The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

กฏแห่งกรรม ธรรมปฎิบัติ เล่ม ๒ หลวงพ่อจรัญ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ืทีมงานกรุธรรม, 2022-02-17 20:46:32

กฏแห่งกรรม ธรรมปฎิบัติ เล่ม ๒ หลวงพ่อจรัญ

กฏแห่งกรรม ธรรมปฎิบัติ เล่ม ๒ หลวงพ่อจรัญ

Keywords: กฏแห่งกรรม ธรรมปฎิบัติ เล่ม ๒,หลวงพ่อจรัญ

๑. ทีดิฉันกับคุณมานิมนต์ท่านไว้ วันท๓ี ๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๖ สวดมนต์ ฉนั เพล สวดธรรมจักร
ในวันเกิดนายอําเภอ ดิฉันไม่ได้อยู่แล้วนะเจ้าคะ ขอกราบนมัสการลาไปบําเพ็ญกุศลแล”้ว

“อ้าว! คุณนายจะไปไหนเล่า”
“ดิฉนั จะไปบําเพ็ญกศุ ลเจ้าคะ่ ดิฉันหมดทุกข์แลค้ว่ะ ทา่ นจะต้องถามคณุ ก่อนว่าจะทําบุญหรือเปลา่
ดิฉันแม่ครัวไมอ่ ยู่แล้ว ขอท่านจงไปถามกอ่ นนะเจ้าคะ เดียวทา่ นก็จะไปเสียเวลา ดิฉันเป็นผู้นมิ นต์ท่าน ดฉิ ัน
เป็นผู้นิมนต์ท่าน ดิฉันต้องมาเรียนใหท้ า่ นทราบ เพราะเป็นห่วงเรืองนิมนต์นีค่ะ”
“และ ๒. เรียนให้ทา่ นทราบอีกเรืองคือเรืองยา ดิฉันเป็นห่วงยาทีไปให้คุณทวี แรงขํา กับภรรยา เขา
รับยาถูกดีเจ้าค่ะ และหายแล้วเจ้าค่ะ ดิฉนั เลิกรบั แล้วเจ้าคะ่ ดิฉันไมต่ ้องรับแล้วเจ้าค่ะ ดฉิ ันหายหมดแ้วลเจ้า
ค่ะ ขอกราบลาเจ้าคะ่ ”
และเล่าเหตุการณ์ให้อาตมาฟังอกี ๒ เรือง หลังจากเลา่ แล้วก็รีบกราบลาดว่ น
“ดิฉนั ต้องรีบไปให้ทันเวลานะเจ้าคะ เพือจะไปบําเพ็ญกศุ ลและจะไปหาลูกชายตามสญั ญ”า (ลกู
ชายเป็นนายอําเภออยู่ที อ.บ้านโฮ่ง จ.ลําพูน) แล้วกราบนมัสการลาอย่างเศร้าๆ พระปลัดประสิทธิ อยู่
ด้านหลังก็ได้ยินคําสนทนานี ด้วย
คณุ นายกราบแล้วยกเข่าตังลุกขึ นยืน และออกไปขนึ รถเสียงรถดังขึ น อาตมาลกุ ขึ นไปมองดู รถไม่
อยู่แล้ว อาตมาตกใจออกไปส่งคณุ นายแล้ว กลับมาบันทึกหลักฐาน ไม่เคยมอี ย่างนีเลยพานดอกไม้ก็หายไป
ด้วย จงึ ได้หยิบสมดุ บันทึก มาบันทึกเข้าไว้ ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไปในโอกาสหน้า
ในวันที๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๖ เวลา ๒ โมงเช้ากห็ ยิบสมุดบันทกึ อ่านให้ทายกทายิกาวัดอัมพวัน
ฟัง เรืองทผี ่านมาแล้วนั น พอดขี ณะนั นได้รับจดหมาย๑ ฉบับ ลงวันท๓ี ๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๖ มีใจความ
ว่า คุณนายผ่องศรี ชาตะสุภณ ได้ถงึ แก่กรรมเสียแล้วเมอื วันที ๒๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๖ เวลา ๒๒.๑๕ น. ณ
โรงพยาบาลชัยนาท โดยคุณสมพร ไทยมณี ร้านมณีภัณฑ์ จังหวัดลพบุรี เป็นผู้ส่งจดหมายข่าว อาตมา
ขอขอบพระคุณคุณสมพรมากทีกรุณาส่งข่าว ขณะนั นมีญาตโิ ยมอยู่ด้วยกันหลายคน ทุกคนเศร้าสลดใจ ก็พา
กันนึกถงึ แต่ท่านนายอําเภอพิริยะ ชาตะสุภณ เท่านั น ว่าจะว้าเหว่มากทีเดียควนตายเขาก็ไปมีความสุขแล้ว
คนอยู่กต็ ้องลําบากกันไป
นีแหละท่านทังหลาย จิตเท่านันทีรวบรวมทุนบุญกุศลไว้ใครทําใครได้ เหมือนเทปบันทึกเสียง และ

เปรียบเหมือนกระแสไฟฟ้ า คือจติ ไวมาก เหมือนเรากําลังคิดถึงเรืองอะไร จะไปไหน จิตไวถึงกอ่ นเสมอ
ขณะจิตจะดับไป ถ้าคิดถงึ ทุกข์ เดอื ดรอ้ นใจ เป็นห่วงเป็นใยแล้ว จิตกไ็ ปสู่อบายได้ ถ้าคิดถงึ บญุ กศุ ลทีได้
สร้างสมเข้าไว้ สวรรค์เป็นทีได้แน่นอน

ขณะทีคณุ นายจะจากโลกไปกําลังทําครัวและเตรยี มของไว้ใส่บาตรตอนเช้า จิตกเ็ ป็นบุญ จิตก็เป็น
กุศล อันนีสวรรคเ์ ป็นทีได้แนน่ อน นสิ ยั ของคุณนายทีมีอยู่ว่า ทําอะไรก็อยากจะใหเ้ รียบร้อยไมใ่ ห้ตกค้างพา
เป็นห่วงเป็นใย จะจากไปแล้วจติ จดจอ่ ว่า มอี ะไรเรียบร้อยหรือไม่ จะใส่บาตรตอนเช้าพร้อมแล้วหรือยัง
ขณะนั นคงติดอยใู่ นจิตใจ จึงรีบจัดการใหเ้ รียบร้อยก่อน แล้วจึงรีบเดนิ ทางตอ่ ไป อุตส่าหไ์ ปบอกอาตมาใน

เวลาเดียวกันเรืองการนิมนต์ และมี๒ เรืองทีเล่าใหฟ้ ัง ยังบันทกึ ไว้ จะเปิ ดเผยต่อไปในวันหน้า เพราะบอก
เรืองความลับวันนั นยังมาไมถ่ ึง

ทา่ นนายอําเภอได้ต้งศพคณุ นายไว้ทวี ัดวิชัยวัฒนาราม.ใตนเมอื ง อ.เมอื ง จ.ชัยนาทนั นเอง เขาสวด
ได้สองคนื แล้ว อาตมาจึงไปงานศพ เอารถสองแถวไปเลย ไปถงึ กใ็ ห้พวกเราทตี ิดตามไปกราบศพ สวดพระ
อภิธรรมจบเดยี ว เขาเคยสวดคนื ละ ๙-๑๐ จบ เพราะเป็นนายอําเภอ มีเจ้าภาพเยอะ อาตมาก็เอาบันทึกให้
นายอําเภออ่าน อา่ นไปอา่ นมาร้องไห้เลย ทุกคนเงียบไม่ต้องสวดพระอภิธรรมล้อมกันมาฟังกันหมด อาตมา
กเ็ ทศน์เรืองนี เขาอัดเทปไว้แล้วเอามาพมิ พ์แจกงานศพ

คณุ นายเคยไปเยียมลกู ชายเมืองเหนือ จ.ลําพูน เหน็ เขาเผาศพมีปราสาท บอกกับลูกชายว่า“นลี ูก
รับปากแมไ่ ด้ไหม”

“รับอะไรคณุ แม่”
“ถ้าแมต่ ายเอาอย่างี แหละ”
และทีนีคณุ นายจากเราไป ไปหาลูกชาย บอก “ลูกเอ๋ย อยา่ ลืมตามสัญญา” รุ่งเช้าลกู กไ็ ด้รับโทรเลข
กลับมาทํางานศพ บอกกับคณุ พอ่ ว่า“คณุ พ่อครับ ผมตอ้ งทําตามทใี ห้สัญญาคุณแม”่
เลยไปหาเมรุปราสาทล้านนาจากลําพนู มาราคา๒ หมืน ตั งทลี านวัดเลย ในวันเสาร์ท๑๙ี พฤษภาคม
๒๕๑๖ เวลาจดุ มไี ปลูกหนูวิงปุบปับๆ แล้วเผาหมด มีสังกะสีล้อมศพไว้ เหลอื แตก่ ระดกู แล้วนําไปลอยนํ า
ทา่ นสาธุชนทั งหลาย อุตส่าห์สร้างแตค่ ณุ งามความดีบญุ กศุ ลทีตดิ ตามตนไปได้เท่านั น สมกับพระ
บาลอี ้างอิงว่า“อสาธรณ ม ฺเญสํ อโจรหรโณ นิธิ กยิราถ ธีโร ปุ ฺญานิโย นิธิ อนุคามโิ ก” ขึ นชือว่าขุมทรพั ย์
คือบุญนีเป็นของไม่สาธารณะทั วไปแกช่ นเหลา่ อนื โจรกม็ าแย่งเอาไปไม่ได้ ผู้มปี ัญญาควรกระทําบุญญนิธิ
ไว้ อันจะเป็นของตดิ ตามตนไปได้ในภพหน้า
เหมือน คุณนายผ่องศรี ชาตะสุภณ ได้สร้างบญุ ญนิธิและคุณงามความดไี ว้มาก อยา่ งอนื ก็นําเอาไป
ไม่ได้นอกเหนือจากบุญกุศลเทา่ นั น

บันทกึ ประกอบเรือง
เกียวกับ

คุณนายผ่องศรี

พระปลัดประสิทธิ สิรพป ฺโญ*
๖ พ.ค. ๓๑

มผี ู้มาถามอาตมาเกียวกบั เรืองของคุณนายผอ่ งศรี ชาตะสุภณ ผู้มาปรากฏตัวหลังตายแล้วว่ามคี วาม
เป็นจริงเพยี งไร อาตมาจําได้ว่าคณุ นายผ่องศรี เป็นภรรยาของท่านนายอําเภอพริ ิยะ ชาตะสุภณ ได้มาปรากฏ
กายและมาลาจากไป ด้วยความเป็นห่วงเรืองทีนิมนตห์ ลวงพอ่ พระครูภาวนาวิสุทธิ ไปในงานของท่าน
นายอําเภอพริ ิยะ ผู้เป็นสามี ว่า“ดิฉนั จะต้องจากไปแล้วทางคุณ(หมายถึงท่านนายําเภอพริ ิยะ) นั นจะทําบุญ
หรือไม่นั นกแ็ ล้วแต่ เมือถึงเวลาดฉิ ันก็ต้องมาลาหลวงพ่อไป” (หมายถึงท่านพระครูภาวนานวิสุทธ)ิ

คุณนายผ่องศรี แต่งชุดนุง่ ขาวห่มขาว ถือกระเป๋ ามาด้วย
นับว่าเป็นเรืองทีแปลกมากจริงๆ ไมเ่ คยพบอยา่ งนี มากอ่ นเลย ในโลกของมนษุ ย์นีจะมอี ะไรแปลกๆ
ซ่อนอยู่ มันเป็นความลี ลับมหัศจรรย์จริงๆ
อาตมามาขอรับรองว่าเป็นเรืองทีอาตมาได้เหน็ จริงๆ

*รองเจ้าอาวาสวัดอัมพวัน

ภาคธรรมปฏิบัติ

วปิ ัสสนา-พัฒนาจิต
ธรรมบรรยาย

ณ อุโบสถวัดอัมพวัน คําวันท๑๗ี ต.ค. ๒๙

การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ถ้าพดู ตามสมัยใหม่เขานิยมเรียกว่ามาพัฒนาจติ มาพัฒนาคณุ ธรรม
ข้อเท็จจริงก็เป็นเรืองเก่า เป็นเรืองตั งแต่สมัยพระพทุ ธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่โน้น ทรงชีแจงต่อพุทธสศนา ิก
ให้บําเพ็ญจติ ภาวนาพัฒนาจติ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ชีวิตโดยใชส้ ตปิ ัญญาเป็นอาภรณ์ประดับจิตนั นเอง

วิธีปฏิบัติในสติปัฏฐานสี ทเี รียกว่าทางสายเอกของพระพุทธเจ้านั นเอง เรียกว่าการเจริญวิปัสสนา
เป็นธุระหนา้ ทีทีเราจะต้องดําเนินวิถีชีวิต โดยใช้สติปัญญาเป็นอาวุธ เพอื ไมใ่ หพ้ ลาดผิดในหารทํางานทุก
อย่าง เพราะหน้าทีและการงานเป็นผลงานของชีวิตทเี ราต้องทําโดยใช้สติปัญญาตลอดเวลา แตก่ ารทํางานที
ประกอบไปด้วยปัญญานั น ถ้าเราไม่ฝึก เราไม่อบรม ด้วยความอดทนอย่างยิงแล้ว เราจะไมพ่ บความจริงดังที
กล่าวแล้ว

เริ ม ยืน-เดนิ จงกรม
การเดินจงกรม ยืนกําหนดต้องใช้สติกําหนดมโนภาพ อันนีมปี ระโยชนม์ าก แตน่ ักปฏิบัตสิ ่วนใหญ่

ไมค่ ่อยปฏิบัติจุดนี ปล่อยให้เลยล่วงไปเปลา่ โดยใช้ปากกําหนดไม่ได้ใช้จิต ไมไ่ ด้ใช้สติกําหนดให้เกิดมโน
ภาพ อันนีมีความสําคัญสําหรับผู้ปฏิบัติมาก ผู้ปฏิบัติต้องจับจดุ นี คําว่ายนื หน๕อครั ง ยนื อยู่นั นต้องหลับตา
วาดมโนภาพ เพราะจิตนีมันวุ่นวานฟุ ้ งซ่าน คดิ อ่านอยู่เสมอ แต่แล้วเราใช้สตกิ ําหนดตามจติ โดยว่ายนื หนอ
๕ ครั ง

อาตมามวี ิธีปฏิบัตใิ ห้เอามือไพล่หลัง มือขวาจับซา้ ย กต็ ้องการใหต้ รงกระเบนเหนบ็ หลังจะไมง่ อ
ในเมือเฒ่าแก่ชราลงไป บางทา่ นก็ถนัดเอามือไพล่ข้างหน้า กใ็ ช้ได้แต่โดยวิธกีารแล้ว ทําใหห้ ่อตัว ทําให้
หายใจไมป่ กติ ปอดผายไม่เข้าสู่ภาวะ

และคําว่ายนื ๕ ครั ง ท่านทั งหลายทําได้แล้วหรือยังว่ากําหนดจิต คือต้องใช้สติ ไมใ่ ช่ว่าแต่ปากว่ายืน
หนดๆๆๆ แล้วกล็ มื ตาขวายา่ งหนอ ซา้ ยยา่ งหนอ ไม่ได้มีจังหวะ ไม่ได้ใช้สติควบคุมจิต ดูแลจติ ใหม้ ันได้
จังหวะตัวกําหนด ไอ้ตัวกําหนดเป็นตัวฝึก อันนีมีความสําคัญ อาตมาจงึ ต้องขอยํ าไว้ ซํ าข้อนี เน้นหลักในข้อ
นี ให้มาก เพราะมันมีประโยชนต์ ่อผู้ปฏิบัติ เอาไปใช้ในกิจประจําวันได้อย่างดีทีสุด คําว่ายืนหนอนี ไชม่ ใ่
ความหมายว่า กําหนดอยา่ งนี เสมอไป ต้องใชจ้ ิตปักลงทกี ระหม่อม กระหม่อมของเราทุกคนอยู่ตรงไหน ตั ง
สติไว้ตามจติ ลงไป……… ไมง่ ่ายเลย แต่ต้องทําซํ าๆให้เคยชิน ให้สติคุ้นกับจิต จิตคุน้ กับสติอย่างนี ถึงจะ
เกิดสมาธิ ไม่ใชห่ มายถึงว่าเรากําหนดแล้วได้ผลเลยนะ ยังไมไ่ ด้ผล แต่เราทําซํ าๆซากๆให้เคยชิน เราจึงตม้อีง
การฝึกจิตอยทู่ กี ระหม่อม วาดมโนภาพลงไปให้ซํ าๆ ลมหายใจนั นก็ไม่ต้องมาดู แตห่ ายใจให้ยาวๆมันจะถูก
จังหวะ แล้วตั งสตติ ามจิตไปวย่าืนทีกระหม่อมแล้วกห็ นอ.....ลงไปทปี ลายเท้า ดมู โนภาพ จะเห็นลักษณะ
กายของเรายืนอยู่ ณ บัดนี เหน็ กายภายนอก น้อมเข้าไปเห็นกายภายใน

แต่โดยวิธีปฏิบัติแล้ว ต้องเอาข้างในออกข้างนอก จึงจะมีขอ้ คิดให้เกิดปัญญาได้ ถ้าเราลืมตาขณะที
ยืนหนอ ๕ ครั งแล้ว มันเห็นแต่ภายนอก แตภ่ ายในสภาวธรรมมันจะเห็นได้ยาก จงึ ต้องหลับตา จะได้ไม่
มองเหน็ สิงอนื สิงแวดล้อมทีเรายืนอยู่ ณ บัดนั น แล้วไมเ่ หน็ กายข้างนอกให้เห็นกายภายใน กายภายในใน
กายนั น ตอ้ งประกอบไปด้วยสติ แล้วก็จิตปักลงไปว่ายืน….หนอ…. ลงไปถึงปลายเท้า เห็นชัดมาก แล้วก็
สาํ รวมทปี ลายเท้า อย่างเพิงกําหนดให้มันตดิ กันยนื ตังแต่ปลายผมลงไป จากกระหม่อมลงไปถึงปลายเท้า ว่า
ยืน…หนอ….หรือยนื นั น จิตปักไปถึงสะดอื แล้วหนอ จากสะดือลงไปปลายเท้าให้ได้จังหวะอายง่นั น ไม่ใช่
ยนื หนอแล้วก็จิตไปถึงปลายเท้า อันนี เป็นอดีตแล้ว

เพราะวธิ ีปฏบิ ัตนิ ีทาํ ยาก ต้องทาํ ให้ได้จงั หวะ ได้ระบบของเขา มนั จงึ จะเกิดปัญญา เกิดสะสมเข้าใว้

ด้วยดี โดยวธิ ีนี
คาํ ว่ายืน ปักลงทีกระหม่อมแล้วสติตามลงไปเลย วาดมโนภาพยืน…ถงึ สะดือแล้ว ร่างกายเป็นอย่าง

นี แหละหนอ จากสะดอื ลงไปก็ลงหนอ…. ลงไปปลายเท้า อยา่ งนี ทําง่ายดี สํารวมใหม่สกั ครู่หนึง จึงต้องอย่า
ไปว่าติดกัน ถ้าว่าตดิ กันมันไม่ได้จังหวะ

ขอให้ญาติโยมผู้ปฏิบัติทําตามนี จะได้ผลอยา่ งแน่นอน
อันนี เริ มต้น ยืน….มโนภาพ หายใจยาวๆ หายใจให้ยาวๆว่า ยืน….ถึงสะดอื แล้วรวมจดุ ศูนย์สะดือ
มโนภาพ หนอ…ลงไปปลายเท้า เหน็ เท้าทั งสองโดยมโนภาพยังไม่ชัด ครั งหนึงยังไม่ชัด
ครั งทีสอง สติก็ตามสํารวมทรี ะลึกก่อนว่า เท้ามีสองข้างจากปลายเท้านั น รวมอยู่ในจดุ ของเท้าทั ง
สองข้าง แล้วกบ็ อกว่ายนื ขึ นมาถงึ สะดอื หนอ…เรือยมาถึงกระหม่อม นีครงั ทีสอง
ครั งทสี ามจะชัดยนื ถึงสะดอื แล้วตั งสติไว้ตามจิตทีผ่านไปแวบถึงสะดือ แล้วสองบอหกนอจาก
สะดือถงึ ปลายเท้า สํารวมอยา่ งนั นจึงจะได้จังหวะ
พอครั งทีสีชัดขึ น สาํ รวมจากปลายเท้าทั งสอง เห็นได้ชัดแล้ว อันนีเห็นชัด จิตก็ไม่กระสบั กระส่าย
ครั งทสี ีนีจติ ไมก่ ระสับกระส่ายแน่นอน สาํ รวมอยู่ทีปลายเท้า แล้วก็ตั งสติไว้ให้ดีก่อน ระลกึ ว่าเท้าทั งสอบ
ข้างมอี ะไรบ้าง แล้วก็จึงกําหนดจิต ใช้สติตามว่ายืนขึนมาถึงสะดือ จากสะดอื ต่อว่าหนอ… ขึ นมาถงึ ปลายผม
คอื กระหมอ่ มเป็นครั งทีสี
ครั งทหี ้านีชัดขึนไปกว่ายนื หนอในขั นตใ้นนข้อหนึงยืนครั งทหี ้ายนื …ถึงสะดือแล้วสาํ รวมจิตลง
หนอลงไป มันจึงจะได้จังหวะดี ผู้ปฏิบัตไิ ม่เข้าใจทําวรรคตอนเลย กย็ ืนหนอๆๆๆว่าไวๆจิตก็กําหนดไม่ได้
จติ มันเร็วแต่สตติ ามไมท่ ัน เลยสมาธิไม่เกิด ปัญญาจะได้มาจากไหนเล่า สมภาคแสดงออกจะไม่ทราบ
ขอนักปฏิบัติธรรมทําตามแบบนี แล้วสํารวมลงไปปลายเท้าครั งท๕ี ยืน…ถงึ สะดือแล้วหนอ…ลง
ไปช้าๆถึงปลายเท้าหนอพอดีทีเท้าทั งสองยืนอย่ทู ีพืนนั น แล้วกล็ ืมตาทันที ลืมตาอย่าเพิงกําหนด ลืมตาดเู ท้า
สักครู่หนึงตั งสติไว้ให้ดี จึงได้เขยือนเคลือนกาย

ขวา ยกขึ นมา แล้วกส็ มั ปชัญญะบอกให้รู้ปัจจุบันย่าง…หนอ… ลงพืนพอดี จิตดวงนั นไปไหน ถ้า
เหน็ สภาพความเป็นอยู่ของจติ มันจะรู้ว่าวูบลงไปตรงไหน อยา่ งไรจติ ดวงใหม่จะแสดงออกคอื บอกให้ทราบ
ใหมเ่ กิดขึ นจิตก็เกิดดบั อย่างนี

ถ้าท่านทั งหลายทําเร็ว ท่านจะไม่มองเห็นธรรมชาติของจิตในสภาวะธรรม จึงต้องทําให้ช้าทีสทุดีจะ
ช้าได้เทา่ ไหร่ยิงดีทีสุดโดยวิธีนี ลมหายใจเข้าออกด้วยวิธีกําหนดนี มันก็ลา่ ช้าลงไป ทําให้เหน็ ภาว้าะงขในได้
ชัดเจน นีตรงนีเป็ นจดุ สําคัญ ไมใ่ ช่กําหนดแตป่ ากอยา่ งทีเคยกําหนดกัน เดียวเราก็ไมม่ ีสติเลย จติ มันวกูบ็ วาบ
ไปทโี น่น คลอนแคลนไปทนี ี เดียวแวบทนี นั แวบทนี ี กระสบั กระส่ายอยู่เสมอ อันนีเราทําได้จังหวะแล้ว จติ
จะไม่กระสบั กระส่ายแตป่ ระการใด

แล้วขวาย่างหนอ…ลงพืนซ้ายย่าง…หนอ ลงพืนพอดี ทําช้าๆเดินจงกรมไปเรือยๆเราจะเห็นได้วา่
อ๋อ ขวากับซา้ ยมันอันเดียวกันหรือไม่ จะเหน็ ชัด แสดงออกตอบได้ทันทีว่ามันเป็ นอันยเดวีกันหรือเปล่า ตอบ
ได้ด้วยตนเอง ประการทีสอง จิตทีกําหนดขวากับจติ ทีกําหนดซา้ ยเหมอื นกันไหม คล้ายคลึงกันไหม จะไม่
เหมือนกันเลยนะ มันดับวูบลงไปแล้ว จิตดวงใหม่เกิดขึ นขณะเกิดนั น คือสตริ ะลึกก่อนมันจะบอกว่าซา้ ย
ยกขึนมาพอดีได้จังหวะ นั นคือตัวสติเป็นตัวกําหนดใหแมล่ ้วก็ย่าง…หนอ ลงพืนพอดี สติมา สมั ปชาโนมี
สตเิ กิดขึน ระลึกก่อนปัจจะบันธรรมกไ็ ด้ผล คือ สัมปชัญญะปัพพะปัญญาก็เกิดขึน ภาวะธรรมสภาพความ
เป็นอยู่ของการปฏิบัติก็ชัดลงไป มันก็แจ้งชัดแล้วคล่องแคล่วดีกว่าเดิม

ขอให้นักปฏิบัติเดนิ ให้มากๆ ถ้าท่านผู้ใดเดินไม่ได้เพราขะาไม่ดี ปวดแข้งปวดขา เดินไม่ได้เลยก็ไม่
เป็นไรนะ เราก็นั ง เราก็นอนได้ ทุกวิถีทางอิริยาบถ๔ ทําได้ทกุ อริ ิยาบถ แตถ่ ้าเราอินทรีย์พร้อมมูลบริบูรณ์ดี
ก็ยืนเดินนั งนอนได้ กท็ ําให้เราทําได้ไว ทําใหต้ ิดตอ่ กัน ไปได้ไวมากโดยไม่ขาดสาย

แต่พระพุทธเจ้าทรงชี แจงแสดงไว้ว่า การปฏิบัตนิ ี จะยนื ก็ได้ จะเดินกไ็ ด้ จะนังกไ็ ด้ จะนอนก็ได้ ใน
อิริยาบถ ๔ ด้วยกาย เวทนา จติ ธรรม ในภาคกาย ในภาคเวทนาต้องครบ เพราะทุกคนต้องมเี วทนาด้วยกันไม่
พลาดแน่ ไม่ใช่นั งสบาย ไม่มีเวทนาเลย นแี หละ อริยสัจ๔ ก็ครบในอิริยาบถ นเี หมือนกันโดยกาย เวทนา
จิต ธรรม มันก็อยตู่ รงนี ทั งนั น

ต้องมีภาคกายภาคเวทนา ปวดเมือยทุกข์กาย ทุกข์ใจ สุขกาย สุขใจ และก็เป็นแบบเรียน เป็น
บทเรียนให้เรา ทีเราจะต้องใช้เป็นตําราอยู่ในเวทนาครบ สตกิ ็ดีขึ นในเวทนา ด้วยวิธีฝึกกําหนดเวทนา เกิดึ นข
ตั งอยู่ดับไป แล้วอนิจจังไม่เทยี งเป็นทุกข์ ก็แไกข้ ได้ โดยอนิจจังคือความไม่เทียง มันเป็นทุกข์อย่างนีแหละ
หนอ แล้วอนัตตาก็แสดงให้เราเห็นเป็นพระไตรลักษณ์เกิดขึ นตั งอยู่ ดับไป สูญไปไมม่ ีอะไรติดตัว เดียวก็วน
มาอีก เกิดขึ นตั งอยูด่ ับไป ก็เรียกว่าอนัตตา มันเกิดขึ นโดยอัตโนมัตขิ องมันเองโดยเฉพาะ เรียกตามศัพท์
ภาษาธรรมะก็เรียกว่าพระไตรลักษณ์เกดิ ขึ นแก่เราในขณะนั น ปัญญาถงึ จะเกิดต่อภายหลัง จงึ เรียกว่า
วิปัสสนาตอนนั น ตอนต้นก็เรียกว่าอุปาทาน ยังมีขันธ์ในอุปาทาน ยังยึดขันธ์อยู่ เช่นรูปขันธ์ เวทนาขันธ์
สัญญาขันธ์ สงั ขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ มันมีขันธ์ท๕ั ง อยูท่ ีเราครบ

ปรารภกําหนดกม็ ีอยู่๒ ประการ มีรูปกับนามเทา่ นั น อย่างอืนหาได้มีไม่ เลยกไ็ ม่มตี ัวไม่มตี น ไม่มี
เราไม่มีเขา แล้วจะมที ฐิ ิมานะตอ่ กันอยา่ งไรเลา่ อันนีภาวะมันจะบอกเองโดยเฉพาะอีกประการหนึง

ในเมือขณะทีกําหนดยืนหนอ บางคนเข้าผลสมาบัตไิ ด้ ไม่จําเป็นต้องพองหนอ ยบุ หนอ พอยืน…
หนอ ยืน…สาํ รวมขึ นมาหนอ บางคนปัญญาเกิดตอนนั น ได้ผลตอนนั น ยืนวูบลงไปทีสะดือ วูบลงไป๓ ชั น
จติ เป็นภาวะ ผลสมาบัติเกิดขึ นเลยไม่รู้ ภาวะนอก รู้ภาวะข้างใน ยืนอยู่เป็นเวลา๑ ชั วโมง ภาวะข้างนอกไม่
สัมผัสก็เรียกว่า เข้าผลสมาบัตติ อนยนื หนอได้ ไม่ใข่เข้าผลสมาบัตเิ ฉพาะตอนพองหนอ ยุบหนอทุกคนไป
บางคนได้ตอนยืนหนอ สติสัมปชัญญะดี สมาธิดี มันจะวูบลงไปถงึ สะดอื แล้ววูบอกี ครั งหนึง มันจะปิด
อายตนะ ธาตุ อินทรีย์ ในภายนอก แล้วภายในจะแสดงออกด้วยปัญญาเขาเรียกว่าพละกําลังของสมาธิ
ประกอบไปด้วยสติสัมปชัญญะภายใน เรียกว่าเข้าผลสมาบัติ ขณะทยี ืนหนอได้ทันที

