The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ชื่อเรื่องการเปรียบเทียบทักษะการเน้นน้ำหนักแสงเงาในการวาดภาพของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการสาธิตร่วมกับทำแบบฝึกทักษะเรื่องแสงและเงาระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Panadda Chaopracha, 2024-02-09 02:43:29

ชื่อเรื่องการเปรียบเทียบทักษะการเน้นน้ำหนักแสงเงาในการวาดภาพของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการสาธิตร่วมกับทำแบบฝึกทักษะเรื่องแสงและเงาระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน

ชื่อเรื่องการเปรียบเทียบทักษะการเน้นน้ำหนักแสงเงาในการวาดภาพของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการสาธิตร่วมกับทำแบบฝึกทักษะเรื่องแสงและเงาระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน

การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ของการเรียนรายวิชาทัศนศิลป์ เรื่องการเน้นน้ำหนัก แสงเงาโดยใช้การสาธิตสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (Demonstration Method) นางสาวปนัดดา ชาวประชา รหัสประจำตัวนักศึกษา 62100103124 วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาทัศนศิลป์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566


การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ของการเรียนรายวิชาทัศนศิลป์ เรื่องการเน้นน้ำหนัก แสงเงาโดยใช้การสาธิตสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (Demonstration Method) นางสาวปนัดดา ชาวประชา รหัสประจำตัวนักศึกษา 62100103124 วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาทัศนศิลป์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566


หัวข้อวิจัยในชั้นเรียน การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ของการเรียนรายวิชาทัศนศิลป์ เรื่องการเน้นน้ำหนักแสงเงาโดยใช้การสาธิตสำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 (Demonstration Method) ผู้วิจัย นางสาวปนัดดา ชาวประชา สาขาวิชา ทัศนศิลป์ อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ธิดารัตน์ ชุ่มจังหรีด ครูพี่เลี้ยง นายจิณณ์ จันทน์หอม อาจารย์ประจำหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาทัศนศิลป์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี อนุมัติให้นับวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาทัศนศิลป์ .................................................................. หัวหน้าสาขาวิชา (อาจารย์พศิน เวียงแก้ว) วันที่..........เดือน...................พ.ศ............... คณะกรรมการผู้ประเมินรายงานวิจัยในชั้นเรียน .......................................................................ประธานคณะกรรมการ (อาจารย์ธิดารัตน์ชุ่มจังหรีด) ........................................................................กรรมการ (ผศ.ดร.เรืองศักดิ์ ปัดถาวะโร) ........................................................................กรรมการ (นายจิณณ์ จันทน์หอม)


หัวข้อวิจัยในชั้นเรียน การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ของการเรียนรายวิชาทัศนศิลป์ เรื่องการเน้นน้ำหนักแสงเงาโดยใช้การสาธิตสำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 (Demonstration Method) ผู้วิจัย นางสาวปนัดดา ชาวประชา อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ธิดารัตน์ ชุ่มจังหรีด อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม ผศ.ดร.เรืองศักดิ์ ปัดถาวะโร ปีการศึกษา 2566 บทคัดย่อ การวิจัยเรื่องการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ของการเรียนรายวิชาทัศนศิลป์ เรื่องการเน้นน้ำหนักแสงเงา โดยใช้การสาธิตสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (Demonstration Method) โรงเรียนโรงเรียนพิบูลย์ รักษ์พิทยา มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ของการเรียนรายวิชาทัศนศิลป์ เรื่องการเน้น น้ำหนักแสงเงาโดยใช้การสาธิต สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จากการดําเนินการวิจัยเพื่อ เปรียบเทียบทักษะการเน้นน้ำหนักแสงเงาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 พบข้อมูลดังนี้จากผลการวิจัย การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ของการเรียนรายวิชาทัศนศิลป์ เรื่องการเน้นน้ำหนักแสงเงาโดยใช้การสาธิต สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (Demonstration Method) พบว่านักเรียนมีทักษะการวาดภาพ ระบายสีก่อนเรียนเฉลี่ยเท่ากับ 16.14คิดเป็นร้อยละ 53.80 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน เท่ากับ 27.37คิด เป็นร้อยละ 91.23คะแนนสูงสุด คือ ทักษะการเน้นน้ำหนักแสงเงาของวัตถุ คิดเป็นร้อยละ 92.90คะแนน ต่ำสุด คือ ทักษะการเน้นน้ำหนักแสงเงาตามจินตนาการคิดเป็นร้อยละ 89.10 เมื่อพิจารณาทักษะการเน้น น้ำหนักแสงเงาในแต่ละด้านพบว่า ด้านทักษะการเน้นน้ำหนักแสงเงาของวัตถุคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน คิด เป็นร้อยละ 55.10 คะแนนเฉลี่ยหลังเรียน คิดเป็นร้อยละ 92.90 ด้านทักษะการเน้นน้ำหนักแสงเงาตาม จินตนาการ คะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนคิดเป็นร้อนละ 51.40 คะแนนเฉลี่ยหลังเรียน คิดเป็นร้อยละ 89.10 ด้านทักษะการเน้นน้ำหนักแสงเงาในการขูดสี คะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน คิดเป็นร้อนละ 54.90 คะแนนเฉลี่ย หลังเรียน คิดเป็นร้อยละ 91.70 และเมื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยก่อนเรียนและหลังเรียนทั้ง 3 ด้าน พบว่า คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน


กิตติกรรมประกาศ รายงานวิจัยเรื่อง การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ของการเรียนรายวิชาทัศนศิลป์เรื่องการเน้นน้ำหนักแสง เงาโดยใช้การสาธิตสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (Demonstration Method) ได้รับความ อนุเคราะห์จากอาจารย์ธิดารัตน์ ชุ่มจังหรีด อาจารย์ประจำสาขาทัศนศิลป์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัย ราชภัฏอุดรธานี อาจารย์ที่ปรึกษาในการวิจัยในครั้งนี้ซึ่งได้ให้คำแนะนําระเบียบวิธีการวิจัย ให้คำปรึกษา ตรวจทาน แก้ไขข้อผิดพลาดต่าง ๆขอขอบพระคุณ ผศ.ดร.เรืองศักดิ์ ปัดถาวะโร อาจารย์ประจำสาขา ทัศนศิลป์คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีที่ได้ให้ความอนุเคราะห์ในการ ประเมินค่าความน่าเชื่อถือของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ และได้แนะนําปรับปรุงเครื่องมือในการ วิจัยให้มีความเหมาะสมกับการวิจัย ขอขอบพระคุณ นายจิณณ์ จันทน์หอม ครูพี่เลี้ยงและหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ที่ได้ให้ความ อนุเคราะห์เป็นที่ปรึกษาร่วมในการวิจัยในครั้งนี้ และได้ให้คำแนะนําระเบียบวิธีการวิจัย ให้คำปรึกษา ตรวจทาน และประเมินค่าความน่าเชื่อถือของชุดเครื่องมือวิจัยในครั้งนี้และได้แนะนําปรับปรุงเครื่องมือใน การวิจัยให้มีความเหมาะสมกับการวิจัย ขอขอบพระคุณครู อาจารย์ทุกท่าน ที่ได้ประสิทธิ์ประสาทวิชา ความรู้ให้ศิษย์ขอขอบพระคุณทุกท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานวิจัยในครั้งนี้ ปนัดดา ชาวประชา


สารบัญ หน้า บทที่ 1 บทนำ 1. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา.........................................................................1 2. วัตถุประสงค์ของการวิจัย................................................................................................2 3. ขอบเขตของการวิจัย.......................................................................................................2 4. สมมติฐานของการวิจัย....................................................................................................3 5. นิยามศัพท์เฉพาะ............................................................................................ ................3 6. ประโยชน์ที่จะได้รับ.........................................................................................................4 7. กรอบแนวคิดในการวิจัย................................................................................................4 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1. เอกสารเกี่ยวกับการเน้นน้ำหนักแสงและเงาในการวาดภาพ……………………………………5 1.1 ความหมายของแสงและเงา…………………………………………………………………………….5 1.2 ความสำคัญของแสงและเงา…………………………………………………………………………….9 1.3 ความสำคัญของการเน้นน้ำหนักในภาพวาด………………………………………………………9 2. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการสอนแบบสาธิต……………………………………………………………11 2.1 ความหมายของการสอนแบบสาธิต………………………………………………………..……..11 2.2 จุดมุ่งหมายในการสอนแบบสาธิต………………………………………………….………..….…12 2.3 ลำดับขั้นตอนของวิธีสอนแบบสาธิต…………………………………………….…………..……13 2.4 ประโยชน์ของวิธีสอนแบบสาธิต…………………………………………………….………..……17 2.5 การนำวิธีสอนแบบสาธิตไปใช้…………………………………………………………….………..18 3. งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการเน้นน้ำหนักแสงและเงาในการวาดภาพ………….……..………19 4. วิจัยที่เกี่ยวข้องกับวิธีสอนแบบสาธิต……………………………………………….………………….23


สารบัญ(ต่อ) หน้า บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย 1. กำหนดประชากรและการเลือกสุ่มตัวอย่าง……………………………………………………..…27 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย………………………………………………………………………………….27 3. การสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมือ………………………………………………………..28 4. แบบแผนและวิธีดำเนินการทดลอง…………………………………………………………………..30 5. การวิเคราะห์ข้อมูล…………………………………………………………………………………………31 6. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล…………………………………………………………………………32 บรรณานุกรม………………………………………………………………………………………………………….34 ภาคผนวก…………………………………………………………………………………………………………………


สารบัญภาพ หน้า ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดการศึกษาค้นคว้า……………………………………………………………….….1 ภาพที่ 2 ค่าน้ำหนักของแสงเงา 7 ระดับ…………………………………………………………………..8 ภาพที่ 3 ค่าของแสงและเงา 5 ระดับ………………………………………………………………………..9


สารบัญตาราง หน้า ตารางที่ 1 เนื้อหาสาระที่ใช้ในการทดลองจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทักษะ การเน้นน้ำหนักแสงเงาโดยใช้รูปแบบการสอนแบบสาธิต……………………….……..3 ตารางที่ 2 แบบแผนการทดลอง………………………………………………………………………………..32 ตารางที่ 3 คะแนนค่าเฉลี่ย ร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของความรู้เบื้องต้น เกี่ยวกับการเน้นน้ำหนักแสงเงาก่อนเรียนและหลังการได้รับการจัดการเรียนรู้ โดยใช้วิธีการสอนแบบสาธิต……………………………………………………………………..35 ตารางที่ 4 คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบทักษะการเน้นน้ำหนัก แสงเงาของวัตถุก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยวิธีการจัดการเรียนรู้ แบบสาธิต……………………………………………………………………………………….……..38 ตารางที่ 5 คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบคะแนนทักษะ การเน้นน้ำหนักแสงเงาตามจินตนาการก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ โดยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบสาธิต………………………………………..…………………..41 ตารางที่ 6 คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบคะแนนทักษะ การเน้นน้ำหนักแสงเงาโดยการขูดสีก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ โดยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบสาธิต……………………………………………………..……..43 ตารางที่ 7 คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานโดยแยกตามเกณฑ์ เปรียบเทียบ คะแนนทักษะการเน้นน้ำหนักแสงเงา ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ โดยวิธีการจัดการเรียนรู้รูปแบบทางตรง……………………………………………..……..46


1 บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะเป็นกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นให้เกิดความคิดริเริ่มการจินตนาการ และการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆชื่นชมความสวยงามความสุนทรียภาพนำไปสู่การส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิด มุมมอง ที่สร้างสรรค์และส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มีโอกาสแสดงออกทางความคิดได้อย่างเสรีในด้านความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการตามความสนใจและความถนัดตามธรรมชาติของเด็กแต่ละคน (กรมวิชาการ,2551)โดยการจัด กระบวนการเรียนรู้ในรายวิชาศิลปะนั้นมีรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลายซึ่งเน้นทักษะการปฏิบัติ เป็นส่วนใหญ่และสามารถนำไปต่อยอดและสามารถนำไปต่อยอดในการเรียนรู้ที่หลากหลายซึ่งเน้นทักษะ การการปฏิบัติเป็นส่วนใหญ่และสามารถนำไปต่อยอดในการเรียนรู้ทางศิลปะในอนาคต การเรียนรู้ศิลปะในแขนงทัศนศิลป์เป็นการเน้นในด้านทักษะการวาดภาพมีความรู้ ความเข้าใจใน องค์ประกอบศิลป์ ทัศนศิลป์และทักษะในการสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ของผู้เรียนด้วย แต่จากการ จัดการเรียนการสอนหน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ทัศนธาตุเรื่ององค์ประกอบของทัศนธาตุในหัวข้อ น้ำหนักอ่อนแก่ แสงและเงา พบว่า เนื้อหาสาระ เรื่อง น้ำหนักอ่อน-แก่ แสงและเงา มีเนื้อหาที่เข้าใจยากและยากต่อ การนำมาปฏิบัติทักษะต่าง ๆ ทำให้ผู้เรียนขาดความรู้ ความเข้าใจในการใช้ทักษะของเรื่องนี้และทำให้ยาก ต่อการนำไปสร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ต่อไปได้ และจากที่ผู้วิจัยในฐานะนักศึกษาฝึกสอนได้รับผิดชอบใน การสอนรายวิชาศิลปะระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนพิบูลย์รักษ์พิทยาภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ในการจัดการเรียนการสอนที่ผ่านมาผู้วิจัยได้ให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ทำแบบฝึกทักษะ สร้างสรรค์งานทัศนศิลป์โดยการวาดภาพแอปเปิ้ล โดยกำหนดทิศทางของแสงและเงาให้ชัดเจนด้วยการ ระบายสี เข้ม-อ่อนตามทิศทางของแสงและเงาที่ควรจะเป็นให้ถูกต้อง พบว่านักเรียนร้อยละ 70 ยังทำไม่ ถูกต้องเนื่องจากไม่เข้าใจทิศทางของแสงและเงา


