การศกึ ษาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นและความพึงพอใจต่อการเรียนวชิ าคณิตศาสตร์
เร่อื ง โจทยป์ ญั หาทศนิยม โดยใชเ้ ทคนคิ การสะทอ้ นคิด ของนกั เรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 6
โรงเรียนวดั อมรินทราราม
ผวู้ จิ ยั
นางสาวศศิภา กลดั ขวญั รหสั นักศกึ ษา 6011070024
อาจารยท์ ป่ี รึกษา อาจารย์ชยาภา ดารายน
รายงานเลม่ นี้เปน็ ส่วนหนึง่ ของการฝึกประสบการณ์วชิ าชีพครู
สาขาวชิ าคณติ ศาสตร์ ภาคเรียนท่ี 1/2564
คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั ธนบรุ ี
ชอื่ เรอ่ื ง ก
ชื่อผวู้ จิ ยั
การศึกษาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นและความพึงพอใจตอ่ การเรียนวชิ าคณติ ศาสตร์
เรอ่ื ง โจทย์ปญั หาทศนิยม โดยใช้เทคนคิ การสะทอ้ นคดิ
ของนักเรียนชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 6 โรงเรยี นวดั อมรินทราราม
นางสาวศศภิ า กลัดขวัญ
อาจารยท์ ่ปี รึกษา อาจารย์ชยาภา ดารายน
หลักสูตร ครศุ าสตร์บัณฑติ
คณะ ครุศาสตร์
สาขาวชิ า คณติ ศาสตร์
ปีการศึกษา 2564
คำสำคัญ เทคนคิ การสะทอ้ นคดิ / ความพึงพอใจในการเรยี นคณติ ศาสตร์/
ผลสัมฤทธิท์ างการเรียน
ข
บทคดั ยอ่
วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อน - หลังเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์
เร่อื ง โจทยป์ ญั หาทศนยิ ม โดยใช้เทคนิคสะท้อนคิด ของนกั เรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 2) เพ่อื ศกึ ษาความพึง
พอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระคณิตศาสตร์โดยใช้เทคนิคสะท้อนคิด กลุ่มตัวอย่าง คือ
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 ของโรงเรียนวัดอมรินทราราม
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากรุงเทพมหานคร สำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน
กระทรวงศกึ ษาธิการ จังหวดั กรงุ เทพมหานครฯ จำนวน 27 คน เครือ่ งมอื ทใี่ ช้ในการศกึ ษาคน้ คว้ามี 3 ชนิด
ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรกู้ ลุ่มสาระคณติ ศาสตร์ เร่ือง โจทยป์ ัญหาทศนยิ ม ดว้ ยการจดั การเรยี นรู้โดยใช้
เทคนิคสะท้อนคิด ของนักเรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 จำนวน 4 แผน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการ
เรียน กลุ่มสาระคณิตศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีลักษณะเป็นแบบทดสอบ แบบปรนัย จำนวน 5 ข้อ 10
คะแนน และแบบอัตนัย จำนวน 5 ข้อ 10 คะแนน 3) แบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการ
เรยี นรู้โดยใช้เทคนิคสะท้อนคิด กลุ่มสาระการเรยี นรู้กลุม่ สาระคณิตศาสตร์ทม่ี ีผู้ศึกษาค้นคว้าสร้างขึ้นเป็นแบบ
มาตราสว่ นประมาณค่า (Rating Scale) จำนวน 15 ขอ้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล ไดแ้ ก่ ค่าเฉลีย่ ส่วน
เบย่ี งเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมตุ ิฐานด้วย t- test (Dependent Samples)
ผลการศึกษาคน้ คว้า ปรากฏดังนี้
1. ผลผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนในวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาทศนิยม ของนกั เรยี นชั้นประถมศึกษา
ปีที่ 6 โดยใช้เทคนิคสะท้อนคิด โรงเรียนวัดอมรินทราราม หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญสถิติที่
ระดับ .05 ซึง่ สอดคลอ้ งตามสมมติฐานท่ีตง้ั ไว้ เมอื่ พิจารณาจากคะแนนเฉล่ยี กอ่ นเรียน เทา่ กบั 3.33 และหลัง
เรียนเท่ากับ 9.50
2. ผลการศกึ ษาความพงึ พอใจทางการเรยี นในวิชาคณติ ศาสตร์ เร่อื ง โจทยป์ ัญหาทศนิยม ของ
นกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้เทคนิคสะท้อนคดิ โรงเรยี นวดั อมรนิ ทราราม โดยภาพรวมนักเรียนมี
ความพงึ พอใจอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย เทา่ กับ 4.47)
ค
กติ ตกิ รรมประกาศ
งานวิจัยครัง้ นี้สำเร็จลงได้ด้วยดดี ้วยความอนุเคราะห์จาก อาจารย์ชยาภา ดารายน อาจารย์ประจำ
สาขาวิชาคณิตศาสตร์และอาจารย์ที่ปรึกษางานวิจัย ซึ่งได้ให้คำแนะนำและแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข
ข้อบกพร่องต่าง ๆ ตลอดจนให้กำลังใจ และเอาใจใส่อย่างดียิ่งแก่ผู้วิจัยมาโดยตลอด คณะผู้วิจัยขอกราบ
ขอบพระคุณเป็นอยา่ งสงู ไว้ ณ ท่นี ี้
ผู้วิจัยขอขอบพระคุณ ครูชัญญณัส อธิศักด์ิโสภา ครูจุญจิรา จิตรวิบูลย์ และ ครูลลิตา นิติพันธ์
ผู้ทรงคุณวุฒิที่ให้ความอนุเคราะห์ตรวจแก้ไขเครื่องมือที่ใช้ในการทำวิจัย ขอบพระคุณคณะครู
โรงเรียนวัดอมรินทรารามที่ให้ความร่วมมือและช่วยเหลือในการดำเนินการวิจัย รวมทั้งนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 6 ทุกคนที่ให้ความร่วมมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล จนทำให้งานวิจัยครั้งนี้สำเร็จลุล่วงได้
ดว้ ยดี
นางสาวศศภิ า กลัดขวัญ
ผู้วิจัย
สารบญั เนื้อหา ง
เรอื่ ง หน้า
บทคัดยอ่ ข
กติ ตกิ รรมประกาศ ค
สารบัญเน้ือหา ง
สารบญั ตาราง ช
สารบญั รปู ภาพ ซ
บทท่ี 1 บทนำ 1
1
ความเป็นมาและความสาคญั ของปญั หา 3
วตั ถปุ ระสงคง์ านวิจัย 3
สมมติฐานการวจิ ยั 3
ขอบเขตงานวิจยั 4
กรอบแนวคิดในการวจิ ยั 4
นิยามศัพทเ์ ฉพาะ 5
ประโยชน์ทไี่ ดร้ ับ
บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเกย่ี วข้อง 6
หลกั สูตรการศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรบั ปรุง 2560) 11
ทฤษฎีการเรียนรู้ทเ่ี กี่ยวข้องกบั การเรียนคณติ ศาสตร์ 13
หลกั ในการสอนคณิตศาสตร์ 30
แผนการจดั การเรียนรู้ 33
ความพึงพอใจตอ่ การเรียน
สารบญั เนือ้ หา (ตอ่ ) จ
เรอื่ ง หน้า
งานวจิ ัยที่เกยี่ วข้อง 34
บทที่ 3 วธิ ดี าเนินการ
ประชากรและกลุ่มอยา่ ง 38
ข้นั ตอนในการวิจยั 38
เคร่อื งมอื ทใี่ ช้ในการวจิ ยั 40
การเก็บรวบรวมข้อมลู 43
การวิเคราะห์ข้อมูล 43
สถติ ิท่ีใช้ในการวิจยั 44
บทที่ 4 ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล
สญั ลักษณ์ทใ่ี ช้ในการวเิ คราะหข์ ้อมลู 47
ลำดับขัน้ ในการนำเสนอผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล 47
ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู 48
บทท่ี 5 สรปุ ผลการวิจยั อภิปราบยผล และขอ้ เสนอแนะ
สรปุ ผลการวิจยั 50
การอภิปรายผลการวิจยั 51
ข้อเสนอแนะ 52
บรรณานุกรม 53
ภาคผนวก 56
ภาคผนวก ก แผนการจัดการเรยี นรู้ 57
ฉ
สารบญั ตาราง หนา้
38
ตารางที่ 48
ตารางท่ี 1 ตารางแบบการทดลอง One Group Pre-test Post-test Design 49
ตารางท่ี 2 การเปรยี บเทียบคะแนนวัดผลสมั ฤทธ์วิ ชิ าคณติ ศาสตร์กอ่ นเรียนและหลงั เรยี น
ตารางที่ 3 ผลการศกึ ษาความพึงพอใจของนักเรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 5 ทม่ี ีต่อการจัด
การเรียนรู้ โดยการเรยี นรู้โดยใช้แบบฝึกทกั ษะ กลุ่มสาระคณิตศาสตร์
เร่อื ง การคูณทศนิยม
ตารางท่ี 4 ค่าความสอดคลอ้ งระหว่างแผนการจดั การเรยี นรกู้ ับมาตรฐาน/ตัวชว้ี ัด
ตารางท่ี 5 ค่าความสอดคล้องระหวา่ งจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรกู้ บั ขอ้ สอบ
ตารางที่ 6 คา่ ความสอดคล้องระหว่างจดุ ประสงค์การเรยี นรกู้ ับแบบวัดความพงึ พอใจ
สารบญั รูปภาพ ช
รปู ภาพท่ี หน้า
ภาพที่ 1 กรอบแนวคดิ ของการวจิ ยั 4
1
บทที่ 1
บทนำ
1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 หมวด 4 แนวการจัดการศึกษา มาตรา 22 กาหนดไว้วา่ การจัด
การศกึ ษาต้องยึดหลักว่า ผ้เู รยี นทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพฒั นาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนสาคัญที่สุด
กระบวนการจดั การศกึ ษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาตแิ ละเต็มตามศักยภาพ (สานักงาน
คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ.2542 :12) การจัดกระบวนการเรียนรู้ในมาตรา 24 สรุปความว่า
สถานศึกษามีหน้าที่จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกบั ความสนใจและความถนัดของนักเรยี น โดย
เน้นฝึกทักษะกระบวนการการคิด การจัดการ และการประยุกต์ความรู้มาใช้ เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา
(สานักนโยบายและแผนการศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม.2542 :19)
วิชาคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่สาคัญวชิ าหนึ่งท่ีมุ่งใหผ้ ู้เรียนนาความรู้ไปใช้ในชีวิตประจาวัน แต่นักเรยี น
จานวนมากไม่ประสบความสาเรจ็ ในการเรียน สาเหตุเนื่องมาจากธรรมชาติเนื้อหาวิชาคณิตศาสตร์ส่วนใหญ่
ค่อนข้างจะเป็นนามธรรมยากแก่การทาความเข้าใจ และเก่ียวข้องกับการคิด กระบวนการและเหตุผล
คณิตศาสตร์ฝึกให้คนคิดอย่างมีระบบและเป็นรากฐานของวิทยาการหลายๆสาขา จะเห็นว่าความ
เจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ล้วนแต่อาศัยคณิตศาสตร์ทั้งสิ้น (วิชัย วงษ์ใหญ่.2539 :13) และ
ธวัชชัย ชัยจิรฉายากุล.(2539 :41) ได้กล่าวไว้อย่างสอดคล้องกันว่า การศึกษาควรสร้างโอกาสให้นักเรียนได้
เผชิญกับสถานการณแ์ ละการเรยี นรูเ้ พือ่ แก้ปัญหา เน้นกระบวนการ หรือวิธีการมากกว่าตวั เน้ือหา การศึกษา
ควรเริ่มต้นด้วยสภาพการณ์ที่เป็นปัญหา แต่สภาพการเรียนการสอนตามปกติเป็นการบรรยายและอธิบาย
นักเรียนมักไมค่ ่อยมโี อกาสได้ร่วมในการคิดแก้ปัญหา นกั เรยี นตอบคาถามครบู ้าง แตส่ ่วนใหญ่เป็นการคิดตาม
และจดจาเนื้อหาที่ครูสอนเพียงเพื่อนาไปใช้ในการสอบเท่านั้น ซึ่งอาจเป็นสาเหตุทีท่ าให้ผูเ้ รียนขาดความคดิ
ริเริ่ม และขาดทักษะกระบวนการคิดแก้ปัญหา สาเหตุดังกล่าวเป็นสาเหตุสาคัญย่ิงต่อการเรียนรู้คณิตศาสตร์
เนอื่ งจากการแกป้ ัญหาเปน็ หัวใจสาคัญของการเรยี นการสอนคณิตศาสตร์ การจัดการเรยี นการสอนเป็นปัญหา
ที่ต้องปรับปรุง ที่ผ่านมาส่วนใหญ่เน้นเนื้อหามากกว่าการฝึกให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ ฝึกสังเกต การคิด
วเิ คราะห์ ทาให้นกั เรยี นไมไ่ ดร้ ับการพัฒนา ไมส่ ามารถนาความรู้ที่เรยี นมาไปแก้ปญั หาในชวี ิตประจาวันได้ จึง
จาเป็นตอ้ งมีการปฏิรูปการศึกษาเพ่ือสร้างคนใหเ้ ปน็ คนดี คนเก่ง และมีความสขุ ตามพระราชบญั ญตั กิ ารศึกษา
แห่งชาติ พ.ศ.2542 สาระท่ีปรากฎอยู่ในทุกมาตรา นาไปสู่การปฏิรูปการเรยี นรหู้ รอื ม่งุ พฒั นาผู้เรียนเปน็ สาคัญ
เชน่ มาตรา 6 ระบวุ ่า การจดั การศกึ ษาต้องเปน็ ไปเพอื่ พฒั นาคนไทยให้เป็นมนษุ ยท์ ส่ี มบรู ณ์ ทง้ั รา่ งกาย จิตใจ
สติปัญญา ความรู้ คุณธรรม จริยธรรม และวัฒนธรรม ในการดารงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนได้อย่างมี
ความสุข
2
การสะท้อนคิด (Reflection) เป็นกระบวนการคิดไตร่ตรองทบทวน และพิจารณาสิ่งต่างๆ อย่าง
รอบคอบทาให้บุคคลได้ สะท้อนถงึ การกระทาของตน ช่วยให้เกดิ การเรยี นรู้และ ความเข้าใจจากประสบการณ์
ส่งเสริมให้เกิดความมั่นใจ ความกล้าที่จะประเมินตนเองในลักษณะการสะท้อนคิดและได้มีส่วนร่วมใน
กระบวนการเรยี นรู้ของตนเอง เครื่องมอื หน่งึ ทใ่ี ช้ประเมินตามสภาพจรงิ และแสดงถึง การสะท้อนคิด คือ การ
เขยี นบนั ทึกการเรียนรู้ (Journal Writing) ซึง่ Mett (1987) กล่าวถึงการเขยี นบันทกึ การเรียนรู้เป็นการเขียน
โดยทนี่ กั เรยี นสามารถเขยี นสะท้อนผลการเรียนรไู้ ดอ้ ยา่ งอิสระ และตรวจสอบความคิดของตนเอง เม่อื นักเรยี น
ได้มโี อกาสเขยี นแสดงความรู้ ความคิด การประเมินผลการเรยี น และทบทวนความ รคู้ วามเขา้ ใจของตนเองใน
การเรียน เป็นการสะท้อนผลการเรียนรู้อย่างแท้จริง และพัฒนาความสามารถในการคิด Hoskison and
Tompkin (1987) ได้เน้นว่า การเขยี นบนั ทกึ การเรยี นรู้นาไปใชใ้ นการเรียนการสอนได้ โดยใหน้ กั เรียนสามารถ
เขียนบนั ทกึ เกยี่ วกบั ส่งิ ท่ไี ดเ้ รยี นรู้ สิ่งท่สี งสัย ความรู้สึกนกึ คิดเกยี่ วกับการเรยี นการสอน ตลอดจนได้ประเมิน
ความรคู้ วามเข้าใจ ของตนเองในสิ่งที่เรยี น โดยครูผู้สอนสามารถให้นักเรียน เขียนบนั ทกึ การเรียนรู้ได้ท้ังก่อน
การเรียนรู้ ระหว่างการเรียนและหลังการเรียนรู้ ในการจัดการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ตามหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ชานนท์ จันทรา (2555) กล่าวถึงจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนา
นักเรียนใหเ้ ป็นคนดี มปี ญั ญา มีความสุข เกิดการพัฒนาการคิด มีความสามารถในการเรยี นรู้วิชาคณิตศาสตร์
โดยนาความรู้ ทกั ษะและกระบวนการทางคณติ ศาสตร์ ไปใช้ในการแกป้ ญั หาชวี ติ จรงิ รวมถึงคุณลักษณะอันพงึ
ประสงค์ และมีเจตคตทิ ี่ดตี ่อคณิตศาสตร์ โดยบูรชัย ศิรมิ หาสาคร (2545) กลา่ วถงึ การเรียนรทู้ ี่เน้นผู้เรียนเป็น
ศูนย์กลาง สามารถตอบสนองความสนใจหรือความต้องการของผู้เรียน โดยอาศัยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
รูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เรียนได้ปฏิบตั ิจริง จนเกิดทักษะในการแสวงหาความรู้ ค้นพบความรูด้ ้วยตนเอง และ
นามาปรับใช้ในชีวิตจริง ซึ่งสอดคล้องการแนวคิดการเรียนรู้จากประสบการณ์หรือการเรียนรู้จากการลงมือ
