๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 101 ๖๙ ถ้าหากว่ากินเหล้า เมายาตาปรือทั้งวัน ทั้งคืน ไม่ใช่ลูกศิษย์หลวงพ่อนะ ไม่ต้องเรียก หลวงพ่อว่าเป็นอาจารย์ หลวงพ่อเป็นพระ ยังไงลูกหลานได้เห็น มีแต่บอกกล่าวคำ ไหน ก็อยากให้ลูกหลานเป็นคนดี มีคุณภาพ มีคุณธรรม มีศีลธรรม มีจริยธรรมที่ดี ให้เป็นพลเมืองที่ดี ไปอยู่ ณ สถานที่ใด อย่าทำ ให้คนอื่นเดือดร้อน เราก็เป็นผู้ใหญ่ ขึ้นมา เราได้รับการศึกษาดีแล้ว อันไหนควร มิควรอย่างไร พวกเรารู้ ต้องยับยั้งในแนวความ คิดที่มันไม่ถูกต้อง “นิสมฺม กรณํ เสยฺโย” ใคร่ครวญเสียก่อน แล้วจึงค่อยทำ ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ถ้าพวกเรามีความใคร่ครวญใน การกระทำ ในการพูด ในการคิดแล้ว นั้นแหละ ความสงบผาสุก ก็จะเกิดขึ้นกับพวกเราท่าน ทั้งหลายตลอดไปจนอวสาน นี่เป็นคำสั่งสอน หรือคำ พูดให้สำ หรับพระนักศึกษา ลูกศิษย์ลูก หาพระใหม่ที่จะลาสิขา นำ ไปประพฤติปฏิบัติ อย่างน้อยก็ให้มีศีลห้า
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 102
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 103 ๗๑ มะโนปุพพังคะมา ธัมมา, มะโนเสฎฐา มะโนมะยา : ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นหัวหน้า สำ เร็จแล้วด้วยใจ หลักพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านให้ความสำ คัญเรื่องของใจ มากกว่า เรื่องของกาย สรุปแล้วทุกสิ่งทุกอย่างกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ มันรวมอยู่ในนี้ทั้งหมด มันรวมอยู่ในใจ ๗๐ อะกะตัง ทุกกะตัง เสยโย, ปัจฉา ตัปปะติ ทุกกะตัง : กรรมชั่ว อย่าทำ เสียเลย ดีกว่า เพราะกรรมชั่ว เมื่อกระทำลงไปแล้ว จะให้ผลเป็นความเดือดร้อน ในภายหลัง สิ่งใดที่มันไม่ดีอย่าทำ เราทำดีแล้วจะชั่วได้ อย่างไร ถ้าเราทำชั่วแล้วจะดีได้อย่างไร เราได้ ทำกรรมสิ่งไหนไว้บ้าง ที่มันไม่ดี ทำสิ่งไหนที่ มันดี ไม่มีใครที่จะรู้ ยิ่งกว่าตัวของพวกเราเอง
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 104
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 105 แนวทางการปฏิบัติธรรม สายหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต พระธรรมเทศนา พิจารณาธรรม ให้นำ หน้ากิเลส โดย ท่านพระอาจารย์อินทร์ถวาย สันตุสสโก ณ วัดป่านาคำ น้อย อ.นายูง จ.อุดรธานี เมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๙
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 106 สมาธิคือการทำจิตให้สงบ ทำจิต ให้เป็นหนึ่ง ทำ ใจให้มั่นคง จะทำอย่างไร พ่อแม่ครูบาอาจารย์ หลวงปู่หลวงตา ท่านก็สอนให้ฝึกหัดเรื่องสติก่อน ท่าน ให้กำ หนดลมหายใจเข้าออกนี่แหละเป็น หลัก เป็นแนวสายทางปฏิปทาองค์หลวง ปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านแนะนำสั่งสอน คือ นั่งสมาธิขาขวา ทับขาซ้าย จากนั้นก็พนม มือไหว้ครู ไหว้พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ พุทโธ ธัมโม สังโฆ, พุทโธ ธัมโม สังโฆ, พุทโธ ธัมโม สังโฆ ๓ จบ คือระลึกถึง พระพุทธเจ้า ๓ ครั้ง พระธรรม ๓ ครั้ง พระสงฆ์ ๓ ครั้ง ไหว้พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เสร็จแล้วก็เอามือลง ในเมื่อเอามือลงแล้ว ทำ ใจให้สบาย จากนั้น จะแผ่เมตตาก็ได้ ข้าพเจ้าจงเป็นสุข ผู้อื่น สัตว์อื่นทั่วไตรโลกธาตุก็ขอให้มีความสุข อย่างที่ข้าพเจ้าต้องการ อย่างที่ข้าพเจ้า ปรารถนา อันนี้คิดอยู่ในใจ คิดไว้ในใจแท้ๆ ให้แผ่เมตตาเป็นอย่างนี้
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 107 อย่าไปคิดเป็นอย่างอื่น จากนั้นก็ให้ เอามือซ้อนกัน มือขวาทับมือซ้าย กำ หนด ลมหายใจเข้า หายใจออก หายใจเข้า หายใจ ออก หายใจเข้า “พุท” หายใจ ออก “โธ” พุทโธ พุทโธ พุทโธ อย่าส่ง จิตออกไปข้างนอก อันนี้คือ วิธีการทำ จิตใจให้สงบ แต่ว่าการบริกรรมนั้น ครูบา อาจารย์ท่านก็แนะแนว หลายวิธีการ ที่ว่า นี้ก็คือครูบาอาจารย์หลวงปู่หลวงตา ท่าน จะเน้นหนักจุดนี้ ลมหายใจเข้า หายใจ ออก บริกรรม พร้อมกับพุทโธ แต่บาง ท่านบางคนก็บริกรรมธัมโม บริกรรมสังโฆ ก็ได้ บริกรรมว่าตาย....ตาย หายใจไม่เข้า ตาย หายใจไม่ออกตาย แปลว่าพิจารณา ถึงความตาย คือ พิจารณาถึงอนิจจังความ ตาย หรือหายใจเข้าเกิด หายใจออกดับ หายใจเข้าเกิด หายใจออกดับ-เกิดดับ-เกิด ดับ อันนี้ก็เป็นอนิจจังของไม่เที่ยง ไม่ส่งจิต ออกไปข้างนอก ให้รู้อยู่เฉพาะลมหายใจ เข้า หายใจออก อันนี้ก็คือ
