๕๐ เร่ืองเหนือสามญั วิสัย
หลน จากสมาชิกภาพในชุมชนพทุ ธ ถอยกลบั ไปอยนู อกชุมชน
อารยะ (นากลัววาจะไดเ ปนกันมาเสยี อยา งนห้ี ลายครงั้ แลว)
ดงั น้ัน คําวา "เดนิ หนา" จึงเปนขอ เตอื นสาํ นกึ สําคัญท่จี ะตอ งมา
ดว ยกันเสมอกบั ความสํานึกในทาทีทีเ่ ปนขอบเขตของการปฏิบตั ิ๕๙
เมือ่ ใดเดินทางกา วหนาถึงขนั้ ท่ี ๓ เมอ่ื นน้ั จึงจะปลอดภยั
แท เพราะไดเ ขา อยูในชุมชนอารยะเปนโสดาบันขึ้นไป ไมม ีการ
ถอยหลงั หรือลงั เลใดๆ อกี มีแตจะเดนิ หนาอยา งเดยี ว เพราะ
เขา ถงึ ความหมายของพระรัตนตรัย ม่นั ใจในความเปน ไปตาม
เหตุผล จนมีศรทั ธาท่ไี มหว่ันไหว ไมตองอา งองิ ปจจยั ภายนอก ไม
วาสิ่งศักดส์ิ ิทธิ์หรือเทวฤทธิใ์ ดๆ และไมมกี ิเลสรนุ แรงพอที่จะใหทํา
ความชวั่ รายหรือใหเ กดิ ปญหาใหญๆ เปน ปมในใจท่ีจะตองระบาย
กับท้งั รจู ักความสขุ อันประณีตซง่ึ เกิดจากความสขุ สงบผอ งใส
ภายในแลว จึงมีความเขม แขง็ ม่ันคงในจริยธรรมอยา งแทจ ริง
ภาวะทีม่ คี ณุ ธรรมมีความสขุ และเปน อิสระ ซ่ึงอทิ ธิพลภายนอกไม
อาจมาครอบงาํ ชักจูงไดเพียงเทานี้ เปน ความประเสริฐเพยี งพอที่
เทพเจาเหลาเทวดาจะบูชานบไหว๖๐ และพอที่จะใหช ีวิตของผูน น้ั
เปน อุดมมงคลคือมงคลอนั สูงสุดอยูแ ลวในตัว
มนษุ ยเปนยอดแหงสตั วทีฝ่ กได เรยี กอยางสมยั ใหมวา มี
ศกั ยภาพสงู สามารถฝกไดท้ังทางกาย ทางจติ และทางปญญา ให
วเิ ศษ ทําอะไรๆ ไดประณีตวจิ ติ รพิสดารแสนอัศจรรย อยา งแทบไม
นา เปนไปได๖๑ การมัวเพลนิ หวังผลจากฤทธานุภาพและเทวานุ
ภาพดลบนั ดาล ก็คือการตกอยใู นความประมาท ละเลยปลอ ยให
อทิ ธปิ าฏหิ ารยิ - เทวดา ๕๑
ศกั ยภาพของตนสญู ไปเสยี เปลา และจะไมร ูจกั เตบิ โตในอริยมรรคา
สวนผูใ ดไมประมาทไมร รี อ เรง ฝก ฝนตนไมห ยดุ ยง้ั ผนู น้ั แหละจะ
ไดท ัง้ อิทธฤิ ทธ์แิ ละเทวฤทธ์ิ และจะบรรลสุ ง่ิ เลศิ ล้าํ ที่ท้ังฤทธานุภาพ
และเทวานุภาพไมอ าจอาํ นวยใหไ ด
๕๒ เรอ่ื งเหนือสามญั วสิ ยั
บันทกึ พิเศษทายบท
สําหรับผูสนใจเชิงวชิ าการ
บันทึกที่ ๑ :
อิทธปิ าฏิหารยิ ในคมั ภีร
การแสดงอิทธิปาฏิหาริยข องพระพทุ ธเจา เทาทพี่ บใน
พระไตรปฎกคอื
● ทรมานหัวหนาชฎิลช่ืออุรุเวลกัสสป (ทรมาน มาจาก ทม
นะ แปลวา ฝก คอื ทําใหหมดทฏิ ฐิมานะ หนั มายอมรับถอื ปฏิบัติ
ส่ิงที่ถกู ตอง ไมใ ชทาํ ใหเจ็บปวด) -วนิ ย.๔/๓๗-๕๑/๔๕-๖๐;
● ทรมานพกพรหม - ม.มู.๑๒/๕๕๑-๕/๕๙๐-๗; ส.ํ ส.๑๕/
๕๖๖/๒๐๘;
● ทรมานพรหมอกี องคห นง่ึ -สํ.ส.๑๕/๕๗๓/๒๑๑;
● แกค วามเหน็ ของสนุ กั ขัตต และแกคาํ ทา ของอเจลกช่ือ
ปาฏกิ บตุ ร -ที.ปา.๑๑/๔-๑๒/๖-๒๙;
● ทรมานโจรองคลุ ิมาล -ม.ม.๑๓/๕๒๔/๔๗๙;
อิทธปิ าฏหิ ารยิ - เทวดา ๕๓
● ทาํ ใหพระภกิ ษพุ วกหนงึ่ ประหว่ันใจแลวมาเฝาเพอื่
พระองคจ ะตรสั สอน - ส.ํ ข.๑๗/๑๖๗/๑๑๗;
● ทาํ ใหจาํ เพาะบางคนเห็นมหาบรุ ุษลักษณะในทเ่ี รนลบั -
ที.ส.ี ๙/๑๗๐/๑๓๖; ๑๗๕/๑๓๙; ม.ม.๑๓/๕๘๗/๕๓๑; ๖๐๘/
๕๕๓ = ข.ุ สุ.๒๕/๓๗๖/๔๔๓;
● แผเมตตาใหชา งรายนาฬาคีรีมีอาการเชอ่ื ง (ไมใช
อิทธิปาฏหิ าริยโดยตรง) - วนิ ย.๗/๓๗๘/๑๘๙;
● ผจญอาฬวกยักษ (ไมใชแ สดงฤทธิโ์ ดยตรง) -ส.ํ ส.๑๕/
๘๓๘/๓๑๔; ขุ.ส.ุ ๒๕/๓๑๐/๓๕๙;
● เรือ่ งทมี่ าในอรรถกถาเชน ยมกปาฏิหาริย แกคาํ ทาของ
พวกเดียรตถีย -ที. อ.๑/๗๗; ธ.อ.๖/๖๒; ชา.อ.๖/๒๓๑; (ทั้งน้ีอิง
บาลีใน ขุ.ปฏ.ิ ๓๑/๐/๔; ๒๘๔/๑๘๒ และ วินย.๗/๓๑/๑๔);
● ทรงนาํ พระภกิ ษุใหม ๕๐๐ รปู เทยี่ วชมธรรมชาติในปา
หมิ พานตแ กความคดิ ถึงคูรกั คูครอง - ชา.อ.๘/๓๓๕; เปนตน
การแสดงอทิ ธิปาฏิหาริยข องพระสาวกทีพ่ บในบาลี คือ
● พระปณ โฑลภารทั วาช แกคําทา เหาะขน้ึ ไปเอาบาตรบน
ยอดไผ (ตนบญั ญตั ิไมใหภกิ ษแุ สดงอทิ ธปิ าฏิหารยิ แกชาวบา น) -
วนิ ย.๗/๓๑/๑๔;
● พระมหาโมคคลั ลานปราบมาร - ม.ม.ู ๑๒/๕๕๙/๖๐๑;
● พระปลนิ ทวจั ฉะนําบตุ รของอุปฐากกลับคนื จากโจร -
วนิ ย.๑/๑๗๓/๑๒๕;
๕๔ เรอ่ื งเหนือสามญั วิสัย
● พระปลนิ ทวัจฉะอธษิ ฐานวงั พระเจาพิมพสิ ารเปนทอง
เพื่อชวยแกช าวบานจากขอหาโจรกรรม - วนิ ย.๒/๑๓๙/๑๑๙-
๑๒๑;
● พระทัพพมัลลบตุ รใชน้ิวเปนประทปี สองทางนําพระภกิ ษุ
ทงั้ หลายไปยังเสนาสนะตางๆ -วนิ ย.๑/๕๔๑/๓๖๙; ๖/๕๙๓/๓๐๖;
● พระสาคตะใชฤ ทธ์ิใหช าวบา นเห็น ทําใหต องแสดงฤทธิ์
ใหชาวบา นดูตอ พระพักตรเพือ่ ใหช าวบาน ใจ สงบพรอมท่ีจะฟง
ธรรม - วินย.๕/๑/๓;
● พระสาคตะปราบนาคของชฎลิ (ตน บัญญัติหามภกิ ษดุ ืม่
สรุ า) วินย.๒/๕๗๕/๓๘๓;
● พระเทวทัตทําใหเจาชายอชาตศตั รเู ลอ่ื มใส - วนิ ย.๗/
๓๔๙/๑๖๔;
● พระสารีบตุ รและพระมหาโมคคลั ลานก ลับใจหมูภกิ ษุ
ศษิ ยพ ระเทวทตั ดวยอนสุ าสนีปาฏิหาริยท่คี วบดว ยอิทธิปาฏหิ ารยิ
และอาเทศนาปาฏิหาริย -วินย. ๗/๓๙๔/๑๙๘;
● พระมหกะบนั ดาลใหม ลี มเย็น แดดออ น และฝน ชวย
พระเถระท่ีกาํ ลงั เดนิ ยามรอนจดั จติ ตคฤหบดเี ห็นจึงขอใหท าํ ฤทธ์ิ
ใหดู และทานไดบ นั ดาลใหเกดิ ไฟ - สํ.สฬ.๑๘/๕๕๖/๓๕๗;
● พระมหาโมคคัลลานบ ันดาลใหเวชยันตปราสาท
สัน่ สะเทือนเพ่ือเตอื นสาํ นกึ ใหพ ระอนิ ทรไมมัวเมาประมาท ม.มู.
๑๒/๔๓๗ /๔๖๘;
อิทธิปาฏหิ ารยิ - เทวดา ๕๕
● พระมหาโมคคัลลานบันดาลใหมิคารมาตุปราสาท
สน่ั สะเทือนเพ่อื เตอื นสาํ นึกของพวกภิกษผุ จู ัดจานฟุงเฟอ - ส.ํ ม.
๑๙/ ๑๑๕๕/๓๔๖;
● พระอภภิ สู าวกของพระสขิ ีพุทธเจาแสดงธรรมโดยไมใ ห
คนเห็นตวั ใหเสยี งไดยินไปไดพันโลกธาตุ - สํ.ส.๑๕/๖๑๖/๒๒๙;
อง.ฺ ติก.๒๐/๕๒๐/๒๙๑; ขุ.ปฏิ.๓๑/๖๘๖/๕๙๖;
สวนเรอ่ื งทเี่ ลาในอรรถกถามีมากมาย เชน
● พระจุลลบันถกบนั ดาลใหเ ห็นตวั ทานเปน พันองค - อง.ฺ อ.
๑/๒๒๘,๒๓๕; ธ.อ.๒/๗๔; วิสทุ ฺธิ.๒/๒๑๙ (อิงบาลี ข.ุ ปฏิ. ๓๑/
๖๘๕/๕๙๒);
● พระมหาโมคคัลลานท รมานนันโทปนันทนาคราช -ชา.อ.
๗/๓๕๖; วิสุทธฺ ิ.๒/๒๓๓;
● พระปุณณะชว ยพอ คา ชาวเรอื จากการทํารายของ
อมนุษย - ม.อ.๓/๗๓๑-๔ (เพม่ิ ความจากปุณโณวาทสตู ร, ม.อุ.
๑๔/๗๖๔/๔๘๕ และมีเรือ่ งพระพุทธเจา เสดจ็ สุนาปรันตชนบท
เปน ทีม่ าของพระพทุ ธบาท ๒ แหง);
● สามเณรสงั กิจจะชว ยภกิ ษุ ๓๐ รูปโดยอาสาใหโจรจับตวั
ไปบชู ายัญแทน และกลับใจโจรไดหมด - ธ.อ.๔/๑๑๑;
● สุมนสามเณรปราบพญานาค - ธ.อ.๘/๘๙;
● พระสนุ ทรสมุทรเหาะหนีหญิงนางโลม - ธ.อ.๘/๑๕๒;ฯลฯ
เร่ืองฤทธิ์ของคนอนื่ มีมาในบาลบี า งบางแหง เชน
๕๖ เร่ืองเหนอื สามญั วสิ ยั
● พรหมสมั มาทิฏฐิทรมานพรหมมิจฉาทฏิ ฐิ - ส.ํ ส.๑๕/
๕๘๖/๒๑๕;
● ฤาษีชอ่ื โรหิตัสสะมฤี ทธ์ิเหนิ เวหาดว ยคามเร็วดงั วายา งเทา
เดยี วก็ขามมหาสมุทรไปแลว เหาะไปตลอด ๑๐๐ ปไมหยุดเลย กไ็ ม
ถงึ ทสี่ ุดโลก ตายเสยี กอ น - ส.ํ ส.๑๕/๒๙๗/๘๘; อง.ฺ จตกุ ฺก.๒๑/๔๕/๖๑;
● พระอนิ ทรแ ปลงเปนชา งหกู มาถวายบิณฑบาตแกพระ
มหากสั สป - ขุ.อ.๒๕/๘๐/๑๕๕;
สวนในอรรถกถามเี รอื่ งมากมาย โดยมากเปนการกระทํา
ของเทวดา ยักษ วิทยาธร ฤาษี ดาบสตางๆ ผูมีบทบาทมากทาน
หนึ่งคอื พระอนิ ทร ซ่ึงมกั แปลงกายบา ง ไมแ ปลงกายบา ง ลงมา
ชวยคนดีบาง ทดสอบความดขี องคนดีบา ง ดงั เชน แปลงเปนหนูมา
กัดเชอื กรดั ครรภป ลอมของนางจิญจมาณวิกา - ธ.อ.๖/๔๕; ชา.อ.
๖/๑๓๐; อิติ.อ.๑๑๓ และพบไดท่ัวๆ ไปในอรรถกถาชาดก ;
นอกจากน้ันมกี ลาวถงึ เปน กลาง มิใชเปน เหตกุ ารณเฉพาะครงั้
เฉพาะคราว เชน
● เปน เหตุหนึ่งของแผน ดินไหว - ที.ม.๑๐/๙๘/๑๒๖;
● แสดงความสาํ คัญของมโนกรรม - ม.ม.๑๓/๗๐/๖๓;
● เหตุใหอธิษฐานตนไมเ ปนดินกไ็ ด เปนนาํ้ ก็ได เปนตน -
อง.ฺ ฉกกฺ .๒๒/๓๑๔/๓๘๐ ;
● กลา วถงึ คนทเ่ี ปนโลกาธิปไตยเรงปฏิบตั ธิ รรม เพราะกลวั
วา สมณพรหมณแ ละเทวดาผูมีฤทธจ์ิ ะลวงรูจ ติ ของตน - อง.ฺ ติก.
