ศูนย์วัฒนธรรมผ้าทอไทลื้อ
อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา
กับการเติบโตของผ้าทอ
พุทธศั กราช 2531-2565
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book)
เรื่อง ศูนย์วัฒนธรรมผ้าทอไทลื้อ
ตำบลหย่วน อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา
กับการเติบโตของผ้าทอ
โดย
นางสาวสิดาพร ผลเจริญ
มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่
อาจารย์ที่ปรึกษา
อาจารย์ ดร.ธรรศ ศรีรัตนบัลล์
ก
คำนำ
ชาวไทลื้อเป็นกลุ่มผู้คนที่มีความรู้สึกรักและหวงแหนในความเป็นวัฒนธรรมชนเผ่าของ
ตนสูง ซึ่งเอกลักษณ์ที่เป็นที่รู้จักและโดดเด่นของชาวไทลื้อคือรูปแบบการแต่งกายที่เป็นผ้า
ทอ ดังนั้นจึงต้องการสืบทอดภูมิปัญญาคือผ้าทอและรูปแบบของการแต่งกายที่มีความเป็น
เอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใคร เพราะด้วยวัฒนธรรมเครื่องแต่งกายนี้เองเป็นส่วนหนึ่ง
ทำให้ชาติพันธุ์ไทลื้อมีความเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมในภาคเหนือไม่เสื่อมคลาย
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) เรื่อง ศูนย์วัฒนธรรมผ้าทอไทลื้อ ตำบลหย่วน อำเภอ
เชียงคำ จังหวัดพะเยากับการเติบโตของผ้าทอ เล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา ระเบียบวิธี
การและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ รหัสวิชา SO 3109-62 ซึ่งรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับชาวไท
ลื้อ โดยสาระสำคัญประกอบด้วยข้อมูลเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของชาวไทลื้อ วิถีชีวิต
และความเป็นอยู่ของชาวไทลื้อ รูปแบบการตั้งถิ่นฐานชาวไทลื้อ ข้อมูลด้านชุมชนตำบล
หย่วน การก่อตั้งศูนย์วัฒนธรรมไทลื้อ ซึ่งเนื้อหาหลักที่ต้องการนำเสนอคือ ผ้าทอไทลื้อ ที่
เป็นวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ในการแต่งกายของชาวไทลื้อ โดยประกอบด้วยวัสดุอุปกรณ์
ในการทอ วิธีการทำเทคนิคการทอ รูปแบบของลายผ้า ประโยชน์ของผ้าทอไทลื้อ รวมถึง
ความสำคัญและการอนุรักษณ์วัฒนธรรมของชาวไทลื้อ
ข้าพเจ้าเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) เรื่อง ศูนย์วัฒนธรรมผ้าทอ
ไทลื้อ เล่มนี้จะสามารถทำให้ผู้อ่านหรือผู้ที่สนใจเมื่อได้อ่านจะได้รับประโยชน์อย่างมาก ทั้ง
ความรู้ ความเข้าใจ และตระหนักถึงการอนุรักษณ์รักษาวัฒนธรรมในท้องถิ่นที่ตนอาศัย ไม่
ให้หายไปตามกาลเวลาและสามารถนำมาสร้างรายได้แก่ผู้คนในชุมชนและพัฒนาให้เข้ากับ
ยุคสมัยทำให้วัฒนธรรมสามารถอยู่คู่กับสังคมอย่างยั่งยืนอีกด้วย และข้าพเจ้าหวังว่าหนังสือ
อิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้จะสร้างความตระหนักหรือประโยชน์แก่สังคมหรือประเทศชาติไม่มากก็
น้อยที่จะเห็นถึงความสำคัญในการรักษาวัฒนธรรมในท้องถิ่นอันดีงาม
ท้ายนี้ข้าพเจ้าขอขอบพระคุณอาจารย์ ดร.ธรรศ ศรีรัตนบัลล์ และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ทุก ๆ ท่านที่มีความกรุณาให้คำปรึกษาชี้แนะแนวทางการหาข้อมูลและวิธีจัดทำหนังสือ
อิเล็กทรอนิกส์(E-book) เรื่อง ศูนย์วัฒนธรรมผ้าทอไทลื้อ ตำบลหย่วน อำเภอเชียงคำ
จังหวัดพะเยากับการเติบโตของผ้าทอ ซึ่งเป็นเอกสารประกอบการสอนฉบับนี้ ทำให้สำเร็จ
ลุล่วงเสร็จสิ้นไปได้ด้วยดี
นางสาวสิดาพร ผลเจริญ
รหัสนักศึกษา 63161643
ข
สารบัญ หน้ า
เรื่อง 1-3
4-5
ประวัติความเป็นมาของชาวไทลื้อ
ชุมชนไทลื้อในภาคเหนือของประเทศไทย 6
ชุมชนไทลื้อในจังหวัดพะเยา 7
วิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของชาวไทลื้อ อำเภอเชียงคำ 8
รูปแบบการตั้งถิ่นฐานชาวไทลื้อตําบลหย่วน 9
ข้อมูลด้านชุมชนตำบลหย่วน อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา 10
การก่อตั้งศูนย์วัฒนธรรมไทลื้อ ตำบลหย่วน 11-12
อัตลักษณ์ด้านวัฒนธรรมการแต่งกายของชาวไทลื้อ 13
ความเป็นมา-จุดเริ่มต้นการทอผ้าของชาวไทลื้อ ตำบลหย่วน 14-15
วัฒนธรรมผ้าทอไทลื้อ ตำบลหย่วน อำเภอเชียงคำ
16
- เอกลักษณ์ที่สะท้อนภูมิปัญญาของผ้าทอไทลื้อ
- ลวดลายผ้าทอที่เป็นเอกลักษณ์สำคัญของชาวไทลื้อ
จุดเด่นผ้าทอไทลื้อของชาวไทลื้อ ตำบลหย่วน
สารบัญ (ต่อ)
เรื่อง หน้ า
วิธีการและเทคนิคในการทอผ้าของชาวไทลื้อ 17- 27
- อุปกรณ์ในการผลิตเส้นด้าย
- วิธีการผลิตเส้นด้าย
- สีที่ใช้บนผืนผ้าทอไทลื้อโบราณ
- วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการทอผ้าไทลื้อ
วิธีการผลิตผ้าทอไทลื้อ 28
เทคนิคการทอผ้าที่โดดเด่นของผ้าทอไทลื้อ อำเภอเชียงคำ 29
ลายผ้าทอไทลื้อ 30-34
ผ้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน 35-36
ผ้าที่ใช้ในพิธีกรรม 37
ผ้าในความเชื่อความศรัทธาผ้าในพิธีกรรมทางศาสนา 38-39
- หอผ้าไทลื้อเชียงคำ
ข้อมูลด้านผลประกอบการของกลุ่มทอผ้าไทลื้อ ตำบลหย่วน 40-41
