The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ธรรมะหน้ากุฏิ พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ืทีมงานกรุธรรม, 2022-05-25 22:56:15

ธรรมะหน้ากุฏิ พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

ธรรมะหน้ากุฏิ พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

Keywords: ธรรมะหน้ากุฏิ พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

ไมย่ ดึ ตดิ กบั ทรพั ยส์ มบตั ขิ า้ วของเงนิ ทอง มโี อกาสทำ� ทาน
ต่อเมื่อไรก็จะท�ำต่อ มีโอกาสจะต้องสละราชสมบัติหรือ
ออกบวชก็ท�ำได้อย่างง่ายดาย ไม่มีความหวง ไม่มีความ
รู้สึกเสียดายในการเป็นเจ้าชายในการมีทรัพย์สมบัติของ
เจ้าชายเลย เมื่อเห็นว่าจ�ำเป็นที่จะต้องไปสร้างบารมีขั้น
ตอ่ ไป คอื เนกขมั มบารมี อเุ บกขาบารมี แลว้ กป็ ญั ญาบารมี
คือฐานะของนกั บวชน่นั เอง
พอเราทำ� ทานบารมไี ดแ้ ลว้ เราจะไมย่ ดึ ตดิ กบั เงนิ ทอง
แล้วก็จะท�ำให้เราเจริญศีลบารมีได้ เพราะศีลบารมีนี้เกิด
จากใจท่ีมีความเมตตามีทานนั่นเอง ก็จะไม่คิดอยากจะ
เบยี ดเบยี นใคร คนทท่ี ำ� บญุ ทำ� ทานนจ้ี ะไมค่ ดิ เบยี ดเบยี นใคร
ฉะนั้นการรักษาศีลก็จะตามมาอย่างง่ายดาย ไม่ฆ่าสัตว์
ไมล่ กั ทรัพย์ ไม่ประพฤตผิ ดิ ประเวณี ไมพ่ ูดปด ไมด่ ืม่ สรุ า
ยาเมา เป็นต้น ก็จะเป็นคนท่ีมีศีลบริสุทธิ์ในฐานะของ
ผู้ครองเรือน แล้วถ้าอยากจะเร่ิมฝึกหาความสุขแบบ
นกั บวชกส็ ามารถสรา้ งบารมขี น้ั ตอ่ ไปได้ คอื เนกขมั มบารมี
คือการออกจากการหาความสขุ ทางกาม ทางตา หู จมูก
ลิ้น กาย ดว้ ยการไปถอื ศลี ๘ น่ันเอง
การถือศลี ๘ นีเ้ รยี กว่าเป็นการสรา้ งเนกขมั มบารมี
ความจริงญาติโยมผู้หญิงท่ีมาบวชนุ่งขาวห่มขาวนี้
ควรจะเรยี กวา่ มาบวชเนกขมั มะ แตม่ กั จะไมร่ กู้ นั มกั จะเรยี ก
บวชพราหมณ์กัน บวชพราหมณ์ก็เหมือนกัน เพราะผู้ท่ี

