The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

งานวิจัยและพัฒนา_นางสาวนริศรา แสงจันทร์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by yongyee7269, 2022-04-12 08:04:07

งานวิจัยและพัฒนา_นางสาวนริศรา แสงจันทร์

งานวิจัยและพัฒนา_นางสาวนริศรา แสงจันทร์

เค้าโครงงานวิจยั และพฒั นา
เรื่อง การพฒั นารปู แบบการนิเทศ เพอื่ เสริมสรา้ งสมรรถนะ
การจดั การเรียนรเู้ ชิงรกุ ของครู ระดบั การศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน

โดย
นางสาวนริศรา แสงจนั ทร์
นักศึกษาระดบั ปริญญาเอก รหสั นักศึกษา 6469124001
คณะครศุ าสตร์ สาขาการวิจยั และประเมินทางการศึกษา
มหาวิทยาลยั ราชภฏั พิบลู สงคราม

เสนอ
อาจารย์ ดร.บุญส่ง กวยเงิน
เอกสารนี้ เป็ นส่วนหนึ่ งของรายวิชา
REED942 การวิจยั และพฒั นาทางการศึกษาขนั้ สงู



คาํ นํา

เคา้ โครงงานวจิ ยั และพฒั นา เร่อื งการพฒั นารปู แบบการนิเทศ เพอ่ื เสรมิ สรา้ งสมรรถนะ
การจดั การเรยี นรู้เชงิ รุกของครู ระดบั การศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน จดั ทําข้นึ เพ่อื แสดงถงึ การศึกษา
ค้นคว้าแนวคิด หลักการทฤษฎี เพ่ือบูรณาการสู่กรอบความคิด ตัวแปร การวิจัยและ
การออกแบบวจิ ยั ทําให้ผูว้ จิ ยั ได้เรยี บเรยี งจดั ลําดบั เช่อื มโยงและขดั เกลาความคดิ อย่างเป็น
ระเบยี บ ชดั เจนและถูกตอ้ งตามระเบยี บวธิ วี จิ ยั ก่อนทจ่ี ะดําเนินการวจิ ยั จรงิ ผูว้ จิ ยั มแี ผนปฏบิ ตั ิ
การวจิ ยั ทช่ี ดั เจนและสามารถควบคุมการวจิ ยั ใหบ้ รรลุเป้าหมายของการวจิ ยั นอกจากน้ียงั เป็น
การส่อื สารสรา้ งความเขา้ ใจใหผ้ ูส้ นใจทวั่ ไป ไดท้ ราบรายละเอยี ดของลกั ษณะงานวจิ ยั ซ่งึ จะเป็น
ขอ้ มลู ในการตดั สนิ ใจศกึ ษางานวจิ ยั นนั้ ๆ เพอ่ื ใชป้ ระโยชน์ในโอกาสตอ่ ๆ ไป

นรศิ รา แสงจนั ทร์



สารบญั

บทที่ หน้า

คาํ นํา ก
สารบญั ข

สารตาราง ง

สารบญั ภาพ จ
1 บทนํา

ความเป็นมาและความสาํ คญั ของปัญหาการวจิ ยั 1
วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั 4

ประโยชน์ของการวจิ ยั 5

ขอบเขตของการวจิ ยั 5
กรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั 8

2 เอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง
หลกั การ แนวคดิ ทฤษฎเี กย่ี วกบั การจดั การเรยี นรเู้ ชงิ รุก 9

หลกั การ แนวคดิ ทฤษฎเี ก่ยี วกบั การเสรมิ สรา้ งสมรรถนะ 23

หลกั การ แนวคดิ ทฤษฎเี กย่ี วกบั การนเิ ทศการสอน 35
หลกั การ แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นารปู แบบ 40

แนวคดิ เกย่ี วกบั ความพงึ พอใจ 44
งานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง 45

3 วธิ ดี าํ เนินการวจิ ยั

ขนั้ ตอนการดาํ เนินการวจิ ยั 51
ขนั้ ตอนท่ี 1 ศกึ ษาสภาพปัจจบุ นั ปัญหาและความตอ้ งการในการเสรมิ สรา้ ง 53

สมรรถนะการจดั การเรยี นรเู้ ชงิ รุกของครู ระดบั การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน 54
ขนั้ ตอนท่ี 2 สรา้ งรูปแบบและตรวจสอบคณุ ภาพของร่างรปู แบบการนเิ ทศ

เพอ่ื เสรมิ สรา้ งสมรรถนะการจดั การเรยี นรเู้ ชงิ รุกของครู

ระดบั การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน



สารบญั (ต่อ) หน้า
55
บทที่ 56

ขนั้ ตอนท่ี 3 การทดลองใชร้ ปู แบบการนเิ ทศ เพอ่ื เสรมิ สรา้ งสมรรถนะ 58
การจดั การเรยี นรเู้ ชงิ รกุ ของครู ระดบั การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน

ขนั้ ตอนท่ี 4 การประเมนิ ความพงึ พอใจของครผู รู้ บั การนเิ ทศ ทม่ี ตี อ่ รปู แบบ
การนิเทศ เพอ่ื เสรมิ สรา้ งสมรรถนะการจดั การเรยี นรเู้ ชงิ รุก
ระดบั การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน

บรรณานุกรม



ตารางที่ สารบญั ตาราง หน้า
1 12
แสดงการเปรยี บเทยี บลกั ษณะสาํ คญั ของการจดั การเรยี นรเู้ ชงิ รกุ
2 กบั การจดั การเรยี นรทู้ ผ่ี เู้ รยี นเป็นฝ่ายรบั ความรู้ 34
3 แสดงผลการวเิ คราะหแ์ ละสงั เคราะหอ์ งคป์ ระกอบของสมรรถนะ
ขนั้ ตอนการพฒั นารูปแบบการนิเทศ เพอ่ื เสรมิ สรา้ งสมรรถนะ 51
การจดั การเรยี นรเู้ ชงิ รกุ ของครู ระดบั การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน

สารบญั ภาพ จ

ภาพที่ หน้า
1 กรอบแนวคดิ การวจิ ยั 8
2 โมเดลภูเขาน้ําแขง็ 25

บทท่ี 1

บทนํา

ความเป็นมาและความสาํ คญั ของปัญหาการวิจยั
การศกึ ษาเป็นพน้ื ฐานทส่ี าํ คญั ทส่ี ดุ ในการพฒั นาสงั คมใหค้ นซง่ึ เป็นสมาชกิ ของสงั คม

เป็ นคนมีคุณภาพ คุณธรรม กล่าวคือ การศึกษาช่วยสร้างจิตสํานึกในการเป็ นมนุษย์
มจี ิตวญิ ญาณของผู้มอี ารยธรรมทางปัญญาและความงดงามทางจติ ใจ การศึกษาสร้างให้คน
มคี วามรู้ในการดํารงชีวติ การประกอบอาชีพ มคี วามอดทนในการต่อสู้กับอุปสรรคของชีวติ
การศึกษาเป็นสิ่งจําเป็นสําหรบั คนทุกวัย การศึกษามีความสําคญั หลายประการ กล่าวคือ
การศกึ ษาช่วยขดั เกลาใหค้ นเป็นมนุษย์ ช่วยอบรมพลเมอื ง ใหเ้ ป็นผูท้ ม่ี คี ุณภาพชวี ติ สามารถ
ช่วยใหต้ นเองดาํ เนินชวี ติ อยู่ไดอ้ ย่างมคี วามสุขอย่างมปี ัญญา ช่วยค้ําจุนใหช้ าตสิ ามารถดํารงอยู่
ได้ เพราะการศึกษาเป็นกระบวนการหน่ึงในการปลูกฝังความรกั และหวงแหนในสงิ่ ท่ีแสดง
ความเป็นชาติ ไดแ้ ก่ ทรพั ยากรธรรมชาติ ศลิ ปวฒั นธรรม เอกราช อาณาเขต ช่วยสรา้ งพลเมอื ง
ใหม้ คี วามรูค้ วามสามารถในการประกอบอาชพี ในการเลย้ี งตนเองและครอบครวั และการศกึ ษา
ช่วยให้รู้เท่าทนั การเปล่ยี นแปลงของโลกและสามารถปกป้องตนเองและประเทศชาตใิ ห้ดํารง
สถานภาพอยู่ได้ในสงั คมโลกอย่างมเี สถียรภาพ และสิ่งสําคญั ท่ีช่วยให้ผู้เรยี นมีผลสัมฤทธิ์
ทางการเรยี นตามหลกั สตู รสถานศกึ ษานนั้ ครจู ะตอ้ งมกี ารจดั การเรยี นรผู้ ่านกระบวนการคดิ และ
ปฏิบตั จิ รงิ และสามารถนําไปประยุกต์ใช้ในชวี ติ ได้ การจดั การเรียนรู้เชิงรุกเป็นวธิ ีการสอน
รูปแบบหน่ึงทม่ี คี วามเหมาะสมกบั การเรยี นรู้ทม่ี วี ตั ถุประสงคเ์ พอ่ื สรา้ งความเขา้ ใจ และการนํา
ความรู้ท่ไี ด้มาประยุกต์ใช้ในชวี ติ ประจําวนั ส่งเสรมิ ให้ผู้เรยี นเกดิ การต่นื ตวั ต่อการเรยี นรู้ และ
สร้างความกระตือรือร้น ด้านการรู้คิดมากกว่าวิธีการสอนโดยการท่องจําเพยี งอย่างเดียว
การเรยี นการสอนเชงิ รุกจงึ มบี ทบาทช่วยใหผ้ ลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นของผเู้ รยี นสูงขน้ึ ผเู้ รยี นจะ
เกิดความพงึ พอใจในรูปแบบการเรียนการสอนท่เี ปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มสี ่วนร่วม ได้ลงมอื
กระทํามากกว่าการท่ีผู้เรยี นเป็นฝ่ ายรบั ความรู้เพยี งอย่างเดยี ว (Sweeller, 2006 : 7) ผู้เรยี น
สามารถร่วมกจิ กรรมการแสวงหาความรู้ท่ผี ู้สอนกําหนด อกี ทงั้ ใหผ้ ู้เรยี นได้ใช้กระบวนการคดิ
ขนั้ สูง ไดแ้ ก่การวเิ คราะห์ การสงั เคราะห์ และการประเมนิ ค่า ซ่ึงสอดคล้องกบั แนวคดิ Ward
(1998) ท่กี ล่าวว่า การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ ทส่ี ามารถทําใหผ้ ู้เรยี นเกดิ ความรู้ความเขา้ ใจใน
มโนทศั น์ทส่ี อนไดถ้ ูกตอ้ งและลกึ ซ้งึ เกดิ ความคงทนถาวร ผเู้ รยี นสามารถเช่อื มโยงความรไู้ ดเ้ ป็น
อย่างดเี กดิ ความสนุกสนานจากกจิ กรรมท่จี ดั ข้นึ ในการเรยี นการสอน และสามารถบูรณาการ
ความรูท้ ไ่ี ดใ้ หเ้ กดิ ประโยชน์ เป็นผลสบื เน่ืองมาจากผูเ้ รยี นไดล้ งมอื ปฏบิ ตั กิ จิ กรรมหรอื แสวงหา
ความรดู้ ว้ ยตนเอง การเรยี นการสอนเชงิ รุกสามารถสร้างองคค์ วามรใู้ หแ้ ก่ผเู้ รยี นไดด้ ว้ ยตนเอง
ทัง้ น้ีเพราะการเรียนรู้เชิงรุกเป็นการจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นให้ผู้เรียนเป็ นศูนย์กลาง

2

มีการสร้างกิจกรรมในชัน้ เรียน เพ่ือให้ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นในการเรียน มีกิจกรรม
สอดแทรกให้ผู้เรยี นทําไปพร้อมๆ กบั การฟังบรรยาย มกี จิ กรรมกลุ่ม หรอื กิจกรรมออนไลน์
เพ่อื เป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนต่ืนตัวในการเรียนอยู่ตลอดเสมอ ดงั นัน้ จึงจดั ได้ว่าการเรียน
การสอนเชงิ รุกเป็นการเรยี นรู้ ทส่ี ่งเสรมิ ให้ผูเ้ รยี นได้สร้างองค์ความรูด้ ว้ ยตนเองอย่างแท้จรงิ
ดงั นัน้ การเรยี นรู้เชงิ รุกถอื เป็นรูปแบบการจดั การศกึ ษาท่เี ปิดโอกาสให้ผูเ้ รยี นได้พฒั นาทกั ษะ
การแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ทักษะการคิดขัน้ สูง การแก้ปัญหา และการนําความรู้
ไปประยุกต์ใช้ในอนาคต ซ่ึงต้องสรา้ งบรรยากาศให้ผูเ้ รยี นกลา้ พูดกล้าตอบ และมคี วามสุขทุก
การเรียนรู้ สอดคล้องกับแนวคิดของไพฑูรย์ สินลารตั น์ (2558 : 16) ท่ีกล่าวว่า การสอน
ให้ผู้เรยี นรูจ้ กั คดิ หรอื เน้นคดิ วเิ คราะหไ์ ด้ดว้ ยตนเอง ครูผู้สอนจะใชก้ จิ กรรมอะไรใหผ้ ูเ้ รียนคดิ
ในการจดั การเรยี นการสอนตอ้ งมกี ารวางแผน และเตรยี มการใชก้ จิ กรรมต่างๆ โดยจดั ใหผ้ ูเ้ รยี น
คดิ บ่อยๆ นอกจากน้ี สนิ ธะวา คามดษิ ฐ์ (2559 : 60-68) ไดใ้ หแ้ นวคดิ เพมิ่ เตมิ ว่า สงิ่ ทค่ี รูผูส้ อน
สามารถดําเนินการจดั กระบวนการเรียนรู้ เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดทกั ษะการคดิ ครูควรแสวงหา
รูปแบบ และวิธีการจัดการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยอาจศึกษาจากคู่มอื ผลงานวจิ ยั หรือจาก
การแลกเปล่ียนเรียนรู้กับครูผู้สอนคนอ่ืนๆ ท่ีมีประสบการณ์รวมถึงแนวปฏิบัติท่ีดี
(Best Practice) เก่ยี วกบั การสอนคดิ ท่มี ผี ูร้ วบรวมไวแ้ ลว้ ซ่ึงปัจจุบนั น้ีเขา้ ถงึ ไดง้ ่ายโดยการใช้
ส่อื ออนไลน์ นอกจากน้ีพณิ สุดา สวิ ธิ รงั ศรี (2559 : 17) ไดน้ ําเสนอผลการวจิ ยั ท่สี อดคล้องกัน
โดยสรุปว่า ประเทศทป่ี ระสบความสําเร็จในการจดั การศกึ ษาให้แก่เดก็ เก่งมคี วามสามารถสูง
เกิดจากปัจจยั ท่ีเก่ียวข้องกับครูทงั้ ส้นิ ได้แก่ 1) คุณภาพครูสูง 2) ครูได้รบั การพฒั นาอย่าง
ต่อเน่ือง และ 3) มกี ารปรบั ปรุงการเรยี นการสอนใหด้ ที ส่ี ุดแก่เดก็ อย่างเท่าเทยี มกนั ทุ่มเทชวี ติ
เพ่อื เดก็ ครูจึงเป็นบุคคลท่สี ําคญั ท่ีสุดท่ีจะส่งผลต่อคุณภาพการเรยี นการสอน และคุณภาพ
ผเู้ รยี น

ในการพฒั นาการศกึ ษา ครู ถอื เป็นแกนหลกั ในฐานะผทู้ ม่ี บี ทบาทสาํ คญั ในการสรา้ ง
ความเจรญิ ของประเทศในทุกด้าน โดยเฉพาะเป็นผูจ้ ดั การเรยี นรู้และพฒั นาผูเ้ รยี น วชิ าชพี ครู
จงึ เป็นวชิ าชพี ของคนดี คนเกง่ ในสงั คมครูควรเป็นตน้ แบบทด่ี งี ามเพราะหน้าทค่ี รมู คี วามสําคญั
และยง่ิ ใหญ่ พฒั นาผู้เรยี นให้เป็นผู้มรี ะดบั สติปัญญาสูงข้นึ มคี วามรู้ในสรรพวทิ ยาการต่างๆ
โดยทค่ี วรมบี ทบาทในการกระตุน้ และอํานวยการในการเรยี นมากกว่าเป็นผูบ้ อกความรู้ จดั สรา้ ง
สถานการณ์เพอ่ื ใหน้ ักเรยี นไดฝ้ ึกคดิ มเี หตุมผี ลและรจู้ กั ใชว้ จิ ารณญาณจนเป็นกจิ นิสยั ปลูกฝัง
ค่านิยมและมโนทศั น์ทถ่ี ูกต้องให้กบั นักเรยี น การเหน็ แก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์
ส่วนตัว ปลูกฝังความเป็นนักประชาธิปไตยให้แก่นักเรียน ซ่ึงสําคญั ยงิ่ ต่อประเทศไทยท่ีมี
การปกครองระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษัตรยิ ์เป็นประมุข การบรหิ ารวิชาการแก่
ประชาชนในทอ้ งถนิ่ เป็นบทบาททส่ี าํ คญั ประการหน่ึงของครโู ดยเฉพาะในเรอ่ื งการพฒั นาอาชพี
ปลูกฝังทกั ษะและเจตคตดิ า้ นอาชพี ใหแ้ ก่นักเรยี น ทงั้ ในด้านความรูค้ วามเขา้ ใจ และการลงมอื
ปฏบิ ตั จิ รงิ ปลูกฝังวฒั นธรรมอนั ดงี ามของไทย เพ่อื ใหน้ กั เรยี นไดซ้ ึมซบั และสบื สานวฒั นธรรม

3

อนั ดงี าม ของไทยสบื ต่อไป (ศลิ า สงอาจนิ ตแ์ ละคณะ, 2561 : 261) ดงั นนั้ การจดั การศกึ ษาของ
สถานศึกษาให้เกิดคุณภาพนัน้ ต้องประกอบด้วย 3 กระบวนการคือ กระบวนการบริหาร
กระบวนการจดั การเรยี นการสอน และกระบวนการนิเทศการศกึ ษา การนิเทศการศกึ ษาเป็น
ภารกจิ ท่จี ําเป็นต่อการจดั การศกึ ษาเป็นเร่อื งละเอียดอ่อนจําเป็นต้องอาศยั ความร่วมมอื จาก
บุคคลหลายฝ่ าย ในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างย่ิงทางด้านการพฒั นาคุณภาพการเรียน
การสอน ความเปลย่ี นแปลงของสงั คม ความเจรญิ ก้าวหน้าด้านวทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยี
ทเ่ี ป็นไปอย่างรวดเรว็ บุคลากรในหน่วยงานทางการศกึ ษาจาํ เป็นต้องปรบั ปรุงตนเองให้ทนั ต่อ
การเปล่ียนแปลง เพ่ือจะได้ปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซ่ึงการนิเทศการศึกษาเป็น
กระบวนการท่มี จี ุดมุ่งหมาย เพ่อื ช่วยเหลือและพฒั นางานให้ทนั ต่อสภาพความเปล่ียนแปลง
ท่เี กิดข้นึ ในหน่วยงานทางการศกึ ษาทุกระดบั มเี ป้าหมายในการปฏบิ ตั งิ านร่วมกนั คอื พฒั นา
คุณภาพการศึกษาซ่ึงจําเป็นต้องใช้กระบวนการบริหาร กระบวนการเรียนการสอน และ
กระบวนการนเิ ทศ เพอ่ื จะไดช้ ่วยสง่ เสรมิ สนบั สนุนการทาํ งานซง่ึ กนั และกนั การนิเทศการศกึ ษา
จงึ เป็นองค์ประกอบสําคญั ท่ีช่วยเหลอื สนับสนุนใหก้ ระบวนการบรหิ าร และกระบวนการเรยี น
การสอนมีคุณภาพถึงระดบั ท่ีพงึ ประสงค์ และมาตรฐานการศึกษาของประเทศจําเป็นต้องมี
การรกั ษาและควบคุมคุณภาพใหไ้ ดต้ ามมาตรฐาน และกระบวนการนเิ ทศการศกึ ษากม็ ขี อบข่าย
การปฏบิ ตั ิงานท่ีมุ่งเน้นการควบคุมมาตรฐานการศกึ ษาโดยตรง การนิเทศการศกึ ษาจึงควร
ปรบั เปลย่ี นใหเ้ หมาะสม เพอ่ื ใหเ้ ป็นกจิ กรรมทช่ี ่วยใหค้ รูผูส้ อนทเ่ี ป็นผูร้ บั การนิเทศมเี จตคตทิ ่ีดี
และมคี วามรคู้ วามสามารถทจ่ี ะจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนใหบ้ รรลุผลตามมาตรฐานการศกึ ษา
ทงั้ ของโรงเรยี น และมาตรฐานการศกึ ษาทก่ี ระทรวงศกึ ษาธกิ ารกําหนด เป็นกจิ กรรมทด่ี ําเนินไป
อย่างเป็นระบบและรองรบั ดว้ ยขอ้ มลู สารสนเทศ มบี รรยากาศแห่งความเป็นกลั ยาณมติ รระหว่าง
ผู้นิเทศและผู้รบั การนิเทศ โดยท่ีเคารพในความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้รับการนิเทศ
สามารถดึงศักยภาพของผู้รับการนิเทศออกมาได้ ช่วยให้ครูพัฒนาตนเองให้มีความรู้
ความสามารถและนําไปสู่คุณภาพของผู้เรียนท่ีพึงประสงค์ตามมาตรฐานของหลักสูตรจน
ยกระดบั ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นใหส้ งู ขน้ึ

จากผลการนิเทศ ติดตาม และประเมนิ ผลการจดั การศึกษาของครูผู้สอนในสงั กดั
สํานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 จํานวน 121 แห่งท่ีผ่านมาพบว่า
ครูผู้สอนในทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ร้อยละ 71 มีเทคนิคในการจดั การเรียนรู้แบบบรรยาย
แบบสาธิต ซ่ึงเป็นวิธีการสอนแบบเดิม และแผนการจัดการเรียนรู้ท่ีใช้ ไม่ได้เน้นผู้เรียน
เป็นสําคญั ยงั คงให้ครูเป็นผู้ให้ความรู้มากกว่า และจากรายงานผลการนิเทศ ติดตามพบว่า
ครูถูกดงึ เวลาจากการทําหน้าท่สี อนให้ไปทํากิจกรรมอ่นื ๆ ทไ่ี ม่เก่ยี วขอ้ งกบั การสอนจนส่งผล
กระทบต่อเดก็ นักเรยี น ครูไม่มเี วลาในการจดั เตรียมส่อื หรอื ชุดการสอนท่ีเหมาะสมท่ีจะเพิ่ม
การเรยี นรใู้ หแ้ ก่นักเรยี น ซ่งึ ปัญหาทเ่ี กดิ ขน้ึ อาจทาํ ใหค้ รขู าดความชํานาญในการจดั การเรยี นรู้
ขาดเทคนิคใหม่ๆ ทใ่ี ชใ้ นการจดั การเรยี นการสอนทเ่ี น้นผูเ้ รยี นเป็นสําคญั ขาดความรบั ผดิ ชอบ

4

ในหน้าทส่ี อน และทส่ี าํ คญั คอื ขาดการนเิ ทศ กํากบั ตดิ ตามและประเมนิ ผลอย่างเป็นระบบ ทาํ ให้
ครไู ม่ไดร้ บั การใหค้ ําปรกึ ษา ชแ้ี นะ และตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสมของการจดั การเรยี นรู้
เชงิ รุก (กลุ่มนิเทศ ตดิ ตามและประเมนิ ผลการจดั การศกึ ษา, 2565 : 23-25) ดว้ ยเหตุน้ีผูว้ จิ ยั จงึ มี
ความสนใจในพฒั นารูปแบบการนิเทศ เพ่อื ช่วยเหลอื ช้แี นะ แนะนํา ส่งเสรมิ ให้ครูผู้สอนเกดิ
สมรรถนะการจดั การเรยี นรเู้ ชงิ รุก สามารถปรบั ปรุงและพฒั นาการเรยี นการสอนของตนเองได้
อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ เน่ืองจากการนิเทศ กํากบั ตดิ ตามทผ่ี ่านมายงั ไม่สามารถพฒั นาความรู้
ความสามารถ และเสรมิ สรา้ งสมรรถนะของครไู ดอ้ ย่างเพยี งพอทจ่ี ะนําไปใชใ้ นการพฒั นาผูเ้ รยี น
ให้มีคุณลักษณะตามท่ีสังคมและประเทศชาติต้องการ นอกจากน้ีการนิเทศการศึกษาเป็น
กระบวนการปฏบิ ตั งิ านร่วมกนั ของศกึ ษานิเทศกแ์ ละผูร้ บั การนิเทศ เพอ่ื ช่วยเหลอื แนะนําครูให้
มภี าวะทางวชิ าการ เสรมิ สรา้ งสมรรถนะดา้ นการสอนและการปฏบิ ตั งิ าน สง่ เสรมิ ประสานความ
ร่วมมอื ในการแก้ปัญหาการเรียนการสอน และเสริมสร้างขวญั กําลงั ใจ โดยยดึ ถือหลักการ
ดําเนินการ คือ หลกั ของการมุ่งประโยชน์เพ่ือการพฒั นาครู ร่วมมือ และสร้างสมั พนั ธภาพ
ระหว่างศกึ ษานเิ ทศกแ็ ละผรู้ บั การนเิ ทศ