ปัจจัยเงื่อนไขที่ส่งเสริมและสนับสนุนการดำรงอยู่ของผ้าทอไทลื้อ 42-44
เอกสารอ้างอิง 45-46
อ้างอิงรูปภาพ 47-49
ภาคผนวก 50-56
1
ป ร ะ วั ติ ค ว า ม เ ป็ น ม า ข อ ง ช า ว ไ ท ลื้ อ
ไทลื้อ หรือกลุ่มชนที่เรียกตัวเองว่า “ลื้อ” เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่พูดภาษา
ตระกูลไท ไทลื้อหรือไตลื้ออาศัยอยู่ในเขตสิบสองปันนาทางตอนใต้ของ
มณฑณยูนนาน ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งอยู่ระหว่างเส้นละติจูด
ที่ 21 31-22 30 เหนือและลองติจูดที่ 100-101 30 ตะวันออก มีพื้นที่
ประมาณ 25,000 ตารางกิโลเมตร พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขา มีที่ราบแคบแคบ
อยู่ตามหุบเขาและลุ่มแม่น้ำอันเป็นบริเวณที่อยู่อาศัยและที่ทำมาหากินของ
ชาวไทลื้อ ซึ่งมีวัฒนธรรมด้านการเพาะปลูก โดยเฉพาะการทำนาในที่ลุ่มเช่น
เดียวกับคนไทยทั่วไป แม่น้ำโขงเป็นแม่น้ำสายสำคัญที่ไหลผ่านดินแดนสิบ
สองปันนา ชาวไทลื้อเรียกว่าแม่น้ำของ ส่วนจีนเรียกว่า แม่น้ำล้านช้างและ
เรียกชาวไทลื้อว่า ไพอิ (PA1-1) หรือเสียวไพอิ (SHUI-PAI-1)
2
เดิมดินแดนสิบสองปันนาจัดการปกครองเป็นระบบปันนา โดย
การแบ่งหัวเมืองออกเป็นกลุ่ม ๆ ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการจัดเก็บ
ส่วยและผลประโยชน์ของรัฐ โดยแบ่งออกเป็น 12 ปันนา ประกอบ
ด้วยปันนาเมืองล่า ปันนาเมืองพง ปันนาเชียงตอง ปันนาอีงู ปันนาคู
เหนือ อุใต้ ปันนาอีอู ปันนาเมืองหลวง ปันนาเมืองฮาย ปันนาเมือง
หน ปันนาเมืองแจ้ ปันนาเมืองงาด และปันนาม่อนด่าน โดยมีพระเจ้า
แผ่นดินเป็นประมุข เรียกว่า เจ้าฟ้าแสนหวี ประทับอยู่ที่เมืองเชียงรุ่ง
ปกครองดินแดนสิบสองปันนาสืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยพระยาเจิง เมื่อ
พ.ศ. 1723 รวมทั้งสิ้น 44 พระองค์
นอกจากนี้ชาวไทลื้อยังอาศัยอยู่ในบริเวณภาคตะวันออกของ
รัฐฉาน ประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมแห่งสหภาพพม่าอยู่ในเขต
เมืองยอง บางส่วนตั้งถิ่นฐานอยู่ทางภาคเหนือของประเทศ
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว แถบภาคตะวันออกของ
แคว้นพงสาลี หลวงน้ำทา เมืองสิง ยังมีหมู่บ้านไทลื้อกระจายอยู่ตาม
ลุ่มแม่น้ำทาและลุ่มน้ำแยงเหนือของเมืองหลวงของแม่น้ำดำตามแนว
ชายเดนที่ติดต่อกับจีน
3
แผนที่ สิบสองปันนา
แผนที่
สังเขปแสดงเส้นทาง
การอพยพของไทลื้อ
ชุมชนไทลื้อในภาคเหนือของประเทศไทย 4
ในปัจจุบันชาวไทลื้ อได้กระจายตัวกัน
ตั้งถิ่นฐานอยู่ในจังหวัดต่างๆ ในภาค
เหนือ
จังหวัดเชียงใหม่
ชุมชนไทลื้ ออยู่ที่บ้านเมืองหลวง
ตำบลลวงเหนือ อำเภอดอยสะเก็ด ซึ่ง
เป็นชาวไทลื้ อที่อพยพเข้ามารุ่นแรกๆ
ราวพุทธศตวรรษที่ 18 ในสมัยพระเจ้า
สามฝั่ งแกนและบ้านแม่สาบ อำเภอ
สะเมิง นอกจากนี้ยังมีหมู่บ้านไทลื้อที่
อำเภอสันกำแพง และอำเภอสันทราย
จังหวัดลำพูน
เป็นจังหวัดที่มีชาวไทลื้ ออพยพเข้า
มาตั้งถิ่นฐานมากที่สุด ส่วนใหญ่อพยพ
มาจากเมืองยอง ตั้งหมู่บ้านอยู่ในเขต
อำเภอเมือง อำเภอป่าซาง อำเภอบ้าน
โฮ้ง อำเภอแม่ทา อำเภอลี้ และกึ่งอำเภอ
ทุ่งหัวช้าง
5
จังหวัดเชียงราย
มีชาวไทลื้อ มีบ้านห้วยเม็ง บ้านท่าข้าม และบ้านศรีดอนไชย ในเขต
อำเภอเชียงของและบ้านสันบุญเรือง อำเภอเม่สาย บ้านโป่งแดง ตำบล
ห้วยทรายขาวและบ้านกล้วยแม่แก้ว ตำบลสันมะเด็ด อำเภอพาน
จังหวัดพะเยา
มีชาวไทลื้ ออาศัยอยู่เป็นจำนวนมากที่อำเภอเชียงคำ
และอำเภอเชียงม่วน
จังหวัดน่าน
มีหมู่บ้านไทลื้ อกระจายอยู่ทั่วไปในเขตอำภอเมือง
อำเภอท่าวังผา อำเภอปัว อำเภอเชียงกลาง
จังหวัดแพร่
ชาวไทลื้ออาศัยอยู่ตำบลบ้านถิ่น อำเภอเมืองแพร่
จังหวัดลำปาง
มีหมู่บ้านไทลื้ออยู่ที่ตำบลกล้วยแพะ อำเภอเมืองลำปาง 5 หมู่บ้าน
ได้แก่ บ้านกล้วยหลวง บ้านกล้วยแพะ บ้านกล้วยฝาย บ้านกล้วยกลาง
และบ้านกล้วยม่วง
6
ชุมชนไทลื้อในจังหวัดพะเยา
ปัจจุบันมีการพบชุมชนไทลื้อกระจายอยู่ในจังหวัดต่างๆ ทางภาค
เหนือ ซึ่งจังหวัดพะเยามีชาวไทลื้ออาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉ
พาะอําเภอเชียงคําซึ่งมีจํานวนประชากรไทลื้อทั้งหมด 19,654 คน
และมีจํานวนหมู่บ้านทั้งสิ้น 134 หมู่บ้านกระจายทั่วอำเภอเชียงคํา ไท
ลื้อเชียงคําที่มีแหล่งตั้งถิ่นฐานในอําเภอเชียงคํา จังหวัดพะเยา อพยพ
มาจาก 1.เมืองพง ซึ่งอยู่ทางตอนใต้สุดของแคว้นสิบสองปันนาติดกับ
ดินแดนเมืองสิงห์อินโดจีน 2.เมืองมาง อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ไป
ตามลำน้ำมาง เมืองพงเป็นเมืองขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียง
เหนือเชื่อมโยงกับเมืองชายแดนอื่นๆ ของมณฑลยูนนาน ตอนใต้ติดกับ
เขตรัฐฉานและเมืองเงินตั้งอยู่แขวงไชยะบุรี ประเทศลาว หลังจากนั้น
มีการพบชาวไทลื้อตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณตำบลหย่วน ได้แก่ บ้านหย่วน
บ้านธาตุ บ้านแดนเมือง และบ้านมาง ตำบลเชียงบาน ได้แก่ บ้านเชียง
