The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ปัญญาปทีปธรรม ปุจฉา-วิสัชนา หลวงปู่เปลี่ยน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ืทีมงานกรุธรรม, 2022-05-24 22:51:39

ปัญญาปทีปธรรม ปุจฉา-วิสัชนา หลวงปู่เปลี่ยน

ปัญญาปทีปธรรม ปุจฉา-วิสัชนา หลวงปู่เปลี่ยน

Keywords: ปัญญาปทีปธรรม ปุจฉา-วิสัชนา,หลวงปู่เปลี่ยน

ปุ จ ฉ า - วิ สั ช น า

ห ล ว ง ปู่ เ ป ลี่ ย น ปั ญ ญ า ป ที โ ป

วั ด อ รั ญ ญ วิ เ ว ก (บ้ า น ป ง)
อ ำ เ ภ อ แ ม่ แ ต ง จั ง ห วั ด เ ชี ย ง ใ ห ม่

อ า ทิ โ อ ว า ท

พระธรรมของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสัจธรรมอันอมตะ ผู้ปฏิบัติ
ย่อมแจ่มแจ้งผลด้วยตนเอง ไม่ว่ายุคใดสมัยใด อาตมภาพก็ได้น้อมนำ�พระธรรมของ
พระองค์มาแสดงแก่พระภิกษุสามเณรและญาติโยมทั้งหลายได้ปฏิบัติ เพื่อให้ได้ผล
เชน่ เดยี วกนั กบั พระบรมครู และพอ่ แมค่ รูบาอาจารยท์ ั้งหลาย

รสแห่งพระธรรมนั้น เม่ือถึงจิตถึงใจแล้ว ไม่มีรสใดในโลกเปรียบได้ เป็นความ
สุขสงบท่ีลึกซึ้ง ไม่เจือไปด้วยกิเลส ดับการปรุงแต่ง หมดสิ้นซ่ึงการยึดถือส่ิงท้ังปวง
ในโลก จึงถึงความสันติแท้จริง ควรที่ท่านทั้งหลายจะใส่ใจเพียรปฏิบัติกันจริงจังเพ่ือถึง
ซึ่งความบริสทุ ธิ์

ณ โอกาสอายุครบ ๘๔ ปีนี้ มีคณะศรัทธาได้มารวบรวมและเรียบเรียงพระ
ธรรมเทศนาที่อาตมภาพได้แสดงไว้ รวมถึงจัดหมวดหมู่พระธรรมเทศนาเหล่านั้นเพ่ือให้
ง่ายแก่การศึกษาปฏิบัติธรรมท่ีเหมาะสมกับแต่ละบุคคล อันจะเป็นประโยชน์ตามกำ�ลัง
สตปิ ญั ญาและความพากเพียรในการปฏิบัตขิ องตน

ขออนโุ มทนากับคณะท�ำ งาน ผู้มีจติ ศรทั ธาร่วมบุญ ผทู้ ม่ี ีสว่ นร่วมในการจัดพิมพ์
หนังสือชุดน้ี ท่ีได้ช่วยกันธำ�รงสืบสานพระธรรมเพื่อประโยชน์แก่อนุชนรุ่นหลังผู้สนใจ
ใฝ่ในธรรมท้ังหลาย และนำ�ทางจิตใจทั้งหลายให้อยู่กันด้วยความสุข เมื่อละจากโลกน้ี
ไปแลว้ ก็ไปดี เรียกวา่ สคุ ตสิ ุคโต

สุดท้ายนี้ ขออำ�นวยอวยพรให้ทุกท่านประสพแต่ความสุขความเจริญด้วยอายุ
วรรณะ สุขะ พละ และเจรญิ ในธรรมยง่ิ ๆ ข้ึนไป จวบจนถึงพระนพิ พานเทอญ

(พระเปล่ียน ปัญญาปทีโป)

ถ้ อ ย แ ถ ล ง

หลวงป่เู ปลีย่ น ปญั ญาปทโี ป เป็นพระสุปฏปิ นั โนท่สี มบูรณด์ ้วยศีล สมาธิ และ
ปัญญา ถึงพร้อมด้วยปรยิ ัติ ปฏิบัติ ปฏเิ วธ ด�ำ เนินตามรอยองค์สมเดจ็ พระบรมศาสดา
สัมมาสัมพุทธเจ้า นับเป็นปูชนียบุคคลอีกท่านหน่ึงที่หาได้ยากในโลก พระเมตตาคุณ
พระกรุณาคุณอันมากล้นของหลวงปู่เปล่ียนย่อมเป็นท่ีประจักษ์ชัดและซาบซึ้งอยู่ในจิตใจ
ของศิษย์ทุกคน หลวงปู่จึงเป็นท่ีเคารพศรัทธาเล่ือมใสย่ิงทั้งของบรรพชิตและคฤหัสถ์
ทว่ั สารทศิ ท้ังผู้ที่เคยได้มากราบและผูท้ ่ียังไม่มีโอกาสไดม้ ากราบหลวงปู่

ด้วยแรงศรัทธาของคณะศิษย์ที่ได้ตระหนักถึงปัญญาอันสุขุมคัมภีรภาพ ปฏิปทา
อันงดงาม และปณิธานอันแน่วแน่ของหลวงปู่ท่ีจะให้สรรพจิตท้ังหลายได้พบกับทาง
สว่างในการดำ�เนินชีวิต เพ่ือประโยชน์สุขท้ังในชาตินี้และชาติหน้า จนถึงพระนิพพาน
เป็นท่ีสุด คณะศิษย์จึงได้รวบรวมพระธรรมเทศนาที่หลวงปู่ได้เพียรอบรมส่ังสอนเหล่า
ศิษย์ จัดทำ�เป็นหนังสือชุด “ปัญญาปทีปธรรม” ตามปณิธานของท่านที่จะมอบให้เป็น
มรดกธรรมแก่พุทธศาสนิกชนท้ังหลายเพ่ือจะได้น้อมนำ�ไปปฏิบัติ และธำ�รงพระศาสนา
สืบไป

คณะผู้จัดทำ�ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่มีส่วนร่วมในความดี
งามแห่งการจัดทำ�มรดกธรรมชุดนี้ เพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา
และอาจาริยบูชา แด่องค์หลวงปู่เปล่ียนในวโรกาสมหามงคลสิริอายุวัฒนะครบ ๘๔ ปี
ขออานสิ งสน์ จี้ งเปน็ พลวปจั จยั ใหท้ กุ ทา่ นถงึ พรอ้ มดว้ ยสมั มาทฏิ ฐิ มคี วามเพยี รชอบอนั ยงิ่
มีปัญญาแจม่ แจง้ ในธรรม และบรรลธุ รรมตามสมควรด้วยเทอญ

คณะผ้จู ัดท�ำ



ส า ร บั ญ ๑๘
๑๙
๑. พระพุทธศาสนา ศลี ธรรม และคุณธรรม ๒๑
• ศาสนามปี ระโยชนต์ ่อชีวติ เราอยา่ งไร ๒๒
• คณุ ธรรม ศลี ธรรมคืออะไร และต้องปฏิบัติอยา่ งไร ๒๓
• ธรรมะ - ศีล - กุศล มีความแตกต่างกันอย่างไร ๒๔
• การตั้งตนอยู่บนความไม่ประมาท หมายความวา่ อย่างไร ๒๕
• เหตใุ ดจึงกล่าววา่ บาปและบุญอยู่ที่ใจ ๒๖
• ท�ำไมพระพุทธรูปจึงมีช่อื เรียกต่างๆ ๒๙
• ต�ำแหน่งอคั รสาวก มหาสาวกสลับทกี่ นั ไดห้ รอื ไม่ ๓๑
• พระโสดาบัน พระทรงอภิญญา พระอรหันต์ แตกตา่ งกนั อยา่ งไร ๓๓
• ท่ีสุดของโลกมีอยทู่ ่ีไหน
• ควรแนะน�ำอย่างไรกบั คนที่ยังไม่มีศรทั ธาในพระพุทธศาสนา ๓๔
๓๕
๒. กรรม ศลี ๓๖
• การท�ำความชัว่ โดยไมไ่ ดต้ ้ังใจจะผิดไหม แกไ้ ขไดห้ รือไม่ ๓๙
• วบิ ากกรรมทางกายและทางใจตา่ งกนั อยา่ งไร ๔๑
• ท�ำความดีลบล้างความชั่วได้หรือไม่ ๔๓
• ปฏบิ ตั ธิ รรมเพ่อื ตัดกรรม เพือ่ ลบล้างกรรมได้จริงหรอื ๔๔
• การท�ำบุญอทุ ศิ และขออโหสิกรรม แก้กรรมไดจ้ รงิ หรอื ๔๕
• จริงหรอื ที่วา่ ถา้ ทานขา้ วไม่หมด ชาตหิ น้าจะไดเ้ กดิ มาเป็นนก
• ท�ำไมคนบางคนเพยี งแค่เจอหน้ากันกร็ ้สู กึ ไมช่ อบกนั แลว้

• การฆา่ สัตวท์ มี่ าท�ำร้ายเรากอ่ นเป็นบาปหรือไม่ ๔๖
• การฆ่าสัตวเ์ พอ่ื ท�ำงานวจิ ัยเป็นบาปหรือไม่ ๔๘
• การตอกไขเ่ พ่ือปรงุ อาหาร ผิดศลี ขอ้ ปาณาตบิ าตหรือไม่ ๔๙
• คนท่ฆี ่าสตั วเ์ พอื่ เอาเน้ือสัตวม์ าขายและคนที่กินนน้ั บาปหรือไม่ ๕๑
• ทหารฆา่ คนเพ่อื ป้องกันประเทศเป็นบาปหรือไม่ ๕๔
• คนท่คี ิดอยากตายอยเู่ สมอเปน็ เพราะอะไร บาปหรอื ไม ่ ๕๖
• คนทชี่ อบเพศเดยี วกนั เปน็ เพราะกรรมเก่าใช่หรือไม่ ๕๗
• การโกหกเพอ่ื ท�ำใหค้ นอืน่ สบายใจผิดศลี หรือไม ่ ๕๙
• การท่ีคนสาปแช่งกัน ค�ำสาปแชง่ นนั้ จะเปน็ จริงหรือไม ่ ๖๑
• การดม่ื เหลา้ หรือเบียร์ทงั้ ๆ ทีไ่ ม่เตม็ ใจ ผิดศีลหรือไม่ ๖๒
• การผิดศีลของผทู้ ร่ี ับศลี กบั ของผู้ทไ่ี มไ่ ด้รบั ศีล เป็นบาปเท่ากนั หรอื ไม ่ ๖๓

๓. ความตาย ภพภูมิ ๖๔
• คนเราเมื่อตายไปแลว้ จะตอ้ งไดม้ าเกดิ อกี จรงิ หรือ ๖๕
• นรกสวรรค์มจี รงิ หรือ คนเราเมอื่ ตายแล้วไปไหน ๖๗
• อธิษฐานขอใหช้ าตหิ น้าเป็นอย่างไรได้หรอื ไม่ ๗๑
• ดวงจิตมากมายจากไหนมาเกิดเป็นประชากรโลกที่เพ่ิมขึ้นอย่ทู กุ วนั ๗๒
• ท�ำอย่างไรจงึ จะไมต่ อ้ งพบพระยายมราช ๗๔
• ฝนั เห็นคนทตี่ ายไปแลว้ แตง่ กายดี แสดงว่าเขาไปสบายแล้วใชไ่ หม ๗๕

• เพราะอะไรคนจงึ เหน็ ภาพท่ีเรยี กว่าผหี รือวิญญาณไม่เหมือนกัน ๗๖
• ผีบ้านผีเรือนมีจรงิ หรอื และชว่ ยค้มุ ครองเราได้หรอื ไม่ ๗๗
• วันปลอ่ ยผีมจี รงิ หรอื ๗๙
• ถ้าเราไมแ่ ก้บนจะเกดิ อะไรขนึ้ การทรงเจา้ เปน็ จริงหรอื ไม่ ๘๑
• ที่วา่ เทพองคน์ ้ันองค์น้ีมาเขา้ ร่างทรง เปน็ จริงหรอื ไม่ ๘๔
• คนทรงน้ันเคยท�ำความดอี ะไร จึงรู้เหน็ เรอ่ื งของบคุ คลอน่ื ได ้ ๘๕
• เราไม่อยากย่งุ กับคนท่ีเปน็ รา่ งทรง จะท�ำอย่างไร ๘๖

๔. ทางโลก ทางธรรม ๘๘

• การปฏิบตั ธิ รรมท�ำควบคูก่ บั การท�ำหนา้ ทท่ี างโลกไดห้ รอื ไม่ ๘๙
• ต้องละทิง้ ภาระทางโลกทุกอย่าง จงึ จะไดพ้ บความสุขแทห้ รอื ๙๑
• การไม่เชอ่ื ฟังพอ่ แม่กรณที ีท่ า่ นไมใ่ หม้ าปฏิบตั ธิ รรมเป็นบาปหรือไม่ ๙๓
• ความรกั ท�ำให้ทกุ ขจ์ รงิ หรอื ๙๖
• ท�ำไมผปู้ ฏิบัตธิ รรมจึงไม่อยากมีคคู่ รอง ๙๗
• การมคี ่เู ปน็ อปุ สรรคตอ่ การปฏิบตั ธิ รรมหรือไม่ ๑๐๐
• ชายหญงิ ปฏบิ ัติธรรมคู่กันโดยไม่แตง่ งานกันไดห้ รอื ไม่ ๑๐๒
• สามภี รรยาท่ปี ญั ญาทางธรรมแตกตา่ งกันจะอยู่ด้วยกันไดห้ รือไม่ ๑๐๔
• ถา้ ค่ขู อแยกทางเพราะปฏบิ ัติธรรมได้ไม่เสมอกันถอื เป็นการเบียดเบียนไหม ๑๐๖
• ใช้วิธธี รรมแก้ไขเร่ืองบคุ คลทส่ี ามท�ำใหค้ ู่มปี ญั หาได้อยา่ งไร ๑๐๘