จากสภาพปัญหาความจาํ เป็นและแนวคดิ ดงั กล่าว ผูว้ จิ ยั จงึ พฒั นารปู แบบการนิเทศ
เพอ่ื เสรมิ สรา้ งสมรรถนะการจดั การเรยี นรเู้ ชงิ รุกของครู ระดบั การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน สาํ หรบั ใชใ้ น
การนิเทศ กํากับ ติดตามครูผู้สอน พฒั นาสมรรถนะครูให้มกี ลวธิ ีการสอนแบบหลากหลาย
ในการจดั การเรยี นการสอน อกี ทงั้ สนับสนุนใหใ้ ช้แนวทางการจดั การเรยี นรูเ้ ชงิ รุกท่เี น้นทกั ษะ
การเรยี นรู้ท่ีนักเรยี นได้ลงมอื ปฏบิ ตั จิ รงิ เพ่อื พฒั นาผู้เรยี นให้มคี ุณภาพเป็นไปตามเป้าหมาย
คณุ ภาพผเู้ รยี นระดบั การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐานทก่ี ําหนด

วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจยั
1. เพ่ือศึกษาสภาพปัจจุบนั ปัญหาและความต้องการในการเสริมสร้างสมรรถนะ

การจดั การเรยี นรเู้ ชงิ รกุ ของครู ระดบั การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน
2. เพอ่ื สรา้ งรปู แบบและตรวจสอบคุณภาพของร่างรูปแบบการนิเทศ เพอ่ื เสรมิ สร้าง

สมรรถนะการจดั การเรยี นรเู้ ชงิ รุกของครู ระดบั การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน
3. เพ่อื ทดลองใชร้ ูปแบบการนิเทศ เพ่อื เสรมิ สรา้ งสมรรถนะการจดั การเรยี นรูเ้ ชงิ รุก

ของครู ระดบั การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน
4. เพ่ือประเมินความพึงพอใจของครูผู้รับการนิเทศ ท่ีมีต่อรูปแบบการนิเทศ

เพอ่ื เสรมิ สรา้ งสมรรถนะการจดั การเรยี นรเู้ ชงิ รุกของครู ระดบั การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน

5

ประโยชน์ของการวิจยั
1. สํานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐานและสํานักงานเขตพ้นื ทก่ี ารศกึ ษา

ประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 ได้สารสนเทศเก่ียวกับสภาพปั จจุบันและความต้องการ
ในการเสรมิ สรา้ งสมรรถนะการจดั การเรยี นรเู้ ชงิ รุกของครู ระดบั การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน

2. ผู้นิเทศการสอนได้แนวทางการนิเทศ เพ่อื เสรมิ สรา้ งสมรรถนะการจดั การเรยี นรู้
เชงิ รุกของครู ซ่ึงสามารถนําไปปรบั ใชใ้ ห้เหมาะสมตามบรบิ ทและสภาพความพรอ้ มของแต่ละ
สถานท่ี

3. ผู้บริหารสถานศึกษาสามารถนํารูปแบบการนิเทศ เพ่ือเสริมสร้างสมรรถนะ
การจดั การเรยี นรเู้ ชงิ รกุ ของครมู าพฒั นาระบบการนิเทศภายในใหเ้ ขม้ แขง็ เกดิ คุณภาพต่อผเู้ รยี น

ขอบเขตของการวิจยั
การศึกษาเร่ือง การพัฒนารูปแบบการนิเทศ เพ่ือเสริมสร้างสมรรถนะ

การจดั การเรยี นรเู้ ชงิ รกุ ของครู ระดบั การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน การวจิ ยั ครงั้ น้เี ป็นการวจิ ยั และพฒั นา
ซง่ึ ผวู้ จิ ยั ไดก้ าํ หนดขอบเขตการวจิ ยั ดงั น้ี

ขนั้ ตอนท่ี 1 ศึกษาสภาพปัจจุบนั ปัญหาและความต้องการในการเสริมสร้าง
สมรรถนะการจดั การเรยี นร้เู ชิงรกุ ของครู ระดบั การศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน

ขอบเขตด้านเนื้อหา
สภาพปัจจุบนั ปัญหาและความต้องการในการเสรมิ สรา้ งสมรรถนะการจดั การเรยี นรู้
เชิงรุกของครู แนวทางในการพฒั นากระบวนการนิเทศ ได้แก่ แนวคดิ ทฤษฎี กระบวนการ
ขนั้ ตอนการนเิ ทศ แนวทางการจดั การเรยี นการสอน สมรรถนะของครู ดา้ นความรู้ (Knowledge)
ดา้ นทกั ษะ (Skills) ดา้ นทศั นคติ (Attitude)
ขอบเขตด้านประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง
ประชากรในการวจิ ยั ได้แก่ ครูผูส้ อน ระดบั การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน สงั กดั สํานักงาน
เขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาพจิ ติ ร เขต 2 รวมทงั้ สน้ิ 1,563 คน
ขอบเขตด้านตวั แปร
ตวั แปรทศ่ี กึ ษา ได้แก่ ความต้องการในการเสรมิ สร้างสมรรถนะการจดั การเรยี นรู้
เชงิ รกุ ของครู ระดบั การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน

6

ขนั้ ตอนท่ี 2 สร้างรูปแบบและตรวจสอบคุณภาพของร่างรูปแบบการนิ เทศ
เพอ่ื เสริมสร้างสมรรถนะการจดั การเรียนรเู้ ชิงรกุ ของครู ระดบั การศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน

ขอบเขตด้านเนื้อหา
นําขนั้ ตอนท่ี 1 มาจัดทํารูปแบบและคู่มือการดําเนินงานตามรูปแบบฉบับร่าง
ตรวจสอบความเป็นประโยชน์ ความเป็นไปได้ ความเหมาะสม และความครอบคลุมของร่าง
รูปแบบโดยการสัมมนาอิงผู้เช่ียวชาญ จํานวน 10 ท่าน มีการปรับปรุงร่างรูปแบบตาม
ขอ้ เสนอแนะทไ่ี ดร้ บั จากผเู้ ชย่ี วชาญ
ขอบเขตด้านแหล่งขอ้ มลู
แหล่งขอ้ มูล ได้แก่ ผู้เช่ยี วชาญด้านหลกั สูตรและการสอน ดา้ นการนิเทศการสอน
และด้านการบริหารการศึกษา จํานวน 10 ท่าน ทําการประเมินร่างรูปแบบการนิเทศ
การเสรมิ สรา้ งสมรรถนะการจดั การเรยี นรเู้ ชงิ รุกของครู ระดบั การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน
ขอบเขตด้านตวั แปร
ตวั แปรท่ศี กึ ษา ได้แก่ คุณภาพของรูปแบบการนิเทศในด้านความเป็นประโยชน์
ความเป็นไปได้ ความเหมาะสม และ ความครอบคลุมของร่างรปู แบบการนเิ ทศทผ่ี วู้ จิ ยั สรา้ งขน้ึ

ขัน้ ตอนที่ 3 การทดลองใช้รูปแบบการนิ เทศ เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะ
การจดั การเรียนร้เู ชิงรกุ ของครู ระดบั การศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐาน

ขอบเขตด้านเนื้อหา
การทดลองใช้รูปแบบการนิเทศ เพ่ือเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้
เชงิ รุกของครู ระดบั การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน
ขอบเขตด้านประชากรและกลุ่มตวั อย่าง
ประชากร ได้แก่ ครูผูส้ อน สงั กดั สํานักงานเขตพ้นื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาพจิ ิตร
เขต 2 จาํ นวน 121 แหง่ รวมทงั้ สน้ิ 1,563 คน
กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูผู้สอน อําเภอดงเจริญ จงั หวัดพิจิตร ใช้วิธีแบบเจาะจง
(Purposive sampling) รวมทงั้ สน้ิ 12 คน
ขอบเขตด้านตวั แปร
ตัวแปรต้น ได้แก่ รูปแบบการนิเทศ เพ่อื เสริมสร้างสมรรถนะการจดั การเรียนรู้
เชงิ รกุ ของครู ระดบั การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน
ตัวแปรตาม ได้แก่ สมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู ระดบั การศึกษา
ขนั้ พน้ื ฐาน

7

ขนั้ ตอนที่ 4 การประเมินความพึงพอใจของครูผ้รู บั การนิ เทศ ที่มีต่อรปู แบบ
การนิ เทศ เพ่ือเสริมสร้างสมรรถนะการจดั การเรียนรู้เชิงรุกของครู ระดบั การศึกษา
ขนั้ พืน้ ฐาน

ขอบเขตด้านเนื้อหา
ประเมนิ ความพงึ พอใจในรปู แบบการนเิ ทศ เพอ่ื เสรมิ สรา้ งสมรรถนะการจดั การเรยี นรู้
เชงิ รุกของครู ระดบั การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน
ขอบเขตด้านประชากรและกลุม่ ตวั อย่าง
ประชากร ไดแ้ ก่ ครูผูส้ อน สงั กดั สํานักงานเขตพ้นื ท่กี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาพจิ ติ ร
เขต 2 จาํ นวน 121 แหง่ รวมทงั้ สน้ิ 1,563 คน
กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูผู้สอน อําเภอดงเจริญ จังหวดั พิจิตร ใช้วิธีแบบเจาะจง
(Purposive sampling) รวมทงั้ สน้ิ 12 คน
ขอบเขตด้านตวั แปร
ตวั แปรต้น ได้แก่ รูปแบบการนิเทศ เพ่อื เสรมิ สร้างสมรรถนะการจดั การเรียนรู้
เชงิ รุกของครู ระดบั การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน
ตวั แปรตาม ได้แก่ ความพงึ พอใจในรูปแบบการนิเทศ เพ่อื เสรมิ สร้างสมรรถนะ
การจดั การเรยี นรเู้ ชงิ รุกของครู ระดบั การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน

8

กรอบแนวคิดในการวิจยั
การพฒั นารูปแบบการนิเทศ เพอ่ื เสรมิ สรา้ งสมรรถนะการจดั การเรยี นรเู้ ชงิ รุกของครู

ระดบั การศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน ผู้วิจยั ได้สงั เคราะห์แนวคิด ทฤษฎี เพ่อื นํามากําหนดเป็นกรอบ
แนวคดิ ในการพฒั นารปู แบบการนเิ ทศ ดงั น้ี

แนวคิด หลกั การและทฤษฎี รปู แบบการนิเทศแบบ 3CED
1. หลกั การ แนวคดิ ทฤษฎเี กย่ี วกบั เพ่ือเสริมสร้างสมรรถนะการจดั การ
การจดั การเรยี นรเู้ ชงิ รกุ เรยี นร้เู ชิงรกุ ของครู ระดบั การศึกษา
2. หลกั การ แนวคดิ ทฤษฎเี กย่ี วกบั ขนั้ พื้นฐาน
การเสรมิ สรา้ งสมรรถนะ 1. สรา้ งความสมั พนั ธแ์ บบเชญิ ชวน
3. หลกั การ แนวคดิ ทฤษฎเี กย่ี วกบั (C - Creating Relationship)
การนเิ ทศการสอน 2. วางแผนรว่ มกนั
4. หลกั การ แนวคดิ ทฤษฎี (C - Cooperative Planning)
การพฒั นารูปแบบ 3. สรา้ งสรรคผ์ ลงาน
5. แนวคดิ เกย่ี วกบั ความพงึ พอใจ (C - Create)
6. งานวจิ ยั ทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง 4. การประเมนิ ผล
(E - Evaluation)
ประเมินและตรวจสอบ 5. การเผยแพรข่ ยายผล
1. ความเป็นประโยชน์ (D - Diffusing)
2. ความเป็นไปได้
3. ความเหมาะสม ผลการใช้รปู แบบการนิเทศแบบ 3CED
4. ความครอบคลุม เพอื่ เสริมสร้างสมรรถนะการจดั การ
เรยี นร้เู ชิงรกุ ของครู ระดบั การศึกษา
ขนั้ พ้ืนฐาน
1. สมรรถนะครใู นการจดั การเรยี นรเู้ ชงิ รุก
2. ความพงึ พอใจตอ่ รูปแบบการนเิ ทศ
เพอ่ื เสรมิ สรา้ งสมรรถนะการจดั การเรยี นรู้
เชงิ รกุ ของครู ระดบั การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน

ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดการวิจยั

บทที่ 2

เอกสารและงานวิจยั ท่ีเกี่ยวขอ้ ง

การพฒั นารปู แบบการนเิ ทศ เพอ่ื เสรมิ สรา้ งสมรรถนะการจดั การเรยี นรเู้ ชงิ รุกของครู
ระดบั การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน ครงั้ น้ี ผวู้ จิ ยั ไดศ้ กึ ษาเอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ตามลําดบั ดงั น้ี

1. หลกั การ แนวคดิ ทฤษฎเี กย่ี วกบั การจดั การเรยี นรเู้ ชงิ รกุ
2. หลกั การ แนวคดิ ทฤษฎเี กย่ี วกบั การเสรมิ สรา้ งสมรรถนะ
3. หลกั การ แนวคดิ ทฤษฎเี กย่ี วกบั การนเิ ทศการสอน
4. หลกั การ แนวคดิ ทฤษฎกี ารพฒั นารปู แบบ
5. แนวคดิ เกย่ี วกบั ความพงึ พอใจ
6. งานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง

หลกั การ แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกบั การจดั การเรียนรเู้ ชิงรกุ
การเรียนการสอนเชิงรุกเป็ นการจัดการเรียนการสอนท่ีเน้ นผู้เรียนเป็ นสําคัญ

โดยเปิดโอกาสใหผ้ เู้ รยี นไดเ้ รยี นรดู้ ว้ ยการลงมอื ปฏบิ ตั จิ ากกจิ กรรมทห่ี ลากหลายผ่านการฟัง พดู
อา่ น คดิ และเขยี น ซง่ึ กจิ กรรมดงั กล่าวเป็นโอกาสในการทผ่ี เู้ รยี นจะไดร้ บั ขอ้ มลู และประสบการณ์
จากการท่ีผู้เรยี นได้เข้าไปมีปฏิสัมพนั ธ์กับสง่ิ แวดล้อมท่ีเก่ียวข้องกบั การเรียนรู้ของตนเอง
แลว้ จงึ เกดิ การสรา้ งความรดู้ ว้ ยตนเองอย่างมคี วามหมาย ซง่ึ มรี ายละเอยี ดดงั น้ี

ความหมายของการจดั การเรียนร้เู ชิงรกุ
มนี กั วชิ าการหลายทา่ นไดใ้ หค้ วามหมายของการจดั การเรยี นรเู้ ชงิ รุก ดงั น้ี
Bonwell & Eison (1991 : 2) ได้ให้ความหมายของการจดั การเรยี นรู้เชิงรุกว่าเป็น
กจิ กรรมทผ่ี ูเ้ รยี นมสี ่วนร่วมในการเรยี น โดยผเู้ รยี นเป็นผูก้ ระทําและในขณะเดยี วกนั กค็ ดิ ในสง่ิ
ทท่ี าํ ดว้ ยกจิ กรรมเช่นน้ีมที งั้ อ่าน เขยี น อภปิ ราย หรอื มสี ว่ นรว่ มในการแก้ปัญหาชว่ ยใหน้ กั เรยี น
ไดม้ สี ว่ นร่วมในการคดิ ขนั้ สงู คอื คดิ วเิ คราะห์ สงั เคราะห์ และประเมนิ ค่า
Meyers & Jones (1993 : 6) ได้ให้ความหมายของการจดั การเรยี นรู้เชิงรุกว่าเป็น
การเปิดโอกาสใหผ้ เู้ รยี นไดฟ้ ัง พดู อ่าน เขยี น แสดงความคดิ เหน็ และแก้ปัญหาในขณะลงมอื ทาํ
กจิ กรรมตา่ งๆ ทห่ี ลากหลายวธิ ี ซง่ึ ผเู้ รยี นตอ้ งประยุกตส์ งิ่ ทไ่ี ดเ้ รยี นรใู้ นการทาํ กจิ กรรมดงั กลา่ ว
Petty (2004 : 1) กล่าวว่า การจดั การเรยี นรเู้ ชงิ รุก เป็นการจดั การเรยี นรูท้ ใ่ี หโ้ อกาส
ผเู้ รยี นไดม้ ปี ฏสิ มั พนั ธก์ นั ผสู้ อนจะเป็นผูส้ นบั สนุนใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การเรยี นรมู้ ากกว่าการทผ่ี ู้เรยี น
จะไดร้ บั ความรจู้ ากการบรรยายเพยี งอย่างเดยี ว
Felder & Brent (2009 : 2) กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้เชิงรุก คือ สิ่งท่ีเก่ียวกับ
การจดั การเรยี นรทู้ ท่ี ําใหน้ กั เรยี นทุกคนในหอ้ งเรยี นไดท้ ํามากกว่าฟังและจดบนั ทกึ

10

สญั ญา ภทั รากร (2552 : 13) กลา่ วว่า การจดั การเรยี นรอู้ ยา่ งมชี วี ติ ชวี า หมายถงึ
กระบวนการเรียนรู้ท่ีผู้เรียนมีปฏิสมั พนั ธ์กับผู้สอนและเพ่ือนในชัน้ เรียน มคี วามร่วมมือกัน
ระหว่างผูเ้ รยี น ผูเ้ รยี นจะได้ลงมอื ปฏบิ ตั กิ จิ กรรมต่างๆ อนั จะนําไปสู่การสร้างความรู้จากสิง่ ท่ี
ปฏิบตั ใิ นระหว่างการเรยี นการสอน โดยการพูด การฟัง การอ่าน การเขยี น และการสะท้อน
ความคดิ

สถาพร พฤฑฒิกุล (2555 : 5) กล่าวว่า การเรยี นรู้เชิงรุกช่วยให้ผู้เรียนสามารถ
เช่ือมโยงความรู้หรือสร้างความรู้ให้เกิดข้ึนในตนเองด้วยการลงมือปฏิบัติจริงผ่านส่ือหรือ
กจิ กรรมการเรยี นรู้ ทม่ี คี รผู สู้ อนเป็นผแู้ นะนํา กระตุ้นหรอื อํานวยความสะดวกใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การ
เรียนรู้ข้ึน โดยกระบวนการคิดขนั้ สูง กล่าวคือ ผู้เรียนมีการวิเคราะห์ การสงั เคราะห์ และ
การประเมนิ ค่าจากสง่ิ ทไ่ี ดร้ บั จากกจิ กรรมการเรยี นรู้ ทาํ ใหก้ ารเรยี นรูเ้ ป็นไปอย่างมคี วามหมาย
และนําไปใชใ้ นสถานการณ์อ่นื ๆ ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ

วาสนา ไทยเจรญิ (2557 : 24-25) กลา่ ววา่ การเรยี นรเู้ ชงิ รกุ เป็นการจดั กจิ กรรม
การเรยี นการสอนท่เี น้นผู้เรยี นเป็นสําคญั เน้นความมสี ่วนร่วมและบทบาทในการเรยี นรู้ของ
ผูเ้ รยี น ใหผ้ ูเ้ รยี นเป็นผู้มบี ทบาทหลกั ในการเรยี นรู้ของตวั เอง ส่งเสรมิ ให้ผูเ้ รยี นมคี วามต่นื ตวั
และกระตอื รอื ร้น ด้านการคดิ ใหผ้ ู้เรยี นมโี อกาสคดิ ตดั สนิ ใจและลงมอื กระทําเพ่อื คน้ หาคําตอบ
โดยใชก้ จิ กรรมการพดู การฟัง การอ่าน การเขยี น การสะทอ้ นแนวความคดิ และการมปี ฏสิ มั พนั ธ์
กับเพ่ือนและผู้สอน ช่วยให้การวางแผนการทํางานโดยการแปลความรู้ ความเข้าใจมาสู่
การกระทํา ทําให้เกิดการเรยี นรู้ท่ีมคี ุณค่าและสนุกสนาน ตามความถนัดและความสนใจของ
ผเู้ รยี น

สํานักงานราชบัณฑิตยสภา(2561) กล่าวว่า การเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning)
หมายถงึ กระบวนการเรยี นรูท้ ผ่ี ูเ้ รยี นมบี ทบาทในกจิ กรรมการเรยี นอย่างต่นื ตวั และมชี วี ติ ชวี า
เป็นการเรยี นรูท้ ผ่ี ูเ้ รยี นมสี ่วนรเิ รมิ่ และดําเนินการเรยี นรู้อย่างใส่ใจ จดจ่อกบั เน้ือหาและเร่อื งท่ี
เรยี นอย่างต่อเน่ืองตลอดกระบวนการ โดยมกี ารรเิ รม่ิ ความคดิ สรา้ งความรู้ มปี ฏสิ มั พนั ธร์ ่วมกนั
ลงมอื ปฏบิ ตั ดิ ว้ ยตนเอง และแสดงออกไม่ว่าจะเป็นท่าทางหรอื วาจา มใิ ช่เป็นเพยี งผู้รบั ความรู้
เท่านัน้ ผู้สอนต้อง มบี ทบาทในการเร้าความสนใจและสร้างบรรยากาศในการเรยี น โดยใช้
กลยทุ ธแ์ ตกต่างกนั ไปตามสถานการณ์ เพอ่ื ช่วยใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การเรยี นรตู้ ามวตั ถปุ ระสงค์

กล่าวโดยสรุป ความหมายของการเรยี นรู้เชงิ รุก หมายถงึ เป็นกจิ กรรมท่ีผูเ้ รยี นมี
สว่ นร่วมในการเรยี นดว้ ยกจิ กรรมต่างๆ ทห่ี ลากหลายวธิ ี ดว้ ยการลงมอื ปฏบิ ตั ิ ผ่านการฟัง พูด
อ่าน และเรยี น โดยเน้นกระตุน้ ใหผ้ ู้เรยี นเกดิ กระบวนการคดิ ขนั้ สูง คอื คดิ วเิ คราะห์ สงั เคราะห์
และ ประเมนิ คา่

11

ลกั ษณะและองคป์ ระกอบของการจดั การเรยี นร้เู ชิงรกุ
Mayer & Jones (1993 : 19-20) ไดก้ ลา่ วถงึ การจดั การเรยี นรเู้ ชงิ รุกว่ามอี งคป์ ระกอบ
การจดั การเรยี นรู้เชงิ รุก 3 ประการ คอื ปัจจยั พ้นื ฐาน (Basic Elements) กลวธิ ใี นการเรยี นรู้
(Learning Strategies) และทรพั ยากรทางการสอน (Teaching Resources) โดยได้อธิบายถึง
ปัจจยั พ้นื ฐานว่าการพูดและการฟังมคี วามสําคญั เพราะจะทําให้ครูรู้ถงึ ความคดิ ของนักเรยี น
ครูต้องสร้างตวั อย่างการพูดท่ีดีโดยการสอน และครูต้องฟังความคิดเห็นของนักเรียนด้วย
หากนักเรยี นไม่เขา้ ใจครูต้องให้ความช่วยเหลอื โดยการอธบิ ายเพม่ิ เตมิ ส่วนการเขยี น จะช่วย
ในความคดิ ของนักเรยี นชดั เจนขน้ึ เป้าหมายของการเขยี นเชงิ รุก คอื ช่วยใหน้ กั เรยี นไดส้ ํารวจ
ความคดิ ของตนเองเก่ยี วกบั ประเดน็ ท่ไี ดศ้ กึ ษา เพ่อื ใหเ้ กดิ ความเจรญิ งอกงามทางสติปัญญา
สําหรบั การอ่าน จะช่วยพฒั นาทกั ษะการคดิ ขนั้ สูงเพราะมกี ารเช่อื มโยงความคดิ กบั แหล่งขอ้ มูล
และการสะทอ้ นความคดิ ทแ่ี สดงออกมาในลกั ษณะของการเขยี นกไ็ ด้
Shenker, Goss & Bernstein (1996 : 1) ไดก้ ล่าวถงึ ลกั ษณะของการจดั การเรยี นรู้
เชงิ รุก ดงั น้ี
1. เป็นการเรยี นรทู้ ม่ี งุ่ ลดการถ่ายทอดความรจู้ ากผสู้ อนสผู่ เู้ รยี นใหน้ ้อยลง และพฒั นา
ทกั ษะใหเ้ กดิ กบั ผเู้ รยี น
2. ผเู้ รยี นมสี ว่ นรว่ มในชนั้ เรยี นโดยลงมอื กระทํามากกว่านงั่ ฟังเพยี งอย่างเดยี ว
3. ผเู้ รยี นมสี ว่ นในกจิ กรรม เชน่ อา่ น อภปิ รายและเขยี น
4. เน้นการสาํ รวจเจตคตแิ ละคณุ คา่ ทม่ี อี ยใู่ นผเู้ รยี น
5. ผเู้ รยี นไดพ้ ฒั นาความคดิ ระดบั สงู ในการวเิ คราะห์ สงั เคราะห์ และประเมนิ ผล
6. ทงั้ ผเู้ รยี นและผสู้ อนรบั ขอ้ มลู ป้อนกลบั จากการสะทอ้ นความคดิ ไดอ้ ยา่ งรวดเรว็
Fink (1999 : 1-2) ไดก้ ล่าวถงึ ลกั ษณะของการจดั การเรยี นรเู้ ชงิ รกุ ดงั น้ี
1. เป็นการสนทนากบั ตนเองเพอ่ื สะทอ้ นความคดิ ถามตวั เองวา่ คดิ อะไร มคี วามรสู้ กึ
อย่างไร โดยการบันทึกการเรียนรู้ หรือแฟ้มสะสมงาน ว่ากําลังเรียนอะไร เรียนอย่างไร
สงิ่ ทเ่ี รยี นมบี ทบาทอยา่ งไรในชวี ติ ประจาํ วนั
2. เป็นการสนทนาสอ่ื สารกบั ผูอ้ ่นื ซง่ึ ในการสอนแบบเดมิ ผูเ้ รยี นถูกจํากดั ความคดิ ไว้
เพยี งการอ่านหรอื ฟังบรรยาย ไม่มกี ารแลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ กบั ผอู้ ่นื ขาดความกระตอื รอื รน้
ในการส่อื สาร หากผู้สอนมอบหมายให้อภปิ รายกลุ่มย่อยในหวั ขอ้ ท่ีผู้เรยี นสนใจจะช่วยสร้าง
สถานการณ์ในการสนทนาสอ่ื สารใหม้ คี วามสนุกสนาน ทา้ ทาย
3. เป็นประสบการณ์ทไ่ี ดจ้ ากการลงมอื กระทาํ ซ่งึ ผูเ้ รยี นจะเกดิ ประสบการณ์โดยตรง
จากการออกแบบและทําการทดลอง หรอื ได้ประสบการณ์ทางอ้อม จากกรณีศึกษา บทบาท
สมมติ กจิ กรรมสถานการณ์จาํ ลอง เป็นตน้