ปฏิบัติจริง ซึ่งผู้เรียนที่มีโอกาสได้รับประสบการณ์แล้วได้รับการกระตุ้นให้สะท้อนคิดสิ่งต่าง ๆ จาก
ประสบการณ์ (Experiential Learning Cycle Theory) ของ Kolb (1984) ที่ว่า ผู้เรียนแต่ละคนเรียนรู้สิ่ง
ใหม่ ๆ อย่างเปน็ กระบวนการท่ีดาเนินกนั ไปเปน็ วงจรซง่ึ แต่ละข้ันของการเรยี นรกู้ ็จะส่งเสริมการเรียนรู้ของขั้น
ต่อไปในขณะเดียวกันก็ได้รับประสบการณ์การเรียนรู้อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้เพื่อการจัดการเรียนรู้และการ
ประเมินการเรียนรูอ้ ยา่ งเหมาะสมเพ่ือสะท้อนความสามารถของนกั เรียนแต่ละคนใหบ้ รรลมุ าตรฐานการเรียนรู้
ทก่ี าหนดไว้
การสะท้อนคิดมีความสาคัญต่อการศึกษา เพราะทุกวันนี้มีรูปแบบการจัดการเรียนการสอนใหม่ ๆ
เพิ่มขึ้นทุกวัน ทาให้รูปแบบทีม่ ีอยู่เริ่มลา้ สมัยไมเ่ หมาะกบั ผู้เรียนในสภาพปจั จุบนั โดยเฉพาะในการเรียนวชิ า
คณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหา จะต้องพิจารณาหาวิธีการแก้ปัญหาจากโจทย์ ตัดสินใจและเลือกใช้วิธีการที่
เหมาะสม ดังนั้นการสะท้อนคิดจึงเป็นการจัดการเรียนการสอนท่ี เหมาะสาหรับการสอนวิชาคณิตศาสตร์
สมัยใหม่เปน็ อยา่ งยิ่ง การทผ่ี เู้ รียนมโี อกาสได้สะท้อนคิดด้วยตนเองนน้ั เป็นการฝกึ การสงั เกต การคิดวิเคราะห์
3
จดั ระบบความคิด เพ่อื ใหส้ ือ่ สารกับผู้อนื่ ได้อย่างเข้าใจ ต้องเป็นผู้ท่ชี ่างสงั เกต เช่ือมโยงความรู้ เปน็ นกั คิดและมี
การตั้งคาถามที่ดีโดยใช้เหตุผลในการอ้างอิง โดยครูผู้สอนจะต้องเป็นผู้ให้คาแนะนาที่ดีแก่ผู้เรียน เพราะการ
เรียนการสอนโดยใช้การสะท้อนคิด ไม่เพียงแต่เป็นการพัฒนากระบวนการคิด แต่ยังช่วยพัฒนา ทักษะทาง
ปญั ญาของผ้เู รียนดว้ ย รวมไปถึงการท่ีผู้เรยี นมีโอกาสได้แสดงความคดิ เห็นเกี่ยวกับรปู แบบ กิจกรรมในการการ
จัดการเรียนการสอน ร่วมกันออกแบบการจัดการเรยี นรู้ให้เป็นไปตามความเหมาะสม และตรงความต้องการ
ของผเู้ รยี น เพ่ือความสุขในการเรียนของตัวผเู้ รยี น และเพ่อื การพัฒนาการจัดการเรียนการสอนของครผู ู้สอน
ด้วยเหตผุ ลดงั กล่าวผู้วจิ ัยจงึ มีความสนใจท่ีจะศึกษาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนและความพงึ พอใจต่อการ
เรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรอื่ ง โจทย์ปญั หาทศนยิ ม โดยใช้เทคนิคสะทอ้ นคิด ของนกั เรยี นชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 6
โรงเรียนวัดอมรนิ ทราราม
1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจยั
1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อน - หลังเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหา
ทศนิยม โดยใช้เทคนคิ สะทอ้ นคิด ของนกั เรยี นชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 6
2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระคณิตศาสตร์โดยใช้เทคนคิ
สะท้อนคิด
1.3 สมมตฐิ านการวิจยั
1. เทคนิคสะท้อนคิด จะช่วยให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์
ปัญหาทศนยิ ม ของนักเรยี นชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 หลังเรียนสูงกวา่ ก่อนเรียน
2. เทคนิคสะท้อนคิด จะช่วยให้นกั เรียนมีความพึงพอใจในการเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์
ปญั หาทศนิยม ของนกั เรยี นช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 6 อยู่ในระดับมาก
1.4 ขอบเขตของการวิจยั
1.4.1 เนอื้ หาทใี่ ช้ในการวิจัย
เน้อื หาทใ่ี ชใ้ นการวิจัยคร้งั น้เี ปน็ เนือ้ หากลุ่มสาระคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปญั หาทศนิยม ของนักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560)
เรอ่ื ง ทศนิยม
1.4.2 ระยะเวลาการทดลอง
การวจิ ัยใช้วธิ ีการปฏบิ ตั กิ ารสอนในสถานศึกษาโดยดำเนินการสอนในภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
โดยใชเ้ วลาในการวิจัยทั้งหมด 4 ช่วั โมง แบง่ เปน็ เวลาในการสอน และเวลาในการทดสอบรวม 4 ชวั่ โมง
4
1.4.3 ตัวแปรทีศ่ กึ ษา
1.4.3.1 ตวั แปรต้น ไดแ้ ก่ การจัดการเรยี นรู้โดยใช้เทคนคิ สะท้อนคิด
1.4.3.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหา
ทศนิยม ของนักเรียนระดบั ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และความพึงพอใจของนกั เรียนทีม่ ีตอ่ เทคนคิ สะท้อนคดิ
1.5 กรอบแนวคิดในการวิจัย ตวั แปรตาม
ตวั แปรตน้
1. ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น
การจดั การเรียนรคู้ ณิตศาสตร์เร่อื ง โจทยป์ ญั หา 2. ความพงึ พอใจ
เกีย่ วกับทศนิยม โดยใช้เทคนคิ การสะท้อนคิด
ของนักเรยี นชั้นประถมศกึ ษาชัน้ ปที ่ี 6
1.6 นิยามศัพทเ์ ฉพาะ
1.6.1 เทคนิคการสะทอ้ นคิด หมายถึง กระบวนการคิดไตรต่ รองทบทวน พินิจพเิ คราะหแ์ ละพจิ ารณาสง่ิ
ต่างๆ อย่างรอบคอบ ซึ่งเป็นวิธีการที่ทาให้บุคคลไดท้ บทวนและสะท้อนการกระทาของตน ช่วยให้เกิดความ
เข้าใจและเกิดการเรียนรูจ้ ากประสบการณ์ นาไปสู่การพัฒนาปรับปรุงตนเอง และการแกป้ ัญหา การสะท้อน
คิดด้วยตนเองนั้นเป็นการฝึกการสังเกต การคิดวิเคราะห์ จัดระบบ ความคิด เพื่อให้สื่อสารกับผู้อื่นได้อย่าง
เขา้ ใจ ต้องเปน็ ผทู้ ี่ชา่ งสังเกต เชอื่ มโยงความรู้ เปน็ นักคดิ และมกี ารตัง้ คาถามที่ดีโดยใชเ้ หตุผลในการอ้างองิ
1.6.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ หมายถึง ความสามารถของนักเรียนที่ได้จากการทา
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน และหลังเรียนเรื่องโจทย์ปัญหาเกี่ยวกับทศนิยม โดยใช้
เทคนิคการสะท้อนคิด ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาชั้นปีที่ 6 เป็นแบบทดสอบแบบปรนัย จานวน 5 ข้อ 10
คะแนน และแบบอัตนัย จานวน 5 ข้อ 10 คะแนน รวมคะแนนเต็ม 20 คะแนน
1.6.3 ความพึงพอใจต่อการเรียนคณิตศาสตร์ หมายถึง ความรู้สึกพอใจของบคุ คลที่มีต่อสิง่ ใดสิ่งหนึ่งที่
สามารถส่งผลให้ทำกิจกรรมหรืองานนั้นประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ได้ ซึ่งสามารถวัดได้จากแบบ
ประเมนิ ความพงึ พอใจท่ีผูว้ ิจัยสรา้ งข้ึนจำนวน 15 ข้อ
5
1.7 ประโยชนท์ ่ีไดร้ บั
1.7.1 ประโยชน์ทเ่ี กดิ ขนึ้ กบั การเรียนการสอน (ผเู้ รียน)
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในวิชาคณิตศาสตร์สำหรบั นักเรยี นช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 6 หลังการใช้เทคนคิ
สะทอ้ นคิด เรื่อง โจทยป์ ญั หาทศนยิ ม สงู กวา่ ก่อนการใช้เทคนิคสะทอ้ นคดิ เรื่อง โจทย์ปญั หาทศนยิ ม
1.7.2 ประโยชน์ท่ีเกดิ ข้ึนกบั การพัฒนาวชิ าชีพ (ครู)
- เป็นแนวทางสำหรับผู้สอนวิชาคณิตศาสตร์ในการพฒั นาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในวิชาคณิตศาสตร์
เรอื่ ง โจทย์ปญั หาทศนิยม สำหรับนักเรียนชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 6
- ใช้เป็นแนวทางหรือเทคนิคทีใ่ ช้ในการจัดการเรยี นการสอนของผู้สอนวิชาคณิตศาสตรใ์ นเร่ืองอื่น ๆ
ท่ใี ชก้ ารฝึกฝนดว้ ยตนเอง
1.7.3 ประโยชน์ท่ีเกิดขนึ้ กับการบริหารจดั การศกึ ษา (สถานศกึ ษา)
- เปน็ แนวทางของผู้บริหารสถานศกึ ษาและครผู ู้สอนในการพัฒนาปรับปรุงหรือประยกุ ต์ใช้ในรายวิชา
อน่ื ๆ อีกด้วย
6
บทท่ี 2
เอกสารและงานวิจัยทเ่ี ก่ียวขอ้ ง
การศกึ ษาคน้ ควา้ ครั้งนผี้ ู้ศกึ ษาคน้ คว้าไดศ้ กึ ษาเอกสารที่เก่ยี วขอ้ งและได้นำมาเสนอตามหวั ข้อต่อไปน้ี
2.1 หลักสตู รการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบับปรับปรงุ 2560)
2.2 ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ท่ีเกีย่ วขอ้ งกับการเรยี นคณิตศาสตร์
2.3 หลกั ในการสอนคณิตศาสตร์
2.4 แผนการจัดการเรยี นรู้
2.5 ความพึงพอใจต่อการเรยี น
2.6 งานวิจัยทีเ่ ก่ยี วข้อง
2.1 หลักสูตรการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560)
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร ระบวุ า่ มาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้วี ดั กลุ่มสาระการเรยี นร้คู ณิตศาสตร์ (ฉบับ
ปรบั ปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 จดั ทำขนึ้ โดยคำนึงถึง
การสง่ เสรมิ ใหผ้ ู้เรียนมีทักษะทจี่ ำเป็นสำหรบั การเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21 เปน็ สำคัญ นน่ั คือ การเตรียมผู้เรียน
ให้มีทกั ษะดา้ นการคิดวเิ คราะห์ การคดิ อยา่ งมีวจิ ารณญาณ การแกป้ ัญหา การคดิ สรา้ งสรรค์ การใชเ้ ทคโนโลยี
การสอ่ื สารและการร่วมมือซงึ่ จะสง่ ผลให้ผู้เรยี นร้เู ท่าทนั การเปล่ยี นแปลงของระบบเศรษฐกิจ สงั คม วฒั นธรรม
และสภาพแวดลอ้ มสามารถแขง่ ขนั และอย่รู ว่ มกับประชาคมโลกได้ ทง้ั นก้ี ารจดั การเรียนรูค้ ณติ ศาสตร์ทีป่ ระสบ
ความสำเร็จนั้นจะต้องเตรียมผู้เรียนให้มีความพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ พร้อมที่จะประกอบอาชีพเมื่อจบ
การศึกษา หรือสามารถศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น ดังนั้นสถานศึกษาควรจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมตาม
ศักยภาพของผเู้ รยี น
คณิตศาสตร์มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อความสำเร็จในการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 เนื่องจากคณิตศาสตร์
ช่วยให้มนษุ ยม์ ีความคิดรเิ ริ่มสร้างสรรค์ คดิ อยา่ งมเี หตผุ ล เปน็ ระบบ มีแบบแผน สามารถวิเคราะห์ปัญหาหรือ
สถานการณ์ได้อย่างรอบคอบและถี่ถ้วน ช่วยให้คาดการณ์ วางแผน ตัดสินใจ แก้ปัญหา ได้อย่างถูกต้อง
เหมาะสมและสามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้คณิตศาสตร์ยังเป็นเครื่องมือใน
การศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และศาสตร์อื่น ๆ อันเป็นรากฐานในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของ
ชาตใิ ห้มคี ุณภาพและพัฒนาเศรษฐกจิ ของประเทศให้ทัดเทียมกับนานาชาติ การศึกษาคณิตศาสตร์จำเป็นต้องมี
การพฒั นาอย่างตอ่ เน่อื ง เพ่ือให้ทนั สมัยและสอดคล้องกบั สภาพเศรษฐกจิ สังคม และความรูท้ างวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยีทีเ่ จริญกา้ วหน้าอย่างรวดเร็วในยุคโลกาภวิ ัตน์
7
2.1.1 วสิ ยั ทัศน์
กรมวิชาการ(2560 : 3) ไดก้ ำหนดวิสัยทศั น์ การศึกษาคณิตศาสตรไ์ วใ้ นหลักสตู รการศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน
พุทธศักราช 2560 ว่าเป็นการศึกษาเพื่อปวงชนที่เปิดโอกาสให้เยาวชนทุกคนได้เรียนรู้คณิตศาสตร์อย่าง
ต่อเนื่อง และตลอดชีวิตตามศักยภาพ ทั้งนี้เพื่อให้เยาวชนเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถทางคณิตศาสตร์ที่
พอเพียงสามารถนำความรู้ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ที่จำเป็นไปพัฒนาคณุ ภาพชีวติ ให้ ดียิ่งขึน้
รวมทั้งสามารถนำไปเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ และเป็นพื้นฐานสำหรับการศึกษาต่อดังนั้นจึงเป็น
ความรับผิดชอบของสถานศึกษาท่ีตอ้ งจัดสาระการเรยี นรู้ท่ีเหมาะสมแก่ผู้เรียนแต่ละคนทั้งน้ีเพ่ือให้บรรลุตาม
มาตรฐานการเรยี นรู้ท่ีกำหนดไว้
2.1.2 หลกั การ
หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน มหี ลักการที่สำคญั ดังน้ี 1. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพ่ือความเป็น
เอกภาพของชาติ มีจดุ หมายและมาตรฐานการเรียนรู้เปน็ เปา้ หมายสำหรับพฒั นาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้
ทกั ษะ เจตคติ และคณุ ธรรมบนพนื้ ฐานของความเป็นไทย ควบคกู่ ับความเป็นสากล 2. เปน็ หลักสูตรการศึกษา
เพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างเสมอภาคและมี คุณภาพ 3. เป็นหลักสูตร
การศกึ ษาทสี่ นองการกระจายอำนาจ ให้สงั คมมีสว่ นร่วมในการจัดการศึกษาให้สอดคล้อง กบั สภาพและความ
ต้องการของทอ้ งถ่ิน 4. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้ เวลาและการจดั
การเรียนรู้ 5. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 6. เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับการศึกษาใน
ระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ครอบคลุมทุก กลุ่มเป้าหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้ และ
ประสบการณ์
2.1.3 จดุ หมาย
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนใหเ้ ปน็ คนดี มีปัญญา มีความสุขมีศักยภาพ
ในการศึกษาต่อและประกอบอาชพี จึงกำหนดเป็นจุดหมายเพื่อใหเ้ กิดกับผู้เรียนเมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ดังน้ี
1. มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและปฏิบัติตนตาม
หลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาทต่ี นนับถอื ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
2. มีความรู้ความสามารถในการสอ่ื สาร การคดิ การแก้ปญั หา การใชเ้ ทคโนโลยแี ละมีทักษะชวี ติ
3. มสี ขุ ภาพกายและสุขภาพจติ ท่ดี ี มีสุขนสิ ัย และรกั การออกกำลงั กาย
4. มีความรักชาติ มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถีชีวิตและการปกครอง
