150 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม ปุ จ ฉ า - วิ สั ช น า
ให้เขา พวกเปตาญาติก็ไม่ได้รับเหมือนกัน เพราะเราไม่ได้อุทิศส่วนบุญในเวลาที่พระ
ก�ำ ลงั ให้พรอยู่นนั้ เปตาญาตจิ งึ ไมไ่ ด้รับส่วนบุญ
บดั นี้ ถา้ หากวา่ เราทำ�บุญแลว้ เรากต็ ั้งใจอุทิศส่วนบญุ แตเ่ ปตาญาตขิ องเรานั้น
อยู่ไกล ไมส่ ามารถทจี่ ะมาอนุโมทนารบั สว่ นบญุ ได้ กไ็ มไ่ ดร้ ับเหมอื นกนั เวน้ แต่เทพเจ้า
ท้ังหลายจะไปตักเตือนบอกกล่าวให้เขามารับ มาอนุโมทนาส่วนบุญกับญาติท่ีอุทิศให้
เขาจงึ ได้รบั แตเ่ มอื่ ไม่มใี ครไปตกั เตอื น เพราะเขาอยไู่ กลเกินไป เขากไ็ ม่มารับเหมือนกัน
เราอทุ ิศใหอ้ ยู่ แตเ่ ขาก็ไม่ได้มารบั มนั ก็ไมไ่ ด้รบั
ถ้าหากว่าเราทำ�บุญ แต่เราไปทำ�บุญกับฮวงซุ้ย กับศพธรรมดา เอาเงินเอาทอง
ไปเผา เอาบา้ นไปเผา เอารถไปเผา มันไมม่ ีประโยชน์ ไปอุทิศอย่างน้ีใหเ้ ขา เขากไ็ ม่ได้
รับเพราะของมันไม่สำ�เร็จประโยชน์ ไม่ได้ทำ�บุญกับพระเหมือนไม่ได้สำ�เร็จประโยชน์
แม้เขามาคอยอยู่ เขาก็ไม่ไดร้ ับส่วนบญุ อันน้ี เพราะมันไม่มปี ระโยชน์ นัน้ กไ็ มไ่ ด้รบั
บัดนี้ ถ้ามันจะได้รับ ต้องเปรตตัวนั้นมาคอยรับส่วนบุญกับเรา เราก็ทำ�บุญกับ
พระ เม่ือพระให้พร เราก็ต้องต้ังใจอุทิศส่วนกุศลให้เขา เขาก็จะได้รับส่วนบุญโดย
สมบรู ณ์ น.ี่ .ตอ้ งอยา่ งนี้
เม่อื เปรตจ�ำ พวกน้จี ะได้รบั ส่วนบุญจริงๆ นนั้ ก็ตอ้ งมีองค์ประกอบ ๓ อย่าง คือ
๑. เมือ่ ญาตไิ ปกระท�ำ บญุ กบั พระ
๒. เปตาญาตมิ าคอยรับและอนโุ มทนาส่วนบญุ กับญาตนิ น้ั
๓. เมื่อทำ�บุญแล้ว ขณะท่ีพระกำ�ลังให้พรอยู่ ญาติก็ต้ังใจอุทิศส่วนบุญให้แก่
เปรตนั้น เปรตนั้นก็จะได้รับส่วนบุญตามความปรารถนาของเปรต และของญาติผู้อุทิศ
ส่วนบุญให้
ก า ร ท ำ บุ ญ 151
อานิสงส์ของการทำ�บุญต่างๆ โดยการตั้งสัจจาธิษฐาน
กับการไม่ตั้งสัจจาธิษฐาน ต่างกันอย่างไร
การที่ทำ�บุญ คนอธิษฐานกับคนไม่อธิษฐานน้ัน คือคำ�อธิษฐานน้ีก็เหมือนกับว่า
เรายึด เรายึดบุญนนั้ การยึดนีม่ ันเปน็ กิเลส แต่มันก็มกี �ำ ลังของมัน การตัง้ สัจจาธษิ ฐาน
ไว้ เหตุฉะนน้ั พระพุทธเจ้าจงึ ยังมีสจั จาธิษฐานเอาไวใ้ นบารมี ๓๐ ทศั เพอื่ ความม่นั ใจ
เหมือนเราน่ังเจริญเมตตาภาวนาเหมือนกัน จะทำ�อะไรเหมือนกัน ต้องต้ังสัจจะของ
ตนเองไว้ อธิษฐานเอาไว้ มันจึงไม่ล้มเหลว ก็เหมือนคนไปจำ�ศีลเข้าพรรษาก็เหมือนกัน
ต้องอธิษฐานเอาไว้ ๓ เดือนนั้นจะเอาจริงๆ มันเป็นอย่างนี้คำ�สัจจาธิษฐาน มันเป็น
เครือ่ งยึดเหนย่ี ว แต่ถ้าไม่ต้ังสจั จาธิษฐานนัน้ การท�ำ บุญน้ี เมื่อเราพอใจในการทำ�บุญนี้
มันก็ได้บุญเท่ากัน ไม่มีอะไรมากอะไรน้อย ของทำ�บุญมันมีเท่ากัน มีความพอใจแล้ว
มันก็เท่ากัน ไม่อธิษฐานมันก็เท่ากัน อธิษฐานมันก็ได้เท่ากัน แต่ความยึดม่ัน ความ
หน่วงของคนน้ัน คือมันรักษาไว้ด้วยนะ คนมีสัจจาธิษฐานน่ีมันรักษาไว้ด้วย ถ้าคน
ทำ�บญุ น้ีไมไ่ ดอ้ ธษิ ฐาน แต่วา่ ท�ำ แลว้ เหมอื นกบั ก�ำ หนดในพรรษานีอ้ ยากไปกไ็ ป ไปรักษา
ศีลก็เหมือนกัน วันไหนอยากไปก็ไป ไม่อยากไปก็ไม่ไปมันก็ได้ แต่สัจจาธิษฐานนี่มันมี
กฎบงั คับในตนเอง วา่ อยา่ งนั้นเถอะ บงั คับในตนเองนี่ ให้หมั่นไปทำ�อยู่ตลอด ให้รักษา
อยู่ตลอด มีจุดม่ันกว่ากัน อย่างหน่ึงนั้นทำ�อะไรมันจะต้องมีสัจจาธิษฐานเอาไว้ นี้มันก็
ต่างกันอย่างน้ี ใครจะเอาอยา่ งไรดี ทานมากทานน้อย มนั ก็ไดบ้ ญุ อย่นู ัน่ แหละ ไมไ่ ปไหน
ได้บุญอยู่ แต่ว่ามันไม่มั่นคงเหมือนคนที่ต้ังสัจจะไว้ เหมือนเราทำ�บุญเราอธิษฐานว่าจะ
บวชไปนิพพาน ตั้งไว้อย่างนี้ ถึงไม่ถึงก็ต้องต้ังหลักไว้อย่างนั้น เหมือนคนภาวนาอยู่
152 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม ปุ จ ฉ า - วิ สั ช น า
ทุกวันน้ี จะมีจุดหมายอย่างน้ันแหละ ไม่ต้ังสัจจาธิษฐาน มันก็ต้ังอยู่แน่นอนเพราะ
อยากพ้นทุกข์ อยากไปอยู่จุดน้ัน มันมีจุดหมายอยู่ ถ้าคนไปที่ไหนไม่มีจุดก็เหมือนกับ
คนไม่มีบ้านนั่นแหละ ไปเร่ือยๆ เรียกว่าจรจัดเลยทีเดียว ไม่มีจุดหมายปลายทางเลย
ทำ�อะไรก็ไมเ่ ป็นช้นิ เป็นอันเลย น่ีมันก็เหมือนเราท�ำ งานภายนอก วา่ งนั้ เถอะ งานภายใน
วันน้ีงานทำ�บุญก็เป็นงานภายนอก งานภาวนานี่เป็นงานภายใน ภายในมันก็ต้องมี เรา
จะน่ังได้แค่ไหน เราจะทำ�อะไร วันน้ีเราจะทำ�อะไรให้ได้ มันก็ต้องมีเคร่ืองควบคุมของ
มันไว้ เราจะทำ�กิจอะไร ฉะน้ัน มันจึงอยู่ในบารมีของพระพุทธเจ้า มีสัจจะแล้วก็
อธิษฐานเอาไว้ ควบคมุ เอาไว้
เราคิดดู พระพุทธเจ้าท่านน่ังอยู่ใต้ร่มโพธ์ิ ท่านทำ�อะไร ถ้าไม่สำ�เร็จไม่ลุกออก
จากที่น่ังคืออะไร ก็คือสัจจาธิษฐานน่ันเอง จนสำ�เร็จน่ะ เป็นอย่างนี้ มันก็เลยสำ�เร็จ
จริงๆ เพราะไม่ยอมลุก ว่างน้ั เถอะ สู้..ส้เู อาจริงๆ คนทำ�งานกเ็ หมอื นกนั เขียนหนงั สือ
นี่มีสัจจะ ไม่เสร็จจะไม่ลุกไปล่ะ เราเขียนอยู่นี่จนให้สำ�เร็จจึงจะนอนอย่างนี้ ถ้าไม่นอน
มันก็สำ�เร็จ ถ้าจะเอาตามใจ เขียนได้แถวหนึ่ง นอนเสียก่อน มันอยากนอน มาเขียน
ใหมอ่ ีก ๓ วนั มันก็ไมเ่ สร็จ จะเอาอย่างไร ใครว่าอยา่ งไรดีกว่ากัน พิจารณาดู แต่อยา่
ไปยึดมั่นเป็นกิเลสเท่านั้นเอง อธิษฐานนะ มันมีกำ�ลังอย่างนั้นนะ กำ�ลังไปได้หลายภพ
หลายชาติเหมือนกันนะ ก็มีครูบาอาจารย์บางองค์บวชมาแล้วก็ไม่พ้นทุกข์ในชาตินี้
ชาติหนา้ ขอใหบ้ วชต้งั แตต่ วั เล็กๆ ทา่ นว่าอยา่ งน้ันก็มี บางองค์นะ่ ต้ังสจั จะไวเ้ หมือนกนั
ศรทั ธากเ็ หมือนกนั เกิดชาตนิ ้ีเป็นผ้หู ญิง ชาติหน้าขอใหเ้ ป็นผู้ชายเถอะ จะไดบ้ วช จะได้
เดนิ ธุดงค์ไปโนน่ มานสี่ บาย นี่ก็ไม่รู้ก่รี ้อยแล้วมาต้ังสัจจาธิษฐานกบั อาตมาไว้นี่ อยา่ งน้ัน
ก็ดี ต้ังสัจจะไว้อาจจะสำ�เร็จในชาติต่อๆ ไปอย่างน้ีเหมือนกัน ทีนี้ทำ�บุญอะไรก็ขอให้
เกิดสติปัญญาว่องไวเสียก่อน มันก็มีสัจจะเอาไว้ มันจดอยู่ในดวงจิตของเรานี่ บันทึกไว้
น่ี เกิดชาติหน้าพอระลึกได้ เอ๊ะ..เรามันตั้งท่าไว้อยู่แล้วน้ี ทำ�ไมจะมาล้มเหลวนี่ สัจจะ
อนั นั้นมันออกมา สจั จาธิษฐานออกมา ทำ�ไป ทำ�ไป ตามทีเ่ ราต้งั ไว้ มนั ก็เลยถงึ จดุ หมาย
ปลายทางได้ พอเขา้ ใจไหม เอายังไง ใครวา่ อยา่ งไรดี ถา้ ยังไมเ่ ขา้ ใจกถ็ ามมาอกี อาตมา
ว่าอะไรจะมั่นกวา่ กนั แน่นกวา่ กัน วา่ อย่างนั้นเถอะ อะไรหลวม อะไรจะแนน่
ก า ร ท ำ บุ ญ 153
ผลของการทำ�บุญโดยการสร้างโบสถ์และวิหาร
การสร้างโบสถ์และวิหารน้ัน ตามหลักความจริงก็คือ เมื่อคนได้พักพาอาศัย
มากเท่าไร เราก็ได้บุญมากเท่านั้น บัดน้ี การสร้างโบสถ์ก็คือเป็นท่ีฝังรกรากของพระ
พุทธศาสนา เพราะต้องเข้าไปอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่น่ัน เรียกว่าคนที่สร้างนั้นเป็น
บุคคลที่เชดิ ชพู ระพุทธศาสนา ค้�ำ จุนจรรโลงพระพุทธศาสนาใหม้ ีความม่ันคง บญุ ไดม้ าก
อยู่ตรงนั้น ถ้าไม่มีโบสถ์ก็บวชไม่ได้ ท่านจึงสมมุติเขตให้ ท่ีนั้นจึงเป็นบ่อเกิดแห่งพระ
ภิกษทุ จ่ี ะศกึ ษาพระศาสนาตอ่ ไป
ส่วนวิหารนัน้ เปน็ สถานที่สว่ นรวม หรือเปน็ ที่รวบรวมกันจะมาท�ำ บญุ คนทีส่ รา้ ง
ข้ึนมาเป็นคนท่ีมีเมตตามากเหมือนกัน อย่างเราน่ังอยู่ในวิหารหลังนี้ เรามีสิทธ์ิ เม่ือ
น่ังแล้วคนอ่ืนมาไล่ไม่ได้ และก็มีสิทธิ์กันทุกๆ คนในวิหารหลังน้ี อยากจะนอนตรงไหน
ก็ไปไล่กันไม่ได้ ถึงจะมาจากจังหวัดไหนก็ไล่เขาไม่ได้ แต่ถ้าเป็นบ้านของคนน้ันจะทำ�
อยา่ งนไ้ี ม่ได้ บา้ นใครจะหลังใหญ่กต็ าม เจา้ ของบา้ นจะเป็นผู้ว่าผู้กำ�หนด แตว่ ิหารน้ีเรา
นั่งได้ ห้องนำ้�ที่บ้านคนอื่นเวลาจะเข้าต้องขออนุญาตก่อน แต่ท่ีวัดนี้ไม่ต้องขออนุญาต
จะเข้าห้องนำ้�ท่ีวัดนี้ท้ังคืนก็ได้หรือจะอาบนำ้�ก็ได้ นี่มันมีบุญมากกว่ากันอย่างนี้ เพราะ
มันมีเมตตากว้างขวาง ให้ความร่มเย็นเป็นสุขแก่คนทั่วไป เกิดมาชาติหน้าก็จะได้บ้าน
หลังใหญ่ หรือได้ปราสาทหลังใหญ่เป็นท่ีอยู่อาศัย ถ้าใครไม่ได้สร้างโบสถ์ สร้างวิหาร
หรือสร้างกุฏิไว้ เกิดมาชาติหน้าก็จะได้อยู่ตูบใบตอง เหมือนแม้ว อีก้อ มูเซอ ลีซอ ท่ี
เขาอยู่กันในทุกวันนี้ เห็นไหม คนในสลัมบางซ่ือ คลองเตย อยู่บ้านหลังเล็กๆ มีแค่
154 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม ปุ จ ฉ า - วิ สั ช น า
สังกะสี ๒ แผ่น แต่บ้านบางหลังสร้างหมดไป ๒๐ กว่าล้าน ซ่ึงพวกน้ีเขาทำ�บุญสร้าง
ความดีไว้ ให้ความอบอุ่นแก่คน เม่ือมาเกิดเขาก็ได้ไปเกิดในท่ีดี ลองเราไปสร้างอยู่ใน
