ส า ร บั ญการเพาะขยายพันธุ์และการเลี้ยงปลาดุก
สารบัญหลักการการเพาะเลี้ยงปลาดุก.......................1
การเตรียมพ่อแม่พันธุ์ปลาดุก........................5
การเตรียมการผสมเทียม...............................8
การเตรียมบ่อดินอนุบาล...............................23
การเลี้ยงปลาดุกบิ๊กอุย..................................27
การผลิตอาหารอินทรีย์ เพื่อเพิ่มโปรตีนและโอเมก้า
จากสาหร่ายสไปรูลินาอินทรีย์
หลักการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอินทรีย์....................29
การเลือกพื้นที่ผลิตสัตว์น้ำอินทรีย์.........................29
อาหารเพื่อการผลิตสัตว์น้ำอินทรีย์.........................30
แผนการจัดการด้านสุขภาพสัตว์น้ำ........................31
การจัดการของเสียจากการเพราะเลี้ยงสัตว์น้ำ........33
การผลิตอาหารสัตว์น้ำอินทรีย์................................36
วิธีการเพาะเลี้ยงสาหร่ายสไปรูลิน่า........................40
ก
ส า ร บั ญ การเลี้ยงหนอนแมลงวันลาย เพื่อเป็นแหล่งโปรตีน
ทดแทนอาหารเม็ดสำหรับสัตว์น้ำ
สารบัญ
ขั้นตอนการเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์เพื่อเก็บไข่........................................................48
การเจริญเติบโตของหนอนแมลงวันลายที่เลี้ยงด้วยเศษผัก........................49
ขั้นตอนการเลี้ยงหนอนแมลงวัยลายในรูปแบบแห้ง....................................51
ขั้นตอนการเลี้ยงหนอนแมลงวัยลายในรูปแบบเปียก..................................52
การนำหนอนแมลงวันลายไปใช้ประโยชน์....................................................53
การแปรรูปปลาดุก
สุขลักษณะที่ดีในการผลิตตามหลัก Primary GMP...........................57
วิธีลดเมือกและกลิ่นคาว..........................................................................58
ปลาดุกเส้นปรุงรส...................................................................................59
ปลาดุกแผ่นสวรรค์........................................................................62
ปลาดุกเส้นฮือก้วย........................................................................64
หนังปลาดุกทอดกรอบ..................................................................66
เอกสารอ้างอิง....................68
ข
ก
คำนำ
เอกสารประกอบการอบรมบริการวิชาการฉบับน้ีเป็นการ
รวบรวมข้อมูลความรู้ท่ีเก่ียวข้องและมีความสาคัญในการเพาะเล้ียง
ปลาดุกในแง่ของการสร้างอาหารในระดับครัวเรือนไปจนถึงการผลิต
สตั ว์นา้ ที่ได้มาตรฐานเชิงพาณิชยเ์ พื่อการส่งออก ทาให้เกิดรายได้ระดับ
ครัวเรือน การพัฒนาการเกษตรของตนเองและเกิดการรวมกลุ่ม
พัฒนาการเกษตรระดับชุมชนนาไปสู่การพัฒนาในด้านอื่นอย่างมี
ประสิทธิภาพและพัฒนาได้อยา่ งยั่งยนื เพ่ือให้เป็นไปตามแผนโครงการ
ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพ ลดรายจ่าย เพ่ิมรายได้ แก่เกษตรกรไทยฝ่า
วิกฤตโควิด-๑๘ ด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม เกษตรสมัยใหม่ (Modern
Agriculture-BCG) จึงมุ่งการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพทางการเกษตร
เน้นแนวคิดหลักการดาเนินชีวิตการเรียนรู้สู่การประกอบอาชีพ
เกษตรกรรมเพื่อให้ประขาชนในท้องถ่ินได้มีการพัฒนาอาชีพและ
สง่ เสริมการทาการเกษตรในท้องถ่ินให้มปี ระสิทธภิ าพมากยง่ิ ขึ้น
ดงั นนั้ การจัดโครงการบรกิ ารวิชานี้ จึงมีวตั ถุประสงคเ์ พอื่ สร้าง
รายได้จากภาคการผลิตและภาคบริการที่ทันสมัยในพื้นท่ีเป้าหมาย
กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก สร้างงาน สร้างรายได้ ด้วยการบริโภคและ
การใช้จ่ายภายในประเทศสร้างระบบโครงสร้างพ้ืนฐานเพ่ือสนับสนุน
ภาคการผลิตและการบริการที่ทันสมัย
1
กำรเพำะขยำยพนั ธแ์ุ ละกำรเล้ยี งปลำดกุ
โดย รองศาสตราจารย์ ดร. จงกล พรมยะ และคณะ 2565 เรียบเรยี ง
คณะเทคโนโลยีการประมงและทรพั ยากรทางน้า
มหาวิทยาลยั แมโ่ จ้ จงั หวดั เชยี งใหม่
1. หลกั กำรกำรเพำะเล้ยี งปลำดุก
ในประเทศเรานั้นมีปลาดุกท่ีนิยมในการเพาะขยายพันธ์ุ
ด้วยกัน คือ ปลาดุกอุย(Clarias macrocephalus) ปลาดุกด้าน
(Clarias batrachus) ปลาดุกรัสเซีย (Clarias gariepinus) และ
ปลาดกุ บิ๊กอุย (Clarias hybrid) (ภาพที่ 1) ปลาดกุ ที่นยิ มเล้ยี งคือ ปลา
ดุกด้าน เพราะเนื้อปลาดุกด้านค่อนข้างแข็ง ทาให้สามารถขนส่งได้ใน
ระยะทางไกลๆ ประกอบกับปลาดุกด้านเล้ียงง่าย โตเร็ว จึงเป็นท่ีนิยม
เล้ียงกันมาก แต่สาหรับผู้บริโภคแล้ว จะนิยมปลาดุกอุย เพราะให้
