การศกึ ษาการผลติ และการตลาดกาแฟอาราบิกา
ของวสิ าหกิจชุมชน จงั หวดั น่าน
A study on the production and marketing of
Arabica coffee by community enterprises
in Nan Province
สำนักงำนเศรษฐกิจกำรเกษตรที่ 2 REGIONAL OFFICE OF AGRICULTURAL ECONOMICS 2
สำนกั งำนเศรษฐกิจกำรเกษตร OFFICE OF AGRICULTURAL ECONOMICS
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ MINISTRY OF AGRICULTURE AND COOPERATIVES
เอกสำรวิจัยเศรษฐกิจกำรเกษตรเลขที่ 103 AGRICULTURAL ECONOMICS RESEARCH NO. 103
กันยำยน 2563 SEPTEMBER 2020
การศึกษาการผลิตและการตลาดกาแฟอาราบิกาของวิสาหกจิ ชมุ ชน
จงั หวัดนา่ น
โดย
สำนักงานเศรษฐกจิ การเกษตรท่ี 2 พิษณโุ ลก
สำนักงานเศรษฐกจิ การเกษตร
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
(ข)
บทคัดย่อ
การศึกษาการผลติ และการตลาดกาแฟอาราบิกาของวิสาหกิจชมุ ชน จังหวัดน่าน มีวัตถุประสงค์
เพื่อศึกษาต้นทุนและผลตอบแทนจากการผลิตกาแฟอาราบิกาของเกษตรกรที่เป็นสมาชิกของวิสาหกิจ
ชุมชน จังหวัดน่าน รวมถึงศึกษาและวิเคราะห์ส่วนประสมการตลาด วิถีการตลาด และส่วนเหลื่อมการตลาด
ของผูท้ ี่เก่ียวขอ้ งตงั้ แต่เกษตรกร วิสาหกจิ ชมุ ชน โรงค่ัวกาแฟ และรา้ นกาแฟ รวมถึงประเด็นปญั หาอุปสรรค
ต่างๆ โดยรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟอาราบิกาท่ีรวมกลุ่มในรูปของวิสาหกิจ
ชุมชนในพื้นท่ีจังหวัดน่าน รวมท้ังส้ิน 196 ตัวอย่าง และผู้ประกอบการ จำนวน 10 ตัวอย่าง โดยใช้ข้อมูล
ปฐมภมู ิและข้อมูลทุตยิ ภมู ิมาวเิ คราะหใ์ นเชิงปรมิ าณและเชงิ คณุ ภาพ
ผลการศกึ ษา พบวา่ เกษตรกรมีตน้ ทุนการผลิตรวมเฉล่ียไร่ละ 6,507.08 บาท จำแนกเป็นตน้ ทุน
ผันแปรเฉลี่ยไร่ละ 4,675.61 บาท คิดเป็นร้อยละ 71.85 ของต้นทุนรวมต่อไร่ และต้นทุนคงที่เฉล่ียไร่ละ
1,831.47 บาท คิดเป็นรอ้ ยละ 28.15 ของต้นทุนรวมต่อไร่ โดยเกษตรกรเกบ็ เกย่ี วผลผลติ สารกาแฟได้เฉลี่ย
ไร่ละ 73 กิโลกรัม และราคาท่ีเกษตรกรขายได้เฉลี่ยอยู่ที่กิโลกรัมละ 165.55 บาท ดังนั้น เกษตรกรจะมีรายได้
เฉล่ียไร่ละ 12,085.15 บาท เมื่อหักต้นทุนการผลิตต่อไร่ออกแล้ว เกษตรกรได้รับผลตอบแทนสุทธิหรือกำไร
เฉล่ียไร่ละ 5,578.07 บาท หรือกิโลกรัมละ 76.41 บาท ท้ังน้ี ในส่วนของต้นทุนผันแปร พบว่าค่าแรงงาน
มีต้นทุนมากท่ีสุด คิดเป็นร้อยละ 47.32 ของต้นทุนรวมต่อไร่ รองลงมาได้แก่ ค่าวัสดุ คิดเป็นร้อยละ 20.14
ของต้นทุนรวมต่อไร่ สำหรับต้นทุนคงท่ี พบว่าค่าเฉล่ียต้นทุนก่อนให้ผลผลิตมีต้นทุนมากท่ีสุด คิดเป็นร้อยละ
16.76 ของต้นทุนรวมต่อไร่ รองลงมาได้แก่ ค่าเช่าดิน และค่าเส่ือมอุปกรณ์การเกษตร ตามลำดับ ดังนั้น จะเห็น
ได้วา่ การผลติ กาแฟอาราบิกาของเกษตรกรมตี ้นทนุ แรงงาน และตน้ ทุนค่าปุย๋ ที่คอ่ นข้างสูง
ด้านส่วนประสมการตลาด พบว่าผลิตภัณฑ์ควรจะต้องเลือกใช้กาแฟสายพันธ์ุอาราบิกา 100%
ที่มีคุณภาพ รสชาติดี กลมกล่อม มีกลิ่นหอมของกาแฟ และจะต้องมีให้เลือกหลากหลายผลิตภัณฑ์มากขึ้น
เพื่อให้เป็นท่ียอมรับของตลาด บรรจุภัณฑ์ที่ใช้จะต้องมีเอกลักษณ์ และตราสินค้ามีรูปแบบที่สวยงาม
รวมถึงควรเพิ่มช่องทางการจำหน่ายออนไลน์ให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มความสะดวกและรวดเร็ว ส่วนราคาควร
มคี วามเหมาะสมเมื่อเทยี บกับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ผู้บริโภคยินดีจา่ ยเงินเพือ่ แลกกับความพึงพอใจ
หรือผลประโยชน์ท่ีจะได้รับ เน่ืองจากราคาเป็นส่วนสำคัญท่ีมีผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์กาแฟ และ
ควรมีการส่งเสริมการตลาดโดยให้ส่วนลดราคา พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ผ่านส่ือต่างๆ รวมท้ังเพิ่มการเข้า
รว่ มงานแสดงสินคา้ ท่เี ก่ียวข้องกับกาแฟ เพอ่ื ให้เป็นรจู้ ักในวงกว้างมากข้ึน
ด้านวิถีการตลาด พบว่าเกษตรกรจะจำหน่ายผลผลิตให้แก่วิสาหกิจชุมชนทั้งหมดท้ังในรูปผลผลิต
กาแฟสด (เชอรี่) กาแฟกะลา และสารกาแฟ (ท่ียังไม่ผ่านการค่ัว) เม่ือวิสาหกิจชุมชนรับซ้ือผลผลิตแล้วจะ
นำไปแปรรูปเป็นสารกาแฟ โดยจะจำหน่ายให้แก่ร้านกาแฟมากท่ีสุด ร้อยละ 57 และจำหน่ายให้แก่โรงคั่ว
กาแฟ ร้อยละ 40 เม่ือโรงคั่วกาแฟรับซ้ือสารกาแฟมาจากวิสาหกิจชุมชนแล้ว จะนำไปแปรรูปเป็นเมล็ด
กาแฟค่ัว เพ่ือจำหน่ายให้แก่ร้านกาแฟท้ังหมด สำหรับสารกาแฟ (ที่ยังไม่ผ่านกาแฟค่ัว) ร้านกาแฟท่ีมีโรงคั่วเป็น
ของตนเอง จะนำมาแปรรูป (ค่ัว) เป็นเมล็ดกาแฟคั่วบดเพ่ือชงเป็นเครื่องดื่มกาแฟสด และมีบางส่วนจำหน่าย
เปน็ เมล็ดกาแฟคั่วบรรจซุ องใหแ้ กผ่ ้บู ริโภค รอ้ ยละ 97
(ค)
ด้านสว่ นเหล่อื มการตลาด กรณวี ิสาหกจิ ชุมชนรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรเพ่ือจำหน่ายให้แกโ่ รงคั่ว
กาแฟ พบวา่ วสิ าหกจิ ชมุ ชนมสี ่วนเหลอ่ื มการตลาดจากการจำหนา่ ยสารกาแฟให้แก่โรงคั่วกาแฟ กิโลกรมั ละ
359.45 บาท คิดเป็นร้อยละ 7.99 ของราคาขายปลีก และโรงคั่วกาแฟ มีส่วนเหล่ือมการตลาดจากการ
จำหน่ายสารกาแฟให้แกร่ ้านกาแฟ กิโลกรัมละ 990 บาท คิดเป็นร้อยละ 22 ของราคาขายปลีก และร้านกาแฟ
มีส่วนเหล่ือมการตลาดจากการจำหน่ายสารกาแฟให้แก่ผู้บริโภค กิโลกรัมละ 2,985 บาท คิดเป็นร้อยละ
66.33 ของราคาขายปลีก และกรณีวิสาหกิจชุมชนรับซ้ือผลผลิตจากเกษตรกรเพ่ือจำหน่ายให้แก่รา้ นกาแฟ
พบว่าวิสาหกิจชุมชนมีส่วนเหล่ือมการตลาดจากการจำหน่ายสารกาแฟให้ร้านกาแฟ กิโลกรัมละ 1,084.45 บาท
คดิ เป็นร้อยละ 24.10 ของราคาขายปลีก และร้านกาแฟมีส่วนเหล่ือมการตลาดจากการจำหน่ายสารกาแฟ
ให้แก่ผู้บริโภค กิโลกรัมละ 3,250 บาท คิดเป็นร้อยละ 72.22 ของราคาขายปลีก ดังนั้น เมื่อพิจารณาท้ัง
2 กรณี พบว่ากรณีวิสาหกิจชุมชนรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรเพ่ือจำหน่ายให้แก่ร้านกาแฟน้ัน มีส่วนเหล่ือม
การตลาดและได้รับกำไรท่ีสูงกว่ากรณีรับซื้อเพ่ือจำหน่ายให้แก่โรงค่ัวกาแฟ อย่างไรก็ตาม การดำเนินกิจกรรม
ในลักษณะดังกล่าว จะมีต้นทุนการตลาดที่สูงข้ึนด้วยเช่นกัน เม่ือพิจารณาตลอดเส้นทางการจำหน่ายกาแฟ
อาราบิกาตั้งแต่เกษตรกรไปจนถึงผู้บริโภค พบว่าร้านกาแฟเป็นหน่วยธุรกิจท่ีมีส่วนเหล่ือมการตลาดและ
กำไรสุทธิมากที่สุด เน่ืองจากสามารถสร้างมูลค่าเพ่ิมได้มากจากการแปรรูปสารกาแฟให้เป็นผลิตภัณฑ์กาแฟ
เพ่อื จำหน่ายใหแ้ ก่ผ้บู รโิ ภค
จากการศึกษาดังกล่าวมีข้อเสนอแนะในด้านการผลิต กล่าวคือ ภาครัฐควรสนับสนุนเทคโนโลยี
ที่ช่วยในการผลิต การดูแลรักษา รวมถึงการเก็บเกี่ยว เพื่อทดแทนแรงงานคนให้มากขึ้น รวมทั้งสนับสนุนปัจจัย
การผลิตเพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกร นอกจากนี้ควรสนับสนุนเทคโนโลยีในการแปรรูปให้
เกษตรกรหรือวิสาหกจิ ชุมชน เน้นการสรา้ งกลุ่มของเกษตรกรให้มีความเข้มแข็ง และสามารถผลิตกาแฟที่มี
คุณภาพได้ ในส่วนของด้านการตลาด ควรให้มีการจัดเวทีให้มีการแลกเปล่ียนเรียนรู้ หรือจัดการแข่งขัน
ประกวดการค่ัวกาแฟ เพ่ือยกระดับโรงคั่วกาแฟให้มีมาตรฐานมากยิ่งข้ึน และควรสนับสนุนให้สามารถ
เข้าถงึ แหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น ตลอดจนประชาสัมพันธ์กาแฟคุณภาพของจังหวดั ให้เป็นที่รจู้ ักแก่ผู้บริโภคมากข้ึน
เพอ่ื ชว่ ยสนับสนุนการเตบิ โตของกาแฟคุณภาพในอนาคต
คำสำคัญ: กาแฟอาราบิกา, สว่ นประสมการตลาด, ตน้ ทุนและผลตอบแทน, สว่ นเหลอ่ื มการตลาด
(ง)
Abstract
