แผนการจัดการเรียนรู้
วิชา วิทยาศาสตรก์ ายภาพ 1 (ว32121)
กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ระดับช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 5 โรงเรียนประจักษศ์ ลิ ปาคาร
ช่อื -สกุล นางสาวปรีดาวรรณ พรมกุล
รหัสประจาตวั นกั ศึกษา 61100141119
สาขาวชิ า วทิ ยาสาสตร์ (เคม)ี
การฝกึ ปฏิบตั ิการสอนในสถานศึกษา 1
รหสั วิชา ED18501 (INTERNSHIP IN SCHOOL 1)
คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั อุดรธานี
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2565
ก
คำนำ
แผนการจัดการเรยี นรู้ รายวิชาวทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ1 รหัสวิชา ว32121 ช้ันมัธยมศึกษาปีที่
5 เล่มน้ี จัดทาขึ้นเพื่อใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ และให้นักเรียน
บรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัดที่กาหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน
พทุ ธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรุง 2560) ผจู้ ดั ทาจึงได้ศึกษาสาระการเรียนรู้พ้ืนฐานให้เข้าใจ จากนั้น
นาปญั หาท่พี บจากประสบการณ์ และความรู้ท่ีได้จากการอบรมสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เทคนิค
วธิ ีการสอน การวดั ผลประเมินผล จิตวทิ ยาการเรียนรู้ ตลอดจนความรู้ท่ีได้จากการศึกษาค้นคว้าด้วย
ตนเอง มาจดั ทาแผนการจดั การเรียนรู้ในคร้ังนี้
แผนการจดั การเรียนรู้ในเล่ม 2 นี้ ประกอบไปด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ บทที่ 2 เร่ือง น้า
ส่ือและนวัตกรรมท่ีใช้ในการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุมาตรฐานการเรียนรู้ได้เต็มศักยภาพ
อยา่ งแทจ้ รงิ
ผู้จัดทาหวังเป็นอย่างย่ิงว่าแผนการจัดการเรียนรู้เล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อตัวผู้สอนเอง
รวมท้งั เปน็ ประโยชน์ต่อผ้สู อนในรายวชิ าเดยี วกนั และผู้สอนแทนเป็นอย่างมาก
ปรดี าวรรณ พรมกลุ
10 ตลุ าคม 2565
ข
สารบญั
คานา หน้า
สารบญั
บทที่ 2 นา ก
ข
แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 6 โมเลกุลของน้า (สารโคเวเลนต)์ 1
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 7 โมเลกุลของน้า (การเปลย่ี นสถานะของน้าและความมขี ัว) 2
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 8 สารในแหล่งนา้ ธรรมชาติ (สารประกอบไอออนิก) 15
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 9 การละลายของสารในนา้ 30
45
แผนการจดั การเรียนรู้
บทท่ี 2
เรื่อง นำ้
แผนการจัดการเรยี นรู้ 6-9
2
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 6
กลมุ่ สาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวชิ าวทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ1 (ว32121)
ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 ภาคเรียนท่ี 1/2565
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 2 น้า เวลารวม 7 ชว่ั โมง
เรื่อง โมเลกุลของนา้ (สารโคเวเลนต์) เวลา 1 ชว่ั โมง
ผ้สู อน นางสาวปรดี าวรรณ พรมกุล
วนั ท.่ี ……เดอื น……..……พ.ศ…….……
1. สาระ/มาตรฐานการเรียนรู้
สาระท่ี 2 วทิ ยาศาสตร์กายภาพ
มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัตขิ องสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติ
ของสสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติ ของการเปลี่ยนแปลง
สถานะของสสาร การเกดิ สารละลาย และการเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมี
2. ตวั ช้วี ัด
ม.5/8 ระบุว่าพันธะโคเวเลนต์เป็นพันธะเด่ียว พันธะคู่ หรือพันธะสาม และระบุจานวนคู่
อเิ ล็กตรอนระหว่างอะตอมค่รู ่วมพนั ธะจากสตู รโครงสร้าง
3. สาระสา้ คัญ/ความคดิ รวบยอด
พันธะโคเวเลนต์ เปน็ การยึดเหนีย่ วระหว่างอะตอมดว้ ยการใชเ้ วเลนซ์อเิ ล็กตรอนร่วมกัน เกิด
เป็นโมเลกลุ โดยการใช้เวเลนซอ์ เิ ล็กตรอนร่วมกัน 1 คู่ เรียกว่า พันธะเดี่ยว เขียนแทนด้วยเส้นพันธะ
1 เส้น ในโครงสร้างโมเลกุล ส่วนการใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอนร่วมกัน 2 คู่ และ 3 คู่ เรียกว่า พันธะคู่
และพันธะสาม เขยี นแทนดว้ ยเส้นพนั ธะ 2 เส้น และ 3 เส้น ตามลาดบั
4. จุดประสงค์การเรยี นรู้
4.1 ด้านความรู้ (K)
1. นกั เรยี นอธิบายการเกดิ พนั ธะโคเวเลนตไ์ ด้
2. นักเรียนระบุจานวนคู่อเิ ลก็ ตรอนระหว่างอะตอมคู่รว่ มพันธะจากสูตรโครงสรา้ งได้
3
4.2 ดา้ นทักษะ/กระบวนการคิด (P)
1. นักเรียนจาแนกว่าพันธะโคเวเลนต์เป็นพันธะเด่ียว พันธะคู่ หรือพันธะสามจาก
สูตรโครงสร้างได้
4.3 ด้านคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
1. มีวนิ ยั ใฝเ่ รียนรู้ มุง่ มัน่ ในการทางาน
5. สาระการเรยี นรู้
พันธะโคเวเลนต์ (covalent bond) คือ พันธะเคมีที่เกิดจากอะตอม 2 อะตอม ท่ีใช้เวเลนซ์
อเิ ล็กตรอนรว่ มกัน การใช้อิเล็กตรอนรว่ มกัน 1 คู่ เกิด 1 พันธะ อะตอมท่ีใช้อิเล็กตรอนร่วมกัน อาจเป็น
อะตอมชนิดเดยี วกัน หรอื ต่างชนดิ กัน แตม่ ีคา่ อเิ ลก็ โทรเนกาตวิ ติ ี (EN) ใกลเ้ คยี งกนั
6. คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์
6.1 รักชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์
6.2 ซ่อื สตั ย์สจุ รติ
6.3 มวี นิ ยั
6.4 ใฝเ่ รียนรู้
6.5 อยู่อย่างพอเพียง
6.6 ม่งุ มั่นในการทางาน
6.7 รักความเป็นไทย
6.8 มีจติ สาธารณะ
6.9 ทกั ษะกระบวนการคดิ
6.10 ความเปน็ ธรรมทางสงั คม
7. กิจกรรมการเรียนรู้
ใชร้ ูปแบบการสอนแบบวฏั จกั รการเรยี นรู้ 5E มรี ายละเอยี ดดงั นี้
7.1 ข้ันสรา้ งความสนใจ (Engagement)
1. นกั เรียนตอบคาถามกระตุ้นความสนใจ ดงั น้ี
4
- ธาตุต่าง ๆ จะมีการรวมตัวกันเกิดเป็นโมเลกุลได้อย่างไร (แนวคาตอบ เกิด
จากแรงยึดเหน่ียวท่ีอยู่ระหว่างอะตอมกับอะตอมภายในโมเลกุล ซึ่งเป็นแรงยึดเหน่ียวระหว่าง
อะตอมท่ีทาให้เกิดโมเลกุล แรงยึดเหนีย่ วนีเ้ รยี กว่า พันธะเคม)ี
- พันธะเคมีมีกี่ประเภทอะไรบ้าง (แนวคาตอบ มี 3 ประเภท ได้แก่พันธะโคเว-
เลนต์ พันธะไอออนิก พนั ธะโลหะ)
- โมเลกุลของน้า (H2O) มีการยึดเหนี่ยวกันด้วยพันธะอะไร (เพื่อโยงไปสู่เนื้อหา
เรื่องสารประกอบโคเวเลนต์)
7.2 ขนั้ ส้ารวจและค้นหา (Exploration)
1. นกั เรียนศกึ ษาโมเลกลุ ของ H2O จากภาพต่อไปน้ี พร้อมตอบคาถาม
ภาพที่ 1 โมเลกลุ น้า
-โมเลกุลน้าประกอบด้วยธาตุอะไรบ้างและมีจานวนกี่อะตอม (แนวคาตอบ H
จานวน 2 อะตอม O จานวน 1 อะตอม)
-อะตอมของไฮโดรเจนและออกซเิ จนยึดเหน่ียวกันด้วยพันธะเคมีโดยพันธะเคมี
ของโมเลกุลน้าคอื พันธะประเภทใด (แนวคาตอบ พันธะโคเวเลนต์)
2. นกั เรียนศึกษารายละเอียดของตาราง 2.1 ตัวอย่างสารโคเวเลนต์ที่พบในธรรมชาติ
จากหนังสือเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ เล่ม 1 สสวท. (ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น
พน้ื ฐาน พ.ศ. 2551 ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560) และตอบคาถาม ดงั น้ี
-สารโคเวเลนต์ในตาราง 2.1 มีธาตอุ งค์ประกอบเปน็ ธาตุ โลหะหรืออโลหะ (แนว
คาตอบ ธาตุอโลหะ+อโลหะ)
3. นักเรยี นศกึ ษาภาพต่อไปนี้ เพอ่ื หาคาตอบเก่ียวกับพันธะโคเวเลนต์
5
ภาพท่ี 2 สูตรโครงสรา้ งของสารประกอบโคเวเลนต์
7. 3 ข้นั อธบิ ายและลงขอ้ สรุป (Explanation)
1. นกั เรียนอภิปรายเพ่อื นาไปส่กู ารสรปุ โดยใชค้ าถามดงั น้ี
-การแสดงการยึดเหน่ียวกันของอะตอมภายในโมเลกุลสารโคเวเลนต์ ทาได้
อยา่ งไร (แนวคาตอบ ทาได้โดยใช้สตู รโครงสรา้ ง)
-พันธะโคเวเลนต์เกิดขึ้นได้อย่างไร (แนวคาตอบ เกิดจากอะตอมสองอะตอมใช้
เวเลนซอ์ เิ ล็กตรอนหนงึ่ คหู่ รือมากกวา่ ร่วมกนั )
-พันธะโคเวเลนตม์ ีก่ีประเภทอะไรบ้าง (แนวคาตอบ 3 ประเภท ได้แก่ พันธะเด่ียว
พันธะคู่ พันธะสาม)
-พันธะท่ีเกิดจากการใช้เวเลนต์อิเล็กตรอนร่วมกัน 1 คู่ เรียกว่า (แนวคาตอบ พันธะ
เด่ียว)
-พันธะท่ีเกิดจากการใช้เวเลนต์อิเล็กตรอนร่วมกัน 2 คู่ และ 3 คู่ เรียกว่า (แนว
คาตอบ พันธะคู่ พันธะสาม)
- อิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะกับอิเล็กตรอนคู่โดดเด่ียว มีความแตกต่างกันอย่างไร
(แนวคาตอบ อเิ ลก็ ตรอนทีอ่ ะตอมใชร้ ว่ มกนั เรยี กวา่ อเิ ล็กตรอนครู่ ่วมพันธะ ส่วนอิเล็กตรอนตัวอ่ืน ๆ
ทีไ่ มไ่ ดใ้ ชร้ ว่ มในพันธะ เรียกวา่ อเิ ลก็ ตรอนค่โู ดดเด่ยี ว หรอื อิเล็กตรอนคู่อิสระ)
2. ครูและนักเรียนรว่ มกันสรุปการศกึ ษาคน้ คว้า เรือ่ ง สารโคเวเลนต์ ดังน้ี
สารโคเวเลนต์
การแสดงการยึดเหนี่ยวกันของอะตอมภายในโมเลกุลสารโคเวเลนต์ ทาได้โดยสูตร
โครงสร้าง (structural formule) ซึ่งแสดงคู่อิเล็กตรอนท่ีใช้ร่วมกันในการเกิดพันธะโคเวเลนต์ด้วย
เส้นพันธะ โดยพันธะท่ีเกิดจากการใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอนร่วมกัน 1 คู่ เรียกว่า พันธะเด่ียว ซ่ึงเขียน
แทนดว้ ยเส้น 1 เสน้ และพนั ธะทเี่ กิดจากการใช้เวเลนซ์อเิ ลก็ ตรอนร่วมกนั 2 และ 3 คู่ เรียกว่า พันธะ
คู่ และพนั ธะสาม ซง่ึ เขยี นแทนดว้ ยเสน้ 2 และ 3 เส้น ตามลาดบั
โมเลกุลของสารโคเวเลนต์อาจประกอบด้วยหลายพันธะและอาจมีพันธะโคเวเลนต์ท่ีเป็น
พนั ธะเด่ียว พนั ธะคู่ หรือพันธะสามมากว่า 1 ชนิด
6
ภาพที่ 3 การเกดิ พันธะโคเวเลนซ์
เราสามารถทราบได้ว่าอะตอมของธาตุมีเวเลนซ์อิเล็กตรอนครบแปด โดยการเขียนเป็น
โครงสร้างลิวอีส ซงึ่ ลิวอีสไดเ้ สนอการเขยี นสญั ลักษณท์ ีแ่ สดงเวเลนซ์อเิ ลก็ ตรอนท่ีเก่ียวข้องกับการเกิด
พนั ธะด้วยจดุ เรยี กวา่ สญั ลกั ษณ์แบบจุดของลิวอีส โดยเขียนจุดเด่ียวตามจานวนเวเลนซ์อิเล็กตรอน
รอบสี่ดา้ นของสัญลักษณธ์ าตุน้ัน ๆ แลว้ จงึ เขียนเตมิ ให้เป็นคู่ดังภาพ
ภาพที่ 4 โครงสรา้ งแบบจดุ
7.4 ขนั้ ขยายความรู้ (Elaboration)
1. นักเรยี นทากิจกรรม “พันธะโคเวเลนต์เปน็ อย่างไร” โดยครูจะสมุ่ แจกกระดาษท่ีมี
โจทยแ์ ละกระดาษทมี่ ีคาตอบให้กบั นกั เรียนแต่ละกลุ่ม
2. โดยใหส้ ญั ญาณการเริ่มเกม ให้แต่ละกลุ่มนากระดาษที่ตวั เองไดม้ าติดหน้าห้อง ให้
ถกู ตอ้ งโดยคาถามและคาตอบจะสัมพนั ธก์ นั
7
ตัวอย่างโจทยแ์ ละคา้ ตอบของเกม
3. นักเรยี นทาแบบฝึกหัดท่ี 2.1 เร่ือง พนั ธะโคเวเลนต์
7.5 ขน้ั ประเมิน (Evaluation)
1. ครปู ระเมินนักเรียน โดยการสังเกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล
