ธรรมะหน้ากฏุ ิ เลม่ ๑
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สชุ าติ อภชิ าโต
วดั ญาณสังวรารามวรมหาวิหาร จงั หวัดชลบรุ ี
พมิ พเ์ ผยแผเ่ ปน็ ธรรมทาน
ห้ามจ�ำหนา่ ย
พมิ พ์คร้ังที่ ๑ : พฤษภาคม ๒๕๖๓
จำ� นวน : ๑,๐๐๐ เลม่
จดั พมิ พ์โดย : คณะศิษยานศุ ษิ ย์
พิมพ์ท ี่ : บรษิ ทั ศิลป์สยามบรรจุภณั ฑ์และการพมิ พ์ จ�ำกัด
Tel. ๐-๒๔๔๔-๓๓๕๑-๒ Fax. ๐-๒๔๔๔-๐๐๗๘
E-mail: [email protected]
ค�ำนำ�
ท่านอาจารย์มักสอนบรรดาศิษย์บ่อยครั้ง ให้ลองกักขัง
ตัวเองไว้ในห้องไม่ให้ออกไปไหนทั้งวัน ท่านว่าให้ต่อสู้กับกิเลส
ความอยากของใจ
เมื่อถึงคราวถูกกักล็อคดาวน์จากโควิด ไม่สามารถไปวัดได้
จึงเข้าใจถึงการฝึกฝนตนในข้อนี้ ภัยของใจจากโควิดจึงคลาย
ร้อนรมุ่ ลงได้เมอ่ื ไดฟ้ ังธรรมหนา้ กุฏิทุกๆ สี่วัน ประจกั ษ์ใจแล้ววา่
ช่อื วา่ ธรรมของพระพุทธเจ้าแสดง ณ กาลใด สถานทใ่ี ด ไมว่ า่ จะ
เปน็ ศาลาใหญ่ จุลศาลา หรอื หนา้ กฏุ ิ “รสแห่งธรรมย่อมช�ำนะรส
ทั้งปวง”
คณะศษิ ยานศุ ิษย์
4
ขอ้ ความแจง้ ใหท้ ราบ
คิดว่าเร่ืองที่เราจะกลับไปท�ำแบบเดิมน้ี (การแสดง
ธรรมบนเขาชีโอน) คงจะต้องเป็นเร่ืองท่ียังต้องรอคอย
อกี นาน เพราะถา้ เรอื่ งโรคนี้ (โรคโควดิ -๑๙) มนั ยงั ไมส่ น้ิ สดุ ลง
โอกาสท่ีเราจะมาอยู่ใกล้ๆ กันเพื่อจะมาฟังเทศน์ฟังธรรม
เหมอื นทบี่ นเขานี้ มนั จะทำ� ให้โรคไมม่ วี นั หมด ถา้ มใี ครคนใด
คนหนง่ึ มีเช้อื มาตดิ มาแพรโ่ ดยที่ไม่รูส้ ึกตวั แล้วท่ขี า้ งบน
ถึงแม้จะกว้าง แต่บางวันคนมาเยอะ คนก็ต้องน่ังใกล้กัน
เวลาเดินสวนทางอะไรกัน แล้วจะให้มาคอยจัดระเบียบ
มันก็ค่อนข้างที่จะยุ่งยากล�ำบาก แล้วที่น่ังที่มานั่งของ
แต่ละคน ถ้าใช้ของส่วนรวมแล้วก็ไม่รู้ว่าคนไหนนั่งแล้ว
มีเช้ือหรือไม่มีเช้ืออีก ถ้าน่ังเสร็จก็ต้องมาฆ่าเชื้อกันอีก
มนั ก็เลยจะเปน็ เรอ่ื งเปน็ ราวพอสมควร
5
ฉะนน้ั คดิ วา่ เราเอาทางออนไลนก์ นั ดกี วา่
สมยั นเ้ี ขาใชแ้ บบผา่ นทางออนไลนก์ นั ผา่ นทาง
อนิ เทอรเ์ นต็ ผา่ นทางมอื ถอื กนั ฟงั เทศนฟ์ งั ธรรม
ท่ีนี่หรือฟังเทศน์ผ่านมือถือมันก็เหมือนกัน
อยู่ท่ีเราอยู่ที่คนฟัง ถ้าฟังเข้าใจแล้วน้อมน�ำ
เอาไปปฏิบัติได้มันก็ได้ผลเหมือนกัน ทีนี้มัน
อาจจะยากตรงหาที่ปฏิบัติเท่านั้น หาท่ีวิเวก
เพ ร า ะ เ ดี๋ ย ว นี้ ที่ ไห น เ ข า ก็ ไ ม ่ อ ย า ก ให ้ ค น
แปลกหน้าเข้าไป ใครอยู่ที่ไหนเขาก็จะให้อยู่
ที่น่ันไป เพราะไม่รู้ว่าไปแล้วจะเอาเชื้อไปแพร่
หรือไม่ นอกจากว่าทุกคนมีการตรวจเชื้ออยู่
เรอ่ื ยๆ รูว้ ่ามีเชอ้ื หรือไม่มเี ชอ้ื แตไ่ ม่มอี ะไรจะดี
เทา่ กบั การไดม้ วี คั ซนี ถา้ มวี คั ซนี เมอ่ื ไร ทกุ คน
ฉีดวัคซีนปั๊บ มีภูมิคุ้มกันโรค ทีนี้มีใครมีเช้ือ
มาแพรย่ งั ไงก็ไมต่ ดิ กม็ หี ลายประเทศพยายาม
ที่จะทดสอบวัคซีนกัน ข่าวล่าสุดไม่รู้จริง
หรอื เปลา่ ทางมหาวทิ ยาลยั Oxford เขากำ� ลงั
ทดลองวัคซีนท่ีเขาคิดว่าอาจจะเอามาใช้ได้
ภายในเดือนกันยายน เน่ืองจากว่าเขาได้ท�ำ
วิจัยเร่ืองวัคซีนเก่ียวกับเร่ืองโรคหวัดนี้มา
ล่วงหน้าก่อนแล้ว เพียงแต่เขามาปรับเอาเช้ือ
ตัวใหม่นี้เข้ามา ฉะนั้นเขาอาจจะลดขั้นตอน
ของการผลิตวัคซีนออกมาได้ โดยปกติเขาว่า
ตอ้ งใชเ้ วลาปคี รง่ึ ถงึ สองปถี งึ จะมวี คั ซนี ทจี่ ะเอา
6
7
8
มาใช้ เพราะเขาตอ้ งทดสอบใหแ้ นใ่ จวา่ ใช้ไดผ้ ลและก็ไมเ่ ปน็
อนั ตรายตอ่ คน ไม่ใชไ่ ปใชแ้ ลว้ เดีย๋ วโรคตดิ มากบั วัคซีนอีก
ทนี ีก้ ย็ ง่ิ ยุ่งไปใหญ่
แต่ก็ขอให้เราใจเย็นๆ เราก็อยู่ของเราไป ตอนน้ีเรา
กร็ ้วู ธิ ที มี่ ันจะมาแพร่ ส่วนใหญก่ แ็ พร่ออกมาจากทางปาก
ทางจมูกเราน่ีแหละ ดังนั้นเราก็เลยต้องใส่หน้ากากกัน
คดิ วา่ ชว่ ยกนั ถงึ แมเ้ ราไมเ่ ปน็ หรอื คดิ วา่ เราไมเ่ ปน็ เราก็ไมร่ ู้
ว่าเราเป็นหรือเปล่า คนอ่ืนเขาอาจจะรับเช้ือจากเราโดยที่
เขาไมร่ ู้สึกตัวก็ได้ นอกจากถ้าเราอยหู่ า่ งกัน อยา่ งตอนน้ี
นั่งอยู่กันห่างกัน ตอนน้ีก็คิดว่าพอท่ีจะไม่ใส่หน้ากากได้
แต่ถ้าต้องเข้าไปเดินในสถานที่ชุมชน เพราะชีวิตจะต้อง
ดำ� เนนิ ต่อไป ต่อไปเขากจ็ ะเร่ิมเปดิ ใหอ้ อกไปท�ำมาค้าขาย
ทำ� มาหากนิ ไปซอื้ ขา้ วซอ้ื ของได้ แตอ่ าจจะตอ้ งมมี าตรการ
ควบคุมปอ้ งกัน เช่น ใสห่ น้ากาก แลว้ ยนื เข้าแถวกห็ ่างกัน
๖ ฟตุ หรอื ๒ เมตร แลว้ กพ็ ยายามเชด็ มอื อยเู่ รอ่ื ยๆ เชด็ มอื
ล้างมือ เวลาที่จะรับประทานอาหาร หรือเวลาท่ีจะมีเอา
อะไรเขา้ ปาก นก่ี จ็ ะชว่ ยลดการแพรไ่ ดแ้ ตม่ นั ไมห่ มด เขาวา่
ประสบการณ์ที่ผ่านมาพอรอบแรกมันลดลงปั๊บ ก็จะเกิด
การประมาทชะลา่ ใจ เรม่ิ เกดิ การขเี้ กยี จทจี่ ะใสห่ นา้ กากกนั
เริ่มขี้เกียจที่จะยืนห่างกัน เพราะนิสัยความเคยชินมันก็
อยากจะกลับไปท�ำตามความเคยชิน แล้วมันก็จะท�ำให้
เกิดการแพร่โรคระบาดรอบท่ี ๒ ขึ้นมาได้ แล้วแรงกว่า
รอบแรกด้วย เช่น ประเทศสิงคโปร์ ตอนต้นน้ีเขาคิดว่า
9
เอาอยแู่ ลว้ แตก่ ม็ รี อบท่ี ๒ ขนึ้ มา ประเทศญป่ี นุ่ กเ็ หมอื นกนั
ตอนต้นก็คิดว่าเอาอยู่แล้ว ฉะน้ันเราก็ต้องเอาบทเรียน
และประสบการณ์ของเขาเอามาสอนเรา พวกเราโชคดีที่
เรามปี ระเทศอ่นื เขามปี ระสบการณก์ อ่ นเรา เราก็หดั เรียน
