The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

กฏแห่งกรรม ธรรมปฎิบัติ เล่ม ๔ หลวงพ่อจรัญ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ืทีมงานกรุธรรม, 2022-07-06 21:24:04

กฏแห่งกรรม ธรรมปฎิบัติ เล่ม ๔ หลวงพ่อจรัญ

กฏแห่งกรรม ธรรมปฎิบัติ เล่ม ๔ หลวงพ่อจรัญ

Keywords: กฏแห่งกรรม ธรรมปฎิบัติ เล่ม ๔ หลวงพ่อจรัญ

บางคนก็มีคนมาให้หลวงพ่อทํานํ ามัน หลวงพอ่ ก็ทํากระทะทองเหลือง ใบไม่ใหญ่มากนัก หลวงพ่อ
กท็ อดไพร แล้วก็ทอ่ งคาถานํ ามันเดอื ด ไพรกรอบ ท่านก็ตักให้พวกทมี าหาทา่ น

น้องสาวของดิฉันเขาเข้มแขง็ พอหลวงพอ่ ตักให้ กําลังเดือดนะ เขาเทลงคอเลย ดฉิ ันนึกใจใจว่าร้อน
ตายแน่เลย หลวงพ่อก็ตักมาให้ดิฉัน ดิฉันก็ลังเลไมก่ ล้าเทลงคอ

หลวงพอ่ บอกว่า เอามือจมุ่ ดูซิ เมือลองจุ่มดู ปรากฏว่าไม่ร้อนจริงๆ ตั งแต่นันมาดฉิ ันก็ยอมกินนํ ามัน
มนต์ และรดนํ ามนต์จากหลวงพอ่ มาตลอด

สมัยนั นหลวงพ่อเป็นคนดุ มพี ระทีวัดแจ้งฯ มาเทียว เป็นพระทีเป็นทหารบกมาบวชแค๑่ ๕ วัน มา
เทยี วหาน้องสาวดฉิ ันทีวัดพรหมบุรี เรากําลังทํางานกันอยู่ พระพูดว“่านํ าวัดพรหมฯ หวานนะ”

หลวงพอ่ ออกมาเลย ถามว่า “บวชอยู่วัดไหน” พระทีเป็นทหารก็บอกว่า “อยวู่ ัดแจ้งฯ” หลวงพ่อ
บอกว่า “ถ้าเป็นพระวัดนี พดู แบบนี จะตบให้ฟันร่วงเล”ย ดฉิ ันก็เลยกลัว ไมค่ ่อยกล้าพดู หรือทําอะไร

ทา่ นหัดให้กราบพระ จะขออะไรท่านต้องกราบก่อน ตอนนั นการกราบพระก็ผิดศีลนะ ศาสนา
คริสตม์ ีศีล ๑๐ ข้อ ทกุ ศาสนาสอนดีทั งนั น แต่ปฏิบัติไปคนละแนวเท่านั นเอง

อยู่มาวันหนึง มีครูคนหนึง ดฉิ ันจําชอื เขาไมไ่ ด้แล้ว มาหาหลวงพ่อ ขอให้หลวงพอ่ ช่วย ครูคนเนปี็น
คนดี แต่ถูกเพอื นแกล้งใส่ร้าย จะติดคุกตดิ ตะราง หลวงพ่อทา่ นกท็ ราบว่าครูคนนั นดจี ริง ก็ช่วย ทําพิธีใน
โบสถ์เลย

ตอนนั นโบสถว์ ัดพรหมบุรีก็ยังไมเ่ สร็จ ดิฉันเป็ นคนกลัวผีมาก แตอ่ ยากจะดูพิธีกรรมทหี ลวงพ่อช่วย
ครูคนนั น อุปกรณ์กม็ ีเตาไฟ หม้อต้มยา กาละมัง

ครูคนนั นกน็ ั งตรงหน้าหลวงพ่อ ดฉิ ันและน้องสาวนั งข้างหลังหลวงพ่อ มองยาทีหลวงพอ่ ต้ม แล้วก็
ให้ครูอธิษฐานเอาเอง หลวงพอ่ ก็สวดมนต์ไป จนยาหม้อนั นเดอื ด ทา่ นก็เทยาออกจากหม้อลงในกาละมังจน
หมด

แล้วหลวงพ่อก็หลับตาสวดมนต์ เอามือเคาะทีหม้อทังนําทังยาในกาละมงั วิงกลับเข้าหม้อหมด
หลวงพ่อก็ให้หม้อยาครูคนนั นไป

ตอนหลังดิฉันพบครูคนนั น ครูบอกว่าไม่มีเรืองอะไร แคล้วคลาดไปเลย ดิฉันก็เกิดความคดิ ว่า พระ
อาจารย์องคน์ ี มวี าจาศักดิ สิทธิ และยังทอ่ งคาถาให้นํ าวิงเข้าหม้อได้

ทา่ นเคยให้ราชสีห์ดิฉันมา๑ ตัว ทําด้วยงาช้าง ท่านบอกว่าดิฉันนะสุนัขชอบกัด ดิฉันกห็ ้อยคออยู่
ตลอดเวลา พอมบี ุตรชาย ให้ไปห้อยคอ เลยทําหายไปเลย พระนางพญา๑ องค์ เป็นพระผง ท่านมีวาจา
ศักดิ สิทธิ จริง ท่านบอกดิฉันว่า โยนพระเถอะ ไม่แตกหรอก ดฉิ ันก็ลองโยนทันที ปรากฏไม่แตก แต่พอ
น้องชายโยนบ้าง แตกละเอียดเลย สมัยนั นท่านยไังม่เป็นทีรู้จักแพร่หลายนัก เรืองนี เกิดขึ นเมือ พ.ศ.๒๔๙๘
– ๒๔๙๙ ผ่านมา ๓๒ ปีแล้ว

ตอนนั นดิฉันก็มาคิดว่า การเป็นชาวพุทธแล้วเคร่งในศาสนาแล้ว ผลแห่งกรรมดี ความดี ทําให้หลวง
พ่อมีวาจาศักด์สิทธิ ดิฉันอยู่ทํางานวัดแค๖่ เดือน พอทํางานโบสถ์เสร็จกก็ ลับมาอยู่ดอนเมอื ง

ตั งแต่นั นมาจะทําอะไรก็ต้องมาถามทา่ นเป็นประจดําิฉันก็เป็ นชาวพุทธเต็มตัวแล้วและมาเยยี ม
เยียนทา่ นบ้างบางโอกาส

ผ่านมาได้ ๓๐ ปี พอย่างเข้าปี พ.ศ.๒๕๒๙ ชีวิตดฉิ ันก็เริมมีมรสุม ดิฉันก็ร้องไห้มาหาหลวงพ่อ พอ
หลวงพ่อเหน็ ดิฉนั ท่านก็บอกว่า

“ทัศนีย์ เธอมาถือศลี นั งวิปัสสนากรรมฐานสักอาทิตย์หนึงเถอะ”
ดฉิ ันก็บอกหลวงพ่อว่า“ไม่เอาละหลวงพ่อ หนูขอไปเทยี วแพร่กอ่ น กลับมาแล้วค่อยเข้าวัด”
พอไปแพร่ได้ ๓ วัน บ้านถกู ปล้น บุตรชายถูกพวกโจรฟันด้วยขวานทศี ีรษะ บาดเจ็บสาหัส เพือน
บ้านนําส่งโรงพยาบาล ดิฉันต้องสูญเสียทรัพย์สนิ ไปทั งสิ นเกือบ๓ แสนบาท
พอบตุ รชายหายเป็นปกตกิ ็พามากราบหลวงพ่อ ขอเข้ากรรมฐาน ๙ วันทั งแม่ทั งลูก เพราะได้
อธิษฐานไว้ว่า ถ้าลูกหายเป็ นปกติมีอาการครบ๓๒ จะพาลูกมาถือศลี ด้วย
หลวงพ่อเห็นบุตรชายดิฉัน ทา่ นก็บอกว่า“ทัศนีย์ เธอไม่ต้องเสียดายข้าวของเงินทองเลย เธอได้
ชีวิตลูกของเธอใหม”่ ดิฉนั ก็ตัดใจได้
หลวงพ่อบอกให้เจริญวิปัสสนากรรมฐาน เมือกอ่ นคิดว่าจะทําไม่ได้ แต่พอมาจริง ก็มแี รงศรัทธา
หลวงพอ่ อยู่แล้ว ทําให้เกิดมีสติ และทําได้
เริ มปฏิบัติ เดิน นั ง สลับกัน๑๐ นาที และค่อยเพิมขึ นถงึ ๑ ชัวโมง ทําให้มีสติดีขึ น เมอืเวลามีทกุ ข์
เกิดขึ น มีเรืองมากระทบจิตใจ ทําให้สงบจิตอารมณ์ได้ไว รู้สึกว่าทําใจได้
ถ้าเกิดโมโหจะคลายได้ไว ทําตามคําขอของหลวงพ่อ ไม่ให้ดา่ ไมใ่ ห้ว่า กระทบ กระเทยี บ เสียดสี
เพราะเป็นตัวกรรม ให้แผ่เมตตาตลอด ทําให้ชีวิตมคี วามสุขขึ น
ทา่ นสอนว่า “เธอรู้ไหม ไอ้ทศกณั ฐม์ ันหน้าโง่ ฝากหัวใจไว้กับพระฤๅษี ไม่เป็นตัวของตัวเอง เอาไป
ฝากเขา ไว้ใจคนอืน กต็ ้องตายเพระความโงง่ มงาย”
ตอนแรกดิฉันไม่ได้คิด พอมาพจิ ารณาดู โธ่เอ๋ย หลวงพอ่ ว่าเรานเี อง งมงาย เอาหัวใจไปฝากไว้กับ
คนอืน ดฉิ ันเองไม่มใี ครแล้ว จําคําสังสอนของหลวงพอ่ ไว้ และพยยาามปฏิบัติตาม ได้บ้างเพียงเล็กน้อยกย็ ัง
ดกี ว่าไมไ่ ด้ปฏิบัติเลย แต่ใหด้ ีจริงๆ ต้องปฏิบัติให้ต่อเนืองโดยตลอด แล้วก็จะมีความสุขทางใจ
ทีเล่ามานีผา่ นมา๓๐ ปีแล้ว สิงทีประสบพบเหน็ เป็นเรืองจริงทุกประการ ถามทา่ นดูได้แต่เดียวนี

ท่านมแี ต่แผ่เมตตาให้เท่านัน
ดฉิ ันมีเพียงพระอาจารย์องค์นี เพยี งองค์เดียวมาตลอด เป็ นทั งพระอาจารย์ เป็นทั งหลวงพ่อ ทดี ิฉัน

เคารพเชอื ฟังมาจนทกุ วันนี
ดฉิ ันขอพึงบารมีแห่งความเมตตาจติ ของท่านเป็นทีพึงทางใจจนตราบชีวิตจะหาไม่ เพราะบารมีแห่ง

อํานาจเมตตาจิตของพระอาจารย์ มีพระคุณต่อชีวิตของดิฉันให้พบแสงสว่างแห่งชีวิต และเดินถกู ทาง ด้วย
การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน การเป็นชาวพุทธของดิฉัน มีคุณคา่ อยู่ตรงนีนีเอง

ทัศนีย์ ตระกูลพัว
๑๕๑ ซอยคุ้มครอง ๓

กม. ๒๗ ต.คูคต
จ.ปทมุ ธานี

บันทกึ ของหลวงพ่อ

ข้อความทีคณุ ทัศนีย์ ตระกลู พัว ได้เลา่ มานีเป็นเหตุการณ์อดตี เมือครั ง .พศ.๒๔๙๘ ทีอาตมากําลัง
สร้างอุโบสถอยู่ ณ วัดพรหมบุรี อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บรุ ี เป็นเวลา ๓๖ ปี เศษแล้ว เป็นความจริงของคุณทัศนีย์
ตระกูลพัว ทุกประการ ด้วยอํานาจจติ นั นเองและอํานาจพทุ ธานุภาพ– ธรรมมานุภาพ – สงั ฆานุภาพ ของ
คุณพระรัตนตรัย เป็นไปได้แน่นอน เพราะคุณทัศนยี ์นั นเป็นชาวคริสต์ ให้คุณทัศนีย์เห็นว่าทางพระสงฆ์ใน
ศาสนาพุทธนั นเต็มไปด้วยเมตตาธรรม ได้ช่วยเหลอื ประชาชนทุกหมู่เหลา่ ไม่จํากัดเขต เพศ วัย ช่วยแผ่
เมตตาไปทั งนั นไปทุกๆ คน จะเป็นศาสนาใดกต็ าม ถ้าช่วยไดว้ชย่ ทั งนั นทีไมผ่ ิดธรรมวินัยสงฆ์ และ
กฎหมายบ้านเมือง ยนิ ดมี ีเมตตาแผใ่ ห้ทั งนั น ให้คณุ ทัศนยี ์ ตระกูลพัวเหน็ ว่าศาสนาพุทธช่วยด้วยเมตตา ด้วย
ความบริสุทธิ ไม่อคตใิ ดๆ และไมม่ เี คลือบแฝง และไม่หวังผลตอบแทนแตป่ ระการใด ทําให้คุณทัศนีย์เห็น
ความดีของพระพุทธศาสนาจึงเกดิ ความเลอื มใสศรัทธาอย่างแท้จริง ยอมนับถือเพราะมีเหตุมีผลพอจะเชอื ถอื
ได้แล้ว จึงขอเคารพนับถอื ต่อไป เห็นว่าทีนับถือก็เพราะว่าเป็นทีพึงของเขาได้แน่นอน

แต่อภินิหารแบบนัน อาตมาได้เลกิ ล้มไปแล้ว เอาความจริงของพระพุทธเจ้ามาสอนดกี ว่า นันคือ
สอนให้คนมีปัญญาไม่ให้งมงายหลงใหลอยู่ในสิงทีไร้สาระ สอนให้คนช่วยตวั เอง พงึ ตัวเอง และสอนตัวเอง
ได้ นันคอื วิปัสสนากรรมฐาน

พระภาวนาวิสุทธิคณุ
ว ั ดอ ั มพว ั น

อานิสงส์ปฏบิ ตั กิ รรมฐาน

เอือมทิพย์ คงเพ็ชร
๒๖ ต.ค. ๓๒

ดฉิ ันชือ น.ส.เอือมทิพย์ คงเพ็ชร ปัจจุบันเป็ นนิสิตปริญญาโท จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะ
รัฐศาสตร์ สาขาสงั คมวิทยาและมนษุ ยวิทยา และนักศึกษาปริญญาโท จากสถาบันเทคโนโลยีสงั คม ดิฉัน
ไม่ใช่คนดีมาตั งแต่เด็ก อะไรเป็นสาเหตุให้ดฉิ ันเรียนปริญญาโททั ง๒ แห่งนีได้ และอะไรเป็นสาเหตุให้
ดฉิ ันหันมาปฏิบัติกรรมฐาน อานิสงส์ของการปฏิบัตกิ รรมฐานทําให้นิสัยใจคอของดฉิ นั เปลียนไป ลองอา่ น
ดซู ิคะ

ดฉิ ันเป็นลูกของ พ.อ.(พเิ ศษ) ประเวศร์ และ นางอัครเนตร คงเพช็ ร คุณพอ่ คุณแม่เป็นลูกศิษย์ของ
หลวงพอ่ พระภาวนาวิสุทธิคณุ ตั งแต่ดิฉันยังเล็กอยู่มาก ดิฉันจําได้ทุกครั งทีมาวัดจะได้ยินวหงลพ่อเทศน์อยู่
เสมอว่า บญุ บาปสามารถจะเพิมขึ นและหมดไปไดบ้ ุญเปรียบเสมือนกระแสไฟทีอยู่ในหม้อแบตเตอรี ถ้าเรา

ใช้ไปเรือยๆ กระแสไฟกจ็ ะค่อยๆ หมดไป เพราะเราใช้บุญเก่า บุญใหม่ไม่เคยสร้าง เมือบุญหมดเหลือแต่บาป
ชีวิตจะแตกแหลกเหลวหาทีดีไม่ได้ เพราะฉะนันควรรีบชาร์ตไฟเข้าหม้อแบตเตอรีซะ ดฉิ ันไม่เคยคิดเลยว่า
หลวงพอ่ พูดให้ดฉิ นั เพราะความตายกําลังมาถึงดิฉันแล้ว ลางร้ายเริมปรากฎเข้ามาในชีวิตของดิฉัน อะไร
เป็นสิงบอกเหตุให้ดิฉันมาปฏิบัตกิ รรมฐาน

ในปี พ.ศ.๒๕๒๕ อยู่มาวันหนึง ดฉิ ันทะเลาะกับน้องสาวอย่างแรง ดฉิ ันโกรธมากทีนอง้ สาวเถยี ง
จงึ ผลักอกน้องเซถลาหกล้มส่งเสียงรอ้ งไห้ลั นบ้าน คุณแม่ทนไมไ่ หวหยิบไม้มาหวดดิฉันอย่างแรง๒ ที
ความรู้สึกขณะนั นเจ็บมากและเสียใจทีแม่ตีดิฉันคนเดียว จงึ เถียงแม่ไปทันทีว่า“แม่ไม่ยุตธิ รรม ทําไมตีหนู
คนเดยี ว หนูเถียงคนเดียวได้หรือ ทําไมแม่ไม่ตีทังคู่ ถาง้ ั นพีกไ็ ม่เป็นพีนะซ”ิ คุณแมว่ ่า “ยังเถียงอกี ” พูด
แล้วยกไม้จะตดี ฉิ ันอีก ดที ีดิฉันหลบได้ทัน จึงเถียงแม่ต่อไปอีกว่า“ต่อไปนี จะไมอ่ ยู่บ้านนีแล้ว จะไปอยู่กับ
พที เี มืองจันท”์ แล้วก็ไปเก็บเสือผ้า

ตกดึกยิงคิดยิงกลัว ความกล้าหายไป ความกลัวเข้ามาแทนทดี ิฉนั คดิ ว่าเมืองจันทม์ ันอยตู่ รงไหน
จะต้องไปขึ นรถทีเอกมัย แล้วเอกมัยอยู่ตรงไหน? ดิฉนั ไมร่ ู้จัก ยิงคดิ ยิงกลัว จะไปอยู่กับเพือน ก็คิดไมอ่ อก
วา่ จะไปอยกู่ ับใคร จึงตัดสินใจไปจุดธูปเทยี นหน้าพระว่า“ท่านเจ้าขา ช่วยหนดู ้วยหนูไมอ่ ยากอยู่บ้าน แม่ไม่
รักหนู รักแตน่ ้อง หนูไมร่ ู้จะไปทไี หนดี หลวงพอ่ ช่วยชีทางให้หนูด้วย หนูควรจะไปอยู่กับใคร หนูง่วงนอน
ตืนเช้าขึ นมา หนูนึกถึงสิงไหนก่อน หนูจะไปทีนั นทัน”ที ตอนเช้าดิฉันอาบนํ า ในใจของดฉิ ันนกึ ถึงแต่ไป
วัดอัมพวัน ไปวัดอัมพวัน ดิฉันตกใจนึกขึ นได้ เมือคืนอธิษฐานจติ ต่อหนร้าะพขอให้ทา่ นชี ทางให้ แต่ทําไม
ต้องไปวัดด้วย? ไมส่ นุกเลย เพอื นก็ไม่มี จติ มันกค็ ้านว่าถ้าไมไ่ ปเดียวพระหักคอเอานะ จึงแต่งตัวออกจาก
บ้านไปโดยทพี ่อแม่ไม่ทราบว่าดิฉันไปไหน

เมอื มาถึงวัดเหมือนหลวงพ่อจะทราบลว่ งหน้า ท่านอยู่คอยดฉิ ัน ทั งๆ ทีมีแขกมาคอยรบั หลวงพ่อปไ
กทม. ทันทีทีมาถงึ หลวงพอ่ พูดว่า“อีกหนูทานข้าวมาหรือยัง” “ยังค่ะ” “สมประสงค์ หาข้าวให้อีหนูทาน

เดียวหลวงพอ่ กลับ” พีสมประสงค์หาข้าวให้ ดิฉันทานจนอิม ดิฉันจงึ เลา่ ความทกุ ข์ทมี ีอยูใ่ ห้พีสมประสงค์
ฟัง พร้อมทั งพูดว่า แมวตั งใจจะมาอยู่วัด จะมาช่วยหลวงพอ่ ลง้จาาน จะมาทํางานทีวัด พีสมประสงค์ตอบว่า
ไมไ่ ด้หรอก เดียวแม่แกมาเล่นงานหลวงพอ่ ตาย ถ้างั นไปเข้ากรรมฐาน

ดฉิ ันไม่รู้ว่ากรรมฐานเป็ นอย่างไร ชุดขาวก็ไมม่ ี ต้องไปยืมแมช่ ีใส่ ในขณะนั นกฏุ กิ รรมฐานสร้าง
เสร็จใหมๆ่ แม่ชีดรุณี สามคํา เป็นผ้าสอนกรรมฐานให้ดิฉัน วันแรกในการปฏิบัติเห็นเขานังหลับตากันโดย
กําหนดลมหายใจเข้าท้องพอง หายใจออกท้องยบุ นั งได๑้ นาที มันแสนจะนานสาํ หรับดิฉัน เดินจงกรมก็
อาเจียนเลย แมช่ ีดรุณีต้องคอยพยาบาล วันแรกดฉิ ันไม่ได้อะไรมาก วันท๒ี จิตใจเริมดีขึ น เริ มกําหนดพอง
ยุบได้ ๑๐ – ๑๕ นาที จิตใจเริ มคิดถงึ แม่ ร้องไห้เลย ในใจคิดวา่ แมจ่ ๋าหนูคิดถงึ แม่ หนูรักแม่ หนขู อโทษทที ํา
ให้แม่เสียใจ หนูจะไม่ทําอีกแล้ว ดฉิ ันเดินร้องไห้ไปหาแม่ชีขออนุญาตกลับบ้าน แม่ชีตอบว่าไหนๆ ก็มาแล้ว
ปฏิบัติให้ได้๓ วัน ดฉิ ันคิดถงึ แม่ใจจะขาด นอนรอ้ งไห้ทกุ คนื เมือวันท๓ี มาถึง ดิฉันดีใจทพี รุ่งนีจะได้กลับ
บ้าน ระหว่างทีคิดอยู่นั น มีเสียงเคาะประตูเหลือบดูนาฬิกา๕ ทมุ่ แล้ว เมอื เปิ ดประตอู อกมาพบพีอ่นุ เรือนพูด
กับดฉิ ันว่า“หลวงพ่อให้กลับบ้าน เปลียนเสือผ้าแล้วไปพบทีกุฏิหลวงพอ่ ” เมือไปถงึ ได้ยนิ หลวงพ่อสังพี
อุ่นเรือนว่า“อุ่นเรือนส่งให้ถงึ บ้านนะ ส่งให้ถงึ บันไดหน้าบ้านได้ยิงดี ต้องให้พ่อแมเ่ ขาออกมารบั รู้กอ่ นนะ
วา่ ใครมาส่ง แล้วพรุ่งนี มารายงานด้วยว่าเรียบร้อยหรือเปล่า” ดิฉนั ตืนตันใจ นํ าตาไหลพรากในความเมตตา
ทีหลวงพ่อใหด้ ฉิ ัน

จากนั นดิฉันเรียนจบปริญญาตรี และได้ทํางานเป็นครูโรงเรียนแห่งหนึใงนจังหวัดลพบรุ ี นิสัยเอาแต่
ใจตนเองของดฉิ ันยังมอี ยู่ วันหนึงดิฉันถูกหัวหน้าฝ่ ายตําหนิว่าดิฉันไม่ดูแลเด็ก ดฉิ ันโกรธเขา ขาดโรงยเนรี
ไปเฉยๆ ๓ วัน ไปวัดอัมพวัน ระหว่างปฏิบัติกรรมฐานทีหนา้ วัดมีโรงเรียน เสียงเด็กอ่านหนังสือและท่อง
สูตรคูณส่งเสียงดัง ดิฉันกําหนดเสียงหนอ เสียงหนอ จติ มันบอกว่าเด็กอา่ นหนังสือ เด็กท่องสูตรคณู เพราะ
เป็นหน้าทีของเขา ดฉิ ันย้อนมาทีตนเองว่า เราเป็นครู เราทําเช่นนีถูกหรือ เราทิงเด็ก ขาดความรับผิดชบอ
ทําไมเด็กต้องมารบั ผิดชอบการกระทําของเรา คิดได้เชน่ นีจึงขออนุญาตแม่ชีกลับบ้าน

ในปีพ.ศ.๒๕๒๗ ดิฉนั อายุย่างเข้าเบญจเพศ ดฉิ ันหารู้ไม่ว่าความตายกําลังมาถงึ ตัวดิฉนั จาก
อานสิ งส์ของการปฏิบัติกรรมฐานแบบจิมๆ จํ าๆ ได้บ้างไมไ่ ด้บ้าง ตามทีหลวงพอ่ เคยเทศน์ไว้ ทําให้ดิฉัน
รอดตายแบบปาฏิหาริย์ เพราะดฉิ ันตัดสินใจทจี ะแต่งงานกับผู้ชายคนหนึงทีดิฉันคดิ ว่าเขาเป็นผู้ชายดทีทีสุด
ทีดิฉันพบมา แตแ่ ล้วก็ไมม่ ีวันนั นสําหรับดิฉันและเขา เพราะเราไม่ใช่เนือคู่กนั เป็ นกฎแห่งกรรมทีดนิฉเัคย
ทําเขาไว้ในอดีตชาติ เหตกุ ารณ์นีเมือดิฉันนึกย้อนไปในอดีต ดฉิ ันเหมือนคนหลงทาง ไม่รู้จะเดินไปทางไหน
มันมืดไปหมด หลวงพอ่ เป็นผู้ชี ทางให้ ดฉิ นั เดนิ ไปในทางทีถูกทีสุด ทําให้ดิฉันเกิดเป็นคนใหมอ่ กี ครั ง
หลวงพอ่ คอยเตือนสติพรํ าสอนดิฉันว่า“อีหนูอยากหัวดีไหม” “อยากค่ะ” หลวงพอ่ บอกว่าให้ไป“ขัด

ส้วม!” ของเหมน็ คือของหอม ของหอมคือของเหม็น เอาไปปฏิบัติ เหมือนหลวงพ่อจะรู้ลว่ งหน้าว่าจะเกิด
เหตกุ ารณ์อะไรในอนาคตของดิฉัน ความทอี ยากหัวดี จงึ นําคําสังสอนของไปปฏิบัตทิ ุกประการขดั ไป
กําหนดสมาธิไป จงึ รู้ว่าปริศนาหลวงพ่อให้ดิฉันมันคืออะไร ดิฉนั จะทิงไวเป้ ็ นปริศนา แก่ผู้ทีอยากหัวดี
เรียนเก่งนําไปปฏิบัติ

จากนั นดิฉันเริ มเบือชีวิต เบอื การทํางาน เบือทรัพย์สมบัติต่างๆทีมีอยจู่ึงลาออกจากการเป็นครูในปี
๒๕๒๙ ซึงเป็นช่วงเข้าพรรษา ดิฉันจึงมาปฏบิ ัติกรรมฐานทวี ัด๑ พรรษา ทั งยังรกั ษาอุโบสถไม่เคยขาด การ
ปฏบิ ัตธิ รรมของดิฉัน ทําให้ดฉิ ันคิดถึงแม่มากใจแทบขาด แล้ววันพระก็มาถึง หลวงพ่อไดเ้ ทศนร์ วมๆ ใน
โบสถ์ว่า แม่เปรียบเสมือนพระของลูก ทหารทจี ะไปชายแดนไม่ต้องขอพรพระทไี หน ขอจากพ่อแม่เรา
เพราะเรามีพระอยูใ่ นใจแล้ว คือพ่อแม่ กลับไปนําดอกไม้ธูปเทยี นแพไปขอขมาแม่ โดยเชญิ พอ่ แมม่ านังค่กู ัน
ขอขมาพ่อแม่ว่าลูกเคยทําให้พอ่ แมเ่ สียใจในการกระทําของลูก โดยตั งใจหรือไมต่ ั งใจกด็ ี ขอให้พอ่ แม่ให้
อภัยยกโทษให้ลกู ด้วย แล้วกราบเท้าพ่อแม่๓ ครั ง ดิฉันกลับไปปฏิบัติตามทุกประการ แล้วกลับมาปฏิบัติ
กรรมฐานตามเดิม ตั งแตน่ ั นมาดิฉันไม่เคยคดิ ถึงแม่ใจแทบขาดอีกเลย เพราะพ่อแม่ได้อโหสิกรรมให้ดฉิ ัน
แล้ว จากนั นชีวิตของดิฉันเริมเปลียนแปลงไป

ในปีพ.ศ.๒๕๓๐ ดฉิ ันได้พบเพือนสมัยเรียนอยู่ม.ศ.๑ โดยบังเอิญ เขาชวนดิฉันไปเรียนปริญญาโท
สถาบันเทคโนโลยีสงั คม ดิฉนั กลับมาปรึกษาพอ่ แม่ว่า พอ่ ขา– แมข่ า หนูอยากเรียนปริญญาโท คณุ พ่อตอบ
ว่า หน้าอยา่ งนี หรือจะเรียนปริญญาโท คนทีเรียนปริญญาโทนั นต้องขยันนอนดึกตืนเช้า เราขีเกียจหลังยาว
แบบนี อย่าหวังว่จาะสอบได้ ดฉิ ันเสียใจในคําพดู ของพอ่ คําพดู ของหลวงพอ่ ผดุ ขึ นมาในสมองว่า“มอื สอง
เท้าสอง สมองหนึง” ทําให้ดิฉนั เกิดความมมุ านะ ในทีสุดดิฉันก็พสิ ูจน์ให้พ่อแม่ได้เหน็ ว่าดิฉันทําได้

ในปีพ.ศ.๒๕๓๒ วันนั นเป็ นวันโชคดีมากสาํ หรับดฉิ ันทีมาวัดพร้อมกับแม่ พีชาย และน้องสาว
ดิฉนั ได้ขอรูปหลวงพ่อแล้วนําไปใส่กรอบกราบไหว้บชู า นําไปกรุงเทพฯ ด้วย ดฉิ ันมักพูดปรึกษาหลวงพ่อ
เสมอ และได้คําตอบทกุ ครั งทีพูดกับรูปหลวงพ่อ เมือเข้าพรรษาทีผ่านมา ราชการหยุดตดิ ต่อกัน๕ วัน ดิฉนั
ได้มาปฏิบัติกรรมฐานทวี ัดอย่างจริงจัง เมอื กลับกรุงเทพฯ ดฉิ นั ได้ทารบขา่ วว่าจฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เปิ ดรบั สมัครปริญญาโท ดิฉันเกิดความอยากเรียนขึ นมาอีก จึงกลับไปปรึกษาพ่อแม่ ทั งสองลงความเห็นว่า
ไมใ่ ห้เรียนต่อจฬุ าฯ ดิฉันเสียใจกลับกรุงเทพฯ จงึ มาพดู กับรูปหลวงพ่อว่า“หลวงพอ่ ขา หนูอยากเรียนจฬุ าฯ
พ่อแม่ไมใ่ ห้หนูเรียน หลวงพ่อส่งหนนู ะ” ไมม่ เี สียงตอบจากรูปหลวงพ่อ

ดฉิ นั แอบไปสมัครทีจุฬาฯ เหลือเวลาดูหนังสือ๑ เดือน ดิฉันตอ้ งเรียนและมงี านทํา ทั งยังต้อง
ค้นคว้าหาข้อมลู ไม่มเี วลาดหู นังสือ จนกระทั งเหลือเวลาอกี ๑ อาทิตย์สอบ ดิฉันคุยกับหลวงพ่อว่า หลวงพ่อ
ขาช่วยหนูด้วยนะ หนอู ยากสอบได้ทีจุฬาฯทันใดนั นเสียงหลวงพอ่ ก็ดังขึ นในโสตประสาทของดิฉนั ว“่าไม่
ช่วยตนเองก่อน เทวดาทไี หนจะช่วยได้” ทําใหด้ ิฉันเกิดแรงจูงใจลุกพรวด หยิบหนังสือสังคมวิทยาและ
มนุษยวิทยาขึ นมาดู ทั งหมดม๑ี ๐ บท ดิฉันทําบันทึกสรุป(Short Note) ทันที๑๐ บทใช้เวลา ๓ วัน เพราะมี
เวลาดูหนังสือตอนกลางคืนเท่านั น เหลือเวลาอีก๒ วันจะสอบ ทําให้จิตใจของดิฉันร้อนรนกังวลใจ คดิ
เสียใจถ้าสอบไมไ่ ด้ ดิฉันจึงพดู กับรูปหลวงพ่อว่า หลวงพอ่ ขาหนอู ยากสอบได้ แตห่ นูไม่ได้ดูหนังสือ คิด
แล้วนํ าตาไหล เสียงหลวงพ่อก็ดังขึ นอกี ในโสตประสาทว“่า จติ ใจเศร้าหมองเป็ นทุกข์ ตกนรกทังเป็ นนะ
จ๊ะ” เหมือนอํานาจเหนือธรรมชาติทมี ีอิทธิพลต่อจิตใจของดิฉัน ทําให้เกิดแรงบันดาลใจ หยิบบันทึก(Short
Note) ขึนมาท่องทั ง๑๐ บท อ่านไปอา่ นมาคิดว่า บทนีไมส่ าํ คัญตัดทิง บทนีไม่สาํ คัญตัดทิง เหลอื ไว้เพ๔ียง
บท ดฉิ ันใช้เวลาทั ง๒ วัน ท่องจนจําขึนใจทงั ๔ บท ทั งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เมือวันสอบมาถงึ ดฉิ ัน