ตรงนีสําคัญนะ ผู้ปฏิบัติอย่าคิดว่ายืนหนอไมไ่ ด้ผล ต้องเอาข้อนี ก่อนเป็นหลัก แล้วเราก็เดินจกรมไป
เรือยๆบางคนเดนิ จงกรมหวิวทันที เวียนศีรษะ แตแ่ ล้วเกาะข้างฝากําหนดเสียให้ได้ คือเวทนาจิตวูบลงไป
แว้บลงไปเป็ นสมาธิ ขณะทเี ดินจงกรม แตเ่ ราหาได้รู้ไม่ว่าเป็นสมาธิ กลับหาว่าเป็นเวทนาเลยเป็นลม เลยเลกิ
ทําไป ข้อเท็จจริงบางอยา่ งไมไ่ ด้เป็นลม แต่เป็นด้วยสมาธิในการเดินจงกรม มันวูบมันหวิวเหมือนอย่างทีเรา
เดินเวียนศีรษะฉะนั นมันอจาเป็นได้หลายวิธี มันอาจเป็นด้วยเป็นลมก็ได้ ไม่แน่นอน บางครั งสมาธิเกิด
ขณะทีขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ มันจะหวิวลงไป เหมือนเป็นลมฉะนั นขอให้ผู้ปฏบิ ัติกําหนดหยดุ การเดนิ
จงกรม กําหนดหวิวเสียให้ได้ กําหนดรู้หนอเสียนให้ได้ เดียวทา่ นจะเกิดปัญญาในขณะนั นทันที จากการนเดิ
จงกรมนันเองอันนี มีวิธีบอกแก้

บางทีเดนิ จงกรมไปมีเวทนาอย่าเดิน หยุด-กําหนดเวทนาเป็ นสัดส่วนให้หายไปก่อน และให้รู้จัก
หลักเวทนาเหมือนครูมาสอนโดยธรรมชาตขิ องเวทนาต้องจัดเป็นรูปแบบและสัดส่วนใหเ้ กิดปัญญา แตล่ ะ
อยา่ งแยกรูปแยกนามได้ เวทนาก็แยกได้ ด้วยการเดินจงกรมนนั เช่นเดียวกัน

เดินไปอีก หวิว-เวียนศีรษะคิดว่าไม่ดี หยุด กําหนดหวิวหนอซะ ตั งสติไว้เสียให้ได้ให้ดีก่อนและเดินต่อไป
ปัญญาเกิดทันทีสมาธิมา ปัญญาเกิดในการเดินจงกรมทันที จะทําให้รวบรวมสมาธิตั งไว้ได้นานดีกว่านั ง
แล้วไปนั งก็ตดิ ตอ่ กันไปโดยวิธีนี ประการหนึง มีอไะรก็กําหนดไปเป็นอยา่ งๆอย่าไปสบั สน

ขณะเดินจงกรมจติ ออกไปข้างนอกขณะเดิน หยุด กําหนดหยุดเสีย กําหนดจิตเสียให้ได้ทีลินปี
กําหนดคดิ หนอ คิดหนอ ยนื หยุดเฉยๆ ตังสตไิ ว้เสียให้ได้ แต่ละอย่างให้ช้าเดียวสตดิ ีปัญญาเกดิ จติ นั น
กลับมาสู่ภาวะแล้ว ก็มคี วามรู้เก็บหน่วยกิตเขา้ ไป คือตัวปัญญา จากการกําหนดนั นมีความสาํ คัญอีกประการ
หนึงนี สําคัญมาก
เดินต่อไปอกี ปัญญาก็สะสมไว้จากากรเดินจงกรม ทําให้เกดิ คล่องแคล่ว ทําให้ขวายา่ งซา้ ยยา่ งเห็นชัด รู้จักาคํ
วา่ แยกรูปแยกนาม รู้จักคําว่าจิตคนละดวง รู้จักคําว่าซ้ายย่าง ขวาย่างคนละอัน และกย็ ่างไปมรกี ะี ยะ จติ ที
กําหนดนั น มันเป็นขั นตอนประการใด ผู้ปฏิบัตจิ ะแจ้งแก่ใจชัดมากในตอนนั น ถามจะต้องตอบได้ตามญาณ
วิถีอย่างนี เป็ นต้น

ขณะทจี ติ ออกก็กําหนด จิตฟุ ้ งซ่านกก็ ําหนด ทกุ อยา่ งเป็นเรืองกําหนดทั งหมด และเรากเ็ วลามานั ง
ตอ่ ไป และขณะทเี ราตั งสัจจะว่า จะเดินจงกรมเพยี ง ๓๐ นาที แล้วเราหาทีนั งไว้ พอได๓้ ๐ นาทีก็เกิดสัจจะ

แล้วก็เดินจงกรมมานังทีจัดสถานทีเข้าไว้ จะตรงไหนก็ตามแล้วเรามานั ง นังย่อตัวลงไปว่านั งหนตอ้อๆง

ปฏบิ ัติให้ติดต่อ เหมือนด้ายกลุ่มออกจากลูกล้อ อย่าให้ขาดสาย ต้องปฏิบัตโิ ดยต่อเนอื ง กําหนดได้ทุกระยะ
อย่าไปขาดตอน ไม่ใช่เดินจงกรมเสร็จแล้วไปทํางานอนื แล้วกลับมา นั งทีหลัง ผู้ปฏิบัติจะไมไ่ ด้ผล จะไม่ได้
ผลเลย

ถ้าเรานั งติดต่อกันโดยเจ็ดวัน ทา่ นได้ผลแนภ่ ายใน๗ วัน ได้แน่นอน เป็นการสะสมหน่วยกิตไว้ ใน
วันที๗ ท่านจะรู้เรืองในญาณวิสุทธิ มสี ติได้ดีกว่าเดมิ ทีผา่ นแลว้ มันจะเกดิ ขึ นเป็ นขั นตอนของระยะของเขา
นั นเอง เพราะทําติดต่อกัน ไม่ใช่ว่าวันนีนังสมาธิเดินจงกรม พรุ่งนี เว้น มะรืนทําต่อไปและเว้นต่อไกปอี
หลายวัน ทําอย่างนีแล้วท่านจะไม่ได้ผล ถ้าเราฝึกแล้วขอให้ฝึกติดตอ่ กันไป โดยวิธีปฏิบัติอย่างนี

และเรามานังหายใจเข้าใหย้ าว หายใจออกให้ยาว ส่วนใหญ่อาตมาถามผู้ปฏิบัติกานใจไมไ่ ด้กําหนด
กําหนดไมไ่ ด้จังหวะ โดยหายใจเข้าท้องพอง หายใจออกท้องยุบ หายใจยาวๆท้องมันพองระยะไหน เราก็

บอกพอง แล้วลงหนอยาวๆ ไว้ ยบุ ก็ลงหนอยาวๆไว้ ถ้าเราพองยาว หนอมันกไ็ มไ่ ด้ เดยี วก็ยุบ ยบุ แล้วไมท่ ัน
หนอมันก็พองอยา่ งนี มันจะอึดอัด ทําให้ติดขัดในการกําหนด จงึ ต้องกําหนดให้ช้าๆหายใจยาวๆไว้ แล้วมัน
อึดอัดในเบืองต้นนิดหนอ่ ย ต่อไปก็คล่องแคล่วว่องไวขึ นมา

กําหนดพองหนอ…ยุบหนอ…ทีแรกกใ็ ชพ้ ลังช่วยด้วย ใช้จิตดัน ดันพอง ดันยุบ ใช้สติควบคุมไป
ก่อน หนักเข้าความคยชินก็เกิดขึน ความดนั เข้าดันออกก็หายไป แล้วกําหนดคล่องแคล่วว่องไวมากขึ น
หายใจเข้าหายใจออก พองหนอ ยบุ หนอ ก็คล่องแคล่วว่องไว สติก็ดขี ึ น ปัญญาก็เกิด สามธิก็ดี ตามขั นตอน
ของภาคปฏิบัติ มฉิ ะนั น เรากําหนดพองหนอ ยบุ หนอไม่ได้จังหวะ คอื ใช้ด้วยกําหนดจติ ไมม่ ีสติ คอื ว่าแต่
ปาก พองหนอ ยุบหนอ นีว่าแต่ปาก ถ้าใช้สติควบคุมไปให้ได้จังหวะ รบั รองปัญญาเกิด ในช่วงจังหวะนั น
บางครั งพองหนอ ในจังหวะนั น บางครั งพองหนอ ยุบหนอ ตาหลักวิธีปฏิบัติ เราจะรู้ขึ นมาเอง เหมือนเดิน
จงกรม

พองหนอยุบหนอเป็นอันเดยี วกันไหม มันจะแจ้งชัดขึนมา จิตก็คนละอันแน่ เพราะกาํ หดนแล้วมันก็
วูบขึ นไป จิตดวงใหมม่ ันก็แสดงออกมาใหม่ เหมือนแสงนีออนเกดิ ดับฉะนั น มันเป็นตามขั นตอน มองไม่
เหน็ ชัด ถ้าเรากําหนดได้เราจะเห็นชัดว่าจติ คนละดวง กายพองกายยุบคนละอันแน่ ไมใ่ ช่อันเดียวกัน แต่
อาศัยเหตทุ ีเกดิ ขึ นเป็นตัวปัจจัย ทําให้รูปนามขันธ๕์ แยกประเภทออกมาเป็นรูป ออกมาเป็ นนาม ออกมา
เป็นเวทนา ออกมาเป็นสดั ส่วน เราจะรู้ได้วา่ แยกรูปแยกนามได้โดยธรรมชาติของมันเองโดยเฉพาะ

พองหนอ ยุบหนอ บางครั งตือ ไม่พองไมย่ ุบเกิดขึ นแล้วทําอยา่ งไร ปัญญาแก้อย่างไร ไมพ่ อง ไม่ยบุ
และกเ็ ราสังเกตได้ว่าสติดี จะรู้ว่ามันหายไปตอนพองหรอื ตอนยบุ พองหนอ ยุบหนอนี มันจะต้องกําหนดได้
มจี ังหวะ แตม่ ันหายไปตอนพองหรือตอนยบุ ปัญญาอยู่ตรงนั น เราก็มีสตดิ ี จะรู้ได้ว่ามันตือไม่ยุบไม่พองก็
หายไป ตอนพองหรือตอนยุบ จะเหน็ ชัดแล้วเราก็กําหนดรู้หนอๆ แล้วกานใจเข้ายาวๆหายใจออกยาวๆ ให้ได้
ที แล้วจงึ ใช้สตกิ ําหนดตอ่ ไปว่า พองหนอ ยุบหนอ ปัญญาเกิดสมาธิดี กท็ ําให้พองหนอ ยุบหนอสั นๆนาวๆ
แล้วทําให้แวบออกข้างๆ ทําให้จิตวนอยู่ในพองยบุ ขึ นๆลงๆอยา่ งนีถือว่าดีแล้ว มันเกิดภาวะเช่นนี แล้วาใทหํ ้
เรากําหนดต่อไป ขอให้จติ นี วนอย่างนี จริงๆ

พองหนอยุบหนอเดียวขึ นลง เดยี วขึ นลง ไม่ออกทางพอง ไม่ออกทางยุบ และจิตก็แวบออกไปแวบ
เข้ามา เดยี วก็จติ คิดบ้าง ฟุ ้ งซ่านบ้าง สับสนอลหม่านกัน อย่างนี ถือว่าได้ประโยชน์ในการปฏิบัติ ผู้ปัตฏิอบยา่
ทิง ผู้ปฏิบัติจะต้องตามกไหนดต่อไปว่ามันฟุ ้ งซ่านจิตมันขึนๆลงๆแล้วพองหนอยบุ หนอ กระสับกระส่าย
แล้วพองหนอ ยุบหนอไมช่ ัด ตอนนั นได้ผลแล้วในเมือไม่ชัดก็ไม่เป็นไร ตือขึ นมาไม่พองไม่ยบุ ตือขึ นมา
พองยุบบนลินปี เดียวตือมาพองยุบทีหน้าอก แล้วเราก็กไหนดลงไปทีท้องกําหนดรู้หนอๆๆเสียก่อน แล้วก็
หายใจเข้าออกต่อไปใหม่ นีวิธีปฏิบัติทีถูกต้อง

ขอนักปฏิบัติธรรมทําตามหลักนีจะไรดับ้ ผลอย่างแนน่ อน บางทที ําพองหนอยบุ หนอ พอจติ สงบดี
จิตออกแล้วมันคอยจะเผลอ มันคอยจะพลาด จิตคอยแวลออกไป แต่เรามีปัญหาอยู่ว่าจติ ออกไปไม่รู้ เพราะ
ไม่มีสติ ถ้าสตดิ จี ิตออกไปต้องรู้แน่ ออกไปรู้เลยว่า ออกไปตอนพองหรือตอนยบุ จะเห็นชัด

บางทขี ณะทพี อง ขณะทียุบ จิตออกไปแล้ว บางคนไม่รูเ้ ลย จิตออกไปเสียเมอื ไหร่ ไปคิดเสียตั งนาน
แล้วนีอย่างนี ก็แสดงเหตุผลให้ทราบว่าขาดสติ สติไม่พอ ถ้าสติเราพอแล้วออกไปตอนไหนรู้ตอนนั น หนัก
เข้าเรากําหนดเชียวชาญ ชํานาญการไปแล้ว มันก็ทําให้จิตออกรู้ตัวทําใหม่ๆ จิตออกจะไม่รู้ตัวจิตก็พองหนอ
ยบุ หนอ สติกําหนดพองหนอยุบหนอจิตหนึงก็ออกไปคดิ ข้างนอกไปคดิ อะไรมากมายจริงในเมือเป็ นเช่นนี
แล้ว ให้หยุดพองยุบ มากาํ หนดรู้หนอหรือคิดหนอก็ได้แล้วแตก่ ําหนดอย่างใดอย่างหนึง

กําหนดคิดหนอ คิดหนอ พอสติดปี ัญญาก็บอกว่า คดิ เรืองอะไรได้ผลเป็นประการใด มันก็สะสมจติ
แฝงใว้ในจิตแฝงไว้ในใจ คือ ตัวปัญญาต่อไป ได้แก่แสงสว่างอย่างนั นเอง พอกําหนดไปแล้วจติ ทีคิดมาก
ฟุ ้ งซ่าน แวบไปแวบมาทําให้เกิดเวทนาได้ ทําให้ปวดเมือย ทําใหร้ ่างกายสงั ขารไม่อยู่ในภาวะแห่งความปกติ
เราก็ต้องกําหนดสังขารร่างกายทีมันปวดตรงไหน เมือยตรงไหน เกิดขึ นโดยวิธีนั นแลม้วันกจ็ ะคอ่ ยๆคลาย
หายลงไป จิตก็เข้ามาสู่ภาวะของพองหนอยบุ หนอ ต่อไปใหม่

อาการ”วูบ”
บางครั งนั งมันวบู วูบลงไปถงึ กระดาน บางทีวูบผงะ วูบไปข้างหลัง วูบไปข้างหน้า บางทวี ูบไป

ทางซา้ ย บางทวี ูบไปทางขวา บางทีพองหนอบางทยี ุบหนอ วูบไปแล้ว บางทีพองก็วูบไปแล้ว มันวูบหลาย
อย่าง ต้องใช้สติกําหนดรู้หนอๆเพราะมันวูบลงไป

บางครั งวูบม๒ี อยา่ ง เกิดด้วยสมาธิสูงไป สตไิ ม่พอ มันวูบลงไปโดยไม่ทันรู้ตัว เกิดตกใจอย่างหนึง
วูบอีกอยา่ งหนึงคอื วูบในการง่วงถีนมทิ ธะเข้าครอบงํา ง่วงเหงาหาวนอนทําให้วูบหน้า วูบหลัง ผงกหน้า
ผงกหลัง เกิดขึ นได้ในขณะทีนั งภาวนาพองหนอยบุ หนอ อยา่ งนีถือว่ถา ีนมทิ ธะ ง่วงเหงาหาวนอนมันเกิดขึ น
มิใชเ่ ป็นตัวสมาธิ ถ้าเป็ นตวั สธิแล้ว มันจะเกดิ ขึนโดยวูบอย่างแรงแต่ไม่ใช่ง่วง รู้ตัวตลอดเวลากาลอย่างนี
สามธิดแี ต่สติน้อยไปทําให้วูบลงไปได้อย่างหนึงอย่างนี

บางครั งกําหนดไปกําหนดมาเกิดปิ ติ เกิดขนลุกขนพองสยองเกล้า กําหนดขนลุกเสีย กําหนดขนพองเสีย
เกิดปิ ติแล้วต้องกาํ หนดเสียให้ได้ พอกําหนดได้แล้ว กลับมาพองหนอยบุ หนอต่อไปใหม่ ปัญญาจะเกิดตอน
นั น

บางอยา่ งสมาธิจะดีต้องมีอุปสรรค สติดีต้องมีอุปสรรค เช่นเวทนา เป็นต้น มาขัดขวางเป็นมาร
สําคัญทําให้เรารู้ในธรรมะคือเวทนา บางครั งสมาธิจะดที ําให้เกิดฟุ ้ งซ่าน ถ้าเราผา่ นฟุ ้ งซ่าน ผา่ นไปได้ ด้วย
ใช้สติดี ปัญญาดี กําหนดได้ รับรองปัญญาก็เกิดขึ น หลังจากทีผ่านทกุ ขน์ ั น จังเข้าสู่ภาวะของญาณ

นอนสมาธิ
เริ มต้นด้วยนามรูปปริจเฉทญาณ แยกรูปแยกนามได้ ในเบืองต้น อย่างนี ภาวะของธรรมด้วยการ

กําหนดช้าๆอยา่ กําหนดไว แล้วมานั งแล้วนอนลงไป กําหนดได๓้ ๐ นาที หรือ ๑ ชั วโมงทีตั งใจไว้ เรากน็ อน
ลงไปอยา่ งเพิงแผ่เมตตา นอนเปลียนอิริยาบถแล้วกําหนดทีท้องตอ่ ไปให้ติดต่อกันไปดูซิ จะเป็นกลางวันก็ดี
กลางคืนก็ตาม

ขณะทีผู้ปฏิบัติอยู่ทีห้องกรรมฐานได้ดแีล้ว ตัดปลิโพธกังวลมาดแี ล้ว ขอให้ทําติดต่อไป อยา่ ไปนั ง
คยุ กัน อย่าไปนังสนทนา อย่าไปนังคดิ เรืองเก่า มาเล่ากันใหมแ่ ต่ประการใด เราก็ําหนดนอน พองหนอ ยุบ
หนอยาวๆ กําหนดเรือยไปทที ้อง ขณะนอนนันชัดมากเดียวจะรู้สึกขึ นมาว่าสมาธิดี ปัญญาเกิด เดียวมันจะ
วูบลงไป มันจะเพลินลงไป เผลอลงไปบางประการสติดี จะรู้ทกุ วิธีทางว่ามันวบู ตรงไหน เป็ นอย่างไร จับได้
ทุกอย่างขณะทีนอน

ถ้าหากว่ามันจะหลับ ไม่ใช่หลับด้วยถีนมิทธะง่วงเหงา มันหลับโดยปกติ โดยมีสติสัมปชัญญะดี มัน
จะรู้ตัวขึ นมาว่าเพลินเผลอ แวบไปตอนพองหรือตอนยบุ ผู้ปฏิบัติตง้อจับได้ ถ้าจับได้ตอนพองหรือตอนยุบ
จําไว้ หลับวูบลงไปแล้วสตดิ ตี ลอดขณะทนี อนอยนู่ ั น ขณะนอนอยู่นั นสติภายในดีมาก จิตภายในรู้อยู่
ตลอดเวลา พลิกตัวกีครั งรู้หมด และทําให้เราจะกําหนดตืนเวลาไหน แม้เพียง๑๐ นาทกี ็ได้ หลับอย่างสนิท
แตภ่ ายในมสี ติ อยา่ งนี ถอื ว่าหลับสนทิ ภายในมสี ติ คือหลับโดยใช้ปัญญาฝากไว้ในภายใน นึกจะตนื เวลา
ไหน ใครเรียกขึนมาในเวลาใดรับปากเมือนั น อันนีตืนไวชวนะจิตรบั สู่อารมณ์ได้ไวด้วย ขณะทนี อนหลับมี
สติ

นักปฏิบัติธรรมอย่าลืม ทําให้ติดต่อกันไป ในเมือทา่ นเดินจงกรม นังภวนาแล้ว นอนลงไป กําหนด
เสีย ๑๐ นาที หรือ ๒๐ นาที ค่อยมาเดนิ จงกรม เปลียนอิริยาบถต่อไปใหม่ ถ้าทําโดยต่อเนืองตดิ ต่อกันไป
ภายใน ๗ วัน รับรองเห็นผลแน่ ผลทจี ะพงึ ได้จากการเจริญวิปัสสนาญาณ ทําญาณวิถีรู้เทา่ ทันเหตุการณ์ของ
ชีวิตได้โดยเฉพาะอีกส่ วนหนึ ง

กําหนดสัมผัส
แตข่ ้อใหญ่ใจความของการเจริญวิปัสสนานั น ผู้ปฏิบัติธรรมอยา่ ลมื อีกอันหนึงคอื สัมผัสอายตนะ

ต้องกําหนด ตาเหน็ รูปกําหนด หูได้ยินเสียงกําหนด จมูกได้กลินกําหนด ลินรับรสกําหนด กายสัมผัสต้อง

กําหนด เพราะทมี าของทวารหก เป็นทีมาของกิเลส และเป็นทีมาของขันธ์๕ รูปนาม เกิดพรอ้ มกัน ดับพร้อม
กัน จําเป็นต้องกําหนดตลอดเวลา ให้เชยี วชาญ ชํานาญทุกอย่างหูได้ยินเสียงตั งสตินั นเอง ปัญญาก็บอกได้ใน
การฟังจากเรืองตา่ งๆทเี กิดขึ น เกิดปัญญาในการฟัง ตาเห็นรูปก็ดี ตั งสติไว้ทหี น้าผาก กําหนดเสียให้ไ้ใดน
การสมั ผัส รับรองปัญญาก็เกิดสะสมเข้าไว้เป็นหน่วยกิต และมาเดนิ จงกรมนังภาวนาบรัรองได้ไว

กาํ หนดนิมิต
ถ้าทา่ นทั งหลายกําหนดหน่วยกติ นี โดยอายตนะธาตอุินทรีย์ดังกลา่ วมาแล้ว ไปเดิน

จงกรม…………….นิมิตเป็นพระพทุ ธรูป นิมิตเป็นหมอกเมฆต่างๆนานาประการ นิมิตให้เราเหน็ ต้นหมาก
รากไม้ก็ได้ เช่นนีถือว่ามสี มาธแิ ต่แล้ววิธีปฏบิ ัติต้องกําหนดเสียว่าเห็นหนอๆในนมิ ิตนัน นิมิตนั นแปรผัน
เปลียนแปลง เป็นสภาวรูปทีเกิดขึ น ตั งอยู่ แล้วก็ดับไป นิมิตนั นก็หายวับไปกับตา ปัญญาก็เกิดเข้ามานแที
นิมิตนีเป็นเครืองหมายเทา่ นั น แสดงให้เรารู้ถงึ สภาวะของรูปทีมันเกิดขึ นในทางนิมิต มันอาจจะเกิดขึ๒น
ประการ

กรรมนิมิต เกิดทางกรรม นิมิตเครืองหมายให้เราได้ทราบจากครั งอดีตก็ได้ หรือนมิ ติ เครืองหมาย
บอกให้เราทราบในเรืองของการกระทําและมารทมี าขัดขวางก็ไดว้ ิธปี ฏิบัติไม่ให้วิจบั ไม่ให้ประเมนิ ผล ไม่
ต้องไปดูปริยัติ แต่ประการใด มวี ิธปี ฏิบัติอยู่อันมีผลคือตังจติ กําหนด ใช้สติตลอดอย่างนีอย่าไปวิจับ ใก้
เกิดผลในทางอืน เพราะการปฏิบัตินีไม่ใช่เรียนหนังสือต้องทําโง่ไว้ ต้องทําโง่ ทําไมร่ ูอ้ ะไร ทําใหด้เกอิง
ปัญญาเกิดเอง และรู้เองอยา่ งงีโดยไม่ได้รู้ตามอืนบอกเล่า ไม่ใช่รู้ในตํารา ไมใ่ ช่รู้ในหนังสือ ไม่ใชู่ร้ว่า
ญาณทัสสนะวิสุทธิเกิดขึ น ในหนังสอื อยา่ งนี เป็นความรู้ธรรมะ

แต่ภาคปฏิบัตินี เป็นการปฏิบัติให้เกิดเองโดยภาวนานี มันเกิดเอง แล้วก็ปัญญาก็เกิดเอง บอกตัวเอง
ได้ โดยวิธีปฏิบัตนิ ีอันนนี ักปฏบิ ตั อิ ย่าลืมด้วยตวั กําหนด มนั มอี ะไรเกิดขึนทุกวิถีทาง ต้องกําหนดให้หายถ้า
กําหนดไมห่ ายนะ ปล่อยปละละเลยไป เป็นการสะสมหน่วยกิต ทําให้เกิดสนั ดานเป็นพืนฐานของจิต ทําให้
เราปิ ดบังปัญญาไว้ เกิดโมหจริต ปัญญากไ็ ม่เกิดขึ นแก่ผู้ปฏิบัติด้วย โดยวิธีนี จึงต้องกําหนดทุกอิริยาบถ

เพราะฉะนันทีพดู ซํ ามาเป็นเวลานานนี ต้องการให้ผู้ปฏิบัตปิ ฏิบัติโดยถูกต้อง ไม่ต้องฟังเสียงใคร
และการปฏิบัตินี ขอให้ปฏิบัติไปตามขั นตอนอยา่ ไปเอาอย่างอืนมาประสมประสานกัน เดยี วพุทโธบ้าง พอง
หนอ ยุบหนอบ้าง สัมมาอรหังบ้าง เลยสบั สนอลหม่านตลอดกาล ไม่ได้ผลเทา่ ทีควรในวิธีปฏิบัติ หารปฏิบัติ
สติปัฏฐานสีต้องการให้มีสติ รู้ทางอายตนะ ธาตุอนิ ทรีย์เข้าทางทวารหก ขันธ๕์ รูปนาม เกิดทางทวารหก
แล้วก็ดับพร้อมกันไป กิเลสก็เกิดขึ นทางนั นเหมอื นกัน คือ โลภะ โทสะ โมหะ อยู่ในขันธสนั ดาน เรียกขันธ์
๕ รูปนามเป็นอารมณ์ เกิดขึ นทางอายตนะ ธาตุ อินทรีย์ โดยวิธีนี เป็นต้น

ถ้าเราสติดี ปัญญาดีแล้ว มันจะบอกได้เป็นขั นตอน มีเวทนาอยจู่ ุดไนห กําหนดได้ จุดนั น มันกก็ าย
ไป เพราะทุกสิงทกุ อยา่ งในการฝึ กบั องต้นมักมอี ยา่ งนี ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก ครูเข้ามา
สอนแล้วต้องเรียน ครูโลภะ ครูโทสะ ครูเวทนา ครูฟุ ้ งซ่าน ครูเสียใจ มาสอนเราว่าทําไมเสียใจ แก้ไขอย่างไร

กก็ ําหนดจิตใช้สติตลอดเวลา อริยสัจ ๔ ก็ชัดขึน นเี ป็นคําสอนของพระพุทธเจ้าทีสําเร็จมรรคผลมา ก็ใชห้ ลัก
สําเร็จทีอริยสัจ ๔ ก็ได้จากการเจริญสตปิ ัฏฐานมานีเอง

อ่านคนอนื ออก
พระองคจ์ งึ ได้ยํ าหลักในการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ขันธ๕์ รูปนามเป็นอารมณ์ ผู้ปฏิบัติธรรมอย่า

ลืม กําหนดให้ได้ ยืนหนอ๕ ครั ง นเีอาไว้ใช้อะไร สําหรับเราดูคนอนื เขา เหน็ หนอ๕ ครั ง ตั งแต่ปลายผม
คนทเี ราเห็น ปลายเท้าขึนมา เดียวสตจิ ะบอกว่า คนนีมีนิสัยไมด่ ี คนนี มนี สิ ัยดี คนนีมีเล่ห์กระเท่หพ์เทุบาย
มันจะแจ้งรายงานให้เราทราบการเหน็ นแี หละยืนหนอ๕ ครั งนี สาํ หรับริธีดคู นอืนเข้า เพราะเราดตู ัวเองได้
แล้ว ฝึกฝนตนเองได้แล้ว อา่ นตัวออกบอกตัวได้ ใชต้ ัวเป็น แล้วดูคนอืน ทําไมอ่านไม่ออกเล่าแบบเดยี วกัน

เพราะฉะนั นการยืนหนอ๕ ครั งต้องการจะดูคนอนื ทีเดินเข้ามาคือสภาวรูป จะเป็นคนหรือมนุษย์
สัตว์ สิงทั งหลายกต็ ามโดยทีมีวิญญาณและทไี มม่ วี ิญญาณรเาอาจจะมองเห็นวิญญาณมองเหน็ ดวงวิญญาณ
มองเหน็ สิงทีเร้นลับโดยปัญญาได้ ด้วยยนื หนอ๕ ครั งนีแหละ ทีเราจะเพง่ สายตา จะไปดสู ภาวรูปทีไหน ก็
กําหนดว่าเห็นหนอ ๆ อย่างนั น และเห็นจริงๆด้วยตาปัญญา นีแหละปัจจัตตัง ทีจะทําได้จงึ ต้องเห็นไว้ มันมี
ประโยชน์การแกป้ ัญหาอยา่ งเหลอื เกิน พอเราทําได้แล้ว เห็นหนอทําได้แล้ว ไม่ต้องกําหนด มันบอกเอง ดี
เอง เรามองเห็นสภาวรูป รูปมันจะแจ้งชัดเกิดขึ น ตั งอยู่ดับไป มันจะบอกเป็นขั นตอนออกมาเองไมต่ ้อง
กําหนด

วิธีฝึกเบืองต้น เราจติ ยังไม่เข้าขั นยังไมถ่ งึ วิปัสสนาญาณแล้ว เราก็ไม่สามารถทีจะบอกอไดย่า้ งนี ถ้า
เราเข้าถึงขั นแล้ว มันจะบอกได้ทั งหมด เป็นการคลอบจักรวาล โดยใช้สติสัมปชัญญะทกุ ประกาพรยายาม
กําหนดโดยต่อเนือง