A study on the production and marketing of Arabica coffee by community enterprises
in Nan Province, was aimed to study the cost and return of Arabica coffee production of
farmers who were members of the Nan community enterprise, as well as to study and
analyze the marketing mix, marketing methods, and marketing equities of those all
involved that consisted of farmers, community enterprises, coffee roasters,and coffee
shops, including issues and obstacles. Data were collected from interviews with Arabica
coffee farmers who were grouped in the form of community enterprises in Nan province,
a total of 196 samples and 10 samples of entrepreneurs. A data collected were analyzed
to explain production costs, marketing mix, marketing method, and market share of
Arabica coffee.
The results of the study revealed that farmers had an average production cost of
6,507.08 baht per rai, classified as the average variable cost of 4,675.61 baht per rai or
71.85 percent of the total cost per rai. The average fixed cost is 1,831.47 baht per rai or
28.15 percent of the total cost per rai. Farmers harvested coffee products at an average
of 73 kilograms per rai and the average price sold by farmers was 165.55 baht per
kilogram, so farmers earn an average of 12,085.15 baht per rai when the production cost
per rai has been deducted. It showed that farmers received a net return or an average
profit of 5,578.07 baht per rai or equivalent to 76.41 baht per kilogram, In terms of a
variable cost, It was found that labor cost was the most accounting for 47.32 percent of
the total cost per rai, followed by the cost of materials accounting for 20.14 percent of
the total cost per rai, respectively. For the fixed cost, it was found that the cost averages
before yielding were the highest. Accounting for 16.76 percent of the total cost per rai,
followed by the land rental and depreciation of agricultural equipment, respectively.
Therefore, it could seen that farmers' Arabica coffee production has labor costs and a
relatively high cost of fertilizer.
In terms of the marketing mix, found that the product should be selected to use
100% Arabica coffee varieties with good quality, mellow taste, the aroma of coffee must
have a wider selection of products to be accepted by the market. The packaging must be
unique and the brand has beautiful patterns and also farmers should add more online
distribution channels for added convenience and speed. The price should be reasonable
(จ)
compared to the quality of the product to make consumers willing to pay money in
exchange for satisfaction or benefit. And also the price has played an important role in
deciding to buy coffee products. Therefore, there should be a marketing promotion by
giving a discount on the price, including public relations through various media. As well as,
to increase of attending coffee-related fairs to become more broadly known.
For the marketing channels issue, it was found that farmers distributed their
products to all community enterprises in the form of fresh coffee (cherry), kala coffee,
and coffee substances (not roasted). Then the community enterprises would be
processed their produce into coffee substances which distributed to most coffee shops
57 percent and 40 percent to coffee roasters, then the coffee roasters would be
processed into roasted coffee beans to sell to all coffee shops. For coffee substances
(not roasted coffee), the coffee shop which had its own roasting plant would be
processed (roasted) into roasted coffee beans that made a fresh coffee drink, and some
were sold as roasted coffee beans in packets to 97 percent of consumers.
In the case of the market margin, there were 2 cases, as follows: (1) the
community enterprises bought produce from farmers for distribution to coffee roasters, it
was found that community enterprises had market margins from selling coffee substances
to roasting plants at 359.45 baht per kilogram or 7.99 percent of the final retail price and
coffee roasters. The market gap from selling coffee substances to coffee shops was 990
baht per kilogram or 22% of the final retail price. The coffee shops had market margins
from selling coffee substances to consumers at 2,985 baht per kilogram or 66.33 percent
of the final retail price. (2) the community enterprises bought produce from farmers for
distribution to coffee shops, it was found that community enterprises had market margins
from selling coffee substances to coffee shops, 1,084.45 baht per kilogram, or 24.10
percent of the final retail price. The coffee shops had market disparities from selling
coffee substances to consumers was 3,250 baht per kilogram or 72.22 percent of the final
retail price. Therefore, when considering both cases, it was showed that the first case
could create a market share and received a higher profit than in the case of buying to sell
to a coffee roaster. However, the two cases in line were rather l be higher marketing costs
as well. Considering throughout the Arabica coffee distribution route from farmers to
(ฉ)
consumers. It was found that the coffee shop was the business unit with the most market
share and net profit from both cases because it could create value-added from the
processing of coffee substances into coffee products to be sold to the consumer.
This study proposed the following recommendations for production: The government
should support technology that would help produce, maintain, and harvest for replacing
more human labor. As well as supporting the factors of production to help reduce
production costs for farmers. In addition, it should support technology for processing for
farmers or community enterprises. The Focus on building a group of farmers to be strong
and able to produce quality coffee. In terms of marketing, a forum for the exchange of
knowledge should be organized or hold a coffee roasting contest to raise the level of a
coffee roaster to be more standard and should encourage easy access to funding, as well
as promote quality coffee of the province which to be known to more consumers for
supporting the growth of quality coffee in the future.