50

51

เจรญิ เนกขมั มบารมกี จ็ ะไดอ้ านสิ งสเ์ ปน็ พราหมณ์ กเ็ รยี กวา่
บวชพราหมณ์ ความจรงิ เรยี กว่าบวชเนกขมั มะ คือละเว้น
การหาความสขุ จากการเสพกาม จากศลี ขอ้ ๓ กเ็ ปลยี่ นจาก
กาเมเป็นอพรัหมจริยา ไม่ร่วมหลับนอนกับใครทั้งนั้น
แล้วก็ไม่หาความสุขจากการดื่มการรับประทานอาหาร
มากเกินความต้องการของร่างกาย ก็เอาแค่เท่ียงวันก็
พอเรื่องของการด่ืมการรับประทานอาหารให้กับร่างกาย
แล้วก็ไม่หาความสุขจากมหรสพบันเทิงต่างๆ และการ
เสริมสวยความงามทางร่างกาย เพราะนี้เป็นกามสุข
เป็นความสุขท่ีได้สัมผัสด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย นี้เอง
เพื่อท่ีจะได้มีเวลา เพ่ือที่จะได้ไปสร้างบารมีอีกข้ันหนึ่ง
คืออุเบกขาบารมี อุเบกขาบารมีนี้เป็นการท�ำใจให้สงบ
เม่ือใจสงบแล้วจะมีอุเบกขาบารมี ใจจะเป็นกลางใจจะ
ไมร่ กั ไมช่ งั ไมก่ ลวั ไมห่ ลง จะมกี ำ� ลงั ทจ่ี ะฝนื ความอยากได้
เวลาเกิดความอยากน้ี ถ้ามีอุเบกขาบารมี ใจจะไม่รู้สึก
ทรมาน ใจจะรสู้ ึกเฉยๆ ไม่เดือดร้อน แตถ่ า้ ไมม่ ีอุเบกขา
เวลาเกิดความอยากแล้วใจจะดิ้นรนขึ้นมาทันที จะรู้สึก
หงุดหงิด จะรู้สึกเหงา รู้สึกว้าเหว่เศร้าสร้อยข้ึนมาทันที
แต่พอมีอุเบกขาบารมีก็จะฝืนความอยากได้ พอใจมี
ความสุขในตัวเองจากการมีอุเบกขาบารมี เพียงแต่ว่า
อุเบกขาบารมีท่ีได้น้ียังเป็นอุเบกขาแบบช่ัวคราว ถ้าออก
จากสมาธิมานานๆ เข้า อุเบกขาบารมีนี้ก็จะจางหายไป
ก็ต้องกลับเข้าไปในสมาธิใหม่ เพื่อเสริมสร้างบารมีใหม่
ถ้าอยากจะท�ำให้อุเบกขานี้ถาวร ก็ต้องสร้างบารมี

52

ตัวสุดท้าย ก็คือปัญญาบารมี เพราะถ้ามีปัญญาบารมี
ปัญญานจ้ี ะสามารถไปทำ� ลายความอยากได้ ท�ำลายความ
อยากที่มีอยู่ให้หมดไปได้ เพราะความอยากนี้เกิดจาก
ความหลง คือการเหน็ ความสขุ อย่างเดยี วในสง่ิ ทอี่ ยากได้
แต่ไม่รู้ว่านอกจากความสุขท่ีได้จากส่ิงที่อยากได้แล้ว
ก็จะมีความสุขความทุกข์ตามมาด้วย เพราะส่ิงท่ีได้มา
ไม่ว่าจะเป็นอะไร มันจะต้องมีวันเสื่อมมีวันเปล่ียนแปลง
จากดกี จ็ ะกลายเปน็ ของไมด่ ไี ป กลายเปน็ ของเสยี ของเนา่ ไป
เช่น อาหารที่รับประทาน ถ้าดูอาหารในจานมันก็จะเกิด
ความอยากรับประทานข้ึนมา แต่พอไปดูอาหารที่กลาย
เป็นของบูดเนา่ แล้ว เชน่ เปน็ อจุ จาระออกมาแล้ว มันก็จะ
ทำ� ใหค้ วามอยากรบั ประทานอาหารนนั้ หายไปได้ นค้ี อื เรอ่ื ง
ของปัญญาบารมี ตอ้ งมอี ีกมุมหนึ่ง มองมุมกลับหรือมอง
อีกดา้ นหน่งึ ของส่งิ ต่างๆ ท่อี ยากไดก้ ันว่ามันไมไ่ ดเ้ ปน็ สขุ
อย่างเดียว มันไม่ดีอย่างเดียว มันไม่สวยงามอย่างเดียว
ต่อไปเมื่อวันเวลาผ่านไปมันจะต้องเปล่ียนไป มันจะต้อง
กลายเป็นของไมด่ ใี นที่สดุ กลายเปน็ ของเนา่ ของเหม็นไป
ถา้ เปน็ อาหาร ถา้ เปน็ รา่ งกายกเ็ ปน็ ซากศพไป เปน็ ซากศพ
ก็กลายเป็นของเน่าของเหมน็ ไป หรอื ถา้ ดเู ขา้ ไปในภายใต้
ผิวหนังก็จะเห็นของไม่สวยไม่งามต่างๆ ท่ีมีอยู่ในร่างกาย
นคี่ อื อสภุ ะ เปน็ การเจรญิ ปญั ญาใหเ้ หน็ สว่ นทไ่ี มน่ า่ ดนู า่ ชม
ของรา่ งกาย หรอื ไมน่ า่ ดนู า่ ชมของอาหาร หรอื ไมน่ า่ ดนู า่ ชม
ของสงิ่ ตา่ งๆ ส่ิงตา่ งๆ เวลาซอื้ มาใหม่ๆ มันสวยงาม ใช้ไป
เรอื่ ยๆ เดย๋ี วมนั กเ็ กา่ เดยี๋ วมนั กพ็ งั รถยนตเ์ วลาออกมาใหมๆ่

