The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

อิทธิปาฏิหาริย์เทวดา ป.อ. ปยุตโต

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ืทีมงานกรุธรรม, 2022-02-18 19:12:23

อิทธิปาฏิหาริย์เทวดา ป.อ. ปยุตโต

อิทธิปาฏิหาริย์เทวดา ป.อ. ปยุตโต

Keywords: อิทธิปาฏิหาริย์เทวดา,ป.อ. ปยุตโต

เรือ่ งเหนือสามญั วิสยั : อิทธิปฏหิ าริย - เทวดา

ทศั นะของพระพุทธศาสนา ตอ เร่ืองเหนือสามญั วิสยั

ถาถามวา ในทศั นะของพระพุทธศาสนา อทิ ธปิ าฏหิ าริยก็
ดี เทวดา หรือเทพเจาตางๆ กด็ ี มจี ริงหรอื ไม และถาตอบตาม
หลักฐานในคัมภีรมีพระไตรปฎ กเปนตน โดยถือตามตวั อักษร ก็
ตอ งวา "มี" หลกั ฐานท่ีจะยนื ยันคําตอบน้มี ีอยูมากมายทั่วไปใน
คัมภีร จนไมจ าํ เปนจะตองยกมาอางอิง อยางไรก็ตาม ปญ หา
เกีย่ วกับความมหี รือไมมี และจริงหรือไมจริงของสงิ่ เหลาน้ี เปนสิ่ง
ยากท่จี ะทําใหค นท้ังหลายตกลงยอมรบั คาํ ตอบเปน อยางหนง่ึ อยาง
เดียวกนั ได และหลายทา นมองเห็นโทษของความเชอ่ื ถือในสง่ิ เหลาน้ี
วาทําใหเ กดิ ผลเสียหายมากมายหลายประการ จึงไดมปี ราชญบ าง
ทานพยายามแปลความหมายของสงิ่ เหลา นีใ้ หเ หน็ นยั ท่ลี ึกซง้ึ ลงไป
อยา งนาสนใจ

สาํ หรบั ในที่นี้จะไมข อยงุ เกี่ยวกบั การตีความหรอื แปล
ความหมายใดๆ เลย เพราะเห็นวา ไมม ีความจําเปน แมจ ะถือตรง
ตามตัวอักษรวาส่งิ เหลาน้ีมีและเปน จริงอยางนน้ั พระพุทธศาสนา
ก็มหี ลกั การท่ีไดว างไวแลวอยางเพียงพอที่จะปด กน้ั ผลเสีย ซงึ่ จะ
พึงเกิดขึ้นทัง้ จากการตดิ ของอยกู ับการหาคําตอบวามีหรือไม จริง

๒ เรอื่ งเหนอื สามัญวิสัย

หรอื ไมจ ริง และทั้งจากความเช่อื ถืองมงายในส่ิงเหลา นน้ั พดู อีก
อยางหน่ึงวา มนุษยจํานวนมากมายต้ังแตส มัยโบราณจนถึง
ปจจบุ ัน มีความเช่อื ถือหรือไมก ห็ ว่ันเกรงตอ อาํ นาจผีสางเทวดา สิ่ง
ศกั ดสิ์ ิทธิอ์ ทิ ธปิ าฏหิ าริยตา งๆ พระพทุ ธศาสนากลาทา ใหส งิ่
เหลา น้ันมีจริงเปนจรงิ โดยประกาศอิสรภาพใหแ กมนษุ ยท ามกลาง
ความมีอยขู องสิง่ เหลาน้นั พระพุทธศาสนาไดวางหลักการตางๆ ไว
ท่ีจะทาํ ใหมนุษยไ ดรับแตผลดใี นการเก่ียวของกบั เร่ืองเหนือสามญั
วสิ ัย อยา งนอยก็ใหมผี ลเสียนอยกวาการที่จะมวั ไปวนุ วายอยูก ับ
ปญ หาวา สง่ิ เหลา น้ันมีจริงหรือไม จุดสําคัญในเรอ่ื งน้อี ยทู ี่วา
เขาใจหลักการที่พระพุทธศาสนาวางไวแ ละไดนํามาใชปฏิบตั ิกัน
หรอื ไม

สรุปความเบ้ืองตนในตอนนี้วา พระพทุ ธศาสนาไมสนใจ
กับคาํ ถามวา อทิ ธิปาฏหิ าริยมจี รงิ หรอื ไม เทวดามีจรงิ หรือไม และ
ไมว ุนวาย ไมยอมเสียเวลากบั การพสิ จู นความมจี ริงเปน จริงของส่ิง
เหลา นี้เลย สิง่ ทีพ่ ระพุทธศาสนาสนใจ ก็คอื มนุษยควรมที าทีและ
ควรปฏบิ ตั ิตอส่งิ เหลานนั้ อยา งไร พูดอกี อยา งหนึ่งวา สําหรับ
พระพุทธศาสนา ปญ หาวาผีสางเทวดา อาํ นาจลึกลบั อทิ ธิฤทธ์ิ
ปาฏิหารยิ  มีอยูจ ริงหรือไม ไมส าํ คัญเทากับปญหาวา ในกรณีท่ีมอี ยู
จริง สงิ่ เหลาน้ันมีฐานะอยา งไรตอการดาํ รงชวี ติ ของมนุษย และ
อะไรคอื ความสัมพันธอ ันถูกตองระหวางมนุษยกบั ส่ิงเหลานน้ั
อาจมบี างทา นแยง วา ถาไมพ สิ ูจนใหรูแนเสียกอนวามจี ริงหรอื ไม
จะไปรูฐานะและวธิ ีปฏิบัติตอส่งิ เหลาน้ันไดอ ยางไร กอนจะตอบ

อทิ ธิปาฏิหาริย- เทวดา ๓

ควรแยงกลบั เสยี กอนวา เพราะมวั เชอื่ ถือและยดึ ม่ันอยูวา จะตอ ง
พิสจู นเ สียกอนนี้แหละจงึ ไดเกิดขอผดิ พลาดในทางปฏิบัตเิ ก่ยี วกบั
เรือ่ งเหลาน้ีข้ึนแลว มากมาย โดยท่จี นกระทง่ั บัดน้ี ก็ยงั พสิ ูจนกันไม
เสร็จ คาํ ตอบในเร่ืองนแ้ี ยกออกไดเปน เหตุผล ๒ ขอ ใหญ

ประการแรก เรื่องเหนอื สามัญวิสยั เหลาน้ี ทั้งเร่ืองอทิ ธิฤทธิ์
ปาฏิหาริยก ็ดี เทพไทเทวาก็ดี จัดเขา ในประเภทส่งิ ลึกลับทีพ่ ดู
อยา งรวบรดั ตามความหมายแบบชาวบานวา พิสูจนไ มไ ด คือเอา
มาแสดงใหเหน็ จริงจนตองยอมรบั โดยเด็ดขาดไมได ทั้งในทางบวก
และในทางลบ หมายความวา ฝา ยท่เี ชื่อกไ็ มอาจพิสูจนจนคน
ทว่ั ไปเหน็ จะแจงจนหมดสงสัยตอ งยอมรับกันทัว่ ท้งั หมด ฝา ยท่ไี ม
เชือ่ กไ็ มสามารถพสิ จู นใหเหน็ ชดั แจงเด็ดขาดลงไปจนไมตองเหลอื
เยอ่ื ใยไวใ นใจของคนอื่นๆ วายงั อาจจะมี ทัง้ สองฝา ยอยูเพยี งข้ัน
ความเชื่อ คือเชอ่ื วามี หรอื เชือ่ วาไมม ี หรอื ไมเชอ่ื วา มี (ถึงวาไดเ หน็
จรงิ กไ็ มสามารถแสดงใหคนอน่ื เห็นจรงิ อยา งนั้นดวย) ยงิ่ กวา น้ัน
ในสภาพทพ่ี ิสูจนอ ยางสามญั ไมไดน ี้ สงิ่ เหลาน้ยี งั มลี ักษณะพิเศษ
อีกอยา งหนึ่งคอื เปน ของผลบุ ๆ โผลๆ หรอื ลับๆ ลอๆ หมายความ
วา บางทมี ีเคาใหต ่ืนใจวาคราวนตี้ อ งจรงิ แตพอจะจบั ใหมน่ั ก็ไม
ยอมใหส มใจจริง คร้นั ทําบางอยา งไดส มจริง กย็ ังมีแงใหเคลือบ
แคลงตอ ไป เขา แนวทว่ี า ยง่ิ คน กย็ ่งิ ลบั ยง่ิ ลับกย็ ง่ิ ลอ ใหค น คน
ตามที่ถูกลอ กย็ ่งิ หลงแลว ก็หมกมุนวนเวยี นอยูกับส่งิ เหลา น้ันจนชัก
จะเล่อื นลอยออกไปจากโลกของมนษุ ย

๔ เรอ่ื งเหนือสามัญวสิ ยั

ในเมอื่ เปน สง่ิ ท่ไี มอ าจพสิ จู น เปน สง่ิ ลับลอ และมกั ทําให

หลงใหลเชนน้ี การมัววนุ วายกับการพสิ จู นส ิ่งเหลา น้นั ยอ ม

กอ ใหเกิดโทษหลายอยา งท้งั แกบ ุคคลและสงั คม นอกจากเสียเวลา

และเสียกิจการเพราะความหมกมนุ วนุ วายแลว เมอื่ ตอ งมัวรอกัน

อยจู นกวาจะพสิ จู นไ ดวา มีจรงิ หรือไมมี และกพ็ ิสูจนกันไมเสร็จสกั

ที ผูท่ีเชื่อและไมเชอ่ื กต็ องมาทมุ เถียงหาทางหักลา งกนั แตก

สามคั คที ะเลาะวิวาทกนั เพราะเรอื่ งท่ีไมชัดเจน และในระหวา งน้ัน

แตละพวกละฝายตา งกป็ ฏิบัติตอ สิง่ เหลาน้นั ไปตามความเชอ่ื และ

ไมเชื่อของตน ไมม โี อกาสท่ีจะแกไขการปฏบิ ัติตา งๆ ท่เี กดิ โทษกอ

ผลเสยี แกชวี ิตและสังคม เพราะตองรอใหพสิ ูจนเสร็จกอน จงึ จะยตุ ิ

การปฏิบตั ใิ หลงเปนอนั เดียวกันได ซงึ่ ก็ยงั พิสจู นก ันไมเ สร็จจน

บดั น้ี จึงเปนอันตอ งยอมรับผลเสยี กนั อยางนี้เรอ่ื ยไปไมเ หน็ ที่

สนิ้ สุด ถา หากไมย อมรบั หรอื ไมยอมรอก็ตองใชว ิธีบงั คบั ขมเหงกัน

โดยฝายทเี่ ชื่อบงั คบั ฝา ยท่ีไมเ ชื่อใหปฏบิ ตั ิอยางตน หรือฝายท่ีไม

เชื่อบังคบั ฝายที่เช่อื ไมใหปฏิบตั ติ ามความเชือ่ ของเขา

ดังจะเห็นไดใ นลทั ธินิยมทางการเมืองและระบอบการ

ปกครองบางอยางที่ยึดม่ันวาตนนยิ มวธิ ีวทิ ยาศาสตร เม่อื

ผปู กครองในระบบนั้นเห็นวาความเชื่อในส่ิงเหลานี้เปนของ

เหลวไหลงมงาย เม่อื เขาจับหลกั ในเรื่องนไี้ มถกู และหาทางออก

ใหแกประชาชนไมไ ด แตตอ งการทาํ ใหป ระชาชนปฏิบตั ิตามลัทธิ

นยิ ม (คือความเช่ือ) ของเขา ก็ตองใชว ธิ ีบงั คับใหประชาชนเลิก

ปฏบิ ัติตามความเช่อื ของประชาชน หรือปลกุ เราปอ นความเช่ือใน

อิทธิปาฏิหารยิ - เทวดา ๕

ทางตรงขามคือความเชื่อวา สิ่งเหลา น้ันไมม จี รงิ แกประชาชน หรอื
ทําทง้ั สองอยาง แตวธิ กี ารปดกั้นบังคับหรอื ปลุกเรานี้เปนการท้ิง
ชอ งวางอนั กวางใหญไ ว เพราะมิใชเปนการแกไขท่ีตนเหตุ คือมไิ ด
ชําระสตั วผ ูยังไมขามพน ความสงสัย๑ เพียงแตเก็บซอนเอาเช้ือและ
แรงกดดันอัดไว ตราบใดอาํ นาจบังคับและแรงปลุกเรายังเขม แข็ง
ก็ยังขม คุมไวได แตเ มอื่ ใดอาํ นาจบังคับและแรงปลุกเรา ออนแอ
คลายจางลง เช้ือและแรงกดดนั นั้นก็มโี อกาสท่จี ะโผลออกงอกงาม
เฟองฟไู ดต อ ไป และเม่อื ถงึ เวลานน้ั การปฏิบัตใิ นเร่ืองเหลานกี้ จ็ ะ
เปนไปอยางงมงายขาดหลัก ปราศจากทิศทาง ทําใหเ กดิ ผลเสียได
เหมือนอยางเดมิ อกี โดยมไิ ดร ับการแกไ ขแตอยางใด

อีกอยางหนง่ึ ในเมื่อสิง่ เหลา นี้อยูเพยี งในระดบั แหงความ
เช่อื ของปุถชุ น กย็ อ มผันแปรกลับกลายได ดงั จะเหน็ ไดว าบางคน
เคยไมเ ชือ่ ถอื สิ่งเหนือสามัญวสิ ยั เหลา นี้เลย (คอื เชอ่ื วา สง่ิ เหลานี้
ไมม ไี มเปนจริง) และดูถกู ดหู ม่นิ ความเช่ือถือน้นั อยา งรนุ แรง ตอ มา
ไดป ระสบเหตกุ ารณลบั ลอทเ่ี ปน เง่อื นตอ แหง ความเชือ่ นั้นเขา ก็
กลบั กลายเปนคนท่มี คี วามเชอื่ อยา งปก จติ ฝงใจตรงขา มไปจาก
เดิม และเพราะเหตุทไ่ี มมีหลกั สอ งนาํ ทางในการปฏบิ ัติตอ สิง่
เหลา น้ันก็กลายเปนผูห มกมุน หลงใหลในสิง่ เหลาน้ันยง่ิ ไปกวาคน
อ่ืน อีกมากมายทีเ่ ขาเชือ่ อยางนัน้ แตเ ดมิ มา ในทํานองเดยี วกัน
บางคนทีเ่ คยเช่อื ถือมั่นคงอยูก อน ตอมาไดป ระสบเหตกุ ารณที่สอ
วา ส่ิงที่เชื่อจะไมเ ปน ไปสมจริงหรอื ไมแ นน อน ความเช่อื นนั้ ก็กลับ
สน่ั คลอนไป หรือบางทอี าจกลายเปน ผูไมเ ช่ือไปเสยี ก็มี

๖ เรอื่ งเหนอื สามญั วสิ ัย

ในกรณีเหลานี้ มนุษยท้งั หลายลวนแตม ัววนุ วายกับปญหา
วา มหี รอื ไมมี จรงิ หรือไมจ ริง เชื่อหรอื ไมเชื่อ เทานัน้ พากันขาด
หลักการในทางปฏิบตั ิท่จี ะเตรยี มปอ งกันผลเสียตอชวี ติ และสังคม
จากความเช่ือหรอื ไมเชื่อของพวกตน พระพุทธศาสนาเปนศาสนา
แหงการปฏบิ ัติ มุง สอนสงิ่ ท่ที ําได ใหม นษุ ยไดรับประโยชนพอกบั
ทกุ ระดับแหง ความพรอมหรือความแกกลาสุกงอมของตนๆ