Keywords: Arabica Coffee, Marketing Mix, Cost, and Returns, Marketing Margin
(ช)
คำนำ
การศึกษาการผลิตและการตลาดกาแฟอาราบิกาของวิสาหกิจชุมชน จังหวัดน่าน เพ่ือให้ทราบถึงต้นทุน
และผลตอบแทนจากการปลูกกาแฟอาราบิกาของเกษตรกร ซ่ึงรวมกลุ่มเป็นสมาชิกของวิสาหกิจชุมชน
รวมทั้งเพื่อทราบถึงส่วนประสมทางการตลาด วิถีตลาด และส่วนเหลื่อมการตลาดของกาแฟอาราบิกาจังหวัดน่าน
ซึ่งผลจากการศึกษาวิจัยในคร้ังนี้ สามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลสนับสนุนให้แก่หน่วยงานและผู้ที่เก่ียวข้อง
ประกอบการพิจารณาเพื่อหาแนวทางในการบริหารจัดการสินค้ากาแฟอาราบิกาได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
รวมทัง้ เกิดประโยชนส์ ูงสดุ แก่เกษตรกรตอ่ ไป
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรท่ี 2 สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ขอขอบพระคุณผู้ท่ีมีส่วนเก่ียวข้อง
ทุกท่าน ทั้งเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในพ้ืนท่ีจังหวัดน่าน ท่ีให้ความ
อนุเคราะห์ในการตดิ ต่อประสานงาน ตลอดจนได้รับความรว่ มมือและข้อมูลเปน็ อย่างดียง่ิ ทง้ั น้ี ขอขอบพระคุณ
คณะกรรมการพิจารณาโครงการวิจัยและประเมินผล สำนกั งานเศรษฐกจิ การเกษตร ทใ่ี หค้ วามช่วยเหลือช้แี นะ
แนวทางด้านวิชาการอันเป็นผลทำให้เอกสารวิจัยฉบับนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี และหวังเป็นอย่างย่ิงว่าจะเป็ น
ประโยชน์ต่อผมู้ สี ่วนเกี่ยวขอ้ ง และผู้ทส่ี นใจตอ่ ไป
สว่ นวจิ ยั และประเมินผล
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรท่ี 2
กันยายน 2563
(ฌซ) หนา้
(ข)
สารบัญ (ช)
(ซ)
เรอื่ ง (ฌ)
บทคดั ยอ่ (ญ)
คำนำ
สารบญั 1
สารบัญตาราง 2
สารบญั ภาพ 2
บทท่ี 1 บทนำ 3
4
1.1 ความสำคัญของการวจิ ัย 6
1.2 วัตถุประสงค์ของการวจิ ัย
1.3 ขอบเขตของการวจิ ยั 7
1.4 นยิ ามศพั ท์ 9
1.5 วธิ ีการวิจยั
1.6 ประโยชน์ทค่ี าดวา่ จะได้รับ 18
บทท่ี 2 การตรวจเอกสาร แนวคดิ และทฤษฎี 29
2.1 การตรวจเอกสาร 32
2.2 แนวคิดและทฤษฎี
บทที่ 3 ข้อมูลท่วั ไป 35
3.1 สถานการณ์กาแฟ 38
3.2 ขอ้ มลู ท่ัวไปของการผลิตกาแฟอาราบิกา 41
3.3 ขอ้ มลู วิสาหกิจชุมชนกาแฟอาราบิกาจงั หวัดน่าน 44
บทท่ี 4 ผลการวจิ ยั 48
4.1 ตน้ ทุนการผลิตและผลตอบแทนกาแฟอาราบิกา
4.2 ส่วนประสมการตลาดกาแฟอาราบกิ า 49
4.3 วถิ ีการตลาดกาแฟอาราบิกา 52
4.4 สว่ นเหล่อื มการตลาดกาแฟอาราบิกา 54
4.5 ข้อคน้ พบจากการศึกษา 57
บทที่ 5 สรุปและข้อเสนอแนะ
5.1 สรปุ ผลการศกึ ษา
5.2 ขอ้ เสนอแนะ
บรรณานกุ รม
ภาคผนวก
(ฌ)
สารบัญตาราง หนา้
4
ตารางที่ 1.1 จำนวนตวั อย่างของเกษตรกรผปู้ ลูกกาแฟแยกตามชว่ งอายุของกาแฟ 18
ตารางที่ 3.1 ผลผลิตกาแฟของโลก ปี 2558 - 2562 19
ตารางท่ี 3.2 ความต้องการใช้กาแฟของโลก ปี 2558 - 2562 20
ตารางที่ 3.3 ปรมิ าณการส่งออกเมล็ดกาแฟและกาแฟสำเร็จรูปของโลก ปี 2558 - 2562 21
ตารางท่ี 3.4 ปริมาณการสง่ ออกเมล็ดกาแฟของโลก ปี 2558 - 2562 21
ตารางที่ 3.5 ปรมิ าณการส่งออกกาแฟสำเร็จรูปของโลก ปี 2558 - 2562 22
ตารางที่ 3.6 ปริมาณการนำเข้าเมลด็ กาแฟและกาแฟสำเร็จรปู ของโลก ปี 2558 - 2562 23
ตารางท่ี 3.7 ปรมิ าณการนำเขา้ เมลด็ กาแฟของโลก ปี 2558 - 2562 23
ตารางท่ี 3.8 ปรมิ าณการนำเขา้ กาแฟสำเรจ็ รูปของโลก ปี 2558 - 2562 24
ตารางที่ 3.9 ราคาเมลด็ กาแฟดบิ ปี 2558 - 2562 25
ตารางท่ี 3.10 เนื้อที่ให้ผล ผลผลิต และผลผลติ ตอ่ ไรก่ าแฟของไทย ปี 2558 - 2562 26
ตารางท่ี 3.11 เนื้อทีใ่ หผ้ ล ผลผลิต และผลผลิตตอ่ ไร่กาแฟอาราบกิ ารายจังหวดั ปี 2558 - 2562 27
ตารางท่ี 3.12 ความตอ้ งการใชเ้ มลด็ กาแฟของโรงงานแปรรูปในประเทศ ปี 2558 - 2562 27
ตารางที่ 3.13 ปรมิ าณและมลู ค่าการส่งออกเมลด็ กาแฟและกาแฟสำเรจ็ รปู ปี 2558 - 2562 28
ตารางท่ี 3.14 ปริมาณและมลู คา่ การนำเขา้ เมลด็ กาแฟและกาแฟสำเร็จรปู ปี 2558 - 2562 29
ตารางที่ 3.15 ราคาเมล็ดกาแฟพนั ธุอ์ าราบิกาที่เกษตรกรขายได้ ปี 2558 - 2562 29
ตารางที่ 3.16 อายุของตน้ กาแฟ และจำนวนต้นพันธุก์ าแฟต่อไร่ 30
ตารางท่ี 3.17 แหล่งน้ำทใ่ี ชใ้ นการปลกู กาแฟของเกษตรกร 31
ตารางท่ี 3.18 เหตผุ ลในการตัดสนิ ใจปลกู กาแฟอาราบิกาของเกษตรกร 31
ตารางท่ี 3.19 การจำหนา่ ยผลผลติ กาแฟอาราบิกาของเกษตรกร 32
ตารางท่ี 3.20 วสิ าหกจิ ชมุ ชนกาแฟอาราบิกา จังหวดั นา่ น 33
ตารางที่ 3.21 ลกั ษณะการดำเนนิ ธุรกิจของวิสาหกจิ ชมุ ชน 34
ตารางท่ี 3.22 การจำหน่ายกาแฟของวิสาหกิจชุมชน 36
ตารางที่ 4.1 ต้นทนุ การผลติ กาแฟอาราบกิ า โดยแบ่งตามช่วงอายุของการผลติ ปี 2562 38
ตารางที่ 4.2 ต้นทุนและผลตอบแทนจากการผลิตกาแฟอาราบกิ า ปี 2562
ตารางท่ี 4.3 ส่วนเหลอื่ มการตลาดกรณีวิสาหกจิ ชุมชนรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรเพือ่ จำหน่าย 45
46
ให้แกโ่ รงคัว่ กาแฟ
ตารางท่ี 4.4 สว่ นเหลอ่ื มการตลาดกรณวี ิสาหกิจชุมชนรับซ้ือผลผลติ จากเกษตรกรเพ่ือจำหน่าย
ให้แกร่ ้านกาแฟ
((ญฌ)) หนา้
สารบญั ภาพ 39
43
ภาพที่ 4.1 ช่องทางการจัดจำหนา่ ยกาแฟอาราบกิ าของวิสาหกิจชมุ ชน จังหวดั นา่ น
ภาพที่ 4.2 วิถีการตลาดกาแฟอาราบิกา จังหวดั นา่ น
บทที่ 1
บทนำ
1.1 ความสำคญั ของการวจิ ัย
ปัจจุบันทั่วโลกมีการปลูกกาแฟกระจายอยู่กว่า 60 ประเทศ โดยช่วงปี 2558 - 2562 ผลผลิตกาแฟของโลก
เพิม่ ข้ึนจาก 9.23 ล้านตัน ในปี 2558 เปน็ 10.47 ลา้ นตนั ในปี 2562 หรอื เพ่ิมขึ้นร้อยละ 2.93 ตอ่ ปี เน่ืองจาก
ประเทศบราซิลซ่ึงเป็นผู้ผลิตกาแฟรายใหญ่ มีสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยและปริมาณน้ำฝนเพียงพอในช่วงท่ี
กาแฟกำลังบานดอกและติดผล รวมถึงมีระบบการจัดการด้านการปลูกที่ดี ส่งผลให้ผลผลิตกาแฟของโลกเพ่ิมข้ึน