มหาวิทยาลยั สักหลัง มที ัง้ พัดลมและแอร์ แลว้ ให้คนเขา้ ไปพกั พาอาศัยกนั มากๆ เจา้ ของ
ก็ได้บุญซิ เพราะเราให้ความสุขกับคนอื่น เราก็มีความสุขกับเขาด้วย สุขสฺส ทาตา
เมธาวี สุขํ โส อธิคจฺฉติ บุคคลใดมีปัญญาให้ความสุขแก่บุคคลอื่น ความสุขน้ันย่อม
กลับคืนมาเป็นของตน พระพทุ ธเจ้าตรัสสัง่ สอนไวอ้ ยา่ งนี้
ก า ร ท ำ บุ ญ 155
ผลบุญจากการทำ�ทาน รักษาศีล ภาวนา
ต่างกันอย่างไร
ความดีนั้นมีแต่บุญอย่างเดียวซ่ึงจะนำ�มาแต่ความสุข ทำ�ตามกำ�ลังท่ีเราจะทำ�ได้
ถ้าเราทำ�บุญด้านวัตถุ เราก็ได้แค่วัตถุท่ีจะทำ�ให้เรามีความสุขมาบ้าง ถ้าเรารักษาศีล
เป็นผู้มีศีล ก็จะได้ความสุขมากขึ้น เม่ือรักษาศีลแล้วก็น่ังทำ�สมาธิ ถ้าเราสามารถทำ�
จิตใจให้สงบ เราก็จะได้มีความสุขมากย่ิงข้ึนไปตามขั้นตอน เมื่อจิตใจเราสงบดีแล้ว
เราก็รู้วา่ อะไรเปน็ บญุ อะไรเปน็ บาป สง่ิ ใดควรท�ำ หรือสิ่งใดไมค่ วรท�ำ สิ่งใดควรพดู หรือ
สิ่งใดไม่ควรพูด สิ่งใดควรคิดหรือส่ิงใดไม่ควรคิด จะเป็นการละกิเลส ละได้มากเท่าไร
ก็ได้บญุ มากเทา่ นั้น ยงิ่ จะมีความสุขมากข้นึ ไปด้วย
บุญนั้นไม่สามารถจะเอาเครื่องอะไรมาวัดมาชั่งได้ บางบุคคลไปทำ�บุญแล้วมี
ความปล้ืมปีติยินดีจนนำ้�ตาไหล ใจมีความสุขจนร่างกายสะเทือน ใจก็ไม่รู้เหมือนกันว่า
มันมีนำ้�หนักเท่าไร บอกไม่ได้ เป็นเรื่องของตนเองที่จะรับรู้ว่าใจมีความสุขแค่ไหน
สบายแค่ไหน เพราะบุญมันอยู่ท่ีใจ บุญคือความสุข เราจะรู้ได้ด้วยตนเอง ถ้าเราทำ�ได้
ปฏิบัติได้ พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่า คนประพฤติธรรมย่อมได้รับความสุขตามสมควร
แก่ผปู้ ฏบิ ตั ใิ นธรรมน้ันๆ
156 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม ปุ จ ฉ า - วิ สั ช น า
ผลของการทำ�บุญกับคนธรรมดา
หรือกับพระสงฆ์ที่มีฌานระดับต่างๆ ต่างกันอย่างไร
ยอ่ มไดบ้ ญุ ตา่ งกนั เปน็ ธรรมดา พระพทุ ธองคท์ รงสงั่ สอนไวว้ า่ ภกิ ษเุ ปน็ เนอื้ นาบญุ
ของโลก ไม่มีนาบญุ อนื่ ยงิ่ กวา่
บัดนี้ เราจะทำ�บุญกับสัตว์เดรัจฉาน หมู หมา เป็ด ไก่ เช่น เราให้อาหาร
การกนิ ก็ได้บุญ แต่มนั ได้บญุ น้อย เพราะเขาไม่มีศีล ไม่มสี มาธิ แต่เรากม็ เี มตตาใหเ้ ขา
มคี วามสุข เราสุขใจวา่ มันได้กินอาหารทมี่ นั กนิ ได้
ทีนี้มาทำ�กับคนทุศีลหรือคนท่ีไม่มีศีลสักข้อเลย จะเป็นคนจนคนรวยก็แล้วแต่
แต่เขาไม่มีศีล คนทุพพลภาพ แขนขาด ขาขาด หูหนวก ตาบอดอะไรต่างๆ คนดุร้าย
ที่ไม่มีศีลธรรมเลย มันก็ได้บุญดีกว่าสัตว์เดรัจฉานหน่อย เพราะมันพูดกันรู้เร่ือง เข้าใจ
ภาษากนั ได้
ถ้าทำ�บุญกับผู้มีศีลขึ้นมาอีก ญาติโยมน่ีแหละ มีศีลสัก ๓ ข้อ ไม่ถึง ๕ ข้อ
เลยี้ งดกู นั กไ็ ด้บุญมากข้นึ ตามลำ�ดับ
ถ้าญาติโยมมีศีล ๕ เราก็ทำ�บุญกับเขา เล้ียงดูเขา เราก็ย่อมได้บุญมากขึ้น
ตามล�ำ ดับ ผู้ท่ีไดศ้ ลี ๘ กจ็ ะได้มากขนึ้ ตามฐานะ
ก า ร ท ำ บุ ญ 157
ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ซ่ึงเป็นของพระ ถ้าหากพระรักษาศีลได้ดีบริบูรณ์ เราก็ได้
บญุ มากขน้ึ ตามน้ัน
บัดน้ี ถ้าพระรูปน้ันท่านมีสมาธิดี เหนือกว่าศีลขึ้นไปอีกเป็นคนละขั้นกัน เราก็
ยอ่ มไดบ้ ญุ มากข้ึนไป ถ้าท่านมีสมาธิอยู่ในฌาน อยใู่ นความสงบ จติ นนั้ เป็นพรหม ทา่ น
ก็เป็นพรหม เราทำ�บุญก็ย่อมได้มากข้ึน ถ้าเกิดท่านได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน
พระสกิทาคามี พระอนาคามี และได้บรรลุเป็นถึงพระอรหันต์พ้นทุกข์ไปแล้ว เป็นผู้
บริสุทธิ์เรียกว่าพระอริยสงฆ์ ก็ย่อมได้บุญมากต่างกัน ทีน้ีถ้าท่านบรรลุธรรมได้เท่ากัน
หมด จะเป็นองค์ท่ีบวชเก่าบวชใหม่ก็แล้วแต่ ทำ�บุญได้บุญเท่ากัน องค์นี้บวชได้พรรษา
หนง่ึ แต่บรรลุธรรมได้ท่สี ดุ แหง่ กองทกุ ข์ องค์นน้ั บวชได้ ๖๐ พรรษาจงึ ไดบ้ รรลุ กไ็ ดบ้ ุญ
เท่ากนั เหตฉุ ะนัน้ เราท�ำ บญุ จึงตอ้ งลงมอื ตัง้ ใจดว้ ยเจตนาทจี่ ะสงเคราะหแ์ ละท�ำ ความดี
ของเรา เพ่ือใหค้ นน้นั ได้มกี �ำ ลงั และมีความสขุ เอาแค่นน้ั
ทนี ค้ี รบู าอาจารย์แตล่ ะองค์ๆ องค์ไหนอย่ขู นั้ ไหน หรือวา่ ท่านบรรลุถงึ ทส่ี ดุ แห่ง
กองทกุ ข์แล้ว เรากไ็ ม่รูไ้ ด้ ท่านจะรูไ้ ดด้ ้วยตนเองของทา่ น จะใหท้ า่ นบอก ท่านก็ไมบ่ อก
ว่าท่านได้บรรลุธรรมถึงข้ันไหน พระพุทธเจ้าท่านห้ามพูด มีแต่ฟังเทศน์ท่าน แล้วแต่
ทา่ นจะเทศน์ไปถงึ ไหน จะเทศน์อยา่ งไรเท่านน้ั
ท่านจงึ เปรยี บเทยี บไว้ว่า พระภิกษุเหมือนกบั พืน้ ท่ดี ินหรือพื้นทนี่ า ถา้ พระภกิ ษุ
ไม่ได้รักษาศีลเลย บวชมาเล่นเฉยๆ ก็เหมือนนาชายทะเลมีแต่ทราย แล้วเอากล้าข้าว
ปลูกลงไป ข้าวก็ไม่มีปุ๋ยกิน ต้นก็ไม่งาม รวงข้าวก็ได้น้อย ถ้าพระภิกษุเป็นผู้มีศีลดี ก็
เหมือนมดี ิน ๔ ส่วน มีปยุ๋ อยู่ ๑ สว่ น อกี ๓ สว่ นเปน็ ทราย ปลกู ข้าวลงไปก็งามขึน้ มา
ได้รวงข้าวมากขึ้น ถา้ พระภิกษมุ ีศลี มสี มาธดิ ี กเ็ หมอื นป๋ยุ มี ๒ ส่วน ทราย ๒ สว่ นผสม
กัน ข้าวกจ็ ะงามมากข้นึ ถา้ หากว่าพระภิกษมุ ศี ลี สมาธดิ ขี ้ึนอีก ก็จะได้ปยุ๋ มากข้นึ เปน็
๓ ส่วน ทรายสว่ นเดยี ว ต้นขา้ วกจ็ ะงามมากขนึ้ ทนี ้ีพระภกิ ษุไดบ้ รรลธุ รรม เหมอื นดนิ
มีแต่ปุ๋ย ปลูกอะไรลงไป จะเป็นข้าว ล้ินจ่ี หรือลำ�ไยก็ตาม ต้นมันจะงามจะออกดอก
158 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม ปุ จ ฉ า - วิ สั ช น า
ออกผลมาก ท่านเปรียบเทียบการทำ�บุญเหมือนอย่างนี้ จึงว่าพระภิกษุเป็นเนื้อนาบุญ
ของโลก ไม่มนี าบุญอน่ื ย่ิงไปกวา่ กค็ ือเป็นพนื้ ท่ที ี่จะปลกู พืชลงไป กค็ อื การทำ�บุญนั่นเอง
บัดนี้ มีบางบุคคลจะพูดว่าไม่ทำ�หรอกกับพระภิกษุ จะไปทำ�กับคนจน อันนี้ก็
ไม่ขัด จะไปช่วยคนทุกข์คนจน คนพิกลพิการก็แล้วแต่นะ เขาก็จะได้บุญตามนั้นแหละ
เกิดเขาไมม่ ศี ลี ไมม่ ีสมาธิ ถา้ เราทำ�บุญกบั เขาไป เกดิ เขาเอาไปซอื้ เหล้ากนิ ซอื้ แคปฝนิ่
เฮโรอีนกินอย่างน้ี หรืออย่างเราเอาผ้าห่มไปแจก เม่ือเขาได้มากก็เอาไปขายกิน เรา
ก็จะได้บุญน้อยอยู่ดี แต่ว่าเรามีเมตตาสงเคราะห์เขา คือทำ�บุญเพื่อสงเคราะห์เขา ก็ได้
บุญอยู่ แต่มันได้น้อย เพราะอะไร ก็เปรียบเทียบเหมือนครูเหมือนอาจารย์ท่ีสอนอยู่ใน
มหาวทิ ยาลยั จะเปน็ ดอกเตอร์หรอื ไม่ได้เป็นกต็ าม คนๆ นนั้ ถา้ เราเล้ียงเขาไว้ดๆี เขาจะ
สอนคนได้มากที่สุด คนจะได้วิชาความรู้จากเขา ได้รับความสุขมาก เหมือนอย่างพระ
นีแ่ หละ ถา้ ไดบ้ รรลธุ รรม รจู้ ักธรรมะ ทา่ นจะสามารถสอนคนไดม้ ากมายกวา่ อาจารยท์ ี่
สอนอยู่ในมหาวิทยาลัยเสียอีก สอนตั้งแต่คนจนจนถึงคนรวย ตลอดถึงคนที่มียศถา
บรรดาศักด์ิสูงๆ เมื่อสอนแล้วก็ไม่ได้คิดเอาอะไรเลย ไม่ได้คิดเป็นช่ัวโมง สอนเพ่ือให้
เขาได้รับประโยชน์ มันจะต่างกันตรงน้ีแหละ ถ้าจะพูดข้างนอกให้เห็นง่ายๆ บุคคลท่ีมี
ความดมี ีเมตตา เหมอื นคนทีม่ ีเมตตานอ้ ยกไ็ ด้ตู้เย็นมา ๒ หรือ ๓ ควิ ผ้มู ีเมตตามากข้นึ
กไ็ ด้ ๘ ควิ หรือมีเมตตามากขึ้นไปอกี ก็ได้ ๑๐๐ คิว ทนี ม้ี ันเย็นกวา่ กันซิ สามารถทจ่ี ะ
แจกนำ้�แข็งให้คนได้กินมากกว่ากัน ให้คนมีความร่มเย็นเป็นสุขมากกว่ากัน อันนี้เป็น
เครอ่ื งวัดของการกระท�ำ บญุ กุศล
ก า ร ท ำ บุ ญ 159
ผลจากการทำ�บุญในวันสำ�คัญทางพุทธศาสนาหรือวันอื่นๆ
ได้บุญต่างกันอย่างไร
ได้เท่ากัน ทำ�บุญมากทำ�บุญน้อยได้เท่ากัน เหตุฉะน้ัน คนทั้งหลายก็ยังชอบ
ทำ�บุญแต่วันพระ แต่วันนี้ไม่ใช่วันพระก็ไม่ชอบอยากไปทำ�บุญกันเท่าไร เหมือนกับเรา
กินอาหารวันไหน เราก็ต้องอิ่มในวันน้ันเอง ถ้าทำ�บุญแล้วก็มีความสุขเท่าเดิม บุญคือ
ความสุขใจ ในทางพุทธศาสนาทำ�บุญวันพระหรือไม่ใช่วันพระได้บุญเท่ากัน วันพระน้ัน
พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้เพ่ือเตือนสติไม่ให้พวกเราลืมกระทำ�บุญกุศลคุณงามความดี
ปลุกไว้สักวันหน่ึงหรือให้สะดุดไว้สักวันหนึ่ง ให้เรามีสติระลึกไว้ว่าวันนี้เป็นวันพระ ถ้า
เราจะทำ�บาปก็เลยไม่ทำ� ให้ระลึกว่าวันน้ีน่าจะเข้าวัดฟังเทศน์จำ�ศีลภาวนา เตือนไว้ถ่ีๆ
๗ - ๘ วันเตือนครั้งหนึ่ง แต่ในสมัยครั้งพุทธกาลเขากำ�หนดเอาวัน ๑๔ คำ่� ๑๕ ค่ำ�
และก็วัน ๗ คำ่� ๘ คำ่� ๙ คำ่� เป็นวันจำ�ศีลและไม่ฆ่าสัตว์ นอกจากนั้นคนท่ีฆ่าสัตว์
ก็ฆ่าตามปกติ เพราะเขาเหล่านั้นไม่เข้าวัดฟังธรรมจำ�ศีลภาวนา จึงทำ�แต่บาป บ่อยๆ
ไม่เหมอื นบคุ คลทเี่ ข้าวัดฟังธรรมจำ�ศลี ภาวนาในทุกวนั นี้
