทุ ธเจา ทรงนํามาแสดงเปนอริยสจั เพอื่ ใหเ หน็ ขน้ั ตอนในการ
ปฏบิ ตั ขิ องมนษุ ย และเปน วธิ สี อนดว ย คอื เปน วธิ สี อนทจ่ี ะใหค นเขา ใจไดง า ย
และเกดิ ผลในเชิงการปฏิบตั ิที่เราใจใหท ําตาม และทําไดเ ปน ขั้นตอนชดั เจน
อรยิ สัจน้ัน แทจริงเปนหลกั ของเหตุและผล ธรรมดาเราพดู ถึงเหตุกอ น
แลว จึงพูดถึงผลใชไหม แตใ หสังเกตวา พระพุทธเจา กลับทรงยกผลขึน้ แสดง
กอน แลวแสดงเหตุทีหลงั ทําไมจึงเปนเชนน้ัน
ทุกข คือปรากฏการณซ่งึ เปนผล และ สมทุ ยั เปนเหตขุ องทกุ ขน้ัน… นี่
ผลกับเหตุ ๑ คแู ลว
นิโรธ คือจุดหมายทตี่ องการ จดั เปน ผล แลว ก็ มรรค คือวิธปี ฏบิ ัตใิ ห
บรรลุจดุ หมายน้ัน จดั เปน เหตุ…นก่ี ผ็ ลกับเหตอุ ีก ๑ คู
รวมเปนผลกบั เหตุ ๒ คู
น่เี ปน ขอทนี่ า สงั เกต เปนการพลกิ กลับกันกับความรูส กึ ทั่วไปซ่ึงมองไป
ท่เี หตกุ อ นผล
ตามปกตพิ ระพทุ ธเจา กต็ รัสเหตกุ อนผล แตใ นกรณนี ้กี ลบั แสดงผล
กอนเหตุ เพราะอะไร...เพราะเปน เร่ืองของวิธีสอน ซ่ึงตอ งเริม่ ดวยสงิ่ ที่มอง
เหน็ อยู และตอ งเริ่มทปี่ ญ หากอน
เร่ืองอะไร จๆู ก็พดู ถงึ เหตุของปญ หาโดยไมไ ดพ ดู ถึงปญหา เปน หลกั
ของการสอนและการชแี้ จงอธิบายวา ตอ งเร่ิมทปี่ ญหา โดยชี้ปญหาวาเปน
อยางนน้ั อยา งนี้ ทาํ ความเขา ใจปญ หา แลว จึงคนหาสาเหตุ เสรจ็ แลว กช็ ีถ้ ึง
จดุ มงุ หมาย หรอื สง่ิ ท่ตี อ งการ แลว กบ็ อกวธิ ปี ฏิบตั ทิ จ่ี ะใหเขา ถงึ จดุ หมาย
๑๖ แกน แทข องพระพุทธศาสนา
วธิ สี อนอยางนีเ้ ปนทเ่ี ราใจดว ย พอพูดถึงปญ หา โดยเฉพาะปญ หาของ
ตัวเอง หรอื ปญหาทีเ่ ก่ียวของกระทบถึงตัว คนก็สนใจ อยากจะรู อยากจะ
แกไขปญหานัน้ แลว จึงสบื สาววา ปญหานเี้ กดิ จากเหตอุ ะไร
เมอื่ อยากกําจดั เหตแุ ลว พอพดู ถึงจดุ หมายวาดีอยา งไร คนก็อยากจะ
ไปถงึ จดุ หมายน้ัน แลว จงึ บอกวิธีปฏิบตั ิ
ถา เราไปบอกวธิ ีปฏบิ ัติกอ น วิธปี ฏิบัตอิ าจจะยากมาก คนกจ็ ะทอใจ ไม
อยากไป ไมอ ยากทํา
แตถ า ชี้จุดหมายแลว พูดใหเ หน็ วามันดีอยางไร ใจเขาจะใฝปรารถนา
ยง่ิ เหน็ วา ดเี ทา ไร ประเสรฐิ เทา ไร เขายง่ิ อยากไป เขากพ็ รอ มและเตม็ ใจทจ่ี ะทาํ
พอถึงตอนที่เขาพรอ มแลว น้ี เราจึงคอยบอกวิธีปฏบิ ตั ิ ไมตอ งกลัว
หรอก ตอนนเ้ี ขาสนใจ ตงั้ ใจเตม็ ที่แลว เขายินดพี รอ มท่ีจะทาํ สุดแรงของเขา
ฉะน้นั หลักอรยิ สจั น้จี งึ เปน วธิ สี อนดว ย พรอมทง้ั เปนวิธีการแกปญ หา
และวิธปี ฏิบตั ิการในงานตา งๆ วิธีสอนทีไ่ ดผ ลดจี ะใชหลกั การน้ี แมแ ตพ วกท่ี
จะปลุกระดมก็พลอยเอาไปใชไ ดดว ย
ทาํ ไมจงึ วาในการปลุกระดมก็ตอ งใชวิธนี ี้จึงจะไดผ ล กเ็ พราะวาการ
ปลุกระดมน้ี แมแตท ่ไี มส จุ ริต เขามุงแตจ ะใหสาํ เรจ็ กเ็ อาวิธีน้ีไปใช เพราะ
เปน วิธที ่ไี ดผ ล คอื อยา งน้ี
ตอนตนตอ งพดู ช้ปี ญหากอ น... “เวลาน้ีมนั แย มปี ญ หาทง้ั น้ัน มีความ
ยากจน มีความเดอื ดรอ น อะไรๆ ก็ไมดี มนั เลวรา ยอยา งนน้ั ๆ”
ถาจะปลุกระดม ก็ตอ งช้เี รอื่ งทไ่ี มดี ใหเ หน็ ออกมาชดั ๆ วาเยอะแยะไป
หมด รา ยแรงอยา งไร ตอ งช้ที กุ ขใ หช ัดกอ นวานา เกลียดนา กลวั รายแรงจน
คนไมพอใจมาก อยากจะแกไ ข
พอชี้ทุกขหรอื ปญ หาชัดวา อะไรไมด ีอยางไร จะตองแกไขแลว ทนี ก้ี ช็ ้ี
สาเหตุ วานี่ตัวการ เจา ตัวนีแ้ หละ ตัวรายอยูน ี่ เปน เหตใุ หเ กดิ ปญหาเหลานี้
มนั อยทู ีน่ ่ัน ถงึ ตอนนี้คนกก็ า วไปอีกขัน้ หนึ่ง ใจก็เกิดพลงั เกดิ ความตื่นเตน
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๑๗
เกดิ เรยี่ วแรงกาํ ลงั ขนึ้ มา วา จะตอ งจดั การกาํ จดั มนั ละนะ เราเหน็ ตวั การแลว
พอคนกระหายอยากจะจดั การแลว กช็ ี้เปาหมาย
อยา งกบั สมยั หน่งึ ที่เขาปลุกระดมกัน บอกวา “โนน ฟา สที องผอ งอาํ ไพ”
หรอื อะไรก็แลวแต ส่ิงดีงามจะตอ งเปน อยา งน้ี บรรยายใหเหน็ วาดเี หลือเกนิ
เลิศเหลอื เกิน ชี้ใหเหน็ เลิศเลอเทาไรยง่ิ ดี
จดุ หมายน้นั ตอ งช้ีใหเ ดนวาดที ่สี ดุ ดีอยา งโนน อยางน้ี จนกระท่งั คน
อยากไปเหลอื เกิน ยิง่ คนอยากไปสูจุดหมายน้ันเทาไร ก็จะยงิ่ เกลยี ดชงั เจา
ตวั การน้ัน และอยากกาํ จดั มันมากเทานัน้
คนไมช อบสภาพนั้นอยูแลว เพราะถกู ช้วี า เปนปญ หา พอช้ีตน เหตุให
เห็นตัวการรายท่ีตองกําจดั ใหได ใจคนกพ็ ุงเปาไป พอพรอ มอยา งนแ้ี ลว ช้ี
จดุ หมายท่ดี ที ่ีตองการเสร็จแลว ทนี ก้ี ็พรอ มเตม็ ทีเ่ ลย
พอบอกวิธีปฏบิ ตั วิ า “ตอ งทาํ อยางนๆ้ี ๆๆ” ตอนนีว้ ธิ ปี ฏบิ ัติถึงจะยากก็
ไมกลัวแลว เอาเลย ไมวา จะยากอยางไร ก็เอาทง้ั น้ัน ระดมกําลังทาํ เต็มที่...
มรรคมาไดเลย
รวมความวา อริยสัจเปนหลักทเ่ี ช่ือม ระหวางความจรงิ ของธรรมชาติ
กบั ปฏิบัติการของมนุษย
ถา เอาความจรงิ ของธรรมชาตแิ ทๆ กค็ ือ อทิ ปั ปจ จยตาปฏิจจสมปุ บาท
และนิพพาน ซ่งึ เปนแกน แทในแงของความจรงิ ตามธรรมชาตลิ ว นๆ
แตถ าพูดตามความจรงิ ลว นๆ แทๆ อยางนนั้ จะยากมาก พระพทุ ธเจา
จึงทรงนาํ เสนอในรปู ของหลกั อรยิ สจั ๔
เม่ือดเู หตกุ ารณตามลาํ ดบั กจ็ ะเหน็ ชัดวา
๑. หลงั ตรสั รู กอ นจะเสดจ็ ออกเดนิ ทางสง่ั สอน พระพทุ ธเจา ทรงพระ
ดาํ รวิ า ธรรมทพี่ ระองคต รสั รู คอื อทิ ปั ปจ จยตาปฏจิ จสมปุ บาท และนพิ พาน
นนั้ ยากทใ่ี ครจะรตู ามได จงึ นอ มพระทยั จะไมท รงสอน (วนิ ย.๔/๗/๘) และ
๒. ตอ มาเมื่อทรงเร่มิ สอน คอื ทรงแสดงธรรมครงั้ แรก (เรยี กวาปฐม-
๑๘ แกน แทข องพระพทุ ธศาสนา
เทศนา) พระองคต รสั วาตรัสรอู รยิ สัจ ๔ โดยทรงทาํ กจิ หรือหนาทต่ี ออรยิ สจั
๔ น้นั ครบบรบิ ูรณแลว (วนิ ย.๔/๑๓/๑๘)
อาตมาปรารภเรอื่ งเกยี่ วกบั แกน แทข องพระพทุ ธศาสนา มวั แตพ ดู คาํ
ปรารภเสยี นาน กเ็ พยี งเพอื่ ใหเ หน็ วา เรอ่ื งหวั ใจพระพทุ ธศาสนานนั้ จะพดู
อยา งไรกไ็ ด ในบรรดาหลกั การทพ่ี ระเถระทง้ั หลายทา นไดน าํ มาบอกกบั พทุ ธ-
ศาสนกิ ชน เชน หลกั โอวาทปาฏโิ มกข ในวนั มาฆบชู าเมอ่ื วาน ทกุ หลกั เปน หวั ใจ
พระพทุ ธศาสนา ทน่ี าํ มากลา วในแงม มุ ตา ง ๆ กนั แตต อ งโยงถงึ กนั ใหไ ด และ
ตอ งใหเ ปน หลกั ทชี่ ดั เจน และปฏบิ ตั ใิ หจ รงิ จงั ไมใ ชม องพรา ๆ วา อะไรกไ็ ด
อยา เขลาตามคนขาดความรู วา พทุ ธศาสนามองโลกแงร า ย
หลกั พทุ ธสอนวา ทกุ ขเ ราตอ งมองเหน็ แตส ขุ เราตอ งใหม ใี หเ ปน
พดู ถงึ ตรงน้ี กข็ อแทรกอกี นดิ เปน ขอ สงั เกตวา พอมองทหี่ ลกั อรยิ สจั ก็
เหน็ วา พระพทุ ธศาสนาเรมิ่ ตนดวยทุกข
บางทคี นภายนอก หรอื แมแ ตค นภายในน่เี อง มองวาพระพทุ ธศาสนา
สอนแตเ ร่ืองทกุ ข อะไรกเ็ ปน ทุกข ชีวติ กเ็ ปนทกุ ข
ฝรัง่ บางทีกว็ าพระพทุ ธศาสนาเปน pessimism คอื มองโลกในแงร าย
ไปอา นดเู ถอะ พวก encyclopaedia และหนังสือตาํ รบั ตําราฝรั่ง จํานวน
มากหรอื สวนมาก พอพูดถงึ พระพทุ ธศาสนา ก็เรม่ิ ดวยวาพระพุทธศาสนา
มองวา ชีวติ เปนทุกข บอกวา life หรือ existence เปน suffering อะไร
ทํานองนี้ ซ่งึ ชวนใหเ กิดความเขาใจผิด
ตรงนีช้ าวพทุ ธเองจะตอ งชดั เจน
กอนจะชแ้ี จงเรอื่ งนี้ ขอต้ังขอ สงั เกตอีกอยา งหนึง่ วา
คนพวกที่ไมไดเรียนพระพุทธศาสนาในแงของตํารับตําราหรือทฤษฎี
ถาอยๆู เขาเขา มาเมอื งไทย อาจจะไดภาพของพระพทุ ธศาสนาท่ีมคี วาม
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๑๙
ประทับใจในทางตรงกันขา มกับพวกท่อี านหนงั สือ
พวกที่อานหนังสอื อาจเขาใจวา พระพทุ ธศาสนานี่สอนอะไรตออะไรให