รสชาตดิ ีเน้อื ปลานุ่ม ฟู กล่ินดี สว่ นปลาดกุ รสั เซีย ท่ีมีถ่ินกาเนดิ ในทวีป
แอฟริกา เป็นปลาที่มีการเจริญเติบใจรวดเร็วมาก สามารถกินอาหาร
ได้แทบทุกชนิด มีความต้านทานโรคและสภาพ แวดล้อมสูง เป็นปลาท่ี
มีขนาดใหญเ่ ม่ือเจริญเติบโตเต็มท่ี แต่ปลาดกุ ชนดิ นีม้ ีเนื้อเหลว และมีสี
ซีดขาว ไม่น่ารับประทาน ซึ่งกรมประมงได้ให้ชื่ออีกว่า “ปลาดุกเทศ,
ปลาดุกยักษ์ ” ส่วนปลาดุกบิ๊กอุยเป็นปลาลูกผสมระหว่างปลาดุก
รัสเซียเพศผู้ผสมกับปลาดกุ อยุ เพศเมยี
2
ภำพท่ี 1 ก) ปลาดุกดา้ น ข) ปลาดุกอยุ ค) ปลาดุกรสั เซียและ ง) ปลา
ดุกบิ๊กอุย
2. แหลง่ กำเนิดและถิน่ อำศัย
ปลาดุกพบแพร่กระจายท่ัวไปในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เช่น ประเทศอินเดีย พม่า ไทย ลาว กัมพูชา ฟิลิปปินส์ เวียดนามและ
มาเลเซีย สาหรับประเทศไทยพบปลาดุกในคลอง หนอง บึง ต่าง ๆ ท่ัว
ทุกภาค เป็นปลาที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้าจืดท่ัวไป แม้ในหนองน้าที่มีน้า
เพยี งเลก็ น้อยกย็ ังพบปลาดกุ
3
3. ลักษณะนิสัยของปลำดกุ
ปลาดุกมีลักษณะที่ต่างจากปลาอ่ืนอย่างเห็นได้ชัดคือ ปลาดุก
ไม่มีเกล็ด รูปร่างเรียวยาว มีหนวด 4 คู่อยู่ท่ีริมฝีปาก ตามีขนาดเล็ก
มาก ใช้หนวดในการหาอาหาร เพราะหนวดปลาดุกมีประสาทรับ
ความรู้สึกท่ีดีกว่าตา ปลาดุกชอบหากินตามหน้าดิน มีนิสัยว่องไว
สามารถจะขึ้นมาอยู่บนบกได้ทนนานกว่าปลาชนิดอ่ืน ๆ รวมถึง
สามารถท่ีจะอาศัยอยู่ในดิน โคลน เลน และในน้าที่มีปริมาณออกซิเจน
ต่าได้นาน เนื่องจากมีอวัยวะพิเศษช่วยในการหายใจนั่นเอง อาหารท่ี
ปลาดุกชอบกนิ ส่วนมากเปน็ อาหารจาพวกเนือ้ สตั ว์ แตถ่ า้ นามาเลีย้ งใน
บ่อก็สามารถฝึกให้กินอาหารจาพวกพืชได้ รวมถึงสามารถฝึกนิสัยให้
ปลาดุกขึ้นมากินอาหารบริเวณผิวน้าแทนการหาอาหารกินตามหน้าดิน
ไดเ้ ช่นเดยี วกัน
ปลาดุกมีไข่ประเภ ทจมและติดวัสดุ ( Demersal and
Adhesive egg) โดยปลาดุกอุยและด้านมีความดกไข่อยู่ท่ี 2,000 –
5,000 ฟอง และปลาดุกรสั เซียมีความดกไข่ที่ 60,000 – 90,000 ฟอง/
แม่ปลา 1 ตัว
4
ตำรำงที่ 1 เปรียบเทยี บข้อแตกตา่ งระหว่างปลาดกุ อยุ และปลาดกุ เทศ
ลกั ษณะ ปลำดกุ อยุ ปลำดกุ เทศ
1.หวั เลก็ คอ่ นข้างรีไม่แบน ใหญ่และแบน กระโหลกจะ
กระโหลกจะ ลน่ื มรี อยบุ๋ม เปน็ ต่มุ ๆ ไม่เรยี บมรี อยบุ๋ม
ตรงกลางเล็กน้อย ตรงกลางเลก็ น้อย
2. ใต้คาง มีสีคล้าไม่ขาว สีขาว
3. หนวด มี 4 คู่ โคนหนวดเล็ก มี 4 คู่ โคนหนวดใหญ่
4. กะโหลกท้ายทอย โคง้ มน หยักแหลม มี 3 หยกั
5.ปาก ไมป่ ้านค่อนข้างมน ปา้ น แบนหนา
6. ครบี หู มเี ง่ียงเลก็ สน้ั แหลมคมมาก มีเงยี่ งใหญ่ สน้ั นิม่ ไม่แหลมคม
ครบี แข็ง ยน่ื ยาวเกนิ หรือ และสว่ น ของครีบอ่อนห้มุ ถึง
เท่ากับครบี อ่อน ปลายครีบแข็ง
7. ครีบหลัง ปลายครีบสีเทาปนดา ปลายครีบสีแดง
8. ครีบหาง กลมไม่ใหญม่ ากนักสีเทา กลมใหญ่ สเี ทา ปลายครีบมีสี
ปนดา แดงและมี แถบสขี าวลาด
บริเวณคอดหาง
9. สขี องลา ตัว ดา นา้ ตาลปนดา ท่ีบริเวณ เทา เทาอมเหลอื ง
ดา้ นบน ของลา ตัว
10. ผนงั ท้อง มสี ขี าวถงึ เหลอื งเฉพาะ ผนงั ทอ้ งมสี ีขาวตลอดจนถึง
บริเวณอกถึง ครีบท้อง โคนหาง
ทม่ี า: สขุ าวดี (2563)
5
4. กำรเตรียมพ่อแมพ่ ันธุป์ ลำดุก ในกำรผลิตปลำดกุ บ๊กิ อุย
(อุทยั รัตน์, 2544)
การเพาะพันธุ์ปลาดุกบิ้กอุยโดยวิธีการผสมเทียม สามารถ
กระทาได้ตลอดปี แต่ผลผลิตอาจจะแตกต่างกันเพราะแม่ปลาดุกอุยจะ
ท้องแก่ และมีไข่สมบูรณ์ที่สุดในเดือนพฤษภาคม-กันยายน พ่อพันธุ์
ปลาดุกยักษ์ก็จะมีน้าเช้ือได้ตลอดทั้งปี แม่ปลาดุกอุยหนัก 1 กิโลกรัม
จะสามารถให้ลูกปลาได้ถึง 20,000-50,000 ตัว ควรมีโรงเพาะฟัก
หลังคากนั แดดกนั ฝน ภายในโรงเรือนประกอบดว้ ย
3.1 บ่อพ่อแม่พันธุ์ ทใ่ี ช้เล้ียงพ่อแม่พันธุ์ก่อนและหลังฉีดฮอร์โมน
อย่างน้อย 2 บ่อ สาหรับพ่อพันธ์ุและแม่พันธุ์แยกกันคนละบ่อขนาด
ไม่ต่ากว่า 1 ตารางเมตร สามารถขังแม่พันธุ์ปลาดุกอุยได้ถึง 30-40 ตวั
ส่วนพ่อพันธใ์ุ ช้อตั ราหนาแนน่ ต่ากว่าแมพ่ ันธเุ์ พราะตวั โตกว่า
3.2. บ่อฟักไข่ เป็นส่วนประกอบที่สาคัญท่ีสุดในโรงเพาะฟัก ควรมี
ขนาดประมาณ (กวา้ ง*ยาว*สงู ) 1.5×3.0×0.3-0.6 ลกู บาศก์เมตร พื้นท่ี
ก้นบ่อควรมคี วามลาดเทเล็กน้อย บ่อฟกั ไข่จะต้องมีระบบการถา่ ยเทน้า
ที่ดี ใช้ผ้าไนลอนเขียวขนาดตา 18-20 ช่องต่อตารางน้ิวขึงให้ตึงในบ่อ
เพาะฟักให้สูงกว่าพื้นก้นบ่อขน้ึ ประมาณ 10 เซนตเิ มตรและอยู่ใต้ระดับ
ผิวน้าประมาณ 5 เซนติเมตร เพื่อใช้เป็นวัสดุให้ไข่ติด สามารถใช้เพาะ
ฟักไข่ จากแม่ปลาดุกอุยไดป้ ระมาณ 9 ตัว/บ่อ
5. กำรคัดเลือกพอ่ แมพ่ นั ธุ์ (Promya and Chitmanat, 2011)
พ่อแมพ่ นั ธุ์ควรเล้ียงในบอ่ ดนิ มกี ารแยกบ่อเลย้ี ง บอ่ ขนาดตัง้ แต่