ทีอาตมาได้ชีแจงแสดงมานีต้องยํ าไว้ สาํ หรับผู้ปฏิบัตปิ ล่อยปละละเลยมาก ไมป่ ฏิบัตโิ ดยต่อเนือง
เราจะเดินไปห้องนํ า ห้องส้วม เดินจงกรมไป และรับประทานอาหารก็พจิ ารณาปัจจเวกณ์ด้วยการกําหนด
กินหนอ เคียวหนอ กลนื หนอ เป็นต้น ให้ชา้ ทีสุด อันนีพจิ ารณาปัจจัยไปในตัวด้วย แต่งกายแต่งใจอยู่เสมอ
ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะต้องกําหนด ตลอดเวลากาล ส่วนใหญ่ผู้ปฏิบัตจิ ะทําโดยต่อเมือเดินจงกรมกับพองหนอ
ยุบหนอเท่านั น เพราะยังไมส่ ามารถจะใช้ได้ ทีจะให้ได้ต้องกําหนดสิงแวดล้อมทั งหมด การปฏิบัติของเราจะ
ได้รับผล สมความม่งุ มาดปรารถนา

ขอเจริญพรผู้ปฏิบัติธรรมทุกทา่ น โปรดได้ปฏิบัตโิ ดยต่อเนืองจะไปอยู่ในอิริยาบถใดก็ตาม ต้อง
กําหนดเรือยไป เป็นการสะสมเรือยไป และมันเกิดเต็มเปี ยมขึ นมาแล้ว มันจะเย็นอัตโนมัติเหน็ ได้ชัดคือ
ปัญญา

เพราะฉะนั นการเจริญวิปัสสนากับการศกึ ษาแบบอืนตา่ งกัน ต้องทําขึ นมาเอง ต้องทําไมร่ ู้ไมช่ ี ฝาก
สิงทฐิ ิมานะเกบ็ ไว้ใช้ในตัวเราทีแสดงออก ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ แล้วใช้สติกําหนดไปตลอดภาวะของ
รูปนามขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์ จงึ เรียกว่าวิปัสสนากรรมฐาน แสดงผลงานของปัญญาให้ชัดแจ้งต่อไปด้วย

ผู้ปฏิบัติธรรม เดนิ จงกรมแล้วนั งภาวนา นอนกําหนด เสร็จแล้วเรากม็ าทหี ้องพระ ถ้าไมม่ ีห้องพระ
ตรงไหนก็ได้ อย่าลืมแผ่เมตตาโทรจติ อุทิศส่วนกุศล ให้ผู้มพี ระคุณ มีบิดา มารดาเป็นต้น ตลอดกระทังเจ้า
กรรมนายเวร บรรดาญาตทิ ั งหลายผู้ลว่ งลับไปแล้ว และ เจ้ากรรมนายเวรทีจะมาทวงถามเราอยู่ทุกขณะ เรา
จะได้ไมป่ ฏิเสธใช้หนี เวรใชห้ นี กรรม จากการกระทําโดยอโหสิกรรมนั นเอง ไม่โกรธ ไมเ่ กลียด ไม่อาฆาต
เคียดแค้น ต่อท่านผู้ใด กรรมนั นเป็ นอโหสิ ไมม่ ีเวรกรรมต่อเนืองกันไป อันนอีถวื ่าเป็นประโยชน์ สาํ หรับผู้
เจริญวิปัสสนากรรมฐาน

หลังจากนั น จงอทุ ิศส่วนกุศลและโทรจิตออกไปทุกทศิ า อโหสิกรรมทกุ เวลา ท่านจะได้รับผลทุก
ประการ จะทํากิจการงานทางโลกทางธรรม ทําแล้วไมไ่ ร้ผล จะเรียกเงินเรียกทองก็ได้ เรียกแบบไหน เพราะ
จติ ใจของเราเข้สู่ภาวะของผู้มปี ัญญาแล้ว จะคิดอา่ นอันใดสิงนั นเป็นประโยชน์ สิงนั นมีอานสิ งห์ คิดเงนิ จะ
ได้ไหลนองคิดทองจะได้ไหลมา กิจการจะได้สําเร็จตามเป้ าหมาย เรียกว่าปัญญารอบรู้ในกองการสังขาร
รอบรู้ในเหตุการณ์ของชีวิต สามารถใช้ชีวิตให้เกิดประโยชนข์ องตนเอง และบุคคลทั วไปได้ สมปรารถนา
ทุกประการ

จงึ ขอเจริญพรผู้ธรรม อย่าคิดว่าเป็นเรืองเหลวไหลและเป็นเรืองทําง่ายนะ ทํายากทีสุดถึงยากอย่างไร
กต็ าม ก็พยายามทํา พยายามทีจะกําหนด และปรารภขันตคิ วามอดทนไว้ ฝืนใจไว้ให้ได้จนกว่าจะเคยชินเข้าสู่
ภาวะแห่งความสงบ “นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุข”ํ สุขอืนยิงกว่าความสงบไม่มีแลว้ ในโลกมนุษย์นี เอาไปใช้เป็น
ประโยชน์ได้ทันท่วงที ทุกประการ นแี หละเป็นอาวุธทีพระพุทธเจ้าทรงประทานไว้แก่เรา

วธิ ีสู้เวทนา

ธรรมบรรยาย ๒๘ ส.ค. ๒๙
หอประชุม วัดอัมพวัน

อาตมาอาพาธวันนี ไม่สบายมาก เมอื วานนี ไปบรรยายทคี ่ายจริ ะประวัตนิ ครสวรรค์ กลําังมีเวทนา
มาก หมดเขาไม่ให้ไปหรอก โยมกําหนดเสียให้ได้ ปวดหนอ ปวดหนอ เอาเวทนาฝากไว้ก่อน ฝากไว้กันเสา
กไ็ ด้นะ แล้วก็ไปได้ไม่เป็นไรหรอก เอาเวทนามาฝากเป็นหรือยัง ปวดหนอ ปวดหนอเนยี ฝากไว้แล้วก็ไป
ทําเป็ นไม่รูไ้ ม่ชี ทําเป็นไมป่ ่ วยแยกเวทนาออกเป็ นสัดส่วนแล้วกฝ็ ากไว้ซะทาํ นองนี คงจะได้นะ

ปวดหนอ ปวดหนอ หายปวดไหม ตั งแต่มานั งทนี …ี .(ปวดหนอ แต่ ไม่หายหนอ เจ้าค่ะ) ยิงปวด
หนักใช่ไหมยงิ หนักยงิ กําหนดหนักเข้าไป ตายกใ็ ห้ตายต้องอย่างนันเดียวปวดหนอ ปวดหนอ โอไม่หาย
เลกิ หนอ เลิกหนออย่างนั นไหม….(ยังไม่ถึงขั นเจ้าค่ะ) ยังไมถ่ ึงขั นเลิกหนอหรือ งั นกไ็ ปได้ซี ไปไ…ด้
(เปลียนหนอเจ้าค่ะ) อ๋อ เปลยี นหนอ เออมีเปลยี นหนอเหมอื นกันเดียวปวดหนอ ปวดหนอ โอ๊ยทนไม่ไหว
แล้วหนอ เปลียน…หนอ เปลียน…หนอ เปลียน…หนอ งั นเหรอ เอ้าก็พอไปพอไปได้ แต่อย่าเปลียนบ่อยนัก
นะ เดียวจะเคย ใหม่ๆนีได้ แต่หนักเข้า อย่าเปลียนบ่อยนักนะ เดียวเคยชิน เปลียนดี ทีแรกก็เปลยี นๆไปก่อน
พอหนกั เข้าตายให้ตายไม่ต้องเปลียน ทีแรกเปลียนได้ เพราะเราไม่เคยนะ โยมนะ

อปุ าทาน นีเป็นสมถะก่อน ปวดหนอนเี ป็ นสมถะไม่ใช่วิปสั สนาจําไว้ให้ได้ ปวดหนอนียึดบัญญัติ
เป็ นอารมณ์ เพราะว่ามีรูปมนั จึงมีเวทนา วัตถุคือรูปนเี กิดสัมผัส เกิดสังขารปรุงแต่ง มันจงึ ปวด ปวดแล้ว
กําหนด ปวดหนอ ปวดหนอ ยิงปวดหนักถ้าเราไม่กําหนดเลยก็ไม่ปวดหรอก แต่วธิ ีปฏิบัตติ ้องกําหนดจะได้
รู้ว่าเวทนามนั เป็ นอย่างไร นีตัวธรรมะอยู่ทีนี ตัวธรรมะอยู่ทที ุกข์ ถ้าไม่ทุกข์จะไม่รู้อรยิ สิจ ๔ นะ เอ้าลองดูซิ
ถ้าปฏิบัตเิ กิดเวทนา-แล้วเลกิ โยมจะไม่รู้จักอริยสจั ๔ รู้แต่ทุกข์ข้างนอก ทุกขป์ ระจําไมร่ ู้เลยนะ รู้แต่ทุกขจ์ ร
นะจําไว้ จะไม่รู้อริยสัจ๔ ในภายใน โยมจะรู้อริยสัจ ๔ ภายนอก รู้แต่ทุกข์จรเข้ามาเทา่ นั นเอง

ทกุ ข์ประจํานีสําคัญเอากอ่ นปวดหนอ ปวดหนอ นีทุกข์ประจํา ทุกข์ประจําเลยต้องให้เห็นธรรมะว่า
ปวดหนอ ปวดหนอ โอ๊ยจะตายเลย บางคนนั งทําไปเหลืออีก๑๕ นาทีจะชัวโมง หรืออีก๕ นาทจี ะถึง ๓๐
นาทีทตี ั งใจไว้จะตายเลยทุกครั ง ทุกคนเป็นอย่างนี แหละ ถ้าน๑ังชัวโมงจําไว้เหลือ๑๐ นาทเี ราจะแย่ เราไม่
ต้องดูนาฬิกาพอมันจะแยเ่ วทนามาเราจะทายได้เลยว่าอีก๑๐ นาทีถึงชัวโมง ไม่เกนิ แน่นอน อยา่ งตําก๑็ ๕
นาทีถึงชัวโมงแน่ ลองดูเลย จะตายเลย เอ้าตายให้ตาย-ตายให้ตาย ปวดหนอ-ปวดหนอ โอ้โฮ มันทกุ ข์อย่างนี
เลย พโิ ธ่เอ๋ยกระดูกจะแตกแล้ว กระดูกจะแตกแล้ว แล้วทีก้นทั งสองนีรอ้ นฉีเลยเหมือนหนามมาแทงกัน
โอ้โฮ มันปวดอย่างนีเองหนอ ปวดหนอ ปวดหนอ กําหนดไป เป็นไร เป็นกัน พอใกล้เวลาเหลืออีก๕ นาที
ถงึ ๑ ชัวโมง ทีตั งสจั จะไว้จะตายเลยนะ ลองดู ลองดู ต้องทนฝืนใจ

ธรรมะต้องฝืนใจ มิฉะนั นถาดของแม่นุชนาฏสุชาดาลอยเหนือนํ าทําไม พระพทุ ธเจ้าท่านก็ยังไรมู้ ่
นะ ว่านีเราฝึกมาจากอาฬารดาบส อุทกดาบส ก็ยังไม่สําเร็จ ได้แค่ฌาณสมาบัตมิ าตั งแต่อดีตชาติ ทา่ นได้ฌาณ
มาตั งแต่พระเวสสันดรนะ พระพุทธเจ้าของเรานี เจ้าชายสิทธัตถะได้ฌาณมาตั งแต่เป็นพระเวสสันดัรนะ ที
อยู่ในป่าหิมพานต์จะไม่เล่าเรืองพระเวสสันดรหรอกเดียววันนไี ม่จบรายการ ได้สาํ เร็จฌาณมาพอเป็นกุมารก็
ลอยขึ นไปบนต้นหว้า เห็นไหมล่ะ สาํ เร็จตั งแต่ชาติก่อนแล้ว แต่ยังไม่สําเร็จว่าดับทุกข์ได้อยา่ งไร ไมา่อกยจะ
มาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร ทําอย่างไรเพราะยังไมพ่ บ ยังไม่พบทําอย่างไร เลยทีนีกท็ นทุกข์ทรมาน ทุ
กรกริ ิยา ๖ ปี แล้วทําให้เกิดเทพสงั หรณ์ทําให้ปัญจวัคคยี ์หนีไปหมด ถ้าไม่หนีไปไม่สาํ เร็จจําไวอ้ยู่เป็ นกลุ่ม
มากๆไม่สําเร็จ ทําให้เกิดพิณ๓ สายขึ นมา ตึงจัด-หยอ่ นจัด-มัชฌมิ าปฏิปทา ปานกลาง ในธรรมจักรนั นเอง
พระพุทธเจ้ากค็ ิดได้ กลับมาฉนั อาหาร ทําให้ปัญจวัคคีย์ทั งห้าคิดว่าเจ้าชายสิทธัตถกะมาั ก หนีเลย ดีแล้ว
อยากจะให้หนีไปตั งนานแล้ว เลยพราะองค์กอ็ ยู่องค์เดียว กเ็ สวยพระกระยาหารของแม่นชุ นาฏสุชาดา แม่
นุชนาฏสุชาดาเมือสมัยก่อนยังไม่มพี ระพทุ ธเจ้า ก็ต้องไปถือเทวดา ตอ้ งไปไหว้ต้นหมากรากไม้กัน เหมอื น
บางคนทียังไหว้อยู่จนบัดนี ยังถือมาอ๒ยู่ ,๐๐๐ กวา่ ปีแล้ว ไปไหว้ต้นไม้ แล้วผ้าสวยๆนะไปห่มต้นไม้กัน
เดียวนีคนยากจนไมใ่ ห้ แหมไปห่มต้นไม้ทําไมกัน“แก้บน” เขาบอก ก็ดี อาตมาเหน็ ด้วย เอาเถอะไมเ่ ป็นไร
หรอกแล้วแต่อัธยาศัย เลยก็นางสุชาดากเ็ ห็นเทวดา บอกแหมมาบนบานศาลกลา่ วทุกครั ง ไม่เคยเจอเทวดา
เลย แหมเทวดาสวยมากเลยถวาย แหมเทวดาแน่เลย ทุกครั งกินไม่หมดต้องเอากลับบ้านทุกที แหมวันนี ฉัน
ซะหมดถาดเลย

แล้วก็เจ้าชายสิทธัตถะจึงขออธิษฐานว่าธรรมะบทใดหนอทีจะสาํ เร็จมรรผลสมั โพธิญาณในกาล
ต่อไปนี ขอให้ถาดนี เป็นปริศนาออกมา ณ บัดนี ว่าแล้วก็ลอยถาดออกไปเลย วิงขึ นเหนือนํ าทันทมี หีทนไี มี
แตล่ อยลอ่ งนํ า นีขึ นไปเลย ทําให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพทุ ธเจ้า เจ้าชายสิทธัตถะของเรานั นนึกถตงึ ้องฝื น

ใจ ต้องฝื นใจ ถ้าไม่ฝื นไม่สําเร็จ
คืนวันนั นพระพทุ ธเจ้าก็อธิษฐานจติ ทีศรีมหาโพธิ เอาหญ้ากุสะมาขัดเป็นบัลลัง“กข์้าพเจ้ายอมตาย

เลยถ้าไม่สําเร็จมรรคผลสัมโพธิญาณ ในคําคืนวันนีข้าพเจ้ายอมตาย” ได้ธรรมะจากถาดทีลอยขึ นเหนือนํ า
ฝืนใจเลยตายให้ตาย-ตายให้ตาย-ตายให้ตาย สาํ เร็จเลย เลือดเนือเหือดแห้งอย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้ายอมตายบน
หญ้ากุสะ ณ บัดนี ใช่ไหม เห็นด้วยไหม ต้องฝื นใจนะโยมนะ ต้องฝืนใน

ไปวัดกระซิบบอกเบาๆฟังเขาสอนชีวิตเราเกิดมาไม่ถาวร อย่ามัวนอนหลงเล่น ไม่เป็นการไฟสาม
กอง กองเผาเราเสมอ อย่าเลินเล่อควรทํากรรมฐาน ไหนๆชีวิตเราเกิดมาต้องตายทุกคน ในเมือใกล้ตายญาติ
มติ รบอกให้คิดถึงอรหงั รู้ได้ดีทีสุดคุณพระพุทธัง เพราะกําลังเวทนาทุกข์กล้าเอย

นีเราทํากรรมฐานนั นเวทนา มันสอนเรา มันแยกออกไป เวทนาแยกออกไปเป็ นสัดส่วนนะ ขันธ์๕
รูปนามเป็นอารมณ์ เวทนาแยกออกไป เกิดขึนตังอยู่ดบั ไป ปวดหนักเข้า หนักเข้าแตกเลย มนั มีจุดแตกออก
มานะโยมนะ แล้วมันจะหายปวดทนั ที อยา่ งนีทแี รกนีไมห่ ายหรอก จะนั งกีชัวโมงทํากคี รั งมันก็ต้องมีหลัก
๔ ประการ ไม่ใช่ว่าเราสําเร็จแล้วได้โสฬสญาณคําว่าสําเร็จวปิ ัสสนาไม่มี ทําเรือยๆไปเถอะ แต่เราจะไปพูด
กับเขาทุกคนไม่ได้นะ โอ๊ยดฉิ ันสาํ เร็จวิปัสสนาสําเร็จกรรมฐาน เดยี วเขาจะโต้เอานะ บอกฉันเป็ นนักปฏิบัติ

ธรรมะ ตั งไมส่ าํ เร็จ เท่านี พูดเทา่ นี เราก็บอกฉันเป็นนักปฏบิ ัติธรรมะ แกต็เ่พิงเริ มต้น เราก็ต้องอ่อนน้อม
ถ่อมตนไปอย่างนี

ทีนีใครจะทําถึงขั นไหนก็ตาม ต้องผา่ นหลัก๔ กาย เวทนา จิต ธรรม ทุกคน ต้องมีเวทนาทุกคน แต่
มเี วทนาแล้วเรากําหนดได้ ตั งสติไว้ให้ได้ไม่เป็นอะไรเลย และเวลาเจ็บระทวยป่ วยไข้จะไมเ่ สียสติ จะไม่เสีย
สตเิ ลยนะ และเราทําวปิ ัสสนานีมันมเี วทนาหนักยิงกว่าก่อนจะตาย เวลาก่อนจะตายมันจะหนักเหลือเกิน เรา
ปวดมากก็กาํ หนดเข้าโยม กําหนดหนอ ปวดหนอ ปวดหนอ ปวดไปตายให้ตายนีเป็ นสมถะ ยดึ บัญญตั ิเป็ น

อารมณ์ ต้องจําไว้ก่อน พอกําหนดไป กําหนดไป กําหนดไป แตกพับซ่า ซู่ ซ่า หายไปเลย เบาตัวเลย พอเบา

ตวั นันแหละคอื อนจิ จงั ทุกขงั อนัตตา นีแหละอริยสัจ ๔ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แจ้งแก่ใจทันที นีคือเวทนา
นีแกละอริยสจั ๔ มาเลยทุกข์ หาทมี าได้แล้วคือสมทุ ัย นิโรธแจ้แก่ใจของข้าพเจ้าแล้วซ่า เป็นอนิจจัง

ทกุ ขัง อนัตตา นีเป็นอริยสจั ๔ นตี ้องฝืนใจนะ โยมนะ ต้องฝืนใจกันหนอ่ ย ถ้าพอมีเวทนาเลิกเลย เวทนาเลิก
เลย โยมจะไม่พบธรรมะในอริยสจั ๔ รู้แตท่ กุ ข์จรข้างนอก คนมาดา่ มาว่า ทกุ ขอ์ ยา่ งโน้นทุกข์อย่างนี แตท่ ุกข์
ประจําไม่รู้นะ เกิดแก่เจ็บตายนีนะโยม เกิดเวทนา เกิดเสียอกเสียใจ ในตัวในข้างใน ไม่รู้จริงนะ ต้องรู้ทกุ ข์
ข้างใน นอี ริยสจั ๔ มาแล้ว พอเวทนามันหายไปนะโยมนะ อนิจจังไม่เทยี งเป็นทุกข์อย่างนี แหละหนอ มันไม่
เทยี ง มันเป็นทุกข์ นีแหละทุกขังได้แก่ทุกข์ในอริยสัจ๔ นะ เป็ นความจริงในอริยสัจ ๔ เป็นอนัตตา ปลอ่ ย
ให้สูญไปเกิดขึนตั งอยู่ดับไป ไม่มีอะไรเหลืออยู่ ไมมีรูปไม่มีนามแล้วก็หายปไตอนสุดท้ายนี คือนิพพานดับ
สนิทไม่ตดิ ขึนมาเป็นเรืองเล็กนะโยมนะ ทนนะฝืนใจด้วยนะเวทนามาก

หลวงพอ่ วัดอัมพวันบอกให้ฝืนใจหน่อย ฝื นใจหน่อยเพราะธรรมะต้องฝืนใจ ถึงจะเห็นธรรมะ
เหมือนถาดลอยขึ นเหนือนํ านะโยมนะ ท่านบอกให้ฝื นใจหน่อย โอ๊ยวันนีก็เหนอื ยมากนะ ทํางานมามาฝกื น็
ใจไม่พอก็ได้ เอาไว้ฝื นใจพรุ่งนี ตอ่ ไปก็ได้ ทั๒ง อย่าง ให้ฝืนหน่อย เมือก่อนอาตมานั งอยา่ งนี ไม่ได้ ทีคอหัก
ไปไม่ปวดเลยเหน็ ไหม คอหักไม่ปวดไม่เจ็บ สบายมากเพราะเรารู้เวทนา สบายมากเลย

และทีพูดเมือวันกอ่ นหายใจทางสะดอื ได้ พองหนอยุบหนอหายใจ ได้นะ ถ้าใครไมเช่ ือลองบดิ คอ
หักดู ต้องหายใจได้ แต่ต้องฝึกเสียก่อนนะ เดยี วไมฝ่ ึกแล้วคอหักตายเลย ตายเลยนะ ต้องฝึกก่อน หายใจทาง
สะดือได้จริงๆ เข้านิโรธนีหายใจทางเส้นโลหิตถ่ายอากาศได้ ไม่งั นอยู่ไม่ได้ อยไู่ ม่ไดห้ รอก อย่ตู ามเส้น
โลหิตนีอากาศถ่ายเทได้เลยนะ ถ้าอ๊อกซเิ จน คาร์บอนไดออกไซด์ได้ทั งหมด ร่างกายสังขารเรานีทั งหมดนะ
มันไมไ่ ด้ถ่ายทางทวารหนักอย่างเดยี วหรอก เราเข้าใจว่าถ่ายออกช่องเดียว ไมใ่ ชช่ ่องเดียว มันทกุ เส้นขุมขน
เลยนะ ทีเราอยู่ได้ ทุกวันนีน่ะ ดูในสติปัฏฐานสีให้ครบจะพบอยา่ งแนน่ อน

โยมขอให้ฝื นใจต่อไปนะจ๊ะ ถ้ามันปวดเปน็ ตายร้ายดอี ย่างไรกําหนดซะ พอกําหนดแล้ววปิ ัสสนามา

เลย แตกพรึบ มนั ก็ซ่าไปเป็ นอนิจจัง ทกุ ขัง อนัตตา นันแหละตวั วิปัสสนา เห็นชัดขึนมาแล้ว ขันแรกนีต้อง

สมถะก่อนเพราะฉะนันเขาถึงเรียกว่า สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานทางสายเอกสายเดียวเท่านัน ทจี ะ
พ้นทุกข์ และพบกฏแห่งกรรม ถ้ามโนมยิทธิ หรือเจริญอานาปานสติ ไมไ่ ด้เจริญสติปัฏฐาน๔ จะไม่พบกฏ
แห่งกรรม และจะไม่สามารถจะรู้กรรมทตี นทําไว้อยา่ งแนน่ อน

สติตัวเดยี วนี มันถอยหลังได้ รู้ครั งอดีตชาตทิ ีผ่านมาได้เลย เพราะเราสงบแลว้ สตินสี ําคัญมาก
สัมปชัญญะรู้ตัวได้ ถอยหลังไปได้เลย แตธ่วิีปฏิบัติต้องปัจจุบัน ปัจจุบัน อดีต ไม่มารือฟื น เรืองของคนอืน
ไมค่ ดิ กิจทชี อบทําอนาคตอย่าจับมั นคั นให้มันตาย จะผดิ หวังเสียใจตลอดชีวิต เอาปัจจุบัน ปัจจุบัน ปบัจันจุ
พอนั งเข้าหน่อย เอ! ทีบ้านเป็นอย่างไร อ๋อเรืองโน้นเป็นอย่างนี เรืองนีเป็นอย่างนั นเขาไมใ่ ห้กําหนดอย่าง
นั น เอาแตป่ ัจจุบันทเี ราจะมีเรืองอะไรเกดิ ขึ นมานี ก็สรุปได้ว่าสตติ ัวเดียวเท่านั นเป็นพฤติกรรมแสอดองก
ทางจิตใจของเรา ถ้าเราไม่พอใจใคร มันออกทางใจเราแล้วเป็นพฤติกรรม เป็นตัวธรรมะ และ ทําให้เราไม่
สบายนะ แน่นอนทีสุด แผ่เมตตาก็ไม่ออกด้วย หดเลย หมดอาลัยตายอยาก ซงั กะตายวันหนึงไม่เกิด
ประโยชนใ์ นชวี ิตแน่นอน

ปาฏหิ าริย์คุณยายละม้าย
“มีสตติ ัวเดียวสามารถทาํ อะไรได้ทังหมด”

คุณนายละม้าย เกษแกว้ เป็นคนอา่ นหนังสือไมอ่ อก สามีเป็นทหารอากาศ ชือ นาวาอากาศตรีวาท
เกษแกว้ เป็นฝ่ ายการเงินของกองบนิ ๒ โคกกระเทียม ลพบรุ ี ซึงเป็นยุคทนี าวาอากาศเอก(พิเศษ) จรรยา สุ
คนธทรัพย์ เป็นผู้บังคับการขณะนี ท่านมียศเป็นพลอากาศเอกไปนานแล้ว

คุณนายละม้ายกับสามี มาเข้าวัดทําบญุ ทีวัดอัมพวันกไ็ ม่กีปี อาตมาก็ชีแจงชักจูงให้คุณนายนัง
กรรมฐาน เดินจงกรม-ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ เพราะว่าคณุ วาทสามีแล้ว แตค่ ุณนายพอลงมือปฏิบัติกท็ ํา
ไมไ่ ด้ ขวาเป็นซ้าย-ซา้ ยเป็นขวา พองหนอ-ยุบหนอ ก็กําหนดไมไ่ ด้

อาตมาก็มาคิดหาอุบายทจี ะสงเคราะห์คณุ นายให้ทําให้ได้ สงสารคนประเภทนี อยากจะทํานัก แตท่ ํา
ไมไ่ ด้ เดนิ จงกรมก็เซ

วันหนึงแกก็มาทวี ัดถามวา่ “หลวงพ่อมีคาถาไหม ฉันทํากรรมฐานไม่ได้แน่ อยากจะสวดมนต”์
อาตมากเ็ ลยบอกว่า “โยมจะท่องได้หรือ อ่านหนังสือไม่ออก” แกก็บอกว่า “ฉันจะให้ลูกสอน” อาตมานกึ
ได้ข้อหนึง ต้องใหค้ ุณนายสวดพุทธคณุ ธรรมคุณ สังฆคุณเพือเป็นอุบาย หนักเข้าแม่ละม้ายท่องได้ ลกู สอน
วันละตัวสองตวั ทอ่ งได้หมด กส็ วดพทุ ธคณุ ธรรมคุณ สงั ฆคุณ พาหุง มหากา(รุณิโก) พอจบแล้วหันมาเอา
พุทธคุณอย่างเดียว ให้สวดเทา่ อายุเกินกว่า๑ เกิดยึดมั นสติดี ก็สวดหนักเข้าทุกวันๆ จนสบายใจ ญาณวิถี เข้า
สู่สติสัมปชัญญะ“สติมา” มันเกดิ ขึนโดยอัตโนมัตขิ องแกอีก ก็ทําใหเ้ กิดสติดนขี ึ พอสติดีขึน แกก้มาเล่า
อะไรแปลกๆให้ฟัง บอกว่า “ฉันสวดได้หมดแล้ว แล้วมันคล่องแคล่วในใจ” พอใหเ้ ดินจงกรมก็เดินได้
เพราะสติดีเสียอย่างแล้วบอกว่าพองพนอ ยุบหนอได้ไหม ก็กําหนดได้อีกเหมือนกัน และคล่องได้จากสวด
มนต์ อันนีเป็นไปได้เหมือนกัน

แล้ววันหนึงมาถามอาตมาว่าหลวงพ่อทําอยา่ งไรจึงรู้ทางในสามีโกหกบ้าง อยากจะจับนัก หลวงพอ่
บอกว่ามีสติดีทําอยา่ งไร? เลยอาตมาก็ใชอ้ บุ ายจะบอกตามตรงไม่ได้เธออยากนังทางในให้รู้ว่าสามซี ือสัตย์
ต่อฉันไหม มันสังหรณ์ในใจแล้ว ว่าสามีไม่ซือตรงต่อภรรยา อาตมากบ็ อกว่า สวดใหญ่เลย สวดให้ได๑้ ๐๘
จบ สวดแล้วนังสมาธิ พองหนอยุบหนอ ก็พอไปได้ พอสวดและนังสมาธิ แบบนี จิตก็เข้าสู่ภาว“ะสติด”ี
นั นเอง ไมใ่ ชส่ วดพุทธคณุ แล้วก็ขลังเสกอะไรได้

ตอ่ มาวันหนึง นาวาตรีวาท ผู้สามีก็บอกภรรยา ว่าจะไปเกบ็ ค่าเช่านาทีทางเหนือ แล้วกห็ ายไปเลย
๓-๔ วัน คุณนายมาทีนีถามว่า หลวงพอ่ บอกซิว่าจะให้ทําอย่างไร ก็เลยบอกว่า สวดมนต์เข้า แล้วนั งสมาธิ ก็
เกิดขลัง สติเป็นตัวบอก ไม่ใช่ตาทิพย์ไปเหน็ ทไี หนหรอก คณุ นายละม้ายก็เริ มเข้านั งสวดทีห้องพระ ทีแรก็ ก
สวดเท่าอายุ อายุ ๕๐ กว่าไปแล้ว อาตมาก็บอกว่า โยมเอาอยา่ งนี มีไมข่ ีดไหมเอาไม้ขีดมานับเข้า อายุเท่าไหร่
อายุ ๕๕ สวด ๕๖ ถ้าอายุ๕๘ สวด ๕๙ จบ แต่ให้สวดพุทธคุณ ธรรมคณุ สังฆคุณ พาหุงมหากาฯให้จบก่อน
แกก็ยึดมันอยใู่ นการสวดอย่างนี ว่าเป็นได้แน่ตอ่ ไปนีแกกไ็ ม่ใช้ไม้ขีด แกก็นึกในใจก็ว่าได้ครบเลย ว่าไ้ ด