2 การจัดการสอนแบบสาธิตเป็นวิธีการสอนหรือบุคคลหนึ่งแสดงหรือกระทำให้ดูเป็นตัวอย่างพร้อม ๆ กับการบอกอธิบายเพื่อให้ผู้เรียนได้ประสบการณ์ตรงในเชิงรูปธรรมผู้เรียนจึงเกิดการเรียนรู้จากการสังเกต กระบวนการขั้นตอนการสาธิตนั้นวิธีการสอนแบบสาธิตจึงเป็นการสอนที่ยึดผู้สอนเป็นศูนย์กลาง เพราะ ผู้สอนเป็นผู้วางแผนดำเนินการและลงมือปฏิบัติผู้เรียนอาจมีส่วนร่วมบ้างแต่ก็เพียงเล็กน้อย (อาภรณ์ ใจ เที่ยง. 2540 : 101) ซึ่งวิธีการสอนแบบสาธิตมีจุดประสงค์ 1)เพื่อกระตุ้นความสนใจให้นักเรียนมีความ สนใจในบทเรียนยิ่งขึ้น 2) เพื่อช่วยในการอธิบายเนื้อหาที่ยากซึ่งต้องใช้เวลามากให้เข้าใจง่ายขึ้นและ ประหยัดเวลาบางเนื้อหาอาจจะอธิบายให้นักเรียนเข้าใจได้ยากการสาธิตจะทำให้นักเรียนได้เห็นขั้นตอน และเกิดความเข้าใจง่าย 3)เพื่อพัฒนาการฟังการสังเกตและสรุปทำความเข้าใจในการสอนโดยใช้วิธีสาธิต นักเรียนจะฟังคำอธิบายควบคู่ไปด้วยและต้องสังเกตขั้นตอนต่าง ๆ ตลอดจนผลที่ได้จากการสาธิตแล้วจึง สรุปผลของการสาธิตนั้น 4)เพื่อแสดงวิธีการหรือกลวิธีในการปฏิบัติงานซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด 5)เพื่อสรุปประเมินผลความเข้าใจในบทเรียน 6)เพื่อใช้ทบทวนบทเรียน (สุพิน บุญชูวงศ์. 2544 : 53) จากแนวคิดและเหตุผลดังกล่าวผู้วิจัยในฐานะนักศึกษาฝึกสอนจึงมีความสนใจที่จะศึกษาและนำเอา วิธีการสอนแบบสาธิตมาเป็นวิธีการจัดการเรียนรู้ในรายวิชาศิลปะเรื่องน้ำหนักแสงและเงาของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนพิบูลย์รักษ์พิทยา อำเภอพิบูลย์รักษ์จังหวัด อุดรธานี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 20 จำนวน 35 คน ที่มีปัญหาเรื่องการเน้นน้ำหนัก แสงและเงาจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในครั้งที่ผ่านมา ดังนั้น ผู้วิจัยจึงหาแนวทางในการแก้ไข ปัญหาเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จึงได้จัดทำชุดแบบฝึกทักษะ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ขึ้น วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ของการเรียนรายวิชาทัศนศิลป์ เรื่องการเน้นน้ำหนักแสงเงาโดยใช้การ สาธิต สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1


3 ขอบเขตของการวิจัย ประชากร ประชากรในการวิจัยในครั้งนี้ คือ นักเรียนชาย-หญิงที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียน ที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนพิบูลย์รักษ์พิทยา อำเภอพิบูลย์รักษ์จังหวัดอุดรธานี สำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศึกษา เขต 20 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาในครั้งนี้ คือ นักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนพิบูลย์รักษ์พิทยา อำเภอพิบูลย์รักษ์ จังหวัดอุดรธานี สำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศึกษา เขต 20 จำนวน 35 คน จากการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluter Random Sampling) ตัวแปรที่ศึกษา ตัวแปรต้น คือ การสาธิตเรื่องแสงเงา ตัวแปรตาม คือ ผลสัมฤทธิ์ของการเรียนรายวิชาทัศนศิลป์ เรื่องการเน้นน้ำหนักแสงเงา ขอบเขตเนื้อหา เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย เป็นเนื้อหาในรายวิชาศิลปะ (ทัศนศิลป์) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่สอดคล้องกับทักษะ การวาดภาพระบายสีโดยใช้รูปแบบการสอนทางตรง จำนวน 4 แผน ดังแสดงในตารางที่ 1 ตารางที่ 1 เนื้อหาสาระที่ใช้ในการทดลองจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทักษะการการเน้นน้ำหนักแสงเงาโดยใช้ รูปแบบการสอนแบบสาธิต สัปดาห์ เรื่อง 1-3 ทักษะการเน้นน้ำหนักแสงเงาของวัตถุ 4-6 ทักษะการเน้นน้ำหนักแสงเงาตามจินตนาการ


4 7-8 ทักษะการขูดสีให้เกิดแสงเงา สมมติฐานของการวิจัย หลังจากการจัดการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะเรื่องแสงและเงา โดยวิธีการสอนแบบสาธิตของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การเน้นน้ำหนักแสงและเงาในการวาดภาพ สูงขึ้นกว่าก่อนเรียน นิยามคำศัพท์เฉพาะ แบบฝึกทักษะ หมายถึง สื่อการเรียนการสอนที่ใช้ฝึกทักษะของผู้เรียนเพื่อฝึกฝนให้เกิดความรู้ความ เข้าใจในเรื่องน้ำหนักแสงและเงาได้อย่างถูกต้อง ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสำเร็จที่ได้รับจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์การเรียนรู้เรื่องน้ำหนักแสงและเงาไปในทิศทางที่ดีขึ้น แบบทดสอบ หมายถึง วิธีการสอนแบบสาธิตและแบบทดสอบที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเพื่อทดสอบการ จัดการเรียนรู้เรื่องน้ำหนักแสงและเงาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังใช้ชุดแบบฝึกทักษะ กลุ่มตัวอย่าง หมายถึง นักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนพิบูลย์รักษ์พิทยา อำเภอพิบูลย์รักษ์ จังหวัดอุดรธานี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษาเขต 20 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ การศึกษาในครั้งนี้ทำให้ทราบถึงผลการการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ของการเรียนรายวิชาทัศนศิลป์ เรื่องการเน้นน้ำหนักแสงเงาโดยใช้การสาธิตสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และเป็นแนวทางในการ จัดการเรียนการสอนในเรื่องของการเน้นน้ำหนักแสงและเงาดียิ่งขึ้น


5 กรอบความคิดในการวิจัย ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดในการศึกษาค้นคว้า การสาธิตเรื่องแสงเงา ผลสัมฤทธิ์ของการเรียนรายวิชา ทัศนศิลป์ เรื่องการเน้นน้ำหนักแสงเงา


6 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าเอกสารตลอดจนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อนำมาใช้ในการวิจัย และนำเสนอตามหัวข้อต่อไปนี้ 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ 2. เอกสารเกี่ยวกับการเน้นน้ำหนักแสงและเงาในการวาดภาพ 1.1 ความหมายของแสงและเงา 1.2 ความสำคัญของแสงและเงา 1.3 ความสำคัญของการเน้นน้ำหนักในภาพวาด 3. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการสอนแบบสาธิต 3.1 ความหมายของการสอนแบบสาธิต 3.2 จุดมุ่งหมายในการสอนแบบสาธิต 3.3 ลำดับขั้นตอนของวิธีสอนแบบสาธิต 3.4 ประโยชน์ของวิธีสอนแบบสาธิต 3.5 การนำวิธีสอนแบบสาธิตไปใช้ 4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการเน้นน้ำหนักแสงและเงาในการวาดภาพ 5. วิจัยที่เกี่ยวข้องกับวิธีสอนแบบสาธิต 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สำนัก วิชาการและมาตรฐานการศึกษา, 2551: 1-5) ได้จัดทำหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้


7 1. ทําไมต้องเรียนศิลปะ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะเป็นกลุ่มสาระที่ช่วยพัฒนาให้ผู้เรียนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มี จินตนาการทางศิลปะ ชื่นชมความงาม มีสุนทรียภาพ ความมีคุณค่า ซึ่งมีผลต่อคุณภาพชีวิตมนุษย์ กิจกรรมทางศิลปะช่วยพัฒนาผู้เรียนทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคมตลอดจน การนําไปสู่ การพัฒนาสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความเชื่อมั่นในตนเอง อันเป็นพื้นฐานในการศึกษาต่อหรือ ประกอบอาชีพได้ 2. เรียนรู้อะไรในศิลปะ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะมุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจ มีทักษะวิธีการทางศิลปะ เกิดความ ซาบซึ้งในคุณค่าของศิลปะ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนแสดงออกอย่างอิสระในศิลปะแขนงต่าง ๆ ประกอบด้วย สาระทัศนศิลป์ มีสาระสำคัญคือ นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจองค์ประกอบศิลป์ ทัศนธาตุ สร้างและ นําเสนอผลงาน ทางทัศนศิลป์จากจินตนาการ โดยสามารถใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสม รวมทั้งสามารถใช้ เทคนิค วิธีการ ของศิลปินในการสร้างงานได้อย่างมีประสิทธิภาพวิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์คุณค่างาน ทัศนศิลป์ เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างทัศนศิลป์ ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เห็นคุณค่างานศิลปะที่เป็น มรดก ทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทยและสากล ชื่นชม ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน 3. สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ 3.1 สาระที่ 1 ทัศนศิลป์ 3.1.1 มาตรฐาน ศ 1.1 สร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ตามจินตนาการ และความคิด สร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์คุณค่างานทัศนศิลป์ ถ่ายทอดความรู้สึก ความคิด ต่องานศิลปะอย่างอิสระ ชื่นชม และประยุต์ใช้ในชีวิตประจำวัน 3.1.2 มาตรฐาน ศ 1.2 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างทัศนศิลป์ ประวัติศาสตร์ ศิลป์และวัฒนธรรม เห็นคุณค่างานทัศนศิลป์ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญา ท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทยและสากล 4. คุณภาพเมื่อจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 4.1 รู้และเข้าใจเรื่องทัศนธาตุและหลักการออกแบบและเทคนิคที่หลากหลายในการ สร้างงานทัศนศิลป์ 2 มิติ และ 3 มิติ เพื่อสื่อความหมายและเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างมีคุณภาพ


8 วิเคราะห์รูปแบบเนื้อหาและประเมินคุณค่างานทัศนศิลป์ของตนเองและผู้อื่น สามารถเลือกงาน ทัศนศิลป์โดยใช้เกณฑ์ที่กำหนดขึ้นอย่างเหมาะสม สามารถออกแบบรูปภาพ สัญลักษณ์ กราฟิก ในการนําเสนอข้อมูลและมีความรู้ ทักษะที่จําเป็นด้านอาชีพที่เกี่ยวข้องกันกับงานทัศนศิลป์ 4.2 รู้และเข้าใจการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการของงานทัศนศิลป์ของชาติและท้องถิ่น แต่ละยุคสมัย เห็นคุณค่างานทัศนศิลป์ที่สะท้อนวัฒนธรรมและสามารถเปรียบเทียบงาน ทัศนศิลป์ที่มาจากยุคสมัยและวัฒนธรรมต่าง ๆ 4.3 รู้และเข้าใจถึงความแตกต่างทางด้านเสียง องค์ประกอบ อารมณ์ ความรู้สึกของบท เพลงจากวัฒนธรรมต่าง ๆ มีทักษะในการร้อง บรรเลงเครื่องดนตรี ทั้งเดี่ยวและเป็นวงโดยเน้น เทคนิคการร้องบรรเลงอย่างมีคุณภาพ มีทักษะในการสร้างสรรค์บทเพลงอย่างง่าย อ่านเขียนโน้ต ในบันไดเสียงที่มีเครื่องหมาย แปลงเสียงเบื้องต้นได้ รู้และเข้าใจถึงปัจจัยที่มีผลต่อรูปแบบของ ผลงานทางดนตรี องค์ประกอบของผลงานด้านดนตรีกับศิลปะแขนงอื่น แสดงความคิดเห็นและ บรรยายอารมณ์ความรู้สึกที่มีต่อบทเพลง สามารถนําเสนอบทเพลงที่ชื่นชอบได้อย่างมีเหตุผล มี ทักษะในการประเมินคุณภาพของบทเพลงและการแสดงดนตรี รู้ถึงอาชีพต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ ดนตรีและบทบาทของดนตรีในธุรกิจบันเทิง เข้าใจถึงอิทธิพลของดนตรีที่มีต่อบุคคลและสังคม 4.4 รู้และเข้าใจที่มา ความสัมพันธ์ อิทธิพลและบทบาทของดนตรีแต่ละวัฒนธรรมในยุค สมัยต่าง ๆ วิเคราะห์ปัจจัยที่ทำให้งานดนตรีได้รับการยอมรับ 4.5 รู้และเข้าใจการใช้นาฏยศัพท์หรือศัพท์ทางการละครในการแปลความและสื่อสาร ผ่านการแสดง รวมทั้งพัฒนารูปแบบการแสดง สามารถใช้เกณฑ์ง่าย ๆ ในการพิจารณาคุณภาพ การแสดงการวิจารณ์เปรียบเทียบงานนาฏศิลป์ โดยใช้ความรู้เรื่ององค์ประกอบทางนาฏศิลป์ร่วม จัดการแสดง นําแนวคิดของการแสดงไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน 4.6 รู้และเข้าใจประเภทละครไทยในแต่ละยุคสมัย ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของ นาฏศิลป์ไทย นาฏศิลป์พื้นบ้าน ละครไทย และละครพื้นบ้าน เปรียบเทียบลักษณะเฉพาะของ การแสดงนาฏศิลป์จากวัฒนธรรมต่าง ๆ รวมทั้งสามารถออกแบบและสร้างสรรค์อุปกรณ์ เครื่อง แต่งกายในการแสดงนาฏศิลป์และละคร มีความเข้าใจ ความสำคัญ บทบาทของนาฏศิลป์ และ ละครในชีวิตประจำวัน