รู้ไว้ ให้เอาความไม่ประมาทน่ีแหละเป็นตัวด�ำเนินวิธีชีวิต
ของพวกเรา อยา่ ประมาท อย่าไปปลอ่ ยปละละเลยวธิ ีการ
ต่างๆ ท่ีเราใช้ป้องกัน อย่าไปคิดว่าไม่จ�ำเป็นแล้ว มีโรค
ระบาดนอ้ ยแล้ว แต่น่เี ป็นเพยี งสถิติทเ่ี ขาวัดได้ แต่ตัวเช้อื
โรคจริงๆ น้ี ในกลุ่มของเราน้ีอาจจะมีคนใดคนหนึ่งมีอยู่
10
ก็ไดแ้ ต่ไมม่ อี าการ เมอ่ื เช้านค้ี ยุ กับหมอเขาก็บอกวา่ มคี น
๔ คนมาจากเมืองนอก ไม่มีอาการ แตเ่ ขาตรวจแล้วมเี ชอ้ื
ไมม่ อี าการเลย เขากเ็ ลยตอ้ งกกั ตวั ไวแ้ ละกค็ อยตรวจดเู ชอ้ื
อยเู่ รอื่ ยๆ กอ่ น จนกวา่ ไมม่ เี ชอื้ เหลอื อยแู่ ลว้ เขาถงึ จะปลอ่ ย
ให้กลับไปบ้านได้
อนั นกี้ เ็ ปน็ การพดู ชว่ งหยดุ พกั พดู เรอ่ื งเบาๆ ทางธรรมะ
แต่อาจจะหนักทางโลกทางร่างกาย แตถ่ ้าไดพ้ ดู แล้ว ผ้ฟู งั
ก็อาจจะได้ความรู้บ้าง จะได้ไม่ประมาทกัน อย่าไปคิดว่า
หมดแลว้ เดยี๋ วจดั งานเลย้ี งไดแ้ ลว้ จะมวี นั เกดิ แลว้ กร็ อไวก้ อ่ น
เดยี๋ วแทนท่จี ะจดั วนั เกิดจะได้ไปจัดวนั ตาย จดั วนั เกิดวนั นี้
เดี๋ยวอีก ๖ เดอื นขา้ งหน้าอาจจะได้ไปจัดวนั ตายก็ได้ นใี่ ห้
คิดถึงผลกระทบท่ีจะตามมาจากการกระท�ำของเราในวันน้ี
เพราะมนั ไม่ไดเ้ กดิ ขึ้นปบุ๊ มนั ท�ำปบุ๊ ไม่ไดเ้ กดิ ขนึ้ ปั๊บข้นึ มา
ทนั ที
11
12
เรือ่ งการบิณฑบาต
ขอยำ�้ อกี ครง้ั หนง่ึ เรอื่ งบณิ ฑบาต จะเรมิ่ ออกบณิ ฑบาต
ใหม่ในวันที่ ๑ พฤษภาคม ได้รับอนุมัติไฟเขียวจากทาง
หมู่บ้านแล้ว ก็จะได้กลับไปท�ำกิจวัตรของนักบวชต่อไป
พระพุทธเจ้าให้ความส�ำคัญเรื่องบิณฑบาตเป็นอย่างยิ่ง
เพราะเป็นประโยชน์ท้ังพระและทั้งฆราวาสผู้ ใส่บาตร
ฆราวาสจะได้ทำ� บุญ ท�ำบญุ แบบสบายใจ ม่นั ใจ เพราะรู้วา่
ท�ำบุญกับคนดี ท�ำบุญกับคนที่สร้างประโยชน์ให้กับโลก
ไม่มีใครสร้างประโยชน์ให้กับโลกได้ดีเท่ากับพระสงฆ์
มพี ระพทุ ธเจา้ เปน็ องคแ์ รก ถา้ ใครปฏบิ ตั ไิ ดแ้ บบพระพทุ ธเจา้
หรือแบบพระสาวกของพระพุทธเจ้าน้ี ท่านไม่ได้ท�ำ
ประโยชน์ให้กับตนเองเท่าไรเลย เมื่อเปรียบเทียบกับ
ประโยชน์ท่ีท่านท�ำให้กับโลก ประโยชน์ของท่านเป็น
ประโยชน์ทางจิตใจ ใจท่านหลุดพ้นจากความทุกข์แล้ว
13
ท่านไม่ต้องท�ำอะไรต่อไป แต่ท่านมาท�ำประโยชน์ให้กับ
ทางโลก ทง้ั ดา้ นทางธรรมและทางสงเคราะห์โลก ทางธรรม
กส็ อนใหผ้ ทู้ ไี่ มร่ เู้ รอ่ื งของการเวยี นวา่ ยตายเกดิ ของดวงจติ
ดวงวิญญาณ เรียนรเู้ ร่อื งบญุ เรอื่ งบาป จะได้เรียนรู้และจะ
ไดก้ ระทำ� ในสงิ่ ทค่ี วรกระทำ� เพอ่ื ทจี่ ะยกระดบั ของจติ ใจใหม้ ี
ความสขุ มคี วามเจรญิ เพมิ่ มากขนึ้ ทา่ นทำ� ประโยชนเ์ หลา่ น้ี
ใหก้ บั โลก นอกจากนัน้ เงินทองขา้ วของตา่ งๆ ทท่ี ่านได้รับ
มาจากญาตโิ ยมทท่ี ำ� บญุ สว่ นทเี่ กนิ ทท่ี า่ นจะใชป้ ระโยชน์ให้
เกดิ กบั ศาสนาได้ ทา่ นก็โอนใหก้ บั ทางโลกไปชว่ ยเหลอื ทาง
โลกไปแลว้ แตก่ รณี เชน่ ตอนนเ้ี หน็ ทางวดั ทางพระออกมา
ท�ำอาหารแจกญาติโยมพี่น้อง แจกข้าวสารอาหารแห้ง
แจกเครอ่ื งไมเ้ ครอ่ื งมอื อะไรตา่ งๆ หรอื หนา้ กากอะไรตา่ งๆ
เหลา่ น้ี ฉะนนั้ ผทู้ ไ่ี ดท้ ำ� บญุ ใสบ่ าตรกบั พระนจี้ ะไดป้ ระโยชน์
สองทาง คอื ได้ทางจิตใจ ได้ความสุขความอ่ิมใจ ได้บญุ ที่
จะยกระดับจิตของตนให้เป็นเทวดา แล้วก็ยังได้สนับสนุน
ในการช่วยเหลือโลกที่เราอยู่ร่วมกันไม่ให้รู้สึกว่าถูก
ทอดทิ้ง คนท่ีทุกข์ยากล�ำบากก็จะได้รับการช่วยเหลือ
เพราะพระทา่ นก็ไมร่ จู้ ะเอาขา้ วของเงนิ ทองไปใชอ้ ะไร เพราะ
สิ่งที่ท่านมีคือธรรมในใจของท่านน้ีมันมีคุณค่ามหาศาล
กวา่ ทรพั ยส์ มบตั ขิ า้ วของเงนิ ทองตา่ งๆ ทไี่ ดร้ บั จากศรทั ธา
ญาติโยม ท่านก็เอามาแบ่งปันมาช่วยเหลือผู้ท่ีตกทุกข์
ได้ยากเดือดรอ้ นกนั ไป
14
น่ีคือท�ำไมพระพุทธเจ้าถึงให้ความส�ำคัญว่าต้อง
บณิ ฑบาต อยา่ งในพทุ ธกจิ ๕ คอื การบณิ ฑบาต แลว้ อกี ๔ กจิ
ก็คอื การสอนผอู้ ืน่ สอนให้ธรรมะแก่ผูอ้ ่นื การบิณฑบาต
ของพระจึงเรียกว่าเป็นการโปรดสัตว์ ไม่ได้เป็นการไป
เป็นขอทาน เป็นการไปเปิดโอกาสให้สัตว์โลกได้มีโอกาส
พัฒนาจิตใจของตนให้ดีข้ึนให้สูงขึ้น ให้มีความสุขมากข้ึน
พระพทุ ธเจา้ จงึ ให้ความสำ� คัญต่อการบิณฑบาต สอนไว้ใน
หลายทด่ี ว้ ยกนั สอนใหก้ บั พระใหม่ พระทบี่ วชใหม่ สงิ่ แรก
ทที่ า่ นบงั คบั ใหผ้ บู้ วชใหก้ บั พระคอื พระอปุ ชั ฌายน์ ต้ี อ้ งสอน
15
คือกิจท่พี ึงกระทำ� ๔ ข้อด้วยกนั กค็ อื การออกบณิ ฑบาต
เล้ยี งชพี ไมไ่ ดส้ อนให้ไปนั่งกินตามร้านอาหาร ไม่ให้ไปรอ
กจิ นมิ นตข์ องญาตโิ ยม สอนใหบ้ ณิ ฑบาตเปน็ วตั ร เพราะวา่
เป็นการฝึกฝนอบรมของนักบวชด้วย นักบวชจะได้ไม่
เกยี จครา้ น จะไดร้ จู้ กั พง่ึ ตวั เอง แลว้ กจ็ ะไดร้ จู้ กั ความมกั นอ้ ย
สันโดษ ให้ยินดีตามมีตามเกิด ได้มากได้น้อย ได้ดีไม่ดี
ถ้ากินเพื่อเลี้ยงปากเล้ียงท้องได้ก็พอ จบ ไม่ส�ำคัญว่า
จะถูกปากถูกใจหรือไม่ ถ้ากินแบบฆราวาสก็มักจะกินแล้ว
ต้องถูกปากถกู ใจด้วย วันนจ้ี ะเลือกกินอะไรดี คิดก่อนแลว้
คดิ ไวแ้ ลว้ วา่ จะไปกนิ อะไรกนั สำ� หรบั พระนไี้ มม่ สี ทิ ธท์ิ จี่ ะคดิ
ดซี ะอกี ไมต่ อ้ งมาคดิ ไมต่ อ้ งมากงั วล ไมต่ อ้ งมาดใี จ ไมต่ อ้ ง
มาผดิ หวงั พอคดิ แลว้ อยากจะกนิ ปบ๊ั พอไปถงึ เวลานน้ั แลว้