100 ตารางเมตรขึ้นไป โดยปล่อยในอัตรา 20-30 ตัว/ตารางเมตร ท่ี
ระดับความลึกของน้าประมาณ 1.0-1.5 เมตร พ่อแม่พันธุ์ปลาดุกที่
นามาใช้ควรเป็นปลาท่ีสมบูรณ์ ไม่บอบช้า การผสมพันธ์ุปลาดุกอยู่
6
ในช่วงเดือนมีนาคม- ตุลาคม ก่อนฤดูกาลผสมพันธุ์ ในช่วงเดือนกุมภา
พันธ์ุ ควรเร่ิมคัดปลาท่ีมีไข่แก่สมบูรณ์บางส่วนมาเริ่มดาเนินการผสม
เทียม ควรมีขนาดน้าหนักมากกว่า 200 กรัมข้ึนไป หรือปลาที่มีอายุ
ประมาณ 7 เดือนขึ้นไป การสังเกตลักษณะปลาเพศเมียที่ดีในการ
เพาะพันธุ์ดูได้ จากส่วนท้องจะอูมเป่ง ไม่น่ิมหรือแข็งจนเกินไป ต่ิงเพศ
จะมลี ักษณะกลมมีสแี ดง หรือชมพูอมแดง ถา้ เอามอื บีบเบา ๆ ที่ท้องจะ
มีไข่ลักษณะเป็นเม็ดกลมสีน้าตาลอ่อนใสไหลออกมา ส่วนปลาดุกเพศผู้
จะมีต่ิงเพศยาวเรียว มีสีชมพูเร่ือ ๆ ปลาไม่ควรมีขนาดอ้วนหรือผอม
จนเกินไป ควรให้อาหารที่มีคุณภาพดีหรืออาหารผสมสาหร่ายสไปรูลิ
นา่ เพ่อื เร่งการเจรญิ พันธ์ุให้มีไขแ่ กน่ ้าเช้ือดี (จงกล, 2562) ส่วนปลาดุก
เทศเพศผู้นิยมใช้ ขนาดน้าหนักตัวมากกว่า 500 กรัมข้ึนไป และควร
เป็นปลาท่ีมีอายุไม่ต่ากว่า 6 เดือน ลาตัวเพรียวยาวและไม่อ้วน
จนเกนิ ไป ชนิดของไขป่ ลาดุก เป็นไขจ่ ม (Demersal egg)
ภำพท่ี 2 พ่อแมพ่ ันธุป์ ลาที่พร้อม
7
ภำพที่ 3 ลักษณะติ่งเพศของปลาดกุ
ภำพท่ี 4 ตัวอย่างการเชคไข่ปลาสวายระยะที่พร้อมฉดี ฮอร์โมน ใน
ระยะที่ 3 Dormant Stage
8
6. กำรเตรยี มกำรผสมเทียม เริม่ จำกอุปกรณก์ ำรผสมเทียม ชนิดและ
วิธีกำรฉดี ฮอร์โมน ฮอรโ์ มนที่ใช้ในการฉีดเร่งให้แมป่ ลาดุกมีไขแ่ ก่
เพื่อทีจ่ ะรีดไข่ผสมกับนา้ เชื้อนั้นมหี ลายชนดิ ขอเริม่ จากอปุ กรณก์ าร
ผสมเทยี ม มีดงั น้ี
6.1 อุปกรณ์และวธิ ีกำรผสมเทียม (ภาพท่ี 8)
-พ่อ-แมพ่ นั ธ์ปุ ลา
-ฮอรโ์ มนต่อมใต้สมองปลา หรอื ฮอรโ์ มนสังเคราะหช์ นิดต่าง ๆ
-โกร่งบดต่อมใต้สมอง เขม็ ฉดี ยา
-เครอ่ื งชง่ั น้าหนัก สามารถชั่งได้ถงึ จดุ ทศนิยม 2 ตาแหนง่
-ภาชนะสาหรบั ผสมไข่ปลากับนา้ เช้อื ไดแ้ ก่ กะละมังพลาสตกิ
ผ้าเช็ดปลา และขนไก่
-น้าเกลือและนา้ กล่ัน
-อุปกรณ์ในการฟักไข่ปลา เช่น กระชัง อวนมุ้งเขยี ว
-อปุ กรณ์ในการอนบุ าลลกู ปลา
ภำพที่ 5 ตัวอยา่ งอปุ กรณผ์ สมเทยี ม
9
6.2 ชนดิ และวธิ ีกำรฉีดฮอร์โมน (อุทยั รตั น์, 2544)
6.2.1 ฮอร์โมนจำกต่อมใตส้ มอง (pituitary gland) ได้แก่
ตอ่ มใตส้ มองปลาชนดิ ต่าง ๆ เชน่ ตอ่ มใต้สมองปลาจีน ปลาโรฮู่ ปลา
สวาย ปลาไน (ภาพที่ 9) เป็นต้น มหี น่วยความเขม้ ข้นคือโดส ซึ่งมีสตู ร
การคานวณ คือ
โดส = นา้ หนกั ปลาท่ีเก็บต่อม
นา้ หนักปลาทจ่ี ะฉดี ฮอรโ์ มน
การฉีดฮอร์โมนผสมเทียมปลาดุกอุย โดยใช้ฮอร์โมนจากต่อมใต้
สมองจะต้องฉีดสองครั้ง คร้ังแรกฉีดท่ีระดับความเข้มข้น 1 โดส ท้ิง
ระยะห่าง 6 ช่ัวโมง จึงฉีดคร้ังท่ีสองที่ระดับความเข้มข้น 2 โดส
หลงั จากน้ันประมาณ 9-10 ชั่วโมง เม่อื สังเกตเหน็ ว่ามีไข่ตกออกมาจาก
ช่องท้องของแม่ปลาบางตัวแล้ว จึงรีดไข่ผสมกับน้าเช้ือได้ การฉีด
ฮอร์โมนผสมเทียมปลาดุกเทศ สามารถไข้ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองฉีด
เร่งให้แม่ปลามีไข่สุก โดยไข้ความเข้มข้นของฮอร์โมนได้เช่นเดียวกับ
การฉีดปลาดุกอุย แต่ระยะเวลาการรีดไข่หลังการฉีดเข็มสองจะใช้เวลา
ประมาณ 4 ชั่วโมง ซึ่งต่างจากปลาดุกอุย 5-6 ช่ัวโมง การใช้ต่อมใต้
สมองฉีดเร่งให้แม่ปลาวางไข่ อาจใช้ร่วมกับฮอร์โมนสกัด เพ่ือให้การรีด
ไข่สะดวกขึ้น โดยใส่ฮอร์โมนสกัดในระดับความเข้มข้น 100-300 ไอยู/
แม่ปลาน้าหนัก 1 กก. ร่วมกับการใช้ต่อมใต้สมองในอัตราเท่าเดิมส่วน
ปลาเพศผู้สามารถกระตุ้นให้มีน้าเชื้อมากข้ึน โดยใช้ต่อมใต้สมองท่ี
ระดับความเข้มข้น 0.5 โดส ฉีดให้กับพ่อปลาพร้อมกับการฉีดฮอร์โมน
ให้กบั แม่ปลาครัง้ ท่สี อง
10
ภำพที่ 6 ตวั อย่างฮอรโ์ มนจากต่อมใตส้ มอง
6.2.2 ฮอร์โมนสกัด (Extract hormone) ได้แก่ เอช ซี จี
HCG (Human chorionic Gonadotropin) มีหน่วยความเข้มข้นเป็น
ไอ.ยู. การฉีดฮอร์โมนผสมเทียมปลาดุกอุย โดยใช้ฮอร์โมนสกัด (HCE)
สามารถฉีดเร่งให้แม่ปลามีไข่สุกได้โดยการฉีดคร้ังเดียวท่ีระดับความ
เข้มข้น 3,000-5,000 ไอยู/แม่ปลาน้าหนัก 1 กก. หลังจากฉีดฮอร์โมน
สกดั เป็นเวลาประมาณ 15 -16 ชั่วโมง สามารถรีดไขผ่ สมน้าเชื้อได้ การ
ฉีดฮอร์โมนผสมเทียมปลาดุกเทศ โดยใช้ฮอร์โมนสกัด (HCG) ฉีดเร่งให้
แม่ปลามีไข่สุกได้ โดยการฉีดคร้ังเดียวเหมือนกับปลาดุกอุยที่ระดับ
ความเข้มข้น 2,000 -4,000 ไอยู/แม่ปลาน้าหนัก 1 กก.หลังจากฉีด
ฮอร์โมนเป็นเวลาประมาณ 9-11 ช่ัวโมง สามารถรีดไข่ผสมเทียมได้ ใน
เพศผู้การกระตุ้นให้พ่อพันธุ์มีน้าเช้ือมากขึ้น โดยการฉีดฮอร์โมนสกัด
คร้ังเดียวที่ระดับความเข้มข้น 200–400 ไอยู/พ่อปลาน้าหนัก 1 กก.