9 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้องานวิจัย ทักษะการวาดภาพ ระบายสี ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนแบบทางตรง คือ สาระที่ 1 ทัศนศิลป์ โดยมีรายละเอียดมาตรฐานละตัวชี้วัด ดังนี้ (สำนักวิชาการและมาตรฐาน การศึกษา,2551: 7-8) สาระที่ 1 ทัศนศิลป์ มาตรฐาน ศ 1.1 สร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ตามจินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์คุณค่างานทัศนศิลป์ ถ่ายทอดความรู้สึก ความคิดต่องานศิลปะอย่าง อิสระชื่นชม และประยุต์ใช้ในชีวิตประจำวัน มาตรฐาน ศ 1.2 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างทัศนศิลป์ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม เห็นคุณค่าทัศนศิลป์ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย และสากล ตารางที่ 2 ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง วิชาศิลปะ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สาระที่ 1 ทัศนศิลป์ มาตรฐาน ศ 1.1 สร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ตามจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ วิเคราะห์วิพากษ์วิจารณ์ คุณค่างานทัศนศิลป์ ถ่ายทอดความรู้สึก ความคิดต่องานศิลปะอย่าง อิสระชื่นชม และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.1 1. บรรยายความแตกต่างและความ คล้ายคลึงกันของงานทัศนศิลป์และ สิ่งแวดล้อมโดยใช้ความรู้เรื่องทัศนธาตุ ความแตกต่างและความคล้ายคลึง กันของทัศนธาตุในงานทัศนศิลป์ และสิ่งแวดล้อม


10 2. ระบุ และบรรยายหลักการออกแบบงาน ทัศนศิลป์ โดยเน้นความเป็นเอกภาพความ กลมกลืน และความสมดุล ความเป็นเอกภาพ ความกลมกลืน ความสมดุล 3. วาดภาพทัศนียภาพแสดงให้เห็น ระยะไกลใกล้ เป็น 3 มิติ หลักการวาดภาพแสดงทัศนียภาพ 4. รวบรวมงานปั้นหรือสื่อผสมมาสร้างเป็น เรื่องราว 3 มิติโดยเน้นความเป็นเอกภาพ ความกลมกลืน และการสื่อถึงเรื่องราวของ งาน เอกภาพความกลมกลืนของเรื่องราว ในงานปั้นหรืองานสื่อผสม 5. ออกแบบรูปภาพสัญลักษณ์ หรือกราฟิก อื่น ๆ ในการนําเสนอความคิดและข้อมูล การออกแบบรูปภาพสัญลักษณ์หรือ งานกราฟิก 6. ประเมินงานทัศนศิลป์ และบรรยายถึง วิธีการปรับปรุงงานของตนเองและผู้อื่นโดย ใช้เกณฑ์ที่กำหนดให้ การประเมินงานทัศนศิลป์ สาระที่ 1 ทัศนศิลป์ มาตรฐาน ศ 1.2 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างทัศนศิลป์ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม เห็นคุณค่าทัศนศิลป์ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย และสากล ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.1 1. ระบุ และบรรยายเกี่ยวกับลักษณะ รูปแบบงานทัศนศิลป์ของชาติและของ ท้องถิ่นตนเองจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ลักษณะรูปแบบงานทัศนศิลป์ของชาติ และท้องถิ่น


11 2. ระบุ และเปรียบเทียบงานทัศนศิลป์ของ ภาคต่าง ๆ ในประเทศไทย งานทัศนศิลป์ภาคต่าง ๆ ในประเทศ ไทย 3. เปรียบเทียบความแตกต่างของ จุดประสงค์ในการสร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ ของวัฒนธรรมไทยและสากล ความแตกต่างของงานทัศนศิลป์ ใน วัฒนธรรมไทยและสากล 2. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเน้นน้ำหนักแสงและเงาในการวาดภาพ 2.1. ความหมายของแสงและเงา ได้มีผู้รู้หลักวิชาการได้ให้ความหมายของแสงและเงา ไว้หลายทรรศนะ ดังนี้ ชัยวัฒน์ การรื่นศรี (2546 : 10) ได้กล่าวว่า แสงเงา (Light & Shade)เป็นผลมาจากการใช้เส้น แรเงาด้วยการขีด เขียน เกลี่ย ตัดกัน หรือทับกันทำให้เกิดน้ำหนักอ่อนแก่ทำให้ภาพดูมีมิติน้ำหนักอ่อนแก่ ของแสงเงาแบ่งได้ 6 ค่าดังนี้ 1.จุดสว่าง (Hight light) คือ บริเวณที่สว่างที่สุดบนผิวของวัตถุนิยมปล่อยว่างเป็นพื้นสีขาวไม่ ต้องลงน้ำหนักใด ๆ ก็ได้ในส่วนของภาพใบหน้าคนมักมีจุดสว่างบริเวณโหนกหน้าผาก ปลายจมูก และ โหนกแก้ม 2.แสง (Light) คือ บริเวณที่สว่างทั่วไปของวัตถุเป็นส่วนที่ลงน้ำหนักเป็นสีอ่อน 3.เงา (Shadow) คือบริเวณที่ได้รับแสงน้อยลงน้ำหนักแรเงาให้เข้มกว่าบริเวณของแสงเล็กน้อย 4.เงาเข้ม (Cose of Shadow) คือ บริเวณที่มีน้ำหนักเข้มชัดที่สุดจึงต้องแรเงาด้วยน้ำหนักที่เข้ม กว่าบริเวณอื่น ๆ ทั้งหมดของวัตถุ 5.แสงสะท้อน (Reflected Light) คือ บริเวณแสงเรือง ๆอยู่ชิดกับเงาเข้มลงน้ำหนักแรเงาพอ ๆ กับบริเวณที่มีแสง 6.เงาตกทอด (Case Shadow) คือ บริเวณที่เงาของวัตถุนั้น ๆทอดไปตามพื้นที่รองรับวัตถุโดย จะมีน้ำหนักเข้มกว่าบริเวณสะท้อน


12 ประสพ ลี้เหมือดภัย (2541 : 21) กล่าวว่า แสง เงา (Light & Shade) เป็นผลมาจากการใช้เส้น แรเงาด้วยการ ขีด เขียน เกลี่ย ตัดกัน หรือทับกัน ให้เกิดน้ำหนักอ่อนแกในรูปทรงเป็นภาพที่มีปริมาตรของ รูปทรงตามธรรมชาติตลอดจนการเว้นที่ว่างให้เป็นแสงสะท้อนกระทั่งให้ความรู้สึกจนมองเห็นภาพนั้นมี ลักษณะ กลม เหลี่ยม เป็นสี ตื้นลึก หนา บาง น้ำหนักที่ใช้ในการวาดเขียนจะใช้ประมาณ 3 ระยะ คือ อ่อน กลาง แก่ หากต้องการให้ภาพมีความนิ่มนวลและชัดเจนน้ำหนักของแสงเงาที่ใช้ก็เพิ่มเป็น 7 ระยะ ส่วน แสงนั้นนิยมใช้ส่องทำมุมกับวัตถุ 45 องศาซึ่งทำให้ภาพที่เขียนสวยงามและชัดเจนกว่าใช้น้ำหนัก 3 ระยะ ภาพที่ 2 ค่าน้ำหนักของแสงเงา เทียนชัย ตั้งพรประเสริฐ (2544 : 54) กล่าวว่า แสง คือ บริเวณที่สว่างบนวัตถุที่แสงตกกระทบ ส่วนเงา คือ บริเวณที่ไม่ถูกแสงตกกระทบการศึกษาเรื่องแสงและเงา พบว่าบริเวณที่สว่างและเงามืดนั้น ไม่ได้หมายความว่าจะขาวหรือดำสนิทค่าน้ำหนักทั้งสองยังมีค่าความแตกต่างกันอีกหลายระดับในบริเวณ ที่ที่ใกล้เคียงกัน วัชรพงศ์ หงส์สุวรรณ (2557 : 13) กล่าวว่า การวาดเส้นประกอบไปด้วยน้ำหนักแสงเงาที่เกิดขึ้น จากการแรเงาเพื่อให้ได้ค่าของน้ำหนักเข้ม-อ่อนตามรูปทรงของวัตถุซึ่งทำให้เกิดเป็นภาพลวงตาแสดงให้ เห็นเป็นรูปทรง สูง ต่ำ เว้า นูน ในลักษณะที่แตกต่างกันออกไปทั้งหมดนี้เกิดจากค่าความแตกต่างของแสง การที่จะให้เข้าใจเรื่องแสงเงามากขึ้นขอยกตัวอย่างจากวัตถุทรงกลม(ภาพที่ 3 ค่าของแสงและเงา 5 ระดับ) เพื่อให้เห็นความต่างค่าของแสงเงาระดับต่าง ๆ ซึ่งจะนำมาใช้ในการแรเงาต่อไป ค่าของแส่งเงา 5 ระดับ ดังนี้ 1.แสงสว่างจัด(Hight Light) คือ บริเวณที่ถูกแสงโดยตรงเป็นจุดที่สว่างมากที่สุด


13 2.แสงสว่าง(Light) คือ บริเวณที่ถูกแสงพอสมควรแสงสว่างที่เกิดขึ้นจะกระจายโดยรอบวัตถุ 3.เงา(Shadow)คือบริเวณที่อยู่ตรงข้ามแสงสว่างหรือบริเวณที่ไม่ได้รับอิทธิพลจากแสงสว่างเลย 4.แสงสะท้อน(Reflect Light) คือ บริเวณที่ไม่ได้รับแสงโดยตรงแต่เป็นแสงที่เกิดจากการสะท้อน กลับของแสงจากวัตถุใกล้เคียง 5.เงาตกกระทบหรือเงาตกทอด(Cast Shadow)คือบริเวณที่เป็นเงาของวัตถุตกทอดไปตามพื้นที่ตั้ง ของวัตถุ ภาพที่ 3 ค่าของแสงและเงา 5 ระดับ วัชรี วัชรสินธุ์ (2555 : 28) ได้กล่าวว่า แสง หมายถึงความเข้มของสีวัตถุที่ปรากฏบนระนาบ และ ความเข้มของวัตถุใกล้-ไกล การเว้นว่างโดยปราศจากลายเส้นใด ๆเป็นวิธีปฏิบัติที่วิเศษสุดกรณีที่ต้องการ ให้มีความรู้สึกว่ามีแสงจัดมากตกกระทบวัตถุบริเวณนั้นส่วน เงา หมายถึงบางส่วนขิงวัตถุที่แสงแดดส่องไม่ ถึงเพราะถูกบดบังด้วยส่วนของวัตถุเองหรือวัตถุข้างเคียงอื่น ๆ ทวีพงษ์ ลิมาภรณ์วณิชย์ ( 2546 : 25) กล่าวว่า แสงและเงาในเชิงศิลปะ คือ ความสวยงามโดดเด่น มีชีวิตชีวา ภาพวาดใดที่มีแสงและเงาสวยและถูกหลัก ก็จะตรึงผู้ชมติดอยู่กับที่อย่างแน่นอน


14 สรุปได้ว่า แสงและเงา หมายถึงค่าน้ำหนักที่แสงตกกระทบวัตถุนั้น ๆ โดยที่พื้นที่ที่แสงกระทบมาก ที่สุดจะเป็นจุดที่สว่างที่สุดส่วนจุดที่เป็นเงาจะเป็นบริเวณที่มืดลงตามระดับแสงส่องถึง 1.2 ความสำคัญของแสงและเงา สุชาติ เถาทอง (2536 : 203) กล่าวว่า แน่นอนว่าหากไม่มีแสงจะไม่มีเงาในตัวและเงาตกทอดไม่มี สิ่งของให้เราเห็นและไม่มีอะไรให้เราวาดเฉพาะเมื่อแสงตกกระทบเท่านั้นรูปวัตถุจึงสอยเด่นออกมาให้เห็น แสง ความสว่าง และความมืดมีผลต่อความรู้สึกและการรับรู้อิทธิพลของแสงเป็นสิ่งสำคัญในการต้องศึกษา ทั้งด้านความงามในธรรมชาติและในการสร้างสรรค์งานศิลปะจำนวนชนิดของแสงที่ตกกระทบลงบนวัตถุ สามารถทำให้เกิดอารมณ์และความรู้สึก ระวิ โอภิธากร (2542 : 58) กล่าวว่า สภาวะของความสว่างและความมืดที่เกิดจากค่าความเข้มของ แสงไม่เท่ากัน จะทำให้เรารับรู้ รูปร่าง สี และผิวของสิ่งต่าง ๆ ได้ชัดเจนไม่เท่ากัน ดังเช่น ในสภาวะที่มี ความเข้มของแสงจัดจะให้ค่าสว่างที่เจิดจ้าและเมื่อแสงส่องกระทบกับสิ่งใด ๆ พลังสะท้อนกลับจะทำให้ เห็นรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ ได้ชัดเจนตามไปด้วย อภิศักดิ์ บุญเลิศ (2541 : 125) กล่าวว่า แสงและเงาเป็นองค์ประกอบที่มีความสำคัญหลายประการ คือ 1.แสดงความเป็นปริมาตร (MASS) ของรูปทรง 2.แสดงระนาบต่าง ๆ (PLANES) ของรูปทรงให้ปรากฏ 3.สร้างทัศนียภาพ (PERSPECTIVE) คือระยะใกล้ไกลและบรรยากาศ ให้ชัดเจนเป็นจริง สรุปได้ว่า แสงและเงามีความสำคัญกับความรู้สึกของเราโดยผ่านการมองเห็นและแสงและเงาเป็นตัว บอกปริมาตรของรูปทรงต่าง ๆ ให้เห็นชัดมากยิ่งขั้น 1.3 ความสำคัญของการเน้นน้ำหนักในภาพวาด