เหน็ ข้อสอบทั ง๕ วิชายิมอยูค่ นเดียวคิดในใจว่า ดฉิ นั ต้องสอบได้แน่ เมอื วันประกาศผลมาถดึงฉิ ันสอบได้
เป็ นนิสิตปริญญาโทจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัยจริงๆ เมอื พ่อแม่ทราบข่าว ทั ง๒ ท่านดีใจ และส่งใหด้ ฉิ ันเรียน
สมความตั งใจ

ท่านทั งหลาย ลองคดิ ดูซิคะ นีมันอะไรกัน อะไรทีทําใหด้ ิฉันประสบความสําเร็จเช่นนี นอกเสียจาก
อานิสงส์ของการปฏิบัติกรรมฐานและบารมีของหลวงพ่อทชี ่วยเหลือดิฉันมาตลอด ทีเหมือนคณุ พ่อแท้ๆ
ของดิฉันอีกคน (ดิฉนั คิดว่าพ่อ– แม่ให้ชีวิต แต่หลวงพ่อให้อนาคต) ดฉิ นั ตั งสจั จะตอ่ หน้าสิงศักดิ สิทธิ ทุก
แห่ง ในวัดอัมพวันว่าแม้ชีวิตนีถ้าแลกได้ เมือเวลานันมาถึง ดฉิ ันจะแลกให้หลวงพ่อทดี ิฉันนับถือางอสยูง่
ด้วยความเต็มใจ ต่อแตน่ ีไป ดิฉันจะไมท่ ําใหค้ ุณพอ่ ทใี ห้ชวิ ิต และหลวงพ่อทใี ห้อนาคตผิดหวังในตัวดิฉัน
ดฉิ ันจะไม่หยดุ อยู่เพยี งแค่นี แตจ่ ะก้าวตอ่ ไปข้างหน้าอยา่ งชา้ ๆ แต่มั นคงด้วยการปฏิบัติตามทหี ลวงพอ่ ได้
อบรมสังสอนดิฉัน คือ การปฏิบัติกรรมฐาน

สิงทีดิฉันเล่ามานี เป็นประสบการณ์จากชวี ิตจริง ดิฉันคิดว่าคงจะเป็นแนวทางให้ท่านทีสนใจ นําไป
ปฏิบัตติ ามแต่สิงดีๆ และคงจะเกิดประโยชน์แก่ผู้สนใจปฏิบัตบิ ้างไม่มากก็น้อย

เอือมทิพย์ คงเพ็ชร
๑๕๖/๘ หมู่ ๖

ซอยหมบู่ ้านมารศรีนิเวศ
อ.เมือง จ.ลพบุรี ๑๕๐๐๐

บุญพาข้าพเจ้าไปเรือเยาวชน

กุลชลี จงเจริญ
๑๖ ม.ค. ๓๓

ดฉิ ัน น.ส. กุลชลี จงเจริญ จบการศึกษาชั นมัธยมศกึ ษา จากร.ร.พิบลู วิทยาลัย จ.ลพบรุ ี และ
ศกึ ษาศาสตร์บัณฑติ จากมหาวิทยาลัยศิลปากร จ.นครปฐม

หลังจากนั นได้เข้ารับราชการอาจารย๑์ ระดับ ๓ สอนวิชาภาษาอังกฤษ ทรี .ร.บุญนาคพทิ ยาคม จ.
ชัยนาท เป็นเวลา ๒ ปี เศษ จงึ ได้สอบโอนมารบั ตําแหน่งนักวิชาการศึกษา๔ สาํ นักงานศึกษาธิการจังหวัด
สิงห์บุรี ปัจจบุ ันกําลังศึกษาต่อระดับปริญญาโท สาขาบริหารการศึกษา จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เมอื กลางปี ๒๕๓๑ ดิฉนั ได้มีโอกาสสมัครสอบ โครงการเรือเยาวชนเอเชียอาคเนย(์ ขณะนั นดํารง
ตําแหน่งนักวิชาการศึกษา๔ สํานักงานศึกษาธิการจังหวัดสิงห์บรุ)ี มีผู้สมัครสอบประมาณ๗๐๐ กว่าคน รบั
ทั งสิ น๓๕ คน

เนืองจากดฉิ ันจบการศกึ ษาในสาขาวิชาภาษาอังกฤษ มีความต้องการเดนิ ทางไปดงู านและ
แลกเปลยี นวัฒนธรรมระหว่างประเทศในกลุ่มอาเซียน(มาเลเซีย, สิงคโปร์, อนิ โดนีเซีย, ฟิลิปปิ นส์, บรูไน
และประเทศญีปุ ่ น) แตก่ ไ็ ม่ได้คาดหวังอะไรไว้มาก เพราะผู้สมัครสอบมีเป็ นจํานวนมาก

และอกี ประการหนึง งานทีดิฉันสอบโอนเข้ามาในตําแหนง่ นักวิชาการศกึ ษา ก็ยังเป็นงานใหม่ ยัง
ต้องเรียนรู้งานอกี มากมาย เลยไมค่ อ่ ยมีเวลาดหู นังสือ ก็เกดิ ความกระวนกระวายใจมาก

ในช่วงนั นคุณแมก่ ใ็ หส้ วดมนต์ภาวนา ในบทสวดทีทา่ นพระครูจรัญ วัดอัมพวัน(พระภาวนาวิสุทธิ
คุณ) ให้คุณแม่สวดอยู่เป็ นประจํา

ดิฉันก็สวดทกุ คนื ตอนแรกๆ ก็ลําบากเอาการอยู่ เพราะใจหนึงไม่ได้สนใจทางน(ี เพราะต้องสวด
เทา่ อายุเกิน ๑) ตอนหลังๆ ก็เคยชนิ และใจก็สงบลง อา่ นหนังสือได้เข้าใจง่าย

พอถึงช่วงใกล้สอบก็เริมไม่สบายใจอกี ครั ง เพราะวิตกกังวลกับจํานวนผู้สมัครสอบว่ามากมาย
เหลือเกิน ก็ไปหาหมอดู คนแรกบอก ต้องเสียเงินจงึ จะสอบได้

หมอดูคนทีสองบอกว่า ไม่ต้องไปสอบหรอก สอบอย่างไรก็ไม่ได้ ช่วงนีดวงไม่ค่อยดี ต้องสะเดาะ
เคราะห์

คนทสี ามกบ็ อกว่า ดวงเกือบจะดี ถ้าไม่มีคนปัดแข้งปัดขาก็สอบได้
ดิฉันคิดว่าเมือได้สมัครไปแล้ว ก็ลองไปสอบดู และกค็ ิดว่าจะพยายามอยา่ งสุดความสามารถ
ช่วงนั นกท็ ่องบทสวดมนต์ให้สบายใจ แล้วก็มุอ่านหนังสืออย่างหนัก และกบ็ อกใหค้ ุณแม่ช่วยสวด
มนต์แผ่เมตตาให้ด้วย เป็นกําลังใจอีกทางหนึง
เมอื ถงึ วันสอบ คุณแมไ่ ด้นํารูปโปสการ์ดของพระครูจรัญติดกระเป๋ าไปด้วย หลังจากนั นไม่นานมกี ็

โทรเลขเรียกตวั ให้นํารูปถ่ายไปทําพาสปอร์ต

ช่วงนั นเป็นชว่ งทดี ีใจมากทีสุดในชีวิต ทคี วามพยายามของตัวเรา ประกอบกับการสวดมนต์ภาวนา

แผ่เมตตาทีได้ช่วยให้จิตใจสงบ ทาํ ให้ความฝันเป็ นจริงขึนมา
ในช่วงทีเดินทางครั งแรก จากสนามบินกรุงเทพฯถึงสนามบินกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย

ประมาณ ๒ ชั วโมงกวา่ ๆ กไ็ ม่มีปัญหาอะไรมาก จากนั นก็นังรถเป็นเวลา๕ ชั วโมงเศษเพือทีจะไปขึ นเรือที
เมอื งกวนตัน รัฐปาหัง ซึงเยาวชน๗ ชาติจะไปรวมกันทีนั น

จากนั นก็มพี ิธีต้อนรับ และไปพักอยู่กับครอบครัวทีนั นเป็นเวล๓า วัน(ในแตล่ ะประเทศ) ดฉิ ันก็
สวดมนต์ให้พบแต่ครอบครัวทีดๆี และก็เป็นจริงทั ง๖ ชาตทิ ีดิฉันเข้าพัก เป็นครอบครัวทีใจดี น่ารักมาก ซึง
เพอื นๆ บางคนก็พบครอบครวั ทไี ม่ค่อยดี ต้องกลับมานอนทีเรือ เพราะไมส่ ามารถพักอยู่ได้

เพอื นๆ ก็ถามว่า ทําไมเธอโชคดีจังเลย ทั ง๖ ประเทศทีเข้าพักมีแต่ครอบครัวทีนิสัยดที ั งนันเลย ดิฉัน
กบ็ อกว่า ไมม่ อี ะไรหรอก กส็ วดมนต์ทุกคืน แล้วขอภาวนาขอให้พบสิ งทีดีงาม

ประเทศทีน่าประทับใจทสี ุด เห็นจะเป็นประเทศบรูไน ซึงตอนนั นดฉิ ันได้เข้าพักกับครอบครัว
ทหารพอ่ กับแม่บุญธรรมใจดีมาก พ่อเป็นทหารยศพันตรี แมเ่ ป็นแมบ่ ้าน

ในประเทศบรูไน อาชีพทหารได้รับการยกย่องและมเี กียรติมาก ตอนนั นดฉิ ันพักอยู่กับเพอื นชาว
ฟิลิปปิ นส์ (กฏของโครงการคือจะพักกันแต่ละครอบครัวได้ ๒ คน)

พ่อกับแม่บุญธรรมกไ็ ด้พาเราทั งสองชมประเทศด้วย การนั งเฮลคิ อปเตอร์ ชมทิวทัศนร์ อบๆ เมือง
หลวง ซึงนับว่าเป็นโชคดีมาก อกี ทังยังให้โทรศัพท์ข้ามประเทศมาเมืองไทยและฟิลปิ ปินส์อกี ด้วย

ตอนนั นพ่อถามว่า คิดถงึ บ้านไหม? เราทั งค(ู่ เพือนชาวฟิลิปปินส์) บอกว่าคิดถึงมาก พ่อบญุ ธรรมก็
บอกว่าจะตอ่ โทรศัพท์ให้คุยได้ จะคุยเทา่ ไรกไ็ ด้ เพราะเขามีสิทธิ โทรฯ ข้ามประเทศฟรี

เพือนฟิลิปปิ นส์โทรฯ ก่อน เนืองจากบ้านดิฉันยังไม่ได้ติดโทรศัพท(์ ขอไป ๓ ปีแล้ว ยังไม่ได้ ทั ง
อําเภอมีโทรศัพท์อย๓ู่ เครือง คือ โทรฯ สาธารณะ ถ้ามีเหตจุ ําเป็น กส็ ามารถโทรฯ เข้าไปได้ จะมีคนรับและ
ก็ไปตามคนทีบ้านให)้

ดิฉันเองไม่เคยโทรฯ มาทโี ทรศัพท์สาธารณะเลย เพราะคุณแม่จะโทรไปคุยด้วยฝ่ ายเดยี ว ดฉิ ันก็ให้
เบอร์โทรฯ ของบ้านอาไป กะว่าจะคุยกับอาก็ได้ แต่เบอร์ของอาสายไม่ว่าง

พ่อถามว่ามีอีกเบอร์หนึงไหม ดฉิ ันก็บอกว่าไม่มี ใจหนึงกค็ ดิ ถึงบ้าน ในใจก็ภาวนาถงึ หลวงพ่อ
ขอให้ช่วยด้วย ก็นึกถึงโทรศัพท์สาธารณะ ยิงนึกไปก็ภาวนาไป ทั งๆ ทไี ม่คิดว่าจะได้ผลเพียงไร ก็เขยี น
ขึนต้นด้วยเลข๔ เพราะจังหวัดลพบุรี จะนําหน้าเบอร์โทร ด้วยเลข๔ ก็แวบหนึงขึนมา เขียนไป๔๑๓๐๓๐
ในใจแวบมาให้เขียนไปอย่างนั น

กบ็ อกให้พอ่ ลองหมุนดู นึกในใจว่าลองดู ถ้าไมใ่ ช่ ก็ไม่เสียหายอะไร รออยู่สักพัก พ่อบอกว่าสายติด
แล้ว! ปรากฏว่าใช่จริงๆ ด้วย!

ตอนนั นตนื เต้นมาก เด็กรับสายบอกว่า ต้องการพูดกับใคร ดิฉันก็บอกชือคณุ พอ่ ซึงก็ปรากฏว่าคณุ
พ่อออกมาซือของทตี ลาดพอดี (บ้านดิฉันอย่หู ่างจากตู้โทรศัพท์ เวลาเดนิ ประมาณ๓ – ๕ นาที)

บังเอญิ เหลอื เกิน เพราะช่วงนั นคณุ แม่ไปงานกฐินอยู่ แตค่ ุณพอ่ เลยต้องมาซือของเอง(ปกติเป็น
หน้าทีคุณแม)่ ขณะทีดิฉันเขยี นอยู่ ก็ยังงงไม่หายว่า เหตกุ ารณ์เหล่านีเกิดขึ นได้อย่างไรราวาปฏิหาริย์

อีกช่วงหนึงทีประทับใจไม่มีวันลืม คือ ช่วงจากประเทศบรูไนไปประเทศฟิลปิ ปินส์ ช่วงนั นไต้ฝุ่น
เข้าประเทศฟิลิปปิ นส์ ๓ ลูกติดๆ กัน ขณะนั นเรือกําลังเดินทางเข้าฟิลิปปินส์พอดี เรือถกู คลืนลูกใหญ่ซัดอยู่
ตลอดเวลา โต๊ะทานข้าวล้มระเนระนาด พวกเรากเ็ มาเรือกันมา ๒ วัน๓ คืน ทานอะไรกันไม่ได้เลย อาเจียน
ตลอดเวลา บางคนกเ็ ป็นมาก บางคนกเ็ ป็นน้อย ดิฉนั กส็ วดมนต์ภาวนาตลอดเวลา

เพราะช่วงนั นเรือลํากอ่ นหนา้ เรือทีดิฉันอยู่ ได้จมไปพร้อมกับลกู เรืออีก๒๐๐ กว่าคน ทําให้พวกเรา
เสียใจกันมาก แตก่ ็เป็ นทีน่าแปลก ทสี ุขภาพของดิฉันหลงั จากทีทานอะไรไม่ไดต้ ลอด ๒ วัน กไ็ มไ่ ด้มีอาการ
อ่อนเพลียแต่อย่างใด กลับมอี าการปกติ และหลังจากนั นมา ก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรร้ายแรง จนกระทั งเดนิ ทาง
กลับ

หลังจากกลับได้๒ เดอื น กส็ มัครสอบปริญญาโททีจุฬาฯ ในใจคิดว่าอยากเรียนตอ่ เพือ
ความก้าวหน้าของตนเอง ก็เลยตั งเป้ าหมายไว้ว่า ต้องพยายามสอบให้ได้

ทุกคืนก็สวดมนต์ภาวนาแผ่เมตตาเรือยมา จึงประสบความสําเร็จตามทีตังใจไว้
ดฉิ ันวิเคราะหด์ ูว่า ประสบการณ์ทีผ่านมาทั งหมดในชีวิตของดฉิ ัน กว่าจะมาถึงวันนี เกิดจากเหตุ
สําคัญ๒ ประการคือ
ประการที ๑ การสวดมนต์ภาวนาทําจิตใจให้สงบ แผ่เมตตา นึกถงึ คําสังสอนของหลวงพ่อพระ
ภาวนา วิสุทธิคุณ บิดา มารดา ครูอาจารย์ ทําให้มีสติในการกระทาํ ทไี ด้กระทําไป
ประการที ๒ ความตังใจกระทาํ ในสิงหนึงๆ ประกอบกับความพยายามส่วนตน ทําให้การกระทํา
ต่างๆ ลุล่วงและประสบผลสําเร็จไปด้วยดี

กลุ ชลี จงเจริญ
ชัชวาลย์เภสัช

๓๕ อ.ท่าวุ้ง
จ.ลพบุรี ๑๕๑๕๐

วปิ ัสสนาพฒั นาชีวิต

ร.อ.หญงิ สุชาวดี ไชยยันต์บูรณ์ ร.น.

เรือเอกหญิง สุชาวดี ไชยยันต์บูรณ์ ประจําแผนกบัญชีทุน กองแผนและโครงการ กรมอู่ทหารเรือ
บดิ าชือ นายชาญ มารดาชือ นางผ่องศรี ไชยยันต์บูรณ์ เป็นบุตรคนโตของคุณพ่อคุณแม่ มีน้องสาว๑ คน ชือ
น.ส. พัฒนศรี ไชยยันต์บูรณ์ และน้องชาย ๑ คน ชือ นายศิริชัย ไชยยันต์บูรณ์ ทีอยู่คือ บ้านเลขที๘ ซอยนภา
ทรัพย์ สุขุมวิท ๓๖ พระโขนง กรุงเทพฯ ๑๐๑๑๐

ดิฉนั ยังจําวันแรกทีดฉิ ันมากราบนมัสการหลวงพ่อจรัญ หรือพระภาวนาวิสุทธิคุณ ทีวัดอัมพวัน
จังหวัดสิงห์บรุ ีได้ ประมาณปี พ.ศ.๒๕๒๔

ตอนนั นครอบครัวของดิฉันประสบเคราะหก์ รรมอย่างหนัก คณุ พ่อและคุณแม่ไม่ทราบว่าจะทํา
อยา่ งไรกับปัญหาทเี กดิ ขึน ทําใหด้ ิฉันและน้องๆ รู้สึกกลุ้มใจมาก แต่อาจเป็นเพราผะลบุญจากการทําบุญใส่

บาตร และสวดมนต์ไหว้พระทกุ ๆ วัน จึงดลบันดาลใจให้ครอบครัวของดิฉันมาทีวัดนี
เริ มต้นด้วยคุณแมอ่ ่านพบเรืองของหลวงพ่อจรัญ และวัดอัมพวัน จากหนังส“ือคนพ้นโลก” คณุ

แม่บอกว่าอยากมาวัดนี มาก และเมอื พวกเราได้อ่านกันก็มีความคดิ เช่นเดียวกับคุณแวม่า่ควรจะมากราบ
นมัสการหลวงพ่อและลองปรึกษาเรืองปัญหานีกับท่านดู ท่านคงจะชีทางแก้ปัญหาให้กับพวกเราได้บ้าง
ดังนั นพวกเราจงึ พร้อมใจกันมาวัดอัมพวัน

พอพวกเราเข้าไปกราบนมัสการหลวงพ่อ ท่านก็ทักว่าโยมมีเรืองเดือดร้อนใช่ไหม คุณพ่อก็ยอมรับ
และกราบเรียนทา่ นถึงปัญหาทีครอบครวั ของเราประสบอยู่

กล่าวคือ คณุ พ่อของดิฉันทํางานเกียวกับการเดนิ เรือรับส่งสินค้าระหว่างประเทศ ช่วงแรกๆ กิจการก็
ดําเนินไปด้วยดี ต่อมาคณุ พ่อจงึ ตั งบริษัทขึ นมาอกี บริษัทหนึง งานก็ทําทา่ จะไปได้ดี เพราะมีการตดิ ต่อกจา
เจ้าของสินค้า จะให้บริษัทเราเป็นผู้สง่สินค้าให้ แต่พอตกลงเรืองค่าขนส่ง จะต้องมีอันพลาดงานไปทุกครั ง

ปรากฎว่าไม่มีงานเขา้ บริษัทสักชิ นเดียว เป็นเวลาเกือบ๓ ปี ค่าใช้จ่ายก็เพิมขึ นทุกที ไม่ว่าจะเป็นค่า
เช่าสํานักงาน ค่าโทรศัพท์ คา่ เทเล็กซ์ ค่าลูกจ้างในบริษัท ซึงรายได้ทีจะนํามาจา่ ยเป็นค่าใชาจ้ ย่ เหลา่ นีไมม่ ี
เลย ต้องชักทุนออกมาเป็นค่าใช้จา่ ยทุกๆ เดือน

แต่คณุ พ่อยังไมย่ อมแพ้ เทียวไปกู้หนี ยืมสิน เพราะหวังว่าสักวันหนึงเราจะได้งานบ้าง แตย่ ิงลงทุน
เหมือนกับว่าทุนนั นจมหายไปเปลา่ ๆ โดยไมไ่ ด้ผลตอบแทน จนกระทั งทรพั ยส์ ินทีเรามีอยคู่ ่อยๆ หมดลง
ประกอบกบั คณุ พ่อนําเงินไปลงทุนเหมอื งแร่ทีสุโขทัย และถูกโกงอีก จึงเหมือนกบั สิ นเนือประดาตัว ตอน
นั นครอบครัวของเราอยู่อยา่ งฝืดเคืองมาก อยา่ งทีไม่เคยพบมาก่อน

หลวงพ่อนังนิงสักพักแล้วกพ็ ูดขึนมาว่า
“ดีแล้วนะโยม ทีโยมไม่ได้งานพวกนี ถ้าได้งาน โยมจะรวยเป็น ๑๐ – ๒๐ ล้าน แต่มันเป็นทุกขลาภ
โยมอย่าเอาเลยนะ ถ้ารวยแล้วตายไปคนหนึง โยมจะเอาไหมล่ะ แต่ไม่เป็นไรหรอก โยมอย่าไปเลิกกิจการก็
แล้วกัน ต่อไปจะดเี อง รับงานไม่ไหวเลยละ แต่ต้องรอเวลาหน่อยนะ อาตมาจะแผ่เมตตาช่วยให้”

แล้วหลวงพ่อกม็ องมาทดี ิฉนั และน้องสาว และพดู ว่า“ลกู ๆ ของโยมกด็ นี ะ ต่อไปจะได้ดี เป็นใหญ่
เป็นโต” และท่านก็แนะนําให้ดิฉนั กับน้องสาวมาปฏบิ ัติวิปัสสนากรรมฐานทวี ัดอมั พวัน

ดิฉันและน้องสาว ตามปกติกส็ นใจทางด้านนี พอสมควร เพราะเราตดิ ตามคุณยายเข้าวัดตั งแตเ่ ด็กๆ
แตก่ ็ยังไม่เคยเรียนนังกรรมฐานวิปัสสนาอยา่ งจริงจังเลย ดฉินัและน้องสาวกร็ ับปากกับหลวงพ่อว่า จะหา
เวลามาเจริญกรรมฐานทีวัดอัมพวัน แตต่ ิดว่าช่วงนั นดิฉันต้องเรียนหนังสือต่อให้จบก่อน เพราะเหลืออกี ไมี ่ก
วิชา ดิฉันกจ็ ะสําเร็จปริญญาตรีทางบัญชีจากมหาวิทยาลัยรามคําแหงแล้ว

ในปีพ.ศ.๒๕๒๕ ดิฉันได้สอบภาคการศึกษาสุดท้ายสําเร็จ แตไ่ ม่แน่ใจว่าสอบผ่านหมดทุกวิชา
หรือไม่ ดิฉันรู้สึกกระวนกระวายใจมาก เพราะอยากรีบจบเร็วๆ และรีบหางานทํา เพือจะได้ไม่เป็นภาระของ
คุณพ่อคุณแม่ และยังสามารถช่วยเหลือทางบ้านได้ด้วย เพราะน้องๆ อีก๒ คนกําลังเรียนหนังสือ

งานทบี ริษัทของคณุ พ่อทเี ปิดใหม่ก็แย่ลงทุกทๆี จนในทสี ุดก็ปิดกิจการแห่งนี ลง แตก่ ็ยังเหลืออีก
แห่งหนึง ซึงคุณพอ่ ของดิฉนั ยึดถือคําพดู ของหลวงพอ่ ไว้ว่าอยา่ เลิกกิจการ ให้ทนทําไปแล้วจะดขี ึ นเอง

ช่วงนั นดิฉัน น้องสาว และพีสาวซึงเป็นลูกของคุณลุงว่างพอดี ซึงปรึกษากันว่าเราน่าจะมาปฏิบัติ
วิปัสสนากรรมฐานตามทหี ลวงพ่อได้เคยแนะนําไว้

พวกเราจึงชวนกันมาทีวัดอัมพวันถอื ศีล ๘ และเริมปฏิบัตวิ ิปัสสนากรรมฐาน โดยมคี ุณยายซึงอายุ

มากแล้วมาปฏบิ ัตดิ ้วย คุณยายสุ่ม ทองยิง เป็ นผู้สอนให้

พวกเราปฏบิ ัติอยู่๑ สัปดาห์ รู้สึกจิตใจเบาสบายและสงบอย่างทีไม่เคยรู้สึกมาก่อน พอกลับมาจาก

วดั กไ็ ด้นาํ มาปฏบิ ัติทีบ้านด้วยเป็ นประจํา
เมอื มีการประกาศผลสอบภาคสุดท้าย คือ ประมาณต้นปี ๒๕๒๖ ปรากฏว่าดิฉันสอบผ่านหมดทุก

วิชา ดิฉันดีใจมาก เพราะอย่างน้อยก็ไม่ต้องรบกวนคา่ ลงทะเบยี นจากทางบ้าน ตอนนีก็เหลอื แต่หางานทําให้
ได้เทา่ นัน

ดิฉนั ภาวนาขอให้ได้ทํางานดีๆมีเกียรติอยู่เสมอ ซึงดิฉันก็โชคดที ไี ด้เพอื นของคุณแม่ท่านหนึง
เมตตาดิฉัน ช่วยฝากให้เข้าทํางานเป็นลูกจ้างชัวคราวในบริษัท คอลเกตปาล์มโอลีฟ จํากัด

เดือนแรกทีดิฉันได้รับเงินเดือน ดิฉันได้แบ่งเงนิ ออกเป็ น ๓ ส่วน ส่วนแรกแบ่งไว้ทาํ บุญ ส่วนทีสอง

ให้คุณแม่ไว้เป็ นค่าใช้จ่ายในบ้าน ส่วนทีสามเกบ็ ไว้เป็ นค่าใช้จ่ายส่วนตวั ดิฉันทํางานอยทู่ นี ีได้ประมาณ๓
เดือน

ตอ่ มากองทัพเรือได้ประกาศรับสมัครบุคคลเข้ารับราชการ รู้สึกว่าจะเป็นเดือนมีนาคม๒๕๒๖ ซึง
ดฉิ นั ไม่ทราบเรืองเลย แต่ทางบ้านคณุ ลุงโทรศัพทม์ าบอกทีบ้านของดิฉันไว้ ใหรีบ้ ไปสมัคร เพราะเหลอื อกี
๒ วันเท่านั นก็จะปิดรับสมัครแล้ว

ดฉิ นั กลุ้มใจมาก เพราะเพิงทราบผลการสอบได้ไม่นานนัก หลักฐานการจบและใบรับรองผลการ
เรียน (Transcript) ก็ยังไม่มี ก่อนนอนคนื นั น ดฉิ นั จึงอธิษฐานจิต ขอให้ทา่ นช่วยให้ดิฉันสมัครและสอบเข้า
รับราชการได้

ในวนั รุ่งขึนดิฉันก็ไปสมัคร โดยมีหลักฐานเพียงแค่บัตรประชาชน และสําเนาทะเบียนบ้านเทา่ นั น
ใบรับรองผลการเรียนและหลักฐานอืนๆ ตามทที างราชการกําหนดก็ไมม่ ี เจ้าหน้าทจี ึงไม่ให้ดิฉันสมัคร

ดฉิ ันเสียใจมาก คิดว่าเราคงไม่มีโอกาสสมัครแนแ่ ล้ว เพราะกว่าจะได้หลักฐานต้องใเชว้ลามากกว่า
๑ สปั ดาห์ เหลืออีก ๑ วัน ทางราชการจะปิดรับสมัครอยู่แล้ว

ดฉิ ันเดินคอตกกลับบ้านเลา่ ให้คณุ แม่ฟัง พอดเี พือนของคณุ แม่ ซึงดฉิ ันเคารพนับถือมากอีกทา่ น
หนึง มาหาคณุ แม่ พอท่านได้ฟัง ท่านบอกว่าไมต่ ้องตกใจ เพราะป้ ารู้จักเจ้าหนา้ ที ทีทําหน้าทีออกใบรับอรง
ผลการเรียนและหลักฐานตา่ งๆ

คุณป้ าจงึ เขยี นจดหมายและแนะนําให้ดิฉันไปพบกับเจ้าหน้าทขี องมหาวิทยาลัยคนนี ดฉิ ันแปลกใจ
มากทีพอไปหาเจ้าหน้าทคี นนี แล้วก็ยืนจดหมายให้ พร้อมพูดกับขอร้องให้เขาเห็นใจดิฉัน เขาก็จัดการออก
หลักฐานและเอกสารต่างๆ ให้กับดิฉันทันที โดยไม่รอช้าเลย ดิฉันจึงกลับไปสมัครใหม่อกี ครั งหนึงในวัน
สุดท้าย ซึงก็สามารถสมัครได้ทันเวลาพอดี

พอถงึ กําหนดวันสอบ คือ ประมาณเดือนเมษายน พ.ศ.๒๕๒๖ ดฉิ ันรู้สึกตืนเต้นมาก เพราะจํานวน
ของผู้สมัครสอบในตําแหน่งเจ้าหน้าทีการเงิน มีเป็นรอ้ ยๆ คน แต่ตําแหน่งทจี ะรับมีเพียง๑๖ ตําแหน่ง
เทา่ นั น ดิฉันได้แต่กลัวว่าจะสอบไมไ่ ด้ รู้สึกท้อแท้ใจมาก

แตแ่ ล้วอยู่ๆ กน็ ึกถงึ หลวงพ่อ ทีท่านสอนให้กาํ หนดจิตให้เป็ นสมาธิ แล้วจะเกดิ ปัญญาขึนมาเอง
ดังนั นตอนเข้าห้องสอบ ดฉิ ันจงึ ไม่รู้สึกตืนเต้น และทําข้อสอบได้อย่างมั นใจ

หลังจากนั นอีก๔ เดือน ทางราชการก็ประกาศผลสอบ ปรากฎว่าดิฉันสอบผ่านข้อเขยี น แต่ก็เหลอื
สอบสมั ภาษณ์และตรวจโรค ซึงดิฉนั ก็เกิดความไมแ่ น่ใจอีก เพราะผู้สอบผ่านข้อเขียนมีถงึ ๔๐ คน แต่
ต้องการเพยี ง๑๖ คนเทา่ นั น

พอถงึ วันสอบสมั ภาษณ์ ดฉิ ันจงึ ทาํ สมาธิก่อนเข้าสอบ ปรากฎว่าได้สอบกับเจ้าหนา้ ทีทเปี ็นกันเอง
และรู้สึกเขาจะเมตตาต่อดิฉันมาก ชวนคยุ มากกว่าเป็นการสัมภาษณอ์ ย่างจริงจัง ไม่รู้สึกว่ามคี วามเครียดเลย

หลังจากนั นก็มีการตรวจโรค แล้วจึงประกาศผลสอบรอบสุดท้าย ปรากฎว่า๑ ใน ๑๖ ตําแหน่งนั น
มีชือของดิฉันรวมอย่ดู ้วย ดิฉันดใี จมาก

ในทีสุดดิฉันก็ไดง้ านทีมีเกียรตติ ามทไี ด้อธิษฐานไว้ โดยได้เข้ารับราชการเมอื ต้นปี๒๕๒๗ และ

ได้รับพระราชทานแต่งตังยศ จากพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัว ให้เป็ นว่าทีเรือตรีหญงิ แห่งราชนาวีไทย
ดฉิ นั ปลืมใจมาก คุณพอ่ และคุณแม่ก็ภูมิใจ และปลืมใจไปกับดฉิ ันด้วย

ดฉิ ันและครอบครัวเชือมันและศรัทธาหลวงพ่อมาก เพราะท่านได้แนะแนวทางทดี ใี ห้กบั ครอบครัว

ของเรา ถ้าดิฉันสามารถปลีกเวลากจากการทํางานได้ ดิฉันและน้องสาวจะมาถือศีล ๘ และเจริญวิปัสสนา

กรรมฐานทีวัดอัมพวนั เสมอ ปรากฏว่ามีสิงดๆี เกิดขึนกับชวี ติ ของดิฉันมากมายเป็ นทีน่าอศั จรรย์ใจมาก
เมอื ประมาณต้นปี พ.ศ.๒๕๓๒ ดิฉันสอบชิงทุนของกองทัพเรือ เพอื ไปศึกษาอบรมและดูงาน

ทางด้านการเงินของกองทัพบกสหรฐั ฯ ได้๒ หลักสูตร คอื หลักสูตรFINANCE OFFICER BASIC
COURSE และหลักสูตรRESOURCE MANAGEMENT INTRODUCTORY COURSE โดยมีกําหนด

เดินทางในเดือนสิงหาคม ดิฉันรู้สึกวางใจว่าจะต้องได้ไปแน่นอน เหลอื เพยี งต้องสอบผ่านข้อเขียน
ภาษาอังกฤษทีJUSMAG-THAI ให้ผา่ นเกณฑเ์ ท่านั น

ดิฉันได้ไปหาหมอดู หมอดูบอกว่าดฉิ ันไม่มีดวงเดินทางไปต่างประเทศหรอก ดิฉันยังนึกขําอยู่ใน
ใจ กใ็ นเมือเราสอบได้แล้ว ทําไมจะไม่มที างได้ไปล่ะ หมอดคู นนี ใชว้ ิชาเดาแน่ๆ เลย ดิฉันก็ไม่สนใจแล้ว