๕. การท�ำบญุ ๑๑๐
• บุญกับทานตา่ งกันอย่างไร ๑๑๑
• การท�ำความดีในสงั คมแต่ไม่เคยเข้าวัดหรอื ใส่บาตรจะได้บุญหรือไม่ ๑๑๓
• ความอยากท�ำบญุ อยากท�ำความดี ถือว่าเปน็ กเิ ลสหรอื ไม่ ๑๑๕
• จรงิ หรือทค่ี นไขไ้ อซยี ูไดถ้ วายสังฆทานแลว้ วันตอ่ มาลุกข้ึนนง่ั ได ้ ๑๑๖
• การท�ำบุญสะเดาะเคราะห์เพอ่ื ต่ออายจุ ะได้ผลจริงหรอื ไม่ ๑๑๘
• ท�ำบุญอะไรจึงจะเกิดมาแลว้ สมบูรณ์ทง้ั รูปสมบตั แิ ละทรัพย์สมบตั ิ ๑๒๑
• การท�ำบญุ อะไรไดบ้ ุญมากทสี่ ดุ ๑๒๔
• ถา้ เราอยากเลอื กท�ำบุญกบั พระแค่บางรูปจะได้หรือไม่ ๑๒๖
• การถวายสงั ฆทานไมค่ วรทจ่ี ะเจาะจงพระภิกษุรูปใดรูปหน่ึงใชห่ รอื ไม ่ ๑๒๘
• ถ้าคนไมม่ ีอะไรเลย มีแตต่ ัวจะท�ำบุญได้อยา่ งไร ๑๓๐
• ผลจากการท�ำบุญดว้ ยจ�ำนวนเงนิ มากหรอื นอ้ ยไดบ้ ุญต่างกันไหม ๑๓๑
• คนมนี ้อย ท�ำบุญนอ้ ย สร้างวหิ าร ศาลา จะได้บญุ มากน้อยอยา่ งไร ๑๓๓
• การฝากผู้อน่ื ไปท�ำบญุ จะได้อานสิ งสผ์ ลบญุ หรอื ไม่ ๑๓๔
• ท�ำบุญในขณะที่ก�ำลังโกรธ หรือขณะทไ่ี ม่เต็มใจได้บญุ หรอื ไม่ ๑๓๖
• การท่ีเราท�ำบญุ แล้วอธิษฐานกับไมอ่ ธษิ ฐาน จะมผี ลตา่ งกันอยา่ งไร ๑๓๘
• ท�ำบญุ อะไรจงึ จะอุทศิ สว่ นกศุ ลให้แกญ่ าติทีล่ ว่ งลบั ไปแล้วได ้ ๑๔๐
• เพื่อจะได้บุญ ผทู้ �ำบุญตอ้ งกรวดนำ้� อุทิศบญุ ให้ตวั เองหรอื ไม่ ๑๔๑
• ควรอทุ ศิ บญุ เวลาใด และอุทิศบญุ ให้ผู้ทีย่ งั มีชีวิตอยู่ไดห้ รือไม่ ๑๔๓
• วธิ ีการกรวดนำ้� อทุ ศิ สว่ นกศุ ลทถี่ กู ตอ้ งคืออยา่ งไร ๑๔๕

• วิธีการกรวดน้ำ� ทถ่ี ูกต้องควรท�ำอยา่ งไร ๑๔๗
• เวลาเราอุทิศบุญใหห้ ลายๆ บคุ คล บุญน้ันจะถกู จัดสรรอย่างไร ๑๔๘
• ผูท้ ี่ลว่ งลับไปแล้วมาอนโุ มทนาส่วนบญุ ท่เี ราอทุ ิศให้ไดท้ กุ ครั้งหรือไม ่ ๑๔๙
• อานิสงส์ของการท�ำบญุ ตา่ งๆ โดยการตั้งสัจจาธษิ ฐาน ๑๕๑
• ผลของการท�ำบุญโดยการสรา้ งโบสถแ์ ละวหิ าร ๑๕๓
• ผลบุญจากการท�ำทาน รกั ษาศลี ภาวนา ตา่ งกันอย่างไร ๑๕๕
• ผลของการท�ำบุญกับคนธรรมดาหรอื กบั พระสงฆ์ที่มฌี านระดับตา่ งๆ ๑๕๖
• การท�ำบุญในวนั ส�ำคญั ทางพุทธศาสนาหรือวนั อนื่ ๆ ไดบ้ ุญต่างกันอยา่ งไร ๑๕๙
• ความอ่มิ ใจและปตี ิท่ีเกิดจากการท�ำบญุ กศุ ลเปน็ กเิ ลสทีค่ วรละ ใชห่ รือไม่ ๑๖๑

๖. การปฏบิ ัติต่อพระสงฆ ์ ๑๖๒

• การประเคนสิง่ ของท่นี �ำไปถวายพระภกิ ษุสงฆ์ให้ถูกต้องตามกาลเวลา ๑๖๓
• วิธกี ารประเคนส่งิ ของแก่พระภิกษสุ งฆ์ ๑๖๔
• น�้ำปานะท่จี ะถวายพระภิกษุสงฆไ์ ด้ ๑๖๖
• เวลาท�ำบญุ ตักบาตรแกพ่ ระภิกษุสงฆ์ต้องถอดรองเท้าหรือไม่ ๑๖๗
• พระสงฆ์ยืนรอรับบาตรอย่หู นา้ วดั โดยไมเ่ ดินบิณฑบาตได้หรือไม ่ ๑๖๙
• พระสงฆ์เลือกฉนั อาหารทีบ่ ิณฑบาตมาหรอื ทญี่ าตโิ ยมถวายมาไดห้ รอื ไม ่ ๑๗๑
• พระสงฆ์สามารถตดิ ตามขา่ วสารและเร่ืองราวทางโลกไดห้ รอื ไม ่ ๑๗๒
• พระผดิ ศีลหรือไมถ่ ้าผู้หญิงมาโดนจีวรของพระ ๑๗๓
• คนทเี่ ป็นกะเทย ตุ๊ด เกย์ สามารถทจ่ี ะบวชเปน็ พระภิกษไุ ดห้ รือไม่ ๑๗๔

๗. การปฏิบตั ิธรรมในชวี ิตประจำ� วนั ๑๗๖
• ท�ำอย่างไรจงึ จะไม่ทุกข์ และจะดับทกุ ข์ทีเ่ กดิ ขึน้ แล้วไดอ้ ย่างไร ๑๗๗
• ควรท�ำอย่างไรเวลามเี ร่อื งทกุ ขใ์ จทไี่ มส่ ามารถลืมได้ ๑๗๘
• การปฏิบตั ธิ รรมจะท�ำใหห้ ายจากโรคได้หรอื ไม่ ๑๗๙
• การศึกษาธรรมะชว่ ยแก้ไขจิตใจที่หอ่ เหีย่ ว ซบเซาไดอ้ ยา่ งไร ๑๘๐
• บางครั้งเราไม่ไดต้ ั้งใจคดิ แต่บางสงิ่ โผล่ขึ้นมาเอง ตอ้ งท�ำอย่างไร ๑๘๓
• ความรสู้ กึ วา่ เราเคยพบเหตกุ ารณน์ ั้นๆ มากอ่ นคืออะไร ๑๘๕
• สญั ญา ในที่นหี้ มายถงึ สัญญาในขนั ธ์ ๕ หรอื เปลา่ ๑๘๖
• ถา้ มีกเิ ลสตัณหามาก เราตอ้ งประพฤตติ นอย่างไรจึงจะมคี วามสุข ๑๘๗
• กเิ ลสเปน็ คณุ และโทษอยา่ งไร ๑๘๙
• เร่อื งตัวตน ตัวกู ของก ู ๑๙๐
• วธิ แี ก้ไขความเปน็ คนอารมณร์ ้อน โกรธง่าย ๑๙๓
• จะท�ำอย่างไรเมือ่ มคี วามอิจฉาเกิดข้ึน ๑๙๔
• ควรท�ำอย่างไรเม่อื เกดิ ความอจิ ฉารษิ ยา ๑๙๖
• คนทีร่ ูจ้ กั ความโกรธ ความโลภ ความอจิ ฉาริษยา ๑๙๗
จะเป็นผูท้ ีไ่ ม่โกรธ ไมโ่ ลภ ไมอ่ จิ ฉาริษยา จริงหรือ


๘. การปฏบิ ตั ภิ าวนา ๑๙๘

สวดมนต์ ๑๙๙
• การสวดมนต์มผี ลดอี ยา่ งไร ๑๙๙
• สวดคาถาชนิ บญั ชรแล้วจะหายจากโรคภยั ไขเ้ จ็บจรงิ หรอื ๒๐๑
• การสวดมนตจ์ �ำเปน็ ต้องรูค้ �ำแปลและนอ้ มจิตตามขณะสวดหรอื ไม่ ๒๐๓

ความเข้าใจเบ้ืองตน้ ๒๐๕
• การอ่าน การฟัง หรอื ปฏิบตั ิธรรม ขจดั กเิ ลสไดร้ วดเร็วกวา่ กนั ๒๐๕
• การฝกึ จติ จะตอ้ งใช้ระยะเวลาแคไ่ หนจงึ จะเกิดประโยชน์ ๒๐๗
• การท�ำสมาธิแต่ละครั้งจะตอ้ งใชเ้ วลานานเท่าไหร่จงึ จะไดร้ ับอานิสงส์ ๒๐๙
• ฆราวาสท่ียงั ตอ้ งท�ำงานควรจัดสรรเวลาเพ่อื การภาวนาอย่างไร ๒๑๐
• ถ้ามเี วลาน้อย จะน่ังสมาธิภาวนาโดยไม่สวดมนตก์ อ่ นไดห้ รือไม่ ๒๑๒
• การนัง่ ท�ำสมาธิต้องเลือกเวลาท่เี หมาะสมด้วยหรอื ไม่ ๒๑๓
• การภาวนา เปดิ ไฟหรือปดิ ไฟจะดกี วา่ กนั ๒๑๕
• การท�ำสมาธินอกจากนัง่ ปฏบิ ัตแิ ล้ว นอนปฏิบัติไดห้ รอื ไม่ ๒๑๗
• คนนงั่ วิปัสสนาแลว้ บอกวา่ พดู ภาษาเทพได้ จริงหรอื ๒๑๘

หลกั การและขนั้ ตอนการปฏบิ ตั ิ ๒๑๙
• ข้ันตอนการปฏิบัตธิ รรมอย่างยอ่ ตามค�ำสอนของพระพทุ ธเจา้ ๒๑๙
• ขอค�ำแนะน�ำแนวทางการปฏบิ ตั สิ มาธโิ ดยย่อ ๒๒๐
• หลกั การปฏิบตั ติ นเพ่อื ใหผ้ ลของการปฏบิ ตั ิธรรมกา้ วหน้าย่ิงขึน้ ๒๒๕

จรติ ๒๒๗
• จรติ และวิธกี ารปฏบิ ตั ธิ รรมแบบต่างๆ ๒๒๗
• ขอค�ำแนะน�ำในการท�ำสมาธิเพ่อื ใหเ้ หมาะสมกับจรติ ๒๒๙

แก้ปญั หาเวทนา ๒๓๐
• เวลานงั่ สมาธสิ ามารถเปลี่ยนอิรยิ าบถบ่อยๆ หรือไม่ควรเปลี่ยนเลย ๒๓๐
• ควรท�ำอย่างไรเมือ่ น่งั สมาธิแลว้ เกิดทุกขเวทนาตา่ งๆ ๒๓๑
• อาการตวั โยกหรอื สปั หงกของผู้ทีน่ ง่ั สมาธอิ ยคู่ อื อะไร ควรท�ำอยา่ งไร ๒๓๓
• เวลานัง่ สมาธิรู้สึกว่ามีมดมาไตจ่ ะท�ำอยา่ งไร ๒๓๕
• ในขณะทีอ่ ยู่ในสมาธิ จะไดย้ นิ เสียงจากภายนอกหรือไม่ ๒๓๖
• จะแกไ้ ขอาการปวดหัวเมอื่ นั่งท�ำสมาธไิ ด้อย่างไร ๒๓๗
• น่งั สมาธิแลว้ แนน่ หน้าอกเป็นเพราะสาเหตุใด ๒๓๘
• วธิ แี ก้ปญั หานัง่ สมาธิได้ไม่นาน ๒๓๙

นิวรณ ์ ๒๔๑
• อปุ สรรคส�ำคัญที่สดุ ในการปฏิบตั ธิ รรมคอื อะไร ๒๔๑
• วิธแี กค้ วามงว่ งในขณะท่ีพยายามท�ำจิตให้ว่าง ๒๔๔
• เมอื่ จติ ฟงุ้ ซา่ นตลอดเวลาเราควรท�ำอย่างไร ๒๔๖
• เวลาท�ำสมาธิเมือ่ หลับตาแล้วท�ำให้จติ ฟุ้งซ่านควรจะท�ำอยา่ งไร ๒๔๘
• วธิ ีแก้ไขความสงสัยเก่ียวกับบุญบารมี และผลการปฏบิ ัตธิ รรม ๒๕๐

สภาวธรรม ๒๕๒
• ความร้สู ึกว่าตวั เองมรี ่างกายใหญโ่ ตเต็มห้องขณะท�ำสมาธิคืออะไร ๒๕๒
• อาการน้ำ� ตาไหลในขณะท่ปี ฏบิ ัติธรรมคืออะไร ๒๕๔
• น่งั สมาธิไปแล้วเกดิ เสียงระเบดิ ดังปงั ท�ำใหส้ มองโปรง่ ว่าง คอื อะไร ๒๕๕
• นงั่ สมาธิแลว้ มนั วูบลงและดเู หมือนวา่ งๆ มันคืออะไร ๒๕๗
• ขณะนงั่ สมาธิแลว้ เห็นแสงควรท�ำอย่างไร ๒๕๙
• ควรท�ำอย่างไรเวลาท�ำสมาธิภาวนาแล้วมีนิมิตเกดิ ขึน้ ๒๖๑
• การนงั่ สมาธิแล้วไมเ่ ห็นนิมิต ถอื ว่าปฏบิ ัติล้มเหลวหรือไม่ ๒๖๔
• การรักษาสภาวะทีไ่ ด้จากการฝึกสมาธิไปใชใ้ นชีวิตประจ�ำวนั ๒๖๖
• ความรูส้ กึ ในขณะท่ีจิตใจเป็นสมาธิของผ้ทู ฝ่ี ึกอบรมแล้วเป็นอยา่ งไร ๒๖๘
• ความสงบจากการอยกู่ ับธรรมชาติ กบั ความสงบจากสมาธิ ๒๖๙
• อปั ปนาสมาธมิ สี ภาวะเปน็ อยา่ งไร ๒๗๐

จติ ๒๗๑
• ทวี่ ่าจติ คิด จติ คิด จติ ตา่ งจากสมองอยา่ งไร ๒๗๑
• คนเรามี ๘๙ ดวงจิตหรือ ๒๗๓
• ค�ำอธิบายเรอื่ งจติ ความคดิ อารมณ์ และเทศนาธรรมขนั้ สูง ๒๗๕