คล่องแคลว่ ว่องไว และเดนิ จงกรมได้เอง ไม่ต้องสอนเลย ตอนเราสอนทําไม่ได้ สติไม่ดีถ้าสติดีแล้วเดินได้

เองโดยอัตโนมตั ิ
ในทสี ุดแกก็เล่าว่าวันนั นสวดมนต์ดึก และนังสมาธิหน้าพระแล้วกน็ ึกในใจ ถามเอง ตอบเอง ถามว่า

“นายวาทเขาไปไหน” “เขาไปจริงไหม” สติบอกว่า“ไปทีไหนเล่ามาทีท่าวุ้ง เอาเงินให้ผู้หญิงไป๒๐๐ บาท
แล้วกินข้าวบ้านโน้นบ้านนี” สติ-บอกเป็ นช่องไป พอตอนเช้า นาวาตรีมาแล้ว จะรีบไปทํางาน พอแต่งตัว
เสร็จ คณุ นายละม้ายบอกว่า“นีคุณมานเี ดียว ไปไหนมาเมือวาน” คุณนายก็เริมออกแขกเลย“นีเมือวานนีกิน
ข้างบ้านโน้นใช่ไหม” “แล้วคุณเอาสตางค์ไปให้นงั คนนันใช่ไหม” คุณวาทสามีก็นกึ อยู่ในใจ ต้องไปตอ่ ว่า
หลวงพอ่ วัดอัมพวัน เป็นหมอดูให้ภรรยาจึงบอกได้อย่างนี

สติทีมันบอกเหตกุ ารณ์ชนดิ นเีรียกว่าปัญญา นีมันเกิดทั งทางโลก ทางธรรมาควบคู่กนั ไป คุณนาย
ละม้ายโดยทีไม่รู้หนังสือ โดยทีไมร่ ู้อะไรเลย แล้วกจ็ ริงด้วย พอตอนเย็นนาวาตรีวาท ขับรถมาตวอ่ ่าอาตมา
ใหญ่ บอกว่าหลวงพอ่ ไปบอกอะไรกับแม่บ้านผม ว่าผมไปบ้านโนน้ บ้านนีเอาสตางค์ไปให้เขา ผมสงสัย
หลวงพอ่ แน่นอน อาตมาก็เลยบอกว่า ยังไม่เจอกันเลย ไม่ได้บอกแน่นอน เขาก็เชอื อาตมาเพราะไม่เคยโกหก
ใคร แล้วเขาก็กลับไป แล้วก็คิดว่าภรรยาเราไปให้เจ้าเข้าทรงทไี หนถึงไรดู้เห้ ตุการณ์ได้ชัดเจนอย่างตาเห็น

อกี วันหนึงก็บอกกับคณุ นาย“ผมจะไปเก็บค่าเช่านา” คณุ นายกบ็ อกว่า “ตามสบาย แล้วเอาเงินมา
ให้ได้” ปรากฏว่ากไ็ ม่ได้ไปอีก ตอนแรกก็ตั งใจจะไปเกบ็ ค่าเช่านา แต่ทีนี มาถงึ ทา่ วุ้งกบ็ อกว่าข้าวยังไมไ่ ด้
ตวง ไปกเ็ สียเวลาเลยไปกนิ ข้าวบ้านเกา่ อีก เอาเงินไปให้ผู้หญิงอีก เป็นแม่ม้าย แม่ละม้ายกน็ ังสมาธิ พอนัง
สมาธิเสร็จแล้ว “ก็ถามหน่อยเถอะสติเอ๋ย นายวาทเขาไปไหน” “ไปบ้านเก่าอีกแล้ว” สติบอกอย่างนันแม่
ละม้ายรูห้ มด พอกลับมายังไม่ทันขึนบันได ยังไมท่ ันจะแตง่ ตัวไปทํางา“นนีคุณเอาเงนิ ไปให้เขาอีกแล้ว”
สามบี อกว่า “เดียวค่อยคุยกนั ผมไปทํางานก่อน” พอกลับมาแล้วอารมณ์ดีแล้วก็คุยกัน“ถามจริงๆเถอะ รู้ได้
อย่างไร” คุณนายละม้ายดา่ เก่งแตพ่ อเจริญสตแิ ล้วไม่ด่าไมว่ ่า แต่พดู ในแต่ละคําให้เจ็บในทรวง ให้สามี
กลับไปคดิ เอาเองบอกว่า“พทุ ธคณุ รู้ วา่ คุณไปกินข้าวบ้านใคร เอาสตังคไ์ ปให้แม่ม่าย ชอบเขาหรือไง จะได้
ยกให้เลย ดฉิ ันไม่อยากได้แล้ว” นาวาตรีกเ็ ลยซึ งใจว่า อํานาจธรรมะสามารถรู้ได้ละเอยี ดอย่างนี ละหนอ เลย
ทําให้นาวาตรี ละได้ทันทีไมไ่ ปบ้านผู้หญิงอีกต่อไป

นีสมาธิเป็นประโยชน์ ไมใ่ ช่นังไปนิพพาน แค่นีก็ใชไ้ ด้ คุณนายละม้ายก็เลยเลิกเลยีงหมู เลียงวัวก็
เลิกหมด ตอนนีก็เลยแนะแนวให้ลูกหมดทุกคนว่าคนนั นคนนี จะเป็นอะไรในอนาคต สามีไม่ไดจ้ ัด สติตัวนี
เป็นผู้จัด และเดยี วนี ลูกมีหลักฐานมีงานทําทุกคน และในทีสุดนาวาตรีวาท ก็ปลดเกษียณ ก็มาทวี ัดกัน สงอ
คน ตายายมาทําบุญทีนี อยู่ลพบรุ ีแสนจะไกล กม็ าเรือยๆ

เหตุทีเกิดขึ นในเวลากาลต่อมา อันนี นาวาตรีวาทผู้สามีก็ต้องตายร่วมกับอาตมาเพราะเป็นกฏแห่ง
กรรมร่วมกัน แต่อาตมาไม่เป็นไร คอหัก ต้องหายใจทางสะดอื อยา่ งทีว่าพองหนอยบุ หนอหายใจทางสะดือ
ได้ได้แน่ แตก่ อ่ นนีอาตมาถ้าเจริญอานาปา ภาวนา“พทุ โธ” กําหนด ทีจมกู ของเรา ทีเราทํามาเป็นเวลา๑๐ ๆ
ปี มันกต็ ายไปแล้ว ยังมีการระบายลมได้ทางสะดอื โดยกําหนดรู้เหตุการณ์ชีวิตทีอยู่ในครรภข์ องมารดา ตาม

คําสอนพระพุทธเจ้าเรียกว่าปฏิสนธิ อันนีเป็นหลักความจริงทีปฏิบัติได้ บางคนก็ไม่ทราบหานใจทางจมูก
เสมอ คนทหี ายใจไมไ่ ด้ มี๔ ประเภท

๑. ดงิ พสุธาหายใจไม่ได้จนกว่าร่มจะกางมีมีอากาศหายใจ
๒. ดํานํ าหายใจไมไ่ ด้
๓. ก็อยู่ในครรภ์ ไม่มีการหายใจทางจมูก แตม่ ีการสูบลมทีเลือดเลี ยงร่างกายทางสะดือแน่นอน
๔. พระเข้านิโรธสมาบัติ๗ วันเลย แต่ในระยะ๗ วันนีระบายลมได้ทางเส้นโลหิตทางขุมขนได้
ทั งหมด อันนี มันละเอียดอ่อน

สําหรับโยมหายใจ ไมใ่ ช่หยดุ หายใจเลย หัวใจไม่สูบโลหิตตาย นีเรืองสมาบัตนิ ี หัวใจยังสูบฉีด
โลหติ อยู่ แน่นอนบางคนรู้ไมจ่ ริงในหลักนี เช่น บอกว่าไมห่ ายใจเฉยๆ แต่ไม่หายใจทางจมกู มันมีวิธีการที
พสิ ูจนไ์ ด้จากสติปัฏฐาน ๔ ได้แน่ชัดมาก จากการขอให้ทําได้ใหถ้ งึ ขั นตอขนองมัน

นีกลับย้อนมาถึงคุณนายละม้าย สามีก็สามารถจัดระบบชีวติ ของลูกได้ คุณนายละม้ายเป็นผู้จัดเจริญ
สติปัฏฐาน ๔ ลูกคนนีสังให้เข้าทํางาน ลูกคนนั นก็ส่งเรียนไป แล้วกไ็ ด้หลักฐานมาตามจริงของคุณนาย
ละม้ายทุกประการ โดยไม่มีความรู้อะไรเลย อ่านหนังสือก็ไม่ออก เลยสามกี ็คล้อยตามภรรยา ภรรยาว่า
อยา่ งไรก็ว่าอย่างงั นก็เลยเลิกเกเรหมดเลย อันนีก็เป็นทางปัญญาสําหรับทุกๆครอบครัว สามารถจะรุ้ทั วได้
โดยใช้สติ การเจริญพทุ ธคณุ การสวดมนต์ไหว้พระเป็นภาวนาเบืองต้น สามารถให้เรามีสตเิ กียวกับ

พุทธานุสติ มีสติในการเจริญพทุ ธคุณ
ธมั มานุสติ มีสติในการเจริญธรรมคุณ
สังฆานุสติ มสี ตใิ นการเจริญสงั ฆคุณ

ทเี ราสวดมนต์กันนีมันไมค่ ่อยเจริญสติเทา่ ไหร่ กว็ ่าไปตามทจี ะได้ ก็ไม่ซึ งถึงใจ ขอเล่าต่อไปถึง
คณุ นายละม้าย แยกมาซือบ้านแกก็รูแ้ นะแนวว่าจะซืออะไร ก่อนหลัง โดยไม่รู้หนังสือ ไม่ได้เรียน สติบอก
ว่าทําอย่างนั นๆ สามารถทําตามแนวสติปัฏฐาน๔ แกกร็ ู้ดีมาเป็นลําดับ ก็ปลูกเรือนไว้ แล้วก็วัวควายไม่มี
แล้ว เลิกแล้วลูกก็เข้างานได้ตามลําดับ ได้เป็นทหารบ้าง ตํารวจบ้าง นีสตินีมปี ระโยชนม์ ากเหลือเกิน

คุณนายละม้ายป่ วย
ในกาลต่อมา พอลูกเข้างานได้บ้าง เรียนจบหลักสูตรบ้าง ยังเข้างานไม่ได้ คุณนายละม้ายก็เกิดมามี

กรรม เป็นโรคมะเร็งทีลําไส้ อาเจยี นเป็นโลหิต ถ่ายอจุ จาระเป็นเลือดตลอดมา หมอบอกตายเดือนนี แน่ ไม่
ต้องผ่าตัด

ฝ่ายคุณนายตั งใจว่าจะต้องยังกุศลให้ได้อยู่อกี๓ ปี ให้ลกู เข้างานได้ทั งหมดแกถึงค่อยตาย แต่
ข้อเท็จจริงของนายแพทย์บอกเดือนเดียวดาย ไม่ผ่าตัดก็อาจจะตายเลย คุณนายยังอยเู่ รือยมาเพราะแกสวด
พทุ ธคุณและตั งสติในสติปัฏฐาน๔ ไว้มั นคงเพราะแกเคยรู้มาแล้วญาณวิถึ โดยสติบอกทุกประการ ตอนนั น

เป็นมะเร็งหนักถ่ายอุจจาระเป็นเลือด มะเร็งเมอื ใกล้จะตายก็ต้องปวดรวดร้าวทัวสรรพางค์กายแทบจะทนไม่
ไหว

คุณนายละม้ายกไ็ ด้“เวทนานุปัสสนา” กําหนดเวทนาได้แล้วก็บอกว่าลกู เอ๋ยไม่ต้องไปโรงพยาบาล
หรอก แม่ยังไมต่ ายแน่ต้องให้เจ้าเข้างานได้ก่อนตามแผนการของแม่ ลูกกเ็ ชอื แม่หมดเพราะทํานายทายทักไว้
ถกู ต้อง เพราะสตดิ ีบอกได้เป็บชอ่ งเป็นทาง สามีก็ยอมรับมาปฏิบัติ

ผงึ รักษาโรค
ในเวลากาลต่อมาเกิดมีอภินิหาร มีผึ งมาเกาะทบี ้านรังใหญ่มาก อาตมาเคยไปทําบุญบ้านเขาก็เหน็ ผึ ง

จนคุณนายพูดอุทานวาจาออกมาดังๆ ซึงลูกกอ็ ยพู่ ร้อมเป็นนายตํารวจก็มี นายทหารก็มี กม็ าอยูพ่ รอ้ ม เป็น
อาจารย์กม็ ี แม่จะขออธิษฐานจติ ลูกเอ๋ย แมจ่ ะแผ่เมตตมนะลกู นะ ไหนๆแม่ กย็ ังไม่ตายตอนนีหรอก แตม่ ัน
ปวดรวดร้าวแทบจะทนไม่ไหว แล้วก็สอนลูกว่าเวทนานี มันเป็นเวทนาภายนอก แต่มันมีความเจ็บปวดรวด
ร้าวเข้าไปถึงจิตใจ แตเ่ ราต้องตั งสติไว้ แมจ่ ะขออโหสิกรรมหมด อยา่ ได้มเี วรมีกรรมกับใครเขา แกก็สอนลกู
ไปในตัว อย่าผูกพยาบาทต่อใครเขา เดยี วกรวดนํ าไม่ถงึ อุทศิ ส่วนกุศลให้ไป แล้วก็สอนให้ถูกต้องสาํ หรับ
ลูกหลาน เพราะสติมันบอก แต่ก่อนนีธรรมะแกกไ็ มค่ ่อยจะรู้อะไร หนังสือแกก็อ่านไม่ออก เลยอธิษฐาน
ดังๆเพราะสติดีแล้ว บอกลูกเอ๋ยแมจ่ ะทําใหด้ ูนะ เราจะไม่มีเวรกรรมกับสรรพสตั ว์ทั งหลาย เราจะไม่เกลียด
ใคร ไม่ผูกพยาบาทตอ่ ใครบอกลูกเสร็จแล้วตั งสตอิ ธิษฐานจิตพดู กับผึ งว่า“จงมาช่วยดูดพษิ มะเร็งให้ข้า
หน่อย” พอคณุ นายพูดจบผึงฝูงนั นก็พากันบนิ มาเกาะทีท้องดดู พิษมะเร็งให้แล้วก็ร่วงลงมาตายอย่บู นพืน
เรือนเป็ นทีอ ัศจรรย์ยิ ง

เป็นเวลานานร่วมปี อจุ จาระและทีอาเจียนเป็ นเลือดหายไป นีอํานาจของสติปัฏฐาน๔ ทําให้เกิดเมตตา ถ้า
ใครเจริญสติปัฏฐาน ๔ ได้ขั น๑ ไมต่ ้องไปพดู เรืองยา ขั น๑ ได้เมือไรคนนั นมีเมตตาสูง เมตตาเกิดเอง ทาน
ศีล และภาวนาไม่ต้องไปตักบาตรทําบุญเสียก่อน ไม่ใช่ ถ้าใครเข้าใจเจริญสตปิ ัฏฐาน๔ ได้ อันดับหนึง
มาแล้ว ทานเกิดเมตตาสงสารสัตว์ สัตว์จะไม่ทําร้าย จะไมผ่ กู พยาบาทใครต่อใครอีกแล้ว เกิดเมตตามาอันดับ
หนึ ง

งูดูดพษิ ร้าย
วาระที ๒ เป็นเรืองอัศจรรย์สําคัญยิง มีงเู ห่าหม้อ เกิดเลือยมา ตอนนั นแม่ละม้ายแกเจ็บหนักปี๒ที ปี

ทีหนึงนีผึ งมาช่วย อํานาจเมตตา อาตมาพิสูจนไ์ ด้ไม่ต้อวง่าคาถาเลยขอให้จิตมีเมตตาจริงๆจะแผ่ไปทีไหน
ขอให้ทนี ั นมีเมตตาสัตว์ร้ายในกลางป่ า เหมอื นอย่างพระธุดงค์เสือจะกินก็ไมก่ ิน ช้างจะทําลายก็ทําไม่ได้
เพราะอํานาจเมตตาของพระพุทธเจ้ามอี ยใู่ นจติ ใจ คือสตนิ ีเอง ถ้าหากว่าใครเจริญได้เมตตามาก่อนเป็นอันดับ
หนึงคอื ทาน เสียสละได้ด้วยความจริงใจ ไมห่ วังผลตอบแทน มันจะเกิดขึ นเองโดยอัตโนมัติ ไมต่ ้องไปหา

เมตตาทีไหน มันอยู่ทีจติ ใจของเราก็ต้องทําจิตให้เป็นเมตตาด้วย ถ้าจติ เรายังริษยาเขา ว่าคาถาอย่างไรกม็ไ่เกดิ
ประโยชน์ จับจุดได้อย่างนี

ปีหนึงผ่านไป ปี สองเข้ามาแทน ก็อุจจาระเป็ นเลือดถา่ ยออกมาปวดอย่างหนักก็อยู่ใต้ถุนมีแคร่งเู ห่า
ตัวเทา่ แขนเลือยผ่านลานบ้านมา ถ้ากัดก็ต้องตายแน่ แม่ละม้ายเหน็ เข้าแล้วกําลังสอนลูกทมี าพร้อมกันว่าแ่ ม
จะตาย ก็ไปตามพีน้องมา อีกคนทอี ยู่ในกรุงเทพฯ ยังเรียนหนังสืออยู่ยังมาไม่ทัน นอกนั นมาพร้อม แม่
ละม้ายก็ตั งสติบอกลกู เอ๋ยบอกว่าดูสิอจุ จาระออกเป็นเลือด อาเจียนออกมาเป็นเลอื ด กก็ ําหนดเวทนาก็แยก
ออกมาเป็ นสัดส่วน ปวดก็ไม่มากนักพอทนได้ แม่จะให้งูมาชว่ ยดูดพิษแมก่ แ็ ผ่เมตตา จากอํานาจสติ แผ่
เมตตาไปหางู งูเป็นสัตว์เดรัจฉานจะรู้เรืองอะไร ลูกกต็ กใจว่ามันจะไม่เป็นจริง งูก็ปรีเข้ามารีเข้ามาเลย ลูกก็
กลัวว่างูจะมากัดแม่ มันก็วิงมาพันท้องแล้วแลบลินเลียท้อง เรืองจริงนะ เลยี อยู่สักพักหนึงงูนั นกา็คยลเลือย
ปราดออกไปลานบ้าน งูถงึ แก่ความตายก็เอางไู ปฝังไว้ เขาสงสัยว่างนู คี งจะเป็นงูผลี องฝังดู มันก็เป็นเรือง
อัศจรรย์

ในเวลาตอ่ มา แม่ละมา้ ยกห็ าย อีกปีหนึงอุจจาระทเี ป็ นเลือดหายไป อาตมากไ็ ปดไู ปเยยี ม ถามความ
เป็นอยขู่ องแม่ละม้ายดูบอกหลวงพ่ออะไรจะมาปวดในรอบชีวิตทีฉันเกิดมานีไมม่ ีเลย มะเร็งนีมันปวดอยา่ ง
นี ปวดจนทนไมไ่ หวจนขนหัวลกุ เลย งูทีฝังไว้ เวลาผา่ นไป๓-๔ เดือน เขาก็ลองขุดดู ไมม่ ีหนังงเูลย ไม่รู้
หายไปไหนเขาก็สงสัยว่าเป็นงผู ี หรือ งูอะไร อาตมาว่าไม่ใช่ผี งูจริงๆ เพราะมันมาดดู เลือดนํ าเหลืองอะไร
ต่ออะไรไปหมด กลับกลายว่างตู ายเดียวนั น อันนี ลกู เป็นพยานได้และยอมรับและสวดพทุ ธคุณกันทุกคน
ตามทแี ม่สังทุกประการ

รู้วันตาย
ปีที ๓ พอลูกเรียนจบหมด นีสามารถอยู่ได้๓ ปี ทีหมอบอกว่าเดอื นเดียวตายเมอื ปีก่อนโน้น พอลูก

เข้างานหมดได้เรียบร้อย เรียกลกู ให้บวช บอกว่า“แม่จะตายแล้วเดือนหน้านแี ล้ว เดียวจะไปฝากหลวงพ่อ
วัดอมั พวัน ฝากศพไว้ทีน”ี แกก็เดนิ ทางมา บอกแม่ครัววัดอัมพวันบอกให้ช่วยในงานศพ คนบ้านเหนือบน้า
ใต้รู้จักกันบอกให้มาทําบุญทีนี มาเผาฉันด้วยนะฉันจะตายแล้ว ไม่ต้องแจกการ์ด อาตมาว่าดไี ม่เปลอื งการ์ด

ก่อนทีจะตาย ก็บอกว่าเอารถไปรบั หลวงพอ่ มาคุย ๒ คํา ก่อนทีจะมาวัดอัมพวันนีแกก็สังว่าหลวง
พ่อใหส้ ัญญาหน่อยได้ไหม ว่าเป็นคนจุดไฟให้หน่อย เผาศพฉัน อาตมากต็ กลงจะจุดให้ แล้วแกกส็ ังลูกสาว
คนทเี ป็นอาจารย์บอกว่า“เวลาแม่ตายช่วยเอาเหรียญบาทใส่ปากที” แกก็ยังถือเหมือนคนโบราณยังไงต้อง
ใส่ปากให้ได้นะ เพราะแกเชือมั นของแก เหรียญบาทรัชกาลท๕ี เป็นเงินคงจะเป็ นรางวัลพวกสปั เหร่อทจี ะ
เผาศพ บอกรับปากไดด้ไหม ใกล้จะตายในวันนั นกเอ็ ารถมารับอาตมาใหไ้ ปเทศนาสอนครั งสุดท้ายให้ด้วย

วันทตี ายก็ให้ลูกมาบอกทางวัดจัดศาลาขอให้รถรับอาตมาไปหาหน่อย บอกว่ามาไม่ได้กรุณาเมตตา
หน่อย ครั งสุดท้าย พอดอี าตมาออกจากวัดไปก่อนจะต้องไปนครราชสีมา เขาให้ไปบรรยายทกี องทัพภาคที
๒ ถึง ๔ วัน อาตมาก็ไปเสียก่อน ลกู มารับก็ไม่พบ ก็กลับไปบอกว่าหลวงพ่อออกจากวัดไปเสียแล้ว๓ คืนจะ
กลับ

ท่านไม่น่าออกไปกอ่ น เอ็งอยากไปช้า เลยตายก่อน ตายในวันนั น เช้าก็เอาศพมาไว้ศาลาทีจัดเตรียมํา
ว้แล้วรู้ก่อนตายรู้ว่าวนั ตายวันไหนให้ลูกมาสวดพทุ ธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ สอนวิปัสสนาไปจนกระทั ง
ขาดลมตายไป มีหลายคนเหมือนกัน แล้วจะว่าสติปัฏฐาน๔ ไร้สาระได้อย่างไร? มันเป็นทางสายเอกแนๆ่
อาตมากลับมาตั งศพสวดแล้วทีศาลา

พอคนื ที ๒ ลูกสาวคนเป็นอาจารย์ ดินจะตายต้องเอาไปโรงพยาบาล พอฟื นขึ นมาก็ได้ยินเสียงแม่
พดู ว่า“ทําไมลกู เสียสัจจะ” สังไว้ไม่ทําตามสัง บอกหใ้เอาเหรียญบาทรัชกาลที ๕ ใส่ปาก ทําไมไม่เอาใส่
ปาก เลยต้องเอาเหรียญมาใส่ปากให้จนได้ ในวันเผาศพอาตมาก็สังไว้ อาตมาจะต้องไปบรรยายทวี ัดธาตุทอง
หน้าเมรุ จะกลับมาเผาศพตอนบา่ ย๔ โมงไม่ทัน ให้ทําพธิ ีไปก่อน๒ ทุ่มจะจุดไฟตามสัญญาของแม่ละม้าย

สุดท้ายก็คนเตม็ วัดไปหมดนางละม้ายทีไม่รู้ธรรมะอะไร แตม่ ธี รรมะสติปัฏฐาน ๔ เท่านี เดิน
จงกรมได้หมด แล้วสอนลูกด้วย อาตมากลับจากวัดธาตทุ องมันก็มืดมาถึงน๒ี ท่มุ แขกก็กลับหมดแล้วเหลือ
แต่ญาติแล้วก็ลกู ๆทจี ะรอเผาศพ กเ็ ป็นเรืองอัศจรรย์ พออาตมามาถึงศพอยู่ทีนเมรุแล้ว สุนัขหอนเป็ นชั วโงม
อาตมากพ็ ดู ดังๆว่า แมล่ ะม้ายมาแล้ว เดียวเผาให้ เงียบหมาหายหอนเลย พอขึ นเมรุก็บอกให้ลูกๆ เขามาเข้า
แถว กายะกัมมัง วจีกมั มัง มโนกมั มัง ต่อแม่ ขออโหสิกรรมตอ่ แม่เสีย เดียวจะเผาแล้ว พอใส่ไฟเข้าสุนัขหอน
อกี แล้ว ผลสุดท้ายเจ้าภาพไม่มใี ครอยู่สักคนกลับบ้านหมดแล้ว ตอนเช้าจะฉลองธาตุทําบุญหน่อย ไมม่ ีใคร
อยู่ตอนเชา้ และเวลามาในวัดนี ใครจะมาผิดช่อง ผดิ ทางเดยี วแม่ละม้ายบอกเสียงดังฟังชัด

นีคอื เรืองจริงทีเกิดขึนจากการปฏบิ ัติธรรมของแม่ละม้าย

วิปัสสนา-แก้กรรม

วันนีจะเล่าเรืองพเิ ศษให้ฟังสักเรืองหนึงเป็นเรืองการปฏิบัติวิปัสสนาแล้วสามารถแก้กรรมได้
กล่าวถึงนายไกร พัฒนทายาท ทํางานอยูท่ ีสํานักงานไร่ยาสูบ เพชรบูรณ์บ้านเดิมอยู่จังหวัดแพร่ เป็น
ลกู ของมัคทายกวัด สําเร็จการศึกษาแคม่ ัธยม๖ ก็มาเข้างานทสี าํ นักงานไร่ยาสูบทีจังหวัดเพชรบูรณ์
นายไกรมาเข้าทํางานโดยผู้จดั การคนก่อนรับไว้และช่วยเหลืออุปการะตั งแต่เป็นเสมียนจนเลือน
ขึนมาเป็นหัวหน้าพัสดุ ต่อมาเกิดมีการก่อสร้างโรงเรือนตา่ งๆเพิมขึน ผู้จัดการคนใหม่กับรองผู้จัดการไ่ถมูก
กันอย่างแรงเลยทเี ดยี ว นายไกรก็ทําบัญชีตะพืดโกงหรือไม่โกงเราไมร่ ู้ ก็ได้ความว่าผู้สอบบัญชีมารตวจ
พบว่าผู้จัดการทุจริตในหน้าท-กี ารก่อสร้างนี เอาสิงของวัสดกุ ่อสร้างไปใช้ผิดประเภท
ทางการก็สังพักงานผู้จัดการทันที ข้างนายไกรก็กลุ้มอกกลุ้มใจเหลอื เก“ินเอ เราจะเบิกความ
อย่างไร ต้องเป็นพยาน เราจะต้องติดร่างแหด้วยถ้าเบิกไปตามจริงนีเจ้านายจะติดคุกแต่ทา่ นก็เป็นเจ้านายเรา
นี แหม! พะอืดพะอมเหลือเกิน เราอุตส่าหต์ ังใจทํางานตั งแตเ่ ป็นเสมียนจนเลือนขึนมาเป็นหัวหน้าพัสดมุ ี
เงินเดอื นเงินดาวสูงขึ น และลูกๆยังเล็กๆ๓ คน จะออกใหม่อีกคนเป็น ๔ คนทํานองนี จะบอกให้การตาม
จริงก็เป็นการทจี ะต้องแฉผู้จัดการ ผู้มีพระคุณและเปน็ เจ้านายถ้าเราจะให้การโดยเล่ห์กระเท่ห์เพทุบาย ก็เป็น
การโกงรัฐบาล” เป็นคนตรงอย่างนี ในทีสุดนายไกรตัดสินใจตาย กบ็ อกกับภรรยาลกู เล็กๆว่าจะเข้า
กรุงเทพฯนะ รถรายังไม่เจริญก็เตรียมหีบ เตรียมยาอันตรยไปเสร็จขึ นรถยนต์ไปลงตะพานหิน ซือตั วรถไฟ
ไปลงกรุงเทพฯ มันเป็นบุญวาสนาของเขาก็เกดิ ให้ร้อนอกร้อนใจลงเสียทสี ถานีลพบรุ ี ไมไ่ ปกรุงเทพฯ แต่
บอกกับภรรยาว่าจะไปธุระราชการทกี รุงเทพฯ ติดตอ่ งานนิดหนอ่ ยเทา่ นั น ด้วยความกลุ้มใจว่าตวั จะต้อง
โดนติดคุกด้วยเสียอกเสียใจ ข้าวปลาไมร่ ับประทานมาลงทีสถานีลพบุรีเสร็จแล้วกแ็ บกหีบเทิงๆไป
ตอนนั นไฟฟ้ าภูมิภาคไมม่ นี ะ มีไฟฟ้ าเทศบาลอยทู่ ีสวนสตั ว์โน่น ไปทางวัดไก่มโี รงไฟฟ้ าสาํ หรับ
ปั นของเทศบาล สมัยเก่าไฟฟ้ ายังไม่เข้า เขากม็ วี ิกอย๒ู่ วิก วิกนารายณก์ ับวิกทา่ ขุนนาง วิกท่าขุนนางเป็น
วิกลเิ ก วิกนารายณเ์ ป็นวิกหนัง และนายไกรนีก็ไปพักโรงแรมทหารบก พักโรงแรมไฟฟ้ ากห็ รีตอนหัวคํา
แล้วก็นั งเขียนหนังสือว่าจะกินยาตายและกข็ อตายทโี รงแรมนี เขยี นหนังสือว่าเขาเป็นใคร ชืออะไร อยูท่ ี
ไหน ทําไมต้องมากินยาตายทีนีด้วย ขอให้โรงแรมได้รับทราบในเรืองนีของเขาในคําคืนวันนี แตเ่ ขาก็ยีังม
บุญอยู่พอเอายาขึนมาดืม ไฟฟ้ าซึงริบหรีอยู่เกิดสว่างพรึบขึ นมาทนั ที สว่างโล่งเลยตกใจ! ยาหกไปหน่อย
หนึงแล้วก็วางตั งสติ เขาเลา่ ให้ฟังอยา่ งนี ตั งสตอิ ารมณ์ใหม่ เ!อเมือกี ไฟมันหรี มัน๖ ทุ่มกวา่ จะตี ๑ แล้ว
หนังเลิกคนกใ็ ช้ไฟน้อยลง ไฟก็สว่างพรึบขึน
นายไกรก็มาคิดว่า เอ! เราจะมากินยาตายคิดสันๆ อย่างนีหรือ? พ่อแมเ่ ราก็เป็นมัคทายกวัด อยู่
จังหวัดแพร่ เป็ นคนใจบุญสุนทาน เราจะทําอย่างไรดี คืนนั นกไ็ ม่ได้นอนตลอดคืน แล้วก็คิดตกลงใจวอ่าย่า
เลย! เราจะไปหาทีสาํ นักวิปัสสนา จะไปทีไหนดี กต็ รึกตรองอยจู่ นสว่าง แล้วกจ็ า่ ยค่าโรงแรมก็แบกหีบเทิงๆ
ไป กินกาแฟแก้วหนึงแก้หิว ข้าวปลาไม่เอา ก็แบกหีบไปถงึ ท่าโพธิ