2. ครูตรวจสอบผลจากการทาแบบฝึกหัด 2.1 ในหนังสือเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์
กายภาพ1
3. ครูตรวจสอบจากการทาแบบฝึกหัดท่ีหนา้ กระดาน เรอื่ ง สัญลกั ษณ์นวิ เคลียร์
4. ครูตรวจแบบฝึกหัดที่ 2.1 ในหนงั สือเรยี นรายวชิ าวทิ ยาศาสตร์กายภาพ1
8. สอื่ และแหล่งเรียนรู้
8.1 ส่ือการเรียนรู้
- หนังสือเรียนรายวชิ าวทิ ยาศาสตร์กายภาพ เลม่ 1 สสวท. (ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน พ.ศ. 2551 ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560)
- เกมพนั ธะโคเวเลนต์เปน็ อย่างไร
- PowerPoint นาเสนอเรอ่ื ง พันธะโคเวเลนต์
8
8.2 แหลง่ การเรียนรู้
- หอ้ งสมดุ
- แหล่งขอ้ มลู สารสนเทศ เช่น https://proj14.ipst.ac.th
9. การวดั และประเมนิ
จดุ ประสงค์ เครือ่ งมือ เกณฑก์ ารประเมนิ
- ได้คะแนนร้อยละ70 ขึ้นไป
ด้านความรู้ (K) - กจิ กรรม พันธะโคเว
1.นักเรยี นอธบิ ายการ เลนตเ์ ป็นอย่างไร
เกิดพนั ธะโคเวเลนตไ์ ด้
2.นักเรียนระบุจานวน
คู่อิ เ ล็ ก ต ร อ น ร ะ ห ว่ า ง
อะตอมคู่ร่วมพันธะจาก
สตู รโครงสร้างได้
ด้านทักษะ (P) - กจิ กรรม พนั ธะโคเว - ไดค้ ะแนนรอ้ ยละ70 ข้นึ ไป
1.นักเรียนจาแนกว่า เลนต์เป็นอยา่ งไร
พนั ธะโคเวเลนต์เป็นพันธะ
เด่ียว พันธะคู่ หรือพันธะ
สามจากสตู รโครงสรา้ งได้
ด้านคุณลักษณะ (A) - แบบประเมินการสงั เกต - ผา่ นเกณฑร์ ะดบั ดีขึ้นไป
1.มีความรับผิดชอบ พฤตกิ รรม
ตอ่ งานท่ีไดร้ บั มอบหมาย -แบบประเมนิ คุณลกั ษณะ
อนั พงึ ประสงค์
9
10
11
เกณฑก์ ารประเมนิ ผลงานนกั เรียน
ประเด็นการ ค่าน้าหนกั แนวทางการให้คะแนน
ประเมนิ คะแนน
ด้านความรู้ 3 นักเรียนตอบคาถามได้ทกุ ข้อยา่ งถูกต้องครบถ้วนสมบรู ณ์
(K) 2 นกั เรียนสามารถตอบคาถามไดจ้ านวน 2-3 ข้ออยา่ งถูกต้อง
1 นกั เรียนสามารถตอบคาถามไดจ้ านวน 1 ข้อหรอื ไม่ถูกเลย
ดา้ นทกั ษะ 3 นกั เรียนตอบคาถามไดท้ ุกข้อยา่ งถกู ต้องครบถ้วนสมบูรณ์
กระบวนการ 2 นกั เรียนสามารถคานวณหาคาตอบได้จานวน 3-4 ขอ้ อยา่ งถกู ตอ้ ง
(P) 1 นักเรยี นสามารถคานวณหาคาตอบไดจ้ านวน 1-2 ขอ้ หรือไมถ่ ูกเลย
ด้าน 3 ทาภาระงานท่ีได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลากาหนดละถกู ตอ้ ง
คุณลักษณะ 2 ทาภาระงานทีไ่ ด้รับมอบหมายเสรจ็ ภายในเวลากาหนดแต่งานยงั พลาด
(A) 1 ทาภาระงานทไ่ี ดร้ บั มอบหมายเสร็จแตส่ ่งชา้ และมีข้อผิดพลาด
ระดับคะแนน 3 หมายถงึ ดีมาก
คะแนน 2 หมายถงึ ดี
คะแนน 1 หมายถึง พอใช้
คะแนน
12
13
14
15
แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 7
กลุม่ สาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รายวิชาวทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ1 (ว32121)
ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรยี นที่ 1/2565
หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 1 อากาศ เวลารวม 7 ช่ัวโมง
เร่อื ง โมเลกุลของนา้ (การเปลยี่ นสถานะของน้าและความมีขั้ว) เวลา 2 ชว่ั โมง
ผ้สู อน นางสาวปรีดาวรรณ พรมกุล วนั ท.่ี ……เดือน……..……พ.ศ…….……
1. สาระ/มาตรฐานการเรยี นรู้
สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ
มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัตขิ องสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติ
ของสสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติ ของการเปล่ียนแปลง
สถานะของสสาร การเกดิ สารละลาย และการเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมี
2. ตวั ชี้วดั
ม.5/9 ระบุสภาพข้ัวของสารทีโ่ มเลกลุ ประกอบด้วย 2 อะตอม
ม.5/10 ระบสุ ารท่ีเกดิ พนั ธะไฮโดรเจนไดจ้ ากสูตรโครงสร้าง
ม.5/11 อธิบายความสัมพนั ธร์ ะหว่างจดุ เดอื ดของสารโคเวเลนตก์ ับแรงดงึ ดูดระหว่างโมเลกุล
ตามสภาพขั้วหรือการเกดิ พันธะไฮโดรเจน
3. สาระส้าคญั /ความคิดรวบยอด
สารท่ีมีพันธะภายในโมเลกุลเป็นพันธะโคเวเลนต์ท้ังหมดเรียกว่า สารโคเวเลนต์ โดยสาร
โคเวเลนต์ท่ีประกอบด้วย 2 อะตอมของธาตุชนิดเดียวกันเป็นสารไม่มีขั้ว ส่วนสารโคเวเลนต์ที่
ประกอบด้วย 2 อะตอมของธาตุต่างชนดิ กัน เปน็ สารมขี ้วั
4. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
4.1 ดา้ นความรู้ (K)
1. ระบุสภาพขั้วของสารท่ีโมเลกลุ ประกอบดว้ ย 2 อะตอมได้
2. ระบุตาแหนง่ ของพันธะไฮโดรเจนจากสตู รโครงสร้างได้
16
3. อธบิ ายความสัมพันธ์ระหว่างจุดเดือดของสารโคเวเลนต์กับแรงดึงดูดระหว่างโมเลกุล
ตามสภาพขัว้ หรอื การเกิดพนั ธะไฮโดรเจนได้
4.2 ด้านทักษะ/กระบวนการคิด (P)
1. มีทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล ทักษะการการตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรปุ
4.3 ดา้ นคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
1. มวี ินัย ใฝเ่ รียนรู้ มุง่ มนั่ ในการทางาน
5. สาระการเรยี นรู้
5.1 สภาพขว้ั ของสาร
5.2 พันธะโดรเจน
5.3 จดุ เดือดของสารและแรงดึงดูดระหว่างโมเลกลุ
6. คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์
6.1 รกั ชาติ ศาสน์ กษตั ริย์
6.2 ซ่ือสตั ยส์ ุจริต
6.3 มีวินัย
6.4 ใฝ่เรยี นรู้
6.5 อยู่อย่างพอเพียง
