-๓-
แกน ธรรมเพ่อื ชวี ติ
การดาํ เนินชวี ิตทงั้ สามดา น
เปนปจ จัยเกอ้ื หนุนกนั ในการศึกษา
เมอ่ื รูธ รรมชาติของสงิ่ ทงั้ หลายและธรรมชาติของมนษุ ยแ ลว ก็เอาความ
รใู นความจริงของธรรมชาตินน้ั มาใชประโยชน
สาระของพระพุทธศาสนาอยตู รงน้ี คอื การนาํ เอาความรใู นธรรมชาติ
และกฎธรรมชาตมิ าใชป ระโยชน สนองจดุ หมายท่เี ราตองการ คือการพฒั นา
มนุษย เพราะไดบ อกแลววา มนษุ ยพ ฒั นาได จนสามารถเปน อยโู ดยไมตอง
พึง่ พาอวชิ ชา ตัณหา อปุ าทาน
ในเม่อื กระบวนการของชีวติ ท่ีเคลอ่ื นไหวไปน้นั แยกเปน ๓ ดา น คอื
พฤติสมั พันธ (ทเ่ี รยี กโดยอนโุ ลมวา พฤติกรรม) จติ ใจ และปญญา เราก็
พฒั นาชวี ติ ทัง้ ๓ ดา นนี้ขึน้ ไป ใหทาํ อะไรตออะไรไดส ําเร็จตามตองการ จนมี
ชีวิตทีส่ มบรู ณ โดยพฒั นาพฤตกิ รรมข้ึนไป พัฒนาจิตใจข้นึ ไป โดยเฉพาะ
ขอ สาํ คญั ทสี่ ดุ ตอ งพัฒนาปญญาขึน้ ไป เพราะในทสี่ ุด ทุกอยา งจะอยูใ น
ขอบเขตของปญญา อยา งท่วี า รเู ทาใด ทาํ ไดเทาน้ัน
แตใ นทางกลับกนั คนกพ็ ัฒนาปญ ญาไมไ ด ถาไมมีการส่ือสัมพันธ การ
ทําพฤตกิ รรม และการทาํ งานของจิตใจมาเก้ือหนุน
มหี ลกั การอยูวา องคประกอบท้งั ๓ ดานแหง กระบวนการดาํ เนนิ
ชวี ติ ของมนุษย ตอ งพงึ่ พาอาศัยซง่ึ กันและกนั
๔๖ แกนแทข องพระพทุ ธศาสนา
แมวาจุดยอดจะอยูท ่กี ารพัฒนาปญญา กจ็ รงิ แตปญญานนั้ จะเกดิ
ข้นึ มาลอยๆ ไมไ ด ตองอาศยั จิตใจ พรอมดว ยพฤตกิ รรมการเคล่ือนไหว
และการใชอ นิ ทรยี ส มั พนั ธ
ปญญาอาศยั พฤติสัมพันธ (อินทรยี สัมพนั ธ และพฤติกรรม) เชน
อยา งงา ยๆ เราจะไดความรู เราตองอาศยั ตา หู จมูก ล้ิน กายของเรา ส่ือ
ความรูจากโลกภายนอกเขามา เราตอ งเคลื่อนไหวเชนเดนิ ไปหาขอ มูล ตอง
ใชมือหยิบ ฉวย คน แยก เลอื ก เก็บขอ มูลเปน ตน ตอ งใชว าจา เชน รจู กั
สอบถาม รูจ ักปรกึ ษา รูจักพดู เรม่ิ ต้ังแตรจู ักตัง้ คาํ ถาม ถาไมรจู ักต้งั คําถาม
ถามไมเปน พดู กับเขาไมรเู รอ่ื ง เขากไ็ มร ูว าถามอะไร หรือถา ถามดวยคําพูด
ไมดี เขากเ็ กลยี ดเอา ไมรว มมือ ไมอยากตอบ
เพราะฉะน้ันจึงตองพัฒนาพฤติกรรมใหรูจักพูด รูจักตั้งคําถามให
ชัดเจน รูจกั พูดใหนาฟง ใชถอ ยคําสละสลวย พฒั นาพฤตกิ รรมใหสัมพันธ
กับเพ่ือนมนษุ ยอ ยา งไดผ ลดี ใหเ ขามีไมตรี ใหเขาชนื่ ชม ใหเขาเตม็ ใจทีจ่ ะ
รว มมอื เปนตน
พรอมกันนนั้ อกี ดานหนง่ึ ปญญากต็ องอาศยั จติ ใจ เชน จติ ใจตอ งเขม
แข็งอดทน มคี วามเพียรพยายาม แนวแนมั่นคง มสี ติ มสี มาธิ ถา ใจเกียจ
ครา น ระยอ ทอ ถอย ไมสู พอเจอปญ หาก็ถอย ความคิดกไ็ มกาว ปญ ญาก็
ไมพฒั นา แตถา ใจสู เขมแขง็ เดินหนา ตอ ไป ก็สามารถพฒั นาปญญาได
หรอื ถา ไมมสี มาธิ ใจฟุงซา น ก็คิดอะไรสับสนไมช ัดเจน จึงตองใหใจมสี มาธิ
ดวย ดงั นเ้ี ปน ตน สภาพจติ ใจจึงเกอ้ื หนุนตอ การพฒั นาของปญ ญา
จิตใจเปน ฐานของพฤติกรรม อยา งท่ีพดู แลว วา การเคล่อื นไหวทํา
พฤตกิ รรมของคนเรา เกดิ จากความตัง้ ใจ เราตอ งมีเจตนา ซงึ่ ประกอบดว ย
แรงจงู ใจ ถา เรามีแรงจูงใจและความตงั้ ใจที่ดี พฤติกรรมทอี่ อกไปกจ็ ะดี
จิตใจก็ตอ งอาศยั พฤติกรรม เพราะพฤตกิ รรมเปนเครื่องมือสนอง
ความตองการของจิตใจ จิตใจอยากไดโ นนไดน่ี อยากเหน็ อยากดู อยากฟง
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๔๗
หรือเกลยี ดชัง อยากหนี อยากทาํ ลาย อยากไปใหพน จากส่ิงน้นั สิ่งนี้ เปนตน
ก็อาศัยพฤตกิ รรม ตองสาํ เรจ็ ดวยพฤตกิ รรมท้ังนัน้
ปญ ญาเปนตัวช้นี าํ บอกทาง ใหแสงสวา ง กํากับ ควบคมุ ดูแล จัดปรับ
แกไ ข ขยายขอบเขต พัฒนา และทาํ หนา ทปี่ ลดปลอย ชวยใหเ กดิ อสิ รภาพ
ทั้งแกพ ฤติกรรม และแกจติ ใจ
ปญญาช้นี าํ พฤติกรรม ควบคมุ กํากับ ขยายขอบเขต และปลดปลอย
พฤตกิ รรม อยา งทีพ่ ูดไปแลววา พฤตกิ รรมจะทาํ อะไรไดแคไ หน ก็ไดแคเ ทา
ท่ีมปี ญ ญารูเทาใด ถาไมร เู ลย กต็ ดิ ขดั ตัน ถารูเขาใจ พฤตกิ รรมกเ็ ดนิ หนา
ไดต อ ไป ยงิ่ รเู ขา ใจมองเหน็ กวา งไกลลกึ ซงึ้ พฤตกิ รรมกย็ ง่ิ กวา งขวางซบั ซอ น
และทาํ ไดผลมากขนึ้ ๆ
ปญญาบอกทางแกจติ ใจ รวมทง้ั ชนี้ ํา กํากับ จดั ปรับ แกไ ข ขยาย
ขอบเขต ตลอดจนปลดปลอยจิตใจใหเ ปน อสิ ระ อยา งท่พี ดู ไปแลว เชน พอ
เจออะไร ถา ไมร เู รอ่ื ง กต็ ดิ ขดั อัดอ้นั ตันทันที ทําอะไรไมถูก เกดิ ทุกขเปน
ปญ หา แตพ อปญ ญามา รูวา สงิ่ น้ันคอื อะไร เปนอยางไร จะปฏบิ ัติตอมัน
อยางไร เราจะเอามนั มาใชทาํ อะไรได ก็โลง โปรงสบายใจ หมดปญหา ไมบ ีบ
ค้นั ตดิ ขดั คบั ของ ใจก็โลง ไป
เพราะฉะน้นั ปญ ญามาก็ทาํ ใหจ ิตใจเปนอิสระ มีความสขุ โลง โปรง แก
ปญ หาได เรยี กวาเปนตวั ปลดปลอ ย คอื liberate จติ ใจ
เพราะฉะน้ัน ชวี ิตทัง้ ๓ ดา น ของมนุษย คือ พฤติกรรม จติ ใจ
ปญ ญา จึงคบื เคลื่อนไปดว ยกันเปน ระบบแหงกระบวนการ ทอ่ี าศัยซงึ่ กัน
และกนั มนษุ ยจึงตอ งพัฒนาไปดวยกันพรอมทงั้ ๓ อยาง
๔๘ แกน แทของพระพุทธศาสนา
บนฐานแหง หลักความสมั พันธของชวี ติ สามดา น
ทรงตงั้ หลกั ไตรสิกขาใหมนษุ ยพฒั นาอยา งบูรณาการ
เม่อื รเู ขาใจหลักความสัมพนั ธเ ปนปจจัยแกก นั ของชวี ติ ๓ ดา นน้ันแลว
ก็นําหลกั นั้นมาใชใ นการพฒั นาชวี ติ เริม่ ต้งั แตพฒั นาพฤติกรรมใหดีขึน้
โดยฝก ดว ยความต้ังใจ และมคี วามเขาใจ ใหเ กดิ พฤตกิ รรมท่ดี ีงามเกอื้ กูล
ขน้ึ มาติดตัวหรือประจาํ ตวั เรยี กวา ศีล
โดยท่ัวไป ในการฝก ใหเ กิดศลี เราจะใช “วินัย” เพราะวาวนิ ยั นนั้ เปนตัว
กําหนดรปู แบบ วินัยกค็ ือการจดั ตั้ง วางระบบ กําหนดระเบียบแบบแผนใน
สังคมมนุษย ถาเราไมมรี ะบบระเบยี บแบบแผน พฤตกิ รรมของมนษุ ยจะวนุ
วายมาก เราจึงใชวินัยเปนตัวกาํ หนดหรอื จดั ระบบพฤติกรรม
เมอ่ื พฤตกิ รรมของคนเปน ไปตามวนิ ยั ทจ่ี ดั ตงั้ วางกาํ หนดไว กเ็ รยี กวา ศลี
เวลานีส้ ับสนกนั มาก ระหวางคําวา “วินัย” กับ “ศีล” จนกระทง่ั บางทีก็
ใชเ ปน อนั เดียวกนั หรือไมก ็แยกหา งกนั ไปคนละเร่อื งเลย
ขออธบิ ายวา วนิ ยั คอื การจดั ตงั้ วางระบบระเบยี บแบบแผน รวมทงั้ ตวั
ลายลกั ษณอ กั ษรทเ่ี ปน ขอ กาํ หนดวา เราจดั วางระเบยี บแบบแผนกาํ หนดพฤติ
กรรมกนั ไวอ ยา งไร
สว นคณุ สมบตั ขิ องคนทต่ี งั้ อยใู นวนิ ยั นนั้ เรยี กวา ศลี กแ็ คน เี้ อง
วนิ ยั น้นั อยูขางนอก วินัยเปนเครือ่ งมือฝก คนใหม ีพฤตกิ รรมท่ีถูกตอ ง
เหมาะสม เปน ตวั หนังสอื บาง เปน ภาวะแหงความเปน ระเบียบบา ง เปนระบบ
แบบแผนทกี่ าํ หนดการฝกบา ง ตลอดจนเปน การปกครองคือจดั การดแู ล
ควบคมุ คนใหป ฏิบตั หิ รือฝกตนตามระบบระเบียบท่จี ัดต้งั ไวน น้ั
เมื่อคนปฏบิ ตั ติ าม จนความเปนระเบียบกลายเปน คณุ สมบัติในตวั เขา
แลว การที่เขาปฏบิ ตั ิตามวินยั นัน้ เราเรยี กวา ศีล
เพราะฉะน้นั คาํ วา “มวี นิ ยั ” ทใี่ ชก ันในสมัยน้ี ก็คอื ศีลน่ันเอง
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๔๙
เร่อื งนย้ี งั มขี อทีค่ วรทราบอีกมาก แตเ วลาไมพอ จะตอ งขอผา นไปกอน
พดู คราวๆ วา การฝกพฤติกรรมและการติดตอสมั พันธกับโลกภายนอกของ
มนุษยใ หเปน ไปในทางท่ดี ีงามเกื้อกลู จนเกิดเปนคุณสมบัติขึน้ ในตวั ของเขา
เรยี กสั้นๆ วา “ศลี ” คอื การมีพฤติกรรมและการสือ่ สารสัมพนั ธท พ่ี งึ ปรารถนา
เรยี กเตม็ วา “อธศิ ีลสิกขา”
เปน อันวา ศลี กค็ อื กระบวนการฝก พฤตกิ รรมและการตดิ ตอ สมั พันธ
ของมนุษย กับสิง่ แวดลอ มหรือโลกภายนอก
การพฒั นาดานจิตใจ มีคณุ สมบตั ิมากมายท่ีพงึ ตองการ เชน เมตตา
กรณุ า ศรทั ธา กตัญกู ตเวที ความเคารพ ความเพียร ความเขม แข็ง อด
ทน ความมีสติ ความมีสมาธิ ความรา เริง เบกิ บาน ผองใส ความสขุ ฯลฯ
เรียกวา “อธิจติ ตสิกขา”
แตบ างทเี รียกชอ่ื ใหส นั้ และงายเขา โดยเอาสมาธิ ซง่ึ เปนคุณสมบตั ิท่ี
เปน แกนสําคัญมาเปน ตวั แทน จึงเรยี กการพฒั นาดานจติ ท้ังหมดวา สมาธิ
คําท่ีนยิ มพดู กนั ในปจ จุบันวา “การพัฒนาทางอารมณ” กเ็ ปน คาํ พดู
เพยี้ นไป ซง่ึ มคี วามหมายรวมอยใู นการพฒั นาดา นจติ ใจทก่ี าํ ลงั อธบิ ายอยนู ้ี
ทาํ ไมจงึ วา สมาธิ เปนคุณสมบัติแกน ถงึ กบั เปนตวั แทนที่ใชเ รียกชือ่
การพัฒนาดานจิตทง้ั หมด?