ตอนนั นรถประจําทางไม่มรี ถบัสหรอก มแี ต่รถคอกหมู รถมีม้านั ง แล้วก็นั งๆกันไสปิงห์- ลพบุรี
สิงห์- ลพบุรี ก็ไม่ทราบว่าจุดหมายปลายทางจะไปทีไหนประการใด นายไกรกแ็ บกหีบมา พวกท้ายรถก็มา
ช่วยแบกหีบ ปากกร็ ้องว่า สิงห์ สิงห์ สิงห์ แบกหีบขึ นหลังคาไปเลย มัดเลย ขึ นครับ เขาให้ไปสิงห์ กใ็ จลอย
อยู่แล้ว สตสิ ตังไม่มกี ็ขึ นส่งไปเลย เก็บบาทหนึง ลพบ-ุรสี ิงห์ บาทหนึงนีสมัยนั นนะก็ขึ นไป ขึนไปแล้วทํา
อย่างไร พวกมาเก็บสตางค์ถามไปไหน ตอบ“ไม่รู้” ไม่รู้ยังไง แล้วผมจะเก็บตังถกู หรอื ไปท่าวุ้งหรือลงไหน
สิงห์กแ็ ล้วกันเกบ็ บาทหนึง เสียตังค่าโดยสารรถมาถงึ ตลาดปากบางทางทีจะเข้ามาวัดเรานี ถึงบางนา รถ
เสียเลยแก้ไม่ติดทําอยา่ งไรก็ไม่ติด เสียเลย

นายไกรก็ลงจากรถ มานั งกอดอกอยู่ทรี ้านกาแฟ มรี ้านกาแฟอยรู่ ้านเดียว เดยี วนีเจริญแล้วทีบางนา
ตรงนีเอง ก็นังกอดเข่ารา้ นกาแฟเขาถามว่า“นคี ุณจะไปไหน” ตอบไม่รู้ เอ!้ ไมร่ ู้จะไปไหน เอาโอวัลตนิ มา
ถ้วยหนึงเถอะ พอดืมโอวัลตนิ แล้วรถก็ยังไม่ติด รถไมต่ ิดเลย สกั ประเดยี วก็เกิดสงั หรณ์ใจขึ นมา บอก“นี
กระเป๋ าเอากระเป๋ าผมลง เดียวผมขอคยุ กับแม่ค้าก่อน” แม่ค้ากถ็ ามว่าคณุ มาจากไหน ก็ไม่บอก ถามว่า “นีแม่
คณุ เอ๋ย วัดไหนมสี ํานักกรรมฐานบ้างอยากให้พาไป”

พอดีร้านกาแฟเขารู้จักอาตมา“เอ้าเดยี วจะพาไปเอา ๕ บาท” แล้วผลสุดท้ายกแ็ บกหีบมาให้ พอตก
ลง ๕ บาท เฉ่งเงินเลย ต้องให้เงินก่อนไม่งั นไม่พาไป พอเฉ่งเงนิ เสร็จเรียบร้อยรถตดิ เลย ไมไ่ด้เสียอะไรแล่น
ตอ่ ไปได้ นีเหน็ ไหมนี เลยก็แบกหีบเทิงมา

อาตมาจําวัดอยู่ในโบสถ์ โบสถ์หลังเก่าไม่ใช่หลังนี เป็นป่าดงพงทบึ เป็ นป่าแฝก ป่าหญ้าคาแน่น
หมด มีกุฏกิ รรมฐานอยู่ ๓ หลัง ทีแมส่ ะอิงสร้างไว้ หลังแรก

นายไกรมาแล้วพร้อมกับคนรับจ้างแบกหีบ ส่งแค่หน้าโบสถ์บอกกลับละครับ แล้วเขาก็กลับ
อาตมากถ็ ามว่า “โยมมาจากไหนนี”
ไมบ่ อก บอก “ผมชือนายบุญ พฒั นา” โกหกเลยเรา ชือนายบญุ พัฒนา มาจากไหนไม่รู้
อาตมารูแ้ ล้ว“เดียวไปอาบนํ าเสียก่อน จะมานังเข้ากรรมฐานใช่ไหม?”
“ใช”่ และเขาก็ไปอาบนํ าอาบทา่ แล้วก็จะมานั ง
บอก “เดียวฟังโอวาทก่อน” อาตมาก็ให้โอวาท ไปตรงเรืองเขาหมดเลย ร้องห่มร้องไห้ อาตมาก็จับ
ได้ บอกเสียตรงๆนะ มเี รืองอะไรในใจเหรอ
กเ็ ลา่ เหตุการณ์ตั งแต่ต้นจนอวสาน เล่าใหอ้ าตมาฟัง เรารู้เรืองเขาหมดแล้วกบ็ อก“เอาอย่างนี แล้วกัน
อยู่ ๗ วัน รักษาศีล๘ เดียวนี” อาตมาก็ให้กรรมฐาน พอให้กรรมฐานเสร็จแล้ว เดนิ จงกรม เอาเลย ไม่ใช่๓๐
นาทีหรอก ต้อง ๑ ชั วโมงนะ เดนิ ๑ ชั วโมง นั ง๑ ชั วโมง และให้ไปนั งกับอาตมาในโบสถ์เพราะกุฏิมีอย๓ู่
หลัง ยังไมม่ พี ระมาอยทู่ างนี พระยังไมค่ อ่ ยมมี าก ก็ให้นั งในโบสถน์ ังเสร็จแล้วก็ให้แผ่เมตตา แผ่เมตตาถึง

เจ้านาย
นีเล่าเรืองหมดแล้ว อาตมากส็ อนว่าจะต้องปักหลักสู้ และกเ็ อาอย่างนี ก็แล้วกัน เราเป็นผู้มกี ตัญ ู

กตเวทตี ่อผู้มีพระคณุ จะให้การตามจริง เจ้านายก็จะติดคกุ จะให้ความไม่จริงก็เป็นการโกงรัฐบาลข้าพเจ้า
จะขอบวชเจรญิ วิปัสสนากรรมฐาน แต่ไม่ได้บวชพระอย่างนี นุง่ ขาวห่มขาวแล้วก็รบั ศีล ๘ แล้วนังเจริญ

กรรมฐานแผ่เมตตาออกไปให้กรรมการผู้สอบสวนและเจ้านายได้ทราบด้วยญาณวถิ ี ขอให้ท่านมีความสุข
ความเจริญ และขอให้ผู้จดั การของข้าพเจ้ามีความสุข ขอให้รองผู้จัดการทหี าเรืองหาราวเป็ นความจริงนัน
ขอให้มคี วามสุขความเจรญิ แผเ่ มตตา ถา้ หากว่าข้าพเจ้าเจริญวิปัสสนากรรมฐานได้ครบถ้วนขบวนการแล้ว
ขอให้บุญกุศลจงช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด ทําอยา่ งนี ทุกวันเลย

ครบวันที๖ แล้ว วันที๗ เขาจะขอลากลับ วันท๖ี ร้อนถึงเจ้านายทันที เป็นเรืองทีแปลกมากทีอุทศิ
ส่วนกุศลนีนะ ขอให้ญาตโิ ยมทําจริง ขออทุ ิศส่วนกศุ ล บอกข้าพเจ้าหาทางออกไม่ได้แล้ว มีทางเดียวคือตาย
อับอายขายหนา้ เจาเหลือเกิน ลูกก็ยังเล็กๆแบเบาะอยู่ก็มีขอให้บญุ กุศลนีร้อนถึงเจ้านายของข้าพเจ้า ณ บัดี น
จงเห็นใจข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะให้การตามความจริงกไ็ ม่ได้ เพราะทา่ นเป็นเจ้านายเป็นผู้มพี ระคุณ ตัดสินใจ
อะไรไม่ได้แล้ว ในทสี ุดเป็นอย่างไร

เจ้านายทีกรุงเทพฯก็โทรเลขด่วนเลย บอกว่าให้นายไกรมาพบโดยด่วนทีเดียว นีเห็นไหม บุญกุศลจากากร
เจริญวิปัสสนา บอกขอพบโดยด่วนให้ตามมาด่วนภายใน๗ วัน ถ้าไมพ่ บภายใน๗ วันถือว่ามคี วามผดิ
คดอี าญาอยา่ งร้ายแรง เจ้านายว่าอย่างนี เลย ในทีสดุ เขากไ็ ด้มาส่งข่าวทางบ้าน ภรรยาเขาก็ไม่รู้จะไปตามที
ไหน ทราบแต่มากรุงเทพฯ มาตามทีกรุงเทพฯก็ไม่พบ

ก็มีลงุ คนหนึง อาตมาก็จําชือเขาไม่ได้เป็นลุงข้างภรรยาเขาโทรตามบ้านญาตแิ ล้วก็ไม่มี ชว่ ยไปตาม
ทเี ถอะ แตต่ าลุงก็นักวิปัสสนาเสียอีก ก่อนทีจะเดินทางมาตามกเ็ ดนิ จงกรม นังวิปัสสนาและขออธิษฐานจติ
ให้กุศลดลบันดาลให้พบหลานเขยให้จงได้

ว่าแล้วมิทันช้าก็เดนิ ทางขึนรถไฟมาถึงลพบุรี ก็ลงทลี พบรุ ีอกี เห็นไหมนี ทําให้เกิดสังหรณ์ในใจ ลง
ลพบรุ ีเลย แบกหีบเทิงๆไป มีกระเป๋ าเลก็ ๆ ใบหนึง ลงทีลพบุรี เสร็จแล้วก็เดินไปทางทา่ โพธิ เทียวถามเขา
เรือยไป รถคนเดิมนั นแหละสิงห์ สิงห์ สิงห์ ยกหีบตาลงุ คนนี ขึ นรถไปเลย นเี ห็นไหมนี สิงห์ สิงห์ สิงห์ขึ น
รถไปถึงบางนารถเสียอีก นีเรืองอัศจรรย์เล่าให้โยมฟัง รถเสีย

ตาคนนีก็ลงมาร้านกาแฟร้านเดมิ รถก็ไมต่ ดิ ลงมาร้านกาแฟก็ถามเขาเรือยมา แกบอกว่าสติบอกสติ
กรรมฐาน เพราะตาคนนีแกนังกรรมฐานตั งแตอ่ ยู่วัด บวชมา๑๕ พรรษา แล้วก็มานังร้านกาแฟ และก็ถาม
รานกาแฟว่าเมือ ๗ วันก่อนโน้น มคี นมาแถวนี บ้างไหม รูปร่างอย่างงั น อ๋อ มี มี มี บอกเลย มีหีบรูปร่างอยา่ ง
นั นๆเชียว อยากจะไปเจอหรือไง

รับจ้าง๕ บาท จากบางนามานีรถไม่มี และบางนามาปากบางนีสะพานกไ็ ม่มีด้วยนะ ยังไม่ได้สร้าง
สะพาน สร้างสะพานไม้ขึ น เมือสมัยจอมพลป.พิบลู สงคราม และสมัยจอมพลถนอม จงึ จะเป็นสะพาน
คอนกรีตขึ นมา นอี าตมาจําได้ละเอียด

ผลสุดท้ายตาคนนีก็มาถึงพอตกลง๕ บาทกเ็ ฉ่งเงินกอ่ นนะ ไม่งั นไม่มาส่งร้านนั นก็แน่เหมือนกัน
พอให้ ๕ บาทแล้ว รถติดเลยกค็ ันเดิมน่ะแหละเห็นไหม พอมาถึงนายไกรนํ าตาร่วงเลย โอ้โฮนายไกรนํ าตา
ร่วง นีนํ าตาร่วงไม่ได้เสียใจ ดีใจมาก ก็มากราบและเล่าอาตมาทราบว่า เจ้านายให้มาตามด่วนภายใน๗ วันนี

ถ้าไมไ่ ปพบมีคดี ให้ไปพบให้ได้ นายไกรก็ได้นั งเจริญกรรมฐานบอกเป็นความจริงแล้วทีเราได้มานังเจริญ
วิปัสสนา ๗ วัน สามารถแก้กรรมของเราได้สิ นสุดอย่างแน่นอน มั นใจเหลือเกนิ

แล้วก็กราบเรียนให้อาตมาทราบว่า“หลวงพ่อครับ ถ้าผมกลับไปนีงานการได้ดิบได้ดีเข้าอย่างรูป
เดิมแล้วผมจะทอดกฐินทอดผ้าป่ า ๗ วัด และก็เลียงเช้าเลียงเพลพระ ๗ วัน แล้วผมจะนิมนต์หลวงพ่อไป”
แล้วเขาก็ขอลาไปตลาดไปซือตะเกียงเจ้าพายุ เมอื ก่อนไม่มีไฟฟ้ าใช้ บอกว่ามาได้รับแสงสว่างทนี ี แล้วก็
ถวายไว้ ๑ ดวงและเขาก็กลับไปกับตาลุงนั น ก็ได้ความออกมาว่า เจ้านายสอบสวน เหน็ อกเห็นใจ เลยให้นาย
ไกรเข้าทํางานได้ แตผ่ ู้จดัการให้พักงานและย้าย

นายไกรให้ทํางานได้ตามเดิม เพยี งถูกตัดเงินเดือน๒ ขั นเท่านั นเอง นีเห็นไหมแผ่เมตตาไปนี
เจ้านายทราบหมดเลย ไม่ต้องถามอะไรมากเลย ทําใหเ้ จ้านายเข้าใจนายไกรได้ดีมากด้วยการเจริญวิปัสสนา
กรรมฐาน และแผ่เมตตาหลังจากออกจากกรรมฐานแล้ว เป็นความจริงเดียวนี นายไกรยังมีชีวิตอยู่ด้วย ลูก
เล็กๆแบเบาะได้ปริญญาไปหมดแล้ว

นอี าตมาเล่าเรืองเก่าให้ฟังว่าเป็นเรืองอัศจรรย์ เขาไม่เคยรู้จักกับอาตมาเลยมาแตเ่ ดิมที หลังจากแม่
สะอิงสร้างกุฏิกรรมฐานไว้และเขาก็มาประเดมิ ใช้ เรืองก็จบด้วยเหตุการณ์ดังกล่าวมา

เขาก็นิมนตอ์ าตมาไปเพชรบรู ณ์ และก็ได้มโี อกาสไปนมัสการเจ้าคณะจังหวัดอยทู่ วี ัดชนแดนซึ ง
จอมพล ป.พบิ ูลสงคราม นิมนต์ท่านไปเป็ นเจ้าคณะจังหวัด เมอื สมัยสงครามโลกเกิดขึ นทีจองถนนจะเอา
เพชรบูรณ์เป็ นเมืองหลวงต่อไป แล้วเจ้าคณะจังหวัดนั นก็มรณภาพไปแล้ว อาตมาไปค้างกับทา่ น เลยบานนนั
เขาเลียงเพลเลียงเช้า ประชาชนมาคุยกับอาตมามากมาย ว่านายไกรรอดตายได้อย่างไร ผลสุดท้ายเจ้าคณะ
อําเภอเมืองเพชรบูรณ์มานั งกรรมฐานทีนีกันเยอะเชียว แล้วกลับไปสอนต่อไป จนทุกวันนี

อาตมาก็ขอเจริญพรไว้แต่เพียงนีว่าการเจริญวิปัสสนากรรฐานนี ได้ผลอยา่ งสมค่าเหมือคนณุ วีโก้
ชาวนอรเวย์ อุทิศส่วนกศุ ลให้ปู่เขา กับบิดามารดาเขา ได้รับผลและตอบทางจดหมายได้ ต้องนังวิปัสสนา
ผ่านดาวเทียมจําไว้ ดาวเทยี มคอื รวมพลังสติไว้ ถ้าเราใช้สมาธิอยา่ งเดียวแผ่ไม่ออก นังแตส่ มถะมีสมาธิองยา่
เดียวไมม่ สี ติสัมปชัญญะ…สมาธิสมั ปชัญญะรู้ตัวเป็นของวิปสั สนา แล้วจงึ แผ่ออกได้รับผลตอบทางหนังสือ
ได้ ดังทีกลา่ วแล้ว สามารถจะแผ่ออกไปเป็นตัวหนังสือได้ เอาไว้รอบหลังค่อยฟังกันใหม่

สุดท้ายนีกข็ ออนุโมทนาสาธุการกับบรรดาญาตพิ ีน้องทั งหลายทีมาในรายการของยวุ พทุ ธิกสมาคม
แห่งประเทศไทยในพระบรมราชปู ถัมภ์ ทา่ นทังหลายมาด้วยความชืนใจ มาพสิ ูจน์หลักฐานในการปฏิบัติ
โดยมีคุณโยมแม่สิริกรินชัย เป็นวิปัสสนาจารย์ นอกเหนือจากนั นแล้ว ยังมญี าติโยมคณะครูบาอาจารย์หลาย
ทา่ น ได้ช่วยกันชีแจงแสดงหลักธรรม ให้ญาติโยมได้ซาบซึ งในรสพระธรรมคําสอนของพระพุทธเจ้าทุก
ประการ ขออนุโมทนาสาธุการทกุ ท่าน จงประสบแตค่ วามสุขความเจริญยิงๆสืบไป และขอจงเจริญด้วย อายุ
วรรณะ สุขะ พละ ปฏิญาณธนสารสมบัติ จะนึกคดิ สิงหนึงประการใด จงสมความปรารถนาด้วยกันทุกๆท่าน
เทอญ

อานิสงส์-สร้างส้วม

ผู้ทีเคยไปวัดอัมพวันมาแล้ว จะต้องรู้สึกตรงกันว่าได้รับความประทบั ใจอนั เกิดจากความ
สะดวกสบายเรืองห้องนําห้องส้วมเป็นพิเศษ เพราะความเมตตาของหลวงพ่อพระครูภาวนาวิสุทธิ มีผู้สํารวจ
แล้วพบว่าวัดอัมพวันในปัจจุบันมีห้องส้วมถึง๒๐๐ ห้อง

วันนั นเป็ นวันอาทิตย์ทีประเทศศรีลังกา อาตมาได้ร่วมไปกับคณะผู้แทนจากประเทศไทย องค์การ
พุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลกจดั การประชุมทีนัน มผี ู้แทนชาวพุทธมาประชุมจากทัวโลกมากมาย เขาพาไป
ชมอุทยานของประเทศศรีลังกาให้ชมฟรี มีช้างเล่นกล มีช้างกินอาหาร กินโต๊ะ เหมือนคนร้องราํ ทําเพลงได้
และก็มีลิง ค่าง บา่ ง ชะนี วิหค นกร้อง กึกก้องวนาไพร ในสวนอุทยานของประเทศศรีลังกา

อาตมาก่อนนีกต็ งั มูลนธิ ิใหค้ ณะสงฆ์ทั งสองนิกาย ทั งธรรมยตุ และมหานกิ ายช่วยในการศกึ ษามีท่าน
เจ้าอาวาสปัจจุบัน วัดหัวลําโพงองคห์ นึง และวัดอัมพวันในกรุงเทพฯ องค์หนึงอยทู่ ปี ระเทศศรีลังกางก็ตั
มลู นธิ ิเอาดอกเบียช่วยเหลอื พระสงฆ์ทั งสองนิกายในการศึกษาปริญญาโทเอก ทีมหาวิทยาลยัเมืองแคนดี
แล้วแต่จะไปตอ่ อินเดีย ต่อศรีลังกาตามอัธยาศัย

การไปชมอุทยานในนามของรฐั บาลศรีลังกาครั งนี เอกอัครราชทูตพาไป ไม่ต้องเสียอะไร อาตมาก็
ไป กับพระ ๔-๕ องค์ พระทีเป็นนักศึกษาอย่ปู ระเทศศรีลังกา และคณะของเราก็เดินเข้าไปถึงอุทยานแล้ว

ตอนเชา้ อาจารย์ศรัทธาตสิ สะมหาเถระผู้มีฝีปากในการเทศน์เยียม เหมือนท่านปัญญานันทะแหง่
ประเทศไทย จบพระไตรปิฎก จบหลักสูตรในการปาฐกถาธรรมเทศนาพาทีในประเทศศรีลังกา เก่งมาก
ตอนเชา้ ท่านก็เลี ยงอาหารเราเสียอิมแปร้ ไม่มีข้าว มีแต่โรตีเนย เราไม่เคยฉันก็ฉันเสียเรียบเลยท้องเสีย

ท้องเสีย มันจะคลอดแล้ว ปวดอจุ จาระ นีเล่าตรงไปตรงมากบ็ อกกับพระทีไปด้วยกัน บอก“หาส้วม
ให้ทเี ถอะ”

“ไม่ได้หลวงพ่อ ผมจะต้องรีบพาโยมไป เดียวเขาจะเลกิ ”
ตายจริงแล้วเราจะไปเข้าทไี หนล่ะ เหลียวซา้ ยแลขวาไมม่ สี ว้ มเลย แหมประเทศศรีลังกาไม่สร้างส้วม
ทสี วนอุทยาน และเราก็พดู ภาษาไม่เก่ง จะไปถามใครเขาละ่ พระหนีเลย ๔ องค์ หนีไปเลย “บอกไปละ เดยี ว
พาโยมไป”
เราจะไปทีไหน โอยจะคลอดแล้วซิ หมอผดุงครรภ์ก็ไม่มีเอาอย่างไงดี พวกหนีไปเลย แล้วเราเคยไป
เหรอ แวบเดียวไม่รู้ไปไหนแล้ว เรากเ็ ดินไปเดินมาหาส้วมไม่เจอทําอย่างไร.
เมอื กอ่ นเป็นเด็กอยู่เรือขา้ วอาแปะเขาบอก ไม่เป็นไรอาตีเอยกะบังไมม่ ีก็ไม่เป็นไร กระบุงมีสวมหัว
เลย แล้วถ่ายข้างเรือได้เลย หากระบุงโกยก็ไมม่ ี จะได้สวมหัวหน่อย ไอ้พรรค์นี มันอายหน้า ก้นไม่อายแน่
อันนี เรืองจริงนะ
เดินไป ถ้าไมม่ จี ริงๆ กท็ ีโคนต้นไม้นี โคนต้นไม้ก็ไม่ได้ ทางเดินของเขาคนเป็นฝงู เลย คนไปเทียว
สวนอุทยาน ญีปุ ่ น ฝรัง เยอะแยะ แล้วเราเป็นภกิ ษุไทย ทําอย่างนั นเสียชือประเทศไทยแย่ ในนามประเทศ

ไทย เอายังไง แล้วก็๔ โมงกว่า จะใกล้เพลแล้ว เลยหมดโอกาส ยังมีปัญญาอยู่ อาตมาก็เอาเลย โยมฟังนะ จะ
เชือหรือไม่เชือ เลยก็ร่ายเวทย์พระคาถา

มคี าถาไหม คาถาหาส้วมมีไหม ไม่มี จํานะ เดียวจะบอกคาถาให้ อาตมาก็ร่ายเวทย์พระคาถา

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมมฺ า สมฺพุทฺธสฺส สคฺเคกาเมจรูเป…
ร้อนถึงสกั กรินทร์เทวราช ขอให้พระอินทร์ส่งทิพยเนตรทิพยกรรณ ดูข้าพเจ้า ณ บัดนี นันแน่
อภินิหารสาํ คัญไหม
“ข้าพเจ้าสร้ างส้วมสร้างห้องนําไว้มาก เท่าทีเป็นเจ้าภาพ มานีสองพนั กว่าส้วมแล้วนะ วัดอืนด้วยนะ
ไปเป็นประธานทีไหน ต้องสร้างวัดละยสี ิบส้วม-อย่างน้อย อานิสงส์สร้างส้วมของข้าพเจ้ามีแล้ว หากว่า
ข้าพเจ้าจะคลอดบุตรครังนี ขอให้ร้อนถึงสักกรินทร์เทวราช จงส่งมาตุลเี ทพบุตร ให้เทพเทวาอารักษ์ทังหลาย
หย่อนส้วมมาให้ข้าพเจ้า ณ บัดนี ถ้าไม่หย่อนมา ข้าเจ้าคลอดเปื อนผ้าเมอื ใด ข้าพเจ้ากลับไปวัดอัมพวันจะทบุ
ส้วมทิงให้หมด ไม่เอา ไม่ได้อานิสงส์เลยนี ทุบทิงหมดแน่นอน” ถ้าหากว่าไมห่ ย่อนมาจริงๆ นะ โยมมาวัด
อัมพวันจะไม่เหน็ ส้วยเลย จะทบุ ทิงนะ
แลว้ โยมตอบปัญหาซิ เทวดาหย่อนส้วมมาจริงไหม ถ้าไม่หยอ่ นมา จะคลอดบุตรยังไง วิธีหยอ่ นของ
เทวดาหยอ่ นอยา่ งไร ฟังต่อไป
ปวดจะตายแล้วอย่าเพิงออกไอ้เนยมันทําพษิ โรตีมันทําพษิ อาจารย์ศรทั ธาติสสะมหาเถระ ฝาก
ความรักไว้กับเรา แล้วองค์อืนเขาเคยฉัน เขาเคยอยู่ศรีลังกา เขาทานทวุกัน เราไม่เคย ตอนเช้าฉันข้าวต้ม วัน
นั นไปฉันโรตี อาจารย์ศรัทธาติสสะมหาเถระบอกจะเลียงเต็มทีเลย เนยมัง นมมั งเลยกท็ ้องเสีย อันนีงเรจือริง
อาตมากข็ ออธิษฐานจิตว่าหมดปัญญาแล้ว เดนิ ไปเดนิ มา อย่าลืมนะจ๊ะ พรรคน์ ี หน้าแดงเชียวนะ
เหงือกาฬแตกเลย จะตาย หิวข้าวยงั ทนได้ ไอ้พรรคน์ ี ทนได้ไหม กินข้าวกลางถนนยังได้ ไอ้พรรค์นีกลาง
ถนนได้ไหม ไมไ่ ด้แน่อาตมาก็ขออธิษฐาน
ร้อนถึงเทวดาสักกรินทร์เทวราชส่งทพิ ยเนตรดเู หตุการณ์ ก็แจ้งใจว่าพระครูภาวนาจะคลอดบุตร
แล้ว ว่าแล้วมทิ ันชา้ ส่งมาตุลเี ทพบุตร รีบเอาส้วมหย่อนไปเดียวนี ได้ยนิ กง้อมาทีหูเรา สบายมาก ส้วมติด
แอร์เสียด้วยนะ มีปูพรมเสียด้วย นีอาตมาก็ตั งใจจะติดแอร์ เดียวปี หน้าโยมมาใหม่ เหน็ จะมีวัดเดียวใน
ประเทศไทยทที ําอยา่ งนีน่ะ
ในทีสุดวิธีหย่อนส้วมของสักกรินทร์เทวราช ไม่ใช่หย่อนมาอยา่ งนี ถ้าหย่อนมาอยา่ งนี ประเทศศรี
ลังกาต้องแตกตนื เดียวไม่มีใครดูชา้ งนะ แพ้เรา
กล่าวถึงบ้านเศรษฐบี ้านหนึงอย่ทู ีหน้าอุทยาน สองสามีภรรยาคู่นี เป็นเศรษฐีมีตึก๓ ชั น แล้วบ้าน
เขาเป็นชาวพุทธ เราสงั เกตได้ว่า มีธงไขว้ ธงอันหนึงคือ ฉัพพรรณรังสี ธงอันหนึงตราสิงห์ ถ้าบ้านนี มตีธรงา
สิงห์อันเดยี วไม่ใช่ชาวพุทธไม่คริสต์ก็อสิ ลามไม่มีอย่างอนื อยู่ คริสตห์ รือซิกซ์ ถ้าบ้านไหนมีธง
ฉัพพรรณรงั สีจะบ่งบอกให้ทราบว่าบ้านนั นเป็ นชาวพุทธ
สองสามีภรรยาเกิดสังหรณ์ในใจ เหลียวหน้าไปทีอุทยานอยากจะดอู ุทยาน ก็มองไปพอดี เอ๊
พระองคน์ ั นเดนิ ไปเดินมาทําไมนีมันสังหรณอ์ ย่างนี ไมใ่ ชท่ สิง้วมลงมาอย่างนี ก็แตกตนื กันตาย

อาตมาอธิษฐานอย่างนี ขอให้ร้อนถึงเทวดา อาตมาได้สร้างส้วมขออานิสงส์ใหแ้ ก่อาตมาเถิดจะ
คลอดแล้วนีจะทําอยา่ งไร

เลยทําให้เศรษฐีมองมาทอี ทุ ยาน มันมีถนนผา่ นกั นไว้เท่านั น นอกจากนั นบ้านเขากไ็ ม่ไกลนัก เขา
เห็นไม่ถนัด เขากเ็ รียกภรรยาเขาเอากล้องมาซิ กล้องยาวๆ ส่องเขากพ็ ูดกับภรรยาเขาว่า