53

54

น้ีสวยงาม ว่ิงไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันก็เสื่อม เดี๋ยวมันก็พัง
ต้องพิจารณาอนิจจังของทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ มันจะ
ท�ำให้ไม่มีความอยากได้อะไร เพราะรู้ว่าได้มาแล้วเด๋ียวก็
ต้องเสียไปหรือหมดไปหรือเปลยี่ นไป แล้วความสขุ ท่ไี ดก้ ็
จะกลายเป็นความทุกข์ตามมาต่อไป
นี่คือการเจริญปัญญาบารมีเพื่อท�ำลายความอยาก
ตา่ งๆ ทม่ี าสรา้ งความหงดุ หงดิ สรา้ งความรำ� คาญใหแ้ กใ่ จ
เป็นตัวที่ดึงให้ใจต้องกลับมาเกิดในกามภพ ในรูปภพ
และในอรูปภพอยู่เรื่อยๆ พอมีปัญญามาพิจารณาเห็น
ไตรลกั ษณข์ องสง่ิ ตา่ งๆ ทคี่ วามอยากตอ้ งการแลว้ มนั กจ็ ะ
ท�ำให้ความอยากหายไป การอยากจะได้ความสุขจากกาม
ก็หมดไป ความอยากจะไดค้ วามสขุ จากความสงบจากการ
น่ังสมาธิก็หมดไป จากรูปฌานก็หมดไป จากอรูปฌาน
ก็หมดไป เพราะเป็นความสุขแบบชั่วคราวทั้งน้ัน สู้เอา
ความสุขแบบถาวรดีกว่า คือความสุขท่ีเกิดจากการไม่มี
ความอยาก พอใจไม่มีความอยากแล้ว ใจท่ีรู้สึกหิวโหย
ใจทร่ี สู้ กึ ขาดนนู้ ขาดนี้ มนั จะหายไปหมด มนั จะกลายเปน็ ใจ
ที่อ่ิมเอิบข้ึนมาตลอดเวลา เป็นใจท่ีเป็นสุขตลอดเวลา
เรียกว่าเป็น ปรมงั สุขัง เป็นบรมสุขตลอดเวลา แล้วก็จะ
เป็นใจที่ไม่หิว ไม่มีความอยากไปเกิดในไตรภพอีกต่อไป
เพราะไม่มีกามตัณหา ไม่มีภวตัณหา ไม่มีวิภวตัณหา
มาคอยดึงใจให้ไปเกดิ ตอ่ ไปนนั่ เอง

55

ใจท่ีไม่เกิดก็เรียกว่านิพพาน ใจท่ีอยู่ที่นิพพาน
เป็นใจที่ไม่ต้องกลับมาเกิดอีกต่อไป เป็นใจของ
พระพุทธเจ้าและใจของพระอรหันตสาวกท้ังหลาย
นอกน้ันต้องกลับมาเกิดอีก ถึงแม้พระอริยบุคคล
ก็ยงั ต้องกลับมาเกิด เพียงแตว่ า่ มกี รอบมีเวลา เช่น
พระโสดาบันก็กลับมาเกิดในกามภพแค่ ๗ ชาติ
ถ้าพระสกิทาคามีก็ชาติเดียว พระอนาคามีก็มาเกิด
ในอรปู ภพหรอื รปู ภพ แลว้ กจ็ ะบรรลเุ ปน็ พระอรหนั ต์
กจ็ ะไปอยทู่ พี่ ระนพิ พาน ทไ่ี มม่ กี ารเวยี นวา่ ยตายเกดิ
อีกต่อไป ไม่มีการเกิด เมื่อไม่มีการเกิดก็จะไม่มี
ความทุกข์ตามมา เพราะทุกข์ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่เกิด
เท่านัน้