๒๐/๔๗๙/๑๘๘
อิทธปิ าฏหิ ารยิ - เทวดา ๕๗
บนั ทกึ ท่ี ๒ :
การชวยและการแกลง ของพระอินทร
การชว ยเหลือของพระอนิ ทรนัน้ ดูเหมือนจะมิใชเ กิดจาก
เพยี งคณุ ธรรมเทานน้ั แตแทบจะถอื เปน หนาที่ทีเดียวเพราะมี
ขอ กําหนดกํากับอยูดวย คอื การท่อี าสนรอ นเปนสัญญาณเตือน
เรือ่ งอาสนรอนน้กี ็นาจะเปนหลกั ฐานอยา งหนึ่งทแ่ี สดงถงึ ชวงตอ
ของความเปลีย่ นแปลงจากการถูกบีบค้ันดวยแรงตบะหรือการ
บาํ เพญ็ พรตแบบเกา หันมาเนนในแงท ี่คุณธรรมความดขี องคน
เปนแรงเรง เราแทน และพระอนิ ทรใ นระยะชวงตอนี้ ก็ยงั เกย่ี วของ
กบั พลังบบี บังคับที่เกดิ จากตบะแบบเกาอยดู วย ในสถานการณ
บบี บงั คบั แบบเกาน้นั การปฏบิ ัติของพระอนิ ทรกม็ ักจะเปนไปใน
รูปของการแขง ขนั ชิงชยั ชงิ อาํ นาจกับมนษุ ยแบบโลกๆ ทตี่ ดิ มากบั
ระบบเกา เชน พยายามหาทางทาํ ลายตบะของมนษุ ยเ ปน ตน ซ่งึ
เห็นไดชดั วา ไมใ ชว ธิ ีการแหงคุณธรรมตามคติของพระพุทธศาสนา
(เชน โลมสกสั สปชาดก, ชา.อ.๕/๓๘๐; อลัมพสุ าชาดก, ชา.อ.๗/
๓๙๖; นฬินกิ าชาดก, ชา.อ.๘/๑) สว นเรื่องทเ่ี ขา สูคติของ
พระพุทธศาสนามากบา งนอยบา งมีมากมายหลายเร่ืองเชน ใน
● มหาสุวราชชาดก, ชา.อ.๕/๓๕๑;
● กัณหชาดก, ชา.อ.๕/๔๒๙;
● อกติ ติชาดก, ชา.อ.๖/๑๙๗;
๕๘ เรื่องเหนอื สามัญวิสยั
● สุรจุ ชิ าดก, ชา.อ.๖/๓๐๕;
● สีวริ าชชาดก, ชา.อ.๗/๓๗;
● สมั พุลาชาดก, ชา.อ.๗/๓๐๒;
● กสุ ชาดก, ชา.อ.๘/๑๓๓;
● เตมยิ ชาดก, ชา.อ.๙/๒;
● เวสนั ดรชาดก, ชา.อ.๑๐/๔๕๙;
● เร่อื งพระจกั ขบุ าล, ธ.อ.๑/๑๖;
● เรื่องสามเณร, ธ.อ.๘/๑๒๙ ฯลฯ
อนึ่ง พงึ สงั เกตดวยวา ตามเรอื่ งในชาดกเหลา น้ี เม่ือพระ
อินทรจ ะชวยนั้น มใิ ชจะชวยงายๆ โดยมากมกั จะมีบททดลองกอ น
เพอ่ื ทดสอบวามนษุ ยที่ทําดีนั้น มีความแนว แนม ั่นคงในความดีนนั้
แทจริงหรอื ไม อกี เร่อื งหน่งึ ทถ่ี ือวา แสดงคตพิ ทุ ธศาสนาอยา งสําคัญ
จดั เขา ในทศชาติ คอื มหาชนกชาดก ตามเรอ่ื งวา เม่ือเรอื แตกกลาง
ทะเล คนท้ังหลายหวาดกลัว รองไหว อนไหเทวดาตางๆ พระ
โพธิสตั วผูเ ดยี ว ไมร อ งไห ไมครํ่าครวญ ไมวอนไหวเ ทวดา คิดการ
ตา งๆ ตามเหตผุ ล และเพยี รพยายามสดุ กาํ ลงั ในทส่ี ุดมณเิ มขลา
เทพธดิ ารกั ษาสมุทรมาชว ยเองตามหนาทขี่ องเทวดา (ชา.อ.๙/ ๕๙)
อน่งึ นอกจากตรวจดูเองแลว พระอนิ ทรยังมีทา วโลกบาล
เปน ผูช วย คอยสง บริวารมาตรวจดคู วามประพฤติของชาวโลกไป
รายงานใหท ราบดว ย (อง.ฺ ตกิ .๒๐/๔๗๖/๑๘๐; อง.ฺ อ.๒/๑๕๖).
อทิ ธปิ าฏิหารยิ - เทวดา ๕๙
บันทกึ ที่ ๓ :
สจั กริ ิยา ทางออกท่ดี สี ําหรบั ผยู ังหวงั อาํ นาจดลบนั ดาล
สาํ หรบั ชาวพุทธในระยะพัฒนาขั้นตน ผูย งั หวง หรือยงั มี
เย่ือใยทต่ี ัดไมค อ ยขาดในเรือ่ งแรงดลบันดาลหรืออาํ นาจอัศจรรย
ตางๆ ประเพณพี ุทธแตเ ดิมมายงั มวี ิธปี ฏบิ ัติที่เปนทางออกใหอ ีก
อยางหนึง่ คือ "สจั กิริยา" แปลวา การกระทาํ สัจจะ หมายถึงการ
อางพลังสัจจะหรอื การอา งเอาความจริงเปน พลังบันดาล คอื ยก
เอาคุณธรรมท่ตี นไดประพฤตปิ ฏิบตั บิ ําเพ็ญมาหรอื มอี ยูตามความ
จรงิ หรอื แมแตสภาพของตนเองทีเ่ ปนอยูจรงิ ในเวลานัน้ ขึ้นมาอาง
เปน พลังอํานาจสาํ หรับขจัดปด เปาภยันตรายท่ีไดป ระสบในเม่ือ
หมดทางแกไ ขอยา งอ่นื วธิ ีการน้ไี มก ระทบระเทือนเสียหายตอ
ความเพียรพยายาม และไมเ ปน การขอรองวิงวอนตออํานาจดล
บันดาลจากภายนอกอยางใดๆ ตรงขาม กลับเปนการเสริมยาํ้
ความม่ันใจในคณุ ธรรมและความเพยี รพยายามของตน และทําให
มกี าํ ลงั ใจเขม แขง็ ยง่ิ ข้ึน อกี ทง้ั ไมต อ งยงุ เกยี่ วกับวัตถหุ รือพิธีที่จะ
เปนชองทางใหขยายกลายรูปฟน เผือออกไปได
สัจกิริยาพบบอยในคัมภีรพทุ ธศาสนารุนอรรถกถาเฉพาะ
อยางยิง่ ชาดก นบั เปนวิธีปฏิบัติที่ใกลจะถึงความเปนพุทธอยาง
แทจ รงิ ดังหลักฐาน (หลายเร่ืองมลี กั ษณะนา จะเหลอื เชื่อ แตคง
เปนธรรมดาของวรรณคดี);
๖๐ เรื่องเหนือสามัญวสิ ยั
● พิสจู นค วามเปน ลูก ชา.อ./๑/๒๐๖;
● ทําใหต นออ กลวง เพ่อื ชว ยฝูงลิงใหดื่มนาํ้ ไดโ ดยปลอดภยั
- ชา.อ.๑/๒๕๙, ม.อ.๓/๑๖๙;
● ลูกนกขอใหตนพน ภยั ไฟปา ชา.อ.๑/๓๑๙;
● ชว ยใหชนะสกา - ชา.อ.๒/๘๗;
● ใหเ ด็กหายจากพิษงู - ชา.อ.๕/๔๖๐;
● ใหเ รือพน ภัยจากทะเลรา ย ชา.อ.๖/๗๓;
● ใหประดานกพนจากที่กักขงั - ชา.อ.๖/๓๓๖;
● บริจาคพระเนตรแลว กลับมีพระเนตรขน้ึ ใหม - ชา.อ.๗/
๔๘ (อา งใน มลิ นิ ทฺ . ๑๗๐);
● ใหผูไปสละชีวติ แทนบดิ าปลอดภยั (มแี งอ ิงเทวดาบาง) -
ชา.อ.๗/๒๑๒;
● อางความซอ่ื สตั ยต อสามี ทําใหส ามีหายจากโรคเร้ือน -
ชา.อ.๗/๓๑๑;
● พระมเหสีขอใหมโี อรส - ชา.อ. ๙/๒;
● ใหพ นจากการจองจาํ เพราะถกู ใสความ - ชา.อ.๙/๕๔;
● ใหลูกหายจากพิษลกู ศร - ชา.อ. ๙/๑๕๒;
● ใหสวามที ่กี ําลังจะถูกบูชายญั พนภยั - ชา.อ.๑๐/๑๓๓;
● นางโสเภณใี หแมคงคาไหลกลบั - มิลนิ ฺท.๑๗๓;
● พระเจา อโศกของก่งิ มหาโพธโิ ดยไมต อ งตดั - วินย.อ.๑/
๙๕;
อิทธิปาฏิหารยิ - เทวดา ๖๑
● ใหพนจากการถกู ลงโทษใหช า งเหยียบในกรณีถูกใส
ความวา เปน โจร - ที.อ.๒/๔๑๒; (แต ชา.อ.๑/๓๐๑ วา เปน
อานภุ าพแหง เมตตา) ;
● ลูกอา งใจจรงิ ของแมใ หพนภยั ควายปาไล - ม.อ.๑/๒๗๖;
ส.ํ อ.๒/๑๘๖; สงฺคณี อ. ๑๘๔;
● องคลุ มิ าลประสงคค วามสวัสดีแกหญงิ ครรภแ ก - ม.อ.๓/
๓๑๓ (อางบาลี ม.ม.๑๓/ ๕๓๑/๔๘๕) ;
● ราชามหากปั ปนะขามแมน้าํ ดวยมา - สํ.อ.๒/๒๙๙;
อง.ฺ อ.๑/๓๔๘;
● พระราชเทวีทําอยางมหากัปปนะ - ธ.อ.๔/๔๙๑;
● เสี่ยงดอกไมไปบูชาและนิมนตพระพุทธเจา - องฺ.อ.๑/
๒๘๘;
● ใหล กู หายจากพษิ งู - อง.ฺ อ.๒/๑๗๖;
● ทาํ ใหส ามีหายปวย อง.ฺ อ.๓/๑๑๗ (แตบ าลวี าหาย
เพราะฟง โอวาทของภรรยา - อง.ฺ ฉกฺก.๒๒/๒๘๗/๓๓๒);
● เสย่ี งทายวามที ักขิไณยบคุ คลหรอื ไม - อง.ฺ อ.๓/๓๔๑;
มขี อทค่ี วรเสนอไวช วยกันพจิ ารณาอยางหนง่ึ วา บางที
ประเพณกี ารทําสัจกิริยา อาจเปนเครอ่ื งแสดงอยางหนง่ึ วา
จรยิ ธรรมยังมั่นคงแข็งแรงอยใู นสงั คมหรือไม การเสื่อมไปของ
ประเพณสี ัจกิรยิ าอาจแสดงถงึ ความเสื่อมถอยออนแอลงในทาง
จริ ยธรรม เพราะในเมอื่ ไมมีคณุ ธรรมที่จะตอ งใหเ กดิ ความม่นั ใจวา
ตนเอง ก็ตองหนั กลับไปอางและวิงวอนสิ่งศกั ดส์ิ ิทธ์ิมเี ทวฤทธเ์ิ ปน
๖๒ เรอ่ื งเหนือสามัญวสิ ัย
ตน คงเปนดวยเหตนุ ี้การกระทําตามระบบเดิม เชน การบนบาน
การวงิ วอน การสาปแชง การสบถสาบานผสมสาป (การสบถ
สาบานตามความหมายเดิมลว นๆ เปนเพียงคาํ มั่น แตทีท่ ํากันมาก
มีการอา งส่งิ ศกั ดสิ์ ทิ ธมิ์ าสาปแชงดวยวา ถา ทําหรือไมท าํ อยา งนัน้
ขอใหประสบผลรา ยอยา งนน้ั ๆ) จึงยนื ยงและแพรห ลายกวา.