มองชวี ิตเปนทกุ ข ไมส บายเลย
แตพวกท่ไี มไดอา นหนังสอื อยูๆ เขา มาเมืองไทย เพียงแตรวู าเมืองไทย
เปนเมอื งพทุ ธ พอมาเห็นคนเมืองไทยยิ้มแยม แจมใส อยางท่เี รียกวา เปน
the land of smile สยามเมอื งยมิ้ เลยรูสกึ วา เมืองไทยเปนสขุ
เคยมฝี รัง่ หนุมสาวไปหาอาตมาทว่ี ัด ไมร จู กั กนั ไมร ูว าใครแนะนาํ ไป
ถามเขาวามาทําไม
เขาบอกวา เขาอยากรเู ร่อื งพระพทุ ธศาสนา กอนมาไมไดสนใจ แตมา
แลว ตอนเชา ยนื ท่หี นาตา ง มองลงไป เหน็ คนไทยหนาตาย้ิมแยม แจม ใส ดู
คนไทยมคี วามสุขดี พระพุทธศาสนาสอนอะไรทาํ ใหค นไทยมคี วามสขุ
บางรายถงึ ขนาดบอกวา เขาไปเทีย่ วตามบา นนอก ไปเหน็ แมแ ตง านศพ
สนุกสนานกนั จัง เมอื งฝรงั่ ไมเ ปนอยางนีเ้ ลย เวลามีงานศพฝร่งั หนา ตาเครง
เครยี ดเหลือเกิน จติ ใจไมสบายเลย แตเ มืองไทยสนุก แมแ ตงานศพกไ็ ม
ทุกข เขาอยากรวู าพทุ ธศาสนาสอนอะไร
นเ่ี ปน ความประทับใจอีกแบบหนง่ึ สาํ หรบั คนที่มาเห็นภาพเชิงปฏบิ ัติใน
ชีวิตความเปนอยวู าชาวพุทธมคี วามสุข ตรงกันขามกบั เมอื งฝรั่งทม่ี ีแตหนา
ตาเครงเครยี ด ยิม้ ยาก มีความทกุ ขมาก เปนโรคจิตมาก
จะโยงอยางไรใหสุขกับทุกขรวมอยูในภาพของพุทธศาสนาอันเดียวกัน
ถาเราจับหลักไดถกู จะไมม ีปญ หาในเรอื่ งน้ี
คาํ ตอบอยทู ่ีหลักกิจในอริยสัจ หรือหนา ทต่ี อ อริยสจั ทพ่ี ดู ไปแลว พระ
พุทธศาสนาสอนอริยสัจส่ี เริม่ ดวยทกุ ข
หนาที่ตอ ทุกขคอื ปรญิ ญา คอื ตองรูทันมนั เราไมม หี นา ทีเ่ ปน ทุกข
เพราะปญหาเปน ส่ิงที่เราตองรเู ขา ใจ ถา เราจบั จดุ ปญ หาไมได เราก็แกป ญหา
ไมไ ด ไมเ ฉพาะตวั ปญ หาเทานั้น เราจะตองรูเขาใจสิ่งท่ีเก่ยี วของกับปญหา
๒๐ แกน แทข องพระพทุ ธศาสนา
สง่ิ ทีร่ องรับหรือเปน ทีต่ ง้ั ของปญ หา คือรเู ทา ทนั ชวี ิตสังขารและรเู ทา ทนั โลก
อันนเ้ี ปน เร่อื งของการรู หนาทต่ี อทกุ ขม ีอยา งเดียวคอื ปริญญา พูด
งา ยๆ ทกุ ขน ้สี าํ หรับปญ ญารู... จบแคน้ี
ถาใครเอาทกุ ขม าเขาตวั ใครทําตัวใหเปนทกุ ข แสดงวาปฏิบตั ิผิดหลัก
ไมม ที ีไ่ หนพระพุทธเจาสอนใหค นเปน ทกุ ข สอนแตใ หรเู ทาทันทุกข เพื่อจะ
แกไขได มรรคตา งหาก ท่เี รามีหนาทปี่ ฏบิ ตั ลิ งมือทําใหมใี หเ ปน
สุขตรงขา มกับทกุ ข สขุ อยูใ นอริยสัจขอไหน สุขอยูในขอ นโิ รธ คอื ในขอ
จดุ หมาย แตเราไมน ยิ มใชค ําวา สขุ เพราะสุขน้ีจะเปน สัมพัทธตลอด เปน
relative เพราะตราบใดท่ีมสี ุข กห็ มายความวา ยังมที กุ ขปนอยู คือยงั ไมพน
ทกุ ข ยงั ไมช ัดวาทุกขห มดหรอื ยงั
แตถา เมอื่ ไรทุกขไ มม ีเหลือ อันน้จี ะพดู วา สุขหรืออยางไรก็แลวแต ถา
พดู วา สขุ ก็หมายถึงสขุ สมบูรณเ ลย ไมม ที ุกขเหลืออยู
พุทธศาสนายอมรับมาตรฐานตัดสินตอเม่ือไรทุกขหรือไมมีทุกขเหลือ
เลย จุดหมายของพุทธศาสนาคอื ไมมที ุกขเ หลือเลย
นิโรธนนั้ ทแ่ี ทไ มไ ดแ ปลแคดบั ทุกข ขอใหส ังเกตวา “นิโรธ” นัน้ แปลวา
การไมเ กดิ ขน้ึ แหง ทกุ ข เพราะดบั ทุกขแ สดงวาเรามที ุกข จงึ ตอ งดบั มนั
พอเราปฏบิ ตั ไิ ปถงึ จุดหมายของพระพุทธศาสนา กถ็ ึงภาวะไรทุกข ไมมี
ทุกขเหลอื ไมมกี ารเกิดขนึ้ แหงทุกขอ กี ตอ ไปเลย
สว นในระหวางปฏบิ ตั ิ ระหวางทเ่ี ปน สมั พทั ธ ทกุ ขจะนอยลงและจะมี
สขุ มากขึ้น ฉะนนั้ สุขจึงจัดอยใู นฝายนิโรธ ในฝายจดุ หมาย กจิ หรอื หนา ท่ี
ตอ นโิ รธ คอื สจั ฉกิ ิรยิ า แปลวา ทําใหประจักษแ จง คอื ทําใหประจกั ษแ กต วั
หรือบรรลุถึง สขุ จึงเปนภาวะท่ีเรามเี พ่ิมข้ึนๆ
หมายความวา ทกุ ขเปน สิง่ ทีเ่ รารูทนั แลว กห็ าทางแก เราจะกาวไปสจู ุด
หมาย คอื มีสขุ เพม่ิ ขึ้นเรอ่ื ย ทุกขน อยลงเร่ือย จนกระท่ังหมดทกุ ข เปน สขุ ที่
แท คือ “นิพฺพานํ ปรมํ สุข”ํ นพิ พานเปนบรมสขุ
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๒๑
ระหวา งปฏิบัติเรากห็ างทกุ ขและมสี ขุ มากข้ึนเรือ่ ย
ฉะน้นั ในชวี ิตจริง คือภาคปฏิบัติ ชาวพทุ ธจงึ ตอ งมสี ขุ มากขึน้ และ
ทกุ ขน อยลงไปเร่อื ยๆ นค่ี ือการท่เี ราดูพทุ ธศาสนาในเชงิ ปฏบิ ัติ ซงึ่ เปน ชวี ิต
จริง ฝรงั่ จงึ เหน็ ชาวพุทธมคี วามสุขย้มิ แยม แจมใส
แตถ าไปอานหนงั สือเปนเชิงทฤษฎี ทคี่ นเขยี นจบั หลกั ไมช ัด พอเริ่ม
ดวยทกุ ขก อน กม็ องพทุ ธศาสนาเปน ทุกขไ ป
ทจ่ี ริงนัน้ ทง้ั หลกั การและภาคปฏบิ ตั ิของพระพทุ ธศาสนา สอดคลอ ง
เปนอนั เดียวกัน
พทุ ธศาสนิกชนตองจบั หลักเรอ่ื งกจิ หรือหนา ทต่ี ออรยิ สจั นีใ้ หไ ดวา ...
๑. ทุกข เรามหี นาที่ ปริญญา รูทัน ศึกษาใหเขาใจวามันอยทู ีไ่ หน มนั
เปนอยางไร จับตวั มนั ใหชดั เพื่อใหพ รอมท่จี ะแกไข
๒. สมทุ ัย ตัวสาเหตุของทกุ ขน้นั เราจึงมหี นา ที่ ปหานะ กําจดั แกไข
๓. นโิ รธ เรามหี นาที่ สัจฉกิ ริ ยิ า บรรลุจดุ หมายทีบ่ ําราศทุกข เปนสุข
มากข้นึ ๆ
๔. มรรค ขอ นเี้ ทา นน้ั ทเ่ี รามีหนา ท่ี ภาวนา ปฏบิ ัติลงมอื ทํา
สรุปความวา พระพทุ ธศาสนาสอนเรื่องทุกขไ วส ําหรับปญ ญารู แตส อน
เร่อื งสขุ สาํ หรบั ใหเ รามชี ีวิตเปนจรงิ อยางน้นั
พูดอยา งสัน้ วา พุทธศาสนาสอนใหร ูทันทุกข และใหอ ยเู ปนสุข
หรอื ใหสนั้ กวา นน้ั อกี วา พทุ ธศาสนาสอนใหเ หน็ ทกุ ข แตใหเปน สุข คือ
ทุกขส าํ หรับเหน็ แตสุขสาํ หรับเปน
เพราะฉะนนั้ จะตองมองพระพทุ ธศาสนาวาเปนศาสนาแหง ความสขุ ไม
ใชศาสนาแหง ความทกุ ข ฝรง่ั จบั จดุ ไมถูก กเ็ ขา ใจผิดพลาด
ขอผานไป ทงั้ หมดนต้ี ้งั เปนขอสังเกต เปนอารัมภบท
-๒-
แกน แทของพระพทุ ธศาสนา
ทนี ้ี กม็ าถงึ ตวั แกน แทข องพระพทุ ธศาสนา กเ็ อาทพ่ี ดู เปน อารมั ภบท
นนั่ แหละมาครอบคลมุ คอื สาระอยใู นเรอ่ื งทพี่ ดู ไปแลว นนั่ เอง เพราะไดพ ดู
แลว วา อรยิ สจั สคี่ รอบคลมุ หลกั การของพระพทุ ธศาสนาทงั้ หมด ไมว า จะเปน
• หลัก “เวนชวั่ ทาํ ดี ทําใจใหบรสิ ทุ ธ์ิ”
• หลัก “ธรรมทั้งปวงไมควรยึดมั่นถือม่ัน”
• หลกั “เราบัญญตั ิแตทุกขและความดับทุกข” หรือ
• หลกั “อทิ ปั ปจจยตาปฏจิ จสมุปบาท กับนพิ พาน”
ทกุ หลกั รวมอยูในหลัก อริยสจั สี่ ทั้งน้ัน
เมือ่ รวู า อะไรเปนหวั ใจของพระพุทธศาสนาแลว กเ็ ทา กับจับจดุ ไดวาจะ
ตองเจาะลงไปหาแกน ในน้นั
ขอยา้ํ วา “อรยิ สจั ” คอื หลักที่โยงความจริงในธรรมชาติ มาสูการใช
ประโยชนของมนุษย เพราะลาํ พังกฎธรรมชาติเอง มนั มอี ยูตามธรรมดา ถา
เราไมรูวธิ ีปฏิบตั ิ ไมรจู ดุ ทจ่ี ะเรมิ่ ตน ไมร ูล ําดับ เราก็สับสน
พระพุทธเจาทรงตองการใหเราไดประโยชนจากกฎธรรมชาติโดย
สะดวก จงึ นาํ มาจดั รูป ต้ังแบบ วางระบบไวให เรยี กวา “อรยิ สัจส”่ี
พระพทุ ธเจาทรงจัดวางอรยิ สจั สน่ี ้นั โดยทาํ ลาํ ดับใหเห็นชัดเจน เปนได
ทั้งวธิ ีสอน ทัง้ วธิ ีแกป ญ หา และวธิ ที ี่จะลงมือทาํ การตา งๆ เมือ่ ทาํ ตามหลกั
อรยิ สจั ส่ี ความจรงิ ของธรรมดาที่ยาก ก็เลยงา ยไปหมด
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๒๓
ความจรงิ มีอยูต ามธรรมดา
พระพุทธเจา มปี ญญา กม็ าคน พบและเปด เผย
ตอไปนีเ้ มอ่ื จะดู “แกน แทของพระพทุ ธศาสนา” กต็ อ งดทู ห่ี ลักความ
จรงิ อีก เรมิ่ ดวยขอ แรกมองวาพระพุทธศาสนามที าทีหรอื ทัศนะตอ ความจรงิ
อยางไร คือมองดโู ลก มองดธู รรมชาตแิ ละชวี ิตอยางไร พูดสนั้ ๆ วา พระ
พทุ ธศาสนามองความจรงิ ของสิ่งทั้งหลายอยา งไร
จดุ เรมิ่ ตน นช้ี ดั อยแู ลว ในพทุ ธพจน ทพ่ี ระสวดอยเู สมอในงานอทุ ศิ กศุ ล
วา “อปุ ปฺ าทา วา ภกิ ฺขเว ตถาคตานํ อนุปฺปาทา วา ตถาคตานํ ติ า ว สา ธาตุ...”