สําหรับเร่ืองเหนอื สามญั วสิ ัยเหลานี้ พระพุทธศาสนาก็ได
วางหลักการในทางปฏิบัติไวอ ยา งชดั เจนวา เมอ่ื สิ่งเหลานน้ั มีจรงิ
มนุษยควรวางตวั หรือปฏบิ ัติตอ ส่ิงเหลา นัน้ อยางไร และทว่ี างตัว
หรอื ปฏบิ ัติอยางนัน้ ดวยเหตุผลอะไร เหมอื นดงั พูดวา ทานจะเชื่อ
หรอื ไมเชอ่ื ก็ตาม แตทานควรปฏบิ ัติตอ สิ่งนนั้ ใหถ ูกตอ ง ผูเช่ือก็
ตาม ไมเ ชอ่ื กต็ าม สามารถและสมควรทาํ ตามหลกั ปฏบิ ัติที่
พระพุทธศาสนาแนะนําไวน้ไี ด เพราะตามหลักปฏิบตั ินี้ ทงั้ ผเู ชื่อ
และผไู มเ ช่อื จะประพฤติตนตอสิง่ เหลาน้ันอยา งแทบไมม ีอะไร
แตกตางกันเลย จะผดิ แปลกกันบาง ก็เพียงในสิง่ หยมุ หยมิ
เลก็ นอยเทา นั้น นอกจากนั้นยงั เปน วธิ ปี ฏบิ ัติที่ทาํ ใหเ กิดผลดีแกทกุ
ฝา ย โดยที่ท้งั ผูเช่ือและไมเชอ่ื ตางๆก็มคี วามเออื้ เฟอ เอื้อเอน็ ดตู อ
กนั ผูท ี่เชอื่ ก็ปฏิบัตไิ ปโดยไมเกิดผลเสยี แกชวี ิตและสงั คม ผไู มเชือ่
ก็สามารถปฏิบัติตอ ผทู ี่เชือ่ ไดถกู ตองและสามารถแนะนาํ ผูท ีเ่ ชื่อให
ปฏิบัติตอ สงิ่ ท่ีเขาเชือ่ ในทางทจี่ ะเปนประโยชน ท้ังสองฝา ยตางมี
เมตตาเคารพซง่ึ กันและกัน

อทิ ธปิ าฏหิ าริย- เทวดา ๗

หลกั การในทางปฏิบัติหรือความเปนศาสนาแหง การปฏิบัติ
น้แี หละที่เปนคณุ พเิ ศษของพระพุทธศาสนา ซง่ึ พระพุทธศาสนาได
รเิ รม่ิ ขึ้นใหม อันทําใหตางจากศาสนา ปรชั ญาทั้งหลายอื่น
ตลอดจนลัทธนิ ยิ มอุดมการณทง้ั หลายแมใ นสมัยปจจุบนั หลักการ
จาํ เพาะในกรณีนคี้ อื สาํ หรับสิ่งทไ่ี มอ าจพสิ จู นแ ละมใิ ชธรรม
สําหรับเขา ถึง ใหใชก ารวางทาทีหรอื วิธปี ฏิบัติท่ถี กู ตอ ง๒ เมื่อคน
ทง้ั หลายปฏบิ ตั ิตามหลักการที่พระพทุ ธศาสนาแนะนําไวแ ลวอยาง
น้ี ถายังมคี นกลุมหน่ึงกลมุ ใดสนใจที่จะคนควาพิสจู นค วามมีจริง
เปน จริงของสิ่งเหลานตี้ อไป ก็นบั วาเปนงานอดเิ รกของคนเหลาน้ัน
ซงึ่ คนทั่วไปอาจวางเปนกลาง และปลอ ยใหเ ขาทําไปเทาท่ีไม
กอ ใหเกิดผลเสียใดๆ แกสังคม เปรียบไดก บั นกั คน ควาวิจยั ใน
วิชาการสาขาตา งๆ อยางอนื่ ๆ

เทาที่กลา วมา เหน็ ไดช ดั อยูแลว วา เหตผุ ลในขอ แรกมุงท่ี
ประโยชนในทางปฏบิ ัติของมนษุ ยท้ังหลาย อยา งไรกต็ าม การท่ี
พระพุทธศาสนาไมสนใจในปญหาเกี่ยวกบั ความมอี ยจู ริงหรอื ไม
ของอทิ ธฤิ ทธ์ปิ าฏิหาริยและเทพเจา ทัง้ หลาย จนถงึ ขั้นทีว่ าเมื่อวาง
ทา ทีและปฏบิ ัตติ นถูกตอ งแลว ใครจะสนใจคนควา พิสจู นเรื่องนี้
ตอ ไป กป็ ลอ ยเขาไปตามเร่ืองนั้น ทาทีเชน น้ยี อ มเก่ยี วเนอ่ื งถึง
เหตผุ ลประการทสี่ องซง่ึ สัมพนั ธโดยตรงกับหลักการขัน้ พื้นฐานของ
พระพทุ ธศาสนาดวย กลาวคอื ความมอี ยูจ ริงหรือไมของสง่ิ เหลา น้ี
ไมกระทบตอหลักการสาํ คญั ของพระพุทธศาสนา หมายความวา
ถึงแมวาอทิ ธฤิ ทธิ์ปาฏหิ าริยแ ละเทพเจาจะมีจริง แตการปฏิบัตติ าม

๘ เรือ่ งเหนอื สามญั วสิ ยั

หลักการและการเขา ถงึ จดุ หมายของพระพทุ ธศาสนายอ มเปนไปได
โดยไมตองเกี่ยวของกับส่งิ เหนอื สามัญวิสัยทงั้ สองประเภทนัน้ แต
ประการใดเลย สําหรับเรอื่ งอิทธิปาฏิหาริย พึงอา งพุทธพจนวา

พระพทุ ธเจา : นแ่ี นะสุนักขตั ต เธอเขา ใจวาอยา งไร ? เมอื่
เราทําอิทธปิ าฏิหารยิ ซึ่งเปนธรรมของมนุษยย่ิงยวดก็ตาม ไมท าํ ก็
ตาม ธรรมทเ่ี ราไดแสดงแลวเพื่อประโยชนท ่มี งุ หมายใด จะ
นาํ ออกไปเพื่อ (ประโยชนทม่ี งุ หมายนั้นคือ) ความหมดสิ้นทุกขโ ดย
ชอบไดห รือไม ?

สนุ ักขตั ต : พระองคผ เู จรญิ เม่ือพระองคท รงกระทาํ
อทิ ธปิ าฏหิ าริย ที่เปนธรรมของมนุษยยิง่ ยวด กต็ าม ไมก ระทาํ ก็
ตาม ธรรมที่พระผูม ีพระภาคไดท รงแสดงเพอื่ ประโยชนทมี่ งุ หมาย
ใดๆ ก็ยอ มจะนําออกไปเพือ่ (ประโยชนท มี่ งุ หมายน้ัน คอื ) ความ
หมดสน้ิ ทุกขโดยชอบได

พระพุทธเจา : น่แี นะสนุ ักขัตต เธอเขา ใจวา อยางไร ? เม่ือ
เราบญั ญัตสิ ่ิงท่ถี อื วา เปนตนกาํ เนิดของโลกก็ตาม ไมบ ญั ญตั ิก็
ตาม ธรรมทเ่ี ราไดแสดงไวแ ลวเพื่อประโยชนท ่ีมงุ หมายใด จะ
นําออกไปเพื่อ (ประโยชนทมี่ ุงหมายนนั้ คอื ) ความหมดสิ้นทกุ ข
โดยชอบ ไดห รือไม ?

สุนกั ขตั ต : พระองคผูเจริญ เมอื่ พระองคท รงบัญญัตสิ ิ่งท่ี
ถือวา เปนตน กาํ เนิดของโลกก็ตาม ไมบ ญั ญตั กิ ต็ าม ธรรมทพ่ี ระผูมี
พระภาคไดท รงแสดงแลว เพือ่ ประโยชนท่ีมุงหมายใด ก็ยอมจะ

อิทธิปาฏหิ าริย- เทวดา ๙

นาํ ออกไปเพ่ือ (ประโยชนท ีม่ งุ หมายน้ัน คือ) ความหมดสิ้นทุกข
โดยชอบได๓

สว นเรอื่ งเทพเจา จะไดพ ิจารณาเหตุผลเปน แงๆ ตอ ไป
เฉพาะในเบอ้ื งตน น้ี พงึ พจิ ารณาพุทธภาษติ วา

"การถอื ไมกินปลาไมกนิ เนื้อ ก็ดี การประพฤติเปน ชเี ปลือย
ก็ดี ความมศี ีรษะโลน กด็ ี การมนุ มวยผมเปน ชฎา ก็ดี การอยคู ลกุ
ฝุนธลุ ี ก็ดี การนงุ หม หนงั เสืออันหยาบกราน ก็ดี การบูชาไฟ ก็ดี
การบําเพ็ญพรตหมายจะเปน เทวดา กด็ ี การบําเพญ็ ตบะตา งๆ
มากมายในโลก กด็ ี พระเวทกด็ ี การบวงสรวงสังเวย ก็ดี การบูชา
ยัญ ก็ดี การจําพรตตามฤดู กด็ ี จะชําระสตั วผ ูย ังขามไมพ นความ
สงสยั ใหบ รสิ ุทธิ์ได ก็หาไม" ๔

ทก่ี ลา วมาน้ี เปนหลกั การทัว่ ไปที่ควรทราบไวกอน ตอ จาก
น้ี ถา ยอมรับวา อทิ ธิปาฏหิ าริยและเทวดามีจรงิ ก็พึงทราบฐานะ
ของสง่ิ เหลา นนั้ ตอ การดํารงชีวติ ของมนษุ ย พรอ มทั้งวธิ ีปฏิบัตทิ ่ี
ถูกตอ งตอสงิ่ เหลา นั้น ดงั ตอไปน้ี

ขอ ที่ควรเขาใจเกีย่ วกับเรื่องอทิ ธปิ าฏิหาริย

อิทธปิ าฏหิ ารยิ  เปนอภญิ ญา คอื ความรคู วามสามารถพิเศษ
ยวดยิง่ อยางหน่งึ มีชือ่ เฉพาะวา อิทธวิ ิธิ หรอื อทิ ธิวิธา (การแสดง
ฤทธไิ์ ดตางๆ) แตเปนโลกยี อภญิ ญา คอื อภญิ ญาระดับโลกยี  ซ่งึ
พัวพันเกย่ี วเนือ่ งอยใู นโลก เปนวิสยั ของปถุ ชุ น ยงั อยูใ นอาํ นาจของ

๑๐ เรอื่ งเหนือสามัญวิสัย

กิเลส เชน เดียวกับโลกียอภญิ ญาอื่นๆ ท้งั หลาย คือ หทู ิพย ตาทิพย
การรูใจอนื่ และระลกึ ชาติได

โลกียอภญิ ญาทงั้ ๕ อยางนี้ มีคนทาํ ไดตงั้ แตกอนพุทธกาล
ไมเ ก่ียวกับการเกิดขึ้นของพระพทุ ธศาสนา คอื พระพทุ ธศาสนาจะ
เกิดข้ึนหรือไมก ต็ าม โลกียอภญิ ญาเหลา นกี้ ็เกิดมีได พูดอกี อยา ง
หนึ่งวา สงิ่ เหลา นีไ้ มใชต ัวแทของพระพุทธศาสนา และไมจาํ เปน
สาํ หรบั การเขา ถึงพระพุทธศาสนา ส่ิงท่เี กดิ ข้ึนดวยการเกดิ ของ
พระพุทธศาสนา และเปนตัวพระพุทธศาสนา คอื ความรทู ีท่ าํ ใหดับ
กิเลสดบั ทุกขได เรยี กชอ่ื อยางหน่ึงวา อาสวักขยญาณ แปลวา ญาณ
ทที่ าํ อาสวะใหส้นิ ไป จัดเขา เปนอภญิ ญาขอ สดุ ทาย คือขอที่ ๖
เปนโลกุตรอภิญญา คืออภญิ ญาระดบั โลกุตระ ซึ่งทําใหมีจิตใจเปน
อิสระปลอดโปรง ผองใส พนจากอํานาจครอบงาํ ของเร่อื งโลกๆ
หรอื ส่งิ ที่เปนวิสยั ของโลก ทําใหป ุถชุ นกลายเปนอริยชนโดย
สมบรู ณ

โลกยี อภญิ ญาท้ังหลายเส่ือมถอยได แตโลกุตรอภิญญาไม
กลับกลาย ไดโลกตุ รอภญิ ญาอยา งเดียว ประเสริฐกวาไดโ ลกีย-
อภญิ ญาทัง้ ๕ อยา งรวมกัน แตถาโลกตุ รอภญิ ญา โดยไดโลกีย-
อภญิ ญาดวย กเ็ ปนคุณสมบตั ิสว นพเิ ศษเสรมิ ใหดพี รอมยิง่ ขึน้
โลกุตรอภิญญาเทานัน้ เปน สิ่งจําเปนสําหรบั ชีวิตท่ดี ีงามของมนุษย
ซึ่งทุกคนควรไดค วรถึง สว นโลกียอภิญญาท้ังหลาย มใิ ชส ง่ิ จําเปน
สําหรบั ชีวิตท่ีดงี าม เปนเพยี งเคร่ืองประกอบเสริมคุณสมบัตดิ งั ได
กลา วแลว ๕

อิทธปิ าฏิหารยิ - เทวดา ๑๑

ปาฏิหาริยม ี ๓ อยาง

อิทธปิ าฏหิ าริยนี้ พระพุทธเจาทรงจัดเปน ปาฏิหาริยอยาง
หน่งึ ใน ๓ อยา งคอื ๖

๑. อิทธิปาฏหิ าริย ปาฏิหาริย คอื การแสดงฤทธ์ติ างๆ
๒. อาเทศนาปาฏิหาริย ปาฏิหาริย คือ การทายใจคนอื่นได
๓. อนสุ าสนีปาฏิหารย ปาฏหิ าริย คอื คําสอนที่เปนจริง
สอนใหเ ห็นจริง และนําไปปฏิบัตไิ ดผ ลสมจริง
ความหมายตามบาลดี งั น้ี
๑. อิทธปิ าฏิหาริย "บางทานประกอบฤทธิต์ างๆ ได
มากมายหลายอยา ง คนเดยี วเปนหลายคนกไ็ ด หลายคนเปน คน
เดียวก็ได ทําใหปรากฏก็ได ทําใหห ายไปก็ได ทะลฝุ า กําแพง ภูเขา
ไปไดไมต ิดขดั เหมือนไปในที่วา งกไ็ ด ผุดข้นึ ดาํ ลงแมในแผน ดิน
เหมือนในนํา้ ก็ได เดินบนนา้ํ ไมแตกเหมือนเดนิ บนดินก็ได เหาะไป
ในอากาศเหมอื นนกกไ็ ด ใชมอื จับตอ งลบู คลาํ พระจันทร พระ
อาทิตยซง่ึ มีกําลังฤทธเ์ิ ดชมากมายถึงเพยี งน้กี ็ได ใชอาํ นาจทาง
กายจนถึงพรหมโลกก็ได"
๒. อาเทศนาปาฏหิ ารยิ  : "ภิกษุยอมทายใจ ทาย
ความรสู ึกในใจ ทายความนึกคดิ ทายความไตรตรองของสตั วอ่ืน
บคุ คลอืน่ ไดว า ใจของทา นเปนอยางน้ี ใจของทานเปนไปโดย
อาการน้ี จติ ของทานเปนดังน"ี้ : อยา งน้วี า ตามเกวัฏฏสูตรในทีฆ
นิกาย แตในที.ปา. ๑๑/๗๘/๑๑๒ ในอังคตุ ตรนิกาย และใน
ปฏสิ ัมภทิ ามคั คท ่อี า งแลว ใหความหมายละเอียดออกไปอีกวา

๑๒ เร่อื งเหนือสามญั วสิ ัย

"บางทา นทายใจไดด วยส่ิงทีก่ าํ หนดเปนเครือ่ งหมาย (นมิ ิต) วา ใจ
ของทานเปนอยา งน้ใี จของทา นเปนไปโดยอาการอยางนี้ จติ ของ
ทานเปนดงั น้ี ถงึ หากเธอจะทายเปนอันมาก ก็ตรงอยา งน้ัน ไม
พลาดเปนอ่ืน; บางทานไมทายดวยส่ิงทกี่ าํ หนดเปนเครื่องหมาย
เลย แตพ อไดฟง เสยี งของมนุษย อมนุษย หรือเทวดาแลว ก็ทายใจ
ไดวา ใจของทานเปนอยา งน้ี...; บางทานไมท ายดว ยนิมติ ไมฟ ง
เสยี ง…แลวจงึ ทาย แตฟ งเสยี งวิตกวิจารของคนทีก่ ําลงั ตรกึ กําลัง
ตรองอยู ก็ทายใจไดว า ใจของทานเปนอยางนี้..; บางทานไมท าย
ดว ยนิมติ ไมฟ งเสียง…แลว จึงทาย แตใ ชจิตกําหนดใจของคนท่ี
เขาสมาธิซงึ่ ไมมีวิตกไมม ีวิจารแลว ยอมรชู ดั วา ทานผูนี้ตัง้ มโน
สงั ขาร (ความคดิ ปรุงแตงในใจ) ไวอยา งไร ตอจากความคิดนี้แลว
ก็จะคิดความคิดโนน ถงึ หากเธอจะทายมากมาย กต็ รงอยา งนัน้
ไมพ ลาดเปนอืน่ " (อาเทศนาปาฏหิ าริยนี้ ดคู ลายเจโตปรยิ ญาณหรื
อปรจติ ตวชิ านน คอื การหยง่ั รใู จผูอ่นื แตไ มต รงกันทีเดียว เพราะ
ยังอยูในขัน้ ทาย ยงั ไมเ ปน ญาณ)