ตอบวา ในการพฒั นาจติ ของคนนี้ มคี ณุ สมบตั ิสาํ คญั ทส่ี ดุ อยูอ ยา งหนึ่ง
ซึ่งถา ขาดไปเสยี คณุ สมบัตอิ ยา งอื่นก็จะต้งั อยไู มไ ด และการพฒั นาดา นจิต
ใจกจ็ ะดําเนินไปไมไ ด
เหมอื นกับวาเรามีของมากมาย เราจะจัดเก็บต้ังมันไว หรือเราจะทํางาน
กับมัน หรือจะใหของเหลานัน้ เจรญิ งอกงามขนึ้ ไป หรอื อะไรก็แลว แต มีสิ่ง
จําเปนอยา งหนง่ึ คอื ฐานท่ีตงั้ หรอื ท่รี องรบั ทม่ี ่นั คง
เชน จะวางของบนโตะ โตะกต็ อ งมนั่ ถา โตะ สัน่ ไหว ของอาจจะลม หรือ
หลน หายไปเลย หรือจะทาํ งานกับของเหลา นั้น กไ็ มส ะดวกหรอื ไมส ําเร็จ แต
๕๐ แกนแทของพระพุทธศาสนา
ถา โตะทต่ี งั้ ทวี่ างหรอื ท่ีรองรับนัน้ มัน่ คงไมหวนั่ ไหว ของนน้ั กต็ ั้งอยู จะจดั จะ
ทําอะไรกับมนั หรือจะใหเ กิดการเคลอื่ นไหวงอกงามเจริญขึ้น ก็ทําได
ในทางจิตใจก็เหมือนกัน คณุ สมบัตทิ ี่เปนแกนในการพฒั นาจิตใจ กค็ ือ
ภาวะทจี่ ิตอยตู ัวไดท ่ี ซง่ึ ชวยใหคณุ สมบตั ิอื่นๆ ต้งั อยูได เจรญิ งอกงามได
ตลอดจนชว ยใหปญญาทาํ งานไดด ี
คณุ สมบตั ติ ัวแกนนี้เรยี กวา สมาธิ แปลวาจิตตงั้ ม่ัน คือจิตอยูกบั ส่ิงท่ี
ตอ งการไดต ามตอ งการ ถา จิตไมเ ปนสมาธิ มนั ก็ไมอ ยกู บั สงิ่ ทตี่ อ งการ หรอื
อยกู ับส่งิ ทต่ี อ งการไมไ ดตามตอ งการ เชน อยูก ับหนงั สือ อยกู บั งานไมไ ดเลย
เดี๋ยวไปๆ
สมาธนิ ่แี หละเปน ตัวแทนของกระบวนการพัฒนาจติ เพราะฉะนนั้ จงึ
เอาคําวา “สมาธิ” มาเรยี กแทนการพฒั นาคณุ สมบัติดา นจติ ท้ังหมด นเ่ี รยี ก
วาเปนวิธเี รียกแบบตัวแทน แตตัวแทนน้เี ปนตัวแกนดวย
สว นการพัฒนาปญญา เรียกชอื่ เตม็ วา “อธิปญ ญาสิกขา” แตนิยม
เรยี กงายๆ สน้ั ๆ วา ปญญา คอื กระบวนการพฒั นาความรูความเขาใจ
เปนอนั วา การพฒั นามนุษยก็อยทู ี่ ๓ ดาน หรอื ๓ แดนน้ี ซง่ึ ดาํ เนินไป
ดวยกันอยางเกื้อหนุนแกกันเปน ระบบแหง บรู ณาการ
การฝก ฝนพฒั นามนุษย เริ่มตงั้ แตการเรยี นรูตา งๆ น้ี ศพั ทบาลีเรียกวา
สกิ ขา ฉะน้นั การฝก ๓ ดานท่พี ูดมาแลว จงึ เปน สกิ ขา ๓ ดา น คาํ วา ๓ นน้ั
ภาษาบาลีคือ “ติ” ถา เปนสนั สกฤตก็คือ “ไตร” ฉะนัน้ จงึ เปน ไตรสิกขา
ไตรสิกขากแ็ ยกเปน ศีล สมาธิ ปญ ญา ดังกลาวแลว ซ่ึงก็คอื กระบวน
การพัฒนาพฤติกรรม พฒั นาจติ ใจ และพฒั นาปญ ญา เพ่อื ใหช วี ติ มนษุ ย
ดาํ เนนิ ไปสูค วามสมบรู ณ คือภาวะท่เี ปนผูมวี ิชาแลว มชี ีวติ เปน อยูดวย
ปญญา ไมตองมชี วี ติ อยโู ดยพึง่ พาอาศัยอวชิ ชา ตณั หา อุปาทาน และไมตก
อยใู ตอ ํานาจครอบงาํ ของมนั อีกตอ ไป ก็คือพน ทุกข โดยกาํ จดั สมทุ ยั ได
บรรลจุ ดุ หมาย คือ นิโรธ เพราะปฏบิ ตั ติ ามมรรคไดค รบถว น
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๕๑
จะเหน็ วา อริยสจั สม่ี าครบหมดเลยทีเดียว
เรอื่ งไตรสิกขา คอื การท่ีจะพัฒนาพฤติกรรม จิตใจ และปญญานน้ั มี
รายละเอยี ดมาก ดงั นัน้ เพ่ือใหส ะดวกในการปฏบิ ตั ิ ทานจงึ จาํ แนกออกไป
เปนขอปฏิบัตยิ อย ทีละหมวดทีละประเภท ซ่ึงมมี ากมาย คอื ขอ ปฏิบัตแิ ละ
คุณสมบัติทง้ั หลายท่กี ลาวไวใ นพระพทุ ธศาสนา
เม่ือพัฒนาดว ยไตรสกิ ขา ชีวิตกเ็ ปน อริยมรรคา
เพราะชีวติ ท่ีดี คอื ชวี ติ ทีศ่ ึกษา
ชวี ติ ตอ งเปน อยดู าํ เนนิ ไปตลอดเวลา การทช่ี วี ติ เปน อยดู าํ เนนิ ไปกค็ อื
การทตี่ อ งเคลอ่ื นไหวพบประสบการณใ หมๆ เจอสถานการณใ หมๆ ซ่งึ จะตอ ง
รูจ กั ตอ งเขาใจ ตอ งปฏบิ ตั ิหรือจดั การอยางใดอยางหนึง่ หรอื หาทางแกไ ข
ปญ หาใหผ า นรอดหรอื ลลุ ว งไป ทง้ั หมดนเี้ รยี กสนั้ ๆ กค็ อื สกิ ขา หรอื การศกึ ษา
เพราะฉะนัน้ การทชี่ วี ิตจะเปนอยูไ ด ก็ตอ งศกึ ษาหรอื สิกขาตลอดเวลา
พดู สน้ั ๆ วา ชวี ิตคอื การศึกษา หรอื ชวี ติ ทีด่ คี ือชวี ิตทมี่ สี ิกขา หมายความวา
มีการเรียนรู หรอื มีการฝกฝนพัฒนาไปดวย
พดู อกี อยา งหน่งึ วา การดําเนนิ ชีวติ ท่ดี ี จะเปน ชวี ติ แหงสิกขาไปในตัว
เราเคยไดย ินวา ฝร่งั บางพวกวาชวี ติ คอื การตอสู บางก็วา ชวี ิตเปนความ
ฝน แตถา พูดตามหลักพระพุทธศาสนา “ชวี ิตคือการศึกษา” ถา ใชภาษา
ฝร่งั ก็ตอ งพูดวา To live is to learn. หรือ Life is learning.
ตรงน้ีเปนการประสานระหวางการพัฒนามนุษยหรือการเรียนรูฝกฝน
พฒั นามนุษย ที่เรียกวาสกิ ขา/ศึกษา กบั การดาํ เนนิ ชีวติ ทด่ี ีของมนษุ ยท ่ี
เรียกวา มรรค ใหเปนอนั เดียวกัน คอื การดําเนนิ ชวี ติ ชนดิ ทมี่ กี ารศกึ ษา
พัฒนาชีวติ ไปดวยในตัว จงึ จะเปนชวี ติ ท่ีดี
ศีล สมาธิ ปญญา คือการพฒั นาพฤติกรรม จิตใจ และปญ ญา หรอื
๕๒ แกน แทของพระพทุ ธศาสนา
การศกึ ษา ๓ ดา นทพ่ี ดู ไปแลว เมอื่ ขยายออกเปน ขอ ปฏบิ ตั ิ กม็ าเปน มรรคมี
องค ๘ นนั่ เอง
ในทํานองเดียวกัน มรรคมอี งค ๘ เมื่อสรปุ ก็เปน ๓ คือ ศีล สมาธิ
ปญญา
ฉะนนั้ ศีล สมาธิ ปญญา ๓ อยา งของไตรสกิ ขา กับมรรคมีองค ๘
ประการ จึงตรงกนั กลาวคอื
ดานศลี กระจายออกเปนสัมมาวาจา สมั มากมั มนั ตะ และสมั มาอาชวี ะ
น่ีคือการใชก ายและวาจาใหถกู ตองดีงาม ท้ังในการกระทาํ ทั่วไป ในการสื่อ
สารสัมพนั ธ และในการเล้ยี งชีพ ใหถูกตอง
ดานจติ ใจ มีมากมาย แตตวั นําสาํ คญั มี ๓ คอื ตอ งมคี วามเพียร
พยายาม เดินไปขา งหนา เรยี กวา สมั มาวายามะ ตองมีสตเิ ปนตวั คอยจบั
คอยกาํ หนดใหท าํ งานได และเปน ตวั เตอื นใหไ มเ ผลอพลาดและไมป ลอ ย
โอกาสใหเ สียไป เรยี กวา สมั มาสติ กับทง้ั ตอ งมสี มาธิ ใหจิตแนว แน มีความ
สงบ ดาํ เนินไปอยา งม่นั คง เรียกวา สัมมาสมาธิ
ดา นปญ ญา แยกเปน ๒ คอื สมั มาทฏิ ฐิ มคี วามเหน็ ความเขา ใจถูก
ตอง และสมั มาสังกปั ปะ ดาํ ริถกู ตอ ง คือ วางแนวทางความคิดท่ีจะนาํ ชวี ิต
ไปในทางทถี่ ูกตอ ง
พอเร่ิมกระบวนการโดยมีความรูเขาใจท่ีทําใหวางแนวความคิดถูกตอง
ท้งั เจตจาํ นง ความเพยี รพยายาม และสติท่กี ํากับ เปนตน มาสนองแนว
ความคิดนี้ พฤตกิ รรมกม็ าสนองเจตจาํ นงและความเพยี รพยายามนั้น จึง
ดําเนินชีวิตไปดวยการเรียนรูและปฏิบัติตอประสบการณและสถานการณ
ตางๆ อยางถกู ตองไดผ ลดี ไตรสกิ ขากม็ าประสานกบั มรรค
ไตรสิกขา ก็คือการพัฒนามนษุ ยใ หด ําเนินชวี ิตดีงามถูกตอง ทําใหม ีวถิ ี
ชวี ติ ท่เี ปนมรรค
สวนมรรค ซึ่งแปลวาทาง คือทางดาํ เนินชวี ิต หรอื วถิ ชี ีวติ ที่ถกู ตองดี
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๕๓
งามของมนษุ ย กต็ องเปน วิถีชีวติ แหง การเรียนรฝู ก ฝนพัฒนาตน คือสกิ ขา
มรรคกับสกิ ขา จงึ ประสานเปนอันเดยี วกนั เมือ่ มองในแงอรยิ สจั สี่ ก็
เปน อรยิ มรรค คอื เปนวถิ ีชวี ิตอันประเสรฐิ
เมือ่ เปน มรรค กด็ ําเนนิ กาวหนา ไปสูจุดหมาย โดยกาํ จัดสมทุ ยั ใหหมด
ไปเร่ือยๆ ชว ยใหเรามีชีวิตทพ่ี ึง่ พาอวิชชา ตัณหา อปุ าทานนอ ยลงไปๆ ไมอ ยู
ใตอ าํ นาจครอบงําของมนั พรอมกับทเี่ ราจะมีปญญาเพมิ่ ข้นึ และดําเนนิ ชีวติ
ดวยปญญามากข้นึ ทกุ ขก็จะนอยลงไป สขุ จะมากข้ึนตามลาํ ดับ จนกระทง่ั
ในทส่ี ุดพอสมุทยั หมด ทุกขก็หมด ก็บรรลจุ ดุ หมายเปน นโิ รธโดยสมบูรณ
จุดเริ่มของการศึกษา มชี อ งทางทชี่ วี ติ เตรียมไวให
แตต องใชเปน จงึ จะเกิดการพัฒนา
เรื่องไมจ บเทา น้ี เมอ่ื แยกแยะออกไป ก็ถงึ องคป ระกอบทเ่ี ราตองการ
สุดยอดคือ ปญญา