12

4. เป็นประสบการณ์ทไ่ี ดจ้ ากการสงั เกต ทผ่ี เู้ รยี นอาจสงั เกตโดยตรงจากสงิ่ ทเ่ี กดิ ขน้ึ
จรงิ หรอื จากการสงั เกตสถานการณ์จําลอง ซ่ึงทําให้ผู้เรยี นได้รบั ประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีมี
คณุ ค่า

Sheffield Hallam University (2000 : 4) ไดก้ ล่าวถงึ ลกั ษณะของการจดั การเรยี นรู้
เชงิ รกุ ในฐานะการเรยี นทเ่ี น้นผเู้ รยี นเป็นสาํ คญั และสรปุ ความแตกต่างระหวา่ งการเรยี นรเู้ ชงิ รุก
กบั การสอนทผ่ี สู้ อนเป็นศูนยก์ ลางโดยผเู้ รยี นเป็นฝ่ายรบั ความรอู้ ย่างเดยี ว (Passive Learning)
ไวด้ งั น้ี

ตารางที่ 1 แสดงการเปรียบเทียบลกั ษณะสาํ คญั ของการจดั การเรยี นรเู้ ชิงรกุ กบั การจดั
การเรยี นรทู้ ี่ผเู้ รยี นเป็นฝ่ ายรบั ความรู้

การจดั การเรียนร้เู ชิงรกุ การจดั การเรียนร้ทู ี่ผเู้ รียนเป็น

ฝ่ ายรบั ความรู้

เนนการทำงานเปน กลุม เนน การบรรยายจากผูสอน

เนน การรวมมอื ระหวา งผูเรียน เนนการแขงขัน

เรียนรูจ ากแหลง เรยี นรูที่หลากหลาย เปน การสอนรวมทง้ั ช้นั

ผูเรยี นรบั ผดิ ชอบตอการเรียนรขู องตน ผสู อนรบั ผดิ ชอบการเรียนรูข องผเู รยี น

ผูสอนเปน เพียงผูชแี้ นะประสบการณแ ละอำนวย ผูสอนเปน ผูชนี้ ำและจดั เนอ้ื หาเองทง้ั หมด

ความสะดวกในการเรียนรู

ผเู รยี นเปนเจา ของความคดิ และการทำงาน ผสู อนเปน ผูใสค วามรูล งในสมองของผเู รยี น

เนนทกั ษะ การวเิ คราะหแ ละการแกป ญ หา เนน ความรูในเนื้อหาวิชา

ผูเรยี นมีวนิ ัยในตนเอง ผสู อนเปนผูวางกฎระเบียบวินัย

ผเู รยี นมีสวนรวมในการวางแผนหลกั สูตร ผูส อนเปนผูว างแผนหลกั สตู รแตผ ูเดียว

ผเู รียนมสี วนรว มในการจัดการเรียนรูเ ชงิ รุก ผเู รียนเปนฝา ยรบั ความรูทผ่ี ูสอนถา ยทอด

เพียงอยา งเดียว

ใชว ิธกี ารเรียนรูท ี่หลากหลาย จำกัดวิธีการเรยี นรแู ละกจิ กรรม

13

ศกั ดา ไชกจิ ภญิ โญ (2548 : 12) กลา่ ววา่ การจดั การเรยี นรเู้ ชงิ รกุ ประกอบไปดว้ ย
1. ผเู้ รยี นมสี ว่ นร่วมในกจิ กรรมการเรยี นรู้
2. ผเู้ รยี นไดพ้ ฒั นาทกั ษะการแสวงหาความรดู้ ว้ ยตนเอง
3. ผเู้ รยี นพฒั นาทกั ษะการคดิ ขนั้ สงู คอื วเิ คราะห์ สงั เคราะห์ และประเมนิ ผล
4. ผเู้ รยี นมที ศั นคตอิ ยากเรยี นรู้ เช่น กระตอื รอื รน้ ในการเขา้ รว่ มกจิ กรรม
ทววี ฒั น์ วฒั นกุลเจรญิ (2551 : 2) ไดเ้ สนอรปู แบบการเรยี นรเู้ ชงิ รกุ ดงั น้ี
1. จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนศึกษาด้วยตนเอง เพ่ือให้เกิดประสบการณ์ตรงกับ
การแกป้ ัญหาตามสภาพจรงิ (Authentic Situation)
2.จดั กจิ กรรมเพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นไดก้ ําหนดแนวคดิ การวางแผน การยอมรบั การประเมนิ
ผลและการนําเสนอผลงาน
3. บรู ณาการเน้ือหารายวชิ า เพอ่ื เชอ่ื มโยงความเขา้ ใจวชิ าตา่ งๆ ทแ่ี ตกตา่ งกนั
4. จดั บรรยากาศในชนั้ เรยี นใหเ้ ออ้ื ตอ่ การทาํ งานรว่ มกบั ผอู้ น่ื (Collaboration)
5. ใชก้ ลวธิ ขี องกระบวนการกลุม่ (Group Processing)
6. จดั ใหม้ กี ารประเมนิ ผลโดยกลุม่ เพอ่ื น (Peer Assessment)
ฟาตฮี ะห์ อตุ สา่ หร์ าชการ (2558 : 11) กล่าววา่ การจดั การเรยี นรเู้ ชงิ รุก มหี ลกั การ
ทส่ี าํ คญั 4 ขอ้ คอื
1. การฟังและการพูด การฟังนับเป็นวธิ ที น่ี ักเรยี นส่วนใหญ่ปฏบิ ตั ิ แต่การฟังในท่นี ้ี
ผสู้ อนจะตอ้ งใหผ้ เู้ รยี นฟังใหเ้ ป็น คอื จบั ใจความสาํ คญั ของเรอ่ื งทฟ่ี ังใหไ้ ด้ เม่อื ฟังไดแ้ ลว้ ผเู้ รยี น
ควรจะสอ่ื สารออกมาเป็นคาํ พดู ใหผ้ อู้ น่ื เขา้ ใจได้ สามารถพดู สอ่ื สารขอ้ คดิ เหน็ ของตนเองได้
2. การอ่าน การอ่านเป็นปัจจัยหน่ึงท่ีสําคัญ ในการเรียน เราสามารถเรียนรู้ได้
มากมายจากการอ่าน แต่ในการอ่านแต่ละครงั้ ผู้สอนตอ้ งมนั่ ใจว่า ผู้เรยี นสามารถจบั ประเดน็ ท่ี
สาํ คญั จากเร่อื งทอ่ี ่านได้
3. การเขยี น การเขยี นเป็นวธิ กี ารส่อื สารความรู้ท่ีสําคญั เพราะในการเขียนถ้าไม่
เขา้ ใจในเน้ือหาอย่างแทจ้ รงิ นกั เรยี นจะไม่สามารถทจ่ี ะเขยี นดว้ ยภาษาของตนเองแลว้ สอ่ื สารให้
ตนเองหรอื ผอู้ ่นื เขา้ ใจได้ ดงั นนั้ ในการเขยี นแต่ละครงั้ จะต้องกลนั่ กรองและเรยี บเรยี งความคดิ
ของตนเองไดเ้ ป็นอยา่ งดี ก่อนทจ่ี ะลงมอื เขยี น
4. การสะท้อนหรือการโต้ตอบความคิดเห็น เป็นสิ่งสําคัญมากในการเรียนซ่ึง
การเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองนนั้ จะมขี อ้ จาํ กดั อย่รู ะดบั หน่ึง แต่เม่อื มกี ารปฏสิ มั พนั ธ์กบั ผอู้ ่นื จะช่วยให้
ผู้เรยี นเกดิ การเช่อื มโยงแนวคดิ ท่ีมากข้ึน ดงั นัน้ การได้โต้ตอบความคดิ เห็นของตนเองและ
แลกเปลย่ี นเรยี นรสู้ ง่ิ ทต่ี นเองคดิ กบั ผอู้ ่นื จะช่วยใหก้ ารเรยี นรูน้ นั้ มคี วามหมายมากยง่ิ ขน้ึ
สรุปลักษณะและองค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้เชิงรุกได้ว่า เป็ นการจัด
การเรยี นรู้ท่มี ุ่งเน้นให้ผู้เรียนมสี ่วนร่วมในการเรียนรู้ของตนเองมากกว่ารบั ความรู้ฝ่ ายเดียว

14

ประกอบดว้ ยปัจจยั พน้ื ฐานดา้ นการพดู การฟัง การอ่าน การเขยี น และการสะทอ้ นซ่งึ 4 ทกั ษะ
น้ี เป็นทกั ษะทเ่ี กดิ ขน้ึ ในการเรยี นรทู้ ุกวธิ ี

ขนั้ ตอนการจดั การเรียนร้เู ชิงรกุ
Baldwin & Wiliams (1998 : 187) ได้เสนอขัน้ ตอนการจัดการเรียนรู้เชิงรุกไว้
4 ขนั้ ตอนโดยสรปุ ดงั น้ี
1. ขนั้ เตรยี มความพร้อม เป็นการนําเข้าสู่เน้ือหาการเรยี นรู้ โดยครูสร้างแรงจูงใจ
ใหก้ บั นกั เรยี นเพอ่ื ใหเ้ กดิ ความกระตอื รอื รน้ ทอ่ี ยากจะเรยี นรตู้ อ่ ไป
2. ขนั้ การปฏบิ ตั ิงานกลุ่ม เป็นขนั้ ทค่ี รูให้นักเรยี นเขา้ กลุ่มย่อย เพ่อื ทํางานร่วมกัน
และสรุปความคดิ เหน็ ของกลุ่ม อกี ทงั้ ต้องแลกเปลย่ี นเรยี นรูก้ นั ระหว่างกลุ่มอ่นื ๆ โดยทค่ี รูต้อง
เสรมิ ขอ้ มลู ใหส้ มบรู ณ์
3. ขนั้ การประยุกต์ใช้ เป็นขนั้ ของการใหน้ กั เรยี นทําแบบฝึกหดั หรอื ทําแบบทดสอบ
หลงั เรยี น
4. ขนั้ ตดิ ตามผล เป็นขนั้ ของการให้นักเรยี นได้ค้นคว้าอสิ ระเพม่ิ เตมิ โดยจดั ทําเป็น
รายงาน หรอื ใหน้ กั เรยี นเขยี นบนั ทกึ ประจําวนั รวมถงึ ใหน้ กั เรยี นเขยี นสรุปความรทู้ ไ่ี ดร้ บั ในคาบ
เรยี น
ศริ พิ ร มโนพเิ ชฐวฒั นา (2547 : 136-137) ไดก้ ล่าวถงึ ขนั้ ตอนการเรยี นรทู้ ก่ี ระตอื รอื รน้ ดงั น้ี
ขัน้ ท่ี 1 ขัน้ นําเข้าสู่หน่วยการเรียน เป็นขัน้ เตรียมความพร้อมของผู้เรียนโดย
การสรา้ งแรงจงู ใจในการเรยี นรู้ ทบทวนความรูเ้ ดมิ หรอื มโนทศั น์ทจ่ี ําเป็นตอ้ งเป็นฐานสําหรบั
ความรใู้ หม่แนะนําหวั ขอ้ เร่อื งทจ่ี ะเรยี น
ขนั้ ท่ี 2 ขนั้ กิจกรรมช้ีนําประสบการณ์ เป็นการเสนอสถานการณ์ด้วยกิจกรรม
ท่ีน่าสนใจสมั พนั ธ์กับประสบการณ์ของผู้เรียน และเป็นสิง่ ท่ีเก่ียวข้องกบั ชีวติ ประจําวนั ของ
ผูเ้ รยี น กจิ กรรมการเรยี นรู้ทงั้ หมดจะรวมถงึ การไดส้ นทนาส่อื สาร และการได้รบั ประสบการณ์
ดงั น้ี
1. สนทนาส่อื สารกบั ตนเอง ด้วยกิจกรรมการอ่าน/การเขียนท่ีกระตือรอื ร้น และ
การเขยี นแผนผงั มโนทศั น์
2. สนทนาส่อื สารกบั ผูอ้ ่นื ดว้ ยกจิ กรรมอภปิ รายกลุ่ม การเรยี นแบบร่วมแรงร่วมใจ
และเกม
3. ประสบการณ์จากการลงมือกระทําด้วยกิจกรรมปฏิบัติการทักษะพ้ืนฐาน
การทดลองและการสบื สวน
4. ประสบการณ์จากการสงั เกตกบั เหตกุ ารณ์จรงิ โดยตรง หรอื โดยออ้ ม ดว้ ยกจิ กรรม
ละครบทบาทสมมติ สถานการณ์จาํ ลอง การใชก้ รณีศกึ ษา และการศกึ ษานอกสถานท่ี

15

ขนั้ ท่ี 3 ขนั้ กิจกรรมสรุปเช่ือมโยงและประยุกต์ใช้ เน้นให้ผู้เรยี นฝึกทกั ษะและนํา
ความรไู้ ปใชใ้ นสถานการณ์ใหม่ โดยผเู้ รยี นรว่ มกนั สรปุ แนวคดิ หลกั การและมโนทศั น์ของเน้ือหา
ในบทเรียน เพ่ือผู้เรียนจะได้นํามโนทัศน์และหลักการดังกล่าวไปใช้ในการแก้ปัญหาใน
สถานการณ์ใหม่ต่อไป เป็นการบูรณาการประสบการณ์ มโนทศั น์ หลกั การและกฎเกณฑ์ สูก่ าร
สร้างมโนทศั น์ท่ีมคี วามหมายและกระจ่างยง่ิ ข้ึน ซ่ึงสมาชิกในกลุ่มจะร่วมกนั แก้สถานการณ์
ปัญหาทไ่ี ดร้ บั มอบหมาย

ขนั้ ท่ี 4 ขนั้ ประเมนิ ผล เป็นการประเมนิ เพ่อื ปรบั ปรุงและพฒั นาผู้เรยี น โดยใช้การ
ประเมนิ ผลตามสภาพจรงิ เปิดโอกาลใหผ้ เู้ รยี นคดิ ไตร่ตรองในสงิ่ ทเ่ี รยี นรู้ (Reflect) และประเมนิ
ความคดิ นนั้ ของผเู้ รยี น

บญั ญัติ ชํานาญกจิ (2519 : 4-5) วเิ คราะห์กระบวนการเรยี นรู้เชิงรุกไว้ 4 ขนั้ ตอน
ดงั น้ี

1. ขนั้ แลกเปล่ียนประสบการณ์ ขนั้ น้ีเป็นขนั้ ท่ี ผู้สอนพยายามกระตุ้นให้ผู้เรียน
ดึงประสบการณ์เดิมของตนมาเช่ือมโยง หรืออธิบายประสบการณ์หรือเหตุการณ์ใหม่
แลว้ นําไปสูก่ ารขบคดิ เพ่อื เกดิ ขอ้ สรุปหรอื องคค์ วามรูใ้ หม่ และแบ่งปันประสบการณ์ของตนกบั
ผู้อ่ืนท่ีอาจมปี ระสบการณ์เหมอื นหรอื ต่างจากตนเอง เป็นการรวบรวมมวลประสบการณ์ท่ี
หลากหลายจากแต่ละคน เพอ่ื นําไปสู่การเรยี นรูส้ ง่ิ ใหม่ร่วมกนั ซ่งึ จะช่วยให้ผูเ้ รยี นรูส้ กึ ว่าตนมี
ความสาํ คญั เพราะไดม้ สี ่วนร่วมในฐานะสมาชกิ มผี ูฟ้ ังเร่อื งราวของตนเอง และไดร้ บั รู้เร่อื งราว
ของคนอ่นื นอกจากจะได้แลกเปล่ียนประสบการณ์แล้ว ยงั ทําให้สมั พนั ธภาพในกลุ่มผู้เรียน
เป็นไปดว้ ยดี สว่ นผูส้ อนไม่ต้องเสยี เวลาในการอธบิ ายหรอื ยกตวั อย่าง เพยี งแต่ใชเ้ วลาเลก็ น้อย
กระตุ้นใหผ้ ูเ้ รยี นไดแ้ ลกเปลย่ี นประสบการณ์กนั และยงั ช่วยใหผ้ ู้สอนได้ทราบถงึ ความรู้พ้นื ฐาน
และประสบการณ์เดมิ ของผเู้ รยี น ซง่ึ จะเป็นประโยชน์ในการจดั กจิ กรรมการเรยี นรตู้ ่อไป

2. ขัน้ สร้างองค์ความรู้ร่วมกัน ขัน้ น้ีทําให้ผู้เรียนได้คิดวิเคราะห์ สังเคราะห์
สรา้ งสรรคม์ วลประสบการณ์ ขอ้ มูลความคดิ เหน็ เพ่อื ให้เกดิ ความเขา้ ใจทถ่ี ่องแทช้ ดั เจน หรอื
เกดิ ขอ้ สรปุ /องคค์ วามรใู้ หม่หรอื ตรวจสอบ ปรบั เปลย่ี นความคดิ ความเชอ่ื ของตนเอง กจิ กรรมใน
ขนั้ น้ีเป็นกจิ กรรมกลุ่มทเ่ี น้นใหผ้ ูเ้ รยี นไดค้ ดิ สะทอ้ นความคดิ หรอื บอกความคดิ เหน็ ของตนเอง
ใหค้ นอ่นื ไดร้ บั รู้ และไดอ้ ภปิ รายแลกเปลย่ี นความคดิ ระหว่างกนั อย่างลกึ ซง้ึ จนเกดิ ความเขา้ ใจ
ชดั เจนไดข้ อ้ สรุปหรอื องคค์ วามรูใ้ หม่ หรอื เกดิ ปรบั เปล่ยี นความคดิ ความเช่อื ตามจุดประสงค์
ทก่ี ําหนด

3. ขนั้ นําเสนอความรู้ เป็นขนั้ ท่ีทําให้ผู้เรียนได้รบั ข้อมูลความรู้ แนวคิด ทฤษฎี
หลกั การขนั้ ตอน หรอื ขอ้ สรุปต่างๆ โดยครเู ป็นผูจ้ ดั ให้ เพ่อื ใชเ้ ป็นตน้ ทุนในการสรา้ งองคค์ วามรู้
ใหม่ หรอื ช่วยให้การเรยี นรู้บรรลุจุดประสงค์ กจิ กรรมการเรยี นรู้อาจทําได้โดยการใหแ้ นวคดิ
ทฤษฎี หลกั การ ขอ้ มลู ความรู้ ขนั้ ตอนทกั ษะ ซ่งึ ทาํ ไดโ้ ดยการบรรยาย ดวู ดี ที ศั น์ ฟังแถบเสยี ง
อ่านเอกสาร ใบความรู้ ตาํ รา ฯลฯ หรอื การรวบรวมประสบการณ์ ของผเู้ รยี นทเ่ี ป็นผลใหเ้ กดิ การ

16

เรียนรู้ เน้ือหาสาระเพ่มิ ข้นึ หรือการรวบรวมข้อสรุปของการสะท้อนความคดิ และอภิปราย
ประเดน็ ทม่ี อบหมายให้

4. ขนั้ ประยกุ ตใ์ ชห้ รอื ลงมอื ปฏบิ ตั ิ เป็นขนั้ ทท่ี าํ ใหผ้ เู้ รยี นไดน้ ําความคดิ รวบยอดหรอื
ขอ้ สรุปหรอื องคค์ วามรใู้ หม่ทเ่ี กดิ ข้นึ ไปประยุกต์หรอื ทดลองใช้ หรอื เป็นการแสดงผลสําเรจ็ ของ
การเรียนรู้ในองค์ประกอบอ่ืนๆ ซ่ึงผู้สอนใช้กิจกรรมในองค์ประกอบน้ีในการประเมินผล
การเรยี นรไู้ ดแ้ ละยงั เป็นองคป์ ระกอบสําคญั ทเ่ี ปิดใอกาสใหผ้ เู้ รยี นไดร้ จู้ กั การนําไปใชใ้ นชวี ติ จรงิ

สญั ญา ภทั รากร (2552 : 21) ได้สรุปขนั้ ตอนการจดั การเรยี นรู้อย่างมชี วี ติ ชวี าไว้
4 ขนั้ ตอน คอื

ขนั้ ท่ี 1 ขนั้ เตรยี มพรอ้ มเขา้ สู่บทเรยี น เป็นขนั้ สร้างแรงจูงใจในการเรยี นรู้ ทบทวน
ความรเู้ ดมิ แนะนําหวั ขอ้ ทจ่ี ะเรยี น แจง้ จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรใู้ หผ้ เู้ รยี นทราบ นําเสนอสญั ลกั ษณ์
ต่างๆ ท่ตี ้องใช้ ยกตวั อย่างสถานการณ์ให้ผู้เรียนเห็นตวั อย่าง และตงั้ กติการ่วมกนั เพ่อื ให้
ผเู้ รยี นมคี วามพรอ้ มและเกดิ ความสนใจ

ขนั้ ท่ี 2 นําเสนอสถานการณ์ เป็นขนั้ ทผ่ี ู้สอนนําเสนอสถานการณ์มาเร้าความสนใจ
เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นไดร้ ่วมกนั วางแผนการแกป้ ัญหา และรว่ มกนั คดิ วเิ คราะหป์ ัญหา และเปิดโอกาสให้
ผเู้ รยี นไดซ้ กั ถามในสงิ่ ทส่ี งสยั

ขนั้ ท่ี 3 ขนั้ ลงมือปฏิบัติ เป็นขนั้ ท่ีผู้เรียนได้ลงมือแก้ปัญหาตามท่ีได้วางแผนไว้
มกี ารแลกเปล่ียนความคดิ กนั ภายในกลุ่ม และทุกคนในกลุ่มต้องมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา
โดยผสู้ อนเป็นผคู้ อยแนะนํา

ขัน้ ท่ี 4 ขัน้ อภิปราย เป็ นขัน้ ท่ีผู้เรียนออกมานําเสนอแนวคิดหน้าชัน้ เรียน
โดยทุกกลมุ่ มหี น้าทต่ี รวจสอบและมสี ทิ ธทิ จ่ี ะถามผเู้ รยี นทอ่ี อกไปนําเสนอแนวคดิ

ขนั้ ท่ี 5 ขนั้ สรุป เป็นขนั้ ทผ่ี เู้ รยี นร่วมกนั สรปุ องคค์ วามรู้ หรอื แนวคดิ ทไ่ี ด้ เพอ่ื สะทอ้ น
ความคิดท่ีได้จากการลงมือปฏิบัติ และเพ่ือให้มัน่ ใจว่าผู้เรียนมีการเรียนรู้จริงจากแนวคิด
ดงั กลา่ ว

สรปุ ไดว้ า่ ขนั้ ตอนการจดั การเรยี นรเู้ ชงิ รุก มดี งั ต่อไปน้ี
ขัน้ ท่ี 1 ขัน้ นําเข้าสู่บทเรียน เป็ นขัน้ ท่ีผู้สอนกระตุ้นผู้เรียนให้เกิดแรงจูงใจ
ในการเรยี นรู้
ขัน้ ท่ี 2 ขัน้ นําเสนอสถานการณ์ เป็นขัน้ ท่ีผู้สอนนําเสนอสถานการณ์ท่ีท้าทาย
และมคี วามสมั พนั ธก์ บั ประสบการณ์ของผเู้ รยี น และเปิดโอกาสใหผ้ เู้ รยี นไดซ้ กั ถามขอ้ สงสยั
ขัน้ ท่ี 3 ขัน้ ดําเนินกิจกรรม เป็ นขัน้ ท่ีผู้เรียนต้องวิเคราะห์ปัญหาและร่วมกัน
วางยทุ ธวธิ ใี นการแกป้ ัญหา
ขนั้ ท่ี 4 ขนั้ สรา้ งองคค์ วามรู้ เป็นขนั้ ทผ่ี เู้ รยี นออกมานําเสนอแนวคดิ ของตนเอง หรอื
ของกลุ่มให้ผู้เรียนคนอ่ืนๆ ได้รบั รู้ และแลกเปล่ียนความคิดระหว่างกันจนเกิดความเข้าใจ
ทช่ี ดั เจน

17

ขนั้ ท่ี 5 ขนั้ สรปุ เป็นขนั้ ทผ่ี เู้ รยี นร่วมกนั สรุปองคค์ วามรทู้ ไ่ี ดจ้ ากการเรยี น เพอ่ื สะทอ้ น
ความคดิ หรอื ความรทู้ ไ่ี ด้ และตรวจสอบความคลาดเคล่อื นทอ่ี าจเกดิ ขน้ึ ระหวา่ งการเรยี นดว้ ย