เขาปิดซะกอ่ นน้ี ไปซื้อก็ไม่ไดก้ นิ ขน้ึ มากผ็ ิดหวังอกี ฉะนนั้
กนิ ตามมีตามเกิด
แล้วก็ไม่ให้ขี้เกียจ การบิณฑบาตก็ให้ถือเป็นการ
ปฏิบัติธรรม เป็นเหมือนการเดินจงกรม เดินบิณฑบาต
ก็ให้มีสติอยู่ทุกระยะของการย่างเท้าของการเปิดฝาบาตร
ของการรับบาตร ไม่ให้ใจลอยไปในเรื่องราวต่างๆ ทั้งใน
อดีตหรือในอนาคต ก็จะได้เป็นการปฏิบัติธรรมไปในตัว
ทา่ นเลยสอนพระใหมใ่ หถ้ อื การบณิ ฑบาตเปน็ กจิ วตั รประจำ�
แลว้ กย็ ังสอนในธุดงค์ ๑๓ ใหถ้ ือขอ้ การบิณฑบาตเป็นวตั ร
เพราะว่าบางทีหลังจากบวชไปแล้วมีคนรู้จักเยอะ คนก็
16
17
18
อยากจะอ�ำนวยความสะดวกความ
สบายให้ กอ็ าจจะนมิ นต์ไปฉนั ทบี่ า้ นบา้ ง
หาอาหารมาถวายที่วัดบ้าง ก็อาจจะ
ท�ำให้ไม่เห็นความจ�ำเป็นว่าจะต้อง
ไปบิณฑบาต พระพุทธเจ้าก็เลยต้อง
สอนว่าให้ถือการบิณฑบาตน้ีเป็นการ
ฆ่ากิเลส เป้าหมายหลักที่แท้จริง
ของการบิณฑบาตน้ีไม่ได้อยู่เพ่ือ
การเล้ียงปากเลี้ยงท้อง แต่เป็นการ
เพื่อฆา่ กิเลสความมักมาก ความโลภ
ความไม่มีสันโดษมักน้อย ความ
เกียจคร้าน อันนี้เป็นตัวท่ีจะขัดขวาง
การเจริญก้าวหน้าในธรรมขั้นต่างๆ
พอบิณฑบาตแล้วมันจะไม่ขี้เกียจ
ฉันเสร็จแล้วก็ไปเดินจงกรมต่อได้
มีก�ำลังวังชา ถ้าไม่ได้บิณฑบาต
ฉันเสร็จแล้วก็ ไม่มีแรงจะเดิน
จะหาแต่เตียงจะหาแต่หมอนต่อ
ดงั นน้ั พระพทุ ธเจา้ จึงใหค้ วามสำ� คัญ
ในเรอ่ื งการบณิ ฑบาต ดงั มกี ารบนั ทกึ
ไว้ใน ๓ อยา่ งดว้ ยกัน คอื ในพุทธกจิ
๕ ในกิจของพระที่บวชใหม่ และใน
ธดุ งควัตร ๑๓
19
ฉะนั้นการบิณฑบาตจึงถือว่าเป็นกิจวัตรส�ำคัญของ
พระปฏิบัติ พระป่า แต่พระอ่ืนไม่รู้นะ พระอ่ืนเขาอาจจะ
เห็นความส�ำคัญต่อการไปรับกิจนิมนต์มากกว่า เพราะ
ต้องเอาอกเอาใจศรัทธาญาติโยม แต่พระนี้เอาอกเอาใจ
ธรรมมากกว่า หลวงตาท่านเคยบอกไว้ ถ้าไม่เกรงธรรม
ธรรมกแ็ หลก ถา้ ไปเกรงใจคน ธรรมกแ็ หลก เมอื่ ไมเ่ กรงใจ
คน ต้องเกรงธรรม ถ้าการกระท�ำมันขัดกับหลักธรรม
อยา่ ไปท�ำ ถึงแมว้ า่ จะท�ำตามใจของคนอนื่ ก็ใหเ้ กรงธรรม
อยา่ ไปเกรงใจ เพราะถา้ ไปเกรงใจแลว้ ธรรมแหลก เหน็ ไหม
ถา้ ไมบ่ ณิ ฑบาต เดย๋ี วกส็ ง่ั อาหารมากนิ กนั แลว้ ผลเปน็ ยงั ไง
ก็อ้วนทางกาย ส่วนผลทางจิตใจ ทางจิตใจก็อ้วนด้วย
ความโลภ ความอยาก ความโกรธต่างๆ ความหลงต่างๆ
น่ีคือเรื่องของการบิณฑบาต หลวงปู่ม่ันท่านเป็น
ตวั อยา่ ง ตามทห่ี ลวงตาทา่ นเขยี นไว้ในประวตั ิ ทา่ นพยายาม
บณิ ฑบาตจนถงึ วาระสดุ ทา้ ยของชวี ติ พอทา่ นชราภาพมาก
ไม่สามารถเดนิ เข้าไปถงึ หมู่บ้านได้ ท่านก็เดนิ ไปคร่ึงทาง
ชาวบา้ นกอ็ อกมาพบทา่ นครงึ่ ทาง มาใสบ่ าตรตรงกลางทาง
พอต่อไปท่านไปตรงกลางทางไม่ไหว ไปได้แค่หน้าวัด
ชาวบ้านก็มาใส่ท่ีหน้าวัด ต่อไปท่านไปท่ีหน้าวัดไม่ไหว
กบ็ ณิ ฑบาตบนศาลา ไปใสบ่ าตรทา่ นบนศาลา ทา่ นพยายาม
รกั ษาขอ้ วตั รอนั นไี้ ว้ เพราะทา่ นเหน็ ความสำ� คญั โดยเฉพาะ
ทา่ นเป็นครเู ป็นอาจารย์ ท่านได้ทำ� ตัวเองเป็นตัวอยา่ งท่ดี ี
ใหก้ บั ลกู ศษิ ยล์ กู หา ถา้ ทา่ นไมท่ ำ� กจ็ ะไมม่ กี ารพดู เลา่ ใหเ้ รา
20
ได้ฟังกันในวันนี้ พวกเราก็อาจจะไม่เห็นความส�ำคัญของ
กจิ วตั รในเร่ืองการบิณฑบาตได้
21
22
ความเปน็ มาของการบณิ ฑบาต
ของพระวดั ญาณสังวรารามฯ
ขอเลา่ เรอื่ งการบณิ ฑบาตสายบา้ นอำ� เภอ ความเปน็ มา
ของการบิณฑบาตของพระวัดญาณฯ ในยุคแรกๆ มีพระ
จำ� นวนนอ้ ยกอ็ าศยั บณิ ฑบาตรอบบรเิ วณหมบู่ า้ น ชาวบา้ น
ทอ่ี ยรู่ อบบรเิ วณวดั ญาณสงั วราราม ตอ่ มามจี ำ� นวนพระเณร
เพ่ิมมากขนึ้ อาหารที่ไดจ้ ากบณิ ฑบาตไม่พอเพียง สมเด็จ
พระญาณสังวรฯ สมเด็จพระสังฆราช ก็เลยปรึกษากับ
คณะสงฆ์ โดยมีพระอาจารย์หวันเป็นหัวหน้าคณะสงฆ์
พระอาจารยห์ วนั นเ้ี ปน็ พระปฏบิ ตั สิ ายหลวงปมู่ น่ั เปน็ ศษิ ย์
ของพระอาจารย์ขาว (หลวงปูข่ าว) วัดถ�ำ้ กลองเพล สมเดจ็
ท่านก็เสนอว่า ท�ำโรงครัวไหม พระอาจารย์หวันท่านก็
บอกว่า บณิ ฑบาตดกี วา่ เพราะพระปฏบิ ตั นิ ีถ้ ือธดุ งควัตร
23
24
ข้อบณิ ฑบาต แลว้ พอดมี ีชาวบ้านบ้านอ�ำเภอ โดยหวั หนา้
คอื ผู้ใหญอ่ เู๋ ปน็ ผู้ใหญบ่ า้ น และเพอื่ นชอื่ โยมเลยี บ สามขี อง
โยมแมว มีศรัทธาในข้อวัตรปฏิบัติของพระอาจารย์หวัน
เปน็ พระปา่ และเปน็ ผทู้ สี่ ง่ั สอนใหเ้ ขาไดร้ จู้ กั วธิ ปี ฏบิ ตั ธิ รรม
พาเขาข้ึนไปสร้างส�ำนักสงฆ์บนเขาชีโอน มีศรัทธาขอ
นิมนต์ให้พระวัดญาณฯ ไปบิณฑบาต พอดีโยมเลียบนี้
กม็ รี ถโดยสาร รถสองแถว กเ็ ลยอาสาพาพระไปบณิ ฑบาต
ท่ีบ้านอ�ำเภอ นี่คือท่ีมาของการไปบิณฑบาตท่ีบ้าน
อ�ำเภอ ซ่ึงจ�ำได้ว่าเริ่มต้นอยู่ประมาณปี ๒๕๒๖ พอดี
ตอนนั้นเราได้มาพักอยู่ชั่วคราวเป็นครั้งแรก ก็เลยได้
ประสบได้เห็นเร่ืองของการบิณฑบาตสายบ้านอ�ำเภอ
ต่อมาชาวบ้านอื่นก็ศรัทธา ชาวบ้านชากแง้วก็นิมนต์
ให้ไปบิณฑบาตชากแง้ว ชาวบ้านบางเสร่ก็นิมนต์ให้
ไปบางเสร่ ชาวบ้านสัตหีบก็นิมนต์ให้ไปบิณฑบาต
ที่สตั หีบ ชาวบา้ นท่ีกิโล ๑๐ กน็ ิมนต์ให้ไปบณิ ฑบาต น่คี อื
ท่ีมาของสายบิณฑบาตต่างๆ ของวัดญาณฯ ท่ีเป็นอยู่ใน
ขณะน้ี
25
พระธรรมเทศนา โดยท่านพระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วดั ญาณสังวรารามฯ จังหวดั ชลบรุ ี