15 อภิศักดิ์ บุญเลิศ (2541 : 126) ได้กล่าวว่า การแรน้ำหนักเป็นวิธีการเปลี่ยนแปลงค่า รูปร่าง ซึ่งมี ลักษณะเป็น 2 มิติให้เป็นรูปทรงซึ่งมีค่าเป็น 3 มิติ คือ การแรน้ำหนักเป็นการเพิ่มมิติที่ 3 เข้ามาทำให้ รูปร่างเปลี่ยนแปลงค่าเป็นรูปทรงมีความตื้น ลึก หนา บาง เกิดขึ้นซึ่งความตื้น ลึก หนา บาง เป็นเพียง ความรู้สึกเท่านั้นดังนี้เองจึงมีผู้เปรียบว่า “งานวาดเขียน คือ การสร้างภาพลวงตา” ความรู้พื้นฐานในการแรน้ำหนัก คือ ความรู้เกี่ยวกับการเห็นที่ว่ามนุษย์เห็นเพราะความสัมพันธ์ของแสง และเงาโดยที่แสงจะส่องไปกระทบวัตถุก่อนแล้วสะท้อนเข้าตาและตาถ่ายทอดไปสู่สมองทำให้เกิดการเห็น ขึ้นเมื่อแสงส่องกระทบวัตถุส่วนของวัตถุที่กระทบแสงโดยตรงจะเป็นส่วนที่สว่างที่สุด เรียกว่า ไฮไลต์ (HIGH LIGHT)และส่วนที่ไม่ถูกแสงเลยจะเป็นส่วนที่มืดที่สุดเรียกว่าคอร์ออฟชาโดว์(CORE OF SHADOW) และยังมีส่วนที่กระทบแสงสะท้อนจากวัตถุอื่น รีเฟรกไลฟ์ (REFLECTED LIGHT) อีกด้วยการที่แสงและเงา มีค่าตั้งแต่อ่อนไปถึงแก่ตามลำดับเช่นนี้ เรียกว่า คุณค่าหรือน้ำหนัก(VALUE) หรือความลดหลั่น (GRADATION) หรือบางครั้งเรียกว่า กิอาโรสคูโร (CHIAROSCURO) ในภาษาทางศิลปะ ระวิ โอภิธากร (2542 : 59) กล่าวว่า การนำค่าของน้ำหนัก ดำ เทา และขาว หรือเทาอ่อน ตั้งแต่ 3 ระดับขึ้นไปจะเกิดความประสานเป็นจังหวะต่อเนื่องหรือเคลื่อนไหวเป็นทิศทางและเกิดความกลมกลืน เป็นเอกภาพจะได้กล่าวถึงรายละเอียดเกี่ยวกับหน้าที่ของน้ำหนักและค่าของแสงสว่างและเงามืด ดังต่อไปนี้ หน้าที่ของน้ำหนัก มีดังนี้ 1. ให้ความแตกต่างบริเวณมืดและสว่างของภาพ 2. ผลักดึงให้ภาพปรากฏเป็นรูป เป็นพื้นหรือเป็นรูปทรงกับที่ว่าง 3. ให้ความรู้สึกเป็นผิวของวัตถุที่มีผิว หน้าหยาบ ขรุขระ ละเอียด เป็นมัน ด้าน โปร่ง บาง ทึบ และ แน่น 4. ให้ความรู้สึกเคลื่อนไหว นำสายตาของผู้ดู 5. สร้างแรงดึงดูดความสนใจ 6. ให้ความเป็นมิติแก่รูปร่างรูปทรง 7. ให้ความลึกไกลสุดสายตา


16 สรุปได้ว่า การเน้นน้ำหนักในการวาดภาพเป็นการช่วยให้รู้ถึง ตื้น ลึก หนา บางของรูปทรงของวัตถุที่ เราวาดและทำให้การวาดภาพสมบูรณ์ยิ่งขึ้น 3. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการสอนแบบสาธิต 2.1 ความหมายของการสอนแบบสาธิต สุพิน บุญชูวงศ์ (2544 : 52) ได้กล่าวถึงความหมายของวิธีสอนแบบสาธิต ว่า เป็นวิธีสอนที่ครูมีหน้าที่ ในการวางแผนการเรียนการสอนเป็นส่วนใหญ่ โดยมีการแสดงหรือการกระทำให้ดูเป็นตัวอย่าง นักเรียนจะ เกิดการเรียนรู้จากการสังเกต การฟัง การกระทำ หรือการแสดงและอาจเปิดโอกาสให้นักเรียนเข้ามามีส่วน ร่วมบ้าง ภาควิชาหลักสูตรและการสอนคณะครุศาสตร์ สถาบันราชภัฏอุดรธานี (2539 : 72) กล่าวไว้ว่า การ สาธิต หมายถึง การแสดง การทดลอง หรือการทำให้ดูจัดเป็นการให้ประสบการณ์ตรงแก่ผู้เรียนเพื่อให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้รวดเร็วตัวอย่างของการสาธิต เช่น การสาธิตการใช้เครื่องมือต่าง ๆ ในโรงฝึกงาน การสาธิตการเชื่อมโลหะ การสาธิตการทำอาหาร การสาธิตการตอนไก่ การติดตาต่อกิ่ง สาธิตการทดลอง ทางวิทยาศาสตร์ที่อาจเป็นอันตรายหากให้นักเรียนเป็นผู้ทดลอง เป็นต้น เรวณี ชัยเชาวรัตน์ (2559 : 160) ได้กล่าวถึงความหมายของวิธีการสอนแบบสาธิตไว้ว่าวิธีสอนโดยใช้ การสาธิต คือ กระบวนการที่ผู้สอนใช้ในการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดโดย การแสดงหรือทำสิ่งที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ให้ผู้เรียนได้สังเกตดูแล้วให้ผู้เรียนซักถาม อภิปราย และ สรุปการเรียนรู้ที่ได้จากการสังเกตการสาธิต ยุทธพงษ์ ไกยวรรณ (2541 : 66) กล่าวว่า การสาธิตเป็นวิธีการเบื้องต้นสำหรับการแนะนำทักษะใหม่ แก่ผู้เรียนการสาธิตประอบด้วยการแสดงการแนะนำทักษะใหม่เป็นการแสดงโดยครูผู้สอนและสังเกตโดย ผู้เรียนการสาธิตจะเป็นประโยชน์ต่อครูผู้สอน ในด้านทำให้เกิดความชำนาญจากการสาธิต


17 อาภรณ์ ใจเที่ยง (2553 : 145) กล่าวว่า วิธีสอนแบบสาธิต หมายถึง วิธีสอนที่ผู้สอนหรือบุคคลใดบุคคล หนึ่ง(อาจเป็นวิทยากรที่ผู้สอนเชิญมา)แสดงหรือกระทำให้ดูเป็นตัวอย่างพร้อม ๆ กับการบอก อธิบาย เพื่อให้ผู้เรียนได้ประสบการณ์ตรงในเชิงรูปธรรมผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้จากการสังเกตกระบวนการ ขั้นตอนการสาธิตนั้น ๆ เสริมศรี ลักษณศิริ (2540 : 273) กล่าวว่า วิธีสอนแบบสาธิตเป็นการสอนที่ครูแสดงหรือลงมือปฏิบัติ ให้นักเรียนดูด้วยตนเองกิจกรรมการสาธิตจะต่างไปตามลักษณะของหัวข้อหรือเนื้อหาที่นำมาเสมอหรือจะ ต่างไปตามลักษณะของการจัดประสบการณ์ให้แก่นักเรียนการสาธิตเป็นกิจกรรมการสอนที่ช่วยให้นักเรียน เข้าใจในเรื่องนั้น ๆ ได้ดีขั้น สรุปได้ว่า วิธีสอนแบบสาธิตเป็นวิธีที่ครูวางแผนมาก่อนอย่างรอบคอบเพื่อแก้ปัญหาในชั้นเรียนใน เรื่องที่โกในห้องเกิดปัญหาวิธีสอนแบบสาธิตเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้เด็กเข้าใจในเนื้อหามากยิ่งขึ้นโดยการ สังเกตสิ่งที่ครูสาธิตอย่างละเอียดและนำสิ่งที่ครูสอนมาปรับใช้ในการทำงานของตน 2.2 จุดมุ่งหมายในการสอนแบบสาธิต สุพิน บุญชูวงศ์(2536 : 53) ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายในการสอนแบบสาธิต ดังนี้ 1. เพื่อกระตุ้นความสนใจให้นักเรียนมีความสนใจในบทเรียนยิ่งขึ้น 2. เพื่อช่วยในการอธิบายเนื้อหาที่ยากซึ่งต้องใช้เวลามาก ให้เข้าใจง่ายขึ้นและประหยัดเวลาบาง เนื้อหาอาจจะอธิบายให้นักเรียนเข้าใจได้ยากการสาธิตจะทำให้นักเรียนได้เห็นขั้นตอนและเกิดความเข้าใจ ง่าย 3. เพื่อพัฒนาการฟังการสังเกตและการสรุปทำการเข้าใจในการสอน โดยใช้วิธีสาธิตนักเรียนจะฟัง คำอธิบายควบคู่ไปด้วยและต้องสังเกตขั้นตอนต่าง ๆ ตลอดจนผลที่ได้จากการสาธิตนั้น 4. เพื่อแสดงวิธีการหรือกลวิธีในการปฏิบัติงานซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด เช่น การทำ กิจกรรมในวิชาคหกรรม ศิลปะ ฯลฯ 5. เพื่อสรุปประเมินผลความเข้าใจในบทเรียน 6. เพื่อใช้ทบทวนบทเรียน


18 เสริมศรี ลักษณศิริ(2542 : 273) กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการสอนแบบสาธิตได้ 8 ข้อ ดังนี้ 1. เพื่อกระตุ้นความสนใจของผู้เรียน 2. เพื่อเน้นคำถามหรือปัญหาใดปัญหาหนึ่งโดยเฉพาะ 3. เพื่ออธิบายหลักการ 4. เพื่อพัฒนาการฟังและการสังเกตอย่างใช้ความคิดของผู้เรียน 5. เพื่อแสดงเทคนิควิธีการ 6. เพื่อสรุปความเข้าใจ 7. เพื่อแสดงวิธีใช้หลักการ 8. เพื่อการทบทวน เรวณี ชัยเชาวรัตน์(2559 : 160) กล่าวว่า วิธีสอนโดยใช้การสาธิตเป็นวิธีการที่มุ่งช่วยให้ผู้เรียนทั้งชั้น ได้เห็นการปฏิบัติจริงด้วยตาตนเองทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจในเรื่องหรือการปฏิบัตินั้นชัดเจนขึ้น อาภรณ์ ใจเที่ยง (2553 : 145) กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของวิธีสอนแบบสาธิตว่าเพื่อแสดงให้ผู้เรียนเกิด ความเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้งและสามารถปฏิบัติตามได้ สรุปได้ว่า วิธีสอนแบบสาธิตมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้นักเรียนเข้าใจในเนื้อหาอย่างชัดเจนโดยการสังเกต ขั้นตอนวิธีการทำจากที่ครูสาธิตอย่างละเอียดและทำตามครูอย่างถูกต้อง 2.3 ลำดับขั้นตอนของวิธีสอนแบบสาธิต สุพิน บุญชูวงศ์ (2536 : 53) ได้บอกขั้นตอนในการสอนของวิธีสาธิต ดังนี้ 1. กำหนดจุดมุ่งหมายของการสาธิตให้ชัดเจน และต้องสาธิตให้เหมาะสมกับเนื้อเรื่อง 2. เตรียมอุปกรณ์ในการสาธิตให้พร้อม และตรวจสอบความสมบูรณ์ของอุปกรณ์ 3. เตรียมกระบวนการสาธิต เช่น กำหนดเวลาและขั้นตอนจะเริ่มต้นดำเนินการและจบลงอย่างไร ผู้สาธิตต้องเข้าใจในขั้นตอนต่าง ๆ เหล่านี้อย่างละเอียดแจ่มแจ้ง


19 4. ทดลองสาธิตก่อนสอนควรทดลองสาธิตเพื่อตรวจสอบความพร้อมตลอดจนผลที่จะเกิดขึ้นเพื่อ ป้องกันข้อผิดพลาดในเวลาสอน 5. ต้องจัดทำคู่มือคำแนะนำหรือข้อสังเกตในการสาธิต เพื่อที่นักเรียนจะใช้ประกอบในขณะที่มี การสาธิต 6. เมื่อสาธิตเสร็จสิ้นแล้วนักเรียนควรได้ทำการสาธิตซ้ำอีกเพื่อเน้นให้เกิดความเข้าใจดีขึ้น 7. จัดเตรียมกิจกรรมหลังจากการสาธิตเพื่อให้นักเรียนเห็นคุณค่าหรือประโยชน์ของการสาธิตนั้น ๆ 8. ประเมินผลการสาธิตโดยพิจารณาจากพฤติกรรมของนักเรียนและผลของการเรียนรู้การ ประเมินผลควรมีกิจกรรมหรือเครื่องมือ เช่น การทดสอบ การให้แสดงความคิดเห็นหรือการอภิปราย ประกอบ อาภรณ์ ใจเที่ยง (2553 : 146) กล่าวว่า ขั้นตอนการสอนแบบสาธิต มี 3 ขั้นตอน ดังนี้ 1. ขั้นเตรียมการสอน 1.1 กำหนดจุดประสงค์ในการสาธิตให้ชัดเจน 1.2 จัดลำดับเนื้อหาตามขั้นตอนให้เหมาะสม 1.3 เตรียมกิจกรรมการเรียนการสอนสิ่งที่จะให้นักเรียนปฏิบัติตลอดจนคำถามที่จะใช้ให้ รอบคอบ 1.4 เตรียมสื่อการเรียนการสอนและเอกสารประกอบให้พร้อม 1.5 กำหนดเวลาในการสาธิตให้พอเหมาะ 1.6 กำหนดวิธีการวัดผลประเมินผลที่ชัดเจน 1.7 เตรียมสภาพห้องเรียนให้เหมาะสมเพื่อให้นักเรียนมองเห็นการสาธิตได้ทั่วถึง 1.8 ทดลองสาธิตเพื่อให้แน่ใจว่าไม่เกิดการติดขัด 2. ขั้นการสาธิต 2.1 บอกจุดประสงค์การสาธิตให้นักเรียนทราบ 2.2 บอกกิจกรรมที่นักเรียนจะต้องปฏิบัติเช่น นักเรียนจะต้องจดบันทึก สังเกตกระบวนการ สรุป ขั้นตอน ตอบคำถาม เป็นต้น


