แผนการจัดการเรียนรู้
วิชา วิทยาศาสตรก์ ายภาพ 1 (ว32121)
กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ระดับช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 5 โรงเรียนประจักษศ์ ลิ ปาคาร
ช่อื -สกุล นางสาวปรีดาวรรณ พรมกุล
รหัสประจาตวั นกั ศึกษา 61100141119
สาขาวชิ า วทิ ยาสาสตร์ (เคม)ี
การฝกึ ปฏิบตั ิการสอนในสถานศึกษา 1
รหสั วิชา ED18501 (INTERNSHIP IN SCHOOL 1)
คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั อุดรธานี
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2565
ก
คำนำ
แผนการจัดการเรยี นรู้ รายวิชาวทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ1 รหัสวิชา ว32121 ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี
5 เล่มน้ี จัดทาขึ้นเพื่อใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ และให้นักเรียน
บรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้/ตัวช้ีวัดที่กาหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน
พุทธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรงุ 2560) ผูจ้ ัดทาจึงได้ศึกษาสาระการเรียนรู้พื้นฐานให้เข้าใจ จากน้ัน
นาปญั หาท่พี บจากประสบการณ์ และความรู้ท่ีได้จากการอบรมสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เทคนิค
วธิ กี ารสอน การวัดผลประเมนิ ผล จติ วิทยาการเรียนรู้ ตลอดจนความรู้ที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าด้วย
ตนเอง มาจดั ทาแผนการจัดการเรียนรใู้ นครัง้ นี้
แผนการจัดการเรียนรู้ในเล่ม 3 น้ี ประกอบไปด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ บทท่ี 3 เรื่อง
อาหาร ส่ือและนวัตกรรมที่ใช้ในการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุมาตรฐานการเรียนรู้ได้เต็ม
ศกั ยภาพอย่างแท้จริง
ผู้จัดทาหวังเป็นอย่างย่ิงว่าแผนการจัดการเรียนรู้เล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อตัวผู้สอนเอง
รวมท้ังเป็นประโยชนต์ ่อผู้สอนในรายวชิ าเดียวกัน และผู้สอนแทนเปน็ อย่างมาก
ปรดี าวรรณ พรมกลุ
10 ตุลาคม 2565
สารบญั ข
คานา หน้า
สารบญั ก
บทท่ี 3 อาหาร ข
1
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 10 ไขมันและน้ามนั 2
แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 11 คาร์โบไฮเดรต 16
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 12 โปรตนี 31
แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 13 วติ ามินและเกลือแร่ 45
แผนการจัดการเรียนร้ทู ี่ 14 บรรจุภณั ฑส์ ้าหรับอาหาร 60
แผนการจัดการเรยี นรู้
บทที่ 3
เรื่อง อาหาร
แผนการจัดการเรยี นรู้ 10-14
2
แผนการจดั การเรียนร้ทู ่ี 10
กลุ่มสาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์กายภาพ (ว32121)
ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 ภาคเรยี นท่ี 1/2565
หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 3 อาหาร เวลารวม 12 ช่วั โมง
เรอื่ ง ไขมนั และนา้ มัน เวลา 2 ชวั่ โมง
ผสู้ อน นางสาวปรีดาวรรณ พรมกลุ
วนั ที่.……เดือน……..……พ.ศ…….……
1. สาระ/มาตรฐานการเรียนรู้
สาระท่ี 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ
มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบตั ิของสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติ
ของสสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติ ของการเปลี่ยนแปลง
สถานะของสสาร การเกดิ สารละลาย และการเกิดปฏกิ ิริยาเคมี
2. ตัวชีว้ ัด
ม.5/14 ระบุสารประกอบอินทรีย์ประเภทไฮโดรคาร์บอนว่าอิ่มตัวหรือไม่อ่ิมตัวจากสูตร
โครงสร้าง
3. สาระสา้ คัญ/ความคิดรวบยอด
สารประกอบอินทรีย์เป็นสารประกอบของคาร์บอน ส่วนใหญ่พบในส่ิงมีชีวิต มีโครงสร้าง
หลากหลายและแบ่งได้หลายประเภท เน่ืองจากธาตุคาร์บอน สามารถเกิดพันธะกับคาร์บอนด้วยกัน
เองและธาตุอื่น ๆ นอกจากน้ีพันธะระหว่างคาร์บอนยังมีหลายรูปแบบ ได้แก่ พันธะเดี่ยว พันธะคู่
พนั ธะสาม
สารประกอบอินทรีย์ท่ีมีเฉพาะธาตุคาร์บอนและไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบ เรียกว่า
สารประกอบไฮโดรคาร์บอน โดยสารประกอบไฮโดรคารบ์ อนอม่ิ ตวั มีพันธะระหวา่ งคาร์บอนเปน็ พันธะ
เดี่ยวทุกพันธะในโครงสร้าง ส่วนสารประกอบไฮโดรคาร์บอนไม่อิ่มตัวมีพันธะระหว่างคาร์บอนเป็น
พันธะคหู่ รอื พันธะสามอย่างน้อย 1 พันธะ ในโครงสร้าง
3
4. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
4.1 ดา้ นความรู้ (K)
1. นกั เรียนอธิบายความหมายและลักษณะของสารประกอบไฮโดรคารบ์ อนได้
2. นักเรียนระบุสารประกอบอินทรีย์ประเภทไฮโดรคาร์บอนว่าอ่ิมตัวหรือไม่อ่ิมตัว
จากสูตรโครงสรา้ งได้
4.2 ดา้ นทักษะ/กระบวนการคิด (P)
1. นกั เรยี นสามารถจัดกระทาและสือ่ ความหมายของข้อมลู ทศี่ กึ ษาค้นควา้ ได้
4.3 ด้านคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (A)
1. มวี นิ ยั ใฝเ่ รียนรู้ มุ่งม่ันในการทางาน
5. สาระการเรียนรู้