อยางทีก่ ลาวแลว วา มนษุ ยจะตัง้ จติ จํานงในใจ และจะทาํ พฤตกิ รรมได
แคไ หน ก็อยูในขอบเขตของปญ ญา และปญ ญาเปนตวั แกป ญ หาท่ีแทจรงิ
แตป ญ ญาจะเกดิ ขน้ึ มาไดอ ยา งไร เรากต็ อ งรกู ระบวนการพฒั นาของปญ ญา
การทจ่ี ะเขา ใจเรอ่ื งน้ี กต็ อ งยอ นกลบั ไปพดู เรอ่ื งธรรมชาตขิ องมนษุ ยใ หมอ กี
หนั มาดทู ต่ี ัวมนษุ ยเองวา มนษุ ยเรยี นรูไดอ ยางไร และพรอมกนั นนั้
มนุษยส มั พนั ธกบั โลกและส่ิงแวดลอมอยา งไร ก็ตองดทู ่เี ครื่องมอื สอ่ื
สัมพันธร ะหวา งมนษุ ยกบั สง่ิ แวดลอ ม ซึง่ มี ๒ ประเภท คือ
๑. มนุษยสัมพันธก ับสิ่งแวดลอ มดวยสง่ิ ทีเ่ รียกวา อินทรีย หรอื
อายตนะ ๖ อยา ง คอื ตา หู จมกู ล้ิน กาย ใจ อินทรยี เ หลา น้ีเปนทาง หรอื
เปน ประตทู เ่ี ขามาของความรูข อ มูลตา งๆ ทเ่ี รยี กวา การรับรู เพราะฉะน้ัน
อนิ ทรียพวกนที้ ง้ั หมดเรียกวา ทวาร ๖ ซึ่งแปลวา ประตหู รอื ชอ งทาง
๕๔ แกน แทข องพระพุทธศาสนา
การท่เี รียกวาอายตนะ ก็เพราะเปนแดนตอระหวา งชวี ิตของเรากับโลก
และทีเ่ รยี กวาอนิ ทรยี เพราะทํางานเปนใหญใ นหนาท่ีของตัว เชน ตาเปน
อนิ ทรยี ใ นการเหน็ หเู ปนอินทรยี ในการฟง เปนตน และชอื่ วาทวาร ในแง
เปน ประตู หรอื เปน ชองทางเชื่อมตอระหวางชวี ิตกบั โลก เปน ชองทางเขา มา
ของขอมูลตา งๆ เปน ทางสัมพนั ธซึ่งมี ๖ อยา ง คอื ตา หู จมูก ลนิ้ กาย ใจ
๒. เราติดตอ สมั พันธกบั โลกภายนอก ดวยพฤติกรรมทีแ่ สดงออกทาง
ประตู หรอื ทวาร ๓ คือ กาย วาจา ใจ
เราสัมพันธกับโลกภายนอก โดยเคลอ่ื นไหวจบั โนน จบั น่ี ดว ยกาย ตดิ
ตอ สมั พนั ธส อื่ สารกบั โลกมนษุ ยภ ายนอก โดยพดู จาบอกแจง ไถถ ามชแ้ี จง
ดว ยวาจา และมเี จตจาํ นง ตง้ั เจตนา คดิ การตา งๆดว ยใจ
สรุปวา การเก่ยี วขอ งสัมพนั ธก ับสง่ิ แวดลอมในโลกทัง้ หมด มีชองทาง
ติดตอ คอื ทวาร ๒ ชดุ คือ
๑. ทวาร ประเภทชอ งทางท่จี ะรู ๖ ทาง คือ ตา หู จมูก ลนิ้ กาย ใจ
(เรยี กเต็มวา ผสั สทวาร ๖ = ชอ งทางรบั รู)
๒. ทวาร ประเภทชองทางทีจ่ ะทาํ ๓ ทาง คือ กาย วาจา ใจ
(เรียกเตม็ วา กรรมทวาร ๓ = ชองทางทาํ การ)
การเกย่ี วขอ งกบั โลกหรอื สงิ่ แวดลอ มในดา นการกระทาํ น้ี เรยี กวา กรรม
ซง่ึ แยกเปน การกระทาํ ทางกายเรียกวา กายกรรม การกระทาํ ทางวาจาเรยี ก
วา วจกี รรม การกระทําทางใจเรยี กวา มโนกรรม
เม่อื จับหลกั นไ้ี ด เรากเ็ ขา สกู ระบวนการพฒั นามนษุ ยท จ่ี ะตอ งอาศัย
ประตู หรอื ทวาร ทง้ั ๙ (๖+๓) นี้
เรมิ่ ดว ยทวารชุด ตา หู จมกู ลิน้ กาย ใจ ทเ่ี รียกวาอนิ ทรีย หรือ
อายตนะ ๖ น้ัน เราใชม นั เพือ่ อะไร มนั ทาํ หนาทีอ่ ะไร
ถาเราไมรูหนา ที่หรอื การทํางานของมัน เราก็ใชมนั สะเปะสะปะ เร่อื ย
เปอ ย คอื ใชไ มเ ปน ไมม ปี ระสิทธิภาพ เราก็ไมพัฒนา แตถ าเรารูเขาใจ และ
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๕๕
ใชมันใหถกู ตอง เรากจ็ ะพัฒนาไดอ ยางดี
พดู แบบงา ยๆ วา โดยสรปุ หนา ทขี่ องอนิ ทรยี คอื ตา หู จมกู ลน้ิ กาย
ใจ แยกได ๒ อยา ง คอื
๑. หนาที่รู คือ รบั รูขอมลู ขา วสาร เชน ตาดู รวู าเปน อะไร วาเปน
นาฬิกา เปน กลองถา ยรูป เปน ดอกไม ใบไมส เี ขยี ว สีแดง สเี หลอื ง รูปรา ง
ยาวส้นั ใหญเลก็ หไู ดย ินเสยี งวา ดัง เบา เปนถอ ยคาํ สอื่ สารวา อยา งไร
เปน ตน ทําใหไ ด data และ information
๒. หนาท่รี ูสึก หรือรบั ความรสู กึ คอื พรอมกบั รบั รขู อ มูล เราก็มคี วาม
รูสกึ ดว ย บางทีตัวเดน กลับเปน ความรสู กึ เชน เห็นแลวรูสึกสบายหรือไม
สบาย ถกู ตาไมถกู ตา สวยหรือนา เกลยี ด ถูกหูไมถ กู หู เสียงนมุ นวลไพเราะ
หรือดงั แสบแกว หรู าํ คาญ เปน ตน
จะเหน็ วา อนิ ทรีย หรืออายตนะ หรือทวาร ๖ น้ที ําหนา ที่ ๒ อยาง
พรอ มกนั ท้ังรบั รขู อ มลู ดว ย และรบั ความรูสกึ ดวย พรอมกนั
การรับดานรูข อมูล เรยี กวา ดา นศกึ ษา
การรบั ดานความรสู ึก เรียกวา ดา นเสพ
เปน อันวา อายตนะทําหนาท่ี ๒ อยา งคือ ศกึ ษา กบั เสพ
ในการดาํ เนินชีวติ ของมนษุ ยนัน้
ถา จะใหม นุษยพัฒนา มนุษยจะตอ งใชอ ินทรยี เ พือ่ รหู รือศกึ ษาใหมาก
สวนมนุษยทไ่ี มพัฒนา จะใชอินทรียเพอ่ื เสพเปน สวนใหญ บางทีแทบ
ไมใ ชเ พือ่ การศึกษาเลย เอาแตห าเสพส่ิงชอบใจไมชอบใจ ถกู หู ถูกตา เอา
สวยงาม สนุกสนานบนั เทิงเขา วา
กญุ แจสาํ คญั ทจี่ ะตดั สนิ วา มนษุ ยจ ะใหช วี ติ ของตวั เองเปน อยา งไร จะพฒั นา
หรอื ไม จะชว ยใหโ ลกหรอื สงั คมไปทางไหน กอ็ ยทู กี่ ารใชอ นิ ทรยี น แ้ี หละ
คนท่ีไมพัฒนา กจ็ ะใชอินทรียเพ่ือเสพสนองความรูสกึ อยูกับความรู
สึกสบายไมส บาย สุขทกุ ข ชอบใจไมช อบใจ แลวก็วนเวียนอยูนนั่ สขุ ทุกข
๕๖ แกนแทของพระพทุ ธศาสนา
ของเขาอยทู ี่ความชอบใจไมชอบใจ เจอสิ่งชอบใจก็เปน สขุ เจอสง่ิ ไมช อบใจก็
เปนทุกข แลว กห็ าทางหนสี ิง่ ท่ไี มช อบใจ หาแตสิ่งชอบใจ วนเวยี นอยูแคนี้
แตถาใชอ ินทรียเ พอ่ื ศกึ ษาสนองความตองการรู ก็จะใชตา หู
เปน ตน ไปในทางการเรยี นรู และจะพฒั นาไปเรอ่ื ยๆ ปญ ญาจะเกิด จะรูวา
อะไรเปนอะไร แลว ตอไปก็จะถึงจุดแยก
คนท่อี ยูก ับการใชอนิ ทรียเ พอ่ื เสพความรูสกึ ความสุขของเขากจ็ ํากดั อยู
กบั สง่ิ ท่ชี อบใจ แตค นทใ่ี ชอินทรยี เพ่ือศึกษา จะพฒั นาความสขุ ใหขยาย
ขอบเขตกวา งขวางออกไป พรอ มกับแรงจงู ใจท่เี กดิ ขนึ้ ใหมๆ
เมื่อคนเร่ิมศึกษา การพฒั นาก็เริ่มทนั ที
ความตอ งการอยางใหมก ็มี ความสขุ อยางใหมก ็มา
ตอนนพี้ ึงทราบวา มีแรงจงู ใจ ๒ แบบ
แรงจูงใจแบบท่ี ๑ คือแรงจูงใจในการเสพ เรยี กวาตัณหา ซึง่ มากับ
เรอ่ื งของความรูสึก
แรงจงู ใจแบบท่ี ๒ คือแรงจงู ใจในการศึกษา (และสรา งสรรค) เรียกวา
ฉนั ทะ ซง่ึ มากบั เรือ่ งของความรู
ตัณหาเปนความตอ งการประเภทความรูสึก คอื มีปฏกิ ริ ยิ าสนองตอบ
ตอ สงิ่ ทีช่ อบใจ-ไมชอบใจ ถาชอบใจสิง่ ใดก็จะเกดิ กามตณั หา ปรารถนาจะได
เสพส่งิ นัน้ อีกและมากข้นึ ยิง่ ขนึ้ ไป เกดิ ภวตณั หา อยากคงอยเู ปน อยใู นภาวะ
หรอื สถานะทจี่ ะไดส ง่ิ ทปี่ รารถนานน้ั ตลอดไป ถา ไมช อบใจกจ็ ะเกดิ วภิ วตณั หา
อยากจะหนี อยากจะหลบหาย อยากจะทําลาย
คนทเ่ี ปน นกั เสพจึงวนเวียนอยกู บั แรงจูงใจ ท่ีเรยี กวาตัณหา
แตพ อใชอ นิ ทรยี เ พอ่ื ศกึ ษา กเ็ กดิ การเรยี นรู พอไดค วามรมู า กจ็ ะเกดิ
ความอยากรยู ง่ิ ขน้ึ ไปวา อะไรเปน อะไร พอไดส นองความอยากรกู เ็ กดิ ความสขุ
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๕๗
จากการสนองความตองการในการรู ความสุขจะพัฒนาขนึ้ ตอนน้จี ะมี
ความสขุ จากการสนองความใฝรู
ยง่ิ กวานนั้ พอรูวาอะไรเปน อะไร เขาจะเรม่ิ แยกไดว า เออ...สิง่ นมี้ นั อยู
ในภาวะท่ีควรจะเปนไหม ปญญาทร่ี ทู ่ีแยกได จะทาํ ใหเกดิ ความอยากหรือ
ความตอ งการคืบเคลอื่ นกา วไปอกี ขนั้ หน่ึง คืออยากใหส ิง่ นน้ั ๆ อยูในภาวะที่
มันควรจะเปน ซึ่งเปนธรรมดาของการศกึ ษาท่จี ะเปนอยางนั้นเอง เพราะ
ความรทู ําใหเราแยกหรอื จาํ แนกได เราเหน็ โตะ ตัวน้สี มบรู ณเ รียบรอ ย เราก็
พอใจ พอเหน็ ตัวนน้ั ไมสมบรู ณบ กพรอ ง เราก็อยากใหม ันสมบูรณ
เม่ือความรแู ยกแยะใหแลว ก็จะเกดิ ความตอ งการหรือเกดิ ความอยาก
ชนดิ ใหม คืออยากใหมันอยใู นภาวะทีค่ วรจะเปน ซ่ึงเรยี กสัน้ ๆ วา อยากให