มเี นอ้ื ความวา “ตถาคตคอื พระพทุ ธเจา จะเกดิ ขนึ้ หรอื ไมเ กดิ ขน้ึ กต็ าม ความ
จรงิ กค็ งอยเู ปน กฎธรรมดา เปน ความแนน อนของธรรมชาติ วา ดงั นๆี้ ”
น่คี ือการมองความจรงิ ตามแบบของพระพุทธศาสนา พุทธพจนนเี้ ปน
หลักพนื้ ฐาน เราควรจะเริ่มตน ดว ยหลักน้ี นน่ั กค็ อื พระพทุ ธศาสนามองสง่ิ
ทงั้ หลายเปนเร่อื งของธรรมชาตแิ ละกฎธรรมชาติ เปนความจริงที่เปนอยู
อยา งน้นั ตามธรรมดาของมัน ไมเกย่ี วกับการเกิดข้ึนของพระพทุ ธเจา
ในพทุ ธพจนน เ้ี อง พระพทุ ธเจา ตรสั ตอ ไปวา “ตถาคตมารคู วามจรงิ คน พบ
ความจรงิ นแ้ี ลว จงึ บอกกลา ว เปด เผย แสดง ชแ้ี จง ทาํ ใหเ ขา ใจงา ย วา ดงั นๆี้ ”
พุทธพจนตอนนบ้ี อกฐานะของพระศาสดาวา ฐานะของพระพุทธเจา
คอื ผคู น พบความจริง แลว นาํ ความจรงิ น้นั มาเปดเผยแสดงใหปรากฏ
พระพุทธเจาไมใชเปนผูบัญญัติหรือเปนผูสรางผูบันดาลอะไรข้ึนมาจาก
ความไมม ี พระองคเ พียงแตแ สดงความจริงท่มี อี ยู การท่พี ระองคบ าํ เพ็ญ
บารมีทงั้ หลาย กเ็ พอ่ื มาตรสั รเู ขาถงึ ความจริงอันน้ที ี่มีอยูตามธรรมดา
ความจริงน้ีมีอยูตามธรรมดาตลอดเวลา ไมมีใครเสกสรรคบันดาล (ไม
มผี ูสรา ง เพราะถา มีผสู ราง ก็ตอ งมีผูทีส่ รางผูสรา งน้นั ถาผูส รางมไี ดเ อง ก็
แนนอนเลยวา สภาวธรรมก็มอี ยไู ดโ ดยไมต องมผี ูสรา ง) มนั ไมอยใู ตอาํ นาจ
๒๔ แกนแทข องพระพุทธศาสนา
บงั คับบญั ชาของใคร ไมม ใี ครบดิ ผันเปลีย่ นแปลงมันได ผใู ดมปี ญ ญาจงึ จะรู
เขา ใจและใชประโยชนมันได
ปญหาอยูที่วา เราไมม ีปญ ญาท่จี ะรู เมื่อเราไมรคู วามจรงิ ที่เรยี กวา กฎ
ธรรมชาตินี้ เราก็ปฏิบัติตอ สงิ่ ท้ังหลายไมถกู ตอ ง เพราะสง่ิ ทัง้ หลายเปนไป
ตามความจรงิ ของมนั เมอ่ื เราไมรูความจรงิ ของมนั เรากป็ ฏบิ ตั ติ อ มนั ไมถูก
จึงเกดิ ปญหาแกตวั เราเอง
เพราะฉะนนั้ การรคู วามจรงิ ของธรรมชาติจงึ เปนเร่ืองสาํ คัญอยา งย่ิง
เมอื่ เรารูแลว เรากจ็ ะปฏบิ ตั ิตอ สิ่งท้งั หลายไดถกู ตอ ง
เหมอื นกับในทางวิทยาศาสตรฝ ายวัตถุ ที่คนพบความจรงิ คอื กฎธรรม
ชาตบิ างอยา งหรอื บางสวน เมอ่ื คน พบแลว กน็ ําเอากฎธรรมชาติสวนน้ันมาใช
ทําอะไรตา งๆ ได เชน การสรางส่งิ ประดิษฐตา งๆ ต้งั แตเ รอื กลไฟ รถยนต
รถไฟ เรือบนิ ตลอดจนคอมพวิ เตอรไ ด ก็มาจากการรูความจริงของกฎ
ธรรมชาติทัง้ นน้ั เมือ่ รูแลวกจ็ ดั การมันได เอามนั มาใชป ระโยชนไ ด ถาไมรู ก็
ตัน ติดขัด มแี ตเกิดปญ หา
เร่อื งน้กี ็ทาํ นองเดียวกับวทิ ยาศาสตร แตวิทยาศาสตรเอาแคค วามจรงิ
ของโลกวัตถุ สวนพระพทุ ธศาสนามองความจรงิ ของโลกและชีวติ ทั้งหมด
รวมความวา พระพทุ ธศาสนามองความจรงิ ของสิ่งทง้ั หลายวาเปน เรอ่ื ง
ของธรรมชาติทม่ี ีอยแู ละเปน ไปตามธรรมดาของมัน แลวพระพุทธเจา มาคน
พบ แลวกท็ รงทาํ ใหเขาใจงา ยขน้ึ โดยมวี ธิ ีจัดรปู รา งระบบแบบแผนใหเ รยี นรู
ไดสะดวก และวางเปน กฎเกณฑต างๆ
น่กี ค็ อื การจบั เอาหลักการของความจรงิ น่นั เอง มาจดั เปน ระบบขนึ้ เพอ่ื
ใหงา ยตอความเขา ใจของเรา
ทีน้ี ความจรงิ ของสิ่งทัง้ หลาย หรือกฎธรรมชาตทิ ่ีวานน้ั เปนอยางไร ก็มี
ตวั อยางเชน วา ส่ิงทั้งหลายเปนอนจิ จงั ไมเท่ยี ง ไมค งที่ เกดิ ข้ึนแลวกด็ บั ไป
เปลีย่ นแปลงไปตลอดเวลา เปน ทกุ ขัง คงอยใู นสภาพเดมิ ไมไ ด และเปน
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๒๕
อนตั ตา ไมเ ปน ตวั เปนตนของใคร ทจี่ ะไปสงั่ บงั คบั ใหเปนไปตามปรารถนา
ได เราจะไปยึดถอื ครอบครองมนั จริงไมได เพราะมนั เปนไปตามเหตปุ จจัย
ของมัน หรือดํารงอยูตามสภาวะของมนั
สง่ิ ทง้ั หลายที่เรายดึ ถอื เปนตวั ตนในบัดน้ี ก็คือภาพปรากฏของเหตุ
ปจ จยั ท่ีเปน ไปตามกระบวนการของมนั เมื่อเหตปุ จ จยั มาสมั พันธกันเปน
กระบวนการ ก็แสดงผลเปน ปรากฏการณที่เราเรยี กเปนตวั เปน ตน แตแ ท
จริงแลวตวั ตนอยางนน้ั ไมม ี มแี ตเพียงภาพปรากฏช่วั คราว
สวนตัวจริงที่อยเู บ้อื งหลงั กค็ ือกระบวนการแหง ความสัมพนั ธกนั ของ
สงิ่ ทงั้ หลายท่คี ืบเคล่ือนไปเรอื่ ยๆ เมือ่ เหตปุ จ จัยเหลานีส้ ัมพันธกนั แลวคบื
เคลอ่ื นตอไป ภาพตัวตนท่ปี รากฏนั้นกจ็ ะเปล่ยี นแปลงไป
ดงั นน้ั ตวั ตนทแ่ี ท ทยี่ ง่ั ยนื ตายตวั ทจี่ ะยดึ ถอื ครอบครองบงั คบั บญั ชา
อะไรๆ ได จงึ ไมม ี (คาํ วา “อตั ตา”กค็ อื ตวั ตนทเี่ ทย่ี งแทย ง่ั ยนื ตายตวั ตลอดไป)
มนั (อตั ตา)ไมมี เพราะมีแตภาพรวมของปรากฏการณท่ีเกดิ จากความ
สัมพันธข องส่ิงท้ังหลายในกระบวนการของมนั เรยี กวาเปน เพียงสภาวธรรม
ไมเปน ตัวตนของใคร
ถา เขา ใจเชน นี้แลวกจ็ ะเห็นวา ออ ... อะไรกต็ ามทีป่ รากฏเปน ตวั เปนตน
ก็คือสิง่ ทีเ่ ปนปรากฏการณช ั่วคราว หรอื สงิ่ ท่ดี ํารงอยตู ามสภาวะของมนั เทา
น้ัน ซง่ึ เราจะตองรูทนั
ถา จะรคู วามจรงิ ของปรากฏการณ เราตอ งสบื สาวดกู ระบวนการของเหตุ
ปจ จัยท่อี ยเู บอื้ งหลงั แลวเราจะเหน็ ความจรงิ และไมยึดติดอยูก ับตวั อัตตานี้
นคี้ อื ความเปนจรงิ ของกฎธรรมชาติ ซึง่ พระพทุ ธเจา ไดท รงสอนเร่ือง
“ไตรลกั ษณ” ข้ึนไวเปนหลกั ท่เี ดน วา …
สิ่งท้งั หลายน้ี อนจิ จฺ ํ ไมเ ทยี่ ง เกดิ ข้นึ แลวกด็ บั หาย มีความเปล่ยี น
แปลง ทุกฺขํ คงอยใู นสภาพเดมิ ไมได อยูใ นภาวะขดั แยง ถาคนเขา ไปเก่ยี ว
ของดว ยความอยาก มันกฝ็ นความปรารถนา แลวก็ อนตฺตา ไมเ ปนตัวตน
๒๖ แกนแทข องพระพทุ ธศาสนา
ของใครได ใครจะยึดถือครอบครองสง่ั บังคับไมไ ด เพราะมันเปนไปตามเหตุ
ปจจัยของมัน หรอื ดํารงอยูตามสภาวะของมนั
เมื่อคนไมร ูทนั ความจรงิ ของธรรม
เขาก็นาํ ทุกขใ นธรรมชาติมาสรางใหเ ปนทุกขข องตัวเอง
สาํ หรบั ทุกขฺ ํ ในไตรลักษณน ี้ เรามกั ไปมองคาํ วาทกุ ขเ ปน ความเจ็บ
ปวดเสีย ทจ่ี รงิ ทุกขเปนสภาพตามธรรมดาของสง่ิ ท้งั หลาย หรอื เปน สภาวะ
ตามธรรมชาติ คืออาการทส่ี ิง่ ท้ังหลายไมสามารถคงอยใู นสภาพเดิม
บางทแี ปลวา stress หรอื conflict คอื ภาวะทมี่ นั มกี ารเปลยี่ นแปลงไป
ตามเหตุปจ จัยหรอื องคประกอบตา งๆ ทเ่ี กิดดบั บีบคนั้ ขดั แยง กนั อยูตลอด
เวลา แลว ทุกขกเ็ ปน ภาพรวมท่เี กดิ จากความสมั พนั ธระหวา งสง่ิ เหลา นั้น
ส่ิงท้ังหลายเปน องครวม ทเี่ กิดจากองคป ระกอบตา งๆ มาประชุมกัน
เมอื่ องคป ระกอบแตล ะอยา งเกดิ ขน้ึ ดบั ไป เปลย่ี นแปลงตลอดเวลา องคร วมนน้ั
จงึ ไมส ามารถคงสภาพเดมิ อยไู ด เพราะเมอื่ องคป ระกอบแตล ะอยา งนนั้ เปลย่ี น
แปลงไป กจ็ ะเกดิ การขดั แยง กนั เปน ความกดดนั ภายใน แลว กจ็ ะตอ งคงอยไู มไ ด