160 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม ปุ จ ฉ า - วิ สั ช น า
การทำ�บุญน้ันจำ�ไว้นะ ทำ�วันไหนก็ได้บุญในวันน้ันในทางพุทธศาสนา ดีทุกวัน
เม่ือมีโอกาสวันไหนก็ทำ�บุญในวันน้ัน การทำ�สมาธิ มีโอกาสวันไหนก็น่ังทำ�สมาธิใน
วันน้ัน ถ้าเขาบอกให้เราไปเอาเงินในวันน้ี เราก็ไปเอาเงินในวันน้ีเลย น่ีคือพุทธแท้ ถ้า
หาวันนั้นวันนี้วันท่ีดีหรือหาฤกษ์หายาม นั่นเป็นของพราหมณ์ แต่พระพุทธศาสนาน้ี
อนุโลมไว้ให้เฉยๆ เพื่อที่จะชโลมจิตใจของคนเอาไว้ เนื่องจากในสมัยพุทธกาลมีคน
นับถอื ศาสนาพราหมณม์ ากมาย มสี ักประมาณ ๗๐ เปอร์เซน็ ต์ เหน็ จะได้
ก า ร ท ำ บุ ญ 161
ความอิ่มใจและปีติที่เกิดจากการทำ�บุญกุศล
ก็เป็นกิเลสที่ควรละ ใช่หรือไม่
การทำ�บุญกศุ ลน้ี มันก็ท�ำ ให้มีความสขุ อม่ิ ใจ คนอิ่มใจอยู่มคี วามสขุ อยนู่ ัน้ ระยะ
นั้นก็เหมือนว่าอยู่ในบุญตลอด แต่ว่ามันยึดบุญก็ต้องละอีก ต้องเรียนให้รู้ความยึดอีก
เพราะจะเรียนให้รู้ท้ังทุกข์และท้ังสุข เราเรียนน่ี เรียนเพ่ือความพ้นทุกข์ ต้องเรียนให้รู้
ท้ังสองอยา่ ง ก็ตั้งแต่มีงานอยู่ มีงานทำ�ทจ่ี ะละ ไมใ่ ช่ละไม่ทำ�บุญ ไมท่ �ำ อะไรหรอก คือ
การทำ�บุญน้ีเราอาศัยทำ�ทุกสิ่งทุกอย่าง อาศัยซ่ึงกิเลสก่อน อาศัยกิเลส ความอยากนี้
เป็นกิเลส อยากพ้นทุกข์ อยากไปนิพพานก็อาศัยกิเลส อยากไปในทางท่ีไม่ดีก็เป็น
กิเลส ก็จะเรียนให้รู้ท้ังสองอย่างน้ี ถ้าเรียนรู้ท้ังสองอย่างน้ีแล้ว ก็เลยจะไม่เอาทั้งสอง
เลย จึงจะพ้นทุกข์ เรียนรู้ทั้งทุกข์ท้ังสุข ให้รู้ โอ้..อันนี้กำ�ลังทุกข์ อ้อ..เป็นอย่างน้ีก็
สบาย อันน้ีกำ�ลังสุข อันนี้ก็ไม่เท่ียงเหมือนกัน มันทำ�ให้สบาย เราจะติดมันก็ให้รู้
เหมือนเราเข้าห้องแอร์น่ี เราไม่ติดห้องแอร์นะ ออกมาน่ังห้องไม่แอร์ก็ได้ เดินทางไป
จังหวัดอืน่ กไ็ ด้ อนั น้นั แหละ รทู้ ้งั รอ้ น ร้ทู ั้งเย็น มันสบายกว่าคนทีร่ ู้แต่ไปติดเย็นน่ัน ถ้า
ติดห้องแอร์แล้ว ไปไหนมาไหนก็ไปไม่ได้ ไปทำ�งานก็ไปไม่ได้ ไปจังหวัดอ่ืนก็ไม่ได้ ติด
อยู่ในน้ันแหละ ติดอยู่ในห้องแอร์ ไปจำ�ศีลกับเขาก็ไปไม่ได้ ไปภาวนาท่ีไหนก็ไปไม่ได้
เพราะไปติด นี้มันติดสุข ติดสุขก็คือติดอยู่ในบุญ คือหมายความว่ามันสุข ก็เป็นกิเลส
ตอ้ งละใหไ้ ด้ จะต้องเขา้ ใจมนั นี่ยังละอยู่ ยังไมห่ มดหรอก แต่มันก็ได้สขุ อยู่
ก า ร ป ฏิ บั ติ ต่ อ พ ร ะ ส ง ฆ์
การประเคนสิ่งของที่นำ�ไปถวาย
พระภิกษุสงฆ์ให้ถูกต้องตามกาลเวลา
เราควรรู้ว่าสิ่งของอะไรบ้างที่จะถวายพระในตอนเช้าได้ หรือสิ่งของอะไรบ้าง
ที่จะถวายพระในตอนบา่ ยได้ เช่น ถ้าเราเอาอาหารไปถวายพระตอนบ่าย เราไม่ตอ้ งไป
ประเคนท่าน เพราะหากว่าท่านรับประเคนอาหารนั้นแล้ว ในวันต่อไปพระท่านจะ
ฉันอาหารที่ได้รับประเคนไว้แล้วนั้นไม่ได้ เพราะผิดศีลของพระ เหตุฉะน้ัน ญาติโยมจึง
ควรนำ�อาหารเหล่าน้ันไปเก็บไว้ท่ีโรงครัว เพ่ือจะได้ให้โยมวัดนำ�เอาอาหารมาถวายพระ
ในวันต่อไป อย่าไปบังคับให้พระท่านรับประเคนไว้ ส่วนมากแล้วญาติโยมท้ังหลายยัง
ไม่เข้าใจเร่ืองการถวายส่ิงของต่างๆ กับพระ ไม่รู้อะไรควรประเคนพระในตอนเช้า ไม่รู้
วา่ อะไรควรประเคนในตอนบา่ ยแลว้ ไป (ตงั้ แตเ่ ทยี่ งตรงเปน็ ตน้ ไป) อะไรพระฉนั ไดท้ กุ กาล
ทุกเวลา เราต้องศึกษาให้รู้ให้เข้าใจว่าอะไรท่ีเป็นอาหาร เราก็ประเคนพระในตอนเช้า
ไปถึงแค่เท่ียงวัน ส่ิงที่ประเคนพระได้ต้ังแต่ตอนบ่ายไปจนถึงเท่ียงคืนก็คือ นำ้�ปานะ
เภสชั ท่พี ระรบั ประเคนแลว้ เก็บไวฉ้ ันได้ ๗ วันคือ น้ำ�ผงึ้ น�้ำ อ้อย นำ�้ ตาลทราย เนยใส
เนยข้น สำ�หรับสามเณรจะเก็บเภสัชเหล่านี้ไว้ฉันได้ตลอดไป แต่เภสัชยารักษาโรค
อย่างอ่ืนทุกชนิด เมื่อพระภิกษุสามเณรรับประเคนแล้วเก็บไว้ฉันได้ตลอดชีวิต ส่ิงที่ควร
ประเคนพระไดท้ ุกกาลทุกเวลา กค็ อื ยารักษาโรคทุกชนดิ
164 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม ปุ จ ฉ า - วิ สั ช น า
วิธีการประเคนสิ่งของแก่พระภิกษุสงฆ์
การถวายส่ิงของต่างๆ ให้แก่พระภิกษุรับ เรียกว่าประเคนสิ่งของ เราควรทำ�
ความเข้าใจให้รู้ก่อนว่าทำ�อย่างไรจึงจะเหมาะสมและถูกต้องดี ในการประเคนของน้ัน
ขนาดและนำ้�หนักของสิ่งท่ีจะประเคนน้ัน ควรจะเป็นส่ิงของพอบุรุษมีกำ�ลังยกคนเดียว
ได้ หรือไม่หนักเกินไป เพ่ือจะยกประเคนได้สะดวก และพระก็รับประเคนได้สะดวก
เช่นกัน ส่วนสิ่งของท่ีนำ้�หนักเบาและขนาดเล็กน้อยนั้น ก็ไม่มีปัญหาอะไร เมื่อหากว่า
ทายกจัดเตรียมส่ิงของเหล่านั้นเสร็จแล้ว พระก็นั่งเรียบร้อยดี เราก็ถือสิ่งของเหล่าน้ัน
เข้าไปใกล้พระ ให้ได้หัตถบาส คือให้ห่างกันประมาณ ๑ ศอกคืบ หรือ ๒ ศอก พอ
เหมาะสมกับสถานที่นั้นๆ ด้วย แล้วยกของนั้นประเคนพระภิกษุให้สูงพอแมวลอดได้
พระภิกษกุ น็ ้อมรบั สง่ิ ของท่ีโยมถวายแกต่ นด้วยความเคารพเชน่ กนั
การรับประเคนส่ิงของน้ัน ถ้าโยมยกของถวาย ๒ มอื พระกต็ ้องรบั ของ ๒ มอื
ถ้าโยมยกของถวายมือเดียว พระก็รับของมือเดียวเช่นกัน ถือว่าถูกต้องในการประเคน
สงิ่ ของส�ำ หรบั โยมผชู้ าย
ถ้าหากว่าเป็นโยมผู้หญิงประเคนสิ่งของแก่พระภิกษุน้ัน ก็ควรจะน่ังห่างจาก
พระภิกษปุ ระมาณ ๒ ศอก หรือใหเ้ หมาะสมกบั สถานทน่ี ั้นๆ พระภกิ ษุเมอ่ื จะรับประเคน
ส่ิงของจากโยมผู้หญิงน้ัน ก็ควรมีผ้าสำ�หรับรับประเคน หรือผ้าท่ีควรหาได้ว่าเหมาะสม
ก็ได้ แล้ววางผ้านั้นลงที่ตรงหน้าของตนให้เรียบร้อย แล้วโยมผู้หญิงก็น้อมสิ่งของที่จะ
ก า ร ป ฏิ บั ติ ต่ อ พ ร ะ ส ง ฆ์ 165
ถวายพระวางลงบนผา้ ทพี่ ระทา่ นจัดปไู วน้ นั้ ดว้ ยความเคารพ ถ้าโยมยกของถวาย ๒ มอื
พระก็ต้องจับผ้า ๒ มือ ถ้าโยมยกของถวายมือเดียว พระก็จับผ้ามือเดียวเช่นกัน ด้วย
ความเคารพในส่ิงของที่ตนบริจาคทานด้วยกันท้ัง ๒ ฝ่าย จึงเรียกว่าเป็นการประเคน
ส่งิ ของให้พระภกิ ษอุ ย่างถูกตอ้ ง และแลดสู วยงามเหมาะสมในทางพระพทุ ธศาสนา
เมื่อประเคนส่ิงของเรียบร้อยแล้ว ควรกราบ ๑ ครั้ง เพื่อเป็นการเคารพใน
กองบุญของตน หรือถา้ สถานท่ไี ม่เหมาะสมทจ่ี ะกราบ จะไหว้ ๑ คร้งั ก็ได้
166 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม ปุ จ ฉ า - วิ สั ช น า
น้ำ�ปานะที่จะถวายพระภิกษุสงฆ์ได้
นำ้�ที่จะถวายได้นั้น ต้องเป็นนำ้�ผลไม้ท่ีไม่ใช่มหาผล และต้องกรองด้วยผ้า
สะอาด ๗ ครั้งเสียก่อน หรือไม่ถึง ๗ ครั้งก็ได้ แต่ต้องกรองกากออกให้หมดจริงๆ
แล้วจึงนำ�ไปถวายพระภิกษุสามเณร ตามหลักพระธรรมวินัยทางพระพุทธศาสนา ที่
พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้
ส่วนนำ้�ผลไม้ที่เป็นมหาผลทุกชนิด ที่บรรจุขวดหรือบรรจุกระป๋อง ห้ามถวาย
พระภิกษุสามเณรในตอนบ่ายแล้วไป นำ้�ดังกล่าวนี้ควรถวายต้ังแต่เช้าไปถึงเที่ยงเท่าน้ัน
จึงจะถกู กาลเวลาทีพ่ ระภกิ ษสุ ามเณรควรฉนั ได้ เพราะจดั เปน็ อาหาร
น�ำ้ ผลไมบ้ รรจุกระปอ๋ งและขวดทุกชนิด แมไ้ มใ่ ช่มหาผลก็ตาม ถ้าไมไ่ ด้กรอง ก็
จดั เป็นอาหารเหมือนกนั ควรถวายพระภิกษุสามเณรต้ังแต่เชา้ ไปถงึ เท่ียงเทา่ นนั้
เก็กฮวย จับเลี้ยง หล่อฮังก้วย ถือเป็นยา เม่ือนำ�มาต้มกับนำ้�ตาล ใช้เป็นนำ้�
ปานะได้
ก า ร ป ฏิ บั ติ ต่ อ พ ร ะ ส ง ฆ์ 167
เวลาทำ�บุญตักบาตรแก่พระภิกษุสงฆ์
ต้องถอดรองเท้าหรือไม่
การทำ�บุญตักบาตรแก่พระภิกษุสามเณรนั้น ญาติโยมควรพากันปฏิบัติให้
ถูกต้องเช่นกัน เม่ือพระภิกษุสามเณรออกไปบิณฑบาตตามกิจวัตรของท่าน ถ้าญาติ
โยมมีความประสงค์อยากทำ�บุญใส่บาตรพระตามกำ�ลังศรัทธาของตน เมื่อพระเดิน
มาบิณฑบาต หากเราเตรียมอาหารเพื่อจะตักบาตรเรียบร้อยแล้ว ก็นำ�อาหารเหล่านี้
ออกมาต้ังในที่ใดที่หนึ่งท่ีเห็นว่าสมควร หรือถืออาหารออกไปเพื่อใส่บาตร เม่ือพระมา
ยืนเฉพาะหน้าของตน ท่านเปิดฝาบาตรออกเพื่อรับภัตตาหารจากโยม โยมก็จัดอาหาร
นั้นใส่บาตรพระตามความประสงค์ของตน เมื่อตักบาตรเรียบร้อยแล้ว โยมควรจะ
ยกมือไหว้หนงึ่ ครั้ง เป็นการเคารพในกองบญุ ของตน
การตักบาตร หรือที่มักเรียกกันว่าใส่บาตรน้ัน ถ้าญาติโยมสวมรองเท้าอยู่ ควร
ถอดรองเท้าเสียก่อนจึงตักบาตร เพราะว่าพระภิกษุสามเณรท่านไม่ได้ใส่รองเท้ามา
บิณฑบาต เราก็ไม่ควรท่ีจะสวมรองเท้าเหมือนกัน เพราะจะทำ�ให้อยู่สูงกว่าพระภิกษุ
สามเณร จึงเป็นการไม่เคารพต่อพระภิกษุสามเณรและกองบุญของตน เว้นไว้แต่
ข้าราชการทหารตำ�รวจท่ีอยู่ในชุดเคร่ืองแบบประจำ� จึงใส่บาตรได้โดยไม่ต้องถอด