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 108 เป็นการบริกรรมภาวนา เพื่อทำจิตของ เราไม่ให้คิดปรุงฟุ้งออกไปข้างนอก ให้เห็น ความตายอยู่เสมอ ถ้าหายใจไม่เข้าก็ตาย ถ้าหายใจไม่ออกก็ตาย มันเพียงแค่นั้น แหละ เพราะฉะนั้น เราต้องเอาสติจับอยู่ ตรงนั้น ถ้าหากว่าจิตใจของเราเข้าสู่ความ สงบเป็นหนึ่งแล้ว จิตใจของเราไม่หิวโหย จิตใจของเราอิ่มเอิบด้วยธรรม ด้วยสมาธิ ธรรม เพราะจิตใจของเราไม่ปรุงฟุ้งออกไป ข้างนอก นั้นแหละ ที่นี้มันก็เข้าสู่ความสงบ เป็นขั้นเป็นตอนเข้าไป ขณิกะ อุปจาระ อัปปนา เราจะรู้ได้ด้วยตนเอง ว่าจิตใจสงบ ระดับไหน ไม่มี ใครที่จะรู้ยิ่งกว่าตัวของเรา เอง ถ้าเรามีความมุ่งมั่น มีความพยายาม มีความตั้งใจจริง ผลแห่งสมาธิก็จะเกิดขึ้น กับตัวของเราแน่นอนไม่ต้องสงสัย เพราะ สมาธิธรรม พ่อแม่ครูบาอาจารย์แนะนำ สั่งสอนมาเห็นมาแล้วรู้มาแล้ว ปฏิบัติมา แล้วได้ผลเป็นประการใด ท่านก็มาแนะนำ สั่งสอนพวกเราท่านทั้งหลาย
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 109 เรื่องสมาธิเป็นหน้าที่ของพวกเรา จะต้อง ฝึกฝน จะต้องทำ เอง จะต้องต่อสู้ จะต้อง ปฏิบัติ เราจะนั่งภาวนาเท่าไหร่ หนึ่งชั่วโมง ได้ไหม พยายามนั่งบังคับ ไม่ให้มันไปไหน ให้มันนิ่ง หาที่สงบสงัด เราก็ไปนั่งที่นั่น จากนั้นก็ดูใจของตัวเอง ในเมื่อจิตเข้า สู่ความสงบก็พิจารณาละทีนี้ ตามแนว แถวพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ท่านแนะนำ สั่ง สอน ถอนจิต ออกมาพิจารณา ให้พิจารณา อะไร พิจารณาร่างกาย พิจารณาอาการ ๓๒ ของร่างกาย เราเห็นแต่ร่างกายภายนอก ผิวพรรณวรรณะผุดผ่อง แล้วทำ ให้ตาของ เราฝ้าฟาง มองเห็นเป็นของสวยงาม แต่ข้าง ในเข้าไปนั้นเป็นอย่างไร เกสา (ผม) โลมา (ขน) นขา (เล็บ) ทันตา (ฟัน) ตโจ (หนัง) มังสัง (เนื้อ) เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ ผังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า มันเป็น อย่างนั้น ถ้าเราพิจารณาดูแล้วไม่ได้สงสัย มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่เป็นอย่างอื่น
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 110 แต่ว่าตาของเรา ใจของเรา มันปิดบังเอา ไว้ กิเลสมันปิดบังเอาไว้ ไม่อยากจะให้เรา รู้เห็นตามความเป็นจริง มันปิดกั้นเอาไว้ เพราะฉะนั้นการกั้นนั้น คือตัว อะไรก็คือ ตัวกิเลส กิเลสราคะมันสู้กันกับธรรมจุดนี้ ตัวราคะมันมองเห็นว่าสวยงาม แต่ธรรม ตัวนี้แปลว่าอสุภะ ไม่สวยงาม มันแย่งกัน ขึ้นบัลลังก์หัวใจของเราอยู่ แต่ถ้าหากว่า พวกเราส่งเสริมว่าสวยงามขึ้นมาเมื่อไหร่ เมื่อนั้น เราก็ลุ่มหลงมัวเมา ถ้าว่าธรรม เข้าสู่จิตใจ ว่าร่างกายไม่น่าไว้ใจนะ สักวัน หนึ่งตายนะ เป็นอนิจจังนะ เป็นอสุภะนะ มันจะต้องเน่าเปื่อยตายสลายนะ จะต้อง ถูกเผาแน่นอนนะ ความลุ่มหลงมัวเมา มันจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร มันเกิดขึ้นมา ไม่ได้ มันเห็นตามความเป็นจริงอยู่ตลอด เพราะฉะนั้นให้พวกเราท่านทั้งหลาย พิจารณาอยู่เสมอ เรื่องอสุภะทบทวน อยู่เสมอเรื่องอาการ ๓๒ หรือว่าใครจะ พิจารณาถึงธาตุ ๔ ดิน นํ้าลม ไฟ ก็ได้
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 111 ร่างกายนี้เต็มไปด้วย ดิน นํ้า ลม ไฟ อีกสักวันหนึ่ง ร่างกายของเราก็จะแตก สลาย กายแตกเป็นส่วน ธาตุ ๔ ธาตุ ดินคืออะไร ธาตุดินคือของแข็ง ของแข็ง ในร่างกายของเราคืออะไร คือ กระดูก ขน เล็บ ฟัน อันนี้คือของแข็ง จัดว่าเป็นกระดูก เป็นธาตุดิน ธาตุนํ้าคืออะไร เลือด ปัสสาวะ นํ้ามัน ไขข้อ นํ้ามันต่างๆ ของร่างกายอันนี้ แปลว่านํ้า ส่วนลม ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ลมในช่องท้อง ลมในที่ว่าง ของร่างกาย อันนี้ลมพยุงกันอยู่ ธาตุไฟเผา ร่างกายให้อบอุ่น ทำ ร่างกายให้เร่าร้อน ให้ กระวนกระวาย อันนี้แปลว่า ธาตุไฟ มันอยู่ ในกายของเรานี่แหละธาตุ ๔ ดิน นํ้า ลม ไฟ เพราะฉะนั้นให้เรารู้เอาไว้ว่าร่างกายของ เรานี่คือผสมผสานกันโดยธาตุ ๔ แต่ใจของ เราคือตัวผู้รู้นามธรรมนี้ มาอาศัยมาพักพิง อยู่ในธาตุ ๔ นี้ มาอยู่ในที่ดิน นํ้า ลม ไฟ นี้ จากนั้นก็มายึดร่างกาย ธาตุ ๔ ดิน นํ้า ลม ไฟ