นแ่ี หละคอื คำ� ตอบของชวี ติ วา่ เกดิ มาทำ� ไม เกดิ มาเพอื่
หยดุ การเกดิ นนั่ เอง เพราะการเกดิ มนั เปน็ ทกุ ข์ และการจะ
หยดุ การเกดิ ไดก้ ต็ อ้ งหยดุ ความอยากทง้ั ๓ คอื กามตณั หา
ภวตณั หา และวภิ วตณั หา และการจะหยดุ ตณั หาทงั้ ๓ นไ้ี ด้
กต็ อ้ งมบี ารมี ๑๐ มอี ธษิ ฐานบารมี มสี จั จบารมี มวี ริ ยิ บารมี
มขี นั ตบิ ารมี เพอ่ื ทจี่ ะเปน็ เครอ่ื งมอื ในการมาสรา้ งเมตตา-
บารมี ทานบารมี ศลี บารมี เนกขมั มบารมี อเุ บกขาบารมี
และปญั ญาบารมี พอสรา้ งบารมเี หลา่ นไ้ี ดค้ รบสมบรู ณแ์ ลว้
ก็จะสามารถหยุดความอยากทง้ั หลายได้ หยดุ การกลบั มา

56

เวยี นวา่ ยตายเกิดได้ ชวี ิตกป็ ระสบกับความส�ำเรจ็ ได้เปน็
พระอรหนั ต์ ได้เปน็ พระพทุ ธเจา้ นี่คอื ค�ำตอบของชีวิตของ
พวกเราทกุ คน ถา้ ไมต่ อ้ งการทจ่ี ะกลบั มาเวยี นวา่ ยตายเกดิ
กต็ อ้ งหยดุ การเวยี นวา่ ยตายเกดิ ไดด้ ว้ ยการสรา้ งบารมกี นั
นี่กค็ อื เร่อื งราวที่เอามาฝากทา่ นในวันน้ี 

57

58

สนทนาธรรมหน้ากุฏิ

โยม: หากอยกู่ บั ความว่างบ่อยๆ ไมไ่ ดเ้ จริญสติ ความ
ไมเ่ ทยี่ งของขนั ธ์ ๕ จะไดบ้ รรลุพระโสดาบนั ไหมคะ

พระอาจารย์: คือถ้าเราอยู่กับความว่างมันก็สงบมันก็
สบายชว่ งทม่ี นั วา่ ง แตพ่ อมนั มาเจอรา่ งกาย เจอขนั ธ์ ๕ ทม่ี นั
มาสร้างความทุกข์ให้กับเรา ถ้าเราไม่พิจารณาขันธ์ ๕
เพื่อปล่อยวางขันธ์ ๕ เราก็ยังติดอยู่กับขันธ์ ๕ เราก็จะ
บรรลุเป็นพระโสดาบันไม่ได้ ความเป็นพระโสดาบันนี้
เราต้องพิจารณาขันธ์ ๕ ให้เห็นว่าเป็นไตรลักษณ์ และ
ปล่อยวางขนั ธ์ ๕ ได้ คอื ไม่ยึดไมต่ ิดกบั รา่ งกายกับเวทนา
ร่างกายจะแก่ก็ปล่อยมันแก่ไป เวทนาจะเจ็บก็ปล่อยมัน
เจ็บไป ร่างกายจะตายก็ปล่อยมันตายไปถึงจะบรรลุเป็น
พระโสดาบนั ได้ 

(สนทนาธรรมหน้ากุฏิ ๖ พ.ค. ๒๕๖๓)

59

โยม: ภาวนาแลว้ สว่างอย่ขู ้างนอก ลืมตากส็ วา่ ง หลับตา
ก็สว่าง ควรแก้ไขอย่างไรหรือไม่ต้องไปสนใจกับ
ภาวะใดๆ ท่ีเกิดขนึ้

พระอาจารย:์ กพ็ จิ ารณาว่ามันเปน็ ไตรลักษณ์ไป เหมอื น
เสยี งน้มี นั ดังอยา่ งน้ี ถ้าเราไปอยากใหม้ นั หายมันจะท�ำให้
เราทุกข์ แต่ถา้ เราปลอ่ ยมัน มนั จะร้องกป็ ลอ่ ยมนั ร้องไป
เด๋ยี วมนั ก็หายเอง มันไม่หายเรากอ็ ยูก่ บั มนั ไป แสงหรอื
อะไรก็ตามเวลามนั เกิดก็อยา่ ไปอยากใหม้ ันหาย หรือเวลา
มันหายก็อยากจะให้มันเกิดนี่ อย่าไปอยากเท่านั้นเอง
เฉยๆ ไปกับมัน มันจะโผล่ก็ปล่อยมันโผล่ขึ้นมา มันจะ
หายก็ปล่อยมันหายไป เพราะทุกอย่างมันเป็นอนิจจัง
เป็นไตรลักษณ์ 