สารประกอบอนิ ทรยี ์
- สารประกอบไฮโดรคาร์บอน
6. คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์
6.1 รกั ชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์
6.2 ซอื่ สัตย์สจุ รติ
6.3 มีวนิ ยั
6.4 ใฝเ่ รยี นรู้
6.5 อยู่อย่างพอเพียง
6.6 มงุ่ มัน่ ในการทางาน
6.7 รกั ความเปน็ ไทย
6.8 มีจติ สาธารณะ
6.9 ทกั ษะกระบวนการคิด
6.10 ความเป็นธรรมทางสงั คม
7. กจิ กรรมการเรยี นรู้
ใชร้ ูปแบบการสอนแบบวัฏจกั รการเรียนรู้ 5E มีรายละเอยี ดดงั นี้
7.1 ขน้ั สรา้ งความสนใจ (Engagement)
4
1. นักเรียนทบทวนความรู้จากบทที่ 2 น้า โดยตอบคาถามจากสูตรโครงสร้างของ
กลโู คส ดังนี้
สูตรโครงสร้างของกลโู คส
1.1 กลูโคสเปน็ สารประกอบไอออนิกหรือโคเวเลนต์ (แนวคาตอบ : โคเวเลนต)์
1.2 ในสตู รโครงสร้างของกลโู คสธาตุ C สร้างพันธะโคเวเลนต์กับธาตุใดบ้าง (แนว
คาตอบ : Cกบั C, Cกบั H และCกบั O)
1.3 ในสูตรโครงสร้างของกลูโคสพันธะระหว่างคาร์บอนกับไฮโดรเจนเป็นพันธะ
ชนิดใด (แนวคาตอบ : พนั ธะเดี่ยว)
1.4 เพราะเหตุใดกลูโคสจึงละลายน้า (แนวคาตอบ : เพราะโมเลกุลของกลูโคส
สามารถสรา้ งพนั ธะไฮโดรเจนกบั น้าได้)
7.2 ข้นั ส้ารวจและคน้ หา (Exploration)
1. นกั เรียนศึกษาความรู้เก่ียวกับสารประกอบอินทรีย์และสารประกอบไฮโดรคาร์บอน
จากหนังสือเรยี นรายวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ1 เร่ือง ไขมันและน้ามัน หรือจากอินเทอร์เน็ต
2. นักเรยี นศึกษารายละเอียดและตอบคาถาม ดังน้ี
ภาพท่ี 1 โครงสรา้ งของไตรกลเี ซอไรด์
ท่ีมา : https://www.youtube.com/watch?v=lR2d5SP7n44&t=313s
2.1 ไขมันและน้ามันจัดเป็นสารกลุ่มใดและโครงสร้างประกอบด้วยอะไรบ้าง (แนว
คาตอบ : ไขมันและน้ามันจัดเป็นสารในกลุ่มไตรกลีเซอไรด์ โดยโครงสร้างประกอบด้วย กลีเซอรอล 1
โมเลกลุ และกรดไขมนั 3 โมเลกุลโดย)
2.2 ไตรกลีเซอไรด์ในไขมันและน้ามันแต่ละชนิดมีส่วนท่ีเหมือนและแตกต่างกัน
อย่างไร (แนวคาตอบ : ไตรกลีเซอไรด์ในไขมันและน้ามันแต่ละชนิดจะมีส่วนท่ีมาจากกลีเซอรอล
เหมอื นกัน แตส่ ว่ นทเ่ี ป็นกรดไขมันจะแตกต่างกนั )
5
2.3 กรดไขมันอมิ่ ตัวและกรดไขมันไม่อิ่มตัว แตกต่างกันอย่างไร (แนวคาตอบ : กรด
ไขมันอิ่มตัวในโครงสร้างจะมีเฉพาะพันธะเดี่ยวทั้งหมด ส่วนกรดไขมันไม่อ่ิมตัวในโครงสร้างจะมีพันธะ
C=C )
3. นกั เรียนทาแบบฝกึ หัด 3.1 ในหนงั สือเรียนวิทยาศาสตร์กายภาพ 1
7.3 ข้นั อธบิ ายและลงข้อสรปุ (Explanation)
1. สมุ่ นกั เรยี น 3 คน (ด้วยโปรแกรมวงล้อสุ่ม) ออกมาเฉลยแบบฝึกหัด 3.1 หน้าช้ัน
เรียน
2. นักเรียนทกุ คนช่วยกนั ตรวจสอบคาตอบพร้อมกันวา่ ถกู ต้องหรือไม่
3. นกั เรยี นอภปิ รายเพ่ือนาไปสู่การสรปุ เรอื่ ง ไขมนั และนา้ มนั โดยใชค้ าถาม ดังน้ี
3.1 ไขมนั และน้ามนั จดั เปน็ สารในกล่มุ ใด (แนวคาตอบ : กล่มุ ไตรกลีเซอไรด์)
3.2 ไขมันและน้ามนั จดั เป็นสารประกอบอินทรีย์หรืออนินทรีย์ (แนวคาตอบ : ไขมัน
และน้ามนั จดั เป็นสารประกอบอินทรีย์)
3.3 สารประกอบอินทรีย์มีธาตุใดเป็นองค์ประกอบหลัก และธาตุนั้นสร้างพันธะ
โคเวเลนตก์ ับธาตุใดบา้ ง (แนวคาตอบ : มธี าตุคาร์บอนเป็นองค์ประกอบหลัก ซ่ึงคาร์บอนสร้างพันธะ
โคเวเลนต์กลั ธาตุไฮโดรเจน หรือธาตคุ ารบ์ อนด้วยกันเอง นอกจากนีส้ ารประกอบอินทรีย์ยังอาจมีธาตุ
ชนิดอนื่ เชน่ O N S Cl)
3.4 สารประกอบไฮโดรคาร์บอนเป็นสารประกอบอินทรีย์หรืออนินทรีย์ และ
ประกอบด้วยด้วยธาตุใด (แนวคาตอบ : สารประกอบไฮโดรคาร์บอนเป็นสารประกอบอินทรีย์ท่ี
ประกอบด้วยคารบ์ อน และไฮโดรเจนเทา่ นัน้ )
3.5 สารประกอบไฮโดรคารบ์ อนอ่มิ ตัวจะมีลักษณะโครงสร้างอย่างไร (แนวคาตอบ :
สารประกอบไฮโดรคาร์บอนอิ่มตัวโครงสรา้ งจะประกอบด้วยพนั ธะเดีย่ วทั้งหมด)
3.6 สารประกอบไฮโดรคาร์บอนไม่อม่ิ ตัวจะมลี กั ษณะโครงสร้างอยา่ งไร (แนวคาตอบ
: สารประกอบไฮโดรคาร์บอนไม่อ่ิมตัวโครงสร้างจะประกอบด้วยพันธะคู่หรือพันธะสามอย่างน้อย 1
พนั ธะ)
7.4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
1. นักเรียนศึกษาปริมาณร้อยละของกรดไขมันอ่ิมตัวและกรดไขมันไม่อ่ิมตัวท่ีเป็น
องคป์ ระกอบในไชมันและน้ามันบางชนิด
2. นักเรยี นเปรยี บเทยี บปรมิ าณของกรดไขมนั อมิ่ ตวั และกรดไขมันไม่อิม่ ตวั ของไขมัน
และนา้ มนั แต่ละชนดิ ว่ามีส่งผลตอ่ คุณสมบตั ขิ องไขมนั และน้ามันแต่ละชนิดอย่างไร
6
7.5 ขนั้ ประเมิน (Evaluation)
1. ครูประเมนิ จากการทาแบบฝกึ หัดท่ี 3.1
2. ครปู ระเมนิ จากการตอบคาถาม และการร่วมกจิ กรรมในชนั้ เรียน
8. ส่อื และแหลง่ เรียนรู้
8.1 ส่ือการเรยี นรู้
- หนังสือเรียนรายวิชาวิทยาศาสตรก์ ายภาพ เลม่ 1 สสวท. (ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน พ.ศ. 2551 ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560)
- PowerPoint นาเสนอเร่อื ง ไขมันและน้ามัน
8.2 แหล่งการเรียนรู้
- ห้องสมุด
- แหลง่ ข้อมูลสารสนเทศ เชน่ https://proj14.ipst.ac.th
7
9. การวัดและประเมนิ
จุดประสงค์ เครือ่ งมอื เกณฑก์ ารประเมิน
- ไดค้ ะแนนร้อยละ70 ขึ้นไป