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 112 ว่าเป็นบ้านของตัวเอง อย่างไม่คิดจะเป็น อย่างอื่น ว่าเป็นของตัวเองแน่นอน เมื่อยึด ตัวนี้เข้ามาแล้ว เมื่อยึดร่างกายว่าเป็น ตัว ตนแล้ว กิเลสตัวนี้มันยึดแล้ว เมื่อยึดร่าง เป็นของเราแล้ว จากนั้นก็หาสิ่งภายนอกมา ปรนเปรอ บำ รุงบำ เรอตัวเอง จากนั้น ก็หาข้าวหาของหาสิ่งใดที่ตัวเองต้องการ ปรนเปรอร่างกายจากนั้นก็มีครอบครัว มียศถาบรรดาศักดิ์ มีบ้าน มีเรือน มีพี่มีน้อง มีอะไรออกไปเรื่อยๆ เพราะว่าร่างกาย เป็น ของเรา จากนั้นก็หลง คิดว่าตัวเอง จะไม่ตาย มีอะไรในจักรวาลจะเอามา เป็นของตัวเองให้หมด เพราะความโลภนี่ แหละ เพราะมันหลงร่างกาย แต่ถ้าหากว่า เรา พิจารณาไม่หลงร่างกาย ร่างกายสักวัน หนึ่งจะต้องแตก ตายสลาย ถึงอย่างไรเราก็ ไม่โลภ แต่ก็พยายามเพราะเราเกิดมาแล้ว ต้องพยายามประคับประคองกายของเรานี้ ให้อยู่ได้ ให้เป็นไปได้ด้วยธรรม เมื่อ มันมีมากก็รู้ว่ามัน มีมาก
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 113 ในเมื่อมันมีน้อยก็รู้ว่ามันมีน้อย ไม่หลงไหล ในปัจจัยเหล่านั้น ในสิ่งปรนเปรอเหล่านั้น เรารู้เท่ารู้ทัน รู้กาย รู้ใจ ใจของเราก็รู้ ว่าเราไม่ห่วงร่างกาย ใจของเรารู้ร่างกาย อีกสักวันหนึ่งจะต้องแตกต้องสลาย ไม่ เป็นอย่างอื่น แต่เราจะเสาะแสวงหาอะไร มาเลี้ยงร่างกาย มาดูแลร่างกาย มาบำ รุง ร่างกายของเราให้อยู่ได้ ให้ใจเสาะแสวงหา มาเลี้ยงร่างกายตามอัตภาพ แต่ไม่สัมปยุต ด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง เรารู้อยู่แล้ว ว่าร่างกายนี้สักวันหนึ่งจะ ต้องแยกออกจากกัน สอดส่องกายใจของ เรานี่แหละ ให้พวกเราดูใจ ดูกาย การ ประพฤติธรรมไม่ใช่ดูที่อื่น ดูกายกับดูใจ เท่านั้น เองไม่เห็นอย่างอื่น ไม่ให้ดูที่อื่น ดูร่างกายก็คือรูปธรรม ร่างกายมันเป็นอยู่ อย่างนี้ รูปร่างกลางตัวเป็นอย่างนี้ ธาตุ๔ มันเป็นอยู่อย่างนี้ ธาตุ ๔ อาการ ๓๒ ร่างกายเรา มี าการ ๓๒ เป็นอยู่อย่างนี้ แก่ เจ็บ ตาย เน่าเปื่อยอยู่อย่างนี้
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 114 แต่ละวัน ไม่เน่าได้อย่างไร มันเน่าใช่ไหม การขับถ่ายออกไป มันเน่าใช่ไหม เราไม่ชะล้างร่างกายไม่ อาบนํ้ามันเน่า เหม็น ใช่ไหมมันออกมาจากไหน มันออก มาจากร่างกายของเรานั่นแหละ เพราะ ฉะนั้นร่างกายของเรา มันเต็มไปด้วยของ อสุภะ เต็มไปด้วยปฏิกูล ในหลัก พระพุทธศาสนาท่านให้พิจารณาอย่างนี้ อยู่เสมอ คือไม่ให้หลงกายตัวเอง จากนั้น ก็พิจารณาใจ ใจของเราเป็นนามธรรม เรา คิดปรุงฟุ้งไปเรื่องอะไร เดี๋ยวออกไป ข้างนอก เดี๋ยวก็ว่านี่สวยนี่รวย อันนี้น่ารัก ใคร่อันนี้น่าพอใจ อันนั้นก็อยากได้ อันนี้ก็ อยากได้ ความอยากอยู่ในจิตในใจ อยาก อยู่ตลอดเวลา อยากไม่มีเหตุ อยากไม่มี ผล อยากไปที่ไหน อยากอยู่ในจิตในใจคือ ธรรมตัวนี้ เพราะมันหิวโหย เพราะมันไม่ ได้พิจารณา มันไม่มีธรรมในจิตใจ มันไม่มี คุณธรรมในจิตใจ มันไม่ได้หาเหตุหาผลเข้า สู่จิตใจ มีแต่ปล่อยให้กิเลสนำ หน้าธรรม
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 115 ตามจริงไม่ใช่ธรรมสกัดไว้ข้างหน้า มีแต่ ธรรมวิ่งตามหลัง กิเลสนำ หน้า ผลที่สุดมัน วิ่งไปวิ่งมา วิ่งจนลิ้นห้อยจึงจะสำ นึกได้ บางคนตายแล้วยังสำ นึกไม่ได้ ตายแล้วชาติ นี้ตายอีกชาติหน้า จนกว่าเมื่อไหร่ได้รับฟัง ธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ฟังธรรมคำสั่งสอนของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ จึงจะสำ เหนียกสำ นึกได้ ธรรมจึงวิ่งสกัด ไปข้างหน้า ใช่! มันจะวิ่งไปอะไร หนักหนา วิ่งอยู่ในวัฏสงสารไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ มันก็วิ่ง อย่าง นี้ไม่มีสิ้นสุด มันก็สอนตัวเองละทีนี้ ดูตัวเอง จากนั้นก็ความเพียงพอหรือว่า เหตุผล ธรรมจะต้องเข้าสู่จิตใจ ของพวกเรา ดูใจของตัวเองละทีนี้ เมื่อธรรมเข้ามาถึงนะ เมื่อบารมีเข้ามาถึง เมื่อธรรมเข้ามาถึง แต่ ถึงจุดนั้นได้ ไม่ใช่ธรรมดา ใหม่ๆ ก็อย่างที่ ว่า มันวิ่งกันเตลิดเปิดเปิงไปไม่รู้เท่าไหร่ แต่ตามที่จริงแปลว่าใจของเราบารมีของ เรายังอ่อนอยู่ แต่ถึงจุดนั้นแปลว่าบารมี ของเราเริ่มแก่กล้าเข้าแล้ว
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 116 เห็นว่าอะไรเป็นอะไรแล้วทีนี้ เพราะเรา ได้พิจารณาแล้ว ดูใจของเราไม่รู้จะวิ่งไป เพื่ออะไร ความสุขที่แท้จริงนั้นคืออะไร มันเริ่มถามตัวเองเข้าเรื่อยๆ แล้วทีนี้ เรามี อย่างนั้นสุขไหม ไม่ทุกข์เลยใช่ไหม ยิ่งมีมากมันก็ทุกข์มาก การทุกข์อย่างนี้นะ มันเป็นอย่างไร มันจะต้องถาม สำ เหนียก สำ นึก บวกลบคูณหารในจิตใจ ถามใจตัว เองอยู่ทุกเวลํ่าเวลา ธรรมอันไหนควรทำ อันไหนไม่ควรทำอัน ไหนควรคิดอันไหน ไม่ควรคิด มันอยู่ในจิตในใจของพวก เรา ละทีนี้ เพราะฉะนั้นพวกเราให้สำ เหนียก สำ นึกนะ นำธรรมคำสอนของพ่อแม่ครูบา อาจารย์เข้ามาดู จับเป็นปรอท วัดจิตใจ ของเรา อย่าให้จิตของเราออกนอกลู่นอก ทาง จนหากฎหาเกณฑ์ไม่ได้ ไม่ถูกนะ พวกเราเป็นพระปฏิบัติ เป็นพระกรรมฐาน ให้ดูใจของตนเองนะ ให้ดูกายของตน ดูกายอย่างที่ว่ามีอะไรเป็นประโยชน์สาระ ของร่างกายมีไหม มันจะวิ่งอะไรในร่างกาย