ฌาน ๒๘๔
• จิตระดบั ไหนจงึ ควรน�ำมาพิจารณากายภายในกายเพื่อปลอ่ ยวาง ๒๘๔
• ฌานและสมาธิแตกตา่ งกันอย่างไร ๒๘๖
• ฌานสมาบตั ิต่างกบั นโิ รธสมาบตั อิ ย่างไร ๒๘๘
• โลกียฌานกบั โลกุตรฌานตา่ งกนั อย่างไร ๒๘๙

ปญั ญา ๒๙๐
• ปัญญาตอ้ งเป็นปัจจุบัน ไมใ่ ชส่ ญั ญาในอดีต หมายความวา่ อยา่ งไร ๒๙๐
• ปัญญาทางธรรมมีการแบง่ ระดับเชน่ เดยี วกับปญั ญาทางโลกหรอื ไม่ ๒๙๑
• นักปฏบิ ตั จิ ะรู้ระดบั ปญั ญาทางธรรมของตนเองไดอ้ ยา่ งไร ๒๙๔
• อะไรคอื เครื่องรับรองปญั ญาแทท้ ่เี กิดขึ้นจากการปฏบิ ัติธรรม ๒๙๙

การบรรลมุ รรคผล ๓๐๐
• จะรูไ้ ด้อย่างไรว่าการปฏบิ ตั ธิ รรมของตนน้ันถูกผิดหรอื เรียนจบแล้ว ๓๐๐
• การจะบรรลุมรรคผลนิพพานต้องอาศัยบารมเี ก่า ใช่หรอื ไม่ ๓๐๓
• นพิ พานคอื การดบั ทกุ ขใ์ ชห่ รือไม่ มีสภาวะเปน็ อย่างไร ๓๐๖

พ่อแม่ครบู าอาจารย์ ๓๐๗
• ประวตั ิการเดนิ ธดุ งค์ของหลวงปู่และธรรมะครูบาอาจารย์ ๓๐๗
• พอ่ แม่ครูอาจารย์หมายถึงอยา่ งไร ๓๑๑
• หลวงป่นู ับถือครูบาอาจารยท์ เี่ ปน็ พระอรหนั ตอ์ งคไ์ หนบา้ ง ๓๑๓

ศี ล ธพรรระมพุ ทแ ธล ศะ าคุ สณนธาร ร ม

ศาสนามีประโยชน์ต่อชีวิตเราอย่างไร

ศาสนาพุทธ หมายถึงคำ�สอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลัทธิหรือ
ศาสนาเป็นคำ�กลางๆ หมายถึงคำ�สอน จะเปน็ คำ�สอนของศาสดาไหน เป็นพุทธศาสนา
หรือเป็นศาสนาคริสต์ หรือเป็นศาสนาอสิ ลามกไ็ ด้ แต่วา่ ศาสนาไหนก็ตาม จุดมุ่งหมาย
ของผู้ที่สอนคือ อยากให้คนที่นับถือได้รับความสุขความเจริญในชีวิต ในการประพฤติ
ปฏบิ ตั ิตามค�ำ สอนน้นั ๆ นเ่ี ป็นประโยชนต์ ่อชีวติ

บัดนี้ พุทธศาสนาของพวกเราท่ีปฏิบัติกันอยู่ ก็สอนให้คนประพฤติปฏิบัติดี
ไม่ให้กระทำ�ชั่วกระทำ�บาป คนที่ไม่กระทำ�ช่ัวไม่ทำ�บาปอันจะนำ�ทุกข์มาให้ มันก็เลย
ไม่มีทุกข์ ไม่มีความเดือดร้อนวุ่นวาย น่ี..พุทธศาสนาให้เราประพฤติปฏิบัติตาม ต้ังแต่
ทำ�บุญทำ�ทานการกุศล รักษาศีล เจริญภาวนา การทำ�บุญนั้นก็เป็นการพัฒนาตนเอง
การรักษาศีลทำ�ให้ตนเองเป็นผู้มีศีลมีธรรม ไม่มีวิปฏิสารความเดือดร้อนอะไร มี
ประโยชนต์ ่อชีวิต ถา้ เราทำ�สมาธจิ ิตใจสงบ ก็ทำ�ให้เรามีความสุข ถา้ เจรญิ ปัญญา เราก็มี
ปัญญาเฉลียวฉลาด ให้รู้รอบคอบ ใช้สติปัญญาให้มีประโยชน์ ใช้ให้ถูกต้อง มันก็เลย
มีแต่ประโยชน์ ไมม่ คี วามเดือดรอ้ น

20 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม ปุ จ ฉ า - วิ สั ช น า

น่ี..ศาสนามีประโยชน์ต่อชีวิตของเราอย่างนี้ ถ้าผู้ใดประพฤติปฏิบัติดีแล้วตาม
คำ�สอนของพระพุทธเจ้า ก็นำ�ความสุขความเจริญมาให้แก่บุคคลผู้ประพฤติปฏิบัติใน
ชีวิตประจำ�วนั สว่ นศาสนาอื่นน้นั กแ็ ลว้ แตผ่ ูน้ บั ถือจะปฏิบตั ไิ ดแ้ คไ่ หน ท่จี ะน�ำ ความสขุ
มาให้แก่ผู้ปฏิบัติ แต่ละศาสนาก็มีประโยชน์ แต่จะประโยชน์ได้มากได้น้อย สิ่งที่มัน
ทำ�ให้มีความทุกข์มันก็มีมาก ผู้ที่ปฏิบัติได้อย่างกลางก็มีความทุกข์บ้าง มีความสุขบ้าง
ผู้ปฏิบัติได้มากในศาสนานั้น ปฏิบัติคุณงามความดีก็มีความสุขมาก แล้วแต่ผู้ใดจะถือ
ศาสนาอะไร เราจะไดร้ บั ความสุขเมอ่ื ปฏบิ ตั ติ ามคำ�สอนในศาสนาของเรา

ฉะนั้น ศาสนาต้องเป็นประโยชน์แก่ชีวิตของคนเราท่ีเกิดมาแน่นอน

พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า ศี ล ธ ร ร ม แ ล ะ คุ ณ ธ ร ร ม 21

คุณธรรม ศีลธรรมคืออะไร และต้องปฏิบัติอย่างไร

คุณของธรรมะหรือศีลธรรม คำ�ว่าศีลธรรมน้ี การปฏิบัติศีล คนปฏิบัติตามศีล
นน่ั คอื คนมีศีล ตงั้ แต่ศีล ๕ ศีล ๘ กด็ ี ศลี ๒๒๗ ข้อ หรอื ศลี ๑๐ ของสามเณร ผู้ปฏบิ ัติ
ศีลของตน เขาเรียกว่าผ้มู ศี ลี ธรรม

บัดนี้ ธรรมะ คุณธรรมน้ันก็คือคุณของศีล ผู้ปฏิบัติศีลก็จะมีคุณของศีล รักษา
ตนเองไมใ่ ห้มวี ิปฏิสาร (ความเดือดร้อน) ผู้รกั ษาศลี คุณของธรรมะเปน็ คณุ ธรรม บดั นี้
การปฏิบตั ฝิ กึ ฝนอบรมใหต้ นเองมีคณุ ธรรมก็คือ ทานก็มี ศีลก็มี ภาวนากม็ ี สร้างปญั ญา
ให้เกิดขึ้น สามารถละกิเลสได้ การปฏิบัติธรรมเพื่อให้รู้ดีรู้ชั่ว รู้บุญรู้บาป รู้คุณรู้โทษ
รู้ประโยชน์หรือไม่ใช่ประโยชน์ สิ่งใดไม่ดีก็ละทิ้ง เรียกว่าการปฏิบัติธรรม สิ่งใดดีก็
ปฏิบัติ ให้มีคุณธรรมเป็นเครื่องประดับ เรียกว่าคุณ คุณของการปฏิบัติตนเองให้ดีและ
มีความสุขนั่นเอง เรียกว่าคุณธรรม เราต้องปฏิบัติละความชั่ว ประพฤติความดี เราจึง
จะเปน็ คนมีคุณธรรม มีศลี ธรรมเป็นทีพ่ ่งึ

22 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม ปุ จ ฉ า - วิ สั ช น า

ธรรมะ - ศีล - กุศล
มีความแตกต่างกันอย่างไร

คำ�ว่า ธรรมะ เป็นเครื่องปฏิบัติ ศีล เป็นข้อบัญญัติ กุศลก็คือ ความฉลาดใน
การที่จะรักษาศีล กุศลแปลว่าความฉลาด กุศลนั่นเป็นฝ่ายดี ฉลาดในการท่ีจะหาวิธีที่
จะรกั ษาศีล ละความชว่ั ประพฤตติ นให้เป็นผู้มศี ีล บัดนี้ ธรรมะก็คอื อยากรู้อยากเข้าใจ
ในสิ่งใด มันเป็นบุญหรือเปน็ บาปนั่นเอง อะไรเป็นคณุ งามความดี อะไรเป็นสง่ิ ทไ่ี มด่ ี

สังขารท้ังหลายในโลกน้ี เขาเรียกธรรมะ อนุปาทินนกสังขาร ก็คือสังขารท่ีไม่มี
วิญญาณครอง ต้นไม้ รถ เรือ ภูเขา แม่นำ้� หนองคลองบึงอะไรเหล่านี้ เป็นสิ่งท่ีไม่มี
วิญญาณ อุปาทินนกสังขาร คือส่ิงที่มีวิญญาณครอง ก็คือมนุษย์พวกเราและสัตว์
เดรัจฉานทั้งหลาย เคลื่อนไหวไปมาได้ ก็รวมมาเป็นธรรมะ คำ�ว่า ธรรมะ ก็คือเร่ือง
ของธรรมชาติน่ีเอง มันเกิดมาอย่างไร มันตั้งอยู่อย่างไร มันดับไปอย่างไร มันไม่เที่ยง
อย่างไร มันอยู่ มันเป็นทุกข์อย่างไร มันเป็นอนัตตา ไม่ใช่ของใคร อยู่ในโลกนี้เป็นไป
อย่างไร ไปเรยี นรใู้ ห้จบ

สิ่งท้ังหลายเหล่านี้ เขาเรียกว่าธรรมะ เรารู้เพ่ือจะไม่ให้หลง อันนั้นเป็นธรรมะ
ก็คือกุศล คนฉลาดนี่แหละเป็นต้นเหตุ ฉลาดแล้วจึงจะรักษาศีลได้ เราจึงปฏิบัติธรรม
ให้รแู้ จง้ ได้ ก็แตกต่างกันอย่างนี้

พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า ศี ล ธ ร ร ม แ ล ะ คุ ณ ธ ร ร ม 23

ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
ให้ตั้งตนอยู่บนความไม่ประมาท หมายความว่าอย่างไร

พระพุทธเจ้าท่านสอนพวกเราไม่ให้ตั้งอยู่ในความประมาทในชีวิตของเรา แม้
เราจะหนุ่มน้อยก็ตาม ท่ามกลางคนก็ตาม หรือแก่ก็ตาม ทุกสิ่งทุกอย่างหรือธรรมะ
ทั้งหลายรวบรวมลงไปในความไม่ประมาท ก็คือเม่ือคนไม่ประมาทในชีวิตของตน ไม่
ประมาทในวัยของตนเอง บุคคลน้ันย่อมปฏิบัติคุณงามความดีได้อย่างเต็มท่ี คือไม่
ประมาทในชีวิตของเรา ว่าชีวิตของเราจะอยู่ไปจนถึงเฒ่าถึงแก่ชราเท่านั้นเท่าน้ีปี ไม่ได้
คิดอย่างน้ี เขาเรียกว่าไม่ประมาทในวัย เมื่อเป็นหนุ่มเป็นสาวก็ไม่มัวเมาลุ่มหลงใน
ความเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ เพราะระลึกถึงมรณานุสติ ความตายอยู่ แม้จะเปน็ กลางคน
๓๐ - ๔๐ ปกี ็ไม่หลงมวั เมาวา่ ตนเองยังแข็งแรง จะมีอายุยืนยาวไป ถ้าเราแกก่ วา่ นัน้ กไ็ ม่
หลงมัวเมาว่าเราแก่ เจ็บไข้ได้ป่วยเล็กๆ น้อยๆ ก็ไหว้พระสวดมนต์ ทำ�สมาธิ ไม่ต้อง
กลัว ไมม่ ัวเมาล่มุ หลงในโรค ถึงแม้จะเปน็ โรคภัยไขเ้ จบ็ ตา่ งๆ แตจ่ ะท�ำ ความดีอยตู่ ลอด
แสดงว่าบุคคลนั้นมีความเพียรอยู่ท้ังการปฏิบัติร่างกาย ทั้งการพูด ทั้งการคิดอ่าน ทำ�
ไปในทางที่ดีตลอด เรียกว่ารวบรวมลงในความไม่ประมาท บุคคลน้ันย่อมเห็นธรรมะ
เห็นของจริง ย่อมบรรลุธรรมได้ ก็เพราะความไม่ประมาทนั่นเอง การต้ังอยู่ในความ
ไม่ประมาท ก็คือต้ังอยู่ในความดีตลอด ไม่ได้คิดที่จะทำ�ความช่ัว คนนั้นแหละจะเจริญ
ท่ีสุด แม้จะเป็นญาติโยมหรือเป็นพระก็ตาม พระรูปไหนไม่ประมาท รูปน้ันแหละจะ
บรรลุธรรมก่อนเพอื่ น ของทั้งหลายจึงรวบรวมลงมาในความไม่ประมาทหมด คนจะพน้
ทกุ ขไ์ ดก้ ็เพราะความไมป่ ระมาท

24 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม ปุ จ ฉ า - วิ สั ช น า

เหตุใดจึงกล่าวว่า บาปและบุญอยู่ที่ใจ

มันเขียนไว้อย่างดี บันทึกไว้อย่างดี โยมนี่ทำ�ความดีอยู่ในห้อง น่ังภาวนาอยู่ใน
ห้อง มันก็เขียนไว้ โยมทำ�บาปอยู่ในห้อง มันก็เขียนไว้ เขียนไว้ท้ังสองอย่างนั่นแหละ
พิมพ์ไว้พร้อม พิมพ์ไว้ท่ีไหน พิมพ์ไว้ท่ีใจ คนอื่นเขาไม่รู้หรอก เราทำ�บาปอยู่ในห้อง
เจ้าของรู้ บาปไม่ได้มีในที่ลับท่ีแจ้ง บุญไม่ได้มีในท่ีลับท่ีแจ้ง ไม่ต้องประกาศก็ได้ เรามี
บุญไม่ต้องประกาศก็ได้ ทำ�อยู่ในห้องไม่มีใครเห็น มันก็เป็นบุญอยู่นั่นเอง มันจดบันทึก
ไว้อยา่ งดีเลย

พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า ศี ล ธ ร ร ม แ ล ะ คุ ณ ธ ร ร ม 25

ทำ�ไมพระพุทธรูปซึ่งถือว่าเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า
จึงมีชื่อเรียกต่างๆ

พระพุทธรปู มชี ่ือเรยี กตา่ งกันกเ็ พราะให้สมมุตใิ นชือ่ ต่างๆ กนั พระพุทธเจ้าเรานี้
ท่านมีหลายชื่อ พระศากยมุนีก็ได้ พระศาสดาก็ได้ พระบรมครูก็ได้ พระชินสีห์ก็ได้
ซึ่งแล้วแต่คนท่ีจะสมมุติช่ือของท่านข้ึนมาเรียก เพื่อเป็นการสรรเสริญในตัวของท่าน
พระพทุ ธชนิ ราชก็เหมือนกัน ตามวัดตา่ งๆ ใส่ชอื่ หลวงพ่อนนั้ หลวงพอ่ น้ี เชน่ หลวงพ่อ
โคดม หลวงพ่อสมณโคดม อย่างหลวงพ่อโตซึ่งก็เป็นพระพุทธรูปนั่นแหละ แต่ใส่ชื่อ
หลวงพ่อโต เพราะท่านเปน็ คนสร้าง พระพทุ ธรปู องค์อื่นก็คลา้ ยๆ อยา่ งนี้ พระพทุ ธเจา้
ท่านให้เอาชื่อของคนที่สร้างมาเป็นช่ือวัด เพ่ือให้เป็นเกียรติ แต่อย่าให้ออกนอกไปจาก
วงของผู้ท่ีควรยกย่องเท่านั้นเอง อย่างวัดในเชียงใหม่ วัดเชียงม่ัน เชียงม่ันสร้าง
วัดมหาวัน มหาวันสร้าง วัดผ้าขาว ผ้าขาวสร้าง วัดทองอยู่ ตระกูลทองอยู่สร้าง
พระพุทธรูปก็เหมือนกัน ตั้งไปตามสมมุติ แต่พระพุทธเจ้าของเรานั้น ชื่อแท้ที่จริงก็คือ
สมณโคดม พระพุทธเจ้าน้ันก็คือเป็นเจ้าแห่งความรู้ พุทธะแปลว่าผู้รู้ เจ้าแห่งความรู้
ท่ีได้ค้นคว้าธรรมะถึงที่สุดแห่งกองทุกข์ก่อนคนอื่นใดในโลกนี้ จึงได้ใส่พุทธะเข้าไป แต่
ในพระไตรปิฎกนั้น มีช่ือเรียกกันต่างๆ มากมายเลย เพราะทั้งหมดเป็นคำ�ยกย่องและ
สรรเสริญ เนือ่ งจากเป็นบุคคลที่ดี มีคณุ งามความดีมาก

26 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม ปุ จ ฉ า - วิ สั ช น า

ตำ�แหน่งอัครสาวก มหาสาวกสลับที่กันได้หรือไม่

พวกเราท่ีเป็นนักเรียนนักศึกษาแล้วไปบูชาไปกราบไปไหว้พระมหากัจจายนะ
เราต้องการมีปัญญาเหมือนอย่างท่าน ท่านเป็นสาวกผู้เลิศในการอธิบายความย่อให้
พิสดาร เพราะเมอื่ พระพุทธเจา้ เทศน์สัน้ ๆ เป็นภาษติ ขอ้ เดยี ว พดู สน้ั ๆ ข้อเดยี วเทา่ นั้น
แหละ แต่พระมหากัจจายนะท่านสามารถขยายออก อุปมาอุปไมยจนแต่งหนังสือได้
เป็นเล่ม ที่จะทำ�ให้คนเข้าใจจนได้ พูดอย่างน้ีไม่เข้าใจต้องพูดอย่างนั้น พูดอย่างนั้น
ไม่เข้าใจต้องพูดอย่างน้ี หรือเรียกว่าเหมือนคนได้หลายๆ ภาษา คนละประเทศหรือ
คนละภาษามาฟัง ท่านสามารถแปลได้ทุกภาษาให้ฟัง ให้เข้าใจทุกบ้านทุกคนเลย นี่
พระมหากจั จายนะเปน็ อย่างน้ี เขาเรียกว่าคนแตกฉานในภาษติ ตำ�แหน่งของอัครสาวก
มหาสาวกนี้เปลี่ยนตำ�แหน่งกันไม่ได้ พระพุทธเจ้าพยากรณ์แล้วไม่สามารถเปล่ียน
ตำ�แหน่งกันเหมือนกับทุกวันน้ี ได้เป็นแค่น้ันก็เข้านิพพานเลย พัดยศก็ไม่ได้ให้เหมือน
กับทุกวันน้ีหรอก ให้ทำ�งานตามหน้าที่เฉยๆ แต่ถ้าเราไปทำ�บุญกับท่านได้บุญเท่ากัน
หมด พระมหาสาวก ๘๐ องค์มีตำ�แหน่งหมด และนอกจาก ๘๐ องค์นี้แล้ว ยังมีอีก
เปน็ หมน่ื ๆ แสนๆ องค์ ถา้ ไปท�ำ บญุ กไ็ ดบ้ ญุ เทา่ กนั เหน็ ไหมในทกุ วนั น้ี บางองคท์ า่ นเรยี น
จบเปรียญ ๙ ประโยค แต่เทศน์ไม่เป็น แต่เรียนจบอยู่ เพราะท่านไม่มีโวหารปฏิภาณ
เหมือนนายแพทย์ที่จบรุ่นเดียวกันแล้วไปเปิดคลินิกไม่มีคนเข้า แต่แพทย์บางคนคลินิก
ไมม่ เี กา้ อน้ี งั่ กเ็ พราะเทคนคิ ในการรกั ษาโรคมตี า่ งกัน

พระพุทธเจ้าของเราน้ันเคยอธิษฐานไว้แล้วต้ังแต่หลายชาติ ท่านเคยเป็นมนุษย์
เคยเป็นฤๅษี เป็นกวาง เป็นอีเก้ง เป็นหมาจ้ิงจอก แต่ถึงเป็นอะไรก็รู้จักกราบรู้จักไหว้

พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า ศี ล ธ ร ร ม แ ล ะ คุ ณ ธ ร ร ม 27

ในสมยั พระพุทธเจ้าวิปสั สี ทา่ นฌานมาทางอากาศกบั หมพู่ ระภิกษเุ หมอื นกบั นก นั่งฌาน
มาในอากาศ พระพุทธเจ้าของพวกเราน้ีในสมัยนั้นท่านเป็นกวาง มองเห็นพระพุทธเจ้า
กย็ นื ดอู ยู่ พระพุทธเจ้าท่านมองลงมาเหน็ ท่านก็ลอยยัง้ อยู่บนอากาศ ยงั ไม่ลงมา กวาง
กไ็ ปคาบเอาก่งิ ไม้ใบไมต้ า่ งๆ มากองไว้ จากนน้ั ก็วง่ิ ไปหาคาบเอาดอกไม้มาไว้บนกองใบไม้
ก่ิงไม้ แล้วก็แหงนหน้าข้ึนไปมองดูพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็รู้ว่าอาราธนานิมนต์ให้
ลงมาประทับนั่งท่ีนั่น พอพระพุทธเจ้าลงมาประทับนั่งที่น่ัน กวางก็นอนหมอบฟังเทศน์
ดูซิ ท่านเป็นสัตว์ยังรู้จักการต้อนรับ ตอนนั้นจิตมันตกจึงไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่
จิตท่ีปรารถนาพุทธภูมิเป็นพระโพธิสัตว์ยังมีอยู่ไม่ลืม ไม่ลืมที่จะสร้างความดี ต่อมาก็มี
กวางตัวอ่ืนมารวมอยู่ด้วยกัน พระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่า พวกอีเก้งพวกกวางพวกน้ีมี
อุปนิสัยในอนาคตกาลข้างหน้าโน้น เขาจะค่อยปฏิบัติคุณงามความดีจนจะถึงได้บรรลุ
ธรรมในอนาคต ท่านทายไว้อยา่ งนเ้ี สียก่อน

ตอ่ มาพระพทุ ธเจ้าของเราไดม้ าเป็นฤๅษี เป็นสเุ มธดาบส สมยั น้ันมพี ระพทุ ธเจ้า
คือพระพุทธเจ้าทีปังกร พอพระพุทธเจ้าไปบิณฑบาต แต่ทางเดินไปบิณฑบาตทุกวันๆ
นั้นเป็นโคลนตม ฤๅษีนี้ไปเห็นจึงไปขุดดินทำ�ถนนเพ่ือที่จะให้พระพุทธเจ้าเดินได้สะดวก
เป็นการสร้างบารมีเพ่ือต้องการเป็นพระพุทธเจ้า บังเอิญทำ�แล้วมันยังไม่เสร็จ แต่
พระพุทธเจ้าเสด็จมาบิณฑบาตแล้ว เลยเอาคางน้ีไปพาดข้างหนึ่ง แล้วเอาขาไปพาดอีก
ฟากหนึ่ง เอาร่างกายนี้ทอดทับกับโคลนตม แล้วนิมนต์อาราธนาพระพุทธเจ้าและ
พระสาวกทั้งหลายเดินเหยียบหลังเป็นสะพาน ดูซิการสร้างบารมี บัดนี้พระพุทธเจ้า
ทีปงั กรกเ็ ลยยืนอยู่ ฤๅษกี ็อาราธนานมิ นต์จะเอารา่ งกายเป็นสะพานเพราะต้องการสรา้ ง
บารมี พระพทุ ธเจา้ ทา่ นกเ็ ลยกลา่ ววา่ ดูกอ่ นภิกษุทงั้ หลาย สเุ มธดาบสนน้ี ัน้ สร้างบารมี
ปรารถนาเป็นพุทธภูมิ ในอนาคตกาลข้างหน้าน้ี ในภัทรกัลป์ข้างหน้าซ่ึงยังอยู่อีกไกล
เขาจะได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณช่ือว่า สมณโคดมศากยมุนี พอสุเมธดาบสได้ยิน
เช่นนั้นก็มีความดีใจ เพราะว่ามีพระพุทธเจ้าทำ�นายแล้วจะต้องได้เป็นแน่นอน พวก
สาวกทั้งหลายก็ไม่สามารถที่จะไปเหยียบได้ เพราะเป็นพุทธภูมิกำ�ลังสร้างบารมี สาวก
กเ็ ลยลงไปเดนิ ในโคลนตมไมเ่ หยียบ

28 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม ปุ จ ฉ า - วิ สั ช น า

บัดน้ี พระสารีบุตรน้ันไปเห็นสาวกองค์อ่ืนว่าองค์น้ีทำ�ไมจึงมีปัญญามากเทศน์
เก่ง เราก็อยากมีปัญญามากเทศน์เก่งแบบนี้แหละ ในสมัยพระพุทธเจ้ากัสสปะ ท่านก็
บริจาคพระไตรปิฎกถวายไว้ในวัดก็เลยเป็นคนมีปัญญามาก ส่วนพระโมคคัลลาน์น้ัน
ชอบเอาแต่ฤทธิ์ เรียนแต่ฤทธิ์แต่เดช เทศน์ก็เทศน์น้อยๆ เรื่องของฤทธ์ินี้ ได้มีใน
พระไตรปิฎกเร่ืองบาตรไม้จันทน์กับราชคหเศรษฐีแห่งเมืองราชคฤห์ ราชคหเศรษฐีน้ัน
คิดสงสยั ว่าใครจะดหี นอ จะดีเท่าอาจารยข์ องเราไหม จงึ ท�ำ บาตรไมจ้ นั ทน์ เอาไมไ้ ผม่ า
ปักไว้ เอาบาตรวางไว้ข้างบน แล้วประกาศว่าสมณะหรือพราหมณ์ผู้ใดเป็นพระอรหันต์
และมีฤทธ์ิ จงปลดบาตรที่เราให้แล้วไปเถิด บัดน้ี มีพระปิณโฑลภารทวาชะ ได้กล่าว
กะท่านพระมหาโมคคัลลาน์ว่า ไปเถิดท่านโมคคัลลาน์ จงปลดบาตรนั้นลง บาตรนั้น
ของท่าน พระโมคคัลลาน์นั้นมิได้ไปปลดบาตรนั้นลง แต่กลับกล่าวเช่นเดียวกันน้ันกับ
ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ ทา่ นพระปิณโฑลภารทวาชะก็เหาะขึ้นสเู่ วหาส ปลดบาตร
และถอื บาตรน้ันเวียนไปรอบเมอื งราชคฤห์ ๓ รอบ นอกจากราชคหเศรษฐแี ล้ว ชาวบา้ น
มากมายเลื่อมใสท่านพระปิณโฑลภารทวาชะเป็นเหตุให้มีผู้ติดตามมาที่อารามมากมาย
และสง่ เสยี งอึกทกึ เกรียวกราว

พระพุทธเจ้าจึงถามถึงสาเหตุแห่งเสียงอึกทึกนั้น เมื่อทรงทราบก็ได้เรียกประชุม
ภิกษุสงฆ์ ท่านได้สอบถามแล้วกล่าวตักเตือนท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ ต้ังแต่น้ันมา
พระพุทธเจ้าท่านจึงบัญญัติว่า ใครได้ฌาน (ฤทธิ์) ไม่ให้ฌานให้คนหรือศรัทธาญาติโยม
เหน็ สมมุติว่าจะไปบิณฑบาตทีก่ รุงเทพฯ ให้ฌานไปลงนอกบ้าน ไปแต่ยงั มืดๆ อยแู่ ล้ว
อุ้มบาตรเข้าไปบิณฑบาต อันนี้ทำ�ได้ พอบิณฑบาตเสร็จเดินไปในท่ีลับตาที่ไม่มีใครเห็น
ก็ให้ฌานกลับมาวัดเลย เพราะเร็วเท่ากับดีดนิ้ว แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว เร็วกว่าเคร่ืองบิน
ขบั ไลอ่ กี เสยี ด้วย นั่นแหละดว้ ยอิทธิฤทธิ์ทำ�ได้แตอ่ ย่าให้โยมเห็น ในทกุ วันน้ีครบู าอาจารย์
บางองค์ท่านทำ�ได้ แต่พระพุทธเจ้าห้ามไม่ให้ทำ�ให้คนเห็น แม้องค์ไหนจะฌานได้ใน
ทุกวันนี้ ท่านก็จะฌานในเวลากลางคืนไปคุยกันหรือไปบิณฑบาตที่อ่ืนๆ พระพุทธเจ้า
ตรัสไวว้ ่าตราบใดทีย่ ังมคี นปฏบิ ตั อิ ยู่ ส่ิงเหลา่ นี้ยังมอี ยเู่ ต็มบรบิ รู ณ์

พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า ศี ล ธ ร ร ม แ ล ะ คุ ณ ธ ร ร ม 29

พระโสดาบัน พระทรงอภิญญา พระอรหันต์
แตกต่างกันอย่างไร

พระโสดาบันท่านไม่ได้เป็นพระอรหันต์ พระโสดาบันละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา
สีลัพพตปรามาสได้ ก็เหมือนพวกเราน้ีถ้าได้บรรลุพระโสดาบัน ก็คือรู้ว่าร่างกายนี้
ไม่เท่ียง ร่างกายนี้เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จิตใจรู้อย่างน้ีมั่นคง สักกายทิฏฐิ ไม่หลงว่า
ร่างกายนี้จะหนุ่มอยู่อย่างเดิม แต่จะเฒ่าจะแก่ไปทุกวัน อันนี้เขารู้ดี มันเจ็บมันป่วยรู้ดี
แล้วท่ีสุดมันถึงซึ่งความตายก็รู้ดี น้ีเป็นพระโสดาบันบุคคล วิจิกิจฉา ความสงสัยลังเล
ในบุญในบาปไม่มี ทำ�บาปต้องได้บาปแน่ ทำ�บุญต้องได้บุญแน่ ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย มี
ความเชือ่ ในค�ำ สอนของพระพุทธเจ้า เม่อื วจิ ิกิจฉาความลงั เลสงสัยในบุญในบาปไม่มแี ลว้
สีลัพพตปรามาส ฉันมีศีลหรือเปล่า เร่ืองนี้ไม่ต้องถาม อันน้ีมีแน่นอน พระโสดาบัน
บุคคลเขามหี ริ ิโอตตปั ปะเป็นเครอ่ื งอยู่ของใจ มีแคน่ ีแ้ หละทไ่ี ดบ้ รรลุธรรมเบ้อื งต้น

บัดน้ี อภิญญานั้นมันก็ต่างกันอีกแหละ มีบุญต่างกันคือมีขั้นสูงต่างกัน เป็น
พระอรหันต์นั่นก็เรียกว่าสุดยอด เป็นผู้พ้นทุกข์แล้ว พ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงไป เป็น
ผู้บริสุทธิ์ เหนือกว่าพระอนาคามี เหนือกว่าพระสกิทาคามี อภิญญานั้นเป็นเครื่อง
ประกอบของภิกษุ เหมือนกับเรามีเคร่ืองมือ เช่น ไฟฉายหรืออะไรต่างๆ ซึ่งถ้าองค์ใด
มีไฟฉายกเ็ ดินไปในทีม่ ดื ๆ ไดเ้ พราะว่าองค์นนั้ มีเงนิ ซ้ือไฟฉาย เหมอื นกับเราเปน็ เพ่อื นกัน
คนหนึ่งมีสตางค์ อีกคนหน่ึงไม่มี คนหนึ่งมีรถ อีกคนหนึ่งไม่มี คนที่ไม่มีรถก็ต้องอาศัย
คนท่ีมีรถ แต่ก็เป็นเพื่อนกันนั่นแหละ และก็เรียนอยู่ชั้นเดียวกันด้วย นั่นมันต่างกัน

30 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม ปุ จ ฉ า - วิ สั ช น า

อยา่ งนั้น เหมือนกับเราเปน็ เพือ่ นกัน ๔ คน คนหน่งึ มคี นหนึง่ ไม่มี แตก่ ็เปน็ เพ่อื นกนั ได้
ไปด้วยกันได้ เพราะเขามีวาสนาต่างกัน มีสมบัติต่างกัน ก็ดูซิ นักศึกษาท่ีนั่งอยู่ในที่นี้
อาจจะนง่ั รถเบนซ์ รถเปอโยต์ หรอื รถบีเอ็มฯ ไปมหาวิทยาลยั ก็มี แต่อาจารยท์ ส่ี อนอยู่
จบดอกเตอร์ อาจนั่งรถโตโยต้า รถป๊ิกอัพเก่าๆ หรือนัง่ รถเคร่ืองมาสอนกม็ ี ถงึ จะเรยี น
จบสูงแต่ท่านไม่มีทรัพย์สมบัติ ส่วนลูกศิษย์นั้นยังเรียนไม่จบเลยได้นั่งรถเบนซ์ไป
มหาวิทยาลัยแล้ว น่ันแหละบารมีมันต่างกันอย่างนี้ อันนั้นเรียกว่าคนมีเครื่องประกอบ
มนั จงึ ตา่ งกัน

บุญวาสนาบารมีน้ันแข่งกันไม่ได้ แข่งได้แต่รถแต่เรือ แข่งได้แต่วิ่งแข่งกัน แข่ง
บุญวาสนาบารมีกนั ไมไ่ ด้สกั คนหรอก พระกเ็ หมือนกนั บางองค์ท่านบวชใหมๆ่ มีคนไป
ทำ�บุญเยอะเลย เพราะท่านสร้างบุญแบบน้ันมา บางองค์บวชได้ต้ัง ๔๐ กว่าพรรษา
ไม่มใี ครเข้าวัดไปหาเลย จวี รก็จะไม่มีนุ่งห่ม ซง่ึ ทา่ นกม็ คี ณุ ธรรมของท่าน แตไ่ ม่ได้สรา้ ง
บารมีไว้อย่างน้ัน ท่านสร้างแต่ด้านปัญญา ไม่ได้สร้างบารมีด้านวัตถุ เหมือนคนเป็น
ดอกเตอรก์ ส็ ร้างแตด่ ้านปญั ญา ไม่ทำ�บุญ ไมใ่ หใ้ ครนัง่ รถสกั ที ไมบ่ รจิ าคค่ารถใหใ้ คร ก็
เลยไม่มีรถ อันน้ันแหละมันต่างกัน บุญวาสนาบารมีนี่จะเปรียบเทียบ เหมือนสมเด็จ
พระเทพฯ พระราชธิดาในหลวง กับนางสาวไทยเราท่ีเป็นนางสาวจักรวาล ให้เดินไป
ตามถนน นางสาวไทยก็จะมีแต่คนถ่ายรูปเท่าน้ันแหละ พวงมาลัยกับของน่ีไม่ค่อยได้
สว่ นพระเทพฯ นนั้ ท่านเสดจ็ ไปทไี่ หน พวงมาลัยจะมีคนถวายจนรับจะไม่ไหว ไมร่ ู้จะรับ
ของใคร เงินเขาก็ให้มากกว่าพระ คนละ ๑๐ ล้าน ๒๐ ล้านก็มี คนละล้าน คนละแสน
ก็มี พระน้ีเทศนจ์ นเหนด็ จนเหนอ่ื ยไม่ได้สกั ลา้ นเลย เพราะวา่ ไม่มีบารมี ไมม่ บี ญุ วาสนา
เหมือนอย่างเขา เขาสร้างบุญมามากจึงไปเกิดในตระกูลสูง ดูอย่างน้ีจะเห็นได้ชัด ใส่
นาฬิกาก็ใส่โรเล็กซ์แล้วก็ไม่ต้องซ้ืออีกเสียด้วย มีแต่บริษัทเขาจะถวายให้ แว่นตาของ
ในหลวงก็มีแต่คนแย่งกันถวายให้ กล้องถ่ายรูปก็แย่งกันถวายให้ ไม่ต้องไปขอใคร
น่ันแหละคนมีบุญวาสนาบารมี ส่วนปราสาทน้ันก็ไม่ต้องเล่ือยไม้ไสกบหรือลงมือทำ�เอง
ไม่ต้องไปติดลวดลาย เม่ือทำ�เสร็จแล้วใส่รองเท้ามันยิบเดินเข้าไปอยู่พักพาอาศัยได้เลย
ส่วนเราหาเงนิ เกือบตายยังไมไ่ ด้พกั อยเู่ ฉยๆ แบบน้ันไม่ได้เลย เพราะไมม่ วี าสนาบารมี
ไมไ่ ด้สรา้ งเอาไว้ น่นั แหละกรรมมนั จึงตา่ งกนั อยใู่ นทุกวนั นี้

พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า ศี ล ธ ร ร ม แ ล ะ คุ ณ ธ ร ร ม 31

ที่สุดของโลกมีอยู่ที่ไหน

ท่สี ุดของทางโลกนั้น ไม่มีที่สน้ิ สุดหรอก ถ้าไปตามมันไมม่ ีทีส่ นิ้ สุด แตท่ างธรรมนี้
ต้องหยุด หยุดเดินมันจึงจะหยุด ท่ีสุดของธรรมะก็คือการพ้นทุกข์ เป็นพระอรหันต์
ถึงท่ีสุดแห่งกองทุกข์ ที่สุดของโลกมันไม่มี โลกาธิปไตยมันไม่มีท่ีสิ้นสุด ถ้าเราเดินตาม
โลกมันไม่มีที่สิ้นสุดเลย เหมือนท่ีเขาผลิตของขึ้นมานั้น เราจะว่ิงตามตลอดเลยทีเดียว
มันเลยไมส่ ุดสกั ที เพราะความอยากของเราซึง่ เปน็ กิเลส

เราอาศัยกิเลส แต่เราก็ตามกิเลส ส่วนทางธรรมะน้ันก็อาศัยกิเลส แต่ไม่ตาม
กิเลส ไม่ให้กิเลสน้ันมาเหยียบยำ่�จิตใจ แต่ทางโลกน้ัน กิเลสเหยียบย่ำ�จิตใจ จูงจมูก
จูงจิตใจไป พูดอย่างง่ายๆ ถ้าใส่นาฬิกาเรือนน้ีอยู่ แล้วเกิดมีรุ่นใหม่ออกมา ก็อยากได้
รุ่นใหม่อีกแล้ว รถยนต์ย่ีห้อต่างๆ น้ีก็ไม่ต้องยากอะไร เครื่องยนต์อันเก่าน่ันแหละแต่
ขอใหท้ ำ�ฝากระโปรง ท�ำ ขา้ งนอกใหมเ่ ท่าน้นั แหละ กจ็ ะว่า โอ้..น่ีรุ่นใหม่นะ เขาออกมา
รุ่นใหม่นะนี่นะ มันก็จะหลงไปไม่หยุดอยู่อย่างน้ีแหละ คนท่ีจะหลอกก็พยายามทำ�
ส่งิ ของตา่ งๆ ขน้ึ มาเพ่อื จะขายเอาเงิน แตม่ นั กเ็ ปน็ วัตถุอนั เดียวกันนน้ั แหละ เครือ่ งยนต์
ก็เครื่องยนต์อันเดียวนั้นแหละ แต่เขาก็ทำ�หลอกข้างนอก แค่นี้เขาก็หลงแล้ว โลกนี้มัน
ก็เลยไม่มีท่ีส้ินสุด ตามไปมันไม่มีท่ีสิ้นสุด เหตุฉะน้ัน ในสมัยพุทธกาลจึงมีฤ ๅษีไปถาม
พระพุทธเจา้ วา่ ทสี่ ุดของโลกมนั มอี ยู่ทไี่ หนพระเจา้ ขา้ พระพทุ ธเจา้ จงึ ตรัสบอกว่า ฤๅษนี ้ี
ถ้าเธอมีฌานเร็วเหมือนดีดนิ้วมือ ให้เธอมัดห่อข้าวใส่เอว แล้วฌานได้เร็วๆ เหมือน
ดดี น้ิวมอื ไป อยากใหม้ นั สดุ โลก แต่มันกไ็ ม่มที ่ีสดุ ของโลก ถึงเธอมีอายตุ ง้ั พนั ปีเธอก็ตอ้ ง

32 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม ปุ จ ฉ า - วิ สั ช น า

ตายอยกู่ ลางทางนัน่ เอง เพราะเธอวิง่ ตามกิเลส อยากใหม้ นั เห็นทส่ี ุดของโลก พระพทุ ธเจ้า
สอนไวอ้ ยา่ งน้นั

ท่สี ดุ ของธรรมะกค็ ือเรยี นโลกใหจ้ บ ไม่ตอ้ งตามมนั ไป โลกเขาดน้ิ รนอะไรกันเรา
กพ็ ิจารณาไป ว่าส่งิ ไหนทค่ี วรใชห้ รอื ไมค่ วรใช้ ถา้ ไมค่ วรก็ทิ้งๆ คืนให้โลกไป เรยี กว่าไม่
ตาม เขาเลน่ ดนตรกี ็ไม่ไปฟงั นเ้ี ขาเรียกว่าไมต่ ามกเิ ลส เขาท�ำ อะไรทม่ี ันไม่ดีไม่งาม มัน
ผิดศีลธรรม ก็ไม่ตาม เรียกว่าโลกกับธรรมะน้ันเหมือนหันหลังต่อหลังใส่กัน แต่อยู่
ด้วยกนั โลกเขาจะเดนิ ไปทางหน่งึ ธรรมะจะเดนิ แยกทางกันหรอื สวนทางกนั ถ้าเดนิ มา
ก็สวนกัน แต่แท้ที่จริงมันหันหลังใส่กันไปคนละทาง แต่จะอยู่ด้วยกัน คือทางโลกจะ
ท�ำ บาปไปไมห่ ยุด อยากไม่หยุด หวิ ไม่หยดุ ทกุ ข์ไม่หยดุ ไมม่ กี ารสน้ิ สุด แต่ทางธรรมนี้
เราตอ้ งหนีจากส่ิงที่มันทกุ ข์ไมม่ สี ้นิ สุด มีความอยากไม่หยดุ เรากห็ นีจาก นีม้ นั จงึ จะพน้
ทกุ ขไ์ ปได้

พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า ศี ล ธ ร ร ม แ ล ะ คุ ณ ธ ร ร ม 33

ควรแนะนำ�อย่างไร
กับคนที่ยังไม่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา

คนท่ีไม่เล่ือมใสในพระพุทธศาสนาและเราจะให้เขาเช่ือม่ันและเข้าใจในพระ
พุทธศาสนา อนั ดับแรกกต็ ้องเป็นตวั ของเราทีไ่ ปชวนและปฏิบัตใิ หเ้ ขาเห็นความดใี นการ
ปฏบิ ตั ิ อันดบั ที่สอง เราต้องช้ีแจงเรอื่ งเหตผุ ลเร่ืองกรรมชวั่ และกรรมดใี หเ้ ขาเข้าใจ การ
ทำ�บาปความช่ัวน้ีมันผิดศีลธรรม ถ้าเขายังไม่เช่ือก็ต้องชวนเขาไปดูในคุกเสียก่อนเพื่อ
ที่จะให้เห็นของหยาบๆ เห็นไหมคนจนๆ ไปขโมยฆ่าคนแล้วมันนอนอยู่ในคุก ไปไหน
ไม่ได้ นี่คือบาป คือกรรม คือความชัว่ ใหส้ อนเขาเพือ่ ให้เขาเข้าใจ ถา้ เขาไมท่ �ำ ความชวั่
ทำ�ผดิ กฎหมายของบา้ นเมอื ง เขาก็ไมไ่ ดเ้ ขา้ มานอนอย่ใู นคุก คนที่เขาไม่ไดท้ �ำ เขากไ็ มไ่ ด้
นอนอยู่ในคุกก็เดินสบาย ยังหากินสบายอยู่ เพราะเขาไม่ได้ทำ�บาป แต่ถ้าคนทำ�ความดี
แล้วใหค้ วามสขุ แก่คนอ่นื ชแ้ี จงใหเ้ ขาเหน็ เชน่ สมมตุ วิ ่าเราอยใู่ นวิหารอยา่ งน้ี นแ่ี หละ
คนสร้างความดี สรา้ งวหิ าร ทกุ คนไดเ้ ข้ามาน่งั อยู่ในทน่ี ่ี เวลาแดดออกกอ็ ยสู่ บาย เวลา
ฝนตกก็น่ังนอนอยู่สบาย มีความสุข ก็คือบุญ คือความดีของบุคคลท่ีทำ� ถ้าเขาไม่ทำ�
แล้วเราจะไดน้ ั่งไหม เราจะไดน้ อนไหม เรากต็ ้องยืนตากแดดตากฝนอยู่นน่ั เหน็ ความดี
ของคนอนื่ ไหมทีไ่ ดส้ รา้ งคุณงามความดี ใหเ้ ขารู้จักทำ�คุณงามความดี เรียนหนังสือก็เปน็
คุณงามความดี เรียนเพ่ือให้ได้วิชาความรู้เป็นเครื่องประดับตน ก็เป็นการสร้างความดี
ทง้ั น้ัน ชี้แจงเพ่อื ใหเ้ ขาเข้าใจของทีห่ ยาบๆ นี้ก่อน

ก ร ร ม ศี ล

การทำ�ความชั่วโดยไม่ได้ตั้งใจจะผิดไหม
และถ้ารู้ตัวแล้วสามารถแก้ไขได้หรือไม่

พระพุทธเจ้าท่านสอนในหลักของพระว่า สิ่งท่ีช่ัวแล้วแม้เราไม่ต้ังใจทำ� มันก็ชั่ว
อยู่ดี มันก็ผิดอยู่ดี เหมือนเราจะไปหลงด่ืมเหล้า มันก็ผิดศีลอยู่ดีนั่นแหละ เรา
ไม่ได้ต้ังใจว่าจะด่ืมเหล้า แต่บังเอิญเข้าใจผิดนึกว่าเป็นนำ้� เราด่ืมลงไปมันก็ผิดอยู่ดี
นั่นแหละ มันก็เมาอยู่ดีนั่นแหละ แต่เราไม่ได้เจตนา มันเบา เหมือนกับว่าเราจะทำ�
ความชัว่ บางอย่างโดยไม่ได้เจตนา มันเบากวา่ เท่านัน้ เอง

ถ้าเราตั้งใจมีเจตนาจริงๆ แล้วมันผิดมันแรง การกระทำ�ความช่ัวทุกอย่างเลย
ทีเดียว ถ้าเราเจตนา เจตนาอยากจะทำ�ความชั่วจริงๆ มันจะบาปมาก เราไม่ได้เจตนา
วา่ จะท�ำ แต่มันเผลอ เช่น เราเดนิ ไปเหยียบมดนั่น เราเดินไปลม้ ทบั มดทบั คนเอย มันไป
อย่างน้ี มันก็เผลอสติโดยไม่ได้ต้ังใจ เดินไปตกห้วยลงไป ไปทับปลา ไปทับสัตว์ตาย
อย่างน้ี หรือโยนไม้ไป ไม่ได้ไปโยนใส่เขา มันโดนสัตว์โดนอะไร ขว้างค้อนไป อันนี้
ไม่ได้เจตนาจะทำ�ผิด ไม่ได้ต้ังใจ มันก็เป็นกรรมให้เศร้าหมองภายในใจ แต่ว่าไม่ผิดศีล
อย่างหยาบ

และถ้ารู้ตัว พร้อมที่จะแก้ตัวในเรื่องท่ีได้ทำ�ผิด อันน้ันเป็นส่ิงที่ดี ถ้าเรารู้ตัวว่า
มนั ผิด มันเปน็ ความชว่ั มนั ไมด่ ีแล้ว มนั จะน�ำ ความทุกขม์ าให้ เรากพ็ ยายามท่จี ะแก้ไข
ปรับปรุงตนเอง ไม่ให้มันเผลอ ไม่ให้ไปหลงกระทำ�อย่างนั้น มันก็เป็นส่ิงที่ดี เรียกว่า
คนยังรู้ รู้ตัวเองว่าทำ�ผิดก็แก้ตัวมาทำ�ถูกเสีย คือไม่ทำ�ความชั่วน้ันอีก มันก็เป็นฝ่ายที่ดี

36 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม ปุ จ ฉ า - วิ สั ช น า

วิบากกรรมทางกายและทางใจต่างกันอย่างไร

วิบากกรรมเจ็บป่วย หรือวิบากกรรมอ่ืนๆ วิบากกรรมทุกข์เฉยๆ แต่ไม่เจ็บ
ไม่ป่วย ทุกข์กายหรือทุกข์ใจ วิบากกรรมทุกข์กายอย่างหนึ่ง วิบากกรรมทุกข์ใจ
อีกอย่างหน่ึง เราเป็นวิบากตัวไหน วิบากกายเกิดทุกข์อันน้ีเป็นหน้าท่ีของการทำ�บาป
ความช่ัว ไม่รักษาศีลตัวปาณาติปาตาไว้ วิบากกายได้ทุบ ได้ตี ได้ฆ่า ได้ฟัน ได้แทง
ได้ผูกมัดรัดรึงตรึงตรา เข้าคุกเข้าตะรางเรือนจำ� จำ�คุกนี่เป็นวิบากกาย แต่ใจมันก็จะ
ทุกข์ไปดว้ ย อนั นเี้ ปน็ วิบากทางกาย

ส่วนวิบากทางใจ คนไม่ได้ติดคุกนะแต่เหมือนติดคุก อยู่บ้านก็ทุกข์ เดินไปก็
ทุกข์ ไปประเทศไหนก็ทุกข์ วิบากทางจิตใจ คนอ่ืนเขาไม่ทุกข์ตนเองก็ทุกข์ มันเป็น
อย่างนี้ น่ีเป็นวิบากทางจิตใจ ลึกลับด้วยนะวิบากทางจิตใจ วิบากทางร่างกายยังพอ
แก้ไขได้ ถ้าติดคุกออกคุกก็สบาย ถ้าเป็นไข้รักษาหายก็สบายเกิดข้ึน วิบากกายมาตาก
แดด ตากฝน ทำ�ไร่ ทำ�นา ทำ�สวน วิบากทั้งนั้นแหละ ขับรถ ขับเรือ ขับเครื่องบิน
อะไรต่างๆ น่ันก็เป็นเรื่องกรรม เรื่องกรรมวิบากต้องไม่ได้หลับได้นอน แท็กซ่ีก็ไม่ได้
นอน รถทัวร์ก็ไม่ได้นอน สิบล้อก็ไม่ได้นอน รถเทรลเลอร์ก็ไม่ได้นอน ขับเรือลงทะเลก็
ไมไ่ ดน้ อน ขบั เครื่องบินท่ีบนิ อยู่เดี๋ยวน้ไี มร่ ู้จะไปตกทไ่ี หน มันเปน็ วิบากทางรา่ งกาย

ก ร ร ม ศี ล 37

ถ้าวิบากทางใจน่ี ร่างกายไม่ป่วยนะ แต่มันทุกข์ ทุกข์จนไม่ได้กินข้าวกินนำ้�
ทุกขม์ ืดรอบด้านวิบากทางจิตใจ ไม่มที างออก เขาเรียกมดื รอบด้าน คนที่มดื รอบด้านน่ี
ไม่มีธรรมะ ไม่มีสติปัญญา ไม่มีหนทางจะแก้ไข จึงให้เรียนธรรมะเพ่ือหาทางออก พอ
กลุ้มใจอะไรทกุ ข์ใจอะไร ถ้ามันไมม่ ที างออก มันเป็นยงั ไง ตัดสินใจผดิ เม่อื ตัดสนิ ใจผิด
ไปซ้ือยาเบื่อมากิน คิดว่านี่สิทางออก..ตายซะดีกว่า ไปซื้อยาเบื่อมากิน ไม่ซ้ือยาเบ่ือ
ก็เอาอะไรมาผูกคอตาย มืดไม่มีทางไป บางคนก็เอาปืนยิงตนเองตาย บางคนกระโดด
ตึกตาย บางคนกระโดดนำ้�ตาย เพราะอะไร เพราะไม่มีทางออก แก้ปัญหาไม่ได้ เขา
เป็นกันอยู่ทุกวันน้ีใช่ไหม เมืองเราก็มี เมืองนอกก็มี เมืองเราน่ีก็เยอะคนมืดรอบด้าน
มันไม่มีประตูออก ลูกกุญแจไม่มี ลูกกุญแจคือปัญญา ถ้าสรุปแล้วตอนน้ีอาตมาก็จะ
พูดต่ำ�ๆ อย่าคิดว่าพูดหยาบนะโยม คนฆ่าตนเอง ๕ อย่างนี่นะ ชั่วกว่าหมา หมามัน
ยังไม่รู้จักฆ่าตนเองตายเลย คนเอามือจับปืนยิงตนเองตาย หรือผูกคอตาย มือนี้เอาไว้
ขับรถขับเรือทำ�การทำ�งานขีดเขียนเรียนหนังสือ ตักข้าวใส่ปากกิน เอามือไปจับเชือก
ผูกคอเจ้าของตาย โง่เท่าไหร่ละหนอ ช่ัวเท่าไหร่ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง เขาเรียกว่าไม่มี
ทางไป ไปซ้ือยาเบื่อมากิน มันกลุ้มใจมันอยากตายอย่างเดียวก็เสียชีวิต ไปกระโดดนำ้�
ตาย ถ้าไม่เชื่อ อาตมาเห็นนะไปตามสะพาน ไปยันหมาจะเตะมันลงนำ้� มันกัดเอานะ
ไปลองดูซิ หมามันกลัวตกนำ้�ตาย แต่คนนี้มันอยากโดดนำ้�ตาย มันโง่กว่าหมาตัวนั้น
อีก กระโดดตกึ โนน้ น่ะตกึ สงู ๆ หมาน่มี นั ยังหว่ งไม่กระโดดหรอก นีม่ ันฉลาดกว่าคน

ทุกข์จรงิ ๆ วิบากกรรมทุกขใ์ จ หาทางออกไม่ได้ กต็ ้องไปหากญุ แจ มแี ตพ่ ระนะ่
สอน อย่าไปฆ่าตนเองนะ รปู ร่างกายนก่ี ว่าจะได้มาเป็นผ้หู ญิงผู้ชาย กว่าจะสมบูรณต์ อ้ ง
บ�ำ เพญ็ มาหลายชาติ ต้องระลกึ ถงึ อย่างน้ี กว่าจะได้รา่ งกายสมบูรณ์นี่ ต้องมตี าสมบูรณ์
หูสมบูรณ์ จมูกปากสมบูรณ์ แขนขาอะไรสมบูรณ์ ร่างกายสมบูรณ์เป็นผู้หญิงผู้ชาย
ยากแสนยาก ทำ�ไมจึงยากล่ะ ลองไปดูมั้ย โรงเรียนคนตาบอด จะรู้ว่ามันเกิดเป็นคน

38 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม ปุ จ ฉ า - วิ สั ช น า

สมบูรณ์ยากไม่ใช่เกิดง่าย คนเรา ขนาดเป็นคนธรรมดายังไม่เต็มไม่สมบูรณ์ท้ังผู้หญิง
ผูช้ าย ผหู้ ญงิ กอ็ ยากเปน็ ผชู้ าย ผชู้ ายกอ็ ยากเปน็ ผหู้ ญงิ ยงั ไมส่ มบรู ณ์ ผหู้ ญงิ ก็ต้องเปน็
ผู้หญิง ผู้ชายก็ต้องเป็นผู้ชาย ถ้าเป็นคร่ึงๆ นี่ เขาไม่ให้บวชในทางพระพุทธศาสนา
เพราะเป็นคนไม่สมบูรณ์ ทุกวันนี้ดูง่ายนะโยม น่ันน่ะกรรมเห็นไหม ผู้หญิงอยากเป็น
ผู้ชายคือเขาเคยเป็นผู้ชายมาก่อน ผู้ชายอยากเป็นผู้หญิงเคยเป็นผู้หญิงมาก่อน ถ้าเป็น
อย่างน้ีจิตใจของเราดวงเดิมเก็บข้อมูลไว้ ความรักความยึดมั่นถือม่ันของจิตก็ยังยึดอยู่
เข้าใจไหม น่ีเรียนธรรมะความยึดมั่นถือม่ัน แล้วจะเข้าใจ ยึดม่ันถือมั่นอะไรเราก็จะติด
อยู่กบั สง่ิ นั้น จะเหน็ ไดว้ า่ ฝรั่งน้มี ันทงิ้ บ้านไปท่ีอ่ืน เวลามันตายจติ มันกลบั มาอยู่บ้านเกา่
มันกวนเก่งนะ มาเตะมาดึงขา พระอยู่ไม่ได้เลยในนิวยอร์คในชิคาโก บ้านผีสิงเตะ
ขนั น้�ำ มนต์คว�่ำ ผีอนิ เดียนแดงไมใ่ ช่ของเล่นเลยนะ อาตมาไปทีน่ ่ัน ไปนอนไปแผเ่ มตตา
ให้ มันด้ือนะเพราะมันหวงบ้านมัน ท้ังผู้หญิงผู้ชายเลย นั่นแหละจิตที่ยึดมั่นถือม่ัน
เหตฉุ ะนั้น มนั เปน็ วิบากทง้ั สิน้ วิบากกรรมทางกายและทางใจ