ขณะท่ีความต้องการใช้เมล็ดกาแฟของโลกเพิ่มข้ึนจาก 8.74 ล้านตัน ในปี 2558 เป็น 9.83 ล้านตัน ในปี 2562
หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.83 ต่อปี โดยประเทศท่ีมีความต้องการใช้เมล็ดกาแฟมากท่ีสุด ได้แก่ สหภาพยุโรป
สหรฐั อเมริกา และบราซลิ ตามลำดบั (สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2562)
กาแฟเป็นพืชท่ีมีศักยภาพอีกชนิดหน่ึงของประเทศไทย เนื่องจากสามารถสร้างรายได้ให้แก่ประเทศปีละ
5,500 ลา้ นบาท (ยุทธศาสตร์กาแฟ, 2560 - 2564) ปัจจุบันมเี กษตรกรปลกู กาแฟกระจายอยตู่ ามแหลง่ ตา่ งๆ มากกว่า
27,000 ครัวเรือน แต่สถานการณ์การผลิตในช่วงปี 2558 - 2562 เน้ือท่ีให้ผลและผลผลิตมีแนวโน้มลดลงอย่าง
ตอ่ เน่ือง โดยลดลงจาก 251,433 ไร่ และ 26,089 ตัน ในปี 2558 เหลือ 230,027 ไร่ และ 24,614 ตนั ในปี 2562
หรือลดลงร้อยละ 1.65 และร้อยละ 3.68 ต่อปี ตามลำดับ เนื่องจากเกษตรกรโค่นต้นกาแฟท่ีไม่สมบูรณ์และอายุมาก
ออกเพ่ือทำการปลูกใหม่ รวมทั้งโค่นต้นกาแฟท่ีปลูกแซมพืชอื่นที่เร่ิมให้ผลผลิตแล้ว (สำนักงานเศรษฐกิจ
การเกษตร, 2562) สำหรบั สายพันธ์ุกาแฟท่ีนิยมปลูกในประเทศไทยมีอยู่ 2 สายพันธุห์ ลักๆ ได้แก่ สายพันธุ์โรบัสต้า
ซึ่งนิยมปลูกมากในแถบพื้นที่ภาคใต้ เช่น จังหวัดระนอง ชุมพร และสุราษฎร์ธานี เป็นต้น และสายพันธ์ุอาราบิกา
ซ่ึงเป็นสายพันธ์ุที่เจริญเติบโตได้ดีในสภาพภูมิอากาศหนาวเย็น และมีความสูงกว่าระดับน้ำทะเลต้ังแต่ 700
เมตรขึ้นไป จึงนิยมปลกู มากในแถบพืน้ ทภ่ี าคเหนอื ตอนบน เช่น จังหวัดเชียงใหม่ เชยี งราย และน่าน เป็นตน้
สำหรบั การปลูกกาแฟสายพันธุ์อาราบกิ าในเขตพื้นทภี่ าคเหนือตอนบน มีแหล่งปลูกที่สำคัญ ไดแ้ ก่ จังหวัด
เชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง แม่ฮ่องสอน และน่าน ตามลำดับ การศึกษาในคร้ังนี้ได้เลือกจังหวัดน่าน เน่ืองจาก
มีลักษณะเป็นพนื้ ท่สี ูงและมีอากาศหนาวเยน็ จงึ มีความเหมาะสมทจ่ี ะปลกู กาแฟอาราบิกา อีกท้ังการปลูกกาแฟ
อาราบิกายังช่วยลดปัญหาการทำลายป่าและช่วยรักษาสภาพแวดล้อม เนื่องจากเป็นพืชไม้ยืนต้นท่ีอาศัยการ
ปลกู ภายใต้รม่ เงาต้นไม้ใหญ่ ส่งผลให้ต้นกาแฟไม่เสื่อมโทรมและมีช่วงอายุการให้ผลผลิตท่ียาวนาน นอกจากน้ี
ยงั มีตลาดรองรบั ผลผลิตของเกษตรกรที่แนน่ อน มีโรงคั่วกาแฟมากกว่า 20 โรง และมีการขับเคลื่อนการพัฒนา
สินคา้ กาแฟระดบั จงั หวดั โดยหน่วยงานภาครฐั และภาคเอกชน รวมท้ังเกษตรกรมกี ารรวมกลมุ่ การปลกู และแปร
รูปผลผลิตในรูปของวิสาหกิจชุมชนอย่างเข้มแข็ง สำหรับปี 2562 เนื้อท่ีปลูกเพิ่มขึ้นจาก 5,035 ไร่ ในปี 2561
เป็น 5,218 ไร่ ในปี 2562 หรือเพ่ิมข้ึนรอ้ ยละ 3.63 เน่ืองจากเกิดการขยายเน้ือที่ปลูกในพ้ืนที่อำเภอแม่จริม และท่า
วังผา โดยการส่งเสริมของหน่วยงานท้ังภาครัฐและภาคเอกชนที่เก่ียวข้อง ส่วนเนื้อท่ีให้ผลลดลงจาก 4,440 ไร่
ในปี 2561 เป็น 4,352 ไร่ ในปี 2562 หรือลดลงร้อยละ 2.07 ขณะที่ผลผลิตและผลผลิตต่อไร่ มีปริมาณลดลงจาก
497 ตัน และ 112 กิโลกรัม ในปี 2561 เหลือ 326 ตัน และ 72 กิโลกรัม ในปี 2562 หรือลดลงร้อยละ 34.41
2
และร้อยละ 35.71 ตามลำดับ เน่ืองจากประสบปัญหาสภาพอากาศแห้งแล้ง ส่งผลให้ต้นกาแฟติดดอกน้อย
รวมถึงพบมอดที่ฝังอยู่ในผลกาแฟ โดยเน้ือท่ีปลูกร้อยละ 92 จะเป็นกาแฟสายพันธ์ุอาราบิกา ส่วนที่เหลือจะ
เป็นกาแฟสายพันธุ์โรบัสต้า ในปี 2562 เกษตรกรมีการจำหน่ายผลกาแฟสดในราคากิโลกรัมละ 15 - 20 บาท และ
สารกาแฟกโิ ลกรัมละ 150 - 180 บาท (สำนกั งานเกษตรและสหกรณจ์ ังหวัดน่าน, 2562) ซงึ่ คอ่ นขา้ งสงู เมอ่ื เทียบ
กับราคาเฉล่ียทั้งประเทศของผลกาแฟสดที่เฉลี่ยกิโลกรัมละ 14 บาท และสารกาแฟท่ีเฉล่ียกิโลกรัมละ 106 บาท
(สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2562) โดยเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟที่รวมกลุ่มในรูปของวิสาหกิจชุมชนท่ีสำคัญ
จะอยู่ในเขตพื้นที่อำเภอบ่อเกลือ ท่าวังผา เฉลิมพระเกียรติ และทุ่งช้าง มีกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานตาม
ความต้องการของตลาด จึงได้รับการส่งเสริมจากหน่วยงานภาครัฐ ซ่ึงสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนายุทธศาสตร์
กาแฟ ปี 2560 - 2564 ที่มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตกาแฟให้มีคุณภาพ สร้างความเข้มแข็งของกลุ่ม
หรือสถาบันเกษตรกร ตลอดจนเพ่ิมประสิทธิภาพการแข่งขันด้านการตลาด ดังนั้น การรวมกลุ่มเกษตรกรในรูป
ของวิสาหกิจชุมชน จึงเป็นแนวทางหน่ึงในการผลักดันให้เกษตรกรสามารถพัฒนาการผลิตและการแปรรูปผลผลิต
เพือ่ เพม่ิ มลู คา่ รวมถงึ เพ่มิ ความสามารถในการต่อรองทางการตลาดตลอดจนไปถึงสรา้ งแบรนดผ์ ลติ ภัณฑ์ได้
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 2 ในฐานะหน่วยงานหลักที่ศึกษาวิจัยเศรษฐกิจการเกษตรระดับพ้ืนที่
ได้ตระหนักถึงแนวทางในการเพ่ิมศักยภาพการผลิตและการตลาดกาแฟอาราบิกาของจังหวัดน่าน โดยเฉพาะ
อย่างยง่ิ กับเกษตรกรรายย่อย ประกอบกบั ยังไม่มีการศึกษาวจิ ัยที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและการตลาดกาแฟอาราบิกา
ในพ้ืนท่ีดังกล่าว จึงได้ทำการศึกษาการผลิตและการตลาดกาแฟอาราบิกาของวสิ าหกิจชุมชน เพ่ือให้หน่วยงานที่
เก่ียวข้องใช้เป็นข้อมูลในการส่งเสริมและพัฒนาการผลิตและการตลาดของเกษตรกรรายย่อย รวมทั้งใช้เป็น
แนวทางในการบริหารจัดการสินค้ากาแฟให้เกิดประสิทธิภาพ สามารถดำเนินการแก้ปัญหาต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง
และเหมาะสม ซง่ึ จะเกิดประโยชน์สูงสุดแกเ่ กษตรกรต่อไป
1.2 วัตถุประสงคข์ องการวจิ ัย
1.2.1 เพอื่ ศกึ ษาต้นทนุ และผลตอบแทนจากการผลติ กาแฟอาราบิกาของเกษตรกรจงั หวัดน่าน