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 117 มันมีแต่โครงกระดูกอยู่ในร่างกายนี่แหละ อยู่ข้างในเป็นโครงสร้างของร่างกาย นั้นก็ แขวนอะไรเอาไว้ ตับ ไต ไส้พุง แขวนอีรุงตุงนังไว้ในร่างกาย เอาหนังหุ้ม เข้าไว้ ทีนี้ก็มาหลงหนัง ถ้าถลกหนังเปิด เข้าไป ข้างในแดงเถือก มีแต่เลือดทั้งหมด มันจะหลงไหม มันคงไม่หลงแน่ๆ ถ้าเห็น อยู่อย่างนั้น อะไรคือความสวยงาม นี่แหละ ถ้าเราเห็นตามความเป็นจริงแล้ว กิเลส ราคะของเรานี่มันจะวิ่งถอยหลังกรูด วิ่งเข้ามาหาใจ อยู่นิ่งอยู่ที่ใจละที่นี้ คล้ายๆ ว่าจะสั่งเสียด้วยซํ้าไป เพราะมันเห็นตาม ความเป็นจริงแล้ว เพราะฉะนั้น พวกเรา ทุกท่านนะ ให้ดูให้เห็นตามความเป็นจริง ร่างกายของเราคืออะไร คือแยกให้ออก กายกับใจ แต่ถ้าหากว่าจิตใจของเรา ไม่ เป็นสมาธินะ มันแยกไม่ออกนะ จุดนี้แหละ สำคัญ ถ้าว่าจิตใจของเราเป็นสมาธิแล้ว เราจะรู้ได้ว่ากายของเราเป็นอย่างไร ใจของ เราเป็นอย่างไร พอจะแยกออก จากนั้นก็
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 118 กำ หนดดูใจ ใจของเรา แล้วก็มองเห็นกาย ของเรา เมื่อเห็นกายเห็นใจ เห็นทั้งสอง อย่างแล้ว เราจะรู้ได้ว่าเรามองกาย เราก็ มองตัวเอง เรามองใจก็มองตัวเอง ใจ มอง ใจเห็นตัวเอง ใจเราคิดเรื่องอะไร มันก็มอง เห็นความทุกข์ ความสุข ความเศร้าหมอง ผ่องใส ความสว่าง ความมืด มันสลับ อยู่ ในจิตในใจของพวกเราอยู่ตลอดเวลํ่าเวลา แต่เราจะดูหรือไม่ดู ถ้าเรามีสติดูใจแล้ว เรา จะเห็นได้ด้วยสติด้วย ปัญญาของเรา จะ เห็นมันหลอกตัวเอง มันนึกคิดขึ้นมา อยู่ใน จิตในใจของพวกเรา ทั้งสองอย่างทั้งเรื่อง ความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดี ความเศร้าหมอง ความผ่องใสก็ดี ความสว่างก็ดี ความมืดก็ดี มันอยู่ในจิตในใจของพวกเรา ทั้งสองเรื่อง ไม่ใช่ของเรา เพราะมันเป็นไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นะ อนัตตาคือไม่ใช่ตัวตน ของเรา จะยึดอะไรเป็นหลักเป็นแก่นสาร ของตัวเอง เพราะเป็นอนิจจัง
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 119 เพราะฉะนั้นต้องพิจารณาจุดนี้นะ พยายามดูจุดนี้ มองจุดนี้ ปรับปรุงแก้ไข จุดนี้ ปล่อยวางจุดนี้ นี่แหละ ถ้าเราทำ ได้ อย่างนี้ วันนี้ทำ ได้ วันหนึ่งทำ ไม่ได้ วันหนึ่ง ทำ ได้ ถึงอย่างไรๆ ต่อไปภายภาคหน้า มัน จะต้องรู้เห็นตามความเป็นจริง ทำ ได้เรื่อยๆ เพราะเห็นตามความเป็นจริง เป็นอย่างอื่นเป็นไปไม่ได้ สักวันหนึ่งเราโยก อยู่เสมอ เหมือนเสาที่เขาตอกลงไปลึกๆ นะ เราพยายามเขย่าซ้ายเขย่าขวา ขย่ม หน้าขย่มหลัง เพื่อจะถอดถอนออก ความ รู้สึกอันนั้น อีกสักวันหนึ่งก็ดี มันก็ไม่พ้น ความพยายามของเราไปได้ เราก็ต้องถอน ขึ้นได้ ไม่ยึดมั่นถือมั่นถอนขึ้นมาได้ โยนทิ้ง ไปเลย ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่ตัวตนของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนัตตา ทำลายออกไป หมดแล้ว สิ่งไหนทนต่อการพิสูจน์สิ่งนั้นคือ ธรรม เมื่อพิจารณาถึงจุดนั้นตัวหนึ่งมัน จะ รู้ขึ้นมาได้ เห็นได้ด้วยธรรม ตัวนั้นพอชำ ระ ออกไปแล้ว มันรู้ขึ้นมาแล้ว มันรู้สึกแต่ว่ารู้
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 120 เห็นสักแต่ว่าเห็น ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร ทั้งหมด จิตใจที่เป็นธรรมเป็นความบริสุทธิ์ ขึ้นมานั้น เพราะฉะนั้นพวกเราทุกๆ ท่าน นะ ฝึกหัดมาให้ดูมา ตั้งแต่เรื่องศีล การ เป็นอยู่ เรื่องสมาธิ พยายามทำจิตให้ สงบ ดูปัญญาพิจารณาร่างกาย สังขาร ดูการ เป็นอยู่ การเคลื่อนไหว ให้ดูกาย เห็นกาย จากนั้นก็เห็นใจ ใจกาย กายใจ กายคือ รูปธรรม ใจคือนามธรรม ใครอื่น มองไม่ เห็น มันจะมองเห็นได้ด้วยตัวเองเท่านั้น เอง ใจมองใจ ใจรู้ใจ ใจคิดเรื่องอะไรก็จะ รู้ ไม่มีใครที่จะรู้ยิ่งกว่าตัวของเรา ที่เรา นึกคิดอยู่เป็นขณะๆ ไปนี้ ต่อนี้ไปขอให้ ตั้งอกตั้งใจภาวนาต่อไป ให้นั่งสมาธินะ ทีนี้ กำ หนดลมหายใจเข้า ลมหายใจออก อย่างที่ว่านั่นแหละ ดูร่างกายพิจารณา ร่างกาย จากนั้นก็พิจารณาใจ พิจารณา ตัวผู้รู้ ตัวนามธรรมที่อาศัยกันอยู่ ดูกาย ดูใจ ดูใจดูกาย ดูกายดูใจ ไม่มีที่อื่นดูสอง อย่างเท่านั้นแหละ นี่แหละคือการปฏิบัติ