รองเท้า นอกนั้นต้องถอดรองเท้า จงึ เป็นการเคารพในการทำ�บุญตักบาตรของตน
168 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม ปุ จ ฉ า - วิ สั ช น า
ถ้านิมนต์ให้พระท่านยืนรับบิณฑบาตบนยกพื้นท่ีอยู่สูงกว่าที่โยมยืนอยู่ โยมจะ
สวมรองเท้าเวลาตักบาตรก็ได้ เพราะพระท่านอยู่ในที่สูงกว่าโยมแล้ว หรือถ้าโยมถอด
รองเท้า ยืนรอตักบาตรอยู่บนเสื่อ แล้วจะนิมนต์ให้ท่านยืนรับบิณฑบาตบนเส่ือด้วย ก็
ใชไ้ ด้ เพราะโยมไม่ได้ยืนอยบู่ นทส่ี งู กว่าพระ คอื อยบู่ นท่สี งู ระดับเดียวกัน กไ็ ดเ้ ช่นกัน
ทงั้ ภกิ ษสุ ามเณรและอุบาสกอบุ าสิกา ควรพากนั นำ�ไปปฏิบัติตนดงั กล่าวแลว้
ก า ร ป ฏิ บั ติ ต่ อ พ ร ะ ส ง ฆ์ 169
พระสงฆ์ยืนรอรับบาตรอยู่หน้าวัด
โดยไม่ออกเดินบิณฑบาตตามบ้านได้หรือไม่
อันน้ีทำ�ได้ไม่ผิดศีลอะไร แต่ถ้าท่านไปเดินบิณฑบาตตามบ้าน จะได้โปรดคน
ท่ีมีกิจธุระไม่สามารถจะมาใส่บาตรที่วัดได้ เช่น บุคคลยังมีลูกเล็กๆ อยู่ เอาลูกใส่เปล
ไว้แล้วก็ลงมาใส่บาตรพระเณรได้ พวกนี้จะได้มีโอกาสที่จะทำ�บุญ พระพุทธองค์ทรงให้
พระไปบิณฑบาต เน่ืองจากมีโอกาสโปรดสัตว์โปรดญาติโยมได้มากกว่าดีกว่า บัดน้ี ถ้า
รับนมิ นต์ ไมไ่ ด้ไปบิณฑบาตอยา่ งทีว่ ัดน้ีในวนั พระ พระไมไ่ ด้ไปบณิ ฑบาต แต่ใครอยาก
ไปก็ไปได้ แต่โยมเขาจะมาทำ�บญุ ทีว่ ัด ซึ่งถา้ ไปบณิ ฑบาตแลว้ ก็ไม่มีใครใสบ่ าตร อันนีจ้ ะ
ไปเดินเฉยๆ เป็นกิจวัตรก็ได้ไม่เป็นไร ก็ถือว่าพระปฏิบัติตามกาลเทศะกิจวัตรของท่าน
ไดถ้ ูกต้องแล้ว
170 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม ปุ จ ฉ า - วิ สั ช น า
ก า ร ป ฏิ บั ติ ต่ อ พ ร ะ ส ง ฆ์ 171
พระสงฆ์เลือกฉันอาหารที่บิณฑบาตมา
หรือที่ญาติโยมถวายมาได้หรือไม่
พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ ถ้าฉันอาหารชนิดใดทำ�ให้ง่วงเหงาหาวนอน ทำ�ให้
ร่างกายไมส่ บาย ท่านให้งดอาหารชนดิ นน้ั ถึงจะท�ำ ดีมาแคไ่ หนก็ตามทา่ นใหง้ ด เพราะ
ร่างกายของคนเราไม่เหมือนกัน แม้คณะศรัทธาญาติโยมจะมาถวายสิ่งนั้นที่ตนเองฉัน
ไม่ได้ ก็ไม่ต้องฉัน ฉันแล้วมันไม่สบาย ให้เลือก เลือกอาหารที่จะฉัน เรียกว่าคนฉลาด
ที่รู้จักรักษาร่างกาย รู้จักรักษาสุขภาพของตน อะไรท่ีกินแล้วมันจะผิดกับร่างกาย กิน
แลว้ เป็นไข้ กนิ แล้วเจ็บท้อง หรอื อะไรสารพดั ถ้าภกิ ษุองคไ์ หนยงั ฉนั อยู่ ภกิ ษนุ ้นั ก็เป็น
ภิกษุโง่นน้ั แหละ ภิกษุไม่ฉลาดในการรจู้ ักประมาณ คำ�วา่ ประมาณในอาหาร ก็ประมาณ
ในเรื่องอาหารมันจะถูกกับร่างกายให้พออยู่ได้ ท่านจึงให้เลือกร่างกายของแต่ละคน
ชอบไม่เหมือนกัน บางคนก็กินเนื้อ บางคนก็กินผัก บางคนก็กินเปร้ียว บางคนก็กิน
หวาน บางคนก็กินเผ็ด บางคนก็ต้องกินเค็มจัดจึงกินได้ ใน ๑๐๐ คนน้ีจะกินได้อย่าง
เดียวกันมันยาก แต่ก็อาจจะกินไปอย่างน้ันแหละ ถ้าเป็นของท่ีชอบกินแล้วมันจะสุข
ทั้งวัน จิตมันไม่ได้กินหรอก แต่มันสุขไปด้วยกัน เพราะว่าร่างกายมันไม่เป็นอะไร ฉัน
อาหารอะไรพอฉนั ได้ ก็ฉันอาหารนั้นพอประมาณอยู่เปน็ วันๆ ไป เรียกว่า มตั ตัญญุตา
172 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม ปุ จ ฉ า - วิ สั ช น า
พระสงฆ์ควรจะปฏิบัติทางธรรมเพียงอย่างเดียว
หรือสามารถติดตามข่าวสารและรับรู้เรื่องราวทางโลกได้ด้วย
พระภิกษุนั้น จริงๆ แล้วท่านเรียนไปคู่กันพร้อมๆ กัน เพราะธรรมะก็คือโลก
ถ้าเราไมร่ ้โู ลกวา่ เขาท�ำ ผิดอะไรตา่ งๆ เราจะสอนคนไม่ได้ จึงต้องเรียน แต่เป็นการเรยี น
โดยอัตโนมัติ ดูคน ดูกิริยา ดูการกระทำ�ต่างๆ น่ันแหละ เขาเรียนโลกโดยตรง เขา
ศึกษาแขนงไหน วิชาความรู้ไหน ซึ่งต้องมาไตร่ตรองว่าเสร็จแล้วเขาจะไปทำ�งานอะไร
อันน้ีต้องศึกษาไว้ว่าเราจะสอนคนให้ถูกกับกาลเทศะกับหมู่กับกลุ่มเขา กับแขนงวิชา
ความรู้ของเขา พระภิกษุจะได้เป็นคนทันสมัย ส่วนทางธรรมน้ันต้องศึกษาให้สูงกว่า
เพือ่ จะได้น�ำ มาสอนคนที่ยงั ไมร่ ู้ ทา่ นใหเ้ รง่ เรยี นธรรมะกอ่ น พอมาดูโลกแล้วจะเห็นเปน็
ธรรมะหมด ความดีความช่วั ทีโ่ ลกเขาท�ำ กันอยู่ จะได้เกบ็ ข้อมลู นมี้ าวจิ ัยในเหตุท่ีวา่ อันน้ี
มันเป็นส่ิงที่เสียหาย ก็ห้ามไม่ให้เขาไปทำ�ความช่ัว ให้เขาประพฤติดี อันน้ีท่านเรียนไป
เป็นคู่กัน ในทางพระก็เหมือนกับปริยัติและปฏิบัติ หรือคันถธุระและวิปัสสนาธุระ
คันถธุระก็คือการศึกษา วิปัสสนาธุระคือการมาวิจัย มาทำ�ความสงบแล้วออกมาวิจัยส่ิง
ที่ตนเองศกึ ษามา ว่าอะไรมเี หตุผลไมด่ ีควรละเสีย ว่าอะไรมเี หตุผลดีกค็ วรปฏบิ ัติตนเอง
ไปตามในทางทดี่ เี ทา่ นนั้ ผลกจ็ ะไดร้ ับมแี ต่ความสุขตลอดไป
ก า ร ป ฏิ บั ติ ต่ อ พ ร ะ ส ง ฆ์ 173
พระผิดศีลหรือไม่ถ้าผู้หญิงมาโดนจีวรของพระ
พระพทุ ธเจ้าท่านอนญุ าตให้มีอยา่ งน้ี ถา้ เราเป็นพระเดนิ ไปบณิ ฑบาต จะใหเ้ ดิน
ห่างกันระยะมีคนวิ่งลอดหรือผ่านได้คนหนึ่ง ไม่ให้ติดกัน เน่ืองจากในสมัยก่อนพระเดิน
บิณฑบาตติดกัน ผัวกับเมียไล่ฆ่ากัน ก็เลยชนพระล้มเพราะเขาไม่มีทางไป เน่ืองจาก
พระเดินเป็นแถวยาว อันนั้นท่านก็ไม่ให้ผิดศีล แต่ท่านให้พระเตรียมตัวในทีหลัง ให้
เดินห่างกันพอคนวง่ิ ผ่านไดค้ นหนึง่ บดั น้ี ถ้าหากจ�ำ เป็นในเวลากลางคืน หรือไปในงาน
พวกผ้หู ญิงเขาไล่กัน เพอื่ นไล่หยอกกนั หรอื สามภี รรยาไลก่ ัน แล้วมาชนเอาพระ อันน้นั
ท่านก็ไมใ่ ห้ผิดศลี เนอ่ื งจากผูห้ ญงิ มาชน ไม่ใชพ่ ระไปแกลง้ ชนเอาผหู้ ญงิ ท่านเอาเจตนา
ของพระเป็นหลัก ถ้าเราแกล้งจะไปชนอันนี้ไม่ได้ เวลาเราไปคนเดียวแล้วแกล้งไปชน
ไม่ได้ เพราะมันมีเจตนา มันก็เป็นบาปของตนเอง แต่ถ้าเขามาโดนหรือมาชนพระเข้า
พระนไี้ มผ่ ดิ ศลี
174 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม ปุ จ ฉ า - วิ สั ช น า
คนที่เป็นกะเทย ตุ๊ด เกย์
สามารถที่จะบวชเป็นพระภิกษุได้หรือไม่
คนทเี่ ปน็ กะเทย ตุ๊ด เกย์ เขาก็เปน็ คนอยู่ แต่เมอื่ บวชมาแลว้ มันจะไม่เหมือน
คนธรรมดา คนที่เป็นเกย์น้ีมันเหมือนคนจิตวิปริต เดินก็ไม่เหมือนผู้ชายท่ีสมบูรณ์ การ
พูดก็ไม่เหมือน กิริยามารยาทก็ไม่เหมือน ที่มันเสียหายที่สุดคืออะไร ก็คือเวลาเพื่อน
พระภิกษุเขายืนอยู่ เม่ือเขาชอบก็จะกอดคอจูบปากจูบแก้มให้คนดู เดี๋ยวคณะศรัทธา
ญาติโยมก็แตกหนีหมด นี่ ตรงน้ีซิคนที่เป็นกะเทยท่านจึงไม่ให้บวช แต่ถ้าอยู่ทางโลก
เรียนหนังสือก็ได้ ทำ�การงานก็เก่ง อันนี้ไม่เป็นอะไร แต่ห้ามไม่ให้มาบวชเป็นพระภิกษุ
ในพุทธศาสนา เพราะเขาจะไม่เป็นคนปกติเหมือนคนอ่ืน จะเป็นคนโกรธง่ายด้วย ใจ
หว่ันไหวง่ายด้วย และพวกนี้ก็ดุด้วยถ้าไม่ได้ตามใจ มันสามารถที่จะฆ่าคนได้เนื่องจาก
เป็นคนที่จิตใจหวั่นไหวง่าย ไม่กล้าไม่แข็งแกร่ง เหตุฉะนั้น ท่านจึงไม่ให้บวช แต่ถ้ามี
บวชเป็นพระอยู่ตามวัดต่างๆ น้ัน อาตมาดูแป๊บเดียวก็รู้ ดูการเดินไปเดินมา ดูการ
พูดคุยกัน หรือแค่บีบแขนก็รู้จักแล้ว เพราะมันจะแสดงอาการออกมาทันที ถ้าหมู่พระ
ยืนอยู่เป็นกลุ่ม ถ้าพวกนี้เดินเข้ามาจะหนีแตกกระจุยเลย เพราะมันจะไปหยอกหมด
ทกุ คน นีแ่ หละในทางพทุ ธศาสนา คนทเ่ี ป็นกะเทยท่านจึงไม่ใหบ้ วช ซ่ึงในครัง้ พุทธกาล
มีเข้ามาบวช แล้วมาทำ�ร้ายพระภิกษุอย่างน้ีแหละ พระพุทธเจ้าท่านจึงให้สึกไปเสีย
ไมใ่ ช่มนั ไม่มเี หตทุ ่จี ะไม่ให้มาบวช มันมเี หตมุ าก่อน
ก า ร ป ฏิ บั ติ ต่ อ พ ร ะ ส ง ฆ์ 175
แต่ผู้หญิงต่อผู้หญิงมันเป็นอีกเร่ืองหน่ึง คงจะไม่ให้บวชเป็นนางภิกษุณีเหมือน
กันน่ันแหละ นางโคตมีผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าคงจะไม่ให้บวช เพราะจะมาทำ�เหมือนผู้ชายอยู่
ในหมู่นางภิกษุณีก็ไม่ได้ มารบกวนหมู่ไม่ได้ พวกเราเป็นหมู่กันเราก็จะเห็นเอง ถ้ามีอยู่
ท่ไี หนเราจะอยูก่ ับพวกเขาไม่ได้นะ ระวังจะตายนะเพราะพวกนรี้ นุ แรง ผู้หญงิ กับผู้หญงิ
น้ียิ่งรุนแรงมาก อาตมาเห็นหลายคู่แล้ว ที่อยู่ร้านเสริมสวยก็เยอะแยะผู้หญิงกับผู้หญิง
แต่งงานกันอย่างดีเลย แต่ถ้าจะเป็นฆราวาสตั้งใจปฏิบัติธรรมไปก็ได้ ไม่เป็นไรนะ ก็คง
มปี ระโยชน์ในชีวิตของตน
ก า ร ป ฏิ บั ติ ธ ร ร ม
ใ น ชี วิ ต ป ร ะ จ ำ วั น
ทำ�อย่างไรจึงจะไม่ทุกข์
และจะดับทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้วได้อย่างไร
ทุกข์จะไม่เกิดข้ึน เหตุจะไม่เกิดขึ้น ก็ต้องมีสติสัมปชัญญะตลอดเวลา บัดน้ี
บังเอิญเราทำ�ให้เหตุเกิดข้ึนแล้วมันมีทุกข์ จะดับทุกข์ได้ก็ต้องรู้จักเหตุท่ีมันเกิดข้ึนมานั้น