กิจกรรมการจดั การเรยี นร้เู ชิงรกุ
Staff of Center for Teaching & Learning at Carolina (2001 : 15-28) ได้เสนอ
วธิ กี ารและเทคนคิ การสอนในการจดั การเรยี นรเู้ ชงิ รุก ดงั น้ี
1. การอภปิ รายกลุ่ม (Group Discussion) เป็นกลวธิ ที ่จี ดั ใหม่ข้นึ ดว้ ยเจตนาร่วมกนั
ท่ีจะพิจารณาเร่อื งใดเร่อื งหน่ึง โดยนําข้อปัญหาและแง่คิดต่างๆ เก่ียวกับเร่อื งนัน้ มากล่าว
ช่วยกนั แสดงความคดิ เหน็ หรอื ช่วยขบคดิ เกย่ี วกบั ขอ้ ปัญหานัน้ เพอ่ื หาขอ้ สรปุ ทกุ คนมสี ว่ นร่วม
ในการพดู ออกความเหน็ อยา่ งเท่าเทยี มกนั โดยไม่มกี ารแยกผพู้ ดู หรอื ผฟู้ ัง เป็นวธิ ที ท่ี าํ ใหเ้ กดิ ผล
ดมี าก เพราะเป็นการเรมิ่ จากความรพู้ น้ื ฐานของผเู้ รยี นไปสู่ประสบการณ์ใหม่ ชว่ ยพฒั นาเจตคติ
ยกระดบั ความสนใจและการมสี ว่ นร่วมของผเู้ รยี นทุกคนจากการทาํ งานเป็นกลุ่ม ใชก้ ระบวนการ
ท่นี ําผู้เรยี นได้คดิ ส่อื สารและแบ่งปันความเข้าใจต่อกนั อาจจําแนกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ
ไดแ้ ก่

1.1 การอภิปรายกลุ่มย่อย (Small group Discussion) เป็นกลวิธีการสอนท่ีมี
ประสิทธิภาพท่ีสุดอย่างหน่ึง ท่ีสามารถใช้ได้กับการเรียนการสอนในกรณีท่ีต้องการให้มี
การแสดงความคดิ เหน็ อยา่ งทวั่ ถงึ

1.2 การอภปิ รายทงั้ ชนั้ เรยี น (Whole class Discussion) เป็นการอภปิ รายท่ีมกั มี
ผูส้ อนเป็นผนู้ ําในการอภปิ ราย มกั เรา้ ความสนใจใหผ้ เู้ รยี นเรม่ิ แสดงความคดิ เหน็ ในเร่อื งใดเรอ่ื ง
หน่ึงอาจเป็นการนําเขาสู่บทเรยี นหรอื สรุปบทเรยี นเทคนิคทด่ี เี ทคนิคหน่ึง สาํ หรบั การอภปิ ราย
กลุ่ม ทช่ี ่วยใหก้ ารลงสรุปแนวความคดิ รวดเรว็ คอื การระดมสมอง หากใชว้ ธิ กี ารระดมสมองได้
อย่างเหมาะสมจะกระตุ้นแนวคิดใหม่ และส่งเสริมการแก้ปัญหาท่ีต้องการความคิดริเริ่ม
สร้างสรรค์ และท่ีมจี ุดมุ่งหมายบ่งช้ีชดั เจนว่าไม่ต้องการคําตอบถูกผดิ แต่ต้องการแนวทาง
แก้ปัญหาหลายแนวทาง ซ่งึ ระหว่างการระดมสมองทุกคนมอี สิ ระท่จี ะพูดและเสนอความคิดท่ี
แตกต่างได้

2. เกม (Games) คอื กิจกรรมท่ใี ช้ผู้เล่นหน่ึงคนหรอื มากกว่า เป็นการแข่งขนั ท่ีมี
กฎเกณฑ์ หากเป็นเกมต้องใชท้ กั ษะกระบวนการเขา้ มาเก่ยี วขอ้ ง ช่วยใหผ้ ูเ้ รยี นสนุก ต่นื เต้น
มสี ่วนร่วมและกระตุ้นใหเ้ รยี นรู้ ช่วยพฒั นาทกั ษะแก้ปัญหา ส่อื สาร การฟังความร่วมมอื ซ่ึงกนั
และกนั ผู้สอนสามารถใช้เกมในการเสริมแรง ทบทวน สอนขอ้ เทจ็ จริง ทกั ษะและมโนทศั น์
ส่งเสรมิ ใหเ้ กดิ การเรยี นรูด้ ว้ ยตนเอง ทําให้ผู้เรยี นสนใจบทเรยี น ผู้เรยี นอ่อนและเก่ง สามารถ
ทํางานร่วมกันได้ดี ทําให้ผู้เรียนอ่อนเกิดกําลังใจในการเรียนมากข้ึน ทัง้ อาจใช้เป็ น
การประเมนิ ผลการเรยี นรอู้ ยา่ งไม่เป็นทางการ

18

3. การแสดงบทบาทสมมติ (Role Playing) เป็นกลวธิ ที ่ดี ีมาก เม่อื ผู้สอนต้องการ
สาํ รวจความเขา้ ใจ เจตคติ หรอื ตอ้ งการใหผ้ เู้ รยี นไดร้ ูช้ ดั ว่า บุคคลทอ่ี ยใู่ นสถานการณ์หน่งึ ๆ นัน้
รสู้ กึ อยา่ งไรและเพอ่ื เป็นการใหข้ อ้ มลู สาํ หรบั อภปิ รายตอ่ ไป โดยจดั ใหม้ กี ารแสดงในสถานการณ์
ท่ีคล้ายชีวิตจริง ผู้เรียนสวมบทบาทเป็นผู้เก่ียวข้องท่ีอยู่ในสถานการณ์นัน้ สิ่งสําคญั ท่ีจะ
ก่อใหเ้ กดิ ความรคู้ วามเขา้ ใจ เจตคติ และค่านิยม คอื การอภปิ รายหลงั การแสดง นอกจากเป็น
ผสู้ งั เกตการณ์แลว้ ผูส้ อนจะเป็นผู้นําอภปิ ราย ผูก้ ําหนดบทบาท ผูค้ วบคุมเวลา และช่วยแก้ไข
ปัญหาท่อี าจเกิดข้นึ ระหว่างการแสดงบทบาทสมมติ โดยองค์ประกอบหลกั การแสดงบทบาท
สมมติจะประกอบด้วย บุคคลท่ีเก่ียวข้อง ประเด็นปัญหาท่ีจะทําความเข้าใจ ความสมั พนั ธ์
ระหวา่ งบคุ คล เวลา และสถานทท่ี เ่ี กดิ เหตุการณ์

4. การแสดงละคร (Drama) คล้ายคลึงกับการแสดงบทบาทสมมติ กล่าวคือ
เป็นวธิ กี ารทผ่ี ูเ้ รยี นเป็นผแู้ สดงบทบาททไ่ี ดร้ บั ทาํ ใหผ้ เู้ รยี น เกดิ ความเขา้ ใจในเร่อื งราวทแ่ี สดง
แต่ใชเ้ วลามากกว่าบทบาทสมมติ จงึ เหมาะสมสาํ หรบั ใชส้ อนเน้อื หาทย่ี าก

5. การใช้กรณีศึกษา (Case Study) เป็นวธิ ีหน่ึงท่ีส่งเสรมิ ให้ผู้เรียนรู้จกั วเิ คราะห์
สถานการณ์แวดล้อมเฉพาะเอง อาจเป็นเร่อื งสมมตหิ รอื ชวี ติ จรงิ ทอ่ี ธบิ ายสง่ิ ท่เี กดิ ขน้ึ ในชุมชน
มกั จะเก่ยี วกบั ปัญหาท่ผี ูห้ น่ึงหรอื หลายคนกําลงั ประสบอยู่ การใช้กรณีศกึ ษาจะเปิดโอกาสให้
ผู้เรียนร่วมพิจารณาแสดงความรู้ เพ่ือสรุปปัญหา แนวคิด และแนวทางแก้ปัญหา โดยมี
วตั ถุประสงค์ เพ่อื ให้ผู้เรยี นเกิดความเข้าใจเน้ือหา และสภาพความเป็นจริงท่ีลึกซ้ึง พฒั นา
ความคดิ ทกั ษะการแก้ปัญหาการประยุกต์ความรูเ้ ดมิ สรา้ งความเช่อื มนั่ ว่าการตดั สนิ ใจของตน
มคี วามสาํ คญั และเช่อื ถอื ได้ และสรา้ งแรงจงู ใจทจ่ี ะเรยี นสงิ่ อ่นื ตอ่ ไป

6. การสอนโดยใช้สถานการณ์จําลอง (Simulation techniques) คือ การสอนท่ีมี
การเลียนแบบสภาพเหตุการณ์ หรือสมมติสถานการณ์ใหม่ความคล้ายคลึงกับเหตุการณ์
ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในชวี ติ จรงิ และสอดคลอ้ งกบั เน้อื หาบทเรยี น จากนนั้ เสนอเป็นกจิ กรรมการสอน เพอ่ื ให้
ผู้เรียนได้ทดลองฝึกปฏิบัติ ออกความคิดเห็นหรือตัดสินใจเลือกแนวทางแก้ปัญหาจาก
สถานการณ์นัน้ ทําให้ผู้เรียนมปี ระสบการณ์ในสภาพท่ีใกล้เคยี งกบั ความเป็นจรงิ มากท่ีสุด
ซง่ึ วธิ กี ารน้ีจะทําใหผ้ ูเ้ รยี นสามารถสรา้ งความเขา้ ใจในหลกั การและกระบวนการต่างๆ ทไ่ี ม่เหน็
เป็นรปู ธรรม ผูเ้ รยี นมคี วามรสู้ กึ ร่วมต่อเหตุการณ์ไดด้ ี อกี ทงั้ ยงั สามารถถ่ายโยงการเรยี นรูไ้ ปสู่
การปฏบิ ตั จิ รงิ ต่อไปได้ โดยผสู้ อนตอ้ งเตรยี มอุปกรณ์ บทบาทหน้าท่ี และสถานท่ี ตลอดจนกลา่ ว
นําและอธบิ ายบทบาทของผเู้ รยี นใหเ้ ขา้ ใจตรงกนั

7. การอ่านอย่างกระตือรือร้น (Active Reading) เป็ นกลวิธีการอ่านอย่างมี
ประสทิ ธภิ าพช่วยใหผ้ ู้เรยี นเขา้ ใจเร่อื งการอ่านได้ดขี ้นึ ไม่ใช่การอ่านอย่างคร่าวๆ หรอื อ่านไป
เร่อื ยๆ เหมอื นการอ่านทวั่ ไป แต่เป็นการอ่านท่ีมวี ตั ถุประสงค์เพ่อื หาคําตอบหรอื ตงั้ คําถาม
โดยประมวลความคดิ จากสงิ่ ทอ่ี ่านเพอ่ื ให้มนั่ ใจว่า ผูเ้ รยี นไดร้ บั สาระจากการอ่านอย่างต่อเน่ือง
ทงั้ ได้ใช้วจิ ารณญาณพนิ ิจพเิ คราะหเ์ ร่อื งท่อี ่าน เป็นการอ่านเน้ือหาทส่ี นใจและก่อใหเ้ กดิ ความ

19

สนใจคน้ ควา้ เพม่ิ เตมิ ดว้ ยตวั ผเู้ รยี นเอง โดยใชเ้ ทคนิคต่างๆ ทช่ี ว่ ยสง่ เสรมิ ผเู้ รยี นในการอ่านและ
ทาํ ความเขา้ ใจเน้ือหาได้ เช่น การเน้นคาํ การเขยี น แผนภาพ การอ่านแลว้ ตงั้ คาํ ถาม

8. การเขียนอย่างกระตือรือร้น (Active Writing) เป็ นกลวิธีกระตุ้นให้ผู้เรียน
แสดงออกเชิงความรู้ความเข้าใจโดยใช้เทคนิคต่างๆ ท่ีช่วยส่งเสริมผู้เรียนในการเขียน
เชน่ บนั ทกึ ประจาํ วนั การเขยี นบทละคร การทาํ รายงาน

9. การทํางานกลุ่ม (Small group Work) เป็นกจิ กรรมทจ่ี ดั ใหผ้ เู้ รยี นทํางานเป็นกลมุ่
ย่อย พูดคุยแลกเปล่ียนความคิดเห็นและพัฒนาทักษะการทํางานรวมกับผู้อ่ืน วิธีน้ีประสบ
ผลสาํ เรจ็ เม่อื ผเู้ รยี นมกี ารสะทอ้ นความคดิ ในสงิ่ ทเ่ี รยี น หรอื ประสบการณ์ทไ่ี ดร้ บั

ศกั ดา ไชกจิ ภญิ โญ (2548 : 14) ไดก้ ล่าวถงึ กจิ กรรมในการจดั การเรยี นรแู้ บบ Active
Learning ว่ามหี ลายรปู แบบ ดงั ต่อไปน้ี

1. Think-Pai-Share ผู้สอนตงั้ ปัญหา ผู้เรยี นคดิ หาคําตอบด้วยตนเองก่อนสกั 4-5
นาที ต่อมาจบั คู่กับเพ่ือน อภิปรายแลกเปล่ียนความคิดเห็นกัน หลงั จากนัน้ จึงสุ่มเรียกมา
นําเสนอหน้าชนั้ เรยี น

2. Minute Paper หลงั จากบรรยายไป 15 นาที ผู้สอนสงั่ ให้ผู้เรยี นสรุปท่ีเรียนไป
2 ประโยคใน 1 นาที แลว้ ใหจ้ บั ค่แู ลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ ผสู้ อนอาจสุ่มเรยี กผูเ้ รยี นมานําเสนอ
หน้าชนั้ เรยี น

3. Jigsaw ผูส้ อนเลอื กเน้ือหาท่สี ามารถแบ่งออกเป็นส่วนๆ ได้ หรอื เลอื กบทความ
ทม่ี เี น้ือหาสอดคลอ้ ง (ใกลเ้ คยี ง) 3-4 ชน้ิ แบ่งผูเ้ รยี นเป็นกลุ่มเท่าๆ กบั เน้ือหา ใหแ้ ต่ละกลุ่มส่ง
ตวั แทนมา 1 คน เลอื กเน้ือหาทเ่ี ตรยี มไว้ ใหอ้ ่านทาํ ความเขา้ ใจร่วมกนั หรอื หาคําตอบร่วมกนั
ในกล่มุ แลว้ กลบั ไปสอนทก่ี ลมุ่ ดงั้ เดมิ ของตนจนทุกคนไดส้ อนครบ

4. Round Tabe แบ่งผู้เรียนเป็ นกลุ่ม เพ่ือตอบคําถาม โดยแต่ละกลุ่มได้รับ
กระดาษคําตอบ 1 แผ่น และปากกา 1 ดา้ ม ใหแ้ ต่ละกลุ่มเขยี นคําตอบลงกระดาษ และเวยี นให้
กล่มุ อน่ื ดคู าํ ถามคาํ ตอบของกลมุ่ ผสู้ อนอาจสมุ่ เรยี กมานําเสนอหน้าชนั้ เรยี น

5. Voting ให้ผูเ้ รยี นยกมอื เพ่อื ตอบคาํ ถามของผู้สอนในลกั ษณะแสดงความคดิ เหน็
ดว้ ยและไม่เหน็ ดว้ ย หรอื แขง่ กนั ตอบ

6. End of Class Query สามนาทีสุดท้ายก่อนหมดคาบการสอน ให้ผู้เรียนสรุป
การเรยี นรโู้ ดยเขยี นออกมา 2 ประโยค หรอื ใหซ้ กั ถามกอ่ นจบการสอน

7. Trace of Problem แบ่งผู้เรียนเป็ นกลุ่ม ในแต่ละกลุ่มจะได้รับบัตรคําถาม
ไม่เหมอื นกนั ให้แต่ละกลุ่มเขยี นคําตอบท่บี ตั รคําถามด้านหลงั เสรจ็ แล้วส่งให้เพ่อื นกลุ่มอ่นื
ในขณะเดยี วกนั กลุ่มตนเองก็ได้รบั บตั รคําถามจากกลุ่มอ่ืน โดยยงั ไม่ให้ดูคําตอบ ให้สมาชิก
ในกลุ่มอ่านคาํ ถาม และร่วมกนั คดิ หาคําตอบ เม่อื ไดค้ ําตอบแลว้ ให้พลกิ ดคู ําตอบของกลุ่มก่อน
หน้าน้ี ถา้ คาํ ตอบตรงกนั ไม่ต้องเขยี นอะไรเพม่ิ เตมิ แต่ถา้ คาํ ตอบของกลุ่มไม่เหมอื นกบั คําตอบ
กลุ่มอ่นื ใหเ้ ขยี นคาํ ตอบลงหลงั บตั รคาํ ถามนนั้ เป็นอกี คาํ ตอบหน่งึ และใหย้ น่ื นบั ตรงคาํ ถามสง่ ให้

20

กลมุ่ อน่ื ตอ่ ไป ในขณะเดยี วกนั กร็ บั บตั รคาํ ถามของกลมุ่ อ่นื มา ใหท้ าํ เช่นเดยี วกนั น้จี นครบ ผสู้ อน
รวบรวมบตั รคําถามท่ีมคี ําตอบมากกว่าหน่ึงคําตอบ ให้ทงั้ ห้องร่วมอภิปรายหาคําตอบทเ่ี ป็น
ทย่ี อมรบั ของทงั้ หอ้ ง

8. Concept Map แบ่งผู้เรยี นเป็นกลุ่ม แจกปากกาและแผ่นใสให้แต่ละกลุ่มเขียน
ประเดน็ หลกั ทไ่ี ดเ้ รยี นรใู้ สต่ รงกลางแผ่นใส พรอ้ มทงั้ เขยี นวงกลมลอ้ มรอบและเขยี นประเดน็ รอง
ท่ีเก่ยี วขอ้ งแล้ววงกลมล้อมรอบเช่นกนั แล้วเช่ือมโยงกบั วงกลมประเด็นหลกั ซ่ึงจะได้รูปร่าง
คลา้ ยลกู โซ่ตอ่ ๆ กนั เป็นแบบใยแมงมุมหรอื เป็นรูปดาว

บญั ญตั ิ ชาํ นาญกจิ (2549 : 8) ไดก้ ล่าวถงึ กลวธิ ที ท่ี าํ ใหเ้ กดิ การเรยี นรแู้ บบใฝ่ ดงั น้ี
1. ใหน้ กั เรยี นเขยี นสรุปเร่อื งทผ่ี บู้ รรยายหรอื ผเู้ รยี นอภปิ รายทงั้ ชนั้
2. ใหผ้ เู้ รยี นอธบิ ายเรอ่ื งทต่ี นเองพดู
3. ให้ผู้เรยี นผูกโยงปัญหาหรอื เน้ือหากับความรู้ ประสบการณ์ของตนเอง พร้อม
ยกตวั อย่างประกอบ
4. เขียนคําบรรยายของผู้สอนโดยใช้ถ้อยคําหรือสํานวนของตนเอง พร้อมทัง้
ยกตวั อย่างประกอบ
5. อธบิ ายทศั นะและมุมมองของตนเองทม่ี องปัญหานนั้ แตกตา่ งจากคนอ่นื ในลกั ษณะ
มองต่างมุม
6. เขยี นคาํ ถามทต่ี นเองสงสยั และขอ้ งใจอยู่ เพอ่ื ตอ้ งการใหไ้ ดค้ าํ ตอบทช่ี ดั เจน
7. รว่ มอภปิ รายในชนั้ เรยี น
สถาพร พฤฑฒกิ ุล (2558 : 25) กล่าวว่า การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ตามแนวทาง
ของ Active Learning ซง่ึ จดั ใหผ้ ูเ้ รยี นเป็นศูนยก์ ลางของการเรยี นการสอน กจิ กรรมตอ้ งสะทอ้ น
ความตอ้ งการในการพฒั นาผเู้ รยี นและเน้นการนําไปใชป้ ระโยชน์ในชวี ติ จรงิ ของผเู้ รยี น ดงั น้ี
1. สร้างบรรยากาศของการมสี ่วนร่วม และการเจรจาโต้ตอบท่ีส่งเสรมิ ให้ผู้เรยี น
มีปฏิสัมพันธ์ท่ีดีกับผู้สอนและเพ่ือนในชัน้ เรียนกิจกรรม รวมทัง้ กระตุ้นให้ผู้เรียนประสบ
ความสาํ เรจ็ ในการเรยี นรู้
2. จดั กิจกรรมการเรียนการสอนให้เป็นพลวตั ส่งเสรมิ ให้ผู้เรียนมสี ่วนร่วมในทุก
กจิ กรรม
3. จดั สภาพการเรยี นรแู้ บบรว่ มมอื สง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ การรว่ มมอื ในกลุ่มผเู้ รยี น
4. จดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนให้ท้าทาย และให้โอกาสผู้เรยี นได้รบั วธิ กี ารสอน
ทห่ี ลากหลาย
5. วางแผนเกย่ี วกบั เวลาในจดั การเรยี นการสอนอย่างชดั เจน ทงั้ ในสว่ นของเน้ือหา
และกจิ กรรม
6. ครูผูส้ อนตอ้ งใจกวา้ ง ยอมรบั ในความสามารถในการแสดงออก และความคดิ ของ
ทผ่ี เู้ รยี น

21

การจดั การเรยี นรู้แบบ Active Learning สามารถสร้างให้เกดิ ข้นึ ได้ทงั้ ในหอ้ งเรยี น
และนอกห้องเรียน รวมทงั้ สามารถใช้ได้กับนักเรียนทุกระดบั ทงั้ การเรยี นรู้เป็นรายบุคคล
การเรยี นรแู้ บบกลุ่มเลก็ และการเรยี นรูแ้ บบกลุ่มใหญ่ McKinney (อา้ งถงึ ใน สถาพร พฤฑฒกิ ุล
,2558) ไดเ้ สนอตวั อย่างรูปแบบหรอื เทคนิค การจดั กจิ กรรมการเรยี นรูท้ ่ีจะช่วยให้ผูเ้ รยี นเกิด
การเรยี นรแู้ บบ Active Learning ไดด้ ี ไดแ้ ก่

1. การเรียนรู้แบบแลกเปล่ียนความคิด (Think Pai-Share) คือการจัดกิจกรรม
การเรยี นรทู้ ใ่ี หผ้ เู้ รยี นคดิ เก่ยี วกบั ประเดน็ ทก่ี ําหนดแตล่ ะคน ประมาณ 2-3 นาที (Think) จากนัน้
ให้แลกเปล่ยี นความคดิ กบั เพ่อื นอีกคน 3-5 นาที (Pair) และนําเสนอความคดิ เหน็ ต่อผู้เรยี น
ทงั้ หมด(Share)

2. การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Collaborative learning group) คือ การจัดกิจกรรม
การเรยี นรทู้ ใ่ี หผ้ เู้ รยี นไดท้ าํ งานรว่ มกบั ผอู้ ่นื โดยจดั เป็นกลุ่มๆ ละ 3-6 คน

3. การเรยี นรู้แบบทบทวนโดยผู้เรยี น (Student-led review sessions) คอื การจดั
กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีเปิ ดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทบทวนควา มรู้และพิจ ารณ าข้อสงสัย ต่ า ง ๆ
ในการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมการเรยี นรู้ โดยครจู ะคอยช่วยเหลอื กรณที ม่ี ปี ัญหา

4. การเรยี นรแู้ บบใชเ้ กม (Games) คอื การจดั กจิ กรรมการเรยี นรูท้ ผ่ี ูส้ อนนําเกมเขา้
บูรณาการในการเรยี นการสอน ซ่งึ ใชไ้ ดท้ งั้ ในขนั้ การนําเขา้ สู่บทเรยี น การสอน การมอบหมาย
งานและขนั้ การประเมนิ ผล

5. การเรียนรู้แบบวิเคราะห์วีดีโอ (Analysis or reactions to videos) คือ การจัด
กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีให้ผู้เรียนได้ดูวีดีโอ 5-20 นาที แล้วให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็น หรอื
สะทอ้ นความคดิ เก่ยี วกบั สงิ่ ทไ่ี ดด้ ู อาจโดยวธิ กี ารพูดโตต้ อบกนั การเขยี น หรอื การร่วมกนั สรุป
เป็นรายกล่มุ

6. การเรยี นรู้แบบโต้วาที (Student debates) คอื การจดั กจิ กรรมการเรยี นรูท้ ่ีจดั ให้
ผูเ้ รยี นไดน้ ําเสนอขอ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ากประสบการณ์และการเรยี นรู้ เพ่อื ยนื ยนั แนวคดิ ของตนเองหรอื
กลุม่

7. การเรยี นรูแ้ บบผูเ้ รยี นสรา้ งแบบทดสอบ (Student-generated exam questions)
คอื การจดั กจิ กรรมการเรยี นรทู้ ใ่ี หผ้ เู้ รยี นสรา้ งแบบทดสอบจากสงิ่ ทไ่ี ดเ้ รยี นรมู้ าแลว้

8. การเรยี นรแู้ บบกระบวนการวจิ ยั (mini-research proposals or project) คอื การจดั
กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีอิงกระบวนการวิจัย โดยให้ผู้เรียนกําหนดหัวข้อท่ีต้องการเรียนรู้
วางแผนการเรยี น เรยี นรตู้ ามแผน สรุปความรหู้ รอื สรา้ งผลงาน และสะทอ้ นความคดิ ในสงิ่ ท่ไี ด้
เรยี นรู้ หรอื อาจเรยี กว่าการสอนแบบโครงงาน (project-based learning) หรอื การสอนแบบใช้
ปัญหาเป็นฐาน (problem-based learning)

22

9. การเรียนรู้แบบกรณีศึกษา (Analyze case studies) คือการจัดกิจกรรม
การเรียนรู้ท่ีให้ผู้เรียนได้อ่านกรณีตัวอย่างท่ีต้องการศึกษา จากนัน้ ให้ผู้เรยี นวิเคราะห์และ
แลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ หรอื แนวทางแกป้ ัญหาภายในกลุ่ม แลว้ นําเสนอความคดิ เหน็ ต่อผูเ้ รยี น
ทงั้ หมด