ตาม ระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษัตริยท์ รงเปน็ ประมุข
5. มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อมมีจิต
สาธารณะทม่ี ุ่งทำประโยชนแ์ ละสรา้ งสงิ่ ทดี่ งี ามในสงั คม และอยูร่ ่วมกนั ในสงั คมอย่างมีความสุข
8
2.1.4 สมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี น และคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์
ในการพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรยี นให้มีคุณภาพ
ตามมาตรฐานท่ีกำหนด ซงึ่ จะช่วยให้ผเู้ รียนเกิดสมรรถนะสำคญั และคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ ดงั นี้
สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน
หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน มุ่งใหผ้ ูเ้ รียนเกิดสมรรถนะสำคัญ 5 ประการ ดงั น้ี
1. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้ภาษา
ถ่ายทอดความคิด ความรู้ ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและ
ประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลด
ปัญหา ความขัดแยง้ ต่าง ๆ การเลอื กรับหรอื ไมร่ บั ข้อมลู ข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและความถกู ตอ้ งตลอดจนการ
เลือกใช้ วธิ ีการสื่อสารทม่ี ีประสทิ ธภิ าพโดยคำนงึ ถงึ ผลกระทบทีม่ ตี ่อตนเองและสังคม
2. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดอย่าง
สรา้ งสรรค์ การคดิ อย่างมวี จิ ารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพ่อื นำไปสกู่ ารสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศ
เพื่อการตดั สินใจเกย่ี วกับตนเองและสังคมไดอ้ ยา่ งเหมาะสม
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่เผชิญได้
อยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสมบนพื้นฐานของหลกั เหตผุ ล คณุ ธรรมและข้อมลู สารสนเทศ เขา้ ใจ ความสัมพนั ธแ์ ละการ
เปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกันและแก้ไข
ปญั หาและมีการตัดสนิ ใจท่ีมีประสิทธภิ าพโดยคำนงึ ถงึ ผลกระทบท่ีเกดิ ข้นึ ตอ่ ตนเอง สังคมและส่ิงแวดล้อม
4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการ
ดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนือ่ ง การทำงาน และการอยู่ร่วมกันในสงั คม
ดว้ ยการสรา้ งเสริมความสัมพันธอ์ ันดรี ะหว่างบุคคล การจัดการปญั หาและความขดั แย้งตา่ ง ๆ อย่างเหมาะสม
การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึง
ประสงค์ท่ีส่งผลกระทบ ตอ่ ตนเองและผู้อื่น
5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี เปน็ ความสามารถในการเลอื กและใชเ้ ทคโนโลยีดา้ นต่างๆ และมี
ทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคมในด้านการเรียนรู้ การสื่อสารการทำงาน
การแกป้ ญั หาอยา่ งสรา้ งสรรค์ ถูกตอ้ ง เหมาะสม และมคี ณุ ธรรม
9
คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้
สามารถอยู่ร่วมกบั ผู้อนื่ ในสังคมไดอ้ ย่างมีความสุขในฐานะเป็นพลเมอื งไทยและพลโลก ดังนี้
1. รกั ชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์
2. ซ่อื สตั ย์สุจริต
3. มีวินัย
4. ใฝเ่ รียนรู้
5. อยู่อยา่ งพอเพียง
6. มงุ่ ม่นั ในการทำงาน
7. รักความเปน็ ไทย
8. มีจติ สาธารณะ
ในการวิจัยครง้ั นี้ ผวู้ ิจัยไดจ้ ัดกระบวนการเรียนรแู้ บบกล่มุ รว่ มมอื โดยใช้เทคนิค TGT เรอ่ื ง การหารที่มี
ตวั หารหนึ่งหลัก ซ่ึงมีมาตรฐานและตัวชวี้ ัด ดงั น้ี
2.1.5 มาตรฐานการเรียนรู้
คณิตศาสตร์มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อความสำเร็จในการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 เนื่องจากคณิตศาสตร์
ชว่ ยให้มนษุ ย์มคี วามคิดรเิ ริ่มสร้างสรรค์ คิดอย่างมเี หตผุ ล เปน็ ระบบ มีแบบแผน สามารถวเิ คราะห์ปัญหาหรือ
สถานการณ์ได้อย่างรอบคอบและถี่ถ้วน ช่วยให้คาดการณ์ วางแผน ตัดสินใจ แก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง
เหมาะสม และสามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้คณิตศาสตร์ยังเป็นเครื่องมือใน
การศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และศาสตร์อื่น ๆ อันเป็นรากฐานในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของ
ชาติให้มีคุณภาพ และพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้ทัดเทียมกับนานาชาติ การศึกษาคณิตศาสตร์จึง
จำเปน็ ต้องมกี ารพัฒนาอย่างต่อเน่ือง เพอ่ื ใหท้ นั สมัยและสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ สังคม และความรู้ทาง
วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยที เ่ี จรญิ ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในยคุ โลกาภิวตั น์
มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตาม
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 จัดทำขึ้นโดยคำนึงถึงการส่งเสริมให้ผู้เรียนมี
ทักษะที่จำเป็นสำหรับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 เป็นสำคัญ นั่นคือ การเตรียมผู้เรียนใหม้ ที ักษะด้านการคิด
วิเคราะห์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การแก้ปัญหา การคิดสร้างสรรค์ การใช้เทคโนโลยี การสื่อสารและการ
ร่วมมือ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้เรียนรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของระบบเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และ
สภาพแวดล้อม สามารถแข่งขันและอยู่ร่วมกับประชาคมโลกได้ ทั้งนี้การจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ที่ประสบ
ความสำเร็จนั้น จะต้องเตรียมผู้เรียนให้มีความพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ พร้อมที่จะประกอบอาชีพเมื่อจบ
10
การศึกษา หรือสามารถศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น ดังนั้นสถานศึกษาควรจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมตาม
ศักยภาพของผเู้ รียน
2.1.6 ตัวชว้ี ดั
ตวั ชวี้ ดั ระบุส่ิงทน่ี ักเรยี นพงึ รแู้ ละปฏิบัตไิ ด้ รวมทงั้ คุณลักษณะของผู้เรยี นในแต่ละระดับช้ันซึ่งสะท้อน
ถึง มาตรฐานการเรียนรู้ มีความเฉพาะเจาะจงและมีความเป็นรูปธรรม นำไปใช้ในการกำหนดเนื้อหา จัดทำ
หน่วยการ เรยี นรู้ จัดการเรียนการสอน และเป็นเกณฑ์สำคัญสำหรับการวัดประเมินผลเพือ่ ตรวจสอบคุณภาพ
ผเู้ รยี น ตวั ช้ีวดั ช้นั ปี เปน็ เปา้ หมายในการพัฒนาผเู้ รียนแต่ละช้ันปีในระดบั การศึกษาภาคบังคับ (ประถมศึกษา
ปีท่ี 1 – มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3)
การวัดและการประเมินผล
การวดั ผลและการประเมนิ ผลทางคณิตศาสตร์ ผูส้ อนไมค่ วรมุ่งวัดแต่ด้านความรู้ เพียงด้านเดียว ควร
วดั ใหค้ รอบคลุมด้านทกั ษะกระบวนการ และดา้ นคณุ ธรรม จริยธรรม และค่านยิ มด้วย ทัง้ น้ีตอ้ งวดั ใหไ้ ดส้ ัดสว่ น
และสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ที่ได้กำหนดไว้ในหลักสูตรการวัดผลและประเมินผล ควรใช้วิธีการท่ี
หลากหลายที่สอดคล้องและเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของการวัด เช่น การวัดผลเพื่อปรับปรุงคุณภาพการ
เรียนการสอนและพฒั นาผเู้ รยี น (Formative Test) การวดั ผลเพือ่ วนิ ิจฉยั จดุ บกพรอ่ งของผู้เรียน (Diagnostic
Test) การวัดเพื่อตัดสินผลการเรียน (Summative Test Achievement Test) การวัดผลตามสภาพจริง
(Authentic Test) การสังเกต (Observation) แฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio) โครงงานคณิตศาสตร์
(Mathematics Project) การสมั ภาษณ์ (Interview)
การวัดผลและการประเมินผลทางคณิตศาสตร์ควรมุ่งเน้นการวัดสมรรถภาพโดยรวมของผู้เรียนเป็น
หลัก (Performance Examination) และผู้สอนต้องถือว่าการวัดผลและประเมินผลเป็นส่วนหนึ่งของ
กระบวนการเรียนรู้ อย่างไรก็ตามสำหรับการเรียนรู้คณิตศาสตร์นัน้ หัวใจของการวัดผลและการประเมินผล
ไมใ่ ช่อยทู่ ี่การวัดผลเพื่อประเมนิ ตัดสนิ ใจได้หรอื ตกของผู้เรียนเพยี งอย่างเดียว แตอ่ ย่ทู ่กี ารวดั ผลเพื่อวินิจฉัยหา
จุดบกพร่องตลอดจนการวัดผลเพื่อหาข้อมูลมาใช้ในการปรับปรุงการเรียนการสอนที่ช่วยพัฒนาให้ผู้เรียนได้
สามารถเรียนรคู้ ณิตศาสตร์ อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพและเต็มศกั ยภาพ
การประเมินผลที่ดีนั่นต้องมาจากการวัดผลที่ดี กล่าวคือ จะต้องเป็นการวัดผลที่มีความถูกต้อง
(Validity) และมีความเชื่อมั่น (Reliability) และการวัดผลนั้นต้องมีการวัดด้วยวิธีต่าง ๆ ที่หลากหลายตาม
สภาพ และผู้สอน ต้องวัดใหต้ ่อเนือ่ งครอบคลมุ และทว่ั ถงึ เม่อื นำผลการวัดทั้งหลายมารวมสรุปก็จะทำให้การ
ประเมินผลนัน้ ถกู ตอ้ ง ใกล้เคียงตามสภาพจริง
การจัดการเรียนรู้ในปัจจุบันตั้งอยู่บนพื้นฐานความเชื่อว่าผู้เรียนทุกคนสามารถเรียนรู้ และพัฒนา
ตนเองได้ และสามารถเรียนรู้ได้เต็มศักยภาพผู้เรียนแต่ละคนมีความสามารถหรอื ความเก่งแตกต่างกันและมี
รปู แบบในการ พฒั นาเฉพาะของตนเอง ดังนนั้ การจัดการเรียนรตู้ ้องให้ความสำคญั กับผเู้ รยี นโดยยึดผ้เู รียนเป็น
11
สำคัญ การจัด ประสบการณ์ท่ีเหมาะสมให้ผู้เรียนได้ศึกษาโดยใช้เทคนิคต่าง ๆ ที่กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิด
พฤตกิ รรมการคิดวเิ คราะห์ เพ่อื ใหผ้ ู้เรียนเกิดการค้นพบส่งิ ใหม่ ๆ ทจ่ี ะเป็นองคป์ ระกอบในการส่งเสริมผู้เรียน
ให้เกิดการเรียนรู้นั้นจะต้องนำ ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการสอนวิชาคณิตศาสตร์ หลักการ และวิธีสอน
คณติ ศาสตร์ทนี่ กั การศึกษานำมาใช้แลว้ เกดิ ผล ดตี อ่ ผเู้ รยี นซงึ่ มีรายละเอียด
ในการวิจัยครั้งนี้ใช้การวดั ผลและประเมินผลเกี่ยวกบั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง
การคณู ทศนิยม สำหรับนักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้แบบทดสอบ แบบปรนัย จำนวน 10 ข้อ
2.2 ทฤษฎกี ารเรียนร้ทู ่เี ก่ยี วข้องกับการเรยี นคณิตศาสตร์
นักการศกึ ษาไดก้ ลา่ วถงึ ทฤษฎีท่ีเกย่ี วข้องในการสอนคณิตศาสตรไ์ ว้ ดังนี้
อัมพร ม้าคะนอง (2560 : 1-8) ไดอ้ ธิบายถงึ ทฤษฎกี ารสอนคณิตศาสตรไ์ ว้ ดงั น้ี
1. ทฤษฎแี ห่งการฝกึ ฝน (Drill Theory) ทฤษฎนี เี้ นน้ การฝกึ ฝนให้ทำแบบฝึกหดั มาก ๆ จนกว่าเด็กจะเคย
ชินกับวธิ กี ารนัน้ ๆเพราะเชื่อวา่ วิธกี ารดงั กลา่ วทำใหผ้ ู้เรยี นรู้คณิตศาสตร์ ได้ ฉะนั้นการสอนของครจู ะเริ่มต้น
โดยครูให้ตวั อย่าง บอกสตู รหรือกฎเกณฑ์ แล้วให้นักเรยี นฝกึ ฝน ทำแบบฝึกหัดมาก ๆ จนชำนาญ นักการศึกษา
ปัจจุบันยังยอมรับว่า การฝึกฝนมีความจำเป็นในการสอนคณิตศาสตร์ซึ่งเป็นวิชาทักษะ แต่ทฤษฎีนี้ยังมี
ขอ้ บกพร่องอย่หู ลายประการ คอื
1.1 นกั เรยี นตอ้ งจดจำ ทอ่ งกฎเกณฑ์ สตู รซงึ่ ยุ่งยาก
1.2 นกั เรยี นไมอ่ าจจดจำขอ้ เท็จจรงิ ตา่ ง ๆ ที่เรียนได้หมด
1.3 นักเรียนไม่ได้เรียนอยา่ งเข้าใจ จึงเกิดความลำบากสบั สนในการคำนวณการ แก้ปัญหาและจะลมื
สง่ิ ทเี่ รยี นไดง้ ่าย
2. ทฤษฎีการเรียนรู้ของ เพียเจต์ (Piaget) เป็นนักจิตวิทยาและนักปรัชญาชาวสวิสซึ่งสนใจพัฒนาการ
ดา้ นสตปิ ญั ญา (Cognitive Development) ของเดก็ การศกึ ษาค้นคว้าเกย่ี วกับเรื่องนข้ี อง เขาใช้เวลานับสิบปี
ไดใ้ หห้ ลักการเรียนรูซ้ ึ่งสามารถสรปุ ไดด้ งั น้ี คอื
2.1 เดก็ เรยี นรูจ้ ากสงิ่ แวดลอ้ มทางกายภาพและทางสังคม
2.2 การเรียนรูเ้ ปน็ เรื่องของแต่ละบคุ คล ตัวผูเ้ รียนเองเทา่ น้นั ทีท่ ราบว่าตวั เองเรียนรู้
2.3 พัฒนาการทางสติปญั ญาของเด็กมี 4 ระดบั
2.3.1 ระดบั ประสาทรบั รลู้ ะการเคลือ่ นไหว ( Sensori – Motor Stage)
2.3.2 ระดับพัฒนาการก่อนความคิดรวบยอด(Pre - operational Stage)อายุตั้งแต่ 2 - 6 ปี เป็น
ระยะท่ีเด็กเริ่มเข้าใจภาษา อากัปกิริยาของคนใกล้ชิดเป็นชว่ งเวลาทีเ่ ดก็ สร้างเสริมบุคลิกภาพของตนเอง เด็ก
รจู้ ักใหเ้ หตุผลแตก่ ็อธิบายไมไ่ ดเ้ ด่นชดั
12
2.3.3 ระดับพัฒนาการความคิดรวบยอด (Concrete Stage) อายุตั้งแต่ 6 - 12 ปี ระยะนี้เด็กเร่ิม
เข้าใจการจดั หมวดหมู่ การจำแนก การเรียงลำดับ จำนวนมติ ิ และความสมั พนั ธก์ ารให้เหตุผลของเด็กวัยน้ีจะ
อาศยั สงิ่ ที่ตนมองเห็นเดก็ ยังใหเ้ หตุผลที่เกี่ยวกับนามธรรมไม่ได้
2.3.4 ระดับพัฒนาการความเข้าใจอย่างมีเหตุผล (Formal Operation Stage) อายุ12 ปี ขึ้นไป
ระยะนี้เป็นระยะท่เี ด็กเรม่ิ รู้จักอธิบายเหตุผลอย่างสมเหตุสมผลจากพฒั นาการทางสติปัญญา ทงั้ 4 ระยะของ
เด็กจะเห็นว่าการสอนคณิตศาสตร์ขัน้ ตน้ (เช่น เซต การนับ เป็นต้น) เมื่อเด็กอยู่ในระดับพัฒนาการระยะท่ี3
การเรียนการสอนจำเปน็ ต้องใช้วัสดุหรอื ของจรงิ ประกอบการสอนเพือ่ ใหเ้ ด็กเกิดการคน้ พบ
3. ทฤษฎีการเรยี นรขู้ องบรูเนอร์ (Bruner) นกั ปรชั ญาชาวอเมรกิ ันเปน็ เจ้าตำรับการเรียนรู้จากการค้นพบ
(Discovery) หลักการเรียนรูท้ ี่สำคัญของ Bruner ได้แก่ การเน้นโครงสร้าง (Structure) ของเนื้อหาวิชาและ
กระบวนการ(Process) ของการแกป้ ญั หามากกวา่ การเนน้ ผล (Product) ของพฤติกรรม Bruner กล่าวว่าการ