แตแ่ ล้วประมาณเดือนพฤษภาคม ดฉิ ันแทบชอ็ ค เพราะได้รับข่าวจากหน่วยงานทดี ําเนินงานเกียวกับ
เรืองทนุ นี ว่า เสียใจด้วยทีต้องเสนอทุนทีดิฉันสอบได้นี ขึ นไปให้ท. พร ิจารณาตัดงบประมาณ เนอื งจากทุนที
ดฉิ นั ได้รบั นี มีคนไปมาแล้วหลายคน จะได้นํางบประมาณนี ไปพิจารณาใช้สนับสนุนงานด้านอืนของกองทัพ
ต่อไป

ดิฉนั เสียใจมาก หรือดวงของเราเป็นไปตามทีหมอดูทํานายไว้จริงๆ เมือกลับมาถงึ บ้าน ดิฉันก็ได้
ปรับทกุ ข์กับคุณแม่ คณุ แม่เตือนสติให้นึกถงึ หลวงพอ่ คืนวันนั นดฉิ ันได้ทําสมาธิและอธษิ ฐานจิตถึงหลวง
พ่อ ขอให้หลวงพ่อแผเ่ มตตาช่วยใหด้ ิฉันได้ไปศกึ ษาทีสหรฐั อเมริกาด้วย

ตอ่ มาประมาณเดือนตลุ าคม ดิฉันกไ็ ด้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าทคี นเดมิ ทีดําเนินการเรืองทุนนี แจ้ง
ให้ดิฉนั ทราบว่า ดิฉันต้องไปสอบทีJUSMAG-THAI ดิฉันขนลุกซู่ด้วยความปี ติ เพราะนันหมายความว่า
ดฉิ ันมโี อกาสได้เดินทางไปสมหรัฐอเมริกาแล้ว ช่างน่าอัศจรรย์แท้ทีเดียว

ดังนั นเมือดิฉันสอบผา่ นข้อเขียนภาษาอังกฤษขอJงUSMAG-THAI แล้ว ดิฉันจึงเตรียมตัวเดินทาง
โดยกําหนดการเดินทางเลือนมาเป็นปลายเดือนธันวาคม ๒๕๓๒

การเดินทางครั งนีเป็นการออกนอกประเทศครั งแรกในชีวิตของดนิฉั ดิฉันจึงเทยี วไปสอบถาม
ข้อมูลต่างๆ จากผู้ทีเคยเดินทางไปมาแล้ว ก็ได้รบั คําตอบทีแตกต่างกันออกไป

ส่วนมากจะบอกใหร้ ะวังจะพบเพอื นไม่ดี ไม่เอาใจใส่เรา ทําให้เราเรียนไม่รู้เรือง ผลการเรียนกแ็ ย่
แถมสุขภาพจิตกจ็ ะเสียด้วย

ดิฉันวุ่นวายใจมาก คิดไปต่างๆ นานาว่า ภาษาอังกฤษของเราก็แค่พอใช้การได้เทา่ นั น ไมไ่ ด้เก่งไร
มากมาย เวลาจะเรียนหรือสอบ เราจะทําอยา่ งไร เกิดวิตกจริตขึ นมาอีก ดิฉันก็นึกถงึ หลวงพ่อ อธิษฐานขอให้
พบแต่คนดีๆ ประสบผลสาํ เร็จในการศกึ ษา และปราศจากภัยอันตรายทั งปวง

เชือไหมคะว่า พอดิฉันไปถึงสหรฐั ทีFORT BENJAMIN HARISSON รัฐ INDIANA ดิฉันพบแต่
คนดๆี เป็ นมิตรด้วยทังนันไม่ว่าจะเป็นชาวต่างชาติอืนๆ ทีได้ทุนมาเหมอื นกัน, ชาวอเมริกันทเี ป็นเพือนๆใน
ชั นเรียน, Instructor (ครูผู้สอน) และ Class Advisor (ครูประจําชั น) ตา่ งให้ความเมตตาแกด่ ิฉันหมด ทําให้
บรรเทาความคดิ ถงึ บ้านลงได้บ้าง

เวลาทีดฉิ ันไม่เข้าใจบทเรียน เพือนๆ ต่างก็อาสาช่วยอธิบายให้ดฉิ ันเข้าใจได้ง่ายขึ น ดิฉันประทับใจ
ในพวกเขาเหล่านั นมาก แต่ดิฉันยังกังวลใจเกียวกับการสอบ เพราะศัพท์ภาษาอังกฤษทีเรียนไม่มใี น
Dictionary เพราะเป็นศัพท์เฉพาะทีเรียกว่าTechnical term เกือบทั งหมด ดฉิ ันหนักใจมาก ถ้าดิฉันสอบตก
ฝรั งต้องดูถูกเราแน่นอน

ดังนั นก่อนสอบดิฉันจะนังสมาธิ ทําใจให้สงบสักพักหนึงก่อนทอ่ งหนังสือ ปรากฏว่าเหมือนกับ

ถ่ายรูปข้อความต่างๆ เหล่านันไว้ในสมอง พอทาํ ข้อสอบ แค่นึกเท่านัน คําตอบก็อยู่ในสมองดิฉันหมดแล้ว

ทําให้ดิฉันทาํ คะแนนได้ดี
บางวิชาก็ทําคะแนนได้มากกว่าเพือนฝรังบางคนในห้องอีกด้วย เพอื นๆ กต็ า่ งทึงดิฉันมาก มีเพือน

คนหนึงมาสารภาพกับดฉิ ันว่า เขาเข้าใจว่าคนเอเชียโงก่ ว่าพวกเขา แต่ต่อไปนี จะไม่คิดอยา่ งนี อีกแล้ว ทหําใ้
ดิฉนั รูส้ ึกภูมิใจทอี ย่างน้อยกท็ ําให้ฝรังยอมรับในความสามารถของเราได้

ก่อนจบหลักสูตรจะมีชัวโมงทใี ห้ทุกๆ คน ได้ฝึกพูดต่อหน้าสาธารณชน เรียกว่าการBriefing โดย
แต่ละคนจะต้องเลือกหัวข้อขึ นไปพูดบนเวทหี น้าชั นเรียน โดยใช้เวลา๑๐ – ๑๕ นาที

ดฉิ นั เลอื กเรือง “เมืองไทยของเรา” ขึนไปพูดให้ฝรังฟังกัน ธรรมดาแล้วดิฉนั เป็นคนค่อนข้างขี
ขลาด รู้สึกประหม่าตอ่ หน้าสาธารณชน ยิงมคี นฟังมากๆ จะพาลไม่กล้าพูดเสียเฉยๆ แต่ครั งนี แปลก พอดิฉัน
กําหนดจติ ให้เป็นสมาธิ ความประหม่าตา่ งๆ ก็หายไป พดู ให้ฝรังฟังอย่างฉาดฉาน

ดิฉันเล่าถึงหลักยดึ เหนยี วของประชาชนในประเทศไทย ซึงประกอบดว้ ยหลักใหญ่ๆ๓ ประการ คือ
ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ว่าเป็นจุดศูนย์รวมและหลักสําคัญทียึดเหนียวจิตใจของประชาชนชาวไทย
สรุปตอนท้ายก็ชักชวนให้พวกเขามาเทียวเมืองไทย

รู้สึกว่าพวกเขาสนใจกันมาก เพราะดิฉันนําภาพของสถานทที ่องเทียวตา่ งๆ ไปโชว์ให้พวกเขาได้ชม
กันพอพูดจบเพือนๆ ชอบใจกันใหญ่ และครูผู้สอนก็เรียกดฉิ ันไปพบและชมว่าพูดได้ดมี าก ทําให้เขาอยาก
มาเทียวเมืองไทย รู้สึกว่าเป็ นประเทศทนี ่าสนใจ

การศึกษาดูงานในครั งนี ดิฉันประสบความสาํ เร็จในการศึกษามากพอสมควร และได้รับคําชมเชย
จาก Class Advisor ว่าเป็นคนมมี นษุ ยสัมพนั ธ์ดี พร้อมกับเรียนได้ดีด้วย โดยได้คะแนนเฉลีย๘๓.๒๕% ซึง
นําความภาคภูมิใจมาสู่ดิฉันเป็ นอย่างยิ ง

ตอนนี กิจการของคณุ พอ่ ค่อยๆ ดีขึนเรือยๆ แล้ว ดิฉันกไ็ ด้ประสบแต่สิงทีดีๆ ขณะนี ดิฉนั ดํารงยศเรือ
เอก และจะได้พระราชทานเลือนยศเป็น นาวาตรี ในปี งบประมาณ๒๕๓๔ นี

นอกจากนั น นอ้ งสาวของดฉิ ันได้ทํางานเป็นครูในสงั กัดกทม. และสอบเข้าศึกษาตอ่ ในระดับ
ปริญญาโท ทมี หาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตรได้

พสี าวลกู ของคุณลุง ซึงได้ไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานด้วยกัน ก็ได้ทํางานเป็นสมุห์บัญชีในบริษัท
แห่งหนึง ทุกๆ อยา่ ง เป็นไปตามทหี ลวงพ่อได้บอกเราไว้เมือ๙ ปีก่อนทุกประการ

นคี งเป็นผลจากการปฏบิ ัตวิ ิปัสสนากรรมฐาน จนได้รับการแผ่เมตตาของหลวงพ่อได้ จึงทําให้

ครอบครัวของดฉิ ันประสบความสุขและความสําเร็จอย่างน่าอัศจรรย์ทีสุด

ภาคธรรมปฏิบัติ

ลดห้าว่าง สร้างห้าร่วม
พระภาวนาวิสุทธิคุณ

บรรยาย ณ หอประชุมพุทธมณฑล พ.ศ. ๒๕๓๐

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราผู้ทรงมีพระชนมายุครบ๖๐ พรรษานัน ตงั แต่ครังรัชกาลที ๑
ถึงรัชกาลที ๘ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ หรือครังกรุงสุโขทัยราชธานีมมี าช้านานของประเทศไทย ก็มอี ยู่กรุง
รัตนโกสินทร์ ๒ พระองค์เท่านัน ทีมีพระชนมพรรษามาก มสี มเด็จพระปิ ยมหาราชพระองค์หนึง กับ
สมเด็จพระปรมนิ ทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชอีกพระองค์หนึง ตลอดเวลาทีพระองค์เสวยราชสมบัติ ได้
ทรงทําให้ประเทศไทยนีอยู่เย็นเป็นสุข ทรงเป็นมิงขวัญมงคลชัยของพีน้องชาวไทยตลอดมา ก็ขอให้พทุ ธ
บริษทั ได้โปรดรับทราบไว้ก่อนว่า ก่อนทีเราจะถวายเป็นพระราชกุศลโดยการเจริญภาวนานัน ก็ต้องทราบ
ความเป็ นมาเสียก่อนว่า พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นประมุขในลักษณะอย่างไร

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงดําเนินตามรอบพระยุคลบาทของพระพุทธเจ้า คือ พระองค์ทรงมี
พระมหากรุณาธิคุณอยา่ งล้นพ้น ไมเ่ หน็ แก่ความเหนอื ยยากพระวรกาย ทรงช่วยเหลือพสกนิกรราษฎร
ทั งหลาย ตลอดกระทั งทรงเป็นพุทธมามกะด้วย ในรฐั ธรรมนูญเขยี นไว้ชัดว่า พระมหากษัตริย์แห่งประเทศ
ไทย หรือกรุงสยามนั น จะต้องเป็นพทุ ธมามกะ และเป็นพุทธศาสนิกชนดว้ ย และพระองคก์ ็ทรงเป็น
ศาสนูปถัมภกยกพระพทุ ธศาสนาเชน่ เดียวกัน พระองค์ได้ทรงกล่าวในวันทขี ึนเถลงิ ราชสมบัติวจ่าะ
ปกครองประชาราษฎรโดยธรรม

ในปี ๒๕๓๐ นี มีการจัดแผ่นดินธรรมแผ่นดินทองขึน เราจัดกิจกรรมกันมากมาย ตลอดทัวทุก
จังหวัด ทที ํามาแล้วก็มีหลายจังหวัดด้วยกัน ญาติโยมพธทุ บริษัทจะสนองพระเดชพระคุณพระองค์ท่าน ก็
ต้องสร้างความดีเพิม ไม่ใช่มานังหลับหูหลับตาเฉยๆ ต้องสร้างคณุ สมบัติ สร้างคุณค่าของชีวิต ทําให้ชีใวหิต้
เกิดผล เกิดอานิสงส์ผลงานของชีวิต ทีเราเรียกว่า แผ่นดินธรรม ทีอยูร่ ่มเย็นเป็นสุขนั นต้องสร้างคุณค่าราคา
ชีวติ ให้มีคุณธรรม เป็นสมบัติมคี ุณคา่ มหาศาล ให้เราท่านทังหลายมีกฎจราจรชีวิต มีความคิดทีประเสริฐลํ า
เลิศทุกประการ ถ้าหากว่ามหาบพติ รพระราชสมภารเจ้านั น เปรียบประดจุ ว่าเป็นพ่อของไทย แม่ของไทยคือ
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ หากว่าลูกทั งหลาย พสกนิกรราษฎรทั งหลายอเยู่็นเป็นสุข อยู่ด้วย
ความเมตตาธรรมกัน ไมท่ ะเลาะวิวาทกันดังกล่าวแล้ว พ่อแม่ก็ชนื ใจ

เดียวนีคิดว่าประเทศไทยอย่กู ันอย่างเป็นสุข ความจริงวุ่นวายเหลือเกิน เมือเกิดความวุ่นวายก็เข้าใจ
ผิดคิดว่าเป็นเพราะความจนของประชาชน เศรษฐกิจตกตํา ทําให้ประชาชนวุ่นวาย ข้อเทจจ็ ริงไม่ใช่ อาตมา
คํานวณพจิ ารณาโดยธรรมแล้ว ประชาชนวุ่นวายทุกวันนี ไม่ใช่ความยากจน แต่เป็นความแตกแยก ความไม่
มเี มตตาธรรมตอ่ กัน อยู่ด้วยความริษยาผูกพยาบาทอาฆาตจองเวรต่อกันเหลอื เกิน เป็นทีน่าเสียดายและน่า
เสียใจด้วยในฐานะทีเราเป็ นชาวพุทธ คําว่าจนทําให้วุ่นวายนนั ไมใ่ ช่ คนไทยไม่มีจนแนน่ อน เพราะมี
คณุ ธรรมสูง แต่น่าเสียดายคนไทยยุคใหม่ยุคปัจจบุ ันนี วนุ่ วายเพราะอยู่ด้วยความริษยากัน ผูกพยาบาทกัน
พรรคเดียวกันก็ยังแตกแยกกันไปแล้วโดยทํานองนี นีหรืออย่ดู ้วยความสุข อยูด่ ้วยความเมตตาธรรม หามิได้

มใิ ช่เป็นเช่นนั นอยา่ งแน่นอน ทีวนุ่ วายกันในสังคมทุกวันนี เพราะอย่างนีเอง คุณธรรมไม่มีความหมาย ข้าว
ราคาตกก็รัฐบาลช่วยแล้ว เศรษฐกิจตกเขาก็ช่วยให้ดขี ึนมาอีกมากมาย แต่ราคาคนตกทาํ อย่างไร มนั จะมี
คุณค่าตรงไหนกัน บางทีเป็นพุทธบริษัทมาบวชกันในพระพุทธศาสนา ต้องการบวชแทนคุณบิดามารดา
แทนอย่างไรได้ เพราะบวชกันจิมๆ จํ าๆ ไม่มีการศึกษาพระปริยัติปฏิบัตธิ รรมแต่ประการใด ก็เลยสึกเช้าเมา
เย็น นีหรือชาวพุทธ เพราะขาดคุณธรรม ไม่มีการปฏิบัติธรรมแต่อย่างใด นีมีความหมายมาก

พุทธบริษัท อุบาสกก็ดี อุบาสิกาก็ดี โปรดทราบ การปฏิบัติธรรมเพือเทดิ พระเกียรติหรือฉลองพระ
เดชพระคุณ เรียกว่า ถวายพระราชกุศล อันนี มคี วามหมายอยู่มาก แต่กศุ ลทีจะถวายไดต้ ้องทาํ ให้ได้กาํ ไร ให้
ได้ผล ให้ได้อานิสงส์แก่ตนก่อน ให้มีคุณค่าราคา เป็ นคนมกี ุศลก่อนจึงจะถวายได้ เหมือนพ่อค้าแม่ค้า จะทํา
กิจกรรมต้องทําการค้าใหไ้ ด้กําไรก่อน จงึ เอาผลกําไรนั นไปใคหน้ อืนเขา ทีเราเรียกว่าแผเ่ มตตาจิต คนเรา

เดียวนีแผ่ไม่ค่อยออก เพราะจิตมนั หด หมดอาลัยตายอยากแล้ว จะแผ่ได้อย่างไร คงจะแผ่กันไม่ได้ แผ่ด้วย
ความริษยาผูกพยาบาทกัน ปราศจากเมตตาธรรมซึงเป็ นคุณธรรมอย่างสูงของชาวพุทธ แต่ชาวพุทธไม่มี

คุณธรรมเสียมากมาย เพราะขาดการปฏิบัติธรรมนันเอง การทีจะอุทิศหรือแผ่ส่วนกุศลต้องเป็ นอย่างนัน
จะต้องมีทุนก่อน คือมีบุญกุศล

คําว่าทุนนีหมายความว่ากระไร หมายความว่าต้องเพิมทุนได้แก่บุญกุศลของตน ไมใ่ ช่เอาเงนิ มา
ทําบญุ เอาเงินมาสร้างวัดกันสวยสง่างาม แต่ไม่มใี ครรักษา คนศรัทธาพอมี คนใช้ของเขาไม่ดี คนมไี มร่ ักษา
ของเขา นีชาวพุทธ อันนีเป็นทีน่าเสียดายทีสุดทุกวันนี

เพราะฉะนัน ในวันนี เป็นรายการของอาตมาทจี ะมาชี แจงและมาเสริมสร้างให้เราได้มคี ณุ ธรรม ใน
การปฏบิ ัติธรรม ก่อนทีจะถวายเป็นพระราชกุศล เราจะต้องมาร่วมกันสร้างทุนกอ่ น ทนุ คือวิชาความรู้รู้
อะไร รู้หลักพระพุทธศาสนาด้วยความถกู ต้อง ไม่ใชร่ ู้ส่งเดช รู้ส่งเดชใช้ไม่ได้ ต้องมาร่วมทุนกันก่อนร่วม
คดิ ร่วมประดษิ ฐ์ ร่วมสร้างสรรค์กัน และกร็ ่วมในชีวิต สร้างห้าร่วม ลดห้าว่าง

ลดห้าว่างคืออะไร อย่าให้สมองว่าง อย่าให้มีช่องว่างระหว่างบคุ คล ระหว่างเด็กกผับู้ใหญ่ อย่าอยู่
วา่ ง อยา่ ห่างผู้ใหญ่ เราจะหลงทางได้ง่าย โดยวิธีนีมีความหมายมาก เดยี วนี สมองว่างกันมาก และมีช่องวง่า
ระหว่างบคุ คล ไปก็ไมล่ ามาก็ไม่ไหว้ ไม่มกี ารอ่อนน้อมถอ่ มตนแต่ประการใด ปากหวานตัวออ่ นเป็นหนอน
มือเป็นหงอนแต่ประการใด เด็กยุคใหมเ่ ดยี วนี เรียนสูงเลวลง จติ ใจตํา ถ้าเหน็ คนเฒา่ คนแก่จะเหยียบหัวแล้ว
จะชนพระชนเจ้าทํานองนี นคี ือช่องว่าง ทจี ะต้องช่วยกันลด

เพราะฉะนั นเราต้องมาลดห้าว่าง มาสร้างห้าร่วมเสียก่อน มาได้มารวมทนุ กัน จะได้เอาทุนไปทํา
การค้าขายให้ได้กําไร เอากําไรนีถวายเทิดพระเกียรติพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัวถึงจะถกู ต้อง ไมใ่ ช่มาถึง
มานั งหลับตาไม่รู้เหนอื รู้ใต้แล้วก็ถวายไป ถวายได้อย่างไร ถวายอะไร มีทุนกันหรือยัง ทุนอะไร เงินทอง
หรือ ไมต่ ้องประสงค์ เพราะเงินทองไมใ่ ช่ทรัพย์สมบัติของชีวิต ออกมาจากท้องแมม่ ีอะไรมา ออกมาชุด
เดียวคือชุดวันเกิด ผ้าสักผืนเดยี วกไ็ ม่มี นาฬิกาสักเรือนกไ็ ม่มี หมอผดุงครรภ์เขาจะบอกได้เลยว่าหญงิ หรือ
ชาย แต่เรามาหาทุนสร้างนิสัย ปัจจัยทังอดีตและชาตทิ ีเกิดมา มีความหมายมากอย่างนี เราก็ต้องมาร่วมทุน

มาสร้างบญุ กุศลให้จติ ลดห้าว่าง มาสร้างห้าร่วม จะได้มาร่วมผนึกพลังให้เกิดเมตตา ให้มีพลังตจเิ สียก่อน
แล้วทําใหถ้ ูกต้องด้วยการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ไม่ใช่พุทโธๆ แตไ่ มม่ ีสตขิ าดสัมปชัญญะ ขาดอิริยาบถ๔

คนเราจะอยไู่ ด้เพราะยนื เดนิ นั ง นอน เหลียวซ้าย แลขวา คูเ้ หยียดขาเป็นต้น อันนี มีความหมาย
หลายประการ มีอยใู่ นสติปัฏฐานสูตรทเี ราเรียกวา่ ทางสายเอกนเี อง ให้เรามีความรู้ มีปัญญา ไม่ใช่หลับตา
เฉยๆ หลับตานังสมาธิภาวนา แต่จติ ไม่พัฒนา ขีเกียจ ไมค่ อ่ ยอยากจะทํางาน คนประเภทนี จิตไมพ่ ัฒนา ไม่มี
สติ ไม่มีสัมปชัญญะ ไมม่ ีสมาธิภาวนา อันนี มีความหมาย เพราะฉะนั น ท่านสาธุชน เราเป็นบุคคลสําคัญ เรา
จะต้องพากันลดห้าว่างเสยี ก่อน จึงมาสร้างหา้ ร่วม ให้มารวมกันก่อน มาร่วมทุนกัน

วันนี อาตมารูส้ ึกดใี จ ทา่ นทั งหลายจะมีกีคนก็ตาม ต้องมาฝึก ต้องมลาดห้าว่างสร้างห้าร่วมให้ได้

ต้องใหไ้ ด้ละเอียดไปเลย ไมใ่ ช่มานั งหลับตา น่าเวทนา ไม่รู้หลักสติสัมปชัญญะ ไหนเลยจะมีทนุ ได้ ทุนมัน
อยูท่ ีไหน ไมใ่ ช่เอาเงนิ มาทําบุญแล้วฉันไปสวรรค์ ไปนิพพานได้ ไมใ่ ช่บัตรผู้แทนใบละ๕๐๐ บาท จะได้ซือ
กันได้ จะได้ไปเป็นผู้แทน ไปเป็นรัฐบาลอะไรทํานองนี ไม่ใช่ เรืองบุญกุศลซือไมไ่ ด้ จะต้องมีคุณสมบัตนิใ
ตัวของมัน โดยเฉพาะอีกส่วนหนึงมใิ ช่น้อย อาตมาจึงขอกลา่ วให้ญาตโิ ยมฟังเสยกี ่อน เราจะต้องลดห้าว่าง

๑. อย่าให้สมองวา่ ง คนแก่คนเฒ่าอายุ ๗๐, ๘๐ สมองว่างไม่คิด กนิ แล้วไม่รู้ หลงใหลไชชอนด่าลูก
ดา่ หลาน จําความเก่าไมไ่ ด้แล้ว นีสมองว่าง พระพทุ ธเจท้ารงสอนให้ว่างด้วยกิเลส อย่าว่างด้วยสมอง ต้องคดิ
ต้องอา่ น ต้องเขียน ต้องเรียนวิชา ต้องมีหลกัฐาน มีงานทํา มคี คู่ รองทีเป็นทองแผ่นเดียวกัน ก็ให้มนี ํ าหนึงใจ
เดียวกัน จงรักบุคคลทีเขารกั เรา อย่าไปรักกับบคุ คลทีเขาไม่รกั เรา หากปราศจากเมตตาก็หาความสุขไม่ได้ใน
ชีวิตครอบครัว พระพุทธเจ้าทรงสอนอย่างนี เพราะฉะนั นขอพีน้องทุกคนโปรดรบั ทราบ อย่าให้สมองว่าง

๒. ช่องว่างระหว่างบุคคล อย่าให้มชี ่องว่างระหว่างบุคคลเลย ใหไ้ ปมาหาสู่กัน มีเมตตาปรานอี ารี
เอือเฟื อ ขาดเหลอื เจือจุนกัน พระพทุ ธเจ้าทรงสอนว่าอย่าอยู่ว่าง อย่าห่างผู้ใหญ่ จะหลงทางได้ง่าย เดวยี นี พ่อ
แมเ่ ลียงลูกไมด่ ี ปลอ่ ยให้ลูกอยู่ว่าง มันจึงเสียคนกันมาก เยดวี นี เด็กห่างผู้ใหญ่ ห่างพ่อห่างแม่ แล้วจะเอาดีได้
อยา่ งไร ไม่ใช่นังหลับตา ฉนั ทําบญุ ฉนั จะไปสวรรค์ ฉันจะไปนพิ พาน คงไม่ได้แน่ เหน็ ชัดๆ อยู่ แล้วจะไป
ได้อยา่ งไร ใช่เอาสตางค์ไปซือบญุ เอาสตางค์ไปซือสวรรค์ เอาสตางคไ์ ปซือนิพพาน มันซือไม่ได้ มันต้องมี
คณุ ค่าราคาคนเสียกอ่ น มรี าคาชีวิตอยู่ด้วยความคิดทุกคน ต้องสร้างสรรค์ ต้องลดชอ่ งว่างระหว่างบุคคล ให้
ไปมาหาสู่กันเสมอ มีการเคารพนบนอบบูชาต่อท่านผู้ใหญ่ คาราวะ๖ ประการมีครบ

ชอ่ งว่างระหว่างบุคคลสมัยใหม่นี มีมากเหลอื เกิน เด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ จะเหยียบหัวคนเฒ่าคนแก่ การ
อ่อนน้อมถ่อมตนจะไปลามาไหว้จะไมม่ ีเสีย ยิงเรียนสูงจติ ใจยิงตํา ไม่เหมอื นคนโบราณคนเก่า เขาเรียนไม่
สูงนัก แต่มีคุณธรรมสูงมาก เขาพูดจริงทําจริง เด็กรุ่นใหม่นีพดู ไม่จริงทํากไ็ ม่จริง สรวลเฮฮาไปตามถนน
หนทางน่าเวทนาเหลือเกิน เพราะเหตุใด ตอบได้เลยว่าเพราะห่างวัด ห่างขอ้ ปฏิบัติ ไมร่ ู้จักคําว่าวัด ไม่รู้จักคํา
วา่ ปฏิบัติ ไม่รู้จักผู้ใหญ่ ไมร่ ู้จักเด็ก

อาตมาก็ขอเจริญพรญาตโิ ยมให้มคี วามรู้ในเบืองต้นไว้ก่อนประการแรก ไม่ใช่เรานั งโดยไม่รู้วิธี
ปฏิบัติประการทีสอง ต้องลดช่องว่างระหว่างบคุ คล คนโบราณเขาไปมาหาสู่กันเสมอ เข้าถึงกนั ก็ซึ งใจ ซึ ง
ใจก็ใฝ่ ดี ไปเยยี มเยียน ไปมาหาสู่กัน สมัยสุโขทัยมีอาณาเขตกว้างขวางถึงกลันตัน ถงึ ไทรบุรี สิงคโปร์นี ีม

พลเมืองเพยี ง ๔ ล้าน เดยี วนี ปาเข้าไป๕๐ ล้าน ใจเริ มแคบ บ้านเริ มแคบเข้าไป แย่งกันกินแยง่ กันอยู่แย่งกัน
ใช้แล้ว นีหรือชาวพทุ ธทกุ วันนี น่าเสยีดายเรียนสูงแต่จติ ใจตําลง ขาดข้อปฏิบัติ ขาดข้อวัตร นชี ่องว่าง
ระหว่างบุคคลเกิดขึนแล้ว พ่อแม่ไมอ่ ยากจะไปหาแล้ว ไมม่ ีไปหาญาติแล้ว ช่องว่างนี อย่าให้เกิดมีเลย หมั น
ไปมาหาสู่ชาติภูมมิ าตุภมู ขิ องตน นีคนเราปฏิบัติธรรมจะรูข้ ้อนี จะไม่ใหว้ ่างในระหว่างบุคคล ไปมหา าสู่พ่อ
แม่ ชาตภิ ูมิ มาตุภูมขิ องตน จะลืมเสียไมไ่ ด้ แหลง่ ให้เกิดวิชา แหล่งให้เกิดคุณงามความดี แหล่งทีมีกศุ ลบุญ
ราศีนั นลืมไม่ได้อยา่ ว่าง เดียวนี ว่างแล้ว เด็กรุ่นใหมเ่ รียนสูง ไม่รู้จักป้ า ไม่รู้จักน้า เพราะ้พานีป้าอาเป็นคนโง่
หาวา่ อย่างนั นอีก เลยมีช่องวา่งระหว่างบุคคล คนเราจึงเสียคนเพราะมีช่องว่างระหว่างบคุ คลทจี ะไปมาหาสู่
กัน ประสานงานกัน ไมม่ ีเลย

๓. ทรัพยากรชีวิตอย่าให้ว่าง ตัวเองไม่ทํางาน ขีเกียจ ไม่เอาเหนอื เอาใต้ เลียงงานเก่ง ไม่มีคุณธรรม
นีช่องว่างระหว่างทรพั ยากรชีวิต ผิดพลาดคาดคิดในชีวิตของตน วันวเลากล็ ่วงไปเปลา่ ปราศจากประโยชน์
ไม่เกิดประโยชน์เลย และชีวิตก็ลว่ งไปตามวันเวลาด้วย อะไรเล่าจะเป็นช่องว่าง อย่าลืม ชอ่ งว่างระหว่าง
บุคคลและทรัพยากรว่างก็คือชีวิตของคน

๔. เวลาอย่าให้ว่าง อย่าปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์ ไม่ได้ทําอะไรเลย กนิ กับนอน เทยี วสรวลเฮฮา
ประโยชน์ทีพงึ ได้จากนาทที องของชีวิตคอื คุณค่าของเวลาทหี มดไป นีอยา่ ให้ว่าง อย่าลืมคําว่าเวลาว่าง เวลา
ว่างน่าเสียดายนะ

๕. การนํากอ็ ย่าให้ว่าง พอ่ แม่ไม่เคยนําลูกเลย พระสงฆ์องค์เจ้ากไ็ ม่ค่อยจะนําใคร เดียวนี หาอย่างอืน
มานํากันมากมาย น่าเสียดาย น่าเศร้าใจ ทกุ วันนกี ารนําก็ว่างด้วย ไมม่ ีใครนําใครเลย แล้วจติ ก็ไม่นํา สติกไ็ ม่
นํา ไมม่ ีสติกันแล้ว จติ ไปทีไหน มันก็เลเพลาดพาดหละหลวมเหลาะแหละเหลวไหลไปหากิเลสตลอด
รายการ ไมม่ ผี ู้นํา คนเราเดยี วนี ขาดผู้นํา ตัวเรากไ็ ม่มคี นนําอกี เพราะอะไร ตัวเราต้องอาศัยสติ สติเป็นผู้นําจติ
เป็นผู้กนั เหมือนทํานบ จิตทีมันเลเพลาดพาดเหมือนนํ าไหลเชียว ฉะนั น จะทําอยา่ งไรเลา่ ก็ต้องใช้สติเป็น
ผู้นาํ และเป็ นผู้กั นไม่ให้จติ เลเพลาดพาดไปอย่างนั น จึงต้องเจริญสติปัฏฐา๔น อันเป็นทางสายเอกที
พระพทุ ธเจ้าทรงสอนในทุกวาระและโอกาส ทางสายเอกทางสายเดยี ว คอื กฎจราจรชีวติ เพือให้เราเกิดมา
ไมใ่ ห้พลาดผิดในชีวิตแห่งสังคม

พระพทุ ธเจ้าทรงสอนอะไรหรือ ทรงสอนใหพ้ ัฒนาการศกึ ษา พัฒนาการเศรษฐกิจ ให้มีอาชีพการ
งาน ให้ครองชีพครองรักครองรส พุทธพจนใ์ ห้ครอบครัวไม่มกี ารทะเลาะกัน พระพุทธเจ้าทรงพัฒนาการ
สังคมให้อยู่ด้วยเมตตาธรรมกนั ไมใ่ ช่อยู่ดว้ ยความแตกแยกแปลกกัน ไม่รู้จักไม่ต้องทัก ไม่มีการยิมกันเลย
คนทมี ีธรรมเขายิ มแย้มแจม่ ใส ตั งใจสนทนา เจรจาก็ไพเราะ สงเคราะหเ์ อือเฟื อ ขาดเหลือเจือจนุ กัน คน
เดียวนี ไมม่ ีธรรมะ จงึ ไม่ยิม หน้ายิมเหมือนมือนางกวัก ถ้าไม่มีคุณธรรมจะเอาไปปฏิบัติกรรมฐานตรงไหน
เอาอะไรมาเป็นหลัก ถ้าไมร่ ู้จักข้ากไ็ ม่ทัก ไม่โอภาปราศรัยแตป่ ระการใด คนทีมีธรรมยิมนอกยิมใน ยิมแย้ม
แจม่ ใสตั งใจสนทนาแน่นอน เดียวนีหน้ามันยิมเหมือนนางกวักทเี ขากวักคนออกจากร้านไม่มีใครจะมองเห็น