๓. อนสุ าสนปี าฏหิ ารยิ  : "บางทา นยอมพราํ่ สอนอยา งนี้
วา จงตรกึ อยางน้ี อยาตรึกอยา งนี้ จงมนสิการอยา งนี้ อยา
มนสกิ ารอยางน้ี จงละส่ิงนี้ จงเขาถงึ สงิ่ นอี้ ยเู ถิด" (เฉพาะในเกวัฏฏ
สตู ร ในทีฆนกิ าย อธิบายเพม่ิ เติมโดยยกเอาการทพี่ ระพุทธเจา
อบุ ตั ิในโลกแลวทรงส่ังสอนธรรม ทําใหคนมีศรัทธาออกบวช
บําเพ็ญศีล สํารวมอนิ ทรีย มสี ตสิ มั ปชญั ญะ สนั โดษ เจริญฌาน

อทิ ธปิ าฏหิ าริย- เทวดา ๑๓

บรรลุอภญิ ญาทง้ั ๖ ซึ่งจบลงดว ยอาสวกั ขยั เปน พระอรหนั ต วา
การสอนไดส าํ เร็จผลอยา งน้ันๆ ลวนเปนอนสุ าสนปี าฏหิ ารยิ )

อทิ ธปิ าฏหิ าริย ไมใชแ กนของธรรมะ

ในสมยั พทุ ธกาล เคยมีบุตรคฤหบดีผูห นึง่ ทูลขอให
พระพุทธเจา แสดงอิทธิปาฏหิ ารยิ  เขากราบทลู วา

"ขาแตพระองคผูเ จริญ เมืองนาลนั ทานเ้ี จริญรุงเรือง มี
ประชาชนมาก มผี ูค นกระจายอยูทั่ว ตางเลื่อมใสนกั ในองคพ ระผมู ี
พระภาค ขออญั เชิญพระผูมีพระภาคเจาไดโปรดทรงรบั สงั่
พระภกิ ษไุ วส กั รูปหน่งึ ที่จะกระทําอิทธปิ าฏหิ ารยิ  ซึง่ เปนธรรมเหนือ
มนษุ ย โดยการกระทําเชนน้ี ชาวเมอื งนาลนั ทานี้ก็จกั เล่อื มใสยง่ิ
นกั ในพระผูม พี ระภาคเจา สดุ ท่จี ะประมาณ"

พระพทุ ธเจาไดต รสั ตอบบุตรคฤหบดผี ูน้นั วา
"นแ่ี นะเกวัฏฏ เรามไิ ดแ สดงธรรมแกภิกษุท้ังหลายอยางนี้
วา มาเถิด ภิกษทุ ั้งหลาย พวกเธอจงกระทําอทิ ธปิ าฏิหารยิ  ซึง่ เปน
ธรรมเหนือมนุษย แกคนนุงขาวชาวคฤหัสถท ้ังหลาย"
พระองคไ ดต รสั แสดงเหตุผลตอ ไปวา ในบรรดาปาฏหิ าริย
๓ อยา งนั้น ทรงรงั เกยี จ ไมโปรดไมโ ปรงพระทยั ตออทิ ธิปาฏิหารยิ 
และอาเทศนาปาฏิหารยิ  เพราะทรงเห็นโทษวา คนทเี่ ช่ือกเ็ ห็นจริง
ตามไป สว นคนทีไ่ มเ ชอ่ื ไดฟ ง แลว ก็หาชองขัดแยง คดั คา นเอาไดวา
ภกิ ษทุ ่ีทาํ ปาฏหิ าริยนนั้ คงใชค ันธารวี ิทยา และมณิกาวิทยา ทําให
คนมัวทมุ เถียงทะเลาะกัน และไดท รงช้แี จงความหมายและคุณคา

๑๔ เรื่องเหนอื สามัญวสิ ัย

ของอนุสาสนปี าฏหิ าริยใหเหน็ วาเอามาใชป ฏบิ ตั ิเปนประโยชน

ประจักษไ ดภายในตนเองจนบรรลุถงึ อาสวักขัยอนั เปนจดุ หมาย

ของพระพุทธศาสนา นอกจากนั้นยงั ไดทรงยกตัวอยางภิกษุรูปหน่ึง

มฤี ทธม์ิ าก อยากจะรคู วามจรงิ เกย่ี วกับจุดดับส้ินของโลกวตั ถธุ าตุ

จึงเหาะเท่ียวไปในสวรรค ดน้ั ดนไปแสวงหาคาํ ตอบจนถงึ พระ

พรหม ก็หาคําเฉลยที่ถูกตองไมได ในท่ีสดุ ตอ งเหาะกลบั ลงมาแลว

เดินดินไปทลู ถามพระองคเ พอื่ ความรจู ักโลกตามความเปนจรงิ

แสดงถงึ ความที่อทิ ธิปาฏิหาริยมีขอบเขตจาํ กดั อบั จนและมิใช

แกนธรรม๗

อีกคราวหนึ่ง เมื่อสงั คารวพราหมณ กราบทูลถงึ เร่ืองแทรก

ซง่ึ ที่ประชมุ ราชบริษทั ไดยกขน้ึ มาสนทนากันในราชสํานักวา

"สมยั กอ นมีพระภิกษุจํานวนนอ ยกวา แตม ภี กิ ษุแสดง

อิทธิปาฏหิ าริยซงึ่ เปนธรรมเหนือมนุษยไ ดมากกวา สมยั นม้ี ี

พระภกิ ษจุ ํานวนมากกวา แตภกิ ษผุ แู สดงอิทธิปาฏหิ ารยิ  ซ่งึ เปน

ธรรมเหนือมนษุ ยกลับมนี อยกวา" พระพุทธเจาไดตรัสวาปาฏิหาริย

มี ๓ อยางคอื อทิ ธิปาฏิหารยิ  อาเทศนาปาฏหิ าริยแ ละอนุสาสนี

ปาฏหิ าริย แลว ทรงแสดงความหมายของปาฏิหาริยทงั้ สามอยา ง

น้ัน ในท่สี ุดไดตรสั ถามพราหมณวา ชอบใจปาฏหิ าริยอ ยา งไหน

ปาฏหิ าริยใ ดดกี วา ประณีตกวา พราหมณไ ดทลู ตอบวา

อิทธปิ าฏิหาริยแ ละอาเทศนาปาฏหิ าริย คนใดทํา คนนั้นจึงรเู รือ่ ง

คนใดทํากเ็ ปนของคนนนั้ เทา น้ัน มองดเู หมอื นเปน มายากล

อนสุ าสนปี าฏหิ ารยจ งึ จะดกี วา ประณีตกวา ๘ (คนอ่ืนพิจารณารู

อทิ ธิปาฏิหาริย- เทวดา ๑๕

เขาใจ มองเหน็ ความจริงดวยและนาํ ไปปฏบิ ัติได แกทกุ ขแกปญ หา
ได)

๑๖ เร่ืองเหนือสามัญวสิ ัย

อิทธิฤทธ์ิ ทเี่ ปน และไมเปน อริยะ

บาลอี ีกแหง หนึง่ ช้แี จงเรื่องอิทธิวิธี (การแสดงฤทธิ์ไดตางๆ)
วามี ๒ ประเภทคอื

๑. ฤทธ์ิท่มี ใิ ชอรยิ ะ คือฤทธ์ิทป่ี ระกอบดวยอาสวะ ยงั มี
อุปธิ (มีกเิ ลสและทําใหเกดิ ทุกขไ ด) ไดแ กฤ ทธ์ิอยา งทเ่ี ขาใจกนั
ทว่ั ๆไป ดงั ไดบรรยายมาขางตน คอื การที่สมณะหรือพราหมณ
(นกั บวช) ผใู ดผหู นงึ่ บําเพ็ญเพยี รจนไดเจโตสมาธิ แลวแสดงฤทธิ์
ไดต า งๆ เชน แปลงตวั เปนคนหลายคน ไปไหนกแ็ หวกทุลุฝา
กาํ แพงไป เหินฟา ดําดิน เดนิ บนน้าํ เปนตน

๒. ฤทธ์ทิ ีเ่ ปนอรยิ ะ คอื ฤทธิท์ ี่ไมป ระกอบดวยอาสวะ ไมมี
อปุ ธิ (ไมม ีกเิ ลส ไมทําใหเ กดิ ทุกข) ไดแก การทภี่ ิกษุสามารถทําใจ
กําหนดหมายไดตามตอ งการ บังคบั ความรูสึกของตนได จะให
มองเหน็ สงิ่ ท่ีนาเกลียดเปนไมน าเกลียดกไ็ ด เชน เห็นคนหนาตานา
เกลยี ดชงั กว็ างจติ เมตตาทาํ ใจใหรักใครมไี มตรีได เหน็ สงิ่ ไมนา
เกลยี ดเปนนาเกลยี ดก็ได เชน เหน็ คนรูปรา งนารกั ยั่วยวนใหเกิด
ราคะ จะมองเปน อสุภะไปก็ได หรือจะวางใจเปน กลางเฉยเสีย
ปลอยวางท้งั ส่ิงท่ีนา เกลยี ดและไมน า เกลียดกไ็ ด๙ เชนในกรณที ี่จะ
ใชความคิดพิจารณาอยางเท่ยี งธรรมใหเห็นสง่ิ ท้ังหลายตามความ
เปน จรงิ เปน ตน

เรอื่ งฤทธ์ิ ๒ ประเภทนี้ ยอมยา้ํ ความที่กลา วไวข างตน ให
เห็นวา อิทธปิ าฏหิ าริยจ ําพวกฤทธิท์ ่ีเขาใจกันท่ัวไปซงึ่ ทาํ อะไรได

อทิ ธปิ าฏหิ าริย- เทวดา ๑๗

ผาดแผลงพสิ ดารเปนที่นา อัศจรรยน้ัน ไมไดร บั ความยกยองใน
พระพทุ ธศาสนา ไมใชห ลักการท่ีแทของพระพทุ ธศาสนา ฤทธิ์ท่ี
สงู สง ดงี ามตามหลกั พระพุทธศาสนา คือฤทธท์ิ ่ีไมม พี ิษมีภัยแกใคร
ไดแกการบงั คบั ความรสู กึ ของตนเองได หรอื บังคบั จิตใหอ ยูใน
อํานาจของตนได ซ่งึ ผไู ดฤ ทธอิ์ ยา งตน อาจทําไมไ ด บางครงั้ จงึ หนั
ไปใชฤทธ์นิ ั้นเปน เคร่ืองมอื สนองกิเลสของตน ตรงขามกบั ฤทธ์ิ
อยา งทสี่ อง ทเ่ี ปนเคร่อื งมือสรา งคณุ ธรรม กําจดั กเิ ลส มใิ หจติ ใจ
ถกู ลอ ไปในอํานาจของราคะ โทสะ หรอื โมหะ๑๐ การท่พี ระพุทธเจา
ทรงบัญญัติสกิ ขาบท หามภิกษุแสดงอิทธปิ าฏหิ าริยแ กชาวบานก็
เปน หลักฐานยนื ยนั ถงึ การท่ไี มทรงสนับสนนุ การใชอ ทิ ธิปาฏิหาริย๑ ๑

เม่ือวาตามรูปศพั ท คําวา ปาฏิหาริย แปลวา การกระทําท่ี
ตกี ลบั ขับไล หรือกําจัดเสียไดซ ึง่ ปฏปิ ก ษ อทิ ธิ หรอื ฤทธ์ิ แปลวา
ความสําเร็จ อาเทศนา แปลวา ระบุ อา ง สาํ แดง ชบ้ี ง จะแปลวา
ปรากฏชดั กพ็ อได อนสุ าสนี แปลวา คําพร่ําสอน โดยถือ
ความหมายอยา งน้ี คมั ภีรป ฏสิ มั ภทิ ามคั คไ ดแปลความหมาย
ปาฏหิ าริยท้ังสามนั้นออกไปใหเ ห็นเพม่ิ ข้นึ อีกแนวหนึ่ง คอื กลาววา
คุณธรรมตา งๆ เชน เนกขมั มะ เมตตา ฌาน อนัตตานุปส สนา
ตลอดจนถงึ อรหตั ตมรรค เรยี กวาเปนอิทธิปาฏิหารยไดทั้งนนั้ โดย
ความหมายวา สําเรจ็ ผลตามหนาที่ และกําจดั ธรรมท่เี ปนปฏปิ ก ษ
ของมนั เชน กามฉันท พยาบาท ตลอดจนกเิ ลสทั้งปวงได เรยี กวา
เปนอาเทศนาปาฏิหาริยไ ด โดยความหมายวา ผูท ีป่ ระกอบดวย
ธรรมเหลาน้ีทกุ คนยอ มมจี ิตบริสุทธิ์ มคี วามคดิ ไมขุนมวั เรยี กวา

๑๘ เรือ่ งเหนือสามญั วิสยั

เปน อนุสาสนีปาฏหิ าริยไดโดยความหมายของการสง่ั สอนวา ธรรม

ขอนน้ั ๆ ควรปฏิบตั ิ ควรฝกอบรม ควรเพิม่ พูน ควรต้ังสตใิ หเหมาะ

อยา งไร เปน ตน ๑๒ คาํ อธบิ ายอยางน้ี แมจ ะไมใ ชค วามหมายอยาง

ท่ใี ชท วั่ ไป แตกเ็ ปน ความรูประกอบที่นาสนใจ

ดังไดก ลา วแลวขางตน วา อิทธิปาฏหิ าริยเ ปนโลกยี

อภิญญาอยา งหนงึ่ ซึง่ เปนสว นเสริมคุณสมบัติของผทู ไ่ี ดโ ลกุตรอ

ภิญญาเปนหลักอยแู ลวใหพรอ มบรบิ รู ณย ่ิงขน้ึ สําหรับการบําเพ็ญ

กจิ เกอ้ื กูลแกชาวโลก จึงมพี ุทธพจนบางแหง เรียกภิกษผุ ู

ประกอบดว ยปาฏิหาริยค รบท้ัง ๓ ประการ คอื อิทธิปาฏิหาริย อา

เทศนาปาฏิหาริย และอนุสาสนีปาฏหิ าริย วา เปนผูสาํ เร็จสิน้ เชิง

จบหรือถงึ จุดหมายสนิ้ เชงิ เปนตน และเปน ผูประเสรฐิ สดุ ในหมู

เทวดาและมนุษยทงั้ หลาย๑๓ แตท ั้งนี้ ยํ้าวา ตองมอี นสุ าสนี

ปาฏหิ ารยเปนหลัก หรือเปนขอยืนตัวแนนอน และมปี าฏิหาริย ๒

ขอ ตน เปนเครอ่ื งเสริม แมใ นการใชปาฏิหาริย ก็ถอื หลักอยา ง

เดียวกันคอื ตองใชอนุสาสนปี าฏิหารยิ เปนหลักอยูเสมอ หาก

จะตอ งใชอ ิทธปิ าฏิหาริยหรืออาเทศนาปาฏิหาริยบ างในเมอื่ มี

เหตผุ ลควร กใ็ ชเพียงเพ่อื เปนเคร่ืองประกอบเบอ้ื งตน เพอื่ นําเขา สู

อนสุ าสนปี าฏิหารยิ  มีอนุสาสนปี าฏหิ ารยิ เ ปนเปาหมาย และจบลง

ดว ยอนุสาสนีปาฏหิ าริย ดังจะไดกลา วตอ ไป

อิทธิปาฏหิ าริย- เทวดา ๑๙

โทษแกปุถุชนทเ่ี กย่ี วของกบั เรือ่ งฤทธ์ิ

สําหรับปุถชุ น ฤทธ์ิอาจเปนโทษไดทั้งแกผูมีฤทธิ์เอง และ
แกค นท่ีมาเกี่ยวของกับผมู ีฤทธิ์ ปุถชุ นผูมีฤทธอ์ิ าจจะเกิดความเมา
ฤทธ๑์ิ ๔ ในลักษณะตางๆ เชน เกิดมานะวาเราทาํ ไดในสง่ิ ที่คนอ่ืน
ทาํ ไมได คนอนื่ ทําไมไ ดอ ยางเรา มีความรูสึกยกตนขมผอู นื่
กลายเปนอสตั บรุ ุษไป หรอื อาจเกิดความหลงใหลมัวเมาในลาภ
สักการะท่เี กิดจากฤทธ์ินั้น นําฤทธไ์ิ ปใชเ พ่ือกอ ความชว่ั ความ
เสยี หาย อยางพระเทวทตั เปน ตน อยางนอยการติดใจเพลนิ อยใู น
ฤทธิน์ ั้น กท็ ําใหไ มสามารถปฏบิ ตั ิเพื่อบรรลุคุณธรรมท่ีสูงขน้ึ ไปไม
อาจชําระกิเลสทาํ จติ ใจใหบรสิ ุทธ์ไิ ด และเพราะฤทธ์ิของปุถุชนเปน
ของเสอื่ มได แมแ ตความหว งกงั วลมวั ยงุ กบั การรักษาฤทธิ์ ก็
กลายเปนปลิโพธ คอื อปุ สรรคที่ทําใหไ มสามารถใชป ญ ญาพินิจ
พจิ ารณาตามวิธขี องวิปสสนาอยา งไดผ ลดี ทา นจงึ จดั เอาฤทธเ์ิ ปน
ปลโิ พธอยา งหนงึ่ ของวิปสสนา (เรียกวาอทิ ธิปลิโพธ) ซึง่ ผจู ะ
ฝก อบรมปญ ญาพึงตดั เสียใหได๑๕