แล้วก็ดับที่เหตุ ทุกข์ก็ดับไป อันเป็นหลักง่ายๆ แต่มันทำ�ยาก เหตุมันเกิดมาจากอะไร
เม่ือเราร้เู ราก็ดับทเ่ี หตุน้ัน ก็เหมอื นกบั ไฟไหมต้ รงน้ี รถดบั เพลิงก็ต้องมาดบั ทต่ี รงน้ี คน
ที่ไม่รู้จักเหตุนั้นแหละก็ไม่รู้จักดับ ไม่รู้ว่าเหตุมันมาจากท่ีไหน คนที่รู้จักเหตุ คนนั้น
กร็ ู้จักดับทุกข์ได้ ที่เราไปทำ�อะไรจึงท�ำ ให้เกิดทกุ ข์ขนึ้ เรากต็ อ้ งหยดุ ทำ� นัน่ คอื เหตุ เรา
พูดอะไรที่มันผิด เถียงกัน โต้แย้งกันแล้วเกิดเร่ือง ก็ให้หยุดพูดในเรื่องนั้น ถ้าเราไปคิด
อะไรขึ้นมา พอเรารู้ว่าสิ่งน้ันท่ีคิดขึ้นมามันเป็นทุกข์ ก็หยุดคิด อันนั้นส้ันท่ีสุด ถ้ารู้จัก
เหตุจะดับได้ทันที ทุกข์ดับไปทันทีเลย ถ้าเหตุดีผลมันก็ดี เราก็จำ�เอาส่ิงที่มันดี ถ้าทำ�
แล้วมันมีความสุขทั้งตนและบุคคลอ่ืนก็ทำ� ถ้าพูดแล้วทำ�ให้อยู่ด้วยความสามัคคีกันดี
และมีเหตุมีผลด้วยการพูดก็พูด ถ้าคิดแล้วมันมีความสุขก็คิด เขาเรียกว่าคนฉลาดใน
การปฏิบัติตน ความสุขก็จะเกิดข้ึน มี ๒ ทางเท่าน้ีเอง สุขกับทุกข์ มันมีเหตุทั้งนั้น
ถา้ ไมม่ ีเหตกุ ็ไม่มผี ล คอื ตอ้ งสรา้ งสติปัญญาให้เกิดขึน้ กบั ตนเอง
178 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม ปุ จ ฉ า - วิ สั ช น า
ควรทำ�อย่างไรเวลามีเรื่องทุกข์ใจที่ไม่สามารถลืมได้
เวลาความทุกข์เกิดข้ึน มันติดอยู่ที่น้ันแก้ไขไม่ได้ ต้องมีสติสัมปชัญญะรู้จักเหตุ
มนั มันจึงจะแกไ้ ขได้ เมื่อรูจ้ กั เหตุ ก็ร้จู ักโทษของอารมณ์ที่ตนเองก�ำ ลงั ยึดมน่ั อยดู่ ้วยวา่
ทำ�ให้เราเกิดทุกข์ แล้วย้อนมาถามตนเองว่าอยากทุกข์ไหม ยำ้�เข้าอีกที ไม่อยากทุกข์
เม่อื ไม่อยากทุกข์แลว้ ไปยึดมนั่ ให้มันทกุ ข์ ใหม้ ันคา้ งคาอยู่ท�ำ ไม ท�ำ ไมไมป่ ล่อยวาง บัดนี้
เมื่อจิตของเรายอมรับแล้ว เม่ือนั้นจิตเราก็ปล่อยวางเอง น่ีแหละคือวิธีแก้ มีจุดเดียว
ให้จิตยอมรับก่อนว่ามันเป็นทุกข์ เม่ือจิตรู้ว่าทุกข์ จิตมันก็วางของมันเอง ไม่ต้องไป
บอกให้จิตมันวาง จิตมันวางของมันเอง ทุกข์น้ันก็จะดับไปจากจิตใจทันทีเลย จะไม่
ค้างคาอยู่กับจิตใจ โกรธก็เหมือนกัน พอรู้ว่าความโกรธนี้เป็นของที่ไม่ดี ทำ�ให้เกิดเป็น
ทกุ ข์เท่านั้นแหละ จิตมันก็จะปล่อยวางทนั ที มนั หายโกรธเลย มนั ปล่อยวางได้
ก า ร ป ฏิ บั ติ ธ ร ร ม ใ น ชี วิ ต ป ร ะ จ ำ วั น 179
การปฏิบัติธรรมจะทำ�ให้หายจากโรคได้หรือไม่
มนั จะหายท่ีใจ แต่โรคยังไมห่ าย ก็จะสบายดีกวา่ คนที่ไม่ปฏบิ ตั ิธรรม เพราะเขา
รวู้ ่าโรคภยั ไขเ้ จบ็ มนั เป็นธรรมดา กก็ ินหยกู กนิ ยา เขากไ็ มเ่ ดอื ดร้อนวนุ่ วายมาก ความดี
อยู่ตรงน้ี แต่บางทีโรคเล็กๆ น้อยๆ มันหายโดยอัตโนมัติ เช่น เป็นไข้ หรือเป็นอะไร
บางอย่าง ปฏบิ ตั ิธรรมมากๆ มันเข้าใจ จติ ใจแขง็ แกรง่ ขึน้ มา หม่ันเดนิ จงกรมภาวนา ก็
หายโดยอัตโนมัติ โรคเหน็บชาก็หายได้ง่ายๆ ถ้าคนทำ�ความเพียร อย่างหลวงปู่ขาว
ท่านป่วยมากๆ ท่านก็เดินจงกรมภาวนา โรคมาลาเรียนี้หายเกล้ียงโดยไม่ได้กินยา
สักเม็ดเลย หลวงปู่ม่ันป่วย หมอท่ีโรงพยาบาลในเชียงใหม่นี้ไม่รักษาแล้ว ซ่ึงตอนนั้น
ท่านเดินไม่ได้แล้ว ก็หามกันไป ไปเดินจงกรมภาวนา ไม่ถึงเดือน ท่านก็หายจากโรค
เดินไดส้ บายเลย ท่านใชธ้ รรมโอสถ แตถ่ า้ โรคมันหนัก ก็ต้องกนิ ยาไปด้วย ปฏิบัตไิ ปด้วย
คนท่ีปฏิบัติธรรมเขารู้ เขาวางได้ง่าย แต่คนที่ไม่ปฏิบัติธรรมนี้ หน้าจะเห่ียวหน้ายุ่งไป
หมดเลย อยา่ งเปน็ ไข้น้อยกจ็ ะยิง่ ปว่ ยหนกั เขา้ ไปเร่ือยๆ
180 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม ปุ จ ฉ า - วิ สั ช น า
การศึกษาธรรมะช่วยแก้ไขจิตใจที่ห่อเหี่ยว ซบเซา
ไม่แช่มชื่นเบิกบานแจ่มใสได้อย่างไร
ถ้าพูดตามความจริงน้ัน จิตใจไม่แช่มชื่น ไม่เบิกบาน ก็อาศัยซ่ึงว่าเราน้ีรับ
อารมณ์บางสิ่งบางอย่าง มาคิดมาอ่านแล้วทำ�ให้จิตใจหงอยเหงาซบเซา เราต้องพัฒนา
จิตของเรา ศึกษาให้มีสติปัญญาให้รู้อารมณ์ ทุกส่ิงทุกอย่างท่ีมันเกิดข้ึนกับจิต ให้รู้ว่า
ทุกส่ิงทุกอยา่ งมีอยใู่ นสากลโลกน้ี มันเปน็ เร่ืองของโลกโดยเฉพาะ แตเ่ มื่อเราไม่ไดศ้ กึ ษา
เราก็ไปยึดม่ันถือมั่น ยึดสมมุติน่ันออกมา เราก็เลยว่ามันจะเป็นไปตามสมมุติ มันก็เลย
หงอยเหงา
บัดน้ี อีกอย่างหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างนี้เป็นส่ิงที่ไม่ได้สมหวัง เป็นสิ่งที่ผิดหวัง ถ้า
ใครปรารถนาอะไร อยากได้สมหวัง ทุกข์จะเกิดข้นึ เลย เพราะมนั ไม่มอี ะไรสมหวัง มแี ต่
ส่ิงที่ผิดหวัง มันก็เลยหงอยเหงาที่ไม่ได้สมหวังนี้เอง ดังน้ัน เราก็ต้องศึกษาให้รู้ว่ามัน
ไม่ไดส้ มหวงั
บัดน้ี เราจะแก้ไขให้จิตใจฟูขึ้นมา ก็ให้ศึกษาว่าสิ่งทั้งหลายเป็นอนิจจัง อะไร
ข้างนอกมันจะได้สมหวังได้ยังไง ทำ�งานก็ไม่ได้สมหวัง เงินเดือนก็ไม่ข้ึน อยู่กับหมู่ก็
ไม่ได้สมหวัง อยากทำ�งานด้วยกันให้มันถูกต้องกัน มันก็ขัดคอกันอยู่ จะเอาเลื่อยตัด
ขาเกา้ อี้กันอยู่
ก า ร ป ฏิ บั ติ ธ ร ร ม ใ น ชี วิ ต ป ร ะ จ ำ วั น 181
นี่ ตามความจริง เราก็ศึกษาว่าส่ิงทั้งหลายมันเป็นโลกธรรม เราต้องศึกษาให้รู้
โลกธรรม ๘ มลี าภ เส่อื มลาภ มียศ เสอ่ื มยศ สุข ทกุ ข์ สรรเสรญิ นนิ ทา มนั กม็ ีประจ�ำ
โลกอยู่อย่างนี้ ทีน้ี อนิฏฐารมณ์ อารมณ์ที่ไม่พอใจ ก็คือ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ ทุกข์
นินทา ไม่ใช่ใครอ่ืน ก็ใจน้ันเป็นคนรับอารมณ์ ส่วนอิฏฐารมณ์ อารมณ์ท่ีพอใจ ก็คือ
มีลาภ มยี ศ สุข สรรเสริญ เมอื่ เปน็ อารมณ์ที่พอใจ ตนเองกว็ ่า มคี วามสขุ สบาย มันก็
มอี ย่สู องอย่างนี้ คือ โลภะและโทสะ ก็คือกิเลสนัน่ เอง
บดั นี้ เพราะเราหลงโลกกค็ อื โมหะ จรงิ ๆ โลกธรรม ๘ มนั ไม่มีอะไร ทเี่ รายงั
ไม่หลุดออกมา เพราะเรายังไม่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดพอ เราก็เอาออกไม่ได้ เหมือน
เรามีความโกรธ เราก็อยากละมันให้หมดเสีย แต่มันก็ยังไม่หมด ก็เพราะยังไม่รู้โทษ
ความโกรธอย่างแจ้งชัด ความโลภ เราอยากจะเอามันออกหมด แต่เราก็ยังอยากได้
มันก็ไม่หมดอีก มันเป็นความปรารถนาท้ังน้ัน ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็อยากได้ ก็ต้องอาศัย
กิเลสเหมือนกัน คนจะพ้นทุกข์ ก็ต้องอาศัยกิเลสอยากให้มันพ้นทุกข์ไป เมื่อสุขเกิดข้ึน
ก็อยากใหม้ ันอยอู่ ย่างน้ัน แต่มันก็เป็นอนจิ จัง เป็นของไม่เทย่ี ง
เหตุฉะน้ัน เราก็สรุปว่า ทุกสิ่งทุกอย่างน้ันเป็นอนิจจัง ลงมาท่ีไตรลักษณ์ โลก
มนั เปน็ อยู่อยา่ งนี้ เราจะปรารถนาอะไรได้ ตัง้ แตเ่ ราเล็กๆ อยู่ อยากเด็กอย่แู คน่ นั้ ไมใ่ ห้
มันแก่เฒ่า มันก็แก่เฒ่ามาเรื่อยๆ มาเป็นหนุ่มเป็นสาว ก็อยากอยู่แค่นั้นแหละ มันก็
ไม่อยู่อีก ก็ไม่สมหวังอีก ตรงนี้แหละ ตัวตนเองก็ยังไม่ได้สมหวังตนเอง จะไปหาที่ไหน
มาได้สมหวังในโลก มันไม่มี ถ้ามันเป็นของเรา บอกว่าผมอย่าขาวอย่าหงอกนะ มันก็
ไม่ขาวไม่หงอก แต่นี่มันด้ือดึงหงอกอยู่ ฟันของเราอย่าหลุดนะ มันก็หลุดออก หนังก็
อย่าให้ย่นให้เห่ียว มันก็เหี่ยวอีก กำ�ลังวังชาแข็งแรงอยู่ อยากให้มันแข็งแรงอย่างเดิม
มันก็อ่อนเพลียลง ตรงน้ีมันผิดหวังแล้วนะ มันเป็นอย่างนี้แหละ ไม่มีอะไรได้สมหวัง
ในเมอ่ื โลกธรรม ๘ มันไมม่ ี เรากเ็ รยี นให้รเู้ ทา่ นัน้ เอง ท�ำ ใจให้สบาย มันจงึ ไม่ทกุ ข์
182 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม ปุ จ ฉ า - วิ สั ช น า
การศึกษาธรรมะ มันมีประโยชน์แก่ชีวิตของเรา ท่ีเราจะได้ปรับปรุงพัฒนา
จิตใจของเรา ให้มีความแช่มชื่นเบิกบาน เหตุฉะนั้น การทำ�สมาธิให้เกิดให้มีได้ มันมี
ความดี คอื
๑. ความจ�ำ ดี
๒. อยใู่ นสงั คมไม่ผดิ ใคร
๓. เม่ือมีปัญหาเกิดข้ึน สามารถแก้ปัญหาด้วยตนเอง ไม่ต้องอาศัยคนอ่ืนแก้
ปัญหาให้
ในข้อท่ี ๓ น้เี ปน็ สง่ิ ที่น่าปรารถนา สมมุติเรารู้สึกวา่ ท�ำ ไมใจมนั หอ่ เห่ียว มันฝ่อ
มันแห้งขนาดน้ี ก็ลองตรวจดูว่าเราไปทำ�อะไรไว้ท่ีทำ�ให้เกิดทุกข์ จิตใจเหี่ยวแห้งอย่างน้ี
เมอ่ื เรารู้ เราจะไดล้ ะสิ่งท่ีเราท�ำ แน่ะ..มนั ก็แก้ปัญหาได้ บัดนี้ ถ้าเราเกดิ ไปพดู ไปเถียง
ไปโต้แย้งขัดคอกัน ไปพูดคุยเร่ืองน้ีแล้วมันทำ�ให้ใจเหี่ยวแห้งเศร้าหมอง เราก็หยุดพูด
เรอ่ื งน้ัน ก็ดับทกุ ขน์ นั้ ไป บัดน้ี ถา้ เราไมไ่ ดท้ ำ� ไม่ได้พดู แตเ่ ราคิดขน้ึ มาเอง แล้วท�ำ ให้
ใจมันห่อเหี่ยว เศร้าหมอง ง่วงเหงาซบเซา ถ้ามันเป็นอย่างนี้ เราก็หยุดคิดเร่ืองน้ันเสีย