อิทธปิ าฏิหาริย- เทวดา ๖๓
บันทกึ ที่ ๔ :
พระพุทธ เปนมนุษยหรอื เทวดา
คตพิ ระพุทธศาสนาเก่ยี วกบั เทวดานี้ เมอื่ ปฏบิ ัติใหถกู ตอง
ดวยความเขาใจ กท็ ําใหชาวพุทธอยูรว มกันไดดวยดีกบั ผูท่ียังนบั
ถือเทพเจา พรอ มท้ังสามารถรักษาหลกั การของตนไวไ ดดว ย
อยางไรก็ตาม บางทา นสังเกตวา ทาทเี ชนน้ีทําใหพระพทุ ธศาสนา
เสียเปรียบ เพราะคนทัว่ ไปมีความโนม เอยี งในทางที่จะไมม ่ันใจ
ตนเอง และครานท่ีจะคิดเหตผุ ล จึงมกั ถูกดึงลงไปสูลทั ธิไหวว อน
สง่ิ ศักดส์ิ ทิ ธิข์ อฤทธ์ิดลบนั ดาลไดงาย ขอ นีอ้ าจเปนจดุ ออนที่
พิจารณากนั ไปไดต างๆ แตปญหานา จะอยูท่ีวา เราไดย กเอา
ขอบเขตท่ีทา นวางไวข ้ึนมาปฏบิ ตั ิกันหรอื เปลา และคอยย้ําความ
เขาใจทถ่ี ูกตองกันไวห รอื ไม ยิ่งถา รูตวั วา มจี ดุ ออนอยแู ลว กค็ วรจะ
ยิ่งระมัดระวังรักษาหลกั การใหแข็งขนั ยิง่ ข้ึน มองอยา งหนึ่ง
เหมือนกับพูดวา ชาวพุทธฝายชาวบานจะไปนับถือกราบไหวยก
ยอ ง (แตไมใ ชออ นวอนหรือมัว่ สมุ ) เทพเจากับเขาอยางไรก็ได แต
อยานบั ถือใหสงู กวา ความสามารถของมนุษยทตี่ นมีอยูก ็แลว กัน
เทวดาจะสงู เทา ใดก็ได แตที่สงู สดุ น้ันคือมนษุ ย คอื ทา นผูเ ปน
ศาสดาของเทวะและมนุษยท้งั หลาย หรอื ถาไมค ลองใจท่ีจะนกึ ถึง
ภาพเทพเจาที่ตนเคยเคารพเทดิ ทนู มากราบไหวม นุษย ก็อาจจะ
มองมนษุ ยผสู งู สดุ ใหมอีกแนวหน่งึ วา เปน ผไู ดพ ฒั นาตนจนถึง
ภาวะสูงสุดพน ไปแลวทง้ั จากความเปนเทพเจาและความเปน
๖๔ เร่ืองเหนอื สามญั วิสัย
มนษุ ย โดยขอใหพิจารณาพุทธพจนดังตอ ไปนี้ (ขอ ความมลี ักษณะ
เลนถอ ยคาํ จึงแปลรักษาสํานวนเพือ่ ผูศึกษามีโอกาสพิจารณา)
ครง้ั หนึ่ง เมื่อพระพทุ ธเจากาํ ลงั เสดจ็ พุทธดําเนนิ ทางไกล
พราหมณผหู น่ึงไดเ ดนิ ทางไกลทางเดยี วกับพระองค มองเห็นรูป
จกั รท่ีรอยพระบาทแลวมีความอศั จรรยใจ ครั้นพระองคเสดจ็ ลงไป
ประทบั นัง่ พกั ท่ีโคนไมต นหน่งึ ขางทาง พราหมณเดินตามรอยพระ
บาทมา มองเห็นพุทธลักษณาการที่ประทับน่ังสงบลึกซึ้งนาเลื่อมใส
ยิ่งนัก จึงเขาไปเฝา แลวทูลถามวา "ทานผูเจริญคงจกั เปนเทพเจา"
พระพุทธเจา ตรสั ตอบวา "แนะพราหมณ เทพเจาเราก็จกั ไมเปน"
ทลู ถามตอ ไปวา "ทานผูเจริญคงจักเปน คนธรรพ" ตรสั ตอบวา
"คนธรรพเราก็จกั ไมเปน" "ทา นผเู จริญคงจักเปนยักษ" "ยกั ษเ ราก็
จักไมเ ปน" "ทานผูเจรญิ คงจกั เปน มนษุ ย" "มนษุ ยเ ราก็จักไมเ ปน"
ทูลถามวา "เมอ่ื ถามวา ทานผูเจริญคงจกั เปนเทพ ทา นกก็ ลา ววา
เทพเรากจ็ ักไมเปน เม่ือถามวา ทานผูเจริญคงจกั เปน คนธรรพ…
เปน ยักษ…เปน มนุษย ทานก็กลาววา จกั ไมเปน เมอื่ เชนน้ันทานผู
เจริญจะเปนใครกันเลา" ตรัสตอบวา "นแี่ นะพราหมณ อาสวะเหลา
ใดท่ีเมือ่ ยงั ละไมไดจ ะเปนเหตใุ หเ ราเปนเทพเจา.เปน คนธรรพ ...
เปน ยักษ...เปนมนุษย อาสวะเหลา น้ันเราละไดแ ลว ถอนรากเสีย
แลวหมดส้ิน ไมมที างเกิดขึ้นไดอกี ตอไป เปรียบเหมอื นดอกอบุ ล
ดอกปทุม ดอกบณุ ฑรกิ เกิดในน้าํ เจริญในนาํ้ แตต ั้งอยูพนนา้ํ ไม
ถูกนํ้าฉาบตดิ ฉนั ใด เราก็ฉันนั้นเหมอื นกนั เกิดในโลก เติบโตข้ึน
ในโลก แตเปนอยูเหนอื โลก ไมต ิดกลั้วดว ยโลก ฉันนั้น; นีแ่ นะ
พราหมณ จงถือเราวา เปน ‘พทุ ธ’ เถดิ " (อง.ฺ จตุกกฺ .๒๑/๓๖/๔๘)
อิทธิปาฏิหารยิ - เทวดา ๖๕
เชิงอรรถ
๑ น โสเธนฺติ มจจฺ ํ อวิตณิ ฺณกงฺขํ (ข.ุ ส.ุ ๒๕/๓๑๕/๓๗๔)
๒ หลักขอน้ี รวมอยูในเกณฑว นิ จิ ฉยั ความหมายและคณุ คา ของ
พุทธธรรม ซ่ึงเปนอกี บทหนึ่งตา งหากในหนงั สอื พทุ ธธรรมฉบับ
สมบูรณ
๓ ที.ปา.๑๑/๒-๓/๓-๔; พึงเทียบกบั พุทธพจนทแ่ี สดงสง่ิ ที่ทรง
พยากรณแ ละไมทรงพยากรณ ใน ม.ม.๑๓/๑๕๐-๑๕๒/๑๔๗-
๑๕๓ ดวย
๔ ขุ.สุ.๒๕/๓๑๕/๓๗๔ (คาํ วา การบําเพ็ญพรตหมายจะเปน
เทวดาน้ัน แปลตาม สุตฺต.อ.๒/๖๖ รูปศพั ทเปน อมรา ถา แปล
ตามรปู ศัพท ก็ไดความเพียงวา เทวดาทง้ั หลาย กด็ ี)
๕ คําชแี้ จงเกยี่ วกบั อิทธปิ าฏิหาริย ในฐานะเปนอภิญญา พรอ ม
ท้ังหลักฐานอางองิ ท้งั หลาย ไดแสดงไวแ ลวอยา งมากมายใน
ตอนกอน ๆ
๖ ที.สี.๙/๓๓๙-๓๔๒/๒๗๓-๖; ที.ปา.๑๑/๒๒๘/๒๓๒; องฺ.ตกิ .
๒๐/๕๐๐/๒๑๗; ขุ.ปฏ.ิ ๓๑/๗๑๘-๗๒๑/๖๑๖-๘
๗ ดู เกวฏั ฏสูตร, ที.ส.ี ๙/๓๓๘-๓๕๐/๒๗๓-๒๘๓
๘ ดู อง.ฺ ติก.๒๐/๕๐๐/๒๑๗-๒๒๐
๙ ที.ปา.๑๑/๙๐/๑๒๒; อธบิ ายใน ขุ.ปฏ.ิ ๓๑/๖๙๐/๕๙๙
๑๐ ดู วตั ถปุ ระสงคของการปฏิบตั ิเชน นี้ใน อง.ฺ ปฺจก.๒๒/๑๔๔ /
๑๘๙; ฤทธิ์ประเภทน้ีเปนพวกเมตตาเจโตวมิ ุตติ ซง่ึ ถึงข้ันเปน
สุภวิโมกข เกิดจากเจริญโพชฌงคประกอบดวยเมตตาก็ได (ส
๖๖ เรอ่ื งเหนือสามญั วสิ ัย
.ม.๑๙/๕๙๗/๑๖๔); เปนผลของการเจรญิ สติปฏ ฐาน ๔ ก็ได
(ส.ม.๑๙/๑๒๕๓-๑๒๖๒/๓๗๖-๙); เปนผลของการเจริญ
สมาธกิ ไ็ ด (ส. ม.๑๙/๑๓๓๒-๖/๔๐๑-๓); บางแหง เรยี กผปู ฏบิ ัติ
ไดเ ชน น้ีวา อริยชนผูเ จริญอนิ ทรียแลว (ม.อ.ุ ๑๔/๘๖๓/๕๔๖)
๑๑ วินย.๗/๓๓/๑๖; อรรถกถาอธบิ ายวา ทรงหามแตวิกุพพนฤทธ์ิ
(ฤทธผิ์ นั แผก คือเปลย่ี นจากรูปรา งปกติ เชน แปลงตัวเปน
ตา งๆ เนรมิตใหเห็นส่ิงตา ง ๆ พดู แตไ มใ หเหน็ ตัว ใหเ ห็นตัว
ทอ นเดียว เปนตน ) ไมหา มอธษิ ฐานฤทธิ์ (เชน อธษิ ฐานตวั เปน
หลายคน เดินน้ํา ดําดนิ เปน ตน ) ดู วนิ ย.อ.๓/๓๓๗ แต
คําอธิบายนีด้ ูไมน า นิยม
๑๒ ขุ.ปฏ.ิ ๓๑/๗๑๘-๗๒๒/๖๑๖-๖๒๐
๑๓ อง.ฺ ตกิ .๒๐/๕๘๔/๓๗๕; อง.ฺ ทสก.๒๔/๒๑๗/๓๕๓
๑๔ อิทธมิ ทะ (เปนพวกเดียวกับเมาความรู เมาศลี เมาฌาน เปน
ตน) ดู อภ.ิ วิ.๓๕/๘๔๙/๔๖๘)
๑๕ วิสทุ ธ.ิ ๑/๑๑๒,๑๒๒
๑๖ แตอ ยา ลมื วา การตัง้ ใจใชความประพฤตศิ ลี และวัตรเปน เคร่อื ง
ชักจูงผูกหมูชนไวก ับตน เพื่อผลในทางช่ือเสยี ง ความยกยอ ง
สรรเสรญิ หรือลาภ ก็เปน ส่งิ ทพี่ ระพุทธเจาทรงติเตยี นมาก
เชนเดียวกัน
๑๗ ของขลงั สิง่ ศกั ด์สิ ทิ ธ์ิ อาํ นาจลึกลบั น้ัน รวมถึงส่ิงทีท่ านเรียกวา
ติรจั ฉานวชิ าบางอยา งดว ย (ตริ จั ฉานวชิ า คือ วิชาที่ขวางตอ
ทางสวรรคนิพพาน หรอื วชิ าภายนอกท่ไี มเขากบั จุดหมายของ
พระศาสนา โดยมากเปนวชิ าจําพวกการทาํ นายทายทกั และ
อิทธปิ าฏหิ ารยิ - เทวดา ๖๗
การรักษาโรคตา ง ๆ ซ่ึงจะจัดเปนความบกพรอ งเสยี หายใน
ดา นศลี หากภกิ ษุนาํ มาใชเปน เครือ่ งมอื หาเล้ยี งชพี หรอื หาลาภ
สักการะ ติรัจฉานวชิ า เปนคนละอยา งกันกับอทิ ธิปาฏิหาริย,
ติรัจฉานวชิ า มาใน ที.ส.ี ๙/๑๙-๒๕/๑๑-๑๕ และกลา วซา้ํ ไวอ กี
หลายสตู รในพระไตรปฎกเลม ๙ นน้ั , มีสกิ ขาบทหามเรียนหา ม
สอนใน วินย.๓/๓๒๒/๑๗๗; ๗/๑๘๔/๗๑ อธบิ ายใน ที.อ.๑/
๑๒๑; นิทฺ.อ.๒/๑๑๗ เปนตน )
๑๘ อยาลมื วา หลักพง่ึ ตนเอง เปนตัวของตัวเอง นี้ ทา นใหส มดุลย
ดว ยหลกั การเคารพ หรือคารวธรรม ทก่ี ลา วแลว ในตอนกอ น
และพึงสงั เกตวา ผูเปนอิสระแลว อยางแทจ ริง กลับเปน ผเู ชอื่
ฟง คําส่งั มวี นิ ัยอยางย่งิ (การเชอื่ ฟงกับความเชื่อทเี่ รยี กวา
ศรทั ธามีแงตางกัน การเช่ือฟง หรอื ปฏบิ ตั ิตามคําสั่งอยา งมวี นิ ยั
นั้นเกิดจากศรทั ธาอยา งหนง่ึ เกดิ จากปญ ญาอยางหน่งึ พระ
อรหนั ตป ฏิบัติตามคาํ สง่ั รกั ษาระเบียบวนิ ยั ดวยปญญา).
๑๙ อทิ ธิปาฏหิ าริยใ นคมั ภีร ดู บนั ทึกพเิ ศษทายบท
๒๐ อามสิ ฤทธ์ิ (ความสาํ เร็จหรอื ความรงุ เรืองทางวัตถุ, วตั ถุรุงเรอื ง
หรอื วัตถเุ ปนแรงบนั ดาล) และ ธรรมฤทธ์ิ (ความสําเรจ็ หรือ
ความรุงเรอื งแหงธรรม, ธรรมรุงเรือง หรือธรรมเปนแรงบนั ดาล)
มาใน อง.ฺ ทกุ .๒๐/๔๐๓/๑๑๗; อนึง่ ความมรี ูปโฉมงาม
ผิวพรรณผุดผอง ความมีอายยุ ืน ความมีสขุ ภาพดี ความมี
เสนห ผ ูคนชอบชมอยูใกล กเ็ รยี กวาเปนฤทธเ์ิ ชนกัน (ดู ที.ม.
๑๐/๑๗๑/ ๒๐๔; ม.อ.ุ ๑๔/๔๙๖/๓๓๐)
๖๘ เร่ืองเหนอื สามญั วิสัย
๒๑ ที.ส.ี ๙/๓๔๓/๒๗๗ และ ส.ส.๑๕/๒๙๗/๘๘; อง.ฺ จตกุ กฺ .๒๑/
๔๕/๖๑ (เคยอางแลวทงั้ สองเร่ือง)
๒๒ วนิ ย.๗/๓๕๐/๑๖๔ (เคยอา งแลว); อยางไรกด็ ี ถาความคดิ ราย
รุนแรงขึ้น ฤทธิก์ ็เส่อื มได เพราะฤทธิต์ องอาศยั ฌานสมาบัติ
เปนฐาน และผูจ ะเขา ฌานสมาบัตไิ ด ตองทาํ จติ ใหบริสุทธผ์ิ อง
ใส ปราศจากนิวรณ.
๒๓ คําวา เทวดา หรอื เทพ ใชคลมุ ถึงพรหมทั้งหลายดวย โดย
แบงเปนเทวดาชนั้ กามาวจร (ผยู งั เกยี่ วของกับกาม บางที
เรียกวา ฉกามาพจรสวรรค หรอื สวรรคชั้นที่ยงั เกี่ยวของกบั
กาม ๖ ช้ัน คอื จาตุมหาราชกิ า ดาวดงึ ส ยามา ดสุ ิต
นมิ มานรดี และ ปรนิมมติ วสวตั ดี) ตอจากนั้นมีเทพชนั้ รปู าว
จร (รูปพรหม) ๑๖ ช้นั และสงู สดุ มเี ทพช้ันอรปู าวจร (อรูป
พรหม) (ดู สงคฺ ห.๒๙ เปน ตน )
๒๔ ดู อง.ฺ นวก.๒๓/๒๒๕/๔๐๙
๒๕ ขุ.อิต.ิ ๒๕/๒๖๑-๒/๒๘๙-๒๙๐.