มนั ดี ถา มันยังไมดกี ็อยากใหม ันดี แลว กก็ า วไปสูการอยากทาํ ใหมนั ดี และ
กา วไปสูพฤติกรรมในการกระทําเพอ่ื ใหมนั ดี ตอนน้ีแหละพฤตกิ รรมในการ
กระทํา(เพอื่ ใหมันด)ี ก็เกิดข้ึน
พอทาํ ใหด ไี ด กเ็ กดิ ความสขุ เพราะความสขุ เกดิ จากการสนองความ
ตอ งการ เมอื่ เราพฒั นาความตอ งการอยา งใหมข น้ึ ได ความสขุ กพ็ ฒั นาไปดว ย
ถาเราไมพ ฒั นาความตองการ ความสขุ ของเรากจ็ าํ กัดอยูกบั การเสพ
คอื ตอ งการสง่ิ ชอบใจและไมต อ งการสง่ิ ไมช อบใจ แลว กว็ นเวยี นอยกู บั ตณั หา
พอเราพัฒนาในดา นความรู เราใชอ ายตนะในเชงิ ศึกษาเรยี นรู กเ็ กิด
ความอยากรู ซง่ึ เปน ความตองการใหม เมอ่ื หาความรูเ พ่ือสนองความ
ตอ งการท่จี ะรู ก็ไดความสุขจากการเรียนรู
เม่ือตองการใหมนั ดี อยากใหมนั ดี และไดท าํ เพอื่ สนองความตอ งการท่ี
อยากใหม นั ดนี น้ั ได กเ็ กดิ ความสขุ จากการทาํ ใหม นั ดี การกระทาํ กก็ ลายเปน
ความสขุ หรอื การสรา งสรรคเ ปน ความสขุ คนกไ็ ดค วามสขุ จากการสรา งสรรค
เพราะฉะนนั้ มนษุ ยจ งึ พฒั นาดว ยการศกึ ษา คอื พฒั นาชวี ติ ของตน โดย
พฒั นาพฤตกิ รรม พฒั นาจติ ใจ พฒั นาปญ ญา ซงึ่ รวมทง้ั พฒั นาความสขุ ดว ย
๕๘ แกนแทข องพระพทุ ธศาสนา
ตรงนี้เปนจุดสาํ คญั คือ การพัฒนาความสขุ ซ่งึ เกิดจากการสนอง
ความตองการใหม ท่ีเรยี กวา ใฝรู ใฝดี ใฝทาํ ใหด ี หรอื ความอยากรแู ละ
อยากทาํ ใหมนั ดี ซึ่งทางพระเรยี กวา ฉันทะ เปนแรงจงู ใจชนดิ ใหม ซึ่งถา ไม
มีการศกึ ษา กจ็ ะไมมแี รงจูงใจชนดิ น้ี
ฉะนนั้ พระพุทธศาสนาจงึ ใหเราลดตณั หา พยายามทาํ ตัณหาใหน อ ยลง
คอื อาศยั มนั และขนึ้ ตอ มนั ใหน อ ยลง พรอ มกบั พฒั นาและใชฉ นั ทะใหม ากขนึ้
แตเรามักจะพดู กนั ดานเดยี ว บอกใหล ดละตณั หา ทาํ ใหเกดิ ความเขา
ใจผิดวา ความอยากความตองการตอ งลดละใหห มด กลายเปนความผดิ
พลาดอยางใหญห ลวง
พระพุทธศาสนาแยกไวว า ความอยาก มี ๒ ประเภท คือความอยากท่ี
เปน กุศล กบั ความอยากทเ่ี ปน อกศุ ล
๑. ความอยากท่ีเปน อกศุ ลเรยี กวา ตณั หา ความอยากแบบนี้ ถาเราตก
เปนทาสของมันแลว จะไมพัฒนา ไดแ ตจ มอยูกบั ความสุขและความทุกข
จากความชอบใจและไมชอบใจ
๒. ความอยากท่เี ปน กุศลเรยี กวา ฉนั ทะ ถา เราพัฒนาปญญา ความ
ปรารถนาท่ีเปน แรงจูงใจชนิดใหมกจ็ ะเกิดขนึ้ ซ่งึ ทาํ ใหเ ราไดความสุขชนิด
ใหม และจะนาํ เรากา วหนาไปในการพฒั นาชีวิต
พอเกิดฉันทะ พระพทุ ธเจาตรัสวา น้คี อื แสงเงินแสงทองของชีวติ ที่ดี
งาม เปนรุง อรุณของการศึกษา
ถา เดก็ คนไหนเกดิ ฉนั ทะ เกดิ ความใฝร ู เกดิ ความใฝด ี เกดิ ความใฝจ ะทาํ
ใหด ี หรอื เกดิ ความใฝส รา งสรรคข น้ึ มาแลว มน่ั ใจไดเ ลยวา เดก็ คนนนั้ จะพฒั นา
แนๆ เพราะแสงเงนิ แสงทองมาแลว เราจงึ เรยี กมนั วา รงุ อรณุ ของการศกึ ษา
เพราะฉะน้ัน ตอ งใหค นเกิดความอยากที่เรยี กวาฉันทะ และเลิกละ
ความเขา ใจผดิ ทบ่ี อกวา ความอยากเปน ตณั หาหมด ซึ่งทาํ ใหเ ลยเถดิ ไป
กลายเปน วา อยากอะไรไมไ ด ตอ งละ ตองลด ตองกาํ จัดหมด
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๕๙
ถาจะปฏิบัตใิ หถกู ตองไมมัวลดละความอยาก แตตองเปลีย่ นความ
อยากที่เปน อกุศล มาเปนความอยากที่เปน กศุ ลคือฉันทะน้ใี หได ชีวิตกจ็ ะ
ดี ชาตปิ ระเทศกจ็ ะพฒั นา ใฝร ู ใฝด ี ใฝส รา งสรรค หรอื ใฝร -ู ใฝด -ี ใฝท าํ ให
มนั ดี นค่ี ือกุญแจดอกแรกทีจ่ ะไขเขาไปสแู กน แทข องพระพทุ ธศาสนา
ตอ งเขา ใจระบบ ถา ไมเ ขา ใจระบบของพระพุทธศาสนาอยา งเปนภาพ
รวมแลว เราจะไมมวี ันเขา ใจพระพทุ ธศาสนาท่แี ทจ ริงเลย
ไดพยายามพูดใหเห็นตัวแทของพระพุทธศาสนาคือการเขาถงึ ความจรงิ
ของธรรมชาติ และนาํ ความรใู นความจริงของธรรมชาติน้ันมาใชประโยชนใ น
การพัฒนาชวี ติ ของมนุษย ใหเ ปนชวี ิตที่ดงี าม และมสี ังคมทอี่ ยูในสนั ติสุข
เริ่มแรก พอเกิดมา เราก็มีอนิ ทรียท เ่ี ปน เครอ่ื งมอื ในการดาํ เนินชวี ิต ซึง่
ใชต ดิ ตอ สอ่ื สารกับส่งิ แวดลอ มหรือโลกภายนอก ตอนน้แี หละการดําเนนิ
ชีวติ ท่ีถูกหรอื ผิด ก็เร่ิมทันที
จากท่พี ูดมาน้ี กเ็ ปน อันวา ชองทางติดตอสอื่ สารกับโลกโดยทาง
อายตนะ หรืออินทรยี ๖ ท่ีเปนทง้ั แดนศกึ ษาและแดนเสพน้ี ในการพัฒนา
คน เราตองใชม นั เพ่อื การศกึ ษาใหม ากข้ึน ใหเ กดิ ความใฝร -ู ใฝดี-ใฝท าํ ใหดี
พดู ส้นั ๆ ก็คือ ใฝศกึ ษาและใฝส รา งสรรค
ใฝรู กค็ อื ใฝศ ึกษา ใฝดี-ใฝทาํ ใหม นั ดี กค็ อื ใฝส รา งสรรค
การพัฒนามนุษยม ีแหลง ใหญอ ยูในมโนกรรม
จดุ สาํ คัญน้ถี าพลาดไป ก็คอื ชอ งทางใหญใ หหายนะเขา มา
ไดพดู แลววา มี ทวาร คอื ชองทางอีกประเภทหน่ึง คือชอ งทางของการ
กระทาํ ไดแ กก ารแสดงออกทางกายวาจาใจ
เมือ่ เกิดมปี ญ ญา และมีเจตจาํ นงที่ดีมากข้ึน เราก็พฒั นาการกระทาํ ของ
เราทง้ั ๓ ทางนนั้ ใหดยี ิง่ ข้นึ คอื
๖๐ แกน แทข องพระพุทธศาสนา
มโนกรรม ความคดิ ของเรากด็ ขี นึ้
วจกี รรม การพดู ของเราก็ดีขึ้น
กายกรรม การกระทําทางกายของเราก็ดีขนึ้
กรรม ๓ ทางนก้ี ็เปนกระบวนการพฒั นามนษุ ยทคี่ รบวงจร
จาํ ไวอ ยางหน่ึงวา พระพุทธศาสนาถอื วา มโนกรรมสาํ คญั ทสี่ ดุ
คนทั่วไปมักเห็นวากายกรรมสําคญั ทสี่ ดุ เพราะถึงขน้ั ลงมอื ลงไม เอา
อาวธุ ไปฟน ไปฆา เขาได
แตข อใหพ จิ ารณาดหู ลกั ทพี่ ระพทุ ธเจา ตรสั ไวว า “กมมฺ นุ า วตตฺ ตี โลโก”
โลก(สงั คมมนษุ ย) เปน ไปตามกรรมนนั้ เงอ่ื นไขนม้ี าจากมโนกรรมเปน สาํ คญั
โลกนที้ ง้ั โลก ไมใ ชถ กู ขบั เคลอ่ื นดว ยกายกรรมเปน ใหญ แตม นั มาจาก
มโนกรรม กระบวนการรสู กึ นกึ คดิ เชอ่ื ถอื ในใจของคนนแี่ หละเปน ปจ จยั สาํ คญั
เจตจาํ นงแรงจงู ใจมาจากไหน กม็ าจากแนวความคดิ มาจากความเชอื่ มา
จากความยดึ ถอื ในคา นยิ มหลกั การอดุ มการณเ ปน ตน ตรงนแี้ หละสาํ คญั ทสี่ ดุ
เมือ่ มคี วามเชือ่ มีแนวคิด มีการยดึ ถอื อดุ มการณ หรอื แมเ พียงคา นยิ ม
ซึง่ ทางพระใชศ ัพทเ ดียวงายๆ วา “ทฏิ ฐ”ิ ถาทิฏฐิเปนอยางไรแลว แรงจูงใจ
เปนตนจะมาสนอง แลวตอ ไปกระบวนการของกรรมกด็ าํ เนินไป โดยแสดง
ออกมาทางกายวาจา ซงึ่ เปน ไปตามที่เชือ่ หรอื ยึดถือนัน้
ยกตัวอยางเชน วา ถา มนุษยเช่อื หรือยึดถอื หรือมีแนวความคดิ วา
มนษุ ยจะประสบความสําเรจ็ ชวี ติ ของเราจะสุขสมบรู ณ ตอ เมอื่ มวี ัตถุพรัง่
พรอ ม หรอื มีเศรษฐกจิ ม่ังคั่งท่ีสดุ ถา มีความเชอ่ื หรอื มีแนวความคิดแบบนี้
กระแสวัฒนธรรมอารยธรรมจะไปตามท้งั หมด สงั คมจะเดินไปตามน้ี
ดว ยอทิ ธพิ ลของความเชอ่ื นี้ มนษุ ยจ ะมงุ ทาํ การทกุ อยา งเพอื่ สรา งความพรง่ั
พรอ มทางวตั ถุ กระแสวตั ถนุ ยิ มจะรนุ แรงขนึ้ จนกระทงั่ กลายเปน บรโิ ภคนยิ ม
สงั คมบริโภคนยิ ม กค็ อื สงั คมซึ่งมีฐานความคิดทเี่ ชือ่ วามนุษยจ ะมี
ความสุขสมบูรณเ มอ่ื วตั ถุมเี สพพร่งั พรอม
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๖๑
กระแสวัฒนธรรมอารยธรรมปจจุบันเปล่ียนมาเปนบริโภคนิยมเชนน้ี
เพราะมีทฏิ ฐิ ท่ีเปนฐานความคิดหรือความเช่ือ ซึง่ สบื มาจากตะวันตก ท่ไี ด
สรางสรรคค วามเจริญทางวตั ถขุ ้นึ มา โดยเฉพาะทเี่ ดน ทางวทิ ยาศาสตรและ
เทคโนโลยี แลวเอาวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยีมารับใชส นองอุตสาหกรรม