นี่แหละวิธแี ก้ทุกข์มนั อยู่ตรงนี้ มนั ก็จะดับทุกขไ์ ด้ดว้ ยตนเอง
บัดน้ี เหตุถ้าหากว่าเรามีความสุขอยู่ในปัจจุบัน เราก็สาวหาเหตุว่าความสุขนี้
เกิดมาจากไหน เกิดมาจากไปทำ�อะไรไว้ ไปช่วยคนไว้ หรือไปทำ�บุญสงเคราะห์อะไรไว้
หรือเกิดเวลาพูดคุยสมานสามัคคีปรองดองกัน ไม่ผิดไม่เถียงกัน หรือเมื่อเราคิดเรื่อง
ตา่ งๆ ข้นึ มาแลว้ ทำ�ให้มีความสขุ ใจมันไม่เหี่ยวแห้ง ใจมันเบิกบานแชม่ ชน่ื แจม่ ใสร่นื เริง
อยู่ เราก็รูจ้ ักว่าสุขมนั เกิดมาอยา่ งน้ี
ดงั นนั้ ถา้ จิตมันเห่ียว มนั ฝ่อ มันตก มนั ตอ้ งมอี ะไรสกั อย่างอยู่ในนน้ั เขาเรยี กวา่
จิตไม่ว่าง เรียกว่าจิตรับอารมณ์ไม่ดีมา เหตุฉะน้ัน เราต้องเลือกอาหารจิต อย่าเอา
อาหารไม่ดีมาให้จิตมันกิน ทำ�ให้จิตใจเห่ียวแห้ง มีความทุกข์ เขาเรียกว่า กินยาพิษ
เมอื่ เราให้อาหารดีๆ แกจ่ ิตซึ่งก็คือ ธรรมะ มันกจ็ ะมีความสุข
ก า ร ป ฏิ บั ติ ธ ร ร ม ใ น ชี วิ ต ป ร ะ จ ำ วั น 183
บางครั้งเราไม่ได้ตั้งใจคิด
แต่บางสิ่งโผล่ขึ้นมาเอง แล้วจิตก็แฟบไปเลย
สวดมนต์ นั่งสมาธิก็ไม่ได้ ต้องทำ�อย่างไร
อันน้ันเขาเรียกว่าคิดข้ึนมา ปรุงขึ้นมา มันเป็นสังขาร เราต้องฝึกแก้ไขตนเอง
คนอื่นเป็นผู้ช้ีทางให้เท่านั้นเอง แต่เวลาแก้ไขจริงๆ เป็นเร่ืองของตน กรรมเป็นของ
ของตน ถ้าเราคิด จิตเราก็แฟบเอง ถ้าไม่คิดอารมณ์นั้นจิตก็ไม่แฟบ เป็นกรรมของ
ตัวเองที่คิดข้นึ มา เหมอื นกรรมดี เรากค็ ดิ เอง ท�ำ เอง พูดเอง ในพระพทุ ธศาสนากลา่ ว
ว่า เรามีกรรมเป็นของของตน เป็นผู้รับผลของกรรม มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็น
ผู้ติดตาม มีกรรมเป็นท่ีพ่ึงอาศัย เม่ือจิตกำ�ลังเกิดอยู่ในอารมณ์ไม่ดีนั้น ก็มีกรรม คือ
ความทุกข์ ความห่อเห่ียว เปน็ เงาตดิ ตาม มันก็อยขู่ องมันแต่เราไปดึงมันเขา้ มา แล้วว่า
มันโผล่มา จริงๆ มันไมไ่ ด้โผลม่ า แตเ่ พราะจิตมันไปรับเอาอารมณห์ รอื ปรงุ ขน้ึ มา
มนั แปลกอยูอ่ ยา่ งหน่ึง จิตใจของคน ถา้ มนั คดิ ทุกข์มันชอบคดิ เกง่ คดิ นาน แต่
ถ้าคิดสุขมันคิดไม่นานมันก็ลืม ท้ังท่ีจิตเองมันก็อยากสุขนะ แต่มันยังด้ือไปคิดทุกข์อยู่
ตรงนเี้ ราควรจะสนใจ เหมอื นการฟังเทศน์ คุยธรรมะกัน ไปสกั หน่อยมนั กล็ มื งา่ ยๆ นะ
ความสขุ แต่ถา้ เขาดา่ เรา โอย๊ ..สามปีกไ็ ม่ลมื มันจำ�ดจี ะตาย ไม่เห็นหน้ากย็ งั ชัง คิดถึง
ไม่ได้ อันน้ีเราต้องรีบทำ�ให้มันหายจากจิตใจ ถ้าใครหายก็มีความสุข เรียกว่า เป็นคน
ฉลาด เราตอ้ งหัดฉลาด ต้องหดั แกไ้ ขตนเอง เวลาเปรอะ ตกโคลนตม ก็ต้องอาบเอง ท่ี
สอนอยู่นี่ คือหานำ้�ให้ แล้วก็บอกให้อาบเถอะ คร้ันไม่อาบมันก็สกปรกอยู่นั่นแหละ
184 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม ปุ จ ฉ า - วิ สั ช น า
เขาเรียกว่าชี้ทางให้เดิน ว่าใหเ้ ดนิ ไปทางนี้นะมันจะถงึ บ้าน ถา้ ไปเส้นใหมม่ ันก็ไมถ่ ึงสกั ที
อย่าไปเส้นน้ีนะ ที่นี่มันมีอันตราย มันก็ยังจะบุกเข้าไปเส้นน้ัน เหมือนเวลาเขาไปซ้ือ
บัตรดูคอนเสิร์ต ต้องเหยียบหลังปีนกันเข้าไปช่องเล็กๆ จะเหยียบกันก็ไปเพราะอยาก
ได้บัตร แต่เวลาชวนเข้าวัด ประตูรถเก๋งวิ่งได้สองคันกลับไม่เข้า ชวนเข้าประตูกว้างๆ
ไม่เข้า แต่ประตูเล็กๆ แคบๆ มันกลับเข้า จิตใจของคนมันชอบอย่างน้ัน พระพุทธเจ้า
ท่านจึงสอนว่ามันจะไปหาหมขู่ องมันเอง
ฉะนั้น ถ้าใจเราแฟบ เราควรที่จะเฉย ไม่ต้องคิดมัน ทำ�ให้มันฟูข้ึนมา พัฒนา
ปรับปรุงมันใหม่ ออกกำ�ลังใหม่ น่ันแหละจิตใจของคน ท่านจึงเปรียบเทียบเหมือนกับ
เอาสัตว์มาขังไว้รวมกัน เอานก ปลา เสือ งู อีแร้ง อีกา แมลงวัน ลิง หมา เอาสัตว์
ต่างๆ มาขงั รวมกนั เราจะรจู้ ักเวลาปลอ่ ยออกไป หมามนั ก็ไปหาสงิ่ สกปรก แมลงวันก็
บนิ เขา้ หลงั บ้าน ลงิ กว็ ิง่ ข้นึ ต้นไม้ งกู ็เขา้ ปา่ รก จระเข้ ปลากล็ งน้ำ� เสอื ก็เขา้ ปา่ รกในเขา
นกก็บินข้ึนฟ้าไปหาต้นไม้ อีกาก็ไปหาหมาเน่า มันไปของใครของมัน ทีน้ีคนก็เหมือน
กัน คนขี้เหล้ามันก็เสาะหากันเองของมัน หาหมู่ข้ีเหล้าของมันเอง พวกเล่นไพ่ก็หา
หมู่เล่นไพ่ พวกเท่ียวก็หาพวกเท่ียว พวกหมอก็ไปทำ�งานคลินิก โรงพยาบาล พวก
เย็บผา้ ก็ไปเย็บผ้า งานของใครของมนั มหี น้าทก่ี จ็ ะไปคนละอย่าง
จิตใจของคนก็เช่นกัน เขาจะไปหาหมู่เขาเอง เราไม่ต้องบอกมัน มันจะเสาะหา
ของมนั เอง นี่ ตรงน้ี มันเปน็ อยา่ งนี้ แตจ่ ติ ใจของคนมันชอบต�ำ่ ถ้าไปทางต�ำ่ มนั ไปง่าย
เหมือนเราน่งั เรือ ปล่อยมนั ไปกับน้ำ�ไหล ไมต่ ้องแจวให้เหน่ือย มันไปของมนั เองไมห่ ยดุ
เลย มนั ไปง่าย ทนี ้ี ทีแรกมนั ไปสบายๆ จากแม่ปิงไปปากน้ำ�โพ ไปปากน�ำ้ สมทุ รปราการ
แตเ่ มื่อลงทะเล ทุกข์จะเกิด ถูกคลน่ื น้อยใหญ่ซัด เรอื กอ็ ับปางตาย บดั นี้ เวลาใครท�ำ ดี
มันเหมือนแจวเรือขึ้นเหนือ หรือตัดกระแสนำ้� มันต้องหนัก ต้องเหน่ือยหน่อยในการ
ทำ�ความดี แต่พอไปถงึ ฝั่งแล้วมันกป็ ลอดภัย
ก า ร ป ฏิ บั ติ ธ ร ร ม ใ น ชี วิ ต ป ร ะ จ ำ วั น 185
การที่เราทำ�หรือพูดอะไรสักอย่างหนึ่ง
แล้วเราเกิดความรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นกับเรา
เมื่อนานมาแล้ว นี้คืออะไร หมายความว่าอย่างไร
อนั น้ันเขาเรยี กสัญญาความจ�ำ เปน็ สญั ญาความจำ�เฉยๆ จำ�สิง่ ท่ผี ่านมาแลว้ จำ�
ไว้บันทึกไว้ บันทึกไว้ภายในจิต บัดนี้มันก็เลยคิดข้ึนมา เราเรียกว่าอดีตที่ผ่านมาท่ีเรา
เคยประสบพบเห็นมาแล้วแต่มันเลยไป แต่เราย้อนกลับคิดข้ึนมา ถ้าเราภาวนาถึงจิต
ใต้สำ�นึก ตัวนี้จะหายสงสัยทันทีเลย จะจำ�มาได้ต้ังแต่อายุ ๑ ขวบจนถึงปัจจุบันนี้
ทันทีเลย ถ้าทำ�ได้แบบนี้ เรียนเก่งแน่ อาจารย์สอนแค่คร้ังเดียว เมื่อเรานั่งสมาธิจิตใจ
สงบเข้าไปถึงจุดน้ัน เหมือนกับอาจารย์มาเฝ้าสอนตลอดเลย จะรู้จักหมด เรื่องอย่างน้ี
หายหว่ ง อาตมารู้เร่อื งดี น่ันแหละเขาเรยี กอดีต จติ มนั คิดถึงอดีต แตม่ นั จะเปดิ ออกได้
เม่ือจิตมีความสงบ ถ้าจิตไม่สงบน้ีไม่เห็น นั่นแหละเขาจึงทวนเร่ืองเดิมข้ึนมา เวลาคน
โกรธมันจะฝงั ขนาด ๓ ปี ๔ ปี มนั ยังแคน้ อยู่ ดูมันฝงั ลึกแคไ่ หน มันฝงั อยใู่ นจติ ถา้
มันลืมไปบ้างแต่มันมาเจอหน้าคนท่ีมันโกรธเท่าน้ันแหละ มันจะคึกคักโกรธขึ้นมาหรือ
จะออกมาทันทีเลย มันเกบ็ ข้อมูลไวท้ ่จี ิตใจนัน้ แหละ มนั จะไปเคาะคอมพิวเตอรอ์ อกมา
ประจานเลย ก็คือว่ามันอยู่ในจิตอยู่แล้ว เก็บเอาไปบันทึกไว้แล้ว ความดีความช่ัวอะไร
ตา่ งๆ จะบันทกึ เกบ็ เอาไวอ้ ยู่ท่ีจิต เหมอื นคอมพวิ เตอร์ คอมพวิ เตอร์ไฟจะเสียไม่ได้ แต่
อันนี้ไฟมันไม่เสีย มันสามารถค้นได้ทุกเวลา เราจะระลึกถึงอดีตได้อย่างแม่นยำ�ถ้าจิต
สงบ ถ้าจิตไม่สงบแล้วจะไม่เห็น อย่างเรื่องท่ีเกิดข้ึนเมื่อวานนี้ มาถึงวันนี้ลืมแล้ว
น่ันแหละจิตทไ่ี มส่ งบ
186 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม ปุ จ ฉ า - วิ สั ช น า
สัญญา ในที่นี้หมายถึง
สัญญาในขันธ์ ๕ หรือเปล่า
สญั ญาน้นั คือความจำ� จ�ำ รปู จ�ำ เสยี ง จำ�กล่ิน จำ�รส สัมผัสอะไรต่างๆ สญั ญา
ว่าคนนั้นหน้าตาอย่างน้ันอย่างนี้ สัญญามีเพียงเท่านี้ แต่ไม่ได้เรียนลึกเข้าไปถึงความ
นุ่มนวล หรือความละเอียดสุขุมอย่างไร อันนั้นเรียกสัญญา ถ้ามันรู้จักความละเอียด
สุขุมลงไป เรียกวญิ ญาณ ความหมายรู้ และถา้ รลู้ ะเอียดจนถึงทส่ี ดุ ก็เรยี กวา่ ปญั ญา
ความรมู้ ี ๓ ขนั้ คอื ๑. สัญญา ๒. วิญญาณ ๓. ปญั ญา
เหมือนเราโกรธฉุนเฉียวหรือความหงุดหงิดน้ีแหละ เขาเรียกเป็นเพียงสัญญา
มันเป็นของเบาๆ เดี๋ยวก็ลืมไป ถ้าหากเป็นวิญญาณก็เหมือนโทสะ โดนตีนี้จะเจ็บเลย
ปัญญาก็คือจะฟันแหลกยิงแหลกให้ตายไปเลย เข้าใจว่าทำ�ลายให้ถึงที่สุด คือรู้ที่สุดเลย
ตอ้ งทำ�ให้ตาย นั่นแหละจะมคี วามละเอยี ดต่างกัน น้�ำ หนกั ต่างกัน ความโกรธคือไม่ต้อง
ฆ่ามันหรอก แค่โกรธ หงุดหงิดเฉยๆ โทสะก็คือตีมันซิ ให้มันเจ็บ มันจะหลาบ ตัว
พยาบาทกค็ ือตอ้ งฆ่าใหต้ ายเลย มันจะไม่ได้มารุงรงั กับเราอีก พยาบาทเขาจะร้รู อบคอบ
ฆา่ ใหเ้ รยี บรอ้ ยเลย น่ันคือเขาถึงท่ีสดุ ร้ถู ึงที่สดุ อันนนั้ เขาเรียกว่าปัญญา
ก า ร ป ฏิ บั ติ ธ ร ร ม ใ น ชี วิ ต ป ร ะ จ ำ วั น 187
ถ้าเรามีกิเลสและตัณหามาก
เราต้องประพฤติตนอย่างไรจึงจะมีความสุข
ถ้าคนเรามีกิเลสมาก ตัณหาก็มาก เราจะต้องประพฤติปฏิบัติฝึกหัดตนเอง หา
วิธีละปลอ่ ยวาง จึงจะมีความสุข แหม การละปลอ่ ยวางกิเลสตัณหาน่ี ใครๆ ก็มเี หมอื น