10. การเรยี นรูแ้ บบการเขยี นบนั ทกึ (Keeping journals or logs) คอื การจดั กจิ กรรม
การเรยี นรู้ท่ีผู้เรยี นจดบนั ทกึ เร่อื งราวต่างๆ ท่ีได้พบแต่ละวนั รวมทงั้ เสนอความคดิ เพ่ิมเติม
เกย่ี วกบั บนั ทกึ ทเ่ี ขยี น

11. การเรยี นรู้แบบการเขยี นจดหมายข่าว (Write and produce a newsletter) คอื
การจดั กจิ กรรมการเรยี นรทู้ ใ่ี หผ้ เู้ รยี นร่วมกนั ผลติ จดหมายข่าว อนั ประกอบดว้ ย บทความ ขอ้ มลู
สารสนเทศ ขา่ วสาร และเหตกุ ารณ์ทเ่ี กดิ ขน้ึ แลว้ แจกจ่ายไปยงั บุคคลอน่ื ๆ

12. การเรียนรู้แบบแผนผังความคิด (Concept mapping) คือ การจัดกิจกรรม
การเรยี นรู้ท่ีให้ผู้เรียนออกแบบแผนผังความคดิ เพ่อื นําเสนอความคดิ รวบยอด และความ
เช่อื มโยงกนั ของกรอบความคดิ โดยการใชเ้ สน้ เป็นตวั เช่อื มโยง อาจจดั ทําเป็นรายบุคคลหรอื
งานกลุ่มแล้วนําเสนอผลงานต่อผู้เรยี นอ่ืนๆ จากนัน้ เปิดโอกาลใหผ้ ู้เรยี นคนอ่ืนได้ซกั ถามและ
แสดงความคดิ เหน็ เพม่ิ เตมิ

สรปุ ไดว้ ่า การจดั การเรยี นรเู้ ชงิ รกุ ผวู้ จิ ยั ไดใ้ ชก้ จิ กรรมในการจดั การเรยี นรู้ ดงั น้ี
1. การแลกเปลย่ี นความคดิ ทเ่ี ป็นการอภปิ รายกลุ่ม ใชเ้ พอ่ื ระดมความคดิ ใหท้ ุกคน
มสี ่วนร่วมในการนําเสนอและสะทอ้ นความคดิ แบ่งออกเป็น คอื การอภปิ รายรายกลุ่มย่อย และ
การอภปิ รายทงั้ ชนั้ เรยี น
2. การร่วมเรยี นรู้ ด้วยการทํางานกลุ่ม ให้ผู้เรยี นทํางานเป็นกลุ่มย่อย เพ่อื ดําเนิน
กจิ กรรมการเรยี นรแู้ ละพฒั นาทกั ษะการทาํ งานรว่ มกบั ผอู้ น่ื
3. การสรา้ งผงั ความคดิ ทเ่ี ป็นการสรุปสง่ิ ทเ่ี รยี นรู้ เป็นขอ้ ความสนั้ ๆ เพอ่ื ตรวจสอบ
ความเขา้ ใจของผเู้ รยี น
4. การสะท้อนคิด ท่ีเป็นการให้ข้อมูลย้อนกลับ เพ่ือให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่าง
การจดั กจิ กรรมการเรยี น เพมิ่ พนู ความรใู้ นเรอ่ื งทก่ี ําลงั เรยี นและสง่ เสรมิ การคดิ วเิ คราะหว์ จิ ารณ์

23

หลกั การ แนวคิด ทฤษฎีเก่ียวกบั การเสริมสรา้ งสมรรถนะ
ความหมายของสมรรถนะ
สมรรถนะ เรยี กไดอ้ กี อย่างว่า ขดี ความสามารถมคี วามหมายตรงกบั ภาษาองั กฤษว่า

Competency หรอื Competence ซง่ึ ไดม้ นี กั วชิ าการหลายท่านไดใ้ หค้ วามไว้ ดงั น้ี
Lloyd & Cook (1993 : 14) ไดใ้ หค้ วามหมายของ สมรรถนะ หมายถงึ ความสามารถ

ทจ่ี ะปฏบิ ตั กิ จิ กรรมตา่ งๆ ตามความคาดหวงั
Davies & Elison (1997 : 39-40) ได้ให้ความหมายของสมรรถนะ หมายถึง

คุณลกั ษณะทท่ี าํ ใหค้ นปฏบิ ตั งิ านไดด้ ขี น้ึ หรอื เกดิ ผลผลติ ทด่ี ขี น้ึ สมรรถะในมุมมองน้ีเป็นปัจจยั
ชน้ี ําทจ่ี ะทาํ ใหเ้ กดิ ผลสาํ เรจ็ ในการทํางาน เป็นปัจจยั นําเขา้ ทจ่ี ะทาํ ใหเ้ กดิ ผลสาํ เรจ็ ของงาน

อานนท์ ศกั ดวิ ์ รวชิ ญ์ (2547 : 60-61) ได้ให้ความหมายของ สมรรถนะ หมายถึง
คุณลกั ษณะของบุคคลอนั ได้แก่ ความรู้ทกั ษะ ความสามารถและคุณสมบตั ิอ่ืน ได้แก่ค่านิยม
จรยิ ธรรม บุคลกิ ภาพ คุณลกั ษณะทางกายและอ่นื ๆ ซ่งึ จําเป็นและสอดคลอ้ งกบั ความเหมาะสม
กับองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องสามารถจําแนกได้ระหว่างผู้ท่ีประสบความสําเร็จ
ในการทํางานออกจากผู้ไม่ประสบความสําเร็จ ในการทํางานได้อย่างเป็นเหตุและเป็นผล
ซง่ึ เรยี กรวมๆ วา่ KSAOs (Knowledge Skill Affective Other Characteristics)

องั ศินันท์ อนิ ทรกําแหง และทศั นา ทองภกั ดี (2549 : 39) ได้ให้ความหมายของ
สมรรถนะ(Competency) หมายถึง ความรู้ ความสามารถ ทักษะ ทัศนคติ พฤติกรรม
และคุณลกั ษณะต่างๆ ท่บี ุคคลต้องมี เพ่อื จะได้นํามาใช้ในการปฏิบตั ิงานตามบทบาทหน้าท่ี
ความรบั ผิดชอบในตําแหน่งงาน และตามท่ีองค์กรหน่วยงานต้องการให้ถือผลสําเร็จ บรรลุ
เป้าหมายของงานและหน่วยงาน ไดเ้ ป็นอย่างดี

สมศักดิ์ ดลประสิทธิ์ (2549 : 10) ได้ให้ความหมายของ สมรรถนะ หมายถึง
การประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ ามมาตรฐานวชิ าชพี และการปฏบิ ตั งิ านของครูและผูบ้ รหิ ารการศกึ ษาจะ
แสดงออกถงึ ความรูค้ วามสามารถและทกั ษะในการปฏบิ ตั งิ าน ซ่ึงเป็นคุณลกั ษณะดา้ นความรู้
ทักษ ะและความ ป ร ะพฤติท่ีจําเ ป็ นต่อ ก า รทํา งา น ให้สําเ ร็จต า ม บท บ า ทห น้ า ท่ีรับผิด ช อ บ
สมรรถนะ (Competency) มคี วามสมั พนั ธก์ บั ผลลพั ธข์ องงาน (Result)

บรรจง ครอบบวั บาน (2549 : 13) ได้ใหค้ วามหมายของ สมรรถนะ หมายถงึ กลุ่ม
ของความรู้ ความสามารถ ทกั ษะ ตลอดจนทศั นคตทิ จ่ี าํ เป็นในการทาํ งานไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ
และประสิทธิผลคุณลักษณะของบุคคลท่ีมีผลต่อพฤติกรรมและผลของการปฏิบัติงาน
ซง่ึ คณุ ลกั ษณะเหล่าน้ีสว่ นหน่งึ ประกอบขน้ึ จากทกั ษะความรู้ ความสามารถ ทศั นคติ บุคลกิ ภาพ
คาํ นยิ มของ บุคคล หรอื พฤตกิ รรมของผทู้ ม่ี ผี ลการปฏบิ ตั งิ านยอดเยย่ี มในงานหน่งึ ๆ

ฎายนิ วงศห์ งส์ (2550 : 10) ไดใ้ หค้ วามหมายของ สมรรถนะ หมายถงึ คุณลกั ษณะ
เชิงพฤติกรรมเป็นพฤติกรรมท่ีองค์กรต้องการจากข้าราชการ เพราะเช่ือว่าหากข้าราชการ
มีพฤติกรรมการทํางาน ในแบบท่ีองค์กรกําหนดแล้ว จะส่งผลให้ข้าราซการผู้นั้น มีผล

24

การปฏิบตั ิงานท่ีจะส่งผลให้องค์กร บรรลุเป้าประสงค์ท่ีต้องการไว้ตวั อย่าง เช่น การกําหนด
สมรรถนะการบรกิ ารทด่ี เี พราะหน้าทห่ี ลกั ของขา้ ราชการคอื การใหบ้ รกิ ารแก่ประชาชน ทําให้
หน่วยงานของรฐั บรรลุวตั ถุประสงค์ คอื การทาํ ใหเ้ กดิ ประโยชน์สขุ แกป่ ระขาชน

รชั ฎา ณ น่าน (2550 : 10) ได้ใหค้ วามหมายของ สมรรถนะ หมายถงึ พฤตกิ รรม
ท่ีบุคคลแสดงออกโดยเก่ียวข้องกับ ความรู้ทักษะ ความสามารถและคุณลักษณะอ่ืนๆ
ในการทํางานให้ประสบความสําเร็จ และบรรลุตามวัตถุประสงค์ขององค์กรให้มีผลงาน
ได้ตามเกณฑห์ รอื โดดเด่นกว่ามาตรฐานท่กี ําหนด และเป็นการจําแนกความแตกต่างระหว่าง
บุคคลทม่ี ผี ลการปฏบิ ตั งิ านทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพสงู ออกจากบคุ คลอ่นื อย่างสมเหตุสมผล

สรุปไดว้ า่ สมรรถนะ คอื ความรคู้ วามสามารถเฉพาะบคุ คลซงึ จะแสดงออกมาหรอื ไม่
ขน้ึ อยู่กบั โอกาสในการปฏบิ ตั งิ านหรอื การคน้ หาตวั ตนเพอ่ื ใหพ้ บกบั สมรรถนะท่ซี ่อนไวอ้ อกมา
ใช้

องคป์ ระกอบของสมรรถนะ
Boyatzis (1982 : 229-234) กลา่ ววา่ สมรรถนะมอี งคป์ ระกอบทส่ี าํ คญั 5 องคป์ ระกอบ ดงั น้ี
1. แรงจูงใจ (Motives) คอื เร่อื งท่เี ก่ยี วกบั การกําหนดเป้าหมาย หรอื สภาพการณ์
โดยปรากฏในรปู แบบทห่ี ลากหลายทผ่ี ลกั ดนั และนําไปสพู่ ฤตกิ รรมของแตล่ ะบคุ คล
2. ลักษณะเฉพาะ (Traits) คือ ลักษณะเฉพาะหรืออุปนิสัยของแต่ละคน
ในการตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นท่ีเหมือนกัน แรงจูงใจ และลักษณะเฉพาะตัวเกิดข้ึน ได้ทัง้
ในระดบั ทม่ี สี ตแิ ละไม่มสี ติ
3. ภาพลกั ษณะ (Self-image) คอื ความเข้าใจตนเองและการประเมนิ ความเข้าใจ
คาํ จาํ กดั ความน้ีมาพรอ้ มกบั การสรา้ งแนวคดิ และการนบั ถอื ตนเอง
4. บทบาททางสงั คม (Social role) คอื การรบั รูว้ ่า ตนเองประพฤตติ ามบรรทดั ฐาน
ในสงั คมทเ่ี ป็นทย่ี อมรบั และเหมาะสมกบั กลุ่มหรอื องคก์ รทางสงั คมทต่ี นอยู่
5. ทกั ษะ (Skills) คอื ความสามารถในการแสดงพฤตกิ รรมทเ่ี ป็นระบบและต่อเน่ือง
จนบรรลเุ ป้าหมายการทํางาน
Kaplan & Norton (2004 : 231-232) ได้แบ่งองค์ประกอบของสมรรถนะเป็ น
3 องคป์ ระกอบ ดงั น้ี
1. ความรู้ (Knowledge) คอื ความรทู้ เ่ี หมาะสมต่องานทอ่ี งคก์ ารกําหนด เช่น รูเ้ ร่อื ง
งานทจ่ี ะทาํ รเู้ ร่อื งลูกคา้ เป็นตน้
2. ทกั ษะ (Skill) คอื ทกั ษะท่ีสอดคลอ้ งกบั ความรู้ เช่น ทกั ษะในการต่อรอง ทกั ษะ
ในการใหค้ าํ ปรกึ ษา และทกั ษะในการบรหิ ารโครงการ เป็นตน้
3. คุณค่า (Values) หมายถงึ กลุม่ ของคุณลกั ษณะพเิ ศษหรอื พฤตกิ รรมทส่ี รา้ งผลงาน
ทโ่ี ดดเด่น งานบางอย่างต้องทําเป็นทีม และงานบางอย่างต้องทําคนเดยี ว การสรา้ งคุณค่าให้
กลมกลนื กบั งานจงึ เป็นสงิ่ จาํ เป็น

25

ณรงค์วทิ ย์ แสนทอง (2546 : 27) กล่าวว่า สมรรถนะประกอบด้วยองค์ประกอบ
3 ประการ คอื

1. ความรู้ (Knowledge) คอื สง่ิ ท่ีองค์การต้องการให้ "รู้" เช่น ความรู้ความเขา้ ใจ
เกย่ี วกบั ระเบยี บของทางราชการทน่ี ํามาปฏบิ ตั ใิ นองคก์ าร

2. ทกั ษะ (Skill) คอื ส่ิงท่ีองค์การต้องการให้ "ทํา" เช่น ทกั ษะการใช้เทคโนโลยี
ซง่ึ เป็นทกั ษะทจ่ี ะตอ้ งฝึกฝนจนเกดิ ความชาํ นาญกอ่ นนําไปใชง้ าน

3. พฤตินิสัยท่ีพึงปรารถนา (Attributes) คือ สิ่งท่ีองค์การต้องการให้ "เป็ น"
เช่นความใฝ่รู้ ความช่อื สตั ยแ์ ละความมุง่ มนั่ ในความสาํ เรจ็

หลักตามแนวคิดของ Mc Clelland มี 5 ส่วน คือ (Mc Clelland, 1973 อ้างถึงใน
ขจรศกั ดิ ์ ศริ มิ ยั , 2561)

1. ความรู้ (Knowledge) คือ ความรู้เฉพาะในเร่ืองท่ี ต้องรู้ เป็ นความรู้ท่ีเป็ น
สาระสาํ คญั เชน่ ความรดู้ า้ นเครอ่ื งยนต์ เป็นตน้

2. ทกั ษะ (Skill) คือ สิ่งท่ีต้องการให้ทําได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ทกั ษะทาง
คอมพวิ เตอร์ ทกั ษะทางการถ่ายทอดความรู้ เป็นต้น ทกั ษะท่ีเกิดได้นัน้ มาจากพ้ืนฐานทาง
ความรแู้ ละสามารถปฏบิ ตั ไิ ตอ้ ยา่ งแคล่วคล่องว่องไว

3. ความคดิ เหน็ เก่ยี วกบั ตนเอง (Self-concept) คอื เจตคติ คา่ นยิ ม และความคดิ เหน็
เกย่ี วกบั ภาพลกั ษณ์ของตน หรอื สงิ่ ทบ่ี ุคคลเชอ่ื วา่ ตนเองเป็น เช่น ความมนั่ ใจในตนเองเป็นตน้

4. บุคลิกลักษณะประจําตัวของบุคคล (Traits) เป็นสงิ่ ท่ีอธิบายถึงบุคคลนัน้ เช่น
คนทน่ี ่าเช่อื ถอื และไวว้ างใจได้ หรอื มลี กั ษณะเป็นผนู้ ํา เป็นตน้

5. แรงจูงใจ/เจตคติ (Motives/attitude) เป็นแรงจูงใจ หรือแรงขบั ภายใน ซ่ึงทําให้
บคุ คลแสดงพฤตกิ รวมทม่ี ่งุ ไปสเู่ ป้าหมาย หรอื มุ่งสคู่ วามสาํ เรจ็ เป็นตน้

ภาพที่ 2 โมเดลภเู ขาน้ําแขง็

26

การทบ่ี ุคคลจะมพี ฤตกิ รรมในการทํางานอย่างใดข้นึ อยู่กบั คุณลกั ษณะทบ่ี ุคคลมอี ยู่
ซง่ึ อธบิ ายในตวั แบบภูเขาน้ําแขง็ คอื ทงั้ ความรู้ ทกั ษะ ความสามารถ (ส่วนทอ่ี ย่เู หนือน้ํา) และ
คุณลกั ษณะอ่นื ๆ (สว่ นทอ่ี ย่ใู ตน้ ้ํา ของบคุ คลนนั้ ๆ สว่ นทอ่ี ยเู่ หนอื น้ํา สามารถสงั เกตเหน็ ไดง้ า่ ย)

1. ทกั ษะ (Skill) หมายถึง สงิ่ ท่ีบุคคลรู้และสามารถทําได้เป็นอย่างดี เช่น ทกั ษะ
การอ่าน ทกั ษะการฟัง ทกั ษะในการขบั รถ เป็นตน้

2. ความรู้ (Knowledge) หมายถงึ สง่ิ ทบ่ี ุคคลรู้และเขา้ ใจในหลกั การแนวคดิ เฉพาะ
ดา้ น เช่น มคี วามรดู้ า้ นบญั ชี มคี วามรดู้ า้ นการตลาด การเมอื ง สว่ นทอ่ี ยใู่ ตน้ ้ํา สงั เกตเหน็ ไดย้ าก

3. บทบาททางสงั คม (Social image) หมายถงึ สง่ิ ท่ีบุคคลต้องการส่อื ให้บุคคลอ่นื
ในสงั คมเหน็ วา่ เป็นตวั เขามบี ทบาทอย่างต่อสงั คม เช่น ชอบชว่ ยเหลอื ผอู้ ่นื เป็นตน้

4. ภาพพจน์ท่ีรบั รู้ตวั เอง (Self image) หมายถึง ภาพพจน์ท่ีบุคคลมองตวั เองว่า
เป็นอย่างไร เชน่ เป็นผนู้ ํา เป็นผเู้ ชย่ี วชาญ เป็นศลิ ปิน เป็นตน้

5. อุปนิสยั (Traits) หมายถงึ ลกั ษณะนิสยั ใจคอของบุคคลเป็นพฤตกิ รรมถาวร เช่น
เป็นนกั ฟังทด่ี ี เป็นคนใจเยน็ เป็นทอ่ี อ่ นน้อมถอ่ มตน เป็นตน้

6. แรงกระตนุ้ (Motive) หมายถงึ พลงั ขบั เคล่อื นทเ่ี กดิ จากภายในจติ ใจของบุคคลทจ่ี ะ
ส่งผลกระทบต่อการกระทํา เช่น เป็นคนท่มี คี วามอยากทจ่ี ะประสบความสําเรจ็ การกระทําสงิ่
ต่าง ๆ จงึ ออกมาในลกั ษณะของการม่งุ ไปสคู่ วามสาํ เรจ็ ตลอดเวลา

จะเห็นได้ว่าจากองค์ประกอบของ Competencies ท่ีกล่าวมาทัง้ หมด เรามักจะ
สงั เกตเหน็ ไดเ้ พยี ง 2 ส่วนทอ่ี ยู่เหนือน้ําเท่านัน้ อกี 4 ส่วนท่อี ยู่ใต้น้ํานัน้ ค่อนขา้ งจะเป็นเร่อื ง
ยุ่งยากท่ีจะรับรู้ เพราะอาจจะต้องใช้เวลานาน และแต่ละคนมีความแตกต่างกันอีก ดังนัน้
การเรยี นรู้เก่ยี วกบั Competencies จงึ ไม่ไดห้ มายถงึ พฤตกิ รรมทแ่ี สดงออกมาใหเ้ หน็ เท่านัน้
แตร่ วมถงึ ทม่ี าของพฤตกิ รรมนนั้ ดว้ ยวา่ เกดิ จากองคป์ ระกอบในเร่อื งใด

สรุปได้ว่า สมรรถนะ เป็นพฤติกรรมของบุคคล ซ่ึงจะมคี วามรู้ทกั ษะ พฤติกรรม
ทแ่ี ตกตา่ งกนั ขน้ึ อย่กู บั ว่าใครจะสามารถดงึ ตวั ตนของตนเอง หรอื เขา้ ใจในความคดิ ของตวั เองได้
มากน้อยเพยี งไร ซง่ึ บางส่วนเป็นพฤตกิ รรมทแ่ี อบแฝงจะเหน็ รไู้ ด้ เม่อื ไดเ้ กดิ เหตุการณ์ต้องคดิ
หรอื ตดั สนิ ใจความโดดเดน่ จงึ จะแสดงออกมา

ประเภทของสมรรถนะ
เทอ้ื น ทองแกว้ (2545 : 35-43) กลา่ ววา่ ประเภทของสมรรถนะมี 5 ประเภท คอื
1. สมรรถนะสว่ นบคุ คล (Personal Competencies) หมายถงึ สมรรถนะทแ่ี ต่ละคนมี
เป็นความสามารถเฉพาะตวั คนอน่ื ไมส่ ามารถลอกเลยี นแบบได้
2. สมรรถนะเฉพาะงาน (Job Competencies) หมายถึง สมรรถนะของบุคคลกบั
การทาํ งานในตําแหน่งหรอื บทบาทเฉพาะตวั
3. สมรรถนะองคก์ าร (Organization Competencies) หมายถงึ ความสามารถพเิ ศษ
เฉพาะองคก์ ารนนั้ เทา่ นนั้

27

4. สมรรถนะหลกั (Core Competencies) หมายถึง ความสามารถสําคญั ท่ีบุคคล
ตอ้ งมี หรอื ตอ้ งทาํ เพอ่ื ใหบ้ รรลผุ ลตามเป้าหมายทต่ี งั้ ไว้

5. สมรรถนะในงาน (Functional Competencies) หมายถงึ ความสามารถของบุคคล
ทม่ี ี ตามหน้าทท่ี ร่ี บั ผดิ ชอบตาํ แหน่งหน้าทอ่ี าจเหมอื น แตค่ วามสามารถตามหน้าทต่ี ่างกนั

ณรงศ์วทิ ย์ แสนทอง (2547 : 10) ได้อธบิ ายการการแบ่งสมรรถนะ (Competency)
ออกเป็น 3 ประเภท ดงั น้ี

1. สมรรถนะหลกั (Core Competency) หมายถงึ บุคลกิ ของคนทส่ี ะทอ้ นให้เห็นถึง
ความรู้ทกั ษะ ทศั นคติ ความเช่ือ และอุปนิสยั ของคนในองค์การโดยรวมท่ีจะชวยสนับสนุน
ใหอ้ งคก์ ารบรรลุเป้าหมายตามวสิ ยั ทศั น์ได้

2. สมรรถนะประจําสายงาน (Job Competency) หมายถึง บุคลิกลกั ษณะของคน
ทส่ี ะทอ้ นให้เหน็ ถงึ ความรู้ ทกั ษะ ทศั นคติ ความเช่อื และอุปนิสยั ท่จี ะช่วยส่งเสรมิ ใหค้ นๆ นัน้
สามารถสรา้ งผลงานในการปฏบิ ตั งิ านตาํ แหน่งนนั้ ๆ ไดส้ งู กว่ามาตรฐาน

3. สมรรถนะส่วนบุคคล (Personal Competency) หมายถงึ บุคลิกลกั ษณะของคน
ท่ีสะท้อนให้เห็นถึงความรู้ ทักษะ ทัศนคติ ความเช่ือและอุปนิสัย ท่ีทําให้บุคคลนั้น
มีความสามารถในการทําส่ิงหน่ึงสิ่งใดได้โดดเด่นกว่าคนทวั่ ไป เช่น พวกท่ีสามารถอาศยั
อยกู่ บั แมลงป่องหรอื อสรพษิ ได้ เป็นตน้

สํานักงานเลขาธกิ ารคุรุสภา (2548 : 70-72) ได้มกี ารกําหนดมาตรฐานวชิ าชพี ทาง
การศกึ ษาสําหรบั ผูท้ จ่ี ะเขา้ สู่วชิ าชพี ครูได้ 3 มาตรฐาน คอื มาตรฐานความรูแ้ ละประสบการณ์
วชิ าชพี มาตรฐานการปฏบิ ตั งิ าน และมาตรฐานการปฏบิ ตั ติ น ซ่งึ มาตรฐานการปฏบิ ตั งิ านและ
มาตรฐานการปฏิบัติยังมิได้มีการกําหนดสมรรถนะ ส่วนด้านมาตรฐานด้านความรู้และ
ประสบการณ์วชิ าชพี ไดก้ ําหนดสมรรถนะครไู วด้ งั น้ี

1. มาตรฐานความรขู้ องครู มคี วามรไู้ มต่ ่ํากว่าปรญิ ญาตรที างการศกึ ษาหรอื เทยี บเท่า
หรอื คณุ วุฒอิ น่ื ทค่ี รุ ุสภารบั รองและมสี มรรถนะ 9 ดา้ น คอื

1.1 สมรรถนะด้านภาษาและเทคโนโลยีสําหรับครู ได้แก่ สามารถใช้ทักษะ
ในการฟัง การพดู การอา่ น การเขยี นภาษาไทย เพอ่ื การสอ่ื ความหมายไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง สามารถ
ใช้ทกั ษะในการฟัง การพูด การอ่าน การเขียนภาษาอังกฤษ หรือภาษาต่างประเทศอ่ืนๆ
เพอ่ื การสอ่ื ความหมายไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง และสามารถใชค้ อมพวิ เตอรข์ นั้ พน้ื ฐาน