บาน บ้านแพด บ้านทุ่งหมอก บ้านเชียงคาน และสุดท้ายตำบลฝาย
กวาง ได้แก่ บ้านหนองลื้อ การตั้งถิ่นฐานของชาวไทลื้อในอำเภอเชียง
คําจะเลือกตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณแม่น้ำลาวและห้วยแม่ต๋ำที่ไหลมา
บรรจบกันกับแม่น้ำแวน ปัจจุบันชุมชนได้กระจายตัวออกไปอยู่อีกฝาก
หนึ่งของห้วยแม่ต๋ำ เนื่องจากอำเภอเชียงคํา จังหวัดพะเยา เป็นอำเภอ
ที่พบกลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อมากที่สุด
วิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของชาวไทลื้อ 7
อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา
ชาวไทลื้อได้อพยพมาจากทางตอนใต้ของจีน ซึ่งอาจจะมารวม
กันเป็นพวก เพราะสาเหตุทางการเมือง หรืออาจจะเป็นการย้าย
แหล่งที่ทำมาหากินไปในที่ที่สะดวกสบายกว่า หรือพบแหล่งใหม่ที่มี
ความอุดมสมบูรณ์กว่าเก่า ชาวไทลื้อจากแคว้นสิบสองปันนามาอยู่
ในจังหวัดต่าง ๆ ทางภาคเหนือตอนบนของประเทศไทยมีหมู่บ้าน
ชาวไทลื้อกระจัดกระจายอยู่ในเขตจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง
น่าน เชียงราย และพะเยา โดยเฉพาะอำเภอเชียงคำ มีเชื้อสายมา
จากเมืองพง เมืองบาง เมืองหย่วน เมืองปาง เมืองแพด และเมืองล้า
ในสิบสองปันนา และได้นำเอาชื่อหมู่บ้านเดิมมาจากสิบสองปันนา
มาเป็นชื่อหมู่บ้านที่ตนอาศัยอยู่ใหม่ เช่น เมืองหย่วน เมืองมาง
เมืองพง ทุ่งมอก ฯลฯ
ภาษาพูดของชาวไทลื้อเชียงคำจะมีสำเนียงการพูดต่างกัน
ทุกหมู่บ้าน คือ เพี้ยนกันเล็กน้อย จึงต้องใช้ความสังเกตแล้วจะ
ทราบความแตกต่างกัน ชาวไทลื้อนับถือศาสนาพุทธเป็นส่วนใหญ่
และถือปฏิบัติต่อกันมาอย่างเคร่งครัด
รู ปแบบการตั้งถิ่ นฐานชาวไทลื้อ 8
ตําบลหย่วน อําเภอเชียงคํา จังหวัดพะเยา
รูปแบบการตั้งถิ่นฐานชาวไทลื้อมีลักษณะการตั้งถิ่นฐานอยู่ตาม
ริมฝั่ งแม่น้ำลาว แต่ตําบลเชียงบานมีลักษณะการตั้งถิ่นฐานตาม
แม่น้ำแวน ซึ่งรูปแบบการกระจายตัวจะเรียงรายไปตามริมฝั่ งแม่น้ำ
ภาพการตั้งถิ่นฐานชาวไทลื้อตําบลหย่วน อําเภอเชียงคํา จังหวัดพะเยา
การก่อตั้งศูนย์วัฒนธรรมไทลื้อ 9
ตำบลหย่วน อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา
ศูนย์วัฒนธรรมไทลื้อ ตั้งอยู่ที่วัดหย่วน เริ่มก่อตั้งในปี 2536 ด้วยความ
ประสงค์ของท่านพระครูสุภัทร พรหมคุณ เจ้าอาวาสวัดหย่วน ที่ต้องการให้
กลุ่มทอผ้าในหมู่บ้านย้ายไปทอผ้าในวัดหย่วน เพื่อเป็นการอนุรักษ์และฟื้ นฟู
การทอผ้า เนื่องจากการทอผ้าได้เริ่มสูญหายไปจากในหมู่บ้าน และในช่วง
เวลานั้น ท่าน ส.ส. ลัดดาวรรณ วงศ์ศรีวงศ์ โฆษกของรัฐบาลนายก รัฐมนตรี
อานันท์ ปัญญารชุน ซึ่งเป็นคนบ้านหย่วน ได้เข้ามาช่วยผลักดันการสร้างศูนย์
วัฒนธรรมไทลื้อ และช่วยของบประมาณจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
จำนวน 3 ล้าน ในการสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ วัตถุจัดแสดงส่วนใหญ่ได้มาจาก
ผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านที่บริจาคให้แก่ศูนย์วัฒนธรรมไทลื้อ
แต่ด้วยเวลาเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา ศูนย์วัฒนธรรมไทลื้อถูกปิดไปอย่าง
ชั่วคราว เพราะขาดผู้เข้ามาดูแลอย่างเป็นทางการ และได้กลับมาเปิดอีกครั้ง
เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2555 โดย อาจารย์หทัยทิพย์ เชื้อสะอาด อาจารย์ผู้มี
จิตอาสา และเป็นผู้นำชมครั้งนี้ด้วย อาจารย์ได้ใช้เวลาว่างหลังเกษียณเข้ามา
ช่วยดูแลศูนย์วัฒนธรรมไทลื้อแห่งนี้ได้เปิดดำเนินการต่อไป เนื่องจากศูนย์
วัฒนธรรมไทลื้อไม่ได้ดูแลมาหลายปี ทำให้ประตู หน้าต่าง และไฟต่าง ๆ เริ่ม
ชำรุดเสียหาย จิตอาสาและคนในหมู่บ้านจึงได้เข้ามาช่วยกันจัดวาง ตกแต่ง
ภายในกันใหม่อีกครั้ง แต่ยังขาดตู้กระจกในการจัดแสดงและความรู้เรื่องการ
ถนอมวัตถุต่างๆ ที่ใช้จัดแสดงแต่ในปัจจุบันได้ประชาสัมพันธ์กับทางเทศบาล
เชียงคำ และสมาคมไทลื้อให้ช่วยเข้ามาดูแลศูนย์วัฒนธรรมไทลื้ออีกทางหนึ่ง
ศูนย์แห่งนี้เป็นศูนย์แสดงผลงานทางศิลปวัฒนธรรมและฝึกอาชีพของ
ชาวไทยลื้อ โดยเฉพาะผ้าของชาวไทยลื้อที่มีลวดลายและสีสันสดใส เช่น ลาย
ดอกขอเครือ ลายดอกขอ ลายม้า ลายดอกตั้ง
10
ภาพ ท่านพระครูสุภัทร พรหมคุณ
เจ้าอาวาสวัดหย่วน ตําบลหย่วน
ภาพ อาจารย์หทัยทิพย์ เชื้อสะอาด
อัตลักษณ์ ด้านวัฒนธรรม 11
การแต่งกายของชาวไทลื้อ อำเภอเชียงคำ
การแต่งกายของชาวไทลื้อเป็นแบบกลุ่มเมืองที่อยู่ฟากตะวันออกของแม่น้ำโขงใน
เขตสิบสองปันนา ซึ่งถือเป็นรูปแบบหลักมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง การสืบทอด
วัฒนธรรม ประเพณี การแต่งกาย การเย็บปักถักทอ งานศิลปกรรมต่าง ๆ ของไทลื้อ
ได้ร่วมกันอนุรักษ์และสืบสานภูมิปัญญาเพื่อพัฒนาท้องถิ่นจะเห็นได้ว่าในวันสำคัญ
และเทศกาลต่างๆ ชาวไทลื้อจะต้องใส่ชุดไทลื้อกันทุกคน ผู้ชายใส่เสื้อหม้อฮ้อม