วนั ท่ี ๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๓
การฟงั เทศนฟ์ ังธรรม การศกึ ษาธรรมะ จะทำ� ใหเ้ รา
ฉลาด ให้ผู้ศึกษาผู้ฟังได้เรียนรู้ในเร่ืองที่ไม่เคยเรียนรู้
มาก่อน เรื่องที่รู้แล้วก็อาจจะเกิดความเข้าใจดีขึ้นไปตาม
ล�ำดับ เรื่องท่ีพวกเราไม่รู้กันคือเรื่องอะไร ก็คือเร่ืองที่
เรามาเกิดกันท�ำไม มีใครรู้บ้างไหมว่าเรามาเกิดกันท�ำไม
มาเกิดแล้วก็ต้องมาด้ินรนต่อสู้เลี้ยงปากเล้ียงท้องหาเงิน
หาทองมายงั ชพี แลว้ พอมเี งนิ ทองเหลอื กนิ เหลอื ใชก้ เ็ อาไป
หาความสุขกนั ซอ้ื ข้าวซอ้ื ของ ท�ำอะไรตา่ งๆ ท่อี ยากจะทำ�
นอกนน้ั ก็ไปมคี รอบครวั ไปมสี ามไี ปมภี รรยา มบี ตุ รมธี ดิ า
แล้วก็ต้องมาดิ้นรนต่อสู้กับการมีครอบครัวอีก แล้วพอ
27
28
สามารถเลย้ี งดคู รอบครวั ได้ มกี ำ� ลงั มฐี านะดี ก็ไปหาเงนิ ทอง
มาเพ่ิมมากข้ึน หรือถ้าอยากจะมีอ�ำนาจวาสนาก็ไปหา
ต�ำแหน่งอะไรต่างๆ ไปเป็นผู้บริหารของประเทศในระดับ
ต่างๆ ต้ังแตผ่ ู้ใหญ่บ้าน กำ� นัน ขึ้นไป นายอ�ำเภอ ผวู้ า่ ฯ
แลว้ ก็ไปเปน็ รฐั มนตรี ไปเปน็ นายกรฐั มนตรี ไปเปน็ ผแู้ ทน-
ราษฎร นคี่ อื สงิ่ ตา่ งๆ ทพ่ี วกเราทม่ี าเกดิ กนั นม้ี าทำ� กนั ก็ได้
สุขบ้างทุกข์บ้างสลับกันไป แล้วในที่สุดร่างกายก็ต้องแก่
เจบ็ ตายไป แลว้ ส่งิ ต่างๆ ที่หามากนั ได้แทบเป็นแทบตาย
กส็ ญู หายไปหมด สว่ นผตู้ ายก็ไมร่ เู้ หมอื นกนั วา่ จะไปไหนตอ่
หรอื ไม่ ข้ึนอยูก่ ับว่ามคี วามเชือ่ ในเรื่องจติ วญิ ญาณหรือไม่
ผู้ที่ไม่มีความเชื่อในเรื่องของจิตวิญญาณ ก็คิดว่าพอ
ร่างกายตายแลว้ ชีวิตของตนกส็ น้ิ สุดลง ไมม่ ีอะไรตามมา
ตอ่ ไป ในเมอ่ื รา่ งกายเปน็ ตวั ตนเปน็ ตวั เรา เมอ่ื รา่ งกายมนั
สิ้นสดุ ลง เรากต็ ้องสิ้นสดุ ลงไปกับร่างกาย น่ีคือความเหน็
ของผู้ท่ีไม่เช่ือเรื่องจิตวิญญาณ ส่วนอีกพวกหน่ึงนี้มี
ความเชื่อในเรื่องจิตวิญญาณ เชื่อว่าจิตน้ีไม่ได้ตายไป
กับร่างกาย จิตน้ีมาเกาะกับร่างกายตอนท่ีมีการก่อร่าง
สร้างตัวของร่างกายข้ึนมา แล้วพอร่างกายคลอดออกมา
เจริญเติบโต ก็ใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือไปท�ำมาหากิน
ไปหาลาภ ยศ สรรเสรญิ ไปหาความสขุ ตา่ งๆ จากรปู เสยี ง
กล่ิน รส โผฏฐัพพะ ชนิดต่างๆ พวกนี้ก็เช่ือว่าหลังจาก
ท่ีร่างกายตายไปแล้ว จิตวิญญาณนี้ไม่ได้ตายไปกับ
29
ร่างกาย จิตที่เปน็ ผ้รู ผู้ ้คู ดิ ผสู้ ่งั ให้ร่างกายทำ� อะไรตา่ งๆ น้ี
กจ็ ะเปน็ ดวงวญิ ญาณไป แลว้ ดวงวญิ ญาณนก้ี จ็ ะไปสงู ไปตำ่�
ไปสุขไปทุกข์ ไปดีไปชั่ว ก็ข้ึนอยู่กับอ�ำนาจของบุญบาป
ทีไ่ ด้ท�ำไว้ในขณะท่ีมีชวี ติ อยู่ น่ีคือความเห็นของผ้ทู เี่ ชือ่ ใน
เรื่องของจิตวญิ ญาณ
ผู้ที่มีความเชื่อในเรื่องของจิตวิญญาณก็จะคิดถึง
เรื่องการท�ำบุญ การท�ำบาป ก็จะพยายามท�ำบุญเพราะ
เชื่อว่าการท�ำบุญน้ีจะน�ำความสุขความสบายมาให้กับ
จิตวิญญาณเวลาท่ีร่างกายตายไปแล้ว จะพยายามไม่
ทำ� บาป เพราะถา้ ทำ� บาปแลว้ จติ วญิ ญาณกจ็ ะทกุ ขย์ ากลำ� บาก
หลงั จากทจี่ ติ วญิ ญาณไมม่ รี า่ งกายแลว้ กเ็ ปน็ โลกทพิ ยน์ เ่ี อง
ทเี่ ปน็ ทอ่ี ยขู่ องจติ วญิ ญาณ โลกทพิ ยน์ กี้ ม็ สี ว่ นทม่ี คี วามสขุ
กเ็ รยี กวา่ สวรรคช์ นั้ ตา่ งๆ ซกี ทมี่ ที กุ ขก์ เ็ รยี กวา่ อบาย ผทู้ ท่ี ำ�
บาปมากกว่าท�ำบุญก็ต้องไปรับผลบาปท่ีอบาย ส่วนผู้ท่ี
ท�ำบุญมากกว่าท�ำบาปก็จะไปอยู่ในซีกของสวรรค์ ไปเป็น
เทพชนั้ ตา่ งๆ จนกวา่ อำ� นาจของบญุ และบาปนหี้ มดกำ� ลงั ลง
ก็จะไปเกิดใหม่ไปได้ร่างกายอันใหม่ แล้วก็กลับมาเป็น
มนษุ ย์ใหม่ มาทำ� มาหากนิ มาเลยี้ งปากเลย้ี งทอ้ งมาดนิ้ รน
ต่อสมู้ าหาความสุขทีม่ อี ยใู่ นโลกนี้อีกรอบหนง่ึ
น่ีคือความเชื่อของพวกที่เชื่อในเรื่องจิตวิญญาณว่า
ตายแล้วไม่สูญ ตายแล้วยังจะต้องไปต่อตามอ�ำนาจของ
บุญหรอื ของบาป แลว้ พอพน้ จากอำ� นาจของบุญหรอื บาป
30
31
คำ� ตอบของชีวติ
กค็ อื เกดิ มาเพ่ืออะไร
เกดิ มาเพ่ือหยดุ การเกดิ
และการจะหยดุ การเกดิ ได้
ก็ต้องสร้างบารมี
32
ก็จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ แล้วก็มาท�ำอย่างเดิมอีก
นี่คือความเช่ือของพวกที่เชื่อในเร่ืองจิตวิญญาณในระดับ
ท่ีเรียกว่าปุถุชน คือผู้ที่ไม่รู้ว่าจิตวิญญาณน้ีสามารถ
พัฒนาให้ข้ึนสูงไปกว่าระดับของปุถุชนได้ คือระดับของ
พระอริยบุคคล เร่ืองระดับของพระอริยบุคคลน้ีก็ต้องรอ
ให้มีคนฉลาดมาค้นพบเร่ืองระดับจิตของพระอริยบุคคล
บุคคลน้ันก็คือพระโพธิสัตว์ คือผู้ท่ีได้บ�ำเพ็ญบารมีต่างๆ
มาจนแก่กล้าพอท่ีจะมองทะลุเมฆหมอกของโมหะอวิชชา
ท่ีปดิ บงั ไม่ให้เหน็ ระดับจติ ของพระอรยิ บุคคล ก็จะได้ตรัสรู้
เป็นพระพุทธเจ้าข้ึนมา ผู้ที่รู้ว่าจิตนี้นอกจากระดับปุถุชน
ท่ีเวียนว่ายตายเกิดในไตรภพแล้วน้ี ยังมีจิตท่ีสูงกว่าจิตที่
ต้องเวียนว่ายตายเกิดในไตรภพคือจิตของพระอริยบุคคล
ต้ังแต่พระโสดาบันข้ึนไป พระโสดาบัน พระสกิทาคามี
พระอนาคามี พระอรหนั ต์ นคี่ อื ระดบั จติ ของพระอรยิ บคุ คล
ที่อยู่สูงกว่าจิตของปุถุชน เพราะว่าเป็นจิตที่สามารถหลุด
ออกจากการดงึ ดดู ของวฏั สงสาร ของไตรภพ ของโลกแหง่
การเวียนว่ายตายเกิดได้ หลุดออกไปตามขั้นตามล�ำดับ
ขั้นที่ ๑ คือขั้นพระโสดาบัน ท่านก็หลุดภายใน ๗ ชาติ