1.2 สมรรถนะดา้ นการพฒั นาหลกั สูตร ไดแ้ ก่ สามารถวเิ คราะหห์ ลกั สตู ร สามารถ
ปรบั ปรุงและพฒั นาหลกั สตู ร ไดอ้ ย่างหลากหลาย สามารถประเมนิ หลกั สูตรไดท้ งั้ ก่อนและหลงั
การใชห้ ลกั สตู ร และสามารถจดั ทาํ หลกั สตู ร

1.3 สมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ สามารถนําการประมวลรายวิชา
มาจดั ทําแผนการเรยี นรู้รายภาค และตลอดภาค สามารถออกแบบการเรยี นท่เี หมาะสมกบั วยั
ของผูเ้ รยี น สามารถเลอื กใชพ้ ฒั นาและสรา้ งส่อื อปุ กรณ์ทส่ี ่งเสรมิ การเรยี นรขู้ องผเู้ รยี น สามารถ

28

จัด กิ จ ก ร ร ม ท่ี ส่ ง เ ส ริ ม ก า ร เ รี ย น รู้ ข อ ง ผู้ เ รี ย น แ ล ะ จํ า แ น ก ร ะ ดับ ก า ร เ รี ย น รู้ ข อ ง ผู้ เ รีย น
จากการประเมนิ ผล

1.4 สมรรถนะด้านจิตวิทยาสําหรบั ครู ได้แก่ เข้าใจธรรมชาติผู้เรียน สามารถ
ช่วยเหลอื ผูเ้ รยี นใหเ้ รยี นรูแ้ ละพฒั นาได้ตามศกั ยภาพของตน สามารถให้คําแนะนําชวยเหลือ
ผเู้ รยี นใหม้ คี ณุ ภาพชวี ติ ทด่ี ขี น้ึ และสามารถสง่ เสรมิ ความถนดั และความสนใจของผเู้ รยี น

1.5 สมรรถนะดา้ นวดั และประเมนิ ผลการศกึ ษา ไดแ้ ก่ สามารถวดั และประเมนิ ผล
ได้ตามสภาพความเป็นจริง และสามารถนําผลการประเมินไปใช้ในการปรับปรุงการจัด
การเรยี นรแู้ ละหลกั สตู ร

1.6 สมรรถนะดา้ นการบรหิ ารจดั การในหอ้ งเรยี น ไดแ้ ก่ สามารถนําผลการวจิ ยั ไป
ใช้ในการจดั การเรยี นการสอน และสามารถทําวจิ ยั เพ่อื พฒั นาการเรยี น การเสนอและพฒั นา
ผเู้ รยี น

1.7 สมรรถนะด้านการวิจัยทางการศึกษา ได้แก่ สามารถนําผลการวิจยั ไปใช้
ในการจดั การเรยี นการสอน และสามารถทาํ วจิ ยั เพอ่ื พฒั นาการเรยี นการสอนและพฒั นาผเู้ รยี น

1.8 สมรรถนะด้านนวตั กรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา ได้แก่
สามารถเลอื กใชอ้ อกแบบสรา้ งและปรบั ปรุงนวตั กรรม เพ่อื ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การเรยี นรทู้ ด่ี ี สามารถ
พฒั นาเทคโนโลยแี ละสารสนเทศ เพ่อื ใหผ้ ู้เรยี นเกดิ การเรยี นรูท้ ่ีดี และสามารถแสวงหาแหล่ง
เรยี นรทู้ ห่ี ลากหลายเพอ่ื สงเสรมิ การเรยี นรขู้ องผเู้ รยี น

1.9 สมรรถนะดา้ นความเป็นครู ไดแ้ ก่ รกั เมตตา และปรารถนาดตี ่อสเู้ รยี นอดทน
และรบั ผดิ ชอบ เป็นบุคคลแห่งการเรยี นรแู้ ละเป็นผนู้ ําทางวชิ าการ มวี สิ ยั ทศั น์ ศรทั ธาในวชิ าชพี
ครู ปฏบิ ตั ติ ามจรรยาบรรณของวชิ าชพี ครู

2. ด้านมาตรฐานประสบการณ์วชิ าชีพครู ผ่านการปฏบิ ตั ิการสอนในสถานศึกษา
ตามหลักสูตรปรญิ ญาทางการศึกษามาเป็นเวลา 1 ปี และผ่านการประเมินปฏิบตั ิการสอน
ตามหลกั เกณฑ์ วธิ กี าร และเงอ่ื นไขทค่ี ณะกรรมการคุรสุ ภากาํ หนด ดงั น้ี

2.1 สมรรถนะในการฝึกปฏิบัติวชิ าชีพระหว่างเรียน ได้แก่ สามารถศึกษาและ
แยกแยะผู้เรยี นได้ตามความแตกต่างของผู้เรยี น สามารถจดั ทําแผนการเรยี นรู้ สามารถฝึก
ปฏิบัติการสอน ตงั้ แต่การจดั ทําแผนการสอน ปฏิบตั ิการสอนประเมินผลและปรบั ปรุง และ
สามารถจดั ทาํ โครงงานทางวชิ าการ

2.2 สมรรถนะในการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาในสาขาวิชาเฉพาะ ได้แก่
สามารถจดั การเรยี นรู้ในสาขาวิชาเฉพาะ สามารถประเมิน ปรบั ปรุง และพฒั นาการจดั การ
เรยี นรูใ้ ห้เหมาะสมกบั ศกั ยภาพของผูเ้ ขยี น สามารถทําวจิ ยั ในชนั้ เรยี นเพ่อื พฒั นาผู้เรยี น และ
สามารถจดั ทาํ รายงานผลการจดั การเรยี นรแู้ ละการพฒั นาผเู้ รยี น

29

สถาบนั พฒั นาครู คณาจารยแ์ ละบุคลากรทางการศกึ ษา (2551 : 72-73) ไดก้ ําหนด
สมรรถนะครูท่ีจะใช้ในการประเมินการปฏิบัติงานของครูและบุคลากรทางการศึกษาไว้
3 ประเภทดงั น้ี

1. สมรรถนะหลัก (Core Competency) เป็นสมรรถนะร่วมท่ีครูและบุคลากรทาง
การศกึ ษาทกุ คนตอ้ งมี ประกอบดว้ ยสมรรถนะ 4 ดา้ น คอื

1.1 การมุ่งผลสมั ฤทธิ์ไดแ้ ก่ ความสามารถในการวางแผนปฏบิ ตั งิ านความสามารถ
ในการปฏบิ ตั งิ านและผลการปฏบิ ตั งิ าน

1.2 การบรกิ ารทด่ี ี ไดแ้ ก่ ความสามารถในการสรา้ งระบบบรกิ าร และความสามารถ
ในการใหบ้ รกิ าร

1.3 การพฒั นาตนเอง ไดแ้ ก่ ความสามารถในการวเิ คราะหต์ นเอง ความสามารถ
ในการใชภ้ าษาไทยเพอ่ื การสอ่ื สาร ความสามารถในการใชภ้ าษาองั กฤษเพอ่ื การแสวงหาความรู้
ความสามารถในการติดตามความเคล่ือนไหวทางวิชาการและวิชาชีพ และความสามารถ
ในการประมวลความรแู้ ละนําความรไู้ ปใช้

1.4 การทํางานเป็นทีม ได้แก่ ความสามารถในการวางแผนเพ่อื การปฏิบตั ิงาน
เป็นทมี และความสามารถในการปฏบิ ตั งิ านร่วมกนั

2. สมรรถนะประจําสายงาน (Functional Competency) เป็ นสมรรถนะเฉพาะ
ทเ่ี กย่ี วกบั การปฏบิ ตั งิ านของแต่ละตําแหน่งตามสายงานครู ประกอบดว้ ยสมรรถนะ 5 ดา้ น

2.1 การจัดการเรียนรู้ ได้แก่ ความสามารถในการสร้างและพัฒนาหลักสูตร
ความสามารถในเน้ือหาสาระท่ีสอน ความสามารถในการจัดการจัดกระบวนการเรียนรู้
ท่เี น้นผู้เรยี นเป็นสําคญั ความสามารถในการใช้และพฒั นานวตั กรรม เทคโนโลยสี ารสนเทศ
เพอ่ื การจดั การเรยี นรแู้ ละความสามารถในการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้

2.2 การพฒั นาผู้เรียน ได้แก่ ความสามารถในการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม
ความสามารถในการพฒั นาทกั ษะชีวติ สุขภาพและสุขภาพจติ ความสามารถในการปลูกฝัง
ความเป็นประชาธิปไตย ความสามารถในการปลูกฝังความเป็นไทย และความสามารถ
ในการจดั ระบบดแู ลช่วยเหลอื ผเู้ รยี น

2.3 การบริหารจัดการชัน้ เรียน ได้แก่ ความสามารถในการจัดบรรยากาศ
การเรยี นรู้ ความสามารถในการจดั ทําข้อมูลสารสนเทศและเอกสารประจําชนั้ เรยี นและวิชา
และความสามารถในการจดั ระบบดแู ลชว่ ยเหลอื ผเู้ รยี น

2.4 การวเิ คราะห์ สงั เคราะห์และการวจิ ยั ได้แก่ ความสามารถในการวเิ คราะห์
สภาพปัญหา จุดแขง็ จดุ อ่อนของสถานศกึ ษาและวเิ คราะหแ์ ผนการจดั การเรยี นรู้ ความสามารถ
ในการสงั เคราะห์ เช่น จดั ทาํ แผนงานหรอื โครงการเพ่อื การจดั การเรยี นรแู้ ละบูรณาการความรู้
ทงั้ ภายในและระหว่างกลุ่มสาระการเรยี นรู้ ความสามารถในการเขยี นเอกสารทางวชิ าการและ
ความสามารถในการวจิ ยั

30

3. วนิ ยั คุณธรรม จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณวชิ าชพี เป็นคุณลกั ษณะร่วมท่คี รูและ
บคุ ลากรทางการศกึ ษาตอ้ งยดึ ถอื หลกั ในการประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ น ดงั น้ี

3.1 การมวี นิ ัย ได้แก่ การควบคุมตนเอง การประพฤติปฏิบตั ติ นตามกติกาของ
สงั คม

3.2 การประพฤติ ปฏบิ ตั ติ นเป็นแบบอย่างทด่ี ี ไดแ้ ก่ การเป็นแบบอย่างทด่ี ที างกาย
การเป็นแบบอย่างทด่ี ที างวาจา และการเป็นแบบอย่างทด่ี ที างดา้ นจติ ใจ

3.3 การดาํ รงชวี ติ อยา่ งเหมาะสม ไดแ้ ก่ การปฏบิ ตั ติ ามปรชั ญาและแผนการดําเนิน
ชีวิตท่ีถูกต้องดีงามเหมาะสมกับฐานะ หลีกเล่ียงจากอบายมุข การรักษาสิทธิของตนเอง
ไม่ละเมดิ สทิ ธขิ องผอู้ ่นื เออ้ื เพอ่ื เผ่อื แผ่ ไมเ่ บยี ดเบยี นผอู้ ่นื ประสบความสาํ เรจ็ ปกป้องเกยี รตภิ ูมิ
เสยี สละและอทุ ศิ ตนเพอ่ื ประโยชน์ในวชิ าชพี และพฒั นาตนเอง

3.4 ความรกั และศรัทธาในวิชาชีพ ได้แก่ ยึดมัน่ ในอุดมการณ์ ยกย่องบุคคล
ทใ่ี หม้ คี วามกา้ วหน้าในวชิ าชพี

3.5 ความรบั ผดิ ชอบในวชิ าชพี ได้แก่ ปฏบิ ตั ติ นตามบทบาทหน้าท่ี ยอมรบั ผล
ในการกระทําของตนเอง ในการปฏบิ ตั ิหน้าท่แี ละหาแนวทางแก้ไขปัญหา อุปสรรคท่เี กิดข้ึน
ในวชิ าชพี

ประโยชน์ของการนําสมรรถนะไปประยกุ ต์ใช้
ณรงคว์ ทิ ย์ แสนทอง (2547 : 78) กล่าวถงึ ประโยชน์ของสมรรถนะไวด้ งั ตอ่ ไปน้ี
1. ช่วยสนับสนุนวสิ ยั ทศั น์ ภารกจิ และกลยุทธ์ขององคก์ ร สมรรถนะทเ่ี ป็นหลกั หรอื
ทเ่ี รยี กกนั ว่า สมรรถนะหลกั นัน้ จะช่วยในการสรา้ งกรอบแนวคดิ พฤตกิ รรม ความเช่อื ทศั นคติ
ของคนในองคก์ รใหเ้ ป็นไปในทศิ ทางเดยี วกนั กบั วสิ ยั ทศั น์ ภารกจิ และกลยุทธข์ ององคก์ ร และ
สมรรถนะทเ่ี ป็นหลกั เปรยี บเสมอื นตวั เร่งปฏกิ ริ ยิ าใหเ้ ป้าหมายต่างๆ บรรลุเป้าหมายไดด้ ี และ
เรว็ ยงิ่ ขน้ึ
2. การสร้างวฒั นธรรมองค์กร (Corporate Culture) ถ้าองค์กรใดไม่ได้ออกแบบ
วฒั นธรรมโดยรวมขององคก์ รไวอ้ ย่างไปนานๆ พนกั งาน หรอื บคุ ลากรจะสรา้ งวฒั นธรรมองคก์ ร
ข้นึ มาเองโดยธรรมชาติ ซ่ึงวฒั นธรรมองค์กรท่ีเกิดข้นึ เองตามธรรมชาตนิ ้ี อาจจะมบี างอย่าง
สนับสนุนเอ้อื ต่อการดําเนินธุรกจิ ขององคก์ ร แต่วฒั นธรรมบางอย่างอาจจะเป็นปัญหาอุปสรรค
ต่อการเติบโตขององค์กร ดงั นัน้ สมรรถนะจึงมีประโยชน์ต่อการกําหนดวัฒนธรรมองค์กร
กล่าวคอื ช่วยสร้างกรอบการแสดงออกทางพฤติกรรมของคนในองค์กรโดยรวมให้เป็นไป
ในทิศทางเดียวกัน ช่วยสนับสนุนการดําเนินงานขององค์กรให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างมี
ประสทิ ธภิ าพมากขน้ึ ช่วยใหเ้ หน็ แนวทางในการพฒั นาบุคลากรในภาพรวมขององคก์ รได้ และ
ยงั ช่วยป้องกนั ไมใ่ หเ้ กดิ วฒั นธรรมองคก์ รตามธรรมชาตทิ ไ่ี ม่พงึ ประสงคไ์ ด้

31

3. เคร่อื งมอื ในการบรหิ ารงานดา้ นทรพั ยากรมนุษย์
3.1 การคดั เลอื กบุคลากร (Recruitment) สมรรถนะมปี ระโยชน์ในการคดั เลือก

บุคลากร ไดแ้ ก่ ช่วยใหก้ ารคดั เลอื กคนเขา้ ทํางานถูกต้องมากขน้ึ เพราะคนบางคนเก่ง มคี วามรู้
ความสามารถสูงประสบการณ์ดี แต่อาจจะไม่เหมาะสมกบั ลกั ษณะการทํางานในตําแหน่งนัน้ ๆ
หรอื ไม่เหมาะสมกบั ลกั ษณะของวฒั นธรรมองค์กรก็ได้ นําไปใช้ในการออกแบบคําถาม หรอื
แบบทดสอบ ลดการสญู เสยี เวลา และค่าใชจ้ ่ายในการทดลองงาน ช่วยลดการสญู เสยี เวลา และ
ทรพั ยากรในการพฒั นาฝึกอบรมพนักงานใหม่ ทม่ี คี วามสามารถไม่สอดคลอ้ งกบั ความต้องการ
ของตําแหน่งงาน และช่วยป้องกนั ความผดิ พลาดในการคดั เลอื กเพราะหลายครงั้ ทผ่ี ู้ทําหน้าท่ี
คดั เลอื กมปี ระสบการณ์น้อยตามผสู้ มคั รไม่ทนั หรอื อกี นยั หน่งึ กค็ อื ถกู ผสู้ มคั รหลอกนนั้ เอง

3.2 การพฒั นาและฝึกอบรม (Training and Development) สมรรถนะมปี ระโยชน์
ในการพฒั นาและฝึกอบรม ไดแ้ ก่ นํามาใชใ้ นการจดั ทําเสน้ ทางความก้าวหน้าในการพฒั นาและ
ฝึกอบรม (Training Road Map) ช่วยให้ทราบว่าผู้ดํารงตําแหน่งนัน้ ๆ จะต้องมคี วามสามารถ
เร่ืองอะไรบ้างและช่องว่าง (Training Gap) ระหว่างความสามารถท่ีตําแหน่งต้องการกับ
ความสามารถ ท่ีเขามีจริงห่างกันมากน้อยเพียงใด เพ่ือนําไปใช้ในการจดั ทําแผนพัฒนา
ความสามารถสว่ นบคุ คล (Individual Development Plan) ต่อไป

3.3 การวางแผนการพฒั นาผูด้ ํารงตําแหน่งใหส้ อดคลอ้ งกบั เสน้ ทางความก้าวหน้า
ในอาชพี ดว้ ยการนําเอาสมรรถะของตําแหน่งงานทส่ี ูงขน้ึ ไปมาพฒั นาบุคลากรในขณะท่เี ขายงั
ดาํ รงตาํ แหน่งงานทต่ี ่ํากวา่

3.4 การเล่อื นระดบั ปรบั ตําแหน่ง (Promotion) สมรรถนะมปี ระโยชน์ในการเล่อื น
ระดบั และปรบั ตําแหน่งคอื ใชใ้ นการพจิ ารณาความเหมาะสมในการดํารงตําแหน่ง หรอื ระดบั ท่ี
สูงข้ึนไป โดยพิจารณาทัง้ เร่ืองของความสามารถในงาน (Technical Competencies) และ
ความสามารถทวั่ ไป(General Competencies) เช่น ด้านการบริหารจดั การ ด้านการทํางาน
รว่ มกบั ผอู้ ่นื ดา้ นระบบการคดิ และยงั ชว่ ยป้องกนั ความผดิ พลาดในการเลอ่ื นระดบั ปรบั ตําแหน่ง
เหมอื นอดตี ทผ่ี ่านมาดงั คาํ กล่าวท่วี ่า "ได้หวั หน้าแย่ๆ มาหน่ึงคนและสูญเสยี ผูป้ ฏบิ ตั งิ านเก่งๆ
ไปอกี หน่ึงคน" ซ่ึงหมายถงึ การท่อี งค์กรพจิ ารณาเล่ือนตําแหน่งคนจากคุณสมบตั ิท่ีว่าคนๆ
นัน้ ทํางานเก่ง ในตําแหน่งเดิมอยู่มานาน ผลงานดีตลอด ช่ือสัตย์ สุจริตแล้วตอบแทนเขา
โดยการเล่อื นตําแหน่งงานใหส้ ูงทงั้ ๆ ท่ผี ู้ท่ไี ด้รบั การเล่อื นตําแหน่งนัน้ เขาไม่มคี วามสามารถ
ในการปกครองคนเลย

3.5 การโยกย้ายตําแหน่งหน้าท่ี (Rotation) สมรรถนะมปี ระโยชน์ในการโยกย้าย
ตําแหน่งหน้าทโ่ี ดยช่วยใหท้ ราบว่าตําแหน่งทจ่ี ะยา้ ยไปนัน้ จําเป็นตอ้ งมสี มรรถนะอะไรบา้ งแลว้
ผู้ท่ีจะย้ายไปมีหรือไม่มีสมรรถนะอะไรบ้าง และยังช่วยลดความเส่ียงในการปฏิบัติงาน
เพราะถ้าย้ายคนท่ีมีสมรรถนะไม่เหมาะสมไป อาจจะทําให้เสียทัง้ งานและกําลังใจของ
ผปู้ ฏบิ ตั งิ าน

32

4. การประเมนิ ผลการปฏิบตั งิ าน (Performance Appraisal) สมรรถนะมปี ระโยชน์
ในการประเมนิ ผลการปฏบิ ตั งิ าน ดงั น้ี

4.1 ช่วยใหท้ ราบว่า สมรรถนะเร่อื งใดทจ่ี ะช่วยใหผ้ ูป้ ฏบิ ตั งิ านสามารถปฏบิ ตั งิ าน
ไดส้ งู กวา่ ผลงานมาตรฐานทวั่ ไป

4.2 ช่วยในการกาํ หนดแผนพฒั นาความสามารถสว่ นบคุ คล
5. การบรหิ ารผลตอบแทน (Compensation) สมรรถนะมีประโยชน์ในการบริหาร
ผลตอบแทน ดงั น้ี

5.1 ช่วยในการกําหนดอัตราว่าจ้างพนักงานใหม่ว่าควรจะได้รบั ผลตอบแทน
ทเ่ี หมาะสมกบั ระดบั ความสามารถ ไม่ใช่กําหนดอตั ราจา้ งเรมิ่ ตน้ ดว้ ยวุฒกิ ารศกึ ษาเหมอื นอดตี
ทผ่ี ่านมา

5.2 ช่วยในการจ่ายผลตอบแทนตามระดับความสามารถท่ีเพิ่มข้ึน ไม่ใช่จ่าย
ผลตอบแทนตามอายุงาน หรือจํานวนปีท่ีผ่านมาท่ีเพิ่มข้ึนเหมือนสมัยก่อนผู้ปฏิบัติงาน
ในการพฒั นาตนเองใหม้ คี วามรคู้ วามสามารถเหมาะสมกบั ความต้องการขององคก์ ร หน่วยงาน
ส่งผลใหบ้ ุคลากรแต่ละคนมคี วามรู้ความสามารถในแบบท่อี งคก์ รต้องการ ด้านการบรหิ ารงาน
บุคคล ช่วยใหก้ ารบรหิ ารงานบุคคลสอดคลอ้ งต่อเป้าประสงคข์ ององคก์ ร ไดแ้ ก่ การคดั เลอื กคน
ใหต้ รงกบั ภารกจิ การประเมนิ ผล ความกา้ วหน้าในอาชพี และการคดั เลอื กแนวทางการพฒั นา
บุคลากร

ธํารงศักดิ ์ คงคาสวสั ดิ ์ (2549 : 158-159) กล่าวว่า ในการนําแนวคิดสมรรถนะ
(Competency) ไปประยุกต์ใช้ในภาคปฏบิ ตั ิ กบั หน่วยงานนัน้ สามารถนําไปใช้เป็นขอ้ มูลส่วน
หน่ึงไม่ไดใ้ ชท้ งั้ หมดรอ้ ยเปอรเ์ ซน็ ตใ์ นกระบวนการบรหิ ารทรพั ยากรบคุ คลอ่นื ๆ เช่น

1. ใชเ้ ป็นขอ้ มลู ในการจดั แนวทางการสรรหาและคดั เลอื กบคุ ลากร
2. ใชเ้ ป็นขอ้ มลู ประกอบการขน้ึ เงนิ เดอื นประจาํ ปีและเล่อื นขน้ึ ตาํ แหน่ง
ปิยะชัย จันทรวงศ์ไพศาล (2549 : 75) ได้สรุปถึงประโยชน์ของการนําแนวคิด
สมรรถนะ (Competency) มาประยุกตใ์ ชก้ บั การบรหิ ารจดั การทรพั ยากรมนุษยใ์ นดา้ นต่างๆ ดงั น้ี
1. ดา้ นการสรรหาและคดั เลอื ก

1.1 ทาํ ใหม้ องเหน็ ภาพรวมของความตอ้ งการในงานและตาํ แหน่ง
1.2 คดั สรรคนทเ่ี หมาะสมกบั ตาํ แหน่ง
1.3 ลดเวลาและคา่ ใชจ้ ่ายขององคก์ ารในการหาพนกั งาน
1.4 ใชใ้ นการสมั ภาษณ์รบั พนกั งานใหม่
1.5 ช่วยในการเปรยี บเทยี บใชเ้ หน็ ถงึ ความแตกต่างระหว่างคนทจ่ี ะพฒั นาไดง้ ่าย
และคนทจ่ี ะพฒั นาไดย้ าก

33

2. การฝึกอบรมและการพฒั นา
2.1 ช่วยทําให้พนักงานต้องหันมาสนใจการพัฒนาเร่ืองทักษะ ความรู้ และ

คุณสมบตั ติ า่ งๆ ทจ่ี ะทาํ ใหเ้ กดิ ประสทิ ธภิ าพในการทาํ งาน
2.2 ช่วยในการจดั ระเบยี บพนักงานใหเ้ ป็นไปตามภารกจิ และกลยุทธข์ ององค์การ
2.3 ก่อใหเ้ กดิ ประสทิ ธภิ าพของการฝึกอบรมและพฒั นาใหค้ ุม้ คา่ ใชจ้ า่ ย และเวลา
2.4 สรา้ งกรอบการทาํ งานสาํ หรบั การสอนงานและการตติ ตามผล

3. การประเมนิ ผล
3.1 ทาํ ใหเ้ กดิ ความชดั เจนในการตดิ ตามและการวดั ผล
3.2 ช่วยสนบั สนุนในการประเมนิ ผลการทาํ งาน
3.3 ใชเ้ ป็นการสงั เกตพฤตกิ รรมของพนกั งาน

4. การจ่ายผลตอบแทน
4.1 ทาํ ใหเ้ กดิ การพฒั นาตนเองเพอ่ื ใหไ้ ดร้ บั ผลตอบแทนทส่ี งู ขน้ึ
4.2 ช่วยสนบั สนุนผลของการประเมนิ ความสามารถ
4.3 มคี วามเป็นธรรมต่อพนักงานท่ีมคี วามสามารถตามมาตรฐานขององค์การ