๒๖ อง.ฺ อฏ ก.๒๓/๑๑๙/๒๒๙
๒๗ ดู เคา อง.ฺ อ.๓/๓๔๕
๒๘ อบายภูมิ มี ๔ คอื นรก ดริ จั ฉาน เปรต และอสุรกาย (ขุ.อติ .ิ
๒๕/๒๗๓/๓๐๑ เปน ตน).
๒๙ ใน อง.ฺ อฏ ก.๒๓/๑๖๑/๓๑๔ มพี ุทธพจนวา ตอ เมอ่ื
พระพทุ ธเจาทรงมีอธเิ ทวญาณทสั สนะครบ ๘ ปริวฏั ฏ (รอบท้ัง
๘ ดานคอื ๑. จําโอภาสได ๒. เหน็ รูปทั้งหลาย ๓. สนทนากัน
ไดก บั เทวดาเหลา นั้น ๔. รูวา เทวดาเหลานน้ั มาจากเทพนิกาย
อิทธิปาฏหิ ารยิ - เทวดา ๖๙
ไหน ๕. รูว า เทวดาเหลานัน้ จตุ ิจากที่นี้ไปเกิดท่ีน้ันดวยวิบาก
ของกรรมใด ๖. รูวา เทวดาเหลาน้ันมีอาหารอยา งไร เสวยสขุ
ทุกขอ ยางไร ๆ ๗. รวู าเทวดาเหลาน้ันมอี ายุยืนยาวเทา ใด ๘.
รวู าพระองคเคยอยูรว มกับเทวดาเหลาน้ันหรือไม) จึงจะทรง
ปฏญิ าณไดวาทรงบรรลุแลวซ่ึงอนุตรสมั มาสัมโพธญิ าณ, อธิ
เทวญาณทสั สนะนน้ี าจะแปลวา ญาณทสั สนะของพระผู
เหนอื กวาเทพ หรือญาณทสั สนะท่ีทาํ ใหทรงเปนผูเหนอื กวา
เทพ (เทยี บคําแปลกับ ขุ.จู.๓๐/๖๕๔/๓๑๒; นิทฺ.อ.๒/๓๒๘
สุตฺต.อ.๒/๕๓๐) เพราะทาํ ใหทรงรูจกั เทวดาดีย่ิงกวาทีพ่ วก
เทวดารจู กั ตนเอง (เชน พระพรหมไมรอู ายุของตน จงึ เขา ใจ
ตนเองผิดวา ไมเ กดิ ไมตาย) อธิเทวญาณทัสสนะน้ี เปน สวนหนึ่ง
ของทพิ ยจกั ษุ (ดู ม.อ. ๓/๓๐๕) จงึ เปนคุณสมบตั จิ ําเปน อยาง
หนง่ึ สาํ หรับความเปนสัมมาสมั พุทธะ เชน เดียวกับตถาคตพล
ญาณขออ่ืน ๆ แตไ มจ าํ เปนสาํ หรับการบรรลุอรหตั ตผลหรือ
นิพพาน (แตเดิมมาตัง้ แตก อ นพทุ ธกาล ความนับถือเทวดา
เปนของสามญั และฝงรากลกึ ดงั นนั้ การจะแสดงความ
ประเสรฐิ ของมนุษยไดก็ตองใหเ หน็ วามนุษยสามารถจะทําตน
ใหเหนือกวา เทวดาไดอยา งไร).
๓๐ ส. ส.๑๕/๕๘๖/๒๑๕
๓๑ ม.ม.ู ๑๒/๔๓๗/๔๖๘
๓๒ สํ.ส.๑๕/๘๖๔/๓๒๒
๓๓ โลกมนุษยไ มสะอาดมกี ลิ่นเปน ทร่ี ังเกียจแกเ ทวดา (ดู ที.ม.๑๐/
๓๐๖/๓๖๒; ขุทฺทก.อ.๑๒๙; สตุ ตฺ .อ.๒/๘๖)
๗๐ เรอ่ื งเหนอื สามัญวสิ ัย
๓๔ ขุ.ชา.๒๗/๕๐๕/๑๒๘; ชา.อ.๔/๒๒๗-๒๓๔
๓๕ ธ.อ.๕/๑๐; ชา.อ.๑/๓๓๙
๓๖ ดู เรอ่ื งพระโกณฑธาน, อง.ฺ อ.๑/๒๘๔; ธ.อ.๕/๔๗
๓๗ เชน ขุททก.อ.๒๖๑; สุตฺต.อ.๑/๒๔๖; ธ.อ.๒/๑๒๘
๓๘ เชน ปพภารวาสตี สิ สเถรวัตถ,ุ ธ.อ.๘/๑๒๓
๓๙ ไดก ลาวขางตน แลว วาจะพูดไปตามเร่ืองราวในคัมภีร ไมแ ปล
ความหมายทางนามธรรม
๔๐ เขตอาํ นาจของมาร เรยี กวา มารไธย (มารเธยฺย); ดู ม.อ.๑/
๔๕; สตุ ฺต.อ.๑/๕๔
๔๑ ดู ชา.อ.๑/๑๑๓; พุทธ.อ.๕๒๑
๔๒ ดู ม.มู.๑๒/๕๕๖/๕๙๗
๔๓ อง.ฺ จตกุ ฺก.๒๑/๑๕/๒๒
๔๔ ดู ข.ุ อิต.ิ ๒๕/๒๖๐/๒๘๘; ขุ.เถร.๒๖/๓๗๙/๓๕๙; ขุ.เถรี.๒๖/
๔๗๑/๔๘๙
๔๕ การชวยและการแกลง ของพระอนิ ทร ดู บันทกึ พิเศษทา ยบท
๔๖ เทียบกบั สภาพปจจุบัน นา สังเกตวา มนุษยใ นบัดนี้ดูเหมอื นจะ
หนกั ในการออ นวอนมาก ถาเพียรพยายามกอ นจึงออ นวอนก็
พอทําเนา แตทม่ี มี าก กลับเปน วา ตนไมไดพ ากเพียรอะไร กไ็ ป
บวงสรวงออ นวอนเทวดา สว นเทวดาเลา ก็รอการออนวอนกอ น
จงึ มา และใครออนวอนก็มาชวยคนน้ัน ไมตอ งคาํ นงึ วา เขาทํา
ดหี รอื ไม ที่จะทดลองทดสอบความดีกอ นเปนอันไมต องพูดถึง
ถาเปนอยางน้ี ลองมาทายกันวาเทวดาท่ีลงมาจะเปน เทวดา
แบบไหน นาเกรงไหมวา เทวดาใฝลาภ และเทวดาสวมรอยจะ
อทิ ธปิ าฏหิ ารยิ - เทวดา ๗๑
มากันมาก หรือไมก ็เทวดาใจออน ท่ีมวั มาขลุกขลยุ กบั มนุษย
จนพาเสียไปดว ยกัน
๔๗ ถา จะใหถูกแท ควรวา "การเพียรพยายามทําดี เปน คณุ ธรรม
ของมนษุ ย การชวยเหลือคนทําดเี ปนคุณธรรมของสวรรค" แต
ใชค ําวาหนาที่ เพราะฟงงายและกําชับการปฏิบัตมิ ากกวา
๔๘ มีขอ สังเกตวา ชาวไทยพุทธสมัยเกา ที่เช่อื ผีสางเทวดา เม่ือจะ
ทําการใดที่อาจกระทบกระเทือนเทวดา เขาพูดวาใหบอกกลาว
เทวดาหรอื บอกกลาวพระภูมิเจาที่ ขอน้ีอาจเปนหลักฐานอยาง
หนึ่งท่ีแสดงถึงการปรับตัวเขาสูแนวทางของพระพุทธศาสนา
เปลยี่ นจากการเซนสรวงสงั เวยอยางพราหมณ แตการ
บวงสรวงบนบาน กลบั มาเฟอ งฟใู หมใ นสมัยปจ จุบัน ทง้ั นี้
นาจะเปนเพราะวา ในเม่อื คนไมเขา ใจทาทีแบบพุทธตอเทวดา
ก็จึงมแี ตคน ๒ พวกเถยี งกันอยูคอื พวกวา เทวดามี กับพวกวา
เทวดาไมม ี จะเถยี งกันอยางไรก็ตาม พวกทเ่ี ชอื่ วามีกย็ งั มีอยู
และท่มี ากก็คือพวกทร่ี ะแวงไวก อนวามี พวกทวี่ ามีและระแวง
วา มี ก็ไมรูวิธปี ฏิบตั อิ ยา งอนื่ นอกจากการบวงสรวงออ นวอน
ดงั นั้น ทง้ั ท่ีมกี ารดุวาใหเลิกบวงสรวงออนวอนเทวดา แตก าร
บวงสรวงออนวอนบนบานน้ัน กก็ ลบั ยิง่ แพรหลายงอกงาม
ยิง่ ข้ึน ขอสังเกตน้จี ะเปน จรงิ หรือไมขอใหผ มู ีโอกาสชว ยกัน
คนควา มาบอกกนั ตอไป.
๔๙ คาํ วาส่งิ ศกั ด์ิสทิ ธ์ิ นาจะเปนคําทค่ี ลมุ เครอื และกวางเกินไป ใน
บรรดาส่งิ ของจําพวกน้ี สว นท่ีพอจะอางพทุ ธานญุ าตไดค งจะมี
แตม งคลอยา งเดยี ว ดงั นั้น ในวงการพทุ ธนา จะจาํ กดั ไมใชคํา
๗๒ เร่ืองเหนือสามญั วิสยั
วา สง่ิ ศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ ใชแตคาํ วามงคล เพ่อื ขดี วงใหแ คบเขา และงาย
แกก ารตะลอ มเขา สธู รรม (แตม งคลเอง เดี๋ยวน้ี ก็ใชกันพรา).
๕๐ อง.ฺ ปฺจก.๒๒/๑๗๕/๒๓๐
๕๑ วนิ ย.๗/๑๒๐-๔/๔๖-๕๐; ม.ม.๑๓/๔๘๖/๔๔๐; อรรถกถา
(วนิ ย.อ.๓/๓๔๕; ม.อ.๓/๒๙๙; ธ.อ.๖/๓) ขยายความวา
เจา ชายโพธไิ มทรงมโี อรสหรอื ธิดา ไดท รงใหป ลู าดผา ครง้ั นน้ั
โดยต้ังความปรารถนาวาถา จะทรงไดโ อรสก็ขอใหพระพทุ ธ
องคทรงเหยียบผา นั้น พระพทุ ธเจา ทรงทราบวา เจาชายจะไมม ี
โอรสธิดาจึงไมทรงเหยยี บ และไดทรงบัญญตั ิสกิ ขาบทหาม
ภกิ ษุทัง้ หลายเหยียบผืนผา เพราะทรงประสงคจะอนเุ คราะห
ภกิ ษุสงฆในภายหลงั เพราะในพุทธกาลมีภิกษทุ ่ีรจู ิตผูอ่นื อยู
มาก ภกิ ษเุ หลาน้ันยอ มเหยยี บหรือไมเหยียบไดต รงตาม
ความคิดของชาวบานเจาของผา น้นั แตนานไปภกิ ษุหลงั
พทุ ธกาลทําไปโดยไมรไู มเ ขาใจ ชาวบานก็จะติเตียนเอาวา พระ
สมัยนีไ้ มเกงเหมอื นอยางสมยั กอน จงึ ทรงบัญญัตสิ กิ ขาบทไว
เปนการชวยคมุ ครองภิกษรุ นุ หลังท้ังหลาย และอธิบายตอไป
วา ในกรณีทีห่ ญิงแทงไปแลว หรือมีครรภแก เขาขอเพือ่ เปน
มงคลจงึ เหยียบได ถาพิจารณาตามแนวของอรรถกถา อาจ
มองเหน็ ความตอ ไปวา กรณขี องเจาชายโพธิเปนการบนบาน
ขอลกู จงึ ทรงบัญญตั ิไมใ หเ หยียบ สวนกรณีของหญงิ แทงบตุ ร
เปน การขอเพ่ือเปนสริ มิ งคลเทานั้น จึงทรงอนญุ าตใหเ หยียบ
อยา งไรก็ดี ถาไมด อู รรถกถา พจิ ารณาอยา งพ้นื ๆ ตามเรอ่ื งใน
บาลี จะสันนษิ ฐานความไดใหมท ดี่ ูจะสมเหตผุ ลอยูมากวา ที่
อทิ ธิปาฏิหารยิ - เทวดา ๗๓
ไมทรงเหยียบผา ท่ีวงั ของเจาชายโพธิ กเ็ พราะทรงรักษา
มรรยาท พระองคเ สด็จมาถึงยงั ไมไ ดลา งพระบาท จึงไมทรง
เหยยี บ เพราะไมประสงคจ ะใหผ าเปอนสกปรก (มอี นุบัญญตั ิ
ตอไปดวยวา ถาภกิ ษลุ างเทาแลว อนุญาตใหเหยยี บได) สว น
กรณีของหญิงนนั้ ทรงยกเวนให เพราะเขาขอรองเองโดยมี
เหตุผลวา ตองการมงคล.