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 121 ขณะนึกคำ บริกรรมภาวนาที่เป็น ความถูกต้อง ท่านนักภาวนาควรสนใจ กับคำ บริกรรมของตน โดยเฉพาะในขณะ นั่งบริกรรมภาวนาไม่ควรเป็นกังวลกับท่า นั่งที่กำ หนดไว้ถูกต้องแต่ต้นแล้ว คือขณะ ภาวนาที่กำ ลังทำ ความกำ หนดจดจ่อกับ งานที่ทำ นั้น กายอาจเอียงหน้าเอียงหลัง เอียงซ้ายเอียงขวาไปบ้าง เพราะขาดความ สนใจกับกาย เวลานั้นมีความสนใจกับการ ภาวนาโดยเฉพาะ ดังนั้นแม้กายจะเอียง สะเก็ดเทศน์พ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๐๕ สวากขาตธรรม
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 122 ไปบ้างก็ตาม แต่จิตขออย่าให้เอียงไปจาก อารมณ์ภาวนาเป็นการดี เพราะจุดสำคัญ ที่ต้องการจริง ๆ อยู่กับภาวนา ถ้าจิตมา กังวลกับกายอยู่เรื่อย ๆ กลัวจะเอนหน้า เอียงหลัง ทำ ให้จิตเผลอตัวจากคำ ภาวนา ไม่อาจเข้าสู่ความละเอียดเท่าที่ควรได้ตาม กำลังของตน เพื่อให้จิตได้ทำ หน้าที่เต็มความ สามารถของตนในเวลานั้น จึงไม่ควรกังวล กับกายภายนอก แต่ควรทำความจดจ่อ ต่อคำ ภาวนาอย่างเดียว จนจิตสงบและรู้ เหตุรู้ผลของตนได้ตามความมุ่งหมาย แม้ ขณะที่จิตสงบรวมลงสู่ภวังค์คือที่พักผ่อน ตัวหมดความรู้สึกกับสิ่งภายนอกมีกาย เป็นต้นก็ตาม เวลาจิตถอนขึ้นมาแล้วเห็น กายเอนเอียงไปในลักษณะต่าง ๆ ก็ไม่ควร สงสัยข้องใจว่ากายนั่นไม่เที่ยงตรงตามที่ กำ หนดไว้ การกังวลทางกายและกังวลทาง ใจ นอกจากก่อความวุ่นวายให้แก่จิตที่ไม่รู้ หน้าที่ของตนแล้ว
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 123 ผลที่จะพึงได้รับเวลานั้นจึงไม่มีอะไร ปรากฏยิ่งไปกว่า กายกับใจเกิดยุ่งกันใน เวลาภาวนาโดยไม่รู้สึกตัว จึงควรทำความ เข้าใจไว้แต่ขณะเริ่มลงมือภาวนา เมื่อจิตมีความสงบ การสงบของจิต ไม่ใช่เป็นนิสัยอันเดียว ลักษณะแห่งความ สงบของจิตนั้นมีหลายลักษณะ และเป็น ตามนิสัยของผู้ปฏิบัติแต่ละรายไม่เหมือน กัน แต่ผลรายได้คือความสงบนั้นเป็นเช่น เดียวกัน ลักษณะของจิตบางประเภท เมื่อ กำ หนดบริกรรมในคำ ใดคำ หนึ่ง บรรดา ที่เป็นบทธรรมซึ่งตนชอบในจริตของตน เพียงบริกรรมเข้าเท่านั้นจิตก็ลงได้ทันที และลงได้อย่างรวดเร็ว
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 124 นี่เป็นนิสัยของนักปฏิบัติบางรายต้องเป็น อย่างนี้ แต่บางรายนั้นค่อยมีความสงบเข้า มา ความสงบเข้ามา ความรู้สึกภายนอกก็ หดตัวเข้ามาๆ สู่ความรู้สึกภายใน คือคำ บริกรรมกับความรู้ได้แก่ใจของตนเองแล้ว ก็สงบเข้าไป จนกระทั่งถึงหยุดหรือปล่อย วางคำ บริกรรมทรงไว้ซึ่งความรู้อันเดียว มี ความรู้รอบอยู่อันหนึ่ง อันนี้ชื่อว่าสติ รู้อยู่ จำ เพาะ จิตนิ่งก็รู้ว่าจิตนิ่ง หยุดก็รู้ว่าหยุด จิตจะกระเพื่อมออกนิดก็ต้องรู้ทันที นี่คือ เรื่องของสติ มีประจำอยู่กับองค์แห่งสมาธิ หรือองค์แห่งความสงบนั้น ทีนี้คนๆ เดียวนั่นเอง ผู้ปฏิบัติราย เดียวนั่นเอง ลักษณะของจิตไม่ใช่จะลง อย่างนั้นเสมอไป เช่นอย่างรายที่เคยลงได้ อย่างเร็วๆ บางกาลบางสมัยกลับลงอย่าง เชื่องช้าก็มี เพราะเหตุนั้นอาการแห่งการลง ของใจนั้นเราอย่าถือเป็นข้อข้องใจ สิ่งที่เรา จะถือสำคัญที่สุดก็คือว่า
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 125 ผลที่ปรากฏขึ้นจากความสงบนั้นเป็น อย่างไร นี่เป็นของสำคัญ ผลที่เกิดขึ้นจาก ความสงบนั้นคือความสุขหนึ่ง และอาการ ที่จิตจะแสดงความกระเพื่อมอย่างใดไม่มี มีความรู้เพียงอันเดียว และมีสติรู้อยู่ว่าจิต ของตนหยุด ผลรายได้เป็นอันเดียวกันอย่าง นี้ จะลงเร็วหรือช้าก็ตาม จะลงลักษณะอา การใดๆ ก็ตาม ให้เราพึงถือเอาผลคือความ หยุดของใจนั้น ถือเอาความที่ว่าหยุดเป็น หนึ่ง เมื่อถอนขึ้นมาแล้วให้เป็นนักวิพากษ์ วิจารณ์ในกายวิภาคของตน กายทุกส่วน เป็นสภาพแห่งไตรลักษณ์ทุกๆ อาการ เป็นไตรลักษณ์ในหลักธรรมชาติ ใครจะรู้ ก็ตาม ใครไม่รู้ก็ตาม สภาพนี้ต้องเป็นหลัก ธรรมชาติแห่งไตรลักษณ์อยู่นั่นเอง คำว่า ไตรลักษณ์คือความไม่เที่ยง นี่เคยอธิบาย ให้ท่านผู้ฟังได้ทราบหลายครั้งแล้ว ความ เป็นทุกข์ ความเป็นอนัตตา และเราอย่าพึง ทราบว่าความเป็นทุกข์ก็ดี
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 126 ความเป็นอนิจจังก็ดี ความเป็นอนัตตาก็ ดีนอกไปจากอาการหนึ่งๆ อย่าพึงทราบ ว่าเป็นอย่างนั้น อาการเดียวนั้นเองพร้อม ด้วยไตรลักษณ์อยู่แล้วอย่างสมบูรณ์ เช่น อย่างอาการแห่งกายของเรานี้มีถึง ๓๒ อาการ ทุกๆ อาการนั้นล้วนแล้วตั้งแต่เป็น ไตรลักษณ์โดยหลักธรรมชาติอยู่ในตัว คำ ว่าอนิจจัง ทุกขัง กับอนัตตาจะแยกจากกัน ไม่ได้ เพราะเหตุนั้นบรรดาท่านผู้พิจารณา จะพิจารณาชัดเรื่องของทุกข์ก็ตาม เรื่อง ของอนิจจังก็ต้องแสดงขึ้นกับทุกข์ เรื่อง อนัตตาก็จะปฏิเสธความเป็นเราเป็นเขาอยู่ ในตัวนั้นเสร็จ แต่ท่านแยกอาการออกว่า เป็นอนิจจังบ้าง เป็นทุกขังบ้าง เป็นอนัตตา บ้าง เหมือนกันกับอาการแห่งกายของเรา นี้ แม้จะรวมเป็นกลุ่มเป็นก้อนในธาตุของ บุคคลผู้เดียวนี้ก็ตาม แต่เมื่อแยกออกไป แล้วธาตุนี้มีอยู่ ๔ คือ ธาตุดิน ธาตุนํ้า ธาตุ ลม ธาตุไฟ