ก ร ร ม ศี ล 39

ทำ�ความดีลบล้างความชั่วได้หรือไม่

ดูซิ พิจารณาดูให้ดีๆ นะ เราทำ�ความดีลบล้างความชั่ว เราต้องคิดตรงน้ีแหละ
เม่ือเราทำ�ไปแล้วน่ันนะ เราดูแล้วเหมือนเราคิดในจิตใจของเรานั่นแหละ ถ้าเราคิดไม่ดี
เราคิดอิจฉาพยาบาท อาฆาตจองเวร ไม่ได้ทำ�ไปหลอกลวง หรือคิดเบียดเบียนคนนั้น
คนน้ี เราคิดเฉยๆ เราคิดจะฆ่าสัตว์ตัดชีวิตท้ังหลาย ที่เราคิดอยู่มันทุกข์ไหม มีความ
เศร้าหมองจิตใจไหม มันผิดศีลธรรมไหม ระยะนั้นมันคิดอยู่น่ันน่ะ ถ้ามันคิดนานมันก็
เศรา้ หมองอยู่นาน ในชั่วโมงนี่แหละ ในนาทที เี่ ราคิด มันเศรา้ หมองอยู่ มนั ผิดศลี ธรรม
เสยี แลว้ คดิ ทุกข์ มันไมด่ อี ยู่น่นั แหละ ของทไี่ ม่ดี

บัดน้ี เรากลับมาคิดดีเสีย มาทำ�ความดี มาคิดดี ที่คิดชั่วมันเหมือนเราลบไป
แล้ว แต่มันไม่ลบหรอก ความทุกข์ไม่หายหรอก ความชั่วไม่หายหรอก บัดนี้ มาสุข
มากลับใจใหม่ งานอยา่ งน้ีเรายงั ทำ�ได้ เราคิดเฉยๆ นะ สว่ นท่กี รรมนน่ั นะ ลงมอื จริงๆ
เราทุบเราตี เราแทงเราฟันคนอ่ืนนั่นน่ะ เราเป็นโจรเป็นขโมยปล้นจ้ีชิงกัน ไปท�ำ ให้เขา
แข้งขาหักอะไรต่างๆ ไปด่าไปว่าเขาอะไรต่างๆ เอาไว้ นั่นแหละ ไปหาเรื่องหาราวเขา
ขน้ึ โรงขึน้ ศาลเปน็ อยา่ งนแ้ี หละ

มันยังไงแล้วน่ี เราต้องคิดดูให้ดีนะ ทำ�กรรมชั่วแล้วจะทำ�กรรมดี ขึงขังมาทำ�
กรรมดี เหมือนเขาขโมยของอยู่ทุกวันน้ีแหละ เขาปล้นเขาจี้กัน เขาขายหยูกขาย
ยาเสพติดอะไรกันเหล่านี้ ผิดกฎหมายบ้านเมืองอะไรก็แล้วแต่ เขามาทำ�ดีแล้วน่ีนะ

40 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม ปุ จ ฉ า - วิ สั ช น า

ตำ�รวจก็ไม่น่าจะมาจับถ้ามันลบได้ เขามาปฏิบัติดีแล้วเดี๋ยวน้ีก็น่าจะลบล้างความชั่ว
นั้นเสีย แต่มันลบล้างไม่ได้ ตำ�รวจจึงต้องจับอยู่น่ันเอง เพราะมันผิดมาแล้วแต่อดีต
นัน่ แหละ

บดั นี้ เราก็มาท�ำ ดีแลว้ เป็นสงิ่ ทีด่ แี ลว้ นัน่ แนะ่ เราทำ�ดีอยนู่ แี่ ตต่ �ำ รวจก็ยงั จบั อยู่
เพราะบาปกรรมอันนั้นมันลบล้างไม่ได้ มันก็ต้องจับไปขังกรงอยู่น่ัน ไปขึ้นโรงข้ึนศาล
อยู่น่ันแหละ น่.ี .สิ่งท่ีลบลา้ งไม่ได้มันเป็นเชน่ น้ี เหตฉุ ะน้นั บาปจริงๆ ท่ีมันลบล้างไม่ได้
กค็ อื อนนั ตรยิ กรรม ถ้าเราลองได้ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆา่ พระอรหันต์ ทำ�สงฆใ์ ห้แตกสามคั คี
กนั เปน็ บาป เรยี กว่าอนันตรยิ กรรม เป็นกรรมหนักในทางพระพุทธศาสนา ไมม่ กี รรมดี
อะไรจะไปลบลา้ งมันได้ เราตอ้ งได้รบั ผลของกรรมน้ัน เพราะเปน็ กรรมหนัก น่ีคือกรรม
ชนดิ ทที่ �ำ ดว้ ยรา่ งกาย

คร้ันถ้าเป็นกรรมชนิดท่ีเกิดจากความคิด คิดหนัก ถ้าเราคิดทุกข์คิดยาก คิด
ลำ�บาก คิดอยากท�ำ รา้ ยผอู้ ืน่ คดิ อยากทำ�ร้ายตนเองอยู่ เป็นการคิดไม่ดีนะ อยากทำ�ร้าย
สัตว์เดรัจฉาน เราต้องพิจารณาดู ความคิดอย่างนั้นมันทุกข์ไหม มันเศร้าหมองไหม
จิตใจมีความเดือดร้อนไหม ไฟไหม้หัวใจไหมในระยะนั้น นั่นมันมีความทุกข์ไปแล้ว
เศรา้ หมองไปแล้ว บอบชำ�้ ไปเลยจิตใจ บัดน้ี จงึ เลยมาคิดกลับใจใหม่ นกี่ พ็ อคอ่ ยยังชั่ว
หนอ่ ย พอท่จี ะแกไ้ ขวา่ เราลบล้างความชว่ั ไปได้ แต่ว่าความทุกขม์ นั ก็ทกุ ขไ์ ปแล้ว เรามา
เอาความสขุ เหตุฉะนน้ั ทจ่ี ะลบล้างกรรมจรงิ ๆ นัน้ ให้หมดไปได้ หรอื แม้มนั ไม่หมดก็ดี
แต่มันจะหมดกรรม เรียกว่าเป็นอโหสิกรรมได้ ก็คือทำ�จิตให้บริสุทธ์ิถึงนิพพานอย่าง
เดียว ไมม่ าเกดิ อกี เท่าน้ัน จงึ จะไมไ่ ด้รับผลของกรรมชวั่ มีทางเดยี วเทา่ นน้ั หากใครท�ำ
จิตใจของตนบริสุทธิ์หมดจดแล้ว ถึงนิพพานแล้ว เมื่อคนน้ันตายไปแล้วไม่มาเกิดอีก
นัน่ แหละ กรรมชั่วทัง้ หลายทท่ี ำ�มานน่ั เหมือนกัน เปน็ อโหสิกรรมหมด ลบล้างหมดเลย
เพราะตดิ ตามไมท่ นั เพราะไมม่ รี ปู รา่ งกาย ไมม่ ีรปู ขนั ธ์เท่านั้นจงึ จะลบล้างได้ เหตุฉะนั้น
เราควรต้องศกึ ษาให้เขา้ ใจตามคำ�สอนของพระพุทธเจ้าตรสั สอนไว้

ก ร ร ม ศี ล 41

ปฏิบัติธรรมเพื่อตัดกรรม เพื่อลบล้างกรรมได้จริงหรือ

อนั น้เี ราก็ไปสรา้ งกรรมดีของเรา ไปละกรรมชั่วทีท่ ำ�มาแล้ว กรรมนก้ี เ็ หมอื นเรา
ผา่ ตดั มนั หายเจบ็ เหรอ มนั มรี อยไหม นนั่ แหละกรรม กรรมเหมอื นเงาติดตาม กรรมชั่ว
ท่ีเราทำ�น้ันก็เป็นฝ่ายหน่ึงละ แต่กรรมดีท่ีเราไปสร้างกรรมดี ถ้าหากว่าเป็นเจ้ากรรม
นายเวรทเี่ ราไปด่าเขา เราไปตีเขา ไปว่าเขา ถา้ ท�ำ บญุ อทุ ิศสว่ นกุศลกรรมดใี หเ้ ขา ถา้ หาก
เขารับอนุโมทนาน่ี เขาอโหสิกรรมให้ ก็พอจะผ่อนคลายกันลงไปหน่อย ถ้ากรรมเราทำ�
บาปจรงิ ๆ เราต้องฆ่าคน ฆ่าสตั วจ์ ริงๆ มันจะอโหสิกรรมใหไ้ หม ถา้ มนั ยังไม่อโหสิกรรม
ให้ กรรมมันกย็ ังอยู่เดิมๆ เหมอื นน้ำ�กับน�ำ้ มัน ความดีความชัว่ มันก็คนละอย่าง

เหตฉุ ะน้นั จึงเรยี กว่า สร้างความดีหนีความช่ัว เรียกว่าละบาปบำ�เพญ็ บญุ เรา
ไปสร้างความดี ไปไหวพ้ ระสวดมนตก์ ็ดี ไปบวชชีพราหมณก์ ็ดี ไปรกั ษาศลี ภาวนา อันนี้
เป็นความดีของเรา เราเร่ิมต้นที่ความดีเป็นฝ่ายหน่ึง ฝ่ายช่ัวก็เป็นฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายดำ�
ความดีก็เป็นฝ่ายขาว เป็นนำ้�มันกับนำ้� ไม่เข้ากัน สิ่งท่ีแล้วไปแล้วจะไปล้างไม่ได้ ใคร
ทำ�บาปคนนั้นก็รับกรรม ลูกทำ�ก็ลูกเข้าคุก แม่ทำ�ก็แม่เข้าคุก พ่อทำ�ก็พ่อเข้าคุก กรรม
เป็นของของตน กรรมเปน็ ทพ่ี ึ่งอาศยั ของตน เหตฉุ ะนัน้ กรรมดีกรรมชั่วนี่ เรามงุ่ อย่าง
เดียวว่าเราเคยทำ�บาปความชั่วมาทางกาย ก็เพียรละบาปเท่านั้นเอง เราเคยพูดช่ัวมา
เป็นบาปทางวาจาก็จะหยุดพูด ถ้าเราคิดบาปทางใจก็จะหยุดคิด น่ีเรียกว่าวิธีดับทุกข์
เราจะท�ำ แต่ความดี เราจะพดู แต่ดีแลว้ คดิ ดีเท่านัน้ เรยี กว่าจะหาทางพน้ ทกุ ข์ พวกเราก็

42 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม ปุ จ ฉ า - วิ สั ช น า

นิพพานหมดถ้าพ้นทุกข์ได้ กรรมที่ชั่วทำ�ให้เขาล่าตามเหมือนเงาติดตาม เขาก็ตามไป
เหมือนหมาล่าเน้ือ ตามทันกัดตูดเนื้อเท่านั้นแหละ ทีนี้ ถ้ากรรมมันไม่ทันเหมือนคน
บางคน มันเป็นขโมย เป็นคอร์รัปชั่นหรืออะไรต่างๆ โกงเงินกัน ถ้ากรรมมันยังตาม
ไม่ทัน มันก็ยังนั่งสบายอยู่ ถึงเวลาสอบสวนได้ก็จับติดคุก กรรมมันตามทัน มันเป็น
อย่างน้ี พอฟังเข้าใจไหม เขาเรียกกรรมเหมือนหมาล่าเน้ือ แต่ถ้าพูดถึงกรรมมันเอา
เร็วๆ พอเราไปตีเขา เขาก็ตีเราเลย กรรมมันทันสมัยไหม คนทำ�ดีเขาก็รับผลดีของเขา
เราก็เห็นเต็มบ้านเต็มเมือง คนไม่ดีมันมากกว่าคนดี มันเลยวุ่นวายจะทำ�อย่างไร เราก็
ควรท่ีจะต้งั ใจปฏบิ ตั ขิ องเรา อย่าไปคิดถึงเขา

ก ร ร ม ศี ล 43

การทำ�บุญอุทิศและขออโหสิกรรม
แก้กรรมได้จริงหรือ

แท้ท่ีจริงแล้วน้ัน ท่านว่าเราสามารถที่จะเห็นกรรมของคนว่าเป็นกรรมอะไรกับ
คนๆ นั้น เราไปทำ�กรรมไว้กับเขาแล้วเราก็ต้องขออโหสิกรรมส่ิงที่เราทำ�เพื่ออภัยให้กัน
ถ้าว่าเห็นก็คือเห็นว่าคนนั้นไม่มีเครื่องนุ่งเคร่ืองห่ม คนนั้นไม่มีอาหารการกิน ไม่มีที่อยู่
พึ่งพาอาศัย จึงจะได้ทำ�บุญชนิดน้ันอุทิศให้เขา ทีนี้ถ้าหากว่าเราไปทำ�กรรมให้เขาเราก็
ได้รับกรรมนั้นอยู่ เราก็ต้องทำ�บุญอุทิศให้เขาอโหสิกรรมให้เรา ถ้าเขายังไม่อโหสิกรรม
ให้เรา เราก็ยังป่วยอยู่นั่นแหละ รับกรรมอยู่ ถ้าเขาให้อโหสิกรรม นำ้�หนักมันก็จะเบา
บางทกี รรมมนั เบาก็ผอ่ นคลายหายไปจากความเจ็บป่วยน้นั ๆ เขาเรยี กวา่ อุปปฬี กกรรม
กรรมบีบคั้นเอาไว้ไม่ให้มีความสุข ตราบใดที่เขาอโหสิกรรมให้จะเห็นว่าไม่มียามันก็หาย
ปว่ ยได้ มนั ป่วยโรคกรรม ถ้าเป็นโรคภัยไข้เจบ็ ก็ต้องกินยาแก้ปว่ ย

44 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม ปุ จ ฉ า - วิ สั ช น า

ความเชื่อที่ว่าถ้ารับประทานข้าวไม่หมดจาน
ชาติหน้าจะได้เกิดมาเป็นนก คอยคาบข้าวทีละเม็ดๆ

ไปตลอดชาติจริงหรือไม่

อันน้ไี ม่เป็นไรหรอก ใจของเรามนั เป็นมนษุ ย์อยแู่ ล้ว จะไปเปน็ นกไดอ้ ยา่ งไร ใจ
ของเราอยู่ในความดี เราจะเอาไปเจือจานให้หมากิน ให้นกกิน ให้อะไรกินก็แล้วแต่
มันเป็นการทำ�บุญอยู่ดี การท่ีเราจะไปเป็นนก เราต้องชอบนกก่อน ชอบเล้ียงนกอยู่
น้ันแหละ พอตายไปจิตของเราพัวพันอยู่กับนก มันก็จะไปเกิดเป็นลูกนก ไม่มีปัญหา
ตรงนี้ได้เปน็ แน่ นี่หลักมันเปน็ อย่างน้ี แต่จติ ของเราเปน็ คนอยู่ กนิ ข้าวเฉยๆ แต่ไมห่ มด
มนั ไมเ่ ปน็ นกนะ