“เอ๊ะ พระองค์นีเคยเห็น นงั ใกล้ๆ กับเราทีประชุมพทุ ธศาสนิกสัมพนั ธ์ฯ ใช่แน่ ท่านเดนิ ไปเดินมา
ทําไม” ส่องไปส่องมา

“เอ๊ะ เหงอื ออกหน้าแดงนะ หน้าแดง เดินไปเดินมาทําไมแล้วไม่อยู่ท”ี
เขาก็ชวนกันสองสามีภรรยาข้ามถนนด่วนไปเลย ตรงไปหาอาตมา อาตมากก็ อดอกสะพายย่ามเสีย
ด้วย เขากเ็ ดินตรงมาส่งภาษาทันที ส่งภาษาสิงหล เขาก็นึกว่าเราจะรู้หรือไมร่ ู้ก็ชา่ งเถอะ และเขาให้ตามเขา
ไป สบายมากเลย
เดินตามดิงไปเลย นภี าษาเดา ภาษาใบ้ เตรียมเรียนเข้าไว้บ้าง ตามดิงเข้าไปเลย พอไปถงึ บนเรือนเาข
ก็ส่งภาษาเลย บอกให้เข้าห้องนํ า เข้าท่าไหมนี รู้ในทีเทวดาสังหรณ์สิงสถิตอยใู่ นใจเขาครบ ดว้ ยอํานาจบญุ
กุศล แล้วส่งภาษาให้เข้าห้องนํ า พออาตมาเปิดไฟปับ เขาส่งภาษาตามไปเลยให้สรงนํ าด้วย
อาตมาปิ ดกลอนปั บ โอ้โฮตายแล้ว ผ้าอาบกม็ ี ผ้าเช็ดตัวมี สบ๑ู่ ก้อน แปรงสีฟันพรอ้ ม แหม! ทัศนา
ชมอยู่พัก เหลียวมาอกี ที มีหนังสือพิมพเ์ สียอีก มีอา่ งอาบนํ า แล้วอาตมาก็จับหนังสือดู แหมน่าอ่านจังเลกย็
วาง อ่านไม่ออก ภาษาศรีลังกา มีเก้าอี นั งอีกนะ เอ้ ห้องใหญ่ ตดิ แอร์ด้วย ปพู รม
เลยอาตมาก็ตั งสติไว้ได้เรียบร้อย ก็คลอดลูกได้อยา่ งสบาย ส้วมโถสเียด้วยนะ นังสบายเลย นึกถึง
พระ ๔-๕ องค์ ป่านนี จะไปอดเพลทไี หนก็ไม่รู้ พอเห็นสบายเข้า นึกถึงพวกแล้ว แต่พวกไม่นึกถงึ เราเลย จํา
ไว้เชียวนะ เวลาทุกข์ ไม่เคยทุกขด์ ้วย หนเี ราเสียได้ และทิงเราไป พวกนีไม่มีบญุ
พอถ่ายเสร็จเรียบรอ้ ย ขอประทานโทษนะ สรงนํ า มีผ้าอาบสเ ร็จมีอ่างนํ าเสร็จ นํ าร้อน นํ าเย็นมี
พร้อม อานสิ งส์กุศลทีเราทําไว้ดลบันดาลอย่างนี พอสรงนํ าเสร็จเรียบร้อย อาตมาก็ห่มผ้า เป็นปริมณฑล
ออกมามีเตยี งแล้ว ปูพรม หมอนขวาน นันแน่ นีผลบุญไปไหนไม่อดอยาก ปากกไ็ ม่แห้ง ฝนก็ไม่แล้งนํ าใจที
เราทํามา
ออกมานังปับ เขากส็ ่งนาฬิกาข้อมือใหด้ ูเหลือ๕ นาที บอก “ขออาราธนาพระคุณเจ้า รับภัตตาหาร
เพลทีบ้านข้าพเจ้า ณ บัดน”ี พวกนั นอดเพลเลย สมนํ าหน้า อยากไม่คบคนดีอย่างเรา เดนิ ตามคนดีก็ไม่อด
เพล
ทีนีอาตมาก็นั ง ไมร่ ู้ภาษากันหรอก ใช้ภาษาเดา แต่รู้บ้างภาษาอังกฤษรูบ้ ้าง แต่ไม่มากพอพูดกรันู้
เรือง กิน-อย-ู่ ถา่ ย พอรู้แต่ลกึ ซึ งไม่รู้หรอก ถ้าเขาส่งภาษามากไป เราก็ทําสมาธิซะ และเดยี วเขาพูดใหม่กร็ ู้
ตอ่ ไป แหม ต้องวิจัย ประเมินผล และเขาก็คุยอย่างดี
และเขาถามมาคํา ทําให้ตืนตันในอุรา“ท่านเดินไป เดินมาทําไม ทําไมหน้าแดง”
กเ็ พราะเหตุนี ชี ไปทีห้องนํ เาขารู้เลย
“อ้อ ปวดถ่ายเหรอ”

เราชี ไปทีห้อง ภาษาใบ้เราเรียนมาแล้ว
เขาก็บอกว่า“เอาล่ะท่านทเี คารพ นิมนต์พักผ่อนให้สบาย บ้านผมไม่มีใคร” เลยรู้จักกันมาจนบัดนี
ชอบพอกันมาก
“เย็นๆ ๔ โมงครึง รถมา ผมจะขับไปส่งท่านทีพักทีวัด อาจารย์ศรัทธาติสสะมหาเถระครับ”
เขารู้เพราะเขาประชุมกับอาตมาด้วย ไปนังใกล้ๆ กัน เขาจําอาตมาได้ อาตมาจําเขาไมไ่ ด้
พอคยุ กับเขาเสร็จกเ็ อนหลังไปนิดนึง พอถงึ สีโมงครึ งเขาขับรถไปส่ง ตอนหลังเหลืออีกสองวันจะ
กลับ เขาบริการไปโน่นไปนใี ห้รู้จักกันมาจนทุกวันนี นีอํานาจบุญกุศลเป็นไปได้ดังทีกล่าวแล้ว
เพราะฉะนั นไม่ใช่อาตมาจะอธิษฐานแล้ว ส้วมจะหล่นมาแบบนั น แตข่ อให้ได้ความสะดวกในการ
บญุ กุศลทีข้าพเจ้าได้สร้างไว้ ขอให้ร้อนถึงสักกรินทร์เทวราช ถ้าบญุ กุศลมีจริงแล้ว ขอใหข้ ้าพเจ้าได้รับวคาม
สะดวกสบายด้วยเถดิ อย่างนีก็ทําให้เกิดความสะดวก ทําให้เกิดสังหรณ์ใจ เทพสหังรณ์เศรษฐี ทําให้หันหน้า
มาดูเรา และสนใจกับเราต่อไป นีเรียกว่าเทพสงั หรณ์ เรืองบุญกุศลมคี วามจริงแนน่ อน
ขออํานาจบญุ กุศลดลบันดาลบรรดาญาติพีน้อง ผู้ปฏิบัติธรรมทกุ ท่าน โปรดใส่ใจในการปฏิบัติพระ
กรรมฐาน เป็นบญุ เขตอันสาํ คัญด้วย-ทาน-ศีลและภาวนา ทานสู้ศีลไม่ได้เพราะเราบริจาคทานเหมือนไปเรือ
ถ่อ เรือพาย แต่หากว่ามีศีลด้วย เหมือนสินค้าเราไปได้ไวขึ นหน่อย ถ้าเรามีภาวนาแล้ว เหมือนสินค้าทีเรา
บรรทุกเครืองบิน ดว่ นจี ทันท่วงทถี ึงพระนิพพานโดยพลัน

ภาคผลงาน

บุคลากรฝ่ ายวิปัสสนา
ธุระของหลวงพ่อ

หลวงพ่อพระครูภาวนาวสิ ุทธิ เป็นพระนักปฏิบัติ ทา่ นเมตตาสังสอนอบรม พุทธศาสนกิ ชนและผู้ที
สนใจ ตั งแต่ครั งทา่ นยังเป็นพระลูกวัดอยูท่ วี ัดพรหมบุรี เมือได้มาดํารงตําแหน่งเจ้าอาวาสอยู่ ณ วมัดพอวั ันนี
ท่านไดต้ ังปณิธานแน่วแน่ว่าจะสร้างคน มวี ิธีการทสี ําคัญคือการให้การศึกษาอบรมและสอนวิปัสสนา
กรรมฐาน ผลงานของทา่ นเป็ นทีประจักษ์แก่คนทั งปวง ไม่เฉพาะประชาชนคนไทยเท่านั น แม้แต่ชาว
ต่างประเทศก็ยอมรับให้ความเคารพนับถือหลวงพ่อเป็นอย่างยิง ทั งนีเพราะผลการสอนของท่าน ทําใผหู้เข้า
รับการฝึ กอบรม เกิดการเปลียนแปลงพฤติกรรมไปในทางทพี งึ ประสงค์ เป็นลกู เป็นพอ่ แม่ เป็นสามภี รรยาที
ดี เป็นผู้ร่วมงานทีดี และเป็นพลเมอื งดีของชาติ ผู้ปฏบิ ัตติ ามคําสังสอนอบรมของท่านอย่างจริงจังตา่ งพเูดป็น
เสียงเดียวกันว่าเขาได้พบความสุขทีแท้จริงสามารถสร้างความเจริญให้แก่ชวี ิตครอบครัวและหน้าทีการงาน

ด้วยเหตนุ จี ึงมผี ู้คนหลั งไหลไปสู่วัดอัมพวันทั งรายบคุ คลและหมู่คณะเป็นจํานวนมาก นอกจาก
หลวงพ่อจะเร่งปรับปรุงงานด้านถาวรวัตถุ เพือให้เป็นสัปปายะทดี แี ก่ผู้มารับการฝึกปฏิบัติ วิปัสสนา
กรรมฐานแล้ว หลวงพอ่ ยังมบี ารมีพรังพร้อมด้วยบุคลากรระดับวปิ ัสสนาจารย๔์ ท่าน ซึงสามารถสอน
วิปัสสนากรรมฐานได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ จึงขอแนะนําวิปัสสนาจารย์ของวัดอัมพวัน ซึงมีดังต่อไปนี

๑. พระครูสังฆรักษ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสฝ่ายวิปัสสนาธุระ
๒. อุบาสิกาสุ่ม ทองยงิ
๓. อุบาสิกายุพนิ บาํ เรอจิต
๔. อุบาสก พนั โทวงิ รอดเฉย

พระครูสังฆรักษ์ (ชูชัย อริโย)

“มาอยู่วัดตังหลายวนั แล้ว เพิงหา พอง ยุบ ได้วันนีเอง ชักสนุกแล้วละ” เสียงเดก็ ๆทีมาในคณะของ
ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยฯ คุยกัน

“เธอทํายังไงล่ะ?”
“เราไปพบหลวงพ่อองค์หนึง ท่านช่วยเรา” ทา่ นว่า “เอ้า ลองนังซิ” พอเรานั งสักครู่“เอ ท้องมัน
พอง ยุบ รู้สึกได้ชัดเจนเลยละ”
ในระหว่างพักและกําหนดอิริยาบถ หลวงพ่อองคน์ ี มโี อกาสช่วยลกู โยคีคุณแม่สิริ กรินชัย ซึงมากัน
ครั งละ๓๐๐- ๔๐๐ คนเด็กๆ และผู้ใหญบ่ างคน ทียังมีปัญหาการปฏิบัติ ไดร้ บั การช่วยเหลอื จากหลวงพอ่
เสมอๆ ด้วยความเมตตา ทําให้สามารถปฏิบัตไิ ด้ผลกา้ วหน้าขึ น
หลวงพอ่ องค์นี เพิงมาอยวู่ ัดอัมพวันได้ไม่นานนักท่านเป็ นพระทสี นใจการปฏิบัติธรรม มีเมตตา
และมนษุ ยสมั พันธ์ดี
ท่านคอื พระครูสังฆรักษ์ ชือเดิมชูชัย นามสกุลอริยพฤกษ เกิด๒๔ พฤศจกิ ายน ๒๔๗๔ ณ ตําบล
สาํ พะเนียง อําเภอบ้านแพรก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปัจจบุ ันอาย๕ุ ๗ พรรษา ๒๘
อุปสมบถ เมือ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๐๓ ณ วัดอภัยทายาราม(วัดมะกอก) กรุงเทพมหานคร โดยมพี ระ
พทุ ธิวงศาจารย์ วัดเบญจมบพติ ร เป็นพระอุปัชฌาย์

คุณวุฒแิ ละประสบการณ์
นักธรรมเอก และจูฬอภิธรรมมิกะเอก
ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเริ มทวี ัดบุบผาราม ธนบุรี
- เคยเป็นศิษย์เซียนไท้สู อาจารย์ทางพลังจิตทีมีชือเสียงโดง่ ดังแหง่ จังหวัดชลบุรี ทางภาคตะวันออก
- เป็นวิปัสสนาของพระครูภาวนาวิสุทธิ
- เข้ารบั การฝึกปฏิบัตวิ ิปัสสนากรรมฐาน และรับการแต่งตั งใหเ้ ป็นพระวิปัสสนาจารย์จากพระธรรมธีร

ราชมหามุนี สาํ นักวิปัสสนากรรมฐานใหญว่ ัดมหาธาตยุ วุ ราชรังสฤษดิ กงรเุ ทพมหานคร
- รับการอบรมหลักสูตรศาสนากับความมั นคงของชาติทวี ัด อัมพวัน สิงห์บุรี

งานเผยแพร่ เป็นวิทยากรตอบปัญหาสนทนาธรรมทวี ัดอภัยทายาราม๒๕๐๔
- เป็นครูสอนปริยัติธรรม
- หลักสูตรจูฬอภิธรรมมกิ ะตรี วัดระฆังษิตาราม๒๕๐๕
- หลักสูตรนักธรรมตรี วัดอภัยทายาราม๒๕๐๘
- หลักสตู รนักธรรมตรี วัดหลวงพ่อเขียว๒๕๐๕
- หลักสูตรนักธรรมตรี วัดอัมพวัน๒๕๓๐

- เป็นครูสอนจริยธรรมนักเรียนมัธยมศกึ ษา โรงเรียนบ้านแพรกประสรรค์ จ.พระนครศรีอยุธยา ๒๕๒๘
- เป็นผู้สอนวิปัสสนากรรมฐานวัดอัมพวัน๒๕๓๐
- เป็นรองประธานและเลขานุการฝ่ ายสงฆ์ของชมรมชาวพทุ ธและเป็นวิทยากรร่วมกับเจ้าคณะอําเภอ

แพรกคณะสงฆ์ ครูอาจารย์ ข้าราชการ พ่อค้าประชาชนเผยแพร่พระพทุ ธศาสนาทั งภาคปริยัติ และ
ภาคปฏิบัติ
- เป็นวิทยากรอบรมนักเรียนประถมศึกษาโรงเรียนในอําเภอบ้านแพรก โดยสอนให้นั งเจริญกรรมฐาน
ด้วย

งานสาธารณูปการ
- เป็นกรรมการมลู นธิ ิกรรมการกอ่ สร้าง กรรมการการศึกษา ของวัดอภัยทายาราม๒๕๐๕
- เป็นกรรมการสังคมสงเคราะห์ของสหภมู ิอยุธยา โดยมีสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสามพระยาเป็นประธาน

สหภูมิอยุธยา
- ช่วยเจ้าอาวาสวัดกลางขุย จ.พระนครศรีอยุธยาสร้างศาลาการเปรียญ และโรงเรียนประถมศึกษา
- ช่วยโรงเรียนวัดหลวงพ่อเขียว จ.พระนครศรีอยธุ ยาจักตั งกองทุนการศึกษา จัดหาอุปกรณ์การศึกษาและ

หาทนุ ทํานํ านมถั วเหลือง
- ร่วมมือกับคณะครูโรงเรียนบ้านแพรกประชาสรรค์ จ.พระนครศรีอยุธยา จัดหาอปุ กรณ์สอนจริยศึกษา

และให้ทนุ นักเรียน๒ ทุน

พระปลัดชูชัย เดิมอยวู่ ัดหลวงพอ่ เขียว อําเภอบ้านแพรก จังหวัดพระนครศรีอยุธยเมาือมาปฏิบัติ
วิปัสสนากรรมฐานกับหลวงพ่อพระครูภาวนาวิสุทธิ ทวี ัดอัมพวัน จังหวัดสิงหบ์ รุ ี แล้วเกดิ ศรัทธาปสาทะที
แน่วแน่ในการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน จึงได้มีหนังสือลาออกจากตําแหน่งพระปลัดและรองเจ้าอาวาสวัด
หลวงพ่อเขยี ว ดังสําเนาหนังสือต่อไปนี

วัดอมั พวนั อําเภอพรหมบุรี
จงั หวัดสิงห์บุรี

๒๑ พฤศจกิ ายน ๒๕๒๙
เรือง ขอลาออกจากตําแหน่งพระปลดั และรองเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อเขียว
กราบเรียน พระเดชพระคุณพระครูไพโรจน์คณารักษ์ เจ้าคณะอําเภอบ้านแพรก

ตามทีพระเดชพระคุณ ได้กรุณาแต่งตังกระผมไว้ในตําแหน่ง พระปลดั ฐานานุกรมของพระเดช
พระคุณ และรองเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อเขียว ตามคําสังตราตงั ที๒/๒๕๒๖ นัน

บัดนีกระผมได้ย้ายสํานกั จากวัดหลวงพ่อเขียว อําเภอบ้านแพรก จังหวัดพระนครศรีอยุธยามาอยู่ที
วัดอมั พวัน อําเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี เพอื เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ซึงเป็นได้ด้วยความเต็มใจเพอื ให้
การเจริญวปิ ัสสนากรรมฐาน ซึงเป็ นวิปัสสนาธุระของพระพุทธศาสนาอันหนึง ให้เป็นไปด้วยความ
เรียบร้อยและราบรืน และเพอื เปิ ดโอกาสให้ผู้ทีจะเข้ามาช่วยกิจของพระพทุ ธศาสนาเกิดปสันจิตเต็มใจ
รับภาระธุระกิจของพระพทุ ธศาสนาต่อจากกระผม กระผมจึงขอลาออกจากตําแหน่งพระปลัด ซึงเป็น
ฐานานกุ รมของพระเดชพระคุณและรองเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อเขยี ว อําเภอบ้านแพรก จังหวัด
พระนครศรีอยุธยา ตังแต่บัดนีเป็นต้นไป

ขอกราบเรี ยนมาด้ วยความเคารพ
(พระปลัดชูชัย อริโย)

พระปลัดชูชัย อริโย อยู่ในสายตาของพระครูภาวนาวิสุทธิ ซึงเห็นวา่ ทา่ นเป็นผู้มคี วามาสมารถ และ
จริยาวัตรเหมาะสมจงึ ได้ส่งไปรับการศึกษาและอบรมเป็นพระวิปัสสนาจารย์จากสาํ นักวิปัสสนกรรมฐาน
ใหญ่ วัดมหาธาตยุ ุวราชรังสฤษดิ กรุงเทพมหานคร และพระเดชพระคุณพระธรรมธีรราชมหามุนี ได้รับ
แต่งตังให้ดาํ รงสมณศักดิพระครูฐานานุกรม ที“พระครูสังฆรักษ์” เมอื วันที๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๑

ปัจจุบันพระครูสงั ฆรักษ์เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสฝ่ายวิปัสสนาธุระของวัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี ท่าน
ได้ทมุ่ เทกําลังกาย กําลังใจและกําลังสติปัญญา ช่วยงานของหลวงพอ่ พระครูภาวนาวิสุทธิ อย่างเข้มแข็ง
นับเป็นกําลังใจสาํ คัญสนองปณิธานของหลวงพ่อในอันทีจสะร้างคนให้สูงด้วยคุณธรรมซึงเป็นงานทหี นัก
และยากยิงในปัจจุบัน

อุบาสิกาสุ่ม ทองยงิ

ฉํ าชนื แสงฉาย
๑ พ.ค. ๓๑

อุบาสิกาสุ่ม ทองยิง อายุ๗๕ ปี อยูบ่ ้านเลขที ๓๑ หมทู่ ี ๘ ต.ต้นโพธิ อ.เมือง จ.สิงห์บุรี มีอาชีพทํา
นา สมรสกับนายฮง ทองยิง เมืออาย๑ุ ๙ ปี สามยี ังมีชีวิตอยู่อายุ๘๐ ปี มบี ุตร ๓ คน มหี ลักฐานมีงานทําหมด
ทุกคน บตุ รชายคนเล็กเคยเป็นอาจารย์ใหญ่ ร.ร.บางเสด็จวิทยาคม (วัดสระแก้ว) จ.อ่างทอง ปัจจุบันเป็น
ผู้อํานวยการทีร.ร. พระธาตจุ อมทอง จ.เชียงใหม่

อุบาสิกาสุ่ม ได้มาชว่ ยหลวงพ่อ ณ สํานักปฏิบัติฝ่ ายคฤหัสถ์ วดัอัมพวัน โดยทําหน้าทเี ป็นอาจารย์
ใหญ่ ปกครองดูแลให้ความรู้แก่ผู้ทีเข้ามาปฏิบัติธรรม และช่วยเหลือผู้มที กุ ข์ทางใจในโอกาสอันควรผา่ นการ
ปฏบิ ัติธรรมมามาก สมควรใหอนชุ นรุ่นหลังได้ศึกษาแนวทางปฏิบัติ จงึ ได้ขอสมั ภาษณ์ ผลการสมั ภาษณ์มี
ดังนี

ผู้สัมภาษณ์ (ฉําชืน) : ขอให้คุณแม่ช่วยเลา่ ตั งแต่จําความได้ เท่าทปี ระสบมา จนถึงมาปฏิบัติ

วิปัสสนากรรมฐานคะ่
อุบาสิกาสุ่ม: ฉันเป็นลกู คนโตของ พ่อทรัพย์ แมช่ ้อย เมืออายุ ๘ ขวบ เจ็บไม่สบาย มีคนมาขอ

ข้าวเปลอื กเขาเลา่ ว่าลูกของเขาตาย แล้วถามป้ าของฉันว่าเด็กอายุเท่าไร เขาก็ร้องไห้ใหญ่เลยคดิ ถงึ ลกู ของเขา
ทีตายไป ฉันกน็ ึกได้ว่า เอ!๋ คนเราเกิดมาก็ต้องตายเหมือนกัน เลยร้องไห้เสียใจใหญว่ ่าแม่ก็จะต้องตาย พ่อก็
จะต้องตาย แม่ใหญ่ก็ต้องตาย แม่เล็กก็ต้องตายเพราะแก่แล้ว แม้แตเ่ ด็กยังตายก็นึกอย่างนี มาเจ็บหนักเขาพ
ไปรักษาทีบางขาม หมอรักษาอยา่ งไรก็ไมถ่ กู กับโรค ก็เหมือนตายนั นแหละ พ่อ แม่ แม่เล็กก็ร้องไห้ว่าหลาน
ตาย แต่ฉันเองก็เหมือนอย่างว่าไม่รู้เหมือนกัน ก็นอนอยู่ มีวิญญาณคลา้ ยๆ อยู่ข้างๆ ได้ยินทั งหมด คน
ทั งหมดร้องไห้ว่าตาย แตเ่ รากร็ ู้ กร็ ้องไห้ หมอเขาอยู่เรือเขาก็เอายาขึ นเรือกลับ เขาว่าตายแล้ว แม่กห็ใ้พ่อบอก
พวกน้าว่า“อีหมาตายแล้ว ให้มาเผาพรุ่งน”ี พ่อก็จัดแจงกินข้าวกินปลาจะไปตาม?

ฉันก็เหมือนนมิ ิตไปว่า มคี นพายเรือพาฉนั ไป แม่พายหัว พ่อพายท้าย ฉันอยูใ่ นโลงตั งอยกู่ ลางเรือ
หมู มีคน ๔ คน นั งสองฟากข้าง เขาจะมาเผาวัดหนองสาร มาถงึ หน้าวัดผู้คนเต็มหมด จากหน้าลติง
จนกระทังถึงชายตลิงนํ าข้างบน มีพระเป็นแถวยดื หมดเลย เขาก็หามโลงฉันขึ นไป คนก็แห่ห้อมล้อมหมด
องค์หน้าท่านถือตาลปัตร ท่านบอกว่า“โยม วางก่อน จะพิจารณาก่อน” พ่อกเ็ อาโลงวาง พอเอาโลงวางเขาก็
เปิ ดฉันออกมา พอเปิดหน้าจะพิจารณาทา่ นก็บอกว่า“เอ้า! นีเด็กยังไม่ตาย นะโยม เอากลับไปบ้าน” พอพระ
พูดอย่างนั น ฉันก็ลอยมาเลย เหมือนอย่างกับลอยไป นึกว่าอ่อนียังไม่ตาย กร็ ีบกลับบ้าน กลับไปก็ฟื นขึ นาม

พอฟื นฉันก็เรียก“แม่ แม่เล็ก แม่ ฉันกลับมาแล้ว ฉันฟื นแล้วแม”่ พวกนั นก็ร้องไห้กันระงมเลย พอ
ฟื นแล้วกบ็ วม ก็มาพจิ ารณาตัวของตวั ว่า อ๋อ เกิดมากต็ ้องอยา่ งนี หนอ ต้องบวม เรานีถ้าตายไปแล้วก็จะต้อง
เนา่ กําลังอาย๘ุ ขวบ ได้พจิ ารณาว่าอยา่ งนัน มาเดียวนกี ็นึกว่า อ๋อ! กรรมฐานอายุ ๘ ขวบก็มีอย่างนี
เหมือนกัน

ตอ่ มากเ็ ข้ากรรมฐานแล้วเมืออายุยังไม่ถงึ ๔๐ แต่ฉันถือศีลมาตั งแต่คนเล็กอาย๘ุ ขวบ อายุราว ๓๗
เริ มรับกรรมฐานกับ หลวงพ่อเงยี บ วัดแจ้งวันทีจะรับฉันก็ไปทวี ัด กําลังถือศีลอยู่ แม่มีเทียนอยู่ครึ งดอก ก็
แค่นฉันไป แม่กลัวฉันจะหลงตอนแก่เหมือนยาย แม่บอกว่า“อีหมา ไปทํากรรมฐานลูก ไปรับกรรมฐาน
เวลาไปจะได้ช่วยแม่พายเรือไป แม่จะได้ไปด้วย” ฉันก็หัวร่อว่า เอ!๊ จะเอาเวลาไหนนั ง เพราะเราทํานาเช้าขึ น
ก็จะต้องไปไถนา แม่ก็แค่นให้รับ ฉันกห็ ัวร่อ นึกว่าถ้าลงได้รบั แล้วเป็นไม่ทิง นึกอยู่ในใจว่าอย่างนั น

ทีนีแม่ก็แคน่ ก็เลยเสียแค่นแม่ไมไ่ ด้ กไ็ ป พอไปก็เข้าโบสถ์เขาก็รับกรรมฐานกัน คนสักสามสิบ สี
สิบ เขาก็เดนิ กนั ให้ยุ่มย่ามหมด ขวาย่างหนอ ซา้ ยย่างหนอกัน เลยผลทีสุดก็ไม่มีใครได้สักคนหนึง

หลวงพ่อเงยี บ ทา่ นก็เห็นฉันท่านก็เขียนเป็นหนังสือให้แผ่นหนึง ว่าขวายา่ งหนอ ซ้ายยา่ งหนอ เวลา
นั ง พองหนอ ยุบหนอ ท่านก็บอก เขียนให้แต่ฉันคนเดียว นอกนั นไม่ได้ใหใ้ ครเลย ฉันก็นกึ ในใจาวเ่อ๋ เราก็
ไม่เตม็ ใจ นึกขําอยู่ในใจเหมือนกัน ว่าเราก็ไมไ่ ด้เตม็ ใจ ไม่ได้ตั งใจ แล้วทําไมท่านจึงมายัดเยียดใหน้ ทีกี ร็ ับ
ตั งแต่วันนั นตลอดมา

จนมาได้ข่าวจาก น้าแต้มบอกว่าหลวงพ่อจรัญ ทา่ นทํากรรมฐาน เขาก็ชวนมา ก็เลยมารับกับหลวง
พ่อทีนีอกี ตั งแตน่ ั นก็ปฏิบัติมารเือย อยูว่ ัดพรหมบุรีมาประมาณ๔ ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ หลวงพ่อมาอยวู่ ัดอัมพวัน
ฉันก็ตามท่านมา แต่ความจริงฉันได้ตั งแต่วัดพรหมบรุ ีโน่นแล้ว ทอี ย๔ู่ ปี นั นน่ะ

ผู้สัมภาษณ์ (ฉําชืน) : การปฏิบัติกรรมฐานเป็นอยา่ งไรบ้างคะ มีอารมณ์อะไรทีพอจะเล่าได้บ้างคะ
อุบาสิกาสุ่ม: มี แต่ความจริงมันกเ็ ป็นบุญเป็ นกุศล พอมานั งได้หน่อยก็มี นิมติ เหน็ ว่า พระพทุ ธเจ้า
เมอื ครั งทรมานกายกําลังทํากรรมฐานไปเหน็ ผู้คนก็ไม่มีใครเข้าไปถงึ มีฉันเข้าไปถึงคนเดียว ทา่ นก็แบมือนยื
ลงมา และให้ฉันกราบท่านทีมือ และท่านก็บอกว่า“อยา่ ละความเพียรนะ” ทา่ นบอกเทา่ นั น ฉันกจ็ ํา ตั งแต่
นั นฉันก็ทําเรือยมาจนบัดนี
ถงึ ทํางานหนักเหนอื ยอย่างไรก็ต้องปฏบิ ัติ นั งทกุ วันไปไม่มีอ่อนเพลีย ทําก็ได้ผลทีสุดเลยอาทติ ย์
หนึงท่านกเ็ ลอื นให้ขั นหนึง ทแี รกเป็นอย่างนี ไปวัดวันอาทติ ยเ์ พราะนา้ แต้มเขาว่าง ลูกเขาเป็นครูหวยัุนด
อาทิตย์ ก็นัดกันไปวัดวันอาทติ ย์ พอวันอาทิตย์ทีก็พายเรือกันมา
ผู้สัมภาษณ์ (ฉําชืน) : นอกจากนิมิตอย่างนั นแล้ว มีอย่างอนื อีกไหมคะ
อุบาสิกาสุ่ม: มีจ๊ะ มีเรือยเลย
ผู้สัมภาษณ์ (ฉําชืน): พอจะเปิดเผยได้ไหมคะ เพอื เป็นความรู้
อุบาสิกาสุ่ม: มาครั งหนึงสมัยหลวงพอ่ อยู่วัดพรหมบุรี มพี ระครองจีวรครําเชียว เอากระดาษเหมอื น
กระดาษฟุลสแก๊ปยาวสีเหลอื งสวย มายนื ให้ฉัน บอกว่า“โยม เซน็ ชอื เสีย ทา่ นว่าสําเร็จแล้ว” ฉันถามว่า
“นามสกุลลงไหม” ท่านบอกวา่ “ต้องลงให้หมด” ทเี ซ็นก็มฉี ันคนเดียว
ผู้สัมภาษณ์ (ฉําชืน) : คณุ แม่ทํามานานไหมคะถึงได้ผลถึงขั นนี