6.6 มุ่งมน่ั ในการทางาน
6.7 รักความเป็นไทย
6.8 มีจิตสาธารณะ
6.9 ทักษะกระบวนการคดิ
6.10 ความเป็นธรรมทางสังคม
7. กจิ กรรมการเรียนรู้
ใชร้ ปู แบบการสอนแบบวฏั จกั รการเรยี นรู้ 5E มรี ายละเอียดดงั นี้
7.1 ข้ันสร้างความสนใจ (Engagement)
1. ครูนาเข้าสบู่ ทเรยี น โดยต้งั คาถาม ดงั นี้
17
1.1 “น้า และไอนา้ เหมอื นและแตกตา่ งกันอยา่ งไร” (แนวคาตอบ น้าและไอน้า
มีสตู รเคมเี หมอื นกนั แตม่ ีสถานะทตี่ า่ งกนั )
2. นักเรยี นสงั เกตภาพจาลองการจัดเรียงโมเลกลุ ของนา้ ในสถานะของเหลวและแกส๊
(ก) โมเลกุลของนา้ ในสถานะของเหลว (ข) โมเลกุลของน้าในสถานะแกส๊
ภาพที่ 1 ภาพจาลองการจัดเรียงโมเลกุลของนา้ ในสถานะของเหลวและแกส๊
3. นกั เรียนร่วมกนั อภิปรายเพ่ือให้ได้ข้อสรุปว่า น้าในสถานะของเหลวโมเลกุลจะอยู่
ชิดกันมากกว่าในสถานะแก๊ส แสดงว่าในสถานะของเหลวโมเลกุลมีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล
มากกว่าในสถานะแกส๊ ดงั น้นั ความรอ้ นทีใ่ ชใ้ นเปล่ยี นสถานะของน้าใหเ้ ป็นไอน้า จึงเป็นพลังงานท่ีใช้ใน
การทาลายแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลของน้า ซึ่งความร้อนท่ีโมเลกุลได้รับอาจได้จากการให้ความ
รอ้ นโดยตรง หรือจากส่งิ แวดลอ้ ม
7.2 ขน้ั ส้ารวจและค้นหา (Exploration)
1. นักเรียนศกึ ษาตาราง 2.2 จุดหลอมเหลวและจุดเดือดของสารโคเวเลนต์บางชนิด
ท่ีความดัน 1 บรรยากาศ จากหนังสือเรียนรายวิชา วิทยาศาสตร์กายภาพ เล่ม 1 สสวท. (ตาม
หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน พ.ศ. 2551 ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560)
2. นกั เรยี นตอบคาถามชวนคิด ดังนี้
2.1 เมอื่ น้า (H2O) เดือดจนกลายเป็นไอน้ามีการทาลายพันธะโคเวเลนต์ระหว่าง
H-O หรอื ไม่ เพราะเหตุใด (แนวคาตอบ เมื่อน้าเดือดจนกลายเป็นไอน้าจะไม่มีการทาลายพันธะโคเว
เลนต์ระหวา่ ง H-O ในโมเลกุล เน่อื งจากไอน้ายังคงมีสตู รโมเลกุลเปน็ H2O)
2.2 จากจดุ เดอื ดของ H2O และ O2 สารใดมีแรงยดึ เหน่ียวระหว่างโมเลกุลสูงกว่า
(แนวคาตอบ H2O มีจุดเดือดสูงกว่า O2 แสดงว่าต้องใช้พลังงานมากกว่าในการเปลี่ยนสถานะดังนั้น
H2O จึงมแี รงยดึ เหนีย่ วระหวา่ งโมเลกลุ สูงกวา่ )
2.3 นักเรียนคิดวา่ เพราะเหตุใดสารโคเวเลนต์แต่ละชนิดจึงมีจุดเดือดและจุดหลอมเหลว
ตา่ งกนั (แนวคาตอบ สารโคเวเลนต์มีจุดเดือดและจุดหลอมเหลวต่างกันน้ันเกิดจากความแตกต่างของแรงยึด
เหนย่ี วระหวา่ งโมเลกุล ซง่ึ เปน็ ผลมาจากสภาพขั้วของโมเลกลุ )
18
3. นักเรียนสรุปองคค์ วามรู้ท่ีไดจ้ ากการเรียนรู้ในช้นั เรยี น ในรูปแบบ Mind mapping
7.3 ข้ันอธบิ ายและลงข้อสรปุ (Explanation)
1. ครูให้ความรู้ว่า น้ามีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลมากกว่าแก๊สออกซิเจน ซ่ึง
ความแตกตา่ งของแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลเปน็ ผลมาจากสภาพขว้ั ของโมเลกุล โดยน้าในโมเลกุล
ประกอบดว้ ยอะตอมตา่ งชนดิ กันและเป็นสารมีขั้ว แก๊สออกซิเจนในโมเลกุลประกอบด้วยอะตอม
ของธาตุเพียงชนิดเดียวและเป็นสารไม่มีขั้ว ความมีข้ัวของน้าทาให้น้ามีแรงยึดเหน่ียวระหว่าง
โมเลกลุ ทีม่ ากกว่าแกส๊ ออกซเิ จน น้าจงึ มีจดุ เดือดสูงกวา่
H2O เปน็ สารมขี ว้ั
ภาพที่ 2 โมเลกลุ ของน้า
ท่ีมา : http://blog.sevantownsend.com/2014/01/ice-ice-baby.html
O2 เป็นสารไม่มีข้ัว
ภาพที่ 3 โมเลกลุ ของแก๊สออกซเิ จน
ทีม่ า : https://at-elements-compounds.blogspot.com/2012/?m=1
แรงยึดเหน่ียวระหว่างโมเลกุลเป็นผลมาจากสภาพข้ัวของโมเลกุล โมเลกุล
ประกอบด้วยอะตอมต่างชนดิ กันและเปน็ สารมีขัว้ เช่น HCl, NO
HCl เปน็ สารมีขว้ั
ภาพที่ 4 โมเลกุลของไฮโดรคลอริก
ท่ีมา : https://commons.wikimedia.org/wiki/File:HCl_polarity.svg
19
โมเลกลุ ประกอบด้วยอะตอมของธาตุเพยี งชนดิ เดยี วและเป็นสารไม่มีขวั้ เช่น Cl2, N2, H2
Cl2 เป็นสารมีข้ัว
ภาพที่ 5 โมเลกลุ ของแกส๊ คลอรีน
ทีม่ า : https://at-elements-compounds.blogspot.com/2012/?m=1
2. ครแู ละนักเรยี นร่วมกันอภปิ รายเพื่อนาไปส่กู ารสรุป โดยใชค้ าถามดังน้ี
2.1 สารโคเวเลนต์ท่ีโมเลกุลประกอบด้วย 2 อะตอม หากเป็นธาตุชนิดเดียวกัน
จัดเป็นสารมีข้ัวหรือไมม่ ีขัว้ (แนวคาตอบ เป็นสารไม่มขี ว้ั )
2.2 หากเปน็ ธาตุตา่ งชนดิ กนั จดั เป็นสารมีข้ัวหรือไม่มีข้ัว (แนวคาตอบ เป็นสารมี
ข้ัว)
2.3 น้า ( ) แกส๊ ไฮโดรเจนซัลไฟด์ ( ) แอมโมเนยี ( ) เป็นสารมีชั้วหรือไม่
มขี ้ัว (แนวคาตอบ เปน็ สารมขี ว้ั )
2.4 คาร์บอนไดออกไซด์ ( ) มีเทน ( ) เปน็ สารมขี ้วั หรือไมม่ ขี ว้ั
(แนวคาตอบ เปน็ สารไมม่ ีขั้ว)
2.5 ท่ีอุณหภมู หิ ้อง นา้ มีสถานะเป็นของเหลว ส่วนไฮโดรเจนซัลไฟด์เป็นแก๊ส แสดง
ว่านา้ มจี ุดเดือดของน้าเป็นอย่างไรเม่อื เทียบกบั ไฮโดรเจนซลั ไฟด์ (แนวคาตอบ น้ามีจดุ เดอื ดสงู
กว่าไฮโดรเจนซัสไฟด)์
2.6 นา้ ( ) และไฮโดรเจนซัลไฟด์ ( ) สารทง้ั สองชนิดเปน็ สารมีข้ัวและมี
องค์ประกอบแตกต่างกันเพียงอะตอมเดียว ปรากฏการณ์น้ีเป็นผลมาจาก (แนวคาตอบ พันธะ
ไฮโดรเจน)
3. ครูและนักเรยี นร่วมกันสรปุ การศึกษาเนื้อหา เร่ือง การเปล่ียนสถานะของน้าและ
ความมีขั้ว ดังน้ี