สวนปุถุชนท่ีมาเก่ียวของกบั ผมู ฤี ทธิ์ กม็ ที างประสบผลเสีย
จากฤทธไ์ิ ดเ ปนอันมาก ผลเสยี ขอ แรกทีเดยี วกค็ ือ คนที่มา
เกยี่ วขอ งอาจตกไปเปนเหยื่อของผูม ีฤทธิห์ รือหลอกลวงวามีฤทธ์ิ
ซง่ึ มีอกศุ ลเจตนานาํ เอาฤทธ์ิมาเอยอางเพอ่ื แสวงหาลาภสกั การะ
อยางไรก็ตาม ในเรอื่ งนี้มขี อ พงึ สังเกตวา ตามปกติผมู ีฤทธซ์ิ งึ่ เปนผู
ปฏิบตั ิชอบ จะใชฤทธิ์ในกรณีเดียวเม่ือมเี หตุผลอนั สมควรเพือ่ เปน
สื่อนําไปสูการแนะนําสง่ั สอนสิง่ ทถ่ี กู ตอ งคอื อนุสาสนปี าฏหิ าริย

๒๐ เรอ่ื งเหนือสามัญวิสัย

ถาไมม เี หตุผลเกี่ยวกับการแนะนาํ ส่ังสอนธรรมแลว ผูมีฤทธ์จิ ะใช

ฤทธ์ทิ าํ ไม นอกจากเพ่อื ผูกคนไวกบั ตนเปนสะพานทอดไปสู

ชอื่ เสียงและลาภผล๑๖

ดังน้นั จึงควรยึดถือเปนหลักไวทเี ดียววา การใช

อทิ ธิปาฏหิ าริย จะตอ งมอี นุสาสนีปาฏหิ ารยิ ต ามมาดวย ถาผใู ด

อางหรือใชอ ทิ ธิปาฏหิ าริยโดยมใิ ชเ ปน เพียงบันใดท่ีจะนาํ ไปสู

อนุสาสนีปาฏหิ าริยพ งึ ถือไวก อ นวา ผนู น้ั ปฏิบตั ิผดิ ในเรอื่ ง

อิทธิปาฏหิ ารยิ  เขาอาจมอี กศุ ลเจตนาหลอกลวง มุง แสวงหาลาภ

สักการะ หรอื อยา งนอยก็เปน ผูมัวเมาหลงใหลเขา ใจผดิ ในเร่อื ง

อิทธปิ าฏหิ ารยิ น น้ั

หลักการน้ีผอนลงมาใชไ ดแ มกบั พฤติการณเ กี่ยวกับเรื่อง

ของขลงั สิ่งศกั ด์ิสทิ ธิ์ ทว่ั ไป๑๗ โดยอาจใหย ึดถอื กันไวว า ผูใดนําเอา

ของขลังสิง่ ศกั ดิ์สิทธ์ิ หรอื สิ่งลึกลับตา งๆ มาใชใ นการเกย่ี วขอ งกับ

ประชาชน โดยมไิ ดน าํ ประชาชนไปสูค วามรคู วามเขาใจในธรรม

มิไดต อทายของขลังเปน ตนน้ันดวยการแนะนําสัง่ สอนใหเกิด

ปญญาคอื ความรคู วามเขาใจถูกตองเกีย่ วกบั ความจริงความดี

งามทค่ี วรรูและควรประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ เพือ่ ชวยนําเขาใหคอ ยๆ กาว

พน เปนอสิ ระออกไปไดจ ากของขลังส่ิงศักดสิ์ ทิ ธ์ิเหลานัน้ พงึ ถือวา

ผนู ้ันเปนผปู ฏบิ ตั ผิ ดิ และนาํ ประชาชนไปในทางท่ีผิด

อนึ่ง แมใ นกรณีทีม่ ไิ ดตกไปเปนเหยื่อของผูอ วดอา งฤทธิ์

การไปมวั วุนวายเพลดิ เพลินหรือฝกใฝกบั อทิ ธปิ าฏิหารยิ ท้งั หลาย

อิทธิปาฏหิ ารยิ - เทวดา ๒๑

กเ็ ปน การไมปฏิบัติตามหลักการของพระพทุ ธศาสนาอยใู นตวั แลว

ตง้ั หลายแง

แงท ห่ี น่ึง ในเม่ืออทิ ธปิ าฏิหาริยไมใ ชส าระสาํ คัญของ

พระพทุ ธศาสนา ไมเ กีย่ วกับจุดหมายของพระพทุ ธศาสนา ไมช ว ย

ใหม นุษยหลุดพนจากกเิ ลส การไปฝก ใฝในเรอ่ื งเชนน้ี ยอมเปน การ

พราเวลาและแรงงานที่ควรใชสําหรบั การปฏิบตั ธิ รรมใหหมดไป

ในทางทผ่ี ิด

แงท ี่สอง คนที่ไปเก่ยี วขอ งกบั ผอู างฤทธ์ิหรืออํานาจส่ิง

ศกั ด์สิ ทิ ธ์ิ มกั มุง เพือ่ ไปขอความชว ยเหลอื หวงั อํานาจดลบนั ดาลให

เกดิ โชคลาภเปนตน การปฏิบัติเชนนยี้ อมไมถกู ตองตามหลัก

พระพทุ ธศาสนาท่ีเปนกรรมวาท กริ ิยวาท และวิริยวาท สอนใหคน

หวงั ผลสาํ เรจ็ จากการลงมือทําดว ยความเพียรพยายามตามเหตุ

ตามผล การมวั หวงั ผลจากการออ นวอนขอความชวยเหลอื จาก

อาํ นาจดลบันดาล อาจทําใหกลายเปนคนมสี ินัยเฉื่อยชา

กลายเปนคนงอมืองอเทา อยา งนอยกท็ ําใหขาดความเพียร

พยายาม ไมรีบเรง ลงมอื ทาํ สิง่ ทคี่ วรจะทํา ไมเรงเวน สิ่งทีค่ วรงดเวน

ขัดกบั หลกั ความไมป ระมาท

นอกจากนน้ั ถาจะฝกใฝก บั อทิ ธปิ าฏิหาริย กค็ วรฝกตนให

ทําปาฏหิ าริยนน้ั ไดเ อง จะดกี วา (แตกย็ งั ขัดกับหลักการแงที่หนึ่ง

ขา งตนอยดู ี) เพราะการฝก ใฝห วงั ผลจากอิทธิปาฏิหารยิ ของผูอื่น

หรือจากอํานาจดลบนั ดาลทัง้ หลาย เปนการพ่งึ สงิ่ ภายนอก ทาํ ให

ชีวติ ขึ้นตอ ส่งิ อ่ืนมากย่ิงขึ้น แทนท่ีจะอาศยั อาํ นาจภายนอกนอยลง

๒๒ เรอ่ื งเหนอื สามญั วสิ ยั

และเปนตัวของตวั เองมากยิง่ ข้ึน จึงอาจทําใหกลายเปนคนมีชวี ิตที่
เลอื่ นลอย มกั เปนอยูดวยความเพอ ฝน เปน คนขาดประสทิ ธิภาพ
ขาดอํานาจและความมั่นใจในตนเอง ขดั ตอหลกั การพ้ืนฐานของ
พระพทุ ธศาสนา ทีส่ อนใหพ ึ่งตนเอง สอนใหทําตนใหเปนท่พี ง่ึ ได
หรือสามารถพึง่ ตนได และสอนมรรคาแหง ความหลุดพน เปนอิสระ
ซึ่งในขั้นสุดทายใหข ามพน ไดแ มกระทัง้ ศรทั ธาทม่ี ีเหตผุ ล ไปสู
ความเปนอยูดว ยปญญาบรสิ ทุ ธิ์ ไมต องอิงอาศัยแมก ระท่ังพระ
ศาสดา เริ่มตนมรรคาจากการองิ อาศัยปญญาสองนําขององคพ ระ
ศาสดาผูเปนกลั ยาณมติ ร ไปสูการยนื ไดล ําพังตน โดยไมต อง
อาศยั การประคับประคองของพระศาสดา๑๘

แนวปฏิบัติทีถ่ ูกตอ ง

ในการเขา ไปเก่ียวขอ งกบั เรอื่ งฤทธิ์

เม่อื พิจารณาในแงผลตอคนทเี่ ขา ไปเก่ยี วขอ งกบั ฤทธแ์ิ ลว
คราวนลี้ องมาพิจารณาดูแนวปฏบิ ตั ิจากพระจริยาวัตรของพระ
บรมศาสดาและพระสาวกท้ังหลายผูเรืองฤทธ์ิ วา ทานใชฤทธิ์หรอื
ปฏิบตั ติ ออิทธิปาฏิหาริยกันอยางไร

สําหรบั องคพ ระพทุ ธเจา เอง ปรากฏชัดจากพุทธดํารัสที่
อางแลว ขา งตน วาทรงรังเกียจ ไมทรงโปรดท้ังอทิ ธิปาฏหิ าริยแ ละ
อาเทศนาปาฏหิ ารยิ  แตทรงสนบั สนนุ อนสุ าสนีปาฏหิ าริย และทรง
ใชปาฏิหาริยขอ หลังนอ้ี ยเู สมอ เปน หลกั ประจําแหง พุทธกิจ หรือวา
ใหถ ูกแทค อื เปนตวั พทุ ธกิจทีเดียว ท้ังนี้ ดว ยเหตผุ ลดังไดแ สดงแลว

อทิ ธปิ าฏหิ าริย- เทวดา ๒๓

ขางตน แตก็ปรากฏอยบู างคราววามีกรณีที่ทรงใชอทิ ธิปาฏิหารย
บา งเหมอื นกัน และเมอ่ื พิจารณาจากกรณีเหลา นั้นแลว กส็ รปุ ได
วา พระพทุ ธเจา ทรงใชอ ิทธปิ าฏิหารยิ เฉพาะในกรณีท่ีจะทรง
ทรมานผมู ีฤทธ์ิ ผูถือฤทธเิ์ ปนเรอื่ งสาํ คัญ หรือผถู ือตวั วาเปน ผวู ิเศษ
ใหละความหลงใหลมัวเมาในฤทธิ์ พูดอีกอยา งหน่ึงวา ใชฤทธิ์
ปราบฤทธ์ิ เพ่ือใหผูช อบฤทธิ์หรอื ลําพองในฤทธิ์ ตระหนักในคณุ คา
อันจํากัดของฤทธิ์ มองเห็นสิ่งอ่ืนทด่ี งี ามประเสริฐกวาฤทธ์ิ และ
พรอ มที่จะเรียนรูหรอื รบั ฟงส่งิ อันประเสริฐนั้น ซ่งึ จะทรงชีแ้ จงสงั่
สอนแกเ ขาดวยอนสุ าสนีปาฏิหารยิ ตอ ไป ตรงกบั หลักท่กี ลาว
ขางตน วา ใชอิทธิปาฏิหาริยป ระกอบอนสุ าสนีปาฏิหาริย แตเปน
การใชป ระกอบในขอบเขตจาํ กดั อยางย่ิง คอื เฉพาะในกรณีที่ผู
รบั คาํ สอนฝก ใฝใ นฤทธิ์หรือเมาฤทธิ์ แสดงทฏิ ฐมิ านะตอพระองค
เทานัน้ เชน เรื่องการทรมานพระพรหม เปนตน

สว นพระมหาสาวกท้งั หลาย ก็มเี ร่อื งราวเลามาบางวา ใช
ฤทธ์ิประกอบอนสุ าสนีแกผ ูฝกใฝใ นฤทธ์ิ เชน เร่อื งทพี่ ระสารบี ุตร
สอนหมูภ ิกษุศิษยพระเทวทัตดวยอาเทศนาปฏิหารยิ ควบกบั
อนสุ าสนปี าฏิหาริย พระมหาโมคคลั ลานส อนดวยอิทธิปาฏิหาริย
ควบกบั อนุสาสนีปาฏิหาริย สว นการทาํ อิทธิปาฏหิ าริยเ พื่อ
อนเุ คราะหชว ยเหลอื มีเรื่องเลา มาบา งนอ ยเหลือเกิน แตกรณีท่ี
ขอรองใหชว ยเหลอื ดว ยอิทธปิ าฏิหารยิ  ไมพ บในพระไตรปฎกเลย
แมแ ตแหง เดียว จะมผี ขู อรองพระบางรูปใหแสดงอทิ ธปิ าฏิหาริย
บา ง กเ็ พียงเพราะอยากดูเทา นน้ั ๑๙ และการแสดงอทิ ธิปาฏหิ าริย

๒๔ เร่อื งเหนอื สามัญวิสยั

ใหช าวบานดู พระพุทธเจากไ็ ดทรงบัญญตั สิ ิกขาบทหา มไวแลว ดัง
ไดกลาวขา งตน

ในท่นี ี้ขอย้ําขอคดิ ตามหลักพระพทุ ธศาสนาไวอ กี ครั้งหน่งึ
วา ในชวี ิตที่เปนจรงิ ในระยะยาว หรอื ตามปกติธรรมดาของมนุษย
มนษุ ยก็ตองอยกู บั มนุษย และเปนอยูดวยเหตุผลสามัญของมนษุ ย
เอง จะมวั หวงั พ่งึ อํานาจภายนอกทม่ี องไมเ ห็น ซง่ึ ไมขึน้ กับตนเอง
อยูอยา งไร ทางทีด่ ีควรจะหันมาพยายามฝกหดั ตนเองและฝก ปรอื
กนั เอง ใหมีความรคู วามสามารถชํานชิ าํ นาญในการแกปญหาตาม
วิถที างแหง เหตุผลอยางสามัญของมนุษยน ้ีแหละ ใหสาํ เรจ็ โดย
ชอบธรรม ความสามารถที่ทําไดส ําเร็จอยางน้ี ทา นก็จดั เปนฤทธิ์
อยา งหน่ึง และเปน ฤทธ์ิที่ถกู ตองตามหลกั การของพระพุทธศาสนา
มีทง้ั อามิสฤทธ์ิ และธรรมฤทธ๒์ิ ๐ โดยถือธรรมฤทธ์เิ ปน หลักนํา

สรุปเหตผุ ลขอใหญทแี่ สดงถึงขอบเขตจาํ กัดหรือจุดตดิ ตัน
ของอิทธปิ าฏหิ าริย ตลอดถึงอาํ นาจศักดสิ์ ทิ ธิท์ งั้ หลายทง้ั ปวง ซึง่
ทาํ ใหไมสามารถเปน หลกั การสาํ คญั ของพระพุทธศาสนา ไม
เก่ียวขอ งกับจุดหมายของพทุ ธธรรม และไมเปนสิง่ จําเปน สําหรับ
การดาํ เนินพุทธมรรคา ไมอ าจเปนท่ีพึง่ อันเกษมหรอื ปลอดภัยได
เหตผุ ลนนั้ มี ๒ ประการคือ.-

๑. ทางปญ ญา อทิ ธปิ าฏิหาริย เปนตน ไมอ าจทาํ ให
เกิดปญญาหย่งั รสู จั ธรรม เขาใจสภาวธรรมทงั้ หลายตามความเปน
จรงิ ได ดงั ตวั อยางเรอื่ งพระภิกษมุ ฤี ทธิ์ทเ่ี หาะไปหาคําตอบ
เก่ยี วกับสัจธรรมทัว่ จกั รวาฬจนถงึ พระพรหมผูถ อื ตนวาเปนผูส ราง

อิทธิปาฏิหารยิ - เทวดา ๒๕

ผบู ันดาลโลก ก็ไมส าํ เรจ็ และเรื่องฤาษีมฤี ทธเิ์ หาะไปดทู ี่สดุ โลก
พิภพจนหมดอายกุ ไ็ มพ บ เปนตวั อยาง๒๑