เปน็ อย่างมาก ทา่ นยงั ไม่ได้หลดุ ทันทีทันใด ทา่ นเริ่มหลุด
ออกไป ท่านได้ลดโอกาสท่ีจะกลับมาเวียนว่ายตายเกิดใน
ไตรภพเหลือไม่เกิน ๗ ชาติเป็นอย่างมาก แล้วพอท่าน
ยกระดับจิตให้ข้ึนสู่ระดับท่ี ๒ ของพระอริยบุคคล คือขั้น
พระสกิทาคามี จิตของท่านก็กลับมาเวียนว่ายตายเกิด
33
34
ในกามภพเพียงชาติเดียว แล้วพอยกระดับจิตขึ้นสู่ระดับ
ที่ ๓ ได้ จิตก็จะไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดในกามภพ
แต่จะไปเกิดในรูปภพหรอื อรูปภพ แลว้ พอไดข้ นั้ ที่ ๔ คือ
ข้นั พระอรหันต์ จิตกจ็ ะหลดุ ออกจากไตรภพอยา่ งสมบรู ณ์
ไมต่ ้องกลับมาเวยี นว่ายตายเกิดในกามภพ ในรูปภพ และ
ในอรูปภพอกี ตอ่ ไป ไปอยูท่ ่พี ระนิพพาน ซ่งึ เป็นทอี่ ยขู่ อง
พระพุทธเจา้ และพระอรหันตสาวกท้ังหลาย
น่ีคือระดับท่ีจิตทุกดวงสามารถท่ีจะยกระดับพัฒนา
ขึ้นไปจากระดับปุถุชนให้ข้ึนไปสู่ระดับพระอริยบุคคลได้
แต่การท่จี ะขึ้นไปได้นี้จะตอ้ งมีผู้บอกทาง ต้องมีผู้มาตรสั รู้
อริยธรรมคืออริยสัจ ๔ ท่ีจะเป็นเครอ่ื งมือทีจ่ ะปลดเปลือ้ ง
จิตของปุถุชนน้ีให้หลุดออกจากแรงดึงดูดของไตรภพได้
กจ็ ะหลดุ ไปเปน็ ขน้ั ๆ ขนั้ โสดาบนั ขน้ั สกทิ าคามี ขนั้ อนาคามี
และขน้ั อรหันต์ ตามข้นั ของการปฏบิ ัติ อันน้ีต้องมศี าสนา
พทุ ธ ตอ้ งมคี ำ� สง่ั คำ� สอน มพี ระพทุ ธเจา้ หรอื มพี ระอรยิ สงฆ์
สาวกเป็นผู้ชี้บอกทาง ถ้ามาเกิดในยุคที่ไม่มีพระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ในโลกน้ีก็จะไม่มีวันรู้ได้ด้วย
ตนเองว่าจิตวิญญาณของตนนี้จะหลุดออกจากไตรภพ
ได้อย่างไร แต่พอได้มาเกิดในยุคที่มีพระพุทธศาสนา
มพี ระพทุ ธเจา้ หรอื มพี ระธรรมคำ� สอน หรอื มพี ระอรยิ สงฆ์
สาวกองค์ใดองค์หน่ึง ก็จะสามารถเรียนรู้วิธีท่ีจะยกระดับ
จิตให้สูงขึ้นให้หลุดออกจากกองทุกข์แห่งการเวียนว่าย
ตายเกิดได้ ส�ำหรับผูท้ ไ่ี ดม้ าเกิดในยคุ ท่มี พี ระพุทธศาสนา
35
อย่างพวกเรานี้ พวกเราจึงมีค�ำตอบของค�ำถามท่ียาก
ต่อการหาคำ� ตอบวา่ เกิดมาทำ� ไม ถา้ ไมม่ พี ระพุทธศาสนา
ก็จะหาค�ำตอบไม่ได้ ก็จะต้องอยู่ไปท�ำไปตามความรู้สึก
นึกคิด ความรู้สึกนึกคิดของปุถุชนก็คือการหาความสุข
จากสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้ เช่น ลาภ ยศ สรรเสริญ
และรูป เสยี ง กลน่ิ รส โผฏฐพั พะชนิดตา่ งๆ แตก่ ็หาได้
ในกรอบจ�ำกัด ในกรอบของความสามารถของร่างกาย
พอร่างกายเจบ็ รา่ งกายแก่ ร่างกายตาย ก็จะไม่สามารถ
หาความสขุ ได้ กจ็ ะเปน็ ชว่ งทจี่ ะตอ้ งเจอกบั ความทกุ ข์ ดงั นน้ั
เม่ือเห็นความเป็นจริงของชีวิตเราแล้วพบว่าเมื่อเกิด
มาแล้วถ้ามามีร่างกาย นอกจากจะมีความสุขผ่านทาง
รา่ งกายแลว้ กจ็ ะตอ้ งมีความทกุ ขต์ ามมาด้วยทกุ คน ไมว่ า่
จะเกิดมารวยหรือจน มาใหญ่หรือไม่ใหญ่ก็ตาม ทุกคน
จะต้องเจอกับความทุกข์ของความแก่ ของความเจ็บ
ของความตาย ของการพลัดพรากจากส่ิงทเ่ี รารกั กนั และ
ตอ้ งมาทกุ ขก์ บั ภยั ตา่ งๆ ทม่ี ารงั ควานทมี่ าทำ� ใหจ้ ติ ใจนตี้ อ้ ง
ทกุ ขอ์ ยเู่ รอ่ื ยๆ ดงั น้ันการมาเกดิ นีจ้ งึ เปน็ การมาเจอความ
ทกุ ขม์ าหาความทกุ ขก์ นั ผทู้ ไ่ี มอ่ ยากจะเจอความทกุ ขน์ ร้ี วู้ า่
ตอ้ งไมม่ าเกดิ เทา่ นน้ั คอื พระพทุ ธเจา้ กบั พระอรหนั ตสาวก-
ทั้งหลาย ท่านเห็นด้วยปัญญาของท่านแล้วว่าการเกิดนี้
เป็นทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย การพลัดพรากจากกันนี้
เปน็ ทกุ ข์ ถา้ เกดิ แลว้ เจอความแก่ เจอความเจบ็ เจอความตาย
เจอการพลดั พรากจากกนั ทุกคน ถ้าไมอ่ ยากจะทกุ ข์ก็ตอ้ ง
ไม่มาเกิดเท่านั้น น่ีก็จะได้ค�ำตอบจากพระพุทธศาสนาว่า
36
เกดิ มาท�ำไม เกดิ มาเพือ่ ดับทุกข์นน่ั เอง การทจ่ี ะดบั ทกุ ข์
ต้องไม่กลับมาเกิดเท่าน้ันเอง น่ีแหละคือค�ำตอบของ
คำ� ถามที่คนบางคนอาจจะถามวา่ เกดิ มาทำ� ไม เกดิ มาแลว้
เดย๋ี วกต็ อ้ งตายไป ทำ� อะไรไดม้ ากไดน้ อ้ ยเทา่ ไร พอตายไปก็
หายไปหมด พอตายไปก็ไมร่ จู้ ะเกดิ อะไรขน้ึ ตอ่ มา ผทู้ ไี่ มเ่ ชอื่
เรื่องจิตวิญญาณก็คิดว่าตายไปแล้วก็สูญจบ ผู้ที่เช่ือเรื่อง
จิตวญิ ญาณกเ็ ชื่อวา่ ไปต่อ ไปสวรรค์ ไปนรก ตามอำ� นาจ
ของบุญของบาป แต่ผู้ที่ได้มาพบกับพระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์ ก็จะได้ความรู้เพิ่มเติมว่าตายไปแล้วน้ีไม่สูญ
ตายไปแลว้ นอกจากการไปนรกไปสวรรค์ ยงั มที ไ่ี ปอกี ทห่ี นงึ่
คือพระนิพพาน คือที่ๆ ไม่ต้องกลับมาเกิดแก่เจ็บตาย
อกี ตอ่ ไป เปน็ ทๆี่ ดที ส่ี ดุ ของจติ วญิ ญาณของสตั ว์โลกทกุ ชนดิ
ถา้ ตราบใดยงั มกี ารเกดิ อยใู่ นไตรภพอยู่ ตราบนนั้ กย็ งั ตอ้ ง
มีการแก่ การเจ็บ การตายอยู่เสมอ แต่ถ้าสามารถที่จะ
หลดุ ออกจากไตรภพได้ สามารถเขา้ สพู่ ระนพิ พานได้ จติ ก็
จะไมต่ ้องกลบั มาเจอกับการเกดิ แก่ เจบ็ ตาย อีกตอ่ ไป
ดังน้ันถ้าได้ศึกษาค�ำสอนของพระพุทธศาสนาแล้ว
ก็จะได้ค�ำตอบว่าการมาเกิดนี้ก็เพ่ือมาหยุดการเกิดนี่เอง
เพราะการเกิดเปน็ ทกุ ข์ ถา้ ไม่เกดิ ก็จะไมม่ ีทุกข์ ถ้ายังหยุด
การเกิดไม่ได้ก็จะต้องเจอความทุกข์ไปเร่ือยๆ เพราะพอ
ตายไปแลว้ กจ็ ะตอ้ งกลบั มาเกดิ ใหมอ่ กี เพยี งแตว่ า่ จะเกดิ ชา้