ด้านความรู้ (K) - แบบฝกึ หัดที่ 3.1
- ไดค้ ะแนนร้อยละ70 ข้นึ ไป
1 . นั ก เ รี ย น อ ธิ บ า ย
ความหมายและลักษณะของ
สารประกอบไฮโดรคาร์บอน
ได้
2.นั ก เ รี ย น ร ะ บุ
สารประกอบอินทรีย์ประเภท
ไ ฮ โด ร คา ร์ บอ น ว่ า อิ่ม ตั ว
ห รื อ ไ ม่ อิ่ ม ตั ว จ า ก สู ต ร
โครงสร้างได้
ดา้ นทักษะ (P) - แบบฝึกหดั ท่ี 3.1
1.นักเรียนสามารถจัด
กระทาและสอื่ ความหมายของ
ข้อมลู ท่ีศึกษาค้นควา้ ได้
ด้านคณุ ลักษณะ (A) - การสังเกตพฤตกิ รรม - ผ่านเกณฑ์ระดับดีขึน้ ไป
1.มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ มุ่งมั่น การทางานรายบุคคล
ในการทางาน - ประเมนิ คุณลักษณะ
อันพึงประสงค์
8
แบบฝกึ หัด 3.1
1. สารใดเปน็ สารประกอบไฮโดรคาร์บอน
HCl CH33CH2Cl C6H6 CH3OH
CH4 C4H9NH2 C5H12 CH3OCH3
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
2. กรดไขมันท่กี า้ หนดให้เปน็ กรดไขมนั อ่ิมตัวหรอื กรดไขมนั ไมอ่ ่มิ ตวั เพราะเหตใุ ด
………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. สาร x y และ z เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนอม่ิ ตวั หรือไมอ่ ม่ิ ตัว
………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………
9
แบบฝกึ หดั 3.1
1. สารใดเปน็ สารประกอบไฮโดรคารบ์ อน
HCl CH33CH2Cl C6H6 CH3OH
CH4 C4H9NH2 C5H12 CH3OCH3
สารประกอบไฮโดรคาร์บอน ไดแ้ ก่ CH4 C6H6 C5H12
2. กรดไขมันท่ีก้าหนดใหเ้ ปน็ กรดไขมนั อิ่มตัวหรอื กรดไขมนั ไม่อม่ิ ตวั เพราะเหตุใด
กรดไขมันที่กาหนดให้เป็นกรดไขมันไม่อ่ิมตัว เน่ืองจากภายในโครงสร้างมีพันธะคู่ระหว่าง
อะตอมของคาร์บอนกบั คารบ์ อน
3. สาร x y และ z เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนอ่มิ ตัวหรอื ไม่อม่ิ ตัว
สาร x เปน็ สารประกอบไฮโดรคาร์บอนไม่อิม่ ตัว
สาร y เปน็ สารประกอบไฮโดรคาร์บอนอมิ่ ตวั
สาร z เปน็ สารประกอบไฮโดรคารบ์ อนไม่อม่ิ ตวั
10
11
12
เกณฑก์ ารประเมนิ ผลงานนกั เรียน
ประเด็นการ ค่าน้าหนัก แนวทางการให้คะแนน
ประเมนิ คะแนน
ด้านความรู้ 3 นกั เรยี นตอบคาถามได้ทกุ ขอ้ ยา่ งถกู ต้องครบถ้วนสมบูรณ์
(K) 2 นกั เรยี นสามารถตอบคาถามไดจ้ านวน 2-3 ข้ออยา่ งถูกต้อง
1 นักเรียนสามารถตอบคาถามไดจ้ านวน 1 ข้อหรอื ไม่ถูกเลย
ดา้ นทกั ษะ 3 นกั เรยี นตอบคาถามไดท้ ุกข้อย่างถกู ตอ้ งครบถ้วนสมบูรณ์
กระบวนการ 2 นกั เรียนสามารถคานวณหาคาตอบได้จานวน 3-4 ขอ้ อยา่ งถกู ตอ้ ง
(P) 1 นกั เรยี นสามารถคานวณหาคาตอบได้จานวน 1-2 ขอ้ หรือไมถ่ ูกเลย
ด้าน 3 ทาภาระงานท่ไี ด้รบั มอบหมายเสร็จภายในเวลากาหนดละถกู ตอ้ ง
คุณลักษณะ 2 ทาภาระงานที่ได้รบั มอบหมายเสรจ็ ภายในเวลากาหนดแต่งานยงั พลาด
(A) 1 ทาภาระงานที่ไดร้ ับมอบหมายเสร็จแตส่ ่งชา้ และมีข้อผิดพลาด
ระดับคะแนน 3 หมายถงึ ดีมาก
คะแนน 2 หมายถึง ดี
คะแนน 1 หมายถึง พอใช้
คะแนน
13
14
15
16
แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 11
กลุม่ สาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชาวทิ ยาศาสตร์กายภาพ (ว32121)
ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 5 ภาคเรยี นที่ 1/2565
หน่วยการเรียนรูท้ ี่ 3 อาหาร เวลารวม 12 ช่วั โมง
เรอ่ื ง คาร์โบไฮเดรต เวลา 2 ช่ัวโมง
ผ้สู อน นางสาวปรดี าวรรณ พรมกุล
วนั ท่.ี ……เดอื น……..……พ.ศ…….……
1. สาระ/มาตรฐานการเรยี นรู้
สาระท่ี 2 วิทยาศาสตรก์ ายภาพ
มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบตั ิของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติ
ของสสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติ ของการเปล่ียนแปลง
สถานะของสสาร การเกดิ สารละลาย และการเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี
2. ตัวชวี้ ัด
ม.5/15 สืบค้นข้อมลู และเปรียบเทียบสมบัติทางกายภาพระหว่างพอลิเมอร์และมอนอเมอร์
ของพอลเิ มอร์ชนิดนั้น
3. สาระสาคญั /ความคิดรวบยอด
สารท่ีพบในชีวติ ประจาวนั มีทัง้ โมเลกลุ ขนาดเล็กและขนาดใหญ่ พอลเิ มอรเ์ ปน็ สารท่ีมีโมเลกุล
ขนาดใหญ่ที่เกิดจากมอนอเมอร์หลายโมเลกุลเชื่อมต่อกันด้วยพันธะเคมี ทาให้สมบัติทางกายภาพ
ของพอลิเมอรแ์ ตกตา่ งจากมอนอเมอรท์ ่เี ปน็ สารตั้งตน้ เช่น สถานะ จุดหลอมเหลว การละลาย
4. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
4.1 ดา้ นความรู้ (K)
1. นักเรยี นอธิบายความหมายของพอลิเมอรไ์ ด้
2. นักเรียนสืบค้นข้อมูล นาเสนอข้อมูลเปรียบเทียบสมบัติทางกายภาพระหว่างพอลิ
เมอรแ์ ละมอนอเมอร์ของพอลิเมอร์ชนิดน้ันได้
17
4.2 ดา้ นทักษะ/กระบวนการคดิ (P)
1. นกั เรยี นมีทกั ษะการทดลอง และทักษะการส่ือความหมายของข้อมูล
4.3 ดา้ นคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
1. มีวนิ ัย ใฝ่เรยี นรู้ มงุ่ มัน่ ในการทางาน
5. สาระการเรยี นรู้
- มอนอเมอร์
- พอลเิ มอร์
6. คุณลักษณะอนั พึงประสงค์
6.1 รกั ชาติ ศาสน์ กษัตริย์
6.2 ซ่ือสตั ยส์ ุจรติ
6.3 มวี นิ ัย
6.4 ใฝเ่ รยี นรู้
6.5 อยู่อย่างพอเพียง