1.2.2 เพื่อศกึ ษาสว่ นประสมทางการตลาด วถิ ีการตลาด และสว่ นเหลอื่ มการตลาดกาแฟอาราบกิ าจังหวัดน่าน
1.3 ขอบเขตของการวจิ ยั
1.3.1 พ้ืนท่ีทำการศึกษา คือ อำเภอซึ่งเป็นแหล่งปลูกและเป็นที่ต้ังของวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกกาแฟอาราบิกาที่
สำคัญของจังหวัดน่าน ได้แก่ อำเภอบ่อเกลือ อำเภอท่าวังผา อำเภอเฉลิมพระเกียรติ และอำเภอทุ่งช้าง โดยมี
เน้อื ท่ปี ลกู รวมทั้งหมด 3,222 ไร่ คดิ เปน็ ร้อยละ 66.81 ของเน้ือทปี่ ลูกกาแฟอาราบิกาทั้งจังหวัด
1.3.2 ประชากรกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ เกษตรกรที่รวมกลุ่มในรูปแบบของวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกกาแฟอาราบิกา
และผู้ทม่ี ีส่วนเกี่ยวข้องในโครงสรา้ งตลาด ไดแ้ ก่ วิสาหกิจชุมชน โรงค่ัวกาแฟ และร้านกาแฟ
1.3.3 ระยะเวลาของข้อมูลท่ีทำการศึกษา ปี 2562 ของกาแฟแบบสวนเด่ียวที่มีอายุ 3 ช่วง ได้แก่ ปีปลูก
(กาแฟปีปลูก 0 - 1 ปี) ปีก่อนให้ผลผลิต (กาแฟอายุ 2 - 3 ปี) และปีท่ีให้ผลผลิต (กาแฟอายุตั้งแต่ 4 - 25 ปี)
และเก็บรวบรวมข้อมลู ปฐมภูมติ ้ังแต่ 1 ตลุ าคม 2562 ถงึ 30 กนั ยายน 2563 และใช้ข้อมลู ทตุ ยิ ภมู ิชว่ งปี 2558 -2562
3
1.4 นิยามศพั ท์
1.4.1 กาแฟอาราบิกา (arabica coffee) คือ ชนิดสายพันธ์ุของต้นกาแฟที่มีช่ือวิทยาศาสตร์ว่า Coffea
arabica L. อยู่ในวงศ์ Rubiaceae เป็นสายพันธุ์กาแฟท่ีนิยมปลูกมากที่สุดในโลก สามารถเจริญเติบโตได้ดีใน
พ้ืนท่ีท่ีมีระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางต้ังแต่ 800 - 1,500 เมตร มีอุณหภูมิระหว่าง 20 - 25 องศา
เซลเซียส และมปี ริมาณน้ำฝน 1,700 - 2,000 มลิ ลิเมตรต่อปี โดยนิยมนำผลผลิตมาใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับการแปร
รูปเป็นผลติ ภัณฑ์กาแฟคว่ั บด (roasted and ground coffee)
1.4.2 ผลกาแฟสด (coffee cherries) หมายถึงส่วนของผลผลิตท่ีได้จากต้นกาแฟ ซึ่งผลสดของกาแฟ
ประกอบดว้ ยส่วนต่างๆ ดงั น้ี
1) เปลือกผล (exocarp) ส่วนใหญ่มักมีสีแดงเม่ือสุกแก่เต็มท่ี แต่ก็มีบางสายพันธุ์ที่เปลือกผลเป็นสี
เหลอื งหรอื สสี ม้
2) เน้ือกาแฟ (mesocarp) อยู่ใต้เปลือกผล ลักษณะเป็นเน้ือบางๆ มีสีใส และมีรสหวานเล็กน้อย
เมื่อผลสุกเต็มท่ี
3) กะลา (parchment) อยู่ใต้เนื้อกาแฟ โดยกะลาเป็นส่วนท่ีมีลักษณะเหนียวแข็งสีเหลืองอ่อนหุ้ม
เมล็ดไวภ้ ายใน
4) เยื่อหุม้ เมล็ด (silverskin) มลี กั ษณะเป็นเย่อื บางๆ สเี หลืองอ่อนตดิ กับเมล็ด
5) เมล็ด (endosperm หรือ seed หรือ bean) เป็นส่วนเนื้อเมล็ดที่มนุษย์นำมาใช้ประโยชน์
โดยการนำมาคว่ั ด้วยความร้อนจนเปล่ียนเป็นสนี ้ำตาล
1.4.3 เมล็ดกาแฟ (green coffee) หรือท่ีเรียกว่าสารกาแฟ หรือเมล็ดกาแฟดิบ หมายถึง ผลกาแฟสุก
(coffee cherry) ท่ีเอาส่วนของเปลือก (pericarp) ได้แก่ ผนังผลช้ันนอก (exocarp) ผนังผลช้ันกลาง (mesocarp)
หรือท่เี รยี กว่าเนอ้ื และผนงั ผลชน้ั ใน (endocarp) หรือท่ีเรียกวา่ กะลา (parchment) ออกแลว้
1.4.4 กาแฟ หมายถึง กาแฟทีย่ ืนต้นอยูห่ รือปลูกใหม่ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม ถงึ 30 กนั ยายน ของปถี ัดไป
1.4.5 ผลผลิตกาแฟ หมายถึง ผลผลิตท่ีอยู่ในรูปสารกาแฟที่เกษตรกรผลิตได้ในรอบปีการผลิต (1 ตุลาคม ถึง
30 กนั ยายน ของปีถัดไป)
1.4.6 ช่วงก่อนให้ผลผลิต หมายถึง กาแฟอายุ 1 - 3 ปี ท่ีเกษตรกรเตรียมดินและปลูกต้นกาแฟลงดิน
ซงึ่ อาจมีผลผลิตได้เก็บเกี่ยวบ้าง แต่ก็ยังไม่ถือว่าเป็นการใหผ้ ลในเชิงธุรกิจหรือเก็บเก่ียวจริงจัง การคิดคา่ ใช้จ่าย
ช่วงกอ่ นใหผ้ ลผลิตจะเร่ิมต้ังแต่เตรียมดนิ ปลูกจนถงึ สนิ้ สดุ ปีท่ี 3 หรือก่อนเร่ิมการบำรุงรกั ษาในปที ่ี 4
1.4.7 ช่วงให้ผลผลิต หมายถึง กาแฟอายุต้ังแต่ 4 ปีขึ้นไป จนสิ้นอายุขัยหรือโค่นทิ้ง หรือปล่อยทิ้งซ่ึงเป็น
ชว่ งการให้ผลของกาแฟท่ีจะมีผลผลิตให้เก็บเก่ียวได้อย่างจริงจังในเชิงธุรกจิ แม้อาจจะมีความผิดปกติ เช่น เกิด
โรค แมลงศัตรูพืช ภาวะน้ำท่วม ฝนแล้ง ทำให้ได้ผลผลิตไม่สมบูรณ์ก็ตาม การคิดต้นทุนค่าใช้จ่ายในรอบปี
จะคดิ ค่าใช้จา่ ยที่เกดิ ขึน้ ตามรอบปีปฏทิ ินหลังจากการเก็บเกยี่ วปีก่อนจนถึงส้ินสุดการเกบ็ เกีย่ วปีปจั จุบนั
1.4.8 วิสาหกิจชุมชน (Community Enterprise) หมายถึง กิจการของชุมชนเกี่ยวกับการผลิตสินค้า
การให้บริการหรือการอ่ืนๆ ที่ดำเนินการโดยคณะบุคคลท่ีมีความผูกพัน มีวิถีชีวิตร่วมกันและรวมตัวกันประกอบ
4
กิจการดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นนิติบุคคลในรูปแบบใด หรือไม่เป็นนิตบิ ุคคล เพ่ือสร้างรายได้และเพื่อการพ่ึงพาตนเอง
ของครอบครวั ชมุ ชน และระหว่างชมุ ชน
1.5 วธิ กี ารวจิ ยั
1.5.1 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
1) ข้อมลู ปฐมภูมิ (Primary Data)
การศึกษาวิจัยในคร้ังนี้ จะใช้แบบสอบถามเพ่ือรวบรวมข้อมูลจากเกษตรกรตัวอย่างที่รวมกลุ่ม
ในรูปของวิสาหกิจชุมชนในพื้นท่ีจังหวดั น่าน โดยลักษณะคำถามจะเป็นท้ังเชิงปรมิ าณและเชงิ คณุ ภาพท่ีมีคำถาม
ปลายปิด (Closed - Ended Question) และคำถามปลายเปิด (Open - End Question) โดยจะรวบรวมข้อมูล
ด้านต้นทุนการผลิต ผลตอบแทนจากการจำหน่ายผลผลิต รูปแบบการผลิต การแปรรูป และการจำหน่าย รวมถึง
สว่ นประสมทางการตลาด วถิ ตี ลาด และสว่ นเหลื่อมการตลาด โดยมรี ายละเอียด ดงั นี้
1) เกษตรกรทป่ี ลูกกาแฟอาราบกิ าซึง่ รวมกลมุ่ ในรปู ของวสิ าหกจิ ชมุ ชน เป็นการสัมภาษณ์ข้อมูล
ด้านการผลิตและช่องทางการจำหน่ายผลผลิต โดยกำหนดขนาดตัวอย่างด้วยวิธีเทียบอัตราส่วนของขนาดประชากร
(Neuman, 1991) ดงั นี้
ถ้าประชากรนอ้ ยกว่า 1,000 คน ใช้อัตราสว่ นการสุม่ กลมุ่ ตัวอย่าง ร้อยละ 30
ถ้าประชากรอยรู่ ะหวา่ ง 1,001 - 10,000 คน ใช้อัตราส่วนการสมุ่ กลุม่ ตวั อยา่ ง รอ้ ยละ 10