ประมาณ 6 ช่วั โมง กอ่ นผ่าเอาถุงนา้ เชอ้ื ออกมาไข้ในการผสมเทียม
11
6.2.3 ฮอร์โมนสังเครำะห์ (Synthetic hormone) ได้แก่
LHRHa หรือ LRH-a
ภำพที่ 7 ชนิดฮอร์โมนสังเคราะห์ (Synthetic hormone) ไดแ้ ก่
LHRHa
6.2.4 ปริมำณสำรละลำยท่ใี ช้ หลังจากทีเ่ ตรียมฮอร์โมนที่จะ
ฉีดให้กบั พอ่ -แมพ่ นั ธ์ปุ ลาดุกแลว้ การคานวณสารละลายที่จะผสมกับ
ฮอร์โมน เพอื่ ฉีดให้กบั พ่อ-แม่พันธ์ุปลา เป็นเรื่องท่ีควรคานึง มตี วั อยา่ ง
การคานวณ ดังน้ี
1. ฉดี ปลาเพศเมียใช้ฮอร์โมน 10 ไมโครกรัม/นา้ หนักปลา 1
กโิ ลกรมั
2. แมป่ ลาทัง้ 5 ตวั มีน้าหนักรวม 1.7 กิโลกรัม x 10 = 17
ไมโครกรัม
3. ฮอร์โมนผสมเจือจางปริมาตร 10 มิลลิลิตร มีความเข้มขน้
ของฮอร์โมนหรือมตี ัวยาอยู่ 1 มิลลิกรมั หรือ 1,000 ไมโครกรัม
- ความเข้มข้นของฮอรโ์ มน 1,000 ไมโครกรัมในสารละลาย
10 มิลลลิ ติ ร
12
- ถ้าตอ้ งการฮอร์โมน 17 ไมโครกรัม มีอยูใ่ นสารละลาย
10 x 17 = 0.17 มิลลลิ ิตร
1,000
4. สว่ นยาเสริมฤทธิ์ 10 มิลลิกรัม / นา้ หนักปลา 1 กิโลกรัม
ปลาตวั เมยี มี 5 ตวั น้าหนักรวม 1.7 กิโลกรัม ดังน้นั ต้องใช้ยาเสริม
ฤทธิ์ 17 มลิ ลิกรัม หรอื เทา่ กบั 1.7 เมด็ หรือ 2 เมด็
5. สาหรบั ตวั ทาละลายฮอร์โมน ( น้ากลั่น) ใช้ 1.7 มิลลิลติ ร
- 0.17 มิลลิลติ ร (ฮอรโ์ มน) = 1.53 มิลลลิ ติ ร
วธิ ปี ฏิบตั ิ
- บดยา 2 เม็ด + ฮอร์โมน 0.17 มลิ ลิลิตร + นา้ กล่นั 1.53 มลิ ลลิ ิตร
การคานวณอตั ราส่วนสารละลายฮอร์โมนทจ่ี ะใชฉ้ ดี แมป่ ลาแต่
ละตัว
- นา้ หนักปลารวมทัง้ หมด 1.7 กโิ ลกรมั ใชส้ ารละลาย
ฮอรโ์ มน (น้ากล่นั ) 1.7 มิลลิลิตร
- นา้ หนกั ปลาตัวที่ 1 นา้ หนัก 0.5 กิโลกรัม ใชส้ ารละลาย
ฮอร์โมน 1.7×0.5 = 0.5 มิลลิลิตร
1.7
- นา้ หนักปลาตวั ท่ี 2 น้าหนกั 0.3 กิโลกรัม ใช้สารละลาย
ฮอร์โมน = 0.30 มลิ ลลิ ติ ร
- น้าหนกั ปลาตัวที่ 3 นา้ หนกั 0.2 กิโลกรมั ใชส้ ารละลาย
ฮอร์โมน = 0.20 มิลลิลิตร
- น้าหนักปลาตวั ที่ 4 น้าหนกั 0.3 กิโลกรัม ใชส้ ารละลาย
ฮอร์โมน = 0.30 มลิ ลลิ ิตร
13
- นา้ หนักปลาตัวที่ 5 นา้ หนัก 0.4 กโิ ลกรมั ใชส้ ารละลาย
ฮอรโ์ มน = 0.40 มลิ ลลิ ิตร
- รวมจานวนแม่ปลาท้ังหมด 5 ตวั นา้ หนกั 1.7 กิโลกรมั
ใช้สารละลายฮอรโ์ มน 1.7 มิลลิลติ ร
- วธิ ีการฉีด พจิ ารณาขนาดของหลอดฉีดยา และขนาดของ
เขม็ ฉดี ยา และตาแหน่งของการฉีด
1. ใตค้ รบี หลงั เหนอื เส้นขา้ งลาตัว
2. สว่ นหลังท้ายสดุ ของครบี หลงั (โคนครีบหลัง)
3. โคนครับหู
4. โคนครบี ท้อง
5. โคนครีบหาง
-การฉดี ฮอรโ์ มนปลาดุก (ภาพที่ 11) ตาแหนง่ ทเ่ี หมาะสมท่ีสุด
คอื บริเวณกลา้ มเนื้อใต้ครบี หลงั ส่วนตน้ เหนือเสน้ ข้างตวั โดยใชเ้ ขม็
เบอร์ 22-24 แทงเข็มเอยี งทามมุ กบั ลาตัวประมาณ 30 องศา แทงลกึ
ประมาณ 1 นิว้ /(2 เซนติเมตร) ในกรณีที่ตอ้ งฉดี สองครั้ง ควรฉดี ครั้งท่ี
สองสลบั ขา้ งกับการฉีดครงั้ แรกหลงั จากฉดี ฮอร์โมนปลาดกุ แลว้ ขังใน
ภาชนะท่ีมรี ะดับนา้ เพยี งทว่ มหลงั พ่อ-แมพ่ นั ธุ์ปลาเทา่ นน้ั เพราะถ้าใส่
นา้ มากเกินไปปลาจะบอบชา้ มาก
14
ภำพท่ี 8 การฉดี ฮอร์โมนปลาดุก
7. กำรรีดไข่ผสมน้ำเช้ือ (Promya and Chitmanat, 2011)
การรีดไขข่ องปลาดุก (ภาพที่ 12-13) เพ่อื ผสมกับน้าเชือ้ น้นั ใชว้ ิธีก่ึง
เปยี ก เปน็ วธิ ีท่ีเหมาะสมทส่ี ุด นาแม่ปลาที่ได้รับการฉีดฮอรโ์ มนและมีไข่
แก่เต็มที่ แล้วมารีดไข่ใส่ในภาชนะผิวเรียบ เช่น กะละมังเคลือบ พร้อม
กันน้ีผ่าเอาถุงน้าเช้ือจากพ่อปลา (ภาพที่ 14-15) นามาวางบนผ้ามุ้ง
เขียว แล้วขย้ีให้ละเอียดพร้อมกับเทน้าเกลือเข้มข้นประมาณ 0.7%
หรือน้าสะอาดลงบนผ้ามุ้งเขียวท่ีขยี้ถุงน้าเชื้อให้น้าไหลผ่าน เพื่อให้
น้าเชื้อลงไปผสมกับไข่ (ภาพท่ี 16-17) ผสมไข่กับน้าเช้ือให้เข้ากันโดย
การคนเบาๆ ดว้ ยขนไกป่ ระมาณ 2-3 นาที (ภาพท่ี 18) จึงนาไขท่ ่ีได้รับ
การผสมแล้วไปลา้ งนา้ สะอาด 1 ครงั้ แลว้ นาไปฟกั นา้ เชอ้ื จากปลาตัวผู้
หนงึ่ ตวั สามารถผสมกบั ไข้ที่ได้จากการรีดปลาเพศเมยี ประมาณ 10 ตวั
15
ภำพท่ี 9 ลักษณะการรีดไขจ่ ากแม่ปลาท่ีพร้อม 70%
ภำพท่ี 10 ลกั ษณะการรดี ไข่จากแมป่ ลาท่ีพร้อม 100%
16
ภำพท่ี 11 การผ่าท้องพ่อพนั ธ์ุเพอ่ื เอาถุงน้าเช้ือ