๒. ทางจิต อิทธปิ าฏิหาริย เปน ตน ไมอ าจกาํ จัดกเิ ลส
หรือดับความทกุ ขไ ดจ รงิ จติ ใจมคี วามขุนมัว กลดั กลุม เรารอ น ถูก
โลภะ โทสะ โมหะ ครอบงํา กไ็ มสามารถแกไขใหหลุดพนเปนอิสระ
ได แมจะใชฌานสมาบัติขมระงบั ไว ก็ทําไดเพียงชวั่ คราว กลับ
ออกมาสกู ารเผชญิ โลกและชีวติ ตามปกตเิ มื่อใด กเิ ลสและความ
ทุกขก็หวนคืนมารังควาญไดอ กี เมือ่ น้ัน ยิ่งกวา นั้น อทิ ธิปาฏหิ าริย
อาจกลายเปนเครื่องมือรบั ใชก ิเลสไปก็ได ดงั เรอื่ งพระเทวทัตเปน
ตัวอยาง๒๒

๒๖ เรอ่ื งเหนือสามญั วิสยั

เทวดา

ขอเปรยี บเทยี บ

ระหวางฐานะของมนุษยก ับเทวดา

ขอ ควรพจิ ารณาเก่ียวกบั เรื่องเทวดา๒๓ วาโดยสว นใหญก็

เหมือนกับท่กี ลาวแลว ในเร่ืองอทิ ธปิ าฏิหาริยเ พราะคนมกั เขา ไป

เกยี่ วของกบั เทวดาเพอ่ื ผลในทางปฏิบตั ิ คอื หวังพง่ึ และขออาํ นาจ

ดลบันดาลตางๆ เชนเดียวกบั ท่ีหวังและขอจากอิทธฤิ ทธ์ิ และ

เทวดากเ็ ปนผมู ฤี ทธิ์ หลักการท่วั ไปที่บรรยายแลวในเรอื่ ง

อทิ ธิปาฏหิ าริย เฉพาะอยา งยิง่ สว นที่เก่ยี วกับคณุ และโทษ จึง

นํามาใชกับเร่ืองเทวดาไดดวย แตก็ยงั มเี รอ่ื งทค่ี วรทราบเพ่มิ เติม

อกี บางอยางดงั นี้

วา โดยภาวะพื้นฐาน เทวดาทุกประเภทตลอดจนถึงพรหมท่ี

สงู สุด ลว นเปนเพือ่ นรวมทุกขเ กดิ แกเ จบ็ ตาย เวยี นวา ยอยใู น

สงั สารวัฏเชน เดยี วกบั มนุษยท ง้ั หลาย และสว นใหญก็เปนปถุ ุชนยงั

มกี เิ ลสคลายมนุษย แมว า จะมีเทพที่เปนอรยิ บคุ คลบาง สวนมากก็

เปน อรยิ ะมากอนตง้ั แตค ร้ังยังเปนมนุษย แมว า เม่อื เปรยี บเทียบ

โดยเฉลย่ี ตามลาํ ดบั ฐานะ เทวดาจะเปนผมู ีคุณธรรมสงู กวา แตก็

อยใู นระดบั ใกลเคียงกนั จนพดู รวมๆ ไปไดวา เปน ระดบั สคุ ติดวยกัน

ในแงค วามไดเปรียบเสยี เปรียบ บางอยางเทวดาดีกวา แต

บางอยา งมนุษยก ็ดีกวา เชน ทา นเปรียบเทียบระหวางมนุษยช าว

อทิ ธิปาฏิหาริย- เทวดา ๒๗

ชมพทู วีปกบั เทพช้นั ดาวดึงสว า เทพชั้นดาวดึงสเ หนือกวามนุษย ๓
อยา งคอื มอี ายทุ ิพย ผิวพรรณทิพย และความสุขทิพย แตมนษุ ย
ชาวชมพูทวปี ก็เหนอื กวา เทวดาช้ันดาวดึงส ๓ ดาน คอื กลา หาญ
กวา มสี ติดีกวา และมีการประพฤติพรหมจรรย (หมายถงึ การ
ปฏบิ ัติตามอริยมรรค)๒๔

แมว าตามปกตพิ วกมนษุ ยจะถอื วา เทวดาสงู กวาพวกตน
และพากันอยากไปเกิดในสวรรค แตสําหรับพวกเทวดา เขาถอื กนั
วา การเกิดเปน มนุษยเ ปนสคุ ตขิ องพวกเขา ดังพทุ ธพจนยืนยันวา

"ภกิ ษุทงั้ หลาย ความเปน มนุษยน ่ีแล นับวาเปนการไปสคุ ตขิ องเทพ
ทัง้ หลาย"๒๕ เม่ือเทวดาองคใดองคหน่งึ จะจุติ เพ่ือนเทพชาวสวรรค
จะพากันอวยพรวา ใหไปสคุ ติคอื ไปเกิดในหมมู นษุ ยทง้ั หลาย
เพราะโลกมนุษยเ ปนถ่ินที่มโี อกาสเลือกประกอบกุศลธรรมทาํ
ความดงี ามตางๆ และประพฤติปฏบิ ตั ิธรรมไดอยางเต็มที่๒๕ (ความ
ชวั่ หรืออกศุ ลกรรมตา งๆ ก็เลอื กทาํ ไดเ ต็มที่เชนเดยี วกัน) การเกิด
เปน เทวดาท่ีมีอายยุ ืนยาว ทา นถอื วาเปน การเสียหรือพลาดโอกาส
อยางหนง่ึ ในการที่จะไดป ระพฤตพิ รหมจรรย๒๖ (ปฏบิ ตั ติ าม
อริยมรรค) เรียกอยา งสามัญวา เปนโชคไมด ี พวกชาวสวรรคมีแต
ความสุข ชวนใหเกดิ ความประมาทมัวเมา สติไมม น่ั สว นโลก
มนุษยมีสุขบางทกุ ขบา งเคลาระคน มปี ระสบการณหลากหลาย
เปนบทเรียนไดมาก เมื่อรจู ักกําหนดก็ทาํ ใหไดเ รียนรู ชวยใหส ติ
เจริญวองไวทํางานไดด ี๒๗ เกอ้ื กูลแกการฝกตนและการทจ่ี ะ
กาวหนา ในอารยธรรม

๒๘ เรอ่ื งเหนือสามญั วิสยั

เมื่อพิจารณาในแงระดับแหงคุณธรรมใหละเอยี ดลงไปอกี
จะเห็นวา มนษุ ยภมู นิ นั้ อยกู ลางระหวา งเทวภมู หิ รอื สวรรคกบั
อบายภูมิมนี รกเปนตน พวกอบายเชนนรกน้ัน เปน แดนของคน
บาปดอยคุณธรรม แมชาวอบายบางสว นจะจดั ไดวาเปน คนดี แตก็
ตกไปอยูในนั้น เพราะความช่ัวบางอยางใหผ ลถวงดงึ ลงไป สวน
สวรรคก ็เปน แดนของคนดีคอนขา งมคี ุณธรรม แมวา ชาวสวรรค
บางสวนจะเปน คนชัว่ แตกไ็ ดข ึน้ ไปอยูในแดนนั้น เพราะมีความดี
บางอยา งทีป่ ระทุแรงชวยผลกั ดนั หรอื ฉุดขนึ้ ไป สวนโลกมนุษยท่ี
อยรู ะหวางกลาง กเ็ ปน ประดุจชุมทางท่ผี า นหมุนเวียนกันไปมาท้ัง
ของชาวสวรรคและชาวอบาย เปนแหลงท่สี ตั วโลกทุกพวกทกุ ชนิด
มาทาํ มาหากรรม เปนทีค่ นชั่วมาสรางตวั ใหเปนคนดีเตรียมไป
สวรรคห รอื คนดมี าสุมตวั ใหเปนคนชว่ั เตรยี มไปนรก ตลอดจนเปน
ท่ีผูร จู ะมาสะสางตวั ใหเ ปนคนอสิ ระ เลิกทาํ มาหากรรม เปลย่ี นเปน
ผูห วา นธรรม ลอยพนเหนอื การเดินทางหมนุ เวยี นตอ ไป

พวกอบายมีหลายชั้น๒๘ ชน้ั เดยี วกันก็มีบาปธรรมใกลเ คียง
กัน พวกเทพกม็ หี ลายชั้นซอยละเอยี ดยงิ่ กวาอบาย มีคณุ ธรรม
พ้นื ฐานประณตี ลดหลน่ั กันไปตามลําดับ ช้นั เดียวกนั ก็มคี ุณธรรม
ใกลเคียงกัน สวนโลกมนษุ ยแดนเดียวนี้ เปนทรี่ วมของบาปธรรม
และคุณธรรมทุกอยา งทุกระดับ มคี นช่ัวซ่งึ มบี าปธรรมหยาบหนา
เหมอื นดังชาวนรกชน้ั ตํ่าสดุ และมคี นดซี งึ่ มีคุณธรรมประณตี
เทากับพรหมผูส งู สุด ตลอดจนทา นผูพนแลวจากภพภูมิทง้ั หลาย
ซง่ึ แมแ ตเ หลาเทพมารพรหมกเ็ คารพบูชา ภาวะเชนนี้นบั ไดว า เปน

อิทธปิ าฏิหารยิ - เทวดา ๒๙

ลกั ษณะพิเศษของโลกมนุษยท่ีเปนวสิ ัยกวา งสุดแหง บาปอกศุ ล
และคุณธรรม เพราะเปนท่ีทาํ มาหากรรม และเปน ท่ีหวานธรรม

เทา ท่ีกลา วมาน้ี จะเหน็ ขอเปรยี บเทียบระหวางมนุษยก ับ
เทวดาไดวา เมอื่ เทยี บโดยคณุ ธรรมและความสามารถท่ัวไปแลว
ท้ังมนุษยแ ละเทวดาตางก็มิไดเ ทา เทยี มหรือใกลเ คียงกัน เปน
ระดับเดยี วกัน แตม นุษยมีวิสยั แหงการสรางเสริมปรบั ปรงุ มากกวา
ขอ แตกตางสาํ คญั จึงอยทู ีโ่ อกาส กลา วคอื มนุษยมีโอกาสมากกวา
ในการทจี่ ะพัฒนาคุณธรรมและความสามารถของตน ถา มองใน
แงแ ขง ขัน (ทางธรรมไมสนบั สนุนใหม อง) ก็วา ตามปกตธิ รรมดา
ถาอยูกนั เฉยๆ เทวดาท่ัวไปสูงกวา ดีกวา เกงกวามนุษย แตถ า
มนษุ ยปรบั ปรุงตัวเมื่อไร ก็จะขน้ึ ไปเทียมเทา หรอื แมแ ตส ูงกวา
ดีกวา เกง กวาเทวดา๒๙

ความสมั พันธท ่ไี มค วร ระหวางมนษุ ยกับเทวดา

เม่ือทราบฐานะของเทวดาแลว พงึ ทราบความสัมพันธ
ทีค่ วรและไมค วรระหวางเทวดากบั มนุษยต อไป ในลัทธศิ าสนาที่มี
มาตง้ั แตกอ นพุทธกาล เขาเช่ือวามเี ทวดาใหญนอยมากมาย และ
มเี ทพสูงสดุ เปนผูสรา งโลกและบนั ดาลทกุ สิ่งทกุ อยาง ซงึ่ มนษุ ยไ ม
มีทางจะเจริญเลศิ ลํ้ากวาเทพน้ันได มนษุ ยจึงสรางความสมั พันธ
กับเทพดว ยวิธอี อนวอนขอความชว ยเหลือดว ยวิธกี ารตางๆ เชน
สวดสรรเสริญ ยกยอ ง สดุดี บวงสรวง สังเวย บูชายญั เปนการ
ปรนเปรอเอาอกเอาใจ หรือไมก็ใชว ิธีเรยี กรองความสนใจ บบี

๓๐ เรือ่ งเหนอื สามัญวิสยั

บังคับใหเ หน็ ใจเชิงเรา ใหเกิดความรอ นใจจนเทพทนนง่ิ อยูไมไ ด

ตองหันมา ดูแลหาทางแกไขหรือสนองความตอ งการให ท้งั นี้ โดย

ใชว ธิ ีขมข่ีบีบคัน้ ลงโทษทรมานตนเอง ทีเ่ รียกวาประพฤติพรตและ

บําเพญ็ ตบะตา งๆ สรุปใหเ ห็นชัดถึงวิธีสัมพนั ธกบั เทพเจา เปน ๒

อยา งคอื

๑. วิธีออนวอนขอความชวยเหลอื ดว ยการเซน สรวง สังเวย

บูชายญั ดังลูกออนวอนขอตอพอ แม บางทีเลยไปเปน ดงั ประจบ

และแมต ิดสินบนตอผูมอี าํ นาจเหนือ

๒. วิธบี ีบบังคบั ใหทําตามความประสงค ดวยการบาํ เพ็ญ

พรตทาํ ตบะ ดังลกู ท่ตี อี กชกหวั กดั ทึง้ ตนเอง เรยี กรอ งเชิงบีบบังคับ

ใหพอ แมหันมาใสใจความประสงคข องตน

แตจ ะเปนวธิ ใี ดกต็ าม ยอมรวมลงในการมุงหวัง

ผลประโยชนแกตน ดวยการพงึ่ พาสงิ่ ภายนอกทั้งสิน้ เมื่อ

พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นแลว ก็ไดสอนใหเลกิ เสยี ทัง้ สองวิธี และการ

เลกิ วธิ ปี ฏบิ ัติท้งั สองนแ้ี หละทเ่ี ปนลกั ษณะพิเศษของ

พระพทุ ธศาสนาในเรือ่ งนี้ ในการสอนใหเลกิ วิธีปฏบิ ตั ิเหลา นี้

พระพทุ ธศาสนาสามารถแสดงเหตผุ ล ชใ้ี หเ ห็นคณุ โทษ และวางวิธี

ปฏบิ ัติท่ีสมควรใหใหมดวย

โทษจากการหวังพง่ึ เทวดา

การหวังพ่ึงเทวดายอ มมผี ลในขอบเขตจํากดั หรอื มีจุดติด
ตันอยา งเดียวกบั ท่กี ลาวแลวในเรื่องอทิ ธิปาฏหิ าริย คือ ในทาง

อทิ ธิปาฏิหาริย- เทวดา ๓๑

ปญ ญา เทวดาทัว่ ๆ ไปก็ยงั มอี วชิ ชา ไมรูสัจธรรม เชน เดียวกับ
มนษุ ย ดงั เร่ืองพระภกิ ษุรูปท่เี หาะไปถามปญหากะเทวดาจนแมแ ต
พระพรหมก็ตอบไมไ ด และเรื่องพระพุทธเจาทรมานพวกพรหม
นามวา “พกะ” ในพกสูตรเปน ตน สว นในดานจติ ใจ เทวดาก็
เหมอื นกับมนุษย คือสว นใหญเปนปุถุชน ยังมีกเิ ลสมเี ชือ้ ความ
ทกุ ขม ากบางนอยบาง ยังหมุนเวียนข้ึนๆ ลงๆ อยูในสังสารวัฏ
ดังเชน พระพรหมแมจ ะมคี ุณธรรมสงู แตกย็ งั ประมาทเมาวาตนอยู
เท่ยี งแทน ิรันดร๓๐ พระอนิ ทรเมาประมาทในทพิ ยสมบัติ๓๑ คนอนื่
หวังพ่งึ พระอนิ ทร แตพระอนิ ทรเองยงั ไมห มดราคะ โทสะ โมหะ ยงั
มคี วามหวาดกลัวสะดงุ หวั่นไหว๓๒

การออนวอนหวังพึง่ เทวดา นอกจากขดั กับความเพยี ร
พยายามโดยหวงั ผลสาํ เร็จจากการกระทาํ ขัดหลักพึ่งตนเองและ
ความหลุดพนเปนอสิ ระ ดังไดก ลา วในเรือ่ งอทิ ธิปาฏหิ าริยแลว ยงั
มผี ลเสยี ท่ีควรสงั เกตอีกหลายอยา งเชน

- ในเม่อื เทวดาเปน ปุถุชน การทม่ี นุษยไปเฝา ประจบยก
ยอบนบานตางๆ ไมเพียงแตม นุษยเทา นัน้ ที่จะประสบผลเสีย
เทวดาท้ังหลายกจ็ ะพลอยเสยี ไปดวย เพราะจะเกดิ ความหลงใหล
มวั เมาในคํายกยอ งสรรเสรญิ ติดในลาภสักการะคือสงิ่ เซน สรวง
สงั เวยและปรารถนาจะไดใ หมากย่ิงขนึ้ ๆ โดยนัยนี้ทั้งเทวดาและ
มนษุ ยตา งก็มัวมาฝกใฝว ุน วายอยูกบั การบนบานและการใหผ ล
ตามบนบานละท้ิงกิจหนาทข่ี องตน หรือไมก ป็ ลอยปละละเลยให