ถา้ ประชากรอยูร่ ะหวา่ ง 10,001 - 150,000 คน ใชอ้ ตั ราส่วนการสมุ่ กลุม่ ตวั อยา่ ง ร้อยละ 1
ดังนั้น จากจำนวนวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกกาแฟอาราบิกาของจังหวัดน่าน ซึ่งได้ขึ้นทะเบียน
การเพาะปลูกกับกรมส่งเสริมการเกษตร จำนวน 8 กลุ่ม มีสมาชิกรวมท้ังสิ้น 654 ราย จะกำหนดอัตราส่วน
การสุ่มกลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 30 ซึ่งได้จำนวนตัวอย่างรวมทั้งสิ้น 196 ตัวอย่าง จากน้ันจะกำหนดจำนวนตัวอย่าง
ตามช่วงอายุกาแฟ โดยอาศัยสัดส่วนจำนวนตัวอย่างจากการเปรียบเทียบกับคู่มือการสำรวจต้นทุนการผลิตกาแฟ
ปี 2562 ของจังหวัดน่าน ซึ่งจะได้จำนวนตัวอย่างของปีปลูก (กาแฟปีปลูก 0 - 1 ปี) จำนวน 20 ราย ปีก่อนให้
ผลผลิต (กาแฟอายุ 2 - 3 ปี) จำนวน 20 ราย และปีท่ีให้ผลผลิต (กาแฟอายุตั้งแต่ 4 - 25 ปี) จำนวน 156 ราย
และใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) ในแต่ละวิสาหกิจชุมชน โดยแยกตามช่วงอายุ
ของกาแฟ (ตารางท่ี 1.1)
ตารางท่ี 1.1 จำนวนตวั อยา่ งของเกษตรกรผู้ปลกู กาแฟแยกตามชว่ งอายุของกาแฟ
รายชื่อวิสาหกิจชุมชน จำนวน จำนวน จำนวนตวั อย่างแยกตามชว่ งอายุกาแฟ
ประชากร ตัวอย่าง (ราย)
(ราย) (ราย)
ชว่ งกอ่ นให้ผลผลิต ช่วงให้ผลผลิต
0-1 ปี 2-3 ปี 4-25 ปี
1. วสิ าหกิจชมุ ชนกาแฟมณพี ฤกษ์ 20 6 1 1 4
2. วสิ าหกิจชมุ ชนกาแฟ เดอ ม้ง มณพี ฤกษ์ 65 20 2 2 16
3. วสิ าหกิจชุมชนผผู้ ลติ กาแฟบา้ นหว้ ยโทน 83 25 3 3 19
4. วิสาหกิจชุมชนกล่มุ ปลกู กาแฟบา้ นหว้ ยขาบ 45 13 1 1 11
5
ตารางที่ 1.1 จำนวนตัวอย่างของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟแยกตามชว่ งอายุของกาแฟ (ต่อ)
รายชื่อวิสาหกิจชุมชน จำนวน จำนวน จำนวนตวั อย่างแยกตามช่วงอายกุ าแฟ
ประชากร ตัวอย่าง (ราย)
(ราย) (ราย)
ช่วงก่อนให้ผลผลิต ช่วงให้ผลผลิต
0-1 ปี 2-3 ปี 4-25 ปี
5. วสิ าหกจิ ชุมชนกล่มุ ปลกู กาแฟและไมผ้ ลตำบลดงพญา 260 78 8 8 62
6. วิสาหกิจชมุ ชนกาแฟบ้านน้ำช้าง 90 27 3 3 21
7. วิสาหกิจชมุ ชนแปรรูปและจำหน่าย 10 3 - - 3
กาแฟหม่อนผลสดดอยภูพยัคฆ์ 81 24 2 2 20
8. วิสาหกจิ ชมุ ชนกลุม่ แปรรูปกาแฟสวนยาหลวง
รวมทัง้ สิน้ 654 196 20 20 156
ท้งั นี้ การจัดเก็บข้อมูลต้นทุนการผลิตของจำนวนตวั อย่างท่ีแยกตามช่วงอายกุ าแฟในแต่ละวิสาหกิจ
ชมุ ชนดังตารางท่ี 1.1 น้ัน จะนำข้อมูลที่ได้ของทุกวิสาหกิจชุมชนมาคำนวณและจัดทำเปน็ ต้นทุนรวมเฉล่ีย โดยไม่ได้
นำข้อมลู ท่ีได้มาคำนวณและจัดทำเป็นต้นทุนรวมเฉลี่ยแยกเป็นรายวิสาหกิจชุมชน
2) ผู้ประกอบการ จะใช้แบบสัมภาษณ์ในการรวบรวมข้อมูลแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive
Sampling) ด้วยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) จากผู้ท่ีมีส่วนเก่ียวข้อง ได้แก่ วิสาหกิจชุมชน
โรงค่ัวกาแฟ และร้านกาแฟ โดยกำหนดขนาดตัวอย่างประเภทละ 2 ราย และใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบลูกโซ่
(Snowball Sampling) โดยเริ่มต้นจากเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟอาราบิกาที่เป็นสมาชิกของวิสาหกิจชุมชนแล้ว
เชือ่ มโยงไปยังกล่มุ ตัวอยา่ งอนื่ ๆ เพ่อื ให้ทราบถึงกระบวนการไหลเวียนของผลผลิต
2) ข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Data) รวบรวมข้อมูลโดยการศึกษาและค้นคว้าจากเอกสารงานวิจัย
บทความ และรายงานการศึกษาต่าง ๆ ของหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตในเว็บไซต์
ที่เกย่ี วขอ้ งกบั กาแฟอาราบกิ า
1.5.2 การวิเคราะหข์ อ้ มลู
1) การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ (Quantitative Analysis) โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive
Statistics) ประกอบดว้ ย
(1) การวิเคราะหต์ ้นทุนผลตอบแทน เป็นการวิเคราะห์ต้นทุนและผลตอบแทนท่ีไดจ้ ากการผลิต
กาแฟอาราบิกาของเกษตรกรตามแนวคิดต้นทุนและผลตอบแทน โดยคำนวณหาผลรวม คา่ เฉล่ยี และคา่ ร้อยละ
(2) การวิเคราะห์วิถีการตลาด และส่วนเหลื่อมการตลาดของกาแฟอาราบิกาจากผู้ท่ีมีส่วนเกี่ยวข้อง
ได้แก่ เกษตรกร วิสาหกิจชุมชน โรงค่ัวกาแฟ และร้านกาแฟ เป็นการวิเคราะห์โดยใช้เคร่ืองมือทางสถิติอย่างง่าย
ในการอธบิ ายค่าในรปู แบบของคา่ สัดส่วน คา่ ร้อยละ และค่าเฉลี่ย
2) การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative Analysis) ได้แก่ การวิเคราะห์ส่วนประสมการตลาด
กาแฟอาราบกิ าของวสิ าหกจิ ชุมชนกลุ่มตัวอย่าง
6
1.6 ประโยชนท์ ่คี าดว่าจะไดร้ ับ
ใช้เป็นข้อมูลสนับสนุนให้แก่หน่วยงานและผู้ที่เก่ียวข้อง ประกอบการพิจารณาเพื่อหาแนวทางในการ
บรหิ ารจัดการสินคา้ กาแฟอาราบกิ าได้อย่างถกู ต้องและเหมาะสม รวมท้ังเกิดประโยชน์สูงสดุ แก่เกษตรกร
บทที่ 2
การตรวจเอกสาร แนวคิดและทฤษฎี
2.1 การตรวจเอกสาร
2.1.1 งานวจิ ยั ด้านการผลิตกาแฟ
ต้นทุนการผลิตกาแฟอาราบิกาในพ้ืนท่ีสถานีเกษตรที่สูงหนองหอย จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งได้มีการ
ทดลองปลูก 3 ระบบ พบว่า การปลูกกาแฟเชิงเดี่ยว มีต้นทุนการผลิตรวม 4 ปี มากท่ีสุด เท่ากับ 26,977.43 บาท
รองลงมาได้แก่การปลูกกาแฟร่วมกับไม้ผล และการปลูกกาแฟร่วมกับป่าไม้ที่มีต้นทุนการผลิตรวม เท่ากับ
22,869.45 บาท และ 20,107.89 บาท ตามลำดับ ส่วนรายได้จากผลผลิตกาแฟอาราบิกาจะได้รับในปีท่ี 3
โดยการปลูกกาแฟเชิงเด่ียวมีรายได้รวม 2 ปี ได้แก่ ปีที่ 3 และปีท่ี 4 มากที่สุด เท่ากับ 15,936.00 บาท
รองลงมาไดแ้ กก่ ารปลูกกาแฟรว่ มกับไม้ผล และการปลกู กาแฟร่วมกบั ป่าไม้ เท่ากบั 8,684.75 บาท และ 7,318.80 บาท
ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่าการปลูกกาแฟเม่ือรวมระยะเวลา 4 ปี จะยังไม่ได้รับผลกำไร เนื่องจากต้นกาแฟจะให้