ภำพท่ี 12 พอ่ พนั ธุ์ทนี่ า้ เชื้อพร้อมจะมถี ุงอัณฑะสีขาวขนุ่
17
ภำพท่ี 13 การผ่าท้องพ่อพนั ธ์ุเพอ่ื เอาถุงน้าเช้ือ
ภำพท่ี 14 พอ่ พนั ธุ์ทนี่ า้ เชื้อพร้อมจะมถี ุงอัณฑะสีขาวขนุ่
18
ภำพที่ 15 พ่อพันธุ์ทน่ี า้ เชอ้ื พร้อมจะมีถงุ อณั ฑะสีขาวข่นุ
8. กำรฟกั ไข่ (Promya and Chitmanat, 2011)
ไข่ปลาดุกอุยเป็นไข่ติด ไข่ที่ดีควรมีลักษณะกลม มีน้าตาลเข้ม ไข่
ของปลาดุกเทศก็เป็นไข่ติด เช่น เดียวกับปลาดุกอุย ไข่ท่ีดีควรมี
ลักษณะกลมและมีสีเขียวเข้ม นาไข่ปลาดุกท่ีได้รับการผสมกับน้าเชื้อ
แล้วไปฟัก โดยโรยไข่บนผ้ามุ้งเขียวเบอร์ 20 ท่ีขึงตึงท่ีระดับต่ากว่าผิว
น้าประมาณ 5-10 เซนติเมตร โดยระดับน้าในบ่อท่ีขึงผ้ามุ้งเขียวน้ันมี
ระดับน้าลึกประมาณ 20-30 เซนติเมตร เปิดน้าไหลผ่านตลอดเวลา
และควรมีเครื่องเพิ่มอากาศใส่ไว้ในบ่อฟักไข่ปลาด้วย ไข่ปลาดุกท่ีได้รับ
การผสมจะพัฒนาและฟักเป็นตัวโดยใชเ้ วลาประมาณ 21-26 ชั่วโมง ที่
อุณหภูมิของน้า 28-30 องศาเซลเซียส ลูกปลาดุกที่ฟักออกเป็นตัว จะ
หลุดลอดตาของมุ้งเขียวลงสู่พื้นก้นบ่อด้านล่าง ลูกปลามีถุงไข่แดง
(Yolk sac) ติดมากับตัวเป็นอาหารแก่ลูกปลา ทาการเปิดน้าไหลผ่าน
ตลอด หลังจากลูกปลาหลุดลอดลงสู่พื้นก้นบ่อหมดแล้วจึงย้ายผ้ามุ้ง
19
เขียวที่ใช้ฟักไข่ออกจากบ่อฟัก ลูกปลาจะค่อย ๆ พัฒนาเจริญขึ้นเป็น
ลาดับจนมีอายุประมาณ 48 ช่ัวโมง ถุงไข่แดงยุบจึงเริ่มกิน บ่อเพาะฟัก
ลูกปลาดุกควรมีหลังคาปกคลุมป้องกันแสงแดดและน้าฝนได้ แม่ปลา
ขนาดประมาณ 1 กิโลกรัม จะได้ลูกปลาประมาณ 5,000 -20,000 ตัว
ทง้ั นข้ี น้ึ อยูก่ ับฤดูกาลและขนาดแมป่ ลา
ภำพท่ี 16 กระชงั ฟักไข่ปลาดุก
ภำพท่ี 17 บ่อซเี มนต์ฟกั ไข่ปลาดุก
20
ภำพที่ 18 ไขป่ ลาดุกที่เสียจะเหน็ สขี าว ไข่ดีสเี ขียวอมน้าตาลเขม้
ภำพที่ 19 การเปดิ นา้ ไหลผา่ นตลอด
21
ภำพที่ 20 ลกู ปลาระยะออกจากไข่มีถงุ ไข่แดง (Yolk sac) ถงุ ไข่แดง
ยบุ ลูกปลาจะเริ่มกินอาหาร
-สงิ่ จำเป็นในกำรพฒั นำกำรของไข่ปลำ และคุณภาพนา้ ในการอนบุ าล
และเล้ยี งปลา
1.ปรมิ าณออกซเิ จนละลายน้า (Dissoloved Oxygen; DO)
ตัวอย่างของ DO ต่อการพฒั นาของไข่ปลา ปริมาณ DO (mg / l) 7.0
อัตราการเจริญเตบิ โตสูงสุด
2. อุณหภูมทิ ี่เหมาะสม 24-30 เหมาะสมทีส่ ดุ สาหรบั การ
เจรญิ เตบิ โต
สาเหตทุ ีท่ าให้เกิดโรคของไข่ปลา
จาก Bacteria , เช้อื รา (Fungi) , Predator เชน่ Cyclops
, Daphnia
22
วธิ ปี อ้ งกัน
1. ใช้นา้ สะอาด
2. กรองนา้ ท่จี ะใชใ้ นการฟักไข่
3. เชือ้ รา ใช้ Malachitegreen 5 มลิ ลิกรมั /ลิตร แช่นาน
30 - 60 นาที หรือ 0.1-0.2 มลิ ลิกรัม/ลติ ร ผสมลงในน้า+Formalin
40 มิลลกิ รมั /ลิตร
9. กำรพัฒนำกำรของไข่และตัวอ่อน
ถงุ ไข่แดจะงยุบ หลงั ลกู ปลาฟกั ออกตัวอายปุ ระมาณ 48 ชัว่ โมง เริ่ม
ให้อาหารพวกไข่แดงต้มสุกบดหรือยีผ่านตะแกรงตาถี่แกว่งลงในน้าให้
วันละ 4-6 ครั้ง อัตราส่วนของไข่แดง 1 ฟองต่อลูกปลาประมาณ
100,000 ตัว/มื้อ เมื่อลูกปลามีอายุ 3 วันจะเข้าสู่ระยะที่ชาวบ้าน
เรยี กว่า “ปลาต้มุ ” กย็ า้ ยลงไปบอ่ อนุบาล
ภำพที่ 21 ลกู ปลาระยะถุงไข่แดง (Yolk sac) ยบุ ลกู ปลากินอาหาร
(ไข่แดงต้มสุก)
23
10. กำรเตรียมบอ่ ดินอนบุ ำล คล้ำยกำรเตรยี มบ่อเล้ียง บ่ออนบุ ำล
ควรเตรยี มในวันทผี่ สมพันธ์ุปลำ (ภาพที่ 25)
1. ถา้ บ่อเก่าควรมีการระบายน้าออกก่อน และลอกเลนที่มีสี
ดาคล้าออก
2. โรยปนู ขาวให้ทัว่ บอ่ และขอบบ่อ อัตรา 60-100 กิโลกรัม/
ไร่ มศี ตั รูปลาหรือแมลงใช้ Dipterex หรอื ตน้ หางไหล 1- 4
มิลลกิ รมั /ลติ ร (บ่อกว้าง 10 X ยาว 10 X ลึก 1 เมตร = 100 ตนั (100
X 1,000 = 100,000 ลติ ร ใช้ 100-400 กรัม)
4. ตากบอ่ ท้ิงไว้ 5-7 วัน พอให้ดนิ แห้งหมาด ๆ
5. ใสป่ ุ๋ยคอก ในอตั ราประมาณ 40 – 80 กก./ไร่ หรอื ปุ๋ยเคมี
กองไวท้ ่ีมุมบอ่ บรเิ วณที่นา้ ทว่ มถึง ประมาณ 5-7 วัน เมื่อน้าเร่มิ มสี ี
เขียวเกดิ อาหารธรมชาตสิ าหรบั ลูกปลา เปิดน้าเข้าบ่อประมาณ 1- 1.5
เมตร หลงั จากนนั้ จึงปลอ่ ยลูกปลาอนุบาล
อัตราการใส่ปุ๋ยประเภทตา่ ง ๆ
ป๋ยุ เคมี
- N:P:K (16:16:16) = 3-5 กิโลกรมั ต่อไร่
- ยูเรีย ( 46-0-0 ) = 10 กิโลกรมั ตอ่ ไร่
ปุย๋ มลู สัตวแ์ ห้ง 150-200 กก./ไร่ * การใสป่ ุย๋ ต้องใส่