นีมคี วามหมายตรงนี ต้องมสี ติ ต้องมปี ัญญา ไม่ใช่มาหลับหูหลบัตา ฉันจะไปสวรรค์ ฉันจะไป
นิพพาน ไปได้ทีไหน ไปได้หรือยงั ด่าลูกด่าหลาน บ้านยังสกปรกรกอยู่ ไปสวรรค์หรือ บ้านขีเกียจกวาด ที

กนิ ก็ไม่สะอาด ทถี ่ายกไ็ ม่สะดวก ปฏิบัตยิ ังสกปรก โอ๋ ฉันจะไปสวรรค์ ฉันจะเอาเงนิ ไปซือก็ได้ ไม่ไช่บัตร

ผู้แทนนี จะได้เอาเงนิ ไปซือกัน เป็ นรัฐมนตรี มันคงไม่ได้ มนั ต้องสร้างคุณสมบัติ
ญาติโยมโปรดทราบไว้ด้วย คนมธี รรม ยิมนอกยิมใน เงินไหลนองทองไหลมาคนทมี ีธรรม ส่วนคน

ทมี แี ต่ธรรมแมะ แหมะตรงนั น แหมะตรงนี ไมเ่ อาเหนือเอาใต้เลย เงนิ ก็ไม่ไหลนองทองก็ไม่ไหลมา มันจะ
ไหลมาได้อย่างไร เพราะอดุ ประตูค้าคนทีไม่มีธรรมนอี ุดประตูค้าทั งหมด หน้าตากไ็ ม่ยิม ไม่เปิดห้องปฏิสัง
ถารคารวตาแต่ประการใด คนมีธรรมะยิมอย่ตู ลอดเวลา ถึงหนา้ บึ งขงึ จอ แตข่ ้างในยิม มันแสดงออกด้วย
นํ าใจ ด้วยนํ าใสใจจริงจากทกุ สิงในนํ าใจ นํ าใสไหลไม่ขาด สายสวาทขาดได้อยา่ งไร มันอยู่ตรงนี ไม่ใช่
หลับหูหลับตา โอ๋ มันจะต้องไปนิพพาน ปรมํ สุขํ สุขํ อะไรเลา่ ใจมันสุขหรือ กลับไปบ้านยังหน้าบึ งเหมือน
ยักษ์เหมือนมารนี เป็นต้น โอ๊ย น่าเสียดาย นีหรือธรรมะ แล้วเราจะถวายเป็นพระราชกุศลได้อยา่ งไร พอจะ
ถวายหน่อยกําหนดจิต โอ๊ย เคลือนไปทีโน่น พล่านไปทีนีแล้ว ก็ไม่มีพลังจะถวายได้

ต้องสร้างคุณงามความดีก่อน ทกุ คนโปรดทราบ ต้องสร้างในจุดนี มีความหมายอยา่ งนั น ลนดี ห้า
ว่างกันเสียก่อน แล้วมาสร้างห้าร่วมมารวมทุนกัน แล้วค้ากําไรอยา่ ให้เกินควร ใหม้ ันสมส่วนกัน ไมใ่ ช่

พระสงฆ์กับโยมนะ เอ้อ โยมค้ากําไรเกินควร พระสงฆ์ให้พรเกินโควต้า พอถวายมากกใ็ ห้พรอยู่นัน แล้ว
โยมทําสักบาทเดียวนี โอ้โฮ ค้ากําไรเกินควร ขอใหไ้ ด้ตั งสิบสองล้านอะไรอยา่ งนี มันจะไปได้หรือ มัน
เหลือวิสยั ทจี ะเป็นไปได้โดยวิธีนี

อาตมามาพูดเหตุผลให้ โยมจะเชือก็เชือ ไม่เชือก็แล้วไป แต่ลองเอาตราชูขึ นมาชังดู วัดแล้วดวเลั ่า
เฝ้ าวัดซี ไม่ใช่มานังหลับตา ฉนั จะไปนิพพาน ฉันจะไปเป็นนางเทพธิดา ไปเป็นนางฟ้ านางสวรรค์ ฝ่ ายพ่อ
โยมผู้ชายจะไปเป็นเทพบุตรสุดครื มใจ เป็นได้หรือ บ้านยังสกปรกเหลือเกิน ท้าวสักกเทวราชส่องทิพยเนตร
ดเู หตุการณ์ โอ๋ บ้านแกยังสกปรก อยา่ มาอยู่เลยสวรรค์ ไม่ได้หรอก สร้างศาลาหลังหนึงกเ็ ป็นพระอินทร์กัน
หมดทั วประเทศสิ ต้องสอบนะ ต้องมีคณุ สมบัติถงึ ๑๐ ชาตินะ จึงจะเป็ นพระอนิ ทร์ได้ เป็นเทพธิดาต้องมี
หิริโอตตัปปะ มีความละอายบ้างไหม ละอายนอก ละอายใน เกรงกลัวต่อบาปทุจริตทั งตอ่ หน้าและลับหลัง
มันจะมีความหมายอยมู่ ิใช่น้อย

ไม่ใช่ไปสวรรค์ง่าย ไม่ใช่ไปนิพพานง่าย อาตมาว่าไปยาก อาตมายังไม่ได้ไปทางเหนือทางใต้เลย ยัง
เดินดินอยู่นี ยังเป็นมนษุ ย์ อมนุษย์อยู่ บางครั งก็เป็นยักษ์ บางครั งก็กระทืบเท้าเหมือนกัน แล้วแยกียเวขยงิ ฟัน
หน้าก็แดง ยักษห์ น้ามันแดง ลิงหนา้ ไม่แดงหรอก ลงิ นีหนมุ าน คอื จิตรบั อาสาเขาไป ลิงไม่ได้ใส่รองเท้า ยักษ์
ใส่รองเท้า ลองไปดูทวี ัดพระแก้ว เหน็ ไหมยักษ์ใส่รองเท้าแล้วหน้าแดง ทําไมยักษ์จึงหน้าแดง เพราะความ
โกรธ พอโกรธเข้าหน้าแดงเลย หน้าแดงยังไม่พอ กระทืบเท้าอีก เข่นเขี ยวเน้นฟันอีก ทีนีมีหรือเปลา่ ไม่มดีู
แล้วไมม่ ี แต่ยังมลี งิ คือ อาตมานี ลิงทั งหลายจิตมันไหวติง มันหละหลวมเหลาะแหละเหลวไหลคือลงิ วานร
ใหญ่ชือหนุมานอ้าปากรับอาสาเป็ นขีข้าเขาตลอดชีวิตเพราะจิต เหตุนีจึงเป็ นขีข้าเขาตลอดเวลาโยมเห็นด้วย

ไหม ไม่เห็นไม่เป็นไร โยมนเี ป็นเจ้านายแล้ว อาตมายังเป็นขี ข้าเขาตลอดรายการคือ จติ มันต้องรับอาสาไม่
พัก นีดลู งิ มันต้องรู้ เป็นการพัฒนาจิต

เราจะต้องรู้ว่าจิตอยู่ตรงไหน จะได้พฒั นาได้ถูกต้อง ถ้าไม่รู้ทีอยู่ของมนั ไปพฒั นามันได้หรือมันอยู่
ทีไหนก็ไมร่ ู้ บางคนว่าอยู่ทหี ัวใจ นั นไม่ใช่จิต เมอื หาไม่ถูกมันจึงได้ยงุ่ วุ่นวายกันในสังคมกทวุ ันนี เพราะหา
ทีมาไมไ่ ด้ ไม่มตี ้นขั ว ปลายขั ว ไมม่ ีสํามะโนครัวแล้ว เจ้าความโลภ ความโกรธ ความหลงอยู่ทีไหนกันแน่
เราจะได้พัฒนาให้มันถูกต้อง นีจงึ ต้องให้ลดห้าว่างมาสร้างห้าร่วมมารวมทุนกันกอ่ น ไม่ใชเ่ อาเงิน

ยายคนหนึงไปบวชชีพราหมณ์ มีเงินตดิ กระเป๋ าไป๓,๐๐๐ บาท กว่าจะกลับลืมเลย ไม่พอค่ารถกลับ
แล้ว เดยี วองค์นีมาเทศน์ องค์โน้นมาเทศน์ องค์นีเทศน์ แล้วแจกซองผ้าป่าแจกซองกฐินอีกแล้ว พระบอก
อนิจจัง ทกุ ขัง อนัตตา โยม สมบัติเอาไปไม่ได้ โยมแก่ๆ เลยทําบญุ เลยหมดเงิน๓,๐๐๐ กลับไม่ได้ ค่ารถไม่
มีแล้ว อาตมาเห็นมาเอง เป็นวิทยากรไปพูดเลยต้องให้โยมอกี ๒๐๐ บาท เป็นค่ารถกลับไปตะพานหิน ไป
อตุ รดิตถ์ นีหรือ จติ สงบ นีพดู ให้โยมฟัง อย่าเอาไปพูดข้างนอก เห็นด้วยหรือเปล่า ถ้าโยมเป็นบัณฑติ จะเหน็
ด้วยกับอาตมา ถ้าโยมไมเ่ ป็นบัณฑิตจะไมเ่ ห็นด้วย เห็นไหมบวชชีพราหมณส์ ร้างกศุ ล กลับไปหลานก็ถาม
ยายสตางค์พอไหม พออะไรอีหนู หมดตั งแตว่ ันกอ่ นแล้วลูกเอ๊ย นขี อยมื เขามา๕๐ บาท นีมีความหมาย
เหลอื เกิน โปรดพิจารณาโดยปัญญา อาตมาจะไมแ่ จกฎกี าใครหรอก นีเชิญไปเทยี วทวี ัดบ้างกไ็ ด้ พระเลียง
ด้วยนะ

ทําบญุ ไม่ต้องเสียอะไร ขอให้ทําบญุ จริง บริจาคทานชั นสูงสิโยม พ่อแมปู่ ่ ย่าตายายตายบริจาคทาน
ชั นสูง ไม่ต้องใช้เงนิ เดยี วพูดกันก่อนทําได้ไหม ไม่ต้องใช้สตางค์อุทิศส่วนกุศลให้พ่อทตี าย ให้แมตท่ ายี ไป
บอกไปสอนลูกหลานด้วยนะ อย่าไปกู้เงินเขามาทําบุญทําศพนะ อย่านะ บาปบริจาคทานชันสูงเลย เคยกิน

เหล้าเลกิ เลย บริจาคทานนันไม่ต้องใช้สตางค์ เคยเล่นการพนันเลิก เคยเทยี วผู้หญิงยิงเรือเทียวเสเพลเลิก เป็ น
การอุทิศทักษิณานุปทาน เดยี วนี เป็นอย่างไร บางแห่งมีงานศพเขาชอบมาก ทําไมจงึ ชอบ เจ้าภาพไมต่ ้องยงุ่
เลย พวกมาจัดให้เสร็จเลย เลน่ ไพ่หน้าศพ เก็บค่าต๋งเลย นีบาป คนไปทําบุญต้องละบาปได้ คนจะไปสร้าง
ความดีต้องละชั วได้ จะไปทําบญุ ละบาปกันได้หรือยถัง้าละบาปไม่ได้ อย่าไปทาํ บุญ บุญมันไม่มีประตเู ข้า มี
แต่ประตูบาปตลอดรายการ ขอฝากญาติโยมพทุ ธบริษัทไว้ด้วย เวลาบวชลูกหลานอย่างทวี ัดอาตมา ไม่มี
หรอกกินเหล้า เข้าวัดต้องเงยี บหมด เวลาวนรอบโบสถ์ก็ต้องสวดพทุ ธคณุ ธรรมคุณสังฆคุณ ให้รําลึกถึงคุณ
พระพทุ ธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆเจ้า

นีเรามาพูดกันอย่างนีก่อนจึงจะเทดิ พระเกียรติไดส้ ร้างความดถี วายพระเจ้าอยู่หัว ไม่ใช่ไปกนิ เหล้า

ถวายพระเจ้าอยู่หัว แล้วราชการว่าอย่างไร เอาแก้วเหล้ามา แล้วถวายพระพร กนิ เหล้าถวายพระพรมที ไี หน
เดียวนียังมอี กี หลายจังหวัด อาตมาไปเห็นกับตาเลย ถามแก้วอะไร เขาบอกถวายพระพรชัยมงคลมหาบพิตร
พระราชสมภารเจ้าให้ทรงพระเกษมสาํ ราญ แล้วก็ดืมเหล้ากันเข้าไป นีหรือถวายเทดิ พระเกียรติ ถวายพระ
ราชกุศล ไมถ่ ูก ถ้ามลี ูกหลานสอนเสีย อย่าไปถวายเหล้า ถวายแต่กุศล ต้องสร้างทาน ศีลภาวนา สร้างความดี
ปีนีขยันเพิมขึ นได้ไหม เอ้าลูกเรียนหนังสือ ตืนตีสีเลย ถวายพระราชกศุ ล ตืนตสี ีดหู นังสือ อย่าเอาคแ่ผ่านๆ
ตืนสองโมงเช้าถวายพระราชกุศล นอนตืนสาย หน่ายทํากนิ ไปหมินเงินน้อย ไปนังคอยวาสนา นีถวายพระ
ราชกุศลหรือ นีต้องพดู กันให้เห็นเนือหเ ็นนํ า ไม่ใช่มาถงึ หลับตา โอ๊ย พระเจ้าอยู่หัวอยู่เย็นเป็ นสุขแล้ว เราก็
ไปเดือดร้อนกัน ไปปล้นกัน ไปลักเขา เล่นไพ่ กนิ เหล้าเมาสุรากัน นีหรือถวายพระราชกุศล

นีพดู อย่างนี โยมอย่าตําหนิอาตมา เพราะอาตมาทําได้อย่างทพี ดู นี ทีวัดอาตมาไมม่ ี จะบอกใหไ้ ปดู
ได้ บ้านเหนือบ้านใต้อาตมาไม่มขี โมย ไม่กินเหล้า เข้าวัดจัดงานศพ อาตมาเป็นเจ้าภาพหมดเลย ไมต่ ้องเสีย
สตางค์ ไปวัดอัมพวันไมต่ ้องเสียเงินเสียทอง อาตมาออกให้หมดเลย ค่าเมรุไม่ต้องเสีย ค่าไฟฟ้ าไมต่ ้องเสีย
โอเลียงกาแฟชงเลี ยงแขกให้เสร็จเลย นงี านศพเป็ นอันดับหนึง ต้องชว่ ยกันอันดับหนึงงานป่ วยไข้ต้องไป
เยยี มถึงบ้านนีอันดับสอง นีเข้าถึงธรรมะต้องมีอย่างนี ไม่ใช่ธรรมะธรรมแมะยิมเหยาะแหยะหาเงินหาทอง นี
หรือทางธรรม ไมใ่ ช่

ต้องช่วยเหลือกันนะโยม จึงจะเรียกว่าเทิดพระเกยี รตถิ วายเป็นพระราชกุศล แล้วกป็ ระชาชนอยู่เย็น
เป็นสุข มหาราชบพติ รพระราชสมภารเจ้าท่านจะทรงพระเกษมสาํ ราญอยา่ งยิง ถ้าประชาชนไม่มีความสุข
เลย มีแต่ความทุกข์ ความยากเดอื ดร้อนนานาประการ ทะเลาะวิวาทกัน เกิดโจรกรรม อาชญากรรมทั ว
ประเทศมากมาย ทา่ นจะทรงพระเกษมสําราญได้อย่างไร ต้องอยเู่ ย็นเป็นสุขพสกนิกรราษฎรทั งหลาย
ข้าราชการกต็ ้องต่างพระเนตรพระกรรณขององค์พระราชา ต่างหูต่างตาของพระองคท์ า่ น ต้องถวายพระราช
กุศลอย่างนี ข้าราชการต้องซือสตั ย์สุจริตเป็นนิจ ขยันประหยัดใหม้ ัน หันหลังให้อบาย เป็นข้าราชการตท้อําง
อยา่ งนั น อุบาสกอุบาสิกาก็ต้องสร้างคุณงามความดีตามหน้าทีดังทีกลา่ วมาด้วย

นีพูดให้โยมเข้าใจก่อน ไมใ่ ช่มาถงึ นั งหลับตาโดยไม่มีเหตุผล ลเิ กไม่รู้จะเล่นเรืองอะไร ไม่ได้ออก
แขกให้รู้เลย อึกอักโผลต่ ุ้มๆๆ ต้อมๆ ไม่รู้เรืองอะไรกัน นีออกแขกใหฟ้ ังว่าใครจะมาเล่นวันนี อาตมาพรคะรู
ภาวนาวิสุทธิ จะมาเลน่ ให้โยมฟัง แล้วต้องหาโยมเป็นตัวกํากับการแดสง ใครจะเป็ นพระเอกนางเอกก็เตียม
กันเสีย ทั งรักทั งแค้นแน่นในทรวง จะถึงต้องหึงต้องหวงต้องรบต้องพุ่งชิงชัยกเ็ ตียมกันเลย วันนีใครปจ็ะนเ
ตัวโกงก็ว่ามา ใครจะเป็ นพระเอกก็ว่ามา แต่ลิเกนีออกมาเล่นทกุ ตัว มันกต็ ้องว่าฉนั เป็นพระเอกทั งนั น
ออกมาสมศักดิ ภักดี หอมหวลทวนลมทุกตัว ลเิ กออกมามีไหมว่าฉนั เป็นคนชั ว ฉนั เป็นตัวโกงมีหรือ ฉัน
ออกมาเป็นนางเอกคะ่ เป็นพระเอกครับ แตด่ ูเวลาเล่นเถอะ เปิดฉากขึ นมานี พระเอกหรือนางเอกก็รู้ เราจะรู้
ทา่ ทวี ่า อ๋อ คนนีสําเนียงบอกภาษา กิริยาบอกชาติ บอกสกุลหนุนศักดิ ศรี ดูคนให้ดูหน้าดูผ้าใหเ้ดนูือ ดูเสือดู
ลาย ดชู ายดูพ่อ จะได้ไมย่ ่อท้อใจ ดโู ยมผู้หญิงบ้าง ก็ดูช้างให้ดหู าง ดูนางให้ดูแม่ ดูแน่ๆ ต้องดูถึงป่าู ่ตยายาย
เขาดกู ันอย่างนี เดยี วนี ดูแล้วสวยกโ็ อเค ได้กันเย็นทิงกันเช้าเลย นีหรือคนมธี รรมะ ไมม่ ีหรอก จะมแตกี ธ่็ รรม
แมะ คนโบราณเขารกั กันยาก ไปมาหาสู่กันนาน ต้องรู้จักชีวิตจติ ใจกันนาน รู้หลักรูฐ้ านรู้งานการรู้วาระจิต
ใช้ชีวิตต่องานกัน แล้วเขาจึงจะแตง่ งานกัน เดียวนี รักงา่ ยทิงง่าย โยมเชอื อาตมาเถอะ แตก่ ่อนนีเขารกักันยาก
โยมผู้ชายเห็นด้วยไหม รุ่นโยมนีรักสาวๆ เป็ นอย่างไร นานไหมกว่าจะรักกัน ถามโยมผู้เฒ่าผู้แก่ว่าจริง
หรือไม่ จริง หรือไมจ่ ริง ก็ตามใจ ไม่ว่าอะไร หรือโยมเคยรักกันหนาพากันหนี รักพกี ห็ นพี ่ออย่างนั นหรือ
เดียวนี รักพีหนีพอ่ หมดเลย อาตมามีลูกสาวหลายคน รักพีเขาหนีพ่อไปอยู่ด้วย จึงมีปัญหาอยูอ่ ยา่ งนี

วันนี คืนยันรุ่งอย่านอนจงึ เรยีกว่าถวายพระราชกศุ ล อาตมาจะไม่ฉันข้าว๒ วันได้ไหม แล้วไม่นอน
เลย โยมจะสู้ได้ไหม ใครจะสู้ ตอนสู้นีอาตมาไม่ได้นอนมาเป็นปี ในพรรษานี ตีสามสอนพระ พระทวี ัดตั ง
๗๐ รูป นสี อนพระมาแล้ว เมือวานนี ไปค่ายทหารกองทัพภาคท๓ี โรงพยาบาลคา่ ยสมเด็จพระนเรศวร
มหาราช หมอนงั ปฏิบัตินุ่งขาวหมด คนทเี ข้าเวรเป็นหมอเข้าเวรไป ทีไม่เข้าเวรมานั งกรรมฐานนังเจริญสติ

ปัฏฐาน ๔ มีอานิสงส์ ๓ ประการ ๑ รําลึกชาติได้ ๒ รู้กฎแห่งกรรมจากการกระทาํ ของตน๓ รู้เหตุผลทีจะแก้
ตวั ได้ ทําเทา่ นี เหลอื กนิ เหลือใช้เลย ทโี รงพยาบาลค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและค่ายเอกาทศรถที
พษิ ณุโลก อาตมาวิงรถสองชัวโมงครึ ง ไปถึงแล้ว เข้าหอประชุมใหญ่ในโรงพยาบาล แล้วพวกหมอนังนุ่ง
ขาวหมด ทีไม่ได้เข้าเวรก็มาเข้าปฏิบัติธรรม เฉพาะวันพระ

วันพระอาตมาไมอ่ อกจากวัด ออกไปต้องให้กรรมฐานหรือไปสอนจึงจะไป จะไปเทียวแดงๆ ขาวๆ
ตามตลาดคงไม่ได้ ในวันพระต้องอยู่วัดให้เขามาบําเพ็ญกุศลกัน แล้วทางราชการว่าอยา่ งไร พทุ ธสมาคม
บอกว่าให้หยุดงานวันพระ ราชการหยุดงานวันพระทําไม โยมหยุดงานวันพระไปทําไม หยุดเพอื ไปวัดหรือ
ไปวัดพระไมอ่ ยู่วัด พระไม่พร้อม พระไปเทยี วทีไหนก็ไม่รู้ แล้วไปทําไมวันไหนก็ไปได้ อาตมราู้สึกเศร้าใจ
มาก วัดไม่พร้อมเลย แล้วจะปฏบิ ตั ิหน้าทีอย่างไร จะทําอย่างไร นีมาพดู เหตผุ ลให้โยมฟัง พูดด้วยข้อเท็จจริง
ไมใ่ ช่ไปถงึ ทําบุญตักบาตรกัน ได้บญุ ไปสวรรค์ มไี ด้ทีไหน จะต้องมีคณุ สมบัติครบดังทีกลา่ วมาข้างต้น

เราจงสร้างห้าร่วมมารวมกัน คือมารวมทนุ โยมก็มารวมพลังกัน สามัคคีกาย สามัคคใี จไว้ รวมทุน
แล้วก็ร่วมทุนอยา่ งไรหรือ ร่วมกันคิดในสติปัฏฐาน๔ ร่วมอารมณข์ องเรา ดอู ารมณ์ของเราทกุ คน ทีโยม
มาร่วมในวันนี ร่วมคิด ร่วมทุน คอื ทุนกุศลตา่ งคนต้องเสียสละกิจการทางบ้านมา นีร่วมทุน ถ้าโยมไม่มี
เสียสละ จะถวายกุศลไมไ่ ด้ คนเราต้องบริจาคทานชั นสูง มีเสียสละกิจการงานบ้านได้ ข้อนี พูดให้โยมเหน็
ถ้าโยมเสียสละไมไ่ ด้ มาทนี ีไม่ได้ นอี าตมาก็ทิงวัดมา คนในวัดต๒ั ง๐๐ กว่า เดียวพรุ่งนี มะรืนนี เข้าอบรมอีก
๑๐๐ เป็น ๑,๐๐๐ เลี ยงข้าวกันเดือนละ๔๐,๐๐๐ บาท จ่ายค่ากระแสไฟฟ้ าเดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท คา่ อาหาร
๒๐,๐๐๐ บาท เป็น ๔๐,๐๐๐ บาท ไม่ต้องเรียไร ไมม่ ีเรียไร เงินมไี หมไม่มี ไม่มแี ต่มาได้อยา่ งไร มธี รรมะ
อย่างเดยี ว นึกเงินไหลนองนึกทองไหลมา เดยี วพระอนิ ทร์กส็ งสาร ส่งวาสุเทพเทพบตุ รเอาเงินมาให้ อาตมา
ฝากไว้ทีธนาคารทุกบ้านเลย ไมต่ ้องไปฝากทีกรุงเทพกรุงไทยหรอก ถึงเวลาเขากม็ าจ่ายให้เอง วันอาทิตย์เขา
ก็จ่าย วันเสาร์เขาก็จ่าย มืดก็จ่าย กลางวันกจ็ า่ ย ตายไปแล้วเขายังจา่ ยให้เลยธนาคารบนโลกของอาตมาไม่
ต้องไปฝากทธี นาคารกรุงไทย กรุงเทพ กสิกรไทยแต่ประการใด มเี บิกได้ทุกเวลาเหมือนอํานาจบุญกุศลทมี ี
อยกู่ ับทา่ นผู้ทมี ีจิตใจเป็ นกศุ ล มหากศุ ลจิต อยทู่ ีข้อคิดข้อนี

เรามาร่วมทุน หมายถึงเสียสละบริจาคทานชั นสูง สละกิจการงานทางบ้านของโยม ต้องเสียเงินค่า
ยานพาหนะมา และต้องเสียเวลามาด้วย ได้ประโยชนม์ หาศาล ร่วมทุนอย่างนี และกร็ ่วมกันคิดสร้างสรรค์
คิดริเริมดําเนนิ งานในชีวิตของตน อา่ นตัวออก บอกตัวได้ ใช้ตัวเป็น เห็นตัวตาย คลายทิฏฐิ และดําริชอบ จะ
ได้ประกอบกศุ ล เราจะได้ผลงานเป็นหลักสําคัญ ร่วมกันคิดนีไม่ใช่คดิ ทจี ะไปเอาเงินเขาคิดเอาเงินเรา ใหด้คิ
ในคุณสมบัติ ในชีวิตดูอารมณ์ นีมาร่วมกันคิดอย่างนี โยมคงเข้าใจ และร่วมอะไร ร่วมผลติ โมยจําไว้ ใน
โรงงานอุตสาหกรรม เขาร่วมผลิตเอาของออกมาในอารมณ์ต่างๆ นีมันทําใหเ้ กิดเงินไหลนองทองไหลมา
ร่วมขาย เปิดขาย ตีแผ่ ชี แจง แสดงออกเป็นระบอบเป็นระบบ จะได้มรี ะเบยี บจะได้มวี ินัย จะได้มีสีลาจริย
วัตรมั งคั งสมบูรณ์ เห็นด้วยไหม ต้องรีบเห็นเสีย จะได้ไม่ต้องพูดากม เหน็ ชัดแล้ว นีอาตมาพูดให้เหน็ ก่อน
ไม่อยา่ งนั นหลับหูหลับตาไม่รู้เรืองกัน

ร่วมทนุ โยมต้องมีทุนมาแล้ว มีนสิ สยั มาแล้ว ถ้าไม่มีนิสสัยมาไมไ่ ด้ วันนี อาตมาตั งใจไว้ คนเดียวก็
สอน ไม่มีใครมา อาตมาคนเดียวกท็ ํากรรมฐาน ไม่ต้องง้อใคร คืนยันรุ่งเลย เราตั งใจมาถวากยุศลแล้ว ต้อง
ตั งใจงานจึงเสร็จ ถ้าไม่ตั งใจงานไม่เสร็จ

ในทางธรรม ถ้าไม่สร้างใจ ไม่มีผล โยมมานี อาตมาเหน็ แล้ว ตั งใจแน่ ตั งใจตั งหลายวัน มาอยูท่ นี ีกัน
บ้างแล้ว ใช่ไหม โยมจําไว้ พระพุทธเจ้าสอนให้ลดห้าว่างสร้างห้าร่วมก่อนคอ่ ยทํางาน ถ้าเราไม่ลดห้าว่าง ไ่ ม
สร่างห้าร่วม ไม่ต้องไปทํางาน ไม่ได้มีอะไรเลยในตัว ไม่มีความหมายเลย ต้องมีความเข้าใจอย่างนมี าร่วม
ทนุ แล้วกร็ ่วมกันคิด คดิ อะไร นังเจริญกรรมฐาน คิดอ่านอารมณช์ มสมบัติสวัสดี เป็นธรรมชาติของจติ ต้อง
คิดอา่ นอารมณ์ รบั รู้อารมณ์ไว้ได้เหมอื นเทปบันทึกเสียง ร่วมคดิ อยา่ งนคี ดิ อะไร นั งดูอารมณ์ว่ามันคิดอะไร
หรือ สตมิ ีไหม และก็ดใู นอารมณ์เราว่าไปแค่ไหนแล้ว ยาวสั นแค่ไหนประการใด ไมใ่ ช่ว่าใหไ้ ปดคู นอืน
แล้วดูอะไรร่วมๆ คดิ ในอารมณ์ อย่ใู นอารมณข์ องเราว่าเราเป็นบัณฑติ ไหมขนาดนี เดยี วนี เป็นอันธพาลหรือ
เปล่า ไมต่ ้องไปดูคนอืนว่าคนชวั หรือคนดี ไม่ต้องไปดูตัวเขาดูตัวเราว่าเป็นบัณฑิตหรือเปล่า

บางครั งนีเราเป็นอันธพาล คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล คบคนชัวทํา
ตัวให้อับจน คบคนดีให้ผลจนวันตาย นีเรามาคบคนดีกันนะ แล้วคนไหนคนดี หาซิ คนไหนคนชัว หาซิ
เดียวรู้เลย รู้ในตัวเรา อยใู่ นจิตเรานีเอง ไมต่ ้องไปดคู นอืน นีตาคนนี ไม่ดี ยายคนนั นไม่ดี ลูกสาวคนนั นใช้
ไมไ่ ด้ ลกู สาวคนโน้นใช้ไม่ดี ลูกสาวข้าดคี นเดยี ว ใช้ไม่ได้ นีไม่ใช่ร่วมคิดร่วมประดษิ ฐส์ ร้างสรรค์ ต้อรง่วม
ลงออก ทําอะไรให้มันถกู แบบถกู บท จะได้หมดจดเหมาะเจาะ มีศลี นีเอาแบบไว้คือศลี เดียวนีคนไหนมศี ีล
บ้างหรือเปล่า ปกติกายวาจาหรือเปล่า มีสตหิ รือเปลา่ นีเราจะต้องใหเ้ จริญสติกัน ขอประทานโทษ แก่ๆ ไป
จะได้ระลึกชาติได้ จะไปเกิดชาติไหนจะได้รู้ จะได้ตดิ ตัวไป เมือสองวันนี อาย๕ุ ๐ เท่านั นนะ กินแล้วบอก
ไม่ได้กิน เห็นไหม ด่าลูก ด่าหลาน ลืมหมดแล้ว อยา่ ใชส้ มองเลย ให้สมองว่าง นผี ู้เฒ่าสอนห่างผู้ใหญ่ จะ
หลงทางได้ง่าย จะเหน็ ด้วยไหม มีลกู อย่าให้ว่าง โยมมีลกู ไหม อยา่ ให้ลูกว่างเสียนะ ลองให้ลูกว่างซิ เศรษฐี
ในกรุงเทพฯ นีจะหาลูกจ้างมาเลียงลูก แล้วลูกจ้างนสิ ยั ไม่ดี ก็พาลูกเราเสียหมด เหน็ ไหม เหน็ ชัดแลว้นีอย่าง
นี นิสยั ไม่ดี โบราณเขาว่าอยา่ งนี เรากม็ าร่วมรวมทุนกันดอู ารมณ์ว่าอารมณ์ของเราเป็นอยา่ งไร เวลาพาลก็
อย่าไปคบมันขณะนั น

พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าอย่าเชอื พระพทุ ธเจ้า พระองค์ทรงแสดงขมวดท้ายไว้ ให้เชอื โดยเหตผุ ล
ข้อเท็จจริง ก็เชอื ตามเหตุผล หา้ มเชือพ่อแม่พ่อแมส่ อนลูกเป็นโจรก็อย่าเชอื นีหมายเหตุแล้ว อย่าเชือใคร
อย่าเชือผัว อย่าเชือเมีย ขอประทานโทษเถอะ ถามด้วยความจริงใจ โยมเชอื สามีไหม อ้าว ไม่เชือเลย นีพูด
อย่างนั นไม่ถกู สามดี กี เ็ ชือ สามีไม่ดีก็อย่าเชือ อาตมาเมือยังเป็นฆราวาส สมัยโบราณกาลก่อนยังกซผั ้าให้
ภรรยา นีสมมตนิ ะ ถูเรือนใหเ้ สร็จ ป้ อนข้าวให้เขาเสร็จ ยังอย่กู ับเขาไมไ่ ด้เลย จนต้องมาบวช นเี ห็นไหม้ตอง
มาบวชแล้ว นีสามีดีก็เชือ ไม่ดีก็อย่าเชือ ภรรยาก็เช่นเดยี วกัน ถ้าดีก็เชือ พระพุทธเจ้าท่านยอดจริงๆเหน็ ไหม
มีสตจิ ึงรู้ได้ เพอื นมี๒ ประเภท เพอื นดีก็ควรเชอื เพอื นทมี ันพาเหลวแหลกก็อย่าไปเชือ

แต่รา้ ยทีสุดในโลกมนุษย์คือเชืออะไร โยมตอบได้แต่ยังอกึ อักอยู่ อาตมาตอบแทนร้ายทสี ุด คือเชือ
ใจเราขณะมโี ทสะ ขณะมโี มหะ ขณะมโี ลภะ โทสะ โมหะ โลภะ จริงหรือไม่ นีเชือใจเราอย่างนีร้ายทีสุด เมือ