6.6 มงุ่ มัน่ ในการทางาน
6.7 รักความเป็นไทย
6.8 มีจิตสาธารณะ
6.9 ทกั ษะกระบวนการคดิ
6.10 ความเปน็ ธรรมทางสังคม
7. กจิ กรรมการเรยี นรู้
ใชร้ ูปแบบการสอนแบบวฏั จักรการเรยี นรู้ 5E มรี ายละเอยี ดดังนี้
7.1 ข้นั สร้างความสนใจ (Engagement)
1. นักเรียนยกตัวอย่างอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต พรอ้ มบอกความสาคัญของคาร์โบไฮเดรต
(แนวคาตอบ : อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว แป้ง เผือก มัน น้าตาล ส่วนความสาคัญคือเป็นอาหารท่ี
เปน็ แหลง่ พลังงานที่สาคัญของมนุษย์)
2. นักเรียนตอบคาถามว่า “การทีเ่ รารับประทานขา้ วน้นั สามารถเปล่ียนเป็นพลังงาน
ไดอ้ ย่างไร” (แนวคาตอบ : นกั เรยี นตอบตามความเขา้ ใจ)
18
3. นักเรียนสังเกตและพิจารณาภาพจาลองการย่อยโมเลกลุ แปง้ ให้เป็นกลูโคส
ภาพท่ี 1 แบบจาลองการยอ่ ยโมเลกลุ แป้งใหเ้ ป็นกลูโคส
ที่มา : https://stemforlife.ipst.ac.th
4. นกั เรยี นอภิปรายการยอ่ ยโมเลกลุ ของแปง้ ใหเ้ ปน็ กลูโคสเพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า “แป้ง
เป็นโมเลกุลขนาดใหญ่ ร่างกายไม่สามารถดูดซึมได้ จึงต้องย่อยให้เป็นกลูโคสท่ีเป็นโมเลกุลขนาดเล็ก
ทสี่ ดุ จนรา่ งกายสามรถดดู ซึมได้”
7.2 ขน้ั สารวจและคน้ หา (Exploration)
1. นกั เรียนศกึ ษาความรู้เก่ียวกับพอลิแซ็กคาไรด์ และมอนอแซ็กคาไรด์ จากหนังสือ
เรยี นรายวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ1 เรื่องคารโ์ บไฮเดรต
2. นักเรยี นร่วมกันอภิปรายเกย่ี วกบั พอลิแซก็ คาไรด์ และมอนอแซก็ คาไรด์ โดยไปใน
แนวทาง พอลิแซ็กคาไรด์เป็นคาร์โบไฮเดรตในข้าวและแป้งซึ่งมีโมเลกุลขนาดใหญ่ ส่วนมอนอแซ็กคา
ไรด์ เปน็ นา้ ตาลโมเลกลุ เดี่ยว เชน่ กลโู คส
3. นักเรยี นทากิจกรรมท่ี 3.1 การทดลองเปรียบเทียบสมบัติบางประการของกลูโคส
และแป้งมันสาปะหลัง และกิจกรรมที่ 3.2 สืบค้นข้อมูลสมบัติทางกายภาพของมอนอเมอร์และพอลิ
เมอร์ ตามวิธีทาให้หนังสือเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ1 หรือศึกษาจากคลิปวิดีโอการทดลอง
การทดลองเปรยี บเทยี บสมบตั ิบางประการของกลโู คสและแปง้ มนั สาปะหลงั
4. ครแู จง้ จุดประสงค์การเรียนรู้ อปุ กรณ์ และข้ันตอนการทดลองอยา่ งละเอยี ด
5. นกั เรยี นรบั อปุ กรณ์การทดลอง พร้อมตดิ ต้งั อปุ กรณ์
6. นักเรียนแตล่ ะกลุ่มทาการทดลอง สงั เกตและบนั ทกึ ผล
7.3 ขน้ั อธบิ ายและลงข้อสรุป (Explanation)
1. สุ่มนักเรียน 2 กลุ่ม ออกมานาเสนอผลการทดลองท่ีได้จากการทากิจกรรมหน้า
ช้นั เรยี น
19
2. นักเรียนร่วมอภิปรายผลการทดลองของกิจกรรม 3.1 เรื่อง การทดลองเปรียบเทียบ
สมบตั บิ างประการของกลูโคสและแปง้ มนั สาปะหลังเพอื่ นาไปสกู่ ารสรุป โดยใชค้ าถามต่อไปน้ี
2.1 สารกสโู คสทอ่ี ุณหภมู หิ ้องมีการไปลี่ยนแปลงของสารในน้าอย่างไร (แนว
คาตอบ : ละลายนา้ ไดส้ ารละลายใส ไมม่ ีสี)
2.2 สารกลโู คสหลงั ต้มมกี ารเปล่ียนแปลงของสารในน้าอย่างไร (แนวคาตอบ :
ไม่มกี ารเปลีย่ นแปลง)
2.3 สารกลโู คสการติดกันของกระดาษเปน็ อย่างไร (แนวคาตอบ : กระดาษไม่
ตดิ กนั )
2.4 แป้งมันสาปะหลงั ทอี่ ุณหภูมหิ อ้ งมีการเปลี่ยนแปลงของสารในน้าอย่างไร
(แนวคาตอบ : ไม่ละลายไดส้ ารแขวนลอย สีขาวข่นุ เม่ือทิ้งไว้จะตกตะกอน)
2.5 แป้งมันสาปะหลังหลังต้มมีการเปลี่ยนแปลงของสารในน้าอย่างไร (แนว
คาตอบ : น้าแป้งใสขน้ึ มีลกั ษณะหนืด)
2.6 แป้งมันสาปะหลังการติดกันของกระดาษเป็นอย่างไร (แนวคาตอบ :กระดาษ
ติดกนั แนน่ ดึงออกจากกนั ไม่ได)้
3. นักเรียนและครูรว่ มกนั อภิปรายผลการทดลองและสรุปผลการทาการทดลอง จน
สรุปได้ ดังน้ี เมื่อนากลูโคสมาละลายในน้าพบว่าได้สารละลายใสไม่มีสี แสดงว่ากสูโคสละลายน้าได้ดี
หลังตมั ไม่เกดิ การเปล่ยี นแปลง ส่วนแปง้ มันสาปะหลังไม่ละลายน้าที่อุณหภูมิห้อง แต่เม่ือผ่านการต้ม
พบว่า น้าแปง้ มลี ักษณะใสขึ้น เมือ่ นาสารท้งั 2 ชนิดทผี่ า่ นการต้มแล้ว มาทดสอบด้วยการติดกระดาษ
พบว่า นา้ แป้งทาใหก้ ระดาษติดกันได้มากกว่าสารละลายกลูดคสแสดงว่าน้าแป้งมีความหนืดมากกว่า
สารละลายกสูโคสและเม่ือพิจารณาลกั ษณะของสารละลายกลโู คสและน้าแป้งหลังตม้ จะพบว่าน้าแป้ง
มลี กั ษณะหนดื ชันมากกว่า ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั ผลการทดสอบด้วยการติดกับกระดาษ ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า
กลูโคสและแปังมันสาปะหลังมสี มบตั แิ ตกต่างกัน โดยกสูโคสละลายน้าไดด้ ีกว่า ส่วนแป้งมันสาปะหลัง
ใหส้ ารละลายท่มี คี วามหนดื มากกวา่
7.4 ขน้ั ขยายความรู้ (Elaboration)
1. ครชู วนนกั เรียนอภปิ รายความเหมอื นและความแตกตา่ งระหวา่ งขนมสายไหมและ
สาลี ซึง่ ท้ัง 2 มีองคป์ ระกอบยอ่ ยมาจากนา้ ตาลเหมือนกนั
2. ครูให้ความร้เู กย่ี วกับเซลลโู ลส ว่าทาไมคนจึงไมส่ ามารถย่อยเซลลูโลสได้
7.5 ขั้นประเมนิ (Evaluation)
1. ครูประเมนิ จากกการทากจิ กรรมที่ 3.1 และ 3.2
2. ครปู ระเมินจากการตอบคาถาม และการร่วมกันอภปิ รายและลงขอ้ สรุป
20
8. สอ่ื และแหล่งเรียนรู้