(สนทนาธรรมหน้ากฏุ ิ ๖ พ.ค. ๒๕๖๓)

โยม: ผมไมเ่ คยนง่ั สมาธิเลยครับ จะเร่มิ ต้นอย่างไรดคี รับ
พระอาจารย์: ก็นั่งตอนนี้เลย หลับตาแล้วก็ลองท่อง
พทุ โธดู ลองนง่ั หลบั ตาแลว้ ลองทอ่ งพทุ โธไป อยา่ ไปคดิ ถงึ
เรอ่ื งอะไร นง่ั ให้ไดน้ านทสี่ ดุ เทา่ ทจี่ ะนานได้ ถา้ พทุ โธไมไ่ ด้
ดลู มหายใจได้ไหม ลองดลู มหายใจไป หายใจเขา้ ออกใหร้ วู้ า่
ลมเขา้ ลมออก เทา่ นน้ั เอง ไมต่ อ้ งไปควบคมุ บงั คบั ลม หรอื
ถา้ ดลู มไมไ่ ดส้ วดมนต์ไปกอ่ นก็ได้ สวดอติ ปิ ิ โส ไป อายเุ รา
เท่าไหร่ละ่ อายเุ รา ๓๐ กส็ วดสัก ๓๐ จบดู อันนี้กเ็ ปน็ วิธี
ฝึกน่งั สมาธิในเบ้อื งตน้ 

(สนทนาธรรมหน้ากุฏิ ๖ พ.ค. ๒๕๖๓)

60

โยม: การบรรลพุ ระโสดาบนั บรรลพุ ระสกทิ าคามี บรรลุ
พระอนาคามี บรรลพุ ระอรหนั ต์ ตอ้ งฝกึ ใหส้ ภาวจติ
เปน็ อย่างไรเจา้ คะถงึ จะบรรลไุ ด้

พระอาจารย:์ ออ๋ ขน้ั ตน้ ก็ใหจ้ ิตสงบมีอเุ บกขา แลว้ ก็ใหม้ ี
ปญั ญาทจ่ี ะคอยตดั สงั โยชนห์ รอื กเิ ลสทม่ี าสรา้ งความทกุ ข์
วุ่นวายให้กับใจ พระโสดาบันก็ตัดสังโยชน์คือความหลง
ยึดติดกับร่างกาย ความอยากไม่แก่อยากไม่เจ็บอยาก
ไมต่ าย พอตดั ความอยากไมแ่ กไ่ มเ่ จบ็ ไมต่ ายได้ พระโสดาบนั
ก็หายทุกข์ ส่วนพระสกิทาคามีก็มีความอยากเสพรูป
เสพกามอยู่ ยงั มกี ามารมณอ์ ยู่ พอเจรญิ อสภุ ะ กามารมณ์
มันก็จะเบาบางลงไป ก็ไดเ้ ป็นพระสกทิ าคามี แล้วถ้าเจริญ
อสภุ ะแบบตอ่ เนอ่ื งแบบไมห่ ยดุ แบบไมม่ ชี ว่ งวา่ ง เหน็ อสภุ ะ
ตลอดเวลา มันก็จะก�ำจัดกามารมณ์หรือกามราคะอย่าง
ถาวร ก็จะได้เป็นพระอนาคามี ข้ันต่อไปก็ก�ำจัดสังโยชน์
เบ้ืองสูง เชน่ อวชิ ชา มานะ การถือตัว พอก�ำจัดได้ ใจกจ็ ะ
ไมม่ ีความทุกขห์ ลงเหลอื อยใู่ นใจอกี ตอ่ ไป 

(สนทนาธรรมหนา้ กฏุ ิ ๖ พ.ค. ๒๕๖๓)

โยม: ถ้าเจริญพระกรรมฐานโดยจับยึดพระนิพพาน
เปน็ อารมณอ์ ยเู่ ปน็ ประจำ� สมำ่� เสมอ และเมอื่ ขณะที่
ก�ำลังจะตายก็มีจิตยึดพระนิพพาน และเมื่อตาย
จริงๆ แล้วสามารถไปพระนพิ พานได้ไหมครับ