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 127 แม้แต่ธาตุดินก็ยังแยกอาการเป็นหลาย ธาตุ ตั้ง ๓๒ อาการ ให้คิดดู แต่อาการใด ก็ตามพึงทราบว่าคือดินนั่นเอง นํ้าจะแยก ไปกี่ประเภทก็คือนํ้านั่นเอง ลมจะแยกไป กี่ประเภทก็คือลมนั่นเอง ไฟจะแยกไปกี่ ประเภทก็คือไฟนั่นเอง อาการแห่งอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาก็คือไตรลักษณ์นั้นเอง ให้ ทราบกันอย่างนี้ ผู้เห็นความสงบของใจ ชื่อว่าผู้แสวงหาความสุขเจอ
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 128 “บุญกุศลเกิดขึ้น จากการให้ทาน ก็ดี รักษาศีลก็ ดี เจริญเมตตา ภาวนาก็ดี ล้วน แล้วตั้งแต่การ สร้างที่พึ่งภายใน ใจของเรา การ สร้างภายนอก นั้นเป็นที่พึ่งของ กาย เช่น ตึกราม บ้านช่อง ถนน หนทางที่อยู่อาศัย เงินทองข้าวของ ได้มามาก น้อยเราไปใช้บำ รุงบำ เรอทางร่างกาย ถ้าไม่มี ความฉลาด ไม่แยกไม่ทาน ทำ บุญให้ทานเป็น ฝ่ายกุศล เราก็จมไปทั้ง ๆ ที่เรามีเงินกองเท่า ภูเขา ตายแล้ว ไม่มีความหมายอะไรเลยนะ ไม่ เหมือนบุญเหมือนกุศล ที่ใครมีในใจมากน้อย ผู้ นั้นแหละเป็นผู้พึ่งเป็นพึ่งตายกับบุญกุศลไปได้ ด้วยกันทุกคน”
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 129 ทาน ศีล ภาวนา เป็นรากเหง้าของ ความเป็นมนุษย์และ เป็นรากเหง้าของ พระศาสนา ที่มนุษย์ ต้องคอยสั่งสมให้มา อยู่ในนิสัย “ทาน” เป็นเครื่อง แสดงนํ้าใจ เพื่อ สงเคราะห์ผู้อื่นโดย ไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ “ศีล” เป็นเครื่องปัดเป่าความคิดของผู้มีกิเลส “ภาวนา” อบรมใจให้ฉลาดเที่ยงตรงต่อเหตุผล และความถูกต้อง “ผู้เป็นหัวหน้างาน” หรือ มีภาระมาก ควรหัน มาฝึกใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะ “การภาวนา”ช่วย แก้ความยุ่งยากลำ บากใจทุกประเภทที่เป็น ภาระหนัก หากปล่อยใจโดยไม่มีธรรมเป็น เครื่องยับยั้ง คงไม่ได้รับความสุช แม้จะมีสมบัติ ก่ายกอง.........
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 130 เรื่อง “ภูมิแห่งสมถะ ภูมิแห่งวิปัสสนา” ถ้าหาก “ภูมิจิตของผู้ปฏิบัติ” จะมอง เห็นแต่เพียงกายทั้งหมดนี้เป็นแต่เพียงธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ รู้แต่เพียงว่าธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ และภูมิจิตของท่านอยู่แค่นั้น ก็มีความรู้เพียง แค่ชั้น “สมถกรรมฐาน” ถ้าภูมิจิตของผู้ปฏิบัติ ปฏิบัติความรู้ไปสู่ “พระไตรลักษณ์” ถ้าหาก มี “อนิจจสัญญา” ความสำคัญมั่นหมายว่า ไม่ เที่ยง “ทุกขสัญญา” ความสำคัญมั่นหมายว่าเป็น ทุกข์ (เพราะตั้งอยู่ไม่ได้) “อนัตตสัญญา” ความ สำคัญมั่นหมายว่าไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง ภูมิจิตของ ผู้ปฏิบัตินั้นก็ก้าวเข้าสู่ “ภูมิแห่งวิปัสสนา”
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 131 หลวงปู่มั่นสอนการภาวนาหลวงปู่เจี๊ยะ“ฟังให้ดีนะ ท่านเจี๊ยะ.....ปฏิภาคนิมิตนั้น อาศัยผู้ที่มีวาสนา จึง จะบังเกิดขึ้นได้ อุคคหนิมิตนั้นเป็นของไม่ถาวร ต้อง พิจารณาให้ชำ นาญแล้วเป็นปฏิภาคนิมิต เมื่อชำ นาญ ทางปฏิภาค ทวนกระแสเข้ามาเป็นตน ปฏิภาคนั้น เป็นส่วนวิปัสสนาสำ หรับอุปจารสมาธิ สามารถรู้ วาระจิตของผู้อื่นได้ สามารถแก้นิวรณ์ได้ แต่โมหะ คลุมจิต ถ้าเจริญวิปัสสนาถึงขั้นอัปปนาสมาธิแล้ว จะต้องทำความรู้ให้เต็มเสียก่อนจิตจึงจะไม่หวั่น ไหว การที่จะสอนการดำ เนิน สมถกรรมฐาน และ วิปัสสนากรรมฐาน โดยเฉพาะเพียงอย่างใด อย่าง หนึ่งนั้นมิได้ เพราะว่าจริตของคนมันต่างกัน แล้ว แต่ความฉลาดไหวพริบของใคร เพราะการดำ เนิน จิตมีหลายแง่หลายมุมแล้วแต่ความสะดวกนิมิตทั้ง หลาย เกิดด้วยปีติสมาธิอย่างเดียว ที่แสดงตามนิมิต ออกมาทั้งหลายนั้น กรุณาท่านอย่าหลงตามนิมิต ให้ พยายามทวนกระแสจิตเข้าสู่จิตเดิม เพราะนิมิตทั้ง หลายเป็นของไม่เที่ยง หลงเชื่อนิมิตประเดี๋ยวก็เป็น บ้า การที่จะแก้บ้านิมิตนั้น ต้องทวนกระแสจิตเข้าสู่ จิตเดิม ถ้าทำอย่างนั้นได้ อย่างบางทีเรานั่งภาวนาอยู่ ตามป่าเขา มีเสือมานั่งเฝ้าเราผู้บำ เพ็ญพรตอยู่กลาง ป่าเพียงลำ พัง เสือนั้นเป็นเทพนิมิตเสียโดยมาก ถ้า เป็นเสือจริงมันเอา เราไปกินแล้ว”