3.1 สารโคเวเลนต์ที่โมเลกุลประกอบด้วย 2 อะตอม หากเป็นธาตุชนิดเดียวกัน
จัดเป็นสารไม่มีข้ัว (non-polar substance) เช่น แก๊สไฮโดรเจน ( ) แก๊สไนโตรเจน ( ) หากเป็น
ธาตตุ ่างชนิดกนั จัดเป็นสารมขี ้วั (polar substance) เช่น ไนโตรเจนมอนอกไซด์ (NO) ไฮโดรเจนคลอ
ไรด์ (HCl) สว่ นสารโคเวเลนต์ท่ปี ระกอบดว้ ยอะตอมมากกว่า 2 อะตอมอาจเป็นสารมีขั้วหรือไม่มีขั้วก็ได้
20
ทง้ั นีข้ ้ึนอยู่กบั รปู รา่ งโมเลกลุ ของสารแต่ละชนิด เช่น น้า ( ) ไข่เน่าหรือแก๊สไฮโดรเจนซัลไฟด์ ( )
แอมโมเนีย ( ) เปน็ สารมีขวั้ ส่วนคารบ์ อนไดออกไซด์ ( ) มเี ทน ( )เป็นสารไมม่ ขี วั้
3.2 นอกจากสภาพข้วั ของโมเลกุลที่ส่งผลแรงยึดเหนยี่ วระหว่างโมเลกุลแล้ว มวล
และรูปร่างของโมเลกุลยงั สง่ ผลตอ่ แรงยึดเหน่ียวระหว่างโมเลกุลอีกด้วย ถ้าสารมีมวลและรูปร่างของ
โมเลกลุ ใกลเ้ คียงกันจุดเดอื ดจะขึน้ อย่กู ับสภาพข้วั ของโมเลกุล
3.3 ที่อุณหภูมิห้อง น้า มีสถานะเป็นของเหลว ส่วนไฮโดรเจนซัสไฟด์ เป็นแก๊ส
แสดงว่าน้ามีจุดเดือดสูงกว่าไฮโดรเจนซัลไฟด์ ทั้งท่ีสารทั้งสองชนิดเป็นสารมีขั้วและมีองค์ประกอบ
แตกต่างกันเพียงอะตอมเตยี วปรากฏการณ์นี้เป็นผลมาจาก พันธะไฮโดรเจน (hydrogen bond)
3.4 นา้ ในสถานะของเหลวโมเลกุลจะอยชู่ ิดกนั มากกว่าในสถานะแกส๊ แสดงว่าใน
สถานะของเหลว โมเลกุลมีแรงยดึ เหนีย่ วระหวา่ งโมเลกุลมากกว่าในสถานะแก๊ส ดังนั้นความร้อนที่ใช้
ในเปล่ยี นสถานะของน้าให้เป็นไอน้าจึงเป็นพลังงานท่ีใช้ในการทาลายแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล
ของน้า ซ่ึงความรอ้ นที่โมเลกลุ ได้รับอาจไดจ้ ากการให้ความร้อนโดยตรงหรอื จากสิง่ แวดล้อม
7.4 ขนั้ ขยายความรู้ (Elaboration)
1. นักเรยี นศกึ ษาความสัมพนั ธร์ ะหว่างจุดเดอื ดของสารโคเวเลนต์กบั แรงดงึ ดูดระหว่าง
โมเลกุลตามสภาพขวั้ หรือการเกดิ พันธะไฮโดรเจน
2. นักเรียนแลกเปลีย่ นความรูซ้ ึ่งกันและกันกบั เพ่ือน
3. นักเรยี นร่วมกันอภิปรายโดยควรได้ข้อสรุปว่า จุดเดือดของสารโคเวเลนต์กับแรง
ดงึ ดูดระหวา่ งโมเลกลุ ตามสภาพข้ัว โดยที่สารโคเวเลนต์มีข้ัวจะมีจุดเดือดจุดหลอมเหลวสูงกว่าสารท่ี
ไม่มีขั้ว สารโคเวเลนต์ไม่มีข้ัวจะมีจุดเดือดจุดหลอมเหลวต่ากว่าพวกอื่น ๆ สารโคเวเลนต์ที่สามารถ
สรา้ งพนั ธะไฮโดรเจนได้ เชน่ HF , NH3 , H2O จะมีจุดเดือดจดุ หลอมเหลวสูงกว่าสารโคเวเลนต์ทีม่ ีขั้ว
4. ครใู หค้ วามรูเ้ พิ่มเตมิ สารเคมีบางชนิด เช่น สารประกอบอินทรีย์ ของกลูโคสและ
วิตามนิ ซี
5. นกั เรียนทาแบบฝึกหัดที่ 2.2 ในหนังสอื เรียน จากนน้ั บนั ทึกลงในสมุดบันทึกประจา
รายวิชา
7.5 ข้ันประเมนิ (Evaluation)
1. ครูประเมนิ จากการทาแบบฝึกหดั 2.2 โดยบันทึกลงในสมดุ บันทกึ ประจารายวิชา
2. ครูประเมนิ นักเรียน โดยการสังเกตพฤติกรรมรายบคุ คล
21
8. ส่ือและแหลง่ เรียนรู้
8.1 ส่ือการเรยี นรู้
- หนังสอื เรยี นรายวชิ าวิทยาศาสตร์กายภาพ เล่ม 1 สสวท. (ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน พ.ศ. 2551 ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. 2560)
- PowerPoint เรอื่ ง การเปลย่ี นสถานะของน้าและความมขี ัว้
8.2 แหล่งการเรยี นรู้
- หอ้ งสมุด
- แหล่งขอ้ มูลสารสนเทศ เชน่ https://proj14.ipst.ac.th
9. การวดั และประเมนิ
จดุ ประสงค์ เครอ่ื งมอื เกณฑ์การประเมนิ
- ได้คะแนนร้อยละ70 ขึ้นไป
ด้านความรู้ (K) - แบบฝึกหัดที่ 2.2
1 . ร ะ บุ ส ภ า พ ขั้ ว ข อ ง
สารที่โมเลกุลประกอบด้วย
2 อะตอมได้
ด้านทกั ษะ (P) - แบบฝกึ หดั ท่ี 2.2 - ได้คะแนนร้อยละ70 ขึน้ ไป
- ผ่านเกณฑร์ ะดบั ดีขนึ้ ไป
1.มี ทั ก ษ ะ ก า ร ล ง
ความเห็นจากข้อมูล ทักษะ
การการตีความหมายข้อมูล
และลงขอ้ สรปุ
ด้านคณุ ลกั ษณะ (A) - แบบสงั เกตพฤตกิ รรม
1.มคี วามรับผิดชอบต่อ - แบบประเมนิ คณุ ลักษณะ
งานท่ไี ด้รับมอบหมาย อนั พงึ ประสงค์
22
แบบฝกึ หัด 2.2
1. สารท่กี ้าหนดใหต้ ่อไปน้ีเปน็ สารมขี ั้วหรอื ไม่มีข้วั
Cl2 F2 Br2 I2 HF HBr O
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
2. สารโคเวเลนตใ์ ดตอ่ ไปนีท้ มี่ ีพันธะไฮโดรเจนเป็นแรงยึดเหนยี่ วระหว่างโมเลกุล
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ท้าการทดลองเพอื่ หาจุดเดอื ดของสาร A และ B ซ่ึงมีมวลและรูปร่างโมเลกุลใกล้เคียงกัน แต่สาร
หน่ึงมีขว้ั และอกี สารหนงึ่ ไม่มีขว้ั พบว่า สาร A มีจุดเดือด 30 องศาเซลเซียส ส่วนสาร B มีจุดเดือด
80 องศาเซลเซยี ส จงระบุวา่ สารใดเป็นสารมขี ัว้ ละสารใดเป็นสารไม่มขี ัว้
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
23
แบบฝึกหดั 2.2
1. สารทก่ี า้ หนดให้ต่อไปน้ีเปน็ สารมขี ั้วหรอื ไม่มีข้วั
Cl2 F2 Br2 I2 HF HBr O
สารที่มขี ว้ั คอื HF HBr และ CO สว่ นสารทีไ่ ม่มขี ัว้ คือ Cl2 FBr2 I2
2. สารโคเวเลนต์ใดต่อไปนี้ทีม่ พี นั ธะไฮโดรเจนเปน็ แรงยึดเหนีย่ วระหวา่ งโมเลกลุ
สารทมี่ ีพนั ธะไฮโดรเจนเป็นแรงดึงดูดระหวา่ งโมเลกุลคอื สาร C และ สาร E
3. ทา้ การทดลองเพ่อื หาจุดเดอื ดของสาร A และ B ซึ่งมีมวลและรูปร่างโมเลกุลใกล้เคียงกัน แต่สาร
หนึ่งมีขั้วและอีกสารหนง่ึ ไม่มีข้ัว พบว่า สาร A มีจุดเดือด 30 องศาเซลเซียส ส่วนสาร B มีจุดเดือด