20 2.3 ดำเนินการสาธิตตามลำดับขั้นตอนที่เตรียมไว้ ประกอบกับการอธิบายอย่างชัดเจน 3. ขั้นสรุปประเมินผล 3.1 ผู้สอนเป็นผู้สรุปความสำคัญ ขั้นตอนของสิ่งที่สาธิตนั้นด้วยตนเอง 3.2 ให้ผู้เรียนเป็นผู้สรุป เพื่อประเมินว่าผู้เรียนมีความเข้าใจในบทเรียนนั้น ๆ มากน้อยเพียงใด 3.3 ผู้สอนอาจใช้วิธีการต่างๆเพื่อประเมินว่าผู้เรียนเข้าใจเนื้อเรื่อง ชั้นตอนการสาธิตน้อยเพียงใด เช่น ให้ตอบคำถาม ให้เขียนรายงาน ให้แสดงการสาธิตให้ดู ฯลฯ 3.4 ผู้สอนควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ซักถามหรือแสดงความคิดเห็นภายหลังการสาธิตแล้ว ภาควิชาหลักสูตรและการสอนคณะครุศาสตร์สถาบันราชภัฏอุดรธานี (2539 : 73) ได้บอกถึงขั้นตอน การดำเนินการสอนแบบสาธิต มี 4 ขั้นตอน ดังนี้ 1. ขั้นเตรียมการก่อนการสาธิต 2. ขั้นการสาธิต 3. ขั้นการสรุป 4. ขั้นการวัดและประเมินผล 1.ขั้นเตรียมการก่อนการสาธิต เป็นขั้นตอนแรกที่ครูหรือผู้สาธิตจะต้องมีการเตรียมการล่วงหน้าซึ่งหน้าจะมีขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1.1 ศึกษาบทเรียนหรือเนื้อหาจากคู่มือครูหรือหนังสือประกอบบทเรียนต่าง ๆ เพื่อเลือก กิจกรรมที่จะใช้สาธิตให้เหมาะสมกับเนื้อหาที่จะสอน 1.2 กำหนดจุดมุ่งหมายของบทเรียนให้เป็นจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรม 1.3 เตรียมวัสดุ อุปกรณ์ และเครื่องมือในการสาธิตให้พร้อม 1.4 ผู้สอนหรือผู้สาธิตดูก่อนว่าได้ผลตามที่ต้องการหรือไม่เพื่อจะได้ปรับปรุงแก้ไข 1.5 จัดเตรียมสถานที่ที่จะทำการสาธิต ให้พร้อมและเหมาะสมและให้ผู้เรียนตามารถมองเห็น ได้อย่างทั่วถึง 2. ขั้นการสาธิต ในขั้นการสาธิตมีการดำเนินการดังนี้


21 2.1 การนำเข้าสู่บทเรียนเป็นการที่ผู้สอนเร้าความสนใจของผู้เรียนให้เกิดความสนใจใน บทเรียนและนำประสบการณ์เดิมของผู้เรียนมาเชื่อมโยงกับความรู้ใหม่ 2.2 ครูควรจะเริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามทีละขั้นตอนเพื่อให้ผู้เรียนได้ติดตามบทเรียน ตลอดเวลา 2.3 ขั้นลงมือสาธิต ครูผู้สอนจะต้องบอกให้ผู้เรียนได้สังเกตและติดตามการสาธิตตลอดทุก ระยะและในขณะที่สาธิตผู้สอนควรใช้กระดานดำภาพหรือแผนภูมิประกอบเพื่อแสดงลำดับขั้นตอน ประกอบการสาธิต 2.4 หากเป็นไปได้ควรเปิดโอกาสให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมในการสาธิตได้ด้วย 2.5 ในกรณีที่นักเรียนยังไม่เข้าใจครูควรได้มีการสาธิตซ้ำอีกครั้งหนึ่ง 3. ขั้นสรุป เมื่อมีการสาธิตเสร็จเรียบร้อยดรูดวรจะได้มีการสรุปในประเด็นต่าง ๆ เช่น 3.1 ขั้นตอนของการสาธิตมีขั้นตอนอย่างไรบ้างโดยการนำอภิปรายซักถามให้นักเรียนบอก ขั้นตอนแต่ละชั้น 3.2 ใช้คำถามเพื่อนำไปสู่ข้อสรุปการใช้เครื่องมือในแต่ละขั้นตอน 3.3 ครูอาจให้นักเรียนแสดงขั้นตอน เพื่อเป็นการสรุปทบทวนความเข้าใจ 4. ขั้นวัดและประเมินผล ในขั้นนี้เป็นการสรุปผลในการเรียนการสอนและประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนซึ่งการวัดผล นั้นอาจทำได้ 4.1 ให้ผู้เรียนเขียนสรุปผลของการสาธิต 4.2 ตั้งปัญหาถามให้ผู้เรียนตอบ 4.3 ให้ผู้เรียนทดลองปฏิบัติด้วยตนเอง 4.4 ให้ทำแบบทดสอบหรือแบบฝึกหัด เสริมศรี ลักษณศิริ (2542 : 274) กล่าวถึงลำดับขั้นตอนของวิธีสอนแบบสาธิต ดังนี้ 1. ขั้นสังเกต ครูจัดกิจกรรมหรือสาธิตการทดลองให้นักเรียนสังเกตแล้วเกิดความอยากรู้หรือซักถาม ปัญหา 2. ขั้นอธิบาย ครูปฏิบัติหรือทดลองต่อไปให้นักเรียนสังเกตเพื่ออธิบายที่มาของบัญหาหรือ


22 ตั้งสมมุติฐานขึ้นอธิบายปัญหานั้น โดยครูช่วยแนะนำเพียงเล็กน้อย 3. ขั้นทำนาย เมื่อนักเรียนได้สมมุติฐานแล้วจะคาดการณ์ล่วงหน้า โดยการนำความรู้ที่ได้ไปทำนาย ปรากฎการณ์อื่น ๆ 4. ขั้นควบคุมและสร้างสรรค์ ครูกระตุ้นให้นักเรียนพยายามนำความรู้หรือกฎเกณฑ์สัมพันธ์ของ องค์ประกอบต่าง ๆที่วันพบจากการอธิบายและทำนายมาใช้เพื่อแก้ปัญหาอธิบายสถานการณ์ใหม่ ๆ หรือ วางแผนเพื่อทดสอบสมมุติฐานที่ตั้งขึ้น ยุทธพงษ์ ไกยวรรณ(2541 : 66) กล่าวถึงขั้นตอนวิธีการสาธิต ว่า 1.ก่อนที่จะมีการสาธิตครูผู้สอนจะต้องพร้อมและรู้จุดประสงค์ของบทเรียนควรมีความระลึกในใจ ว่าผู้เรียนจะได้อะไรจากการสาธิตและรู้ว่าการสาธิตจะเริ่มที่ไหนและจบที่ไหน การสาธิตหลายครั้งล้มเหลว เพราะครูผู้สอนไม่สามารถปฏิบัติได้ตามแผนที่วางไว้ 2. เครื่องจักร เครื่องมือ แบบแผนภูมิ ใบโครงงาน ใบงาน ชิ้นงาน ฯลฯ ทุกอย่างต้องพร้อมจึงจะทำ ให้การสาธิตไม่ชะงักครูผู้สอนที่ทำการสาธิตจะต้องรู้ล่วงหน้าว่าจะใช้อะไรจะต้องเตรียมพร้อมก่อนการ สาธิตทุกครั้ง 3. ผู้สาธิตต้องรู้ว่าบริเวณที่สาธิตจะต้องไม่เป็นอุปสรรคในการสังเกตของผู้เรียน เช่น ผู้สังเกต มองเห็นการสาธิตทุกขั้นตอนทุกคน (เรวดี อาษานาม (2536 : 279) ได้เสนอแนะว่า) การสาธิตที่มีผู้เรียน มาก ๆ จะทำผู้เรียนไม่สามารถมองเห็นการสาธิตได้ทุกคนลักษณะนี้ครูผู้สอนควรจะระมัดระวังหรือหา วิธีการในการสาธิตที่จะทำให้ผู้เรียนทุกคนมองเห็นการสังเกตได้ 4. แน่ใจว่าไม่มีอิทธิพลอื่นใดมาป้องกันความสนใจของผู้สังเกต เช่น เสียงรบกวนจากการทำงานของ เครื่องจักรภายในโรงฝึกงาน เป็นต้น 5. อย่าเริ่มการสาธิตก่อนโดยปราศจากการอธิบายอย่างจริงว่าจะสาธิตเกี่ยวกับอะไรและตามด้วย การถามถึงความพร้อม ที่จะดูการสาธิต 6. ทำการสาธิตอย่างช้า ๆ ไม่ทำให้ผู้เรียนพลาดจุดสำคัญของการสาธิตถ้าผู้ทำการสาธิตทำด้วย ความเร็วเหมือนการทำงานในโรงงานผู้เรียนจะพลาดในรายละเอียดทำให้ไม่เข้าใจได้อย่างไรก็ตามถ้า เรียนรู้ทักษะนั้นได้แล้วจะสามารถทำเร็วได้เองด้วยทักษะในการทำงานของเขา


23 7. หยุดบางช่วงเพื่อถามคำถามว่านักเรียนเข้าใจหรือไม่แล้วค่อยทำการสาธิตต่อไป แต่ไม่ควรจะถาม นานเกินไป โดยเห็นแก่ผู้เรียนช้าถ้าจำเป็นจริง ๆ อาจมีการสาธิตซ้ำใหม่สำหรับผู้เรียนที่ยังไม่เข้าใจ 2.4 ประโยชน์ของวิธีสอนแบบสาธิต เรวณี ชัยเชาวรัตน์(2559 : 162) กล่าวถึงข้อดีของวิธีสอนโดยใช้การสาธิต ดังนี้ 1. เป็นวิธีสอนที่ช่วยให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ตรงเห็นสิ่งที่เรียนรู้อย่างเป็นรูปธรรมทำให้เกิด ความเข้าใจและจดจำในเรื่องที่สาธิตได้ดีและนาน 2. เป็นวิธีสอนที่ช่วยประหยัดเวลา อุปกรณ์และค่าใช้จ่าย หากใช้ทดแทนการทดลอง 3. เป็นวิธีที่สามารถสอนผู้เรียนได้จำนวนมาก ภาควิชาหลักสูตรและการสอนคณะครุศาสตร์สถาบันราชภัฏอุดรธานี(2539 : 75) ได้บอกข้อดีหรือ ประโยชน์ของวิธีสอนแบบการสาธิต ว่า 1. การสอนแบบสาธิตเป็นการประหยัด โดยเฉพาะการทดลองที่ต้องใช้วัสดุราคาแพงมีคุณภาพดี 2. การสาธิตเป็นการนำแนวความคิดของนักเรียนไปในแนวทางเดียวกัน เพราะครูสามารถจะแสดง ให้นักเรียน เห็นปัญหาการแปลความหมายข้อมูลทำให้นักเรียนเข้าใจบทเรียนตรงกัน 3. ครูอาจจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เป็นอันตรายต่อนักเรียนโดยการทำการสาธิตทดลองให้ดู 4. การสอนแบบสาธิตเป็นการประหยัดเวลาเพราะเตรียมอุปกรณ์ชุดเดียวจะใช้เวลาไม่มาก สามารถ ใช้กับนักเรียนหลายๆ กลุ่มได้ 5. การสอบแบบสาธิตจะเป็นการทุ่นเวลาในชั้นเรียนอย่างมากเพราะครูจัดเตรียมการสาธิตไว้ ล่วงหน้า 6. การสอนนี้ยังสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการอภิปรายการนำเข้าสู่บทเรียนและนำไปใช้ใน กระบวนการเรียนการสอนอื่น ๆ ได้อีกด้วย อาภรณ์ ใจเที่ยง(2553 : 147) บอกถึงข้อดีหรือประโยชน์ของวิธีการสอนแบบสาธิต ดังนี้ 1. ประหยัดเวลาการลองผิดลองถูกของนักเรียน และประหยัดวัสดุในการสอนเมื่อสาธิตให้ดูเป็นหมู่ หรือที่ชั้น