ทาํ การผลติ ใหเ กิดความเจรญิ ทางเศรษฐกิจ
ตวั การสําคัญในกระบวนการนีค้ อื อตุ สาหกรรม ซ่ึงเดิมทีฝร่งั มุงระดม
กาํ ลงั ทาํ การผลติ เพอื่ แกป ญหาความขาดแคลน (scarcity) แตพออยูในวถิ ี
ชวี ิตของการผลิตสรา งวัตถไุ ปนานๆ และจติ ใจครนุ คิดมงุ หมายท่จี ะมคี วาม
พรั่งพรอ มทางวตั ถุ ไปๆ มาๆ โดยไมต อ งรูต วั ฝรงั่ ทั่วๆ ไปก็กลายเปน วตั ถุ
นิยม หรอื มแี นวคิดทฏิ ฐิวตั ถุนิยมเปนกระแสหลัก
กลายเปนแนวคิดทฏิ ฐิวา คนจะมคี วามสุขมากท่สี ุด เมือ่ มีวัตถุเสพ
บริโภคมากมายพรั่งพรอมทีส่ ดุ แลว กเ็ ปดทางแกลทั ธิบรโิ ภคนยิ ม
ความเปน ไปทัง้ หมดนม้ี จี ดุ เร่มิ ทโ่ี ยงกบั ฐานความคดิ ใหญ คือความมงุ
หมายท่ีจะพิชติ ธรรมชาติ
Encyclopaedia Britannica เขยี นไวในหวั ขอ “History of
Science” บอกวา เมอื่ ถอยหลังไปพนั ปกอนโนน ตะวนั ตกลาหลังตะวนั
ออกในดา นการปฏิบัติจดั การกับธรรมชาติ คือดา นวิทยาศาสตรแ ละ
เทคโนโลยี แตดว ยความมุงหมายทีจ่ ะเอาชนะธรรมชาติ จงึ ทาํ ใหต ะวนั ตก
สามารถลาํ้ หนา ตะวนั ออกไปไดใ นดา นวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยนี ัน้
มีหนงั สอื เลม หนงึ่ ชอ่ื วา A Green History of the World เขียนโดย
Clive Ponting ไดพยายามขบคดิ ในเรื่องการแกปญ หาธรรมชาตแิ วดลอม
เสยี หนังสือนน้ั ไดวิเคราะหแ นวคดิ ของตะวนั ตกใหเหน็ วา อารยธรรมทท่ี าํ
ใหธ รรมชาติแวดลอมเสยี นเี่ ปน มาอยางไร
มบี ทหนง่ึ เขาไดสืบสาวความคดิ ของชาวตะวันตก ตง้ั แต Socrates,
Plato, Aristotle จนมาถึงนักจติ วิทยาอยาง Freud รัฐบรุ ษุ อยา ง Francis
๖๒ แกนแทข องพระพุทธศาสนา
Bacon นกั ปรัชญาผูนําทีเ่ ปน บดิ าแหง วิทยาศาสตรส มยั ใหมด ว ยอยา ง
René Descartes ตลอดจนนกั คดิ ฝายสงั คมนิยมคอมมวิ นิสตท งั้ หมด
ลวนมวี าทะที่พดู ถึงความใฝฝน หรอื ความกระหายทจ่ี ะพิชติ ธรรมชาติ
นกั ประวัตศิ าสตรโ ซเวียตคนหน่งึ ถงึ กบั เขียนไววา ตอ ไปเม่อื มนุษย
เจริญดวยวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ธรรมชาตจิ ะเปนเหมอื นข้ผี ึง้ อันออ น
เหลวในกํามอื ทีเ่ ราจะปนใหเ ปน อยา งไรกไ็ ด Descartes ก็พดู ไวแ รงมาก
Plato, Aristotle ก็พดู แนวน้ีทงั้ น้นั
น่ีคือจุดมุงหมายท่ีนําทางความคิดความเชื่อของตะวันตกมาตลอดเวลา
๒ พันกวา ป คอื ความเชือ่ และมงุ หมายใฝฝน วา เม่อื ไรมนษุ ยพ ิชิตธรรมชาติ
ไดสําเรจ็ โลกมนุษยจ ะพร่งั พรอมสุขสมบูรณ เปน โลกทเี่ ปนสวรรคบ นดนิ
ดว ยความเช่ือน้ีแหละ จงึ ทําใหมนุษยชาวตะวนั ตกไดเ พียรพยายาม
แสวงหาความรใู นความเรน ลับของธรรมชาติ แลวพัฒนาวิทยาศาสตรและ
พัฒนาเทคโนโลยขี นึ้ มา
มโนกรรม คอื แนวคิดความเชอ่ื ท่ีวานี้ อยูเบื้องหลังอารยธรรม
ปจ จุบันทัง้ หมด
นีค่ ือตวั อยางความหมาย ท่พี ระพทุ ธเจาตรสั วา มโนกรรมสาํ คญั ท่ีสุด
การพัฒนาคน พัฒนาสังคม ไมม ที างไดผ ลจริง
ถา ทอดทิ้งฐานของการพัฒนา คือมโนกรรม
เปน อันวา อารยธรรมปจ จุบนั ที่มีตะวันตกเปน ตัวแทนนี้ เจริญมาดว ย
แนวคิดพน้ื ฐานคือความมงุ หมายพิชติ ธรรมชาติ แลว ปจจบุ นั น้ตี ะวนั ตกก็
กลบั มาติเตยี นแนวคิดน้ี พรอ มท้ังติเตียนบรรพบรุ ุษของตนเอง
ดังเชนหนังสือเลม ที่กลา วถึงเม่ือก้ี ไดติเตยี นบรรพบรุ ุษชาวตะวันตก
เตม็ ท่ี วา ลวนแตเช่อื ผดิ ถอื ผิดคดิ เห็นผดิ พลาดไป มงุ หมายแตจ ะเอาชนะ
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๖๓
ธรรมชาติ จงึ ทาํ ใหเกดิ ปญหาสิง่ แวดลอมในปจจบุ นั ซ่ึงเปนปญหาใหญท่สี ดุ
ตามแนวคดิ ทฏิ ฐขิ องตะวนั ตกนน้ั มนษุ ยม องธรรมชาตเิ ปน ศตั รู จงึ
พยายามเอาชนะมนั แลว กจ็ ดั การกบั มนั ตามชอบใจ โดยไมม คี วามรบั ผดิ ชอบ
อยา ง Al Gore รองประธานาธบิ ดอี เมริกา ซ่งึ เปนนกั สง่ิ แวดลอ ม คือ
environmentalist ดวย ไดเขยี นหนงั สือขน้ึ มาเลมหนึ่งชอ่ื วา Earth in
the Balance โลกในภาวะดลุ ยภาพ แกบอกวา เรายอมรับวา ตะวนั ตกมี
แนวคดิ ทท่ี ําใหอ ารยธรรมของเรานไ้ี มมคี วามรบั ผดิ ชอบตอ ธรรมชาติ คดิ จะ
ทําอะไรกบั ธรรมชาติตามชอบใจ
ความสํานึกผิดและความผิดหวังตอแนวคิดทิฐิท่ีจะพิชิตธรรมชาติของ
ตะวันตกน้ี ไดเปน เหตุใหฝ รงั่ หาทางแกไ ข รวมทั้งการหันมาสาํ รวจและแสวง
หาแนวคดิ ตะวันออก และแมแตค วามคิดของชนอนิ เดียนแดง
เวลาน้ี อนิ เดยี นแดงทเ่ี คยถกู เหยยี ดหยามกลบั ไดร บั ความชน่ื ชม ฝรงั่
อเมรกิ นั หลายคน เชน Al Gore นนั้ แหละ ไดย กวาทะของ Seattle หวั หนา
เผา อนิ เดยี นแดง ซงึ่ เอาชอื่ มาตงั้ เปน ชอ่ื เมอื ง Seattle ในอเมรกิ า ขนึ้ มาเอย อา ง
ตามเรือ่ งวา เมอ่ื ครั้งประธานาธบิ ดี Franklin Pierce ติดตอขอซอื้ ที่
ดนิ ของอนิ เดียนแดง หัวหนาเผาคนน้ีไดม ีหนังสือตอบประธานาธบิ ดไี ปวา
“อะไรกนั ผืนฟา และแผนดิน ทานจะเอามาซื้อขายไดอยางไร นีเ่ ปน
ความคดิ ที่แปลกประหลาด”
ตอนน้ี คนอเมริกนั ยคุ ปจ จบุ นั หนั มายกยองสรรเสริญวาอนิ เดียนแดงมี
ความคิดท่ีถูกตอ ง
นีแ่ หละ... ความคิดพิชิตธรรมชาตเิ ปนเบอ้ื งหลังอารยธรรมปจจบุ ัน ซ่ึง
เฟอ งฟูเตม็ ที่ในยคุ อุตสาหกรรม ทม่ี นุษยเ อาความรวู ทิ ยาศาสตรมาประดษิ ฐ
อปุ กรณเทคโนโลยี แลว ก็พฒั นาอุตสาหกรรม เพอ่ื ความเจรญิ ทางเศรษฐกจิ
ดวยความมุงหมายท่จี ะสรางวตั ถใุ หพ รัง่ พรอ ม ตามความเชื่อวา
“มีเสพบริโภคมากท่ีสดุ จะเปนสขุ ท่ีสุด”
๖๔ แกนแทของพระพุทธศาสนา
แนวคดิ ทฐิ คิ วามเชอื่ ทีเ่ ปน มโนกรรมนี้ เปน อทิ ธิพลสําคญั ท่สี ุด ทจ่ี ะ
เปนตัวกาํ หนดวิถชี ีวิตและสังคม ถาคนในสังคมไทยมีความเช่อื วา ผลสาํ เร็จ
จะเกิดขนึ้ จากการดลบันดาลของอํานาจเหนอื ธรรมชาติ ถา คนไทยเชอื่ อยา งน้ี
สังคมไทยจะเปนอยา งไร ขอใหพ ิจารณา แลว ขณะน้ีเปน หรือเปลา
สังคมไทย จะโดยรูตวั หรอื ไมร ตู ัวกต็ าม ไดต กอยใู ตแนวคิดความเช่ือ
วา ผลสําเร็จจะเกดิ ข้นึ ไดด วยอาํ นาจดลบันดาลของสิง่ ที่นอกเหนอื ธรรมชาติ
นี่คอื จดุ ท่เี ราจะตอ งแกปญ หาสงั คมไทยถึงขน้ั มโนกรรม
เหมอื นกับท่ีฝรงั่ ขณะนกี้ ําลงั หาทางแกป ญหาการพัฒนาทไี่ มยง่ั ยืน ตอ ง
ลงไปถงึ ข้นั รากฐานความคดิ ถงึ ขน้ั ตอ งแกค วามเชือ่ ในการพชิ ิตธรรมชาติ ที่
ถอื วา มนษุ ยจะมีความสาํ เร็จและสขุ สมบรู ณ ตอ เม่อื มอี ํานาจจดั การกบั
ธรรมชาตไิ ดตามตองการ
แนวคดิ ทฐิ สิ องอยา งนี้ เปน ปญ หาเกยี่ วกบั การพฒั นา ทสี่ ดุ โตง ไปคนละ
ดา น
แตจ ุดทเ่ี ปนตัวแทของปญหาก็อยูที่ปมเดยี วกนั คอื มันบงชว้ี า
มโนกรรมสาํ คญั ทสี่ ุด และที่วา โลกน้ีเปน ไปตามกรรม ก็คอื เปนไปตาม
มโนกรรมอยา งทวี่ าน่ันแหละ
ตราบใดยงั ไมถงึ จุดหมาย ยังมีชวี ติ อยู ก็ตอ งศึกษา
ความหมายของธรรมที่ปฏบิ ัติ จึงวดั ดว ยไตรสกิ ขา
อีกเรอื่ งหนึ่งทอ่ี ยากจะพดู ไว คือเกณฑวินจิ ฉยั ความหมายของหลัก
ธรรมในพระพุทธศาสนา วา ปฏิบตั ิอยา งไรถูกอยางไรผิด
เวลาศึกษาหลกั ธรรมตางๆ เรามกั เนน เรือ่ งความหมายกนั แควา ธรรม
ขอนีค้ อื อะไร มีความหมายวา อยา งไร แตการใหค วามหมายเทานนั้ ยังไมพ อ
ตอ งมเี กณฑท่ีสัมพนั ธก บั ระบบทง้ั หมดได
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๖๕