อุบาสิกาสุ่ม: กไ็ ม่ช้าหรอก มาอยู่กับหลวงพ่อ ท่านก็ให้เข้าตั งแตข่ ั นหนึงไปอาทติ ย์หนึงท่านก็เลือน
ขั นสอง อาทิตย์หนึงท่านกเ็ ลือนขั นสามให้เรือยมาเลย พอมาวัดอัมพวัน หลวงพ่อให้มาค้างทีศาลาระยะ๗ละ
วัน ก็เตรียมเครืองนอนและอาหารมาหุงกันเอง กท็ ําได้ดมี าตลอด มาอายุราวๆ๔๕ ปี หลวงพอ่ ให้มานัง

กรรมฐานทีวัด๓๐ ชัวโมงตดิ ต่อกันตลอด กน็ ั งได้ก่อนจะมานังได๓้ ๐ ชัวโมง ท่านสังให้นั งทบี ้านซบั ไป
ซ้อนมาอยู่เรือย วันนีนั ง๑ ชัวโมง วันทสี องนั ง๒ ชั วโมง วันทสี ามนั ง๓ ชั วโมง ไปถงึ ๑๐ ชัวโมง ก็ย้อนไป
เข้า๑ ชั วโมงใหม่อีก ทําอยา่ งนั นอยู่ระยะ๔ ปี พอครบ ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน หลวงพ่อบอกวา่ โยมถึงแล้ว

ผู้สัมภาษณ์ (ฉําชืน): คณุ แมม่ าช่วยหลวงพ่อเลยหรือคะ
อุบาสิกาสุ่ม: ยังจ้ะ เพิงมาช่วยหลวงพ่อเมือ พ.ศ. ๒๕๒๕ มาปฏิบัติธรรม๓ เดอื นช่วงเข้าพรรษา
พอออกพรรษาก็กลับไป กลับไปก็ไม่ได้ไปเลยหรอกกลับมาช่วยหลวงพอ่ สอนจนถงึ เดือน๓ แรม ๘ คํารู้สึก
ไมค่ อ่ ยสบายใจ วันโกนกก็ ลับไปบ้านไปหาของมาทําบญุ สองคนตายายด้วยกัน ไมม่ ีใครเขาอยู่ด้วยหรอก อยู่
สองคนตายายเท่านั นแหละ พอทําของเสร็จแล้ว ตอนเชา้ รูส้ ึกว่าเหนือย ไปวัดไมไ่ ด้ก็เลยฝากขอขงเาไป
เผอิญลูกชายมาก็บอก เขากพ็ าไปหาหมอฉายเอ็กเรย์ ปรากฏว่าขาวไปแถบหนึงไม่มีซีโครง มซี ีโครง
แถบเดียว เขาก็ฉายซํ าอีก มันก็เหมือนกัน วันนั นเขาเลยพาเข้ากรุงเทพฯ ไปหาหมอท.พีร. ทรวงอก เขาก็เจาะ
วันนั นเลย เจาะนํ าออกม๑า๓๐๐ ซีซี
แต่มันก็เป็นบุญแหละ มีนาฬกิ าอยหู่ ัวนอนพอดี ก็นังกรรมฐานไปเวลาตี๓ กอ่ นตี ๓ นิดหน่อยต้อง
ลกุ ขึ นนังแล้ว พอเงียบคนดีก็ลุกขึ นแล้ว พอเงียบคนดีก็ลกุ ขึนนั ง พอ๓ตี เป๋ ง มีแตรรถ มาทุกคนื คนื กอ่ นก็
เปิ ดอย่นู ั นแหละ แป๊ ดๆ ๆ ก็นึกในใจวา่ อ๋อ ท่านหลวงพ่อจะมากรุงเทพฯ มาคนื ทีสองก็มีเสียงแป๊ ดตอนต๓ี
อีก ไมไ่ ด้นกึ สงสยั อะไรหรอก นึกว่าหลวงพอ่ มากดแตรเรียก คืนทีสามก็ยังไม่สงสัย พอคืนทีสีเขาก็มาเปิด
แป๊ ดๆ ๆ ขึ นเหนือตลอดไปจนสุดเสียง ฟังดู เอ! ไมใ่ ช่หลวงพอ่ จะเป็นแตรมารับเราเสียละมั งเนียะ
ผู้สัมภาษณ์ (ฉําชืน) : คณุ แม่กลัวไหมคะตอนนั นน่ะ
อุบาสิกาสุ่ม: ไม่กลัว ฉันกท็ ํากรรมฐานของฉนั เรือย
ผู้สัมภาษณ์ (ฉําชืน): เมอื ตอนเจาะสีข้างเอานํ าออก คุณแม่เจ็บมากไหมคะ
อุบาสิกาสุ่ม: เจ็บนิดเดยี ว ความจริงตั งแตป่ ี ท๓ี -๔ ทีทํากรรมฐานมา เขาเอาเข็มมาลองแทงฉัน ฉัน
ไม่เจ็บหรอก ตอนเจาะเขาเอาเขม็ แทงตรงข้างซีโครงด้านซ้าย แป๊บนดิ เดียวทีแท้เข็มเขาเล่มเบ้อเร่อเลย แต่เรา
รู้สึกว่าแป๊ บนิดเดียว ก็ไมเ่ จ็บอะไรหรอก
ผู้สัมภาษณ์ (ฉําชืน) : ทราบว่าคุณแม่เคยเข้าสมาบัตเิ ข้าบ่อยไหมคะ
อุบาสิกาสุ่ม: เข้าผลสมาบัติ กม็ ีแหละ ทีเรานั งทุกวันมันกม็ ี แต่ว่าเราต้องอธิษฐาน มาตอนทีเข็มแทง
แป๊ บมันรสู้ ึกเลย รู้หนอเลย เขารู้ของเขาเอง จิตพร้อมขึ นมาเอง เพราะเราเคยกําหนด ไว้ตอนทํากรรมฐาน
หยบิ ก็กําหนดเป็นอะไรกําหนดทุกอยา่ ง พอเข็มถกู เนือแป๊ บ เราก็รู้หนอเลย พิจารณาดู อ๋อ! นีเราเคยทํากรรม
ไว้ กรรมอันนีโทษถึงตาย และเขาต้องเอาเราเวลาจะตาย ต้องตายด้วยโทษอันนี
ผสู้ ัมภาษณ์ (ฉําชืน) : กรุณาบอกได้ไหมคะว่าเป็ นกรรมอะไร
อุบาสิกาสุ่ม: จะกรรมอะไรล่ะ ก็กรรมแทงงูเหลือมน่ะซี พวกบ้านเขาจะแทง ฉันโมโหเขาว่าเขานะ่
ทําไมไม่แทงเสียที ฉันคว้าฉมวกได้กแ็ ทงเอง โบราณเขาว่า ถ้าแทงงู จะแทงทางหางให้บอกว่าแทงหัว ถา้ จะ
แทงทางหัวให้บอกว่าแทงหาง ฉันก็บอกว่าจะแทงหัว แล้วฉันกแ็ ทงทางหาง นั นแหละโทษนั นแหละทวี ่า
ต้องเจาะท้องนั นนะ กรรมอันนั น

กรรมยังให้ผลตอ่ มาอีก เมอื มาอยู่ทีกุฏกิ รรมฐานแล้ว วันหนึงเมือนั งกรรมฐานเสร็จแล้วจะเข้านอน
ขณะนั นยังไม่หลับก็เหน็ หลวงพ่อนังอยู่ข้างๆ บอกว“่าโยมสุ่มรู้ตัวหรือเปล่า มะเร็งกินตับเข้าไปแล้ว” ฉันก็
ลกุ นั งดู เหน็ ชายตับมรี ูเทา่ นิวก้อย หลวงพ่อได้ให้ยามารับประทาน ฉันก็นั งกรรมฐานเรือยไป สักระยะหงนึ
มาดูอีกทีปรากฏว่าตับเป็นปกตไิ ด้

ผู้สัมภาษณ์ (ฉําชืน) : อยากทราบว่าคณุ แม่ปฏิบัตอิ ย่างไรถึงได้ผลดี มีทางแนะนําได้บ้างไหมคะ
อุบาสิกาสุ่ม: ก็ต้องมานะหน่อย อย่าละความเพียร พระพทุ ธเจ้าท่านก็สังไว้แล้ว อย่าละความเพียร
หนา ฉันก็จําคําๆ นั น มา ฉนั ก็ปฏิบัติเป็นขั นๆ มาเรือย
ผู้สัมภาษณ์ (ฉําชืน) : เคยมีมารบ้างไหมคะ หมายถึงสิงทกี ระทบจิตใจการปฏิบัติของคุณแม่นนะ่ คะ
อุบาสิกาสุ่ม: มารนีมีทั งนั นแหละแม่คุณเอ๋ยก็ใช้จิตกําหนดตะพึดจ้ะ วันหนึงทีมันจะหลุดนนี ะ จะ
พ้นจากความปวด ความร้อน ความหนาว อะไรทกุ อยา่ งนีนะ ไอ้ทีคิดโนน่ คิดนีทวี ่าจะได้วันนั นน่ะทีสุดเลย
เหมือนอย่างเราจะขาดใจไม่ขาดใจนีเลยเชียว เหน็ เป็นดวงเทียนเลย เรากก็ ําหนดไปๆมนั กไ็ ม่พ้น หลวงพ่อก็
นั งคมุ อย่ขู ้างหน้า เราก็เหงือหยดเปะๆ ๆ เพราะความร้อนอะไร ปวดเหลอื กําลังจะขาดใจไมข่ าดใจ ก็นึก
ขึนมาได้ว่า อ๋อ เรานีตายมันก็ต้องอย่างนี และกก็ ําหนดไปนึกไป ภาวนาพองหนอยุบหนอไป เป็นดวงเทียน
ลกุ แดงลิบ แดงก่อนหนักเข้าหรีลงมาๆ ๆ จติ เรานีก็ขาดไม่ขาด เหมือนดวงเทียนนั นเทยี ว ทีนี หรีจนทีสุดเขา
ดับปุบเราก็ปุบไป เหมอื นอย่างตายนีเลยแซ่วไปเลยลืมตัวไมร่ ู้ตัว มันคล้ายๆ ไปโผล่ขึ น เกิดนิมิตภาพหนวึง่า
อยใู่ ต้ต้นโพธิ
ต้นโพธิ นั นใหญ่โตสูงสวยร่มเย็นหาทไี หนไม่เหมอื นแล้ว ก็ขึ นไปนั งบนทีเหมือนเตียงาองยน่ ีแหละ
ขึนไปนั งแล้วลมพัดเย็นชืนใจทสี ุดเลย เหลียวดูทางโน้นก็ไม่มี เหลียวดูทางนีก็ไม่มี เหลยี วดูแม่กไ็ มมี ่พอถึง
กําหนดกล็ ืมตาขึ นมา
พอลมื ตาขึ นมา หลวงพ่อกย็ ิมเชียว ฉันบอกว่าจะขาดใจเสียเมือตะกี นึกว่าตายเสียแล้ว ทา่ นก็หัวร่อ
บอกว่า “โยม ทนี ี ตั งแตว่ ันนี ไม่มปี วดมเี มือยอกี แล้ว ก็หลุดตั งแต่วันนั น ตังแต่วัดพรหมบุรีแ”ล้ว
ผู้สัมภาษณ์ (ฉําชืน) : ขอให้คุณแม่เลา่ เรืองลี ลับจากการนั งกรรมฐานนีนะคะว่าจะไปอะไรได้ถึง

ไหน
อุบาสิกาสุ่ม: ได้แม่คณุ ทําไปเถอะ เช่นเราอย่นู ี ส่งจติ ไปหาลูกชายทีกรุงเทพฯ เขาเรียนอยปู่ ระสาน

มิตร บอกว่าพรุ่งนีแม่จะไปหา ให้มารับแม่ทีตลาดหมอชิต ไปสองคนกับหลานอีกคนหนึง ทีส่งไปนี
กลางคืนเขาก็ฝันเลยว่าแมจ่ ะไปหา เขาจะไปทัศนาจรจ่ายเงินค่ารถไปแล้ว พอขึ นรถนึกขึ นได้ว่าแม่จะมาหา
เลยไมไ่ ป ก็รอพบกัน

ผู้สัมภาษณ์ (ฉําชืน) : แสดงว่า บญุ กุศลจากการปฏิบัติยังส่งถึงลูก ถึงจะไกลแสนไกลก็ยังตามไปถึง
คดิ ว่าเป็นความจริงใช่ไหมคะ

อุบาสิกาสุ่ม: จ้ะ เป็นความจริง ฉันกม็ ันใจทางไหนไมเ่ หมอื นทางนี ตั งแต่ปฏิบัตมิ านะ ไม่ได้ปฏิบัติ
อยา่ งอืนเลย มีแตพ่ องหนอ ยบุ หนอ ทําไปเถอะ ไม่ถึง๓ ปี ๔ ปีหรอก ถ้ามีบญุ กศุ ลเราเคยทําตั งแต่อดีตชาติ
มา มาชาตินีก็ต้องพบ แต่ฉันนิมิตของฉันเองว่า อดตี ชาติเคยทําพุทโธ ธูปนีโถเทา่ นีแน่ะ เต็มสุ่มเลยเชวียชาติ

นั นเป็นผู้ชาย ทําแต่พทุ โธ และอธิษฐานแต่ชาตินั น ขอใเหจอ้ อาจารย์ในทางวปิ ัสสนา เพราะว่าพทุ โธนสี มถะ
ก็เลยมาเจอชาติทีเจ็ดนี

ผู้สัมภาษณ์ (ฉําชืน) : อธิษฐานตั งแต่ชาตนิ ั นมาชาตนิ ีคุณแม่มองย้อนกลับไปหรือคะถึงได้ทราบว่า
ชาตนิ ั นได้ทําแบบพทุ โธไว้

อุบาสิกาสุ่ม: มันเป็นอยา่ งนี หลวงพอ่ ท่านบอกว่า“โยมสุ่มนีทํามา๗ ชาติ แล้วทีนีก็๗ ปี ๗ เดือน
๗ วัน ถึงสําเร็จ ท่านบอกว่าอยา่ งนั น ฉันกส็ งสัย ถไึงด้นั งย้อนไปดู ก็รู้ขึ นมาเอง

เมอื ระลึกชาติได้ ชาตทิ ีแล้วมาก็อยู่ทวี ัดพรหมบรุ ี เป็นผู้หญิง แต่งงานมีบตุ รชาย๓ คน หญงิ ๑ คน
อาชีพรับจ้างทําศาลาวัดพรหมบุรีตั งแต่หลังกอ่ น ขณะทานข้าวรวมกันเป็นวง แฟนเป็นโรคคันทั งตัวเน่าเฟะ
ฉันก็บอกให้เขากลับไปอย่บู ้านกับพอ่ แมเ่ ถอะ ไม่ต้องห่วงลูกหรอก ฉันจะเลียงเอง เขาก็ร้องไหก้ ลับไปอยู่
กับแม่

มาชาตินี เขาได้มาเกิดเป็นลูกสุนัขอยู่ทตี ลาดสิงหบ์ รุ ี ฉันเห็นเข้าก็นึกรักและสงสารเพราะเป็นขีเรือน
เป็นแผลทั งตัว พอมารักษาก็หาย นึกติดใจว่า เวลาเดินจงกรมสุนัขตัวนี กเ็ ดินตามด้วย จนกะรทังเลกิ เดินมา
นั งก็มานังด้วย ก็เลยดยู ้อนไป รูข้ ึ นมาว่าเคยเป็นแฟนเมอื ชาติทแี ล้วกลับมาเกิดให้เราใช้หนี

ผู้สัมภาษณ์ (ฉําชืน) : คณุ แมพ่ อจะเปิดเผยอะไรได้อีกไหมคะ
อุบาสิกาสุ่ม: อย่าละเลยความเพียรนะ ผู้ใดไม่ละความเพยี ร ผู้นันก็สาํ เร็จเขาว่าเขาเห็นพระพุทธรูป
กัน แตฉ่ ันเห็นนิมิตพระพทุ ธเจ้าถึง๓ ครั ง ครั งแรกมารูปทรมานกาย ยืนมือให้ ก็มีแต่พวกชีนังอย๒ู่ -๓ คน
ฉันก็เข้าไปได้คนเดยี ว แล้วดูพ่อแมซ่ ิว่า ใครนะมาไหม พระพุทธเจ้าทา่ นมาแล้ว จะชวนให้มาดู ไม่เหน็ มีใคร
สักคน
พอมากลางเดือน ๓ จําปี ไม่ได้แล้วนะ เห็นท่านเป็นพระสงฆ์มอี ายุแล้ว ท่านมาทีวัดศรีสาครทีฉนั
ทําบญุ อยู่น่ะ สาวกท่านมาเตม็ หมดเชียว ท่านก็คุยกับฉัน ฉันก็เข้าไปได้คนเดียว นอกนั นมแี ต่พระสงฆ์ทั งนนั
ท่านว่าสาวกของทา่ นพระอรหันต์ทั งนั น ฉนั กเ็ ดนิ เข้าไปในโบสถ์ ทา่ นก็เรียกเข้าไป เข้าไปพูดคุยด้วยเลย
ท่านเรียกแทนตวั ท่านว่า “สัมมา” ทุกคําองค์สัมมาเนียะ มานีไม่ใช่ว่าจะประกาศว่า วันนี พรุ่งนี จะมา ให้สงฆ์
มารวมกัน พระอรหันตท์ ีจะให้มารวมกัน ท่านไม่ได้ประกาศเลย มาทั วประเทศหมด มารวมกันเอง ทา่ นก็เล่า
ให้ฟัง
มาทวี ัดอัมพวันกลางเดือน๖ พ.ศ. ๒๕๒๓ เป็นวันพระเข้ามาทํากรรมฐานภายในอุโบสถ นิมิตเห็น
หลวงพอ่ ตั งเครืองสักการะรับรองพระพทุ ธเจ้า ท่านเสด็จเข้ามาทางประตูโบสถ์ทางทิศตะวันตก เครืองตั งอยู่
ทางใต้ตดิ ฝาผนังโบสถ์ มพี ระอรหันต์สาวกนั งเฝ้ าอย๑ู่ องค์ แต่ทีประทับของพระพุทธเจ้าสูงกว่า ในโบสถ์มี
แตฉ่ ันคนเดยี วหลวงพอ่ ก็ไม่อยู่ ฉันกราบท่าน ๓ ครั ง ใจทุรนทุรายว่าหลวงพอ่ ไม่มารบั สักที รูปร่างทา่ นดู
หนุ่มคล้ายแขก
ผู้สัมภาษณ์ (ฉําชืน) : ทคี ุณแมร่ ําลึกไป หรือเหน็ ไปเนีย ตอนเข้าสมาบัติหรือกําลังเจริญวิปัสสนาคะ
อุบาสิกาสุ่ม: ก็นังกรรมฐานขั นอธิษฐานแล้ว

ผู้สัมภาษณ์ (ฉําชืน) : คุณแมน่ กึ เฉลยี วใจไหมว่าสิงทีเหน็ อาจเป็นสิงแปลกปลอม หรือว่าต้องถามครู
บาอาจารย์ต่อไป

อุบาสิกาสุ่ม: อ๋อ ใชซ่ ิ เวลาเราเห็นนิมิต อะไรต้องมาสอบอารมณ์กับหลวงพ่อท่านก็แนะนําให้

กําหนดจติ ตั งสติไว้ทกุ ครั งทีเหน็ นิมติ อยา่ เผลอ กรวดนํ า แผเ่ มตตาให้เจ้ากรรมนายเวรทีเราได้กระทํามา
ท่านบอกว่า นิมติ ตา่ งๆ เป็นรูปธรรมทําให้เห็นภาพรูปธรรมในเมือกําหนดจติ มีสติดี เห็นหนอๆ

แล้วภาพนิมิตนั นจะหายไปเป็นของสภาวะรูป เกิดเข้าสู่นามธรรม เป็นความจริงนั นเป็นตัวปัญญา นิมิตหาย
วับไปกับตา เป็นของไมม่ ีตัวตน นมิ ิตนั นเป็นกเิ ลส ทําให้หลงตดิ อยู่ ถ้าใครหลงติดอยะจู่ ไม่พบดวงปัญญาใน
ด้านนามธรรม

สติดีทําให้รําลึกเหตุการณ์ในชีวิตได้ พอนิมิตหายไปนามธรรมคือปัญญาเกิดทันที รู้เท่าทันขันธ๕์
รู ปนามเป็ นอารมณ์

การระลึกชาตไิ ด้เป็นนมิ ติ ครั งอดตี พอสติดีจะมนี ิมิตครั งอดตี แตห่ ลวงพ่อท่านสังให้กําหนดโดย
สาํ นึกมันเลย พระพุทธเจ้าสอนเรืองเก่าไมใ่ ห้รือฟื น เรืองของคนอนื ไม่ให้คิด กิจทีชอบ ปัจจบุ ันๆ ๆ เป็นของ
เรา ให้กําหนดปัจจุบันอนาคตวันข้างหน้า อยา่ จับมั นคั นให้มันตาย ห้ามไม่ให้คิดในวันข้างหน้า จะผิดหะวังจ
เสียใจตลอดชีวิต พระพุทธเจ้าจึงสอนใหก้ ําหนดปัจจบุ ันเท่านั น

หลวงพ่อให้กําหนดให้หายไปหมดเลยจนบัดนี ไม่ข้องอยู่ ไม่ติดอยตู่ ่อไปแล้ว
ผู้สัมภาษณ์ (ฉําชืน) : คุณแมจ่ ะบอกลูกหลานเกียวกับการปฏิบัติอย่างไรบ้างคะ
อุบาสิกาสุ่ม: ก็แนะนําอยู่ทุกวันนีไง ทีเข้ามาปฏิบัติก็แนะนําให้ทกุ คน ทีว่ามาสอนนีนะ รกั เทา่ กัน
ทุกคน ไมม่ ีรงั เกียจเดียดฉันท์เลย เวลานงั ก็ส่งจติ ไปให้ ให้ทําให้ได้ดี ทําให้ได้ทุกคน ตั งแตห่ ลวงพ่อท่าน
สอนมากป็ ฏิบัตอิ ย่างนี ทําอยู่อย่างนี เขานั งกน็ ั งกับเขา เวลากลางคืนก็นั งส่งถงึ คนโน้น ส่งถงึ คนใหน้เี ขาทํา
ได้
ผู้สัมภาษณ์ (ฉําชืน) : คณุ แมร่ ู้สึกเบือบ้างไหมคะทีมานังสอนทุกวันอย่างน. ี
อุบาสิกาสุ่ม: ไม่เบือ สนุกดี เสียดายจะแก่ไม่ไหวเสียซิ ถ้าไหวละก็สู้จนหัวชนกําแพงนั นแหละ
ผู้สัมภาษณ์ (ฉําชืน) : ขอรบกวนคุณแมแ่ ค่นี นะคะ ขอให้คุณแมม่ ีสุขภาพแข็งแรง จะได้เป็นกําลัง
ของพระพุทธศาสนาช่วยสังสอนลูกหลานสืบไป กราบขอบพระคุณอย่างสูงคะ่
อุบาสิกาสุ่ม: สมพรปากเถอะแมค่ ุณ

อุบาสิกายุพนิ บําเรอจติ

สมพร แมลงภู่
๖ พ.ค. ๓๑

อุบาสิกายุพนิ บําเรอจติ อายุ๖๔ ปี อยู่บ้านเลขที๖๙ ต.ต้นโพธิ อ.เมือง จ.สิงหบ์ รุ ี มีอาชีพค้าขาย
สมรสกับนายกลีบ บําเรอจิต เมอื พ.ศ. ๒๔๗๓ อายุ ๑๖ ปี สามียังมีชีวิตอยู่ มีบุตร๖ คน รบั ราชการหมดทุก
คน อุบาสิกายุพิน ได้มาช่วยหลวงพ่อแนะแนวการปฏิบัติธรรมแกผ่ ู้รบั การอบรมธรรมปฏิบัตเิ ป็นหมู่คณะ ที
หอประชุมภาวนา-กรศรีทพิ า หลังจากซึ งใจจากผลการปฏบิ ัติธรรมทไี ด้รับ นอกจากนี ยังมีส่วนช่วยเหลอื
กิจการของวัด อันเป็นเหตุนําใหว้ ิญญาณแมก่ าหลงมาปฏิบัติธรรมอยวู่ทัดี อัมพวัน จึงได้ขอสัมภาษณ์ และ
ได้รับอนุญาตให้นํามาตพี ิมพ์ได้ ผลจากการสัมภาษณ์มีดังนี

ผู้สัมภาษณ์ (สมพร) : คณุ ป้ าสนใจมาปฏิบัติธรรมตั งแต่เมือไรคะ
อุบาสิกายุพิน : สนใจมานานแล้ว กอ่ นทีจะมาปฏิบัติธรรมกส็ นใจในเรืองของบุญอยู่ก่อน สมัยยัง

เด็กอย่พู ่อแมม่ าวดั แม่ไม่ให้มากต็ ามมาวัดอยู่เสมอ ตลอดกระทั งมาอยูโ่ รงเรียนก็สนใจอยู่ทีวัด สมัยนั นพระ
ท่านยังไม่มนี ํ าประปา นํ าบาดาลทั งสิ น กช็ ่วยตักนํ าให้พระตามกุฏิเวลาพักเทยี ง ออกจากโรงเรียนกส็ นใจ
ทําบุญมไิ ด้ขาด ทกุ วันพระหาอาหารคาวหวานมาทําบญุ อยู่เสมอ

ผู้สัมภาษณ์ (สมพร) : คุณป้ าเริมปฏิบัตวิ ิปัสสนากรรมฐานครั งแรกทีไหนคะ
อุบาสิกายุพนิ :ทวี ัดพรหมบุรี สมัยนั นเขาเรียกวัดกฏุ ิลอย เดยี วนี เปลียนเป็นวัดพรหมบุรี อาจารย์ที

สอนคอื หลวงพ่อจรัญ สมัยนั นท่านยังไม่ได้เป็นสมภาร เป็นพระลูกวัดก็เรียกท่านว“่าท่านจรัญ” อยู่เสมอ
ก่อนทจี ะมาปฏิบัติธรรมก็มีอยู่ว่าแม่สุ่ม (อุบาสิกาสุ่ม ทองยิง) มาปฏิบัติกับแม่เขา ต่อมาก็มีแม่แต้ม

เป็นญาติกัน ก็เข้ามาปฏิบัติธรรม แมแ่ ต้มก็ชวนนา้ สาวฉันมาอกี คน น้าสาวก็เกิดชวนฉันว่า ไปวัดพรหมบรุ ี
กันเถอะ มอี าจารย์สอนกรรมฐาน ตอนนั น พ.ศ. ๒๔๙๗ กเ็ ลยสนใจ เพราะสนใจในทางบุญอยู่แล้ว กพ็ ายเรือ
มากับน้าสาว สมัยนั นมีไม่กีคน มีแม่สุ่ม สองคนแมล่ กู ป้ าเขาอีก๑ คน คือแม่แต้ม ฉันเองกับน้าสาว ก็พาย
เรือมาวัดพรหมบุรี ตอนเช้าก็พายเรือล่องนํ ามาเรือยๆ แล้วมาถึงตลอดปากบาง จอดแพท่า กฝ็ ากเรือเขาไว้
เดินจากท่านํ าตลาดปากบางถึงวัดพรหมบุรีกไก็ ลเหมือนกัน เดินตัดทุ่งมาถงึ วัดพรหมบุรี มาถึงก็ได้รับ
ค ํ าแนะนําของท่านแล้ วก็รับกรรมฐานจากหลวงพ่อองค์ปัจจุบ ันนี แหละ

รับกรรมฐานแล้วกป็ ฏิบัตติ ่อมาเรือยๆ ทา่ นก็แนะแนวให้ปฏิบัติอย่างนั นเรือยมา สมัยนั นไปอาทติ ย์
ละ ๑ ครั ง คือวันอาทิตย์ หลวงพ่อท่านบอกว่า วันอทาิตย์เด็กเขาหยุดโรงเรียน เวลานั นมีเด็กหลายคน มาก็
ลําบากเหมือนกัน ก็ให้เด็กอยู่บ้าน คนพีเลียงนอ้ ง แล้วกป็ ฏิบัติมาเรือยๆ ทา่ นชี แนะแนวไว้อยา่ งไร กําท็ตาม
ทา่ นอยู่เสมอมไิ ด้ขาด ก็ได้รับผลจากการปฏิบัติธรรมในปี แรก ตอนทีพายเรือทวนนํ า

ตอนนั นก็พายเรือมาด้วยความลํบา าก แตไ่ ด้คติธรรมจากพายเรือตั งแตว่ ัดพรหมบุรีขั นมาว่า ตอน
พายเรือลอ่ งนํ ามาตามแมน่ ํ าเจ้าพระยา กก็ ว้างขวางใหญ่ ขากลับพายเรือจากตลาดปากบางกลับทางก็ไกล เรา
ปฏิบัติธรรมนีหนอ ถ้าเราไม่สนใจแบบพายเรือทวนนํ า การปฏิบัติธรรมของเราคงไมไ่ ด้ผลแนน่ อน

พอเกิดคตธิ รรมตอนนนั กม็ ใี จเป็นกศุ ลมากขึ น อตุ ส่าห์ปฏิบัติมาเรือยๆ หลวงพอ่ จะสังให้นั งอยา่ งไร
ให้ปฏิบัตอิ ย่างไรกท็ ําตามท่านเรือยมา