คอกลม กางเกงเปาโย่ง ผู้หญิงใส่เสื้อปั๊ ดสีดำหรือสีหม้อฮ่อมแขนยาวแต่ปัจจุบันได้มี
การประยุกต์ชายเสื้อให้มีแถบเป็นริ้วหลายสี สาบเสื้อก็จะแถบริ้วลงมาจากเอว ถ้า
สังเกตได้ดีเสื้อปั๊ ดในอดีตจะไม่มีกระดุมเพราะในอดีตการติดต่อค้าขายไม่สะดวก ไม่รู้
ว่าจะเอากระดุมมาจากไหนก็เลยทำเป็นเชือกผูกตรงเอวทั้งสองข้าง สาบคอค่อนข้าง
ใหญ่ เวลาสวมสาบจะแนบติดตั้งแต่คอจนถึงหน้าอกอย่างมิดชิด
12
ปัจจุบันได้พัฒนาการตัดเย็บสาบคอให้เล็กลง เวลาสวมใส่จะได้ไม่ค้ำคอมากซึ่งจะทำให้ไม่
อึดอัด ทั้งนี้เพื่อจะได้ปรับเข้ากับสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยซึ่งเป็นเมืองร้อนและให้คนรุ่น
หลังได้สวมใส่ได้อย่างมั่นใจแต่ก็ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ไทลื้ออยู่
ส่วนผ้าถุงไทลื้อแบบดั้งเดิมนั้นจะมีลายขวาง ช่วงกลางตัวธรรมดาจะสลับสีกัน ต่อมาได้
พัฒนาขึ้นโดยคิดลายเพิ่มเติมให้มีสีสันสวยงามทำเป็นลายเกาะผักแว่น เกาะดอกยกมุก และ
ลายน้ำไหลถือเป็นการรำลึกถึงการอพยพของชาวไทลื้อซึ่งได้พักอาศัยอยู่ตามริมน้ำโขงขณะที่
เกิดการอพยพจากสิบสองปันนาเรื่อยลงมาจนถึงที่พักอาศัยในปัจจุบันซึ่งถือว่าเป็นการอพยพ
คล้ายกับกระแสน้ำไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ มีลักษณะคดเคี้ยวไม่มีทิศทางแน่นอนจึงถ่ายทอดออก
มาเป็นลวดลายบนผืนผ้าทอเพื่อเป็นการรำลึกถึงอดีตที่เคยเดินทางเหมือนลำน้ำโขงที่ไหลมา
จากสิบสองปันนา
ความเป็นมา-จุดเริ่มต้นการทอผ้าของชาวไทลื้อ 13
ตำบลหย่วน อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา
เนื่องจากชาวไทลื้อรู้สึกรักและหวงแหนในความเป็นวัฒนธรรมของชนเผ่าที่ต้องการสืบทอด
ภูมิปัญญาผ้าทอและรูปแบบของการแต่งกายที่มีความเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใคร เพราะ
ด้วยวัฒนธรรมเครื่องแต่งกายนี้เองเป็นส่วนหนึ่งทำให้ชนเผ่าไทลื้อยังมีความสำคัญในสังคมทางภาค
เหนือไม่เสื่อมคลาย ดังนั้น ด้วยรูปแบบของเสื้อผ้าทั้งผู้ชายและผู้หญิงจากต้นแบบโบราณ ประยุกต์ให้
เข้ากับยุคสมัยในปัจจุบันยังคงรักษารูปลักษณ์เดิมเป็นส่วนใหญ่ให้มีความแตกต่างอย่างเป็นเอกเทศ"
ชาวไทลื้อในอดีตส่วนใหญ่นิยมปลูกฝ้ายไว้ทอใส่เอง ฝ้ายเป็นเส้นใยที่มีเสน่ห์ด้วยด้วยความ
งามที่เรียบง่าย สัมผัสแล้วนุ่มนวล ให้ความอบอุ่นในฤดูหนาวโปร่งสบายระบายอากาศได้ดีไม่ร้อนใน
ฤดูร้อน ทำให้สวมใส่ได้ทุกฤดูกาล ด้วยสีสันที่อ่อนโยนเย็นตาไม่ฉูดฉาดเกินไป ทำให้ผู้นิยมความงดงาม
ที่เรียบง่ายเป็นธรรมชาติ ชื่นชอบในเสน่ห์ของผ้าฝ้าย ฝ้ายที่ปลูกมี 2 ชนิด คือ ฝ้ายขาว และ ฝ้ายตุ่น
ฝ้ายตุ่นนั้นไม่ต้องย้อมสีเป็นสีที่ได้จากธรรมชาติอยู่ในตัวฝ้ายเอง คือ เป็นสีกากีอ่อน ๆ หรือสีโอ
วัลติน ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพดินฟ้าอากาศและฤดูกาลด้วย ปัจจุบันนี้มีการปลูกฝ้ายได้ลดลงบ้าง เพราะ
สภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยแต่ก็ไม่ถึงกับหมดไปในหมู่บ้านไทลื้อยังมีใช้กันอยู่ ต่อมาได้จัดตั้งเครือ
ข่ายขยายการปลูกฝ้าย ผลิตเส้นใย บางหมู่บ้านก็ทอผ้าและย้อมสีด้วยวัสดุธรรมชาติที่เหลือใช้ในท้อง
ถิ่นซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมแต่อย่างใด
วัฒนธรรมผ้าทอไทลื้อ 14
ตำบลหย่วน อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา
เอกลักษณ์ที่สะท้อนภูมิปัญญาของผ้าทอไทลื้อ ตำบลหย่วน
อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา
วัฒนธรรมผ้าทอไทลื้อในจังหวัดพะเยานั้นมีลักษณะโดดเด่นเฉพาะตัวที่แตก
ต่างจากไทลื้อในจังหวัดอื่นๆ แม้ว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์ กล่าวถึงการอพยพ
ของชาวไทลื้อ กลุ่มนี้ว่า มาพร้อมกับชาวไทลื้อที่อาศัยอยู่ในจังหวัดน่าน แต่ลักษณะ
ผ้าทอของชาวไทลื้อในอำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยามีลักษณะแตกต่างจากผ้าทอ
ของชาวไทลื้อในจังหวัดน่าน ผ้าซิ่นของไทลื้อเชียงคำ มีโครงสร้างตามแบบ
มาตรฐานของซิ่นตา และมีผ้าซิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น คือ ซิ่นที่มีลายตกแต่ง
ขนาดเล็กตรงกลางตัวซิ่น ซึ่งทอด้วยเทคนิคเกาะ ลักษณะคล้ายสายน้ำ แต่เรียกกัน
ว่า “ลายผักแว่น”
ผ้าซิ่นของผู้หญิงไทลื้อ โดยเฉพาะ “ซิ่นตา” เป็นผ้าซิ่นที่มี 2 ตะเข็บ และมี
โครงสร้างประกอบด้วย 3 ส่วนแยกจากกัน คือ หัวซิ่นสีแดง ตัวซิ่นลายขวางหลากสี
ต่อท้ายด้วยตีนซิ่นสีดำ ทั้งหมดนี้มีความเด่นอยู่ที่ตัวซิ่น ซึ่งผู้ทอจะทำให้เกิดเป็นริ้ว
ลายขวางสลับสีสดใส ตรงช่วงกลางมีลวดลายที่ทอด้วยเทคนิคขิด จก เกาะหรือล้วง
เป็นลายรูปสัตว์ในวรรณคดี ลายพรรณพฤกษา และลายเรขาคณิต อีกข้อสังเกตที่
เด่นชัดก็คือ ซิ่นของไทลื้อพะเยานั้น จะมีลายตกแต่งขนาดเล็กตรงกลางตัวซิ่นซึ่งทอ
ด้วยเทคนิคเกาะ ลักษณะลายคล้ายสายน้ำแต่แตกต่างเล็กน้อย บางท้องถิ่นอาจ