เขา้ ใจโครงสร้างของความรู้ จะชว่ ยให้นักเรียนมีความรู้แจง้ สามารถประยุกต์ เน้อื หาวิชาได้ ทำให้มีความทรง
จำได้เป็นระยะเวลานาน นอกจากนั้นการเขา้ ใจ โครงสร้างยังเปน็ การจัดความรูใ้ ห้เป็นระบบระเบยี บ Bruner
เสนอแนะให้ คำนึงถึงความพร้อม (Readiness) ของผู้เรียนในแง่ของการจัดประสบการณ์ของการเรียนให้มี
ลำดับความยากง่าย และความสัมพันธ์กันอย่างเหมาะสมและครูควรคำนึงถึงความสนใจของผู้เรียนด้วย
Bruner ยงั ได้ เสนอแนะวิธกี ารสอนมโนมตทิ างคณิตศาสตร์ไว้ 3 ขน้ั คือ
3.1 การใชข้ องจรงิ อธิบายหรือแสดงมโนมติทางคณิตศาสตรซ์ งึ่ Bruner เรยี กวา่
Enactive Representation หรือ Concrete Representation
3.2 การใชร้ ปู ภาพอธบิ ายหรือแสดงมโนมติทางคณติ ศาสตร์ (Iconic Representation หรอื Pictorial
Representation)
3.3 การใช้สัญลักษณ์อธิบายหรือแสดงมโนมตทิ างคณติ ศาสตร์ (Symbolic Representation) ถ้าครู
จะยึดหลักการสอนของ Bruner แล้วการสอนคณิตศาสตร์ควรเริ่มจากการใช้ วัสดุหรือของจริงประกอบ
กจิ กรรมการเรยี นการสอนเมือ่ เด็กเขา้ ใจดแี ลว้ จงึ ใชส้ ญั ลกั ษณ์ หรอื เครอ่ื งหมายแสดงมโนมติ
สรุปได้ว่า การสอนคณิตศาสตร์ในทุกระดับชั้นครูผู้สอนต้องศึกษาทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการสอน
คณติ ศาสตร์ โดยทฤษฎีท่ีเกีย่ วขอ้ งกับการเรียนการสอนคณิตศาสตร์นั้นมอี ยู่หลายทฤษฎี เชน่ ทฤษฎเี ชอ่ื มโยง
สภาพการณจ์ ากส่งิ เร้าและการตอบสนองของธอร์นไดค์ (Thorndike) ทฤษฎเี สรมิ แรงของสกนิ เนอร์ (Skinner)
เปน็ ต้น เพ่ือทจี่ ะสามารถวิเคราะห์กิจกรรมสื่อการวดั และประเมนิ ผลในการเรียนการสอนให้มีความสอดคล้อง
กับผเู้ รยี นซ่ึงจะเปน็ ประโยชนต์ อ่ การสง่ เสริมในพฒั นาการของผเู้ รยี นไดอ้ ย่างสมบูรณแ์ ละเหมาะสม
13
2.3 หลกั ในการสอนคณติ ศาสตร์
สิริพร ทิพย์คง (2547 : 110-111) ได้กล่าวถึงหลักในการสอนคณิตศาสตร์ไว้ว่าครูจำเป็นที่จะต้อง
ทราบหลกั การสอนคณิตศาสตร์ และนำสงิ่ เหลา่ น้ีไปใชใ้ นการสอนเพอ่ื ช่วยใหน้ ักเรยี นเรยี นวชิ าคณิตศาสตร์ด้วย
ความเข้าใจมีความรู้และประสบผลสำเร็จในการเรียนคณิตศาสตร์ ซึ่งหลักการสอนคณิตศาสตร์ พอสรุปได้
ดังนี้
1. สอนจากสงิ่ ที่เป็นรูปธรรมไปหานามธรรม
2. สอนจากสง่ิ ท่อี ยใู่ กล้ตัวนกั เรยี นกอ่ นสิ่งที่อยไู่ กลตวั นกั เรียน
3. สอนจากเรื่องท่งี ่ายกอ่ นสอนเร่อื งทยี่ าก
4. สอนตรงตามเนือ้ หาทต่ี ้องการสอน
5. สอนใหค้ ดิ ไปตามลำดบั ขน้ั อยา่ งมเี หตผุ ล
6. สอนดว้ ยอารมณข์ นั ทำใหน้ กั เรยี นเกดิ ความเพลดิ เพลิน
7. สอนด้วยหลักจิตวทิ ยาสร้างแรงจูงใจเสริมกำลังใจให้กบั นกั เรยี น
8. สอนโดยการนำไปสมั พนั ธ์กับวชิ าอื่น
กระทรวงศึกษาธกิ าร (2560 : 7) ได้กลา่ วถงึ ลำดับในการสอนคณติ ศาสตร์ไว้วา่ ในการสอนคณิตศาสตร์
มีการคน้ คว้าวิธีท่ดี หี ลายวธิ ี เพ่ือมาใชใ้ ห้เหมาะสมกบั เนือ้ หาสภาพของนกั เรียน และสภาพของทอ้ งถิ่นครผู สู้ อน
ควรเลือกใช้ให้เหมาะสม เพื่อให้สามารถบรรลุจุดมมุ่งหมาย สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์ และ
เทคโนโลยีได้จัดลำดับขั้นการสอนคณิตศาสตร์ไว้สำหรับ ครูผู้สอนเพื่อเป็นแนวทางในการสอนตามลำดับ
ข้นั ตอนดังน้ี
1. ขั้นทบทวนความรู้พื้นฐานเดิม เป็นขั้นเตรียมความพร้อมของนักเรียนเพื่อเชื่อมโยง ความรู้เดิมที่
ผู้เรียนมาก่อนแล้วกับความรู้ใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องเดยี วกันอันจะทำให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจ และมีความคิดรวบ
ยอดในเรอ่ื งนัน้ ๆอย่างแจ่มแจ้ง
2. ขัน้ สอนเนือ้ หาใหม่ ข้นั นี้ต้องเลอื กใชว้ ธิ ีสอนให้สอดคลอ้ งกับเน้ือหาแต่ละบท โดยจัดลำดับข้ันการ
สอนเน้อื หาใหม่ ดงั นี้
2.1 ขั้นใช้ของจริง เป็นการให้ประสบการณ์โดยใชข้ องจริง เช่น ถ้าสอน จำนวน 4 ก็ใช้มะม่วง 4 ผล
หรอื สิง่ ของจริงอน่ื ๆ ตามความเหมาะสมกับเนื้อหา
2.2 ขน้ั ใช้ของจำลอง หรือรูปภาพแทนของจริงทีใ่ ชส้ อนแลว้ ในการใช้ของจริง เชน่ แทนท่ีจะใช้มะม่วง
4 ผล ก็ใชภ้ าพมะมว่ ง 4 ผลแทนของจริงนั้นๆ
2.3 ขั้นใช้สัญลักษณ์ ขั้นนี้นักเรียนจะนำประสบการณ์เดิมที่ครูผู้สอนเคยให้นักเรียน เห็นและทำ
มาแลว้ คอื ของจริงมะมว่ ง 4 ผล รูปภาพมะม่วง 4 ผล นำมาใช้เมอ่ื ครูเขียนสญั ลักษณ์ จำนวน 4 แทนของจริง
และภาพซึง่ ไดม้ ีประสบการณ์มากอ่ นแล้ว
14
3. ขั้นสรุปแล้วนำไปสู่วิธีลัด ก่อนจะถึงการสรุปผู้สอนต้องตรวจสอบก่อนว่านักเรียนมีความเข้าใจ
เนื้อหาใหม่หรือไม่ และในการสรุปนั้นควรให้นักเรียนสรุปเองโดยผู้สอนเป็นผู้ถามนำ เพื่อชี้แนะให้นักเรียน
สามารถสรุปหลกั เกณฑ์ไดอ้ ยา่ งถูกต้อง
4. ขั้นฝกึ ทกั ษะ เมือ่ นักเรียนเข้าใจวธิ คี ำนวณแลว้ จงึ ใหน้ ักเรยี นฝึกทกั ษะจากแบบเรยี น และบัตรงานที่
สัมพันธ์กับเนื้อหานั้นๆหรือเกมคณิตศาสตร์ เข้ามาฝึกทักษะให้นักเรียนเล่นเพื่อให้ได้ทั้งความรู้และความ
สนกุ สนาน
5. ข้นั นำความรู้ไปใช้ประโยชน์ในชวี ิตประจำวนั และใช้ในวิชาอืน่ ๆ ท่เี ก่ยี วข้องใหน้ ักเรียนไดป้ ฏบิ ตั อิ นั
เป็นเรือ่ งท่ีเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ของนักเรียน นำมาสร้างเปน็ โจทย์ แบบฝึกหัดเรือ่ งน้ันหรือทำกจิ กรรมที่
นกั เรียนประสบอยู่เสมอในชวี ิตจรงิ
6. ขั้นประเมินผล นำโจทย์ เรื่องที่สอนมาทดสอบใหน้ ักเรียนทำ ถ้านักเรียนทำไม่ไดค้ รูต้องสอนซ่อม
เสรมิ ให้ ถ้าทำไดก้ ็สอนเนื้อหาใหม่ต่อไป
จะเห็นได้ว่าการจัดการเรียนคณิตศาสตร์ ผู้สอนควรเลือกใช้รูปแบบของการจัดการเรียนรู้ ให้
เหมาะสมกับเน้ือหาและเหมาะสมกับผูเ้ รียนการเรียนเนื้อหาหนึ่งอาจใช้วิธีการเรียนรู้หลายๆ แบบผสมผสาน
กันก็ได้ และผู้สอนจะต้องรู้ และคำนึงถึงหลักการบูรณาการด้านความรู้ ด้านทักษะ ค่านิยมในทุก ๆ เนื้อหา
สาระใหค้ รบถว้ นเพ่ือให้บรรลุมาตรฐานการเรียนรู้ ท่ีกำหนดไวใ้ นหลกั สตู ร
2.4 แผนการจดั การเรียนรู้
1. ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้
วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2552: 1) ได้ให้ความหมายของแผนการเรียนรู้ไว้ว่า แผนการเรียนรู้ หมายถึง
แผนการหรือโครงการที่จัดทำเป็นลายลักษณ์อักษรเพ่ือใช้การปฏิบัตกิ ารสอนในรายวิชาใดรายวชิ าหนึ่ง เป็น
การเตรียมการสอนอย่างมีระบบและเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้สามารถพัฒนาจัดการเรียนการสอนไปสู่
วัตถปุ ระสงคก์ ารเรียนร้แู ละจุดหมายของหลกั สตู รได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ
สำลี รักสุทธี (2554 : 78) ได้ให้ความหมายว่า แผนการเรียนรู้เป็นการนำรายวิชาหรือกลุ่ม
ประสบการณ์ที่จะต้องทำการสอนตลอดภาคเรียนมาสร้างเป็นแผนจัดกิจกรรมการเรยี น การสอน การใช้สื่อ
อปุ กรณ์การสอน และการวัดประเมนิ ผลเพื่อใช้สอนในช่วงหนงึ่ ๆ โดยกำหนดเน้อื หาสาระและจุดประสงค์ของ
การเรียนย่อยๆ ให้สอดคล้องกับจุดประสงค์หรือจุดมุ่งหมายของหลักสูตรสภาพของผู้เรียน ความพร้อมของ
โรงเรยี นในด้านวสั ดุอปุ กรณ์และตรงกบั ชวี ิตจรงิ ในทอ้ งถิ่น
สรุปได้ว่า แผนการเรียนรู้ คือ แผนการหรือโครงการที่ครูวางแผนไว้ลว่ งหน้า สำหรับการจัดกิจกรรม
การเรียนการสอน โดยนำเน้อื หาสาระท่ีจะตอ้ งสอนตลอดปีมาสร้างเป็นแผนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
รายคาบหรือรายชั่วโมง มีส่วนประกอบสำคัญประกอบด้วย จุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหาวธิ ีการจัดกิจกรรม
สอ่ื การสอน การวดั และการประเมินผล
15
2. ความสำคัญของการทำแผนการเรียนรู้
กรมวิชาการ (2551 : 125) ไดใ้ ห้นยิ ามความสำคัญของการจดั ทำแผนการเรียนรไู้ ว้ ดงั นี้
1) ช่วยให้ครูผู้สอนมีโอกาสในการพิจารณาส่วนประกอบต่างๆ ของบทเรียนได้อยา่ งรอบคอบ อันจะ
สง่ ผลถงึ ประสิทธิผลในการเรยี นรู้ของผเู้ รยี น
2) แผนการเรียนรทู้ คี่ รผู ้สู อนทำขึน้ เอง เปน็ การสร้างครทู ่ีดี เพราะครูผูส้ อนมีโอกาสคาดการณล์ ่วงหน้า
ในกระบวนการเรียนการสอน ซง่ึ เปน็ การเรา้ ให้ครผู ู้สอนมีความคดิ สรา้ งสรรค์
3) แผนการเรียนรู้ทำหน้าท่ีเปรียบเสมือนผู้เตือนความจำใหแ้ ก่ผู้สอน สามารถสอนไดต้ ามจุดประสงค์
จดั กจิ กรรมไดต้ ามข้ันตอน ใชส้ ่ือได้อยา่ งเหมาะสม
4) ชว่ ยใหเ้ กิดความมนั่ ใจในการสอน
5) ชว่ ยใหบ้ รหิ ารงานเปน็ ไปดว้ ยดี เพราะผบู้ ริหารและศึกษานิเทศก์ ก็มสี ่วนในการใช้แผนการเรียนรู้
ของครเู ปน็ ขอ้ มลู ในการวางแผนและการนิเทศการศึกษา
6) มีประโยชน์สำหรบั ครูผสู้ อนแทน ในกรณีทคี่ รูผู้สอนประจำไม่สามารถทำการสอนได้ ครูทีส่ อนแทน
สามารถนำแผนการเรียนรู้ไปใช้ได้
7) ป้องกันการใช้เวลาอย่างไรป้ ระโยชน์ การทำแผนการเรียนรู้ชว่ ยให้ครผู ูส้ อนคำนงึ ถึงเวลาท่ีตอ้ งใช้
การเตรียมบทเรยี นมากเกินไปจนเปน็ การยดั เหยยี ดความรู้ให้แกผ่ ู้เรยี นไม่สง่ ผลดีต่อการเรียนรู้ และการเตรียม
บทเรียนนอ้ ยเกนิ ไปอาจทำใหค้ รผู ูส้ อนทบทวนซำ้ ซากไปจนหมดเวลา
วัฒนาพร ระงับทกุ ข์ (2552 : 2) ได้สรุปความสำคัญของแผนการเรยี นรู้ว่า การจัดทำแผนการเรียนร้จู ะ
กอ่ ใหเ้ กดิ ประโยชน์ดงั น้ี
1) กอ่ ให้เกิดการวางแผนและการเตรียมการลว่ งหน้า เปน็ การนำเทคนคิ วธิ ีการสอนการเรียนรู้ ส่ือและ
เทคโนโลยี และจิตวิทยาการเรียนการสอนมาผสมผสานประยุกต์ใชใ้ หเ้ หมาะสมกบั สภาพแวดลอ้ มด้านต่างๆ
2) เปน็ คมู่ ือการสอนสำหรับตวั ครูผ้สู อนและครทู ส่ี อนแทน นำไปใชป้ ฏบิ ัติการสอนอย่างมั่นใจ
3) เป็นหลักฐานแสดงข้อมูลด้านการเรียนการสอน และการวัดผลประเมินผลที่จะเป็นประโยชน์ต่อ
การจดั การเรยี นการสอนต่อไป
4) เปน็ หลกั ฐานแสดงความเชี่ยวชาญของครูผู้สอน ซง่ึ สามารถนำไปเสนอเป็นผลงานทางวิชาการได้
3. องค์ประกอบของการจัดการเรยี นรู้
โครงสร้างของแผนการเรียนรู้มอี งคป์ ระกอบทีส่ ำคญั ไดแ้ ก่ (สำลี รักสุทธ.ี 2554 : 79-80)
1) สาระสำคัญ
สาระสำคัญ หมายถงึ ความคดิ รวบยอดเกยี่ วกับเนื้อหา หลกั การ วธิ กี าร ทีต่ อ้ งการให้ผู้เรียนได้รับ
หลังจากเรียนเน้ือหาเรื่องนั้นแล้ว ทั้งในด้านความสามารถ เจตคติ สาระสำคัญที่เขียนในลักษณะสรุปเนื้อหา
เปา้ หมายอยา่ งส้นั ๆ จะเขยี นด้วยความเรยี งหรือเขยี นเป็นขอ้ ๆก็ได้
16
2) จุดประสงค์การเรียนรู้
จุดประสงค์การเรียนรู้ หมายถึง สิ่งที่กำหนดขึ้นว่าจะต้องให้เกดิ อะไรขึ้นกับนักเรยี นซึ่งครอบคลุม
ท้งั 3 ดา้ นไดแ้ ก่ ความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ เจตคติ และ รวมท้ังการนำไปใชใ้ นชีวิตประจำวันแผนการเรียนรู้ท่ี
ดีจะต้องกำหนดจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ชดั เจน ในการเขยี นจดุ ประสงค์จะเน้นจุดประสงค์เชงิ พฤติกรรม ซ่ึงต้อง
สัมพันธ์กบั จดุ ประสงค์ทว่ั ไปใหเ้ หน็ อย่างชัดเจนวา่ หลังจากเรยี นแลว้ ผู้เรยี นสามารถแสดงพฤติกรรมท่ีวัดได้และ
สังเกตได้เพยี งใด คำที่ใช้ในจุดประสงค์เป็นคำกริยา เช่น อ่านเขียน อธิบาย บอก จำแนก สร้าง เปรียบเทียบ
วิพากษ์ วิจารณ์ สรปุ เปน็ ต้น
3) ข้นั ตอนการทำแผนการเรยี นรู้
วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2552 : 139-140) ไดเ้ ขียนอธิบายถงึ ขน้ั ตอนการจดั ทำแผนการเรยี นรู้ ดังน้ี
1) เลือกรูปแบบแผนการเรียนรู้ นำหน่วยการเรียนรู้ที่กำหนดไว้แล้วมาพิจารณาจัดทำ
แผนการเรยี นรู้
2) ตงั้ ชอื่ แผนตามสาระการเรียนรู้
3) กำหนดจำนวนเวลา ระบรุ ะดบั ช้นั
4) วเิ คราะห์จดุ ประสงค์การเรียนรู้จากผลการเรียนรู้ท่ีคาดหวงั รายปี/รายภาคเรียนที่เลือกไว้
แฟนเป็นจุดประสงค์การเรียนรู้รายวชิ า โดยยึดหลักการเขียนจุดประสงค์การเรียนรู้ของ ลินน์ มอริส (Lynn
Morris) ทว่ี ่าจุดประสงค์การเรียนรู้ตอ้ ง
4.1) บรรยายจุดหมายปลายทาง ไม่ใช่วธิ ีการ
4.2) สะทอ้ นถึงทกั ษะต่างๆ ของทกั ษะทีด่ ี
4.3) ใช้คำกริยาที่เป็น รูปธรรมและใช้องค์ประกอบ 3 ส่วน ตามรูปแบบของโรเบิร์ต
เมเจอร์ (Robert mager) คอื
4.3.1) พฤตกิ รรม (Overall Behavior)
4.3.2) สถานการณห์ รอื เงือ่ นไข (Important Condition)
4.3.3) เกณฑ์ (Criterion)
5) จุดประสงค์การเรียนรู้ที่วิเคราะห์ไว้แล้ว เฉพาะข้อที่สัมพันธ์กับหัวข้อสาระการเรียนรู้
กำหนดเป็นจุดประสงค์การเรียนรู้หรือจุดประสงค์ปลายทางตามธรรมชาติวิชาวิเคราะห์สาระการเรียนรู้เปน็
รายละเอียดสำหรบั นำไปจัดการเรยี นรู้
6) สาระการเรียนร้เู ป็นเนือ้ หาใหม่ของมวลเน้ือหาทกี่ ำหนดไวท้ ี่จำเปน็ ตอ้ งสอน
7) กำหนดจุดประสงคน์ ำทางตามลำดับความยากง่าย
8) เลือกกจิ กรรมและเทคนิคการสอนทีเ่ หมาะสม
17
9) เลือกซื้ออุปกรณ์สำหรบั ใช้ประกอบการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับสาระการเรียนรูท้ ี่เลือกมา
เชน่ รูปภาพ บัตรคำ วีดที ศั น์
10) จดั ทำลำดับขัน้ ตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยคำนงึ ถึงขัน้ ตอนการสอนตามธรรมชาติ
วิชา ตามจุดประสงค์นำทาง และควรคำนึงถึงการบูรณาการเทคนิคและกระบวนการเรียนรู้ รวมทั้งสาระการ
เรียนรูอ้ นื่ ๆ เข้าไว้ในแต่ละข้นั ตอนด้วย
11) กำหนดการวัดผลประเมนิ ผล โดยระบวุ ธิ กี ารประเมินผลการเรยี นรทู้ เ่ี กดิ ขึน้ ระหวา่ งเรียน
ตามจุดประสงค์ย่อย/นำทาง และเกิดหลังการเรียนการสอนเม่ือจบแผนการจดั การเรียนรู้ โดยใช้วิธีวัดหลาย