ผลผลิตเต็มท่ีต้ังแต่ปีท่ี 5 เป็นต้นไป (ประเสริฐ คำออน และคณะ, 2548) นอกจากนี้ ฐิติกาญจน์ ศรธนะรัตน์
(2550) ได้ทำการศึกษาต้นทุนและผลตอบแทนของการปลูกกาแฟอาราบิกาในพ้ืนท่ีอำเภอดอยสะเก็ด จังหวัด
เชียงใหม่ พบว่าต้นทุนเฉล่ียต่อไร่ของการปลูกกาแฟอาราบิกาที่มีอายุตั้งแต่ 1 - 10 ปี อยู่ระหว่าง 990.18 - 6,887.35
บาท โดยกาแฟอายุ 4 ปี มีต้นทุนต่ำที่สุด และจะมีต้นทุนสูงที่สุดในปีที่ 6 เนื่องจากเกษตรกรมีพฤติกรรมการ
ผลิตที่แตกต่างกันในหลายกิจกรรม ส่งผลให้ผลกำไรสะสมท้ัง 10 ปี เท่ากับ -9,844.00 บาทต่อไร่ ซึ่งหมายความว่า
เกษตรกรที่ปลูกกาแฟอาราบิกาประสบภาวะขาดทุน หากพิจารณาเฉพาะรายได้สุทธิเหนือต้นทุนที่เป็นเงินสด
สะสม พบว่าเกษตรกรมีรายได้มากกว่ารายจ่ายท่ีเป็นเงินสดท้ังหมด โดยกาแฟท่ีมีอายุ 6 ปี จะมีรายได้สุทธิ
เหนือต้นทุนที่เป็นเงินสดสะสมเท่ากับ 1,456.58 บาทต่อไร่ และมีรายได้สุทธิเหนือต้นทุนที่เป็นเงินสดสะสมท้ัง
10 ปี เท่ากับ 10,986.35 บาทต่อไร่ รวมถึงงานวิจัยของ สมพร อิศวิลานนท์ และคณะ (2552) ที่ได้ทำการศึกษา
ต้นทุนการผลิตกาแฟของเกษตรกรในพ้ืนที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงป่าเมี่ยง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่
พบว่าเกษตรกรมีต้นทุนการผลิต 7,491.58 บาทต่อไร่ แยกเป็นต้นทุนผันแปร 6,993.89 บาทต่อไร่ และต้นทุน
คงที่ 497.79 บาทต่อไร่ และมีต้นทุนการผลิตเฉลี่ยกิโลกรัมละ 79.47 บาท เมื่อพิจารณาผลตอบแทนจากการ
ผลิตกาแฟ พบว่าเกษตรกรมีผลผลิตเฉล่ีย 94.27 กิโลกรัมต่อไร่ มีรายได้จากการจำหน่ายผลผลิต 6,117.83
บาทตอ่ ไร่ โดยจำหนา่ ยกาแฟกะลาราคาเฉลย่ี 84.10 บาทต่อกิโลกรัม กาแฟเมล็ดดำราคาเฉล่ีย 20.73 บาทต่อ
กิโลกรัม และผลกาแฟสดราคาเฉล่ีย 13.83 บาทต่อกิโลกรัม แสดงให้เห็นว่าเกษตรกรประสบภาวะขาดทุน
กล่าวคือเกษตรกรมีรายได้สุทธิ (หรือมีกำไรเหนือต้นทุนผันแปร) และกำไรสุทธิ เท่ากับ -876.06 บาทต่อไร่
และ 1,373.85 บาทต่อไร่ ตามลำดับ เนื่องจากมีต้นทุนแรงงานในครัวเรือนซ่ึงเป็นต้นทุนท่ีไม่เป็นเงินสดสูงถึง
ร้อยละ 54.74 ของต้นทุน อย่างไรก็ตาม เกษตรกรจะมีกำไรเฉพาะในส่วนที่เป็นเงินสดเท่าน้ัน โดยกำไรเหนือ
ต้นทุนเงินที่เกษตรกรได้รับเท่ากับ 3,224.71 บาทต่อไร่ แสดงให้เห็นว่าเกษตรกรจะมีกำไรคุ้มค่าต่อต้นทุนการ
ผลิตทเ่ี กดิ ขึ้นเปน็ เงนิ สดเท่านั้น ดังนัน้ ภายใตภ้ าวะตลาดทเี่ ป็นอยใู่ นปัจจุบันเกษตรกรท่ีปลูกกาแฟในพ้ืนท่ศี ูนย์
พฒั นาโครงการหลวงป่าเม่ียงจงึ ยังไมส่ ามารแขง่ ขันได้ หากไม่พฒั นาประสิทธภิ าพการผลิตใหส้ งู ขนึ้
8
ขณะที่ต้นทุนและผลตอบแทนจากการปลูกกาแฟสายพันธ์ุโรบัสต้าจากงานวิจัยของ สำนักงาน
เศรษฐกิจการเกษตร (2555) ซึ่งมีการวิเคราะห์ต้นทุนการผลิตของการปลูกกาแฟโรบัสต้าแบบสวนเดี่ยวและ
สวนผสม พบว่าการปลูกกาแฟแบบสวนเด่ียวมีต้นทุนทั้งหมดไร่ละ 9,769.38 บาท ต้นทุนเฉล่ียกิโลกรัมละ
41.93 บาท ผลผลิตสารกาแฟเฉลี่ยไร่ละ 233 กิโลกรัม ผลตอบแทนไร่ละ 13,980 บาท และกำไรหลังหักต้นทุน
ไร่ละ 4,120.62 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนร้อยละ 43.10 ส่วนการปลูกกาแฟแบบสวนผสม มีต้นทุนทั้งหมด
ไร่ละ 8,604.09 บาท ต้นทุนเฉลี่ยกิโลกรัมละ 59.75 บาทต่อกิโลกรัม ผลผลิตสารกาแฟเฉล่ียไร่ละ 144
กิโลกรัม ผลตอบแทนไร่ละ 8,640 บาท และกำไรหลักจากหักต้นทุนไร่ละ 35.91 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทน
รอ้ ยละ 0.42 ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ณ ราคาที่เกษตรกรจำหน่ายสารกาแฟได้เฉล่ียกิโลกรัมละ 60 บาท การปลูกกาแฟ
แบบสวนเด่ียวมีต้นทุนการผลติ เฉล่ียตอ่ กิโลกรมั ต่ำกว่าการปลูกแบบสวนผสม อีกท้ังยงั ให้ผลตอบแทนท่ีสูงกว่า
ทั้งน้ี การปลูกกาแฟเฉล่ียแบบสวนเดี่ยวและสวนผสม จำนวน 1 ไร่ มีต้นทุนท้ังหมด เท่ากับ 8,611.45 บาท
ตน้ ทุนเฉลีย่ เท่ากับ 45.81 บาทต่อกิโลกรัม ผลผลิตสารกาแฟเฉล่ียไร่ เทา่ กับ 188 กิโลกรัมต่อไร่ ผลตอบแทน
ตอ่ ไร่ เท่ากับ 11,280 บาท โดยมีผลกำไรหลักจากหักต้นทุนไร่ละ 2,668.55 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนร้อย
ละ 30.99 รวมถึงงานวิจัยของ อภิญญา หวังยีเส็น (2557) ท่ีได้ทำการศึกษาเรื่องต้นทุนผลตอบแทนและ
ประสิทธิภาพการผลิตกาแฟโรบัสตาในจังหวัดชุมพร พบว่าเกษตรกรท่ีเป็นสมาชิกกลุ่มกาแฟมีต้นทุนการผลิต
เฉลี่ย 5,805.69 บาทต่อไร่ ผลตอบแทนสุทธิเฉลี่ย 4,477.53 บาทต่อไร่ โดยราคาสารกาแฟท่ีได้รับกิโลกรัมละ
71.71 บาท ผลผลิตสารกาแฟเฉล่ีย 143.40 กิโลกรัมต่อไร่ ส่วนเกษตรกรที่ไม่ได้เป็นสมาชิกกลุ่มกาแฟมีต้นทุน
จากการผลิตเฉล่ีย 5,394.61 บาทต่อไร่ ผลตอบแทนสุทธิเฉลี่ย 4,984.08 บาทต่อไร่ โดยราคาสารกาแฟที่ได้รับ
กิโลกรัมละ 70.06 บาท ผลผลิตสารกาแฟเฉลี่ย 148.14 กิโลกรัมต่อไร่ แสดงให้เห็นว่าเกษตรกรท่ีเป็นสมาชิก
กลุ่มกาแฟมีต้นทุนการผลิตเฉล่ียสูงกว่าเกษตรกรท่ีไม่เป็นสมาชิก เนื่องจากได้รับการอบรมให้ความรู้ในการใส่
ปุ๋ยให้เหมาะสมกับสภาพดิน จึงมีต้นทุนค่าปุ๋ยสูงกว่า อีกทั้งมีการปลูกกาแฟร่วมกับพืชชนิดอ่ืนมากกว่า
เกษตรกรที่ไม่ได้เป็นสมาชิก ซึ่งการปลูกร่วมกับพืชชนิดอ่ืนจะทำให้จำนวนต้นกาแฟต่อไร่ลดลง ส่วนด้าน
โครงสร้างตลาดแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1) ตลาดท้องถ่ิน เป็นตลาดขนาดเล็กประกอบด้วยพ่อค้าท้องถิ่น
โรงงานผลติ ผงกาแฟสำเรจ็ รูปท้องถิ่น สหกรณ์หรือกลุ่มเกษตรกร โดยปริมาณกาแฟทีพ่ ่อคา้ ระดับท้องถน่ิ รับซื้อ
ส่วนใหญ่จะส่งมาจำหน่ายให้แก่พ่อค้าส่งออก และมีบางส่วนจำหน่ายให้แก่โรงงานผลิตกาแฟสำเร็จรูป และ
2) ตลาดปลายทางในกรุงเทพมหานคร ประกอบด้วยโรงงานผลิตกาแฟผงสำเร็จรูปและผู้ส่งออก โรงงานผลิต