สองวันอาตมาไปเห็นมาแล้ว สามกี ลับบ้าน เธอจ๋าๆ ทํากับข้าวตามทีสังหรือเปล่า แมบ่ ้านเขาทําผิดไป เขาทํา
นํ าพริกหวานไป เขาก็บอกว่านีทําใหข้ มหน่อยไม่ได้หรือ เทา่ นั นเลยโมโห เอาหม้อข้าวทหี ุงสาํ เร็จรูปไมี ่ม
นํ าข้าวเหวียงลงใต้ถนุ เลย วันนั นอาตมาไปจอดรถพอดี โครมอะไรกัน เลยบอกโฟชอเ ร์ ออกๆๆ บ้านนีอะไร
กัน โอ้โฮ เชอื ใจเราขนาดนันเห็นไหมนีเสียไหมละ่ นเี สียเลยนะโยม จําไว้นะเชือใจเราขณะมโี ลภะ เชือใจ
เราขณะมโี ทสะ เชือใจเราขณะมีโมหะ เสียทุกราย เพราะฉะนันต้องตังสติก่อนจงึ ค่อยเชอื มีความหมายอยา่ ง
นั น นีก็มีเหตุผล

เพราะฉะนัน เรามาร่วมลงอุตสาหกรรมกัน ผลิตออกในชวี ิตของผู้มีปัญญา มเี มตตา กรุณา มุฑิตา
อุเบกขา แล้วก็เจริญสติปัฏฐาน ๔ จึงจะรู้ดี ต้องยนื เดิน นั ง นอน เหลียวซา้ ย แลขวา คู้เหยียด เหยยี ดขานะ
เจริญ สตปิ ัฏฐาน ๔ เดนิ จงกรม เดินจงกรมไม่ใช่ไปพุทโธเหยียบทีเท้านะ อย่าใช้ เอาพุทโธไปไว้ทีเท้าไมไ่ ด้
พระพุทธเจ้าทรงสอนให้มสี ติ เหยียดๆ ขา มีสติสัมปชัญญะเท่านี ทําได้ไหม เดินมีระเบยี บเพยี บพร้อมด้วย
ศีล ศีลคืออะไร ศีลอยทู่ ีไหน สํารวมเรียกว่าศีลถูก แต่ศลี ต้องมเี รือน คอื สติ ให้เขาอย่กู ่อน เราจะได้ปกตกิ าย
กับวาจาได้ ถ้าเราขาดสติ ศีลไมม่ ีเลย ด้วยความประมาทจะสาํ รวมไมไ่ ด้เลย สํารวมอินทรีย์สังวร นั นแหละ
ศีล แต่ความหมายของศีลคือ ปกตกิ าย ปกติวาจา

ปัญหาก็เกิดขึ น ปกตทิ ําได้อย่างไร ทําอย่างไรคนจงึ จะปกติ ถ้าไมม่ สี ติสมั ปชัญญะแล้ว คนทีขาด
ความเป็ นปกติจะบ้าบอคอแตกขึ นมา กลายเป็นคนวิกลจริต เพราะไม่มสี ติด้วยความประมาท นีอยตู่ รงนี
เพราะฉะนัน เราจะต้องมีสติเป็นเรือนให้สิงอยู่ ปกติกายกับวาจา ในเมือปกติกายกับวาจาแล้วยังไม่พอ เพราะ
จติ ยังเลเพลาดพาดออกไปนอกประเด็นของชีวิตอีกมาก จงึ ต้องมีสมาธิ จิตตั งใจ จงึ ต้องใช้สติปัฏฐาน๔ เป็น
หลักปฏบิ ัติใช่ไหม สต-ิ ปัฏฐาน ๔ เป็นหลกั ปฏิบัติจึงจะมสี ตเิ ป็นปกติได้ คนเราถ้าปราศจากสติแล้ว จะไม่มี
ความหวังในชีวิตต่อไป จึงต้องมีความรู้ตัว รู้ทั ว รู้นอก รู้ใน ภายในใจ อย่าพลาด อย่าเผลอ อย่าประมาท
ละเมอสงสยั แต่ประการใด อยู่ทีสตติ ัวเดียว ถ้าหากว่าคนเราพลาดจากสติแล้ว ไม่มที างจะไปพุทโธ กน็ ั งอยู่
นันแหละ สติไม่พัฒนา ไม่มจี ิตทีจะพัฒนา จะให้ริเริ มในงานไม่ได้ประการหนึง เพราะฉะนตั น้องมีสมาธิ
วางจิตในงาน อย่าวางธุระประการหนึง อีกประการหนึง ในเมือสตบิ วกกับสมั ปชัญญะเกิดตัวภาวนา เกิดตัว
ปัญญา เพราะฉะนั นจิตเป็ นธรรมชาติ ต้องคดิ อ่านอารมณ์ รับรู้อารมณไ์ ว้ได้เป็ นเวลานาน เหมอื นเทป

บันทึกเสียง
พูดไปถึงตอนนี แล้ว ก็ขอเจริญพรแม่ชีว่าจิตเกิดทางไหน ถกู ต้อง แม่ชีตอบถูกแล้ว เพราะฉะนั นจิต

ไมใ่ ช่หัวใจ หัวใจสูบฉีดโลหิตเลียงร่างกาย แตจ่ ิตเกิดทางอายตนะ ทางอนิ ทรีย์ ตาเห็นรูป เกดิ จติ ใช่ไหม หู
ได้ยนิ เสียงเกดิ จิต จมกู ไดก้ ลินเกิดจติ ลินรับรสเปรี ยว หวาน มัน เค็ม เกิดจิตทีลิน กายเรานังลงไป เกิดจิตทาง
กาย นีรู้แล้ว รู้ทีมา จะได้พัฒนามันถูกแล้วในเมือเหน็ ชอบเป็นอะไร ถ้าเราชอบเป็นโลภะ ตาเหน็ รูปชอบ ถ้า
ไม่มสี ติพิจารณาดูเป็นอะไร นีต้องพัฒนาตรงนี ไมใ่ ชน่ ั งหลับหูหลับตาอายง่เดียว หูได้ยินเสียง หูเขาด่าเรา
ชอบไหม เป็นอะไรนัน นอี ย่ตู รงนี ต้องมสี ติ อยา่ บ้า ต้องตั งสตไิ ว้บ้าง นีสมมตถิ ้าโยมไม่มสี ติในกางรเฟปั็น
อะไร นั นถูกต้อง นีอยู่ตรงนี ถ้าโลภะขณะนั นตายไปเป็นอะไร เป็นเปรต มีโทสะ ตายเป็นอะไร ไปลงนรก

หนักหรือเบาแล้วแตก่ รรมใช่ไหม โมหะไมม่ ีสติปัญญาเลย เป็นคนทีไร้สติขาดปัญญา ตายขณะนั นเป็นเดียร
ฉาน

เมือได้ความว่าจิตเกิดทางนันแน่แล้ว วิธีการทีเราทาํ ก็ต้องพฒั นาทนี ันหูได้ยินเสียงกําหนดว่า
อย่างไร นั นเสียงหนอ รู้หนอ ใช้ได้ รู้เสีย ถ้าหากเราไม่รู้ หากพอใจหลงใหลไปกับสิงนั นาถห้ ากว่าจิตไหล
ไปโลภะ ตายไปขณะนั นแล้ว เรากเ็ ป็นเปรตแนน่ อน นีอย่ตู รงนี เอง ต้องพัฒนาตรงนี ถ้าจิตโกรธทําอย่างไร
อย่าลืมทีดวงหทยั ทีหายใจเข้าออก อยู่ทลี ินปี จําไว้ อยทู่ ีลินปี คนเราถ้าจะมปี ัญญานะ เอาเส้นกระแสวัดดู
จมูกกับสะดือ เป็นการดูลมหายใจยาวๆ ถ้าโยมเกิดความโกรธขึ นมา ไปนังตรงไหนก็ตามหายใจยาวๆ จาก
จมูกแล้วไปสะดอื สะดอื ไปจมูก แล้วเอาสตปิ ักทีดวงหทัย เรียกว่าเจตสิก อาศัยหทัยเดียวกับจติ อยู่กับเจตกสิ
คอื หทัยคือลินปีกําหนด โกรธหนอๆ รับรองเลย โยมหายโกรธแน่ หายโกรธจริงๆ แล้วจะไม่โกรธต่อไปด้วย
ไม่มเี ชือเยอื ใย ดับสนิทไม่ติดขึ นมา นคี อื นิพพานนเี ราตายนอกบ่วงจะได้ไม่ห่วงใคร ยงั ตายในบ่วงยังห่วง
ลูกหลาน ไปนิพพานได้อย่างไร ไปไม่ได้หรอก มันอยู่ตรงนี ไม่ใช่ยากเลย

แต่มีปัญหาอยู่ว่าต้องเดินจงกรม คือ เจริญสติปัฏฐาน๔ อาตมากข็ อเจริญพรว่ากายานุปัสสนาสติปัฏ

ฐาน กายจะยนื เดิน นัง นอน เหลียวซ้ายแลขวา จะคู้เหยียด เหยยี ดขาตังสตไิ ว้ และอิริยาบถให้ละเอียดอ่อน
ไปเลย เราจะคู้ เราจะเหยียดขา จะได้รู้ว่ามีระยะเท่าไร มีภาวะเป็นอย่างไรในตัวเรา ไม่ใช่ไปดคู นอืน เขาสวย

ไมส่ วย ดหี รือไมด่ ี อ่านให้ออก บอกให้ได้ ใช้ให้เป็นนะ ให้เหน็ ตัวตาย จะได้คลายทฏิ ฐิ ได้ดําริจะได้ชอบ
ประกอบกศุ ลจะได้ผลอนันต์เป็นหลักฐานสําคัญ ถ้าเจริญสตปิ ัฏฐาน๔ อยา่ งนี ตายยาก เดนิ จงกรมมกี ําหนด
ลมหายใจเข้าออกอยู่ทีท้อง

อาตมานีเคยปฏิบัติทางพทุ โธมา๑๐ ปี พุท หายใจเข้า โธ หายใจออก มา๑๐ ปี มาตอนหลังเจริญสติ
ปัฏ-ฐาน ๔ ลงทีทอ้ ง ตอนทีอาตมาคอหักนี ถ้าพทุ โธตายเลยนะ แตท่ ําไมหายใจได้ตรงไหนๆ หายใจได้ตรง
สะดือ ต้องมีประสบการณ์มา ถ้าโยมอยากจะรู้หายใจทางสะดือจริงหรือไม่ ลองไปทําให้คอหัก ให้รถชนซิ
คอหักอย่างอาตมาหมุนได้เลย หายใจได้จริง นีมีตัวอย่างทีอาตมาพูดนีเป็นเรืองจริง ไม่จริงไม่ าพดู ให้โยม
ฟัง เป็นบาป เป็นการอวดอตุ ริมนสุ สธรรม นีมันเรืองจริงทีผา่ นมากับตัวอาตมาเอง

สะดือนีเรารู้จากท้องแม่เลย อยู่ในท้องแม่หายใจร่วมกับแม่ได้ทางสะดือ กินอาหารได้กบั แม่ หายใจ

ได้ สะดือนี แล้วพระทีนิโรธสมาบัติหายใจไหม ทเี ราเรียกว่าไม่หายใจ หายใจไดท้ างเส้นขน มันออกตามเสน้
ขน ตามทีเหงือออกนั นเอง พระนิโรธสมาบัติจึงอยู่ได๗ วัน นีโดยวิธีนะ ต้องรู้ให้จริงๆ ถ้ารู้ไม่จริงจะไม่
เข้าใจ คือต้องให้ทําทที ้อง พองหนอ ยุบหนอ พุทโธนีหายใจละเอียดมองไม่เหน็ แตอ่ ันเดียวกัน เจริญอานา
ปานสตอิ ันเดยี วกัน ทางพทุ โธกับพองยบุ อันเดยี วกัน มันมีเหมือนกัน แตต่ ่างกันว่าเราจะเอาอารมณ์อะไร เอา
ขันธ์๕ รูปนามเป็นอารมณ์ก็เป็ นวิปัสสนาไป ถา้ นึกบัญญัติเป็นอารมณ์ก็เป็นสมถะไป มันมีเหตุผลอยู่สั นๆ
อย่างนี

ทนี ีเราเดินจงกรม เดินจงกรมคอื พระพุทธเจ้าทรงสอนในสตปิ ัฏฐานว่าเดินมีสติ ก้าวเท้ามีสตริ ู้ตัว
ปัจจุบันธรรม รูปนามขันธ์๕ เป็นอารมณต์ ้องเดินแบบไหน เป็ นประการใด นีกายนุปัสสนาสติปัฏฐาน
อาตมากบ็ รรยายก่อน แตเ่ ข้าใจว่าโยมทนี ังนเี คยทํามาแล้ว หรือยังไม่เคยทํากต็ าม อาตมาจําเป็นจะตอ้ งสาตธิ

ให้ดู เป็นเรืองทีอาตมาต้องมาจัดรายการขึ นในวันนี ถงึ โยมทมําแล้วกด็ ีทวนความจํา ถ้ายังไมท่ ําก็ทวน
ความจําใหม่ เพอื จะได้ซึ งใจในการเจริญสตปิ ัฏฐาน๔ ต่อไป นีกาย กายยนื กายเดนิ รู้ทั งหมด ในกายนี กาย
นอก กายใน คอื มสี ตใิ นภายในก็รู้กายในภายในได้ ว่ากายเยืองย้ายอย่างไร มีศลี ประการใด มีกิริยามารยาทดี
เลวประการใด มันจะรูแ้ จง้ แก่ใจ เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญ หู ิ รู้ได้แก่ตัวเองโดยเฉพาะ

เวทนานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน แปลว่าอะไร เวทนาแปลว่าทนไม่ได้ บังคับไมไ่ ด้ มันเป็นโดยธรรมชาติ
สุขเวทนา สุขกาย สุขใจ ทุกขเวทนา ทกุ ขก์ าย ทุกขใ์ จ อเุ บกขาเวทนา ทําอย่างไรวธิ ีปฏิบัตใิ นเมอื เราสุขกาย
คอื ดใี จ กายสุข ใจสุข ต้องตั งสติไว้ ถ้าเราไม่ตั งสติไว้ก็ประมาท เดยี วก็เสียใจต่อภายหลัง ในเมือดีใจแล้ว
มันดีใจไม่ถูก คอื ไมพ่ ้นจากความทกุ ข์ มันจงึ มีความทุกข์อยู่ในใจเสมอมา จงึ ต้องอย่าประมาท จึงต้องมีสติ
กําหนดทีลินปีนี สุขหนอ สุขหนอ ตั งใจว่าดีใจหนอ

ไอ้คนทดี ีใจนี ขอประทานโทษ เกินขอบเขตชอ็ คตายนะ ช็อคตายได้ แลว้ ดีใจเลยขอบเขตไป
วิกลจริต บ้าไม่ต้องรกั ษา ส่งศรีธัญญาก็ไม่หาย ขนาดปริญญาโท ดีใจแล้วผิดหวัง เสียใจเข้าโรงพยาบาลไป
เดียวนี ปริญญาโททํางานไมไ่ ด้เลย นแี หละพระพทุ ธเจ้าจึงสอนละเอียดมาก จึงต้องมีสติสมั ปชัญญไะว้ ด้วย
การกําหนดจิตอยา่ พลาดอย่าเผลอไม่ได้ เสียใจมากคือทุกข์กาย กายปวดเมือยทุกสกนธ์กาย ทนไมไ่ หวแล้ว
ตั งสติไว้ ปวดหนอๆ จิตเกิดขึน ตั งอยู่ ดับไป เวทนาก็แยกไป โยมจะไม่ปวดเลย ถ้าแยกเวทนาได้เป็นสัดส่วน
จะไมป่ วดเลย รูปธรรม นามธรรม มันจะบอกไว้ชัดมาก นวี ิธีปฏบิ ัติง่ายๆ นะ ไม่ยากเลย แต่เราไปเอาโน้นมา
ประสม เอานีมาประสม จึงรู้ไม่จริง

วิธีทํา ทําอยา่ งไร ทําได้ทกุ เวลาเลย เสียใจตรงไหน ในรถในเรือก็ตาม ร้านกาแฟ หรืออยู่ทบี ้าน อยู่ที
ออฟฟิศ ทีทํางานก็ตาม หายใจยาวๆ จากจมูกไปถงึ สะดือ แล้วก็ตั งสตไิ ปทีลินปี เสียใจหนอ หยาใจยาวๆ
เสียใจหนอ หายใจยาวๆ หายเลยนะ เดียวมันจะมปี ัญญาบอกเราเองว่าเสียใจเรืองนี ต้องไปอย่างนี นีแก้ได้
เสียใจอยา่ งนี ต้องแก้อย่างนี และก็ได้ผลออกมาอย่างนีเลย ไม่ใช่ว่านังหลับหหู ลับตาแล้วไปแก้วันพนรี ุ่ง
ต้องแก้ปัจจบุ ันธรรม

พระพุทธเจ้าบอกว่าอย่างไร ปากอย่าไว ใจอย่าเบา เรืองเก่าอย่ามารือฟื น หรือเรอื งอนื คิดทีผิดทชี อบ
ทาํ ไมไม่ทําปัจจุบัน ทําปัจจุบัน เอารูปนาม ขันธ์๕ เป็นอารมณ์ ไปเอาเรืองเก่ามารือฟื นกัน มันจะเสียใจ

ตลอด และดีใจก็ไมต่ ลอดด้วย เดียวเสียใจเข้ามาแทนที เอาดไี ม่ได้ นีจึงขอเจริญพรญาตโิ ยมไว้ ข้อนีสําคัญ
มาก ต้องกาํ หนดปัจจุบัน แล้วมันจะหายไปเลยนะ หูยินเสียงเขา ดา่ เรา เสียงหนอ เอาเลยตรงไหนก็ได้ ไม่
จําเป็นต้องมานั งตรงนี เสียงหนอ อ๋อ เขาด่าเรา อ๋อ เสียงกับหูนีมันเป็นรูป จิตกําหนดรู้ว่าเขาด่าเป็ตนัวนาม
แล้วเรามีสติสมั ปชัญญะ ปัญญาเราก็จะบอกวา่ อยา่ ไปฟัง เสียเวลา เขาด่าเราแล้วกลับไปหาเขาเอง เสียงกับหู
คนละอัน ไมใ่ ชเ่ ป็นอันเดียวกัน และเราจะไปโกรธเขาทําไม นีอย่างนี มันบอกตัวเองไม่ใชค่ นอืนมาบอก ถ้า
เราทําได้อย่างนี รับรองได้เลยโยมจะเห็นสภาวธรรมของเราเองโดยเฉพาะ

กฎแห่งกรรม : รู้ได้จากเวทนา

(กฎแห่งกรรมของโยมอ่อน)
พระภาวนาวิสุทธิคุณ

...สําหรับผู้ปฏิบัตซิ ึงจะได้ผลภายใน ๗ วันนัน ต้องก้าวหน้าอย่างนี หูได้ยนิ เสียง เกิดสัมผัส กต็ ั งสติ
ไว้ทีหู เอาจติ ปักไว้ทมี ันสมั ผัส จติ เกดิ ขึ นแล้ว เสียงนั นจะเป็นเสียงดา่ เสียงว่าหรือเสียงทเี ขาพกดู ัน คุยกันก็
ตาม ไมส่ นใจฟังในเรืองนั น จงึ กําหนดว่าเสียงหนอๆ เป็นต้น

ในเมือสติควบคุมจิตเข้าไว้ได้ตามสัมผัสนี คอื อินทรีย์ทางหู สตดิ ีศลี ก็มา เป็นต้น มารยาทก็เกิดขึ น
ในจติ ใจ จิตใจก็ดี จะพดู ออกมาพาทีก็มีปัญญา มันเกิดขึนเป็นอานสิ งส์ของตนเอง สําหรับผู้ปฏิบัติท่านั นู้ผ
ไม่ปฏิบัติจะไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย

ผู้ปฏิบัติจะต้องมีสติอยูท่ างนั นจมูกก็ดี เมือได้กลินจะเหม็นหรือหอมไม่สําคัญ สําคัญอยู่ทสีมตี ิ
ควบคุมในการดมกลนิ ลินลิมรสอาหาร ก็ต้องตั งสติไว้ ทําได้รบั รองว่าต้องได้ผล สาํ หรับผู้ปฏิบัติธรรม

สําคัญผู้ปฏิบัติธรรมทไี ม่กําหนดไม่ใช้สติ มันกไ็ ม่เกิดประโยชนใ์ นการปฏิบัติเลย ว่างเปลา่ ไม่
ได้ผล คนเรามีสติอยู่ตรงนั น มีหน้าทีการงานต้องสัมผัสอยู่ตลอดรายการ ลินรับรสเปรี ยว หวาน มัน เค็ม
ต้องปฏิบัติกําหนด ตักอาหารก็ต้องกําหนด เคียวก็ต้องละเอียด กําหนดกลืนด้วย ก็ได้ใจความออกมาว่า ต้อง
มสี ติทกุ อิริยาบถ ต้องกําหนดทั งนั น

อิริยาบถคู้เหยียด เหยียดขา ก็ต้องกําหนดเราจะรู้ได้อริ ิยาบถของเรามกี ีระยะ คู้มามีกีระยะ เหยียด
ออกไปมีกีระยะ ถ้าท่านทําช้าๆ ท่านจะเหน็ สภาวะธรรม ถ้าทําเร็วๆ จะจับไม่ได้ว่ามีกีระยะ ผู้ปฏิบัติธรรม
ต้องจับจุดนี ไว้ก่อน ต้องทําดจนุ ี เป็นเบืองต้นจงึ จะกําหนดได้

บางคนนั งกรรมฐานเป็นปี ๆ ไม่ได้ผลเลย มีแต่เรืองราวไม่เข้าเรือง สิงทีเปลืองเวลา ถ้าปฏิบัตกิ ําหนด
อยา่ งนี มันจะสํารวม ระวัง หน้าทีการงานของตน มันจะมีความขยันสําหรับตน ไม่ใชข่ ยันนอกหน้าทกี าร
งานของตน ไม่ใช่ตนไปรบั ผิดชอบคนอืนได้

คนเราต้องรับผิดชอบตัวเองใหไ้ ด้โดยวิธีนี เรียกว่าพระกรรมฐาน ตั งสตคิ วบคุมจติ ไว้ ไม่ให้จติ ต้อง

หลังไหลไปสู่ทีตํา ต้องฝืนการกาํ หนดนีตัวฝื นใจ เป็ นตัวธรรม เป็ นตัวปฏิบัติ มันอยตู่ รงนี ถ้าเราทา่ น
ทั งหลายไมส่ นใจในเรืองนีแล้ว ช่วยไม่ได้ กย็ ากอยู่

ผู้ปฏบิ ัติแล้วจะมีมารยาททางกายออกมา จะนั งเรียบร้อย จะพดู จาเรียบร้อย ก็เกิดปกติคือศีล ได้แล้ว
ข้อหนึง ถ่ายอุจจาระปัสสาวะก็ต้องกําหนดในภาคกาย มสี ติอยตู่ ลอดรายการ อันนี มันก็เกิดผลด้วยปัญญา
ของตนเอง ห้องนํ า เว็จกุฎี เป็นข้อปฏิบัติเกียวกับการกําหนดสติทั งนั น จะไมดป่ ้ไระมาทในหอ้ งนํ า อาจจะ
ล้มไปเป็นอัมพาตก็ได้ นีด้วยความประมาทของตน

ในห้องนํ ามันลนื เพราะนํ าต้องใช้กับพืนตลอดเวลา เชน่ ห้องอาบนํ า เป็นต้น เข้าไปแล้วกย็ ่องด้วย
การกําหนดจิต มสี ตเิ ป็นการฝึกหัด ทําให้จิตเราเข้าสู่ภาวะด้วยการไมป่ ระมาทของชีวิต การพลาดผดิ จะ
น้อยลงไป ถึง

จะมีผดิ บ้าง ถูกบ้าง ก็น้อยลง ด้วยความไม่ประมาท จติ ก็เกิดละเอียดออ่ น ทําอะไรก็เรียบร้อย ทําอะไรก็
คลอ่ งแคล่วว่องไว จติ ใจก็เป็นธรรม เป็นกิจกรรมของพระกรรมฐาน

ผู้ใดปฏิบัติได้ปจั จุบนั รับรองคนนันเรียบร้อยทังกาย ทังวาจาจะมจี ิตแสดงออกทางด้านวาจาก็ดี
มารยาทก็ดี ศลี ควบคุมอยู่ เป็นปกติแน่ จิตใจกม็ ีมารยาทดอี ีกด้วย นักปฏิบัติอย่าทิงข้อนี ไม่ไใดน้ ด้านกายา
นุปัสส-นาสติปัฏฐาน อยู่ตรงจุดนี

อิริยาบททัง๔ ในการเจริญกายานุปัสสนาสติปัฎฐาน ต้องมี๔ อย่าง กาย ยืน ก็ทําได้เดนิ ก็ทําได้
นัง ก็ทําได้นอน ก็ยังทําได้ ต้อมงี ๔ อิริยาบถ เป็นบทบัญญัติของสติปัฏฐาน๔ คือทางสายเอกบอกไว้ชัด

คนทหี ุนหันพลันแล่นนั นไม่ได้ควบคุมจติ ไมไ่ ด้ปฏิบัติเลย สติจึงไรผ้ ล คนเราจึงขาดสตใิ นข้อนี
ดังนั นตวั กาํ หนด คือตัวฝื นใจ เป็ นตวั ธรรมะ คนเราถ้าปล่อยไปตามอารมณ์ของตนแล้ว มันจะเห็นแก่
ความถูกใจ แต่ไมถ่ กู ต้อง อยูต่ รงนีนะ

นักปฏิบัติธรรมต้องปฏิบัติเลย ตั งแต่นาทีนีเป็นต้นไป ไม่เดินพรึ บพรับๆ อยา่ งนั นเดินโดยขาดสติ
จะรีบร้อนอย่างไรไมไ่ ด้ เพราะจติ มันเร็วต้องยับยั ง ต้องใช้สติ จะเดินไปห้องนํ า ห้องอาหาร ก็ต้องเดนิกจรงม
ไป นีคือวิธีสําหรับนักปฏิบัติกรรมฐาน เราจะพรึ บพรับ หุนหันพลันแลน่ ไม่ค่อยดี มันก็เกิดมารยาทไม่ดี
เกิดขึ นทางกาย และวาจาด้วย

อันนี ผู้ปฏิบัติต้องสนใจในตัวเอง ไม่มีใครทําให้ใครได้ ต่างคนต่างทําจึงจะได้ ของใครของมตัน้อง

สํารวมวาจา สํารวมจิต สํารวมกาย อินทรีย์เนียแหละตวั สําคญั จึงต้องมีการกําหนดสํารวมอยู่เสมอ เพอื

ไม่ให้พลาด ไม่ประมาทของจิต มันก็เกิดข้อคิด คือปัญญา
ทาํ อะไรช้าๆ โบราณท่านว่าได้พร้าเล่มงาม กามคุณ ๕ ต้องกําหนดทางช่องทวาร๖ ปรารภในกาม

คุณนีชัดเจน จึงต้องปฏิบัตใิ นข้อนี ซึงเป็นสิงทีไม่ยากนัก พอจะปฏิบัติได้ แต่เราไมท่ ํา ไมเ่ ป็นธระรมเลยก็มา
ปฏิบัตธิ รรมไม่เกิดประโยชน์แตป่ ระการใด มีแต่โทษ หาประโยชนไ์ มไ่ ด้

เพราะฉะนั นการปฏิบัติต้องมีเวรมกี รรม มีมารผจญ เป็นเรืองธรรมดา เมอื เขาลองดู เราก็ไมย่ ั นต้อง
ตั งสติไว้ สํารวมไว้ ระวังไว้ ตั งใจให้ตรงทรงทีหมายในสติของตน อยา่ งนีเป็ นผลปฏิบัติ

ถ้าเรามาอยใู่ นห้องกรรมฐาน เดนิ พรึ บพรับ แล้วไปเดินจงกรมช้า ไมไ่ ด้ผล ต้องเริ มเดิน ยืน นัง นอน
ทั ง๔ อิริยาบถ ต้องช้าหมด ทังนอกและในห้องกรรมฐานมาอยู่ในหอ้ งกรรมฐานมาคุยกนั ก็ไมไ่ ด้ผล แล้วจะ
ว่ามานั งปฏิบัติไม่ได้อะไร เพราะตัวเราไม่สนใจในตัวปฏิบัติ เลยไม่ได้อะไรกลับาบน้ เพราะธรรมะอยู่ทีตัว
เรา ต้องฝืน คอื ตัวกําหนด เป็นตัวฝืนใจ ให้รู้สึกนึกคดิ ในสัมปชัญญะ เรียกกําหนดว่ารู้หนอ เป็นต้น

นักปฏิบัตธิ รรมต้องเอาจดุ นี เป็นจดุ แรก ด้วยการเจริญสติทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั ง นอน นีสาํ คัญมาก
อริ ิยาบถ ๔ มคี วามหมายอย่างนั น

เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีอย่หู ลัก๓ แต่ใช้อริ ิยาบถ ๔ ยนื มีเวทนา เดนิ มีเวทนา นังกม็ เี วทนา
นอนก็ยังมีเวทนา(ถ้าเรานอนตลอดวัน ตลอดคืนมันก็ใช้ไมไ่ ด)้เป็ นโรคกายโรคใจตลอดรายการ นีคอื

ความหมายของเวทนา

เราจะยืนหนอ ๕ ครั ง ก็มเี วทนาแทรก เดินจงกรมก็มเี วทนาแทรก นั งเจริญกรรมฐานก็มีเวทนา นอน
ลงไป ถ้าไมพ่ ลิกตัวมันก็ย่อมจะมเี วทนาเป็นธรรมดา ต้องกําหนดท๔ี อริ ิยาบถแท้ๆ แต่ข้อปฏิบัตมิ ๓ี คือ สุข

เวทนา ทุกขเวทนา อุเบกขาเวทนา

เวทนา แปลว่า ทนไม่ได้ บังคับบัญชาไม่ได้ มันจะเกิดก็ต้องเกิด มันจะดับก็ต้องดับ มันเกิดขึ นอย่าง
นี เราก็ตั งสตไิว้ จะได้รู้ว่าเวทนานันเป็นอย่างไร มีนํ าหนักมากแค่ไหน ประการใด มันเป็นปัจจัตตังสําหรับผู้
ปฏิบัติเท่านั น เราต้องรู้อยา่ งนี จึงจะได้ชัดเจน ไมใ่ ช่ทําจิมๆ จํ าๆ แล้วจะได้อะไร ไม่เกิดประโยลชยนแ์เ ยก
รูปแยกนามก็ไม่ได้ ขันธ์๕ รูปนามก็ไม่เป็นอารมณ์ ไหนเลยจะข่มจิตใชส้ ตปิ ัญญาได้ ไม่เกดิ ประโยชน์

ตามทีพระพทุ ธเจ้าทรงสอนสุขเจือปนด้วยความทุกข์ ก็กําหนดเสียทุกอิริยาบถ เป็นทกุ อยา่ งม๔ี บท
ทั งหมด บางคนไม่เข้าใจ๔ บทคืออะไร ไม่ทราบเพราะไม่เคยปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วก็ยังไม่รู้ เพราะไมไ่ ด้ปฏิบัติ
จริงๆ เพียงแต่รู้ แตไ่ ม่ทํา ไมไ่ ด้ทําเลยนะ แล้วมันจะรู้จริงได้อย่างไร จะรู้แตข่ องปลอมย้อมในใจ จติ ใจก็
จอมปลอม จติ ใจเก๊ เล่ห์ออกนอกประเด็นนี จึงขยันนอกหนา้ ทีการงาน ในหน้าทีการงานของตนไมข่ ยัน คน
ประเภทนีมีมากหลายทั วไป

ทกุ ขเวทนา สุขเวทนา = สุขกายสุขใจ เดียวก็ ทุกข์กายทุกข์ใจ ตลอดรายการ เพือความไม่ประมาท
ของชีวิต ต้องกําหนดจะได้รู้ว่าเป็นสุขไม่แท้ กายมโี รค ใจมีโรค นีเรียกว่า สุขกาย สุขใจ ทุกข์กาย ทุกขใจ์ ก็
ต้องกําหนด ตั งสตใิ ห้ดีในเวทนาทั ง๔ นี

เวทนาในอิริยาบถ ๔ ต้องเป็นแน่ เสียใจดีใจก็กําหนด เราจะได้รู้วิธีการของมัน เราจะได้ปฏิบัติได้
แก้ไขปัญหาได้ เวทนาทําให้เรารู้กฎแห่งกรรมได้ดีมาก เราจะเหน็ กรรมของตนเอง คือ เวทนาหนักขอฝาก
ญาตโิ ยมไว้ เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ผู้ปฏิบัติธรรมต้องท่องไว้กอ่ น ว่าเป็นขั นตอนท๒ี ต้องมเี วทนาอย่าง
นี เป็ นประจําทุกอิริยาบถ

หมายความว่าเรามีสติดี สัมปชัญญะดี ต้องกําหนดเวทนากเ็ ป็นเรืองเล็กไป ขันธ์๕ รูปนามกเ็ ป็น
อารมณ์ เวทนาก็แยกออกเป็นสดั ส่วนได้ โดยทํานองนี

คําว่าตัวกรรมเห็นชัด คือ เวทนา ถ้าเรานั งเมือยแล้วเลิก เดินจงกรมเมือยเลกิ รับรองทําอีกหมืนปี กไ็ ม่
พบกฎแห่งกรรม จากการกระทําของตน ไม่พบแน่ ทําอยา่ งไรก็ไม่พบ ขอฝากปรารภธรรมไว้ในข้อนี

มหี ลายคนทีพบกฎแห่งกรรมจากเวทนา พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในพระไตรปิ ฏก ในมรรคมอี งค์
๘ ชัดเจน