61

พระอาจารย์: ถ้าเราไม่เคยเห็นพระนิพพาน เราจะไปจบั
พระนิพพานมาเป็นอารมณ์ยึดได้อย่างไร ไม่ได้หรอก
พระนิพพานน้ีมันเป็นสิ่งท่ีจะเกิดขึ้น เราต้องใช้กรรมฐาน
อยา่ งอน่ื เชน่ พทุ โธหรอื ลมหายใจเขา้ ออกไปยดึ เหนยี่ วจติ ใจ
ให้จิตใจหยุดปรุงแต่ง หยุดความโลภความอยากชั่วคราว
แต่การที่จะมาน่ังจินตนาการว่านิพพานเป็นอย่างน้ันเป็น
อย่างน้ี บางคนเห็นวาดเป็นชาร์ต (chart) ออกมาเป็น
วงกลม วงกลมแรกเปน็ เดรจั ฉาน วงกลมเขา้ ไปเปน็ มนษุ ย์
เข้าไปเป็นเทพ เป็นพรหม เปน็ อรยิ บุคคล เป็นข้นั ตา่ งๆ
พอถงึ ศนู ยก์ ลางของวงกลม นนั่ คอื นพิ พาน เอา้ ลองไปนกึ
ภาพเหล่าน้นั ดูสิ ดูว่าจะทำ� ให้ใจสงบได้ไหม มนั ไมไ่ ด้หรอก
นิพพานถา้ ไม่เคยเห็นจะไปนึกมันได้ยงั ไง มนั ตอ้ งเคยเหน็
อะไรกอ่ นถึงจะมานึกมันได้ 

(สนทนาธรรมหนา้ กฏุ ิ ๖ พ.ค. ๒๕๖๓)

โยม: ในฐานะท่ีวันน้ีเป็นวันวิสาขบูชา ขอพระอาจารย์
เมตตาแนะน�ำได้ไหมคะว่าควรใช้ชีวิตหรือว่า
แนวทางอยา่ งไรในฐานะทเี่ ปน็ ฆราวาสทมี่ คี รอบครวั
ใชช้ ีวติ อยา่ งมนษุ ย์ทว่ั ๆ ไปล่ะค่ะ

พระอาจารย์: ก็อย่างที่เราฟังเทศน์ฟังธรรม ก็ปฏิบัติ
ตามคำ� สอน เพราะคำ� สอนของพระพทุ ธเจา้ นสี้ อนทงั้ ระดบั
ฆราวาสและระดับนักบวช ฆราวาสท่านก็สอนท�ำทาน
รักษาศีล ภาวนา ท�ำทานไปตามโอกาสตามก�ำลัง หรือ

62

ตามความอยาก บางคนอยากทำ� บญุ มากกท็ �ำไป บางคน
ทำ� นอ้ ยกท็ ำ� ไปกอ่ น แตผ่ ลกค็ อื ถา้ ทำ� มากกจ็ ะไดม้ าก ทำ� ทาน
แล้วก็รักษาศีล ๕ ส�ำหรับผู้ครองเรือนถ้าท�ำงานท�ำการ
รกั ษาศลี ๘ กจ็ ะยาก ยกเวน้ ถา้ มเี วลาวา่ งก็ไปอยวู่ ดั บางชว่ ง
ก็ถือศีล ๘ แล้วก็ไปภาวนาได้ ถ้าอยู่บ้านก็อาจจะภาวนา
ไดเ้ ลก็ ๆ น้อยๆ ช่วงก่อนนอนหรอื ช่วงเช้าตอนทีต่ ่นื ขนึ้ มา
กอ่ นทจี่ ะไปทำ� อะไร ก็ใชช้ ว่ งนน้ั เปน็ ชว่ งทมี่ าหดั ภาวนาไปกอ่ น
แลว้ ตอ่ ไปถ้ามเี วลามากขน้ึ กอ็ าจไปอยู่วัดไปภาวนา ไปเขา้
คอร์สท่ีไหนตอ่ ก็ได้ 

(สนทนาธรรมหน้ากฏุ ิ ๖ พ.ค. ๒๕๖๓)

โยม: มีปัญหาเรื่องกลัวเสียงฟ้าผ่าเพราะเคยโดนช็อต
ตอนฟ้าผ่าแล้วไปจับโลหะ จะแก้ความกลัวตาย
อยา่ งนีอ้ ยา่ งไรคะ