รูปแบบตามความเหมาะสม เชน่ ปฏิบัตจิ ริงการทดสอบความรู้ การทำงานกลุ่ม
สรปุ ได้ว่าการจดั ทำแผนการเรียนรู้ ผสู้ อนมอี สิ ระในการออกแบบแผนการเรยี นรู้ของตนเองซ่ึงมีหลาย
รูปแบบ แต่ผู้สอนควรปฏิบัติตามนโยบายของโรงเรียนที่กำหนดไว้ว่าให้ใช้รูปแบบใด ถ้าโรงเรียนไม่กำหนด
รูปแบบไว้จึงเลือกรูปแบบที่ตนเองเห็นว่าเหมาะสม สะดวกต่อการนำไปจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตาม
รูปแบบของแผนการเรยี นรู้ตามทตี่ อ้ งการ ซ่ึงในการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ เร่อื ง การคูณทศนิยม กล่มุ สาระการ
เรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้แบบฝึกทักษะ ผู้ศึกษาค้นคว้าได้นำรูปแบบแผนการจัดการ
เรียนรู้แบบบรรยายมาประยุกต์ใชใ้ นการจัดการเรียนรู้ จำนวน 4 แผนในครง้ั น้ี
2.5 ความพงึ พอใจตอ่ การเรียน
1. ความหมายของความพึงพอใจ
มีผใู้ หค้ วามหมายของความพงึ พอใจไว้หลายทา่ น ดังน้ี
ลักขณา สิริวัฒน์ (2557 : 132) ได้ให้ความหมายของความพึงพอใจว่า หมายถึง พฤติกรรมที่ถูก
กระตุ้นโดยแรงขบั ของแตล่ ะบคุ คลเพือ่ สู่จุดหมายปลายทางอยา่ งใดอยา่ งหนึ่ง
บัณฑิต แท่นพิทักษ์ (2560 : 32) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกปัจเจกบุคคลที่มีต่อ
งานของตน ซึ่งเกิดจากการประเมินงานหรือประสบการณ์ในการทำงานของบุคคลนั้น และมักเกี่ยวข้องกับ
คณุ คา่ และความคาดหวงั ของแตล่ ะบุคคลว่าจะพงึ พอใจ
จากความหมายของความพึงพอใจดังกล่าว สามารถสรุปได้ว่าความพึงพอใจ หมายถึง พลังทางจิตท่ี
ถูกกระตุ้นจากแรงขับภายในของแต่ละบุคคล เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์อย่างใดอยา่ งหนึ่งซ่ึงเป็นเป้าหมายที่
ต้องการ
2. วิธกี ารวดั ความพงึ พอใจ
2.1 การสังเกต เป็นวิธีการใช้ตรวจสอบบุคคลอื่นโดยการเฝ้ามองและจดบันทึกอย่างมีแบบแผน
เป็นวิธที ่ตี อ้ งอาศยั ตาดู หูฟัง และจะตอ้ งมกี ารจดบนั ทึกเพื่อปอ้ งกนั การหลงลืม มักจะกระทำกันตัวต่อตวั
18
2.2 การสัมภาษณ์ เป็นวิธีการที่ผู้วิจัยจะต้องออกไปสอบถามโดยการพูดคุยกับบุคคล โดยมีการ
เตรยี มแผนงานลว่ งหน้า เพื่อให้ได้ขอ้ มลู ท่ีเปน็ จรงิ ท่ีสดุ
2.3 การใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) วิธีนีจ้ ะเป็นการใช้แบบสอบถามท่ีมีข้อคำอธิบายอย่าง
เรียบร้อย เพื่อให้ผู้ตอบทุกคนตอบมาเป็นแบบแผนเดียวกัน มักใช้ในกรณีท่ีต้องการข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง
จำนวนมาก ๆ วิธีนน้ี บั เปน็ วิธที ่ีนิยมใชม้ ากท่ีสดุ ในการวดั ความพงึ พอใจ
3. เครอ่ื งมือวัดความพงึ พอใจ
แบบลิเคิร์ท (Likert)ซึ่งเลนซิส ลิเคิร์ทได้พัฒนาการสร้างเครื่องมือวัดที่ง่ายกว่าของทา้ วโทน เรียกว่า
“การจัดอันดับโดยผลรวม” (Summated Rating) เป็นการกำหนดคะแนนให้กับคำถามที่ต้องการวัดโดย
กำหนดคะแนนไว้ 5 ช่อง คือคะแนนจาก 1 ถึง 5 เช่น
ถา้ ชอบมากที่สดุ เท่ากับ 5 คะแนน
ถ้าชอบมาก เทา่ กับ 4 คะแนน
ถ้าชอบปานกลาง เท่ากบั 3 คะแนน
ถ้าชอบน้อย เท่ากบั 2 คะแนน
ถา้ ชอบน้อยที่สุด เท่ากับ 1 คะแนน
การวดั ความพงึ ใจมวี ธิ ีวัด 3 วิธี คือ การสงั เกต การสมั ภาษณ์ และการใช้ แบบสอบถาม ส่วนการสร้าง
เครื่องมือวดั ความพงึ พอใจ สามารถสร้างได้หลายวิธี แต่ที่นิยมใช้มากที่สดุ คือการสร้างเครือ่ งมอื แบบลิเคิรท์
สำหรบั งานวิจัยในครัง้ นี้ ผู้วิจยั ได้กำหนดวธิ กี ารวัดความพงึ พอใจโดยใช้แบบสอบถาม และสร้างเคร่ืองมือวิจัย
โดยใช้แบบลิเคิร์ท เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนในการเรียนคณิตศาสตร์เรื่อง เรื่อง การคูณทศนิยม
โดยใช้แบบฝึกทกั ษะ
2.7 งานวิจัยทเ่ี ก่ียวข้อง
นางสาววันนิสา คลังคนเก่า (2563 : บทคัดย่อ) การพัฒนาทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง การใช้ชุดฝึก
ทักษะเรื่องการคูณที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดมณฑล
ประสทิ ธ์ิ (อาจธวชั ประชานุกลู ) และนาํ ผลการเรียนเพ่อื หาคุณภาพของชุดฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เร่ืองการใช้
ชุดฝกึ ทกั ษะเรื่อง การคณู ท่ีมีต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรยี นชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านปาก
ถัก ประชากรทีใ่ ชใ้ นการวิจยั ในครัง้ นี้เปน็ นกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรยี นโรงเรียนวัดมณฑลประสทิ ธิ์
(อาจธวัช ประชานุกูล) จำนวน 11 คน เครอ่ื งมอื ทใี่ ชใ้ นการวิจยั คอื แบบทดสอบการคูณ และชดุ ฝกึ ทักษะการ
คณู จำนวน 1 ชุด โดยใช้คะแนนทีไ่ ด้จากการทดสอบความแตกตา่ งระหว่างคะแนนก่อนและหลงั การใช้ชุดฝึก
ทกั ษะคณติ ศาสตร์ เร่ืองการคูณคาํ นวณค่า ( T - test) เพ่ือเปรียบเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลัง
19
เรียน ผลการวิจัยพบว่าการใช้ชุดฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่องการคูณ ทําให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางกาเรียน
สงู ข้ึน ดจู ากผลการทดสอบก่อนเรยี นจากคะแนนเต็ม 20 คะแนน ไดค้ ะแนนเฉล่ยี 12 ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน
6.89 คิดเป็นร้อยละ 60 ผลการทดสอบหลังเรียนจากคะแนนเต็ม 20 คะแนน ได้คะแนนเฉลี่ย 14.09 ส่วน
เบี่ยงเบนมาตรฐาน 9.49 คิดเป็นร้อยละ 74.81 เพิ่มขึ้น ร้อยละ 14.09 ซึ่งพบว่า ผลการเรียนรู้หลัง เรียนสูง
กว่าผลการเรียนรู้ก่อนเรียน เมื่อนําไปคํานวณหาค่า T ใน ตารางนั้นคะแนนทดสอบหลังเรียนมีค่า มากกว่า
ทดสอบกอ่ นเรยี น มคี า่ สถิตทิ ่ีได้เทา่ กบั 1.147
นายจงรักษ์ ตรีกุล (2562 : บทคัดย่อ) เพื่อการพัฒนาทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ผลของการใช้ชุดฝึก
ทักษะเรื่องการคูณที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียน บ้านปากถัก
และนําผลการเรียน เพอื่ หาคุณภาพของชดุ ฝกึ ทกั ษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ผลของการใช้ ชุดฝึกทักษะเร่ืองการคูณ
ที่มีตอ่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นของนักเรยี นช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรยี น บา้ นปากถกั ประชากรที่ใช้ในการ
วิจัยในครงั้ นเี้ ป็นนักเรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 3 โรงเรยี นบา้ น ปากถัก จำนวน 21 คน
เครือ่ งมือทใ่ี ช้ในการวจิ ยั คือ แบบทดสอบการแกโ้ จทยป์ ญั หาการคณู และชุดฝกึ ทกั ษะการ คูณ จำนวน 10 ชุด
โดยใช้คะแนนที่ได้จากการทดสอบความแตกต่างระหวา่ งคะแนนก่อนและ หลังการใชช้ ดุ ฝกึ ทกั ษะคณิตศาสตร์
เรอ่ื งการคณู คาํ นวณ คา่ (T- test) เพ่อื เปรยี บเทยี บ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นก่อนและหลงั เรยี น
ผลการวจิ ยั พบว่า การใชช้ ุดฝึกทกั ษะ คณิตศาสตร์ เรอื่ ง การคณู ทําใหน้ ักเรียนมผี ลสมั ฤทธิ์ทางกาเรียนสูงขึ้น
ดูจากผลการทดสอบก่อนเรียนจากคะแนนเต็ม 20 คะแนน ได้คะแนนเฉลี่ย 12.10 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
6.89 คิดเปน็ รอ้ ยละ 60.48 ผลการทดสอบหลังเรียนจากคะแนนเต็ม 20 คะแนน ได้คะแนนเฉล่ยี 14.93 ส่วน
เบย่ี งเบนมาตรฐาน 9.49 คดิ เปน็ ร้อยละ 74.52 เพ่มิ ข้ึน รอ้ ยละ 14.04 ซง่ึ พบวา่ ผลการเรียนรูห้ ลงั เรียนสูงกว่า
ผลการเรยี นรูก้ อ่ นเรียน เมื่อนาํ ไปคาํ นวณหาคา่ T ใน ตารางน้นั คะแนนทดสอบหลังเรยี นมีคา่ มากกว่า ทดสอบ
กอ่ นเรยี น มคี า่ สถิตทิ ่ไี ด้ เทา่ กบั 1.147
ชฎาพร ภกู องชยั (2561 : บทคดั ย่อ) การวิจยั มวี ตั ถปุ ระสงค์ 1) เพอ่ื พัฒนาแบบฝกึ ทกั ษะคณิตศาสตร์
เรื่อง อัตราส่วนและร้อยละ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนศรีเสมาวิทยาเสริม ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์
75/75 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นระหว่างก่อนเรียนและหลงั เรียน เรื่อง อัตราส่วนและร้อย
ละโดยใช้แบบฝึกทักษะคณติ ศาสตร์ เรื่อง อัตราส่วนและร้อยละ ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 2 โรงเรยี นศรีเสมาวิทยา
เสริม 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ คณิตศาสตร์ เรื่อง
อัตราส่วนและร้อยละ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนศรีเสมาวิทยาเสริม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 21 โรงเรียนศรีเสมาวิทยาเสริม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 จำนวน 34 คน
ไดม้ าโดยเลือก แบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครือ่ งมอื ที่ใชใ้ นการวิจัยประกอบดว้ ย 1) แบบฝึกทกั ษะ
เรื่อง อัตราส่วนและ ร้อยละ จำนวน 7 ชุด 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ เรื่อง อัตราส่วนและ
20
ร้อยละ ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 2 และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจทีม่ ีต่อการจัดการเรยี นรู้ด้วยแบบฝึกทักษะ
เรื่อง อัตราสว่ นและรอ้ ยละ สถิตทิ ีใ่ ชใ้ น การวิเคราะหข์ อ้ มลู ไดแ้ ก่ คา่ เฉล่ีย ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน และ สถิติ
ทดสอบคา่ ที (t-test)
ผลการวิจัยพบว่า 1) แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง อัตราส่วนและร้อยละ ที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพตาม
เกณฑ์เท่ากับ 80.69/80.39 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่กําหนด 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง
อัตราส่วนและร้อยละ ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทกั ษะคณิตศาสตร์ แตกต่างกันอย่างมีนัยสําคญั
ทางสถติ ทิ ี่ระดบั .05 โดยหลงั ใช้ แบบฝกึ ทกั ษะคณติ ศาสตรม์ ีคะแนนผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นเฉลี่ยสูงกว่าก่อน
ใชแ้ บบฝึกทกั ษะคณิตศาสตร์ และ 3) นักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 11 มีความพงึ พอใจต่อการจดั การเรยี นโดยใช้
แบบฝกึ ทักษะคณติ ศาสตร์ เรอ่ื ง อัตราสว่ นและร้อยละ โดยรวมอยใู่ นระดบั มาก
ณัชญ์ชญาน์ แตงหนู (2561 : บทคัดย่อ) การวิจัยมีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะทาง
คณิตศาสตร์ เรื่อง การคูณ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80 / 80 (2) เพื่อศึกษา
ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน คณิตศาสตร์ เร่อื งการคูณ ของนกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 3 กอ่ นเรยี นและหลังเรียน
(3) เพื่อศึกษา ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ต่อแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่องการคณู
กลุ่ม ตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ห้อง 2 โรงเรียนอนุบาลบางสะพาน ปีการศึกษา ภาค
เรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 จำนวน 20 คน ได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบ
ฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง การคูณ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและแบบสอบถามความพงึ พอใจ
ของนกั เรยี นตอ่ การใช้แบบฝึกทกั ษะคณติ ศาสตร์ เรื่องการคูณ
ผลการวจิ ยั พบว่า (1) ประสิทธภิ าพของแบบฝึกทกั ษะคณิตศาสตร์ เร่ือง การคณู มคี า่ เท่ากับ 84.50 /86.75 ซ่ึง
สูงกวา่ เกณฑ์ 80/80 (2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นคณิตศาสตร์ เรอ่ื งการคณู ของนักเรยี นชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 3
หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสําคัญที่ระดับ .05 (3) นักเรียน มีความพึงพอใจในการใช้แบบฝึกทักษะ
โดยรวมในระดบั ดีมาก มีคา่ เฉลี่ย 4.46
นายชัชวาลย์ มณีวัตร์ (2561 : บทคัดยอ่ ) ทำการวิจยั การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น โดยใช้แบบ
ฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ลำดับและอนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
วัตถุประสงค์การวิจัย ดังนี้ 1) เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ลำดับและ
อนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2) เพื่อ
เปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน เร่อื ง ลำดับและอนกุ รม กล่มุ สาระการเรยี นรคู้ ณติ ศาสตร์ ของนกั เรยี นชนั้
มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 และ 3) เพอ่ื ศกึ ษาความพงึ พอใจของนกั เรียนที่มีต่อการจดั กิจกรรมการเรยี นรโู้ ดยใช้แบบฝึก
ทกั ษะคณิตศาสตร์ กลมุ่ สาระการเรยี นรคู้ ณิตศาสตร์ ช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 5 การวิจัยคร้ังน้ีใช้แบบแผนการวิจัย
กึ่งทดลอง (Quasi - Experimental Research) แบบกลุ่มเดียวและมีการทดสอบก่อนและหลังทดลองท่ี
21
เรียกวา่ One - Group Pretest - Posttest Design กลมุ่ ตวั อยา่ งท่ีใช้ในการวจิ ยั เป็นนักเรียนช้นั มัธยมศึกษาปี
ที่ 5/8 โรงเรียนสิรนิ ธร จงั หวัดสรุ ินทร์ สังกัดสาํ นกั งานเขตพ้นื ทก่ี ารศึกษามธั ยมศึกษา เขต 33 ภาคเรียนที่ 1 ปี