ก ร ร ม ศี ล 45

ทำ�ไมคนบางคนเพียงแค่เจอหน้ากัน
ก็รู้สึกไม่ชอบกันแล้ว

บดั นี้ คนเจอหนา้ กนั แล้วไม่ชอบกนั อยากดา่ ว่ากัน เป็นค่อู ริกนั น่นั เปน็ เพราะ
กรรมเก่าท่ีด่ากันมาแต่ชาติก่อน บัดนี้ คนเจอหน้ากันแล้วรักกัน นั่นก็เป็นกรรมเก่า
เหมือนกัน เพราะเคยรักกันมาก่อน เป็นพ่ีน้อง เป็นเพื่อนกันมาก่อน ไม่ว่าชาติใด
ภาษาใด ศาสนาใดกแ็ ล้วแต่ มันกจ็ ะรกั ของมนั เอง

46 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม ปุ จ ฉ า - วิ สั ช น า

การฆ่าสัตว์ที่มาทำ�ร้ายเราก่อนเป็นบาปหรือไม่

ศีลตัวปาณา การฆ่าสัตว์นี้ หลักความหมายหลักความจริงของมันมีว่า ปาโณ
สัตว์มีชวี ติ ปาณสญฺติ า รวู้ า่ สัตว์มชี ีวติ วธกจิตฺตํ จิตคิดจะฆา่ อปุ กกฺ โม เพยี รเพ่อื จะฆ่า
เตน มรณํ สัตว์ตายด้วยความเพียรนั้น ศีลหยาบขาด จะดุร้ายหรือไม่ดุร้ายไม่รับรอง
ตัวไม่ร้ายกบั ตัวที่รา้ ยก็เท่ากนั

บัดนี้ ศีลอย่างกลาง ถ้าหากเป็นยุงก้นปล่องบินมาหรือยุงลายท่ีนำ�ไข้เลือดออก
บินมาเฉยๆ เราบอกเพ่ือนว่า เอามัน เอามัน แค่นี้แหละ ศีลอย่างกลางก็ขาด ถึงยัง
ไม่ได้ฆ่ากต็ าม เพราะใช้วาจาทไี่ มม่ ีศีล

ทีนี้ศีลอย่างละเอียด พอเห็นยุงก้นปล่องหรือยุงลายมันบินมาจะมากัดเรา หรือ
เห็นงูหรือเห็นอะไรก็แล้วแต่ เพียงนึกในใจเฉยๆ ว่าถ้ามันเข้ามาใกล้จะบ้ีมัน นึกแค่นี้ก็
ศีลขาดแลว้ อันนีเ้ ปน็ ศลี ละเอียดเรียกว่า อธิศีล

บัดนี้ เรานั่งสมาธิอยนู่ แี้ หละ เกิดเราน่ังแล้วจิตมันไม่สงบ คิดจะไปฟังดนตรมี ัน
ก็ผิดศลี เพราะจติ มันไมส่ งบ เราอยากไปเทยี่ วมนั ก็ไม่สงบมนั ผิดศลี นัน่ เป็นตัวละเอียด
เขาเรียกว่า อธศิ ลี

ถา้ เราจะรักษาศีลขอ้ ปาณาให้บรสิ ุทธก์ิ ต็ ้องมีตัวเจตนา มคี วามเมตตา ยุงกน้ ปล่อง
บนิ มาจะมากดั ก็ไลไ่ ปเสีย ไล่มนั ไป อย่าไปฆ่ามัน ยุงลายบินมากไ็ ล่มนั อยา่ ไปตบไปตี
มันเหมือนคนไม่มีศีล ญาติโยมในเชียงใหม่มีหลายคน เขาไม่เช่ืออาตมา มาวัดใหม่ๆ

ก ร ร ม ศี ล 47

เห็นยุงน้ีตบเอาๆ ตีเอาๆ อาตมาบอกว่าไปตีมันทำ�ไม มันจะเป็นบาป เขาเถียงเลยนะ
ว่ามันจะมากดั เรา ฆ่ามันซเิ ดย๋ี วจะทำ�ให้เป็นไข้ ซ่งึ สว่ นมากจะมแี ต่ผู้หญิง อาตมาก็บอก
วา่ โยมให้พากนั ต้งั ใจรักษาศลี แผเ่ มตตา ลองดูซิ พยายามตั้งใจปฏิบัตริ กั ษาศลี ขอ้ น้ี อยา่
ท�ำ ใจใหโ้ หดรา้ ย พยายามรกั ษา ถา้ มันมากเ็ ปา่ ลมไล่ไป หายามาทาแขนทาขาไว้ เขากม็ ี
ความต้ังใจ แตต่ ้องใช้เวลา พบและคุยกันไมต่ ่�ำ กวา่ ๓ ปจี ึงไดผ้ ล พอทหี ลังเขาไปรักษา
ศีลเท่านั้น เกิดมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ทุ่มเทเงินเดือนเจ้าของจน
แทบจะไม่เหลือสักเดือนเลย ซ้ือสิ่งน้ันสิ่งน้ีเล้ียงหมู่ ใครเจ็บไข้ได้ป่วยก็ซื้อยาไปให้ทุกที
เลย เดี๋ยวน้ีไม่ฆ่าสัตว์แล้ว ทุกวันนี้พอไปทำ�ผิดศีลเท่านั้นแหละจะเป็นไข้ไม่สบายเลย
เห็นยุงมนั บนิ มาแล้วเอาสเปรย์ฆา่ ยุงฉดี เขา้ ไปยงุ ตกลงมาตาย เจ้าของเปน็ ไข้เลย ทุกวนั น้ี
ทำ�ไม่ได้เลย แมลงสาบก็เหมือนกัน เดี๋ยวน้ีรักไปหมด พอมีศีลนี้นะ นอนก็หลับ อยู่ก็
สบาย กินข้าวก็ไม่ต้องกินมากเหมือนแต่ก่อน มันก็อ้วน เห็นไหม ความดีมันทำ�ให้มี
ความสุขนั่นแหละ

ศลี เมอ่ื รักษาละเอียดๆ เขา้ ไปเทา่ ไร มนั จะมองเหน็ เลย พอท�ำ ผิดมันจะประจาน
ตนเอง น่ังสมาธิเข้ามันจะโผล่ออกมา สำ�หรับพระนี้ พอท่านรักษาศีลละเอียดดีแล้ว
เม่ือน่ังหลับตาเข้าไป ศีลข้อที่ทำ�ผิดมันจะมาฟ้องเลย ต้องรีบไปแก้ไขไปชำ�ระเสียก่อน
จึงจะนงั่ ได้ นั่นศีลทเ่ี ล็กๆ นอ้ ยๆ เขาจะออกมาฟ้องเลยเม่อื จติ ละเอยี ด เพราะความคดิ
ทมี่ นั ผดิ น้นั มนั ฝังอยใู่ นจติ ของเรา กเ็ หมือนข้อต้นของเรานนั่ แหละ ละบาปกลวั บาป เขา
เรยี กวา่ สะดงุ้ กลัวต่อบาป หิริ ความละอายตอ่ บาป โอตตปั ปะ ความสะดงุ้ กลวั ต่อบาป
ที่จะตามเรา เม่ือมีหิริ-โอตตัปปะประคองอยู่ในจิตใจของคนใดหรือในโลกแล้ว จะเป็น
ธรรมท่ีคุ้มครองโลกให้โลกอยู่อย่างมีความสงบสุข ก็คือมีธรรมะ ๒ ข้อนี้เป็นเครื่องอยู่
ของคนในโลก ถ้าประเทศใดขาด ๒ ข้อน้ี เขาจะยกจรวด ปนื ระเบดิ ใสก่ ันอยูต่ ลอดเลย
เพราะเขาขาดหิริ-โอตตัปปะ ไม่ละอายต่อบาปเลย ไม่สะดุ้งต่อบาปท่ีจะเกิดข้ึนเลย ถ้า
ผู้ใดรู้จักข้อต้นดี ก็รู้เร่ืองดีว่าบาป มันจะเป็นทุกข์ อย่างด่ืมเหล้า ถ้าเราไปดื่มแล้วเมา
มันไมด่ ี มันเสียศกั ด์ิศรขี องเรา กเ็ ลยไมด่ ่ืม เพราะมันเปน็ บาป กลัวศลี ข้อท่ี ๕ ขาด

48 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม ปุ จ ฉ า - วิ สั ช น า

การฆ่าสัตว์เพื่อทำ�งานวิจัยเป็นบาปหรือไม่

เรียนพยาบาลหรือเรียนแพทย์ ฆ่าสัตว์ทดลองมันก็บาปอยู่ดี ฆ่าสัตว์ร้อย
เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว แต่ว่าเราฆ่าสัตว์เพื่อศึกษาเราต้องแยกหน่อย ถ้าไม่ไปทดลองเขา
ก็เหมือนร่างกายเราไม่มีโรคใช่ไหม แล้วเขาก็เอาโรคมาใส่ร่างกายของเราแล้วทดลอง
แลว้ กจ็ ะปรงุ ยาด้วยเอาไปฉีดไปทดลอง ทนี ้ี เม่ือโรคมากเขาก็เลยตาย ถ้าพูดถึงหลกั ศลี
ก็บาปรอ้ ยเปอร์เซน็ ต์ มนั เปน็ อยา่ งน้ี ทีนี้ เราอยากได้ความรู้จากสงิ่ นนั้ มาเรยี นศกึ ษากนั
แต่ทางพระพุทธศาสนามันเป็นอย่างน้ี มันผิดศีล เพราะสัตว์ตัวนั้นเขารักชีวิตของเขา
ใช่ไหม เราก็รักชีวิตของเรา ศีลข้อ ๑ เราก็ขาดเลย ถ้าเรารักเขา เราก็ไม่ทำ�เขา อันน้ี
เราไม่รักมัน มันผิด ต้องมาถามตนเองดู ตนเองอยากมีโรคไหม ท่ีน่ังอยู่นี่ ไม่มีสักคน
มันเท่าน้นั แหละ เหตฉุ ะนน้ั มันจงึ ผิด อนั นี้เปน็ โลกาธปิ ไตยที่พวกเราพฒั นากัน

เหตฉุ ะนั้น ทางพระพุทธศาสนาทา่ นจงึ เอาต้ังแตเ่ ภสัชแบบรากไม้ ต้นไม้ หวั ไม้
เปลือกไม้ แก่นไม้ ใบไม้ เอาต้นไม้ทำ�ยาใช่ไหม ทำ�ยารักษากันอย่างพระ ไม่ต้องไป
ทดลองสัตว์แม้แต่ตัวเดียวเลย มันเป็นอย่างนี้ แต่บัดนี้ทางเทคนิคการแพทย์ ทาง
พยาบาลเขาก็เรียนอย่างนี้ แต่ว่ามันเป็นกรรมนะ ระวังให้ดีนะแพทย์กับพยาบาลระวัง
เป็นโรค ลูกศิษย์ของอาตมานี่ หนีจากอาตมาเยอะ รามาฯ กับจุฬาฯ น่ียังหนุ่มยังสาว
ทัง้ น้นั เลย ลากอ่ นทง้ั นั้น ผา่ ตดั เดือนหนงึ่ กจ็ ากอาจารย์ไปเลย ไปถามหาไปแล้ว ยงั ไมม่ ี
ครอบครัวเลย “อโรคยา ปรมาลาภา” ความไมม่ โี รคเปน็ ลาภอนั ยงิ่

ก ร ร ม ศี ล 49

การตอกไข่เพื่อปรุงอาหาร
ผิดศีลข้อปาณาติบาตหรือไม่

ถ้าไขม่ ันมีชวี ติ จะเป็นตวั ไดอ้ ยูแ่ ล้ว มนั กต็ ้องขาดอย่แู นน่ อน เพราะมีเจตนาแลว้
จะทำ�ลายศีลข้อปาณาติบาตน้ีมีอยู่ เรามุ่งแล้วว่าไข่น้ีมันต้องมีเชื้อ มีท่ีจะก่อเกิดข้ึนมา
ได้นะ มั่นใจ ไม่ใช่ว่าไข่มันไม่มีตัว แต่ว่าถ้าไข่มันไม่มีตัว เป็นไข่ลม ไก่เขาเล้ียงไว้ให้ไข่
แล้วเอาไข่มาขาย อย่างนั้นก็คงจะไม่มีปัญหา เพราะมันไม่มีวิญญาณ มันคงไม่ขาด
ศีลแน่ ถ้าพูดตามความจริง ทุกส่ิงทุกอย่างที่จะเกิดข้ึนมาได้ มันต้องมีพร้อมมูลของมัน
นายแพทย์คนไหนจะไปเอาคนเกิดอย่ใู นหลอดแก้ว ก็หนจี ากเชอื้ ไมไ่ ด้ ไมม่ นี ายแพทย์ไหน
ทำ�ได้หรอก ไปเกิดในหลอดแก้วกต็ อ้ งมเี ช้อื กต็ อ้ งเกดิ อย่นู นั่ เอง ทำ�ผเู้ ดียวไม่ได้ เหมอื น
กับโยมอยู่คนเดียวน่ี ไม่มีแน่นอนเลย ผู้หญิงอยู่คนเดียวไม่มีแน่นอนเลย เปิดเผยให้ฟัง
อยา่ งนี้ก็แล้วกนั ไม่มีเคร่ืองสมั ผัส วิญญาณมันมี การขาดศลี ขอ้ ๑ มีองค์ประกอบ ๕
คือปาโณ เรยี กวา่ สตั ว์มีชวี ติ ปาณสญฺิตา แปลว่ารวู้ า่ สัตวน์ ้ันมีชีวิตอยู่ วธกจิตฺตํ มจี ิต
คิดจะฆ่า อุปกฺกโม มีความเพียรที่จะฆ่า เช่นจะไปตอกไข่มัน เตน มรณํ ไข่แตกตาย
ศลี ขาด นศี่ ีลหยาบ ศีลอยา่ งกลางก็ เอา้ ..คุณไปตอกไขเ่ ถอะ พูดเฉยๆ ด้วยปาก เราไม่
ไปทำ� ศีลอยา่ งกลางขาด ศีลละเอียดก็คือคดิ เฉยๆ ว่าจะไปตอกไข่ ศลี ขาดแลว้ นี่ อธศิ ลี
ศลี ละเอยี ด คดิ อยากดา่ คนเฉยๆ ศลี ขาดแลว้ ตงั้ แตย่ งั ไมไ่ ดด้ า่ อยทู่ ค่ี ดิ เฉยๆ น.ี่ .ศลี ละเอยี ด


Click to View FlipBook Version