๕๒ มงคล เปนคนละอยางกันกบั เร่อื งอทิ ธิปาฏหิ าริย แตนํามารวม
ไวในทน่ี ี้ดว ย เพราะเม่อื พดู ในทางปฏิบตั ิแลวกม็ ีขอ พจิ ารณา
คลายคลึงกนั เชน ในแงผลดผี ลเสยี และการวางทาทีทีถ่ ูกตอง
เปนตน; แตวาโดยความหมาย อิทธปิ าฏิหาริยเปนเรอื่ งของ
ความสามารถพิเศษของตัวผูทาํ อิทธิปาฏหิ าริยเอง สว นมงคล
มีที่มมี าไดห ลายแง เชน อาจเชอ่ื วาบคุ คลหรือสิ่งที่ใหมงคลนี้ มี
ความศักดสิ์ ิทธิอ์ ทิ ธานุภาพหรอื อํานาจพเิ ศษเปนของตนเองก็
ได อาจเชื่อวา บคุ คลหรอื สิ่งนนั้ เปนสือ่ หรอื ทางผานของอาํ นาจ
ศักด์ิสิทธ์ทิ เ่ี รนลับอยตู า งหากก็ได หรืออาจเชื่ออยา งประณตี
ขึ้นมาอีกวา บคุ คลหรือสิง่ น้ันทรงไวซ งึ่ คณุ ธรรมความดงี าม
ความสุข ความบริสุทธิ์ จึงเกดิ เปนความศักดิ์สทิ ธิห์ รือเปน
มงคลขึ้นมาในตัวเอง อยา งทีช่ าวบานจํานวนมากเชอ่ื ตอ
พระสงฆเ ปนตน ก็ได; มงคลน้ีมสี วนไปเกย่ี วขอ งอยูในเร่ือง
ติรจั ฉานวชิ าไมนอ ย (ติรจั ฉานวชิ าเปนคนละเรื่องกนั กับ
อิทธิปาฏหิ าริย) เพราะคนเห็นตริ ัจฉานวิชาบางอยางเปน
แหลง ทีม่ าของมงคล ติรัจฉานวชิ านัน้ ถาภิกษุใชเปนเครอื่ ง
๗๔ เรื่องเหนอื สามัญวิสยั
เล้ยี งชพี แสวงหาลาภ กเ็ ปนมจิ ฉาชีพ จดั เปนความบกพรอง
ดา นศลี (โดยมากรวมอยูใ นเรื่องมหาศีล)
๕๓ ปราชญสมยั ใหมบ างทานเห็นวา ความโอนออ นผอ นตาม
(permissive) จนเกินไป เปนลกั ษณะอยา งหน่ึงของ
พระพุทธศาสนา และลกั ษณะน้ีนบั วาเปนจุดออนสาํ คัญของ
พระพทุ ธศาสนาดว ย ในขอนี้ ผเู ขยี นขอแสดงความเห็นวา
ความโอนออนผอ นตามโดยไมวางหลักและขอบเขตของตนไว
เปน จุดยืนที่แนนอน จึงจะเปนจุดออนทเี่ สียหาย แตพ ทุ ธ
ศาสนามจี ดุ ยืนที่แนนอน เชนในเรื่องสงิ่ เหนอื สามญั วิสยั น้ี ก็จะ
มองเหน็ หลักการและขอบเขตท่เี ปนจุดยืนไดช ดั เจน ปญหาอยู
ทวี่ า เราเขาใจจุดยืนของพทุ ธศาสนากันดีหรือไม อกี ประการ
หนึ่ง ความโอนออ นผอนตามน้ัน ถงึ จะมจี ดุ ยืน กย็ ังมีผลเสียอยู
บาง แตกระนน้ั ผลดีทไ่ี ดจากเหตผุ ลแงอ น่ื เชนท่ีวิจารณไวใ น
หนา แรกของตอนนี้ กน็ ับวามากพอคมุ ได.
๕๔ เชน อง.ฺ จตุกฺก.๒๑/๖๑/๘๙; อง.ฺ ปจฺ ก.๒๒/๔๑/๔๙
๕๕ วนิ ย.๕/๗๓/๙๒; ที.ม.๑๐/๘๔/๑๐๕; ขุ.อ.ุ ๒๕/๑๗๓/๒๒๑ (มี
ขอสังเกตสําคญั ๒ อยา ง สําหรับบาลีตอนนคี้ อื ๑. เปนพุทธ
พจนท ี่ตรัสแกพราหมณ คอื พวกท่ีนิยมลัทธบิ ชู ายัญเซน สรวง
เทพเจามาแตเดมิ ๒. ความเช่อื สมัยนั้นมีวา เมอ่ื มนุษยส ราง
สถานทีส่ ําคัญ ๆ สาํ หรบั กจิ การของพวกตน เทวดาท้ังหลายก็
เขา สถิตครองท่ีน้ัน ๆ กันเองตามฐานะของตน ๆ ไมม กี ารสราง
ท่ีอยตู า งหากใหเทวดา ไมมพี ธิ ีอัญเชิญอยางใด ๆ).
๕๖ ดู มงคลสูตร, ขุ.ขุ.๒๕/๕/๓; ขุ.ส.ุ ๒๕/๓๑๗/๓๗๖
อทิ ธิปาฏิหารยิ - เทวดา ๗๕
๕๗ สภาพปญ หาอยางหน่ึงในปจจบุ ันก็คอื พระทีเ่ กงทางอนศุ าสนี
ก็มักไมเ ออ้ื เฟอ เอ็นดูแกพ ระพวกอนื่ ที่ยังอาศยั สิง่ จูงลอ ฝา ย
พระพวกอนื่ น้ันกม็ ักไมใสใ จในอนศุ าสนีชนดิ นําออกบา ง
เสียเลย หรอื ไมก ม็ วั เพลนิ หมนุ วนอยูท่เี ดิมอยา งเดียวไมยอม
เดินหนา (พวกท่ีเหน็ แกลาภ ไมต องพดู ถึง) เมือ่ เปนเชนนี้ จุด
บรรจบประสานจงึ ไมมี พาใหช าวบา นสับสนหรือถึงกับแตก
สามัคคีดูถกู หยามเหยียดและขง้ึ เคยี ดตอ กัน
๕๘ เทวตาพลี (มาใน อง.ฺ จตุกกฺ .๒๑/๖๑/๘๙ และ อง.ฺ ปฺจก.๒๒ /
๔๑/๔๙ ซ่ึงเคยอา งแลว ) เปน พลอี ยางหนึง่ ในพลี ๕ ที่
พระพุทธเจา ทรงเห็นชอบใหคฤหสั ถก ระทํา อีก ๔ คือ ญาตพิ ลี
- สงเคราะหญาติ อติถิพลี - ตอ นรับแขก บุพเปตพลี - ทาํ บุญ
อุทศิ ใหผ ลู ว งลับ ราชพลี - บาํ รุงราชการ เชน เสียภาษี "พล"ี น้ี
เปนคําหนึ่งในบรรดาคําเดิมของศาสนาพราหมณนอยคาํ ท่ี
พระพุทธเจาทรงยอมใหผ า นเขามาในพระพุทธศาสนา หรือ
พระพุทธศาสนายอมรับเขามาใช โดยเกือบมิไดเปลี่ยน
ความหมายเลย (คําอ่นื ท่นี าํ มาใชแตเปลย่ี นความหมายใหม
ทีเดยี ว เชน ยัญ ตบะ เปนตน) ท้งั น้ี เพราะพลีแตเ ดิมมามี
ความหมายเปน การสละใหเพ่ือเกอ้ื กลู หรอื บาํ รุงเลีย้ งอยดู วย
แลว (รวมกับความหมายวาบูชา) พลใี นศาสนาพราหมณนั้น
เขาใหแกเ ทวดา ผี คน ตลอดถึงนก และสตั วอ ืน่ ๆ สง่ิ ทีใ่ หเปน
พลี ไดแ กอาหาร เชน ขาว และเปรยี ง เปนตน ตลอดจนดอกไม
นํ้าหอม ธูป ไมจันทน หมาก เคร่อื งเทศ เปนตน; ในรตนสูตร
(ขุ.๒๕/๗/๕; ขุ.ส.ุ ๒๕/๓๑๔/๓๖๗) มขี อความแนะนําเชงิ สอน
๗๖ เร่อื งเหนือสามญั วิสยั
หรือเชิงชวนเทวดาใหส รางเมตตาคมุ ครองรักษาหมูมนษุ ย ซง่ึ
ทําพลีใหทง้ั กลางวนั กลางคืน อรรถกถาขยายความใหเ ห็นวา
การแผสว นบุญให หรือใหมสี ว นรวมในการทาํ ความดี (ปตติ-
ทาน) ก็เปนความหมาย (แบบพุทธ) อยางหนึง่ ของพลี และท่ี
บาลีแนะนาํ อยางน้นั หมายความวา พวกมนุษยมอี ุปการะแก
พวกเทวดา เทวดา (ผไู ดรับพล)ี จงึ ควรมคี วามกตัญู ชว ย
คุมครองรกั ษาพวกมนษุ ย (ขุททฺ ก.อ.๑๘๕; สตุ ฺต.อ.๒/๑๓)
๕๙ สจั กริ ิยา ทางออกทด่ี ีสาํ หรับผูย ังหวังอาํ นาจดลบันดาล ดู
บันทึกพเิ ศษทา ยบท
๖๐ พระพุทธ เปนมนุษยหรือเทวดา ดู บนั ทึกพเิ ศษทา ยบท
๖๑ พงึ สงั เกตวา ศพั ทธ รรมท่ีหมายถงึ การฝก ฝนอบรม มีมากมาย
เชน ทมะ ภาวนา วินย (-วินีต) สกิ ขา เปน ตน แตนาเสียดายวา
ในสมัยตอ ๆ มา ความหมายของบางคํา ไดแปรเปล่ียนจากเดิม
ผดิ ไปไกล
ประเด็นที่ ๑
สรุปหลักการสําคญั ของพระพุทธศาสนาคอื อะไร
หลักการสาํ คัญของพระพทุ ธศาสนากค็ ือ การที่เราตอ งทาํ
กรรมดว ยความเพยี รพยายาม และจะตองฝก ฝนพฒั นาตนเพื่อจะ
ทํากรรมใหด ียิง่ ๆ ขึ้นไป แทนท่จี ะคดิ วา เราจะขอใหใ ครชว ย เราจะ
ไปออนวอนเทพเจาองคไหนใหทําใหเ รา ก็หันมาถามตัวเองนี่แหละ
วา เราจะตอ งทาํ อะไร และเราจะตอ งแกไขปรับปรุงตวั เราอยางไร
เพอ่ื ใหก ารกระทาํ ของเราไดผ ลดีย่ิงข้นึ นี้คือหลกั การของ
พระพทุ ธศาสนา
ทีถ่ ามวาจะตองทําอะไร ก็คอื หลักกรรม และทถ่ี ามวาเรา
จะตองแกไขปรับปรงุ พัฒนาตัวเราอยางไร ก็คอื หลกั สกิ ขา นน่ั เอง
ย่ิงกวาน้ัน ในกระบวนการท่เี ราจะตอ งทาํ กรรมดว ยความ
เพียรพยายาม และมกี ารศกึ ษาฝกฝนพัฒนาตนตลอดเวลานี้ ทาน
ยงั ยํา้ ดว ยหลักอัปปมาทะอกี วา จะตองมคี วามไมป ระมาท จะตอง
ใชเ วลาแตล ะขณะทผ่ี า นไปใหเปนประโยชนที่สุด จะตอ งเรงรดั ทํา
ความเพยี รจะผัดเพี้ยนไมไ ด จะทอดท้งิ ปลอยปละละเลยไมได อัน
น้หี ลกั พระพทุ ธศาสนายา้ํ ในเร่อื งท่ีวา จะตองทําความเพยี รพยายาม
ตลอดเวลา ถาเราปฏบิ ตั ิตามหลักสกิ ขา และมีความไมป ระมาท
อยูเสมอแลว เรากจ็ ะเปน บุคคลท่ีมคี วามเพียรพยายามในการ
๗๘ เรือ่ งเหนอื สามญั วิสยั
สรา งสรรค มกี ารแกไ ขปรับปรุงตัวพัฒนาตนเองอยูเสมอ กาวข้ึนสู
หลักพึง่ ตนได และดาํ เนินชีวติ ดว ยปญ ญา ซ่งึ เปนลักษณะชีวิตของ
ชาวพุทธ
ชาวพุทธทราบดีอยูแลววา ในพระพทุ ธศาสนานีไ้ มมกี าร
บงั คับ ศรทั ธาตองประกอบดว ยปญญา ไมใชเกดิ จากการบังคับ
ไมม กี ารบังคับใหเ ชือ่ หรือใหน ับถอื ไมมเี ทพเจามาหามมาสง่ั เม่อื
ไมม ใี ครมาบังคบั เราใหทําหรือไมใหท าํ ไมม ใี ครมาลงโทษหรือให
รางวัล การทีจ่ ะทาํ อะไรใหถกู ตองดงี าม หรอื การที่จะปฏิบตั ติ าม
ธรรม จึงอยูทต่ี ัวเราเอง จะตอ งมจี ิตสาํ นึกในการศึกษา คอื การท่ี
ระลึกตระหนักอยเู สมอวา เราจะตองเรยี นรูฝกฝนพฒั นาตนใหมี
ชวี ิตท่ดี ีงามยิ่งขน้ึ ไป ดว ยความรับผิดชอบตอ ธรรมคือกฎธรรมชาติ
แหงความเปน ไปตามเหตุปจ จัย ถาขาดจิตสํานึกในสิกขานเ้ี สียแลว
ก็หมดพลงั กาว ชาวพุทธกย็ อมรว งหลนหลดุ ออกไปจากธรรมสู
เทพและไสยโดยงา ย คอื ตกไปจากพระพุทธศาสนานั่นเอง
ทีนก้ี ็หันมาดูวา ตามสภาพปจจุบันเราไดเปน อยางนน้ั
หรอื ไม ถาเราเปนชาวพุทธจริง เรากจ็ ะเรยี กรอ งการกระทําของ
ตวั เอง เราจะไมถา ยโอนภาระไปใหก ับสิง่ ภายนอก ไมมัวรอใหส ่งิ
ภายนอกมาสรางผลที่ตองการใหด วยการออนวอน พระพุทธเจาได
ดงึ เรามาแลว จากเทพมาสูธรรม มาสหู ลักกรรม มาสูห ลักสกิ ขา
มาสคู วามไมประมาท และมาสกู ารพึ่งตนได อนั นเี้ ปนหลักการท่ี
เสนอใหใ ชสํารวจ
อิทธปิ าฏหิ าริย- เทวดา ๗๙
ประเด็นที่ ๒
เหตใุ ดพระพทุ ธเจาจึงทรงรับเกยี จอิทธปิ าฏหิ ารยิ
และอาเทศนาปาฏิหาริย
คดิ ดงู า ยๆ ถา พระพุทธเจาทรงใชอิทธิปาฏิหาริย คน
ทั้งหลายก็จะช่ืนชมความเกง กลา สามารถของพระองค ซ่ึงเขาเอง
ทําอยางน้ันไมได เม่ือเขาทาํ ไมได เขากต็ องพึ่งพาอาศยั ขึ้นตอ