ธรรมท้ังหมดสมั พนั ธสงผลตอ กนั เปน กระบวนการ และอยูใ นระบบ
เดียวกนั อยางทพ่ี ดู ถึงไตรสกิ ขา ก็เปน ระบบในตัวของมนั แลวระบบของ
ไตรสกิ ขาน้ันก็ยังไปเปน สวนยอยที่รวมอยใู นระบบใหญข องอริยสัจ ท่คี ลมุ
ระบบใหญของธรรมชาตทิ ัง้ หมดอีกช้ันหน่ึง คอื วา ดวยกฎธรรมชาตทิ ค่ี รอบ
คลุมท้ังความเปน จรงิ ของธรรมชาติทวั่ ไป และโยงมาถึงชวี ติ มนุษยที่เปน
ธรรมชาติสว นหนึ่งดว ย
เกณฑท จี่ ะใชต รวจสอบนี้ ตอ งใหเ หน็ ความสมั พนั ธเ ชอื่ มโยงในระบบ
เกณฑห นง่ึ ก็คือไตรสิกขาเองนน่ั แหละ เนอ่ื งจากวาคณุ สมบตั ิและขอ ปฏบิ ตั ิ
หรอื หลักธรรมทกุ อยา งกอ็ ยใู นกระบวนการปฏบิ ตั ทิ เ่ี รยี กวา ไตรสกิ ขาทงั้ หมด ไม
เกนิ จากนไ้ี ปได เมอื่ เปน เชน นน้ั มนั จะตอ งมสี ว นรว มสง ผลอยใู นกระบวนการ
ของไตรสกิ ขา
ไตรสกิ ขา คอื อยา งไร คอื กระบวนการศกึ ษาฝกฝนพัฒนามนษุ ย
กระบวนการนี้มขี อ ปฏิบัติยอ ยๆ ท่สี งผลตอ ทอดกันคบื หนาไปเรื่อยจนกวา
จะถึงจุดหมาย ถา ไมถ ึงจุดหมายก็ตองไมหยดุ
เพราะฉะน้ัน ก็เทากบั มีเกณฑท ่ีบอกวา ขอ ปฏบิ ัตหิ รือหลกั ธรรมทกุ ขอ
เราจะตองชัดวามันสงผลใหมีการกาวหนาไปในกระบวนการของไตรสิกขา
อยางไร คอื จะตองทาํ ใหเราเดนิ หนา และสง ผลตอ ใหข ออื่นรบั ชว งไป จนถงึ
จุดหมายสุดทา ยน้ัน
รวมความวา ธรรมะตางๆ ท่เี ปน องคประกอบในกระบวนการไตรสกิ ขา
นี้ ตองมลี กั ษณะ ๒ อยา ง คือ
๑. ทําใหค ืบเคล่อื นหรอื กา วหนาไป
๒. สงผลตอขออนื่
ยกตวั อยาง เชน ในการปฏบิ ัติ สมาธิ เราไดค วามหมายของสมาธิไวแ ต
ตน วา จิตตงั้ ม่นั สงบ แนวแน
พอจติ ตงั้ มน่ั สงบแนว แนไ ดต ามความหมายแลว เรากพ็ อใจ นกึ วา ถกู แลว
๖๖ แกน แทของพระพทุ ธศาสนา
แตย งั หรอก ลองเอาเกณฑม าตรฐานมาวดั วา ถกู ตามหลกั ไตรสกิ ขาหรอื ไม
พอวดั ดว ยเกณฑนี้ เรากจ็ ะมองเหน็ ตอ ไปอีกวา ออ ถา ปฏิบัติสมาธิถูก
จะไมใชห ยดุ อยูแ คนน้ั คือไมต ิดอยูแ คสมาธิ แตส มาธติ องชวยใหเ รากาวตอ
ไป แลวก็ดูวาสมาธิสง ผลตอ ปญญาอยางไร ถา ไมสงผลตอ กแ็ สดงวา พลาด
สมาธิน้ันมีผลดีหลายอยา ง มีทง้ั ผลโดยตรงและผลขางเคยี ง เชน ทาํ ให
จติ ใจสงบ สบาย มคี วามสุข ทําใหจติ ใสมองเห็นอะไรชัดเจน และทําใหเกิด
กําลัง ทําใหม งุ แนว ไปอยา งแรง เหมือนกระแสนา้ํ ทีไ่ หลลงมาจากภเู ขาวิ่งไป
ทางเดียว มกี ําลงั แรงมาก เจออะไรก็พัดพาไปได
สรปุ วา จิตสมาธิมีคุณสมบตั ิ หนง่ึ ...มีพลัง สอง...สงบสบายมีความสขุ
สาม...ใส มองเห็นอะไรๆ ชัดเจน
เม่ือไดค ณุ สมบตั เิ หลาน้ี เรากเ็ อามาใชอ ยางใดอยา งหน่ึง เชน พอสงบสขุ
สบาย กอ็ าจจะเอามาใชใ นการแกป ญหาชวี ิตประจาํ วัน เวลามคี วามทุกขก็มา
นงั่ สมาธิใหจิตใจสงบ เพลนิ สบาย หายทุกข ซงึ่ ก็ไดป ระโยชนอ ยางหน่ึง แต
ยงั ไมถ กู ตองตามหลกั ไตรสกิ ขา
ถา ใชป ระโยชนเ พยี งแคน ้ีกก็ ลายเปนหยุด ไมกา วตอไป อาจจะเขวออก
เปน มจิ ฉาสมาธิ ไดแคเปนสง่ิ กลอ ม เหมือนยากลอมประสาทเปนตน เอาแค
สบาย ไมตองคดิ ตองทาํ อะไร มีทุกขกเ็ ขามาหลบ ซึง่ มที างพลาดไดมาก
วสิ ทุ ธมิ รรคบอกวา สมาธนิ ั้นเขาพวกกันไดกบั ความขเ้ี กยี จ (สมาธสิ ฺส
โกสชชฺ ปกฺขตตฺ า) เพราะวา มนั สงบสบาย ก็โนมเอียงไปทางเกียจคราน เฉ่อื ย
ชา ไมอ ยากทําอะไร กลายเปน ตกหลมุ ความประมาท นัน่ ก็คอื เรมิ่ เขว ฉะนน้ั
การใชป ระโยชนจากสมาธิจะตองระวัง ถาใชไ มเปนก็เกิดโทษได
สังคมไทยบางทีศกึ ษาธรรมะไมตลอดกระบวนการ และไมม หี ลกั ใน
การวนิ ิจฉัย คนไทยไมนอ ยเอาสมาธมิ าใชแคห าความสขุ สงบสบาย ซึ่งก็ใช
ไดในระดบั หนง่ึ ทา นไมไ ดปฏเิ สธ จะเอามาใชเ ปนเคร่อื งพกั ผอ นจิตใจหรอื
แกป ญ หาความทกุ ขก็ได อยา งนอ ยทําใหน อนหลับได ทําใหมจี ิตใจสดชื่นข้ึน
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๖๗
แตตอ งมองตอ ไปวา ประโยชนยังไมจบแคน ้ัน สมาธิชวยใหเ รามคี วาม
เขม แข็งพรอ มที่จะเดินหนาตอ ไปดวย
จงึ ตอ งมองตอ ไปอกี วา จะมอี งคธรรมอะไรมารับผลจากสมาธิ เพ่อื จะ
กาวตอ ไป ก็จะเห็นหลกั ในไตรสิกขาวา จะตอ งสง ผลตอ ใหปญ ญามารบั ชว ง
ทาํ งานเดินหนา ตอไป
ประโยชนท ส่ี าํ คัญของสมาธิ คอื ทําใหจติ เปน “กมั มนยี ” แปลวา ควร
แกงาน หรือเหมาะแกงาน คือใชเปนท่ที ํางานซึง่ ปญญาจะทําหนาท่ีไดด ี เชน
มองเหน็ ชดั สาํ รวจตรวจสอบไดเ ปนลําดับ พจิ ารณาไดลกึ ซึง้ วิเคราะหวจิ ยั
ไดล ะเอยี ด จนเขา ถึงความจรงิ แจมแจง
สมาธิท่ที าํ ใหคนหยดุ ศกึ ษา แสดงวา เปนสมาธทิ ีใ่ ชผ ดิ
สมาธเิ ตรียมจิตพรอมใหปญญาทาํ งานเดินหนา ฉนั ใด
สันโดษกเ็ ตรยี มตัวพรอมใหม งุ เพยี ร ไมพ ะวักพะวน ฉันนั้น
อกี ตวั อยา งหนึง่ คือ สันโดษ ซ่งึ ทําใหพอใจในวัตถุเสพบรโิ ภคของตน มี
เทา ไรก็ยนิ ดีเทาน้ัน
หลายคนบอกวา สนั โดษแลว จะไดม ีความสขุ กถ็ ูกตอง แตผิดดว ย ถา
ใครตอบวาสันโดษเพอื่ สขุ กผ็ ิดแนๆ พุทธศาสนาไมไดสอนอยา งนั้นแคนน้ั
ความสุขเปนผลพลอยไดของสนั โดษ พอสันโดษก็สุขทนั ที มันเปนผล
พลอยไดตามมาเอง แตย งั ไมใ ชว ัตถปุ ระสงค ผลที่ตองการไมไดอ ยทู ีน่ ่ี ผล
ท่ตี องการจากสนั โดษคอื อะไร
เราสนั โดษแลว จะไดอะไรขน้ึ มา ท่ีจะเปนความคบื หนา และชวยให
กาวตอไปในไตรสิกขา
พอสนั โดษในวตั ถุ เราก็สุขกบั วตั ถุท่มี อี ยูหรือไดม าแลว สุขงา ยดวย
วัตถุนอย มวี ัตถุแคน ก้ี ็สขุ แลว
๖๘ แกน แทข องพระพทุ ธศาสนา
ตรงขา มกับตอนทีไ่ มสนั โดษน่ี เราไมสุขสกั ที ความสุขของเราไปอยูกับ
วตั ถุท่ยี ังไมได เราจงึ กระวนกระวายโลดแลน หาวตั ถุเสพ
เวลาของเราก็ใชหมดไปกับการโลดแลน หาส่งิ เสพเพือ่ บาํ รุงบาํ เรอตวั เอง
แรงงานก็ใชหมดไปกับเร่ืองนี้ ความคิดก็ครุนวุนวายกับการท่จี ะไปหาสิง่ เสพ
วา ทาํ อยางไรจะไดอนั นน้ั อันน้มี า
ความไมส ันโดษจึงทาํ ลายเวลา สิ้นเปลืองแรงงาน และส้ินเปลือง
ความคดิ ท่จี ะใชใ นการสรา งสรรค
เพราะฉะนนั้ ทา นจึงใหสันโดษ เพ่อื จะไดสขุ กับวตั ถไุ ดง าย พอสุขกบั
วตั ถไุ ดง า ยแลว เราไมใชอ ยูเฉยๆ งานการหนา ทีข่ องเรามอี ยแู ลว ตอนนเ้ี วลา
แรงงานและความคิด เราออมไวไ ด เรากเ็ อาเวลาเร่ียวแรงความคิดนั้นไปทุม
เทใหกับการทาํ กจิ หนา ที่ งานการกจิ หนา ทน่ี ั้นกเ็ ดินหนา กา วไปไดดี
สรปุ วา สันโดษเพ่ือเตรียมพรอ ม สันโดษเปนธรรมะขนั้ เตรยี มพรอม
คอื ใหพรอ มทีจ่ ะกาวตอ ไป
ธรรมะนี่ มที ัง้ ข้ันเตรียมตัวใหพรอ ม และขนั้ กาวเดนิ
สนั โดษเปนธรรมะประเภทเตรยี มตัวใหพรอ ม พอเราพรอมแลว เราไม
พะรุงพะรงั ไมม วั กังวล ไมม ัวพะวกั พะวนกับการหาส่งิ เสพบํารุงบาํ เรอตัว
เอง ทีนจ้ี ะทาํ งานการสรา งสรรคอ ะไร ก็ไปมุงหนา แนวด่งิ ไปเลย
พระพุทธเจา ไมตรสั สันโดษไวโดดเดีย่ ว หรอื ลอยๆ แตตรสั ไวกับการ
ทําหนา ทแ่ี ละความเพียรในการทาํ หนา ทน่ี นั้ เชน สําหรบั พระสงฆ ทรงสอน
ใหส ันโดษในจวี ร บณิ ฑบาต เสนาสนะ เสร็จแลว กใ็ หยนิ ดใี นการละอกศุ ล
และพัฒนากศุ ล ทรงสอนใหไ มสันโดษในการพฒั นากศุ ลนั้น
พดู ส้นั ๆ วา ใหส นั โดษในวัตถเุ สพบรโิ ภค แตใหไมส ันโดษในกศุ ล
ธรรมทง้ั หลาย
ถาเปน กศุ ลธรรม สงิ่ ท่ดี ีงาม การสรา งสรรคค ุณความดีทปี่ ระเสริฐ พระ
องคทรงสอนไมใ หส นั โดษ
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๖๙