๓๒ เร่อื งเหนือสามัญวิสยั

บกพรองยอ หยอน เปนผูตกอยใู นความประมาท แลว ทัง้ มนุษย
และเทวดาก็พากันเส่อื มลงไปดวยกนั

- เทวดาบางพวกเม่ือมวั เมาตดิ ในลาภสักการะความยก
ยอ งนบั ถือแลว กจ็ ะหาทางผูกมัดหมชู นไวก ับตน โดยหาทางทําให
คนตอ งพ่ึงเขาอยูเรอ่ื ยไป เพอื่ ผลนี้ เทวดาอาจใชว ิธีการตางๆ เชน
ลอ ดวยความสําเร็จสมปรารถนาเลก็ ๆ นอ ยๆ เพอื่ ใหค นหวงั ผล
มากย่งิ ขึ้นและบนบานเชนสรวงมากย่งิ ขึน้ หรือแมแ ตแ กลง ทาํ เหตุ
ใหคนตอ งมาตดิ ตอ ขอผลถลําตนเขา สูวงการ

- เมอ่ื เทวดาประเภทหวงั ลาภมาวุนวายกันอยมู าก
เทวดาดที ่จี ะชวยเหลอื คนดีโดยไมหวังผลประโยชน ก็จะพากนั เบอ่ื
หนายหลบลี้ปลกี ตัวออกไป คนที่ทําดี ก็ไมม ใี ครจะคอยชวยเหลือ
ใหกําลงั ฝายเทวดาใฝลาภ กจ็ ะชวยตอ เม่ือไดรับส่ิงบนหรอื อยาง
นอ ยคาํ ของรองออนวอน มนุษยก็เลยรูสึกกนั มากข้ึนเหมอื นวาทําดี
ไมไ ดด ี ทําชวั่ จงึ จะไดดี กอ ใหเ กดิ ความสบั สนระสาํ่ ระสายในสังคม
มนุษยมากยิ่งขน้ึ

- เม่ือเทวดาดงี ามปลีกตวั ไปไมเ ก่ยี วขอ ง (ตามปกตธิ รรม
เนียมของเทวดา กไ็ มตองการมาเกยี่ วของวนุ วายหรือแทรกแซงใน
กจิ การของมนุษยอ ยูแลว )๓๓ ก็ยง่ิ เปนโอกาสสาํ หรับเทวดารายใฝ
ลาภจะแสวงหาผลประโยชนไ ดม ากยิ่งขึน้ เชน เมอ่ื มนุษยออ นวอน
เรยี กรอ งเจาะจงตอเทพบางทานทเ่ี ขานับถอื เทพใฝลาภพวกนี้ก็จะ
ลงมาสวมรอยรบั สมอางหลอกมนษุ ย โดยมนุษยไมอ าจทราบ

อทิ ธิปาฏหิ ารยิ - เทวดา ๓๓

เพราะเปนเร่ืองเหนอื วสิ ยั ของตน แลว เทวดาสวมรอยกท็ าํ เร่อื งให

พวกมนุษยหมกมนุ มวั เมายิ่งขึน้
โดยนัยนี้ จะเห็นไดวา คนที่ไดร ับความชวยเหลือจากเทวดา

ไมจําเปนตองเปนคนดี และคนดกี ไ็ มจําเปน ตองไดรบั ความ
ชวยเหลือจากเทวดา ทเ่ี ปนเชนนเ้ี พราะทง้ั มนุษยแ ละเทวดาตา งก็
เปนปถุ ุชนและตางก็ปฏิบตั ิผิด พากันทาํ ใหระบบตา งๆ ทด่ี งี ามใน
โลกคลาดเคลอื่ นเสือ่ มทรามลงไป

ขอสงั เกตเพอ่ื การสรางความสัมพันธทถ่ี ูกตอ ง

อนงึ่ ขอกลา วถงึ ขอสังเกตบางอยา งเพอื่ จะไดมองเห็น

แนวทางในการปฏิบัตติ อ ไปชดั เจนข้ึน

ประการแรก เทวดาประกาศติ หรือกําหนดเหตุการณห รือ

บนั ดาลชะตากรรมแกม นุษยโดยเด็ดขาดแตฝา ยเดียวไมไ ด แม

ตามปกติจะถือกันวา เทวดามีฤทธมิ์ ีอํานาจเหนือกวามนษุ ย แตด งั

ไดกลาวแลวขา งตนวา ถามนุษยป รบั ปรุงตวั ข้นึ มาเม่อื ใด ก็

สามารถเทา เทียมหรือเหนือกวาเทวดาได และสิ่งที่จะกําหนดวา

ใครจะเหนอื ใครก็อยทู ี่คุณธรรมและความเพียรพยายาม ดงั มีเรอ่ื ง

มาในชาดก กษตั ริยสองเมืองจะทําสงครามกัน ฝายหนงึ่ ไปถาม

พระฤาษมี ีฤทธิ์ ซ่งึ ติดตอกับพระอินทรได ไดรบั ทราบคาํ แจงของ

พระอินทรวาฝา ยตนจะชนะ จึงประมาทปลอยเหลา ทหาร

สนกุ สนานบันเทงิ สว นกษัตรยิ อ ีกฝา ยหนึ่งทราบขาวทาํ นายวา

ฝา ยตนจะแพ ยงิ่ ตระเตรียมการใหแข็งแรงยิง่ ขนึ้ ครน้ั ถึงเวลารบ

๓๔ เร่ืองเหนือสามัญวสิ ัย

จริง ฝา ยหลงั นี้ก็เอาชนะกองทพั กษัตริยฝ ายที่มัวประมาทได พระ
อินทรถ ูกตอวาจึงกลาวเทวคติออกมาวา "ความบากบัน่ พากเพยี ร
ของคน เทพทัง้ หลายก็เกียดกันไมได"๓๔

เทวดาทีอ่ ยตู ามบานเรือนน้นั ตามปกติมนุษยใหเกียรตแิ ละ
เอาใจมาก แตถา มองแงหนง่ึ แลว ก็เปน ผอู าศัย ถา เจา บานมี
คุณธรรมสงู เชน เปน อริยสาวก มคี วามม่นั ใจในคณุ ธรรมของตน
หรอื มน่ั ใจในธรรมตามหลักศรัทธาอยางพระโสดาบนั เทวดาก็ตอง
เคารพเช่อื ฟง อยูในบงั คบั บัญชา มใิ ชเปน ผมู ีอํานาจบังคับเจาบาน
ดังเชน เทวดาผอู ยู ณ ซุม ประตบู า นของอนาถบณิ ฑิกเศรษฐี (ทาน
เจาบา นไมไ ดส รางทีอ่ ยใู หโ ดยเฉพาะ) เม่ือทานเศรษฐียากจนลง
ไดมาส่ังสอนใหเ ลกิ ถวายทาน ทานเศรษฐีเหน็ วา เปนคําแนะนําไม
ชอบธรรม ถงึ กับไลอ อกจากบา นทันที เทวดาหาทีอ่ ยูไมไ ด ในท่ีสุด
ไปหาพระอนิ ทร จะใหช ว ยพามาขอขมาเศรษฐี ไดร ับคาํ แนะนําวิธี
ที่จะขอขมาโทษ เมอื่ ปฏบิ ัตติ ามนั้นแลว จึงไดรับอนญุ าตกลบั เขา
อยู ณ ท่เี ดิมได๓ ๕

ประการทส่ี อง เมอ่ื คนถูกเทวดาใหโทษ จะถือเอาเปนเกณฑ
วา เขาทําผิดหรือเปนคนช่ัว ยงั ไมไ ด เพราะคนดีถูกเทวดารายกล่ัน
แกลง กม็ ีไมน อ ย ดงั เชน เทวดาซ่งึ อยู ณ ซุมประตู ของอนาถบิณ
ฑกิ เศรษฐีที่ไดก ลาวถึงแลว ทา นเรียกวาเปนเทวดามจิ ฉาทิฏฐบิ า ง
เทวดาอันธพาลบา ง เทวดานั้นไมพอใจวา เม่ือพระพุทธเจา หรือ
พระสาวกเสดจ็ มาบา นเศรษฐเี ขาจะตองลงมาท่ีพนื้ ดนิ ครั้นเศรษฐี

อิทธปิ าฏิหารยิ - เทวดา ๓๕

ยากจนลง จงึ ไดโ อกาสเขา มาสง่ั สอนเศรษฐี เพ่ือยุใหเ ลิกเก่ียวของ
กบั พระพุทธเจา แตไ ดผ ลตรงขามดงั กลาวแลว

เทวดาบางองคแกลงคนใหระแวงกันเลนเทา น้นั เอง๓๖
แมแ ตพวกเทวดาตามปา เม่ือพระไปอยูอาศัยเพ่อื ปฏบิ ตั ิธรรม บาง
พวกกไ็ มพอใจ เพราะคนดีมีคุณธรรมสูงกวาตนเขา มาอยู ทาํ ให
พวกตนอดึ อัดใจ ทาํ อะไรๆ ไมสะดวก จึงหาทางแกลง ดวยวธิ ีตา งๆ
๓๗ ซ่งึ พระพทุ ธเจาทรงแนะนาํ ใหแกไ ขดวยการแผเ มตตา เอาความ
ดเี ขา ตอบ แตใ นกรณีทีพ่ วกเทวดาไปแนะนาํ ใหทาํ อยา งนอ้ี ยา งน้ัน
หากพิจารณาแลว เหน็ วา เปนการกระทําที่ไมถ ูกตอ งชอบธรรม
พุทธสาวกผูรูหลกั ยอมมีความเขมแขง็ มัน่ คงในจรยิ ธรรมและจะไม
ยอมปฏิบตั ติ ามคําของเทวดานั้นเปนอันขาด ไมวา เทวดาจะขหู รือ
ลอดวยรางวัลอยา งใดๆ๓๘

ประการทส่ี าม เทวดาบางองคม พี ฤติการณท างราย ชอบ
ทําตนเปนปฏิปก ษขัดขวางความเจริญของมนษุ ยทัง้ หลายอยเู ปน
ประจํา เทวดาอยา งนี้มนุษยไมเพียงแตมิควรออ นวอนขอรองหรือ
หวังพ่ึงเทานั้น แตค วรปราบหรือพิชติ ใหไดท เี ดียว และถา ฝกปรือ
ความสามารถของตนใหด ี มนุษยก็สามารถเอาชนะไดดวย
ตัวอยา งสําคัญคือ "มาร"๓๙ มารนีเ้ ปนเทพในสวรรคช ้นั สูงสดุ ของ
ระดบั กามาวจร คือชัน้ ท่ี ๖ ไดแ ก ปรมนิ มติ วสวตั ดี แตช อบ
ขดั ขวาง รังควาญผูอน่ื เมอ่ื เขาจะทําความดี เฉพาะอยา งยงิ่ เม่อื ใคร
จะเปลื้องตนใหเปน อิสระจากกาม ถือวาผนู ้นั จะขามออกนอกเขต
อํานาจของมาร๔๐ ก็เปนอนั จะตองเผชิญหนากับมารทเี ดียว มารมี

๓๖ เร่ืองเหนือสามญั วสิ ยั

ฤทธ์ิมีอทิ ธิพลยิง่ ใหญมาก แมแ ตพ ระอนิ ทร พอมารมาก็หนีไมร อ
หนา ไปหลบอยสู ดุ ขอบจักรวาล พระพรหมก็หลกี เล่ยี ง๔๑ บาง
คราวมารก็ขึ้นไปรงั ควานถงึ พรหมโลกซ่งึ เปน ชั้นรูปาวจรสูงกวา
ระดับของตน๔๒ พระพุทธเจา จึงตรสั วา "บรรดาผยู งิ่ ใหญ มารเปน
เลิศ"๔๓ แมม ารจะมอี ํานาจย่ิงใหญถ ึงอยางนี้ แตม นุษยผ ูฝกอบรมดี
แลวดว ยศีล สมาธิ ปญ ญา ก็พิชติ มารไดด วยคุณธรรมของตน และ
มนุษยท่ีมคี ุณธรรมสงู เชนนี้ เทพเจา ทงั้ ปวงตลอดถงึ พรหมยอมนบ
ไหว๔๔

เทาท่ีกลา วมาอยา งนี้ มิไดม ุงหมายจะลบหลูหรือชักชวนให
มจี ิตกระดา งตอเทวดาทง้ั หลายแมแตนอ ย เพียงแตจะสรา งความ
เขาใจเพือ่ เตรียมวางจิตใหถูกตองสาํ หรับการดําเนนิ ตามวธิ ีปฏิบัติ
ทีจ่ ะกลาวตอ ไป

ความสัมพันธแ บบชาวพุทธระหวางมนษุ ยกับเทวดา

อาศยั ความเขา ใจเก่ียวกับฐานะของเทวดาและเหตุผล
เก่ยี วกบั โทษของการสมั พันธกบั เทวดาดว ยทาทีทผี่ ดิ ดังกลา วมา
พระพุทธศาสนาจงึ สอนใหละเลิกวธิ กี ารแบบหวังพึ่งขอผลเสยี
ทง้ั หมด ไมวาจะเปน การออนวอนหรอื การบีบบังคับก็ตาม แลว ช้ี
แนวทางใหม คอื การวางทา ทแี หง เมตตา มไี มตรีจิตอยูร วมกนั ฉัน
มิตร เคารพนับถอื ซง่ึ กนั และกนั ในฐานะทีเ่ ปนเพื่อนรว มทกุ ขหรอื
เพื่อนรว มสังสารวฏั และในฐานะท่ีโดยเฉล่ยี เปนผูมีคณุ ธรรมใน

อิทธปิ าฏิหาริย- เทวดา ๓๗

ระดบั สงู พรอมทั้งใหม ที าทแี หง การไมวนุ วายไมกาวกายแทรกแซง
กนั โดยตางก็เพียรพยายาม ทํากิจของตนไปตามหนาที่

ทาทแี หง การไมรบกวนและไมชวนกันใหเสยี เชนนี้ ถา สงั เกต
กจ็ ะพบวาเปนสงิ่ ทีป่ รากฏชดั เจนในประเพณีความสัมพันธแบบ
ชาวพุทธระหวางมนษุ ยก บั เทวดา เพราะมเี รอื่ งราวเลา กันมา
มากมายในคัมภรี ตางๆ เฉพาะอยา งยิง่ อรรถกถาชาดก และอรรถ
กถาธรรมบท ตามประเพณนี ี้ เทวดาท่ชี วยเหลอื มนุษย ก็มีอยู
เหมือนกัน แตล กั ษณะการชว ยเหลือ และเหตทุ ่ีจะชวยเหลือตาง
ออกไปจากแบบกอ น คอื เทวดาทช่ี วยเหลือมาชวยเองดวย
คุณธรรมคือความดขี องเทวดาเอง มใิ ชเ พราะการเรียกรองออน
วอนของมนุษย และเทวดาก็มิไดเ รียกรอ งตอ งการหรอื การออน
วอนน้ัน ทางฝายมนษุ ยผ ูไดร ับความชวยเหลอื กท็ ําความดไี ป
ตามปกตธิ รรมดาดว ยคุณธรรมและความสํานกึ เหตุผลของเขาเอง
มิไดคํานงึ วาจะมีใครมาชวยเหลือหรือไม และมไิ ดเ รยี กรองขอ
ความชวยเหลือใดๆ สว นตัวกลางคอื เหตุใหม ีการชวยเหลือเกดิ ข้ึน
ก็คอื ความดีหรอื การทําความดีของมนุษย มิใชการเรยี กรอ งออน
วอนหรอื อามิสสินวอนใดๆ เทวดาองคเดนที่คอยชวยเหลอื มนุษย
ตามประเพณีน้ีไดแ กทา วสักกะทีเ่ รียกกันวา พระอินทร คติการ
ชวยเหลอื ของพระอนิ ทรอ ยางนี้ นับวา เปนววิ ัฒนาการชวงตอท่ี
เชือ่ มจากคติแหง เทวานุภาพของลัทธศิ าสนาแบบเดิม เขา สคู ติแหง
กรรมของพระพุทธศาสนา๔๕ แมจะยังมใิ ชเ ปนตวั แทบ ริสทุ ธ์ิตาม

๓๘ เรอ่ื งเหนอื สามัญวสิ ยั

หลักการของพระพทุ ธศาสนา แตกเ็ ปนคติที่ววิ ัฒนเขา สคู วามเปน
พทุ ธ ถึงข้นั ท่ียอมรับเปนพุทธได