24 2. นักเรียนสามารถเข้าใจวิธีปฏิบัติได้ดี เพราะเป็นประสบการณ์ตรง มีตัวอย่างให้ดูจับต้องได้ และ เห็นขั้นตอนในการปฏิบัติอย่างชัดเจน 3. เป็นการกระตุ้นการเรียนการสอน เพราะเปิดโอกาสให้นักเรียนร่วมกิจกรรม 4. เป็นการฝึกนักเรียนให้รู้จักสังเกต หาเหตุผล และสรุปหลักเกณฑ์ได้ 2.5การนำวิธีสอนแบบสาธิตไปใช้ อาภรณ์ ใจเที่ยง (2553 : 148-149) ได้กล่าวถึงการนำวิธีสอนแบบสาธิตว่า การสอนแบบสาธิตจะมี คุณค่ามากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับวิธีการสอนอย่างถูกวิธี แนวทางการใช้วิธีสอนแบบสาธิตให้มีประสิทธิภาพ มีดังนี้ 1. ในระหว่างที่ทำการสาธิตผู้สอนต้องเอาใจใส่ต่อผู้เรียนทุกคนโดยมั่นใจว่าผู้เรียนทุกคนได้เห็นและ กำลังสนใจการสาธิตอยู่ 2. ในกรณีที่ผู้สอนเป็นผู้แสดงการสาธิตเองควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมบ้าง เช่น ถ้า เวลามากพออาจให้ผู้เรียนออกมาแสดงบ้างเพื่อเป็นการประเมินผลว่าผู้เรียนเข้าใจบทเรียนนั้นมากน้อย เพียงใด 3. ระหว่างที่ทำการสาธิตควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ซักถามเพราะอาจมีบางจุดหรือบางตอนที่ผู้เรียน สงสัยการตอบปัญหาของผู้สอนเกี่ยวกับข้อสงสัยนั้น ๆ จะทำให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจบทเรียนได้ดี 4. ผู้สอนควรมั่นใจว่าการสาธิตนั้น ๆ มีประโยชน์ต่อผู้เรียนความมั่นใจดังกล่าวอาจใช้วิธีการสังเกตใน โอกาสต่าง ๆไป เช่น เมื่อมีการสาธิตเรื่องมารยาทในการรับประทานอาหารแล้วผู้เรียนนำไปใช้หรือเปล่า ผู้สอนอาจสังเกตได้จากการรับประทานอาหารกลางวันของผู้เรียนว่ามีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปมาก น้อยเพียงใดถ้าพฤติกรรมยังคงเดิมหรือไม่ค่อยมีมารยาทในการรับประทานแล้วผู้สอนอาจใช้วิธีกระตุ้น หรือตักเตือนให้นำสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการสาธิตมาใช้ก็จะเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง 5. ในระหว่างการเรียนการสอนด้วยวิธีการสาธิต ผู้สอนไม่ควรบรรยายหรืออธิบายมากจนเกินไป เพราะจะทำให้การสาธิตขาดความตื่นเต้นเร้าใจไปผู้เรียนเท่ากับได้เรียนรู้บทเรียนนั้นไปแล้วถ้าไม่สาธิตก็ คงเข้าใจดังนั้นผู้สอนก็ควรพิจารณาว่าตอนใดควรเสริมด้วยการอธิบายตอนใดไม่ควรอธิบาย เป็นต้น


25 6. ผู้สอนไม่ควรเร่งการสาธิต กล่าวคือ สาธิตให้ผู้เรียนดูเป็นลำดับขั้นตอนไม่ควรคิดว่าบางอย่าง ผู้เรียนเข้าใจแล้วและข้ามผ่านไปหรือเร่งการสอนจนผู้เรียนไม่เข้าใจก็จะเป็นการทำให้การสาธิตนั้น ๆ ขาด คุณค่าไป (พันพิพา อุทัยสุข. 2532 : 83 - 84) 4.งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการเน้นน้ำหนักแสงและเงาในการวาดภาพ งานวิจัยในประเทศ งานวิจัยของ ชิรวิทย์ ชุติมาวงศ์สกุล (2562 : 17) ที่ทดสอบเรื่อง การพัฒนาทักษะการวาดภาพและ ระบายสีด้วยสีไม้ทิวทัศน์ใต้ท้องทะเลโดยใช้แบบฝึกทักษะการวาดภาพและระบายสีไม้ ด้วยการใช้เทคนิค แสงเงาและการไล่น้ำหนักสี ก่อนการทดลองจัดการเรียนการ สอนปกติเป็นเวลา 1 สัปดาห์ก่อนการทดลอง แล้วจึงนำกลุ่มเป้าหมายมาทำการทดลองในสัปดาห์ที่ 2-7 แล้วทำการทดสอบหลังเรียน ในสัปดาห์ที่ 8 คือ สัปดาห์สุดท้ายกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย ครั้งนี้ได้แก่ เด็กนักเรียนทั้งเพศชายและหญิงที่กำลังศึกษาอยู่ ชั้นประถมศึกษาปีที่5/4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 โรงเรียนวัดสุทธาวาสได้กลุ่มเป้าหมายมาจาก การเลือกแบบเจาะจง(Purposive Sampling) จากนักเรียนที่มีความบกพร่องด้านทักษะการวาดภาพ ระบายสี ที่ไม่ผ่านเกณฑ์จำนวน 14 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 2 แผน แบบฝึกทักษะการแรเงาและการระบายลีที่มีนี้าหนัก และแบบทดสอบก่อน-หลังเรียนใน การทดลองครั้งนี้ดำเนินการในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 เป็นเวลา 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 1 วัน วัน ละ1 ชั่วโมง ในช่วงสัปดาห์แรกและสัปดาห์สุดท้ายคือการทดสอบก่อนและหลังเรียน คือวันที่ 2 ธันวาคม 2562 และวันที่ 20 มกราคม 2563 โดยในสัปดาห์ของการฝึกฝนทักษะการแรงเงาและการระบายสีโดยใช น้ำหนักสี ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2562 -วันที่ 19 มกราคม 2563ยืดหยุ่นเวลาตามความเหมาะสมของ กิจกรรม โดยในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนฝึกทักษะที่วางแผนไว้ หลังการทดสอบ พบว่า เด็กนัก เรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 หลังจากที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนและการฝึกฝนทักษะการแรงเงาและ การระบายสีโดยมีน้ำหนักสี จึงทำให้นักเรียนมีทักษะการวาดภาพระบายสีโดยใช้ทักษะแสงเงาและการ ไล่ น้ำหนักสีเพิ่มสูงขึ้น รุ่งทิวา พงษ์จำปา (2561 : บทคัดย่อ) ที่ทดสอบ เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ทัศน ธาตุและการวาดภาพระบายสีด้วยการใช้น้า หนักแสงเงาตามวงจรสีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 4/5 โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง ซึ่งมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์


26 ทางการเรียนของนักเรียนเรื่อง ทัศนธาตุและการวาดภาพระบายสีด้วยการใช้น้ำหนักแสงเงาตามวงจรสี ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/6โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียน เรื่อง ทัศนธาตุและการวาดภาพระบายสีด้วยการใช้น้ำหนักแสงเงาตามวงจรสีก่อนเรียนและ หลังเรียนโดยจัดการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/5 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ที่กำลังศึกษาในภาคเรียน ที่ 1 ปี การศึกษา 2561 จำนวน 5 คน โดยใช้วิธีเลือกแบบเจาะจง(Purposive selection) เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัย คือ 1) แบบฝึกเสริมทักษะสาระการเรียนรู้ศิลปะเรื่อง ทัศนธาตุและการวาดภาพระบายสีด้วย การใช้น้า หนักแสงเงาตามวงจรสี มีผลความเหมาะสมอยูใ่ นระดับดีมาก( = 4.82 , S.D. = 0.26) 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ทัศนธาตุและการวาดภาพระบายสีด้วยการใช้น้า หนักแสง เงาตามวงจรสีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับจุดประสงค์การเรียนรู้(IOC) ซึ่งมีค่าระหว่าง 0.67-1.00 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า 1.) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน เรื่อง ทัศนธาตุและการวาดภาพระบายสีด้วยการใช้น้ำหนักแสง เงาตามวงจรสี โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะอยูในระดับผ่านเกณฑ์( = 17.00 , S.D. =1.58) 2.) ผลการ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน เรื่อง ทั้งการวาดภาพระบายสีโดยใช้น้ำหนักแสงเงา ก่อน เรียนและหลังเรียน โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะพบว่า หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน วชิรวิทย์ ชุติมาวงษ์สกุล (2564 : บทคัทย่อ) ที่ทดสอบ เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การวาดภาพด้วยการใช้ค่าน้ำหนักแสงเงา (Value) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้แบบฝึกพัฒนา ทักษะการวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง ซึ่งมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ นักเรียนเรื่อง การวาดภาพด้วยการใช้ค่าน้ำหนักแสงเงา (Value) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้ แบบฝึกพัฒนาทักษะ 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน เรื่อง การวาดภาพด้วยการ ใช้ค่าน้ำหนักแสงเงา (Value) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้แบบฝึกพัฒนาทักษะก่อนเรียนและ หลังเรียน โดยจัดการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกพัฒนาทักษะ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนวัดสุทธาวาส อ.บางละมุง จ.ชลบุรีที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2564 จำนวน 10 คน โดยใช้วิธีเลือกแบบเจาะจง (Purposive selection) เครื่องมือที่ใช้ในการ วิจัย คือ 1) แบบฝึกพัฒนาทักษะสาระการเรียนรู้ศิลปะ เรื่อง การวาดภาพด้วยการใช้ค่าน้ำหนักแสงเงา


27 (Value) มีผลความเหมาะสมใช้ได้ ค่า IOC ผลรวม 0.86 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การวาดภาพด้วยการใช้ค่าน้ำหนักแสงเงา (Value) ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับ จุดประสงค์กการเรียนรู้ (IOC) ซึ่งมีค่าระหว่าง 0.66-1.00 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนเรื่อง การวาดภาพด้วยการ ใช้ค่าน้ำหนักแสงเงา (Value) โดยใช้แบบฝึกพัฒนาทักษะอยู่ในระดับผ่านเกณฑ์ ( = 18.7 , S.D. = 1.41) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนเรื่องการวาดภาพด้วยการใช้ค่าน้ำหนักแสงเงา (Value)โดยใช้แบบฝึกพัฒนาทักษะก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะพบว่าผู้เรียนมี ความก้าวหน้าทางการเรียนเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 65.78 โดยสรุปแบบฝึกพัฒนาทักษะการวาดภาพด้วย การใช้ค่าน้ำหนักแสงเงา (Value) ที่ได้พัฒนาขึ้นนี้เป็นสื่อที่มีประสิทธิภาพเหมาะสมผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาทัศนศิลป์2 ดีขึ้นและ สามารถนำไปใช้ในการเรียนการสอนได้ สุพัตรา คงรอด (2564 : บทคัดย่อ) ได้ทดสอบ เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ทัศนธาตุ และการวาดภาพระบายสีด้วยการใช้น้ำหนักแสงเงาตามวงจรสีรายวิชาสีโปสเตอร์ ศ30203 ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 6 ผู้วิจัย นางสาวสุพัตรา คงรอด ปีที่วิจัยแล้วเสร็จ 2565 การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ทัศนธาตุ และการวาด ภาพระบายสีด้วยการใช้น้ำหนักแสงเงาตามวงจรสีรายวิชาสีโปสเตอร์ ศ30203 ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 6 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน เรื่อง ทัศนธาตุและการวาด ภาพระบายสีด้วยการใช้น้ำหนักแสงเงาตามวงจรสีรายวิชาสีโปสเตอร์ ศ30203 ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษา ปีที่ 6 การวาดภาพระบายสีด้วยการใช้น้ำหนักแสงเงาตามวงจรสีก่อนเรียนและหลังเรียน โดย จัดการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนปากน้ำชุมพรวิทยา กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2564 จำนวน 5 คน โดยใช้วิธีเลือกแบบเจาะจง (Purposive selection) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แบบฝึกเสริม ทักษะแบบฝึกทักษะ เรื่อง ทฤษฎีการใช้สี มีผลความเหมาะสม อยู่ในระดับดีมาก 2) แบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ทัศนธาตุและการวาดภาพระบายสีด้วยการใช้น้ำหนักแสงเงาตามวงจรสี ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ทัศน ธาตุและการ วาด ภาพระบายสีด้วยการใช้น้ำหนักแสงเงาตามวงจรสีรายวิชาสีโปสเตอร์ ศ30203 ของ นักเรียนชั้น มัธยมศึกษา ปีที่ 6 โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะอยู่ในระดับผ่านเกณฑ์ 2. ผลการเปรียบเทียบ


28 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน เรื่อง ทั้งการวาดภาพระบายสีโดยใช้น้ำหนักแสงเงา ก่อนเรียนและ หลังเรียน โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะพบว่า หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน งานวิจัยต่างประเทศ ยู่ชิง จี (Yuqing Ji. 2016 : อ้างอิงจาก ATLANTIS PRESS, 2559 : 331) ได้ศึกษา รูปร่าง แสงและ เงาเกี่ยวกับศิลปะในการใช้ความคิดในเกม โดยมุ่งเน้นไปที่เทคนิคการสร้างแบบจำลองที่สำคัญในการ แสดงออกของการออกแบบเกมต้นฉบับ ภาพของเกมในการออกแบบการใช้แสงเป็นสิ่งที่สำคัญของการ สร้างแบบจำลองของแสงและเงา แสงแบ่งออกเป็นห้าโทนสีหลัก สเปกตรัม แสงสะท้อน และการเปลี่ยนสี แบ็คไลท์, การฉายภาพ ลักษณะเหล่านี้คือการสร้างภาพวาดดั้งเดิมของเกมของเราจะใช้แสงและเงาในการ สร้างแบบจำลองของการแสดงออกเพราะคุณภาพของเกมคือปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ระดับที่ละเอียดอ่อน ได้รับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ระดับความนุ่มนวลของแสงในระดับที่ดีส่งผลต่อรายละเอียดของภาพใน เกม วิธีจับแสงที่สวยงามและนุ่มนวล ภาพจริงของเกมเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาในการสร้าง วรรณกรรม นาเดซดา วลาดิมิโรวา บลาโกวา (Nadezda Vladimirova Blagoeva. 2019 : อ้างอิงจาก มหาวิทยาลัยเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์.2562) ได้ศึกษาเกี่ยวกับ การบูรณาการรูปแบบศิลปะร่วมสมัยใน การสอนทัศนศิลป์แก่นักเรียนชั้นประถมศึกษาในชมรมศิลปะหลังเลิกเรียน โดยกล่าวถึงปัญหาเกี่ยวกับการ สอนทัศนศิลป์เชิงบูรณาการตามโครงการสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาที่เข้าร่วมกิจกรรมหลังเลิกเรียน สำรวจผลการสอนของการใช้รูปแบบศิลปะร่วมสมัยและวัสดุเพื่อส่งเสริมการสร้างความรู้ร่วมกัน และ ค้นคว้ากระบวนการเหล่านี้ในห้องเรียนจากมุมมองของครู รูปแบบศิลปะร่วมสมัยที่ผสมผสานกันโดย ธรรมชาติถูกมองว่าเป็นวิธีที่เหมาะสมในการแนะนำนักเรียนให้รู้จักวิธีการที่หลากหลายในการมองโลก รอบตัวพวกเขา และใช้ความรู้ที่ได้รับจากวิชาอื่น ๆ วัสดุรีไซเคิล สำหรับการก่อสร้างงานศิลปะ ผลจากการ วิจัยเชิงปฏิบัติการนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าแนวทางการสอนทัศนศิลป์ดังกล่าวส่งเสริมการทำงานร่วมกันและการ ชื่นชมศิลปะ และมีส่วนช่วยในการพัฒนาความตระหนักด้านสุนทรียะของนักเรียนในโลกที่ทัศนศิลป์มี อิทธิพลเหนือทุกด้านในชีวิตของเรา