8.1 สอื่ การเรยี นรู้
- หนงั สอื เรียนรายวชิ าวทิ ยาศาสตร์กายภาพ เล่ม 1 สสวท. (ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน พ.ศ. 2551 ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)
- PowerPoint นาเสนอเร่ือง คาร์โบไฮเดรต
8.2 แหล่งการเรียนรู้
- ห้องสมุด
- แหลง่ ข้อมูลสารสนเทศ เชน่ https://proj14.ipst.ac.th
9. การวัดและประเมนิ
จดุ ประสงค์ เครอื่ งมอื เกณฑก์ ารประเมนิ
- ไดค้ ะแนนร้อยละ70 ขน้ึ ไป
ดา้ นความรู้ (K) - กิจกรรมที่ 3.2
- ไดค้ ะแนนรอ้ ยละ70 ขึ้นไป
1.นักเรียนอธิบาย - ผ่านเกณฑ์ระดบั ดขี น้ึ ไป
ความหมายของพอลิเมอร์
ได้
2 . นั ก เ รี ย น สื บ ค้ น
ข้ อ มู ล น าเสนอข้ อมู ล
เ ป รี ย บ เ ที ย บ ส ม บั ติ ท า ง
กายภาพระหว่างพอลิเมอร์
และมอนอเมอร์ของพอลิเม
อรช์ นดิ นนั้ ได้
ดา้ นทักษะ (P) - กิจกรรมที่ 3.1 และ 3.2
1.นักเรียนมีทักษะ
การทดลอง และทักษะ
ก า ร สื่ อ ค ว า ม ห ม า ย ข อ ง
ขอ้ มูล
ดา้ นคณุ ลกั ษณะ (A) - การสังเกตพฤติกรรม
1.มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ - การประเมินคณุ ลกั ษณะ
มงุ่ มั่นในการทางาน อนั พงึ ประสงค์
21
กจิ กรรม 3.1 การทดละอองเปรียบเทยี บสมบัติบางประการของกลโู คส
และแปง้ มันสาปะหลัง
จุดประสงค์
เพ่ือศึกษาสมบัติการละลาย และการติดกระดาษของสารละลายกลูโคสและน้าแป้งมัน
สาปะหลงั
วัสดุ อปุ กรณ์ และสารเคมี ปรมิ าณต่อกลมุ่
รายการ
5g
สารเคมี 5g
1. แป้งมันสา ปะหลงั 25 mL
2. กลูโคส
3. นา้ กล่ัน 1 ใบ
วสั ดุและอุปกรณ์ 1 แทง่
1. บกี เกอร์ ขนาด 50 mL 1 เครอ่ื ง
2. แทง่ แก้วคน 1 เคร่ือง
3. เคร่อื งช่ัง 1 แผ่น
4. เตาแผน่ ความรอ้ น
5. กระดาษขนาด 5 cm × 7 cm
วิธีทาการทดลอง
1. ใส่แป้งมนั สาปะหลัง 5 g ลงในบกี เกอร์ ใบที่ 1 แล้วเติมน้าลงในบีกเกอร์ 12.5 mL คนให้เข้า
กันที่อุณหภูมิห้อง สังเกตและบันทึกผล จากนั้นทาการทดลองเช่นเดียวกันแต่เปล่ียนจากแป้งมัน
สาปะหลังเป็นกลโู คสในบกี เกอร์ ใบที่ 2
2. นาบีกเกอร์ ใบท่ี 1 และ 2 มาต้ม เป็นเวลา 1 นาที โดยระหว่างท่ีต้มต้องใช้แท่งแก้วคน
ตลอดเวลา จากนนั้ ตั้งพกั ไวป้ ระมาณ 5 นาที
3. ทาสารในบีกเกอร์ ใบท่ี 1 และ 2 ลงบนกระดาษแต่ละแผ่นที่มีขนาด 5 cm x 7cm ให้ทั่ว
จากน้ันติดประกบกระดาษแต่ละแผ่นด้วยกระดาษอีกแผ่นที่มีขนาดเท่ากัน ตั้งไว้ให้แห้งประมาณ 10
นาที จากนน้ั ดงึ กระดาษทงั้ สองออกจากกัน สงั เกตและบันทกึ ผลการทดลอง
22
ผลการทดลอง การเปลยี่ นแปลงของสารในน้าทส่ี ังเกตได้ การติดกนั ของกระดาษ
สาร
ทีอ่ ณุ หภูมิหอ้ ง หลงั ต้ม
กลูโคส
แปง้ มนั สาปะหลงั
อภปิ รายผลการทดลอง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
สรปุ ผลการทดลอง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
23
กจิ กรรม 3.1 การทดละอองเปรียบเทยี บสมบตั ิบางประการของกลโู คส
และแปง้ มันสาปะหลัง
จุดประสงค์
เพ่ือศึกษาสมบัติการละลาย และการติดกระดาษของสารละลายกลูโคสและน้าแป้งมัน
สาปะหลงั
วัสดุ อปุ กรณ์ และสารเคมี ปรมิ าณต่อกลุ่ม
รายการ
5g
สารเคมี 5g
1. แป้งมันสา ปะหลงั 25 mL
2. กลูโคส
3. นา้ กล่ัน 1 ใบ
วสั ดุและอุปกรณ์ 1 แทง่
1. บกี เกอร์ ขนาด 50 mL 1 เครือ่ ง
2. แทง่ แก้วคน 1 เคร่ือง
3. เคร่อื งช่ัง 1 แผ่น
4. เตาแผน่ ความรอ้ น
5. กระดาษขนาด 5 cm × 7 cm
วิธีทาการทดลอง
1. ใส่แป้งมนั สาปะหลัง 5 g ลงในบกี เกอร์ ใบที่ 1 แล้วเติมน้าลงในบีกเกอร์ 12.5 mL คนให้เข้า
กันที่อุณหภูมิห้อง สังเกตและบันทึกผล จากนั้นทาการทดลองเช่นเดียวกันแต่เปลี่ยนจากแป้งมัน
สาปะหลังเป็นกลโู คสในบกี เกอร์ ใบที่ 2
2. นาบีกเกอร์ ใบท่ี 1 และ 2 มาต้ม เป็นเวลา 1 นาที โดยระหว่างท่ีต้มต้องใช้แท่งแก้วคน
ตลอดเวลา จากนนั้ ตั้งพกั ไวป้ ระมาณ 5 นาที
3. ทาสารในบีกเกอร์ ใบท่ี 1 และ 2 ลงบนกระดาษแต่ละแผ่นท่ีมีขนาด 5 cm x 7cm ให้ทั่ว
จากน้ันติดประกบกระดาษแต่ละแผ่นด้วยกระดาษอีกแผ่นที่มีขนาดเท่ากัน ต้ังไว้ให้แห้งประมาณ 10
นาที จากนน้ั ดงึ กระดาษทงั้ สองออกจากกัน สงั เกตและบันทกึ ผลการทดลอง
24
ผลการทดลอง การเปลีย่ นแปลงของสารในน้าทสี่ งั เกตได้ การติดกนั ของกระดาษ
สาร กระดาษไมต่ ดิ กัน
ที่อณุ หภมู หิ ้อง หลงั ต้ม
กลโู คส
ละลายนา้ ไดส้ ารละลายใส ไม่เปล่ียนแปลง
ไมม่ สี ี
แป้งมนั สาปะหลงั ไม่ละลายได้สารแขวนลอย น้า แปง้ ใสขึน้ มี กระดาษตดิ กันแน่น
สีขาวขุน่ เม่ือทิง้ ไว้จะ ลกั ษณะหนืด ดงึ ออกจากกนั ไม่ได้
ตกตะกอน
อภปิ รายผลการทดลอง
เมื่อนากลูโคสมาละลายในน้า พบว่า ได้สารละลายใสไม่มีสี แสดงว่ากลูโคสละลายน้า ได้ดี
หลังต้มไม่เกดิ การเปลี่ยนแปลง สว่ นแป้งมันสา ปะหลงั ไมล่ ะลายนา้ ท่ีอุณหภูมิห้อง แต่เม่ือผ่านการต้ม
พบว่า น้าแป้งมีลักษณะใสขน้ึ เมือ่ นาสารท้งั 2 ชนิดที่ผ่านการต้มแล้ว มาทดสอบด้วยการติดกระดาษ
พบวา่ นา้ แป้งทาใหก้ ระดาษติดกันได้มากกว่าสารละลายกลูโคสแสดงว่าน้าแป้งมีความหนืดมากกว่า
สารละลายกลูโคสและเม่ือพิจารณาลักษณะของสารละลายกลูโคสและน้าแป้งหลังต้ม จะพบว่า น้า