เรียกกันว่า “ลายผักแว่น” ซึ่งแต่เดิมชาวไทลื้อพะเยาจะใช้ ไหมลาว ที่สั่งซื้อมาจาก
ประเทศลาวโดยตรง ทอเป็นเส้นพุ่ง สลับสี มีสีที่นิยมคือสีเขียวและสีชมพูสด
วัฒนธรรมผ้าทอไทลื้อ 15
ตำบลหย่วน อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา
ลวดลายผ้าทอที่เป็นเอกลักษณ์สำคัญของชาวไทลื้อ
เอกลักษณ์ลวดลายผ้าทอไทลื้อเชียงคำ ที่สำคัญ เช่น ลายมุก ลาย
เกาะผักแว่น ลายดอกขอเครือ ลายม้า ลายดอกตั้ง เป็นต้น ในปัจจุบัน
ได้มีการประยุกต์ลวดลายเพิ่มขึ้นตามความต้องการของตลาด แต่ยังคง
ความประณีตไว้ตามแบบดั้งเดิม จุดเด่นสำคัญของการทอผ้าแบบไทลื้อ
ดั้งเดิมนั้น คือ ลักษณะลวดลายและวิธีการทอ ที่มักมีการแสดงให้เห็น
ถึงเรื่องราวความเป็นมาของชนชาติลื้อหรือบางครั้งก็ใช้เพื่อแสดง
ภูมิลำเนาและสถานภาพของผู้สวมใส่ สะท้อนเอกลักษณ์ของชาติพันธุ์
ตนเองในผ้าทอแต่ละชิ้น จนมีคำกล่าวว่า “ผ้าทอไทลื้อนั้นไม่ใช่แค่ผ้า
แต่เปรียบเสมือนสมุดภาพที่บันทึกถึงประวัติศาสตร์และความเป็นมา
ของผู้ทอผ้า เพราะ สำหรับชาวไทลื้อนั้น การทอผ้าคือสิ่งถ่ายทอด
ความเป็นมาของชนชาติเสมอ”
16
จุดเด่นผ้าทอไทลื้อของชาวไทลื้อ
ตำบลหย่วน อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา
ผ้าไทลื้อทุกเส้นใยทำมาจากฝ้ายแท้ 100% ตั้งแต่การปลูก การ
รีดเม็ดฝ้าย การตีเนื้อฝ้ายให้เข้ากันจนเนียนนุ่ม การทำเส้นใย การ
ย้อมด้วยสีธรรมชาติ การทอ และการตัดเย็บอย่างประณีต ล้วนทรง
คุณค่าที่สำคัญที่สุดในคุณสมบัติผ้าทอไทลื้อที่ไม่เหมือนใครและไม่มี
ใครเหมือน คือผ้าที่ทำจากฝ้ายจะมีคุณสมบัติพิเศษที่แสนประทับใจ
ผ้าฝ้ายเป็นผ้าที่ซับเหงื่อในฤดูร้อนสวมใส่สบายช่วยคลายร้อน ส่วน
ฤดูหนาวใส่แล้วกันหนาวได้เพราะฝ้ายมีความนุ่ม เมื่อทอให้เนื้อผ้า
แน่นทำให้เกิดความอบอุ่นนี่คือสิ่งที่พิเศษสุดของผ้าฝ้ายไทลื้อ
17
วิธีการและเทคนิ คในการทอผ้าของชาวไทลื้อ
ตำบลหย่วน อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา
อุปกรณ์ในการผลิตเส้นด้าย
1. ดอกฝ้าย
2. อีด (เครื่องแยกเมล็ดออกจากดอกฝ้าย)
18
อุปกรณ์ในการผลิตเส้นด้าย
3. เอ่อ (อุปกรณ์ในการตีฝ้ายมีลักษณะคล้ายตะกร้า)
4. ก๋ง (ก๋ง มีลักษณะคล้ายด้ามธนู)
19
อุปกรณ์ในการผลิตเส้นด้าย
5. กวง (กวง คือ อุปกรณ์ในการเก็บเส้นด้าย)
6. เป (ไม้สามขา เอาไว้สำหรับถักเปียเส้นฝ้าย)
วิธีการผลิตเส้นด้าย 20
1. เมื่อเก็บดอกฝ้ายที่แก่แล้วนำมาตากให้แห้ง แล้วเก็บ
สิ่งสกปรกออกจากดอกฝ้ายให้หมดแล้ว
2. นำดอกฝ้ายไปอีดเพื่อนำเมล็ดออก
วิธีการผลิตเส้นด้าย 21
3. นำดอกฝ้ายที่อีด (เครื่องแยกเมล็ดออกจากดอกฝ้าย)
แล้วไปตีให้แตกในเอ่อ (อุปกรณ์ในการตีฝ้ายมีลักษณะคล้าย
ตะกร้า) โดยใช้ก๋งดีด (ก๋ง มีลักษณะคล้ายด้ามธนู)
4. นำฝ้ายที่ตีแล้วมาม้วนกับไม้ให้มีลักษณะเป็นแท่ง
ยาวประมาณ 1 คืบ ( 1 หาง / ปีด )
22
วิธีการผลิตเส้นด้าย
5. นำฝ้ายที่เป็นแท่งยาวประมาณ 1 คืบมาเข้าเครื่องปั่ นด้าย
จนได้เป็นเส้นด้ายและเก็บไว้ในกวง (กวง คืออุปกรณ์ในการ
เก็บเส้นด้าย)
6. เมื่อได้เส้นด้ายในกวงในปริมาณที่พอดีแล้วนำมาเก็บอีกครั้ง
หนึ่งโดยการนำด้ายออกจากกวง และมัดปลายด้ายทั้งสองด้าน
นำด้ายที่เป็นวงกลมมาถักเป (ถักเปีย) เรียกว่าด้าย 1 ไจ
23
วิธีการผลิตเส้นด้าย
7. นำด้ายที่เป็นไจไปแช่น้ำเปล่าประมาณ 3 – 4 คืน แล้ว
บิดน้ำออก
8. วิธีการฆ่าฝ้าย ( ใช้สำหรับทำด้ายยืนหรือเครือหูก นำ
แป้งข้าวเจ้าผสมน้ำนำไปต้มให้สุก แล้วนำด้ายที่บิดน้ำออกไป
คลุกให้เข้ากันแล้วนำไปตากให้แห้ง ( ขณะที่ตากให้กระตุกเส้น
ด้าย เพื่อให้เส้นด้ายแตกกระจายจะได้เส้นด้ายที่แห้งอย่างทั่ว
ถึง และจะได้เส้นด้ายที่ตรง )
9. วิธีการย้อมด้ายพุ่ง แบบโบราณนำด้ายไจไปแช่น้ำ
ประมาณ 2 – 3 คืน นำไปล้างแล้วต้มในน้ำสีธรรมชาติที่
ต้องการ ถ้าอยากได้สีอ่อนไม่ต้องต้มนาน สีเข้มให้ต้มในน้ำสี
นานตามต้องการ แล้วนำไปล้างและตากให้แห้ง
10. วิธีการทำความสะอาดเพื่อไล่ไขมันของเส้นด้าย นำ
ด้ายที่เป็นไจแล้วนำไปต้มในน้ำเกลือแล้วนำไปซักเพื่อให้สีติด
ทนนาน
24
สี ที่ใช้บนผืนผ้าทอไทลื้อโบราณ
ในสมัยโบราณ มักนิยมใช้สีที่มาจากธรรมชาติ เช่น สีขาว
สีตุ่น สีดำ สีแดงจากนั้นได้มีวิวัฒนาการกรรมวิธีในการผลิตเพิ่ม
ขึ้น โดยการเสาะหาวัตถุดิบที่มาจากธรรมชาติ มาเพิ่มสีสันบนเส้น
ด้าย โดยการย้อมเพิ่มขึ้นมาจากเดิม เช่น สีเขียว จากใบไม้ สีอิฐ
จากดินโคลน สีน้ำตาลจากกาบมะพร้าว สีเลือกจากขมิ้น ฯลฯ หลัง
จากนั้นมีการพัฒนากรรมวิธีในการผลิตที่ซับซ้อนมากขึ้นและด้วย
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ในการผลิตมีการนำเครื่องจักรเข้า
มาช่วยในกาสร้างสีสันบนเส้นด้าย
วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการทอผ้าไทลื้อ 25
1. กี่
- แป
- ฟืม
- ลูกลอก
- เขา
วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการทอผ้าไทลื้อ 26
2. เส้นด้าย
- เครือฮูก (ด้านยืน)