อยู่วัดพรหมบรุ ีได้๒ ปี ทางวัดอัมพวันสมภารองค์เก่าเกิดสึกหาลาเพศไป ก็นิมนตท์่านจรัญมาเป็น
สมภารวัดอัมพวัน แต่ตอนปีแรก พ.ศ. ๒๔๙๙ ท่านมารักษาการ ตอ่ มา พ.ศ. ๒๕๐๐ ก็ได้รับแต่งตั งเป็นเจ้า
อาวาสแทนองค์ทีสึกไป

มาวัดอัมพวันก็พายเรือจากสิงห์บุรี มาด้วยความลําบากเหมือนกัน ก็อตุ ส่าหต์ ่อสู้ ทวี ัดอัมพวันยัง
เป็นวัดยากจนอยู่ หม่บู ้านคนก็น้อย ต้องหาอาหารมาทานเอง กป็ ฏิบัติต่อมาเรือย บางครั งท่านให้มานอนค้าง
วัด ปฏิบัตธิ รรมสอบอารมณก์ ัน กม็ าค้างกันหมด มีหม้อข้าวหม้อแกงมาหุงหาทานเอง เพราะสมัยนั นยังไมม่ ี
โรงครัวกต็ ิดตามท่านมาเรือยๆ การปฏิบัตกิ ไ็ ด้รับผลมากขึ น

ผู้สัมภาษณ์ (สมพร) : ตอนนั นสภาพวัดอัมพวันเป็นอย่างไรบ้างคะ
อุบาสิกายุพิน : วัดรกเป็นป่ ารุงรังไปหมด โบสถห์ ลงั เก่าก็มแี ตป่ ่ากล้วย ป่ าหญ้าคาทั งนั น การปฏิบัติ
ธรรมต้องปฏิบัติในโบสถ์หลังเก่า บางครั งทา่ นให้มาค้างก็ปฏิบัตทิ ีบนศาลาหลังเก่า ความเป็นอยู่ลําบาก แ่ ต
ความรู้สึกว่าปฏิบัตธิ รรมแล้วมีแต่ความสบายใจ ไม่นึกถึงความลําบาก ถงึ แม้หุงหาทานเองก็มีความสบายใจ
ผู้สัมภาษณ์ (สมพร) : ได้ทราบว่าคุณป้ าได้รับผลจากการปฏิบัติธรรม เกดิ สติปัญญาชว่ ยเหลือ
ครอบครัวได้ กรุณาเลา่ ให้ฟังได้ไหมคะ
อุบาสิกายุพิน : ปัญญาทีเกิดจากภาคปฏิบัติธรรมนั นมีอยู่ เมือสมัยอยู่วัดพรหมบรุ ีกม็ ีสติปัญญาเกิด
แล้ว ต่อมาย้ายมาวัดอัมพวันก็มีสติเกิดขึ นเรือยๆ ในากรประกอบชพี การค้าก็ไม่ค่อยจะเพียงพอ ยังน้อยอยู่
ตอ่ มาลกู โตขึ น การเรียนสูงขึ น ค่าใช้จา่ ยก็มากขึ น การประกอบอาชีพกไ็ มค่ อ่ ยจะเพยี งพอ หาเงนิ ไม่ค่อยจะ
พอส่งมันก็เกิดมสี ตปิ ัญญาขึ นมาจากการปฏิบัตธิ รรมว่า จะต้องทําการค้าใหม่ ควรจะกอ่ เตาเผาปูนขึ นมา
จะต้องทําอิฐก่อนเป็นอิฐขนาดใหญ่แบบตามวัดสมัยโบราณ กท็ ําอฐิ มาเองปันเองเผาเองเสร็จ
เมือทําอิฐเสร็จแล้วจะเริมทําเตา นังปฏิบัติกรรมฐานอยู่ ปัญญาก็ออกมาอีกว่า เราจะต้องทําอย่างนั น
กว้างยาวเทา่ นั น มีชอ่ งประตใู ส่ไฟ ทีแรกก็ขดุ รากฐานประมาณ๑ ศอก พอจะจับอิฐวางสตกิ ็บอกให้วางอย่าง
นี วางเฉลียงแบบนั น พับแสกแบบนั น ก่ออย๑ู่ ๕ วันก็เสร็จ เมือก่อเสร็จแล้ว สตบิ อกวา่ ทําบัวซิ ทําอย่างนั น
อย่างนี ก็ก่อได้เสร็จเรียบรอ้ ย กไ็ มใ่ ช่ของเล็กนะ จุหินได๒้ ๕ คิว ใช้ฟืนประมาณ ๖ คันรถบรรทกุ
สมัยนั นรั ววัดเป็นรั วไม้บ้าง กําแพงบ้าง หลวงพอ่ ทา่ นกใ็ ห้คไปนทีบ้านขอซือปูนเอามาละลายนํ า
แล้วกรองให้ละเอียดทําเป็ นนํ าข้นๆ เหมือนทาสี แต่ใช้ปูนขาว ทา่ นให้คนไปหลายครั งฉันก็ทําบุญมาด้วยทกุ
ครั ง
ตอ่ มาท่านไปอีก เอารถจอดเรียบรอ้ ยแล้วบอกเอาปูนสัก๑๐ ถัง จะทารั วอีก ฉันเองขนปูนเสร็จ
เรียบร้อย เห็นทา่ นเดนิ จากรถไป เดินไปรอบๆ เตาเผา เมือดเู สร็จกก็ ลับมาถามว่า“โยมเป็นเงินเท่าไร” ฉันก็
บอกว่า “ไมค่ ดิ เป็นมูลคา่ อะไรหรอก ขอทําบญุ ต่อวัด” ก็ทําบญุ เรือยๆ มา ท่านก็เอย่ ถามมาคําหนึงว่า
“โยม เตาหลังนี ใครก่อขึ นม”า

ฉันก็ตอบว่า“หลวงพ่อ ฉันก่อขึ นมาเอง แตก่ อ่ ได้ยังไงฉันก็ไมท่ ราบเหมอื นกันก็ไม่มวี ิชาอะไรมา
นั งตรึกตรองทําจติ สงบอยู่ ปัญญาก็เกิดบอกให้ทําอย่างนั น อย่างนี แล้วทําบัวอย่างนีกเ็ สร็จเรียบร้อาย”ม
หลวงพ่อท่านกบ็ อกว่า “อืม์! ใช้ได”้

ตอ่ มาถงึ วัดทา่ นก็บอกว่า“เอ้า! รวบรวมผลงานเข้า เยอะแล้วนะ” มปี ระสบการณ์หลายอยา่ งกับ
การค้า การค้าเจริญรงุ่ เรือง ส่งลูกเรียนสาํ เร็จก็ด้วยกรรมฐานโดยตรง

หลวงพ่อเล่าเรืองสติปัญญาก็มีหลายๆ อย่างจะทําอะไรขึ นมาอย่างเช่นเราจับเสียมจะขุดดนิ พอเริ ม
จะจับสติปัญญาออกมาแล้ว จับอย่างนั นซิ พอจับไปสติออกหน้า นําหน้าอยู่เสมอ ทําอยา่ งนีขุดอย่างนั น ม็ ันก
แปลกออกมาเหมือนกันจากตวั ฉันเอง

การปฏิบัติทีว่ามสี ติปัญญาได้ยังไง หลวงพอ่ กแ็ นะนําให้เหมอื นกันว่า“ทําไปเถอะโยม ค่อยทํา ค่อย
เป็นค่อยไป” ฉันเองกร็ วบรวมผลงานอยู่เสมอ เวลาทํางานก็เหมือนกัน เป็นวิปัสสนาทังนั น ขอให้ทําตั งสติ
เข้าไว้ กําหนดไว้ ถ้าเราเกบ็ รวบรวมผลงานได้ไว้มากแล้ว เราก็ไม่ตง้อกําหนด เป็นอย่างทีทา่ นแนะแนวให้
ทกุ สิงทุกอยา่ งไม่ต้องกําหนด หยิบหนอ วางหนอ อย่างนั นอย่างนี พอเริ มจะทําสติก็ออกหน้าแล้ว ว่าให้ทํา
อย่างนั นซิ หยิบตรงนี วางตรงนั น มันก็เรียบรอ้ ย เรียบร้อยด้วยสตปิ ัญญาจากกรรมฐานนีเอง

ผู้สัมภาษณ์ (สมพร) : เดยี วนีเตาเผายังอยู่ไหมคะ
อุบาสิกายุพิน : ไม่อยู่แล้ว รือถวายพระสร้างโบสถ์ไปแล้ว พอลูกเต้าเรียนสําเร็จก็ตัดสินใจว่า
พอแล้ว พอกินพอใช้ พอดพี ระวัดทางอ่างทองจําชอื วัดไม่ได้เสียแล้ว ทา่ นผา่ นมาบอกว“่าโยมถ้าเลิกแล้วจะ
รือไหม อาตมากําลังจะสร้างโบสถ”์ ฉันเองกบ็ อกว่า
“เอาละฉันเลิกแล้ว” ฉันก็ถวายทา่ นไป ท่านก็ขอแรงชาวบ้านเอารถมารือ ไปกอ่ โบสถไ์ ด้แค่บัวฐาน
บัวกย็ ังขาด ฉันเองกใ็ จศรัทธาว่าเลิกจากเตาแล้วโบสถ์หลังนียังไม่สาํ เร็จ ก็ทําอิฐเองอีกเหมือนกัน เป็น้อกน
เล็กๆเหมอื นสมัยนี สร้างโบสถ์หลังนั นจนเสร็จเรียบร้อย
ผู้สัมภาษณ์ (สมพร) : คุณป้ าได้รับความซึ งใจจากการปฏิบัติธรรมตอนใดบ้างหรือไม่คะ
อุบาสิกายุพิน :กม็ ีอยู่ เมอื พ.ศ. ๒๕๒๔ นั งปฏิบัติธรรมเรือยมา หลวงพ่อส่งใหน้ ั งกชี ั วโมง ก็ปฏิบัติ
ตามคําสังท่านอยเู่ สมอ วันหนึงนั งปฏิบัตอิ ยูท่ บี ้านได้คติเตือนใจจากากรปฏิบัติธรรมขึ นมาว่า จะหมดยอุ า
พ.ศ. ๒๕๒๕ ชีวิตต้องตายแนน่ อน ก็ได้มากราบเรียนหลวงพ่อว่า มอี าการเกิดขึ นจากกรรมฐานชัดมาก ว่าจะ
หมดอายุ พ.ศ. ๒๕๒๕ หลวงพอ่ บอกว่า “เอาละ เมือหมดชวี ิตแล้ว ชีวิตของโยมก็คงหมดแนน่ อน แต่ขอให้
โยมมาปฏิบัตธิ รรมอย่างต่อเนืองระยะเวลา๓ เดอื นทีวัด ฉันก็มาตามคําสังหลวงพอ่
สมัยนั นทีหอประชุมก็เริมมีคนมาปฏิบัตธิ รรมกันเรือยๆ หลวงพอ่ ให้ปฏิบัติอย่างกวดขัน ก็อยู่มาเริ ม
เดอื นที ๑ มีอาการเกิดขึ นทีตัวเองว่าจะหมดชีวิตแน่นอน ก็นังกรรมฐานอย่างเข้มงวดต่อเนอื งกันตลอด ไม่มี
เวลาพักผ่อน อาการทีว่าจะหมดชีวิตไปกก็ ลับดีขึน พอเดือนที ๒ หลวงพอ่ ก็สอบอารมณ์ใหป้ ฏิบัติติดต่อกัน
อกี ก็ปฏิบัติตามตลอดเวลา พอเดือนท๓ี ก็ปฏิบัติตอ่ เนืองอีกเหมือนกัน จวนจะหมดปลายเดือนท๓ี แล้ว

วันหนึงพอทานอาหารเพลแล้ว ก็จะขอพักหลังสักครู่ รู้สึกว่ายังไม่ทันจะหลับ มีใครมาปลุกให้ลกุ ทํา
กรรมฐาน ฉันเองก็ลุกขึนลา้ งหน้าเสร็จเรียบร้อย ก็บูชาพระไหว้พระ ลุกเดินจงกรม ตั งแต่บ่ายสองโมงเย็น
เดินจงกรมไมถ่ ึงชั วโมงดี ก็มีอาการเกิดขึ นจากกรรมฐาน จะเดินต่อไปคงไม่ได้ สมาธิเข้าระดับแล้วก็ต้องงนั

พอนั งลงไปแล้วตั งแต่บ่ายสองโมง ทีรู้ว่าเวลาเทา่ ไรเพราะมีนาฬกิ าในห้อง ได้ยินเสงียกน็ ั งปฏิบัติ
ไปจนถึงเทยี งคนื แล้ว ก็มีอาการเกิดขึ นจากการปฏิบัตธิ รรม ภายนอกไม่รับสัมผัส สมั ผัสแต่ภายใน มีอาการ
เกิดขึ นเหมือนว่าเราฉายเอ๊กซเรย์ภายใน อาการทีว่าจะตาย ก็มีเส้นจากบั นเอวทางด้านขวา ขาวสะอาดมาถึง
ต้นคอก็มีอาการดํา ภาพฉายเหน็ ภายในชัด เห็นหมดทุกอย่าง อาการทจี ะทําให้ตาย พอรู้สึกอย่างนั นแล้วภาพ
นั นก็จะหายไป อาการเวทนาต่อร่างกายสังขารก็มีทวีขึ น ปวดศีรษะเป็นเวลา๑ ชัวโมงเต็ม ชั วโมงนั นปวด
เวทนาอยา่ งแก่กล้า เหมือนว่าศีรษะจะแยกออกไปเป็นสัดส่วน ก็กําหนดปวดหนอๆ ไปเรือย เวลาใกล้ถึงอีก
๑๕ นาที จะ ๕ โมงเชา้ อาการเวทนากห็ ายไปจนหมดสิน มีอาการรู้สึกตัวเกดิ ขึ นภายนอก รู้สึกสมั ผัส
ภายนอกภายในรู้สึกพรอ้ มกัน รู้สึกหมดทั งตัว พอดนี าฬิกา๑๑ โมงพอดี ก็ออกจากกรรมฐาน

อาการจากกรรมฐาน จติ ใจสัมผสั กับอาการทีผ่านมา ไม่มคี วามสุขใดเท่ากบั อารมณ์ทีได้ประสบ

อารมณ์นันก็ติดมาถึงปัจจุบนั ในขณะนี พอออกจากกรรมฐาน อาการเจ็บปวดทีว่าชวี ิตจะหมดไป ก็หายไป

หมดสิน เหมอื นกับว่าชีวิตรอดมาใหม่ ก็ปกติดีจิตใจสดชืนแจ่มใส การสัมผสั อารมณ์ในกรรมฐานช่วงเวลา
๒๐ ชัวโมงเต็มก็ตดิ ตัวฉันอยู่ทุกวนั นี ทา่ นทปี ฏิบัตจิ ะพบเอง พดู ไปก็เข้าใจยาก ว่ามีความสขุ แค่ไหน

พอรุ่งขึนอีกหนึงวัน หลวงพ่ออยู่ก็เข้าไปกราบท่าน ทา่ นบอกว่า
“เป็นยังไงล่ะโยม ถ้าไม่มาอยู่วัด ป่านนีก็กลายเป็นเถ้าไปหมดแล้ว นีโยมก็รอดตายมาแล้ว ได้ปฏิบัติ
ธรรมเป็นเวลา ๒๐ ชั วโมงเต็ม อาการกห็ าย”
ได้กราบเรียนทา่ นว่าตอนนีเป็ นปกติดี ไม่มีอะไรเกดิ ขนึ ต่อร่างกายสังขาร จิตใจก็มคี วามสุข ไม่มี
อะไรสุขเท่ากับได้สัมผัสกบั อารมณ์นันไม่มีอีกแล้ว
พอกราบเรียนทา่ นแล้ว ท่านบอกว่า “เอาละโยม เมอื รอดชวี ิตมาได้ก็ช่วยกันนะ ตอ่ ไปนี พ.ศ.
๒๕๒๕ นี จะมีผู้มาอบรมเยอะ ก็ช่วยกันแนะแนว” ตอนนั นก็มีอนุศาสนาจารย์กองทัพบก ก็ชว่ยเหลือหลวง
พ่อเรือยมาจนกระทั งปัจจุบันนี
ผู้สัมภาษณ์ (สมพร) : ขอกราบเรียนถามคุณป้ าเรืองแ ม่กาหลงค่ะ คณุ ป้ ารูจ้ ักแมก่ าหลงตั งแต่เมือไร
คะ
อุบาสิกายพุ นิ : รู้จักกับแม่กาหลงมาตั งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๐ ตอนนันเขาอายุได้๒๐ กว่า พอแตง่ งาน เขา
ก็มาเช่าบ้านใกล้กับทีฉนั อยู่ เป็นบ้านท่านนายอําเภอเก่าปลดเกษียณแล้ว ท่านก็ย้ายเข้าไปอยู่กรุงเทพฯ กับลูก
กาหลงเขาไมไ่ ด้ทํางานนอกบ้าน ส่วนสามีทํางานเทศบาล ยังไม่มีบตุ รด้วยกัน มาเช่าอยู่ได๒้ ปี พอยา่ งเข้าปี
ที ๓ วันนั นเขามีอาการแปลกๆ เกิดขึ น พอฉนั เดินเข้าไปใกล้ข้างบ้านเขา ยืนคยุ กเพันราะรั วข้างบ้านตดิ กัน ก็
ยืนถามเขาว่า
“กาหลงทําอะไร”

กาหลงก็ตอบว่า “เป็นอะไรก็ไม่รู้ป้า มันร้อน มันกลุ้ม” เขานุ่งผ้ากระโจมอกอยู่ แล้วจับปลาช่อนมา
๑ ตัว ทุบหัวปลา ปลาก็ดินแล้วก็ขอดเกล็ด ปากก็พดู ว่า

“หนูเป็นอยา่ งไรก็ไมร่ ู้ มันกลุ้มเหลือเกิน”
ก็บอกว่า “ทําไมไม่นุ่งผ้านุ่งผอ่ นให้เรียบร้อย”
เขาบอกว่า “มันร้อนมันกลุ้มไมท่ ราบจะทําอย่างไร มันร้อนเหลือเกิน”
พอเขาเสร็จจากทําปลาแล้วก็ขึ นบ้านไป ตา่ งคนต่างแยกกันไป ฉนั เองกก็ ลับมาพักทบี ้าน
ตกบ่ายเวลาสัก ๔ โมงเย็น เสียงคนทีบ้านกาหลงดังจ๊อกแจ๊กขึ นมา ก็เลยถามเขาว่า“อะไรกนั ทํา
อะไร”
เขาบอกว่า “กาหลงตายเสียแล้ว”
พอเขาบอกกาหลงตาย กน็ ึกได้ว่า กาหลงพดู กับฉันเมือตอนบ่ายหน่อยว่ามีอาการร้อน พอสักครู่
หนึงก็มีคนพดู ขึ นมาอีกว่า
“ตายแล้วเป็นอยา่ งไรหนอ กาฬขึ นดําหมดทั งต”ัวก็เป็นอาการคนเป็นไข้กาฬตาย
ตายแล้วเขาก็เกบ็ ไว้๓ คืน ถึงเวลากน็ ําไปเผา เมอื เผาแล้วก็มีอาการเกิดขึนหลายๆ อย่างกับบ้านหลัง
นี กว่าจะถงึ ทําบญุ ๗ วัน ก็มีปรากฏการณ์หลายอยา่ ง สามีอยู่ไม่ได้ต้องให้เพือนมานอนด้วย พอทําบญุ ๗ วัน
ก็ย้ายไปอยู่กับแมเ่ ขา ไม่ยอมอยบู่ ้านหลังนั น บ้านหลังนั นกร็ ้างอยู่
ตอ่ มาหลวงพอ่ วัดอัมพวันกเ็ กิดถามขึ นมาว่า มีใครจะขายบ้านบ้าง ทวี ัดอัมพวันไม่มคี รวั ฉันเองก็นกึ
ขึนมาได้ว่า บ้านท่านนายอําเภอตอนนี ยังไมม่ ใี ครอยู่ หลวงพ่อก็บอกว“่าโยมไปถามซิ เขาจะขายไหม”
พอดีฉันกลับจากวัดเจ้าของบ้านเขามาพอดี ก็เลยถาม
“คุณนาย บ้านหลังนี จะขายไหม” คณุ นายก็ถามว่า
“ทําไมเลา่ ” ก็บอกว่า
“หลวงพ่อท่านจะซือเอาไปไว้ทีวัด จะทําครัว เพราะทวี ัดยังไม่มคี ร”ัวคุณนายก็พดู ขึ นมาว่า“ขาย
เหมือนกันแหละ จะขาย” กก็ ลับมาบอกหลวงพ่อ หลวงพ่อกใ็ ห้ไปถามว่าจะขายสกั เท่าไร คุณนายก็บอกว่า
ขาย ๕,๐๐๐ บาท มาบอกหลวงพอ่ ท่านกบ็ อกให้ไปถามใหม่ซิว่าลดได้ไหมคุณนายก็บอกว่า ถ้าหลวงพอ่ จะ
เอาไปไว้วัดกเ็ อาแค๓่ ,๐๐๐ บาท หลวงพ่อก็ตกลง เพราะมเี งินอยู่ ๓,๐๐๐ บาทพอดี
คณุ นายก็บอกว่า “เอาละ เมือตกลงแล้ว ท่านจะรือเมือไร แม่พินก็จัดการเองก็แล้วกัน ฉันจะล่อง
กรุงเทพฯ แล้ว”
คณุ นายก็ล่องกรุงเทพฯ ไป ฉันก็มาตกลงกับหลวงพอ่ ทา่ นตกลงไปรือบ้าน จําวันทีไม่ได้ แตร่ ือ
พ.ศ.๒๕๐๓ ทา่ นมีเรือสาํ ปั นติดเครืองสมัยเก่าโยงเรือพัฒนาไป๑ ลํา มคี นไปหลายคนทา่ นกไ็ ปด้วย
เมือไปถงึ บ้านฉันกจ็ ัดอาหารถวายเพล เลียงคนงานเมือเสร็จแล้ว หลวงพ่อกบ็ อกว่า“โยม ไปดบู ้าน
ซิ ตั งแต่ตกลงซือบ้าน ยังไม่เคยเหน็ บ้านเลย รูปร่างบ้านเป็นอย่างไร” สามีฉนั เองก็ไปกับหลวงพ่อ รั วบ้าน
ติดกัน คนงานก็ยังอย่ทู ีบ้าน ทานอาหารกันยังไม่เสร็จเรียบร้อย สามีฉันรู้แล้วว่ามอี ะไรเกดิ ขึ นแปลกๆอกน่ ที

หลวงพ่อจะมาตั งแต่แม่กาหลงตาย แค่หน้าบ้านก็ไม่ค่อยจะมีคนอยากเดินผา่ น ก็ขึ นไปคอยทา่ นอยทู่หีัว
บันได ทา่ นกข็ ึ นไปถึงบ้าน ไปถึงก็เปิดบ้าน มีอาการบ้านหวั นขึนทั งหลัง ท่านบอกว่า

“คล้ายๆ มันวาบ มันมืดไปหมด” ทา่ นก็เลยพูดขึ นมาว่า
“อ้าว! ใครมาอยู่ทําไมบ้านนีล่ะ ไปอยู่วัดอัมพวันด้วยก”ัน
ก็รือบ้านมา แมก่ าหลงก็มาวัดอัมพวันตั งแตห่ ลวงพ่อรือบ้านมา พอาบยห่ น่อยกร็ ือบ้านเสร็จ มาถึง
วัดก็ขอแรงปลูกอกี วันเดียวเสร็จอีกเหมือนกัน
พอฉันมาวัดท่านก็ถามขึ นมาว่า“โยมบ้านหลังนี มีใครตาย” แตฉ่ ันเองกไ็ มไ่ ด้เล่า ปิ ดความเรือยมา
ฉันก็บอกว่า
“มแี ม่กาหลง อยู่สองคนกับสามี สามที ํางานเทศบาล แมก่ าหลงเป็นไข้กาฬตาย ตายทบี ้านหลนัง”ี ก็
เล่าใหท้ ่านฟังเรือยๆ
ตอ่ มาฉันก็มาวัดอีก ปลกู บ้านเสร็จแล้ว มแี ม่ชีหมากดิบเป็นคนแรกอยู่บ้านหลังนี มาถึงถามฉันว่า
“แม่พินๆ บ้านหลังนีชอบกลนะ มีเจ้าของบ้านด้วยมานังบนขือ ผมยาวรูปร่างสวย ไว้ผมยาวประบ่า
ผิวขาวเหลือง สวยด้วย พอฉันมัวนอนอยู่ ไม่ทํากรรมฐาน แม่คนนี ก็มานั งข้างๆ มาปลุก บอกให้ทํากรรมฐาน
แล้วก็มานั งพูดด้วยว่า ฉันชือแม่กาหลง ตายอยู่บ้านหลังน”ีเหตุเกิดขึ นอย่างนี
อยู่มามีงานวัด แม่เขียว แม่ฉาบมาช่วยหลวงพอ่ ทําครัว งานหลวงพ่อทสี ร้างโบสถ์ ก็ถามฉันว่าแปลก
มคี นมายืนข้างๆ บอกว่า“ยายเขียว ยายฉาบมวั นอนอยู่ได้ ทําไมไม่ทํากรรมฐานเล่”า ก็บอกว่า “มี บ้านหลังนี
เขาเช่านายอําเภออยู่ ตายแล้วไมไ่ ปไหน สันนษิ ฐานเอาว่าคงเรืองสามี สามีเจ้าชู้ชอบผู้หญิงไปเรือย วิญญณา
ก่อนจะดับสิ นไป ก็มจี ิตใจผูกพันห่วงสามี วิญญาณกอ็ ย่ทู บี ้านหลังนีเอตงอ่ มากม็ ีอะไรแปลกๆ หลวงพ่อ
บอกวา่ บอกแม่กาหลงให้มาอยู่วัดด้วยกนั มาช่วยดแู ลทางวัดนะ ช่วยกันดูแลรักษาข้าวของในวัด อย่าให้หาย
ช่วยกันดนู ะ” หลวงพ่อทา่ นก็พดู อยา่ งนั น
มีภรรยาภารโรง ร.ร. วัดอัมพวันคนก่อน มาช่วยทําครัว คอยแต่จะลักหมู หอม กระเทียม ทีพอจะเอา
ได้ เอากลับบ้าน วันหนึงเกิดอัศจรยร์ แม่กาหลงเกิดเข้าภรรยาภารโรงคนนั น บอกว่า“มึงน่ะตัวดีนัก หลวง
พ่อให้กูมาคอยดูแลวัด มึงก็มาลักของหลวงพอ่ ไป” ก็พูดไปเรือยๆ กใ็ ห้สามีเขามาดู พอแมก่ าหลงออกไป
แล้ว กถ็ ามขึ นมาว่า เอาของเขาไปจริงไหม เขาก็รับ
“จริงค่ะหลวงพอ่ ฉันกลับไปบ้านทีก็ลักของหลวงพ่อไปเรอื ยแหละ” แม่กาหลงเขาก็ช่วยดูแลให้
หลวงพ่อมาเรือย
ต่อมาเกิดมหี ลานเขาอยู่ที ต.ต้นโพธิ พายเรือข้ามแม่นํ าเจ้าพระยาเกิดเรือล่ม กอดคอกันจมนํ าตายทัง
คู่ ฉันมาวัด หลวงพอ่ ก็ถามขึ นว่า
“โยม แม่กาหลงเขามาลาอาตมาว่า หลวงพอ่ หนูจะไปบ้านสักหน่อย ไปเยียมญาติ ญาตเิ ขาตายมี
จริงหรือเปลา่ ” ฉันก็บอกว่า“มจี ริงค่ะ หลานลูกของนอ้ งสาวพายเรือข้ามนํ า เรือล่ม จมนํ าตายทั ง”คู่
“อ้อ ยังงั นนี แม่กาหลงเป็ นผีแท้ๆ ไปไหนยังไปลามาไหว้ ดีกว่าคนมีชีวิตอยู่ แม่กาหลงเขาเป็น
วิญญาณเขายังมาลา เป็นระเบียบเรียบร้อย ไปไหนก็มาลาหลวงพอ่ ”

มคี นมานั งปฏิบัติธรรมอยู่กรุงเทพฯ แนะแนวให้แล้วเขาก็ไม่ทําตามคําแนะนํา วันนั นเกิดนั งทําผิด
แต่เช้าเชยี ว เขาบอก “มานั งทําผิดอยู่ได้ แมพ่ ินเขาเป็นครูบาอาจารย์ไมร่ ู้จักถามเขาบ้า”งเขาบอกชือกาหลงมี
จริงไหม ฉนั ก็เล่าให้ฟัง

ผู้สัมภาษณ์ (สมพร) : คุณป้ ายังสัมผัสแมก่ าหลงได้อยู่หรือเปลา่ คะ
อุบาสิกายุพิน : แม่กาหลงเขาทํากรรมฐาน ตอนนี เลือนสภาพเป็นเทพไปแล้ว แต่ก็ยังมปี รากฏขึ นมา
อีกเหมือนกัน ตามหลวงพ่อเล่า
ผู้สัมภาษณ์ (สมพร) : คณุ ป้ ามีความเห็นอย่างไรเรืองเกียวกับวิญญาณแม่กาหลงคะ
อุบาสิกายุพิน : มีความเห็นว่า วิญญาณมีแน่นอน ในการทํากรรมฐานเขาก็มา วิญญาณทํากรรมฐาน
ก็ได้ ฉันเองนั งกรรมฐานทีวัดก็พบว่าวิญญาณทํากรรมฐานในวัดกันมากมาย นักปฏิบัติธรรมทีปฏิบัตขิ ั นสูง
ไปแล้ว ก็มีหลายขั นเหมือนกัน อย่างคุณนายโสภา ปัทมดิลก พดู กับฉันว่า“วิญญาณมาทํากรรมฐานรอบกุฏิ
ฉันหมดมากมายเหลือเกิน” ความเห็นเรืองแมก่ าหลงนีก็เหมือนกัน หลวงพอ่ ชวนเขามาทํากรรมฐาน เขาก็ทํา
เวลานีเป็นเทพไปแล้ว ความเหน็ ของฉันก็ว่า วิญญาณทํากรรมฐานมีแน่นอน
ผู้สัมภาษณ์ (สมพร) : กราบขอบพระคุณคณุ ป้ ามากค่ะ
อุบาสิกายุพนิ : อย่เู ย็นเป็นสุขนะ


Click to View FlipBook Version