กัน กิเลสตัณหา แตม่ ีมากมีนอ้ ยไมเ่ ท่ากัน ความโลภ โลภะ ความอยากไดอ้ ะไรทุกอยา่ ง
มันอยากได้ มันเป็นความโลภ มันมีทุกคน ตัณหาก็คือความอยากมากๆ เลย อยาก
มากเทา่ ไหรม่ ันก็ทกุ ข์มากเทา่ นนั้ มันต้องมที ุกคน อยากได้ส่งิ ได้ของ อยากไดอ้ ะไรตา่ งๆ
มาเพื่อร่างกาย เพื่ออยากให้มีความสุข แต่มันมีความทุกข์ ต้องประพฤติกายของเรา
อยู่ในสุจริตธรรม ละความชั่ว ประพฤติความดี ละกิเลส เมื่อมีโลภะก็ต้องพิจารณา
อยา่ ให้มันโลภ มนั โลภมาก ตณั หามนั อยากกอ็ ยา่ ให้มันอยากมาก ค่อยลดละลงไป อย่า
ให้มันถึงปล้นถึงจี้ ถึงทุบตี ถึงฆ่าคนอ่ืนเอาสมบัติทั้งหลาย ต้องประพฤติด้วยกาย
ของตน
การพดู กเ็ หมอื นกนั มนั โกรธ มนั เกลียด มนั ดา่ คนนน้ั คนน้ี พูดไมม่ ีความซอ่ื สัตย์
สุจริต ก็ละปล่อยวาง ต้องปฏิบัติเพื่อมาพูดซ่ือสัตย์สุจริต มาพูดคำ�สมานสามัคคี มา
พูดมาจาปราศรัยอ่อนหวาน มาพูดมีเหตุมีผล ประพฤติตนอย่างน้ี หาวิธีละการพูดท่ี
ไม่ดีให้ได้
188 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม ปุ จ ฉ า - วิ สั ช น า
เราคดิ กเ็ หมือนกัน เราคิดโลภะอยากได้ของคนอนื่ เราคิดโทสะกอ็ ยากดา่ คนอ่นื
โมหะหลงไม่รู้จักท�ำ นองคลองธรรมอะไร คิดผิดเรากพ็ ยายามหาคดิ ไปในทางทถี่ กู โลภะ
มากเราก็ทุกข์มาก อยากไดข้ องคนอื่นมาเป็นของตนหมด โทสะก็ชอบแต่พยาบาท ชอบ
แต่อยากทบุ อยากตี โกรธเกลยี ดคนนัน้ คนนอี้ ยู่ กพ็ ยายามละ ไปโกรธไปเกลยี ดเขาท�ำ ไม
หาวธิ ลี ะปลอ่ ยวาง ถา้ หลงเรากศ็ กึ ษาเพอื่ ให้เขา้ ใจส่งิ นเี้ องว่า อะไรเป็นบญุ อะไรเปน็ บาป
อะไรมีคุณมีประโยชน์อะไรมีโทษอย่างไร เราก็ศึกษา พยายามจะศึกษาประพฤติปฏิบัติ
กาย วาจา ใจของตน ใหอ้ ยู่ในสุจรติ ธรรม ละทุจริตคือความช่ัว
เมอื่ เราละออกไปแล้ว มนั ก็เบาบางลงไปเรือ่ ยๆ การท่ีเราอยากปฏบิ ตั ิอยากละก็
อาศัยกิเลสตัณหาน่ันเอง กิเลสเป็นเหตุใคร่ ตัณหาคือความอยาก ใคร่อยากทำ�ความดี
อย่าไปใคร่หรืออยากทำ�ความชั่ว เพราะทุกข์จะเกิดมากขึ้น ใคร่อยากประพฤติปฏิบัติ
ตนเองให้ดี อยากพูดดี อยากคิดดี นี่คือการใช้กิเลสตัณหาเป็นเครื่องมือเพื่อละกิเลส
ตัณหาน่ันเอง มันก็จะเบาบางลงไปเร่ือยๆ ประพฤติปฏิบัติตนอย่างน้ีก็จะทำ�ให้ตนเอง
มีความผาสุก ก็จะได้ละความโลภ ความโกรธ ความหลง เบาบางลงไปเท่าไหร่เราจะ
มีความสุขมากขึ้นไปเท่าน้ัน ละไปเท่าไหร่ก็สุขไปเท่านั้น ละได้มาก ละไปจนได้หมด
เหมือนพระอรยิ เจ้าทง้ั หลาย ท่านจะสุขแคไ่ หน
น่ี การประพฤตปิ ฏบิ ตั วิ ิธีฝกึ หัดตนเอง ฝกึ หัดกาย วาจา ใจของตนเองให้อยู่ใน
สุจริตธรรม ก็จะนำ�ตนให้มีความผาสุก จะมีทาน ศีล ภาวนา เป็นเคร่ืองประดับตน
หาแต่คุณงามความดีทั้งนั้น มันก็จะทำ�ให้เรามีความสุขไปตามการประพฤติปฏิบัติของ
ตนเองกระทำ�เองได้
ก า ร ป ฏิ บั ติ ธ ร ร ม ใ น ชี วิ ต ป ร ะ จ ำ วั น 189
กิเลสเป็นคุณและโทษอย่างไร
กิเลสมีทั้งคุณและโทษ คนถ้าไม่มีความอยากก็ไม่อยากพ้นทุกข์กัน ถ้าไม่มี
ความอยาก คนก็ไม่อยากเรียนหนังสือให้มีวิชาความรู้ ก็เพราะอาศัยกิเลสอยากดี
อยากมีวิชาความรู้ ก็อาศัยกิเลส คุณของมันก็คือมีวิชาความรู้ เขามีคุณมีประโยชน์คือ
จะต้องเรียนอย่างน้ัน ทุกส่ิงทุกอย่างมีท้ังคุณมีท้ังโทษ อาหารก็เหมือนกันกินมากมันจะ
ตาย อยู่ไม่ได้มันมีโทษ กินน้อยมันก็หิว กินพอดียังอยู่ได้ ยารักษาโรคภัยไข้เจ็บถ้ากิน
มากก็ตาย ยานอนหลับถ้ากินมากกินแล้วก็หลับไปเลย ถ้ากินน้อยมันก็นอนไม่หลับ
ต้องกินให้พอดีมันถึงจะนอนหลับ เครื่องนุ่งห่มถ้ามีมากก็มีโทษคือต้องหาเงินไปให้เขา
ซักฟอก มหี ลายชุดก็ทกุ ข์มากข้ึน ต้องหาตูใ้ สม่ นั อกี นนั่ แหละคอื โทษของมนั รถกม็ ีคุณ
มีโทษ คุณก็คือมันพาเรามาทำ�บุญมาภาวนาท่ีวัด แต่โทษของรถก็คือเมื่อซ้ือมาแล้ว
มันต้องกินนำ้� กินนำ้�มัน ต้องสร้างบ้านให้มันอยู่ ต้องอาบนำ้�ให้มัน เวลาอะไรมันหลุด
ซักอย่างมันก็พาเราเข้าป่าเข้าเขาตกเหวตกบ่อมันพาเราหลงทาง เวลามันป่วยก็ต้องพา
มันไปโรงพยาบาลไปซอ่ มรกั ษา นนั่ แหละคือโทษของมัน แต่คณุ มนั มีเพียงอยา่ งเดียวคือ
มันพาเรามาถึงท่ีเท่านั้นเอง เหตุฉะนั้นทุกอย่างมีทั้งคุณท้ังโทษ ทุกส่ิงทุกอย่างมันเป็น
ภาระ เปน็ ทกุ ข์
190 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม ปุ จ ฉ า - วิ สั ช น า
เรื่องตัวตน ตัวกู ของกู
บุคคลทั้งหลายทุกคนก็ว่ามันเป็นตัวเป็นตนของตนเอง อันน้ีเป็นธรรมะด้าน
วปิ ัสสนากรรมฐานชน้ั สูง ตวั กูของกู ตวั เราของเรา มันแปลวา่ อหงั การ มมงั การ เราๆ
เขาๆ ความวุ่นวายอยู่ในโลกนี้ก็เกิดข้ึนจากตัวเราตัวเขาน่ีเอง เพราะเราไม่รู้จักหลักดู
ร่างกายของตนเอง เม่ือจิตใจสงบแล้ว มาดูร่างกายของตนเองนี้ มาพิจารณากายใน
กาย เราจะเรยี นรู้ว่าร่างกายต้ังแต่เกิดขึ้นมา ตง้ั แต่อยู่ในท้องแม่ เกดิ ขึ้นมาอย่ใู นทอ้ งแม่
เป็นทุกข์ ชาติเกิดเป็นทุกข์ เรียนตรงนี้ จะเรียนตัดตัวนี้ ชาติเกิดเป็นทุกข์ ออกจาก
ทอ้ งแมม่ ากท็ กุ ขม์ าตลอดเลย ทุกข์ทั้งร้อน ทง้ั หนาว ทัง้ หวิ ท้ังกระหาย ท้งั เจ็บ ท้งั ปว่ ย
เกิดทุกข์มาตลอดเลย ก็เม่ือมันเกิดมารู้จักทุกข์ ก็อยากพ้นทุกข์น่ะสิ น่ีทางออกมันอยู่
ตรงน้ี อยากพ้นทุกข์ ถ้าเราดูแล้วมันเป็นทุกข์จริงนะ ชาติเกิดเป็นทุกข์ พยาธิโรคภัย
ไข้เจ็บเกิดข้ึนในร่างกายทุกส่วนนั้นเป็นทุกข์ มันเป็นอย่างนี้ มีอะไรเกิดเป็นโรคหมด
อย่ใู นตวั เราน่ี เราสมมุตอิ อกมา นายแพทยก์ เ็ รียนมาทกุ แขนงทุกสายเลย มันจะเปน็ ลม
เอา นายแพทย์ทุกวันนี้ทุกข์กับร่างกายของคน ชราความแก่ก็เป็นทุกข์ใช่ไหม คนแก่
มันเป็นทุกข์ ท่ีนั่งอยู่นี่ก็จะแก่หมดทุกคน เตรียมตัวให้ดี เวลามีอายุมันจะได้จับไม้เท้า
จะเฒ่าจะแก่ เรียนอย่างน้ี ทีนี้ของท่ีไม่เท่ียงก็คือ มันไม่เที่ยงแท้แน่นอน ที่เกิดขึ้นมา
ตั้งแต่เล็กๆ ก็ใหญ่ข้ึนมาเรื่อยๆ มาจนถึงเฒ่าถึงแก่ก็เรียนเป็นอย่างน้ี ร่างกายมันเป็น
ทุกข์ มันมีโรคภัยไข้เจ็บและควบคุมดูแลไม่ได้สมใจหวังแก่ตนเอง อยากให้ร่างกายน้ี
สมใจหวัง มีซักคนไหมที่น่ังอยู่นี่ อยากให้ร่างกายสมหวังได้ ไม่มี มีแต่ผิดหวัง เกิดข้ึน
ก า ร ป ฏิ บั ติ ธ ร ร ม ใ น ชี วิ ต ป ร ะ จ ำ วั น 191
มาแต่นอ้ ยๆ เป็นนกั เรยี น ตอนเปน็ หน่มุ เปน็ สาวเรียนมหาวทิ ยาลยั ต่อมา ๓๐ - ๔๐ ปี
อยากอยู่แค่น้ี ก็ไม่อยู่อีกแล้ว มาถึง ๕๐ - ๖๐ ปีร่างกายยังแข็งแรง อยากอยู่แค่น้ี
แหละ มันก็ไม่อยู่ ๗๐ - ๘๐ ปีพออยูไ่ ด้ก็อยู่ ๙๐ ปี ๑๐๐ ปีกห็ ายากมากไปเรอื่ ย อยูน่ ี่
ไม่ฟังใครเลยทีเดียว เป็นโรคภัยไข้เจ็บมันไม่ฟังใคร สุดท้ายก็เลย เอวัง คือ ตาย
ไม่อยากตายซักคน แต่ด้ือตาย ตัวนี้ประกาศเป็น อนัตตา ไม่ใช่ตนตัวบุคคล ตัวตน
ของกู ของเราของเขา “ไม่ใช่” แล้วทำ�ไมปฏิเสธพุทธศาสนาอย่างนี้ เราถือว่าเป็น
ของเราก็ไม่จริง ถ้าเป็นของเราจริงๆ เราก็บอกได้สิ เราก็ควบคุมดูแลร่างกายให้อยู่
สมใจหวังได้สิ อันนี้มันไม่ใช่ มันบอกไม่ฟัง มันไปไม่หยุดเลยทีเดียว จนตาย สุดท้าย
บอกไมอ่ ยากใหต้ าย ดอ้ื ตาย ชัดเจนทสี่ ดุ คอื ตรงนี้ เรยี กว่าเปน็ อนัตตา
ถา้ เรารจู้ กั อนัตตานี่ เรารทู้ ันทเี ลยวา่ ตัวกู ของกู คอื ใคร “ไมม่ ี” เม่อื ไมม่ ีแลว้
เราจะรู้จักลดมานะทิฏฐิว่าคนเรามันอยู่แค่น้ีเอง ถ้าเราจะมีมานะทิฏฐิ เราก็ว่าเราเก่ง
หรือว่าใครเก่ง ไม่มีใครสู้พระยามัจจุราชได้ ไม่มี ตายท้ังน้ัน แพทย์เรียนจบดอกเตอร์
มาจากอเมริกาก็ตายท้ังนั้นแหละ อยู่ถึงอายุ ๑๐๐ ปีก็ตายทั้งน้ัน ตัวน้ีแหละเขาจะตัด
ตัวกูของกู มันเป็นไตรลักษณ์ ไม่เท่ียง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ของไม่เที่ยงเราก็ว่ามัน
เท่ียง เราหลง ของมันทุกข์เราก็ว่ามันมีสุข ของไม่ใช่ตัวเรา เราก็ว่า เรา เรา เรา อยู่
นั้นแหละ เขาเรียกว่า เราหลง เขาแก้ไขให้รู้ เพราะฉะนั้น เขาก็เลยไม่คิดติดอยู่ใน
ไตรลกั ษณ์ ไม่เท่ียงหนอ ไมเ่ ทีย่ ง เป็นธรรมดาบอกไม่ฟงั มนั เป็นทุกขร์ ักษาไป เจ็บปว่ ย
รกั ษาไปอยา่ งนแ้ี หละ มันบอกไม่ฟงั มใี ครผมอยู่หวั ดำ�ๆ กข็ าวหงอก บอกฟงั ไหม ของ
ดำ�กบั ของขาว ของยาวกบั ส้นั ของมน่ั กับคลอน ภาษาเมอื งเขาเรียก ของอยบู่ นหัวด�ำ ๆ
กข็ าวหงอก มีใครบอกไดบ้ ้างละ อย่าหงอกๆ มีไหม มันบอกไมไ่ ด้ ของมัน่ กบั คลอนคือ
ฟัน อย่าออกเด้อ ฟันเรา เกิดทีหลังหลุดออกไปก่อนเลย บอกไม่ฟังอีกแล้ว ของยาว