เกิดเร็วก็ข้ึนอยู่ที่บุญหรือบาปท่ีได้ท�ำไว้ว่ามากหรือน้อย
ต้องไปรับผลบุญผลบาปก่อนแล้วถึงจะกลับมาเกิดใหม่
37
พอมาเกิดแล้วก็ต้องมาทุกข์กับร่างกาย มาทุกข์กับภัย
ต่างๆ ทุกข์กบั ความแก่ ความเจบ็ ความตายต่อไป แต่ถ้า
ไดม้ าพบกบั พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ กจ็ ะไดร้ จู้ กั วธิ ที จ่ี ะ
ทำ� ใหด้ วงวญิ ญาณคอื จติ ใจไมต่ อ้ งกลบั มาเกดิ แก่ เจบ็ ตาย
อกี ตอ่ ไป และรวู้ า่ วธิ ที จ่ี ะทำ� ใหก้ ารไมก่ ลบั มาเกดิ แก่ เจบ็ ตาย
นที้ �ำอย่างไร ก็คือต้องทำ� ลายเหตทุ ี่ดงึ ให้จติ วญิ ญาณกลบั
มาเกดิ แก่ เจ็บ ตาย นัน่ เอง เหตทุ ด่ี ึงให้จติ วญิ ญาณกลบั
มาเกดิ แก่ เจบ็ ตาย กค็ อื ตณั หา ๓ ประการดว้ ยกนั เรยี กวา่
กามตัณหา ความอยากในกาม ก็จะดึงจิตวิญญาณให้มา
เกดิ ในกามภพ ภวตัณหา ความอยากมภี วะท่สี งบสุข กจ็ ะ
ดึงจติ วญิ ญาณให้มาเกดิ ในรปู ภพ วภิ วตัณหา ความอยาก
ทม่ี คี วามสขุ โดยไมม่ อี ะไร กจ็ ะทำ� ใหจ้ ติ วญิ ญาณกลบั มาเกดิ
ในอรปู ภพ มี ๓ ภพดว้ ยกันในไตรภพ
การที่จะท�ำให้ไม่ต้องกลับมาเกิดในไตรภพนี้ก็ต้อง
ท�ำลายตณั หาทงั้ ๓ นใ้ี หอ้ อกไปจากใจให้ไดแ้ ละเคร่ืองมือ
ที่จะท�ำลายนี้ พระพุทธเจ้าก็ได้ทรงบ�ำเพ็ญมาเป็นเวลา
อันยาวนานท่ีเรียกว่า บารมี ๑๐ พระโพธิสัตว์ คนที่
ต้องการที่จะยุติการเวียนว่ายตายเกิดและไม่มีใครสอน
ต้องไปบ�ำเพ็ญบารมีด้วยตนเองในแต่ละภพแต่ละชาติ
ท่มี าเกิด อย่างท่เี ราคงได้ยนิ เรือ่ งพระเจา้ ๑๐ ชาติ นคี่ ือ
ชาติต่างๆ ที่พระโพธิสัตว์ที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้าของ
พวกเรานี้ได้ทรงบ�ำเพ็ญบารมีชนิดต่างๆ เช่น ไปเกิด
เป็นพระมหาชนกก็ต้องบ�ำเพ็ญวิริยบารมี ไปเกิดเป็น
38
พระเวสสันดรก็บ�ำเพ็ญทานบารมี ดังน้ันผู้ที่ต้องการท่ีจะ
ยตุ กิ ารเวยี นวา่ ยตายเกดิ จำ� เปน็ ทจ่ี ะตอ้ งบำ� เพญ็ บารมตี า่ งๆ
เหมือนกับท่ีพระพุทธเจ้าของเราได้บ�ำเพ็ญมา เพราะถ้ามี
บารมีครบ ๑๐ ประการ บารมีเหล่านี้จะมีอ�ำนาจท่ีจะมา
ทำ� ลายความอยากทง้ั ๓ ประการ ความอยากทจี่ ะดงึ จติ ใจให้
มาเกดิ ในไตรภพได้ ความอยากในกาม ความอยากมคี วาม
สุขจากความสงบ ความอยากมีความสุขจากความสงบ
ที่เกิดจากความว่างเปล่า อันนี้ต้องท�ำลายมันด้วยบารมี
ต่างๆ ดังน้ันค�ำตอบของชวี ิตก็คอื เกดิ มาเพื่ออะไร เกดิ มา
เพ่ือหยุดการเกิดและการจะหยุดการเกิดได้ก็ต้องสร้าง
บารมี จงึ เปน็ ทม่ี าของคนตา่ งๆ ทสี่ รา้ งบารมกี นั คนบางคน
ก็สร้างเมตตาบารมี บางคนก็สร้างทานบารมี บางคน
ก็สร้างศีลบารมี บางคนก็สร้างเนกขัมมบารมี บางคน
ก็สร้างอุเบกขาบารมี บางคนก็สร้างปัญญาบารมี นี่คือ
บารมีต่างๆ ท่ีจะต้องสร้างขึ้นมาให้สมบูรณ์ เพราะถ้าได้
บารมีเหล่านี้แล้วก็จะมีก�ำลังที่จะหยุดความอยาก ท�ำลาย
ความอยากท้ัง ๓ ท่ีเป็นตัวท่ีคอยดึงจิตใจให้กลับมาเกิด
แก่ เจ็บ ตาย ในไตรภพอยู่เรอ่ื ยๆ ได้ และการท่ีจะสรา้ ง
บารมเี หลา่ นไี้ ดก้ จ็ ำ� เปน็ จะตอ้ งมบี ารมสี นบั สนนุ เครอื่ งมอื
สนบั สนนุ คอื อธษิ ฐานบารมี สจั จบารมี วริ ยิ บารมี และขนั ต-ิ
บารมี ถ้าไม่มีเคร่ืองมือเหล่าน้ีก็จะไม่มีก�ำลังท่ีจะไปสร้าง
เมตตาบารมี ทานบารมี ศลี บารมี และบารมอี น่ื ๆ ได้ จำ� เปน็
จะต้องมีอธิษฐานก่อน อธิษฐานคืออะไร คือความตั้งใจ
หรอื ความตัง้ เปา้ หมายของชีวิต ชีวติ น้ีเราเกดิ มาเพือ่ สร้าง
39
40
บารมตี า่ งๆ ตอ้ งตง้ั เปา้ หมายเอาไว้ จะตง้ั เปา้ หมายจะสรา้ ง
ทานบารมี เช่นจะใส่บาตรทุกวัน อยา่ งน้ีกเ็ รยี กวา่ เปน็ การ
ต้ังเป้าหมายเพ่ือจะสร้างบารมี ต้องมีความต้ังใจก่อน
ถ้าไม่มีความตั้งใจก็จะปล่อยให้ ใจไหลไปตามอารมณ์
ความรู้สึกนึกคิด วันไหนอยากจะใส่บาตรก็ใส่ วันไหน
ไมอ่ ยากจะใส่บาตรก็ไมใ่ ส่ บางวนั ขเ้ี กียจ บางวันไม่อยาก
จะลุกข้ึนมาใส่บาตรก็ไม่ใส่ แต่ถ้ามีอธิษฐานมีความตั้งใจ
ว่าจะใส่บาตรทุกวัน ยกเว้นไม่มีเงินท่ีจะซ้ือข้าวใส่ หรือ
เจบ็ ไข้ไดป้ ว่ ย คอื ถา้ เปน็ เหตสุ ดุ วสิ ยั นท้ี ำ� ไมไ่ ดเ้ ทา่ นนั้ แตถ่ า้
ท�ำได้นี้จะต้องท�ำให้ได้ น่ีคือเป้าหมายของการสร้างบารมี
เราต้องต้ังเป้าหมายขึ้นมาในใจของเราว่าต่อไปนี้เราจะท�ำ
เราจะสร้างบารมีชนิดนั้นชนิดนี้ข้ึนมา แล้วการที่จะท�ำให้
การต้ังเป้าหมายของเราไมล่ ม้ เหลว เราก็ตอ้ งมีสัจจบารมี
สจั จะกค็ อื ความจรงิ ใจ ไมห่ ลอกลวงตวั เอง ไมใ่ ชต่ งั้ เปา้ หมาย
ไว้แล้วก็ท�ำเป็นลืมไป ถึงเวลาใส่บาตรก็ลืมไป นี้แสดงว่า
ไมม่ คี วามจรงิ ใจ พอตง้ั แลว้ ลมื กเ็ หมอื นกบั ไมไ่ ดต้ ง้ั ก็ไมไ่ ดท้ ำ�
ไม่ได้สร้างบารมีตามท่ีควรจะสร้างกัน ฉะน้ันผู้ที่จะสร้าง
บารมีน้ีนอกจากต้องมีอธิษฐานคือความตั้งใจแล้วก็ต้องมี
สัจจะ คือความจริงใจ เพื่อที่จะได้ท�ำให้การตั้งอธิษฐานน้ี
แน่วแน่มัน่ คง ไม่ล้มเหลว
เรามักจะได้ยินค�ำสองค�ำนี้ไปควบคู่กัน ต้ังสัจจ-
อธิษฐาน มีสัจจะในการตั้งอธิษฐานของเราว่าจะท�ำอะไร
กต็ อ้ งทำ� ตามทไี่ ดต้ งั้ ไว้ ถงึ จะเรยี กวา่ สจั จะ ถา้ ตง้ั แลว้ ถงึ เวลา
41
เปล่ียนใจ เช่น ขอเอาเงินน้ีไปเท่ียวก่อน วันหลังค่อยมา
ใสบ่ าตร เปล่ียนใจ ถา้ มีสัจจะแลว้ ไมเ่ ปลย่ี นใจ ตัง้ แล้วต้อง