ทก่ี าํ หนด
5. การบรหิ ารจดั การคนเกง่
5.1 ช่วยทําให้เกิดความชัดเจนในความเข้าใจในเร่ืองของทกั ษะความรู้ และ

คุณสมบตั ขิ องแต่ละตาํ แหน่ง
5.2 ใชใ้ นการพจิ ารณาคดั สรรและประเมนิ เสน้ ทางอาชพี ของพนกั งาน
5.3 ชว่ ยในการเตมิ ความสามารถทย่ี งั ไม่มเี พยี งพอของพนกั งานดว้ ยการฝึกอบรม

และพฒั นาอยา่ งเหมาะสม
5.4 ใชเ้ ป็นดชั นตี วั หน่งึ ในการบง่ ชถ้ี งึ จาํ นวนพนกั งานทม่ี ศี กั ยภาพสงู ขององคก์ าร
5.5 ใช้ในการแบ่งประเภทของพนักงานตามศักยภาพการทํางานเพ่ือนํา

ไปสกู่ ารวางแผนฝึกอบรมและพฒั นารวมทงั้ การบรหิ ารจดั การบคุ ลากรขององคก์ าร
จากการศึกษาประโยชน์ของสมรรถนะ สรุปได้ว่า ประโยชน์ของสมรรถนะช่วย

สนบั สนุนวสิ ยั ทศั น์ ภารกจิ และกลยทุ ธข์ ององคก์ าร Competency หลกั หรอื Core Competency
นัน้ จะช่วยในการสร้างกรอบแนวคิด พฤติกรรม ความเช่ือ ทศั นคติขอคนในองค์กรเป็นไป
ในทิศทางเดียวกันกับวิสยั ทัศน์ ภารกิจและกลยุทธ์ขององค์การ ใช้เป็นกรอบในการสร้าง
วฒั นธรรมองค์การและช่วยให้เกดิ การหล่อหลอมไปสู่ Organization Competency ผูว้ จิ ยั ไดน้ ํา
องคป์ ระกอบของสมรรถนะมาสงั เคราะห์ ดงั ตารางท่ี 2

34

ตารางที่ 2 แสดงผลการวิเคราะหแ์ ละสงั เคราะห์องคป์ ระกอบของสมรรถนะ
นักวิชาการ

องคป์ ระกอบ
David c.Macdelland(1973)
Boytazis(1982)
Spencer & Spencer(1993)
Kaplan and Nothon(1993)
Manus and Mour(1997)
Goleman(1996)
Shermon(2001)
อาภร ์ณ ู่ภวิทยพันธ์ (2551)
นภาเดช ุบญเชิดชู (2552)
ดารณีย์ พยัคฆ์กุล(2561)
ความ ่ีถ

แรงจงู ใจ    7
6
อปุ นิสยั    4
8
บทบาททางสงั คม    9
3
ความรู้         2
1
ทกั ษะ   2
1
คณุ ลกั ษณะสว่ นบคุ คล  1
1
ความคดิ เกย่ี วกบั ตวั เอง   1
1
ความตระหนกั แห่งตน  1

ภาพลกั ษณ์แห่งตน  

ความมรี ะเบยี บแห่งตน 

ความเหน็ อกเหน็ ใจผอู้ ่นื 

คุณค่า 

พฤตกิ รรม 

ทศั นคติ 

ความถนดั 

จากการศกึ ษาองค์ประกอบของสมรรถนะ ผู้วจิ ยั นํามาสงั เคราะห์สรุปเพ่อื นําไปใช้
กําหนดสมรรถนะการนิเทศ ไดด้ งั น้ี

1. ความรู้ (Knowledge)
2. ทกั ษะ (Skills)
3. ทศั นคติ (Attitude)

35

หลกั การ แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกบั การนิเทศการสอน
จากการศกึ ษาศาสตรท์ างการนิเทศการศกึ ษา การให้นิยามหรอื ใหค้ วามหมายการ

นิเทศ รวมถงึ บทบาทหน้าท่ี และการปฏบิ ตั งิ านการนิเทศการศกึ ษา มกี ารเปล่ยี นแปลงมาโดย
ตลอด แตล่ ะช่วงแตล่ ะเวลา ปัจจุบนั เม่อื พดู ถงึ คาํ ว่านิเทศ (Supervision) หมายรวมถงึ การนิเทศ
การศึกษาและนิเทศการสอน ซ่ึงมีเป้าหมายหลักเดียวกันคอื คุณภาพการศึกษาและตวั บ่งช้ี
คุณภาพคุณภาพทส่ี าํ คญั คอื คุณภาพของนกั เรยี นหรอื ประสทิ ธผิ ลการเรยี นรขู้ องนกั เรยี นนัน่ เอง
ตามความหมายของคาํ ว่า การนิเทศการศกึ ษา (Educational Supervision) มคี วามหมายกว้าง
กว่าการนิเทศการสอน(Supervision of Instruction หรอื Instructional Supervision) โดยทก่ี าร
นิเทศการสอนนนั้ มคี วามหมายแคบกว่า จากคาํ ว่า "การสอน" ซง่ึ หมายถงึ การมงุ่ เน้นการพฒั นา
คุณภาพการเรยี นการสอนโดยตรง การนิเทศการสอนจงึ เป็นส่วนย่อย (Subset) ทส่ี ําคญั ส่วน
หน่ึงของการนิเทศการศกึ ษา ซ่ึงหมายความว่าการนิเทศการศกึ ษาต้องมกี ารนิเทศการสอน
รวมอยู่ดว้ ย จงึ จะทําให้เกดิ การปรบั ปรุงและพฒั นาในด้านการจดั การเรยี นการสอนโดยตรงได้
เน่ืองจากทงั้ การนิเทศการศึกษาและการนิเทศการสอนมีทฤษฎีต่างๆ เป็นพ้ืนฐานและแนว
ทางการปฏบิ ตั ิ หลกั การแนวคดิ ทฤษฎตี ่างๆ ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งในการนิเทศการศกึ ษาและการนิเทศ
การสอน จงึ ใชห้ ลกั การแนวคดิ และทฤษฎเี ดยี วกนั

รปู แบบการนิเทศ
รูปแบบการนิเทศการสอนมอี ยู่มากมายหลายรูปแบบ แต่ในทน่ี ้ีจะขอกล่าวถงึ รปู แบบ
ทส่ี าํ คญั และนยิ มใชก้ นั อย่างแพรห่ ลายในวงการศกึ ษา ดงั น้ี
กระบวนการนิเทศแบบ PIDRE ดร.สงดั อุทรานันท์ ได้พฒั นากระบวนการนิเทศ
การศกึ ษาซง่ึ สะทอ้ นแนวทางในการปฏบิ ตั ิ โดยการกระทาํ ต่อไปน้ี (อญั ชลี ธรรมะวธิ กี ุล, 2553)
1. เสนอรูปแบบของการนิทศในลักษณะของ "กระบวนการ" ซ่ึงต้องทําอย่างเป็น
ขนั้ ตอนทาํ เป็นระบบ มคี วามต่อเน่อื ง และไมม่ กี ารหยุดน่ิง หากยุตกิ ระบวนการเมอ่ื ใดกถ็ อื ว่าได้
หยดุ การนเิ ทศเม่อื นนั้
2. ใหผ้ บู้ รหิ ารการศกึ ษาตระหนกั ถงึ ความรบั ผดิ ชอบตอ่ การจดั การจดั นิเทศการศกึ ษา
วา่ เป็นงานของผบู้ รหิ ารโดยตรง ซง่ึ เรยี กชอ่ื ย่อของกระบวนการนิเทศการศกึ ษาว่า "PIDRE"
3. จากการวจิ ยั ในต่างประเทศ เช่น ฟาวเลอร-์ ฟินน์ และเฮดเลย์ ไดพ้ บว่าการใหแ้ รง
เสรมิ กําลงั ใจจะมสี ว่ นทําให้การนิเทศประสบผลสําเรจ็ สูงกว่าไม่มกี ารเสรมิ แรงหากจะพจิ ารณา
สภาพการทํางานในสงั คมไทยซ่ึงเป็นสงั คมเกษตรกรรม มคี วามผูกพนั ฉันท์มติ รสูงกว่าสงั คม
ตะวนั ตกกย็ ่อมจะมคี วามตอ้ งการแรงเสรมิ กาํ ลงั ใจในการทาํ งานเป็นอย่างยง่ิ ดงั นนั้ จงึ เหน็ วา่ การ
เสริมกําลงั ใจของผู้บรหิ าร หรอื ศึกษานิเทศก์ จะทําให้ผู้รบั การนิเทศรวมทงั้ ผู้ให้การนิทศมี
กําลงั ใจในปฏบิ ตั งิ านจงึ ไดจ้ ดั ใหม้ กี ารเสรมิ แรงหรอื การส่งเสรมิ กําลงั ใจ (Reinforcement) เป็น
ขนั้ ตอนหน่งึ ในกระบวนการนิเทศสําหรบั การศกึ ษาสงั คมไทย สาํ หรบั กระบวนการนิเทศการสอน
ดงั ทก่ี ล่าวมาแลว้ มขี นั้ ตอนดงั น้ี

36

ขนั้ ท่ี 1 วางแผนการนิเทศ (Planning-P)
ขนั้ ท่ี 2 ใหค้ วามรคู้ วามเขา้ ใจในการทาํ งาน (Informing-)
ขนั้ ท่ี 3 ลงมอื ปฏบิ ตั งิ าน (Doing-D)
ขนั้ ท่ี 4 สรา้ งเสรมิ กาํ ลงั ใจ (Reinforcing-R)
ขนั้ ท่ี 5 ประเมนิ การนิเทศ (Evaluating-E)
พทั ธนนั ท์ พนู ประสทิ ธิ์ (ม.ป.ป. : 1-2) ไดพ้ ฒั นากระบวนการนเิ ทศ เพอ่ื ยกระดบั
ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น โดยใชก้ ารนิเทศแบบ 4C โดยมขี นั้ ตอนดงั น้ี
ประสานสรา้ งมติ ร (Coordinate : C1) รว่ มคดิ รว่ มทํา (Collaborate : C2) เรยี นรไู้ ป
ดว้ ยกนั (Co-Learning : C3) สรา้ งสรรคผ์ ลงาน (Create : C4) เพอ่ื ใหผ้ รู้ บั การนเิ ทศสามารถ
ดาํ เนินการพฒั นานกั เรยี นใหม้ ผี ลสมั ฤทธทิ์ ส่ี งู ขน้ึ ดว้ ยการนําผลการทดสอบทางการศกึ ษา
ระดบั ชาตขิ นั้ พน้ื ฐาน (O-NET) ไปใช้ ดงั น้ี
1. ประสานสรา้ งมติ ร (Coordinate) โดยการเช่อื มโยงความสมั พนั ธ์ระหว่างผูน้ ิเทศ
และผูร้ บั การนิเทศในลกั ษณะของเพอ่ื นทด่ี ี สรา้ งความไวว้ างใจและยอมรบั นับถอื กนั ตระหนัก
ถึงความสําคญั ในการพฒั นาตนเองและงาน โดยทุกคนต่างมเี มตตาธรรมต่อกัน มกี ารสร้าง
เครอื ขา่ ยการปฏบิ ตั งิ านเพ่อื ช่วยเหลอื เก้อื กูลกนั และสรา้ งแรงจงู ใจใหเ้ กดิ ความอยากทจ่ี ะเรยี นรู้
และพัฒนา มีการตรวจสอบทบทวนเชิงบวก ส่งเสริมการแลกเปล่ียนเรียนรู้ มีการช้ีแจง
วตั ถปุ ระสงค์ เพอ่ื ใหม้ คี วามรู้ ความเขา้ ใจและแนวปฏบิ ตั ทิ ต่ี รงกนั
2. ร่วมคิดร่วมทํา (Collaborate) โดยร่วมกนั ศึกษา ค้นคว้า เพ่อื วเิ คราะห์หาแนว
ทางการจดั กจิ กรรมการยกระดบั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นท่ีมคี ุณภาพ โดยให้ความสําคญั กบั
ความรูแ้ ละประสบการณ์เดมิ ของผูร้ บั การนิเทศ ยดึ หลกั ว่าไม่มใี ครรูม้ ากกวา่ ใคร ตอ้ งร่วมมอื กนั
ศึกษาข้อมูล ความรู้เพ่ือวางแผนและลงมือปฏิบัติงานร่วมกัน ทําให้พัฒนาคุณภาพการ
ปฏบิ ตั งิ านไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ
3. เรยี นรูไ้ ปดว้ ยกนั (Co-Learning) โดยผูน้ ิเทศเป็นผู้ใหค้ ําปรกึ ษาดูแลและอํานวย
ความสะดวกใหผ้ รู้ บั การนเิ ทศมกี ารเปลย่ี นแปลงความรทู้ เ่ี หมาะสมและเกดิ การเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง
มกี ารพฒั นาและปรบั ปรุงการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามแผนงานท่ีกําหนดเพ่ือให้บรรลุตาม
เป้าหมาย
4. สรา้ งสรรคผ์ ลงาน (Create) โดยสง่ เสรมิ สนับสนุนใหผ้ ูร้ บั การนเิ ทศตอ่ ยอดผลการ
ปฏิบัติงานใช้วิธีการพัฒนานักเรียนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสําคญั พัฒนานักเรียนรายบุคคลให้
สอดคลอ้ งกบั ความแตกตา่ งรายบุคคล พฒั นากระบวนการจดั การเรยี นรู้ การนําความรมู้ าพฒั นา
ให้เกิดผลงาน แนวทาง หรือนวตั กรรมท่ีเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพและบริบทของ
สถานศกึ ษา

37

รุ่งชชั ดาพร เวหะชาติ (2554 :111) ไดก้ ลา่ วถงึ การนเิ ทศแบบรว่ มพฒั นาไวด้ งั น้ี
ขนั้ ท่ี 1 การวางแผนการดําเนินงาน (Planning-P) เป็นขนั้ ตอนทผ่ี ู้มสี ว่ นร่วมในการ
ดําเนินงานทุกฝ่ายจะประชุมหารอื กนั ถงึ ปัญหาในการจดั การเรยี นการสอนทเ่ี ป็นปัญหาสําคญั
เร่งด่วนควรแก้ไขก่อน และหรอื นโยบายในการปรบั ปรุงและพฒั นาคุณภาพการเรยี นการสอน
โดยจะระดมสมองหาความต้องการจําเป็น (Need Assessment) ในเร่อื งท่จี ะต้องมกี ารนิเทศ
รวมทงั้ ร่วมกนั วางแผนและกําหนดขนั้ ตอนการปฏบิ ตั งิ านนิเทศ ซ่งึ อาจจะดําเนินการในลกั ษณะ
ของงานหรอื โครงการนเิ ทศเพอ่ื แกป้ ัญหา หรอื พฒั นาการเรยี นการสอน
ขนั้ ท่ี 2 การเสรมิ สรา้ งความรใู้ นการปฏบิ ตั งิ าน (Informing-I) เป็นขนั้ ตอนของการทํา
ความเขา้ ใจกระบวนการนเิ ทศทงั้ ระบบ และวธิ กี ารดาํ เนนิ งานในแต่ละขนั้ ของการนเิ ทศ เพอ่ื ใหผ้ ู้
ดําเนินงานมคี วามรู้ ความเขา้ ใจ มที กั ษะ และมเี ทคนิคในการดําเนินงานอย่างมปี ระสทิ ธิภาพ
ขนั้ ตอนน้ีนอกจากจะเป็นการช่วยใหผ้ ูด้ ําเนินงานสามารถทํางานไดอ้ ย่างมคี ุณภาพแลว้ ยงั เป็น
การเสรมิ สรา้ งความมนั่ ใจในการทาํ งานใหแ้ กผ่ ดู้ าํ เนินงานอกี ดว้ ย
ขนั้ ท่ี 3 การปฏิบัติงานตามแผน (Doing-D) เม่ือผู้ดําเนินงานได้ผ่านขนั้ ตอนการ
วางแผนและขนั้ ตอนการเสรมิ สรา้ งความรใู้ นการปฏบิ ตั งิ านไปแลว้ การปฏบิ ตั งิ านตามแผนทว่ี าง
ไวใ้ นแต่ละขนั้ ตอนอย่างเป็นระบบทงั้ ในส่วนของผใู้ ห้การนิเทศ ผูร้ บั การนิเทศ และผูส้ นับสนุน
การนิเทศกจ็ ะดําเนินไปตามปฏทิ นิ ปฏบิ ตั งิ านทไ่ี ด้ตกลงร่วมกนั และกําหนเดไวใ้ นแผน โดยจะ
ได้รบั ความช่วยเหลอื และร่วมมอื จากผู้นิเทศภายนอก เช่น ศกึ ษานิเทศก์ ครูผู้ร่วมนิเทศ ศูนย์
พฒั นาการเรยี นการสอน และเครอื ขา่ ยจากหน่วยงานตา่ งๆ ทงั้ ภาครฐั และเอกชน รวมทงั้ ผนู้ ิเทศ
ภายในโรงเรยี นเช่น หวั หน้ากลุ่มสาระ คู่สญั ญา รองผู้อํานวยการสถานศกึ ษาฝ่ายวชิ าการและ
ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา
ขนั้ ท่ี 4 การประเมนิ ผลการปฏบิ ตั งิ าน (Evaluation-E) การประเมนิ ผลการปฏบิ ตั งิ าน
หรอื โครงการนิเทศ ควรดําเนินการประเมนิ ทงั้ ระบบ เพ่อื ใหท้ ราบประสทิ ธภิ าพของโครงการจงึ
ควรจะประเมนิ สง่ิ ต่างๆ ตามลําดบั ของความสาํ คญั
ขนั้ ท่ี 5 การเผยแพร่ขยายผล (Diffusing-D) ในรปู แบบทห่ี ลากหลาย เพอ่ื เป็นการ
เสรมิ สร้างขวญั และกําลงั ใจแก่ผูป้ ฏบิ ตั ิงาน จงึ ใช้เทคนิคการเชิญชวนให้เขา้ มามสี ่วนร่วมทลี ะ
น้อย ในฐานะเพอ่ื รว่ มอาชพี หรอื อุดมการณ์ จนเกดิ ความพรอ้ มทจ่ี ะเขา้ ร่วมดาํ เนินการดว้ ยอย่าง
เต็มตัว ในฐานะ "ครูปฏิบัติการ" หรือ ฐานะ "คู่สัญญา" และเม่ือดําเนินการงานได้ผลดี
มเี ครอื ขา่ ยแนวร่วมเพมิ่ มากขน้ึ ครปู ฏบิ ตั กิ ารกจ็ ะไดป้ รบั เปลย่ี นบทบาทขน้ึ เป็นผนู้ เิ ทศเครอื ข่าย
ผปู้ ฏบิ ตั กิ ารรุ่นต่อไป ซง่ึ นับว่าเป็นการใหแ้ รงเสรมิ แก่ผูป้ ฏบิ ตั งิ าน หรอื เรยี กว่าใชเ้ ทคนิค "การ
สรา้ งแรงจงู ใจใฝ่สมั ฤทธ"ิ์ นบั ว่า เป็นกลวธิ กี ารเผยแพร่และขยายผลท่มี ปี ระสทิ ธภิ าพ โดยเน้น
ความพรอ้ มหรอื ความสมคั รใจของครเู ป็นหลกั ขนั้ เสรมิ การร่วมใจและการเสรมิ สร้างขวญั และ
กาํ ลงั ใจ (Cooperating – C Reinforcing - R ) นบั วา่ เป็นกลไกสาํ คญั ทจ่ี ะทาํ ใหผ้ ลการดาํ เนินงาน
ไดท้ งั้ คน งานและจติ ใจทผ่ี กู พนั อยกู่ บั งาน

38

มาลนิ ี บุณยรตั พนั ธุ์ (ม.ป.ป. : 281-282) กล่าวว่า ไดศ้ กึ ษารูปแบบการนิเทศของนัก
การศกึ ษาหลายๆ ทา่ น และนําเสนอการนิเทศแบบเชญิ ชวน 6 ขนั้ ตอนดงั น้ี

1. ขัน้ สร้างความสัมพันธ์แบบเชิญชวน (Creating Relationship) เป็ นขัน้ สร้าง
ความคุ้นเคยระหว่างผู้นิเทศกบั ผู้รบั การนิเทศ โดยอาจให้คําปรกึ ษาแนะนํา ช่วยเหลอื เพ่อื ให้
ผู้รบั การนิเทศประทบั ใจ ก่อให้เกิดความศรทั ธาซ่ึงกนั และกนั ร่วมคดิ ร่วมทํา (collaborative)
และร่วมกนั ทาํ งานกบั ผรู้ บั การนิเทศ (cooperative)

2. ขนั้ วางแผนร่วมกนั (Cooperative Planning) เป็นขนั้ ตอนทผ่ี ู้นิเทศ และผูร้ บั การ
นิเทศจะร่วมกนั วเิ คราะหร์ วบรวมปัญหา และวางแผนการสอนร่วมกนั ว่าจะทําอะไรบา้ ง กําหนด
แผนงาน กําหนดจุดประสงค์ในการทํางาน สํารวจหาวธิ ปี ้องกนั ปัญหา และแก้ปัญหาการสอน
ร่วมกนั ในขนั้ ตอนน้ีผู้นิเทศต้องเชญิ ชวนผู้รบั การนิเทศอย่างมอื อาชีพ กล่าวคอื ใช้ทกั ษะการ
สอ่ื สารในทางบวก เชญิ ชวนโดยเจตนา (Intentionality) ใหค้ รผู รู้ บั การนิเทศเขา้ ใจวา่ การนิเทศจะ
เป็นการชว่ ยพฒั นาวชิ าชพี ใหด้ ขี น้ึ มปี ระสทิ ธภิ าพสง่ ผลตอ่ ผเู้ รยี น

3. ขนั้ ให้ข้อมูลก่อนดําเนินการนิเทศ (In forming) เป็นขนั้ ตอนของการให้ความรู้
ขอ้ มูลต่างๆ เพ่อื ให้ผูเ้ ขา้ รบั การนิเทศเขา้ ใจถงึ วธิ กี ารท่ีจะใช้ในการแก้ปัญหาการจดั การเรยี น
สอนขนั้ ตอนในการดําเนินการ จะทําอย่างไรเพ่อื ให้ผู้เรยี นเกิดผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นรู้ ใน
ขนั้ ตอนน้ีผนู้ ิเทศจะตอ้ งทําความเขา้ ใจกบั ผรู้ บั การนิเทศ ประชุมช้แี จงทาํ ความเขา้ ใจในสงิ่ ทต่ี อ้ ง
ดาํ เนินการผนู้ ิเทศจะตอ้ งมจี ุดยนื ดา้ นความไวใ้ จ (trust) ดา้ นการยอมรบั (respect) ดา้ นการมอง
โลกในแง่บวก(optimism) และด้านความวางใจ และเจตนา (Intentionality) โดยเช่อื ว่าผูร้ บั การ
นิเทศจะนําขอ้ มลู ทไ่ี ดร้ บั ไปใชใ้ หเ้ กดิ ผลในดา้ นการจดั การเรยี นการสอน

4. ขนั้ ลงมอื ปฏบิ ตั ิ (Doing) เป็นขนั้ ตอนการปฏบิ ตั งิ านของผรู้ บั การนเิ ทศในขนั้ ตอนน้ี
ผนู้ ิเทศตอ้ งเปิดโอกาสใหผ้ รู้ บั การนเิ ทศลงมอื ปฏบิ ตั งิ านตามทไ่ี ดร้ บั ความรโู้ ดยผูน้ เิ ทศตอ้ งเช่อื ใจ
ว่าผู้รบั การนิเทศมคี วามสามารถ (able) มคี วามรบั ผดิ ชอบ (responsible) ในการปฏิบัติงาน
ผูน้ ิเทศจะต้องคอยตดิ ตามใหค้ วามช่วยเหลอื แนะนําผรู้ บั การนิเทศ อาทรและเอาใจใสผ่ ูร้ บั การ
นเิ ทศ (caring)

5. ขนั้ ประเมนิ ผล (Evaluating) เป็นขนั้ ตอนท่ผี ู้นิเทศประเมนิ ผลการทํางาน ผลการ
ปฏบิ ตั งิ านอย่างมแี บบแผน ปรบั ปรุง และพฒั นาการนิเทศให้ดยี งิ่ ๆ ขน้ึ ต่อไป โดยขนั้ ตอนการ
ประเมนิ จะต้องประเมนิ ตงั้ แต่โครงการการนิเทศ วธิ กี ารนิเทศ ผลผลติ ของการนิเทศและสรุป
ประเดน็ ทค่ี วรปรบั ปรุง เสนอวธิ กี ารแกไ้ ข

6. ขนั้ การสรา้ งขวญั และกําลงั ใจอย่างเชญิ ชวน (Invitational Reinforcing) โดยทําให้
ผูร้ บั การนิเทศรูส้ กึ ว่าตนมคี ุณค่า (valuable) มคี วามภูมใิ จทส่ี ามารถแกป้ ัญหา หรอื จดั การเรยี น
การสอนไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพหลงั จากไดร้ บั การนิเทศ

39

จากรูปแบบการนิเทศท่ีได้ศึกษาจากนักวิชาการหลายๆ ท่าน ผู้วิจัยได้นํามา
สงั เคราะหแ์ ละพฒั นารูปแบบการนิเทศ เพ่อื ใหเ้ หมาะสมและสอดคลอ้ งกบั สภาพปัญหา ซ่ึงได้
รปู แบบการนเิ ทศแบบ 3CED โดยมกี ระบวนการดงั น้ี