29 จากงานวิจัยทั้งในและต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการเน้นน้ำหนักแสงและเงาในการวาดภาพ สรุปได้ว่า การเน้นน้ำหนักแสงและเงาในการวาดภาพมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นพื้นฐานในการทำงาน ทัศนศิลป์ ไม่ว่าจะเป็นการดอร์อิ้งด้วยมือ การลงสีชนิดต่าง ๆ รวมทั้งการออกแบบในโปรแกรมต่าง ๆอีก ด้วย โดยความสำคัญของแสงและเงาคือการช่วยเพิ่ม value ให้ภาพนั้น ๆให้มีมิติมากขึ้นจากเดิม 5.วิจัยที่เกี่ยวข้องกับวิธีสอนแบบสาธิต งานวิจัยในประเทศ สุมาลี ทองคํา (2562 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษา เรื่อง การจัดการเรียนรูแบบสาธิตเพื่อพัฒนาทักษะการ ปฏิบัติทารํามือและเทาใหถูกตองตามแบบแผนทารํานาฏศิลป์ไทยของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตร วิชาชีพ (ปวช.)วิทยาลัยเทคโนโลยีอรรถวิทยพณิชยการ มีวัตถุประสงคเพื่อพัฒนาทักษะนาฏศิลป์ไทยของ นักศึกษาระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ วิทยาลัยเทคโนโลยีอรรถวิทยพณิชยการ ใหมีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนบรรลุตามวัตถุประสงค และเพื่อศึกษาความพึงพอใจตอการจัดเรียนการสอนโดยวิธีการสอนแบบ สาธิตด้านนาฏศิลป์ไไทย เรื่อง รําวงมาตรฐาน ของนักศึกษาระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพวิทยาลัย เทคโนโลยีอรรถวิทยพณิชยการ กลุมตัวอย่างคือ นักศึกษาวิทยาลัยเทคโนโลยีอรรถวิทยพาณิชยการ ทั้ง ระดับชั้น ปวช. ในภาคเรียนที่ 1-2 ปการศึกษา 2562 จำนวน 50 คน เครื่องมือที่ใชในการวิจัย ได้แก่ แบบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใชในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ คาเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ คา t – test Dependent ผลการวิจัยพบวา 1.) จากการจัดการ เรียนรูแบบสาธิตเพื่อพัฒนาทักษะการปฏิบัติทารํามือและเทาใหถูกตองตามแบบแผนทารํานาฏศิลป์ไทย พบวา คาเฉลี่ยคะแนนหลังเรียนสูงกวาค่าเฉลี่ยคะแนนก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 แสดงวา การจัดการเรียนรูแบบสาธิตทำใหนักศึกษามีพัฒนาทักษะการปฏิบัติทารํามือและเทาใหถูกตอง ตามแบบแผนทารํานาฏศิลป์ไทย โดยคะแนนหลังเรียนสูงกวาคะแนนก่อนเรียน 2.) ความพึงพอใจตอการ จัดการเรียนรูแบบสาธิต โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายขอพบวา ประเด็น การเรียนโดยวิธีการ สอนแบบสาธิตเป็นการเรียนที่นาสนใจ อยู่ระดับมากที่สุด รองลงมา การเรียนโดยวิธีการสอนแบบสาธิต ทำใหนักศึกษามีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นอยู่ในระดับมาก และขอที่มีคาเฉลี่ยต่ำสุด คือ การเรียนโดย วิธีการสอนแบบสาธิตสามารถสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ได้


30 กมลทิพย์ บริบูรณ์ และ ดร.กานต์ตะรัตน์ วุฒิเสลา (2557 : 1996) ได้ศึกษา เรื่อง การจัดการเรียนรู้ โดยใช้เทคนิคการสอนแบบสาธิต เรื่องอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 การศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ศึกษาความกาวหน้าทางการเรียน และศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนหลังเรียนโดยการจัดการเรียนรู้ ด้วยเทคนิคการสอนแบบสาธิต เรื่องอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 5 จำนวน 30 คน ปีการศึกษา 2557 แบบแผนการทดลองแบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนเรียนหลังเรียน ข้อมูลถูกเก็บรวบรวมโดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจ ข้อมูลดังกล่าวนำมาวิเคราะห์ด้วยสถิติทดสอบที่ความกาวหน้าทางการเรียนค่าเฉลี่ยเลขคณิต ค่าร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ค่าเฉลี่ยแตกต่างกันใน การสอบก่อนเรียนและหลงเรียนด้วยนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ความก้าวหน้าทางการเรียนทั้งชั้นเรียน อยู่ในระดับสูง (ค่าจีเท่ากับ 0.70) นักเรียนมีความพึงพอใจระดับมากที่สุดต่อเทคนิคการสอนแบบสาธิต (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.54) งานวิจัยต่างประเทศ Prof. Nneka R. Nnorom (Prof. Nneka R. Nnorom. 2022 : อ้างอิงจาก Department of Science Education Nnamdi Azikiwe University Awka ) ได้ศึกษาเรื่อง ผลของการปฏิบัติงานใน ห้องปฏิบัติการและวิธีการสาธิตต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสนใจในวิชาเคมีของนักเรียน การ ออกแบบที่นำมาใช้ในการศึกษานี้เป็นการออกแบบการวิจัยกึ่งทดลอง กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยนักเรียน เคมี SS2 จำนวน 96 คน ที่เลือกจากเขตการศึกษาหนึ่งในรัฐเอนูกู ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงเพื่อ คัดเลือกโรงเรียนสหศึกษา 2 แห่งจากเขตพื้นที่ โรงเรียนแห่งหนึ่งใช้สำหรับปฏิบัติการในห้องปฏิบัติการ (LPW) ประกอบด้วยนักศึกษาวิชาเคมี 50 คน (หญิง 30 คน และชาย 20 คน) ในขณะที่อีกโรงเรียนหนึ่งใช้ สำหรับวิธีการสาธิต (DM) ประกอบด้วยนักศึกษาเคมี 46 คน (หญิง 14 คน และชาย 32 คน)เกณฑ์คือ โรงเรียนต้องเสนอผู้สมัครสอบใบรับรองโรงเรียนอาวุโสแห่งแอฟริกาตะวันตก (WASSCE) อย่างน้อยสาม ครั้ง ประการที่สอง โรงเรียนต้องมีครูสอนเคมีที่มีคุณสมบัติพร้อมและมีประสบการณ์อย่างน้อยห้าปี เพื่อ การศึกษาที่มีประสิทธิภาพ 4 จุดประสงค์ของการศึกษา 4 คำถามวิจัย และ 4 สมมติฐานที่ผู้วิจัยกำหนดขึ้น เครื่องมือสองอย่างที่นักวิจัยพัฒนาขึ้นมีชื่อว่าการทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกรด-เบส (ABAT) และความสนใจในการเรียนรู้วิชาเคมี (CLI) ABAT จัดทำขึ้นตามแนวคิดเคมีของการวิเคราะห์เชิงปริมาตร


31 และ CLI จัดทำขึ้นตามความสนใจที่รับรู้ของนักศึกษาวิชาเคมีที่มีค่าความเที่ยงเท่ากับ .81 และ .76 โดยใช้ แบบทดสอบ Kuder Richardson 21 และ Cronbach alpha technique สิ่งนี้บ่งชี้ว่าเครื่องมือมีความ น่าเชื่อถือ เครื่องมือได้รับการพิจารณาโดยผู้เชี่ยวชาญสองคนจากกรมวิทยาศาสตร์ศึกษา ใช้ค่าเฉลี่ยและ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเพื่อตอบคำถามการวิจัยในขณะที่ใช้การทดสอบค่า t เพื่อทดสอบสมมติฐานว่าง ผลการวิจัยพบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนที่สอนวิชาเคมีร่วมกับ ปฏิบัติการปฏิบัติการปฏิบัติการ (LPW) แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และนักเรียนที่สอนด้วยวิธี สาธิต (DM) โดยชอบวิธี LPW อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ความแตกต่างของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ นักเรียนชายและหญิงที่สอนวิชาเคมีโดย LPW ได้ประโยชน์จากนักเรียนหญิง มีความแตกต่างทางสถิติของ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชายและหญิงที่สอนวิชาเคมีด้วย DM โดยได้รับผลประโยชน์จาก นักเรียนชาย มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในด้านความสนใจของนักเรียนที่สอนวิชาเคมี ด้วย LPW และ DM เพื่อประโยชน์ของ LPW มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญในความสนใจของนักเรียนชาย และหญิงที่สอนวิชาเคมีด้วย LPW เพื่อประโยชน์ของนักเรียนหญิง และความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญใน ความสนใจของนักเรียนชายและหญิงที่สอนวิชาเคมีโดย DM เพื่อประโยชน์ของผู้ชาย นักเรียน จาก ผลการวิจัยเหล่านี้ได้ข้อสรุปและข้อเสนอแนะ ฮาริช ราวิจันดาร์, อธานาซิออส เอส. โพลีโดรอส, โซเนีย เชอร์โนวา และออด บิลลาร์ด(Harish Ravichandar, Athanasios S. Polydoros, Sonia Chernova and Aude Billard.2019 : อ้างอิงจาก Annual Reviews, 2562) ได้ศึกษาบริบทของวิทยาการหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ การเรียนรู้จากการ สาธิต (LfD) เป็นกระบวนทัศน์ที่หุ่นยนต์ได้รับทักษะใหม่โดยการเรียนรู้ที่จะเลียนแบบผู้เชี่ยวชาญ ทางเลือกของ LfD เหนือวิธีการเรียนรู้ของหุ่นยนต์อื่น ๆ เป็นสิ่งที่น่าสนใจเมื่อพฤติกรรมในอุดมคติไม่ สามารถเขียนสคริปต์ได้ง่ายๆ(ดังที่ทำในการเขียนโปรแกรมหุ่นยนต์แบบดั้งเดิม)หรือกำหนดเป็นปัญหาการ ปรับให้เหมาะสมได้ง่าย แต่สามารถแสดงให้เห็นได้ แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีการสำรวจสาขานี้หลายครั้ง แต่ก็มี ความจำเป็นสำหรับการสำรวจครั้งใหม่เนื่องจากจำนวนสิ่งพิมพ์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การทบทวนนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ภาพรวมของการรวบรวมวิธีการเรียนรู้ของเครื่องที่ใช้เพื่อให้หุ่นยนต์ เรียนรู้และเลียนแบบครู เรามุ่งเน้นที่ความก้าวหน้าล่าสุดในสาขานี้ และนำเสนออนุกรมวิธานที่อัปเดตและ ลักษณะเฉพาะของวิธีการที่มีอยู่ นอกจากนี้ เรายังหารือเกี่ยวกับขอบเขตการใช้งานที่เติบโตเต็มที่และ เกิดขึ้นใหม่สำหรับ LfD และเน้นถึงความท้าทายสำคัญที่ยังคงต้องเอาชนะทั้งในทางทฤษฎีและทางปฏิบัติ


32 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ของการเรียนรายวิชาทัศนศิลป์ เรื่อง การ เน้นน้ำหนักแสงเงาโดยใช้การสาธิตสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ซึ่ง ในการวิจัยได้ดำเนินตามขั้นตอน ดังต่อไปนี้ 1. การกำหนดประชากรและการเลือกกลุ่มตัวอย่าง 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3. การสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมือ 4. แบบแผนและวิธีดำเนินการทดลอง 5. การวิเคราะห์ข้อมูล 6. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1. การกำหนดประชากรและการเลือกกลุ่มตัวอย่าง ประชากร ประชากรในการวิจัยในครั้งนี้ คือ นักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2566 โรงเรียนพิบูลย์รักษ์พิทยา อำเภอพิบูลย์รักษ์ จังหวัดอุดรธานี สำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศึกษา เขต 20 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาในครั้งนี้ คือ นักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนพิบูลย์รักษ์พิทยา อำเภอพิบูลย์รักษ์ จังหวัดอุดรธานี สำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศึกษา เขต 20 จำนวน 21 คน จากนักเรียนทั้งหมด 35 คน จากการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบ กลุ่ม (Cluter Random Sampling)