สาระสาํ คัญของคติน้กี ค็ ือ มนษุ ยที่ดยี อ มทาํ ความดีไปตาม
เหตุผลสามัญของมนุษยเอง และทาํ อยางมั่นคงแนวแนเ ต็ม
สตปิ ญญาจนสุดความสามารถของตน ไมค ํานึงถึง ไมรรี อ ไม
เรยี กรองความชว ยเหลอื จากเทวดาใดๆ เลย เทวดาที่ดียอ มใสใ จ
คอยดแู ลชวยเหลือมนุษยท ี่ดดี วยคณุ ธรรมของเทวดาเอง เมือ่
มนุษยผ ูทาํ ดไี ดรับความเดือดรอ น หากเทวดายังมีความดีอยบู าง
เทวดากจ็ ะทนดไู มไ หวตองลงมาชวยเอง๔๖ พดู งายๆ วา มนษุ ยก็
ทาํ ดโี ดยไมค ํานงึ ถงึ การชวยเหลือของเทวดา เทวดากช็ วยโดยไม
คาํ นงึ ถงึ การออนวอนของมนษุ ย ถาใครยงั หว งยงั หวงั ยงั เยือ่ ใย
ในทางเทวานุภาพอยู ก็อาจจะทอ งคตติ อไปน้ีไวป ลอบใจวา "การ

เพียรพยายามทาํ ดี เปน หนาทขี่ องมนุษย การชว ยเหลอื คนทาํ ดเี ปน
หนา ท่ขี องสวรรค เราทาํ หนา ท่ขี องมนุษยใหดที ่ีสดุ กแ็ ลว กนั "๔๗

ถามนุษยไ มเ พยี รทําดี มวั แตอ อ นวอนเทวดา และถา
เทวดาไมใสใ จชว ยคนทําดี มวั แตรอการออ นวอนหรือคอยชว ยคน
ทอ่ี อ นวอน กค็ อื เปน ผูทาํ ผิดตอหนาที่ เม่ือมนุษยและเทวดาตาง
ขาดคุณธรรม ปฏิบัติผดิ หนา ท่ี ก็จะประสบความหายนะไปดวยกัน
ตามกฎธรรมดาทีค่ วบคมุ ท้งั มนษุ ยแ ละสวรรคอ ยอู กี ชั้นหน่งึ

อิทธปิ าฏิหารยิ - เทวดา ๓๙

สรปุ วิธีปฏบิ ัติท่ีถูกตอ ง ตอเรือ่ งเหนือสามญั วิสยั

เขา ใจพฒั นาการแหงความสมั พนั ธ ๓ ขั้น

ชมุ ชนหรอื สงั คมตามหลกั การของพระพุทธศาสนา
ประกอบดวยผคู นมากมายซ่ึงกําลังกาวเดินอยู ณ ตําแหนง แหงที่
ตางๆ บนหนทางสายใหญสายเดยี วกัน ซ่ึงนําไปสจู ดุ หมาย
ปลายทางเดียวกัน และคนเหลา น้นั กาวออกมาจากจุดเริ่มตน ท่ี
ตางๆ กัน พดู อกี อยางหน่ึงวา สัตวท ้ังหลายเจริญอยูใ นขนั้ ตอน
ตางๆ แหง พัฒนาการในอริยธรรม

เมอื่ มองดกู ารเดินทางหรอื พัฒนาการน้ันในแงท ีเ่ กีย่ วกับ
เรื่องเทวดา กจ็ ะเห็นลาํ ดับข้นั แหง พัฒนาการ เปน ๓ ข้นั คอื ขัน้
ออนวอนหวังพึง่ เทวดา ขึ้นอยูรวมกนั ดว ยไมตรีกับเทวดาและข้ัน
ไดรบั ความเคารพบูชาจากเทวดา

ขั้นที่ ๑ จัดวา เปนขนั้ กอ นพัฒนา
ข้นั ที่ ๒ คือจุดเร่ิมตน ของชุมชนแบบพุทธหรือชุมชนอารยะ
ขั้นที่ ๓ เปนระดับพัฒนาการของผเู ขาถงึ จุดหมายของ

พระพุทธศาสนา
ขอ ควรย้ํากค็ ือ คนผูใ ดผูห น่งึ จะไดชอ่ื วาเปน ชาวพุทธกต็ อ เมื่อ

เขากา วพนจากขัน้ ออนวอนหวังพ่ึงเทพเจา เขาสขู ัน้ อยูรวมกนั ดว ยไมตรี
ซ่งึ เขาจะดาํ เนนิ ชีวติ ดวยความเพยี รพยายามกระทาํ การตาม
เหตุผลเลิกมองเทวดาในฐานะผูม อี ํานาจที่จะตองวงิ วอนประจบ

๔๐ เร่อื งเหนือสามญั วสิ ยั

เอาใจ เปลยี่ นมามองในฐานะเปนญาตมิ ติ รดีงามท่ีควรเคารพนับ
ถอื มีเมตตาตอกนั ๔๘ ไมค วรมวั่ สุมคลกุ คลกี ัน ไมควรรบกวนกาว
กา ยกัน และไมค วรสมคบกันทาํ สิ่งเสยี หายไมชอบดวยเหตุผล

เมื่อมองพัฒนาการนั้นในแงที่เก่ียวกับอทิ ธิปาฏหิ าริย
(รวมถงึ อาํ นาจศักด์สิ ิทธเ์ิ รนลับอืน่ ๆ) กจ็ ะมลี าํ ดบั ๓ ข้ันเหมอื นกัน
คือ ขัน้ หวังพึ่ง ขัน้ เสริมกําลัง และขั้นเปนอสิ ระส้นิ เชิง

ขน้ั ท่ี ๑ เปนขน้ั รอคอยอาํ นาจภายนอกดลบนั ดาล ทําให
หมกมนุ ฝก ใฝ ปลอ ยทงิ้ เวลา ความเพียรและการคิดเหตผุ ลของตน
จดั เปนขั้นกอนพฒั นาหรือนอกชุมชนอารยะ

ข้ันที่ ๒ คอื ข้ันที่ทําอิทธิปาฏิหารยิ ไดเ องแลว และใช
อิทธปิ าฏิหาริยน ั้นเพอื่ เสริมกาํ ลังในการทําความดอี ยา งอื่น เชนใน
การชว ยเหลอื ผูอื่นจากภยั อนั ตราย และเปน เครื่องประกอบของ
อนุสาสนีปาฏิหาริย ถาเปนส่ิงมงคลศกั ด์สิ ทิ ธอิ์ ยา งอืน่ ๔๙ ขัน้ ที่ ๒ น้ี
กอ็ นโุ ลมไปถึงการมีสิ่งเหลานัน้ ในฐานะเปนเครอื่ งเสรมิ กาํ ลังใจ
หรอื เปนเพอื่ นใจใหเ กิดความอนุ ใจ ทําใหเพยี รพยายามทาํ ความดี
งามไดแขง็ แรงย่ิงข้ึน มีความม่ันใจในตนเองมากยิ่งข้นึ หรอื เปน
เครือ่ งเตอื นสตแิ ละเรง เราใหป ระพฤติส่ิงที่ดีงาม ขั้นนี้พอจะยอมรับ
ไดว าเปนการเริ่มตน เขาสูระบบชีวติ แบบชาวพุทธ แตทา นไม
พยายามสนับสนนุ เพราะยังอาจปะปนกบั ข้ันที่ ๑ ไดง า ย ควรรบี
กา ว ตอ ใหผา นพน ไปเสยี ควรระลกึ อยเู สมอถึงคุณสมบตั ขิ อง
อุบาสกท่ดี ีขอท่ี ๓ วา "ไมถือมงคลตน่ื ขา ว มุงกรรม คิดมงุ เอาผล
จากการกระทํา ไมม งุ หามงคล"๕๐

อทิ ธปิ าฏหิ าริย- เทวดา ๔๑

ข้นั ที่ ๓ คือการมีชวี ติ จิตใจเปน อสิ ระ ดําเนินชีวติ ท่โี ปรง เบา
แทโดยไมตองอาศยั อทิ ธปิ าฏหิ ารยิ  หรอื สิง่ อนื่ ภายนอกมาเสริม
กาํ ลงั ใจของตนเลย เพราะมีจติ ใจเขม แข็งเพียงพอ สามารถบังคับ
ควบคุมจติ ใจของตนไดเอง ปราศจากความหวาดหว่ันกลัวภัย
อยา งนอยกม็ ีความมั่นใจในพระรตั นตรัยอยางบรบิ ูรณเปน
หลักประกัน ข้ันท่ี ๓ น้ี จดั เปนข้นั เขา ถึงพระพุทธศาสนา

กา วเขา สูขั้นของการมชี วี ติ อิสระ เพื่อเปน ชาวพทุ ธท่แี ท

ในการนาํ คนใหพฒั นาผานข้นั ตา ง เหลา น้ี งานสําคัญก็คือ
การสั่งสอนแนะนาํ และผทู ถ่ี ือกนั วาเปนหลักในการทาํ หนา ทีน่ ้ีก็
คอื พระภกิ ษุสงฆ การพฒั นาหรือกาวหนาในทาง จะไปไดช า หรือ
เร็ว มากหรือนอ ยยอมข้นึ ตอ ปจจยั ทัง้ ฝายผูแนะนาํ ส่ังสอนและคนที่
รับคําสอน ผูสอนยอ มมคี วามสามารถมากนอ ยตางกนั คนท่ฟี งก็
เปน ผูก าวเดินออกจากจุดเรม่ิ ตนตางๆ กนั มคี วามพรอ มหรือความ
แกก ลา แหงอินทรียไ มเหมือนกัน จรงิ อยู จดุ หมายของการสอนและ
การกาวเดินยอมอยู ณ ขน้ั ที่สาม ถา ผสู อนมีความสามารถชาํ นาญ
ในอนสุ าสนี และคนรับคําสอนพรอมอยูแลว ก็อาจใชแ ตเ พียง
อนสุ าสนอี ยางเดียว พากาวคร้ังเดียวจากข้ันที่ ๑ เขา สูข ้ันท่ี ๓
ทันที ย่งิ เชย่ี วชาญในอนุสาสนีมาก ก็ย่ิงสามารถชว ยใหคนรับคาํ
สอนเปนผูพรอมขน้ึ ดว ยและกา วเรว็ ไดดวย แตพ ระทกุ รูปมใิ ชจะ
เกง อนุสาสนเี หมอื นกันหมด การผอนปรนจึงเกิดมีข้ึน

๔๒ เรื่องเหนือสามญั วิสยั

ตามปกติ ในการนําคนกาวออกมาและเดนิ หนาไปสขู ้ัน
ตา งๆ นน้ั ผสู อนจะตอ งเขาไปหาใหถึงตัวเขา ณ จดุ ที่เขายืนอยู
หรอื ไมก ็ตองหาอะไรหยบิ ยื่นโยนไปใหเ พือ่ เชื่อมตัวใหถ ึงกัน แลว
จงึ ดึงเขาออกมาได เม่ือผูสอนไมม ีความสามารถ ปราศจาก
เครื่องมือสื่อโยงชนดิ พเิ ศษ ก็ตอ งเขาไปใหถ งึ ตวั เขา แลวพาเขา
เดนิ ออกมาดวยกันกับตน โดยเร่ิมจากจุดท่ีเขายืนอยูน้ันเอง คงจะ
เปนดวยเหตุเชนน้ี จงึ มีการผอ นปรนในรปู ตา งๆ ซอยละเอยี ด
ออกไปอนั จดั รวมเขาในขั้นทส่ี องของการพฒั นา

หลกั การของการผอ นปรนนก้ี ็คอื การใชส ง่ิ ท่ีเขายดึ ถืออยู
เดมิ นั่นเองเปนจุดเริม่ ตน วธิ เี รมิ่ อาจทําโดยแกะส่งิ ทเ่ี ขายดึ หรือ
เกาะตดิ อยนู ้ันออกจากฐานเดิม แลวหันเหบายหนามาสูท ิศทางที่
ถูกตอ ง พรอมทัง้ ใชส่งิ ทเี่ ขายึดเกาะอยนู น้ั เปน เครอื่ งจงู เขาออกมา
จนพนจากท่ีน้นั วธิ ีการน้ีเห็นไดจากพุทธบัญญตั เิ กย่ี วกับการ
เหยยี บผืนผา เร่อื งมวี า คราวหนง่ึ เจา ชายโพธิ (โพธริ าชกมุ าร) สรา ง
วงั แหง หนงึ่ เสร็จใหม จงึ นมิ นตพระสงฆมพี ระพทุ ธเจา เปนประมุข
ไปฉนั ท่วี งั นั้น เจาชายไดใ หป ลู าดผาขาวท่วั หมดถงึ บันใดข้ันท่ี ๑
เมื่อพระพทุ ธเจา เสด็จถึงวังก็ไมท รงเหยียบผา จนเจา ชายโปรดให
มวนเก็บผนื ผาแลว จึงเสด็จขึ้นวงั และไดท รงบญั ญัติสิกขาบทไว
หา มภิกษุเหยียบผืนผา ตอมาหญิงผหู นงึ่ ซึ่งแทง บุตรใหมๆ ได
นมิ นตพระมาบานของตน แลวปผู าผนื หน่ึงลง ขอรอ งใหพระภกิ ษุ
ทง้ั หลายเหยียบเพอื่ เปนมงคล ภกิ ษุเหลา น้นั ไมยอมเหยียบ หญิง
นน้ั เสยี ใจ และติเตียนโพนทะนาวา ภิกษุทั้งหลาย ความทราบถึง

อิทธิปาฏหิ ารยิ - เทวดา ๔๓

พระพทุ ธองค จึงไดท รงวางอนุบัญญตั ิ อนญุ าตใหภิกษุท้ังหลาย
เหยยี บผืนผาไดใ นเม่อื ชาวบานขอรอ ง เพอ่ื เปนมงคลแกพ วกเขา๕๑

พทุ ธบัญญตั ินนี้ าจะเปนสาเหตุหรอื ขออา งอยางหนึ่ง ทีท่ ํา
ใหพ ระสงฆไ ดโ อนออนผอ นตามความประสงคของชาวบาน
เกีย่ วกับพิธกี รรมและส่ิงที่เรียกวาวตั ถุมงคล๕๒ ตางๆ ขยายกวา ง
ออกไป เปดรบั เคร่ืองรางของขลงั และสิ่งศกั ด์ิสทิ ธอ ่นื เขา มา
มากมาย จนบางสมยั รูสกึ กนั วา เกิดขอบเขตอันสมควร๕๓ อยางไรก็
ตาม ถาเขาใจหลกั การท่ีกลา วมาขางตน ดีแลว และปฏบิ ัติตาม
หลักการนั้นดวย ปฏิบัติใหตรงตามพุทธบญั ญัตินใ้ี นแงทว่ี า ทํา
ตอเมื่อเขาขอรอ งดว ย ความผิดพลาดเสยี หายและความเฟอ เฝอ
เลยเกดิ ก็คงจะไมเกิดขึ้น

สว นทางดานเทวดา ความผอ นปรนในระดับพัฒนาการข้ัน
ท่ี ๒ กเ็ ปด โอกาสใหช าวพทุ ธผูอ ยใู นสภาพแวดลอมซ่ึงนับถอื บูชา
เทวดามาแตเดิม แสดงความเอ้อื เฟอเกื้อกลู แกเทวดาไดต อไป ถึง
จะทาํ พลีกรรมแกเทวดา กส็ นบั สนุน๕๔ เพียงแตมีขอแมว าตอ งทํา
ฐานสงเคราะหอ นุเคราะหแสดงเมตตาจิตตอกนั มใิ ชจะออ นวอน
หรอื ขอผลตอบแทน เมื่อไปอาศัยอยู ณ ถ่นิ ฐานใดก็ตาม ทําการ
บํารุงถวายทานแกทานผทู รงศีลแลว กต็ งั้ จติ เผื่อแผอุทิศสว นบุญ
ไปใหแ กเ ทวดาทัง้ หลายในที่นั้นดวย เทวดาทงั้ หลายไดรับความ
เอ้อื เฟอ แลว กจ็ ะมีไมตรจี ิตตอบแทน "เทวดาทั้งหลาย ไดร ับการ
บชู า (ยกยองใหเกยี รติ) จากเขาแลว ยอมบชู าเขา ไดร บั ความนบั
ถือจากเขาแลว ยอ มนบั ถอื เขา และยอมเอ็นดเู ขาเหมือนแมเอน็ ดู

๔๔ เร่อื งเหนือสามญั วสิ ัย

ลูก"๕๕ อยางไรก็ดี ไมตรีจิตตอบแทนจากเทวดาท่ีวาน้ี เปน เร่ืองของ
เทวดาเอง ผอู ทุ ศิ กุศลไมตองไปคดิ หวงั เอา หนาท่ขี องเรามีเพียงต้ัง
จติ เมตตาแผความดีใหเทาน้นั