แป้ง มีลกั ษณะหนดื ขน้ มากกว่า ซงึ่ สอดคล้องกบั ผลการทดสอบดว้ ยการตดิ กับกระดาษ
สรุปผลการทดลอง
กลูโคสและแป้งมันสาปะหลังมีสมบตั ิแตกตา่ งกัน โดยกลูโคสละลายนา้ ได้ดีกวา่ ส่วนแป้ง
มนั สาปะหลงั ใหส้ ารละลายทีม่ ีความหนืดมากกว่า
25
26
27
เกณฑ์การประเมินผลงานนักเรียน
ประเดน็ การ ค่าน้าหนัก แนวทางการใหค้ ะแนน
ประเมิน คะแนน
ด้านความรู้ 3 นกั เรยี นตอบคาถามได้ทุกขอ้ ย่างถกู ตอ้ งครบถ้วนสมบรู ณ์
(K) 2 นักเรยี นสามารถตอบคาถามได้จานวน 2-3 ขอ้ อยา่ งถูกตอ้ ง
1 นกั เรียนสามารถตอบคาถามไดจ้ านวน 1 ข้อหรือไมถ่ ูกเลย
ดา้ นทกั ษะ 3 นกั เรยี นตอบคาถามได้ทกุ ขอ้ ยา่ งถูกตอ้ งครบถว้ นสมบูรณ์
กระบวนการ 2 นกั เรยี นสามารถคานวณหาคาตอบไดจ้ านวน 3-4 ข้ออยา่ งถกู ต้อง
(P) 1 นกั เรยี นสามารถคานวณหาคาตอบได้จานวน 1-2 ขอ้ หรือไมถ่ กู เลย
ดา้ น 3 ทาภาระงานทไ่ี ดร้ บั มอบหมายเสรจ็ ภายในเวลากาหนดละถกู ต้อง
คณุ ลักษณะ 2 ทาภาระงานทไ่ี ด้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลากาหนดแตง่ านยังพลาด
(A) 1 ทาภาระงานทีไ่ ด้รับมอบหมายเสรจ็ แต่สง่ ชา้ และมีข้อผิดพลาด
ระดับคะแนน 3 หมายถงึ ดีมาก
คะแนน 2 หมายถงึ ดี
คะแนน 1 หมายถึง พอใช้
คะแนน
28
29
30
31
แผนการจัดการเรียนรูท้ ่ี 12
กล่มุ สาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รายวิชาวทิ ยาศาสตร์กายภาพ (ว32121)
ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 ภาคเรยี นท่ี 1/2565
หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 3 อาหาร เวลารวม 12 ชัว่ โมง
เรื่อง โปรตนี เวลา 2 ชั่วโมง
ผู้สอน นางสาวปรดี าวรรณ พรมกลุ
วันที.่ ……เดือน……..……พ.ศ…….……
1. สาระ/มาตรฐานการเรยี นรู้
สาระท่ี 2 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ
มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัตขิ องสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติ
ของสสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติ ของการเปล่ียนแปลง
สถานะของสสาร การเกดิ สารละลาย และการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี
2. ตวั ชว้ี ัด
ม.5/16 ระบุสมบตั คิ วามเปน็ กรด-เบส จากโครงสร้างของสารประกอบอินทรยี ์
3. สาระสาคัญ/ความคดิ รวบยอด
สารประกอบอินทรีย์ที่มีหมู่ -COOH สามารถแสดงสมบัติความเป็นกรดส่วนสารประกอบ
อนิ ทรยี ์ที่มีหมู่ -NH2 สามารถแสดงสมบัตคิ วามเป็นเบส
4. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
4.1 ดา้ นความรู้ (K)
1. นักเรียนระบุสมบตั ิความเป็นกรด-เบส จากโครงสร้างของสารประกอบอินทรยี ์ได้
2. นักเรียนสืบค้นข้อมูลและเปรียบเทียบสมบัติความเป็นกรดเบสของสารประกอบ
อนิ ทรยี ไ์ ด้
4.2 ด้านทกั ษะ/กระบวนการคิด (P)
1. นักเรียนมที ักษะการสอ่ื ความหมายของข้อมลู
32
4.3 ดา้ นคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ (A)
1. มวี ินัย ใฝ่เรียนรู้ ม่งุ ม่นั ในการทางาน
5. สาระการเรยี นรู้
- สารประกอบอนิ ทรยี ท์ ม่ี ีสมบัติเปน็ กรด
- สารประกอบอนิ ทรีย์ทีม่ สี มบัตเิ ป็นเบส
6. คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์
6.1 รกั ชาติ ศาสน์ กษัตริย์
6.2 ซื่อสตั ย์สุจริต
6.3 มีวินยั
6.4 ใฝเ่ รยี นรู้
6.5 อยู่อย่างพอเพียง
6.6 ม่งุ มั่นในการทางาน
6.7 รกั ความเป็นไทย
6.8 มจี ิตสาธารณะ
6.9 ทกั ษะกระบวนการคิด
6.10 ความเป็นธรรมทางสงั คม
7. กิจกรรมการเรียนรู้
ใชร้ ปู แบบการสอนแบบวัฏจักรการเรียนรู้ 5E มรี ายละเอยี ดดังน้ี
7.1 ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
1. ครทู บทวนบทเรยี น เร่อื ง ไขมัน ละคารโ์ บเดรต
2. นักเรียนตอบคาถาม “สารประกอบอินทรีย์คืออะไร” เพื่อทบทวนเรื่องความหมาย
ของสารประกอบอินทรีย์ (แนวคาตอบ : สารประกอบอินทรีย์ (organic compound) คือ สารประกอบ
ท่มี ธี าตุคาร์บอนเปน็ องคป์ ระกอบ โดยท่ธี าตุคารบ์ อนสว่ นใหญ่น้ันสรา้ งพนั ธะโคเวเลนตก์ บั ธาตุไฮโดรเจน
หรอื กับธาตคุ ารบ์ อนด้วยกนั เอง)
33
3. นักเรียนบอกประโยชนแ์ ละความสาคัญของโปรตนี (แนวคาตอบ : ประโยชน์ เช่น
เป็นโครงสร้างกล้ามเน้ือ เอนไซม์ ฮอร์โมน ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ความสาคัญ เช่น การขาด
โปรตนี ทาให้รา่ งกายออ่ นเพลีย หมดแรง และส่งผลให้เกิดโรคต่าง ๆ)
4. นกั เรียนยกตวั อย่างแหลง่ ของอาหารที่มโี ปรตีนสงู (แนวคาตอบ : เนื้อสัตว์ ไข่ ถั่ว
นม ชสี )
5. นกั เรยี นตอบคำถำมว่ำ “เม่อื รบั ประทำนโปรตนี เขำ้ ไป รำ่ งกำยสำมำรถนำโปรตีน
ไปใช้ประโยชนไ์ ดเ้ ลยหรอื ไม่ เพรำะเหตใุ ด” (แนวคาตอบ : โปรตีนจัดเป็นพอลิเมอร์ชนิดหน่ึงท่ีมีกรด
แอมโิ นเป็นมอนอเมอร์ รำ่ งกำยจะย่อยโปรตีนใหม้ ีขนำดเลก็ ลง จนได้เป็นกรดแอมิโนชนิดต่ำง ๆ แล้ว
ดูดซมึ เขำ้ สกู่ ระแสเลือด)
7.2 ข้ันสารวจและค้นหา (Exploration)
1. นกั เรียนศกึ ษาโครงสร้างของโปรตีนและกรดแอมิโน ดงั นี้
ภาพที่ 1 โมเลกลุ ของไมโอโกลบินในกลา้ มเนอื้
ท่ีมา : หนงั สอื เรยี นรายวชิ าวิทยาศาสตรก์ ายภาพ 1 สสวท.