๑. รําลึกชาตไิ ด้ เพราะสติดี ก็รําลึกเหตุการณข์ องชีวิตได้ สะสมเข้าไว้
๒. เวทนาหนัก เราจะรู้กฎแห่งกรรมได้จากเวทนาเท่านั น ว่าเราทํากรรมอะไรไว้ มันจะเกิดโผล่

ขึ นมา
ยกตัวอยา่ งหมอชลอปวดศีรษะจะแตก ทานยาก็ไม่หาย ทําอยา่ งไรกไ็ ม่หาย ทนตายให้ตาย นั งตลอด
๒๔ ชั วโมง เวลาเลกิ นั งกรรมฐานหายปวด นั งทีไรปวดศีรษะแทบจะแตก เลยแตกโป้ งออกไปเลย ราํ ลึกชาติ
ได้ ทีเมืออดตี ชาติ ไปฆา่ เขาทีนํ าตกเอราวัณ จังหวัดกาญจนบุรี และตัวเองจะต้องไปตทาียนั นด้วย นีรู้กรรม
อย่างนี ถึงอย่างไรกต็ ้องตาย ถูกเขาฆ่าตาย เพราะอดีตชาติไปฆ่าเขามา เทา่ นั นแหละหายปวดศีรษะแล้ว นีรู้

กฎแห่งกรรม มาทําจิมๆ จํ าๆ กันอย่างนี น่ะ ไม่รู้หรอก จะรู้กรรมอะไร เพียงแต่ไปรู้ของคนอนื เขา ตัวเอไงม่รู้
ไปทายกรรมให้คนอืนเขาถูกทีไหน ต้องรู้ตัวเองก่อน

ตัวเวทนา เป็ นตัวรู้ชีวิตสติปัฏฐาน ๔ ด้านกาย ยืน เดนิ นั ง นอน เหลียวซา้ ยแลขวา มสี ติไว้ จะได้รู้
รําลึกชาติได้ในข้อ๑ ราํ ลึกเหตุการณ์ของคุณแม่ คณุ พ่อ จะไม่ลืมในบุพการีแน่นอน นีคนนี จงึ รู้จริง คือ ตัว
ธรรมะ

เวทนาเกิดขึน ก็ต้องกําหนดให้ได้ เท่าทอี าตมาสังเกตมา กระทั งครูบาอาจารย์บางรูป เวทนาเกิดก็เลิก
แล้ว ทําไม่ได้แล้ว กําหนดส่งเดชไป น่าเสียดายนะ ไมร่ ู้จริง ไม่รู้จริงอยา่ ไปสอนเขานะ สอยเขาไม่เกิดผล มัน
ไมข่ ลัง

ยกตัวอยา่ งอีกสกั ตัวอยา่ ง....เมือสมัย๓๐ ปี ก่อนนั น พ.ศ.๒๔๙๖ – ๒๔๙๗ ทวี ัดพรหมบุรี ใครมา
เจริญกรรมฐานต้องอยู่ในศาลาการเปรียญ มปี ระสบการณ์จากกรรมฐานจากโยมผู้หนึง ชือ โยมอ่อน และ
โยมทอี ยบู่ ้านองครกั ษ์ แม่สุ่มอาจจะจําได้ เสียชีวิตไปแล้ว ตอนนั นอายุต๗ั ง๐ กว่าแล้วปวดหัวไม่พกั ปวด
หัวจะแตก อาตมาบอก “โยมกําหนดไปตายให้ตาย เราจะได้รู้ กฎแห่งกรรมของเราเอง” ปวดศีรษะจะแตก

จะแยกออกเป็นสองส่วนแล้ว ไปขอยามาทานก็ไมห่ าย เลกิ นั งเมอื ใดหายเมอื นั น ถ้าไปนั งเมือใด ปวดนํ าตา
ไหลพรากๆ นํ าตาไหลเลยอย่างนีเป็ นต้น

โยมผู้นีกลับปฏิบัตไิ ด้ เดยี วแตกโป้ ง แยกเป็ นรูปนาม ขนั ธ์๕ เป็ นอารมณ์ นีต้องแยกอย่างนี ไม่ใช่
ฟังเทศน์ลําดับญาณ แต่พองยุบยังทําไม่ได้ อย่างทเี ขาปฏิบัติกัน เลยก็ไม่รู้ว่าญาณอะไรกันแนอ่ ย่างพนอี
ระเบิดศีรษะโป้ งออกไป จิตใจกเ็ ข้าสู่ภาวะเป็ นปัญญา รําลกึ กฎแห่งกรรมได้ กม็ าถวายรายงานสอบอารมณ์
บอกว่า “หลวงพ่อครับ ผมรําลึกได้แล้ว บัดนีหายปวดหัวแล้ว”

“เมือก่อนนานมาแล้ว ผมเป็นลกู ศิษย์วัดเก้าชัง อาํ เภอพรหมบุรีนีเอง” เดก็ วัดสมัยก่อนเรียนหนังสือ
กับพระ อยู่กระทังโตเป็นหนุ่ม จนกว่าจะบวชในพระศาสนา ขณะนี อาย๗ุ ๘ แล้ว รําลึกกฎแห่งกรรมไมไ่ ด้
ว่าไปทําอะไรไว้ ลืมไปแล้ว ปวดหัวแตกโป้ งออกมา ปัญญาเกดิ นคี ือเวทนา ปัญญาเกิดต้องรําลึกชาตไิ ด้ คอื
“กฎแห่งกรรม”

เมือก่อนนี มโี รงยาฝิ นอยู่ข้างวัดเตยเขาเรียกบ้านพลู บ้านไทร คนสูบยาฝิ นกันมากมาย มีอาแป๊ ะแก่
คนหนึงอย่ใู กล้วัด ขโมยมาลักของมากมาย จึงจ้างเดก็ วัดไปยิง ใช้ปืนแกบ๊ ใส่ลกู โดดเป็นเงินกลม เอาดินปืน
ใส่

เวลาประมาณ ๔ ทุ่ม ขโมยคนทีไปลักของอาแป๊ ะ กําลังนอนสูบยาฝิ น ในโรงงานยาฝิ นสมัยก่อนนี
เป็นสงั กะสีผุๆ และแฝก เด็กวัดก็เอาปื นไปจ่อทศี ีรษะ สับไกยิงทันที หัวระเบดิ ตายคาที จนบัดนี ยังไม่มใี ครรู้
ว่าใครเป็นคนยงิ ตายฟรีไป

คนทีตายเป็นขโมยลักเล็กขโมยน้อย จนคนเออื มระอา ก็จ้างเด็กวัดเก้าชั งไปยิง แวลน้ ําปืนไปคืนอา
แป๊ ะ ได้คา่ ยิง๑๒ บาท เด็กวัดคือโยมอ่อนและพวก พอระลึกได้แล้ว โยมอ่อนก็แผ่เมตตาขออโหสิกรรม
ตั งแต่นั นมาก็หายปวดศีรษะ นีได้จากเวทน.า..

...กรรมซัดทันตาเห็นจากการเจริญวิปัสสนากรรมฐานแนน่ อน ขอฝากไว้ด้วยนะ เวลามีเวทนา นดิ
หน่อยเลกิ รับรองไม่รู้กฎแห่งกรรมทีตัวทําอะไรไว้

โยมอ่อนก็แผ่เมตตาขออโหสิกรรม อย่าเวรเอากรรมแก่ข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้าขอยกกุศลจากกรรมฐาน
อทุ ศิ ให้ท่าน ดวงวิญญาณจะสิงสถิตอยู่คติภพใด ขอให้รบั ทราบการอุทิศส่วนกุศลนี

ถงึ แม้ว่าคนทีตายสูบยาฝิ นตายไปแล้ว มีคนชอบมากมาย เพราะจะได้ไมไ่ ปลักขโมยอกี และ
อนุโมทนาทไี ปฆา่ เขาตาย แต่ก็ต้องเป็ นบาปเพราะฆา่ เขา

จะฆา่ แมวฆ่าสุนัขฆ่าเป็ดฆา่ ไก่ขายก็เป็ นบาป เพราะปลิดชีวิตเขาตาย เอาชีวิตเขาเป็นเดิมพันใน
การค้าขาย มันต้องบาปทั งนั น ไมม่ ีอะไรทีจะกางกั นไมใ่ ห้บาป ฆา่ เขามันกต็ ้องบาป ฆ่ายงุ ฆา่ เลือด ฆ่ามฆดา่
หนูก็ต้องบาป ไม่มีอะไรทีว่าไม่บาปนะ ขอฝากทา่ นทั งหลายไว้ด้วย

มขี ้าราชการทหารนายหนึงเคยเผามด มาเจริญกรรมฐาน รู้สึกมดมากัดเป็ นแถว ต้องกําหนด ต้องใช้
กรรมเสียให้ได้ จงึ จะสาํ นึกได้ว่าเมอื เป็ นเด็กเคยเผามดเป็ นรังๆ มดแดงมะม่วงเอาไฟใส่เผาเลย ถึงเวลาเข้า
มากัดคนนี คนเดียวกค็ ือเวทนานันเอง กก็ ําหนด มดแดงกัดหนอ มดแดงกัด สติดีปัญญาเกิด เราจะรําลึกได้ว่า
ไปเผามดแดงมากอ่ นอยา่ งนีเป็นบาปเหลอื เกิน เราจะทราบได้จากกรรมฐาน

บางคนทํามาเป็นปีๆ ยังไม่รู้จักกรรมของตัวเอง ทําไมไม่รู้ ตอบได้ทันทีว่า เพราะทําไม่จริง ทําจิมๆ
จํ าๆ พอปวดเมือยเห็นแก่ตัว ก็เลิกไป มันจะรู้เรืองอะไรเล่า จะไมร่ ู้กรรมอดีตของตนแต่ประการใด

ตั งแต่นั นมา โยมอ่อนก็ทําบุญ ถวายสังฆทานเพิมขึน แล้วนังเจริญวิปัสสนากรรมฐานอทุ ิศส่วนกุศล
ให้แก่คนทตี ายไป ทําเขาไว้ เวรกรรมกอ็ โหสิได้เหมือนกันนะ เขาได้รบั ส่วนบญุ กุศลเข้า เขาจะอโหสิกรรม
ให้พรเรา ทั งๆ ทเี ขาตาย อันนี เป็นบทอันสําคัญ มีความสาํ คัญมาตก้องกาํ หนดใช้สติหน่อย เรียกว่าเวทนา

นุปัสสนาสต-ิ ปัฏฐาน เวทนาจับจุดกฎแห่งกรรมได้อย่างนี
บางคนไม่รู้กรรมเลย สร้างแต่กรรมทําเข็ญตลอดรายการ นั นแหละเพิมกรรม เพิมบาปไว้ในใจ

ตัวเองก็ไม่รู้ตัวว่าตัวทบําาป หยาบชา้ ตัวยุยง ตัวเสียดสี ก็หาได้รูด้ ีไม่ ต้องได้จากกรรมฐาน เห็นเวทนาหนัก
กําหนดเข้า ปัญญาจะเกิด จะได้รู้ว่า เราไปเสียดสี เราไปอิจฉาเขา อย่าทําเลย มันจะแจ้งในใจของเรา จาก
เวทนานุปัสสนาสต-ิ ปัฏฐานข้อนี

ขอฝากนักกรรมฐานไว้ด้วย อย่าคิดว่าเวรกรรมไมม่ นี ะ บุญทํการรมแต่ง สนองเวรกรรมตลอด
รายการ สะสางหน่วยกิตเข้าไว้ ม้วนเทปเข้ามาด้วยกรรม บาปกรรมจะต้องเปิดออกในเทปนั น ต้องรับกรรม
ในปัจจุบันนี ไม่ต้องไปเอาชาติหน้า ชาตินีแสนจืดแล้ว และจะเห็นกันต่อไปเมอื เทปกรรมนั นเปิ ดขึ นมา ตง้อ
รับใช้กรรมแน่นอน ไม่ว่าใครทีไหน พระสงฆอ์ งค์เจ้าเหมือนกัน อาตมายังต้องรับกรรม จะลบล้างกันไม่ได้
แต่หนักเป็นเบา เบาก็หายไป อย่างนีขอฝากไว้ นีได้จากเวทนาเชียวนะ

แต่เรามาทําเล่นๆ มานังหัวเราะกัน มานังคุยกัน เลยก็เจอบาปทุกวัน ได้บาปเป็นกิจกรรมทุกวัน
เสียเวลาทางบ้านมิใช่น้อย

คนเราต้องหาความสงบ ถ้าความสงบไมม่ แี ล้ว จะรําลึกเหตกุ ารณ์ไม่ได้เลย มันอยู่ตรงนี นะ

ญาติโยมทั งหลาย อาตมาขออนุโมทนาทีอุตส่าหม์ าทุกวันพระ ผลัดกันเข้าผลัดกันออก มาปฏิบัติ
ธรรมเป็นทีน่าซึ งใจ อตุ ส่าห์ตั งใจ เอาของดีไปใหไ้ ด้นะ ต้องปฏิบัติ ของดอี ยู่ทีไห?นไมใ่ ช่อยทู่ ีอาตมา อยู่ที
ตวั โยม ค้นให้พบเรามีของดีของชัวด้วยกันทุกคน แต่จะค้นเอาของดีไปหรือของชัวไป กต็ ามใจ

บางคนจติ ใจบาปหยาบช้า กเ็ ข้าเป็นหมอู่ ันธพาลกันได้ คนทีใจบุญสุนทานจะเข้าหมู่อันธพาลไม่ได้
อันธพาลอยู่ทตี ัวเรา อย่าไปค้นคนอนื อย่าไปมองคนอนื เขา บางครั งจิตเรามันก็พาลด้วยนกบั างครั งจิตกช็ ั ว
บางครั งจิตกด็ ี คราวดีก็เป็นบัณฑิต จติ อ่อนโยน ไม่แขง็ กระด้าง

ในเมือจิตสงบเยอื กเย็น จิตประกอบกรรมดีมีปัญญา ต้องเป็นบัณฑติ ใจฟุ ้ งซ่าน ใจร้อนจะเป็น
อันธพาล อยู่ตรงนี เป็นข้อปฏิบัติ

ตวั เวทนาเป็ นตวั รําลกึ กรรมได้ ขอให้ทําจริงๆ เถอะตายให้ตาย แตกให้แตก เกดิ ขึ นเดียวตั งอยู่ดับวูบ
พระไตรลักษณ์เห็นชัด ปัญญาก็บอกเราเองว่า อ๋อ เราทํากรรมอะไรไวเ้ราจะได้รู้ล่วงหน้า เหมือนทอี าตมารู้
ว่าคอจะหักวันที ๑๔ ตลุ าคม อาตมาถวายสังฆทานให้เจ้ากรรมนายเวรทุกปี ไม่เคยขาด เจ้ากรรมนายเวรมา
ทวงทกุ ปี บอกว่าถึงเวลาท่านแล้ว วันที ๑๔ ตุลาคม จะไปหรือไม่ไปอย่างนีนะ

แตเ่ ราไม่รู้ว่าใครเขามาทวงกรรม เพราะเราไมม่ ีจิตเป็นกุศล จึงรู้ไมไ่ ด้ มัวแต่แส่หาเรืองทีไมด่ ี จิตที
ไม่มีปัญญา ไหนเลยล่ะจะรูก้ ฏแห่งกรรมของตน ทีเราจะต้องแผ่ส่วนกุศลไปให้

การเดินจงกรมยนื หนอ ๕ ครั ง ให้ครูอาจารย์สาธิต ให้ปฏิบัติทลี ะราย แต่ละรูป อย่าไปบอกเพียง
วาจา เขาจะทําไมไ่ ด้ บางคนก็รู้ดี แต่สอนไม่ถกู ต้องตามขั นตอน ขอพระเถระนุเถระโปรดจําเอาไว้ นําไป
ชีแจงให้ถูกต้อง ชั นประถมยังไม่ได้ จะขึนชั นมัธยมได้อยา่ งไร รูปนาม ขัน๕ธเ์ป็นอารมณ์ แยกรูปแยกนาม
ยังไม่ออก จะไปบอกโสฬสญาณได้อยา่ งไร ยังฟังไมไ่ ด้

วันนี ไปลําดับทีกองทัพภาคท๓ี มาแล้ว ลําดับเหตกุ ารณ์ของชีวิตนั นแหละ มีความหมายเรียกว่า
ลาํ ดับญาณ ลําดับความรู้ในปัญญาของเรา แยกรูปแยกนามขันธ๕์ เป็นอารมณ์

ขั นท๑ี นี สามารถจะตอ่ ถึงญาณ๑๒ ได้ เกิดอัตโนมัติ ยิงทํายิงเกิดๆ แยกปรูแยกนามได้ ทําไมจะ
แยกกายกับจิตไมไ่ ด้ แยกเวทนาไม่ได้ ต้องไดแ้ ยกเวทนาได้เมือใด รู้กฎแห่งกรรมเมือนันเท่านี กเ็ หลอื กิน
เหลอื ใช้เฉพาะภาคพืนมนุษย์

จติ ใสใจสะอาดบริสุทธิ จะรู้กฎแห่งกรรมของตนได้ คนดีต้องมีปัญญาไตร่ตรอง รู้กฏแห่งกรรมกลัว
บาป กลัวกรรมเหลือเกิน คนประเภทนี จะไม่ยุแยงตะแคงแซะแต่ประการใด

ยืนหนอ ๕ ครั ง สอนให้ถูกต้อง ตั งสติตั งแต่กระหม่อมถงึ สะดอื หยุดหายใจ หน...อลงไป สติจะได้
ตามได้ทันที ต้องสอนให้มันถูกระเบยี บ ยืนสํารวมจากปลายเท้า ยื.น..หยุดทีสะดือ แล้วก็ตั งสติใหม่ เหมอื น
เราจะยันอะไร พอสุดมือแล้วก็ตอ้ งถอยหลัง ดันใหมจ่ งึ จะมแี รง หายใจแล้วกก็ ําหนดหนอ... ไปถงึ กระหมอ่ ม
๕ ครั ง ลืมตาเดินจงกรมตอ่ ไป

ขอให้สาธิต และปฐมนเิ ทศแต่ละคน แต่ละรายให้เขาได้ไปเลย ไมใ่ ชพ้ ูดแต่ปากใช้ไม่ได้ ขอฝากไว้
จุดมุง่ หมายอันหนึงคอื พองหนอ ยุบหนอ บางคนทําไมไ่ ด้เลย มาอยู่หลายครั งแล้ว ถามว่า พองหนอ
ยบุ หนอ ทําอยา่ งไร ทําให้ดูซิ ทําไม่ได้เลยนะ น่าเสียดายมาก

หายใจยาวๆ พอง...แล้วลงหนอ....ให้ได้จังหวะ หายใจออกยาวๆ หายใจเข้ายาวๆ ท้องมันจะพองยบุ
เหมือนลกู โป่ ง เอาลมออกมันก็แฟบ ใส่ลมเข้าไปมันกโ็ ป่ งอย่างนั นแหละ ให้ได้จังหวะ ให้ได้รู้สึกนึกคดิ ให้
รู้วา่ พองหรือยุบ ไม่ใช่กําหนดแตป่ าก ใช้ไมไ่ ด้ ทําอกี ๑๐๐ ปี ก็ไม่เกิดประโยชน์ มันอย่ตู รงนีนะ นักปฏิบัติ
โปรดจําไว้ด้วย ถามครูอาจารย์ด้วย เอามอื คลําดูบ้างซิ นอนจับพองยบุ ได้ชัด

อิริยาบถ ๔ ต้องทําให้พอๆ กันยนื เดนิ นัง กับนอน ดูอริ ิยาบถ ไม่ใช่นอนหลับ นอนคุยกันนะ ไม่
ได้ผลเลย คุยกันกส็ ะสมบาปตลอดรายการ ไมเ่ กิดประโยชนแ์ ต่ประการใด กนิ น้อย นอนน้อย พูดให้น้อย ทํา
ความเพียรให้มาก อยา่ ไปมองกุฏิโน้น กุฏนิ ี อยา่ ไปเทียวเปิ ดกุฏิโน้น กุฏินีเขาไม่ได้ ขอให้อยู่ในโอวานที ด้วย

อยา่ ไปวุ่นวายเดินเถลไถล ไปห้องโน้นห้องนี ต้องปฏิบัติ ต้อสงงบ ทุกคนทีอยใู่ นวัดต้องปฏิบัตใิ ห้
ได้ ต้องอยู่ในโอวาทของเจ้าสาํ นัก อยใู่ นโอวาทของครูอาจารย์ อยู่ในโอวาทของผู้ควบคมุ ดูแลด้วย จะได้
ความสะดวกในการบริการด้วย

การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน สาํ คัญทียืน เดิน นัง นอน สําคัญทีธาตุ อินทรีย์ อายตนะ สรุปเหลือ
หนึง คือ กายกบั จติ รูปกับนาม มีเทา่ นี ต้องทําให้ได้

แยกรูปแยกนามได้ เหลือกินเหลือใช้ แล้วญาณอืนๆ มันก็ตามมาเอง ข้อนีสาํ คัญ บางทไี ม่จําเป็ นต้อง
กล่าวว่าเดินระยะ๖ แคข่ วาย่างหนอ ซา้ ยย่างหนอเป็นหลักปฏิบัติ หนักเข้ามันก็ยกย่างไปเอง มันจะมีความ
ละเอียดอ่อนสาํ หรับจิตทมี คี วามละเอียดแล้ว มันกเ็ กิดขึ นโดยทํานองนีเป็นต้น ขอท่านสาธุชนโปรดจําข้อนี
ไว้

บางทเี ดินจงกรมได้สําเร็จมรรคผล บางคนไปสําเร็จตอนนอน ถ้าโยมนังไม่ได้อยา่ นัง นอนกําหนด
พองหนอ...ยบุ หนอ...นอนได้ไหม...ได้ บางทอี าจจะสําเร็จตอนนอน

ขอเจริญพรญาตโิ ยมว่า มีพระเถระรุเถระองคใ์ ดทีสาํ เร็จตอนนอน เดนิ จงกรมวันยังคําคืนยังรุ่งไม่
สําเร็จ นั งภาวนาวันยังคํา คืนยังรุ่งไม่สําเร็จ พอพักผ่อนร่างกามยชั ฌมิ าปฏิปทาปานกลาง ก็เอนกายลง
สาํ เร็จเป็นพระอรหันต์เลย ท่านผู้นี คอืพระอานนท์ ศรีอนชุ า

ทําไมไมส่ ําเร็จเสียก่อนเลา่ เพราะอุปัฎฐากพระพุทธเจ้า เป็นปจั ฉาสมณะ เป็นมัคคเุ ทศก์ รับใช้
อปุ ัฏฐากพระพทุ ธเจ้าจงึ ไม่สาํ เร็จ ไม่มีโอกาสจะเจริญวิปัสสนากับเขา แต่เป็นตู้พระธรรม จะทําปฐม
สังคายนา ก็ต้องรอทา่ นพระอานนท์ พระอานนท์มีความรู้สูง แต่ไม่เป็นพระอรหันต์ จึงสงั คายนาไม่ได้

แต่พระอานนท์รู้ตัวอยู่ ตอนพระพทุ ธเจ้านิพพานแลว้ กว็ ่างงาน จึงปฏิบัติกรรมฐานเป็นการใหญ่
ปฏิบัติมาตั ง๒๔ ชั วโมง วันยังคํา คืนยังรุ่ง ไม่นอน ก็ยังไม่บรรลุ ไปได้บรรลุตอนนอน เอนลงไป กําหนด
เอนหนอ สติเข้าภวังค์ ปัญญาเกิดสําเร็จเป็ นพระอรหันต์ ในขณะจะนอน

ขออนุโมทนาสาธุการส่วนกศุ ล ในทปี ระชุมนี อยากรู้กฎแหง่ กรรม ก็ปฏิบัติเวทนา กําหนดให้ได้ จงึ
จะรู้ว่าเราทํากรรมอะไรไว้ เราอยากจะให้มีปัญญา กส็ งบจติ ให้ลกึ ลงไป แล้วพยายามความเพียรเกิดขึ น

ขอความสุขสวัสดี จงมีแก่ผู้ใคร่ธรรม ผู้ปฏิบัติกรรมฐานทุกท่าน ทีได้สร้างกุศลจิต ให้ชีวิตของท่าน
เรืองด้วยปัญญา สามารถแก้ไขปัญหาได้สมปรารถนา ทุกท่านจงเจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ
ธนสารสมบัติ นกึ คิดสิงหนึงประการใด สมความมุ่งมาดปราถนา ด้วยกันทุกรูปทุกนามเทอญ

แก้กรรมด้วยการกําหนด

พระภาวนาวิสุทธิคณุ

อารัมภกถา
เจริญสุขญาติโยมพทุ ธบริษัท ญาตโิ ยมได้มาพร้ อมใจกนั สวดมนต์ไหว้พระเจริญกุศลภาวนา

ตามลําดบั แล้วจงอโหสิกรรมแก่ท่านสาธชุ น และหมู่กรรมทงั หลายให้มารับเวรรับกรรมรับภัยทีเราขอ
อโหสิกรรม จะได้หมดเวรหมดกรรม หมดภัยหมดโทษ และเราก็จะโฉลกดเี ป็นเบื องต้น

การสวดมนต์เป็ นนิจนี มุ่งให้จติ แนบสนิทติดในคณุ ของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ จติ ใจ
จะสงบเยือกเย็นเป็ นบัณฑติ มีความคดิ สูง ทิฎฐิมานะทั งหลาย ก็จะคลายหายไปได้ เราจะได้รับอานสิ งส์เป็น
ผลของตนเองอยา่ งนี จากสวดมนต์เป็นนิจ

การอธิษฐานจิตเป็นประจํานั น มุ่งหมายเพือแก้กรรมของผู้มีกรรม จากการกระทําครั งอดตี ทีเรา
รําลึกได้ และจะแก้กรรมปัจจุบันเพือสอู่ นาคต ก่อนทจี ะมเี วรมีกรรมก่อนอืนใด เราทราบเราเข้าใจแล้ว โปรด
อโหสิกรรมแกส่ ัตว์ทั งหลาย เราจะไมก่ ่อเวรกอ่ กรรมก่อภัยพบิ ัติ ไม่มีเสนียดจัญไรตดิ ตัวไปเรียกวเ่าปล่า

ปราศจากทุกข์ ถึงบรมสุข คือ นิพพานได้
เราจะรู้ได้กรรมตดิ ตามมาและเราจะแก้กรรมอยา่ งไร ในเมอื กรรมตามทันถึงตัวเรา เราจะรู้ตัวได้

อย่างไร เพราะมันเป็ นเรืองทีแล้วๆ มา นขี ้อหนึง
ข้อสอง แก้แล้ว เราจะรับกรรมหรือไม่ และเราจะสร้างเวรกรรมใหม่ประการใด และจะแก้กรรม

อยา่ งไรในอนาคต เผือเป็นผู้โชคดี เป็นผู้มีกรรมดีในอนาคต
ชีวิตตอ่ ไปในเบืองหน้า เราไม่สามารถจะทราบได้ จะทราบได้วิธีเดยี ว คือการเจริญสติปัฏฐาน ๔

การปฏิบัติให้มีสติสัมปชัญญะ โยคผี ู้บําเพ็ญเพยี รจะรู้ได้ จะทราบด้วยญาณวิถขี องตนเป็นปัจจัตตัง

คําว่าญาณวิถขี องตนนั น หมายความว่า ความรู้ให้เกิดผล ได้อานสิ งส์ เป็นผู้มปี ัญญา ปรีชาสามารถ
เฉลียวฉลาดในการปฏิบตั ิธรรม แก้กรรมได้ และกรรมนั นจะไม่ส่งผลในอนาคตข้างหน้าได้แน่นอน

ผู้ทีจะแกไ้ ขปรบั ปรุงเปลียนแปลงตัวเองได้ แก้กรรมได้ ผู้นันต้องการเจริญสติปัฏฐาน๔ ปฏิบัติด้าน
กายของตน กายนอกกายใน ภายในจิต กายทิพย์ ทิพยอํานาจของใจ ได้มาเป็นกายทพิ ย์ ทิพย์นี หมายความว่า
ภายนอกภายใน รู้ภายในใจ

กายานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน กายนุปัสสนา ข้อทีหนึง หมายความว่าผู้ปฏิบัตินั นรู้กายในกาย คือรู้สักแต่
ว่ากายนีไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตนเรา เขา ไม่มเี ขา ไม่มเี รา มีกายอย่ใู นตัวตน จติ จะได้รู้ว่าการทีกายเคือลนย้าย
ไหวติงประการใด มันอยทู่ ีใจทั งหมด

จิตก็กําหนดยนื เดิน นั ง นอน จะเหลียวซา้ ยแลขวา คู้เหยียด เหยียดขา จะมีสติสมั ปชัญญะ
ควบคุมดูแลกาย เมือจิตผ่องใสสะอาดบรสุทธิ เรียกว่ากายในกาย ภายในจิตผ่องใส ภายนอกจิตผ่องใส

ภายนอก กายจะเคลือนย้าย มันก็เคลือนอยา่ งชา้ ๆ ม๓ี ระยะ เคลอื นไปทางไหน ก็มจี ังหวะจะยืน
เดินนั งนอนอันใด ก็มจี ังหวะมรี ะเบียบวินัย มีสังขารปรุงแต่ง เกิดกาย เรียกว่ากายทิพย์ เพราะเรามจี ิตเป็น
กุศล สมาธิก็ดี สตกิ ็ดี ควบคุมจิตไว้ดีแล้ว จะรู้กายในกาย

รู้กายในกายนี จะรู้ได้ด้วยตัวกําหนด เช่น ยืนหนอ๕ ครั ง เป็ นต้น จะรู้กายภายนอก สภาวธรรมอยู่
ภายใน จิตในก็ดีเยือกเย็น สตกิ ็ควบคุมไว้ได้อยา่ งดี เราก็เป็นผู้มีปัญญา จิตกใ็ สใจก็สะอาดหมดจด เรียกว่า
บริสุทธิ

ในเมือจติ เข้าขั นบริสุทธิ แล้ว เราจะรู้ว่าใจของเราเป็ นประการใด มันอยูภ่ ายในจิต เรียกว่ากายในกาย
จะรู้แจ้งแกใ่ จของเรา

เช่น ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ กายนอกดูความเคลือนย้ายของสกนธ์กาย เรียกว่าสภาวรูป รูป
เคลือนย้ายและโยกคลอนได้ เคลือนไปทไี หน มันกด็ ับทนี ั น จติ ใจกเ็ ข้าไปรู้ในภายใน รูปกับนามกแ็ ยก
ออกไป นแี หละกายภายนอกและกายภายใน จิตใจก็รู้เรียกว่า นามธรรม

คําว่านามธรรม ในทีนี คือ จิตทีลึกซึ ง รู้วาก่ ายเคลือนไหว มีมารยาท มีวินัยดี กายก็เคลือนย้ายโดย
สภาวะ สุนทรวาจาก็กล่าวไพเราะ เหมาะเจาะด้วยเหตุและผล ข้อเท็จจริงทั งหมดล้วนเกิดขึนจากจิต เพราะ
จิตเป็ นหัวหน้า มันจะสังให้กายเคลอื นย้ายไปหยิบอะไรก็ได้

ในเมือกายในถึงทีแล้ว แยกรูปแยกนามออกได้แล้ว ก็เรยี กว่านามธรรม นามธรรมตัวนี แปลว่าตัวรู้
ตัวเข้าใจ ตัวมีเหตุมีผล เพราะจติ ของผู้ปฏิบัตปิ ระกอบด้วยสติปัฏฐาน๔ มีสตดิ ี ควบคุมจิตไว้ได้ จึงจะรู้แจ้ง
แห่งจติ เรียกว่า กายในกาย กายภายใน

คนทมี สี ติดี มสี ัมปชัญญะ รู้ตัว รู้ทัว รู้นอกรู้ใน รู้แจ้งแห่งจติ รู้เหตุผลตน้ ปลายทกุ ประการแล้ว อยา่ ง
นี เรียกว่ากายในกาย มันจะเกิดทพิ ยอํานาจ อํานาจเกิดกายทพิ ย์

กายทพิ ย์นี หมายความว่า สภาพสกนธ์กายคอื สภาวรูป รูปเคลือนย้ายเกิดขึ น แล้วก็แปรปรวนแล้วดับ
ไป แล้วกเ็ ข้ามาถึงจิตใจเราว่า อ๋อ นามธรรม จติ นี มันกเ็ ป็นนามธรรม มีคุณสมบัติอยู่ข้อนหึง คือรู้กายในกาย
รู้ภายในจติ

จะเคลือนย้ายไปทางไหนก็รู้ จะคู้เหยียดประการใด มันจะม๓ี ระยะ แต่ ๓ ระยะนั นมันจะบอกชัด
ไปในกายของตนว่า จะเคลอื นย้ายอย่างนี จะหยิบแก้วนํ า กม็ รี ะเบียบ ไม่มีเสียงดัง เพราะคนนั นรู้นามธรรม
มีสติควบคุมจิต และก็เคลือนย้ายไปอยา่ งละเอียดอ่อน จะวางช้อน จาน หม้อ ไหกเ็ ป็นระเบียบเรียบร้อย อย่าง
นี เรียกว่า กายในกาย