80 องศาเซลเซยี ส จงระบุวา่ สารใดเปน็ สารมขี ้ัวละสารใดเป็นสารไมม่ ขี ัว้
เนื่องจากสาร A และ B มมี วลและรปู รา่ งของโมเลกุลใกล้เคียงกัน จุดเดือดที่แตกต่างกันจึงเป็น
ผลมาจากสภาพข้ัวของสาร และเน่ืองจาก สาร A มีจุดเดือดต่า กว่าสาร B แสดงว่าสาร B มีแรงยึด
เหนย่ี วระหว่างโมเลกุลมากกว่าสาร A ดงั นัน้ สาร A จงึ เปน็ สารไม่มีข้วั สว่ นสาร B เป็นสารมีข้ัว
24
25
26
เกณฑก์ ารประเมนิ ผลงานนกั เรียน
ประเด็นการ ค่าน้าหนกั แนวทางการให้คะแนน
ประเมนิ คะแนน
ด้านความรู้ 3 นักเรียนตอบคาถามได้ทกุ ข้อยา่ งถูกต้องครบถ้วนสมบรู ณ์
(K) 2 นกั เรียนสามารถตอบคาถามไดจ้ านวน 2-3 ข้ออยา่ งถูกต้อง
1 นกั เรียนสามารถตอบคาถามไดจ้ านวน 1 ข้อหรอื ไม่ถูกเลย
ดา้ นทกั ษะ 3 นกั เรียนตอบคาถามไดท้ ุกข้อยา่ งถกู ต้องครบถ้วนสมบูรณ์
กระบวนการ 2 นกั เรียนสามารถคานวณหาคาตอบได้จานวน 3-4 ขอ้ อยา่ งถกู ตอ้ ง
(P) 1 นักเรยี นสามารถคานวณหาคาตอบไดจ้ านวน 1-2 ขอ้ หรือไมถ่ ูกเลย
ด้าน 3 ทาภาระงานท่ีได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลากาหนดละถกู ตอ้ ง
คุณลักษณะ 2 ทาภาระงานทีไ่ ด้รับมอบหมายเสรจ็ ภายในเวลากาหนดแต่งานยงั พลาด
(A) 1 ทาภาระงานทไ่ี ดร้ บั มอบหมายเสร็จแตส่ ่งชา้ และมีข้อผิดพลาด
ระดับคะแนน 3 หมายถงึ ดีมาก
คะแนน 2 หมายถงึ ดี
คะแนน 1 หมายถึง พอใช้
คะแนน
27
28
29
30
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 8
กล่มุ สาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รายวิชาวทิ ยาศาสตร์กายภาพ (ว32121)
ช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 5 ภาคเรยี นที่ 1/2565
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 2 น้า เวลารวม 7 ชั่วโมง
เรือ่ ง สารในแหล่งน้าธรรมชาติ (สารประกอบไอออนกิ ) เวลา 2 ชั่วโมง
ผสู้ อน นางสาวปรีดาวรรณ พรมกุล วนั ที.่ ……เดือน……..……พ.ศ…….……
1. สาระ/มาตรฐานการเรยี นรู้
สาระที่ 2 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ
มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัตขิ องสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติ
ของสสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติ ของการเปลี่ยนแปลง
สถานะของสสาร การเกดิ สารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี
2. ตวั ช้วี ัด
ม.5/12 เขียนสูตรเคมขี องไอออนและสารประกอบไอออนกิ
3. สาระสา้ คัญ/ความคิดรวบยอด
สารประกอบไอออนิกส่วนใหญ่เกิดจากการรวมตัวกันของไอออนบวกของธาตุโลหะและ
ไอออนลบของธาตุอโลหะ ในบางกรณีไอออนอาจประกอบด้วย กลุ่มของอะตอม โดยเม่ือไอออน
รวมตัวกันเกิดเป็นสารประกอบไอออนิกจะมีสัดส่วนการรวมตัวเพ่ือทาให้ประจุของสารประกอบ
เป็นกลางทางไฟฟา้ โดยไอออนบวกและไอออนลบจะจัดเรียงตัวสลับต่อเน่ืองกันไปใน 3 มิติ เกิดเป็น
ผลึกของสาร ซงึ่ สูตรเคมขี องสารประกอบไอออนิกประกอบด้วยสัญลักษณ์ธาตุที่เป็นไอออนบวกตาม
ด้วยสัญลักษณ์ธาตุท่ีเป็นไอออนลบ โดยมีตัวเลขที่แสดงจานวนไอออนแต่ละชนิดเป็นอัตราส่วน
อยา่ งตา่
4. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
4.1 ดา้ นความรู้ (K)
1. นกั เรียนอธบิ ายการเกดิ พันธะไอออนกิ ได้
31
2. เปรียบเทียบจุดหลอมเหลวและจุดเดือดระหว่างสารโคเวเลนต์กับสารประกอบ
ไอออนกิ ได้
4.2 ดา้ นทักษะ/กระบวนการคิด (P)
1. นกั เรยี นเขยี นสตู รเคมขี องไอออนและสารประกอบไอออนิกได้
2. นักเรยี นเขยี นสูตรเอมพริ ิคลั ของสารประกอบไอออนกิ จากไอออนที่กาหนดให้ได้
4.3 ดา้ นคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)
1. มีวินยั ใฝเ่ รียนรู้ มงุ่ ม่ันในการทางาน
5. สาระการเรยี นรู้
5.1 สารในแหล่งนาธรรมชาติ
- สารประกอบไอออนกิ
- พนั ธะไอออนิก
- สูตรเอมพริ คิ ัล
- การเปลย่ี นสถานะของสารประกอบไอออนกิ
6. คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์
6.1 รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์
6.2 ซอ่ื สตั ย์สุจริต
6.3 มีวินยั
6.4 ใฝเ่ รียนรู้
6.5 อยู่อย่างพอเพียง
6.6 ม่งุ มั่นในการทางาน
6.7 รักความเป็นไทย
6.8 มจี ติ สาธารณะ
6.9 ทกั ษะกระบวนการคดิ
6.10 ความเป็นธรรมทางสงั คม
32
7. กจิ กรรมการเรยี นรู้
ใชร้ ปู แบบการสอนแบบวฏั จักรการเรยี นรู้ 5E มรี ายละเอยี ดดังนี
7.1 ขนั้ สร้างความสนใจ (Engagement)
1. นกั เรยี นสงั เกตภาพแหล่งนา
ภาพที่ 1 แหลง่ นา
2. นกั เรยี นตอบคาถามเพอื่ กระตนุ้ ความสนใจ ดังนี
2.1 นักเรยี นคิดวา่ นาในแหล่งนาธรรมชาติบริสุทธ์ิหรือไม่ (แนวคาตอบ นักเรียน
ตอบตามความเข้าใจไปในแนวทางท่ีบอกว่าไม่บรสิ ุทธิ)์
2.2 นกั เรยี นคดิ วา่ ในแหลง่ นามีสารอ่ืนที่เจือปนเป็นสารใด (แนวคาตอบ นักเรียน
ตอบตามความเขา้ ใจ)
7.2 ขั้นส้ารวจและค้นหา (Exploration)
1. นักเรยี นและครูร่วมกนั อภิปรายว่านาในแหล่งนาธรรมชาติไม่บริสุทธ์ิ มีสารอื่นเจือ
ปนอยู่ เช่น แกส๊ ออกซิเจน แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ และสารอ่ืนที่อยู่ในรูปไอออน เช่น โซเดียมไอออน
และคลอไรด์ไอออน
2. นกั เรยี นสงั เกตรูปนาเกลอื
ภาพท่ี 2 นาเกลือ
33
3. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายว่านาเกลือเกิดจากนาในแหล่งนาธรรมชาติหรือ
ทะเล มีโซเดียมไอออน ( ) และคลอไรด์ไอออน ( -) อยู่มาก เม่ือนามาระเหยนาออกจะได้เกลือแกง
หรอื โซเดียมคลอไรด์ ไอออนบวกของโซเดียมและไอออนลบของคลอไรด์ ยึดเหนียวกันด้วยพันธะเคมี ท่ี
เรยี กว่า พนั ธะไอออนกิ
4. นักเรียนศึกษาเก่ียวกับสารประกอบไอออนิกเพ่ิมเติมจากหนังสือเรียนรายวิชา
วิทยาศาสตรก์ ายภาพ 1 เกย่ี วกับเรือ่ ง สารประกอบไอออนิก และการเปลี่ยนสถานะของสารประกอบไอ
ออนกิ เพอ่ื ทากจิ กรรมจากเกม Wordwall
7.3 ข้ันอธิบายและลงขอ้ สรปุ (Explanation)
1. นักเรียนร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับสารประกอบไอออนิกเพ่ือให้ได้ข้อสรุปว่า
“สารประกอบไอออนิก (ionic compound) ประกอบด้วยไอออนบวก และไอออนลบที่ยึดเหน่ียวกันด้วย
พันธะเคมีที่เรียกว่า พันธะไอออนิก (ionic bond) โดยไอออนบวกและไอออนลบ จัดเรียงตัวสลับ
ต่อเน่ืองกันไปในแนว 3 มิติเกิดเป็นผลึกของแข็งในอัตราส่วนของไอออนที่ทาให้สารประกอบ
ไอออนกิ เป็นกลางทางไฟฟ้า
ภาพท่ี 3 การจัดเรียงไอออนบวกและไอออนลบของเกลอื แกงใน 3 มิติ
2. นกั เรียนสงั เกตตัวอย่างไอออนท่ีพบในชีวิตประจาวันว่ามีอะไรบ้าง เพ่ือนาไปสู่การ
ให้ข้อสรุปว่า สารประกอบไอออนิกส่วนใหญ่เกิดจากการรวมตัวกันของไอออนบวกของธาตุโลหะและ
ไอออนลบของธาตุอโลหะ
3. นกั เรยี นรว่ มกนั อภิปรายเก่ียวกบั การเขยี นสูตรเอมพิริคัลวา่ “เน่อื งจากสารประกอบ
ไอออนิกไม่สามารถหาขอบเขตทีแ่ นน่ อนได้จึงไมจ่ ัดเป็นโมเลกลุ และไม่สามารถเขียนสูตรโมเลกุลได้ สูตร
เคมขี องสารประกอบไอออนิกจึงเขยี นแสดงด้วยอัตราส่วนอย่างต้่าของไอออน เรียกว่า สูตรเอมพิริคัล
(empirical formula)
34
4. ครอู ธิบายเพ่ิมเติมเกีย่ วการเขียนสตู รเอมพิริคัลว่าลักษณะการเขียนอย่างไร ทังการ
แสดงอัตราส่วนอยา่ งต่าท่ที าให้ผลรวมประจุเปน็ ศูนย์และการไขว้ตวั เลขประจุของไอออน ตามตาราง 2.4
หนงั สือวทิ ยาศาสตร์กายภาพ1 (สสวท.)
7.4 ข้นั ขยายความรู้ (Elaboration)
1. นักเรยี นสังเกตสารในชวี ติ ประจาวัน เชน่ ยาสีฟัน เม่ือละลายนาจะอยู่ในรูปไอออน
เพ่อื เชื่อมโยงไปสู่ว่าสารไอออนกิ เมอื่ ละลายนาจะอยใู่ นรปู ไอออน ซงึ่ ไอออนท่ีละลายอยู่ในนาอาจจะเป็น
ไอออนทีเ่ กดิ จากอะตอมของธาตุเดียวหรอื กลมุ่ อะตอม
2. นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับการเปล่ียนสถานะของสารประกอบไอออนิก เพ่ือให้ได้
ข้อสรปุ วา่ “เม่ือได้รับความร้อน พันธะไอออนิกบางส่วนถูกทาลาย ไอออนบวกและลบเคลื่อนท่ีได้มาก
ขึน เมอื่ อุณหภูมถิ งึ จุดหลอมเหลวจะเปล่ยี นสถานะเป็นของเหลว และเมื่ออุณหภูมิถึงจุดเดือดสถานะจะ
เปลีย่ นเปน็ แกส๊ ซ่ึงการเปลยี่ นสถานะของสารประกอบไอออนิกนีจะทาลายพันธะไอออนกิ ทาให้จุดเดือด
จุดหลอมเหลวของสารประกอบไอออนิกสูงกว่าสารโคเวเลนต์ เนื่องจากพันธะไอออนิกมีความแข็งแรง
มากกว่าแรงยึดเหน่ียวระหว่างโมเลกุล”
สมบัติของสารประกอบไอออนกิ
1. มีขว้ั เพราะสารประกอบไอออนิกไม่ได้เกิดขึนเป็นโมเลกุลเดี่ยว แต่จะเป็นของแข็ง
ซ่ึง ประกอบดว้ ยไอออนจานวนมาก ซง่ึ ยึดเหนี่ยวกันด้วยแรงยึดเหนย่ี วทางไฟฟา้
2. ไมน่ า้ ไฟฟ้าเมื่ออยู่ในสภาพของแข็ง แตจ่ ะน้าไฟฟา้ ไดเ้ มือ่ ใส่สารประกอบไอออ
นิกลง ในนา้ ไอออนจะแยกออกจากกัน ทาให้สารละลายนาไฟฟ้าในทานองเดียวกันสารประกอบท่ี
หลอมเหลวจะนา ไฟฟ้าได้ดว้ ยเนอื่ งจากเม่ือหลอมเหลวไอออนจะเป็นอิสระจากกัน เกิดการไหลเวียน
อเิ ล็กตรอนทาให้ อิเล็กตรอนเคล่ือนทีจ่ งึ เกดิ การนาไฟฟ้า
3. มีจุหลอมเหลวและจดุ เดือดสูงความร้อนในการทาลายแรงดึงดูดระหว่างไอออน
ให้ กลายเป็นของเหลวตอ้ งใชพ้ ลงั งานสูง
4. นักเรยี นทาแบบฝกึ หดั ท่ี 2.3 ในหนังสือเรยี น จากนนั บนั ทึกลงในสมุดบันทึกประจา
รายวชิ า
7.5 ขนั้ ประเมนิ (Evaluation)
1. ครปู ระเมนิ จากการทาแบบฝึกหัด 2.3 โดยบนั ทึกลงในสมุดบนั ทึกประจารายวชิ า
2. ครปู ระเมินนกั เรยี น โดยการสังเกตพฤตกิ รรมรายบุคคล
35
8. สอื่ และแหลง่ เรียนรู้
8.1 ส่ือการเรยี นรู้
- หนังสอื เรียนรายวิชาวทิ ยาศาสตร์กายภาพ เลม่ 1 สสวท. (ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขันพืนฐาน พ.ศ. 2551 ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)
- PowerPoint เร่อื ง สารในแหลง่ นาธรรมชาติ
8.2 แหลง่ การเรยี นรู้
- หอ้ งสมุด
- แหล่งข้อมูลสารสนเทศ เชน่ https://proj14.ipst.ac.th
36
9. การวัดและประเมิน
จุดประสงค์ เครื่องมือ เกณฑ์การประเมนิ
- ไดค้ ะแนนร้อยละ70 ขนึ ไป
ดา้ นความรู้ (K) - แบบฝกึ หดั ที่ 2.3
1.นกั เรียนอธบิ ายการ
เกิดพนั ธะไอออนิกได้
2.เ ป รี ย บ เ ที ย บ จุ ด
หลอม เหลวและจุ ด เดื อ ด
ระหว่ างสารโคเวเลนต์ กั บ
สารประกอบไอออนิกได้
ด้านทกั ษะ (P) - แบบฝึกหัดท่ี 2.3 - ไดค้ ะแนนร้อยละ70 ขนึ ไป
1.นั กเรี ยน เขี ยน สู ต ร
เ ค มี ข อ ง ไ อ อ อ น แ ล ะ
สารประกอบไอออนิกได้
2.นักเรียนเขียนสูตร
เอมพิริคัลขอสารประกอบ
ไอออนิก จากไ อออน ท่ี
กาหนดใหไ้ ด้
ด้านคณุ ลกั ษณะ (A) - การสังเกตพฤติกรรม - ผ่านเกณฑ์ระดับดีขนึ ไป
1.มีวิ นัย ใฝ่เรียน รู้ - แบบประเมนิ คณุ ลกั ษณะ