สําหรบั คนท่ีมีความเขาใจในหลกั การน้ีเปนอยางดีแลว เมื่อ
เขานกึ ถึงเทวดา ก็จะนึกถึงดว ยจติ ใจท่ีดงี าม มแี ตความปรารถนา
ดี เมอ่ื ทาํ ความดีหรอื ทําสิง่ ใดทด่ี งี ามเปนบุญเปน กศุ ล จะแผบุญ
กุศลน้นั ไปใหแกเทวดาดวย กไ็ มม ขี อ เสียหายอะไร มแี ตจ ะสง เสริม
คณุ ภาพจติ ของตนเอง และแผค วามดีงามรมเย็นใหก วา งออกไป
ในโลก เมอ่ื ยงั กา วไมพนจากพัฒนาการข้นั ท่ี ๒ สูข น้ั ที่ ๓ อยูตราบ
ใด หากยังรักษาความสมั พันธใ หอ ยูภายในหลักการแหง ความอยู
รวมกันดว ยดีนี้ได ไมถลาํ กลบั ไปสูก ารประจบเอาใจหรอื เรียกรอง
ออนวอน การกระทาํ ตางๆ ก็จะรักษาตัวมนั เองใหอ ยูภายใน
ขอบเขตทจ่ี ะไมเกิดผลเสยี หายทั้งแกชีวิตแกส งั คม อกี ทั้งจะไดผ ลดี
ทางจิตใจเปนกําไรอกี ดวย

วธิ ีปฏบิ ตั ทิ ่ถี กู ตอ งตอ ส่ิงเหนือสามญั วสิ ยั

เทาท่ีบรรยายมาอยา งยืดยาวในเรื่องนี้ ก็เพยี งเพอื่ ใหเ ห็น
วิธปี ฏิบัตทิ ี่ถูกตอ งสมควรตอ ส่ิงเหนอื วิสามญั วิสัย โดยไมขดั กับ
หลักการของพระพุทธศาสนา ซ่ึงมงุ ใหเ กิดประโยชนทัง้ แกช ีวิตของ
บุคคลและแกสงั คม ขอสรุปอกี ครั้งหนง่ึ วา วิธปี ฏิบัติตอเทวดาและ
อิทธิปาฏหิ ารยิ ตลอดจนมงคลฤทธิ์ตา งๆ เปน เรอ่ื งไมยุงยากอยา งใด
ถาเราประพฤติถูกตองตามธรรมอยแู ลว ก็ดาํ เนนิ ชีวิตไปตามปกติ

อิทธปิ าฏิหาริย- เทวดา ๔๕

เมอ่ื เราอยูใ นสังคมนี้ กย็ อ มไดย ินไดฟ ง เกี่ยวกับเทวดาบา ง
สง่ิ ศกั ดส์ิ ิทธ์ิ อทิ ธฤิ ทธ์บิ าง บางครั้งเราก็ระแวงวา ส่งิ เหลานั้นมีจริง
หรือวาไมม จี รงิ ถา มีจะทําอยา งไรเปนตน พงึ มั่นใจตนและเลิก
กังวล ฟงุ ซานอยา งน้นั เสีย แลว ดาํ เนินวิธปี ฏิบัตทิ ี่ไมผ ิดทุกกรณี ซง่ึ
เปน วธิ ีปฏิบัติสาํ เรจ็ ไดท ี่ในใจนีเ้ อง คอื สาํ หรับเทวดาเราพงึ มที าที
แหง เมตตา ทาํ ใจใหออนโยนตอ สรรพสัตว ตง้ั จิตปรารถนาดี หวัง
ใหส ตั วท งั้ หลายรวมท้งั เทวดาดว ยท่เี ปนเพอื่ นรว มโลกท้งั ปวงตาง
อยูเ ปนสขุ เคารพความดีของกันและกนั

และในสังคมนี้ เราคงตองพบกับคนทงั้ สองประเภทคือ ผูท่ี
ฝก ใฝหมกมนุ หวังพึ่งเทวดา และผูทไ่ี มเ ช่อื ถือมีจติ กระดางขึง้ เคียด
เหยียดหยามท้งั ตอ เทวดาและผูนบั ถือเทวดา ตางวิวาทขดั แยง กัน
เรามีโอกาส กพ็ งึ ชักจงู คนท้ังสองพวกน้ันใหมาอยู ณ จดุ กลางที่
พอดี คอื ความมีจิตเมตตาออนโยนตอ เทวดาและตอ กันและกัน
พรอ มน้ันในดานกิจหนาที่ของตน เราพึงกระทําดวยความเพยี ร
พยายามเต็มความสามารถไปตามเหตุผล ถายังหวงการชว ยเหลือ
ของเทพเจาก็พึงวางจิตวา ถา ความดีของเราเพยี งพอและเทพเจาที่
ดงี ามมนี ้ําใจสุจรติ มอี ยู ก็ปลอยใหเ ปนเร่อื งของเทพเจา เหลาน้ัน
ทานจะพจิ ารณาตัดสนิ ใจเอง สว นตวั เราน้ันจะตงั้ จิตมั่น เพียร
พยายามทํากิจของตนไปจนสุดกาํ ลงั สติปญ ญาความสามารถ
และจะฝก ฝนตนใหเจริญกาวหนา ยิ่งขนึ้ ไปทั้งในทางปญ ญาและ
คุณธรรมจนขามพน เขาสูพัฒนาการขั้นทส่ี าม ซ่งึ เปน อสิ ระและ
สมควรเปนท่เี คารพบูชาของเทวดาได (มิใชห มายความวาจะให

๔๖ เรอื่ งเหนือสามัญวิสยั

ต้ังใจ ประพฤติดเี พ่ือใหเทวดาเคารพบูชา หรอื ใหก ระดางกระเดื่อง
ตอ เทวดาซึ่งจะกลายเปนมานะอหังการไป แตหมายความวา เรา
ทําความดีของเราไปตามเหตุผลของเรา เปน เร่อื งของเทวดาเขา
เคารพเอง เพราะเทวดาน้ันมีความดที ี่จะเคารพความดขี องคนดี)

สว นเรอื่ งอทิ ธิปาฏหิ าริยแ ละสง่ิ มงคลศกั ดสิ์ ทิ ธทิ์ ง้ั หลาย ก็
พงึ ปฏบิ ัติอยา งเดยี วกัน เปล่ียนแตเ พียงทาทีแหงเมตตามาเปน
ทาทีแหง ความมพี ลงั จติ สรา งฤทธิ์และมงคลใหเกิดมีเปน ของ
ตนเอง ฤทธท์ิ คี่ วรสรา งไดต ง้ั แตเบ้อื งตน ก็คือความเพียรพยายาม
บากบ่ันเขม แขง็ พรอมทง้ั ความหนักแนนในเหตุผลซ่ึงเปน แรง
บนั ดาลความสําเรจ็ แหงกิจหนา ที่ มงคลก็คอื คุณธรรมและ
ความสามารถตางๆ ที่ไดปลกู ฝง สรา งขนึ้ อันเสรมิ สงและคุม นําไปสู
ความสขุ ความเจริญและความเกษมสวัสดี๕๖

ทางดานพระภิกษุผูส ัมพนั ธก ับประชาชนในฐานะผูนําทาง
จิตใจ เม่ือจะตองเก่ยี วของกบั สงิ่ เหลา นพี้ ึงเตรียมใจระมดั ระวังถอื
เหมือนดงั เขาผจญภยั โดยไมประมาท สําหรับผูเกง กาจทาง
อนุสาสนี ก็ไมส ูกระไร อาจอาศัยความเชย่ี วชาญในเชิงสอน นํา
ชาวบานกาวสพู ฒั นาการขั้นสูงๆ ไดโดยรวดเรว็ แตกม็ ขี อควรระวงั
อยบู าง เพราะบางทา นสามารถใชอ นุสาสนีทําใหคนเลิกเชื่อถอื ส่งิ
ทเ่ี ขาเคยยึดถืออยเู ดิมได แตหยุดแคน้ันหรอื ไมอ าจชีแ้ นะใหเขา
เกดิ ปญญามองเหน็ ทางถูกตอ งทีจ่ ะเดินตอ ไป ทาํ ใหชาวบานมี
อาการอยางท่วี า ศรัทธาก็หมด ปญญากไ็ มม ี ตกอยใู นภาวะเควง
ควาง เปนอนั ตรายท้งั แกชีวิตของเขาเองและแกสงั คม

อิทธปิ าฏิหารยิ - เทวดา ๔๗

สว นทา นทไี่ มถนัดในเชิงสอนเชนนัน้ และจะเขาไปใชสง่ิ ที่
เขายึดอยูเปนจดุ เรม่ิ ตน มีขอ ทจี่ ะตองตระหนักม่นั ไวใ นใจหลาย
อยาง๕๗ สาํ หรับอิทธปิ าฏหิ าริย เปนอันตัดไปได เพราะมพี ทุ ธ
บญั ญัติหามไวแ ลว วาไมใ หพระสงฆแ สดงแกชาวบา น คงเหลอื อยู
แตมงคลหรอื สง่ิ ทจ่ี ะใหเ กิดมงคล เบือ้ งแรกทส่ี ดุ จะตอ งกําหนด
แนว แนเปนเคร่อื งปอ งกนั ตัวไวก อนวา จะตอ งไมใ ชส ง่ิ เหลาน้ีเปน
เครื่องมอื เลยี้ งชวี ิตแสวงหาลาภ ซ่ึงเปน มิจฉาชพี และเปน ความ
บกพรอ งเสยี หายในดา นศีล

ตอ จากนั้น มีขอ เตือนสํานึกในทางปฏิบัตโิ ดยตรงคือ ตอง
ระลึกไวเ สมอวา ขอที่ ๑ การทเี่ ขา ไปเกี่ยวของกับสิ่งเหลา น้ันกเ็ พอื่
ชว ยประชาชนใหเปนอิสระจากสิง่ เหลา นน้ั เชน เกี่ยวของกบั ฤทธ์ิ
เพื่อชวยใหเขาเปน อสิ ระจากฤทธิ์ และเพอ่ื ความเปนอิสระตามขอ
ที่หน่งึ น้ี ขอที่ ๒ จงึ ตามมาวา เมื่อเรม่ิ จุดตง้ั ตน ณ ทีใ่ ด จะตองพา
เขาเดินหนาจากจุดน้นั เรอื่ ยไป จนกวาจะถงึ จุดหมายคอื ความเปน
อิสระ จะถอยหลังไปจากจุดนัน้ อีกไมไ ด และตามนัยของขอ ท่สี อง
น้ี จะปรากฏผลในทางปฏิบตั วิ า ความฝก ใฝหมกมุนในสิ่งเหลา น้ี
จะตองลดลง หรอื อยางนอยไมเ พ่ิมมากข้ึน หรอื กาํ หนดออกไปอกี
เปน ทาทีของการปฏบิ ัตไิ ดวา จะไมสง เสรมิ ความฝกใฝหมกหมุนใน
ส่ิงเหลาน้ใี หแ พรห ลายขยายตวั จะมีแตก ารควบคมุ ใหอยูในขอบเขต
และการทําใหลดนอ ยลง คอื เปลย่ี นข้ันพัฒนาการเขาสูข้นั ที่ ๒ ให
หมด นอกจากนี้ ควรพยายามเนนใหปฏิบตั ติ ามพทุ ธานญุ าตทวี่ า
ทาํ ตอเมือ่ เขาขอ ซง่ึ จะเปน การกระชับขอบเขตใหรัดตวั เขามาอีก

๔๘ เร่อื งเหนอื สามัญวสิ ยั

ขอที่ ๓ ซึ่งไมอาจลืมไดค อื ตองใหอนสุ าสนีชนิดนาํ ออกเสนอใน
เม่อื ไดโอกาส เพอ่ื ท้ังเรงรัดและกาํ ชับใหเปนไปตามจดุ มุง หมาย

ทางดา นประชาชนท่ีกาํ ลังพัฒนาขามจากข้ันที่ ๑ สูขัน้ ที่ ๒
การผอนปรนหรอื โอนออ นผอนตามจะมไี ดอ ยางมากท่สี ดุ ก็เพียง
เทา ที่อยูในขอบเขตซึง่

๑. ไมเปนการออ นวอนหวงั พง่ึ อํานาจบันดาลจาก
ภายนอก (หลักพึง่ ตน และความเปนอิสระ)

๒. ไมเ ปน เหตุใหหมกมุน หลงใหล หรือจะมัวรรี อไมล งมือ
ทาํ (หลักทําการดวยความเพียรตามเหตุผล)

จากความผอ นปรนนี้ ความสัมพันธแ ละวธิ ปี ฏบิ ตั ิเทา ท่ี
พอจะเปนไปได จงึ มดี งั น้ี

ก. เก่ยี วขอ งกับอิทธปิ าฏิหาริย ตลอดถงึ ส่ิงมงคลได โดย
พยายามทําสิ่งเหลานใี้ นความหมายใหมที่สามารถทําไดดวย
ตนเอง เชน ธรรมฤทธิ์ อริยฤทธ์ิ และมงคลทเ่ี กดิ จากการประพฤติ
ธรรมเปน ตน แตก ็ยอมผอ นลงไปอีกอยา งมากท่ีสุด จนถึงยอมให
เกยี่ วของกับมงคลตามแบบของชาวบานไดเ ฉพาะในแงท ่เี ปน
เครื่องเสรมิ กาํ ลังใจ (เสริมในทางท่ีดงี าม ไมใ ชฮกึ เหิมทีจ่ ะทาํ การ
ชวั่ ราย) และเสรมิ ความเพียรพยายามใหเ ขมแขง็ ยง่ิ ข้ึน โดยยํ้าวา
จะตอ งไมเปน เครื่องหนวงเหน่ียวหรือลดทอนความเพียรพยายาม
ทําการตามเหตผุ ลเปน อันขาด

ข. สัมพนั ธก บั เทพเจา ท้งั หลาย โดยวิธอี ยรู วมกนั (เกอื บ =
ตางคนตา งอย)ู ดว ยเมตตาเกื้อกลู กันดวยไมตรี ผอ นลงไปอยา ง

อิทธิปาฏิหารยิ - เทวดา ๔๙

มากทสี่ ุดจนถึงยอมรับการทําเทวตาพล๕ี ๘ (ของถวายแกเ ทวดา
หรือแผส ว นบุญอทุ ิศแกเทวดา) ในความหมายวาเปนการเออ้ื เฟอ
เก้ือกูลหรืออปุ การะแกเ ทวดา (ไมใชบ นบาน ออนวอนหรอื ขอให
โปรดปราน)

ยง่ิ ผอ นปรนใหม าก ก็ย่ิงจําเปนจะตองยํ้าขอเตอื นสํานกึ ไว
ใหห นักแนน ไมจาํ เพาะชาวบา นจะตองคอยเตอื นตนเองเทาน้ัน
แมพ ระสงฆก ็ควรชว ยเตือนชาวบา นบอยๆ เพราะชาวบา นมโี อกาส
ใกลช ดิ สภาพแวดลอ มทางธรรมนอย และมกี ิจของฆราวาสวุนวาย
คอยชักใหแชเชือนไดง าย ขอ เตอื นสาํ นึกทว่ี านั้นก็คอื จะตองรูตวั อยู
เสมอวา ตนยงั อยรู ะหวางกาํ ลงั พฒั นา ขณะนอ้ี ยูท่ขี ้ันน้ี ตอ งระลกึ
ไวว า แมวาขณะน้ยี งั ยุงเก่ียวกับเทวดา ยังยงุ เกยี่ วกับมงคล แตก ็
หวังอยูเสมอวาจะกา วไปสูข นั้ แหงความเปนอสิ ระสกั วันหนึ่ง

ถาพดู อยา งรวบรัดก็คอื จะตองสํานกึ อยเู สมอวา "เรา
จะตองเดินหนา ไมใชย าํ่ อยูกบั ท่ี" คําวา “เดนิ หนา ” มคี วามสาํ คัญ
เปนพิเศษสาํ หรับพฒั นาการในอรยิ ธรรมขั้นตน เพราะหมิ่นเหมที่
จะตกหลน ไปจากความเปนสมาชกิ ในชุมชนชาวพทุ ธ ถอยหลัง
กลับไปอยูใ นชมุ ชนกอนอารยะไดงา ยเหลือเกนิ เพราะในขัน้ ตนสุด
นี้ สิง่ ทีใ่ ชร วมในพทุ ธศาสนากับในศาสนาเดมิ ยังมมี าก และส่ิงน้ัน
บางทกี ็เปนสิ่งเดยี วกันแทๆ เชนมงคลและพลี เปนตน ตา งแตทา ที
แหง ความเขาใจสาํ หรับช้ีนํา และจาํ กัดขอบเขตของการปฏบิ ัติ ถา
เกิดเหตเุ พยี งแควา เผลอลมื ทา ทีของการวางจิตใจนี้เสียเทานั้น
พฤติกรรมของผปู ฏบิ ตั กิ อ็ าจพลกิ กลบั เปนตรงขามไดทันที คือ


Click to View FlipBook Version