พระพทุ ธองคเ องก็ไมสันโดษ และเพียรไมระยอ หลักการนีม้ ีทั้งในพระ
สตู รและอภธิ รรม
ถา สอนสันโดษ ตอ งสอนความไมส ันโดษดวยพรอมกัน และตอ งรูว าให
สนั โดษในอะไร ไมส ันโดษในอะไร คือ
๑. ใหส ันโดษในวตั ถุเสพ ที่จะบาํ รงุ บําเรอตนเอง หาความสขุ สวนตวั
๒. ใหไ มส นั โดษในกศุ ลธรรม ในการทาํ ความดงี าม ในการทาํ การสรา งสรรค
สันโดษกบั ไมส นั โดษจงึ ไปดวยกันไดอ ยางดี สนั โดษมาหนุนความไม
สันโดษ ชว ยใหเ รากา วตอไปในไตรสิกขา ใหสามารถทํากรรมที่ดียิง่ ขึ้น ใน
การทจ่ี ะพัฒนาชีวิตและสังคม
น่เี ปนตัวอยางของเกณฑว ินจิ ฉัย
ถาคนไทยตัง้ อยใู นหลักสี่ จะไมตกหลุมวิกฤติ
ถึงแมถ ลาํ ไป กจ็ ะถอนตวั ข้ึนสวู วิ ฒั นไดโดยพลัน
หลกั ธรรม ๔ ประการตอ ไปนี้ เปน หลักการใหญข น้ั พ้ืนฐานของพระ
พุทธศาสนา ซึง่ พระพุทธเจา ตรัสยํ้าอยเู สมอ แตตามปกตติ รัสไวเ ปน อสิ ระ
จากกัน เพราะมนี ยั โยงถึงกนั หรือครอบคลุมกัน ในทนี่ ขี้ อยกมาย้ําไวในที่
เดยี วกนั ถือวาเปน แกน แทท ่ีปฏบิ ตั ิไดทันที และเหมาะกบั สถานการณ
ปจ จุบันของสงั คมไทย จึงขอนํามากลาวปด ทายเทา ท่ีเวลาจะพอมี
หลักสําคญั เหลา นี้จะตอ งใชใ นยคุ ปจ จบุ นั โดยเฉพาะในการแกว ิกฤติ
ของสงั คมไทย และสรา งสรรคประเทศชาตติ อ ไปขางหนา คนไทยจะตองอยู
กบั หลกั การ ๔ อยา งตอไปนี้ใหได คอื
. หลกั การกระทาํ คือ มงุ ทําการใหสาํ เรจ็ ดวยความเพียรพยายาม
โดยเฉพาะความเพยี รของตนเอง หลักน้ีเรียกวา หลักกรรมและความเพยี ร
พระพุทธเจา ตรสั วา เราเปน กรรมวาที เราเปน วริ ิยวาที พระองคไมได
๗๐ แกน แทข องพระพทุ ธศาสนา
ตรัสอยา งเดียว แตต รสั คกู นั วา กรรมวาที และวิริยวาที “เราเปน ผูก ลาว
หลกั การกระทาํ เราเปนผกู ลา วหลกั ความเพยี ร”
คนจะทํา ตอ งมีความเพยี ร ถา ไมม คี วามเพยี ร ก็กาวไปในการทําไมไ ด
พระพทุ ธศาสนาเปน ศาสนาแหง กรรมและวริ ยิ ะ ใหห วงั ผลสาํ เรจ็ จากการ
กระทาํ ดว ยเรย่ี วแรงกาํ ลงั ของตน ไมม วั หวงั ผลจากการออ นวอนนอนรอผลดล
บนั ดาลจากลาภลอยจากการรวยทางลดั การทจุ รติ การเสยี่ งโชคการพนนั เปน ตน
สรปุ วา ตองถอื หลักการกระทําใหส ําเรจ็ ดวยความเพยี ร
ขอยกพทุ ธพจนม ายํ้าไวว า
ภกิ ษุท้ังหลาย พระผมู พี ระภาคเจาทงั้ หลายแมที่ไดม ี
แลวในอดีตกาล…พระผูมีพระภาคเจาท้ังหลายแมที่จักมีใน
อนาคตกาล… แมเราเองผเู ปนอรหันตสมั มาสมั พทุ ธะในบัดน้ี
ก็เปนกรรมวาท (ตรัสหลกั กรรม) เปน กริ ยิ วาท (ตรัสหลกั การที่
จะตองทํา) เปนวริ ยิ วาท (ตรัสหลักความเพยี ร)
(องฺ.ติก. ๒๐/๕๗๗/๓๖๙)
. หลกั การศกึ ษาพัฒนาตน คือ ตองถือเปน หนาทโ่ี ดยมจี ติ สาํ นกึ ที่
จะฝกตนใหกา วหนา ตอ ไปในการทาํ กุศลกรรมตางๆ ท่จี ะใหช วี ิตและสงั คมดี
งามยิง่ ขน้ึ นีเ่ รยี กวา หลกั ไตรสิกขา
ตามหลกั เรอ่ื งธรรมชาตขิ องมนษุ ย ที่พูดแลว แตต นวา มนุษยเ ปน สัตว
ท่ีประเสริฐดวยการฝก ดงั น้ัน ในการท่จี ะกา วไปสูความดีงาม ความ
ประเสรฐิ สมบรู ณน น้ั ชวี ติ ตอ งพฒั นาดว ยไตรสกิ ขาเพอื่ กา วไปขา งหนา
ชวี ติ จะตอ งดขี น้ึ ตอ งเรยี นรู ตอ งฝก ฝน ตอ งศกึ ษา ตอ งพฒั นาเสมอไป
จะตอ งไมม วั หยดุ อยกู บั ท่ี
ขอยกคาถาพุทธพจนแ หง หนง่ึ มาไวเตอื นใจวา
เพราะฉะนนั้ แล เปน คนอยใู นโลกน้ี พงึ ศกึ ษา(ตามหลกั
ไตรสกิ ขา)เถดิ สง่ิ ใดกต็ ามทพ่ี งึ รไู ดใ นโลกวา เปน สง่ิ ผดิ รา ย
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๗๑
ไมด ี ไมพ งึ ประพฤตผิ ดิ รา ยไมด เี พราะเหน็ แกส ง่ิ นน้ั ปราชญท ง้ั
หลายกลา ววา ชวี ติ นน้ั นอ ยนกั
(ขุ.สุ. ๒๕/๔๐๙/๔๘๕)
พรอมท้งั พทุ ธภาษิตวา
ในหมมู นษุ ย คนทฝ่ี ก แลว เปน ผปู ระเสรฐิ (ข.ุธ. ๒๕/๓๓/๕๗)
. หลกั ไมป ระมาท ในการทีจ่ ะทําอะไรๆ ดว ยความเพียร และในการ
ทจ่ี ะพัฒนาตนน้นั จะตอ งไมป ระมาท
ตองมองเห็นตระหนักในความสําคัญของกาลเวลาและความเปลี่ยน
แปลงวา ในขณะที่เราดําเนินชีวิตอยูนี้ สงิ่ ท้ังหลายรอบตวั เราและชีวิตของเรา
ลวนไมเ ทีย่ งแทแนน อน ทุกอยา งเปล่ยี นแปลงไปตลอดเวลา เราจะมวั นง่ิ
นอนใจอยูไมได มีอะไรทค่ี วรจะทาํ ตองรบี ทํา ตอ งเรง ขวนขวายไมประมาท
ไมน อนใจ ไมผ ัดเพยี้ น
หลกั ไมป ระมาทน้ี พระพทุ ธเจาทรงสอนวา เหมอื นกบั รอยเทาชา ง ที่
ครอบคลมุ ธรรมะของพระองคไ วหมด แลว กเ็ ปน ปจ ฉมิ วาจาของพระองค
กอนปรนิ ิพพานดวย จึงถือวา สาํ คัญอยางยง่ิ
ในความไมประมาทน้ี แมแ ตสงั คมก็จะหยุดนิง่ ไมไ ด เพราะสังคมมี
แนวโนมวา เมอ่ื ไรมคี วามสาํ เรจ็ เมอ่ื ไรเจรญิ ดมี ีความพรัง่ พรอ ม เมื่อไรมี
ความสขุ สบาย คนจะเรมิ่ เฉอื่ ยลงและเรม่ิ ออ นแรง แลว กเ็ รมิ่ มวั เมา ประมาท
สงั คมมักจะเปนอยางน้นั คอื พอสบาย ก็ประมาท หนั ไปฟุงเฟอ มัว
เมาหลงระเรงิ ตดิ ในความสขุ สบาย เพลิดเพลิน สําเรงิ สาํ ราญ ลมุ หลงใน
การบันเทิง ไมเ รงรัดขวนขวายทํากิจหนาท่ี ผดั เพี้ยน เฉอื่ ยชา
เพราะฉะนน้ั ผบู ริหารสงั คมจะตองคอยกระตุนเตือนปลกุ เรา ประชาชน
ใหไมประมาทมัวเมาทกุ เวลา
เคร่ืองพิสจู นการพฒั นามนษุ ยอยางหนึง่ คือ ทง้ั ท่ีสุขสบาย ก็ไมประมาท
๗๒ แกน แทข องพระพุทธศาสนา
ถาใครทําไดสําเรจ็ อยา งนเี้ มื่อไร ก็มีคุณสมบตั ทิ ี่จะเปนพระอรหันต พระ
พุทธเจาตรสั วา บุคคลเดยี วทีจ่ ะไมประมาทเลยเปนอันขาด คือพระอรหนั ต
นอกจากนน้ั แมแ ตพ ระโสดาบนั พระสกทาคามี และพระอนาคามี กย็ งั
ประมาทได คอื พอประสบความสาํ เรจ็ ไปเทา นี้ กพ็ อใจวา เราไดก า วหนา มามคี วาม
ดเี ยอะแลว นะ กช็ กั เฉอื่ ย พอเฉอ่ื ยลง พระพทุ ธเจา กต็ รสั วา เธอประมาทแลว
ในพระพุทธศาสนานี้ ทา นไมใ หห ยุดในการสรางสรรคกุศลธรรม ตราบ
ใดยังไมถึงจุดหมาย กต็ อ งกาวไปในไตรสกิ ขาโดยไมป ระมาท ตองกา วตอ
ไปๆ พระพทุ ธเจาตรสั ไวว า
เราไมสรรเสริญแมแตความตั้งอยูไดในกุศลธรรมท้ัง
หลาย ไมต อ งพูดถงึ ความเส่อื มถอยจากกศุ ลธรรมท้ังหลาย
เรายกยองสรรเสริญอยางเดียวแตความกาวหนาตอไปใน
กศุ ลธรรมทัง้ หลาย (อง.ฺ ทสก. ๒๔/๕๓/๑๐๑)
พทุ ธพจนนีแ้ สดงหลกั เดยี วกัน คอื ความไมประมาท
q. หลกั พง่ึ ตนได ซง่ึ ทาํ ใหม อี สิ รภาพ การพง่ึ ตนกค็ อื ตอ งทาํ ใหแ กต วั เรา
ดวยตนเอง จงึ ตองพฒั นาตวั เอง คอื เราพฒั นาตนเองเพื่อใหท ําไดดว ยตนเอง
เมอ่ื เราทาํ ไดด วยตนเอง เราก็พ่ึงตนได ถา เราทาํ ไมไ ด เรากย็ ังพ่ึงตน
เองไมไ ด
เราตอ งพยายามพ่งึ ตนใหได แต เราจะทาํ ไดดวยตนเอง และพึ่งตนได
เราตองทําตนใหพ ึ่งตนได โดยฝกตนขนึ้ ไปใหท าํ ไดท าํ เปน
พระพุทธเจาทรงเนน “การทําตนใหพ ่ึงตนได” หรือ “ทาํ ตนใหเปน ท่ี
พ่ึงได” มากกวาเนนการพึง่ ตน
ถา พูดวา ใหพ ่ึงตน แตเ ขาไมม คี วามสามารถทจ่ี ะพ่งึ ตน แลว เขาจะพ่งึ
ตนไดอยางไร กไ็ ดแตซ ัดกันวา นเ่ี ธอยากจน เธอก็พง่ึ ตนสิ วา อยา งนัน้ มัน
จะพงึ่ ตนอยา งไร ในเมอ่ื ไมมคี วามสามารถทีจ่ ะพงึ่ ตนน้ัน
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๗๓
เพราะฉะนั้น อยาพดู แคพึง่ ตน ซ่งึ เปนเพยี งคําเตือนเร่ิมตน แตตอ งกา ว
ตอ ไปสกู ารฝกฝนปฏบิ ัติซงึ่ เปน คาํ สอนที่แทว า “จงพยายามพ่งึ ตน ดวย
การทําตนใหเปน ท่ีพ่ึงได”
แลว ทาํ อยางไรจะใหต นเปนท่ีพึง่ ได กต็ อ งฝก ตองศกึ ษาพฒั นาตน
พอพัฒนาตนกเ็ ขาไตรสิกขา ซง่ึ ทําใหต นเองมีคณุ สมบตั ิดมี ากข้ึน มี