สภาพทีข่ ัดแยง ฝน กดดัน คงอยูไมไ ดท้ังหมดนี้ เรยี กวา “ทุกข” ซ่งึ
เปนสภาวะธรรมชาติในส่งิ ทัง้ หลาย เมอื่ เราใชศัพทน ก้ี บั ภาวะในใจคน ก็จะมี
ความหมายวาเปนภาวะทจี่ ิตถกู กดดันบีบคน้ั ก็คืออนั เดียวกนั
จะเห็นวา ทกุ ขท่มี ีอยูใ นธรรมชาติ ในส่งิ ทงั้ หลายน้ี ก็มีความหมายหนง่ึ
คลายๆ กบั ทกุ ขใ นใจของเรา ทุกขในใจของเราก็คอื ภาวะทถ่ี ูกบีบค้นั กดดนั
ขัดแยง ไมสบาย ทนไมไหว ทนี ใ้ี นสิง่ ทงั้ หลาย ทกุ ขก ค็ ือภาวะท่จี ะตองผนั
แปรเปล่ยี นแปลงไป เกิดความขดั แยง กดดัน ทนอยไู มได
สวน อนตตฺ า กอ็ ยา งท่ีพูดไปแลววา คอื ดํารงอยูหรอื เปนไปตามสภาวะ
ของมันอยางนัน้ ๆ ซ่ึงใครจะไปยึดถือยดึ ครองเปน ตัวเปนของตัวอยา งใดไม
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๒๗
ไดจริง ถาเปนสงั ขาร กเ็ ปนเพียงภาพรวมของปรากฏการณแ หง กระบวนการ
ของการเปล่ียนแปลง มใิ ชเปน ตวั ตนท่ยี ่งั ยนื มน่ั คงอยูอยางนัน้ ตลอดไป
เรอื่ งนก้ี ท็ าํ นองเดยี วกบั กฎทางวทิ ยาศาสตร ซง่ึ มอี ยตู ามธรรมดาในธรรม-
ชาติ ไมวาใครจะรหู รือไม ใครมปี ญ ญาสามารถ ก็คนพบแลวกเ็ อามาบอกกนั
เรื่อง อนจิ จฺ ํ ทุกขฺ ํ อนตฺตา น้ีพระพทุ ธเจา ก็ตรสั วา เปน ความจรงิ ทม่ี อี ยู
ตามธรรมดาของมนั ไมเ กี่ยวกับพระพทุ ธเจาจะเกดิ หรอื ไมเกิด พระพทุ ธเจา
ทรงเปนผมู าคนพบ เปดเผย อธบิ าย วางเปนระบบไว
ตรงนแ้ี หละที่มาโยงเขากับอริยสจั คอื เม่ือส่ิงทง้ั หลายท้งั โลก รวมทง้ั
ชวี ิตของคนเรานี้ เปน ธรรมชาตสิ ว นหนึ่งๆ มนั กเ็ ปน ไปตามกฎธรรมชาตินี้ ท่ี
วา มีความไมเทีย่ ง เปล่ียนแปลงทุกเวลา มคี วามกดดนั ขดั แยงภายใน คง
สภาพเดิมอยไู มไ ด และเปนไปตามเหตุปจจัย ปรากฏรูปลกั ษณไ ปตา งๆ ยัก
ยา ยไปตามเหตุปจ จัยทส่ี มั พันธกันน้นั อยา งรางกายของเราน้กี เ็ ปลยี่ นไป
ตอนเปนเด็กหนาตาอยา งหนึง่ อายมุ ากขึน้ มาก็เปลีย่ นไปอีกอยางหนึ่ง
เมอื่ สง่ิ ทงั้ หลายเปน อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา ตามธรรมดาของมนั อยา งน้ี ก็
มีคําถามวา มนุษยจ ะเขา ไปเกยี่ วของกบั มันอยางไร คือจะปฏิบตั หิ รือ
สมั พันธกบั ธรรมชาติ กบั โลก กบั ชีวติ ท่ีเปน ไปตามกฎธรรมชาตนิ ้นั อยางไร
มนุษยอ าจจะสมั พันธกับมันดวยอวชิ ชา ตัณหา อุปาทาน
อวชิ ชา คือภาวะท่ขี าดความรูความเขา ใจ ไมร ทู นั ความจรงิ ของสงิ่ น้นั ๆ
ตณั หา คอื ความอยากความปรารถนาตอ สง่ิ ตา งๆ โดยไมร ทู นั ความจรงิ ของมนั
อปุ าทาน คอื การเขา ไปยดึ มั่นถอื มัน่ ใหเ ปนอยา งทตี่ ัวตองการ เอา
ความปรารถนาของตนเปน ตัวกาํ หนด
ถามนุษยเขาไปสมั พนั ธก บั สิ่งทั้งหลาย หรือพูดงายๆ วาสัมพนั ธกับโลก
และชวี ติ ดวยอวชิ ชา ตณั หา อปุ าทาน กจ็ ะเกิดปญหาข้ึนกับชีวิตของตวั เอง
ทันที ทกุ ขท่เี ปน สภาพอยใู นธรรมชาตติ ามธรรมดาของมนั คือเปนความขดั
แยง คงอยูไมไ ด ในส่งิ ทจ่ี ะตองเปลีย่ นแปลงคืบเคล่ือนนัน้ ก็จะเกิดเปน
๒๘ แกน แทของพระพทุ ธศาสนา
สภาวะทกี่ ดดัน ขดั แยง ขึน้ ในจิตใจของมนุษย ตอนน้ี ทกุ ขใ นธรรมชาติท่ีมี
อยูตามธรรมดา กลายมาเปน “ทกุ ข” ปรุงแตง ในใจของเรา
ทจ่ี ริงมันเปนทกุ ขอยูตามธรรมดาในธรรมชาติ แตเ มอ่ื เราไปสมั พนั ธ
ปฏบิ ัตติ อ มนั ไมถ ูก จงึ เกดิ เปนทกุ ขใ นใจของเราข้ึนมา และเมือ่ สบื คนดู ก็
จะรวู า อวิชชา ตณั หา อปุ าทาน เปน ตัวกาํ หนดความสมั พันธของเราในกรณี
น้ี ตวั น้ีแหละทีท่ านวา เปน “สมทุ ยั ” คอื เหตุแหง ทุกข ตอนนีส้ มุทยั มาแลว
สมุทัยน้ี ถาตรัสแคบ ทบาทหนา โรง ก็เอาตัณหาเปน ตวั แสดง แตถ า
ตรสั แบบเตม็ โรง จะทรงยกเอาอวิชชาเปนตัวกาํ กับหลังโรง ขอใหด เู วลาตรสั
วา อะไรคือสมทุ ัย พระพทุ ธเจา ตรสั ไว ๒ แบบ
แบบท่ี ๑ ตรสั วา สมทุ ยั ไดแกตัณหา คอื อธิบายงา ยๆ สน้ั ๆ วา “สิ่งทั้ง
หลายมนั ไมเ ปนไปตามใจอยากของคุณหรอก เม่อื คณุ สมั พันธกบั มนั ดว ย
ความอยาก คณุ ก็ตอ งเปน ทุกขเ อง”
แตเ บ้อื งหลังตัณหา คอื ความอยาก หรอื ความตามใจตวั น้ี ตวั การทีแ่ ท
ก็คือความไมรูเทาทันความจรงิ ซึง่ เปน เงอื่ นไขเปดชอ งใหปจจัยตางๆ เขามา
หนุนกันในการทีจ่ ะใหป ญหานน้ั เกิดข้ึน เพราะฉะนนั้
แบบที่ ๒ จงึ ตรัสแบบกระบวนการทเ่ี ร่ิมตนจากอวชิ ชาวา อวชิ ชาเปน
ปจ จยั พน้ื ฐานของปญ หาหรอื ทกุ ข สมทุ ยั ทแี่ ทจ รงิ เปน กระบวนธรรม (ธรรมปวตั ต)ิ
ตามกฎปฏิจจสมปุ บาทวา อวิชชฺ าปจจฺ ยา สงฺขารา … ซึง่ ประมวลวาท้งั หมดน้ี
คอื สมทุ ัยแหงทกุ ข
ตอนนจ้ี ะเหน็ ไดว า กฎธรรมชาตมิ าสมั พนั ธกบั มนษุ ยแลว
ตอนแรก พูดเริม่ จากกฎธรรมชาติกอ นวา ความจริงของธรรมชาติ มนั
มีอยตู ามธรรมดาของมัน ส่งิ ทั้งหลายดาํ เนนิ ไปตามกฎธรรมชาตนิ ้นั เปน
อนจิ ฺจํ ทุกฺขํ อนตตฺ า
ตอนนี้ มาถงึ คน คอื ในการทคี่ นเขา ไปเกยี่ วขอ งกบั สง่ิ เหลา นนั้ ถา เกยี่ ว
ขอ งโดยมอี วชิ ชา ตณั หา อปุ าทาน เปน ตวั กาํ หนด กจ็ ะเกดิ ปญ หา มที กุ ขข น้ึ มา
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๒๙
อันน้คี อื อรยิ สัจขอ ท่ี ๑ และขอ ท่ี ๒ คอื การสมั พันธกบั สิ่งท้ังหลายซงึ่ มี
ศักยภาพที่จะใหเ กดิ ทุกข ดว ยอวชิ ชา-ตณั หา-อุปาทาน ซง่ึ เปนสมุทัยคอื ตัว
เหตุ แลวก็เกิดทกุ ขในตวั คนขน้ึ มา คอื กาวจากทกุ ขในสง่ิ ทงั้ หลายท่มี อี ยูตาม
ธรรมชาติ มาเปน ทกุ ขใ นใจของเรา
นคี่ อื วธิ พี ูดแบบยอนกลบั โดยเอากฎธรรมชาติเปนจุดเรมิ่ ตน โดยเร่มิ ที่
สมุทยั คอื มนุษยไ ปสัมพันธกับสิง่ ทง้ั หลายไมถกู ตอง โดยสมั พันธดว ย
อวชิ ชา-ตณั หา-อุปาทาน กเ็ กดิ เปน ทกุ ข ข้ึนมา
เมือ่ มปี ญ ญารคู วามจริง กเ็ ลกิ พ่งึ พงิ ตัณหา
หันมาอยดู ว ยปญญา ท่เี อาประโยชนไ ดจ ากธรรม
ในทางตรงขาม ถาเรารทู นั ความจริงของโลกและชวี ติ แลว เปลย่ี นวธิ ี
สัมพันธเ สียใหม เราไมส มั พนั ธด ว ยอวชิ ชา-ตัณหา-อปุ าทาน แตเปลยี่ นจาก
อวิชชาเปน วชิ า และสมั พันธกับส่ิงทั้งหลายดว ยปญญา สมทุ ัยก็หายไป
กลายเปนนิโรธ
พออวิชชา-ตัณหา-อุปาทาน หายไปปบ สมุทัยหายไป ทกุ ขก ห็ ายไป
ดว ย กลายเปนนโิ รธดบั ทกุ ขหมด หรือทุกขไ มเ กิดขนึ้ เลย
ดงั น้นั วิธีแกไ ขกค็ ือการพฒั นามนุษยใ หมีปญญา จนกระทง่ั หมด
อวชิ ชา-ตณั หา-อุปาทาน เพราะฉะนนั้ จงึ ตอ งทาํ ใหเ กิดวิชา เพื่อใหสามารถ
ดาํ รงชวี ิตโดยอาศัยตณั หานอ ยลงตามลาํ ดับ จนกระท่งั อวชิ ชาหมดไป เมื่อ
หมดอวชิ ชาแลว ก็คอื นโิ รธ ไมมที ุกขเกดิ ขนึ้ อีก