1. สร้างความสมั พนั ธ์แบบเชิญชวน (C - Creating Relationship) เป็นขนั้ ตอนการ
สร้างความคุ้นเคยระหว่างผู้นิเทศกบั ผู้รบั การนิเทศ โดยอาจให้คําปรกึ ษาแนะนํา ช่วยเหลอื
เพอ่ื ใหผ้ ูร้ บั การนิเทศประทบั ใจ ก่อใหเ้ กดิ ความศรทั ธาซ่งึ กนั และผูร้ บั การนิเทศยอมเปิดใจ และ
ใหค้ วามรว่ มมอื ในการนเิ ทศ

2. วางแผนร่วมกนั (C - Cooperative Planning) เป็นขนั้ ตอนทผ่ี นู้ ิเทศ และผูร้ บั การ
นิเทศจะร่วมกนั วเิ คราะหร์ วบรวมปัญหา และวางแผนการสอนร่วมกนั กําหนดแผนงาน กําหนด
จดุ ประสงคใ์ นการทาํ งาน สาํ รวจหาวธิ ปี ้องกนั ปัญหา และแกป้ ัญหาการสอนร่วมกนั

3. สรา้ งสรรคผ์ ลงาน (C - Create) โดยสง่ เสรมิ สนบั สนุนใหผ้ รู้ บั การนิเทศต่อยอดผล
การปฏบิ ตั งิ านใช้วธิ ีการพฒั นานักเรยี นท่ีเน้นผู้เรยี นเป็นสําคญั พฒั นานักเรยี นรายบุคคลให้
สอดคลอ้ งกบั ความแตกตา่ งรายบคุ คล พฒั นากระบวนการจดั การเรยี นรู้ การนําความรมู้ าพฒั นา
ให้เกิดผลงาน แนวทาง หรือนวัตกรรมท่ีเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพและบริบทของ
สถานศกึ ษา

4. การประเมนิ ผล (E - Evaluation) การประเมนิ ผลการปฏบิ ตั งิ านหรอื โครงการนิเทศ
ควรดําเนินการประเมนิ ทงั้ ระบบ เพ่อื ให้ทราบประสทิ ธภิ าพของโครงการจึงควรจะประเมนิ สงิ่
ตา่ งๆ ตามลาํ ดบั ของความสาํ คญั

ขนั้ ท่ี 5 การเผยแพรข่ ยายผล (D - Diffusing) ในรปู แบบทห่ี ลากหลาย เพอ่ื เป็นการ
เสรมิ สร้างขวญั และกําลงั ใจแก่ผูป้ ฏบิ ตั งิ าน จงึ ใชเ้ ทคนิคการเชญิ ชวนให้เขา้ มามสี ่วนร่วมทีละ
น้อย ในฐานะเพอ่ื ร่วมอาชพี หรอื อดุ มการณ์ จนเกดิ ความพรอ้ มทจ่ี ะเขา้ ร่วมดาํ เนินการดว้ ยอย่าง
เต็มตวั และเม่อื ดําเนินการงานได้ผลดี มเี ครอื ข่ายแนวร่วมเพม่ิ มากขน้ึ ครูก็จะได้ปรบั เปล่ียน
บทบาทขน้ึ เป็นผนู้ เิ ทศเครอื ขา่ ยต่อไป

40

หลกั การ แนวคิด ทฤษฎีการพฒั นารปู แบบ
ความหมายของรปู แบบ
นักวิชาการของประเทศไทยและต่างประเทศได้ให้ความหมายเก่ียวกับรูปแบบไว้

หลากหลาย ดงั น้ี
บุญส่ง หาญพานิช (2546 : 84) ไดใ้ ห้ความหมายของคําว่า รูปแบบ คอื โครงสร้าง

โปรแกรม แบบจําลองหรอื ตวั แบบทจ่ี ําลองสภาพความเป็นจรงิ ทส่ี รา้ งขน้ึ จากการลดทอนเวลา
พจิ ารณาวา่ มสี ง่ิ ใดบา้ งทจ่ี ะตอ้ งนํามาศกึ ษาเพอ่ื ใชแ้ ทนแนวคดิ หรอื ปรากฏการณ์ใดปรากฏการณ์
หน่งึ โยอธบิ ายความสมั พนั ธข์ ององคป์ ระกอบต่างๆ ของรปู แบบนนั้

Keeves (1988) ระบุว่ารูปแบบ หมายถึง การแสดงโครงสร้างเพ่ือใช้ศึกษา
ความสมั พนั ธ์ของตวั แปรสรุปความหมายของรูปแบบ ได้ดงั น้ี เป็นแบบ (Patten) ของบางสงิ่
บางอย่างทจ่ี ะถูกทาํ หรอื สรา้ งขน้ึ มาเป็นตวั อย่างเพ่อื การเลยี นแบบรูปภาพหรอื รูปสามมติ ทิ ่เี ป็น
ตวั แทนของวตั ถุ กฎ หรอื แนวความคดิ เป็นเซตขององค์ประกอบหรอื ตวั แปรทม่ี คี วามสมั พนั ธ์
กนั และประกอบดว้ ยสมาชกิ ซง่ึ เป็นสญั ลกั ษณ์ของระบบสงั คม สญั ลกั ษณ์น้อี าจแสดงแทนคําพดู
หรอื คณติ ศาสตร์

Raj (1996) ไดใ้ หค้ าํ นยิ ามว่า รปู แบบ วา่ มี 2 ความหมาย คอื
1. รปู แบบคอื รปู ย่อของปรากฏการณ์ทเ่ี กดิ ขน้ึ จรงิ ซง่ึ แสดงดว้ ย ขอ้ ความ จาํ นวน หรอื
ภาพ เพ่อื ใหเ้ กดิ ความประหยดั ดา้ นเวลา และทําใหเ้ ขา้ ใจความจรงิ ของปรากฏการณ์ไดด้ ียง่ิ ข้นึ
2. รปู แบบ คอื ตวั แทนของการใชแ้ นวคดิ ของโปรแกรมทถ่ี ูกกําหนดเฉพาะ
จากความหมายขา้ งตน้ สรปุ ไดว้ ่า รปู แบบ หมายถงึ แบบจาํ ลอง โครงสรา้ งหรอื ตวั แบบ
ทจ่ี ําลองปรากฏการณ์จรงิ โดยทําใหเ้ ขา้ ใจถงึ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งองคป์ ระกอบตา่ งๆ ทป่ี รากฏ
ในรูปแบบนนั้ ดงั นัน้ ในการวจิ ยั ครงั้ น้ีผวู้ จิ ยั จงึ กําหนดความหมายของคาํ ว่า รูปแบบหรอื โมเดล
ว่าหมายถงึ แบบแผนการนิเทศทส่ี รา้ งขน้ึ ตามหลกั การนเิ ทศ ไดแ้ ก่ สรา้ งความสมั พนั ธแ์ บบเชญิ
ชวน วางแผนร่วมกนั สรา้ งสรรคผ์ ลงาน การประเมนิ ผล และการเผยแพรข่ ยายผล

การพฒั นารปู แบบ
รูปแบบหรอื โมเดลท่ีมีการนําเสนอในหลายลกั ษณะตามความหมายท่ีได้นําเสนอ
ดงั กลา่ วมาแลว้ นนั้ ในการสรา้ งหรอื พฒั นารปู แบบกต็ อ้ งขน้ึ อยกู่ บั การตดั สนิ ความเหมาะสมของ
รูปแบบหรอื โมเดลท่ีเลอื กใช้ โดยอาจพจิ ารณาได้จากการวเิ คราะห์ความสอดคล้องระหว่าง
ปรชั ญาหรอื แนวคดิ ของรูปแบบกบั ประเดน็ ปัญหาของสงิ่ ทต่ี ้องการประเมนิ ปัจจุบนั การพฒั นา
รปู แบบประเภทต่างๆ ตามทไ่ี ดด้ าํ เนินไปอย่างไม่หยุดยงั้ เม่อื รปู แบบทใ่ี ชอ้ ย่นู นั้ คอ่ นขา้ งลา้ สมยั
หรอื ไม่ตอบสนองต่อวตั ถุประสงคท์ ว่ี างไว้ จงึ จําเป็นอย่างยงิ่ ทต่ี อ้ งการพฒั นาขน้ึ เพ่อื ใหร้ ูปแบบ

41

นนั้ มคี วามสมบูรณ์และมปี ระสทิ ธภิ าพมากยงิ่ ขน้ึ โดยมกี ารพฒั นารปู แบบอย่างเป็นระบบ Stone
and Kendall (1964 : 124) ไดเ้ สนอขนั้ ตอนการพฒั นารปู แบบไวส้ อดคลอ้ งกนั ดงั น้ี

1. การวเิ คราะห์ระบบ (System analysis) หมายถงึ การวเิ คราะห์องคป์ ระกอบของ
ปัจจยั นําเขา้ กระบวนการ รวมทงั้ ผลผลติ ของระบบนนั้ ใหช้ ดั เจน

2. การออกแบบระบบ (System design) หมายถึง การออกแบบองค์ประกอบของ
ระบบในปัจจยั นําเข้า กระบวนการผลติ ใหม้ คี ุณภาพมากท่ีสุด เพ่อื ให้เหมาะสมกบั สภาพของ
องคก์ รและสภาพแวดลอ้ มทใ่ี ชร้ ะบบนนั้

3. การทดสอบระบบ (System testing) หมายถงึ การนําระบบทอ่ี อกแบบไปทดสอบ
โดยการทดลองใชร้ ะบบในสถานการณ์จําลองหรอื ในสถานการณ์จรงิ เพอ่ื ทดลองดวู า่ ระบบนัน้ มี
คณุ ภาพหรอื ไม่ มขี อ้ บกพร่องในองคป์ ระกอบใด จะไดป้ รบั ปรุงแกไ้ ขใหด้ ขี น้ึ

บญุ ชม ศรสี ะอาด (2535 : 104 - 106) กล่าววา่ การวจิ ยั เกย่ี วกบั การพฒั นารปู แบบ
นนั้ อาจจะกระทาํ ได้ 2 ขนั้ ตอน คอื

1. การสร้างหรอื การพฒั นารูปแบบ ผูว้ จิ ยั จะสรา้ งหรอื พฒั นารูปแบบข้นึ มาก่อนเป็น
รปู แบบตามสมมตฐิ าน โดยการศกึ ษาคน้ ควา้ ทฤษฎี แนวความคดิ รปู แบบทม่ี ผี ูพ้ ฒั นาไวแ้ ลว้ ใน
เร่ืองเดียวกันหรือเร่ืองอ่ืนๆ และผลการศึกษาหรือผลการวิจัยท่ีเก่ียวข้อง วิเคราะห์สภาพ
สถานการณ์ต่างๆ ซ่งึ จะช่วยให้สามารถกําหนดองคป์ ระกอบหรอื ตวั แปรต่างๆ ภายในรูปแบบ
รวมทงั้ ลกั ษณะความสมั พนั ธต์ ่างๆ ระหว่างองคป์ ระกอบหรอื ตวั แปรนนั้ หรอื ลาํ ดบั กอ่ นหลงั ของ
แต่ละองคป์ ระกอบในรูปแบบ ในการพฒั นารูปแบบนัน้ จะตอ้ งคํานึงถงึ หลกั เหตุผลเป็นรากฐาน
สาํ คญั และการศกึ ษาคน้ ควา้ จะเป็นประโยชน์ต่อการพฒั นารปู แบบเป็นอย่างยงิ่ ผวู้ จิ ยั อาจจะคดิ
โครงสร้างของรูปแบบข้นึ ก่อนแล้วปรบั ปรุงโดยอาศยั ขอ้ สนเทศจากการศกึ ษาค้นคว้าทฤษฎี
แนวความคดิ รปู แบบหรอื ผลการวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง หรอื ทาํ การศกึ ษาองคป์ ระกอบยอ่ ยหรอื ตวั แปร
แต่ละตวั แล้วคดั เลือกองค์ประกอบย่อยหรือตัวแปรท่ีสําคญั ประกอบข้ึนเป็นโครงสร้างของ
รูปแบบก็ได้ หัวใจสําคัญของขนั้ น้ีอยู่ท่ีการคัดเฟ้นองค์ประกอบในรูปแบบ (ตัวแปร หรือ
กจิ กรรม)เพ่อื ให้ได้รูปแบบท่เี หมาะสม ผู้วจิ ยั ควรกําหนดหลกั การในการพฒั นารูปแบบอย่าง
ชดั เจน เช่นเป็นรปู แบบทไ่ี ม่ซบั ซอ้ นสามารถนําไปปฏบิ ตั ไิ ดง้ า่ ย

2. การทดสอบความเท่ียงตรงของรูปแบบ หลงั จากได้พฒั นารูปแบบในขนั้ ต้นแล้ว
จาํ เป็นต้องทดสอบความเทย่ี งตรงของรูปแบบดงั กล่าว เพราะว่ารูปแบบทพ่ี ฒั นาขน้ึ นนั้ ถงึ แมว้ ่า
จะพฒั นาโดยมีรากฐานจากทฤษฎี แนวความคิด รูปแบบของคนอ่ืน และผลการวจิ ยั ท่ีผ่าน
มาแลว้ หรอื แมก้ ระทงั่ ได้รบั การกลนั่ กรองจากผเู้ ช่ยี วชาญแลว้ กต็ าม แต่กเ็ ป็นเพยี งรปู แบบตาม
สมมติฐานซ่ึงจําเป็นต้องเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลในสถานการณ์จรงิ หรอื ทําการทดลองนําไปใชใ้ น
สถานการณ์จรงิ เพอ่ื ทดสอบดวู ่ามคี วามเหมาะสมหรอื ไม่

42

จากแนวความคิดของนักวิชาการดังกล่าวข้างต้น พบว่า มีการนําเสนอขนั้ ตอน
การพฒั นารปู แบบหรอื ระบบหลายแนวคดิ แต่เมอ่ื พจิ ารณาแลว้ พบว่า มขี นั้ ตอนทส่ี อดคลอ้ งกนั
ตามกระบวนการวจิ ยั และพฒั นาดงั น้ี คือ ขนั้ ตอนการศึกษา สํารวจสภาพปัญหาและความ
ต้องการ ขนั้ ตอนการวเิ คราะห์และออกแบบรูปแบบท่ีสอดคล้องกบั สภาพปัญหาและความ
ต้องการ ขนั้ ตอนการตรวจสอบและทดลองใช้รูปแบบ และขนั้ ตอนการประเมนิ ปรบั ปรุง และ
เผยแพร่รูปแบบเพ่อื การนําไปใชใ้ นวงกว้าง สําหรบั การวจิ ยั ในครงั้ น้ี ผู้วจิ ยั ดําเนินการพฒั นา
รปู แบบเป็น 3 ขนั้ ตอน ไดแ้ ก่

ขนั้ ตอนท่ี 1 ศกึ ษาความต้องการในการเสรมิ สร้างศกั ยภาพครูคณิตศาสตร์ ระดบั
การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐานโดยการสํารวจเชงิ ปรมิ าณ

ขนั้ ตอนท่ี 2 สรา้ งรูปแบบโดยสงั เคราะหร์ ูปแบบจากความต้องการในการเสรมิ สรา้ ง
ศกั ยภาพครูคณิตศาสตร์ ระดบั การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน ยกร่างรูปแบบ แลว้ ตรวจสอบรปู แบบโดย
การสมั มนาองิ ผเู้ ชย่ี วชาญ

ขนั้ ตอนท่ี 3 ศกึ ษาผลการใช้รูปแบบโดยการนําไปทดลองใชก้ บั สถานศกึ ษา อําเภอ
ดงเจรญิ จงั หวดั พจิ ติ ร แล้วประเมนิ ผลการทดลอง โดยการวดั ความรู้และทกั ษะ ก่อนและหลงั
การใชร้ ปู แบบ และความพงึ พอใจทม่ี ตี ่อรปู แบบ

องคป์ ระกอบรปู แบบ
สภุ าภรณ์ กติ ตริ ชั ดานนท์ (2551 : 87) ไดก้ ําหนดองคป์ ระกอบของการพฒั นารูปแบบ
การนิเทศการจดั การเรยี นการสอนในสถานศึกษาระดบั การศึกษาขนั้ พ้ืนฐานว่ามจี ํานวน 7
องคป์ ระกอบ คอื
1. วตั ถปุ ระสงค์
2. เน้ือหาของการนเิ ทศ
3. กระบวนการนิเทศ
4. วธิ กี ารนิเทศ
5. ผนู้ ิเทศ
6. ระยะเวลาการนเิ ทศ
7. ปัจจยั เออ้ื และขอ้ จาํ กดั
วไลพร เมฆไตรรตั น์ (2555 : 79) ได้กําหนดองค์ประกอบของการพฒั นารูปแบบ
การนิเทศการจัดการเรียนการสอนในสถานศึกษาระดับการศึกษาขนั้ พ้ืนฐานว่ามีจํานวน
6 องคป์ ระกอบ คอื
1. แนวคดิ หลกั การ
2. วตั ถปุ ระสงค์
3. กระบวนการ
4. วธิ กี ารสง่ เสรมิ สมรรถนะ

43

5. การประเมนิ ผล
6. การใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั
จากการศึกษาองค์ประกอบของรูปแบบท่ีใช้ในการสอนและการพัฒนานั้นไม่มี
องคป์ ระกอบทแ่ี น่นอน ทงั้ น้ีขน้ึ อยู่กบั ลกั ษณะและกรอบแนวคดิ ทเ่ี ป็นพน้ื ฐานแต่องคป์ ระกอบท่ี
สําคญั โดยทวั่ ไปของรูปแบบ คือ แนวคดิ พ้นื ฐานของรูปแบบ หลกั การพ้นื ฐานของรูปแบบ
วตั ถปุ ระสงคข์ องรปู แบบ กระบวนการหรอื วธิ กี ารพฒั นาและการนํารปู แบบไปใช้

การตรวจสอบคณุ ภาพของรปู แบบ
จากการศกึ ษาแนวคดิ เก่ยี วกบั การพฒั นารูปแบบประเภทต่างๆ พบว่า มผี ูน้ ําเสนอ
การตรวจสอบคณุ ภาพของรปู แบบไวด้ งั น้ี
อุทุมพร จามรมาน (2541 : 22) กล่าวว่า จุดมุ่งหมายทส่ี ําคญั ของการสรา้ งรปู แบบก็
คอื การทดสอบหรอื การตรวจสอบรูปแบบนัน้ ด้วยข้อมูลเชิงประจกั ษ์ การตรวจสอบรูปแบบมี
หลายวธิ ี ซ่ึงอาจใช้การวิเคราะห์จากหลกั ฐานเชิงคุณลกั ษณะ (Qualitative) และเชิงปรมิ าณ
(Quantitative) โดยการตรวจสอบรปู แบบจากหลกั ฐานเชงิ คณุ ลกั ษณะซง่ึ อาจใชผ้ เู้ ชย่ี วชาญเป็น
ผู้ตรวจสอบ ส่วนการตรวจสอบโมเดลจากหลักฐานเชิงปริมาณใช้เทคนิคเชิงสถิติซ่ึงการ
ตรวจสอบรปู แบบควรตรวจสอบคุณลกั ษณะ 2 อย่าง คอื
1. การตรวจสอบความมากน้อยของความสมั พนั ธ์ ความเกย่ี วขอ้ ง และเหตุผลระหว่าง
ตวั แปร
2. การประมาณค่าพารามิเตอร์ของความสมั พนั ธ์ดงั กล่าว ซ่ึงการประมาณค่าน้ี
สามารถประมาณขา้ มกาลเวลา กลมุ่ ตวั อย่าง หรอื สถานทไ่ี ด้ หรอื อา้ งองิ จากกลมุ่ ตวั อย่างไปหา
ประชากร ไดโ้ ดยผลการตรวจสอบสามารถนําไปสู่คําตอบ 2 ขอ้ การสรา้ งรปู แบบใหม่ และการ
ปรบั ปรงุ หรอื พฒั นารปู แบบเดมิ
ศริ ชิ ยั กาญจนวาสี (2548 : 112- 114)ได้กล่าวถงึ การสมั มนาองิ ผูเ้ ช่ยี วชาญว่าเป็น
การประเมนิ โดยคณะบคุ คลทป่ี ระเมนิ งานทางดา้ นศลิ ปะโดยเน้นพน้ื ฐานจากการสรปุ ร่วมกนั ของ
คณะบุคคลทเ่ี ป็นผู้ประเมนิ เก่ยี วกบั ความรู้สกึ ต่อความงามของผลงานศลิ ปะการตกลงร่วมกัน
เพ่อื ตดั สนิ คุณค่าทเ่ี น้นความสําคญั ดว้ ยความรูส้ กึ หยงั่ รูท้ เ่ี กดิ ข้นึ ภายในจติ ใจ เป็นการรบั รู้โดย
สญั ชาตญาณท่ไี ม่ได้คํานึงถงึ ความมรี ูปแบบท่ีเฉพาะเจาะจง ผู้ประเมนิ จะต้องเขา้ ใจในงานท่ี
ตนเองจะต้องประเมนิ อย่างถ่ถี ว้ น บนพน้ื ฐานของหลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ การเหน็ คุณค่าในความ
ประณีตทงั้ ในเทคนิคและรูปแบบการวิเคราะห์ วิธีการและแนวทางปฏิบัติ การสัมมนาอิง
ผู้เช่ียวชาญเน้นภารกิจจากแหล่งท่ีมาของผลงานอย่างสมเหตุสมผล เป็นการประเมินซ่ึง
หลกั ฐานประกอบชดั เจนตามสภาพจรงิ และประเมนิ เชงิ เน้นคุณลกั ษณะสําคญั
จากทก่ี ลา่ วมาแสดงใหเ้ หน็ วา่ การสมั มนาองิ ผเู้ ชย่ี วชาญเป็นการประเมนิ รปู แบบหน่ึงท่มี ี
ขอ้ ดหี ลายประการ เช่น การตดั สนิ คุณค่าของสงิ่ ทม่ี ุ่งประเมนิ โดยการวพิ ากษ์วจิ ารณ์ซ่ึงจะช่วย

44

อธบิ ายวตั ถุประสงคแ์ ละกระบวนการไดอ้ ย่างชดั เจน เปิดเผยรวมทงั้ การสมั มนาองิ ผเู้ ชย่ี วชาญ
เป็นการวเิ คราะหว์ จิ ารณ์อย่างลกึ ซง้ึ ในประเดน็ ทน่ี ํามาพจิ ารณาและมกี ารผสมผสานปัจจยั ในการ
พิจารณาต่างๆ ตามวิจารณญาณของผู้ทรงคุณวุฒิ เพ่ือให้ได้ข้อสรุปเก่ียวกับคุณภาพ
ประสทิ ธภิ าพหรอื ความเหมาะสมของสง่ิ ท่ที ําการประเมนิ ดงั นัน้ ผูว้ จิ ยั จงึ ประยุกต์ใช้สมั มนาองิ
ผเู้ ชย่ี วชาญในการตรวจสอบคุณภาพเบอ้ื งตน้ ของการพฒั นารปู แบบการนเิ ทศ เพอ่ื เสรมิ สรา้ ง
ศกั ยภาพครคู ณิตศาสตร์ ระดบั การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน

แนวคิดเก่ียวกบั ความพึงพอใจ
นกั วชิ าการหลายท่านไดศ้ กึ ษาและใหค้ วามหมายและความสําคญั ของความพงึ พอใจ

ดงั น้ี
ศุภศริ ิ โสมเกตุ (2544 : 49) ไดใ้ หค้ วามหมายไวว้ า่ ความพงึ พอใจ หมายถงึ ความรสู้ กึ

นึกคดิ หรอื เจตคตสิ ่วนบุคคลท่มี ตี ่อการทํางานหรอื การปฏบิ ตั กิ จิ กรรมในเชงิ บวกดงั นัน้ ความ
พอใจในการเรยี นรู้จงึ หมายถงึ ความรูส้ กึ พอใจ ชอบใจในการร่วมปฏบิ ตั กิ จิ กรรมการเรยี นการ
สอนและตอ้ งการดาํ เนินกจิ กรรมนนั้ ๆ จนบรรลุผลสาํ เรจ็

สุภาภรณ์ กติ ตริ ชั ดานนท์ (2551 : 10) กล่าวว่า ความพงึ พอใจ หมายถงึ ความรู้สกึ
และเจตคตทิ ด่ี ขี องบุคคลทม่ี ตี ่อกจิ กรรมทก่ี ําลงั ปฏบิ ตั อิ ยู่ อนั มผี ลสบื เน่ืองมาจากองคป์ ระกอบ
หรอื ปัจจยั อ่นื ๆ ในการปฏบิ ตั งิ าน เช่น ลกั ษณะงาน สภาพแวดลอ้ มในการปฏบิ ตั งิ าน ประโยชน์
ค่าตอบแทนและอ่ืนๆ ถ้าองค์ประกอบต่างๆ สามารถตอบสนองความต้องการของบุคคลได้
เหมาะสมก็จะมผี ลทําให้เกิดความพงึ พอใจ บุคคลจะมคี วามพงึ พอใจมากหรอื น้อยข้ึนอยู่กับ
ความตอ้ งการของแตล่ ะบุคคลและองคป์ ระกอบทเ่ี ป็นสงิ่ จงู ใจทม่ี อี ยใู่ นงานนัน้ ดว้ ย

จากแนวคดิ เกย่ี วกบั ความพงึ พอใจของนกั วชิ าการ สรปุ ไดว้ ่า ความพงึ พอใจ หมายถงึ
ความรสู้ กึ นกึ คดิ หรอื เจตคตขิ องบคุ คลทม่ี ตี อ่ การทาํ งาน ความรสู้ กึ ชอบใจ เอาใจใส่ พอใจ เตม็ ใจ
กระตอื รอื รน้ ทจ่ี ะปฏบิ ตั กิ จิ กรรมอยา่ งตอ่ เน่อื งเพอ่ื ใหก้ ารดาํ เนินกจิ กรรมนนั้ บรรลุผลสาํ เรจ็


Click to View FlipBook Version