คณุ ภาพดขี ้ึน สามารถทํากรรมตางๆ ทีเ่ ปนกศุ ลยง่ิ ขึน้ ไดผ ลดียง่ิ ขน้ึ
เมอ่ื มคี วามสามารถทาํ การทง้ั หลายไดด ยี งิ่ ขนึ้ กพ็ ง่ึ ตนเองได พอพง่ึ ตน
เองได กไ็ มต อ งพง่ึ คนอน่ื กเ็ ปน อสิ ระ กลายเปน วา สามารถเปน ทพ่ี งึ่ ของคนอนื่
ฉะนน้ั การปฏิบตั ใิ นไตรสกิ ขาคือการพัฒนาตน และการพฒั นาตนกท็ าํ
ใหพ งึ่ ตนเองได และการพึ่งตนเองไดกบั ความอสิ ระ ก็เปนอันเดยี วกนั
ความเปน อสิ ระนี้ มิใชเฉพาะการไมต องคอยพง่ึ พาข้ึนตอ คนอืน่ เทา นน้ั
แตห มายถึงการไมตอ งพ่ึงพาขนึ้ ตอวตั ถุมากเกินไปดวย
ดังน้ัน อิสรภาพที่สําคัญมากอยา งหนึง่ จงึ หมายถึงการมคี วามสามารถ
ที่จะมีความสขุ ในตัวเองไดมากขน้ึ โดยพ่งึ พาข้นึ ตอวัตถเุ สพบริโภคนอ ยลง
คอื เปน คนที่สุขไดงา ยขนึ้ ไมตองเอาชีวติ ไปขึน้ ตอวตั ถุ ไมต อ งเอาความสขุ ไป
ฝากไวก บั สงิ่ เสพบรโิ ภค ซง่ึ จะทาํ ใหล ดการแยง ชงิ เบยี ดเบยี นกนั ในสงั คม
พรอมกนั นน้ั เมื่อไดพัฒนาตนเอง ใหมีความสามารถมากขึ้น ท้ังในการ
ทจี่ ะมคี วามสขุ ที่เปนอสิ ระ และในการทีจ่ ะทาํ การสรางสรรคต า งๆ กจ็ ะทาํ
ใหท ้งั ชวี ิตของตัวเองก็ดีขึน้ และสามารถเกือ้ กูลแกผูอ น่ื หรือแกส งั คมไดม าก
ขนึ้ พรอมไปในคราวเดียวกนั
ขอยกพทุ ธภาษิตมายํา้ เตอื นอกี วา
ตนแลเปน ทพ่ี ง่ึ ของตน โดยแทจ รงิ คนอนื่ ใครเลา จะเปน
ทพี่ งึ่ ได มตี นทฝี่ ก ดแี ลว นน่ั แหละ คอื ไดท พี่ ง่ึ ทหี่ าไดย าก
(ขุ.ธ. ๒๕/๒๒/๓๖)
๗๔ แกนแทข องพระพุทธศาสนา
หลกั ๔ นส้ี มั พนั ธเ ปน อนั เดยี วกนั แตแ ยกในเชงิ ปฏบิ ตั ใิ หใ ชไ ดเ หมาะสม
และไดผ ลจรงิ จงั การปฏบิ ตั จิ ากทกุ หลกั จะมาบรรจบประสานเปน อนั เดยี วกนั
ขอทวนอกี ครั้งวา หลัก ๔ ประการนีต้ องย้าํ อยางที่สดุ เพราะเปน หลกั
ใหญข องพระพุทธศาสนา และเหมาะสมยิง่ กับยคุ ปจ จุบนั
๑. ทําการใหส ําเรจ็ ดว ยความเพียรพยายาม
๒. เรยี นรูฝกศึกษาพฒั นาตน ใหชีวติ และสงั คมกา วหนา ไปสูความ
ดีเลิศประเสรฐิ ย่ิงข้ึน
๓. มคี วามไมประมาท กระตอื รือรน ขวนขวายสรางสรรคส งิ่ ทด่ี งี าม
ไมป ลอ ยเวลาใหเสียไปโดยเปลาประโยชน
๔. พึ่งตนได มีอิสรภาพ พรอมที่จะเผ่ือแผค วามสขุ เปนที่พึง่ แกผู
อ่ืนได
มสี ี่ขอ นี้พอแลว ประเทศไทยพัฒนาไดแ น
แกน แทข องพทุ ธธรรม คือความหลดุ พนพึ่งตนได
ในสังคมของกัลยาณมิตร ผูมชี วี ิตที่เกอื้ กูลกัน
ขอจบดว ยคาํ สรปุ ตามหวั ขอ ทตี่ งั้ ไวใ หว า “แกน แทข องพระพทุ ธศาสนา”
น้นั มอี ยูในพระสูตรหนึ่งชอ่ื วา มหาสาโรปมสตู ร ซง่ึ พระพทุ ธเจาไดต รสั เรื่อง
แกน ของพระพทุ ธศาสนาไว มใี จความตามพระสูตรนว้ี า
ชีวิตทีป่ ระเสริฐ (พรหมจริยะ) คอื ตวั พระพุทธศาสนาน้ี เปรียบไดก บั
ตนไม ซ่งึ มีองคป ระกอบตางๆ คือ
ลาภสกั การะ เหมอื นกิ่งใบ
ศีล เหมือนสะเก็ดไม
สมาธิ เหมือนเปลอื กไม
ปญญา เหมือนกบั กระพ้ีไม
วมิ ุตติ เปน แกน
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๗๕
ตรงนแ้ี หละมาถึงแกน แทข องพระพุทธศาสนา คือ ความหลดุ พนเปน
อิสระ เขากับหลกั ทีพ่ ูดสุดทายวา จะตองพัฒนาตนใหพง่ึ ตนเองได และเปน
อสิ ระ จนกระท่ังในทสี่ ุดเปนอสิ ระทางจติ ใจและปญญา
เราพงึ่ คนอนื่ เชน พงึ่ พระพทุ ธเจา กเ็ พอื่ ทําตวั เราใหพ ึ่งตนเองได พระ
พุทธเจา ชว ยใหเราพึง่ ตนเองไดน่นั เอง จดุ หมายก็คอื พ่ึงตนเองไดเปน อสิ ระ
เพราะฉะน้นั หลกั พุทธศาสนาจึงมาถึงแกนแทท ่สี งู สุด คือวิมุตติ ความ
หลดุ พน เปนอิสระ แกน แทข องพระพทุ ธศาสนา ก็จบลงตรงนี้เอง
ตอนแรกเปน อิสระทางพฤตกิ รรม ซึ่งหมายถึงพฤติกรรมท่ีเปนอิสระ
ทางสังคม ทาํ อะไรๆ พูดอะไรๆ ไดโดยไมถูกบงั คบั ครอบงําขม เหง แต
พรอมกันน้นั กต็ องเปนพฤตกิ รรมท่ีเกิดจากจติ ใจทีเ่ ปน อสิ ระจากกเิ ลส จงึ จะ
เปนอสิ ระจากการเบยี ดเบยี นกันแทจ ริง
อสิ รภาพที่แทจึงไมใชเปนพฤติกรรม แตเปนภาวะทางจิตใจและ
ปญญา และอิสรภาพทส่ี มบรู ณคอื อิสรภาพทางปญญา
ในดานพฤติกรรมนัน้ ทา นไมส อนใหเปนอสิ ระแบบแยกตา งหากจาก
กัน หรือตางคนตา งอยู แตพฤตกิ รรมนั้นทา นมงุ ใหพ่งึ พาอาศัยซ่งึ กนั และกนั
ใหเกือ้ หนนุ กนั ดวยวัตถแุ ละเร่ยี วแรงกําลังเปน ตน โดยรเู ทา ทันวาวัตถุ
ทรพั ยส ินภายนอก รวมท้ังลาภสกั การะทงั้ หลาย เราตอ งอาศัย แตม ันเปน
เพยี งปจจัยเก้อื หนุน เหมือนเปน กิง่ ใบ ไมใชเ ปน ตวั แกนสาร
ในดานพฤตกิ รรมเกย่ี วกบั ชีวติ ภายนอกนี้ ใหเราเปนทีพ่ ่ึงแกคนอน่ื ได
พรอมกบั เราตอ งพง่ึ คนอื่นดว ย
ใหสงั คมเปน สังคมทพี่ งึ่ พาอาศยั ซง่ึ กันและกนั เปน กัลยาณมิตรของกนั
และกนั โดยแตล ะคนกม็ ีอะไรใหคนอ่ืนไดพงึ่ บาง ตา งกเ็ ก้ือหนุนกนั ให
สังคมอยผู าสกุ และใหแ ตละคนมีโอกาสพัฒนาย่ิงข้นึ ไปในไตรสิกขา เพ่ือให
แตล ะคนมอี ิสรภาพท่พี ง่ึ ตนไดแทจริงในทางจติ ใจและทางปญ ญา อยา งน้จี ึง
จะเปนสังคมทด่ี ี
๗๖ แกน แทของพระพทุ ธศาสนา
ขอใหด ูวนิ ัยของพระ คือชีวิตในสงั ฆะตามพทุ ธบญั ญตั ิ จะเห็นชดั วาเปน
อยา งน้ี
พระพทุ ธเจา ทรงจดั วางเปนแบบไว คอื สงั คมสงฆเปนสังคมตัวอยาง
แหงการท่ีแตละคนพยายามพัฒนาตนใหมีอิสรภาพทางจิตใจและปญญา
โดยทช่ี ีวิตทางดานพฤตกิ รรมน้ันพ่ึงพาอาศัยเกอ้ื กลู ซงึ่ กันและกนั เปน การ
เกอ้ื หนนุ กนั ใหก า วไป ไมใ ชช ว ยใหเ ขาไมต อ งทาํ แลว คอยรอรบั ความชว ยเหลอื
คนที่มอี สิ รภาพทางจติ ใจและทางปญญาเทานั้น จึงจะสรางสรรคสังคม
อยางน้ี และอยกู นั ดว ยดีในสังคมอยางน้ไี ด
เรื่อง แกนแทของพระพุทธศาสนา พูดมาถึง “แกนธรรมเพื่อ
ชวี ติ ” แลว กข็ อจบไวเ พยี งนี้กอน
แมวาท่จี รงิ ยังมหี ัวขอทค่ี วรพดู อกี ๒ เรื่อง หรือ ๒ บท คือ แกน
ธรรมเพือ่ สงั คม กบั แกน ธรรมเพ่ือโลก แตจําเปน ตอ งยตุ ิเพราะ
ความยาวทีเ่ กนิ เวลา
ขออนุโมทนาทานอธิบดี ทานรองอธิบดี ทา นผูอํานวยการ และ
ทา นผบู ริหารระดับสูงของกรมการศาสนา
ขอความเจรญิ ผาสกุ จงมแี ดทุกทา น
คาํ โปรย
… พทุ ธศาสนาสอนใหร ทู ันทุกข และใหอ ยเู ปนสุข
… คอื ทุกขสําหรับเห็น แตสุขสาํ หรับเปน
ความดเี ลิศประเสรฐิ ของมนษุ ยน้ัน อยทู ีก่ ารเรยี นรฝู กศกึ ษาพัฒนาตน
ขึ้นไป มนุษยจะเอาดไี มไ ดถ าไมมกี ารเรียนรฝู ก ฝนพัฒนาตน เพราะฉะนนั้
เราจงึ พูดเต็มวา
“มนษุ ยเ ปน สัตวป ระเสริฐดว ยการฝก”
…การท่ีชวี ติ เปน อยูดําเนินไป ก็คอื การท่ีตองเคล่อื นไหวพบประสบ
การณใหมๆ เจอสถานการณใหมๆ ซึ่งจะตอ งรูจักตองเขา ใจ ตองปฏิบตั หิ รือ
จดั การอยางใดอยา งหน่ึง…เรียกส้ันๆ กค็ ือสิกขา หรอื การศกึ ษา
…ฝรง่ั บางพวกวา ชีวิตคือการตอสู บา งก็วาชีวิตเปนความฝน แตถา พูด
ตามหลักพระพทุ ธศาสนา “ชวี ติ คอื การศึกษา”
…หลกั ๔ ประการนีต้ อ งยํ้าอยางท่สี ุด เพราะเปน หลักใหญข องพระ
พุทธศาสนา และเหมาะสมย่ิงกบั ยคุ ปจ จบุ นั
• ทาํ การใหส าํ เร็จดว ยความเพยี รพยายาม
• เรียนรูฝกศึกษาพัฒนาตน ใหชีวิตและสังคมกาวหนาไปสูความดีเลิศ
ประเสรฐิ ยงิ่ ข้นึ
• มีความไมป ระมาท กระตือรือรน ขวนขวายสรา งสรรคส ิ่งท่ดี งี าม ไมปลอย
เวลาใหเ สียไปโดยเปลาประโยชน
• พ่งึ ตนได มอี ิสรภาพ พรอมทจ่ี ะเผื่อแผความสขุ เปน ทพี่ ่ึงแกผ ูอน่ื ได
มสี ข่ี อนพี้ อแลว ประเทศไทยพฒั นาไดแน