การศึกษา 2561 จำนวน 40 คน ซง่ึ ไดม้ าโดยวิธกี ารส่มุ อย่างงา่ ย (Simple random sampling) เครอ่ื งมอื ที่ใช้
ใน การวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ 1) แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ลำดับและอนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้
คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 18 เล่ม 2) แผนการจัดการเรียนรู้ประกอบการใช้แบบฝึกทักษะ
คณติ ศาสตร์ เร่ือง ลำดบั และอนกุ รม กลุ่มสาระการเรยี นรู้คณิตศาสตร์ ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 จำนวน 20 แผน
3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ลำดับและอนุกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ ช้ัน
มัธยมศึกษาปีท่ี 5 จำนวน 30 ข้อ และ 4) แบบสอบถามความพงึ พอใจของนักเรียนทีม่ ีต่อการจัดกิจกรรมการ
เรียนรโู้ ดยใช้แบบฝึกทกั ษะคณิตศาสตร์ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้คณิตศาสตร์ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 จำนวน 20 ข้อ
วิเคราะห์ข้อมูลโดยคํานวณหาประสิทธิภาพ (E/E2) หาค่าเฉลี่ย (X) ค่าร้อยละ (P) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
(S.D.) และการทดสอบค่าที (t - test dependent Samples)
ผลการวจิ ยั พบว่า
1. แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เร่อื ง ลำดับและอนุกรม กลมุ่ สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 5
มปี ระสทิ ธิภาพ เท่ากับ 80.12/79.58 ซ่ึงสูงกว่าเกณฑม์ าตรฐานทก่ี ําหนดไว้ คือ 75/75
2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ลำดับและ
อนุกรม กลมุ่ สาระการเรยี นรคู้ ณิตศาสตร์ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 มีผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนหลงั เรียนสูงกว่าก่อน
เรียน อย่างมีนัยสาํ คญั ทางสถติ ทิ ี่ระดับ .05
3. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ลำดับและ
อนกุ รม กลุม่ สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 มีความพึงพอใจตอ่ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้
โดยรวมอยู่ในระดบั มาก (X = 4.34 , S.D. = 0.58)
จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ว่า การพัฒนาทักษะทางคณิตศาสตร์ โดยใช้
แบบฝึกทักษะ สง่ ผลทำใหน้ กั เรียนมีผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนเพิ่มขน้ึ มกี ารพฒั นาความสามารถดา้ นการคดิ การ
คำนวณ รวมทั้งทักษะทางคณิตศาสตร์อื่น ๆ ให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัตดิ ้วยตนเอง ทําให้เข้าใจบทเรียนดีข้ึน ฝึก
ให้เด็กมคี วามเช่ือมนั่ และสามารถประเมินผลของตนเองได้
22
บทท่ี 3
วิธดี ำเนินการวิจยั
ในการศกึ ษาค้นควา้ ครงั้ นี้ ผู้วจิ ยั ไดด้ ำเนนิ ตามลำดับขน้ั ตอนดงั น้ี
1. ประชากรและกลุม่ ตวั อยา่ ง
2. ขัน้ ตอนในการวจิ ัย
3. เคร่อื งมอื ท่ใี ช้ในการวิจัย
4. การเก็บรวบรวมขอ้ มูล
5. การวิเคราะหข์ ้อมูล
6. สถิติที่ใช้ในการวจิ ยั
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
1. ประชากรที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1
ปกี ารศกึ ษา 2564 โรงเรยี นวัดอมรินทราราม จำนวน 1 ห้องเรยี น จำนวน 27 คน
2. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าได้แก่นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1
ปกี ารศึกษา 2564 โรงเรยี นวดั อมรินทราราม จำนวน 27 คน
ข้นั ตอนในการวิจยั
1. แบบแผนการทดลอง
ผศู้ กึ ษาคน้ คว้าใช้แบบแผนการทดลองกลุ่ม การทดลองกลุ่มเดียว วดั ผลก่อนและหลังการทดลอง
(The Single Group, Pre-test Post-test Design) ดงั ตาราง
ตารางแบบการทดลอง One Group Pre-test Post-test Design
กล่มุ ทดลอง Pre - test Treatment Post - test
EX T1 X1 T2
EX หมายถงึ กลมุ่ ทดลอง
T1 หมายถึง การทดสอบก่อนการทดลอง (Pre-test)
X1 หมายถงึ การทดลองสอนด้วยแผนการจดั การเรียนรแู้ บบปกติ
โดยใช้เทคนิคสะทอ้ นคดิ เรอ่ื ง โจทยป์ ญั หาทศนิยม
23
T2 หมายถงึ การทดสอบหลังการทดลอง (Post-test)
2. ขนั้ ตอนในการวิจัย
2.1 ผู้วจิ ยั ไดด้ ำเนนิ การตามขนั้ ตอน โดยประกอบดว้ ย 5 ขนั้ ตอน ดงั นี้
ขนั้ ตอนท่ี 1 สำรวจและวิเคราะหป์ ัญหาในชั้นเรยี น
1.1 ศกึ ษาจากขอ้ มูลของผเู้ รยี นหลาย ๆ ดา้ น เชน่ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน และพฤตกิ รรม
ของผู้เรียนโดยใช้วธิ ีที่หลากหลาย เช่น การสังเกต การทดสอบ
1.2 นำปญั หาท่ีพบมาพจิ ารณาจัดลำดบั ความสำคญั
1.3 เลือกปญั หาทส่ี ำคญั และเหมาะสมทส่ี ดุ
1.4 ต้งั หัวข้อการวจิ ัยและกำหนดวัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั
ขั้นตอนที่ 2 วางแผนการแก้ไขปัญหา / การพัฒนา
2.1 เมือ่ กำหนดวธิ ีการหรือกจิ กรรม หรอื นวัตกรรม เพอื่ ใช้เป็นเครอื่ งมือในการแก้ปญั หา/
พฒั นาแล้ว ผ้วู จิ ยั จะต้องออกแบบการวิจัยให้สอดคลอ้ งกับวัตถปุ ระสงค์ โดยคำนงึ ถึงกล่มุ ตวั อยา่ งและตัวแปรที่
จะศึกษา
ขั้นตอนที่ 3 ค้นหาและพฒั นานวัตกรรม
3.1 สร้างและพัฒนานวัตกรรม ตามขนั้ ตอนของการผลติ ในรปู แบบนวตั กรรมแตล่ ะชนดิ
พร้อมทั้งเคร่อื งมือท่ใี ชใ้ นการเกบ็ รวบรวมข้อมูล
3.2 ทำการหาประสิทธิภาพและคณุ ภาพของเครอ่ื งมอื ก่อนไปใชจ้ รงิ ถ้าเครื่องมือมคี ุณภาพ
ต่ำกวา่ เกณฑจ์ ะตอ้ งมกี ารปรับปรงุ พฒั นาใหม้ คี ณุ ภาพกอ่ นนำไปใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
3.3 จดั ทำแผนการจัดการเรยี นรู้
ขนั้ ตอนที่ 4 นำนวัตกรรมไปใช้
นำนวตั กรรมทผี่ ่านการหาประสทิ ธภิ าพแลว้ ไปใชก้ ับกลุม่ ตัวอย่างทจ่ี ะพัฒนาตาม
กระบวนการหรือข้นั ตอนหรือแผนการจัดการเรียนรู้ทีก่ ำหนดไว้
ข้นั ตอนที่ 5 สรุปผล
วเิ คราะหข์ ้อมูลแล้วนำมาสรปุ ผลว่านักเรยี นท่ไี ด้รับการสอนด้วยแผนการจดั การเรยี นรู้แบบ
ปกติ โดยใช้เทคนิคสะทอ้ นคดิ เรอ่ื ง โจทย์ปัญหาทศนยิ ม มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสงู ขนึ้ กว่าก่อนเรียนหรือไม่
และมคี วามพึงพอใจอยูใ่ นระดบั ใด
2.2 การดำเนินการทดลอง
ดำเนนิ การทดลองใช้เวลาในภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564 จำนวน 1 ช่วั โมง ไมร่ วมเวลา
24
ในการทดสอบกอ่ นเรยี น การทดสอบหลงั เรยี น และการตอบแบบวดั ความพึงพอใจท่มี ีต่อการจัดการเรียนรู้
เรอื่ ง โจทย์ปัญหาทศนยิ ม โดยใช้เทคนิคสะทอ้ นคิด กลมุ่ สาระการเรียนรู้คณติ ศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 6
เคร่ืองมอื ที่ใช้ในการวิจัย
เครื่องมือทใี่ ช้ในการวจิ ยั มี 3 ชนดิ ได้แก่
1. แผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาทศนิยม โดยใช้เทคนิค
สะทอ้ นคดิ ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 6 จำนวน 4 แผน
2. แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระคณติ ศาสตรช์ ั้นประถมศึกษาปที ี่ 6 มีลักษณะเป็น
แบบทดสอบ แบบปรนัย จำนวน 5 ข้อ และแบบอัตนัย จำนวน 5 ขอ้
3. แบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ กลุ่มสาระการ
เรียนรู้กลุ่มสาระคณิตศาสตร์ที่มีผู้ศึกษาค้นคว้าสร้างข้ึนเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale)
จำนวน 15 ข้อ
การสร้างเครอ่ื งมอื ท่ใี ชใ้ นการศึกษาคน้ คว้า
1. การสร้างแผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาทศนิยม โดยใช้เทคนิค
สะท้อนคิด ชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 6 จำนวน 4 แผน ใช้เปน็ เคร่อื งมอื ในการทดลอง มลี ำดบั ขัน้ ตอนการสร้างดงั นี้
ขน้ั ท่ี 1 ศกึ ษาหลักสูตร จุดม่งุ หมายของหลักสูตร คำอธิบายรายวิชา จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ เนื้อหา
คู่มือการสอนวิชาคณติ ศาสตร์ สาระที่ 1 จำนวนและพีชคณิต เร่อื ง โจทย์ปัญหาทศนยิ ม ช้ันประถมศึกษาปีที่ 6
จากหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พื้นฐาน พุทธศักราช 2560 และเขยี นแผนการจดั การเรยี นรู้ตามปกติ โดย
ใชเ้ ทคนิคสะท้อนคิด
ขั้นที่ 2 เขียนแผนจัดการเรียนรู้ โดยใช้แบบฝึกทักษะ จำนวน 4 แผน เรื่อง โจทย์ปัญหาทศนิยม
ของนักเรยี นช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 6 ตามหัวขอ้ ดงั น้ี
2.1 ชอ่ื หนว่ ย / ชือ่ เร่ือง
2.2 มาตรฐานการเรยี นรู้
2.3 ตัวชีว้ ดั
2.4 สาระสำคัญ
2.5 จุดประสงค์การเรียนรู้
2.6 สาระการเรยี นรู้
2.7 กระบวนการจัดการเรยี นรู้
25
2.8 การวดั และการประเมินผล
2.9 สอื่ / แหล่งการเรียนรู้
2.10 บันทกึ ผลหลงั การจดั การเรียนรู้
ขน้ั ที่ 3 นำเสนอแผนจดั การเรยี นรู้ตอ่ อาจารย์ที่ปรกึ ษา อาจารย์ชยาภา ดารายน ทำการศึกษาเพื่อ
ตรวจสอบความถูกตอ้ ง และนำไปปรับปรงุ แกไ้ ข
ขน้ั ที่ 4 นำแผนการจดั การเรยี นรู้ไปให้ผเู้ ช่ียวชาญตรวจพิจารณาเนอื้ หา การวดั ประเมนิ โดยหาค่า
ดชั นคี วามสอดคลอ้ ง IOC จากผู้เชีย่ วชาญจำนวน 3 ท่านได้แก่
1. ครูชญั ญณัส อธิศักดิโ์ สภา ตำแหน่งครู รับเงินเดือนอันดับ คศ. 4
ครูประจำวิชาคณิตศาสตร์ โรงเรียนวดั อมรนิ ทราราม
2. ครูจุญจิรา จิตรวิบลู ย์ ตำแหนง่ ครู รับเงนิ เดอื นอนั ดับ คศ. 2
ครูประจำวชิ าคณติ ศาสตร์ โรงเรยี นวดั อมรินทราราม
3. ครูลลิตา นติ พิ นั ธ์ ตำแหนง่ ครู รบั เงนิ เดอื นอันดับ คศ. 3
ครูประจำวชิ าคณติ ศาสตร์ โรงเรยี นวดั อมรนิ ทราราม
จากนน้ั ปรับปรุงแกไ้ ขแบบทดสอบตามคำแนะนำของผเู้ ช่ียวชาญ
ขั้นที่ 5 นำแผนจัดการเรียนรู้ที่ได้แก้ไขปรบั ปรุง ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ (ค่า IOC ที่ได้
เท่ากับ 4.77 ) เรื่อง โจทย์ปัญหาทศนิยม โดยใช้เทคนิคสะท้อนคิด ไปใช้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
วดั อมรนิ ทราราม จำนวน 27 คน เปน็ เวลา 4 ชั่วโมง
ข้นั ที่ 6 นำแผนการจดั การเรยี นรู้โดยใช้แบบฝึกทกั ษะ เรื่อง โจทย์ปัญหาทศนิยม ชั้นประถมศกึ ษาปี
ที่ 6 ไปใช้กบั กลุ่มตวั อยา่ ง
2. การสรา้ งแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนกลมุ่ สาระคณิตศาสตร์ เรอ่ื ง โจทยป์ ญั หาทศนิยม
ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 6 ผู้ศกึ ษาค้นคว้าได้สร้างแบบทดสอบแบบปรนยั จำนวน 5 ข้อ และแบบอัตนัย จำนวน
5 ขอ้
ข้ันท่ี 1 ศกึ ษาหลักสูตรเอกสารหลักสตู ร ได้แก่ คมู่ ือครู ค่มู ือการวัดและประเมนิ ผลวิชาคณิตศาสตร์ช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 5 การสร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตร เทคนิคการเขียนข้อสอบ การสร้างแบบทดสอบวัด
ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น
ขั้นที่ 2 วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อหา ความคิดรวบยอด และจุดประสงค์การเรียนรู้ เรื่อง
โจทยป์ ัญหาทศนยิ ม ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 เพ่อื สรา้ งจำนวนข้อสอบจำนวน 10 ขอ้
ขั้นที่ 3 ดำเนินการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิท์ างการเรียนก่อนเรยี นและหลังเรยี น เรื่อง โจทย์
ปญั หาทศนิยม ช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 เป็นแบบปรนยั จำนวน 5 ข้อ และแบบอัตนยั จำนวน 5 ข้อ
26
ขนั้ ที่ 4 นำแบบทดสอบท่ีผศู้ ึกษาคน้ คว้าสร้างข้ึนเสนอต่อ อาจารย์ชยาภา ดารายน เพ่ือตรวจสอบ
ความถกู ต้องเหมาะสม ความชัดเจน ความสอดคล้องกบั เนือ้ หาและจดุ ประสงค์การเรยี นรแู้ ละปรับปรงุ แก้ไข
ขั้นที่ 5 นำแบบทดสอบไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิจารณา เนื้อหา และความเหมาะสมของข้อคำถาม
ความถกู ตอ้ งของแบบทดสอบ โดยหาค่าดัชนคี วามสอดคลอ้ ง IOC ซงึ่ ได้คา่ ดัชนคี วามสอดคล้อง 0.80 ถือว่ามี
คา่ ในเกณฑ์ท่ยี อมรบั ได้ จากผเู้ ชย่ี วชาญ 3 ทา่ น ไดแ้ ก่ ครูชญั ญณัส อธิศกั ด์โิ สภา ครูจญุ จิรา จติ รวบิ ูลย์ และ
ครูลลติ า นิติพันธ์ จากนัน้ ปรับปรุงแก้ไขแบบทดสอบตามคำแนะนำของผูเ้ ช่ียวชาญ
ขนั้ ที่ 6 นำแบบทดสอบไปใชก้ บั นกั เรยี นช้ันประถมศึกษาปที ี่ 6 ซึง่ กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1/2564
3. การสร้างแบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ
มีข้ันตอนการสร้างและหาคุณภาพ ดงั ต่อไปน้ี
ข้ันท่ี 1 กำหนดจดุ มงุ่ หมายในการสรา้ งแบบวดั ความพึงพอใจ
ขั้นที่ 2 ศึกษาเอกสาร งานที่เกี่ยวข้องและทฤษฎีที่เกี่ยวกับความพึงพอใจ และวิธีการสร้าง
แบบสอบถามและเทคนิคทใี่ ช้ในการเก็บรวบรวมข้อมลู
ขั้นที่ 3 สร้างแบบวัดความพึงพอใจแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) จำนวน 10 ข้อ
แบง่ ออกเป็น 5 ระดับ ตามเกณฑ์ทีก่ ำหนดไว้ ดงั นี้
ให้คะแนนระดบั 5 หมายถงึ พอใจในระดบั มากท่ีสุด
ใหค้ ะแนนระดบั 4 หมายถึง พอใจในระดับมาก
ให้คะแนนระดับ 3 หมายถงึ พอใจในระดบั ปานกลาง
ใหค้ ะแนนระดับ 2 หมายถึง พอใจในระดบั นอ้ ย
ให้คะแนนระดับ 1 หมายถงึ พอใจในระดับนอ้ ยที่สุด
ขั้นที่ 4 นำแบบวัดความพึงพอใจที่สร้างขึ้นเสนออาจารย์ผู้สอนวิชาวิจัยทางการศึกษา
อาจารย์ขนษิ ฐา แน่นอดุ ร เพอื่ พจิ ารณาตรวจสอบความเหมาะสม และความชัดเจนแลว้ นำมาปรับปรงุ แก้ไข