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 132 ชีวิตของพวกเราเหมือนกับ เมล็ดงาอยู่บน ปลายเข็ม ที่แหลมๆ ไม่รู้จะตกวันไหนที่ มันอยู่มันก็อยู่ได้ แต่ที่มันจะลง มันจะลง เวลาไหนไม่มีใครรับประกันได้ ฉะนั้นอย่า ประมาท ให้สั่งสมคุณงามความดี ให้ทาน รักษาศีล ภาวนาเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้ภาวนา
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 133
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 134
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 135
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 136
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 137
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 138
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 139 รายนามผู้มีจิตศรัทธาที่ร่วมจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ขึ้น เพื่อแจกเป็นธรรมทาน คุณอนันต์ ลีชัยอนันต์ - นวลฉวี เพียรวนิช และครอบครัว 999 เล่ม คุณไกวัลย์-ปานใจ-บุญนำ บุญเสรฐ 666 เล่ม คุณประภาวัลย์ รัศมินทราทิพย์ 500 เล่ม พ.ต.อ. วิโรจน์ –อุไรพร-ชฎาภาษ์ เหมือนแท้ และครอบครัว 400 เล่ม คุณคงเดช ลีชัยอนันต์ และครอบครัว 301 เล่ม คุณโกวิทย์ –อรพรรณ ลีลาสัมพันธ์เลิศ และครอบครัว 250 เล่ม คุณเสริมศักดิ์ สอนจันทร์ 200 เล่ม คุณอนิรุทร-กุสุมาลย์-กลภรณ์-ฐิตาพร ระรื่นกลื่น 200 เล่ม คุณชัยวัฒน์-อนงค์-วิทวัฒน์-พัชราพร สอนจันทร์ 200 เล่ม คุณวิลาวัลย์-อิทธิชัย-อิทธิพล-ฤทธิชัย พินิจวิชา 200 เล่ม คุณไพรัตน์ สอนจันทร์ และ ลูก 200 เล่ม คุณนันทรัตน์–สุภาภรณ์-อรรัตน์ เลาหสุวัฒนกุล, คุณอั้งเจีย–อี้หงส์วรรณ แซ่ตั้ง,คุณโชติสิริ โตยิ่งศิริกุล, คุณสุภาชัย กรคุณชัชคุณกุล และครอบครัว 200 เล่ม พระบรมเศรษฐ์ ปรมโชโต และครอบครัวภูริทร์ชินธนโชติ 150 เล่ม คุณธัชพล อาณาจิรกุล 150 เล่ม พนักงาน DTAC ACADEMY 146 เล่ม คุณธัญญะ วงศ์พรเพ็ญภาพ 125 เล่ม คุณนภาพร สถิรประภา 125 เล่ม คุณบุญจิตต์ ฉัตรภูติ 110 เล่ม และผู้ที่ร่วมสร้างหน้งสือไม่ประสงค์ออกนาม
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 140 รายนามสำ หรับผู้ที่ร่วมสร้างหนังสือ 100 เล่ม คุณพราวพุธ ลิปตพัลลภ คุณสุวัจน์ ลิปตพัลลภ พล.ท.หญิง พูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ คุณศศิประภา ถมยา คุณการุญ ฤทธิคง ครอบครัวคุณแม่ซู่กิ่ง แซ่เอียก และ บริวาร คุณสรีรัตน์ บัวอุไร ปภาตพงษ์ ชัยปาณีคุณสุวัฒน์ พรศรีประเสริฐ คุณณรงค์-สุรีย์ วิลัยรัตน์ พระวชิร กาญจนพิศิษฐ์ (ธมฺมวชิโร) ด.ญ. กมลณิชา-กมลธาวัล-กมลธาวิน จักเลิศชัย คุณธีรชัย องค์วิเศษไพบูลย์ และครอบครัว คุณวิไลวรรณ พิริยะกฤต คุณประมุข-วันเพ็ญ ศิริคุรุรัตน์ คุณสามารถ-พิชชาภา-ศุภกร ทองแท่ง คุณประทานพร สังข์สุวรรณ คุณพิษณุ ธีรภาพกุล และครอบครัว คุณสิตารัพภ์ รัตนากร คุณอัครวัต เจียมไชยศรี และครอบครัว ร.ศ.ดร วิภา เจริญภัณฑารักษ์ คุณพิมพ์ชนก ริ้วเหลือง และครอบครัว คุณอารีย์วรรณ พงษ์สุขเวชกุล และครอบครัว คุณปราณี-ดำ ริ เงินวัฒนะ และครอบครัว พญ.อารี และ อาศิร วงศ์ภู่ดี คุณพรมพิศ บริบูรณ์วงศา คุณวนิดา แดงนา คุณธรรมภพ - จุไรรัตน์ - ยศวริศ - อรอรุณ - สุรัตนา สุริสาร คุณชนิกา ทองโคตร และครอบครัว คุณนวลนงพร สกลศิลป์ศิริและครอบครัว คุณกรพรหม ชมพูวิณชกุล คุณนัฐธิชา ชมพูวิณชกุล คุณกฤาณากร ชมพูวิณชกุล คุณพรรวินท์ สุขกลัด คุณวสันต์ สุขสกลัด คุณดวงพร คงมะลวน คุณวรวิทย์ สุขกลัด ด.ช. ปรวัตร์ สีหนาท
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 141 รายนามสำ หรับผู้ที่ร่วมสร้างหนังสือ 100 เล่ม ร.อ.ธิรุตม์ สุวรรณมาศ คุณพลอย ปิ่นแสง คุณวัชรพัฒน์ บุญญสิริ คุณแม่ซู่กิ่ง แซ่เอียก และครอบครัว 105 ลาซานคาร์เซนเตอร์ คุณนิกม์ ธนาภูมิกุล คุณเอก บุลสุข คุณคเดช สุรรังสรรค์ คุณปรัชญา-รสิว์ฌา เสริมสุขสกุลชัย และครอบครัว ร.ต.ดำ รงค์ พิมพ์วงศ์ คุณเจตนิพัฒน์ มี้เจริญ คุณพนิต ศิริพานิชกร และ กีรติกา สุขทองสี คุณวาสนา พงศ์ศิริศาสตร์ คุณวรรณี หล่อกิตติวณิชย์ คุณอัญชนา หล่อกิตติวณิชย์ ครอบครัวจิตภักดี คุณสมชัย-สุปรียา หล่อกิตติวณิชย์ และธีร์ กิตติวรภัทร คุณกมลการต์ คุณหิรัญ คุณกำจัด-สุภิญญา บุญมี คุณณัฐรินทร์ มาลัยพงษ์ คุณ นาตยา ดวงแก้ว และ ครอบครัว คุณ ตามใจ Harvey และ ครอบครัว คุณ Sasi phosri ศะศิ โพธิ์ศรี และครอบรัว คุณภัทรศักดิ์ และ ทวีรัตน์ สงวนเรือง คุณณริณพร - ทวิชัย - ณดล พงษ์นุเศรษฐ์ศิริ คุณเจตนิพัฒน์ มี่เจริญ ตลาดเลิศพรกรุ๊ฟหลังสวน โฟกัสยูสคาร์สุราษฏร์ธานี คุณภาวิรี ชื่นสมทรง คุณนิลุมล บุญมี คุณธราภุช คูหาเปรมกิจ คุณครองทรัพย์ นรินทร์ และครอบครัว คุณพิชญ์สินี ขันทะรีอิ่มใจ และครอบครัว คุณสุภัทรา อิ่มเอม และครอบครัว คุณกัญญ์วรัชญ์ แก้ววิโรจน์ และครอบครัว