- ด้ายพุ่ง
3. กระสวย
วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการทอผ้าไทลื้อ 27
4. หลอด
- หลอดเล็ก (ใช้สำหรับด้ายพุ่ง)
- หลอดใหญ่ (ใช้สำหรับด้ายยืน)
วิธีการผลิตผ้าทอไทลื้อ 28
1. หลังจากได้เส้นด้าย นำเส้นด้ายมากรอในหลอดใหญ่เพื่อทำเส้น
ยืนให้ได้ตามที่ต้องการ จากนั้นเอาหลอดด้ายที่ได้ตามขนาดแล้ว มาใส่
อุปกรณ์สำหรับเดินเส้นด้าย โดยเดินรอบเสาบ้านให้ได้ความยาวและ
จำนวนรอบตามที่ต้องการ (หน่วยวัดความยาว 4 วา เท่ากับ 1 ฮำ)
2. นำเครือฮูกที่ได้ มาขึ้นกี่แล้วก็นำเส้นด้ายมาลอดรูฟืม รู้ฟืม รูละ 2
เส้น แล้วลอดรูเขาบน 1 เส้น ล่าง 1 เส้น จนกว่าจะครบทุกรู
3. นำเส้นด้ายมาต่อหรือมัดเข้ากับไม้ฮำ (ไม้พันผ้า) จากนั้นก็เริ่มทอ
ตามลายที่ต้องการ (โดยใช้ด้ายพุง)
เทคนิ คการทอผ้าที่โดดเด่น 29
ของผ้าทอไทลื้อ อำเภอเชียงคำ
เป็นที่ประจักษ์กันโดยทั่วไปว่า ผู้หญิงไทลื้อนี้มีความสามารถในการทอผ้าด้วยเทคนิคที่
หลากหลาย ผ้าทอของชาวไทลื้อจึงมีความงดงามด้วยการผสมผสานลวดลาย และสีสันอัน
วิจิตร
เกาะ หรือ ล้วง เทคนิคการทอกล่าวได้ว่าเป็นอัตลักษณ์ของผู้หญิงไทยลื้อ คือ
เทคนิค"เกาะ" หรือ "ล้วง" เทคนิคนี้เป็นที่นิยมในการทอลวดลายผ้าซิ่นของชาวไทลื้อในแถบ
ลุ่มแม่น้ำโขงตอนบนของประเทศ สปป.ลาว ได้แก่ แขวงหลวงน้ำทา บ่อแก้ว อุดมไชย
สำหรับในประเทศไทยเป็นเทคนิคที่พบในกลุ่มไทลื้อในจังหวัดน่าน เชียงราย และพะเยา แต่
เป็นที่น่าประหลาดใจว่าไม่พบหลักฐานการทอด้วยเทคนิคนี้ในสิบสองปันนา อาจเป็นได้ว่า
องค์ความรู้เรื่องการทอด้วยเทคนิคได้สูญหายไป หรืออาจไม่เป็นที่รู้จักเลยในสิบสองปันนา
ก็ได้
เทคนิคเกาะ คือการทอผ้าให้เกิดลวดลายโดยใช้เส้นด้ายพุ่งธรรมดาหลายสีพุ่ง ย้อน
กลับไปมาเป็นช่วง ๆ ทอด้วยเทคนิคขัดสานธรรมดาแต่มีการเกาะเกี่ยวหรือผูกเป็นห่วงรอบ
ด้ายเส้นยืน เพื่อยึดเส้นพุ่งไว้แต่ละช่วง
(มิได้ใช้ได้เส้นพุงพิเศษแบบขิดหรือจก) ชาวไทลื้อส่วนใหญ่เรียกเทคนิคนี้ว่า “เกาะ” แต่มี
ชาวไทยลื้อบางแห่งที่เรียกต่างออกไปเช่นเรียกว่า “คล้อง” (ออกเสียงว่า “ก๊อง”) หรือ
“ล้วง” (ออกเสียงว่า “ลัง”) ชาวไทลื้อบางแห่งใช้วิธีเหยียบไม้บังคับเขาแล้วใช้นิ้วสอดด้าย
เส้นพุ่งจึงเรียกลวดลายที่เกิดจากการทอด้วยเทคนิคเกาะและเหยียบนี้ว่า "ดอกย่ำแป"
ขิด เทคนิคการทำลวดลายบนผืนผ้าด้วยวิธีการเพิ่มได้เส้นพุ่งพิเศษเข้าไปเช่นเดียวกับ
การจก โดยจะพุ่งเส้นด้ายจากริมผ้าด้านหนึ่งสู่ริมผ้าอีกด้านหนึ่งอีกด้านหนึ่งทำให้เกิด
ลวดลายตลอดหน้ากว้างของผืนผ้า ต่างจากการจกที่เป็นการจกเป็นการสอดด้ายพุ่งพิเศษ
เฉพาะจุดหรือเป็นช่วงๆ
จก เทคนิคการทอให้เกิดลวดลายโดยเพิ่มเส้นด้ายเส้นพุ่งพิเศษ กระทำโดยใช้นิ้วมือ
ไม้หรือขนเม่นสอดนับเส้นด้ายเส้นยืนแล้วยกขึ้นสอดใสด้ายเส้นพุ่งพิเศษเข้าไปทำให้เกิด
ลวดลายเฉพาะจุดหรือเป็นช่วงๆ และทำให้สามารถสลับสีของลวดลายได้หลากสี ต่างจา
กการขิดที่เป็นการใช้เส้นด้ายเส้นพุ่งพิเศษสีเดียวพุ่งตลอดหน้ากว้างของผืนผ้า
ยกดอก เป็นเทคนิคการทำลวดลายซึ่งเกิดจากวิธีการยกเขาแยกเส้นยืนขึ้นลง แต่ไม่
ได้เพิ่มเส้นด้ายเส้นพิเศษเข้าไปในผืนผ้า เช่น การจกหรือการขิด การยกดอกในบางครั้งจะมี
การเพิ่มได้
ลายผ้าทอไทลื้อ 30
1. ลายน้ำไหล
2. ลายผักแว่น
3. ลายดอกกรูดลง
3.1 ลายดอกกรูดขึ้น
ลายผ้าทอไทลื้อ 31
3.2 ลายดอกกรูดขึ้นลง
3.3 ลายดอกกรูดซ้อน
3.4 ลายดอกกรูดหาง
4. ลายดอกแก้ว
ลายผ้าทอไทลื้อ 32
5. ลายดอกจัน
6. ลายมุกกาบ
6.1 ลายมุกงูลอย
6.2 ลายมุกตำตา
ลายผ้าทอไทลื้อ 33
7. ลายสัตว์พญานาค
7.1 ลายม้า
7.2 ลายช้าง
ลายผ้าทอไทลื้อ 34
8. ลายผีเสื้อ
9. ลายต้นไม้มงคล
10. ลายเทวดา
ผ้าที่ ใช้ ในชี วิตประจำวัน 35
1. ผ้าปูที่นอน (ผ้าหลบ)
ใช้สำหรับคลุมที่นอน ส่วน
ใหญ่มักใช้ผ้าฝ้ายสีพื้นสีเดียว
อาจเป็นสีขาวหรือสีฝ้ายตุ่น
2. ผ้าห่ม (ผ้าห่มตำก้าว)
ใช้สำหรับคลุมห่มให้ความ
อบอุ่นแก่ร่างกาย ส่วนใหญ่
มักใช้สีแดงยกดอกลายตำ
ก้าวทั้งพื้น
3. ผ้าเช็ด
ใช้สำหรับเช็ดน้ำหมาก
เช็ดปาก ผ้าจะมีขนาดเล็ก
พกพาสะดวกส่วนใหญ่จะ
เป็นสีขาวและใช้สีอื่น
ทำลายดอก 2 มุมของชาย
ผ้า (ลายดอกของผ้าแล้วแต่
ความชอบ)
36
ผ้าที่ ใช้ ในชี วิตประจำวัน
4. ผ้าคลุมไหล (ผ้าสไบ) ส่วนใหญ่ใช้ผ้าฝ้ายสีขาวทอลายบนผ้า
แล้วแต่ความชอบ ขนาดความกว้างเท่ากับผ้าเช็ดปาก ความยาว
เท่ากับ 1 วาของผู้สวมใส่
5. มุ้งดำ (สุดดำ). ใช้สำหรับกางกันยุงกันแมลงเวลานอน
ชาวไทลื้อสร้างบ้านโดยไม่ได้แบ่งห้องนอนออกเป็นห้องๆ จึงนิยม
สร้างเป็นห้องโถงยาวแล้วนอนเรียงกันเป็นแถว จึงใช้มุ้งสีดำหรือสี
ห้อมในการพรางแสง เป็นสีพื้นฐานที่นิยมใช้กันในอดีต 1 ปีจึงจะ
ซัก1ครั้งที่ชาวไทลื้อนิยมใช้มุ้งสีดำเนื่องจากมุ้งสีดำหรือสีห้อมนั้น
ดูไม่ค่อยสกปรก และสีดำทำให้ทึบแสงจึงให้ความอบอุ่นได้ดี
ผ้าที่ใช้ในพิธีกรรม 37
1. ตุง ใช้สำหรับงานมงคล หรืองานวันสำคัญทางศาสนา