พระอาจารย์: ก็ผ่านมาได้แล้วไปกลัวท�ำไม แสดงว่า
เรามีภูมิคุ้มกันแล้ว เหมือนติดไวรัสคร้ังเดียวแล้วก็ทีนี้
หายแลว้ กม็ ภี มู คิ มุ้ กนั แลว้ ไปกลวั ทำ� ไม กร็ แู้ ลว้ วา่ มนั เปน็
ยงั ไงก็ผา่ นมาแล้ว มนั จะเป็นอีกมันกผ็ า่ นมาไดอ้ ีก ไปกลัว
อะไร มนั ทกุ ขเ์ พราะไมอ่ ยากไปเจอมนั เทา่ นน้ั เอง ทนี ไ้ี มต่ อ้ ง
ไปกลวั มนั มีภูมคิ ุ้มกนั แลว้ เหมือนเราถา้ เราตดิ ไวรสั แล้ว
ทนี เี้ ราก็ไมไ่ ปตดิ แลว้ ไมต่ อ้ งไปใสห่ นา้ กาก ไมต่ อ้ งไปกงั วล
ไปอะไรกับใครแล้ว ไปที่ไหนก็ไม่ต้องกลัวแล้ว เพราะเรา
มีภูมิคุ้มกันแล้ว พอเจ็บแล้วทีนี้ เรารู้ความเจ็บเป็นยังไง
มนั ก็แคน่ ้ัน ก็ผา่ นมันมาได้ แลว้ ไปกลัวมนั ทำ� ไม จรงิ ไหม

ทม่ี นั กลวั เพราะมนั ไมอ่ ยากจะเจบ็ ไมใ่ ชเ่ หตผุ ลนะ มนั ความ
ฝังลึก ความอยากจะได้แต่ความสุข พอไปเจอความทุกข์
ก็เลยไมอ่ ยากได้ กเ็ ลยเกิดความกลวั ไมร่ ้วู ่าความทกุ ข์มัน
กเ็ ปน็ เหมือนยาแหละ มันทำ� ให้ใจเราเข้มแข็ง ท�ำให้ใจเรา
ไม่ต้องมาทุกข์กับมันอีกต่อไป แต่กลับไม่ใช้มัน กลับไป
กลัวมนั
ความจริงถ้าเราผ่านมาได้แล้วเราจะไปกลัวมันท�ำไม
อนั นตี้ อ้ งใชเ้ หตใุ ชผ้ ล แลว้ ถา้ เวลามนั จะเกดิ กห็ า้ มมนั ไมไ่ ด้
เวลาจะเจอมันก็ห้ามมันไม่ได้ และถ้ามันจะถึงเวลาที่จะ
ตายกห็ ้ามมนั ไม่ได้ ไมต่ ายดว้ ยไฟช็อต มนั ก็ต้องตายด้วย
เรอ่ื งอน่ื อยดู่ ี ไมม่ ใี ครไมต่ าย ใหค้ ดิ แบบนี้ มองความจรงิ ดู
เกิดมาแล้วไม่มีใครหนีพ้นความแก่ความเจ็บความตาย
ไปได้ มนั จะเกดิ ขน้ึ ตอนไหน เทา่ นน้ั เอง แตต่ อ้ งเกดิ ขนึ้ กบั
คนทุกคน ถ้าคดิ บอ่ ยๆ แลว้ มันจะไม่มีความกลวั ไม่กลวั
ความแกไ่ มก่ ลวั ความเจบ็ ไม่กลัวความตาย กลัวไปก็ไม่ได้
อะไร กลัวไปขาดทุนเปล่าๆ เพราะความกลัวก็เหมือนกับ
เอาค้อนมาทบุ ศรี ษะเรานี่ อยู่ดีๆ พอกลวั กเ็ อาค้อนมาทุบ
ศีรษะเรา ทุกข์ไปท�ำไม ทุกข์แล้วไปเปล่ียนแปลงอะไรได้
หรอื เปลา่ มนั ก็ไมเ่ ปลยี่ นแปลงอะไร มนั กเ็ จบ็ อยดู่ ี ตายอยดู่ ี
เหมือนกนั ลองใชเ้ หตผุ ลคดิ ดู แลว้ มนั กจ็ ะไม่กลัว 

(สนทนาธรรมหนา้ กฏุ ิ ๘ พ.ค. ๒๕๖๓)

64


Click to View FlipBook Version