ขั้นที่ 5 นำแบบวัดความพึงพอใจไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิจารณา เนื้อหา และความเหมาะสมของข้อ
คำถาม ความถูกต้อง โดยหาค่าดัชนีความสอดคล้อง IOC จากผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ได้แก่ ครูชัญญณัส อธิ
ศักดิ์โสภา ครูจุญจิรา จิตรวิบูลย์ และครูลลิตา นิติพันธ์ จากนั้นปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำของ
ผูเ้ ชยี่ วชาญ
27
ขั้นท่ี 6 นำแบบวัดความพงึ พอใจท่ปี รับปรงุ แล้วมาจัดพมิ พ์เป็นเครื่องมือในการวิจยั เพ่ือนำไปใช้กับ
กลุ่มตวั อยา่ งตอ่ ไป
การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
ผู้วิจัยไดด้ ำเนินการเกบ็ รวบรวมข้อมูลดงั ขั้นตอนตอ่ ไปนี้
1. ทำการทดสอบก่อนการทดลอง (Pretest) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
กลมุ่ สาระคณิตศาสตร์ ชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 6 เรอื่ ง โจทย์ปญั หาทศนิยม ที่ผูศ้ ึกษาคน้ ควา้ สรา้ งข้ึน
2. ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้แบบฝึกทักษะ
กลุ่มสาระคณติ ศาสตร์ของนกั เรยี นช้ันประถมศึกษาปที ่ี 6 เร่อื ง โจทยป์ ัญหาทศนิยม จำนวน 4 ชัว่ โมง
3. เมื่อจบการทดลองจึงทดสอบหลังการทดลอง (Posttest) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์
ทางการเรยี นกลมุ่ สาระคณติ ศาสตร์ ฉบบั ทีใ่ ชใ้ นการทดสอบก่อนการทดลอง และใหต้ อบแบบวัดความ
พึงพอใจต่อกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้แบบฝกึ ทักษะ
4. นำคำตอบที่ได้จากการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและแบบวัดความพึงพอใจมา
ตรวจให้คะแนนแลว้ จงึ นำไปวิเคราะห์ตอ่ ไป
การวเิ คราะหข์ อ้ มูล
ในการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ผู้ศึกษาค้นควา้ ได้ดำเนินการ ดังต่อไปน้ี
1. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิท์ างการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ระหว่างก่อนเรียน
กับหลังเรียนด้วยแผนการเรียนรู้ โดยใช้เทคนิคสะท้อนคิด เรื่อง โจทย์ปัญหาทศนิยม โดยใช้ t-test
(Dependent Samples) ซึง่ ตรวจใหค้ ะแนนดงั นี้
ตอบถูก ได้ 1 คะแนน
ตอบผดิ ได้ 0 คะแนน
2. วเิ คราะหค์ วามพงึ พอใจของนักเรยี นตอ่ แผนการเรียนรู้ โดยใช้เทคนิคสะท้อนคดิ เรอื่ ง โจทย์
ปญั หาทศนยิ ม กล่มุ สาระการเรียนรูค้ ณติ ศาสตร์ โดยใชค้ ่าเฉลีย่ และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน
28
เกณฑก์ ารแปลคะแนน
นำคะแนนที่ได้จากการวัดมาหาค่าเฉลี่ย (̅̅ ̅ ̅) โดยกำหนดเกณฑ์การพิจารณา ดังนี้ (บุญชม
ศรสี ะอาด. 2555: 103)
ค่าเฉล่ีย ระดับความพึงพอใจ
4.51-5.00 มากทสี่ ดุ
3.51-4.50 มาก
2.51-3.50 ปานกลาง
1.51-2.50 น้อย
1.00-1.50 น้อยทสี่ ุด
สถิตทิ ใ่ี ช้ในการวจิ ัย
1. สถติ ทิ ีใ่ ช้ในการตรวจสอบคุณภาพเคร่ืองมอื
1.1 แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น
1.1.1 การหาความเทย่ี งตรงเชิงเน้อื หา (Validity) ของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธท์ิ างการ
เรยี น โดยใชค้ ำนวณดชั นคี า่ ความสอดคล้อง IOC ดังน้ี
IOC = ∑ R
n
เมื่อ IOC แทนดัชนีความสอดกล้องระหว่างจุดประสงค์กับเนื้อหาหรือระหว่างข้อสอบกับ
จุดประสงค์
∑ R แทน ผลคะแนนความคดิ เหน็ ของผู้เชี่ยวชาญทงั้ หมด
แทน จำนวนผเู้ ช่ยี วชาญทง้ั หมดเกณฑ์การให้คะแนน
+1 หมายถึง ผ้เู ชี่ยวชาญแน่ใจวา่ มีความสอดคล้องกบั วัตถุประสงค์
0 หมายถึง ผเู้ ชยี่ วชาญไม่แนใ่ จวา่ มีความสอดคล้องกบั วัตถุประสงค์
-1 หมายถงึ ผเู้ ชย่ี วชาญแน่ใจว่าไมส่ อดคลอ้ งกับวตั ถุประสงค์
29
2. สถิติพน้ื ฐาน
2.1 รอ้ ยละ (Percentage) ใช้สูตร ดงั นี้ (บุญชม ศรสี ะอาด. 2555:104)
= × 100
เม่ือ แทน รอ้ ยละ
แทน ความถ่ีที่ต้องการแปลงให้เป็นร้อยละ
แทน ความถที่ งั้ หมด
2.2 คา่ เฉลยี่ (Mean) คำนวณจากสตู ร (สมนึก ภทั ทยิ ธนี. 2556:237)
X̅ = ∑ X
n
เมอื่ X̅ แทน ค่ากลางเลขคณติ หรือคา่ เฉล่ยี
∑ X แทน ผลรวมท้งั หมดของคะแนน
แทน จำนวนคนทั้งหมด
2.3 ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ใช้สตู ร (สมนึก ภัททยิ ธนี. 2556:250)
n ∑ X2 − (∑ X)2
. = √ n(n − 1)
เมอ่ื . . แทน สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน
แทน คะแนนแต่ละตวั
แทน จำนวนคะแนนในกลุม่
∑ 1 แทน ผลรวม
30
3. การเปรยี บเทียบคะแนนผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นกอ่ นเรียนและหลงั การทดลองใช้ t-test
(Dependent Samples) (บญุ ชม ศรีสะอาด. 2555: 112-114)
= ∑D
√n ∑ D2 − (∑ D)2
n − 1
เม่อื แทน คา่ สถติ จิ ะใช้เปรียบเทียบกบั ค่าวกิ ฤติจากการแจกแจงแบบ t เพื่อทราบความ
มนี ยั สำคัญ
แทน ผลต่างระหวา่ งคู่คะแนน
แทน จำนวนสมาชกิ กลุ่มตวั อยา่ งหรือจำนวนคู่คะแนน
31
บทท่ี 4
ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู
การศึกษาวิจัยในครั้งนี้เป็นการศึกษาวิจัยกึ่งทดลอง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์
ทางการเรยี นกอ่ น - หลังเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์ เร่อื ง โจทยป์ ญั หาทศนยิ ม ของนกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปีที่
6 ดว้ ยการจัดการเรยี นรู้โดยใชเ้ ทคนคิ สะทอ้ นคดิ รวมถงึ ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนทีม่ ีตอ่ กิจกรรม
การเรยี นรู้ โดยใชเ้ ทคนิคสะท้อนคิด โดยนำเสนอผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ตามลำดบั ดังน้ี
1. สัญลกั ษณ์ท่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมลู
2. ลำดบั ขัน้ ในการนำเสนอผลการวิเคราะหข์ ้อมูล
3. ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล
1. สัญลกั ษณ์ท่ใี ช้ในการวิเคราะหข์ อ้ มลู
เพื่อให้เกิดความเข้าใจในการแปลความหมายผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ใช้สัญลักษณ์ในการ
วิเคราะหข์ ้อมลู ดังน้ี
n แทน จำนวนนกั เรียนในกลุ่มตวั อยา่ ง
x̅ แทน ค่าเฉลีย่ ของคะแนน
S. D แทน ค่าเบย่ี งเบนมาตรฐาน
T - test แทน การทดสอบค่าที
* แทน มีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ .05
2. ลำดบั ข้นั ในการนำเสนอผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู
ผู้วจิ ัยไดน้ ำเสนอผลการวิเคราะห์ ครัง้ น้ี แบ่งออกเป็น 2 ตอน ดังนี้
ตอนที่ 1 การวิเคราะห์ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อน - หลังเรียนรายวิชา
คณิตศาสตร์ เร่ือง โจทย์ปญั หาทศนิยม ของนกั เรยี นช้ันประถมศึกษาปที ี่ 6 ดว้ ยการจดั การเรียนรู้โดยใชเ้ ทคนิค
สะทอ้ นคดิ
ตอนท่ี 2 การวิเคราะห์ผลการศกึ ษาความพึงพอใจของนกั เรยี นท่ีมตี อ่ การจัดการเรยี นรู้โดยใชเ้ ทคนิค
สะทอ้ นคดิ
32
3. ผลการวิเคราะหข์ อ้ มูล
ตอนที่ 1 การวิเคราะห์ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อน - หลังเรียนรายวิชา
คณติ ศาสตร์ เร่อื ง โจทย์ปัญหาทศนยิ ม ของนกั เรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 6 ด้วยการจัดการเรยี นรู้โดยใชเ้ ทคนิค
สะทอ้ นคิด
ผู้วิจัยไดด้ ำเนินการหาผลการจัดการเรยี นรู้ เร่ือง โจทยป์ ญั หาทศนยิ ม ของนกั เรียนช้ันประถมศึกษาปี
ที่ 6 โรงเรียนวัดอมรินทราราม ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคสะท้อนคิด ก่อนเรียนและหลังเรียนซ่ึง
ปรากฏผลดังตาราง
ตารางที่ 4.1 การเปรียบเทียบคะแนนวัดผลสัมฤทธ์ิวิชาคณติ ศาสตรก์ ่อนเรียนและหลังเรยี น
คะแนน n x̅ S. D t − test
คะแนนกอ่ นเรยี น 27 3.33 1.51 10.25*
0.55
คะแนนหลังเรียน 27 9.50
*มีนัยสำคญั ทางสถิติทร่ี ะดบั .05 ( t.05,7=1.895)
จากตารางพบว่า มีนักเรียนทั้งหมด 27 คน ก่อนเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 3.33 ส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐานเท่ากบั 1.51 และหลังเรยี นมีคะแนนเฉล่ยี เท่ากับ 9.50 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.55 ผลการ
วเิ คราะหพ์ บว่า การศึกษาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน เรือ่ ง โจทยป์ ญั หาทศนยิ ม ของนักเรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่
6 ด้วยการจดั การเรยี นรู้แบบปกติ โดยใช้เทคนคิ สะท้อนคิด โรงเรียนวดั อมรนิ ทราราม ก่อนเรียนและหลงั เรียน
ใช้ t-test แบบ dependent ได้ t คำนวณมีค่าเท่ากับ 10.25* และ t วิกฤติมคี ่าเท่ากับ 1.895 ซึ่ง t คำนวณ
มากกว่าค่าวิกฤติ จึงสรุปได้ว่าคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง การคูณทศนิยม ของนักเรียนชนั้
ประถมศึกษาปีที่ 5 ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบปกติ โดยใช้แบบฝึกทักษะ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมี
นัยสำคญั ทางสถติ ทิ ีร่ ะดับ 0.05 ซ่งึ สอดคลอ้ งกบั สมมตฐิ านการวจิ ยั ทีต่ ้ังไว้
ตอนที่ 2 การวิเคราะห์วิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย ( x̅ ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน (S. D) ระดับความ
พงึ พอใจของนกั เรยี น นกั เรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 หลังการไดร้ บั การจดั การเรียนรู้โดยใช้เทคนิคสะทอ้ นคิด
ผู้วจิ ัยไดว้ เิ คราะหห์ าความคดิ เห็นของนกั เรยี น ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 หลังได้รับการจดั การเรยี นรู้โดย
ใชเ้ ทคนิคสะท้อนคิด
ตารางท่ี 4.2 ผลการศึกษาความพงึ พอใจของนักเรยี นชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 6 ท่มี ตี อ่ การจดั การเรียนรู้
โดยการเรยี นรู้โดยใชเ้ ทคนิคสะทอ้ นคิด กลมุ่ สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรอ่ื ง โจทยป์ ัญหาทศนยิ ม
33
แบบวดั ความพงึ พอใจ x̅ S.D. แปลผล
4.33 0.87 มาก
1. ความยากงา่ ยของเน้ือหาเหมาะสมกับ 4.00 1.24 มาก
ความสามารถของนกั เรียน 4.83 0.31 มากที่สดุ
2. ครใู ห้การเสริมแรงโดยการให้คำชมกับ 4.17 0.96 มาก
นักเรยี นทที่ ำไดด้ ี 4.33 0.87 มาก
3. นกั เรยี นได้ฝึกกระบวนการคิดอย่างเปน็ 4.50 0.74 มาก
ลำดบั มากยิ่งข้ึน
4. นักเรียนได้แสวงหาความร้แู ละสรา้ งความรู้ 4.83 0.31 มากทสี่ ดุ
ด้วยตนเอง
5. นักเรียนไดแ้ ลกเปลย่ี นความรู้ความคิดจาก 4.33 0.87 มาก
การปฏบิ ัตกิ ิจกรรมในช้นั เรยี น 4.67 0.62 มากทส่ี ุด
6. นกั เรยี นไดน้ ำเสนอคำตอบตามวิธีคิดของ 4.50 0.74 มาก
ตนเอง 4.47 0.75 มาก
7. นกั เรียนได้ฝึกทักษะการสื่อสาร
ระหวา่ งเพ่ือนร่วมช้ัน เช่น การแสดงความ
คดิ เห็น การตัดสนิ ใจ การแกป้ ญั หา ฯลฯ
8. มกี ารใช้ส่ือและอุปกรณ์ประกอบการสอนท่ี
เหมาะสมกับเนื้อหาและนา่ สนใจตอ่ การเรยี นรู้
9. กระบวนการจัดการเรยี นรู้กำหนดเวลาได้
เหมาะสม
10. มกี ารประเมินพฤติกรรมการฝึกปฏิบตั แิ บบ
ฝึกทกั ษะของนักเรยี น
รวมทัง้ หมด
จากตารางพบว่า ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้
เทคนิคสะท้อนคิด โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x̅ = 4.47, S. D = 0.75) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า
นักเรียนมีความพึงใจอยู่ในระดับมากที่สุด 3 ข้อ ซึ่งเรียงลำดับไดด้ ังน้ี ค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ข้อ 3 นักเรียนได้ฝกึ
กระบวนการคิดอย่างเป็นลำดับมากยงิ่ ขึน้ และขอ้ 7 นกั เรยี นไดฝ้ กึ ทักษะการส่อื สารระหว่างเพื่อนรว่ มช้ัน เช่น
การแสดงความคิดเห็น การตัดสินใจ การแก้ปัญหา ฯลฯ (x̅ = 4.83, S. D = 0.31) รองลงมาคือ ข้อ 9
กระบวนการจดั การเรยี นรกู้ ำหนดเวลาไดเ้ หมาะสม (x̅ = 4.67, S. D = 0.62) และค่าเฉล่ียตำ่ สุด คอื ข้อ 2 ครู
ใหก้ ารเสรมิ แรงโดยการให้คำชมกบั นักเรยี นทีท่ ำได้ดี (x̅ = 4.00, S. D = 1.24)
34
บทท่ี 5
สรปุ ผลการวิจยั อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ
การวิจัยเรื่องการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึ่งพอใจในวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์
ปัญหาทศนิยม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคสะท้อนคิด การ
ศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อน - หลังเรียนรายวิชา
คณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาทศนิยม ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคสะท้อนคิด 2. เพื่อศึกษาความพึง
พอใจของนักเรยี นท่ีมีตอ่ การใช้เทคนิคสะท้อนคิดโจทย์ปัญหาทศนิยม กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวจิ ัยครัง้ น้ี เป็น
นกั เรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564 โรงเรียนวดั อมรนิ ทราราม จำนวนนกั เรียน 27
คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาทศนิยม
ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคสะท้อนคิด ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ตามตัวชี้วัดและกลุ่มสาระการเรียนรู้
แกนกลาง ซ่ึงผู้วิจัยสร้างขึ้นจำนวน 4 แผน แผนละ 1 ชั่วโมง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่ม
สาระคณิตศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีลักษณะเป็นแบบทดสอบ แบบปรนัย จำนวน 5 ข้อ แบบอัตนัย
จำนวน 5 ข้อ และ แบบวัดความพงึ พอใจของนักเรียนท่ีมีตอ่ กิจกรรมการเรียนรู้ ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้
แบบฝึกทักษะ กลุ่มสาระการเรียนรู้กลุ่มสาระคณิตศาสตร์ที่มีผู้ศึกษาค้นคว้าสร้างขึ้นเป็นแบบมาตราส่วน
ประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ ได้แก่ ความพึงพอใจในระดับ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย และน้อย
ที่สุด ตามลำดับ จำนวน 15 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะหข์ ้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ
ทดสอบสมมตฐิ านโดยใช้ (t-test dependent samples)
สรปุ ผลผลการวจิ ัย
การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจในวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาทศนิยม
ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปที ี่ 6 ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคสะท้อนคิด โรงเรียนวดั อมรนิ ทราราม
สามารถสรปุ ผลการวจิ ัยไดด้ งั นี้
1. การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาทศนิยม ของนักเรียนชั้น
ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคสะท้อนคิด โรงเรียนวัดอมรนิ ทราราม หลงั เรยี นสูงกว่า
ก่อนเรียนอยา่ งมีนัยสำคัญสถิตทิ ี่ระดับ .05
2. ผลการศึกษาความพึงพอใจทางการเรียนในวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาทศนิยม ของ
นกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 ดว้ ยการจัดการเรยี นรู้โดยใช้เทคนคิ สะท้อนคิด โรงเรียนวดั อมรินทราราม โดย
ภาพรวมนักเรียนมีความพงึ พอใจอยใู่ นระดบั มาก
35
การอภิปรายผลการวจิ ัย
ผลการวจิ ัยเรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นและความพึงพอใจในวิชาคณิตศาสตร์ เร่ือง โจทย์
ปญั หาทศนิยม ของนักเรยี นช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 ดว้ ยการจดั การเรียนรู้โดยใช้เทคนิคสะทอ้ นคิด โรงเรียนวัด
อมรินทราราม สามารถนำมาอภปิ รายได้ดังน้ี
1. ผลการศกึ ษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในวิชาคณิตศาสตร์ เรอื่ ง โจทยป์ ญั หาทศนยิ ม ของนักเรยี นชั้น
ประถมศึกษาปที ี่ 6 ดว้ ยการจดั การเรยี นรู้โดยใช้เทคนคิ สะท้อนคิด โรงเรียนวดั อมรนิ ทราราม หลังเรยี นสูงกว่า
ก่อนเรียนอยา่ งมนี ัยสำคญั สถิติทรี่ ะดบั .05 ซง่ึ สอดคล้องตามสมมติฐานท่ีตงั้ ไว้ เมือ่ พิจารณาจากคะแนนเฉลี่ย
กอ่ นเรียน เทา่ กับ 3.33 และหลังเรียนเท่ากบั 9.50
2. ผลการศึกษาความพึงพอใจทางการเรียนในวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาทศนิยม ของ
นกั เรียนชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 6 ดว้ ยการจัดการเรยี นรู้โดยใช้เทคนิคสะท้อนคิด โรงเรยี นวัดอมรินทราราม โดย
ภาพรวมนักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.47) เมื่อจำแนกรายข้อมีระดบั ความพงึ
พอใจอยใู่ นระดับมากที่สุดจำนวน 3 ขอ้ และระดบั มากจำนวน 7 ขอ้ โดย ลกั ขณา สริ วิ ฒั น์ (2557 : 132) ได้
ใหค้ วามหมายของความพึงพอใจว่า หมายถงึ พฤตกิ รรมทถ่ี ูกกระตนุ้ โดยแรงขบั ของแต่ละบุคคลเพ่ือสู่จุดหมาย
ปลายทางอยา่ งใดอย่างหน่งึ งานวิจยั ครัง้ นผ้ี ู้วิจยั ไดใ้ ช้แบบสอบถามแบบลเิ คิร์ท เครื่องมอื วดั ความพอใจแบบลิ
เคิร์ท (rikert) เรียกวา่ “การจัดอันดบั โดยกำหนดคะแนนใหก้ ับคำถามทต่ี ้องการวดั ” โดยกำหนดคะแนนไว้ 5
ชอ่ ง คะแนนจาก 1-5 เช่น ถา้ ชอบมากท่สี ุดเท่ากับ 5 คะแนน ถ้าชอบมากเทา่ กับ 4 คะแนน ถา้ ชอบปานกลาง
เท่ากับ 3 คะแนน ถ้าชอบน้อย เท่ากับ 2 คะแนน ถ้าชอบน้อยที่สุดเท่ากับ 1 คะแนน และสอดคล้องกับ
งานวิจัยของ อกุ ฤษฏ์ ทองอยู่และอญั ชลี ทองเอม (2562) ทีว่ ่านกั เรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 มคี วามพึงพอใจ
ภาพรวมอย่รู ะดบั มากท่ีสดุ ครูและนักเรยี นมปี ฏิสัมพันธ์ที่ดรี ะหว่างกัน ครูชว่ ยเหลอื และให้คำปรึกษานักเรียน
เม่อื มปี ญั หา นกั เรยี นมสี มาธิและสนใจบทเรียน นักเรยี นวางแผนการทำงานกันเปน็ กลุ่ม ทำให้นักเรียนเรียนรู้
ร่วมกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกันและรับฟังความคิดเห็นของกันและกัน มีความกระตือรือร้นในการเรียนมาก
ยง่ิ ขึน้ ทา้ ทายความสามารถทางการคิด และตดั สินใจอยา่ งมีเหตุผล
ขอ้ เสนอแนะ
จากผลการศึกษาวจิ ยั ในครัง้ น้ผี วู้ ิจยั มขี ้อเสนอแนะ ซึ่งอาจเปน็ ประโยชน์ตอ่ การจัดการเรยี นรู้และการ
ศึกษาวิจัยครัง้ ตอ่ ไปดงั น้ี
1.ขอ้ เสนอแนะในการนำผลการวิจยั ไปใช้
1.1 ผวู้ จิ ยั ตอ้ งทำความเข้าใจและอธิบายการใช้แบบฝึกทักษะใหน้ กั เรยี นเข้าใจและให้
นกั เรียนตระหนกั ถงึ ความมีศักยภาพของตนเองและพยายามพฒั นาตนเองไปใหเ้ ตม็ ความสามารถและมีการ
เสรมิ แรงใหน้ กั เรียนตลอดเวลา
1.2 ในการสรา้ งแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ควรวเิ คราะห์ให้ครอบคลุมเนือ้ หา
ทัง้ หมด ระดบั ความยากง่ายปานกลาง และไมค่ วรเปน็ ห่วงหรอื กังวลผู้เรียนท่เี รียนอ่อนหรือเกง่ เกินไป
36
1.3 การจัดการเรียนการสอนนักเรียนอาจจะไม่ค่อยให้ความร่วมมือในการเรียนรู้ได้ดีนัก
ครูผู้สอนจะตอ้ งคอยใหค้ ำแนะนำ ใชร้ างวัลหรือคำชมเชยเปน็ แรงเสริมทีจะกระต้นุ ให้นักเรยี นไดเ้ กดิ การเรียนรู้
ร่วมกัน
2.ข้อเสนอแนะในการศึกษาวิจัยครง้ั ตอ่ ไป
2.1 เป็นแนวทางสำหรับครูในการนำการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ ไปสร้างหรือ
พฒั นาแผนการจดั การเรียนรู้ในกล่มุ สาระคณิตศาสตรใ์ นระดับชน้ั อื่น ๆ และกลุ่มสาระการเรยี นรู้อืน่ ๆ
2.2 ควรศึกษาเปรียบเทียบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะกับการจัดกจิ กรรม
การเรยี นรแู้ บบอืน่ ๆ เพือ่ เปรียบเทยี บผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นและความพงึ พอใจต่อกจิ กรรมการเรียนรู้
37
บรรณานกุ รม
กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2560). ตวั ชว้ี ดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรูค้ ณิตศาสตร์
(ฉบับ ปรับปรุง พ.ศ.2560)ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551.
กรุงเทพฯ: ผูแ้ ต่ง
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. คู่มือการจัดการเรยี นรู้ กลุ่มสาระการเรยี นร้คู ณิตศาสตร์. กรงุ เทพฯ :
โรงพมิ พ์องค์การรับสง่ สนิ คา้ และพสั ดภุ ัณฑ์, 2542.
ชัยวัฒน์ สทุ ธิรัตน.์ 80 นวตั กรรมการจดั การเรยี นรูท้ เ่ี น้นผู้เรยี นเปน็ สำคญั . กรุงเทพมหานคร :
บริษัท แดเนก็ ซ์ อนิ เตอรค์ อรป์ อเรชัน่ จำกดั , 2553.
บัณฑิต แท่นพิทักษ์. รายงานการวิจัย เรื่องการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความ
คงทนในการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนที่สอนโดยใช้แบบฝึกหัดที่สร้างขึ้นกับ
แบบฝึกหัดในแบบเรียน. กรุงเทพฯ : ภาควิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัย
ศรีนครนิ ทรวโิ รฒประสานมติ ร, 2560.
ประสาท อสิ รปรีดา. สารัตถะจิตวิทยาการศึกษา. มหาสารคาม : คลังนานาวิทยา, 2557.
ระวีวรรณ ศรีครา้ มครนั . เทคนคิ การสอน. กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2543.
วิมลรัตน์ สนุ ทรโรจน์. พัฒนาการเรยี นการสอน. มหาสารคาม : ภาควชิ าหลักสูตรและการสอน
มหาวิทยาลยั . มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม, 2545.
สิรพิ ร ทิพยค์ ง. หลักสตู รการสอนคณิตศาสตร์. กรงุ เทพฯ : การพัฒนาคุณภาพวิชาการ, 2545.
สุธัญญา รตั นบรรพต. ความหมายของแบบฝกึ ทักษะ. [Online].
http://www.learners.in.th/blogs/posts/253077, 2555.
สุวทิ ย์ มลู คำและอรทยั . 19 วธิ กี ารจดั การเรียนรู้ : เพ่อื พฒั นาความรู้และทักษะ พมิ พค์ ร้งั ที่ 5.
กรงุ เทพฯ : โรงพิมพภ์ าพการพิมพ์, 2557.
สำลี รกั สุทธ์ิ. เทคนิคการเขียนหลักสูตร. กรุงเทพฯ : พัฒนาศกึ ษา, 2554.
อัมพร มา้ คะนอง. คณติ ศาสตร์ : ทฤษฎีที่เกย่ี วข้องกับการเรียนคณติ ศาสตร์. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2560.
38
ภาคผนวก
39
ภาคผนวก ก
แผนการจัดการเรียนรู้ออนไลน์ ภาคเรยี นท่ี 1/2564
จานวน 15 ชว่ั โมง
รหสั วิชา ค 16101 กลมุ่ สาระการเรียนรคู้ ณติ ศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาท่ี 6
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 4 เรื่อง ทศนยิ ม จานวน 3 ชวั่ โมง
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 11 เรื่อง โจทยป์ ญั หาเกยี่ วกบั ทศนยิ ม
1. มาตรฐานการเรยี นรู้
สาระท่ี 1 จานวนและพชี คณติ
มาตรฐาน ค 1.1 เข้าใจความหลากหลายของการแสดงจานวน ระบบจานวน การดาเนินการของจานวนผล
ท่เี กดิ ขึ้นจากการดาเนนิ การ สมบตั ิของการดาเนนิ การ และนาไปใช้
2. ตัวชวี้ ัด
ค 1.1 ป.6/10 แสดงวธิ หี าคาตอบของโจทย์ปัญหาการบวก การลบ การคูณ การหารทศนยิ ม 3 ขน้ั ตอน
3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1) วิเคราะห์โจทยป์ ัญหาเกีย่ วกับทศนิยมที่กาหนดให้ได้ (K)
2) วางแผนขัน้ ตอนการแก้โจทยป์ ัญหาเกี่ยวกับทศนิยมทกี่ าหนดให้ได้ (K)
3) หาคาตอบโจทยป์ ัญหาทศนิยมที่เกีย่ วกบั การแลกเงนิ ต่างประเทศ พรอ้ มทง้ั ตรวจสอบความสมเหตสุ มผล
ของคาตอบได้ (P)
4) รบั ผดิ ชอบต่อหน้าทีท่ ่ไี ดร้ บั มอบหมาย (A)
4. สาระสาคญั
การแสดงวิธีทาและหาคาตอบของโจทย์ปัญหาเกี่ยวกับทศนิยม ต้องเริ่มจากการวิเคราะห์โจทย์ปัญหา
วางแผน แก้โจทย์ปัญหาโดยเขียนเป็นประโยคสัญลักษณ์ แสดงวิธีทาเป็นลาดับขั้นตอน แล้วจึงหาคาตอบ พร้อม
ทง้ั ตรวจสอบความสมเหตสุ มผลของคาตอบ
5. สาระการเรียนรู้
5.1 ความรู้ (K)
นกั เรยี นสามารถวเิ คราะหโ์ จทย์ และวางแผนข้นั ตอนการแก้โจทย์ปญั หาเก่ยี วกับทศนยิ มท่กี าหนดใหไ้ ด้
5.2 ทกั ษะกระบวนการ/กระบวนการคดิ (P)
1) การแกป้ ญั หา
- สามารถทาความเขา้ ใจปญั หาคิดวิเคราะห์วางแผนแก้ปญั หา และเลอื กใช้วธิ กี ารท่เี หมาะสมโดย
คานึงถึงความสมเหตุสมผลของคาตอบพรอ้ มท้งั ตรวจสอบความถกู ตอ้ ง
2) การสามารถสอ่ื สาร และสื่อความหมายทางคณิตศาสตร์
- สามารถใช้รูปภาษา และสญั ลักษณ์ทางคณติ ศาสตรใ์ นการสื่อสารสื่อความหมายสรปุ ผล และ
นาเสนอได้อย่างถูกต้องชดั เจน
5.3 คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ (A)
1) มีวินัย (ปฏิบัตติ นตามขอ้ ตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบ และขอ้ บังคบั น้นั เรยี น)
2) ใฝเ่ รียนรู้ (ต้งั ใจเรยี น และสนใจเขา้ รว่ มกิจกรรมการเรยี นรตู้ ่างๆ)
3) ม่งุ มั่นในการทางาน (ตง้ั ใจ และรบั ผดิ ชอบในการปฏิบตั หิ นา้ ทท่ี ีไ่ ด้รบั มอบหมาย)
6. ชนิ้ งานหรอื ภารงาน (หลกั ฐาน/ร่องรอยแสดงความร)ู้
1) แบบฝกึ หัดในหนังสอื แบบฝึกหัดรายวชิ าพ้นื ฐานคณิตศาสตร์ ป.6 เลม่ 1
7. การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้
สิ่งท่ีต้องการวดั วธิ ีวัด เครือ่ งมือวดั เกณฑ์การประเมิน
1. ดา้ นความรู้ แบบฝกึ หัด แบบฝกึ หัด 70% ขึน้ ไปถอื ว่าผา่ น
เกณฑ์การประเมิน
2. ดา้ นทกั ษะ สังเกตพฤตกิ รรมดา้ น แบบสงั เกตพฤตกิ รรมดา้ น นกั เรยี นไดค้ ะแนนระดบั
กระบวนการ ทกั ษะกระบวนการ ทักษะกระบวนการ คุณภาพคณุ ภาพดีข้นึ ไป
3. ด้านคุณลกั ษณะทพ่ี ึง สังเกตพฤติกรรมดา้ น แบบสังเกตพฤติกรรมด้าน นกั เรยี นไดค้ ะแนนระดบั
ประสงค์ คุณลักษณะทพี่ ึง คุณลกั ษณะทพ่ี งึ ประสงค์ คุณภาพดขี ึ้นไป
ประสงค์
เกณฑ์การใหค้ ะแนนด้านทักษะกระบวนการ
พฤติกรรมบ่งช้ี ตา่ (1) ปานกลาง (2) สูง (3) สูงมาก (4)
1. นกั เรยี นสามารถ มรี อ่ งรอยในการ สามารถทาความ สามารถทาความเขา้ ใจ สามารถทาความเขา้ ใจ
แก้ปัญหาได้ ดาเนินการ เขา้ ใจปญั หาคดิ ปัญหาคดิ วิเคราะห์ ปญั หาคิดวเิ คราะห์
1.1 สามารถทาความเขา้ ใจ แก้ปัญหาบางสว่ น วเิ คราะห์และ วางแผนแก้ปญั หาและ วางแผนแก้ปัญหา
ปัญหาคดิ วเิ คราะห์วางแผน วางแผนแก้ปญั หา เลือกใชว้ ิธกี ารที่ เลอื กใชว้ ิธีการท่ี
แกป้ ญั หาและเลือกใช้วิธกี าร เหมาะสมโดยคานึงถงึ เหมาะสมโดยคานึงถงึ
ท่ีเหมาะสมโดยคานึงถงึ ความ ความสมเหตุสมผลของ ความสมเหตสุ มผลของ
สมเหตุสมผลของคาตอบ คาตอบ คาตอบพร้อมทงั้
พรอ้ มท้งั ตรวจสอบความ ตรวจสอบความ
ถกู ตอ้ ง ถูกตอ้ ง
2. นกั เรยี นสามารถสือ่ สาร สามารถใชร้ ปู สามารถใชร้ ปู ภาษา สามารถใชร้ ูปภาษา สามารถใชร้ ูปภาษา
และสอ่ื ความหมายทาง ภาษาและ และสญั ลักษณท์ าง และสัญลักษณท์ าง และสญั ลักษณท์ าง
คณติ ศาสตร์ได้ สญั ลักษณ์ทาง คณติ ศาสตร์ในการ คณติ ศาสตร์ในการ คณติ ศาสตรใ์ นการ
3.1 สามารถใชร้ ูปภาษาและ คณติ ศาสตร์อยา่ ง สอ่ื สารส่อื ความหมาย สอื่ สารสื่อความหมาย สอ่ื สารสื่อความหมาย
สัญลกั ษณท์ างคณติ ศาสตร์ งา่ ยในการส่ือสาร และสรปุ ผล และสรุปผลถูกต้อง สรปุ ผลและนาเสนอได้
ในการสอื่ สารสอื่ ความหมาย ส่อื ความหมาย ชดั เจน อย่างถูกตอ้ งชดั เจน
สรปุ ผลและนาเสนอไดอ้ ย่าง และสรุปผล
ถกู ตอ้ งชัดเจน