จากกฎธรรมชาตโิ ยงมาถงึ อริยสัจ เขา ใจวาชัดพอสมควร ถา ไมช ัด
กรณุ าถามดวย
ยอ นอีกทหี นึง่ วา กฎธรรมชาตมิ ีอยเู ปนธรรมดาของสงิ่ ทัง้ หลายที่เกิด
ดบั เปล่ยี นแปลงไป คงสภาพเดิมไมได เปน ปรากฏการณท ปี่ รากฏภาพออก
๓๐ แกน แทข องพระพทุ ธศาสนา
มาตามเหตุปจ จยั ของมัน เปน ไปตามธรรมดาอยางน้ี
เมอื่ มนษุ ยอ ยใู นโลก กต็ อ งไปสมั พนั ธเ กยี่ วขอ งกบั สงิ่ เหลา นนั้ ถา เรา
สมั พนั ธไ มถ ูก คือใชอ วชิ ชา-ตัณหา-อปุ าทาน ก็เกิดปญ หาทันที คอื เกดิ เปน
ทุกขขน้ึ มา
เพราะฉะน้นั พระพุทธเจา จึงสอนใหเรามคี วามสัมพันธท ่ถี กู ตอ ง ใหใ ช
ปญ ญาที่จะปฏบิ ัติตอสิง่ เหลาน้ัน ดว ยความรูเขา ใจ จนกระทงั่ ไมต อ งอาศยั
อวิชชา-ตัณหา-อปุ าทาน
เมอ่ื เราพัฒนาปญ ญาจนถงึ ท่สี ุด เรากจ็ ะพน จากอวิชชา-ตัณหา-
อุปาทาน เราก็เปน อสิ ระ กค็ อื ถึง นิโรธ
แตในการที่จะมปี ญ ญา จนหมดอวชิ ชา-ตัณหา-อปุ าทานน้นั มนษุ ยก ็
ตองพฒั นาตัวเอง ซงึ่ กค็ ือมรรคนน่ั เอง
มรรค ก็คอื กระบวนวิธพี ัฒนามนษุ ยไ ปสูการมีปญญา จนกระทั่งไม
ตองอาศัยอวชิ ชา-ตัณหา-อปุ าทาน ในการดาํ เนินชวี ติ แตเ ปน อยูดวยปญญา
พอถึงตรงนก้ี จ็ บเรือ่ งของอรยิ สจั
เพราะฉะนัน้ จงึ พดู ไดว า พระพุทธศาสนาสอนเร่ืองธรรมชาติ กบั การที่
มนษุ ยไ ปสัมพนั ธก บั ธรรมชาติ เทานัน้ เอง พูดอีกอยา งหนึ่งกค็ อื
๑. ความจรงิ ของธรรมชาติ หรอื กฎธรรมชาติ
๒. การรูเขาใจความจริงนั้น แลว นาํ มาใชประโยชน แตเปนประโยชน
ของตวั ชีวติ เอง ท่ีจะใหชวี ิตของเราหมดปญหาอยา งแทจ ริง
พดู อกี อยางหน่ึงวา พทุ ธศาสนามีเทานี้ คือ
๑. ความจริงของธรรมชาติ หรือกฎธรรมชาติ ซึง่ เราตอ งเรียนรู และใช
ประโยชนโ ดยปฏบิ ัติใหถ กู ตอ ง
๒. มนุษยเปน ผเู รยี นรเู ขาใจความจรงิ นี้ และใชประโยชนจากความรู
นนั้ เราจึงตอ งศกึ ษาธรรมชาติของมนษุ ยด ว ย
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๓๑
ธรรมชาติของมนุษยนัน้ พเิ ศษในแงดี คือ
มนษุ ยเ ปน สตั วท ศี่ ึกษาใหม ปี ญ ญาได
ตอนน้ีพูดกนั มาถึงมนุษย วา เม่อื มนุษยจะตอ งปฏิบัตติ อ กฎธรรมชาติ
เราก็ตองรจู กั ธรรมชาตขิ องมนษุ ยดว ยวา เปนอยา งไร เชนใหร ูว าธรรมชาติ
ของมนษุ ยนี้สามารถมีปญ ญาทีจ่ ะหมดอวชิ ชา
เปนไปไดห รอื ไมทีม่ นษุ ยจ ะอยไู ด โดยไมต องพง่ึ พาอาศัยอวิชชา-
ตัณหา-อปุ าทาน ถา เปนไปไมไ ด การแกป ญหากเ็ ปน ไปไมได
ถา มนษุ ยไ มสามารถพัฒนาใหมปี ญญา เรากต็ องอยกู ับอวชิ ชา-ตัณหา-
อุปาทาน ตลอดไป และตอ งยอมรบั วา จะตองเปนทุกขตลอดไปดว ย ฉะนัน้
เราจึงมาศกึ ษาธรรมชาตขิ องมนุษย คอื นอกจากรูธรรมชาติของส่งิ ท้งั หลาย
ท้งั โลก ทง้ั ระบบ กม็ ารูธรรมชาติของตวั มนุษยเองดว ย
คราวนี้กม็ าพดู ถึงธรรมชาติของมนษุ ย ซ่งึ ตอ งพูดเปน ๒ ระดบั
ระดบั ที่ ๑ มนุษยก ็เปนธรรมชาติสว นหน่งึ ของระบบธรรมชาตทิ ้งั หมด
ยํา้ วา เปน ธรรมชาติเพียงสว นหน่งึ เทา น้นั เพราะฉะนั้น ชีวิตของมนษุ ยจงึ
ตอ งเปน ไปตามกฎธรรมชาติ เชน เดยี วกบั ธรรมชาติอยางอ่นื ๆ
ถา เราแยกเปนโลกและชวี ิต ชวี ติ ของเรากเ็ ปนไปตามกฎธรรมชาติใหญ
อันเดยี วกันกับกฎธรรมชาตทิ คี่ รอบงาํ โลกทัง้ โลกอยู คือเปน อนจิ จงั ทุกขงั
อนตั ตา ตอ งเปลย่ี นแปลงไป คงอยูในสภาพเดิมไมไ ด และปรากฏรปู ข้นึ
มาตามกระบวนการของเหตปุ จจยั ที่สมั พันธก นั นน้ั
นค่ี อื ธรรมชาตขิ องมนษุ ยด า นหนงึ่ ทเี่ ปน ชวี ติ เปน สว นหนงึ่ ของธรรมชาติ
ระดบั ที่ ๒ ธรรมชาติพเิ ศษท่ีเปน สวนเฉพาะของมนุษย ตรงนแี้ หละ
เปนจุดสําคัญท่ีจะกาวไปสูข้ันท่ีจะตอบไดวาจะสามารถแกปญหาขางตนได
หรือไม คอื มนษุ ยส ามารถมปี ญญา ทจี่ ะมชี วี ติ โดยไมต องพง่ึ พาอวชิ ชา-
ตัณหา-อปุ าทาน ไดหรอื ไม
๓๒ แกน แทข องพระพทุ ธศาสนา
ธรรมชาตขิ องมนษุ ยตรงนี้ ถอื เปนฐานของพระพทุ ธศาสนาเลยที
เดียว
ธรรมชาตสิ วนพเิ ศษของมนษุ ย คือเปนสตั วทฝี่ กได ตรงนส้ี าํ คัญมาก
ถา พดู อยา งภาษาสมยั ใหมก ใ็ ชค าํ วา “เปน สตั วท พี่ ฒั นาได” ไมใ ชจ มอยกู บั ที่
แตเ ปลยี่ นแปลงไดในเชงิ คุณภาพ หรือเรียกวาเปนสัตวพ เิ ศษก็ได
พเิ ศษคอื แปลกจากสัตวชนิดอนื่ คอื สัตวช นดิ อื่นไมเหมอื นมนษุ ย สตั ว
มนษุ ยน้ีแปลกจากสตั วอน่ื แปลกหรอื พิเศษอยางไร พเิ ศษในแงท ่ีวาสตั วอ น่ื
ฝก ไมไดหรอื ฝก แทบไมได แตมนุษยน้ีฝกได
คําวา “ฝก ” นี้พดู อยางสมยั ใหมไดแกคําวา เรยี นรูแ ละพัฒนา พูดตาม
คําหลกั แทๆ คือ ศกึ ษา หรือสกิ ขา พูดรวมๆ กนั ไปวา เรยี นรูฝ กหดั พัฒนา
หรอื เรียนรฝู กศึกษาพฒั นา
พูดสั้นๆ วา มนุษยเปนสัตวที่ฝก ได และตองฝก
สตั วอื่นแทบไมตอ งฝก เพราะมนั อยไู ดดวยสัญชาตญาณ พอเกดิ มา
ปบ เรยี นรจู ากพอ แมนิดหนอ ย เด๋ียวเดียวมันกอ็ ยูร อดได
อยางลูกวัวคลอดออกมา ๒-๓ นาทีลกุ ข้นึ เดนิ ได ไปกับแมแลว หา น
ออกจากไขเชา วันน้ัน พอสายหนอ ยว่ิงตามแมมนั ลงไปในสระเลย วิ่งได วาย
นา้ํ ได หากนิ ตามพอตามแมมนั เลย
แตม ันอยูไดดว ยสญั ชาตญาณ เรียนรูไ ดน ิดเดียว แคพอกนิ อาหาร
เปน ตน แตตอจากนน้ั มันฝก ไมได เรียนรูไมไ ด เพราะฉะน้ันมนั จึงอยูดวย
สัญชาตญาณตลอดชวี ิต เกิดมาอยางไรกต็ ายไปอยา งนน้ั
แตมนุษยนตี้ องฝก ตองเรียนรู ถา ไมฝ ก ไมเ รียนรู ก็อยไู มไ ด ไมต อง
พดู ถงึ จะอยูดี แมแ ตรอดก็อยไู มได มนุษยจ ึงตอ งอยกู ับพอแม อยกู ับพ่ี
เลยี้ งเปนเวลานับสิบป
พอออกมาดโู ลก มนษุ ยท ําอะไรไมไ ดเ ลย ตอ งเรยี นรูทุกอยา ง กนิ ก็
ตองเรียนรู ตอ งฝกตอ งหัด นั่ง นอน ขับถา ย เดิน พดู ตอ งฝกตอ งเรยี นรู
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๓๓
ทงั้ หมด น่คี ือธรรมชาติของมนุษย เปน สตั วท ี่ตอ งหัดตองฝก ไปทุกอยา ง
มองในแงน้ีเหมือนเปนสัตวท ่ีดอย
แตเ มอื่ มองในแงบวก คือเรียนรไู ด ฝกได ตอนนี้เปนแงเดน คือพอฝก
เริ่มเรยี นรู คราวนีม้ นษุ ยก็เดินหนา มีปญญาเพม่ิ พนู ขน้ึ พดู ได ส่ือสารได มี
ความคิดสรางสรรค ประดษิ ฐอะไรๆ ได
มนษุ ยสามารถพฒั นาโลกแหงวตั ถุ เกดิ เทคโนโลยีตางๆ มีความเจริญ
ทั้งในทางนามธรรม และทางวตั ถุธรรม มศี ลิ ปวิทยาการ เกิดเปนวฒั นธรรม
อารยธรรม จนกระทั่งเกดิ เปน โลกของมนษุ ย ซอ นขน้ึ มาทามกลางโลกของ
ธรรมชาติ
สตั วอน่ื ท้งั หลาย มหี รือไมทส่ี ามารถสรางโลกของมันตางหากจากโลก
ของธรรมชาติ... ไมม ี มนั เกิดมาดวยสัญชาตญาณอยา งไร ก็ตายไปดวยสญั
ชาตญาณอยา งนนั้ หมนุ เวียนกนั ตอไป
แตมนษุ ยเปน สตั วพ เิ ศษ คือตองฝก ตอ งเรยี นรู และเรยี นรูไ ด ฝก ได