ภาพที่ 2 สูตรโครงสรา้ งท่ัวไปของกรดแอมิโน
ที่มา : https://sites.google.com/site/chonthikasanmundon/wicha-khemi
2. นักเรียนศึกษาความรู้เกี่ยวกับโปรตีนและกรดแอมิโนจากหนังสือเรียนรายวิชา
วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ 1 จากน้นั นกั เรยี นร่วมกันอภปิ รายวา่ โปรตนี เป็นพอลิเมอร์ที่เกิดจากกรดแอมิ
34
โนหลายชนิดเชื่อมต่อกันด้วยพันธะโคเวเลนต์ ซึ่งโปรตีนแต่ละชนิดจะมีการจัดเรียงตัวของกรด
แอมโิ นแตกตา่ งกนั และกรดแอมโิ นน้ันมที ัง้ กรดแอมโิ นจาเป็นและกรดแอมิโนไมจ่ าเปน็
3. ครใู ชค้ าถามวา่ แม้ว่าถ่ัวหรือผักบางชนิดมีโปรตีนในปริมาณสูง แต่มักพบว่าผู้ที่
บรโิ ภคเฉพาะถวั่ และผกั ยงั เป็นโรคท่ีเกดิ จากภาวะขาดโปรตีนได้ นกั เรยี นคิดว่าเปน็ เพราะเหตุใด เพ่ือ
นาเข้าสกู่ ารอภิปรายเกยี่ วกับความหมายของกรดแอมิโนจาเป็นและไม่จาเป็น และความต้องการกรด
แอมิโนจาเปน็ ใหเ้ พยี งพอทง้ั ในด้านของชนดิ และปรมิ าณโดยการบรโิ ภคอาหารใหห้ ลากหลาย
4. ครูใช้คาถามว่า กรดแอมิโนแสดงสมบัติกรด-เบสได้หรือไม่ จากนั้นให้นักเรียน
พจิ ารณาภาพที่ 3และภาพที่ 4 สตู รโครงสรา้ งของไลซีน และไทโรซนี
ภาพที่ 3 สูตรโครงสรา้ งของไลซนี
ท่ีมา : http://swinenutrition.blogspot.com
ภาพที่ 4 สตู รโครงสรา้ งของไทโรซนี
ที่มา : https://delphipages.live/th
5. จากน้ันนักเรียนเช่ือมโยงความรู้เก่ียวกับความเป็นกรด-เบสของสารประกอบ
อนิ ทรยี ์ชนิดอน่ื ท่ีมหี มคู่ ารบ์ อกซลิ หรือหมแู่ อมิโน
7.3 ขัน้ อธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
1. ครูนานักเรยี นอภิปรายเพ่อื นาไปสู่การสรุปโดยใช้คาถามต่อไปน้ี
1.1 แม้ว่าถ่ัวหรือผักบางชนิดมีโปรตีนในปริมาณสูง แต่มักพบว่าผู้ที่บริโภค
เฉพาะ ถั่วและผกั ยงั เป็นโรคทีเ่ กิดจากภาวะขาดโปรตีนได้ นักเรยี นคดิ วา่ เปน็ เพราะเหตุใด (แนวคาตอบ :
เพราะถว่ั ลิสงมเี มไทโอน่ีน้อย ข้าวโพดมีเทรปโตเฟนน้อย ดังน้ันจึงควรบริโภคอาหารให้หลากหลายเพื่อ
ลดความเส่ียงจากภาวะขาดโปรตนี )
1.2 กรดแอมโิ นบางชนิดร่างกายสังเคราะหเ์ องได้ เรียกวา่ (แนวคาตอบ :แอมิ
โนไมจ่ าเปน็ (non-essential amino acid))
35
1.3 กรดแอมิโนบางชนิดร่างกายสังเคราะห์เองไม่ได้ เรียกว่า (แนวคาตอบ :
กรดอะมโี นจาเป็น (essential amino acid))
1.4 กรดแอมโิ นมีโครงสร้างโมเลกลุ ที่ประกอบดว้ ยอะไรบา้ ง (แนวคาตอบ : กรด
แอมิโนมโี ครงสร้างโมเลกุลที่ประกอบด้วยหมู่แอมิโน (-NH2) และหมู่คาร์บอกซิล (-COOH) เชื่อมต่อกับ
คาร์บอนท่มี หี มู่แทนที่ (R) ซึง่ กรดแอมโิ นแตล่ ะ ชนิดแตกต่างกันทีห่ มู่ R)
1.5 กรดแอมิโนแสดงสมบัติเป็นกรดหรือเบส (แนวคาตอบ : กรดแอมีโน
แสดงสมบตั เิ ป็นได้ทั้งกรดและเบส เน่อื งจากมีหมู่คาร์บอกซิล (COOH) ที่สมบัติเป็นกรด และมีหมู่แอ
มิโน (-NH2) ทีส่ มบัติเปน็ เบส)
2. ครแู ละนักเรียนร่วมกนั สรปุ เนอ้ื หา เรื่อง ไขมนั ดงั น้ี
2.1 กรดแอมิโนที่ร่างกายสังเคราะห์เองได้ เรียกว่า กรดแอมิโนไม่จาเป็น
(non-essential amino acid) แตบ่ างชนิดสังเคราะห์เองไม่ได้ ต้องได้รับจากการรับประทานอาหาร
เทา่ น้ัน เรียกว่า กรดอะมิโนจาเป็น (essential amino acid) โปรตีนจากเนื้อสัตว์ นม ไข่ มีกรดแอมิ
โนจาเป็นครบทุกชนดิ ส่วนโปรตีนจากพืชมีกรดแอมิโนจาเป็นไม่ครบหรือปริมาณน้อย เช่น ถั่วลิสงมี
เมไทโอนิ่นน้อยข้าวโพดมีทรปโตเฟนน้อย ขนมปังมีไลชีนน้อย ดังน้ันจึงควรบริโภคอาหารให้
หลากหลายเพ่อื ลดความเส่ียงจากภาวะขาดโปรตีน
2.2 กรดแอมิโนมีโครงสร้างโมเลกุลท่ีประกอบด้วยหมู่แอมิใน (-NH2) และหมู่
คาร์บอกขลิ (-COOH) เชื่อมต่อกบั คาร์บอนที่มีหมแู่ ทนที่ (R ซง่ึ กรดแอมิโนแตล่ ะชนดิ แตกตา่ งกนั ทห่ี มู่ R
2.3 กรดแอมโิ นแสดงสมบัติเป็นได้ทง้ั กรดและเบส เน่ืองจากมีหมู่คาร์บอกซิล
( -COOH) ที่สมบตั เิ ป็นกรด และมหี มู่แอมโิ น (-NH3) ทส่ี มบัติเปน็ เบส
7.4 ข้นั ขยายความรู้ (Elaboration)
1. นักเรียนศึกษาความรเู้ พิม่ เตมิ เกีย่ วกบั เร่ืองโปรตนี
OR Code คลปิ วิดโี อเร่อื ง โปรตนี
2. นกั เรียนตอบคาถามจากสูตรโครงสร้างของสารประกอบอนิ ทรียท์ ่คี รูกาหนดใหน้ น้ั
มีสมบัตเิ ปน็ กรดหรือเบส
3. นักเรยี นทาแบบฝึกหัดท่ี 3.2 ในหนังสอื เรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ 1
7.5 ขน้ั ประเมิน (Evaluation)
1. ครปู ระเมนิ จากกการทากิจกรรมที่ 3.2
2. ครูประเมนิ จากการตอบคาถาม และการร่วมกันอภปิ รายและลงข้อสรุป
36
8. ส่อื และแหล่งเรยี นรู้
8.1 สอ่ื การเรยี นรู้
- หนังสอื เรียนรายวชิ าวิทยาศาสตร์กายภาพ เลม่ 1 สสวท. (ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศกึ ษาข้นั พ้ืนฐาน พ.ศ. 2551 ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560)
- PowerPoint นาเสนอเร่ือง โปรตีน
- คลิปวดิ โี อ เรอ่ื ง โปรตีน
https://www.youtube.com/watch?v=sJIRDPuSpLI
8.2 แหลง่ การเรยี นรู้
- ห้องสมดุ
- แหล่งข้อมลู สารสนเทศ เช่น https://proj14.ipst.ac.th