33 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาการวิเคราะห์ข้อมูลจากการสํารวจข้อมูลเบื้องต้น และสร้างเครื่องมือที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการวิจัยในครั้งนี้ 1. แผนการจัดการเรียนรู้การเปรียบเทียบทักษะการเน้นน้ำหนักแสงเงาโดยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบ สาธิต ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 4 แผน แบ่งออกเป็นทั้งหมด 3 วงจร ได้แก่ วงจรที่ 1 จำนวน 2 แผน แผนละ 4 ชั่วโมง วงจรที่ 2 จำนวน 1 แผน แผนละ 4 ชั่วโมง วงจรที่ 3 จำนวน 1 แผน แผนละ 4 ชั่วโมง รวมวงจรทั้งหมดได้16 ชั่วโมง ซึ่งมีค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 1.00 ทุกแผน 2. แบบทดสอบความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการเน้นน้ำหนักแสงเงาแบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ ซึ่งมีค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 1.00 ทุกข้อมีค่าระดับความยาก (p) อยู่ระหว่าง 0.37-0.64 และค่า อำนาจจําแนก (r) อยู่ที่ระหว่าง 0.40-0.78 และได้ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบนี้ เท่ากับ 0.92 3. แบบประเมินทักษะการเน้นน้ำหนักแสงเงาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ทั้ง 4 ด้านมีค่าดัชนี ความสอดคล้องเท่ากับ 1.00 และได้ให้ผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่านประเมินค่าความเชื่อมั่น ได้ค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.92 3. การสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมือ การสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการทดลองและเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวม ข้อมูล มีขั้นตอนการดำเนินการดังนี้ 1.แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง รูปร่าง-รูปทรงกับค่าน้ำหนักอ่อนแก่ โดยใช้วิธีการสอนแบบสาธิต ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างดังต่อไปนี้ 1.1 ศึกษาและวิเคราะห์สาระการเรียนรู้มาตรฐานการเรียนรู้ตัวชี้วัดของรายวิชาทัศนศิลป์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามที่กำหนดในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 และศึกษารายละเอียด ตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเน้นน้ำหนักแสงเงาในการวาดภาพ


34 1.2 ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี เอกสาร ตำรา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับวิธีการสอนและกระบวนการ สอนแบบสาธิต และทักษะการเน้นน้ำหนักแสงเงาสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 1.3 ดำเนินการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง การเน้นน้ำหนักแสงเงาในการวาดภาพโดยวิธีการ สอนแบบสาธิต 1.4 นำแผนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาจำนวน 3 ท่าน พิจารณา ปรับปรุงแก้ไขและให้ข้อเสนอแนะ 1.5 นำแผนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาจำนวน 3 ท่านพิจารณา เพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ของแผนการสอน โดยพิจารณาจากค่าดัชนี ความสอดคล้อง (Index of item objective congruence :IOC) ระหว่างจุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหา กระบวนการจัดการเรียนรู้และการวัดและประเมินผลโดยใช้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละท่านพิจารณาตรวจสอบให้ คะแนน ดังนี้ ให้คะแนนเป็น +1 เมื่อแน่ใจว่าองค์ประกอบนั้นมีความเหมาะสมและสอดคล้องกัน ให้คะแนนเป็น 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าองค์ประกอบนั้นมีความเหมาะสมและสอดคล้องกัน ให้คะแนนเป็น -1 เมื่อแน่ใจว่าองค์ประกอบนั้นมีความไม่เหมาะสมและไม่สอดคล้องกัน แล้วนำคะแนนที่ได้จากผู้เชี่ยวชาญคำนวณหาดัชนี (Index of item objective congruence :IOC) ได้ ดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.60-1.00 1.6 นำแบบทดสอบ เรื่อง การเน้นน้ำหนักแสงเงาในการวาดภาพโดยวิธีการสอนแบบสาธิตที่ ปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญไปทดลองสอนกับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างเพื่อหา ข้อบกพร่องของแบบทดสอบแล้วปรับปรุงแก้ไขอีกครั้งให้สมบูรณ์ 1.7 นำแบบทดสอบ เรื่อง การเน้นน้ำหนักแสงเงาในการวาดภาพโดยวิธีการสอนแบบสาธิตที่ ปรับปรุงแก้ไขสมบูรณ์แล้วไปทดลองใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 35คน ต่อไป 2. แบบฝึกทักษะการเน้นน้ำหนักแสงเงาในการวาดภาพ ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้าง ดังนี้ 2.1 ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี เอกสาร ตำรา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการประเมินทักษะการเน้น น้ำหนักแสงเงาในการวาดภาพ


35 2.2 กำหนดจุดประสงค์และวิธีการสร้างแบบประเมินทักษะการเน้นน้ำหนักแสงและเงาในการวาด ภาพ 2.3 ดำเนินการสร้างคู่มือการใช้แบบประเมินทักษะการเน้นน้ำหนักในการวาดภาพ 2.4 นำแบบประเมินทักษะการปั้นที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญด้านทัศนศิลป์จำนวน 3 ท่าน เพื่อตรวจสอบความถูกต้องและความเหมาะสม แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข โดยให้ผู้เชี่ยวชาญ พิจารณาลง ความคิดเห็น โดยมีเกณฑ์การพิจารณาการให้คะแนน ดังนี้ ให้คะแนน +1 เมื่อแน่ใจว่าองค์ประกอบนั้นเหมาะสมและสอดคล้อง ให้คะแนน 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าองค์ประกอบเหมาะสมและสอดคล้อง ให้คะแนน -1 เมื่อแน่ใจว่าองค์ประกอบนั้นไม่เหมาะสมและสอดคล้องแล้วนำมา คำนวณหาค่า IOC 2.5นำแบบประเมินทักษะการเน้นน้ำหนักแสงเงาในการวาดภาพที่ผ่านการตรวจสอบจาก ผู้เชี่ยวชาญมาปรับปรุงแก้ไขตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ 2.6 นำแบบประเมินทักษะการเน้นน้ำหนักแสงเงาในการวาดภาพที่ปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำ ผู้เชี่ยวชาญไปทดลองสอนกับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างเพื่อหาข้อบกพร่องของแบบประเมินแล้วนำมา ปรับปรุงแก้ไขอีกครั้งให้สมบูรณ์ 2.7 นำแบบประเมินทักษะการเน้นน้ำหนักแสงเงาในการวาดภาพที่แก้ไขสมบูรณ์แล้วไปทดลองใช้ กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 ที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 30 คน ต่อไป 4. แบบแผนและวิธีดำเนินการทดลอง 4.1 แบบแผนการทดลอง การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Design) ซึ่งผู้วิจัยได้ดำเนินการทดลองโดย อาศัยการวิจัยแบบการทดลองกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลังการทดลองตามแบบแผนการวิจัยแบบ (One Group Pretest - Posttest Design) ดังตารางที่ 1


36 กลุ่ม สอบก่อน ทดลอง สอบหลัง 1 2 ตารางที่ 2 แบบแผนการทดลอง สัญลักษณ์ที่ใช้ในแบบแผนการทดลอง E แทน กลุ่มทดลอง T1 แทน การทดสอบก่อนเรียน (Pretest) X แทน การจัดกิจกรรมการเน้นน้ำหนักแสงเงาในการวาดภาพ T2 แทน การทดสอบหลังเรียน (Posttest) 4.2 วิธีการดำเนินการทดลอง การทดลองครั้งนี้ดำเนินการในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โดยกลุ่มทดลองจะได้รับการจัด กิจกรรมการเน้นน้ำหนักแสงเงาในการวาดภาพซึ่งทดลองในช่วงคาบเรียนวิชาทัศนศิลป์โดยทดลอง 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 วัน ( วันอังคาร วันพฤหัสบดี) วันละ 50 นาที รวมเป็นระยะเวลาในการทดลองทั้งสิ้น 16 ครั้ง ซึ่งมีขั้นตอน ดังนี้ 1. ทำหนังสือขออนุญาตดำเนินการศึกษา เรื่อง การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ของการเรียนรายวิชา ทัศนศิลป์ เรื่องการเน้นน้ำหนักแสงเงาโดยใช้การสาธิตสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เสนอต่อ ผู้อำนวยการโรงเรียนนักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนพิบูลย์รักษ์พิทยา อำเภอพิบูลย์รักษ์จังหวัดอุดรธานี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 20 2. สร้างความคุ้นเคยกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างในห้องเรียน เป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์ 3.แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการเน้นน้ำหนักแสงเงาในการวาดภาพโดยวิธีการสาธิตให้ ผู้ปกครองของกลุ่มตัวอย่างทราบถึงกระบวนการในการดำเนินการจัดกิจกรรมและบทบาทของผู้ปกครอง ในการส่งเสริมทักษะการเน้นน้ำหนักแสงเงาในการวาดภาพให้กับนักเรียน 4. ก่อนทำการทดลองผู้วิจัยทำการประเมิน (Pretest) กับกลุ่มตัวอย่าง35คน โดยใช้แบบประเมิน ทักษะการเน้นน้ำหนักแสงเงาในการวาดภาพ ซึ่งครูกำหนดหัวข้อประกอบ 5 ข้อเพื่อเป็นหัวข้อในการ ประเมิน


37 5. ผู้วิจัยดำเนินการทดลองกับนักเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่างตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้าง ขึ้น เป็นเวลา 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 วัน ซึ่งเป็นวันอังคาร และวันพฤหัสบดี วันละ 50 นาที ในช่วงคาบ เรียนวิชาทัศนศิลป์ 6. เมื่อครบ 8 สัปดาห์แล้ว ทำการประเมินทักษะการเน้นน้ำหนักแสงเงาในการวาดภาพหลังการ ทดลอง (Posttest) ด้วยแบบประเมินทักษะการเน้นน้ำหนักแสงเงาในการวาดภาพฉบับเดียวกับก่อนการ ทดลอง 7. เมื่อสิ้นสุดการทดลองแล้วนำข้อมูลที่ได้จากแบบประเมินในข้อ 4 และข้อ 6 มาวิเคราะห์ด้วย วิธีการทางสถิติ 5. การวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 1. ผู้วิจัยนำข้อมูลไปหาค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) 2. ผู้วิจัยได้นำข้อมูลทักษะการเน้นน้ำหนักแสเงาในการวาดภาพของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มา เปรียบเทียบกันระหว่างก่อนและหลังการทดลอง โดยใช้การทดสอบแบบไม่อิสระ (t-test for Dependent Sample) 6. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ใช้สถิติ ดังนี้ 1. สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพเครื่องมือ 1.1 หาค่าความเที่ยงตรง (Validity) โดยการหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างเนื้อหาข้อคำถาม กับจุดประสงค์ (Index of Item-Objective Congruence: IOC) คำนวณจากสูตร (ล้วนสายยศ และ อังค นา สายยศ. 2539: 248) สูตร ̅= ∑


38 เมื่อ IOC = ดัชนีความสอดคล้อง ∑R = ผลรวมคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ N = จำนวนผู้เชี่ยวชาญ 1.2 ค่าความยากง่าย (p) ค่าอำนาจจำแนก (r) เป็นรายข้อของแบบฝึกทักษะการเน้นน้ำหนักแสง เงาในการวาดภาพคำนวณผลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ 1.3ค่าความเชื่อมั่น ของแบบฝึกทักษะการเน้นน้ำหนักแสงเงาในการวาดภาพใช้โปรแกรมสำเร็จรูป ทางสถิติ 2. สถิติพื้นฐานที่ใช้ในการบรรยายข้อมูล สถิติพื้นฐานที่ใช้ในการบรรยายข้อมูลคำนวณโดยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ ประกอบด้วย 2.1 ค่าเฉลี่ย (Mean) 2.2 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) 3. สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน ผู้วิจัยได้คำนวณโดยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติเปรียบเทียบทักษะการเน้นน้ำหนักแสงเงาในการ วาดภาพของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนพิบูลย์รักษ์พิทยาก่อนและหลังการเรียนด้วยวิธีการ จัดการเรียนการสอนแบบสาธิต โดยใช้การทดสอบทีแบบไม่อิสระ (t-test for Dependent Sample)


39 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ของการเรียนรายวิชาทัศนศิลป์ เรื่องการ เน้นน้ำหนักแสงเงาโดยใช้การสาธิตสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1(Demonstration Method) ซึ่ง ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบทดสอบก่อนเรียนแบบประเมินผลงานของนักเรียนนํามาวิเคราะห์ด้วย วิธีการทางสถิติ ซึ่งผู้วิจัยนําเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้ ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ของการเรียนรายวิชาทัศนศิลป์ เรื่องการเน้นน้ำหนักแสงเงา โดยใช้การสาธิตสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ของการเรียนรายวิชาทัศนศิลป์ เรื่อง การเน้นน้ำหนักแสงเงาโดยใช้การ สาธิต สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (Demonstration Method) ผู้วิจัยได้นําคะแนนของนักเรียน เป็นรายบุคคลจากการทดสอบก่อนเรียน เรื่อง ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการเน้นน้ำหนักแสงเงามีทั้งหมด 20 ข้อ คะแนนเต็ม 10 คะแนน มาวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าร้อยละ ดังแสดงใน ตาราง ตารางที่ 3 คะแนนค่าเฉลี่ย ร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการเน้น น้ำหนักแสงเงาก่อนเรียนและหลังการได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนแบบสาธิต (Demonstration Method) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เลขที่ ก่อนจัดการเรียนรู้ หลังจัดการเรียนรู้ คะแนนที่ได้ ร้อยละ คะแนนที่ได้ ร้อยละ 1 5 50 8 80


40 เลขที่ ก่อนจัดการเรียนรู้ หลังจัดการเรียนรู้ คะแนนที่ได้ ร้อยละ คะแนนที่ได้ ร้อยละ 2 3 30 7 70 3 7 70 10 100 4 4 40 8 80 5 4 40 9 90 6 6 60 10 100 7 5 50 9 90 8 5 50 8 80 9 4 40 10 100 10 3 30 8 80 11 3 30 9 90 12 5 50 8 80 13 1 10 10 100 14 2 20 8 80 15 5 50 10 100 16 6 60 10 100 17 7 70 10 100 18 4 40 8 80


41 19 4 40 8 80 20 4 40 9 90 21 5 5 9 90 22 8 80 10 100 23 5 50 8 80 24 6 60 9 90 25 6 60 9 90 26 7 70 10 100 27 6 60 10 100 28 4 40 10 100 29 2 20 8 80 30 5 50 9 90 31 6 60 9 90 32 5 50 9 90 33 7 70 10 100 34 7 70 9 90 35 7 70 10 100 เฉลี่ย 4.94 49.40 9.09 90.90 S.D. 1.64 16.40 0.82 8.20


Click to View FlipBook Version