พระพุทธศาสนาจับความจรงิ ของธรรมชาติขอนี้เปนหลักสําคัญทีส่ ุด จึง
ใหกาํ ลงั ใจกบั มนษุ ยวา มนุษยท่ีฝกแลว นนั้ เลศิ ประเสรฐิ จนกระท่ังแมแต
เทวดาและพรหมก็นอมนมสั การ ดังคาถาวา
มนุสสฺ ภูตํ สมฺพุทธฺ ํ อตฺตทนฺตํ สมาหติ ํ
เทวาป นํ นมสสฺ นตฺ ิ … … … … …
แปลวา “พระพทุ ธเจา ทั้งท่เี ปน มนษุ ยนี่แหละ แตท รงฝกพระองคแ ลว
มีพระหฤทยั ที่อบรมมาอยา งดี แมเทพทงั้ หลายก็นอ มนมสั การ”
คาถาน้เี ปน การเตือนมนษุ ยและใหก ําลงั ใจวา ความดีเลิศประเสรฐิ ของ
มนุษยน ั้น อยูท ่กี ารเรยี นรูฝ ก ศกึ ษาพัฒนาตนข้นึ ไป มนุษยจะเอาดีไมไ ดถา
ไมม ีการเรียนรฝู กฝนพัฒนาตน เพราะฉะนัน้ เราจงึ พดู เตม็ วา
“มนษุ ยเ ปนสตั วป ระเสรฐิ ดว ยการฝก ”
เราจะไมพ ดู ทง้ิ ชองวางวามนษุ ยเ ปนสัตวประเสริฐ ซึ่งเปนการพูดท่ขี าด
๓๔ แกนแทของพระพทุ ธศาสนา
ตกบกพรอง
เราพูดไดแ คว า มนุษยเ ปนสัตวพเิ ศษ หมายความวา เปนสตั วที่แปลก
จากสตั วอน่ื “พิเศษ” แปลวา แปลกพวก ไมไดห มายความวา ดหี รอื รา ย
แต “ประเสรฐิ ” นี่คอื ดี ซึ่งมีหลักความจริงวา มนุษยไ มไดประเสริฐเอง
ลอยๆ ตอ งประเสริฐดวยการฝก ถา ไมฝกแลว จะดอ ยกวาสตั วด ิรัจฉาน จะ
ต่าํ ทรามยิง่ กวา หรือไมก ท็ าํ อะไรไมเปนเลย แมจะอยูรอดกไ็ มไ ด
ฉะนน้ั ความประเสริฐเลศิ ของมนษุ ยจงึ อยทู กี่ ารฝกฝนพัฒนาตน และ
อันนเี้ ปน ความเลิศประเสรฐิ ท่ีสัตวท ั้งหลายอ่ืนไมม ี สัตวอ ่ืนอยางดีกฝ็ ก ได
บางเลก็ นอย เชน ชาง มา เปน ตน และมนั ฝก ตวั เองไมไ ด ตองใหมนุษยฝก
๑. ตอ งใหมนษุ ยฝก ให
๒. แมมนษุ ยจ ะฝก ให ก็ฝก ไดใ นขอบเขตจาํ กดั เรียนรไู ดไมม าก
แตมนษุ ยฝก ตัวเองได และฝก ไดแ ทบไมมีทีส่ ิ้นสุด
บนฐานแหงธรรมชาตมิ นษุ ยผูเปนสัตวตอ งศกึ ษา
พระพทุ ธเจา ทรงตั้งหลกั พระรตั นตรยั ขึน้ มา
หลกั พระพุทธศาสนาตรงน้ีสําคัญทสี่ ุด เพราะมนษุ ยฝกได ฝกตนเอง
ได และเมอื่ ฝกแลว ประเสรฐิ สดุ การท่ียกพระรตั นตรยั ข้นึ มาตั้งเปนหลกั ก็
เพราะความจรงิ ขอ น้ี คือ
ก) พระพทุ ธเจา ทรงเปน ตนแบบ โดยเปนสรณะ คือเปนเครอื่ งเตอื นใจ
ใหร ะลึกวา อันตัวเรานก้ี เ็ ปน มนษุ ยผ ูหนง่ึ พระพทุ ธเจา เมอื่ กอ นทจ่ี ะทรงฝก
พระองคก เ็ ปน มนษุ ยอยา งพวกเรานี้ เราจงึ มีศกั ยภาพท่ีจะฝก ใหป ระเสริฐ
อยางพระพุทธเจา ได
พระพุทธเจา ทรงเปนผปู ระเสรฐิ เลศิ สูงสุด ไดต รัสรสู ัจธรรม มีพระคุณ
สมบัตสิ มบูรณทุกประการ การท่ีทรงมพี ระคณุ สูงเลิศอยางน้ันได ก็เพราะได
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๓๕
ทรงฝกพระองค ดงั ทเี่ รียกวาทรงบําเพ็ญบารมมี ากมายจนเต็มบรบิ รู ณ
เราจึงตั้ง “พทุ ธะ” ขน้ึ มาเปนแมแ บบวา ดสู ิ มนุษยผฝู กดีถึงท่ีสดุ แลว
พฒั นาดีแลว จะมีปญ ญารสู ัจธรรม บรสิ ุทธห์ิ ลุดพน เปน อิสระ อยูเหนือโลก
ธรรม มีความสขุ มชี ีวติ ทด่ี ีงาม มคี ุณธรรมความดงี ามท่สี มบรู ณ เปนท่ีพ่งึ
ของชาวโลก เลศิ ประเสริฐขนาดน้ี
พอระลกึ อยา งนีก้ เ็ กดิ ศรัทธาทเ่ี รยี กวา ตถาคตโพธสิ ัทธา คอื เชอื่ ใน
ปญ ญาตรสั รูของพระพุทธเจา ซง่ึ กม็ คี วามหมายตอ ไปอีกวา เช่ือในปญญาที่
ทําใหม นษุ ยกลายเปนพทุ ธะ เพราะฉะนัน้ การที่ถือเอาพระพุทธเจา เปน
สรณะนั้น ความหมายอยทู ีน่ ี่ คอื
๑. ทาํ ใหเ กดิ ศรทั ธาทโ่ี ยงตวั เราเขา ไปหาพระพทุ ธเจา วา จากความเปน มนษุ ย
อยา งเรานี้ พระองคไ ดบ าํ เพญ็ บารมฝี ก ฝนพระองคจ นเปน พระพทุ ธเจา เรากเ็ ปน
มนษุ ยเ ชน เดยี วกนั ถา เราฝก ตนจรงิ จงั ใหถ งึ ทส่ี ดุ เรากจ็ ะเปน อยา งพระองคไ ด
ทําใหเราเกิดความมั่นใจวาเรามศี ักยภาพที่จะฝก ใหเปน อยางพระพทุ ธเจาได
๒. เตือนใจใหร ะลึกถึงหนาทขี่ องตนเองวา เราเปน มนุษย ซึง่ จะดีเลิศ
ประเสริฐได ดวยการฝก ฝนพฒั นาตน การฝกฝนพัฒนาตน เปน หนา ทแ่ี หง
ชวี ิตของเราหรือของชีวิตท่ดี ี เราจะตอ งฝกศกึ ษาพัฒนาตนอยูเ สมอ
๓. ใหเ กดิ กาํ ลงั ใจวา การฝก ฝนพฒั นาตนนี้ พระพทุ ธเจา ไดท รงทาํ มาจน
สาํ เรจ็ ผลสมบรู ณแ ลว เปน ตวั อยา ง พระองคท าํ ได แสดงวา เรากส็ ามารถทาํ ได
แมว า การฝก ศกึ ษานนั้ บางครง้ั จะยากมาก อาจทาํ ใหเ ราชกั จะยอ ทอ แตเ มอื่
ระลึกถึงพระพุทธเจาวาพระองคเคยประสบความยากลาํ บากมากกวาเรานัก
หนา พระองคก ก็ า วฝา ผา นลลุ ว งไปได เรากจ็ ะเกดิ กาํ ลงั ใจทจ่ี ะฝก ตนตอ ไป
๔. ไดว ธิ ลี ดั จากประสบการณข องพระองค พระพทุ ธเจา ทรงปฏบิ ตั มิ า
ลาํ บากยากเยน็ อยา งยง่ิ ตอ งลองผดิ ลองถกู บาํ เพญ็ บารมกี วา จะเปน พทุ ธะได
เมอื่ พระองคต รสั รแู ลว กท็ รงประมวลประสบการณข องพระองคม าวางเปน หลกั
เปน ลาํ ดบั สอนเราใหเ ขา ใจงา ยขนึ้ เทา กบั บอกวธิ ลี ดั ใหเ ราสาํ เรจ็ รปู จากประสบ
๓๖ แกน แทข องพระพุทธศาสนา
การณข องพระองค ซงึ่ เราเอามาใชไ ดท นั ที ไมต อ งยากลาํ บากอยา งพระองค
การระลึกถึงพระพทุ ธเจา เปน สรณะไดป ระโยชนถ ึง ๔ ประการอยา งนี้
เราจึงตั้งพระพุทธเจาเปน องคแรกของรัตนตรยั เปน สรณะขอ ที่ ๑
ข) เมือ่ ระลกึ ถึงพระพุทธเจาเปน แมแ บบแลว กค็ ิดจะฝกศึกษาพัฒนา
ตน ทนี กี้ ารทจ่ี ะพฒั นาตวั เองได ก็ตองรหู ลักรคู วามจริงของกฎธรรมชาตคิ อื
ธรรมะ และตองปฏิบตั ิตามธรรมนน้ั
เพราะฉะนัน้ พระพุทธเจาจงึ เปน จดุ เรมิ่ ท่ีนําเราเขาไปสธู รรมะ พดู งา ยๆ
วา จากพทุ ธะโยงไปหา “ธรรมะ” ซ่ึงกค็ อื ตวั ความจรงิ ของธรรมชาตทิ ม่ี นษุ ย
จะตอ งรแู ละนํามาใชป ฏบิ ัติ
ค) อยางไรกต็ าม การทจี่ ะรธู รรมและปฏิบตั ิตามธรรมใหเ ปนอยางพระ
พุทธเจาน้ัน มนุษยโ ดยทั่วไปไมไ ดฝก ตนมามากมายถึงข้ันทจ่ี ะรูแ ละทําได
เองอยางพระสัมมาสัมพุทธเจา และกไ็ มจ าํ เปน ตองฝก ถงึ ขนาดนน้ั เพราะเรา
มีพระสมั มาสัมพุทธเจาทีท่ รงรธู รรมรูท างและบอกวิธใี หแ ลว เรากไ็ ปฟง คํา
สอนจากพระองคและปฏิบัติตามโดยถือเอาพระองคเปน แบบอยา ง
แตถ าเราอยหู างไกลพระพทุ ธเจา หรอื พระองคป รนิ ิพพานแลว เราก็เลา
เรียนสดบั ฟงคาํ สอนของพระองค จากพระสงฆท ไ่ี ดรกั ษาสบื ตอคําสอนของ
พระองคมาถึงพวกเรา
แมจะไดสดับฟงคาํ สอนของพระพุทธเจาที่พระสงฆรักษาสืบทอดไวให
แลว แตม นษุ ยท ว่ั ไปจะปฏบิ ตั ธิ รรมฝก ตนใหก า วหนา โดยลาํ พงั ตวั เองไดยาก
มนษุ ยโ ดยทวั่ ไปนน้ั ตอ งอาศยั บคุ คลและสภาพแวดลอ มตา งๆ ชว ยเกอ้ื หนนุ โดย
เฉพาะสง่ิ ทเี่ กอื้ หนนุ ไดด ที สี่ ดุ กค็ อื ชมุ ชนทจี่ ดั ตง้ั ไวอ ยา งดีทเี่ รยี กวา “สงั ฆะ”
ในชุมชนแหงสงั ฆะนนั้ นอกจากมีทา นทีไ่ ดฟ งไดร ไู ดฝก ปฏิบัติธรรมมา