หลังจากได้ใสป่ ูนขาวแล้ว
24
ภำพท่ี 22 การเตรียมบอ่ ดนิ อนุบาล
-หลังใส่ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยเคมี กองไว้ท่ีมุมบ่อบริเวณท่ีน้าท่วมถึง
ประมาณ 5-7 วัน เมื่อน้าเร่ิมมีสีเขียว จะมีอาหารธรรมชาติ (Natural
feed) คือ อาหารที่เกิดขึ้นในแหล่งน้าหรือในบ่อเลี้ยงปลา ได้แก่
Planktons สาหรา่ ย (algae)
อาหารธรรมชาติที่เหมาะสมต่อการเลี้ยงลูกปลา ได้แก่ โรติเฟอร์
(Rotifer) เช่น Brachionus sp. และ พวกCrustacean เช่น Moina ,
Daphnia , ไรน้านางฟ้า (ภาพท่ี 26-28) จะเกิดข้ึนในบ่อปล่อยลูกปลา
อนบุ าล
ภำพท่ี 23 Moina (ไรแดง)
25
ภำพท่ี 24 Daphnia ภำพท่ี 25 ไรนา้ นางฟ้า
11. กำรอนบุ ำลลูกปลำวัยอ่อน (Promya and Chitmanat, 2011)
บ่ออนุบาลเป็นบ่อดิน บ่อซีเมนต์หรือกระชัง (ภาพท่ี 29-32) ท่ีมี
ขนาดประมาณ 2–5 ตารางเมตรข้ึนไป ระดับน้าสูง 20-30 เซนติเมตร
ปล่อยลูกปลาบ๊ิกอุยลงเลี้ยงในอัตรา 3,000-5,000 ตัว / ตารางเมตร
ถ้าอนุบาลในกระชังท่ีมีน้าถ่ายเทตลอดเวลา จะสามารถปล่อยลูกปลา
ลงเล้ียงในอัตราที่หนาแน่นถึง 15,000-20,000 ตัว / ตารางเมตร
อาหารในระยะน้ีควรเป็นไรแดง และอาจให้อาหารเสริมพวกไข่แดงตุ๋น
บดละเอียด เต้าหู้อ่อนบดละเอียด อาหารสาเร็จรูปป้ันเป็นก้อนให้กิน
วันละ 2 ครั้ง ต่อมาเรม่ิ เสริมด้วยปลาสดสบั ละเอียดผสมราในอตั รา 9:1
ควรระวงั เร่ืองน้าเสยี ใหม้ ากเพมิ่ ระดับน้าวนั ละ 1-3 เซนตเิ มตร ทุก ๆ 3
วัน ปริมาณอาหารท่ีให้ประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ของน้าหนักตัว ใช้เวลา
อนุบาลลูกปลาในบ่อดินประมาณ 25-30 วัน ลูกปลาดุกได้ขนาดความ
ยาว 1-2 นิ้ว สามารถเก็บผลผลิตคัดลูกปลาจาหน่ายตัวละ 1-2 บาท
หรือนาไปเลย้ี งตอ่ ไป
26
ภำพที่ 26 การยา้ ยลกู ปลาตุ้มลงไปบ่ออนบุ าล
ภำพที่ 27 ลกู ปลาตุ้ม
27
ภำพที่ 28 ลกู ปลาอายคุ รบ 30 วัน เก็บผลผลติ
ภำพที่ 29 คดั ลูกปลาเตรยี มจาหน่าย
12. กำรเลย้ี งปลำดกุ บิก๊ อุย
ปลาดุกบ๊กิ อุยเปน็ ท่ีเลย้ี งง่าย โตไวทนทานต่อสภาพอากาศของ
บ้านเราได้ดี ไมค่ ่อยเป็นโรคงา่ ย เกษตรกรนิยมเล้ยี งเพ่ือทาการค้าเปน็
อย่างมาก การเพาะขยายพันธน์ุ นั้ ให้ผลคอ่ นขา้ งดี ลกู ปลาดกุ บ๊ิกอยุ มี
อตั ราการเจรญิ เติบโตรวดเรว็ ทนทานต่อโรคสูง มีการเลี้ยงหลาย
รูปแบบดงั นี้
28
12.1 กำรเลย้ี งปลำดกุ ในบ่อดิน (ภาพที่ 33) หลักการเตรียมบ่อเล้ียง
ปลาเชน่ เดยี วกับการอนุบาลลกู ปลาดุก ท่ีกลา่ วมาในหวั ข้อ ที่ 10 ตอ้ ง
ตากกน้ บ่อใหแ้ ห้ง ปรบั สภาพก้นบอ่ ให้สะอาด ใส่ปนู ขาว เพอื่ ปรบั
สภาพของดนิ โดยใสป่ นู ขาวในอตั ราประมาณ 60 – 100 กก./ไร่ และใส่
ปยุ๋ คอกเพ่ือให้เกิดอาหารธรมชาติสาหรับลูกปลาในอตั ราประมาณ 40
– 80 กก./ไร่ นานา้ เข้าบ่อโดยกรองไมใ่ ห้ศัตรูของลกู ปลาติดเข้ามากับ
น้า จนมรี ะดับน้าลกึ 30–40 ซม. หลังจากน้ันร่งุ ข้ึนจงึ ปล่อยปลา และ
เพือ่ ให้ลูกปลามีอาหารกนิ ควรเติมไรแดง ในอตั ราประมาณ 5
กิโลกรัม/ไร่ เพ่ือเป็นอาหารแกล่ กู ปลา หลงั จากนน้ั จึงให้อาหารผสมแก่
ลกู ปลาทีน่ ามาเลี้ยงควรตรวจดวู า่ มีสภาพปกติ การปล่อยลูกปลาลงบ่อ
เลย้ี งจะต้องปรบั สภาพอุณหภูมิของน้าในถุงและน้าในบ่อให้เทา่ ๆ กัน
กอ่ นโดยการแชถ่ งุ บรรจลุ กู ปลาในน้าประมาณ 30 นาที จงึ ปล่อยลกู
ปลาควรเปน็ ตอนเยน็ หรือตอนเชา้
ภำพที่ 30 การเล้ียงปลาในบ่อดิน
29
กำรผลิตอำหำรอนิ ทรีย์ เพือ่ เพม่ิ โปรตีนและโอเมกำ้
จำกสำหร่ำยสไปรลู ินำอนิ ทรีย์
โดย รองศาสตราจารย์ ดร. จงกล พรมยะ และคณะ เรยี บเรียง
คณะเทคโนโลยกี ารประมง และทรัพยากรทางน้า
มหาวิทยาลยั แมโ่ จ้ จงั หวดั เชยี งใหม่
1.หลกั กำรกำรเพำะเลยี้ งสัตว์น้ำอินทรีย์
การเพาะเลี้ยงสัตว์น้าอินทรีย์ คือ ระบบการจัดการผลิตที่
รกั ษาระบบนิเวศ ดารงความหลากหลาย ทางชวี ภาพ ใช้วสั ดุธรรมชาติ
ห้ามใช้ยา สารเคมี ฮอร์โมนสังเคราะห์ ห้ามใช้พืช สัตว์ จุลินทรีย์ที่ได้
จากการดัดแปรพันธุกรรม” การผลิตสัตว์น้า ตามมาตรฐานเกษตร
อินทรีย์เป็นการรวมกระบวนการ ทุกข้ันตอนจากพ่อแม่พันธุ์ ลูกพันธุ์
การเลี้ยง การจับ การขนส่ง ฯลฯ เพ่ือให้ได้ผลิตผลหรือผลิตภัณฑ์ จาก
กระบวนการท่ีเปน็ มติ รตอ่ ส่งิ แวดล้อม (กรมประมง, 2551)