รู้กายเคลอื นย้าย จะหยิบอะไรก็หยบิ หนอ เคลือนมาช้าๆ แล้วกว็ างหนอ อยา่ งนีเรียกว่ารู้ภายใน
ความรู้ในภายในตัวนี เรียกว่ารับรู้ เพราะมีสติสมั ปชัญญะดีแล้วตวั รู้นันแหละ เป็ นการรู้ในภายในรู้
เข้าใจ รู้ความถูกต้อง รูก้ าลเทศะ รู้อย่าวนีจงึ เป็นการถูกต้อง เรียกว่ากายทพิ ย์
กายทพิ ย์นี หมายความว่า มีรูปสภาวะ มีจติ สภาวะ มีสติควบคุมเคลือนย้ายได้ในสภาวรูป เรียกว่า
กายนอก รู้ภายในบริสุทธิ ว่าจะเคลือนย้ายรูปไปอย่างไร จะหยิบอะไร จะมรี ะเบียบมีวินัย จะต้องตั งไว้ทไี หน
ถูกต้องประการใด อย่างนี เรียกว่ากายภายใน

จะกลา่ วเป็นข้อทสี ามว่า ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เรียกว่ากายานุปัสสนาสติปัฎฐาน กายรู้
เข้าใจในกาย คอื จิต

จิตรู้แล้ว เข้าใจถูกต้อง เรียกว่านามธรรม เป็นกิจกรรมของจิต จติ ก็ผอ่ งใสใจสะอาดหมดจด จะทํา
อะไร เปรอะเปื อน จะกล่าวอะไรออกมาก็เป็นธรรม เป็นกิจกรรมทีถูกต้อง

นีแหละก็เข้าในหลักทีว่ากายในกาย ไมใ่ ช่สัตว์ บุคคล ไมใ่ ช่ตัวตน เรา เขา เรียกว่ากายานุปัสสนา
สติปัฎ-ฐาน คําว่าไมใ่ ช่สัตว์ บคุ คล ตัวตน เรา เขา เรียกว่าอะไร เรียกว่ากายภายใน

รู้ภายในว่า อ๋อ อะไรเป็นสตั ว์ อะไรเป็นบุคคล มือคลําไมไ่ ด้เลย แยกรูปออกไป แยกนามออกมา
แล้วก็รู้ว่ากายในกายภายในเป็นกายทิพย์ กายทิพย์นีมองไม่เหน็ ตัว อย่างนีเรียกวน่า ามธรรม แสดงกิจกรรม
ออกมาทางรูป

หน้าตาน่าดูพิสมัย จติ ใจก็เบกิ บาน หน้ากไ็ ม่เศร้า ใจกไ็ ม่หมอง เรียกว่ากายภายใน มสี ติดีมี
สัมปชัญญะ รูต้ ัวด้วยเหตผุ ล รู้ตัวและเข้าใจกาย รู้เข้าใจในจิต รู้ความผิดความถูก รู้ชอบ มันรู้อยอู่ ยงา่ นี

ในเมือมคี วามรู้ความเข้าใจดีเช่นนี แล้ว ไหนเล่าจะเป็นตัวตน ใครจะด่าเรา เราจะรู้ว่าดา่ ตรงไหน
อะไรเป็ นกาย อะไรเป็ นจิต มันแยกรูปแยกนามออกไป กายส่วนหนึง จติ ส่วนหนึง สลายไปแล้ว มีธาตดุ ิน
นํ า ไฟ ลม สิ งทเี ป็นของเหลวกลายเป็นธาตุนํ า สิงทแี ข็งก็กลายเป็นธาตุดิน สิงอบอ่นุ ในร่างกายกก็ ลาเปย็ น
ธาตุไฟ และความเย็นใจเกดิ ขึน ไหวติงอยู่เสมอ ลมกพ็ ัดเข้ามาเยือกเย็นอยู่ในเส้นโลมาเป็นธาตลุ มกเ็ ป็น
เพียงธาตุทั งสี ประกอบกรรมทําดีในร่างกาย สงั ขารปรุงแต่ง มันก็อยู่อย่างนีเป็นต้น ไหนล่ะมีตัวตน

ถ้าเราไปยึดถือว่าเป็ นเราเป็นเขา ก็ต้องทะเลาะกัน เขาด่าเราๆ อยู่ทีไหน หาตัวเราให้พบนีแหละ ทา่ น
จึงบอกว่า คนทรี ู้ซึ งในกายภายในแล้ว จะไม่มีตัวตน สตั ว์ บคุคลทั งหลายแต่ประการใด

เขาด่า เราจะโกรธประการใดเล่า เลยความโกรธก็ไม่มีเพราะเหตนุ ี ความรักโดยกามตัณหาราคะกไ็ ม่
มีในส่วนนี มีแตเ่ มตตาอยใู่ นตัวตน

นีคอื อรรถาธิบายสําหรับกายานุปัสสนาสตปิ ัฏฐานข้อทหี นึง เรียกว่ากายในกายหนอ เกิดขึ นตั งอยู่
แล้ว กเ็ คลือนย้ายดบั ไป ไม่มอี ะไรเป็นตัว เป็นตน มีแต่กุศลอยู่ในจิตใจทํานองนี เป็นต้น

อันนี เป็นกายภายในกายจิต เรียกว่าจติ แสดงเคลือนย้าย แล้วเราก็แยกออกมาได้ การเคลอื นย้าย
ทั งหมดเรียกว่ารูป สติดคี ุมใจไว้ภายใน จิตรู้ว่าเคลือนย้ายไป มอื เท้า เหยียดแข้ง เหยยี ดขา คู้เหยยี ด
เคลอื นย้ายไปด้วยความถูกต้องทุกประการแล้ว ความเป็นระเบียบก็เกิดขึ น ความหมองใจทีมีก็หายไป และ
เรากร็ ู้ว่านีแหละคือนามธรรม

มีธรรมะคอื สติสัมปชัญญะควบคุมจิตเรียกว่านามธรรม ถ้าเราแยกรูปแยกนามในด้านกายานุปัสส
นาได้แล้ว เราจะรู้เองว่าไม่มตี วั ไม่มตี น ไม่มีเขา ไม่มเี รา และจะโกรธไปทําไมเล่า ไปโกรธตัวตน เกลียด
หนังมังสา เกลียดเหงือ ขี ไคล เกลียดขีหูขีตา ใช้ไมไ่ ด้

คนประเภทนี ยังติดอยู่ในรูป ตดิ อยู่ในกามคุณ ติดอยู่ในสิงทีไร้สาระ เลยแยกนามรูปไม่ออก บอก
ไมไ่ ด้ ใช้ไม่เป็น เห็นแต่ตัวตาย จะคลายทิฏฐิไม่ได้ เห็นความเกดิ ดับนใ จิตไม่ได้ เลยก็ไม่รู้จริงอย่างนี

นักปฏิบัตธิ รรมโปรดทําความเข้าใจ ต้องกําหนดตั งสตทิ ุกอิริยาบถ ทา่ นจะซึ งในรสพระธรรม ท่าน
จะดืมรสพระธรรมด้วยทางกายและทางใจ

หมายความว่า ตัวปฏิบัตทิ ีเรารู้ชัดเจน รู้ความเข้าใจเรืองตัวตน สักว่ามีแขน มขี า มีสภาวรูปเกิดขึ น
ตงั อยู่ ดับไป จะเคลือนย้ายอยู่อยา่ งนี มันเกดิ ดับอยู่วันยังคํา

เวลาหนึงไม่ทราบว่าดับไปกีพันครั งในจิต เราจะรู้ข้อคิดเป็นกายทพิ ย์ ทิพยอํานาจเกดิ จากจติ ทําให้
เกิดกายทิพย์ ทําให้กายหลอ่ หลอมนํ าใจ เราจะเคลือนย้ายไปทางไหนสามารถแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ของจิตให้

กายลอดช่องเลก็ ไปได้เมือตนื เต้นหนึง

ลอดไปได้เพราะสมาธิจติ เป็ นปี ติ เกิดขึนเป็ นข้อสอง จิตหวันไหวตะลงึ พรึงเพริดขาดสติ ก็มุดเข้าไป
ช่องเล็กได้ เป็ นข้อทีสาม เป็นการตืนเต้น ตืนตัว ไม่ใชต่ นื ใจ ใช้อํานาจแค่ปี ตเิ ท่านั น ก็สามารถจะทําได้

แตก่ ารทจี ะรู้ซึ งถึงด้านกายนี รู้ยาก ผู้ปฏิบัติต้องปรารภธรรม ว่าจะเดินจงกรม ว่าเดนิ ขวาย่างหนอ
ซ้ายย่างหนอ อะไรย่าง เท้าย่าง เอาสติไว้ทเี ท้า

กก็ ลายเป็นสภาวรูป กายแสดงออกเป็นภายนอก แต่จิตมีสติทีเยืองเท้าไปว่าขวา (ระลึกกอ่ น) ย่าง...
หนอ ทเี ราจะรู้ได้ มีสติควบคุมจติ อย่างนี

รู้เดินจงกรมได้จังหวะดี สติดี อย่ใู นจิตคล่องแคล่วดี ตัวนีเป็นตัวรู้ว่าย่างยาวหรือสั น ลงตรงไหน
ประการใด มีสติควบคมุ ได้ชัดเจน นีเรียกว่า นามธรรม เป็นจิตตั งอยูใ่ นภายใน รู้เคลือนย้ายของกายภายนอก

กายภายนอกกลา่ วชัด เพราะภายในบอกจิตสติได้ สติระลึกได้ รู้ตัวอยา่งนี แล้ว ไปตามตัวกําหนด
ตัวกําหนดนี เป็ นตัวปฏิบัติ เป็ นตัวฝึกให้สตคิ วบคุมจิต ให้จิตเดนิ ไปด้วยดแี ละถูกต้อง และเดิน
จงกรมกค็ ลอ่ งแคลว่ ว่องไว จะไมเ่ ซ จะไมห่ นัก เพราะมันไม่มตี ัวตน ไม่มีบุคคล เรา เขา
ถ้าเราแยกไมไ่ ด้ มันก็โกรธกัน คนโน้นไมด่ ี คนนี ไม่ดี เป็นต้น าถเ้รารู้ซึ งกายภายในแล้ว เราจะเห็น
ใจต่อกัน ว่าคนเราทั งหลายเอ๋ย ธาตุสีประชุมรวมกันรวมอรรถาธิบายเรียกว่า ธาต๑ุ ๘ อินทรีย์ ๒๒ อายตนะ
๖ ปรารภอยา่ งนี แล้วเราก็เกิดคุณความดี ดืมรสพระธรรม เพราะมีจติ ใจเป็นกุศล สติกด็ ี สัมปชัญญะก็ดี
ปัญญาก็เกดิ จึงรู้ว่า อ๋อ เรานี ไม่มีตัวตน
ชือของเรานีเป็ นตัวสมมตบิ ัญญตั ิ สมมตนิ ามแทนชือนี ให้เขาเรียกถูกต้อง เราจะได้เข้าใจว่าเขาเรียก
เรา เท่านี เอง กเ็ พยี งให้คนอืนรู้ จะได้เรียกชือถกู อย่างนีเป็นสมมตนิ ามแทนชือ
แต่ความดีไมใ่ ช่อยู่ทีชอื ชือเสียงโด่งดัง ไม่ใช่ชือทีตัง มนั อยู่ทนี ามธรรม นามธรรมเป็นมิงขวัญของ
ชีวิตประจําตนของบุคคลผู้มีกายทิพย์
ทพิ ยอาํ นาจเกิดจากจิต จิตแสดงเหตุผล ถ้าเรามจี ติ ผ่องใส รู้รูปธรรมนามธรรมได้ แล้วก็แยกออกไป
ไรเป็นรูป ขวายา่ งหนอ ขวาเป็นรูป ซา้ ยเป็นรูป เรียกว่ากาย
อะไรรู้มันย่างไป จิตรู้ และรู้พร้อมดว้ ยสตสิ ัมปชัญญะ ควบคุมไปพร้อม สติมา สัมปชาโน สว่าง
แล้ว เข้าใจแล้ว นีเป็นรูปเคลือน เป็นรูปธรรม
และนามธรรมนั นได้แก่อะไร มีจิตรู้ว่าขวาย่าง ซ้ายย่าง ยาวสั นประการใด แล้วสติไปควบคมุ สติก็ดี
ขึน จิตใจก็เบิกบาน คลอ่ งแคลว่ ในสมาธิภาวนา เรียกว่า นามธรรม เราก็แยกได้ชัดเจน

เราทําได้ เราก็แยกได้เอง ไม่ใช่ครูอาจารย์ไปสอนให้แยก เรามาแยกออกได้เรียกว่ากายทิพย์ กายใน
กาย กายนอกคือรูป กายในภายในคอื จติ ได้แก่นามธรรม

แยกรูปแยกร่างสงั ขารออกไป มันปรุงแต่งทําใหเ้ กิดจิต ปรุงแต่งขึ นมาทําให้เกิดกิเลส เกิดราคะบ้าง
เกิดโทสะบ้าง เกิดโมหะบ้าง แล้วเราก็ขาดสติ ไม่มสี ติสัมปชัญญะ จติ หลังไหลสู่ทตี ํา เรียกว่า ถูกใจไม่เป็น
การถูกต้อง เป็นการผิดพลาดน่าเสียดาย

ถ้าแยกได้แล้ว เราจะรู้ตัวเองว่า อ๋อ ปัจจัตตังแล้ว รู้ตัวรู้ตนว่าในตัวเราทั งหมด ไมม่ ีอะไรดเี ลย มีรูป
กับนาม ขันธ์๕ เป็นอารมณเ์ ทา่ นั นไม่มีอืนใด มีแตอ่ ารมณ์ของเราคอื จติ จิตทีแสดงท่าทเี หี ยวโหดดุร้าย
หลายประการ มันกินอาหารกิเลสเป็นเหตทุ ําลายตัวเราตลอดรายการ

เพราะจิตนี กับรูปกับนามนี มันแยกง่าย ถ้าเราปฏิบัติจะรู้เอง เรคาู้เหยียด เหยยี ดแขน คู้เข้ามาดูช้าๆ
เราจะรู้ว่ามี๓ ระยะ ไดจ้ ังหวะจะโคน มรี ะเบยี บ

รูปก็แยกออกไป นามกไ็ ปส่วนหนึง เรียกว่ารูปนามขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์ด้ายกาย ด้านกายานุปัสสนา
สติ-ปัฏฐาน จิตใจก็เบิกบาน เราจะไมม่ ีตัวตน จะไม่ถือตนถือเรา ถือเขาแต่ประการใด

มอี ะไรหรือ ตอบออกมาทันทวี ่ามีรูปกับนาม จะไม่มคี วามโกรธ จะไม่โทษใคร มีโทษของตนก็
ยอมรับกรรมไป แล้วตนก็แก้ไขกรรมของตนเอง จากการกระทํานั นเป็นต้นเหตุ สมเด็จพระบรมโลกเชษฐไ์ ด้
ชีแจงแสดงมาให้ปฏิบัติทางสายเอก อยา่ งนี

คําว่าตัวตนทียึดมันถือมนั มันโกรธ ลงโทษเขา ตวั เองไม่โกรธา กลับไปโกรธาคนอืนนีเพราะ
แยกกนั ไม่ได้ รูปกบั นามแยกไม่ออก มันจงึ โกรธกัน มันไม่มีอะไรต่อเนืองกันเลย

นีมันหลงกันเหลือเกินคนเราทุกวันนี มันแยกรูปแยกนามไม่ออก มันยังถือตัวตนอยู่ ถือเราถอื เขาอยู่
อะไรเป็ นเขา อะไรเป็นเราก็ไม่รู้ เลยก็ยดึ มั นถือมั นอย่างนี มา คนเราจงึ โกรธกันง่าย ทะเลาะเบาะแว้งกัน
ง่ายดาย ดังได้ชีแจงมาอยา่งนี เป็นต้น นีอยู่ตรงนี เรียกว่ากายในกาย
เวทนานุปสั สนา

เวทนุปัสสนาข้อทสี องนันจะแยกเวทนาอยา่ งไรหรือ เวทนาทีเป็นหลักปฏิบัติ มี๓ ประการ เรียกว่า

สุขเวทนา ทุกขเวทนา อุเบกขาเวทนา

ในเมือเราเจริญทางกาย เดินจงหรมนั งกําหนดพองหนอ ยุบหนอ กายพอง กายยุบ รปู พอง รูปยุบ สติ
ดมี ีปัญญา เราจะรู้ว่าพองเท่าไร ยุบเทา่ ไร จิตใจเป็นประการใด ยาวสั นประการใด จิตเป็นผู้สร้าง จิตเป็นผ้รู้
แต่ปัญญาจะเกิดหรือไม่ เป็นเรืองของคนทํา

ในเมือมสี ตดิ ี พองหนอ ยุบหนอชัดเจน และคล่องแคล่วดี มันก็เกิดรูปธรรมนามธรรม เกิดจิตพอง
หนอ ยุบหนอ พองก็เป็นรูป ยบุ ก็เป็นรูป จิตกําหนดรู้เป็นนาม และกส็ ตมิ ั นคงอารมณด์ ี อานาปานสติได้พอง
หนอ ยุบหนออย่างนี

จิตเข้าขั นดี อารมณ์กด็ ขี ึ น จติ ใจกค็ ล่องแคล่วเรียกวน่าามธรรมแยกออกไป รู้นอกรู้ในด้วย ทีด้าน
กายทั งหมด

และเวทนาแทรกซ้อนมาอีก เดยี วก็สุขกายสุขใจ เดยี วก็ทุกข์กายทุกข์ใจ เดยี วก็จิตลอยไปโน่น ลอย
ไปนี ขาดสติสัมปชัญญะ สุขกเ็ วทนา เจือปนด้วยความทกุ ข์ ไม่แน่นอนเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

นอกเหนือจากนั น ทุกขเวทนา ทุกขน์ อก ทุกข์ใน ทกุ ข์จร โทมนัสสัง ทุกข์ใจ เรีกยว่าความทุกข์
ความเกิดกเ็ ป็นทุกข์ ความแก่ก็เป็นทกุ ข์ ความเจ็บก็เป็นทกุ ข์ ความพลัดพรากจากกนั ก็เป็นทุกข์ เป็ นกรรม
ของเรา จากการกระทําของสัตว์โลก จากการกระทําของตน ความทกุ ข์อย่างนี ไมม่ ีความสุข หาความสุข
แน่นอนไม่ได้ในโลกมนุษย์นี

เรากจ็ ับได้สุขหนอ ดีใจหนอ เสียใจหนอเป็นต้นตังสติไว้ กําหนดตลอดไปเราจะรู้แก่ใจเองว่า
อะไรเป็ นสุข อะไรเป็นทกุ ข์ กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา ธรรมเป็นกุศล ธรรมเป็นอกุศล จะรู้ได้ในเวทนา รู้
มากทเี ดยี ว อ๋อ กุศลกรรม จติ ไม่ดีแล้วก็เสียใจ

ทุกข์เอ๋ย ทุกข์ใน ทุกข์นอก ทุกข์จร ทุกข์ใจโทมนสั สัง เราทกุ ข์ ใครไม่ทราบ เรามาเพิมทกุ ข์อยู่ในใจ
ความโกรธเคียดแค้นก็เกิดขึ นแก่ตนเอง นีแหละเวทนา มันเกิดทกุ ข์หาความสุขไม่ไดแ้ ล้ว

เกิดความสุข ดีใจหัวร่อร่าชัวโมงนี จะไปร้องไห้ชัวโมงหน้า ต้องเสียอกเสียใจ ไม่มอี ะไรมันคง
เพราะแยกไม่ออก ไม่รู้เลย ความทุกข์จรมา

เพราะคนเราเดยี วนี ทุกข์ประจํากม็ ากแล้ว กลับไปเอาทุกจขร์ มาอีก ทุกข์ไม่ใช่เรืองของตน ก็เอามา
เป็นทุกข์ เพราะยังไปถือตน ถือเรา ถือเขา กไ็ ปเอาทกุ ข์จรมา

ในเมือทุกข์จรขึ นมาแล้ว ทกุ ข์ประจํามันก็หนักขึ น ความเสียใจก็เพิมขึ น ตลอดทุกข์โทมนัสสัง
ความเสียใจกด็ ี ความทุกข์ทรมานหัวใจก็ดี กเ็ กิดขึนแก่ตัวเรา และตัวเรากเก็ ิดระทมขมขนื บันทึกไว้ในจิตใจ
มีแต่ความทุกข์ หาความสุขไมไ่ ด้

คนห่างธรรมะ ชอบเอาทุกข์จรนอกประเดน็ มาเผาจติ ใจตน ทุกข์ของเรากเ็ ตม็ เปา ไม่ชอบจะแก้ไข

เราต้องแก้ไขทุกข์ประจําก่อน ให้มันหายไป แล้วทุกข์จรมันก็แก้ง่าย
ทกุ ข์ประจําแก้ไม่ได้ มันเป็นทุกข์หนัก ทุกข์จเรป็ นเรืองเล็กๆ มาประสบทุกข์หนัก เลยก็หนักอก

หนักใจตลอดรายการ
ได้ยินพระท่านมาตกิ าบังสุกุลปัญจกั ขันธา รูปักขันโธ เวทนากขันโธเห็นได้ชัด แต่เราไมเ่ อารูป

นามขันธ์ ๕ มาเป็นอารมณ์ แตไ่ ปเอาทุกข์มาอีก ไม่อยู่ในอารมณ์ของขันธ์๕ ไม่อยใู่ นอารมณข์ องรูปนาม
และเราก็เอาทุกข์ประจํามาใช้เป็นทุกข์จร เอาทุกข์จรมาประสมทุกข์ประจํา เลยทกุ ข์ก็หนักกันต่อไปบรรเทา
ทุกข์ไม่ได้ บําบัดทุกข์ถึงบรมสุขคงไม่ได้

จะบําบัดทกุ ขไ์ ด้อยา่ งไร เป็นการเพิมทุกข์เสียแล้ว เพิมทุกขใ์ ห้มาก ทุกข์กายทุกข์ใจ ปวดเมือยทัว
สกนธ์กาย ก็เป็นทุกข์แล้ว หิวกระหายกเ็ป็นทกุ ข์ มันเป็นเรืองของทุกข์ไปหมด ทํานองนี เพราะเราแก้ไข
ไมไ่ ด้ เวทนาก็แยกไมไ่ ด้แล้ว

ไมจ่ ําเป็นต้องกล่าวว่ากายแยกได้แล้ว เวทนาก็ต้องแยกได้เหมือนกัน อะไรเป็นรูป อะไรเป็นนาม
เวทนาอาศัยรูปเกิด ถ้าไม่มีรูป เวทนาเกิดไมไ่ ด้ มันปรุงแต่งตลอดเวลา

มันยังปวดขา ปวดกระดูก ปวดนอก ปวดใน นีแหละมันปรุงแตง่ และมันก็เกิดทกุ ข์เวทนา เกิดกับ
ตัวเรา เรียกว่าทุกข์นอก ทุกขใ์ น ทกุ ข์ทั วสกนธ์กาย ทุกข์ในใจ

ทกุ ข์กายปวดเมอื ย มันก็ใจไม่สบาย ใจไม่ดแี ล้ว แต่เราแยกรูปแยกนามได้ แยกเวทนาไดก้ าํ หนด
เวทนานันว่า ปวดหนอ ๆ ปวดหนัก หนักแล้วจะเหน็ ตัวทุกข์

เหน็ ทุกข์แล้ว ทุกข์มันจะดับ ดับไปแล้วเป็ นอะไร เป็ นความสุข ปราศจากทุกข์ แยกตัวทุกข์ออก ตัว

สุขออก จิตก็ว่าง จิตก็ไม่ไปยึดทุกข์ จิตก็ไม่ยึดสุข จิตกล็ อยลํา เป็ นการปราศจากมลทินเครืองเศร้าหมอง

จติ ใจก็ผ่องใส จติ ใจก็บริสุทธิ

ร่างกายสังขารไม่สมฤดี ปวดเมือยทั วสกนธก์ าย เราต้องเอาจติ ไปปักทีตัวปวด ปักเป็นการฝึกครู
เวทนามาสอน ต้องฝึกว่าเป็นทุกข์ทรมานเหลือเกนิ ทกุ ข์นอก ทุกข์ใน

ทุกข์นอกไมส่ ําคัญเท่าทุกข์ใน คือทกุ ข์ในใจ กายหนอกาย มันทุกข์เกิดปวดเมือย เพราะมันมีรูปปรุง
แต่ง สงั ขารอาศัยรูปเกิด มันเกิดขึ น ตงัอยู่ ดับไป ยึดไปยึดมายึดทุกข์ หนักเข้าก็สนุกกัน ทกุ ข์กห็ ายไป ปวด
เมือยหายไป จิตใจกผ็ ่องใส จติ กไ็ มไ่ ปยึดมั นมีอุปาทานแต่ประการใด

จติ ไมไ่ ปปวดรวดร้าว ปวดก็แยกไปเป็นส่วนหนึงของเวทนา นามธรรมกไ็ ปอีกส่วนหนึง จติ จะไม่
ไปเกาะเกียวกับความทกุ ข์ จิตจะเบิกบาน นแี ยกเวทนาออกเป็นสัดส่วน ความปวดเมอื ยกห็ ายไป เป็นอนิจจัง
ทุกขงั อนัตตา เรียกว่าพระไตรลักษณ์ นันแหละคือวิปัสสนา เราจะได้รู้ว่าอะไรเป็นตัวตน ไม่มแี ล้ว ไมม่ ีมัน
กไ็ ม่ปวด เพราะไม่ไปยึดตัวตน เท่านีเองทํากันไมไ่ ด้ พอปวดหน่อยเลิกแล้ว ไมไ่ ด้กําหนด

คนเราจะรู้กฎแห่งกรรมได้ จะต้องรู้ตัวทกุ ขด์ ี มันจะเกิดแตกสลาย จึงจะเกิดทกุ ข์ ทุกข์หายไปแล้ว
กรรมเก่าตั งแต่อดตี ชาติมา มันจะบง่ ชัดว่าเราทํากรรมอะไรไว้ ตรงนีเป็นตัวสําคัญ

ขอฝากผู้ปฏิบัติไว้ว่าต้องอดทน ต้องฝื นใจ ถงึ จะพบตัวธรรมะ พบรูปนามขันธ์ ๕ เป็ นอารมณ์ ถ้า
เราไม่ฝืนใจปล่อยตามอารมณ์ก็มีอุปาทาน มันก็ไปยึดเหนียวอยู่ในจดุ นั นตลอดไป และเรากไ็ ม่ทราบความ
จริง ก็มแี ตก่ เิ ลสเพิมพนู บริบูรณ์ยิงขึ น ไหนเลยจะพ้นทกุ ข์ได้

มานั งกรรมฐานควรจะพ้นทกุ ข์ กลับมาเพิมทกุ ข์ หาแต่ความสุข ความสุขกไ็ ม่เข้า ความทุกข์ก็ไม่แน่
เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาหาความแน่นอนไมไ่ ด้ ด้วยวิธีนี ประการหนึง

เพราะฉะนัน สุขเอ๋ย สุขกาย สุขใจ ต้องกําหนดตังสติควบคุมดูแลจิต เราจะได้ไม่ถอื ตัวถือตน ไม่
มีทิฏฐิมานะแต่ประการใด เราจะไม่โกรธใครเลย ถึงจะมีความโกรธอยบู่ ้าง กห็ ายได้ไว หมั นสังสมบุญกุศล
อยา่ งนี จะได้ผล

ผู้ปฏิบัติธรรมบางคน รูปนามก็แยกไม่ได้เวทนาก็แยกไม่ได้ เอาแต่ทุกข์จรมาประสม เลยแส่หาทุกข์
บ้านเหนือบ้านใต้ เอามาประสมจิตใจก็ไม่เข้าสู่กระแสแห่งความบริสุทธิได้

แค่รูปนามยังแยกไม่ได้ เวทนาก็คงแยกไม่ได้ เพราะมันยากกว่ารูปนาม เวทนาก็คือรูปนาม ปวดเป็น
ทกุ ข์ เรียกว่าอะไร มีทังรูปทงั นามตัวปวด เพราะจติ ปวดไปด้วย ปวดนันคือสังขารรูป เรียกว่ารูป แต่จิตไป
เกาะเรียกว่านาม มีทังรูปทงั นามนะ เวทนาตวั นี

ถ้าจิตไปถงึ ขั นวิปัสสนาญาณ ขันธ๕์ รูปนามเกิด พระไตรลักษณ์เกิด รูปกแ็ ยกไปคือเวทนาที
ประสมด้วยรูป สงั ขารปรุงแต่ง จิตก็แยกออกไป ไมป่ วดรวดร้าวทั วสกนธ์กาย แล้วก็สามารถจะรู้รสพระ
ธรรมตรงนั น

และรสพระธรรมทดี มื เข้าไปจากเวทนา จะทนตอ่ การพิสูจนจ์ ากทกุ ข์ยากลําบากนี เราจะรู้กฎแห่ง
กรรมได้ทันที อย่ตู รงนะ

จิตตานุปัสสนา
จิตตานุปัสสนาสติปัฎฐานข้อทสี าม ทําไมเรียกว่าจติ ตานุปัสสนา เพราะจิตไม่มีตวั ตน เป็นธรรมชาติ

อันหนึง ต้องคิดอ่านอารมณ์อยู่ตลอดเวลา คดิ นอกคิดใน ตั งแต่ครั งไหนมาก็บันทึกไว้ แล้วก็แสดงออกได้
เรียกวา่ จติ

อารมณ์แบบนีเกิดขึน ตังอยู่ ดับไปมันกเ็กิด – ดับเรือย แต่เกดิ ดับเราไมร่ ู้ ไม่เข้าใจ ว่าเกิดดับสิง
ทังหลายเกิดขึนกแ็ ปรปรวนดบั ไป มันก็เป็นอย่างนีแหละหนอ

จิตทีคิดออกไปนอกประเดน็ กม็ ีมากมาย จึงต้องกําหนดรู้หนอ คดิ หนอ เป็นต้น นีจากอารมณ์จิต
เพราะจติ นี เป็นธรรมชาติ ต้องคิดอ่านอารมณ์ รับรู้อารมณ์ไว้ได้เหมือนเทปบันทึกเสียง เรียกว่าจิตตานุปัสส
นาสติปัฏ-ฐาน

รู้ว่าจิตในจิต เวทนาในเวทนา เวทนาตัวในคือนามธรรม รู้แยกออกรูปนามขนั ธ์ ๕ เป็นอารมณ์
เวทนาก็แยกออกไป จิตก็แยกออกมาเป็นนามธรรมจิตก็ไม่สนใจในการปวด และเราจะปวดทําไมเล่า ไม่มี
ตัวตนจะปวด อย่างนีเรียกว่าเวทนาในเวทนา

จิตใจ หมายความว่า จิตธรรมดาเราคิดอ่านอารมณก์ ไ็ ม่รู้ว่าถูกผิดกไ็ ม่เข้าใจ จติ ในจติ สักแต่ว่าจิต ไม่
มีสัตว์ บคุ คล ตัวตน เรา เขา กอ็ ันเดียวกัน ในเมือจติ ทราบดีแล้ว ก็แยกออกไปๆๆ แยกความโลภ โกรธ หลง
อายตนะ ธาตอุ นิ ทรีย์ สัมผัสเกิดจิตทจี ติ ตานุปัสสนา

อินทรีย์เกิดจติ ทีตา หู จมกู ลิน กาย ใจ นักปฏิบัตอิ ย่าปล่อยเลยไป ต้องกําหนด ตาเห็นรูปกําหนด
เห็นหนอ จิตตานุปัสสนา เสียงหนอ เกิดทจี ติ ทจี ติ ตานุปัสสนา จมกู ได้กลิน ชิวหารับรส กายสัมผัสร้อน
หนาว ออ่ นแข็งทกี ้นจติ รู้เกิดขึ น จิตเกิดทางไหนร้อนหนาวกร็ ู้ อ่อนแขง็ กันก็รู้ นีคือจติ ทกี าย จิตภายนอก
เพียงรู้

จิตภายในจติ หมายความว่า มีสติสมั ปชัญญะตัวกําหนดภายในจติ จิตมีสตดิ ี จิตมีสมั ปชัญญะดี
เรียกวา่ ภายในจิต ไมม่ ีตัวตน และเราก็มีสติควบคุมจติ ตอ่ ไป จิตกไ็ มไ่ ปยดึ มั นถอื มั น ในจิตภายนอกเรียกจิต
นอกจติ ใจก็เพราะอย่างนีเอง

คนทีสติสัมปชัญญะดี เรียกว่าจิตในจิต รู้ข้อคิดรู้ปัญญา รูค้ วามสามารถของตน รู้ความเป็นอยู่ของ
ชีวิต ขอขยายให้ฟัง ต้องกําหนดรู้หนอ คิดหนอ จิตออกไปทีไหนไม่ทราย ออกไปเดนิ นอกวัด ออกไปบ้าน
แฟน เทียวทั วประเทศ เทียวทั วโลกคือจิต แต่เรารู้ภายใน จติ กเ็ ข้ามาอยู่ข้างใน คือ นั งทางใน คือปัญญจาิต
มันก็มปี ัญญา มีความสามารถ ประกอบกิจใช้จิตทั งนั น นีคจือิตตานุปัสสนาเชงิ ปฏิบัติการ

ต้องกําหนดรู้ ต้องกาํ หนดคิด จติ มันต้องรู้ จติ มันต้องเข้าใจ ถ้าแสงสว่างเกิดเป็นทางธรรมแล้ว
เรียกว่า นามธรรม จติ กเ็ กดิ แสงสว่าง คอื ปัญญา รู้ภายในจิตของเรา รู้อารมณ์ของเราว่ามคี วามโลภเข้ามา มี
ความโกรธเข้ามา มีความหลงเข้ามา จติ เกิดอายตนะดังทีกล่าวนี ก็ต้องกําหนด

ผู้ปฏบิ ัตธิ รรมต้องกาํ หนดทุกอิริยาบถคนทีปฏิบัติธรรมนานไปกม็ ีทิฏฐิสูง สะสมแตก่ เิ ลส ไม่ได้
สะสมรูปธรรม นามธรรม ให้เห็นผลประจักษ์ชัดเจน ก็ไร้ผลไม่เกดิ ประโยชน์