กอ น เชน ครู อาจารย ทจ่ี ะเปนกัลยาณมิตรชว ยแนะนําฝกสอนเราแลว
ระบบความเปน อยู วถิ ีชวี ิต การสมั พนั ธกบั เพื่อนรวมชมุ ชน การจัดสรรส่ิง
แวดลอม และบรรยากาศของชุมชนน้นั เอง ทุกอยา งจะเอ้ือชว ยเก้อื หนนุ ให
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๓๗
เราฝก ตนกา วไปในการรูและปฏบิ ัตธิ รรมไดอยางดีท่ีสุด
ชมุ ชนแหง สังฆะนี้ นอกจากเราจะไดอ าศัยชวยใหต วั เรากาวหนาไปใน
การรแู ละทาํ ตามธรรมโดยมกี ัลยาณมิตรเกอ้ื หนุนแลว เราเองเม่ือกาวหนา
ไป เปนกัลยาณมิตรเก้ือหนุนผูอื่นดวย และสงั ฆะก็เปนแหลง ทจ่ี ะดํารง
รกั ษาระบบและวถิ ชี วี ติ ทด่ี งี ามผาสุกไวใ หแกโลก
อนงึ่ มนษุ ยถ งึ จะมศี กั ยภาพทจี่ ะเปน อยา งเดยี วกบั พระพทุ ธเจา แต
ระหวา งปฏบิ ตั ิ เรากจ็ ะมพี ฒั นาการในระดบั ตา งๆ ไมใ ชอ ยๆู กเ็ ปน พทุ ธะไดท นั ที
มนุษยท ้ังหลายทปี่ ฏิบัติตามธรรมโดยมีพัฒนาการในระดับตางๆ นน้ั ก็
รวมกันเปนชมุ ชนทด่ี งี าม ประเสรฐิ คอื สงั ฆะน้ี ซง่ึ ถา เรยี กตามภาษาปจ จบุ นั กค็ อื
สงั คมอดุ มคติ
มนุษยเราทุกคนควรจะมีสวนไดอาศัยและรวมสรางชุมชนนีข้ ึน้ มาใหได
ดว ยการฝก ศกึ ษาพัฒนาตัวเองของแตละคนข้ึนไป
สุดยอดของมนษุ ยค อื พุทธะ
แกน แทของธรรมชาติคือ ธรรมะ
อุดมคตขิ องสังคมคอื สังฆะ
เพราะฉะน้ัน หลักพระรตั นตรัย กค็ ือหลักอดุ มคติ ที่เปนจดุ หมาย เปน
อดุ มการณ เปน หลักการสาํ หรบั ชาวพุทธ ซงึ่ จะตอ งยดึ ถือวา
๑. เตอื นใจเราใหร ะลกึ ถึงศกั ยภาพของตัวเอง และใหปฏบิ ตั หิ นา ทีใ่ น
การพัฒนาตนเองใหเ ปน อยา งพทุ ธะ
๒. เตอื นใจใหระลึกวา การที่จะพัฒนาตนใหสําเร็จน้ัน ตองรูเ ขาใจและ
ปฏบิ ัตใิ หถ ูกตองตามหลกั ความจรงิ ของกฎธรรมชาติ คือ ธรรมะ
๓. เตือนใจใหร ะลึกวา เราแตล ะคนจะรวมอาศัยและรว มสรางสงั คม
อุดมคติ ดวยการมี/เปนกัลยาณมิตรและเจริญงอกงามข้ึนในชุมชนแหง
อารยชนหรืออริยบคุ คล ท่ีเรียกวา สงั ฆะ
นค่ี อื หลักพระรตั นตรยั จะเหน็ วาทัง้ ๓ หลักโยงถึงกันหมด
๓๘ แกนแทของพระพุทธศาสนา
ความจรงิ แหงธรรมดาของโลกและชวี ติ
ทตี่ อ งรใู หท นั และวางทา ทใี หถกู
ขอยอ นกลับมาท่ีธรรมชาตขิ องมนุษยซึ่งเปน สัตวท ี่ฝก ไดพฒั นาได จะ
เปนนิวตันก็ได เปนไอนสไตนก ไ็ ด หรือจะเปนกวที เ่ี กง กาจ เปน นกั การศึกษา
ฯลฯ เปนไดห มด จนกระทั่งประเสรฐิ สดุ เปน พุทธะก็ได
เมือ่ มนุษยประเสรฐิ ดว ยการเรียนรูฝก ฝนพฒั นาตนอยา งนี้ ก็เปน อนั วา
โยงกันแลว คือ ธรรมชาตขิ องมนุษยท ี่วา ฝกฝนพัฒนาไดน ้ัน กส็ อดคลอ ง
กับความเปนจริงของกฎธรรมชาติ
นคี่ ือยอ นกลับมาหาความจรงิ ขอ แรกของธรรมชาตอิ กี คือการทมี่ นุษย
ผฝู กตนได จะพัฒนาตนสําเรจ็ จะตองรเู ขาใจความจริงของกฎธรรมชาติ
และปฏบิ ตั ิใหถูกตามกฎนน้ั เชน ปฏิบตั ิตามกฎแหงเหตปุ จจยั เปน ตน
ในบรรดากฎธรรมชาติท้งั หลาย กฎใหญก ็คือความเปนไปตามเหตุ
ปจจยั ซ่งึ เปน อยา งหนึง่ ในหลกั ใหญท ส่ี ุดทพ่ี ระพทุ ธเจา ตรัสไว ๒ หลัก คือ
๑. หลักไตรลักษณ คือ อนิจจัง ทกุ ขงั อนัตตา
๒. เบ้อื งหลงั ความเปนอนจิ จัง ทกุ ขงั อนัตตา ก็คือกฎธรรมชาตแิ หง
ความเปนไปตามเหตุปจ จยั อันไดแก อิทัปปจจยตา
ฉะนน้ั ตอ จากไตรลกั ษณ พระพทุ ธเจา จงึ ทรงสอนเรอื่ งปฏจิ จสมปุ บาท
หรอื ทีเ่ รยี กเต็มวา อิทัปปจจยตาปฏิจจสมปุ บาท คือความเปน ไปตามเหตุ
ปจจัยของสงิ่ ทงั้ หลาย
ถาเราเขา ถึงกระบวนการของเหตปุ จจัย หลักการตางๆ ก็โยงถึงกันแจม
แจงหมด และเขาสูการปฏิบัติในการท่ีจะฝกตนได
แตถารูแค อนิจจัง ทกุ ขงั อนัตตา เรายังทําอะไรไมได ไดแ ครูทนั วา สงิ่
ทงั้ หลายเกิดดบั เปลยี่ นแปลง ไมเทีย่ ง ไมค งที่ คงอยใู นสภาพเดิมไมได
เปน ไปตามเหตปุ จจยั ก็ไดแ ครู และวางใจ แตยังทําไมได
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๓๙
แตพอรูวา ออ...กฎแหง เหตุปจจยั ท่ีอยูเบือ้ งหลงั อนิจจงั ทกุ ขัง
อนัตตา กค็ อื อิทปั ปจจยตา ซ่ึงเปนอยา งนๆี้ ตอนนี้ก็เอามาใชล งมือทาํ ได
คือเอามาใชใ นการฝก ฝนพัฒนาตนของมนุษย ซึง่ เปนการเชอ่ื มระหวางธรรม
ชาติพเิ ศษของมนุษย กบั ธรรมชาตสิ ามญั ของสิ่งทง้ั หลายทั้งปวง
หันมาดูการนํากฎธรรมชาติมาใชใ นชีวติ ของมนุษย
พระพุทธศาสนามองชีวิตของมนษุ ยวาเกดิ จากองคป ระกอบตา งๆ มา
ประชุมกนั โดยสัมพนั ธก ันเปน ระบบ และเปนกระบวนการ เราจะเขาใจมันก็
ตอ งแยกดูองคประกอบ ฉะน้นั ตอนแรกเรากแ็ ยกชวี ติ ออกกอ น
วธิ ีแยกงา ยๆ ขัน้ ตนทสี่ ดุ ก็คอื แยกองคป ระกอบ เหมอื นอยา งเราเอารถ
มาคนั หนึ่ง ก็แยกวา รถคันนปี้ ระกอบดวยอะไรบา ง
สําหรับมนุษย การแยกอยา งงา ยท่สี ดุ คือแยกเปน ๒ ไดแก รูปธรรม
กับนามธรรม หรือ กาย กับใจ
เม่ือแยกละเอียดลงไปอกี ดานรปู ธรรม หรอื รา งกาย ประกอบดวยธาตุ
ตา งๆ มาประชมุ กันเขา มมี หาภูตรูป ๔ อปุ าทายรปู ๒๔ และในแตละ
อยางก็แยกยอยออกไปอีก
สว นในทางนามธรรม หรอื ทางใจ ก็แยกออกไปอีกเปน เวทนา สญั ญา
สงั ขาร วญิ ญาณ
จากนัน้ เวทนาก็แยกยอยออกไปเปน เวทนา ๓ เวทนา ๕ หรือเวทนา ๖
สัญญากแ็ ยกยอยออกไป เปนสัญญา ๖
สังขารกแ็ ยกยอ ยออกไปตา งๆ เชนเปนสัญเจตนา ๖ เปนเจตสิก ๕๐
วิญญาณก็แยกออกไปเปน ๖ เปน ๘๙ หรอื เปน ๑๒๑ เปนตน
แยกออกไปๆ ซ่งึ เปนการจาํ แนกแยกแยะในระบบ ขนั ธ ๕
อยางนเ้ี ปน ระบบแยกซอย เปน การศกึ ษาธรรมชาตขิ องชวี ติ มนุษย
เหมอื นนักวทิ ยาศาสตรแ ยกแยะองคป ระกอบดานรปู ธรรม แตใ นทน่ี ี้เอา
งายๆ แยกแค ๒ เปน กายกบั ใจ เพราะถา แยกมากจะยากยงุ เอาไวไปศึกษา
๔๐ แกนแทของพระพุทธศาสนา
รายละเอยี ดทีหลงั
อยา งไรกต็ าม ชวี ติ มนษุ ยไ มไ ดอ ยนู งิ่ เฉย ไมใ ชข องตาย ชวี ติ ตอ งเคลอ่ื น
ไหว ดงั ทเ่ี รยี กวา ดาํ เนนิ ชวี ติ แมแ ตร ถยนตซ งึ่ ไมม ชี วี ติ กม็ กี ารเคลอ่ื นไหว เมอื่
แยกองคป ระกอบของมนั ออกดแู ลว จากนน้ั กศ็ กึ ษาตอนมนั วงิ่ แลน วา มนั
ทาํ งานอยา งไร โดยศกึ ษาความสมั พนั ธร ะหวา งองคป ระกอบยอ ยขณะทาํ งาน
ชวี ติ ของเรากเ็ ชนเดียวกนั เมอ่ื แยกสวนออกดูองคป ระกอบตอนอยูนิ่ง
เฉยแลว กต็ องศกึ ษาขณะทมี่ ันดําเนินไป หรือขณะทาํ งานดว ย การแยก ๒
แบบนไี้ มเ หมอื นกัน แตกอนจะถึงแบบท่ี ๒ ก็ตอ งศึกษาแบบท่ี ๑ กอ น
เหมอื นแพทยศ กึ ษาชีวิตดานกาย ตองศกึ ษา anatomy คอื กายวิภาค
แยกองคประกอบใหเหน็ อวัยวะตา งๆ วา มีอะไรบา งเปน อยา งไร แลว ก็ศึกษา
physiology คอื สรรี วทิ ยา ใหร วู า อวยั วะตางๆ ทาํ งานอยางไร และสมั พันธ