ท�ำตามที่ต้ังใจไว้ เหมือนคนบางคนนี้เวลาไปบนบานกับ
พระนกี้ เ็ หมอื นกนั ถา้ หายจากโรคภยั ไขเ้ จบ็ จะมาบวช ๓ เดอื น
พอหายแล้วลมื หรือวา่ ขอผอ่ นขอต่อรองทหี ลงั มาขอบวช
ทีละอาทิตย์ได้มั้ย ผ่อนส่งได้ไหม เวลาต้ังสัจจะเราพูด
อย่างน้ันด้วยหรือเปล่าว่าจะขอผ่อนส่ง หรือว่าเราจะบวช
๓ เดอื น แตพ่ อถงึ เวลาเขา้ จรงิ ๆ มาขอผอ่ นสง่ ขอบวชเปน็
ผา้ ขาวแทนได้ไหม ไม่บวชเป็นพระได้ไหม ก็เร่ืองของคุณ
คณุ เปน็ คนตงั้ เงอื่ นไขเอง แลว้ คณุ ไปเปลยี่ นเงอื่ นไข คณุ ก็
ไมม่ สี จั จะ คุณก็โกหกหลอกลวงตัวเอง อย่างนคี้ ุณก็จะท�ำ
อะไรไมส่ ำ� เรจ็ ฉะนน้ั เวลาคณุ ตงั้ สจั จะตงั้ เงอ่ื นไขขน้ึ มาแลว้
คุณต้องทำ� ตามเงือ่ นไขทีค่ ณุ ตงั้ ไว้ เรยี กว่าการมีสจั จะ
เหมือนพระพุทธเจ้าตอนที่นั่งอยู่ใต้โคนต้นโพธิ์
พระองค์ตั้งสัจจอธิษฐาน อธิษฐานไม่ได้ขอให้ตรัสรู้
อธษิ ฐานวา่ ขอใหภ้ าวนาเจรญิ สมถภาวนา วปิ สั สนาภาวนา
จนกว่าจะมีดวงตาเห็นธรรมขึ้นจนกว่าจะดับความทุกข์ที่
มอี ยใู่ นใจให้หมดไปได้ ถ้ายังไมบ่ รรลุ ถา้ เลือดในร่างกาย
มันจะเหือดแห้งก็จะปล่อยให้มันเหือดแห้งไป แต่จะไม่ลุก
จากท่ีนั่งอันน้ีไปเป็นอันขาด จะลุกก็ต่อเมื่อได้พบสิ่งท่ี
ต้องการแลว้ คอื ไดต้ รสั รู้ถงึ พระนิพพานแล้ว ได้หลุดพ้น
จากความทุกข์ต่างๆ แล้วเท่านั้น นี่แหละคืออ�ำนาจของ
สจั จอธิษฐาน ถ้าเราไมม่ สี ัจจอธษิ ฐาน ชีวิตเราก็จะโลเลไป
42
เหมอื นกบั เรอื ทไี่ มม่ หี างเสอื สงั เกตดู ถา้ นงั่ เรอื ไมม่ หี างเสอื
เรากจ็ ะบงั คับมันไม่ได้ ไม่มหี างเสอื ไมม่ ีพายไว้คอยบังคับ
มันก็จะไหลไปตามกระแสน�้ำ แต่ถ้าเรามีหางเสือ มีพาย
เรากส็ ามารถบงั คบั ใหเ้ รอื ไหลไปตามทศิ ทางทเ่ี ราตอ้ งการได้
ถึงแม้จะย้อนทวนกระแสของกระแสน้�ำก็ยังท�ำได้ แต่ถ้า
ไม่มีหางเสือ ไม่มีพายไว้คอยบังคับเรือ เราก็จะต้อง
ไหลไปตามกระแสน้�ำ ฉันใด ใจก็เหมือนกัน ถ้าใจไม่มี
สัจจอธิษฐาน ใจก็จะไหลไปตามกระแสของอารมณ์ที่
เปล่ียนไปเปล่ียนมา สามวันดีสี่วันไข้ เวลาอารมณ์ดีก็
ท�ำดีกัน เวลาอารมณ์ร้ายก็ท�ำเร่ืองราวต่างๆ ให้วุ่นวาย
ไปหมด อนั นก้ี จ็ ะไมไ่ ปในทศิ ทางใดทศิ ทางหนงึ่ ทำ� บญุ บา้ ง
ท�ำบาปบ้าง ยังสลับกันไปสลับกันมาอยู่ ก็จะไม่มีทาง
ท่ีจะออกจากไตรภพได้ จะออกจากไตรภพไปได้นี้ต้อง
ท�ำความดีอย่างเดียว ๑๐ ประการ ๖ ประการด้วยกัน
คือ เมตตาบารมี ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี
อเุ บกขาบารมี ปัญญาบารมี ตามลำ� ดับด้วย เพราะบารมี
เหลา่ นเี้ หมอื นบนั ได มคี วามยากงา่ ยตา่ งกนั และตอ้ งพง่ึ พา
อาศัยกัน บารมีอันแรกที่ต้องท�ำก่อนที่เราจะท�ำบารมี
เหล่านี้ นอกจากมีอธิษฐาน สัจจะแล้ว ก็ต้องมีวิริยะ
ความขยันหมั่นเพียร พอตั้งใจแล้ว มีสัจจะแล้ว แต่ท�ำ
แบบทีละเล็กทีละน้อย ไม่มีความขยัน อันน้ีก็จะไปไม่ถึง
เป้าหมาย เพราะเดย๋ี วตายกอ่ น ต้องมีวริ ยิ ะ มคี วามเพียร
บางทา่ นเพยี รแบบเนสชั ชกิ เลย ถอื ๓ อริ ยิ าบถ เพอื่ ทจ่ี ะได้
ไปถงึ จดุ หมายปลายทางใหเ้ รว็ ทสี่ ดุ ไมอ่ ยากจะเสยี เวลาให้
43
กบั การหลบั นอน การถอื อริ ยิ าบถนเี้ พอ่ื ทป่ี อ้ งกนั ไมใ่ หน้ อน
มากเกนิ ไป เพราะวา่ ถา้ เอนหลงั นอนแลว้ เดยี๋ วมนั หลบั ยาว
ก็ขอหลับอยู่ในท่านั่ง ท่าเดิน หรือท่ายืนน้ี มันก็จะหลับ
ไม่นาน ถ้าน่ังหลับเดี๋ยวคอพับ สักพักมันก็เมื่อยคอแล้ว
เดี๋ยวมันก็ต้องต่ืนข้ึนมาแล้ว ช่ัวโมงสองชั่วโมงก็ต้องลุก
ต้องต่ืนแล้ว แต่ถ้านอนน้ีนอนยาว ๕-๖ ชั่วโมง ๗-๘
ชวั่ โมงได้ ส�ำหรับผู้ท่ีมวี ิรยิ บารมีนี้จะเรง่ ความเพยี รตลอด
เวลา เพราะระลึกถึงความตายอยู่เรอ่ื ยๆ เพราะรู้วา่ ชีวิตนี้
ไมแ่ นน่ อน จะตายเมอื่ ไรนไี้ มม่ ใี ครรู้ จะมเี หตกุ ารณท์ จ่ี ะมา
ทำ� ลายชวี ติ นใ้ี นอนาคตนไี้ มม่ ใี ครรวู้ า่ จะมอี ะไรมา อยา่ งโรค
ระบาดท่มี ีในตอนนก้ี ็ไม่มใี ครคดิ วา่ มันจะมีมาก่อน อยูด่ ีๆ
มนั กม็ าหาเรากนั ฉะนน้ั ถา้ คนทไี่ มป่ ระมาทกจ็ ะเรง่ ความเพยี ร
อยตู่ ลอดเวลา กต็ อ้ งมวี ริ ยิ บารมสี นบั สนนุ สจั จะกบั อธษิ ฐาน
บารมี แล้วนอกจากวิริยบารมีแล้ว เวลาเร่งความเพียร
มันก็จะต้องเจอกับอุปสรรคเก่ียวกับความทุกข์ยากลำ� บาก
ก็ตอ้ งมขี ันติบารมมี าชว่ ย ถ้าไปเจอกำ� แพง ไม่มีขนั ตทิ ่จี ะ
เอาหัวชนก�ำแพง ไมม่ ีความอดทน ก็หยุดชะงักอยู่ตรงนั้น
ไปไมไ่ ด้ แตถ่ า้ มขี นั ตมิ คี วามอดทน เดย๋ี วกฟ็ นั ฝา่ อปุ สรรค
ทขี่ วางกั้นได้ เพราะถ้ามคี วามอดทนแล้วจะไมม่ คี �ำว่าถอย
จะไมม่ ีคำ� วา่ ยอมแพ้ จะสู้ไมถ่ อยนั่นเอง
นค่ี อื ผ้ทู ี่จะสร้างบารมีท่จี ะสร้างบารมตี ่างๆ นี้ จ�ำเปน็
ตอ้ งใชเ้ ครอ่ื งมอื ๔ ชนดิ นเ้ี ปน็ เครอ่ื งมอื บารมี ๔ ชนดิ น้ี คอื
อธษิ ฐานบารมี ตงั้ เปา้ สจั จบารมี ความจรงิ ใจกบั การตงั้ เปา้
44
45
วิริยบารมี ความขยันหม่ันเพียรที่จะท�ำตามที่ต้ังเป้าไว้
ขันติบารมี มีความอดทนต่อสู้กับความยากล�ำบากท่ีเป็น
อปุ สรรคของการดำ� เนนิ พอมบี ารมที งั้ ๔ นแ้ี ลว้ กส็ ามารถ
ที่จะเจริญเมตตาบารมีได้ ท�ำเจริญเมตตาบารมีก่อน
เพราะว่าเมตตาบารมีนี้เรามีกันอยู่แล้วในใจของพวกเรา
ทกุ คน เพยี งแตว่ า่ เมตตาของเรายงั ไมค่ รอบคลมุ เทา่ นนั้ เอง