พระองคเรือ่ ยไป เมอื่ เขาคอยรอพง่ึ พาอาศัย เขาก็ปลอยเวลาเสยี
ไป ไมไ ดทาํ ส่ิงท่คี วรทํา และโดยเฉพาะที่สําคญั คอื ไมไดพฒั นา
ตนเอง เวลาผานไป เคยเปนอยา งไร ก็เปน อยอู ยา งน้นั
นอกจากน้ัน เขาไมสามารถรูวาฤทธ์ินน้ั เกิดไดอยา งไร
ทา นผูน้ันทําฤทธิ์ไดอ ยางไร เขากอ็ ยกู ับความหลงเรอื่ ยไป และจงึ
เปน ทางของการหลอกลวง คนอื่นท่ีเปนนกั เลนกลก็ไดช องตรงน้ี
และควรสงั เกตดวยวา คนจาํ นวนมากท่ีเขา มาทางนี้ จะมสี ติฉกุ ใจ
ฉกุ คิดนอ ยลงๆ เมื่อเพลนิ หมกมุนไป ก็ย่ิงไมใชป ญญา เห็น
แปลกๆ แผลงๆ ดูนา อัศจรรย กเ็ ชื่อก็นับถือ กต็ น่ื กันไป ยงิ่ โนม ไป
ในทางที่จะสรางนิสัยเหน็ แกง าย ไมใ ชป ญญาแกปญ หา ขาด
ความคดิ วิจยั ถกู หลอกลวง และลมุ หลงไดง า ย เม่ือเปนกันอยา งน้ี
ทั้งบุคคลและสังคมก็ย่งิ หมกจม ไมพ ฒั นา
๘๐ เรอ่ื งเหนอื สามญั วสิ ยั
พระพุทธเจาสอนคนใหพ งึ่ ตนได ใหเ ขาพฒั นาตนเองจน
เปน อสิ ระ ไมตอ งขึน้ ตอ พระองค คนท่ีชอบอทิ ธิปาฏหิ าริยจะตอง
มาขึน้ กับผแู สดงฤทธิ์เรอื่ ยไป ไมรจู กั พงึ่ ตนเอง ไมพ ัฒนา ไมเปน
อิสระ แตถา ใชอ นสุ าสนีปาฏิหาริยก็ทาํ ใหเขาเกิดปญ ญารูเห็น
ความจรงิ ดวยตนเอง และทําสิ่งน้ันๆ ไดด วยตวั เขาเอง แลวเขาก็
เปน อิสระ เขาพึ่งตนเองได
แมแตถาใครชอบอทิ ธปิ าฏิหารยิ พระพทุ ธศาสนาก็สอนให
เขาทาํ อิทธิปาฏิหาริยน้ันใหไดดวยตนเอง ไมใ ชไ ปหวงั พง่ึ อทิ ธิ-
ปาฏิหาริยข องคนอนื่ อยางไรก็ตาม พระพุทธเจาตองการใหคนมี
ปญ ญาเหน็ ความจรงิ อทิ ธปิ าฏหิ าริยไมเ ปนเครอ่ื งหมายท่ีจะวัด
ความเปนพระอรหนั ต คนทีม่ อี ิทธปิ าฏิหาริยจ ะเรียกไดแคว า เปน
ผวู ิเศษ ความเปนผูว ิเศษไมทาํ ใหเกิดปญญารธู รรม ไมท าํ ใหหมด
กิเลสหรือหมดความทกุ ขไ ด
หันมาดูสภาพในเมืองไทยปจจุบันนี้ เรากาํ ลงั จะเอาเรอื่ ง
อิทธิปาฏหิ าริย หรือความเปน ผวู ิเศษมาเปนเคร่ืองวดั ความเปน
พระอรยิ ะไปแลว เพราะฉะน้นั จึงเปนสภาพทีจ่ ะตองมาตรวจสอบ
ทบทวนกนั
อทิ ธิปาฏิหาริย- เทวดา ๘๑
ประเดน็ ท่ี ๓
พระสมัยกอ นกใ็ หของขลงั วัตถมุ งคล พระสมยั นีก้ ็ให
ตางกนั อยางไร และสรปุ แลวคนไทยนบั ถือ
พระพุทธศาสนาเปน หลัก หรือไสยศาสตรเ ปน หลกั
เรอ่ื งการทําของขลงั ส่ิงศักดส์ิ ทิ ธิ์ใหแ กชาวบาน หลายทา น
พจิ ารณาแลวก็บอกวา พระเกาๆ สมัยกอนกเ็ ปนเหมือนกันนี่ ทาน
กใ็ หเหมอื นกัน กเ็ ลยตอ งขอโอกาสพูดวา ไมเ หมือนกัน
พระสมยั เกาของเราก็มกี ารใหของขลงั เหมือนกัน มพี ระที่
เรานับถือวาศักด์สิ ทิ ธ์ิ อาจจะเรียกวาเกงทางไสยศาสตรก ็ได ทา น
มีเวทมนตอะไรตา งๆ แตความนับถือสมัยกอนพรอมท้งั พฤติกรรม
ของพระสงฆเ หลานั้นกับสมยั น้ี ไมเ หมือนกนั ถอยหลงั ไปแคส ัก
๔๐-๕๐ ปเ ทานนั้ จะตา งจากสมัยนี้
จะขอเลา เรอ่ื งตวั บุคคลมาเปน ตัวอยา งกแ็ ลวกัน ตัวอยา ง
นขี้ อนาํ เรื่องหลวงพอ ของกระผมเองมาเลา คอื หลวงพอ วัดบาน
กราง
วดั บา นกรางนนั้ เปนวดั หน่ึงทีม่ ีชือ่ ในเรอ่ื งพระขลงั หลาย
ทา นรจู กั พระขุนแผนวัดบานกราง หลวงพอวดั บานกรางทีผ่ มจะ
เลาน้ีเปนอุปชฌายตอนกระผมบวชเณร ถาทานอยูบดั น้ีกอ็ ายุเกิน
๘๒ เร่ืองเหนือสามญั วสิ ยั
รอยไปแลว แตท านถงึ มรณภาพไปแลวเมอ่ื อายุประมาณ ๙๐ ป
ทา นเปนที่นับถอื อยางกวางขวางวาเปนผูท่ขี ลงั มาก ชาวบานมี
เรื่องเดือดเน้ือรอนใจ ถกู ผเี ขา ถกู ทาํ คณุ ไสย ก็มาหาทา น ทา นก็
ชวยแกไ ขให
หลวงพอ วดั บานกรางเปนทีน่ บั ถือมาก จนกระทงั่ วา เวลา
ทานจะทําอะไร คนกพ็ รอมเพรียงกันมาใหแรงงานเต็มท่ี
แมกระทัง่ จะยายวัด คือยา ยเสนาสนะอาคารทัง้ วัดไปตง้ั ในทใ่ี หม
กไ็ มต อ งรอื้ ออก แตใ ชก ําลงั คนมอื เปลา ยกกุฏแิ ละหอสวดมนตเ ปน
ตนเดินไปวางในทีท่ ่ีตอ งการ เชน ยกหอสวดมนตใ หญ ญาตโิ ยมก็
ใหช า งมาตัดเสาไว แลวก็เอาไมไผขันขนาบเสา และผูกเพิ่มใน
ระหวางใหถ่ีพอใหคนลงไปยนื ยกไมไผช อ งละคน พอถึงวันนดั
ประชาชนก็มาเตม็ หมด เมือ่ พรอมกันแลวก็ใหสญั ญาณ คน
จาํ นวนพันก็ยกหอสวดมนต ยกหอระฆงั ยกกฏุ ไิ ปท้ังหลัง เดินไป
เลยเหมือนหอสวดมนตและกุฏเิ ปนตนเดนิ ได กส็ ําเร็จ นี่กเ็ พราะ
ความเชอ่ื ความศรทั ธา
ทีน้ีท่วี าทานมชี อ่ื ในเรอ่ื งขลังนั้น จริยาวตั รของทานเปน
อยา งไร ปรากฏวา ในชวี ิตประจําวัน ทา นไมเคยพดู ถงึ เร่อื งส่งิ
ศักดิ์สทิ ธข์ิ องขลงั เลย มนตคาถาไมเคยพดู ถึง สิ่งทท่ี านทาํ คืออะไร
คือสอนธรรมะ สอนชาวบานวาควรจะประพฤติตัวอยางไร ดําเนิน
ชีวิตอยางไร ทาํ มาหากินอยา งไร อยูรว มกนั อยา งไร สอนลูกศิษย
ฝายพระสงฆว า ควรจะตง้ั ตนอยใู นธรรมวินยั อยางไร สิ่งท่ที า นทําก็
อทิ ธปิ าฏิหารยิ - เทวดา ๘๓
คอื การสอนธรรมะ แตเ วลามีชาวบา นหรอื ลูกศิษยคนไหนเกิด
เหตุราย ผีเขา ถูกทําคณุ ไสย อยา งทวี่ าเม่อื ก้ี มาหาทา น ทานกท็ ํา
ใหเฉพาะตวั เฉพาะราย แกไ ขบําบดั ปดเปา ใหเ ขาพน จากภยั
อันตรายเหลานั้นไปได ก็จบเทาน้ัน
อันนเ้ี ปนส่ิงท่ีนาสงั เกต ขอเลา ตออีกนดิ หนง่ึ ของดขี อง
ทา นเชนพระเครอื่ งน่ี อยาวาแตจะเอาปจ จยั ไปถวายเลย ไปขอก็
ไมให ถา ทานจะให ทา นใหเอง ทา นพิจารณา กค็ งเหมอื นกับพระ
โบราณท้งั หลาย เวลาลูกศิษยเติบโตเปนผใู หญขึน้ มา จะยายถ่ิน
ฐาน ไปทาํ มาหาเล้ยี งชีพ ถา เปน คนดีทานพิจารณาแลว ทา นก็
เรียกมาเฉพาะตัวแลวกบ็ อกวา เธอนะเปนคนดี ตอนน้ีเธอจะไป
อยใู นถิ่นฐานอน่ื ฉนั จะใหของดีไวค ุมครอง เอานะพระองคน เ้ี อา
ไปรักษาไว แลว ขอใหประพฤตติ ัวใหดี ตัง้ ใจขยันหมัน่ เพียรทาํ มา
หากินโดยสจุ ริต ดําเนินชวี ติ อยใู นศีลในธรรม จงทําความดีอยา ง
น้ีๆ อยา ทาํ ความชั่วอยา งน้ันๆ กาํ กับศีลธรรมไปเสร็จ
ของดนี ้นั เม่อื ลูกศษิ ยรับไปแลว ก็เก็บไวเ ปน ของสําคัญ
เพราะอุปช ฌายอ าจารยใหมา เกบ็ รักษาไวอยา งดีจนกระทั่งถึงรุน
ลกู ตัวเองแกแลวหรือลกู โตแลวก็มอบใหลกู แลวก็จะกํากับและ
กําชับแบบเดียวกัน เชน วา พระน้อี ุปชฌายของพอใหม า (หรือปู
ใหม า) พอเคารพบูชาเก็บรักษาไวอยางดีทีส่ ุด เวลานี้ลกู โตแลว
พอ จะใหล กู ไวค มุ ครองตวั ขอใหต ั้งใจประพฤตดิ ี ต้ังใจทํามาหากิน
และเก็บรักษาพระนีไ้ วใ หดี จากน้ันลูกก็มอบใหลกู ของลกู ตอไปอกี
๘๔ เรื่องเหนอื สามัญวสิ ยั
พระหรอื ของดีนั้น กจ็ ะสบื ทอดกันไป ท้ังเปนของท่ีหาไดยาก และ
สบื สายไปในวงศตระกูล
เทาที่เลามาน้ีทําใหมองเห็นความหมายอยางไรบา ง แลว
ลองนาํ มาเทียบกบั สมยั ปจจบุ นั สิง่ ทตี่ อ งการพดู ในที่นีก้ ็คือ เราจะ
เหน็ วา การนับถอื สิ่งศกั ดส์ิ ิทธข์ิ องขลังสมัยกอ นน้นั ยงั มี
พระพุทธศาสนาเปน หลกั ตัวแกนที่ปรากฏเดนชดั ก็คือธรรมะ หรือ
คาํ สอนศลี ธรรม การทําความดี เวน จากความช่วั อันนี้เปนหลัก
สว นของขลังไสยศาสตรเปนของที่พวงอยแู อบอยู และเปน สอ่ื หรือ
เปนสะพานทอดเปดทางใหแกธรรม ลกั ษณะสาํ คัญที่ควรสังเกต
๓ ประการ คอื
ประการที่หน่ึง ของขลงั สงิ่ ศักดิ์สิทธแิ์ ละไสยศาสตรเหลานี้
พระสมยั กอ นทานรูไว มไี ว และใหเพื่ออะไร ขอใชคาํ วามีไว
สําหรบั ปด ชองความหวน่ั ใจ
พทุ ธศาสนกิ ชนชาวบานทั้งหลายนี้ โดยท่วั ไปก็เปนปุถชุ น
สภาพจติ ของปุถุชนยอ มมีจุดออนอยางหนึ่งคอื ความไมม ่ันใจ
เกยี่ วกบั ความเปนไปในชีวิต ความท่ยี งั หวาดในอํานาจเรน ลับที่
มองไมเห็น ถึงแมม าเปน พุทธศาสนิกชนและเชื่อในคาํ สอนของ
พระพุทธเจา แลว กย็ ังอดหวาดกงั วลไมได มาหาหลวงพอทานสอน
ธรรมะให ตวั เองฟง แลวในใจกย็ งั หว่ันอยนู ั่นแหละ เวลาเกิด
เหตุการณร ายๆ ขน้ึ มากย็ ังหว งยงั หวาดอยวู า จะมอี ะไรเรนลบั ที่
บนั ดาล มีเทพเจา หรือผสี างกล่ันแกลง หรืออาจถูกผนู น้ั ผนู ี้ทาํ คุณ
อทิ ธิปาฏหิ าริย- เทวดา ๘๕
ไสยให เพราะฉะนัน้ กก็ งั วลไมสบายใจ ทีน้ถี ามาหาพระแลว พระ
ไดแตสอนเอาๆ ใหธรรมะไป ตัวเองกเ็ ชือ่ ตามนน้ั แตความหวั่นใจ
หรือความหวาดกย็ งั มอี ยู ไมแนใจเต็มท่ี กลับไปบานแลว คดิ
กลับไปกลบั มา ดไี มดีก็นึกขึ้นวา เอ! เราเอาอะไรประกนั ตวั
ปลอดภัยไวก อนดกี วา ก็เลยดอดไปหาหมอผี ไปหาหมอ
ไสยศาสตร
พอไปหาแลว หมอผหี รอื หมอไสยศาสตรก อ็ าจเรียกรอง
เงนิ ทองมาก และบางทีเรอ่ื งไมห ยุดแคน ้ัน หมอผไี สยศาสตร
อาจจะบอกใหทาํ อะไรตอ อะไรตอ ไปอกี ดีไมดกี ็ชักจงู ออกจากพระ
ศาสนาไปหลงตดิ ในเร่อื งอยา งนัน้ หรืออาจจะใหท ําสงิ่ ทเ่ี ปนเร่อื ง
เลวรา ยทเี่ ปนเรอื่ งของกเิ ลสโลภะ โทสะ เชนบอกวา คนน้ีเขาทํา