กนั อยางไร ทั้งเปนกระบวนการ และเปน ระบบ
ในทางธรรมกเ็ ร่ิมดวยแยกองคประกอบทอ่ี ยนู ิง่ ๆ เปนกายกับใจ ตอ
จากนัน้ กแ็ ยกใหเหน็ การทํางานเปน กระบวนการวา องคป ระกอบท้งั หลาย
สมั พนั ธเ ปนเหตปุ จ จัยแกก นั อยา งไร
การแยกองคป ระกอบแบบหลงั นี้จะเหน็ ไดในหลกั ปฏจิ จสมุปบาท ซ่ึงมี
องคป ระกอบ ๑๒ สวน เปน ปจ จัยแกกันหมนุ เวยี นไปเปน วงจร
จะพฒั นาศกั ยภาพของคนใหมชี ีวติ แหง ปญญา
กต็ องรจู กั ธรรมชาติของชีวิตซึ่งจะทาํ หนา ทศี่ ึกษา
อยา งไรก็ตาม ระบบการทํางานของชีวิตมนษุ ยม คี วามพเิ ศษตา งออกไป
จากระบบการทํางานของรถยนตเปน ตน กลา วคอื วัตถตุ า งๆ เชนรถยนต
เปน ตน แมจ ะเคล่ือนไหวได แตก ไ็ มม ีชวี ติ ไมมเี จตจาํ นงหรือเจตนา มันจะ
เคล่อื นไหวไปไหน กต็ องมคี นมาขับขบ่ี ังคับ ลาํ พังตวั มัน องคป ระกอบท้งั
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๔๑
หลายทัง้ ระบบก็ทํางานเคล่อื นไหวอยูอยา งน้นั ๆ เทาเดิม
แตระบบการทํางานของชีวิตมนุษยไมไดวนอยูในวงจรเทาเดิมอยางนั้น
มนุษยม เี จตจาํ นงหรอื มเี จตนา และมคี ุณสมบัตพิ เิ ศษเชนปญญาเปน ตน ทํา
ใหก ารเคลอ่ื นไหวของชวี ิตมนุษยมกี ารปรับตวั ปรับปรงุ พฒั นาระบบการ
ทาํ งานของตวั มนั เอง และจัดการกับสิง่ อนื่ ภายนอกไดดวย
การทาํ งานขององคประกอบท้ังหลายของชีวิตมนษุ ย ทีม่ ีลักษณะพเิ ศษ
อยา งนี้ เรยี กงายๆ วา เปน ระบบการเปน อยู หรอื การดําเนนิ ชีวิต ซึง่ เราก็
จะตอ งศกึ ษาใหเ ห็นองคประกอบตา งๆ ของมัน และการทอ่ี งคประกอบเหลา
นน้ั ทํางานสมั พนั ธก นั ในการท่มี ันจะเปนอยู เจรญิ งอกงาม พฒั นาไป และจดั
การกับสง่ิ อืน่ ๆ ภายนอกใหไดผลดยี ิง่ ขึ้น
ชีวิตมนษุ ย ทเ่ี ปนอยหู รอื ดําเนนิ ไปท้ังระบบนี้ แยกองคประกอบได ๓
สวนใหญ คือ
๑. การเคลื่อนไหวติดตอสัมพันธกับโลกภายนอก โดยใชต า หู จมกู
ล้ิน กาย ใจ และการแสดงออกตา งๆ ซ่งึ ปรากฏออกมาทางกายวาจา จะใช
คาํ ตามภาษาสมัยใหมว า “พฤติกรรม” ก็มคี วามหมายแคบเกินไป ขอแตง
เปน คําใหมว า พฤติสัมพนั ธ
๒. เบ้ืองหลังการติดตอสัมพันธและพฤติกรรมท่ีแสดงออก ก็มี
กระบวนการทาํ งานของจติ ใจ เรม่ิ ต้งั แตเ จตจํานง (ความตัง้ ใจ) เพราะการติด
ตอ สัมพันธและพฤติกรรมที่แสดงออกมาทกุ อยา งของมนุษย เกิดจากเจตนา
คอื มคี วามตัง้ ใจ จงใจ
นอกจากน้ียังมีแรงจูงใจเปนตัวกําหนดอีกช้ันหนึ่งวาจะต้ังใจอยางไร
แรงจงู ใจนม้ี ที ้ังฝา ยช่วั และฝา ยดี เชน ความรกั ความโกรธ ความอยากรู
ความลุมหลง ความเคารพ ความริษยา เปน ตน
แลว ก็มคี วามสขุ หรือความทุกขอยูในใจอีก ซง่ึ เปน ตวั กําหนดหรือชัก
๔๒ แกน แทของพระพุทธศาสนา
จูงความตงั้ ใจนนั้ เชนวา เพราะอยากไดส ขุ จึงเคล่ือนไหวทําพฤติกรรมแบบ
นี้ เพราะอยากหนที กุ ข จงึ เคล่อื นไหวทาํ พฤติกรรมแบบน้ี
เพราะฉะนั้น การตดิ ตอ สัมพนั ธและพฤตกิ รรมจึงไมไ ดเกดิ ขึน้ มาลอยๆ
แตม ปี จ จยั ขบั เคลอื่ นอยเู บอ้ื งหลัง คือกระบวนการของจิตใจ (หลายอยางท่ี
ปจจบุ ันมกั เรยี กเพย้ี นไปวา “อารมณ” ) เปน ดา นท่ี ๒ ในกระบวนการทํางาน
ของชวี ิต เรียกส้นั ๆ วา จิตใจ
๓. ในการเคลื่อนไหวตดิ ตอสัมพนั ธทําพฤตกิ รรมน้ัน คนตองมีความรู
รเู ทาไรกต็ ง้ั ใจเคลือ่ นไหวทําพฤตกิ รรมไดเทา นนั้ ถาไมรูเลย ความตั้งใจทาํ
พฤตกิ รรมก็สง เดชเรื่อยเปอ ย พอมคี วามรูบาง ก็ตั้งใจเคล่อื นไหวทําพฤติ
กรรมไดผลขึ้นบาง ถารมู ากข้ึน การต้งั ใจเคล่ือนไหวทําพฤติกรรมกจ็ ะซับ
ซอ นและจะไดผ ลสาํ เร็จมากยงิ่ ขนึ้
ฉะนน้ั ความรจู งึ เปนองคป ระกอบที่สําคัญมาก ซึ่งทาํ ใหเ ราตง้ั เจตจํานง
ไดแคไ หนวาจะเอาอยา งไร แลวก็เคลื่อนไหวทาํ พฤตกิ รรมออกไปตามนั้น
เพราะฉะนน้ั แดนรจู งึ เปน แดนใหญด า นหนง่ึ ของชีวติ ไดแก ปญญา
ถา เราพัฒนาปญญา เรากจ็ ะขยายมติ ิและขอบเขต ทงั้ ของดา นจิตใจ
และของดา นพฤติกรรมออกไปท้งั หมด
พฤตกิ รรมของมนษุ ยท พ่ี ัฒนาออกมาเปน กลมุ เปน หมูรวมๆ กัน เปน
วฒั นธรรมและอารยธรรมน้ัน ก็เกดิ จากเจตจํานงตามอํานาจของแรงจงู ใจ
เชนความปรารถนาท่จี ะเอาชนะธรรมชาติ ทาํ ใหอารยธรรมตะวันตกเจริญมา
อยา งทเี่ ปน อยใู นปจ จุบันนี้ นี่คอื เจตจาํ นงซ่งึ อยใู นดานจิตใจ
แตเจตจํานงน้นั เกดิ ขึน้ ไดภายใตเ งื่อนไขของความรู เขามคี วามรคู วาม
เขาใจอะไรอยา งไร ก็มีความเชื่อ ยดึ ถือ และคิดไปไดอ ยางนั้นแคน้นั แลวก็
ตั้งเจตจาํ นงตางๆ ทจ่ี ะทาํ พฤตกิ รรมภายในขอบเขตเทา นัน้ เพราะฉะนั้น
แดนปญญาคอื ความรจู งึ ยิ่งใหญมาก
ลกั ษณะสาํ คญั ของกระบวนการดําเนินชีวติ ของมนษุ ย คอื การพฒั นา
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๔๓
ศักยภาพในการท่ีจะดําเนินชีวิตใหสามารถอยูรอดและอยูไดอยางดีงามมี
ความสุขยิง่ ขน้ึ หรอื พฒั นาขึ้นไปสคู วามเปน สัตวท่ปี ระเสริฐยิ่งขนึ้ จนถงึ
ความเปนพุทธะในท่สี ดุ
ตกลงวา ชีวติ ของมนษุ ย ท่ีเปน กระบวนการเคลอ่ื นไหวดาํ เนนิ ไป
ทามกลางส่งิ แวดลอ มนี้ แยกเปน ๓ ดาน คอื
๑. พฤติสมั พันธ
๒. จติ ใจ
๓. ปญญา
น่ีคือการแยกองคประกอบของชีวิตอีกแบบหนึ่งตามหลักพระพุทธ
ศาสนา
เรามักจะติดอยแู คการแยกแบบกายกบั ใจ ซ่งึ เปน การแยกเพ่ือความรู
เขา ใจ แตเ อามาใชป ฏิบัตไิ ดน อ ย
ถาเราจะนาํ พระพทุ ธศาสนามาใชใ นระดบั ปฏิบัตกิ าร ในการทํากจิ การ
ตา งๆ โดยเฉพาะในการพฒั นามนุษย และในการพฒั นาสงั คม จะตอ งกาว
มาถงึ การแยกในระดบั กระบวนการดาํ เนนิ ชีวติ คือแยกเปน ๓ ดาน หรือ ๓
แดน อยา งนี้
ถึงตอนน้เี ราไดครบแลว เหมือนทบี่ อกเมื่อกี้ ในตัวอยางเร่ืองรถยนต
ซึง่ มีการแยกแยะ ๒ ระดับ คอื แยกตอนจอดอยูนิง่ ๆ ใหเ หน็ วามอี งค
ประกอบอะไรบาง และแยกตอนทํางานคอื วิง่ แลนไปวามันทํางานอยา งไร แต
ในเรอ่ื งชีวิตมนษุ ย เราแยกสวนหรอื แยกองคป ระกอบ ๓ ระดับ คือ
๑. แยกองคป ระกอบ ตามสภาพหรือในภาวะอยนู ่ิงเฉย (เชน แยก
เปน รปู +นาม, กาย+ใจ, ขนั ธ ๕)
๒. แยกใหเหน็ ระบบการทํางานขององคประกอบตา งๆ ใน
กระบวนการหรอื วงจรความสมั พนั ธ (เชน แยกแบบปฏิจจสมุปบาท)
๔๔ แกนแทของพระพทุ ธศาสนา
๓. แยกใหเ หน็ ระบบและกระบวนการดําเนินชวี ิต ท่อี งคป ระกอบ
๓ ดานมารวมกันขับเคลอ่ื นชวี ติ ใหเ ปน อยไู ดดียงิ่ ขึน้ ๆ ไปสูจดุ หมายท่ีจะเปน
ชีวติ ทีส่ มบรู ณ (แยกเปน ๓ ดา น หรอื ๓ แดน คอื ดา นสมั พนั ธภ ายนอก
ดานจติ ใจ และดา นปญ ญา)
เมื่อไดความเขา ใจเปนพ้ืนฐานแลว กข็ อจบเร่ืองธรรมชาตขิ องมนษุ ย
เทา ท่ีพอจะใชแ คนีก้ อน