ธรรมานุปัสสนา
ธรรมานุปัสสนาสติปัฎฐานข้อทีสีนันธรรมเป็นกุศล อกุศล เราจะรู้แจ้งตนเอง เพราะแยกรูปแยก

นามได้ เราจะแยกออกไป นีกศุ ลกรรม นอี กุศลกรรม กายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ มโนกรรม ๓ มันจะแจ้งแก่ใจ
ในตอนนั น สักแต่ว่าธรรม ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เรียกว่าธรรมานุปสั สนาสติปัฎฐาน

หมายความว่า ธรรมคือการกระทําทางกาย ทางวาจา และทางใจ ธรรมะเป็นคุณคา่ สภาพชีวิต
ธรรมะคอื ความทุกข์ ธรรมะไม่ใช่ความสุข เรารู้แจ้งความทุกข์ได้เด็ดขาดแล้ว สามารถจะกําจัดทุกข์ไปได้
โดยอริยสัจ ๔ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคเกิดขึนแก่ตัวตนของเรา จติ ใจก็แยกประเภทออกไป เป็นกุศลกรรม
บ้าง อกศุ ลกรรมบ้าง

กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ก็กลายเป็นกิจกรรมเรียกว่ากุศลกรรม ด้วยกาย ดว้ ยวาจา ด้วยใจ และ
เราก็ทายออกมาได้ว่า ธรรมอันนี เป็นกศุ ล ธรรมอันนีเป็นอกุศล แจ้งแกใ่ จตนเป็ปนจั จัตตัง เวทติ ัพโพ วิญ ูหิ
รู้ได้เฉพาะตัวเรา คนอนื หารู้ได้ไม่

เราไปทําชั วทีไหนไว้ เราเท่านั นเป็นผูเ้รรู้ าเท่านั นเป็นผู้รู้ว่าอะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศลทุกข์
ยากลําบากแก่ใจของตนเป็นประการใด เรียกว่า กุสลาธัมมา อกุสลาธมั มา ธรรมเป็นกศุ ล ธรรมเป็นอกุศล รูป
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อยู่ตรงนี เรียกว่าวิปัสสนาภูมิ ภมู ิของนักวิปัสสนา ต้องรู้ต้องเข้าใจในเชิง
ปฏบิ ตั ิการ

ไมใ่ ช่รู้ตามทหี นังสือเอามาอา่ น ตามทีฟังพระสวดพระอภธิ รรม ๗ คัมภีร์ ได้แก่ จติ เจตสิก รูป
นิพพาน แตผ่ ู้ปฏิบัติธรรมต้องเจริญวิปัสสนากรรมฐานให้รู้ว่าอะไรเป็นจติ อะไรเป็นเจตสิก อะไรเป็นรูป
อะไรเป็ นนาม อะไรเป็นนิพพาน

นิพพานํ ปรมํ สุญญํ นิพพานต้องสูญจากกิเลส เป็นเหตุทําลายจติ นิพพานนั นต้องหมดกิเลสตัณหา
จงึ จะเกิดบรมสุข เรียกว่า นิพพานํ ปรมํ สุขํ สุขอืนใดไม่มเี ท่าสุขพระนิพพาน เพราะหมดกิเลสตัณหาด้วย
ประการทั งปวง เรียกว่า จิต เจตสิก รูป นิพพาน ดังทีกล่าวมาแล้ว อย่ทู ีของง่ายๆ ลับลีลับไรเท่านั น

กรรมครังอดตี นี จะรู้ได้จากเวทนา กรรมครั งอดีตชาติ อดตี ทีผ่านเมอื ปี ทีแลว้ สิบปีก่อนโน้น จะรู้ได้
จากเวทนา

แก้กรรมด้วยการกําหนด

กรรมปัจจุบนั ทีเราจะอโหสิกรรม กแ็ ก้กรรมด้วยตัวกําหนด เช่น เสียงหนอเขาด่าเรา กําหนดใหห้ าย
จะไมม่ เี วรกันต่อไป นีแก้ปัจจบุ ันนะ

กรรมครังอดตี แก้ไม่ได้ ต้องใช้กรรม เหมือนอยา่ งทีอาตมาคอหัก เราก็รู้กรรมของเราครั งอดีต รู้จาก
เวทนาทีเจริญสติปัฏฐานในด้านเวทนานุปัสสนา เกิดขึนกําหนดไปให้แตก แล้วก็แยกออกไปเป็นสัดส่วน
แล้วทุกข์นั นกห็ าย สุขเข้ามาแทนที จิตใจกผ็ ่องใส จึงรู้กฎแห่งกรรมครั งอดีตได้าวเร่ าเคยไปฆา่ สตั ว์ เคยไป
ฆ่านก อย่างนี รู้ได้โดยปัจจัตตัง

กรรมปัจจุบันจะสร้างให้เกิดอนาคต หมายความว่ากรรมนีจะมาในปัจจุบัน เชน่ คนเดินมาไม่ถกู กัน
เหน็ แล้วคลืนไส้ ไมพ่ อใจ ไม่มองหน้ากัน เกลียดขีหน้ากัน แก้เสีย เพือไมใ่ ห้เกิดในอนาคต กแ็ กว้ ่า เหน็หนอ
รูปนามแยกไป อะไรเป็นรูป คนทเี ดินมาเป็นรูป เห็นหนอ อะไรเหน็ ทางตาเห็น อะไรรู้ นามรู้

แก้ได้ไหม ได้ แก้กรรมปัจจุบันก็กําหนดเห็นหนอ เห็นหนอ คนนี ไม่ถูกกัน ไม่พอใจกัน ไม่มอง
หน้ากัน เกลยี ดขีหน้ากันแก้เสีย เพอื ไมใ่ ห้เกิดอนาคตก็แก้ว่า เห็นหนอ รูปนามแยกไป อะไรเป็นรูป คนที
เดินมาเป็นรูป เหน็ หนอ อะไรเหน็ ทางตารู้ นามรู้

ทางตาเป็ นรูปหรือนาม ตาเป็ นรูป รูปนันเป็ นรูป แต่จิตทรี ับรู้นันว่ารูปเดินมานันคือใครเป็นตัวนาม
แก้ปัจจุบันไม่ให้เกิดในอนาคต เราก็กําหนดเห็นหนอๆ

ไมพ่ อใจคนไม่ถูกกันมา ไม่พอใจเกิดโกรธต้องรีบกําหนด ความโกรธเป็นการแก้กรรม เพือไม่ให้
ลุกลามไปในอนาคต กําหนดโกรธหนอ โกรธหนอ ตั งสติไว้ทีลินปี โกรธหนอ โกรธหนอ รูปนามเป็ น
อารมณ์ แยกรูปคนนั นออกไปเป็นส่วนหนึง นามทีจิตไปผูกโกรธ ก็แยกออกไปเสีย ไหนไปโกรธตัวตนที
ไหน ใครเป็ นตัวตน

อ๋อ นายก. เป็นตวั ตน เอามือคลําซิ มีแตร่ ูป มีแต่กายกับจิต มีรูปกับนามเท่านัน จิตก็แปรปรวน
เปลียนแปลงเป็นกุศล มหากุศลจิต และจิตก็เกิดกุศลมูลเหตุของจิต จติ ก็ผ่องใส ความโกรธก็ตกไป หายวับ
ไปกบั ตา ไม่มีอะไรทีมาแฝงอยู่ในใจต่อไป และเราจะไม่โกรธไปในวันพรุ่งนี เราจะไม่โกรธไปในวันมะรืน
นี เราจะไม่โกรธถึงปี หน้า

นีคือวธิ ีแก้กรรมปัจจุบันเพือไมใ่ ห้เกิดในอนาคต ตัดต้นไฟเสียแตเ่ บืองต้น ตัดไฟทจี ะลามเข้าไปใน
สนั ดานของจติ และพิษภัยก็จะไม่เกิดขึ นในอนาคต

แปลว่า ปรารภคนเดินมาไม่ถูกกนั เลยก็น่าสงสารไปโกรธเขา เขาก็โกรธเรา โกรธในตวั เขา คลืนไส้
ในตัวเขา ก็คลืนไส้ในตวั เรา ก็โกรธตัวเรานันเอง เป็นการเพิมกรรม

เราตัดเวรตัดกรรมอโหสิกนั เสียว่าโกรธหนอ ฉันจะไม่โกรธเธออีกแล้ว ปัญญาบอก สติบอก
สัมปชัญญะบอก แล้วก็เกิดขึ น ตังอยู่ ดับวูบทีตา รูปนาม ขันธ๕์ เป็นอารมณ์ รูปคนเดินมาก็ไม่มตี ัวตน ทีจะ
ไปเกลียดเขาได้ ความรัก ความโกรธ ความโลภ ความหลงประการใด มันก็หายวบั ไปกบั ตา มีแต่รูปนามที
เดินมา

ตาเรากเ็ ป็ นรูป ประกอบด้วยลูกตา มันเป็นอันเดียวกันได้หรือมันเป็ นรูปนอก รูปใน รูปจิต รูปใจ
รูปนามธรรม แล้วปัญญาก็แยกออกไปอย่างนี เราก็ไม่ผูกโกรธเขาอีกต่อไป นีเป็นการแก้กรรมปัจจุบันไใมห่ ้
ลามไปในอนาคต

แต่กรรมครังอดตี นีแก้ไม่ได้ ต้องใช้ ต้องประเมนิ ถงึ จะต้องใช้แต่ก็ใช้น้อยลงไป รู้ตัวว่าเรามีกรรมที
ทําเขาไว้ เราก็อโหสิพออโหสิกรรมแล้ว กรรมทีจะใช้ ๑๐๐ บาท ก็ใช้เพียง ๕๐ บาท ถ้าอโหสิเพิมขึน กุศล
สูงขึน เราอาจยืม๑๐๐ บาท แต่ใช้เพยี ง ๑๐ บาทกไ็ ด้ น้อยลงไป

ข้อสําคัญไม่ต้องมดี อกเบีย
ดอกเบียนีคือ การสะสมกรรม ทําให้มีดอกดวงมากขึ น หนีเก่ายังใชไ้ ม่หมด ยังไปขอยืมหนี ใหม่

สร้างเวรสร้างกรรมกันทําไม อย่าไปสร้างต่อเลย
ท่านสาธุชนทังหลายเอ๋ย จงอโหสิกรรมกันเถิด แล้วกรรมจะไม่ก่อบังเกดิ ในอนาคต เราเลกิ โกรธกัน

เถอะ เอาไว้อาศยั กนั ต่อไปในโอกาสหน้ากันเถิด จิตใจจะได้ประเสริฐด้วยกรรมจากการกระทําของตน นีแก้
กรรมปัจจุบันเพอื ไม่ให้ลามไปในอนาคต

เสียงหนอ มาดา่ ฉันหรือคะ ใช่แล้ว อ๋อ เสียงกับฉันตา่ งกันหูฉันกับปากเธอไกลกัน เธอก็ด่าตัวเธอก็
แล้วกัน ด่าไม่ถกู ฉัน ไม่ถูกตัวตน ตัวตนมที ีไหน คลําก็ไม่ได้แล้วเกิดขึนตังอยู่ วูบดบั ไปทีหขู ันธ์๕ รูปนาม
เป็นอารมณ์ เลยเสียงนั นก็ตกไป เสียงกับหูคนละอัน ไกลกันลิบจิตใจเราไม่มารับเลยอโหสิกรรม ด่าอยา่ งไร
กไ็ มโ่ กรธ ดา่ อยา่ งไรก็ไมเ่ จ็บ นีแก้กรรมปจั จุบัน เพอื ไม่ให้ลุกลามไปในอนาคต

เหมือนไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ กําลุงลุกอยู่ ณ บัดนี เรากด็ ับวูบลงไป ไฟก็ไมล่ ามตอ่ ไปใน
อนาคต ถ้าเราไม่ดับไฟ...ไฟกจ็ ะลกุ ลามตอ่ ไป

เราจะไม่ก่อเวรก่อกรรมกันอกี แล้ว เราจะมีสติยึดมั นสติมา สัมปชาโน ยึดมนั สติปัฏฐานสี ปฏบิ ัติ
หน้าทีด้วยกรรม จากการกระทําของตน

กรรมครังอดีตนันตอ้ งแก้ด้วยการเจริญทุกขเวทนา มีเวทนาต้องสู้ ทนทุกข์นอกทุกข์ใน โทมนัสสัง
โทมนัสสังทุกขโ์ ทษในเวทนา มากมายถึง๔ ประการ

ทกุ ข์นอก ทกุ ข์ใน ทุกข์ในใจอีก เอาทุกข์นอกประเด็นมาสะสมเข้าอีก เลยกท็ กุ ข์กันใหญ่ หาความ
สิ นสุดของทุกข์ไม่ได้ บําบัดทุกข์ไมไ่ ด้ ไม่สามารถจะถึงบรมสุข คือพระนิพพานได้

เราทราบดีแล้ว อนิจจา ไม่น่าไปโกรธเขาเลย ไปจองเวรเขาทําไม ไปผกู พยาบาทเขาทําไม เมตตาก็
ปรากฎชัดแก่ตัวผู้ทํา เมตตาปรารถนาดที ุกคน

ความปรารถนาดี เป็นมงคลชีวิต มีในบ้านใดบ้านนั นเป็นบ้านมงคล เป็นบ้านเศรษฐี นึกถึงเงนิ กไ็ หล
นอง นึกถึงทองกไ็ หลมา เป็นบ้านอยู่เย็นเป็นสุข

อาตมภาพได้บรรยายมาในเรืองกรรมฐาน รู้กฎแห่งกรรม และแก้กรรมด้วยการกําหนดของตน
กรรมครั งอดีตต้องแก้ด้วยการเจริญทุกขเวทนา แล้วเวทนาจะเกิดขึ น ตั งอยู่ ดับไป เราจะรู้ว่าเราทํากรรมไอระ
ไว้

แก้กรรมปัจจุบันกก็ ําหนดทางอายตนะ ธาตุอนิ ทรีย์ หน้าทีการงาน ให้มันดับไป อย่ามาติดใจและ
ข้องอยู่แต่ประการใด ไฟราคะ โทสะ โมหะ ก็จบไม่ลกุ ลามไปถงึ อนาคต

จิตใจกโ็ น้มเข้ามา ถึงแก่นแท้ พระพุทธศาสนาโน้มมาถึงธรรมสัมมาปฏิบัติ มีเมตตา มคี วาม
ปรารถนาดี ไม่รบราฆ่าฟันกนั

มีแต่จะเสริมสร้ างความดีต่อกัน คือ สัจจะ เมตตา สามัคคี มีวนิ ยั ศักดิศรี ก็เกิดขึนแก่ตนดบั วูบไป
เกิดขึนทีขันธ์ ๕ รูปนามเป็นอารมณ์

กรรมเก่าก็แก้ด้วยการใช้หนีเขาไป เพราะว่าจะหมดไม่ได้ แต่กรรมใหม่เราจะไม่สร้าง เราจะแก้
กรรมปัจจุบันด้วยอายตนะ ธาตอุ ินทรีย์ ให้มันดับวูบไปเสีย อย่าให้มนั ลกุ โพลงดว้ ยราคะ โทสะ โมหะอยู่
ประจําจติ เลย

ให้จิตแยกออกไป คอื รูปนามขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์ รูปธรรม นามธรรม คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร
วญิ ญาณ จิตใจก็เบกิ บานเป็นปัญญา แสงสว่างคือมรรคมรรคา ก็ส่องให้เราเดินทางไปโดยสวัสดี เพราะเรามี
ปัญญาดี เดินทางกไ็ ม่หลงทาง เดินทางถึงนิพพานโดยทัวหน้ากนั

อนึง วันท๑ี ๔ ตุลาคม ๒๕๓๒ จาก ๑๔ ตุลาคม ๒๕๒๑ ผ่านมาเป็นเวลา ๑๐ กว่าปีแล้ว อาตมาขอ
ถวายสังฆทานให้เจ้ากรรมนายเวร ทเี ราเกิดเคราะห์หามยามร้ายอยา่ งแรงกล้า คอหักไป๑๔ ตุลาคม ๒๕๒๑
เรากจ็ ะทําบุญกุศลเพืออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวร อย่าจองเวรกันเลย พอ่ กรรมเอ๋ย เพราะเรา
รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไปฆา่ สัตว์ตัดชีวิตมา

ขอสรรพสัตว์ทั งหลายทโี ดนฆา่ จากเรา จงอโหสิกรรมให้เราเถดิ ขอถวายสังฆทานอทุ ิศใหเ้ จ้ากรรม
นายเวร ท่านทั งหลายจงอโหสิกรรม และกรรมจะไม่ต่อเนืองตอ่ ไปอโหสิ เหมือนรถหมดนํามนั ไม่วิงไปหา

กรรมชัวอีกแล้ว

เรากเ็ หมือนรถหมดนํ ามัน หมดเชือไขในกฎแห่งกรรม จะสิ นกรรมกันเสียที
อาตมภาพขออนุโมทนาส่วนกุศลท่านทีเจริญวิปัสสนาทุกท่าน ทั งฝ่ ายบรรพชิตและคฤหัสถ์ ทีชี แจง
แสดงเหตุผลข้อเท็จจริง ในเชิงปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ได้รบั ผลอย่างนั นจริง แก้กรรมเก่าโดยรับใช้ แก้
กรรมใหมโ่ ดยใช้กรรมปัจจุบัน ไม่สร้างให้ต่อเนืองต่อไป ตัดเวรตัดกรรมด้วยการกําหนดจิต เสียให้ได้ทกุ
ทศิ า อายตนะ ธาตุอินทรีย์ทีมมี าประจํา ขันธ๕์ รูปนามเป็นอารมณ์ ได้ผลอยา่ งแน่นอน
ขอความสุขสวัสดีจงมแี ก่ท่านสาธุชนทั งหลายโดยทั วกัน

แยกรูป แยกนาม

พระภาวนาวสิ ุทธิคณุ
๒๒ ตุลาคม ๓๒

ญาติโยมมาปฏิบัติฝึกหัดกาย วาจา ใจ เบืองต้น ด้วยศีลอบรมให้มสี ติประจําตน เพอื ให้เกิดผลสมาธิ
ภาวนา และเกิดปัญญาญาณ ได้แก่การเจริญวปิ ัสสนากรรมฐาน มีขันธ์๕ รูปนามเป็ นอารมณ์

สภาพความเป็นอยู่ของกายคือรูป สภาพความรู้ของจิตซึงรู้เหตุการณข์ องชีวิต เรียกว่าอารมณ์ เป็น
การผสมผสาน ให้เกิดผลงานในสติปัฏฐานสี มีกายานปุ ัสสนาสติปัฏฐานเป็นต้น

การสํารวมจิตใช้สตไิ ปทีกายแล้วเราก็ภาวนา เคลอื นย้ายโดยกาย จิตเป็นผู้สัง กายเป็นผู้เคลือน สติ
ระลกึ อยู่เสมอ สัมปชัญญะรู้ตัวขณะปัจจุบัน จิตของเราทีกระสับกระสา่ ยและฟุ ้ งซ่าน ก็จะสงบเข้าสู่แหล่ง
แห่งกาย เรียกว่า กายานุปสั สนา

ภายในก็แจ่มใส สติควบคุมจิตไว้ได้ กายจะเคลอื นย้ายไปทางไหน กเ็ ต็มพร้อมไปด้วยศีล เพราะเรา
มีสตดิ ี ความรู้ตัวก็ดี เคลอื นย้ายอยปู่ ัจจุบันขณะ ขณะเคลือนย้ายไปย้ายมากร็ ู้ตัว

ความรู้นันคือตวั สัมปชญั ญะ สัมปชัญญะตัวนีคือรู้ปัจจุบันสตริ ู้ตอนขณะจะเคลือนจะย้าย รู้ตัวอยู่
เรียกวา่ สติ สัมปชัญญะตัวนีคือรู้ปัจจบุ ัน สติตอนรู้ขณะจะเคลือนจะย้ายก็รู้ว่าจะย้าย รู้ตัวไปควบคับู่กจิต
เรียกว่าสติสัมปชัญญะ

แล้วเรารู้เคลือนย้ายในสภาวะรูป รูปกายคือเรารู้เคลือนไปทางไหน รู้หมด ในขณะกําหนดปัจจุบัน
นั น ปัญญาคือความรู้ มันก็เกิดรู้จริงในอารมณ์ของเรา

ถ้าไม่มีอยา่ งนี ความรู้ทีเกดิ ขึ นขณะนั นก็รู้ไมจ่ ริง รู้สิงทีเคลือนย้ายไปเฉยๆ ขาดสติสมั ปชัญญะ
เรียกวา่ เรืองธรรมดา นักปฏบิ ัติต้องกําหนดให้ละเอียด มสี ตสิ ัมปชัญญะนีทาํ ยาก ไม่ใช่ทําง่าย

แต่มันง่ายสําหรบั ผู้ปฏิบัติธรรมบ่อยๆ จะเคลือนย้ายกใ็ ช้สติอยู่เสมอ ใช้ความรู้คอื ตัวสัมปชัญญะ ใน
การเคลอื นย้ายให้ทันปัจจุบัน

ปัญญาคือความรู้ ก็เกิดมารู้ในอารมณ์ รู้แน่นอนโดยละเอียด ว่าจติ จะเคลือนย้ายซ้ายขวาประการใด
เราจะรู้ตัวแจ้งชัด ละเอยี ดอ่อน เรียกว่ารู้สภาวธรรม

การรู้อย่างนีต้องมจี ติ ละเอียด จติ ละเอียดได้ต้องมสี มาธิจิต จับจุดอยู่ในการเคลือนย้ายของกาย จึง
เรียกวา่ สมาธิ

แตส่ ติไม่ย้ายไปทไี หน อยใู่ นอารมณ์จิตทีกายเคลอื นย้าย กต็ ามไปตามอันดับ
คําว่าตามไปนั น เรียกว่าตัวสมั ปชัญญะ รู้ตัวขณตะามจิต รู้ตัวย้ายเคลอื น เหลียวซา้ ยแลขวา จะคู้หรือ

จะเหยียด รู้พร้อมมูลบริบูรณด์ ี เรียกว่ารูปนาม
เคลอื นเป็ นรูปนาม รูปมันเคลอื น แตจ่ ติ รู้เป็ นตัวนาม ประกอบด้วยปัญญาญาณ รู้ละเอียดออ่ น รู้

มารยาท รูป้ ัจจัตตัง รู้ขณะนั นเรียกว่าปัญญา

ปัญญาตัวนี แปลว่ารอบรใู้นกองสงั ขาร เรียกว่ารขู้ ันธ์ ๕ รูปนามประกอบด้วย รูป เวทนา สัญญา

สังขาร วญิ ญาณ
ทีประกอบด้วย ขนั ธ์ ๕ นั น คือ รูป สกั แต่ว่ารูป ก็เป็นรูปเคลือนย้าย แปรผันกลับกลอก ไม่คงที

เรียกว่ารูป มันเสือมได้ มันเป็นสมมติขึ นมาในรูปกาย โยกย้ายเคลือนคลอนได้ เรียกวส่าภาวรูป
ส่วนเวทนาเล่าก็เป็นขันธ์อันหนึง ทเี รียกว่าเวทนาขันธ์ คําว่าเวทนาขันธน์ ี มันเกิดมาจากตัวเรา

บังคับบัญชาไม่ได้ เราอยากจะรู้จักขันธ์ข้อท๒ี คอื เวทนานี ต้องใช้สติสัมปชญั ญะเช่นเดียวกัน ขันธ์ของรูป
รูปขันธ์ทิงไป อยา่ ไปไขว่คว้าอยู่ในจุดรูปขันธ์ ต้องเคอลนื ย้ายมาอยู่ในจดุ ของเวทนา เรียกว่า เวทนาขันธ์

เวทนาขันธ์ข้อนี สําคัญมาก มีปวดเมือย เรียกว่าทุกข์ภายในด้านกาย มันเกิดขึ นกับตัวเรา มันก็ต้อง
ประกอบไปด้วยรูป เพราะสังขารทั งหลายปรุงแต่ง มันเกิดเวทนาเช่นนี เราก็ต้อองาศัยสติไปอยู่ทีจิตจับจุด
เวทนา ลึกเข้าไปเวทนาในเวทนา สัมปชัญญะขณะรู้ว่าปวด สติบอกเวทนา

ตัวสัมปชัญญะจะบอกว่า ปวดมากปวดน้อยประการใด นักปฏิบัติต้องจับจุดนี ก่อน เรียกว่า เวทนา
ขันธ์ ก็กําหนดทีขันธ์นั นเกิดขึ นแก่ตัวเรา

แต่ในขั นนี เราจะแยกอย่างไรเลา่ เราใชส้ ติไประลึกว่า อ๋อนีคือเวทนา เราก็ใช้สนติี ไปควบคมุ ดู
เวทนาของจิต เอาจติ ไปจับทมี ัน ปวดทีมันเมือย อยู่ในจุดนั น แล้วเรากใ็ ช้ตัวรู้ คือการปรุงแต่ง มันกกิด็เขึน
ในเมือเกิดขึ นเช่นนี แล้ว เราก็กําหนดว่าปวดหนอๆ

หนอนีรังจิตให้มีสติหนอตัวนีสาํ คัญ ทําให้เรามีสตทิ าํ ให้รู้ตัวเกิดขึน โดยไม่ฟุ ้ งซน่าในเรืองเวทนา
ทมี ันปวด และเราก็ตั งสตติ อ่ ไป ปวดหนอๆ หายใจยาวๆ ด้วย แล้วก็เอาจิตเกาะอยู่ทีเวทนาในภายนอก

เวทนาตัวใน คือรูป นาม ขันธ์๕ เป็นอารมณ์ ตัวเวทนาตัวใน ไมม่ ีอืนไกลคือรูปกับนามทั งสิ น อยู่
ในจดุ นั นทําไมเกิดรูปเกิดนาม ตอบเกิดสัมผัสและปรุงแต่ง มันกเิดขึ นในเวทนา เวทนา ปวดหนอๆ

ปวดนีเป็นกรรมอันหนึง หรือเป็นอปุ สรรคอันหนึงสําหรับผู้นังสมาธิอาจจะไมท่ นต่อเหตุการณ์
ปวดได้ จึงต้องทน อดทน เราต้องฝึ ก เราต้องฝื นใจเป็นอันดับต้น เพราะรูป้ ฏิบัติ เพิงเข้ามาใหม่ ยังไม่เคย
ปฏบิ ัติ ต้องฝืนใจกอ่ น

บางทา่ นไมเ่ คยนงั พับเพียบนาน ไม่เคยนังสมาธิสองชั นนาน ถึงจะนั งกน็ ั งเปลียนอริ ิยาบจถึงไม่รู้จกั

ตัวกฎแห่งกรรม คือ คําว่าปวด ไม่รู้ไม่เข้าใจ เพราะเราเปลยี นอิริยาบถอยู่เสมอ
นั งนานเรากล็ ุกเดิน เดินแล้วเมือยกน็ ั ง นั งเมอื ยเกินไปก็เอนหลังนอนเปลียนโยกย้ายอย่างนี เราจะรู้

ของจริงไม่ได้ เราจะรู้ได้เพยี งของปลอม
บางครั งปวดมาก โยมต้องศกึ ษา ต้องเรียนขันธ์นี ให้สาํ เร็จ คอื เวทนาขันธ์ เพราะขันธ์นี เกิดขึนแก่ตัว

เราแล้ว คอื เวทนา ไม่สบาย บังคบั ไม่ได้ ทนต่อเหตกุ ารณ์นีไมไ่ ด้
ต้องฝืนต้องใช้สตไิ ปพิจารณาเกิดความรู้ว่าปวดขนาดไหน ปวดอย่างไร แล้วก็ภาวนากําหนดตงั สติ

ไว้เอาจติ เข้าไปจับ ดูการปวด เคลอื นย้ายของเวทนา เดียวก็ซา เดียวก็สร่างจบั มันได้ว่า บังคบั มันไม่ได้ มี
ความเข้าใจในขนั ธ์นี เรียกว่า เวทนาในเวทนา

คําว่าในเวทนานี จะอธิบายให้โยมฟังง่ายๆ คอื ในจิต จติ ไปเกาะเวทนา รู้สภาพเวทนาเป็นอยู่อย่างนี
แล้วก็แจ้งในขันธ์นี มันกเก็ ิดขึนโดยสังขารปรุงแต่ง แล้วก็จะเสือมโดยสภาพของมัน แล้วก็จะแปรปรวน
เปลียนแปลง ความปวดนันกจ็ ะเคลือนย้าย เรากจ็ ับในเวทนาได้ว่า อ๋อในเวทนานี มนั ปวดขนาดนี

เรารู้ตัวอย่างนี เราเข้าใจอย่างนี เรากม็ปีัญญาญาณเกิดขึ น รู้ข้อคิดในอารมณข์ องเวทนา ว่าปวดอยา่ ง
นี คนอืนไมป่ วดอย่างเรา เพราะปวดคนละคน เราจะรู้ของคนอืนก็ยาก เราต้องรู้ตัวอยา่ งนี พอรู้ได้แล้ว าเรก็
กาํ หนดเวทนา จติ กค็ ล่องแคล่ว สมาธิเกดิ

ในเมือสมาธิเกิดด้วยสังขารปรุงแต่ง ความเบาก็เกิดขึ นในสภาวธรรม เรียกว่าคเ ลือนย้าย และเคลอื น

จากปวดสูงเตม็ ทแี ล้ว มันก็เคลือนย้ายลง ยุบลงๆ แพ้สยบเราแล้ว
เมอื ทุกขเวทนาแพ้เราแล้ว เราจะรู้เวทนาตัวใน คอื รู้ทันเวทนาตัวใน เรียกวร่าู้ทนั รูปนามตัวใน

เรียกว่ารู้ทันปัจจุบัน ในเมอื ทันปัจจุบันเช่นนีแล้ว ญาณกเ็ กิด คือ ปัญญา สามารถจะรบอรู้ในกองสงั ขาร ใน
การปรุงแต่งได้

จิตก็แยกออกมา รูปก็แยกออกไป เพราะอาศัยกนั อยู่ มนั ถึงได้ปวดหนักพอแยกได้เมือใดพระไตร
ลกั ษณ์แจ้งชัด คือ อนิจจงั ทุกขัง อนัตตา หาความเทยี งแท้แน่นอนไม่ได้หนอ เวทนาเอ๋ยเวทนานั นก็เสือม
ชํารุดยตุ ิแค่นั น

เวทนานีมันปวดลกึ ซึ งมันปวดในกระดูก แต่เราก็ไม่รู้มัน เพราะเราไม่เอาจิตไปเกาะ กลับไป
เคลือนย้ายมัน ไปเดนิ ไปนั ง ไปนอน ไปเปลยี นอิริยาบถ ไปนั งชมวิวแล้วก็ชืนใจ ตัวเวทนานั นมันต้องับสู้ก
เราต่อไป เพราะเราจบั มันไม่ได้ เรารู้เท่าไม่ถึงการณ์ของมัน เราก็ไม่สามารถจะทราบว่าเวทนาของเราเป็น
ประการใด เพียงรู้เวทนาในเปลือกของมันว่าปวด

แต่รูภ้ ายใน ก็เรียกว่ารู้ด้วยปัญญา รอบรู้ในกองสงั ขาร เข้าใจสงั ขารของเราดี เข้าใจว่าเป็นสภาพ
อยา่ งนีด้วยกันทุกคน ไมม่ ีอืนใดมาปะปนระคนกัน อารมณ์เรากเ็ ข้าสสู่ ภาวะเอกัคคตา ในเวทนาสมาธิ
ปัญญาก็เกิดรอบรู้ในกองสงั ขาร ไม่เทียงหนอ อย่าไปพะเน้าพะนอมันเลย

เวทนาในเวทนานี ไมม่ ีอะไรดีเลย มแี ต่เกาะเกยี วเกี ยวพันในสันดานสืบเนอื ง มันก็ปรุงแตง่ ให้เรา
ปวด ปรุงแตง่ ให้เราเจ็บ ปรุงแต่งให้เรากระหาย ปรุงแต่งให้เราเหนือย ปรุงแตง่ ให้เราเมือย ตลอดรายการ

ปวดเมือยไม่ต้องแก้ มนั ไม่หาย แต่เรารู้เทา่ ทันเวทนาได้ เวทนาในเวทนา เรากแ็ ยกจิตออกเป็ นส่วน
หนึง เอารูปออกมาอีกส่วนหนึง นามธรรมรูปธรรมก็แยกกัน เรียกว่าแยกสงั ขารเวทนาออก เรียกว่ารู้ใน
เวทนา

เวทนาตัวบอกคือรูป แยกจติ ออก จิตไมไ่ ปเกาะในเวทนา จิตก็ไมป่ วดกับมัน จติ แยกออกมา
เพลิดเพลินดว้ ยสมาธิ ปัญญาภาวนาเกิดขึน เวทนาทปี วดนั นมันกว็ ูบวาบหายไป เพราะเหตุใดหรือ

ตอบให้โยมฟังถ้ารู้เท่าทนั เวทนาเมอื ใด ปญั ญาเกิด จิตไม่ไปเกาะ ไม่มีอุปาทานยดึ มนั ก็รู้ของจริง
ตามสภาพความเป็ นอยู่ สังขารทั งหลายไมเ่ ทียงหนอ อนิจจัง มันไม่เทียงมันจึงเป็นทกุ ข์ กทขุ ัง มแี ต่ทกุ ข์อยู่
ในจติ ใจ จิตมันไปเกาะทกุ ข์ ไปเกาะทีเวทนา เลยเวทนาเกิดขึ น ไม่หายอยา่ งนี


Click to View FlipBook Version