เธอมานะ ตองแกแคน ตองทําอยางน้ันอยา งนี้ กไ็ ปกันใหญ
เพราะฉะนน้ั พระของเราจึงตองมีไวบ าง บางองคต อ งเปน
ผูทเ่ี กงกวาพวกหมอผคี ณุ ไสยเหลา น้ัน แกทาํ ไดฉ ันก็ทําได แตฉัน
ทาํ ในแงดอี ยา งเดยี ว เปนเร่ืองคุณอยางเดียว แกไขอยา งเดยี ว แก
ทํามาฉนั แกไ ด ใหเ กง กวา พวกผไี สยเหลานนั้ ตามแนวทีว่ ามฤี ทธ์ิ
ไวปราบฤทธิ์ เพราะฉะน้ัน มเี รอ่ื งอะไร พอมาทีพ่ ระแลวทา นปด
ชองใหเ สร็จ มาแลวสบายใจไมตอ งไปหาหมอผีอีก ก็หมดเร่อื งกัน
ไป แลวยงั สอนธรรมหรือหลกั ศีลธรรมขมวดทายไปดวย จึงเปน
การปด ชอ งความหว่ันใจใหแกพทุ ธศาสนกิ ชน แตท านใชแ คเปน
เครื่องปด ชอ งความหว่นั ใจเทาน้ัน เขา ทํานองคติที่วาเอาฤทธ์ิ
ปราบฤทธิ์ ปราบเสร็จแลวกเ็ อาธรรมให เพราะฉะนัน้ เร่ืองผสี าง
๘๖ เร่ืองเหนอื สามัญวสิ ยั
คุณไสยจึงไมสามารถเกล่ือนกลาดดาษดาไปแนนอน เพราะวา ตวั
หลักยงั คุมอยู คอื ธรรมวินยั ไดแกหลักคาํ สอนของพระพุทธเจา
เปน ตัวหลกั เปนตัวปรากฏเดน
อนึง่ ยังมเี หตผุ ลสําคัญที่พระของเราสมยั กอนตอ งใชว ธิ นี ้ี
และการท่ีเรอ่ื งเหลานยี้ งั มีอยู ท้งั ทค่ี นไทยแทบทงั้ หมดนบั ถือ
พระพุทธศาสนา
เหตุผลแรกก็คือ ความเช่อื ผีสางสงิ่ ศกั ดส์ิ ิทธแิ์ ละการนบั ถอื
ศาสนาพราหมณน้ัน มีอยูในสังคมไทยกอนพระพุทธศาสนาจะเขา
มาดว ยซํ้าไป ความเช่ือเหลาน้ียังไมห มดไป กอ็ ยูคูกนั มากบั
พระพุทธศาสนา
เหตุผลใหญขอตอ ไปกค็ อื พระพุทธศาสนาไมม ีการบงั คบั
ศรัทธา ไมใ ชกาํ ลังหรอื วิธีการบบี บงั คับคนใหเขาเปลีย่ นความนับ
ถือ พระพุทธศาสนาเปนศาสนาแหง ปญญา และปญญาเปนส่งิ ท่ี
บังคับยดั เยยี ดใสใหก นั ไมได ตอ งคอ ยๆ สอนคอ ยๆ แนะนํากันไป
พระสงฆจ งึ ตองยอมรบั คนเหลาน้ีตามที่เขาเปนอยูแลวเขาไปส่ัง
สอนแนะนําเขาดว ยเมตตากรุณา คอ ยๆ ชว ยใหเขาพฒั นา
กําลังใจและปญญาขน้ึ มา เมอ่ื เขาพัฒนาข้ึน เขาก็จะละเลกิ ความ
เชื่อถอื เหลานั้นไปไดเอง
ขอ สําคญั อยูทพ่ี ระจะตองยอมเหนอ่ื ยยอมอดทน มีเมตตา
กรุณา ต้งั ใจคอยใหธรรม ไมล ะท้ิงหนาทธ่ี รรมทานนี้ ในระหวา ง
นนั้ ก็คอยปด ชอ งความหวั่นใจใหเขาไปตามความจําเปน พระบาง
อทิ ธิปาฏหิ ารยิ - เทวดา ๘๗
องคอาจจะสอนเกงจริงจนทําใหคนจาํ นวนมากมีกาํ ลังใจเขา ถงึ
ปญญา ชนิดขามพนส่งิ เหลา นไ้ี ปไดทีเดยี วเลย แตในหมชู าวบาน
ก็ยังจะมคี นที่ออนกาํ ลงั ใจออนปญญา ทีต่ อ งปด ชอ งหว่ันใจอยูนั่น
แหละ เรอื่ งฤทธ์เิ ดชกจ็ งึ ยังมอี ยู เพยี งแตว าตัวพระเองจะตอ งไม
เสียหลัก ฤทธิเ์ ดชจะตอ งถูกมองเปน เร่ืองเบ็ดเตล็ด และตองเปน
เคร่ืองสื่อธรรมจะใหเดน ข้ึนมาบังธรรมไมไ ดเ ปนอันขาด
ประการท่ีสอง ก็คอื พระเครอื่ งของขลังวตั ถมุ งคลเหลาน้ัน
สมยั กอนไมมรี าคา ไมม คี าเปนเงินทอง จะใหกใ็ หยากอยางทีว่ า
เชน ใหตอเมอื่ เหน็ วาประพฤตดิ ี แลว ก็ใหเ ปลาๆ ขอ นม้ี าเทยี บกบั
ปจ จุบันจะเห็นวา เปนอยางไร ปจ จุบันนีม้ ีราคาเปน เงนิ เปนทอง
จนบางทีจะกลายเปนสนิ คา
ประการท่ีสาม ก็คือ เปน ส่งิ เรียกรองขอกําหนดทาง
ศีลธรรม เวลาจะใหทา นจะบอกวา เธอตอ งเวนความชว่ั อันนน้ั
ตองเวนความช่ัวอนั นี้ ตองประพฤติปฏบิ ัตติ วั ใหด อี ยางนนั้ ๆ พระ
จึงจะคมุ ครอง
เม่อื ประมาณ ๕๐ ปมาแลว ทีอ่ ําเภอศรีประจันต มที าน
ขุนผูหนงึ่ เกง มากในการปราบโจร ชอื่ ขนุ ศรปี ระจนั ตรักษา เลอ่ื งลอื
กันวา ทานขุนมขี องดหี นงั เหนยี วอยยู งคงกระพนั
วันหนง่ึ ทานขุนศรฯี ไปปราบโจรแตถูกยิงตาย อา ว! ทําไม
ละ ชาวบา นลอื กันแซด วา ตอนนั้นไมท ราบเกดิ อะไรขน้ึ ทา นขุนศรีฯ
๘๘ เรือ่ งเหนอื สามญั วิสยั
โกรธโจรขึ้นมาก็เผลอไปดาแมโจร พอดา แมโจรปบ โจรยงิ มาปง
เดยี ว ตายเลย เขาบอกวาอยางนั้น อันนีเ้ ปนตวั อยาง
ความเชอ่ื ในของขลังสง่ิ ศกั ดิส์ ทิ ธต์ิ อ งมากับคุณธรรมความ
ดี ตองเรยี กรองศลี ธรรม เวลานี้เปนอยา งไร ไมม ีการเรียกรอ ง
ศีลธรรม มแี ตเ รยี กรองโชคลาภอยา งเดียว ตอ งการโชคลาภก็เอา
เงินไปเชา/ซือ้ เอามา เปนอันวาแคน ้ีก็จะไดโชคลาภ ก็หมดเร่ืองกัน
ศีลธรรมไมต องประพฤติ กลายเปนสิ่งศักดิ์สทิ ธ์ิทซ่ี ื้อไดดว ยเงิน
แลว แถมไมมีคุณคา ทางศีลธรรมจริยธรรม ตรงกนั ขามกับ
สมยั กอ นหมดเลย วิปริตผันแปรกันไป
ประการตอ ไป วตั ถุมงคลเหลาน้ี สมยั กอนเปนของหายาก
พรอ มกบั พวงเอาคณุ คา อยางสูงทางจติ ใจไวกับตวั ดวยแตม าสมยั
น้ี กลายเปนของหางายเกล่อื นกลาด มนั ตรงขามกับสมยั กอน
สมยั กอนน้ัน กวาจะไดท ีแสนยาก ครูอาจารยทา นตอ งเหน็ วา เรา
ประพฤตดิ ีและถึงโอกาสที่สมควรจึงให นอกจากน้นั ยงั มีคณุ คา
ความหมายสําคัญอกี คอื เปนเครือ่ งผกู พนั ทางจิตใจ หนงึ่ ผกู พัน
บุคคลทมี่ ขี องดนี ้ันไวกับพระพทุ ธศาสนา ใหระลึกถึงพระพทุ ธเจา
และคาํ สอนของพระองค แตไ มแคนั้น สอง เวลานึกถงึ พระที่อยูที่
คอตวั เองก็ระลึกรตู ระหนกั แกใ จวา พระองคนีห้ ลวงพอ พระ
อปุ ช ฌายใ ห นกึ ถึงพระอปุ ชฌายอาจารยและคาํ สงั่ ฝากของทาน
ตอมาลกู ศิษยคนน้โี ตมคี รอบครัวแกลงมอบใหลกู ใหหลาน
ลกู หลานเวลานกึ ถึงพระท่ีหอยคออยกู ็นกึ ถงึ พระพุทธเจา ดวย นึก
ถึงปยู า ตายายดว ย เปน เครื่องผกู พันกับบรรพบุรุษของตน พรอม
อทิ ธิปาฏิหาริย- เทวดา ๘๙
ท้งั นํา้ ใจและคณุ ธรรมท่ีทานส่ังสอนมา ท้ังหมดน้ีไปดว ยกันหมด
เลย แตป จจุบันคณุ คา เหลา นี้กําลังจะหมดไปหายไป เวลานี้
ความหมายอะไรเหลา น้ีแทบจะไมเหลอื อยูเ ลย
เพราะฉะนนั้ แมวา สมัยกอนกม็ ีของขลังพระเครอื่ งเปนตน
แตของขลังสงิ่ ศักดิ์สิทธิ์ทมี่ ีอยูใ นปจ จุบันน้กี ็ไมเ หมอื นกันแลวกับท่ี
มใี นสมยั กอ น มนั วิปลาสคลาดเคล่ือนออกไปแลว เพราะฉะน้นั ถา
เราจะมสี ิ่งเหลา นี้ กค็ วรจะมใี หถูกตอ ง ใหไ ดหลกั ของโบราณ อยา
ไปดูถกู คนโบราณวาไมไ ดความ นึกวาทา นก็มีของขลังสิ่งศกั ดสิ์ ทิ ธ์ิ
ไสยศาสตร แตท จี่ รงิ เราแพทา นแนนอน ทานมีหลัก แตเ ราไมม ี
หลกั เลย เราไมสามารถและไมคิดจะใชสิ่งเหลา นี้มาเปนสอ่ื นําเขา
สูธรรม ฝา ยหนง่ึ กค็ ดิ จะหาลาภ อีกฝา ยหนงึ่ กห็ วงั จะไดโชคลาภ
อยใู ตครอบงาํ ของระบบผลประโยชนก ันหมด
ถา หากวาส่ิงศกั ดิส์ ิทธ์ขิ องขลังเหลาน้ียังเปนเครอ่ื ง
เรียกรองขอ กําหนดทางศลี ธรรมอยู มนั ก็ยงั มคี ณุ คาทาง
พระพทุ ธศาสนาอยู นอกจากนั้นยังเปนสอื่ นาํ หรือโยงเราเขาสู
ธรรมะดวย โดยเฉพาะในเวลาท่ีทา นใหของดีและทานถอื เปน
โอกาสทจี่ ะสง่ั สอนธรรมนั้น คนที่จะเอาของดจี ะตง้ั ใจฟง ธรรมที่
ทา นสอนอยางจริงจงั เพราะฉะนนั้ ถา เราจะใชส ิ่งเหลา น้ีก็ควร
จะตอ งใชใ หถกู ตอง
ทว่ี ามานเี้ ปน เร่อื งท่ขี อนํามาเลาใหเหน็ วา สภาพความคลาด
เคลอื่ น ทงั้ จากหลักการของพระพทุ ธศาสนา ท้ังจากประเพณีนยิ ม
๙๐ เร่อื งเหนอื สามญั วสิ ัย
ในสงั คมไทยของเราเอง ไดเ ปน ไปถึงขนาดไหนแลว มันจึงทําให
สงั คมของเราวิปรติ ผนั แปรไป
เรือ่ งทพ่ี ดู ในตอนนี้ เปน การใหช ว ยกันพจิ ารณาตอบ
คาํ ถามวา “เวลานี้ คนไทยนบั ถอื พระพุทธศาสนาเปนหลัก หรือ
นบั ถอื ไสยศาสตรเ ปนหลัก” ซงึ่ รวมท้งั คําถามวา “สมยั กอนกม็ ีของ
ขลงั สมยั น้กี ม็ ขี องขลงั ตางกนั อยา งไร?” ไดพูดมายดื ยาว
เน่ืองจากเปน เร่อื งสําคญั จึงขอสรปุ ไวดวย
ถา คนไทยนับถอื พระพทุ ธศาสนาเปนหลกั ไสยศาสตรเ ปน
เพยี งสิ่งพว งแฝงมา สงั คมจะมพี ฤตกิ ารณดังน้ี
๑. ความนับถอื หลักการของพระพทุ ธศาสนา และการ
สอนธรรมจะปรากฏเดนเปนพื้น สวนของขลงั ส่ิงศักดส์ิ ทิ ธ์ิ เทพไสย
จะมีเพยี งพว งแฝงหรือแอบอยู และใชเ พียงเปนเคร่อื งปดชอง
ความหว่ันใจ ทํานองคตเิ อาฤทธ์ิไวป ราบฤทธิ์
๒. การใหหรือการปฏิบตั ิเก่ยี วกับของขลังเปนตนนัน้ จะเนน
ท่กี ารกาํ กับขอปฏบิ ตั ทิ างศลี ธรรม หรือใชเ ปน สือ่ สกู ารสอนธรรม
๓. ของขลังเปน ตน เปน ของใหเ ปลา ไมม ีราคา เพราะเปน
ส่ือคณุ คา ทางนามธรรม
๔. เปน ของใหย าก และหายาก ไมเ กลือ่ นกลาด และ
ผนวกอยูกับคุณคาทางจิตใจ เชนโยงไปถึงบรรพบรุ ุษบรุ พการี
อิทธปิ าฏหิ าริย- เทวดา ๙๑
ถา พฤติการณเ ปน ไปในทางตรงขามจากนี้ ก็แสดงวา คน
ไทยนบั ถือไสยศาสตรเ ปน หลกั พุทธศาสนาเปน เพียงสง่ิ ประกอบ
เลือนลางอยู คอื
๑. การเชื่อถือปฏบิ ัตทิ างไสยศาสตรแ ละการหวงั พึ่ง
อํานาจลลี้ ับปรากฏเดนเปนพน้ื ในสงั คม ชาวพทุ ธไมรูหลกั การของ
พระพทุ ธศาสนา การสอนธรรมเพยี งแอบๆ อยู