มงุ่ มน่ั ในการทางาน อันพงึ ประสงค์
37
แบบฝกึ หัด 2.3
1. เขยี นสูตรเอมพิรคิ ลั ของสารประกอบไอออนกิ จากไอออนทีก่ ้าหนดให้
ไอออนบวก ไอออนลบ สตู รเอมพริ คิ ลั
Na+ CO32-
K+ PO43-
Mg2+ SO42-
Ca2+ Cl-
Al3+ O2-
NH4+ NO3-
Li+ C2H3O2-
2. เขียนไอออนทเี่ ปน็ องคป์ ระกอบของสารประกอบไอออนิกตอ่ ไปนี้
สูตรเอมพิริคลั ไอออนบวก ไอออนลบ
Al2(SO4)3
CaO
KCl
(NH4)2 CO3
Na3PO4
Li2SO4
Mg(C2H3O2)2
38
แบบฝกึ หัด 2.3
1. เขียนสตู รเอมพิริคัลของสารประกอบไอออนิกจากไอออนที่กา้ หนดให้
ไอออนบวก ไอออนลบ สตู รเอมพิริคัล
Na+ CO32- Na2 CO3
K+ PO43- K3 PO4
Mg2+ SO42- MgSO4
Ca2+ Cl- CaCl2
Al3+ O2- Al2O3
NH4+ NO3- NH4 NO3
Li+ C2H3O2- Li C2H3O2
2. เขยี นไอออนทเ่ี ป็นองค์ประกอบของสารประกอบไอออนกิ ต่อไปน้ี
สตู รเอมพิริคัล ไอออนบวก ไอออนลบ
SO42-
Al2(SO4)3 Al3+ O2-
Cl-
CaO Ca2+ CO32-
PO43-
KCl K+ SO42-
C2H3O2-
(NH4)2 CO3 NH4+
Na3PO4 Na+
Li2SO4 Li+
Mg(C2H3O2)2 Mg2+
39
40
41
เกณฑก์ ารประเมนิ ผลงานนกั เรียน
ประเด็นการ ค่าน้าหนกั แนวทางการให้คะแนน
ประเมนิ คะแนน
ด้านความรู้ 3 นักเรียนตอบคาถามได้ทกุ ข้อยา่ งถูกต้องครบถ้วนสมบรู ณ์
(K) 2 นกั เรียนสามารถตอบคาถามไดจ้ านวน 2-3 ข้ออยา่ งถูกต้อง
1 นกั เรียนสามารถตอบคาถามไดจ้ านวน 1 ข้อหรอื ไม่ถูกเลย
ดา้ นทกั ษะ 3 นกั เรียนตอบคาถามไดท้ ุกข้อยา่ งถกู ต้องครบถ้วนสมบูรณ์
กระบวนการ 2 นกั เรียนสามารถคานวณหาคาตอบได้จานวน 3-4 ขอ้ อยา่ งถกู ตอ้ ง
(P) 1 นักเรยี นสามารถคานวณหาคาตอบไดจ้ านวน 1-2 ขอ้ หรือไมถ่ ูกเลย
ด้าน 3 ทาภาระงานท่ีได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลากาหนดละถกู ตอ้ ง
คุณลักษณะ 2 ทาภาระงานทีไ่ ด้รับมอบหมายเสรจ็ ภายในเวลากาหนดแต่งานยงั พลาด
(A) 1 ทาภาระงานทไ่ี ดร้ บั มอบหมายเสร็จแตส่ ่งชา้ และมีข้อผิดพลาด
ระดับคะแนน 3 หมายถงึ ดีมาก
คะแนน 2 หมายถงึ ดี
คะแนน 1 หมายถึง พอใช้
คะแนน
42
43
44
45
แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 9
กลมุ่ สาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รายวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ (ว32121)
ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 5 ภาคเรยี นที่ 1/2565
หนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี 2 น้า เวลารวม 7 ช่ัวโมง
เรื่อง การละลายของสารในน้า เวลา 2 ชว่ั โมง
ผสู้ อน นางสาวปรดี าวรรณ พรมกุล
วนั ที.่ ……เดือน……..……พ.ศ…….……
1. สาระ/มาตรฐานการเรยี นรู้
สาระที่ 2 วิทยาศาสตรก์ ายภาพ
มาตรฐาน ว 2.1 เขา้ ใจสมบตั ขิ องสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติ
ของสสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติ ของการเปล่ียนแปลง
สถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี
2. ตัวช้ีวัด
ม.5/13 ระบุว่าสารเกิดการละลายแบบแตกตัวหรือไม่แตกตัว พร้อมให้เหตุผลและระบุว่า
สารละลายที่ได้เป็นสารละลายอิเลก็ โทรไลต์หรือนอนอเิ ล็กโทรไลต์
3. สาระส้าคญั /ความคิดรวบยอด
สารจะละลายน้าได้เม่ือองค์ประกอบของสารสามารถเกิดแรงดึงดูดกับโมเลกุลของน้าได้โดยการ
ละลายของสารในน้าเกิดได้ 2 ลักษณะ คือ การละลายแบบแตกตัว และการละลายแบบไม่แตกตัว
การละลายแบบแตกตัวเกดิ ขนึ กับสารประกอบไอออนกิ และสารโคเวเลนตบ์ างชนิดที่มีสมบัติเป็นกรด
หรือเบส โดยเม่ือสารเกิดการละลายแบบแตกตัวจะได้ไอออนท่ีสามารถเคลื่อนท่ีได้ ท้าให้ได้
สารละลายที่น้าไฟฟ้าซ่ึงเรียกว่า สารละลาย อิเล็กโทรไลต์การละลายแบบไม่แตกตัวเกิดขึนกับสาร
โคเวเลนต์ท่ีมีขัวสูงสามารถดึงดูดกับโมเลกุลของน้าได้ดีโดยเมื่อเกิดการละลายโมเลกุลของสารจะไม่
แตกตัวเปน็ ไอออน และสารละลายทไ่ี ด้จะไมน่ ้าไฟฟา้ ซง่ึ เรียกว่า สารละลายนอนอเิ ล็กโทรไลต์
4. จุดประสงค์การเรียนรู้
4.1 ด้านความรู้ (K)
1. นักเรยี นอธิบายการละลายของสารในนา้ ได้
46
4.2 ด้านทกั ษะ/กระบวนการคดิ (P)
1. นักเรียนจ้าแนกได้ว่าสารละลายที่ได้เป็นสารละลายอิเล็กโทรไลต์หรือนอนอิเล็ก
โทรไลตไ์ ด้
4.3 ด้านคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
1. มวี ินัย ใฝเ่ รยี นรู้ ม่งุ ม่ันในการทา้ งาน
5. สาระการเรยี นรู้
5.1 การละลายของสารในน้า
- การละลายแบบแตกตวั
- การละลายแบบไมแ่ ตกตัว
6. คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์
6.1 รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์
6.2 ซอ่ื สัตยส์ จุ รติ
6.3 มีวนิ ัย
6.4 ใฝ่เรียนรู้
6.5 อยู่อย่างพอเพียง
6.6 มุ่งมนั่ ในการทา้ งาน
6.7 รกั ความเป็นไทย
6.8 มจี ิตสาธารณะ
6.9 ทักษะกระบวนการคดิ
6.10 ความเปน็ ธรรมทางสงั คม
7. กิจกรรมการเรยี นรู้
ใช้รูปแบบการสอนแบบวฏั จกั รการเรยี นรู้ 5E มรี ายละเอยี ดดงั นี
7.1 ขนั้ สร้างความสนใจ (Engagement)
1. นักเรียนทบทวนความรู้เดิมเก่ียวกับสารละลายว่า ประกอบด้วยตัวละลาย ซ่ึง
กระจายตัวอยู่ในตัวท้าละลาย ยกตัวอย่าง เช่น น้าเกลือแร่ เกิดจากการน้าผงเกลือแร่ซ่ึงประกอบด้วย
เกลอื แกงและกลโู คสมาละลายในน้าจากนนั เขยี นสตู รเคมีของเกลอื แกง (NaCl) และกลโู คส (C6H12O6)