2. กำรเลอื กพื้นที่ผลิตสตั ว์น้ำอินทรีย์ (ภาพท่ี 1)
1. ผผู้ ลิตตอ้ งทราบประวตั กิ ารใชป้ ระโยชน์ของพน้ื ทีเ่ พื่อประเมิน
สภาวะเส่ียงของการตกค้างของวตั ถุ อนั ตรายทางการเกษตรและสาร
ปนเปื้อนตา่ ง ๆ
2. ทต่ี ั้งของพื้นที่ต้องเปน็ พ้ืนที่ทม่ี สี ิทธใิ นการครอบครองถูกต้องตาม
กฎหมาย
3. แหล่งนา้ และดนิ ตอ้ งไม่มีสภาพแวดล้อมที่เส่ยี งต่อการปนเป้อื น
ของวัตถุอนั ตรายทางการเกษตรและสารปนเปอ้ื นต่าง ๆ
30
ภำพที่ 1 ตวั อยา่ งพ้นื ทผ่ี ลติ สัตวน์ า้ อินทรยี ์
3. อำหำรเพือ่ กำรผลิตสัตว์น้ำอินทรยี ์ (กรมประมง, 2551)
1. องค์ประกอบของอาหาร ไดจ้ ากวตั ถดุ บิ ธรรมชาติ/เกษตรอนิ ทรีย์/
ได้รับการยินยอมจากกรมประมง หรือมาตรฐานอื่น ๆ ให้มี
ส่วนประกอบท่ีได้จากวัตถุดิบธรรมชาติหรือเกษตรอินทรีย์ไม่ต่ากว่า
ร้อยละ 60
2. จบั หรอื รวบรวมวัตถดุ ิบจากธรรมชาติอยา่ งมคี วามรบั ผดิ ชอบ โดย
สง่ ผลกระทบต่อส่ิงแวดลอ้ มน้อยทส่ี ุด
3. องค์ประกอบอยา่ งน้อยร้อยละ 50 ของโปรตีนมาจากส่วนเหลือใช้
หรอื วัสดอุ ่ืนท่ีไมเ่ หมาะสมสาหรับการบริโภคของมนุษย์
4. การใชว้ ติ ามนิ หรือแร่ธาตุสังเคราะหใ์ นส่วนผสมของอาหาร ตอ้ ง
ได้รับการยนิ ยอมจากกรมประมง
31
ไมใ่ ช้สำรเคมีและวสั ดุต่อไปนใ้ี นอำหำรสตั วน์ ้ำ
1. เคมีภณั ฑก์ ล่มุ เบตาอะโกนิสท์ (สารเร่งเน้อื แดง)
2. เคมภี ัณฑ์ชนดิ คลอแรมเฟนิคอล ฟูราโซลิโดน อะโวพาร์ซนิ
ไนโตรฟรู าโซน
3. ยเู รีย
4. กรดอะมิโนบรสิ ุทธ์ิ
5. สารสังเคราะห์ที่กระตุน้ การกินอาหาร
6. วสั ดุหรือผลผลติ ที่มีการดัดแปรพันธุกรรม
7. สผี สมอาหารสังเคราะห์
8. สารทห่ี ้ามใช้ในอาหารสตั ว์น้าตามกฎหมายว่าดว้ ยการ
ควบคมุ อาหารสตั ว์
4. แผนกำรจดั กำรด้ำนสขุ ภำพสตั วน์ ำ้ (กรมประมง, 2551)
1. ปล่อยสตั วน์ ้า ในอตั ราที่กาหนด (กุง้ กุลาดาไม่เกิน 20 ตวั ต่อ
ตารางเมตร กงุ้ ขาวไม่เกิน 32 ตัวต่อตาราง เมตร กุ้งก้ามกรามไมเ่ กนิ
15 ตัวต่อตารางเมตร และปลาน้าหนักปลาตอ้ งไมเ่ กิน 10 กิโลกรัม/
ลูกบาศก์เมตร
2. สามารถใช้สารหรือวสั ดธุ รรมชาตติ อ่ ไปนี้เฉพาะกรณีที่จาเป็น
(ภาพที่ 2)
2.1 กากชา 2.2 โรทีโนน
2.3 ดา่ งทับทมิ 2.4 ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์
2.5 โพวีโดนไอโอดีน 2.6 คอปเปอรซ์ ลั เฟต
2.7 เบนซาลโคเนยี มคลอไรด์ 2.8 คลอรีน
32
ภำพที่ 2 ตวั อยา่ งสารหรือวัสดธุ รรมชาติทใ่ี ช้จดั การด้านสุขภาพสตั วน์ า้
ท่มี า: https://www.google.com/search
33
5. กำรจดั กำรของเสียจำกกำรเพรำะเลย้ี งสตั ว์นำ้ (ภาพท่ี 9-12)
1. ต้องมีระบบเฝ้าระวังเกี่ยวกับของเสียจากกระบวนการผลิตมกี าร
จดั การดา้ นคุณภาพนา้ ทด่ี มี มี าตรฐาน
2. ตอ้ งมรี ะบบกาจัดของเสีย วธิ กี ารบาบดั ท่ชี ัดเจน
3. ใช้ความระมัดระวงั ในการเปลีย่ นถ่ายนา้
4. นา้ ทง้ิ ต้องมคี ุณสมบัตดิ ังน้ี ความเป็นกรด-ดา่ งของนา้ (pH) 6.5-9
ค่า BOD ต้องไม่เกนิ 20 มลิ ลกิ รมั /ลติ ร แอมโมเนียรวมไม่เกนิ 1.1
มลิ ลิกรัม/ลติ ร ตะกอนในน้าไม่เกิน 70 มิลลิกรัม/ลิตร ฟอสฟอรัสรวม
ไมเ่ กนิ 0.4 มิลลิกรัม/ลิตร (จงกล, 2552)
ภำพที่ 9 ตัวอย่างบอ่ บ่อมรี ะบบกรองนา้
34
ภำพที่ 10 ตวั อย่างระบบเลย้ี งปลาแบบ Aquaponics
ที่มา: https://www.google.com/search
ภำพที่ 11 ระบบเลยี้ งปลาแบบ Floating raft system
ทีม่ า: https://www.google.com/search
35
ภำพท่ี 12 ปริมาณตะกอนที่ผ่านระบบบาบัดน้าทงิ้ จากบอ่ ปลาแบบเรง่
การตกตะกอนก่อนท้ิงน้า ต้องมีตะกอนในน้าไม่เกนิ 70 มิลลิกรมั /ลติ ร
ทมี่ า: https://www.google.com/search
36
6. กำรผลติ อำหำรสัตว์น้ำอินทรยี ์ (จงกล, 2552)
กลุ่มวัตถุดบิ อาหารสตั ว์ที่จาเปน็ ต่อการเจรญิ เติบโตของสัตวน์ า้ (ภาพ
ที่ 13-18) มดี ังน้ี
1. กลุม่ วตั ถดุ บิ ท่ีเปน็ แหล่งโปรตนี : ไดแ้ ก่ ปลาปน่ กากถ่ัวเหลอื ง
สาหรา่ ยโปรตีนสูง เปน็ ตน้
2. กลมุ่ วตั ถดุ ิบทเ่ี ป็นแหลง่ พลงั งาน: ไดแ้ ก่ ราหยาบ ราละเอยี ด
ข้าวโพดเลย้ี งสัตว์ ปลายขา้ ว
3. กลุ่มวัตถดุ บิ ในกลมุ่ ไขมัน: ได้แก่ น้ามนั พืชหรือน้ามันหมู
4. กล่มุ วัตถดุ ิบทีช่ ่วยเสรมิ คณุ ภาพอาหาร: ได้แก่ สาหรา่ ยสไปรูลนิ ่า
วติ ามินและแร่ธาตุรวม สารเหนยี ว
ภำพที่ 13 กลมุ่ วตั ถุดิบทีเ่ ปน็ แหล่งโปรตีน