๒. ของขลงั สง่ิ ศกั ด์ิสิทธิเ์ ปน เร่ืองของการสนองกิเลส ใน
การหาผลประโยชน ความกลวั ภัย และการแกงแยง ด้ินรนตอสกู นั
ของมนษุ ยปุถุชน ไมเ ปนส่อื ดงึ คนขึน้ สูคุณธรรมความดงี าม และ
การพฒั นาชีวิตของตน ไมมกี ารกํากับศีลธรรม
๓. เปน ของมีราคา หรือมงุ ที่เงนิ ทอง ของตอบแทน
แมก ระท่ังเปนการซื้อขาย
๔. เปนของหางา ย มีเกลื่อนกลาด จนอาจกลายเปน
ความศักดิ์สิทธท์ิ ่ีซอ้ื ไดดว ยเงนิ ดอยคณุ คา ทางจติ ใจ
อกี เรือ่ งหนง่ึ การทตี่ องยอมรับความจรงิ วา ความเชอื่ ถือ
เกี่ยวกบั อํานาจลลี้ บั และหวงั พง่ึ สิง่ ศักด์สิ ิทธิ์เทพไสยเหลาน้ีจะมอี ยู
ตอ ไป เพยี งแตใหเ ปนส่งิ แฝงแอบอยหู รือเปน เรอ่ื งเบ็ดเตลด็ โดยให
พระพทุ ธศาสนาเปนหลักอยู ก็ควรพอใจ ขอนีม้ ีเหตุผลสําคญั คอื
๑. เปนนิสัยของปถุ ชุ น เมื่อมชี ีวิตอยูภายใตส ภาพแวดลอม
และความเปนไปที่ตนเองไมรูท่วั ถึงและบังคบั ไมได มคี วามเขมแข็ง
๙๒ เร่ืองเหนือสามัญวิสยั
และปญ ญาไมพอ ยังมีความหวาดหวั่นตอ สิ่งที่ไมร ูแ ละไมอ าจ
คาดหมาย จึงมคี วามโนมเอียงทจี่ ะหวังพ่งึ อาํ นาจเรน ลับภายนอก
จะพนไปไดม ากหรือนอ ย ก็อยทู ฝ่ี ายธรรมจะทาํ หนาที่ไดเพียงใด
๒. ความเชือ่ ผีสางสิ่งศกั ดส์ิ ิทธิ์และลทั ธพิ ราหมณม อี ยู
กอนพระพทุ ธศาสนาเขามา และอยใู นสังคมไทยคูเคียงมากับ
พระพุทธศาสนา จนถึงปจจบุ นั เปน ความจรงิ ตามสภาพ
ประวตั ิศาสตรและวฒั นธรรม
๓. หลกั การของพระพุทธศาสนาไมมีการบังคบั ศรัทธา ไม
ใชกาํ ลงั หรอื วิธบี ีบบงั คบั โดยถือตามหลกั ธรรมชาติของมนุษยวา
ปญญาเปนส่ิงยดั เยยี ดใสใหกันไมได จงึ ตองยอมรบั เขาตามท่ีเขา
เปนอยู แลวเขาไปชวยเหลือแนะนําสงั่ สอนดว ยเมตตากรณุ าให
เขาพัฒนาข้นึ มา
อิทธิปาฏิหารยิ - เทวดา ๙๓
ประเด็นที่ ๔
สรปุ การนบั ถืออํานาจดลบันดาลภายนอก
ตา งจากการนับถอื พระพุทธศาสนาโดยสาระสําคญั อยางไร
การนับถืออํานาจเรน ลับดลบันดาลแบบนนั้ ทําใหคนหวัง
พึ่งสิง่ ภายนอก ไมเพียรพยายามทาํ การดวยตนเอง มวั แตคิดออน
วอนเอาอกเอาใจส่งิ ศกั ดิส์ ิทธิ์ หรือรอคอยฤทธเิ์ ดชของคนอื่น
ตวั เองไมม ีอะไรดีข้นึ ไมว าจะเปนสติปญญาหรอื ความสามารถ
หรอื คณุ ธรรมความดี มีแตจมลงถอยลง เลยไมไดฝ ก ฝนพฒั นาตน
อยางดีก็ไดแ คเ ขา หลักท่ีวา ศาสนาชวยเปนที่พ่ึงท่ียดึ เหนย่ี วจิตใจ
เอาพอปลอบใจอุนใจ
แตพ ระพุทธศาสนาไมใชมไี วเ พียงเปนที่พง่ึ ท่ียึดเหน่ียว
จิตใจ ถา เปน เชนน้ัน พระพทุ ธศาสนาก็ไมตอ งเกิดขึน้ เพราะ
อนิ เดียกอ นพุทธกาล เขามที ่พี ่งึ ทีย่ ึดเหนีย่ วจิตใจอยแู ลว และมมี า
นานแลว แตทพ่ี ระพุทธศาสนาตอ งเกิดข้นึ ก็เพราะปญหาจากทพ่ี ่ึง
ทยี่ ึดเหนี่ยวจิตใจน่ีแหละ
ท่ีวาศาสนาเปนท่พี ึ่งที่ยึดเหนีย่ วจิตใจนนั้ จะตองถามตอไป
วา ยดึ เหนี่ยวแบบดึงลง หรือยดึ เหนีย่ วแลว ดงึ ข้ึน ศาสนาส่ิง
ศกั ดิ์สทิ ธิ์ฤทธานภุ าพอะไรๆ น้ัน เมอื่ เชอื่ ถอื หวังพ่งึ แลว ถา เปน
๙๔ เรื่องเหนอื สามัญวิสยั
อยางทว่ี าเมื่อกกี้ ็คือดึงลง ทําใหห ลงใหลหมกจมอยใู นโลภ โกรธ
หลง คนอินเดียกอนพุทธกาลมวั แตอ อนวอนเซนสรวงบูชายญั คิด
แตขอและรอคอยเทพเจา ดลบันดาล คิดวา จะใหเ ทวดาองคไ หน
ชว ย แทนท่ีจะถามตัวเองวา เราจะตองทําอะไร และเราจะตอ ง
แกไ ขปรบั ปรุงตวั เราและพัฒนาการกระทําของเราอยางไร เลยไม
ไปไหน
พระพุทธเจา มาทรงส่ังสอน ประกาศศาสนาชนดิ เปนท่ีพ่ึงที่
ยึดเหน่ยี วแบบดึงข้ึน คือ เมื่อเขานับถือหรอื เช่ือแลว กจ็ ะใหก าํ ลงั
และแสงสวาง นาํ เขาข้นึ พนออกมาจากความมืด ความหลง และ
ปวงกิเลส ใหเ ขาฝก ฝนพัฒนาตน มีคุณธรรมมากข้ึน มีปญ ญามาก
ขึน้ ชวยกนั เองในหมมู นุษยไดด ีขึ้น จนมนุษยพ ึ่งตนเองได มี
อสิ รภาพ และสรา งโลกทีเ่ ปน อัพยาปชฌะ แปลวาไมมีการ
เบยี ดเบียน คอื รมเย็นมสี ันตสิ ุข
พระพุทธเจา เปน บคุ คลแบบอยา งแหงมนษุ ยที่ไดพ ฒั นา
คือไดฝก ตนเตม็ ทแี่ ลว จนกระทัง่ ไดเปน พทุ ธะ เราต้ังเอาพระองคไว
เปน ตนแบบ สําหรับระลึกแลว จะไดเ ตอื นใจเรา
ทาํ ไมพระพทุ ธเจาจงึ เปนองคแ รกในพระรัตนตรยั เพราะวา
เม่ือระลึกถงึ พระพทุ ธเจา ก็เตอื นใจเราทนั ที ใหร ะลึกถึงความเปน
มนษุ ยของเราที่เราก็มีเหมือนกบั พระพุทธเจา หลักศรัทธาใน
พระพทุ ธศาสนาขอ แรกคอื ตถาคตโพธิสทธฺ า แปลวา ความ
ศรัทธาเชอื่ ในพระปญญาตรัสรูของตถาคต แปลอีกทีหนง่ึ วา ความ
อทิ ธิปาฏหิ ารยิ - เทวดา ๙๕
เชอื่ ในปญญาท่ที ําใหมนษุ ยต รัสรกู ลายเปนพุทธะ ก็คือเชื่อใน
ศกั ยภาพของมนุษยนน่ั เอง
เม่อื มนุษยเชื่อในศักยภาพของตนเองแลว ระลกึ ถึง
พระพุทธเจา กต็ น่ื ตัวข้ึนมาและเกดิ ความม่ันใจในศักยภาพของตน
ที่เปนมนุษยน้ัน พรอมกนั นั้นก็เกดิ ความสํานึกตระหนักในหนาที่
ของเราข้ึนมาวาเราจะตอ งสิกขาฝก ฝนพฒั นาตน ย่ิงกวานั้นเรายัง
ไดป ฏิปทาของพระพุทธเจาและพระโพธสิ ัตวมาเปน กาํ ลงั ใจในการ
ฝก ตนนั้น และยงั แถมไดว ธิ ีปฏิบัตติ ลอดจนประสบการณข อง
พระพุทธเจาท่พี ระองคป ฏบิ ตั ิมาแลว โดยเราไมต อ งลองผิดลองถกู
อกี เราไดเปรยี บกวา พระองคค ือเอาประโยชนจ ากความรูส ําเรจ็ รปู
ของพระองคม าเลย
ชาวพุทธตอ งเปน คนเขมแขง็ มีศรทั ธาชนิดทม่ี ัน่ ใจในศกั ย-
ภาพของความเปนมนษุ ยท ี่จะดีเลศิ ประเสริฐไดด วยการฝก และ
หวังผลจากการกระทํา พยายามพฒั นาตัวใหพง่ึ ตนได หลักการแหง
กรรมก็ดี สกิ ขากด็ ี ความไมประมาทกด็ ี ลว นทําใหเกิดความ
เขมแข็งท่ีจะกา วตอ ไปทง้ั นัน้ แลวยงั มีคตแิ หง การบําเพ็ญบารมีของ
พระโพธิสัตวมาหนนุ อีก พระพทุ ธเจาทรงเปนตัวอยางของบุคคลท่ี
มีความเขมแขง็ เรื่องราวตา งๆ ของพระพุทธเจาและพระโพธิสตั วท ่ี
มอี ยมู ากมายน้นั ลว นเปนเร่อื งของการบาํ เพ็ญเพียร และการ
พยายามแกปญหาดว ยปญญา ทา นเลา เรอ่ื งเหลา นีไ้ ว กเ็ พอื่ ให
เปน เครื่องหนุนกําลังใจของชาวพุทธ ชาวพทุ ธจะตอ งมีความ
เขม แขง็ ในการทาํ ความดี สรางสรรคและพฒั นาตัวตอไป เหมอื น
๙๖ เร่อื งเหนอื สามัญวิสยั
อยา งพระโพธสิ ตั ว ไมใชคอยขอความชว ยเหลอื จากพระโพธสิ ตั ว
หรือเทพเจาท้ังหลาย
ชาวพทุ ธตอ งมนั่ ในธรรม คือในหลกั การแหง ความจรงิ ความ
ถูกตองดงี าม และความรูในธรรมดาของธรรมชาตทิ ่ีสิ่งท้ังหลาย
เปน ไปตามเหตปุ จจยั เม่อื ถกู ธรรมแลว กไ็ มห วน่ั ไหว แมตอ เทพเจา
หลกั การของพระพทุ ธศาสนาในเร่อื งน้ีชัดเจนมาก คือ
ธรรมสงู สุด แมพระพุทธศาสนาจะไมป ฏเิ สธเทวดา แตถือวา ธรรม
ตองเหนอื เทพ
ตามปกติชาวพุทธจะอยรู ว มกับสรรพสัตว รวมท้งั เทพเทวา
อยา งเพื่อนรว มโลก ดว ยเมตตามีไมตรีปรารถนาดตี อกัน ไมอ อน
วอนหวังผลประโยชนจ ากกัน ตางคนตางพฒั นาตนยง่ิ ขน้ึ ไป แตถา
มกี รณีขัดแยงกัน เกดิ ปญหาตอกัน ตองเอาธรรมตดั สนิ ถา มนุษย
ถูกธรรม เทพตอ งยอม ในคมั ภรี พ ุทธศาสนามเี รื่องราวเลาไวม าก
เพ่อื สนบั สนุนคตนิ ้ี ใหชาวพทุ ธเขมแขง็ ยืนหยัดอยูใ นธรรม
แมเ มอ่ื มนุษยมาอยูร ว มกัน ปกครองกันเอง กต็ องใหท ุกคน
ถอื ธรรมเปน ใหญ ทีเ่ รียกวา ธรรมาธปิ ไตย เวลาน้ีนากลวั วา คนใน
สงั คมโนม ไปทางทจี่ ะถือเงิน อามิส หรอื ผลประโยชนเปนใหญ
กลายเปนธนาธปิ ไตย ถาเปนอยา งนนั้ ประชาธิปไตยจะอยูไมได
เพราะระบอบประชาธิปไตยของสงั คมจะอยูไดดวยดี ตอเม่ือ
ประชาชนมีคุณสมบตั ิแหงธรรมาธิปไตย
การถอื ธรรมเปนใหญ ยกธรรมเปนมาตรฐานสงู สุด เปน
หลกั การใหญข องพระพทุ ธศาสนา
อิทธปิ าฏหิ าริย- เทวดา ๙๗
รวมแลว เมอ่ื เรานบั ถือพระพทุ ธเจาเปน องคพ ระรัตนตรยั
เราก็ไดประโยชนทเี ดียวถึง ๔ ประการ แลวการระลึกถึง
พระพทุ ธเจา ก็โยงเราเขาสูธรรมวา เธอจะฝก ฝนพฒั นาตนตาม
ธรรม ตอ งเขาถึงตัวความจริงในธรรมชาติ ตอ งปฏิบัตใิ หถกู ตอง
ตามกฎแหง ธรรมชาติ คือความเปนไปตามเหตุปจ จยั เปนอันวาเรา
จะตองปฏิบัติฝกตนตามธรรมน้นั ธรรมก็มาเปนหลักในการดาํ เนิน
ชวี ติ คือเปน สรณะของเรา ชวี ติ ของเรากก็ ลายเปนชีวติ แหงการ
ฝกฝนพฒั นา คอื เปน ชวี ติ แหง สกิ ขาเขาสูม รรคาแหงอรยิ ะ เพื่อเรา
จะไดทําตวั ใหเ ปนอยางพระอริยะท้งั หลายที่ทานไดฝก ฝนตาม
อยา งพระพทุ ธเจา จนไดเ ปนพยานแหงการตรัสรูของพระองคโ ดย
มารวมเปนสงฆ และเราก็มีหนาที่ตอ งสรางสงั ฆะคือสงฆอ นั นี้
ขึ้นมาดวย โดยการฝกฝนพัฒนาตนใหเขา ไปรวมในสังคมแหง
การศกึ ษาดวยการเปนเสกขชน ซ่ึงจะพัฒนายิ่งข้ึนไปสูจุดหมาย
แหงสันติสุขและอสิ รภาพท่ีสมบูรณใ นทสี่ ุด