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 142 รายนามสำ หรับผู้ที่ร่วมสร้างหนังสือ 100 เล่ม พระธนัท สติสัมปัณโณ คุณเจริญ-คมขำ -ฤตรวัช-คมจิต อุตรธิยางค์ จินนาภา ทีปสว่าง พระอกณิษฐ์ ราชัน และครอบครัว คุณชาญประดิษฐ์ มีลา ครือเกอร์ คุณกุสุมา ครือเกอร์ และครอบครัว คุณสุวัฒน์ มีลา และครอบครัว คุณทิบมาลาพอน บูลม คุณณัฐวุฒิ ศรีสุวรรณ และครอบครัว ครอบครัวศรีสันต์ คลังอะไหล่รังสิต คุณมณฑล จันตราชู คุณกันต์ วรคุปต์ และครอบครัว คุณอมร พรมศรีจันทร์ และครอบครัว คุณพรมพิศ บริบูรณ์วงศา-วนิดา แดงนา คุณศิขเรศจ์ หนองหารพิทักษ์ และครอบครัว ร.ต.อ. ไชยวัฒน์ ไชยนุ คุณอรอรียา อุ่นทรัพย์ คุณอนัญญา พาณิชย์ปรีชากร คุณคัมภีร์ ถาวรพัฒน์ และครอบครัว คุณรชยา ฐานิดาสกุล ภูธนพัฒน์ เกียรติเฉลิมพร คุณ สกุลทิพย์ ชื่นสงวน S & K International education คุณอุทิศ-มารศรี ธัญชวนิช คุณปรีชา หาญจารุภัทร คุณปรียานุช ชาวปากน้ำ คุณปนัดดา สร้อยพวง คุณฐปนรรฆ์ ปิ่นเกตุ คุณหยาดอรุณ สุวรรณพานิช คุณอภิวิภา ชื่นสมทรง คุณเฉลิมวุฒิ บรรจงโรจน์ และครอบครัว คุณวีรวัลย์ สนธิ คุณประพันธ์ เกษดี Eva Tsui Teah chee tiong Wong chee kong See wei seong Suttuapa noivanich miller คณะครูมัธยม โรงเรียน ปรียาโชติ
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 143 รายนามสำ หรับผู้ที่ร่วมสร้างหนังสือ 100 เล่ม คุณกีรติ บุญมาศ และครอบครัว คุณชนินทร์ ทองกร และครอบครัว คุณเกรียงไกร สุรธรรมทวี และครอบครัว คุณพิชญากร มงคลชาติ และครอบครัว คุณลลิตา เกิดศิริ และครอบครัว คุณธิดารัตน์ จิตนิยม และครอบครัว คุณอัญชลีพร กุลมลิวัลย์ และครอบครัว คุณสมศักดิ์ แซโง้ว คุณรักษิกา บุญทอง คุณเอกราช แจ้งอัมพร คุณสุวิมล ชนาวิรัตน์ คุณณัฐฐา ชนาวิวัฒน์ คุณมัณทนา – ชัชวาล ชนาวิวัฒน์ คุณจิรสุดา น้อยวานิช และครอบครัว คุณธันธนาภา พุทธานนท์ ช.เจริญยนต์ และผู้ที่ร่วมสร้างหน้งสือไม่ประสงค์ออกนาม คณะผู้จัดทำ หนังสือ ขออนุโมทนาบุญกับผู้ร่วมบุญทุกท่าน ในเจตนาอันเป็นกุศลที่มีความตั้งใจเผยแพร่คำสอนของ หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้ศึกษาเป็น แนวทางและนำ มาปฏิบัติให้ถึงซึ่งความพ้นทุกข์ ภายใต้หลัก ธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอจงเป็นเหตุปัจจัย ให้ผู้ที่มีส่วนร่วมในหนังสือเล่มนี้ และ ผู้ที่ได้อ่าน ได้ศึกษา พึงเกิดปัญญาเห็นแจ้ง พ้นจากทุกข์ ได้ดวงตาเห็นธรรม เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาตินี้เทอญ ขออนุโมทนา คณะผู้จัดทำ หนังสือ
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 144 การ ไม่ทำ บาปทั้งปวง บำ เพ็ญกุศลให้ถึงพร้อม ทำจิตใจของตนให้ผ่องใส ไม่ว่าร้ายผู้อื่น ไม่ทำ ร้ายผู้อื่น ความมีศีลสำ รวม รู้จักบริโภคแต่พอดี อยู่ในที่อันสงัด ประกอบความพากเพียรทางจิต นี้คือคำสอนของ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (จาก พระพุทธมนต์ ฉบับ ตามลอย พระบาทศาสดา อินเดีย-เนปาล)
๗๑ โอวาทธรรมคำสอน หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก 145 “ดูก่อนคหบดีบุตร มารดาบิดาเป็นทิศเบื้องหน้า อันบุตรพึงบำ รุงด้วยสถาน ๕ อย่างคือ ด้วยตั้งใจว่า ท่านได้เลี้ยงเรามา เราจักเลี้ยงท่านตอบอย่าง ๑ เราจัก ทำกิจของท่านอย่าง ๑ เราจักดำ รงวงศ์สกุลอย่าง ๑ เราจักปฏิบัติตนให้เป็นผู้สมควรรับทรัพย์มรดกอย่าง ๑ ก็หรือเมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว เราจักทำ บุญอุทิศให้ท่านอย่าง ๑” “ดูก่อนคหบดีบุตร มารดาบิดา ผู้เป็นทิศเบื้องหน้า อันบุตรพึงบำ รุงด้วยสถาน ๕ อย่างเหล่านี้แล้ว ย่อม อนุเคราะห์บุตรด้วยสถาน ๕ อย่างคือ ห้ามบุตรจาก ความชั่วอย่าง ๑ ให้ตั้งอยู่ในความดีอย่าง ๑ ให้ศึกษา ศิลปวิทยาอย่าง ๑ ให้ประกอบด้วยภรรยาที่สมควร อย่าง ๑ มอบทรัพย์สมบัติที่ตนควรให้ในสมัยอย่าง ๑” “ดูก่อนคหบดีบุตร มารดาบิดาเป็นทิศเบื้องหน้า อันบุตรพึงบำ รุงด้วยสถาน ๕ อย่างเหล่านี้แล้ว ย่อม อนุเคราะห์บุตรด้วยสถาน ๕ อย่างเหล่านี้แล ทิศเบื้อง หน้านั้น ชื่อว่าอันบุตรปกปิดไว้ให้เกษมสำ ราญไม่มีภัย ด้วยประการฉะนี้” ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค สิงคาลกสูตร