9. การวัดและประเมนิ
จดุ ประสงค์ เครอื่ งมอื เกณฑ์การประเมนิ
ดา้ นความรู้ (K) - แบบฝกึ หดั ที่ 3.2 - ไดค้ ะแนนรอ้ ยละ70 ขน้ึ ไป
1 . นั ก เ รี ย น ร ะ บุ ส ม บั ติ
ความเป็นกรด-เบส จาก
โครงสร้างของสารประกอบ
อนิ ทรยี ์ได้
2.นักเรียนสืบค้นข้อมูล
และเปรียบเทียบสมบัติความ
เป็นกรดเบสของสารประกอบ
อินทรยี ไ์ ด้
ดา้ นทกั ษะ (P) - แบบฝกึ หัดที่ 3.2 - ไดค้ ะแนนร้อยละ70 ข้นึ ไป
1.นักเรยี นมีทักษะการ
สื่อความหมายของข้อมลู
ดา้ นคุณลกั ษณะ (A) - การสังเกตพฤติกรรม - ผา่ นเกณฑ์ระดับดีขึน้ ไป
1.มี วิ นั ย ใ ฝ่ เ รี ย น รู้ การทางานรายบุคคล
มงุ่ มั่นในการทางาน - ประเมนิ คณุ ลกั ษณะอัน
พึงประสงค์
แบบฝกึ หัด 3.2 37
กรด/เบส/กลาง
จงระบุวา่ สารในตารางต่อไปน้ีมสี มบตั เิ ปน็ กรด เบส หรือกลาง
สาร
แบบฝกึ หัด 3.2 38
จงระบุวา่ สารในตารางต่อไปนม้ี สี มบตั ิเปน็ กรด เบส หรือกลาง กรด/เบส/กลาง
สาร กรด
เบส
กรด
เบส
กรด
เบส
กลาง
39
40
41
เกณฑ์การประเมินผลงานนักเรียน
ประเดน็ การ ค่าน้าหนัก แนวทางการใหค้ ะแนน
ประเมิน คะแนน
ด้านความรู้ 3 นกั เรยี นตอบคาถามได้ทุกขอ้ ย่างถกู ตอ้ งครบถ้วนสมบรู ณ์
(K) 2 นักเรยี นสามารถตอบคาถามได้จานวน 2-3 ขอ้ อยา่ งถูกตอ้ ง
1 นกั เรียนสามารถตอบคาถามไดจ้ านวน 1 ข้อหรือไมถ่ ูกเลย
ดา้ นทกั ษะ 3 นกั เรยี นตอบคาถามได้ทกุ ขอ้ ยา่ งถูกตอ้ งครบถว้ นสมบูรณ์
กระบวนการ 2 นกั เรยี นสามารถคานวณหาคาตอบไดจ้ านวน 3-4 ข้ออยา่ งถกู ต้อง
(P) 1 นกั เรยี นสามารถคานวณหาคาตอบได้จานวน 1-2 ขอ้ หรือไมถ่ กู เลย
ดา้ น 3 ทาภาระงานทไ่ี ดร้ บั มอบหมายเสรจ็ ภายในเวลากาหนดละถกู ต้อง
คณุ ลักษณะ 2 ทาภาระงานทไ่ี ด้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลากาหนดแตง่ านยังพลาด
(A) 1 ทาภาระงานทีไ่ ด้รับมอบหมายเสรจ็ แต่สง่ ชา้ และมีข้อผิดพลาด
ระดับคะแนน 3 หมายถงึ ดีมาก
คะแนน 2 หมายถงึ ดี
คะแนน 1 หมายถึง พอใช้
คะแนน
42
43
44
45
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 13
กลุ่มสาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์กายภาพ (ว32121)
ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ภาคเรยี นท่ี 1/2565
หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 3 อาหาร เวลารวม 12 ช่วั โมง
เรื่อง วติ ามนิ และเกลอื แร่ เวลา 2 ชั่วโมง
ผสู้ อน นางสาวปรีดาวรรณ พรมกลุ
วนั ท่ี.……เดือน……..……พ.ศ…….……
1. สาระ/มาตรฐานการเรยี นรู้
สาระที่ 2 วทิ ยาศาสตร์กายภาพ
มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบตั ิของสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติ
ของสสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติ ของการเปลี่ยนแปลง
สถานะของสสาร การเกดิ สารละลาย และการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี
2. ตวั ชีว้ ัด
ม.5/17 อธบิ ายสมบัติการละลายในตัวทาละลายชนดิ ตา่ ง ๆ ของสาร
3. สาระสาคัญ/ความคดิ รวบยอด
สมบัติการละลายของสารในตัวทาละลายต่าง ๆ เป็นไปตามหลักการที่เรียกว่า“like
dissolves like” คือ สารจะละลายได้ในตัวทาละลายท่ีมีขั้วใกล้เคียงกัน ซ่ึงหลักการน้ีสามารถใช้
อธิบายการละลายของสารโดยท่ัวไปได้ เช่น กลูโคสละลายในน้า เมนทอลละลายในน้ามัน น้ามันไม่
ละลายในน้า
4. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
4.1 ด้านความรู้ (K)
1. นกั เรียนอธิบายสมบัติการละลายในตัวทาละลายชนดิ ต่าง ๆ ของสารได้
4.2 ด้านทักษะ/กระบวนการคิด (P)
1. นักเรียนมีทักษะการตีความหมายและลงข้อสรุปของข้อมูลและทักษะการสื่อสาร
ขอ้ มลู
46
4.3 ด้านคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ (A)
1. มวี นิ ยั ใฝเ่ รยี นรู้ มุ่งมน่ั ในการทางาน
5. สาระการเรยี นรู้
5.1 วิตามนิ และเกลือแร่
5.2 การละลายของสารในตวั ทาละลายตา่ ง ๆ
6. คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์
6.1 รกั ชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์
6.2 ซื่อสตั ย์สจุ ริต
6.3 มวี นิ ัย
6.4 ใฝเ่ รยี นรู้
6.5 อยู่อย่างพอเพียง
6.6 มุง่ มนั่ ในการทางาน
6.7 รกั ความเป็นไทย
6.8 มจี ติ สาธารณะ
6.9 ทักษะกระบวนการคิด
6.10 ความเปน็ ธรรมทางสงั คม
7. กิจกรรมการเรยี นรู้
ใชร้ ูปแบบการสอนแบบวฏั จกั รการเรยี นรู้ 5E มีรายละเอียดดงั น้ี
7.1 ข้นั สรา้ งความสนใจ (Engagement)
1. ครทู บททวนบทเรียน เรื่อง สมบัตคิ วามเปน็ กรด-เบสของโปรตีน
2. ครนู าเข้าสบู่ ทเรยี นโดยกล่าวว่า นอกจากไขมัน คาร์โบไฮเดรต และโปรตีน ซ่ึงเป็น
สารท่ีให้พลังงานแก่ร่างกายแล้ว ร่างกายยังต้องการวิตามินและเกลือแร่ให้ทางานของระบบต่าง ๆ
เปน็ ไปอยา่ งปกติ
3. นกั เรยี นร่วมกนั อภปิ รายประโยชนข์ องวิตามนิ บางชนดิ เชน่ วติ ามนิ A B C D E K
4. นักเรียนตอบคาถามว่า นักเรียนจาได้หรือไม่ว่า วิตามินใดบ้างท่ีละลายในไขมัน
(วติ ามินทล่ี ะลายในไขมนั ไดแ้ ก่ วิตามนิ A D E K )