ยังเป็นเมตตาแบบเลือกอยู่ คนไหนที่เรารักเราชอบเรา
เมตตาเขา แตค่ นไหนทเี่ ราเกลยี ดเราชงั นี้ เราเมตตาไมอ่ อก
ฉะนั้นเราก็ต้องมาแก้ตรงนี้เท่านั้นเอง ส่วนท่ีเรามีแล้ว
เราก็ท�ำต่อไป เราก็มีความเมตตากับคนท่ีเรารักคนท่ีเรา
ชอบอยู่แลว้
ฉะนน้ั การสรา้ งความเมตตามันไมย่ าก เรามีอย่แู ลว้
เพียงแต่ต้องขยายให้มันกว้างออกไป ต้องเมตตากับคน
ท่ีเราไม่ชอบให้ได้ เช่นคนท่ีท�ำให้เราโกรธท�ำให้เราเสียใจ
เราก็ต้องใช้การให้อภัย คือการไม่จองเวร เป็นการท�ำให้
เราสามารถแผ่เมตตาให้กับเขาได้ ถ้าเรายกโทษให้เขาได้
ไม่จองเวรจองกรรม เราก็จะไม่โกรธไมเ่ กลยี ดเขา เราก็จะ
มีความเมตตากับเขาได้ แล้วถ้าตอนน้ีเขาตกทุกข์ได้ยาก
ล�ำบาก ถึงแม้ว่าเขาอาจจะท�ำอะไรให้เราโกรธให้เราเสียใจ
แต่ถ้าเราให้อภัยเขาแล้ว เราก็ยินดีท่ีจะช่วยเหลือเขาให้
ความสุขกับเขา น่คี อื ขอ้ ที่ ๑ ทเี่ ราท�ำกนั เพราะมันไม่ต้อง
มีอะไร มนั มีอยใู่ นใจของเรา เรามเี มตตาอยแู่ ลว้ เพียงแต่
46
พัฒนาหรือขยายให้มันใหญ่โตข้ึน ให้มันกระจายไปเป็น
สพั เพ สตั ตา ให้ได้ สพั เพ สตั ตา แปลวา่ อะไร สตั วท์ งั้ หลาย
ท้ังปวง สัตวน์ ี้ไมห่ มายถงึ สัตวเ์ ดรัจฉาน หมายถงึ สัตว์โลก
ท่ีเวียนว่ายตายเกิดในไตรภพ ก็หมายถึงสัตว์ทุกชนิด
เทวดาก็เป็นสัตว์อย่างหน่ึง พรหมก็เป็นสัตว์อย่างหนึ่ง
พระอรยิ บคุ คล ยกเวน้ พระอรหนั ตก์ ย็ ังเป็นสัตวอ์ ย่างหนง่ึ
หรือมนุษย์ก็เป็นสัตว์อย่างหน่ึง สัตว์เดรัจฉานก็เป็นสัตว์
อยา่ งหนงึ่ พวกภตู ผปี ศี าจ เปรต ผตี า่ งๆ กเ็ ปน็ สตั วอ์ ยา่ งหนง่ึ
เราต้องแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ท้ังหลายทั้งปวง เรียกว่า
สพั เพ สตั ตา จะสตั วส์ นุ ขั จะสตั วเ์ ดรจั ฉาน ก็ใหค้ วามเมตตา
กบั เขา ถา้ ชว่ ยเหลอื เขาไดก้ ช็ ว่ ยเหลอื เขา บางทเี ขาตกทกุ ข์
ได้ยากล�ำบาก เช่น ไปปล่อยนกปล่อยปลาน้ีก็เป็นการ
47
แผเ่ มตตา เปน็ การเจรญิ เมตตาบารมี สพั เพ สตั ตา ไมเ่ ลอื ก
เฉพาะทำ� กบั คนทีเ่ รารกั ท�ำกับคนท่เี ปน็ ลกู หลานเราเป็น
ครอบครัวเรา แตเ่ ราท�ำกบั คนทีเ่ ขาเดอื ดร้อน หรอื ทำ� กับ
ศัตรูของเรา คนที่เราเคยเกลียดเขา เราก็เปลี่ยนเสีย
ยกอภัยให้เขาไป แล้วพอมีเหตุการณ์ที่จะต้องไปให้ความ
เมตตากบั เขาก็ไป เช่น วันเกิดเขากเ็ อาของขวญั ไปให้เขา
ซะหน่อย ถ้ายังอยู่ร่วมกัน ยังมีความสัมพันธ์กันอยู่
ต้องพบปะกัน ก็ให้แผ่เมตตาต่อกัน นี้ข้อที่ ๑ เพราะว่า
ถ้าเรามีความเมตตาแล้วเราก็จะสร้างข้อที่ ๒ ได้ คือ
ทานบารมี ทานบารมีก็คือการให้ การแบ่งปัน ธรรมดา
เราก็จะให้คนที่เรารักเราชอบ ยินดีวันเกิดคนท่ีรักน้ี
ซอื้ ข้าวของมาให้เขา ซอื้ โคก้ ซ้ือเคก้ มาใหเ้ ขาเปา่ เพราะเรา
รักเขา เรามีความเมตตากับเขา แต่ถ้าต่อไปเรามีสัพเพ
สตั ตา เราเมตตาตอ่ คนทกุ คน สตั วท์ กุ ชนดิ ถา้ เรามโี อกาส
ท่ีจะต้องให้ทานกับผู้ใด เราก็จะให้ได้อย่างไม่มีความ
รู้สึกตะขิดตะขวงใจ เราก็จะสามารถท�ำทานได้อย่าง
กวา้ งขวาง ไมเ่ ลือกจ�ำเพาะเจาะจง บางคนเลอื กจะท�ำทาน
กับพระ ท�ำบุญกับพระ แต่ถ้ากับขอทานกับคนยากไร้
ก็ไม่ท�ำ เพราะคิดว่าไม่ได้บุญ อันนี้เป็นความเข้าใจผิด
การท�ำทานไม่ว่าจะท�ำกับใครนี้ได้บุญท้ังนั้น คือได้ความ
สุขใจ โดยเฉพาะท�ำแบบท่ีเราชอบ เราชอบสุนัขเราก็ท�ำ
กับสุนัข เวลาเห็นสุนัขเขาได้รับความสุขจากเรา เราก็จะ
มีความสุข ถ้าเราชอบไถ่ชีวิตของวัวควาย เราก็ไปไถ่ชีวิต
ใหเ้ ขา เวลาเหน็ เขาไดม้ ชี วี ติ อยตู่ อ่ กท็ ำ� ใหม้ คี วามสขุ ใจขน้ึ มา
48
แต่ถ้าเราชอบสร้างโบสถ์ก็ไปสร้างโบสถ์ก็ได้ เห็นโบสถ์
แล้วสวยงาม เห็นทีไรก็มีความสุขใจ ก็ท�ำไปได้ทั้งน้ัน
น่ีคือทานบารมีท่ีจะตามมาจากเมตตาบารมี ถ้าไม่มี
เมตตาบารมี มันจะท�ำไม่ออก มันเกลียดคนน้ันเกลียด
คนนี้ เกลยี ดสงิ่ นน้ั เกลยี ดสงิ่ นี้ มนั ก็ไมท่ ำ� แตพ่ อมเี มตตา
กบั สรรพสตั วแ์ ลว้ ไมเ่ กลยี ดใคร ไมช่ งั ใคร คดิ วา่ เปน็ เพอ่ื น
เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน ถ้าเป็นนักโทษก็เหมือนอยู่
ในคกุ เดยี วกนั กพ็ อชว่ ยเหลอื กนั ได้ พอใหแ้ บง่ ปนั ความสขุ
ให้กันได้ก็แบ่งกันไป มีเงินทองมากเหลือเกินเหลือใช้
เกบ็ ไว้ในกระเปา๋ มันก็เปน็ กระดาษ แตพ่ อไปแจกจา่ ยคนที่
เขาทุกข์ยากเดือดร้อนมันก็กลายเป็นความสุขใจอิ่มใจ
ขนึ้ มา เปน็ บญุ ขนึ้ มา เปน็ บารมขี น้ึ มา ยกตวั อยา่ งบารมขี อง
พระเวสสันดร ทา่ นก็แจกหมด ใครต้องการอะไร ใครมา
ขออะไร มกี ็ให้ไม่หวง แมแ้ ต่ลูกก็ให้ ดว้ ยอ�ำนาจของทาน
บารมขี องทา่ น ทำ� ใหท้ ่านนเี้ วลาตายไปก็ไปเกดิ บนสวรรค์
แลว้ พอกลับมาเกิดเป็นมนษุ ยก์ ม็ าเกดิ เปน็ ราชโอรส
น่ีคืออานิสงส์ของทาน ท�ำไว้แล้วไม่สูญหาย มันจะ
รอเราอยู่ในภพหน้าชาติหน้า ถ้าเรายังไปไม่ถึงนิพพาน
ถา้ เรายงั ตอ้ งกลบั มาเกดิ อกี ภพหนา้ ชาตหิ นา้ เราจะมฐี านะ
ดกี ว่าเกา่ เรื่องการเงนิ การทองนจ้ี ะดีกวา่ เก่า เพราะวา่ เงิน
ทองท่ีเราใช้ในการท�ำบุญท�ำทานน้ีเป็นเหมือนการลงทุน
มนั จะสง่ ผลเวลาทเ่ี รากลบั มาเกดิ ใหม่ เชน่ เจา้ ชายสทิ ธตั ถะ
นี่เอง แล้วก็เป็นการท�ำให้ไม่ยึดติดด้วย ผู้ที่ท�ำทานน้ีจะ
49