37
ภำพท่ี 16 กลุ่มวัตถดุ บิ ทเี่ ป็นแหล่งพลังงาน
ภำพท่ี 17 สารเหนียว ภำพท่ี 18 วิตามินและแรธ่ าตรุ วม
38
7. กำรผลิตอำหำรอนิ ทรีย์ เพอ่ื เพม่ิ โปรตีนและโอเมกำ้ จำก
สำหรำ่ ยสไปรลู ินำอินทรยี ์ (จงกล, 2552)
สำหร่ำยเกลียวทอง/สไปรูลิน่ำ/อำร์โธรสไปร่ำ (ภาพท่ี 19)
เป็นสาหร่ายสีเขียวแกมน้าเงิน มีโปรตีนสูงถึง 60% มีสารต่อต้านการ
อักเสบ ช่วยเร่งการกาจัดกรดยูริค ช่วยลดอาการอักเสบเก๊าท์ เร่งการ
เผาผลาญ ลดการสะสมของไขมัน ลดโคเลสเตอรอล ดีท็อกซ์ (Detox)
โลหะหนักและสารพิษออกจากร่างกาย มีวิตามิน แร่ธาตุ สารอาหาร
กว่า 80 ชนิด กรดอะมิโน 18 ชนิดอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก เบต้าแคโรทนี
คลอโรฟิลล์ สารต้านอนุมูลอิสระ และกรดไขมันโอเมก้ำ 3 และ 6
ควบคู่ไปกับแคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม ทองแดง และ
ฟอสฟอรสั นอกจากนี้ ยงั มวี ติ ามนิ บี5 บี1 บ2ี บ3ี บี12 และวิตามินอีสงู
มาก สไปรูลิน่ามีผนังเซลล์ท่ีนิ่ม อ่อนบาง จึงดูดซึมและย่อยง่ายกว่า
สาหร่ายสีเขียวแกมน้าเงินชนิดอ่ืน ๆ ซึ่งมีผนังเป็นเซลลูโลส ทาให้ย่อย
ยากและดูดซมึ ยากกว่า
ภำพที 19 เชลล์สาหร่ายเกลยี วทอง/สไปรลู นิ า่ /อารโ์ ธรสไปร่า
สไปรลู ินา่ เปน็ สาหรา่ ยที่เพาะเล้ยี งไดท้ ้งั ในครัวเรือน
อตุ สาหกรรมขนาดย่อม และอุตสาหกรรมขนาดใหญเ่ ป็นอาหารเสรมิ
ของคน เปน็ อาหารเสรมิ ของสตั ว์ อาหารสัตวป์ ีก อาหารสัตวน์ า้
อาหารสัตว์ท่วั ไป (ภาพท่ี 20-ภาพที่ 21)
39
ภำพที่ 20 ผลิตภัณฑ์สาหรา่ ยอาหารเสรมิ ของคน
ภำพที 21 สาหร่ายสไปรูลนิ ่าเปน็ อาหารสัตว์ และอาหารสตั ว์น้า
40
8. วธิ ีกำรเพำะเลยี้ งสำหร่ำยสไปรลู ินำ่ หรอื สำหร่ำยอำร์โธรสไปร่ำ
เพ่ือเป็นอำหำรสัตว์บกและสัตวน์ ำ้
1. นาหัวเชอ้ื สาหร่ายอารโ์ ธรสไปร่าสายพันธุ์ (Aspi.FT2) ท่ี
ได้จากบ่อเลี้ยงปลาดุก นามาแยกเชื้อบริสุทธ์ิโดยการเพาะบน
อาหารวุ้น และการเพาะเล้ียงสาหร่ายอาร์โธรสไปร่าในอาหารวุ้น
และอาหารเหลวในโหลแก้ว เพ่ือเป็นสายพันธุ์ตั้งต้นในการ
เพาะเลี้ยงตอ่ ไป ภาพท่ี 22 (จงกล และชนกันต์, 2558)
ภำพท่ี 22 การเพาะเลย้ี งสาหรา่ ยอารโ์ ธรสไปร่า ในอาหารวุ้น และ
อาหารเหลวในโหลแก้ว เพื่อเป็นสายพันธ์ตุ ั้งต้นในการเพาะเล้ียงต่อไป
ท่มี า: (จงกล และชนกันต์, 2558)
2. การเพาะเลี้ยงสไปรูลิน่าให้ได้ผลผลิตสไปรูลิน่าอินทรีย์
เช่น ใช้น้าทิ้งจากโรงอาหารอินทรีย์ (ภาพที่ 23) /ใช้น้าหมักจาก
สาหร่ายสไปรูลิน่าอินทรีย์ หรือน้าหมักจากซากเศษเหลือใช้จากการ
แปรรูปปลานิลอินทรีย์นามาผสมสารอาหาร NaCl 4 กรัม/ลิตร และ
41
NaHCO3 6 กรัม/ลิตร (จงกล, 2552) โดยเพาะเลี้ยงสาหร่ายในโรงเรอื น
ระบบปิดควบคุมแสงชนิดสีของหลอดแอลอีดี เป็นแบบผสมสีแดงและ
น้าเงินในอัตราส่วน 3 ต่อ 1 ระยะเวลาให้แสง 16 ชั่วโมงต่อวัน ให้มี
ความเข้มแสงเท่ากับ 350 µmol/m2s (18,900 Lux) ทาให้สไปรูลิน่า
มโี ปรตนี สารสี สารโอเมกา้ สูง (สมเกียรติ และคณะ 2560) ภาพที่ 24
ภำพท่ี 23 นา้ ทิง้ จากโรงอาหารอินทรยี ์
3. เริ่มเพาะเลยี้ งเตมิ เช้อื สาหร่ายสด 30% หรือมีค่า OD เริ่มตน้ 0.3
เพาะเล้ยี งระยะเวลา 15 วนั มคี ่า OD เทา่ กับ 0.8-1 (ภาพท่ี 25) เกบ็
ผลผลติ 80 เปอร์เซ็นต์ โดยการใช้ไดโว่ดูดน้าจากบ่อเพาะเลี้ยงแล้ว
กรองดว้ ยผา้ ไนลอน ขนาดตา 120 ไมครอน (ภาพท่ี 24) ได้สาหรา่ ยสด
(ภาพที่ 26) ไปตากแดดเมอ่ื แห้งเป็นแผ่น นาไปอบในเครืองอบสาหรา่ ย
และนาสาหรา่ ยอบแห้งไปบดผง หรอื นาสาหรา่ ยสด
42
ภำพที่ 24 เรมิ่ เพาะเลยี้ งเติมเชอื้ สาหรา่ ยสด
43
ตวั อย่างกลมุ่ เกษตรกร ผู้เพาะเลย้ี งสาหร่ายสไปรลู ินา บา้ น
หนองหลวงพฒั นา หมูท่ ่ี 14 ต. ป่าไผ่ อ. สันทราย จ. เชยี งใหม่ (ภาพ
ท่ี 27)
ภำพที่ 25 บ่อเพาะเลย้ี งสาหร่ายสไปรลู ินา ของกลุ่มเกษตรกร
ภำพท่ี 26 ผลผลติ ปลาดุกบกิ๊ อุย
44
ภำพท่ี 27 แหล่งทมี่ าของสารโอเมก้า 3 และ 6 และประโยชน์
45
9. ตัวอย่ำงศูนยก์ ำรเพำะเลี้ยงสตั วน์ ำ้ ต้นแบบวิสำหกิจชุมชน ของ
กลุ่มเกษตรกรประมง อาเภอสารภี เชยี งใหม่ (ภาพที่ 36-37)
ภำพท่ี 28 บ่อเพาะเลยี้ งปลานิลอินทรีย์ของกลุ่มเกษตรกรประมง
อาเภอสารภี
ภำพที่ 29 กิจกรรมเก็บไข่และฟักไข่ปลานิลอินทรีย์