ชาวไทลื้อมีความเชื่อที่ว่า หากได้ถวายตุง จะส่งผลบุญหลังความ
ตายให้หลุดพ้นจากนรกและเกาะชายตุงขึ้นสวรรค์ ประเภทของ
ตุงมีดังนี้
1.1 ตุงใหญ่ (ตุงหลวง) ใช้สำหรับงานมงคล ถวายในวัน
สำคัญทางประเพณีและศาสนาหรือวันพญาวัน ถวายเสร็จแล้ว
จะใช้แขวนในวิหาร ลายบนตุงใหญ่ จะให้ลายปราสาท ลายต้นไม้
ลายเทวดา ลายผีเสื้อ และลายสัตว์
1.2 ผ้าเช็ดหลวง มักจะทอคล้ายกับตุงใหญ่ แต่จะย่อขนาด
ความยาวลงเท่ากับ 1 ศอก ความกว้างจะกว้าง 2 เท่าของตุงใหญ่
มักจะใช้สำหรับประดับตกแต่งหน้าแท่นพระประธานทั้ง 2 ข้าง
ภายในวิหาร ส่วนใหญ่มักจะนิยมถวายกันในวันพญาวัน
2. ผ้าเพดาน คือ ผ้าที่ใช้สำหรับคลึงบนศีรษะพระประธาน
เนื่องจากอดีตวัดไม่มีโบสถ์ วิหาร จึงต้องนำผ้าเพดานไปคลึง
กันแดดกันฝนแทนหลังคา
ผ้าในความเชื่อความศรัทธา 38
ผ้าในพิธีกรรมทางศาสนา
หอผ้าไทลื้อเชียงคำ
หอผ้า หรือ มณฑป คำว่า หอผ้า เป็นชื่อเรียกเรือนสมมุติพิเศษที่สร้างด้วย
ไม้ไผ่หุ้มด้วยผ้าขาว (ผ้าฮำขาว) มีลักษณะคล้ายปราสาทของชาวล้านนา ชาวไท
ลื้อในอำเภอเชียงคำ ยังคงรักษาความเชื่อการถวายทานหอผ้านี้ ตั้งแต่อดีตจนถึง
ปัจจุบัน นิยมสร้างหอผ้า 2 เหตุการณ์เท่านั้น คือ
1. การตั้งธรรม หรือการตานธรรม คือ การเทศนาธรรมของพระสงฆ์
โดยใช้หอผ้าเป็นธรรมาสน์สำหรับให้พระสงฆ์และสามเณรนั่งแสดงธรรม (อ่าน
ธรรม) แต่เดิมชาวไทลื้อมีการตั้งธรรม ปีละ 2 ครั้ง ปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนไป
ตามประเพณีนิยมของชาวล้านนา เพื่อให้สอดคล้องกับสังคมและชุมชน จึง
กำหนดตั้งธรรมประเพณี ปีละ 1ครั้ง ระหว่างเดือน มกราคม - มีนาคม เมื่อถึงวัน
กำหนดจะตั้งธรรมทางวัด และชาวบ้านจะสร้างหอผ้าเพื่อให้ผู้ที่ประสงค์จะเป็น
เจ้าภาพอุทิศให้คนตาย ตามความเชื่อที่ว่าถ้าได้ถวายปราสาทหอผ้าเพื่ออุทิศไป
ให้แก่ผู้วายชนม์โดยเฉพาะบุพการี หรือญาติผู้ใหญ่จะทำให้ผู้วายชนม์ได้ฟังพุทธ
รรมศาสนาของพระพุทธเจ้า แล้วจะมีชีวิตหลังความตายที่ดีขึ้น มีปราสาทเป็นที่
อยู่อาศัยในสรวงสวรรค์ การสร้างหอผ้าใช้ไม้ไผ่ หุ้มด้วยผ้าขาว สำหรับผ้าขาวที่
ใช้หุ้มตัวปราสาทนั้น ถือคติที่ว่าผ้าขาวเป็นผ้าบริสุทธิ์สมัยโบราณใช้ผ้าฝ้ายปั่ น
มือทอเองตกแต่งด้วยไม้แกะสลักจากไม้เนื้ออ่อน เช่น ไม้ปอ ไม้งิ้ว หรือกาบ
กล้วยให้สวยงาม นำข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นต่างๆ สำหรับคนตายมาใส่ในหอ
ผ้า และมีเครื่องไทยทานวางไว้อย่างเหมาะสม มีการประดับด้วยผ้าเช็ดน้อยและ
ตุง การตานตุงให้แก่ผู้ตายซึ่งบนผืนตุงนี้จะทอเป็นรูปปราสาท ส่วนหางตุงจะมี
ไม้เล็กๆ มาสอดทำเป็นบันไดตามความเชื่อของชาวไทลื้อที่ว่า “คนตายอาจจะ
ตกอยู่ในนรกหรือภพภูมิที่ไม่น่าอยู่ก็จะเกาะชายตุงขึ้นสวรรค์ มีปราสาทซึ่งเป็นที่
อยู่อาศัยที่ทุกคนปรารถนา”
2. ในประเพณีงานศพ เมื่อบุพการีหรือญาติผู้ใหญ่ อายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป
เสียชีวิตชาวไทลื้อนิยมสร้างหอผ้าอุทิศให้กับคนตาย เพื่อใช้เป็นวิมานที่พักอาศัย
ในสรวงสวรรค์เพราะเชื่อว่าผู้ตายจะได้ขึ้นสวรรค์
39
หอผ้าไทลื้อเชียงคำ
40
ข้อมูลด้านผลประกอบการของกลุ่มทอผ้าไทลื้อ
ตำบลหย่วน อำเภอเชียงคำ
41
ข้อมูลด้านผลประกอบการของกลุ่มทอผ้าไทลื้อ
ตำบลหย่วน อำเภอเชียงคำ
ผลิตภัณฑ์ผ้าทอไทลื้อบ้านหย่วนเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากฝ้ายหรือไหม
ประดิษฐ์ มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง ผ่านการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์
ชุมชน ในปี 2547 และได้รับการคัดสรรผ้าทอระดับ 5 ดาว ระดับประเทศในปี
พ.ศ. 2547 ลักษณะการผลิตส่วนใหญ่เป็นการผลิตตามคำสั่งซื้อของลูกค้า มี
รูปแบบของผลิตภัณฑ์ให้เลือกประมาณ 100 กว่าแบบ ขึ้นอยู่กับความต้องการ
ของลูกค้า ประกอบด้วย ชุดไทลื้อ เสื้อไทลื้อ ผ้าซิ่นไทลื้อ ผ้าทอไทลื้อ ผ้าคลุม
เตียง และกระเป๋าลวดลายต่าง ๆ ส่วนการกำหนดราคาสินค้าใช้วิธีการกำหนด
จากต้นทุนการผลิตเป็น ซึ่งต้นทุนการผลิตขึ้นอยู่กับความละเอียดของลวดลาย
ความสวยงามของลวดลาย ความยากง่ายในการทอ และขนาดของผลิตภัณฑ์
ในด้านช่องทางการจัดจำหน่ายทางกลุ่มได้มีการขายผ่านทางระบบ
อินเตอร์เน็ต มีการฝากขายสินค้า ณ ศูนย์อัญมณีจังหวัดพะเยา มีการฝากขาย
สินค้า ณ สนามบินจังหวัดเชียงราย มีการขายโดยระบบการขายตรงผ่านหน้า
ร้านบริเวณโรงทอผ้าของทางกลุ่ม และมีการออกบูธโชว์สินค้าในงานต่าง ๆ
เช่น งานของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม งานแสดงสินค้าที่เมืองทองธานี ในส่วน
ของการส่งเสริมการตลาดของทางกลุ่มทอผ้าได้มีการทำการโฆษณาโดยจัดทำ
โบร์ชัวร์ การส่งเสริมการขายโดยการลดราคา และการประชาสัมพันธ์โดยการ
ออกบูธแสดงสินค้า
ปัจจัย เงื่อนไขที่ส่งเสริมและสนับสนุน 42
การดำรงอยู่ของผ้าทอไทลื้อตำบลหย่วน
อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา
ปัจจัยและเงื่อนไขที่ทำให้ผ้าทอไทลื้อในตำบลหย่วนสามารถดำรงอยู่ได้ ประกอบไปด้วย
คุณค่าของ วัฒนธรรมในระบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์ 3 ด้านหลัก ดังนี้
1. คุณค่าด้านเศรษฐกิจ
ในอดีตคุณสมบัติที่ดีของแม่บ้านชาวไทลื้อต้อง
ทอผ้าเป็น เพราะการผลิตปัจจัยสี่ในการดำรงชีพจะทำ
ภายในครัวเรือนหรือในหมู่บ้านเป็นหลัก ดังนั้น
ครอบครัวที่ผู้หญิงสามารถทอผ้าที่มีคุณภาพจะเป็น
ครอบครัวที่สมบูรณ์ ชาวไทลื้อมีอาชีพหลักคือ
การเกษตร จึงมีอาหารสำหรับบริโภค ตลอดทั้งวิถีชีวิต
ของชาวไทลื้อเรียบง่าย ยามว่างผู้ชายก็จักสาน ผู้หญิง
ก็ทอผ้าจึงมีค่าใช้จ่ายในเรื่องอาหารและเครื่องแต่งกาย
เครื่องใช้สอยในครัวเรือนน้อย
ปัจจุบันจากสภาพเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมที่
เปลี่ยนแปลงไปทำให้คุณค่าของผ้าทอเปลี่ยนสถานะ
เป็นสินค้าเพื่อหารายได้ ธุรกิจการทอผ้าทำให้หลายๆ
ครอบครัวมีรายได้เพิ่มขึ้น เมื่อช่างทอมีรายได้จะแบ่ง
เป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัว เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าใช้จ่าย
ในการเล่าเรียนของบุตรหลานและการทำบุญ ผ้าที่ใช้
ในพิธีกรรมทางศาสนาที่ยังคงเหลืออยู่เด่นชัดใน
ปัจจุบัน คือ ตุง ชาวไทลื้อคงยึดมั่นและไม่เปลี่ยนแปลง
เนื่องจาก ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องตานตุง ในงานพิธีต่างๆ
จึงมีการตานตุงเป็นจำนวนมาก ชาวไทลื้อหลายๆ
ครอบครัวสามารถทอตุงได้เอง ในแง่ครัวเรือนเป็นการ
ประหยัดค่าใช้จ่าย สำหรับครอบครัวที่ไม่สามารถทอ
เองการซื้อตุงจากกลุ่มฯ สตรีทอผ้าทำให้เงินทอง
หมุนเวียนอยู่ในชุมชน และกลุ่มสตรีทอผ้าเหล่านี้ทอ
ตุงเพื่อทำบุญหรือเพื่อขายนั้นเป็นการอนุรักษ์อัต
ลักษณ์ของชาวไทลื้อ
43
2. คุณค่าด้านสิ่งแวดล้อม
ชาวไทลื้อมีวิถีชีวิตที่ใกล้ชิดธรรมชาติ
และมีความเชื่อว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ในธรรมชาติ
การดำเนินชีวิตจึงช่วยกันดูแลรักษาธรรมชาติ
สิ่งแวดล้อม และเห็นคุณค่าเห็นประโยชน์ของ
สิ่งแวดล้อม ในกระบวนการทอผ้าทุกขั้นตอนได้
มาจากธรรมชาติ ตั้งแต่อุปกรณ์และวัสดุที่ใช้ใน
การผลิต ได้แก่ ฝ้าย อุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่อง
อีด เอ่อ ก๋ง (กงดีด) กวง เปียดยิงฝ้าย เป (เปี้ ย)
กี่ ฟืม ผัง กระสวยหลอด ฯลฯ การย้อมสีฝ้าย
ก็ได้จากธรรมชาติ เช่น ได้จากพืช สัตว์ และแร่
ธาตุ แม้กระทั่งการออกแบบลวดลาย ก็เป็นการ
ออกแบบที่อาศัยธรรมชาติ เช่น ลายน้ำไหล
ลายสัตว์ต่างๆ เป็นต้น
เดิมชาวไทลื้อตำบลหย่วนจะปลูกฝ้ายไว้
ใช้เอง ต่อมาการปลูกฝ้ายมีแนวโน้มลดลง
เนื่องจากสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย เมื่อ
ผลผลิตผ้าทอสามารถจำหน่ายได้มากขึ้น ผู้ผลิต
ต้องการความสะดวกรวดเร็วในการผลิตจึงใช้
ด้ายสำเร็จหรือฝ้ายประดิษฐ์เพิ่มขึ้น แต่ใน
ปีพ.ศ. 2558 ชาวไทลื้อบ้านหย่วนเริ่มปลูกฝ้าย
ปลอดสารเคมี เพื่อผลิตเส้นใยและย้อมฝ้ายด้วย
วัสดุธรรมชาติที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและ
สิ่งแวดล้อม พบว่าได้รับการตอบรับจากกลุ่มผู้
บริโภค จึงมีแนวโน้มปลูกฝ้ายและย้อมด้วยสี
ธรรมชาติมากขึ้น จะเห็นได้ว่าเมื่อชาวไทลื้อเห็น
คุณค่าในสิ่งแวดล้อมด้วยการดูแลรักษา
ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อมก็ช่วยส่ง
เสริมคุณค่าทางด้านเศรษฐกิจ สังคมให้มีคุณค่า
มากยิ่งขึ้น
44
3. คุณค่าด้านสังคม
การยึดมั่นในประเพณี วัฒนธรรม
ศาสนาและสิ่งเหนือธรรมชาติโดยแสดงออกใน
ประเพณีทั้ง 12 เดือน ของชาวไทลื้อและไม่ว่า
จะไปอยู่หนแห่งใด ประเทศใด แม้ว่าจะผ่านไป
นานเท่าใด การทอผ้าจะเป็นส่วนหนึ่งของวิถี
ชีวิตของชาวไทลื้อ ทำให้มีทุนทางวัฒนธรรม
การบ่มเพาะทางสังคม มีปราชญ์ในการทอผ้า
ทักษะความสามารถในการทอผ้า เด็กหญิงจะได้
รับการสอนให้ทอผ้าเพื่อการออกเรือนและทอ
ผ้าในงานบุญ เนื่องจากผู้หญิงไม่มีโอกาสบวช
เมื่อลูกชายบวชผู้เป็นแม่จึงทอผ้าสำหรับตัดเย็บ
เป็นจีวรและตานตุงเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับ
ญาติที่เสียชีวิตจะได้ไปสู่ภพภูมิที่ดี และตานให้
ตนเองเชื่อว่าเมื่อเสียชีวิตไปจะได้เกาะชายตุง
ขึ้นสู่สวรรค์
การนำเอาทุนทางวัฒนธรรมมาสร้าง
สรรค์โดยการนำเอาวัฒนธรรมการใช้ผ้ามาผูก
โยงเข้ากับประเพณีจุลกฐิน โดยจุดประสงค์ของ
ประเพณีนี้คือ ต้องการให้เยาวชนเรียนรู้การทอ
ผ้า ต้องการสร้างสัญลักษณ์ (Symbolic) ของ
ความเป็นชนชาติไทลื้อทำให้คนในสังคมใหญ่
มองเห็นถึงคุณค่า ยอมรับและให้ความสำคัญให้
เป็นส่วนหนึ่งของสังคมใหญ่ และเป็นพื้นฐานใน
การสร้างรายได้ งานบุญจุลกฐิน จะมีนักท่อง
เที่ยวหลายกลุ่มให้ความสนใจเข้าร่วม โดยใน
งานดังกล่าวจะได้เห็นภาพของความร่วมมือ
ร่วมใจของชาวไทลื้อทุกวัยที่เข้ามาร่วมด้วยการ
แต่งกายด้วยผ้าซิ่นไทลื้ออันสวยงามมาร่วมงาน
บุญอันยิ่งใหญ่