ของส้ันคือสายตา ถ้าเฒ่ามาแล้วเราก็มองเห็นใกล้ๆ มองไกลไม่ได้ นั้นแหละภาษา
ธรรมะ คนโบราณท่านสอนแนน่ อนท่ีสุด เราเรียกว่าเป็น อนตั ตา ฝร่งั เขาก็กำ�ลงั คยุ เรอ่ื ง
อย่างน้ีแหละทุกวันน้ี ฝรั่งแก่เท่าใดยิ่งแต่งตัวเก่งกว่าสาวนะ เดินสับไม้เท้าก้าวขาก็ยัง
192 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม ปุ จ ฉ า - วิ สั ช น า
ไม่ออก อาตมาก็ไปเห็นนี่ ถ้าเราไปเทศน์เรื่องไตรลักษณ์นะมันลุกหนี ไม่ฟังเทศน์ มัน
ไมย่ อม จะเอาเป็นตวั ตนอยู่อยา่ งเดมิ
เหตุฉะนั้น เราเป็นคนหลงว่า ร่างกายน้ีเป็นของไม่เที่ยงแต่เราว่าเป็นของเท่ียง
เราหลง ร่างกายนี้มีความทุกข์แต่เราว่ามันมีความสุข เราก็หลงอีก ร่างกายนี้ไม่ใช่ตน
ใช่ตวั ของเราจริงๆ ควบคุมไม่ได้ เราก็ว่าเป็นตวั ของเรา เรากห็ ลงอกี เหตุฉะนั้น ถา้ ผู้ใด
เรียนเข้าไปได้ว่า ร่างกายน้ีเป็นของท่ีไม่เที่ยงแท้แน่นอน คนนั้นจะถูกต้อง นี่หลัก
ธรรมะนะ ถ้าคนไหนเห็นว่าร่างกายเกิดขึ้นมา ตั้งแต่ออกมาจากท้องแม่มาเป็นทุกข์
ตลอดเลยทั้งเดี๋ยวน้ี แสดงว่าคนเห็นถูกต้อง ถ้าผู้ใดเห็นว่ารูปร่างกายไม่ใช่ตนใช่ตัว
ควบคุมดูแลไม่ได้สมตามความปรารถนา คนน้ันเห็นถูกต้อง อันน้ีในพระศาสนาเห็น
ถูกต้อง มนั จะขดั กับใครคดิ เอาเองเน้อ ไปนัง่ ภาวนาอยู่บ้าน นง่ั อา่ นอยู่คนเดยี วเลย ให้
พจิ ารณาเอง จะเขา้ ใจเอง
ก า ร ป ฏิ บั ติ ธ ร ร ม ใ น ชี วิ ต ป ร ะ จ ำ วั น 193
วิธีแก้ไขความเป็นคนอารมณ์ร้อน โกรธง่าย
ถ้าเราโกรธง่าย เราจะต้องมีขันติความอดทน เพราะความโกรธเป็นสิ่งไม่ดี
ทำ�ใหเ้ กิดทกุ ข์ พระพุทธเจา้ ตรัสวา่ โกธํ ฆตวฺ า สขุ ํ เสติ บุคคลใดฆ่าความโกรธได้ บุคคล
น้นั ย่อมอยู่เปน็ สุข บัดนี้ เราจะอดทน เวลาเขาดา่ แมม้ นั เป็นของทำ�ยากก็ค่อยๆ ท�ำ ไป
ทางแก้ไขในเรื่องความโกรธน้ี เราจะต้องศึกษาเรื่องสมมุติภาษา หากมีคนบอก
ว่าเราไม่ดี แล้วถ้าเราไม่ดีจริงๆ เราก็ควรสรรเสริญเขา เพราะเขาสอนให้เราเป็นคนดี
แต่ถ้าเราเป็นคนดีถงึ เขาว่าเราไม่ดี เรากด็ อี ยู่อยา่ งเดิม เหมอื นเราเปน็ คนแตเ่ ขาดา่ วา่ เรา
เป็นลิง เราก็ยังเป็นคนอยู่ดี ถ้าเรารู้อย่างนี้ เราจะไม่โกรธ หรือเขาบอกว่าเราดี แต่เรา
เป็นคนไม่ดี เรากย็ ังไม่ดีอยอู่ ยา่ งเดิม
เราต้องเชอื่ ม่นั ในพระพทุ ธศาสนา ถา้ เช่อื แบบนีเ้ รากจ็ ะระงับความโกรธได้ โกรธ
แล้วมนั เปน็ ทกุ ข์ เราตอ้ งเหน็ โทษของการเปน็ ทกุ ข์ บัดน้ี ถา้ มีคนวา่ เรา หากยังสไู้ มไ่ หว
เราก็เดินหนีก่อนแล้วเราก็ไปศึกษา เมื่อเข้าใจแล้ว วันหลังพอเขาว่าใหม่เราก็ปล่อยวาง
ไมต่ อ้ งไปยดึ ม่นั ความทกุ ข์ มันกไ็ ม่โกรธแล้ว
194 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม ปุ จ ฉ า - วิ สั ช น า
จะทำ�อย่างไรเมื่อมีความอิจฉาเกิดขึ้น
คนเรามันมีอิจฉาหลายอย่างนะ ถ้าเรามีอิจฉาคนนั้นคนน้ี เราจะอิจฉาอะไร
อิจฉาที่เขาได้ตำ�แหน่งหน้าที่ก่อนเรา อิจฉาการค้าขาย อิจฉาเรื่องร่างกาย ว่าเขา
แข็งแรงกว่าเรา เราไม่แข็งแรง หรือจะอิจฉาอะไร อิจฉาพยาบาทเป็นของคู่กันนะ เขา
เป็นคำ�ที่สืบเน่ืองกัน ถ้าเรามีอิจฉาเกิดข้ึน เราควรจะศึกษาว่าไปอิจฉาเขาทำ�ไม ถ้าเขา
รวยกว่า ได้ตำ�แหน่งดีกว่า เราก็ไม่ต้องไปคิดอิจฉาใคร ต้องเป็นผู้ตั้งหลักเมตตาขึ้นมา
วา่ เขาไดฐ้ านะต�ำ แหน่งหนา้ ทก่ี ็ดี และเราควรจะมมี ทุ ติ า ความพลอยยินดกี บั เขา ถ้าเขา
มีทรัพย์สมบัติ มีรถ มีเรือ มีบ้านมีช่องก็ดี ได้ไปเที่ยวเมืองโน้นเมืองนี้ มีความสะดวก
สบาย มีเคร่ืองใช้สอย หรือเขาทำ�บุญทำ�ทานการกุศลเก่ง ก็ควรอนุโมทนา ถ้าเขาได้
ต�ำ แหนง่ สองข้นั แตเ่ ราไมไ่ ด้ หรอื บางคนหม่รู นุ่ เดียวกนั เรยี นไม่เกง่ เทา่ เขา อยา่ ไปอิจฉา
เพราะมนั เป็นภูมิของใครของมนั ตงั้ ใจทำ�ดีๆ ไปเลยดีกวา่ การอนโุ มทนา ภาษาธรรมะ
ก็คือ มุทิตานั่นเอง ความพลอยยินดี อนุโมทนาในบุญบารมีของใครของมัน เพราะมัน
เปน็ เรอ่ื งบญุ บารมี เป็นคุณงามความดีไมค่ วรท่ีจะอิจฉากนั
อาศัยปัญญาตรึกตรองส่ิงเหล่าน้ีมาประเล้าประโลมจิตใจของตน มันก็จะคลาย
ออก ทีน้ีมันทำ�ยากอยู่เหมือนกัน แต่ว่าเราต้องเป็นคนที่มีเมตตา มุทิตาต่อกัน รู้จัก
กรรมของคนอีกด้วย เม่ือรู้แล้วมันจะวางของมันเอง ไม่ว่าแต่โยม พระก็ยังอิจฉากัน
องค์ไหนดังๆ ใครอยู่รอบใกล้ๆ ก็ยังอิจฉากัน ถ้ามันยังอิจฉา มันหาเร่ืองราวจะโจมตี
ก า ร ป ฏิ บั ติ ธ ร ร ม ใ น ชี วิ ต ป ร ะ จ ำ วั น 195
จับผิดกันอยู่น้ันแหละ น่ีมันตัวสำ�คัญมากเลยทีเดียว มันเหมือนกันหมดท้ังโลก เพราะ
มันเปน็ กเิ ลส
ก็ขอให้ทุกท่านว่า เออ..เป็นบุญบารมีของเขาดีกว่า พลอยยินดีกับเขา เราก็จะ
คอยทำ�ไปตามบุญตามกรรมของเราน่ีแหละ น่ี..ต้องแก้ไขมัน มันก็จะสบาย ถ้าใจมัน
หมดอจิ ฉาพยาบาทแล้วใจมันจะสุขอยู่ตลอด ใหพ้ ยายามทำ�ใจนะ ถา้ ใครอิจฉาเขาให้รบี
เลิก เดี๋ยวนอนหลับสบายแล้ว ไม่ต้องวุ่นวายอะไร ถ้ามันยังหงุดหงิดอยู่ ก็วางมัน ถ้า
ก�ำ ไว้ไม่วาง มันกจ็ ะทกุ ข์
196 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม ปุ จ ฉ า - วิ สั ช น า
ควรทำ�อย่างไรเมื่อเกิดความอิจฉาริษยา
ต้องผูกเมตตาความรักให้เกิดขึ้นกับคนน้ัน คนที่เรามีความอิจฉาริษยาเขา เรา
ไปอิจฉาริษยาเขาทำ�ไม เขาก็เป็นคนเหมือนกัน เราไปคิดอย่างนี้กับเขาทำ�ไม เมื่อเรา
คิดอยู่เราก็ทุกข์ ไปคิดอยากให้คนอื่นมีความทุกข์กับเราทำ�ไม ถ้าความเมตตาของเรา
เกิดข้ึนมา ความอิจฉาริษยามันก็จะหายไปจากจิตใจของตนเอง เป็นอภัยทานไปเลย
น่ีวิธีแก้ไข เราต้องทำ�ความเมตตาให้เกิดข้ึนภายในจิตใจของเราให้มากๆ ความอิจฉา
ริษยาก็จะหายจากจิตใจของตนเองเท่าน้นั เรากส็ บายใจ
ก า ร ป ฏิ บั ติ ธ ร ร ม ใ น ชี วิ ต ป ร ะ จ ำ วั น 197
คนที่รู้จักความโกรธ ความโลภ ความอิจฉาริษยา
จะเป็นผู้ที่ไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่อิจฉาริษยา จริงหรือ
คนท่ีรู้จักความโกรธ ความโลภ และความอิจฉาริษยา เขารู้ดีว่าต้องรู้จักว่ามัน
ไม่ดีก่อน รู้ว่ามันมีโทษก่อน จึงค่อยละความโกรธนั้นได้ ความโลภ โลภะก็เหมือนกัน
จะเอาส่ิงของของคนอ่ืนมาเป็นของตนจนหมดทั้งโลก เพราะมีโลภะมาก จนจะรบรา
ฆา่ ฟันกัน แก่งแย่งกนั เขารจู้ กั โทษของมันว่าจะน�ำ ทุกขม์ าให้ เขากจ็ ึงจะละ
ความอิจฉาริษยาก็เหมอื นกัน ไปทำ�ส่งิ ทท่ี ำ�ใหม้ คี วามทกุ ข์ใจเกดิ ขนึ้ เม่ือเรากำ�ลัง
อิจฉาริษยาคนอ่ืน เห็นโทษของมันจึงจะละ จะเป็นผู้ไม่โกรธ ก็ต้องเห็นโทษของความ
โกรธวา่ มนั ไมด่ ี มันทำ�ให้ทุกข์ ให้ไฟไหม้หวั ใจอยู่ รมุ่ ร้อนอยู่
โลภะ ก็กลัวมันเกิดเรื่องราว หรือไปเอาของคนอื่น เขาจะเสียใจ เราจะไปแย่ง
ส่งิ ของของเขา ไปโลภเอาของเขามาเปน็ ของเราหมด ถ้าเราอิจฉาเขารษิ ยาเขา ก็คิดดซู ิ
เขาก็ไม่อยากให้อิจฉาริษยา ตนเองก็ไม่อยากให้อิจฉาริษยาตนเอง เพราะมีความทุกข์
เกิดข้ึน ก็หาวิธีละปล่อยวางตามความสามารถ ถ้าละได้หมด คือละความโกรธได้หมด
ละความโลภไดห้ มด ละอิจฉาริษยาได้หมด คนนนั้ ก็สุขสบาย
ก า ร ป ฏิ บั ติ ภ า ว น า
ส ว ด ม น ต์
การสวดมนต์มีผลดีอย่างไร
สวดมนต์น้ีเวลาสวด เราสวดเป็นภาษาอินเดียนะ การสวดมนต์น้ันมันเป็น
ธรรมะ เป็นธรรมะหมด เป็นค�ำ สอนของพระพทุ ธเจ้า อย่างท่ใี ห้พรกนั อยู่ หรือสวดมนต์
ทุกสูตร เป็นกัณฑ์เทศน์ของพระพุทธองค์เทศน์สอนธรรมท้ังน้ันเลย หลังให้พรพวกนี้
กธ็ รรมะทั้งนั้นเลย หลังจากยถานก่ี เ็ ปน็ ธรรมะ ทแี รกพูดใหอ้ านิสงสข์ องผทู้ ไี่ ด้ท�ำ ความดี
ทีนี้ เม่อื ผู้ฟงั ได้จดจ�ำ เอาบทสวดมนต์น้นั ไปปฏบิ ตั ิกเ็ ลยบรรลุธรรม เหมอื นอาตมาเทศน์
เม่ือกี้นี้แหละ มันเป็นอย่างน้ี ท่ีสวดมนต์เอามาเทศน์เม่ือก้ีแหละ อันนี้เป็นไทยเทศน์
ไม่ใช่แขก ท่ีพระพุทธเจ้าเทศน์เป็นบทสวดมนต์ที่เราสวด ทุกสูตรเป็นคำ�สอนท้ังนั้นเลย
ทีนี้ พอคนอ่ืนฟังแล้วก็จำ� นำ�ไปปฏิบัติตน เขาเลยได้คุณงามความดีจากการท่ีได้ยิน
ได้ฟัง เปรียบเทียบอย่างง่ายๆ ก็อยู่ในมหาวิทยาลัย พออาจารย์ข้ึนไปยืนสอนใช่มั้ย
อาจารย์ก็สอนวิชาความรู้ต่างๆ แขนงต่างๆ ในมหาวิทยาลัย นักศึกษาจำ�กันได้เป็น
อย่างไร ได้ประโยชน์ยังไง ตอบถูกใช่มั้ย ไปขีดถูกหรือสอบผ่าน นั่นก็คือการสอบผ่าน
แต่ว่าสมมุติอย่างง่ายๆ นะ ถ้าเขาสวดมนต์ว่า รูปํ อนิจฺจํ คือรูปไม่เที่ยง เราแปลว่า
อะไร รูปไม่เทีย่ งนห้ี มายความวา่ รูปไม่เท่ยี ง เราเกดิ มาแตน่ ้อยเป็นเดก็ นักเรยี น เราเปน็