กาแฟผงสำเร็จรูปได้รับซื้อเมล็ดกาแฟจากเกษตรกรเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ยังรับซ้ือจากพ่อค้าท้องถิ่น
สหกรณห์ รือกลมุ่ สหกรณ์ รวมทัง้ ผสู้ ง่ ออกบ้างเล็กน้อย
2.1.2 งานวจิ ัยด้านการตลาดกาแฟ
การวิเคราะห์การตอบสนองอุปทานการผลิตกาแฟในภาคใต้ของประเทศไทย พบว่าลักษณะตลาด
กาแฟในภาคใต้ของประเทศไทยแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ ได้แก่ 1) เกษตรกรนำผลผลิตกาแฟไปจำหน่ายให้กับ
โรงงานแปรรูปหรือผู้ส่งออกโดยตรง 2) การรวมกลุ่มในลักษณะกลุ่มเกษตรกร สหกรณ์การเกษตร ตลาดกลาง
และพ่อค้าท้องถ่ินเป็นผู้รวบรวมผลผลิตกาแฟโรงงานแปรรูปหรือผู้ส่งออก และ 3) เกษตรกรเป็นผู้จำหน่าย
กาแฟให้กับโรงงานแปรรูปกาแฟดิบโดยตรง ส่วนตลาดของเมล็ดกาแฟดิบภายในประเทศ แบ่งได้ 2 ระดับ คือ
ระดับตลาดท้องถ่ิน และตลาดปลายทาง ซ่ึงส่วนมากในภาคใต้จะมีลักษณะเป็นตลาดท้องถ่ิน (วิรดา บินรัมย์,
9
2552) รวมถึงงานวิจัยของ ณัทฐิมา สุขเสวียด (2555) ท่ีได้ทำการศึกษาเรื่องการผลิตและการตลาดกาแฟของ
เกษตรกรในจังหวัดชุมพร พบว่าเกษตรกรมีปริมาณผลผลิตกาแฟเฉล่ีย 193.38 กิโลกรัมต่อไร่ ส่วนใหญ่ขาย
ผ่านพ่อค้าคนกลาง เน่ืองจากมีสะดวกรวดเร็วโดยมีพ่อค้ารับซื้อเป็นผู้กำหนดราคา ซึ่งเกษตรกรได้รับเงิน
ทงั้ หมดเมอ่ื ขายผลผลิตแต่ละคร้งั
2.1.3 งานวิจยั ดา้ นส่วนประสมการตลาดกาแฟ
การสร้างและพัฒนาตราสนิ ค้า บรรจภุ ัณฑ์ และส่วนประสมการตลาดกาแฟอาราบิกาของวสิ าหกิจ
ชมุ ชนในจงั หวดั แมฮ่ ่องสอน โดยศึกษาจากวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตและแปรรูปกาแฟคุณภาพบ้านแมเ่ หาะ อำเภอ
แม่สะเรียง และกลุ่มผู้ผลิตกาแฟบ้านห้วยห้อม อำเภอแม่ลาน้อย พบว่ามีการผลิตแบบด้ังเดิมโดยไม่ใช้สารเคมี
ส่งผลใหก้ าแฟมีกลิน่ หอม รสชาติเขม้ ข้น มีการพัฒนาตราสินคา้ และผลติ ภัณฑ์ โดยบ้านแม่เหาะใช้ชื่อแบรนด์ว่า
“หอมเหาะ” ใช้บรรจุภัณฑ์ที่มีลักษณะเป็นถงุ สีน้ำตาลเพ่ือบ่งบอกความเป็นกาแฟพรีเมียม โดยจะวางตำแหน่ง
เป็นกาแฟอินทรีย์คุณภาพสูงพิเศษ และใช้กลยุทธ์สร้างความแตกต่างเฉพาะกลุ่ม ส่วนบ้านห้วยห้อมใช้ชื่อ
แบรนด์ว่า “หอมเหาะ” ใช้บรรจุภัณฑ์ท่ีมีลักษณะเป็นฟอยด์ทึบสีขาวและดำ เพ่ือบ่งบอกความเป็นสากล
โดยจะวางตำแหน่งโดยวางตำแหน่งเป็นปลอดสารพิษท่ีมีคุณภาพและรสชาติระดับพรีเมียมด้วยวิถีด้ังเดิม
(มานพ ชมุ่ อุ่ม, 2561)
ท้ังนี้ จากการตรวจเอกสารงานวิจัยที่เก่ียวข้อง พบว่าเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟในประเทศไทยจะ
ทำการปลูกกาแฟตามความเหมาะสมของสภาพพนื้ ที่ของตนเป็นหลกั โดยกาแฟสายพันธุ์อาราบิกาจะนยิ มปลูก
มากในเขตพ้ืนที่ภาคเหนือตอนบน ซ่ึงต้นทุนและผลตอบแทนจากการปลูกจะมีความแตกต่างกันตามลักษณะ
กิจกรรมการผลิตของเกษตรกร ส่วนด้านการตลาด พบว่าเกษตรกรจำหน่ายผลผลิตกาแฟสด (เชอร่ี) และ
ผลผลิตแปรรูป เช่น กาแฟกะลา สารกาแฟ เป็นต้น โดยมีการจำหน่ายให้แก่โรงงานหรือจำหน่ายผ่านพ่อค้า
คนกลางหรือผูร้ วบรวมระดบั ท้องถิน่
2.2 แนวคิดและทฤษฎี
2.2.1 แนวคดิ ต้นทุนการผลิตและผลตอบแทน
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร มีหลักเกณฑ์แนวคิดในการจัดทำข้อมูลต้นทุนการผลิต คือ เป็นต้นทุนทาง
เศรษฐศาสตร์ เปน็ ต้นทุนการผลติ ของผลผลิตของเกษตรกร และเปน็ ตน้ ทนุ เฉลี่ย (ศิรวิ ฒั น์ ทรงธนศักด์ิ, 2562)
1) ตน้ ทุนทางเศรษฐศาสตร์ หมายถงึ
1.1) ค่าใช้จ่ายทุกกิจกรรมการผลิต ต้ังแต่เตรียมดิน จนถึงเก็บเก่ียวผลผลิต มีรายการท่ีชัดเจน
ไมซ่ ำ้ ซอ้ น
1.2) คา่ ใช้จ่ายเฉพาะที่เกษตรกรได้ใชจ้ ่ายไปในชว่ งระยะเวลาการผลิตพชื น้นั
1.3) ค่าใช้จ่ายท้ังท่ีจ่ายไปเป็นเงินสดและไม่เป็นเงินสด โดยค่าใช้จ่ายท่ีเป็นเงินสดจากการจ้าง
การซ้ือ การเช่าทรัพย์สินและค่าเช่าดิน ส่วนค่าใช้จ่ายที่ไม่เป็นตัวเงิน คิดจากการประเมินค่าใช้จ่ายกรณีการใช้
แรงงาน วสั ดุปัจจยั เคร่ืองมอื ของตนเองหรอื ของครัวเรือน ทีไ่ ม่ได้จา้ ง ไม่ได้ซอ้ื ไม่ได้เช่า
1.4) ค่าเสียโอกาสเงินลงทุน ซึ่งเป็นการประเมินโดยการคำนวณใส่ไว้ในโครงสร้างต้นทุนเป็น
ค่าใชจ้ า่ ยไม่เป็นเงินสดด้วย
10
ต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์จะแตกต่างจากต้นทุนทางบัญชีตรงที่ต้นทุนทางบัญชีจะคิดเฉพาะ
รายการท่ีเปน็ เงนิ สด
2) ตน้ ทุนการผลิตของผลผลิตของเกษตรกร หมายถงึ
2.1) ต้นทุนของผลผลติ พืชท่ียังอย่ใู นมือของเกษตรกร ไมข่ ายผลผลติ แบบตกเขยี วไปกอ่ นแล้ว
2.2) ค่าใช้จ่ายท่ีนำมาคิดเป็นต้นทุนการผลิต จะคิดต้ังแต่เริ่มต้นการผลิตตั้งแต่เตรียมดินจนถึง
เก็บเกี่ยวได้ผลผลิต หากใช้จ่ายลงทุนไปแล้วไม่ได้ผลผลิต หรือผลผลิตเสียหายก็จะไม่มีต้นทุนของผลผลิต
จะมแี ตค่ า่ ใชจ้ า่ ยของกิจกรรมการผลิตเทา่ น้ัน
2.3) เปน็ ต้นทนุ คา่ ใชจ้ ่าย ณ ไรน่ า ไมร่ วมค่าขนส่งผลผลิตไปขาย
3) ต้นทุนเฉล่ีย หมายถงึ
3.1) ค่าใช้จา่ ยของเกษตรกรทุกรายทเี่ ป็นตวั อยา่ ง ไมใ่ ช่ของรายใดรายหนง่ึ
3.2) คำนวณต้นทุนดว้ ยวธิ เี ฉลีย่ ถ่วงน้ำหนกั ด้วยพ้ืนทเ่ี พาะปลูก หรอื นำเน้ือที่ปลกู ของแตล่ ะราย
ตัวอยา่ งมาพิจารณาดว้ ย
4) โครงสร้างตน้ ทุนการผลติ พชื ไม้ยืนต้น
เนื่องจากไม้ผลไม้ยืนต้นเป็นพืชที่ปลูกครั้งเดียวสามารถยืนต้น และให้ผลผลิตได้หลายปี
การคิดต้นทุนเฉพาะปีที่ให้ผลผลิตอย่างเดียวจะทำให้ได้ข้อมูลไม่ครบถ้วน เพราะก่อนท่ีมีผลผลิตให้เก็บเก่ียว
ผลผลิตได้ เกษตรกรตอ้ งลงทุนในกจิ กรรมต่างๆ ได้แก่ การเตรียมดิน การปลูก และการบำรุงรักษาจนกวา่ จะให้
ผลผลิต ดังน้ัน การคิดต้นทุนการผลิตไม้ผลไม้ยืนต้น จึงแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ ต้นทุนก่อนให้ผลผลิต
เป็นการนำค่าใช้จ่ายทั้งหมดท่ีเกิดข้ึนต้ังแต่ปีแรกจนถึง ปีก่อนให้ผลผลิต นำไปคิดเฉล่ียตามหลักวิชาการแล้ว
นำไปกระจายเป็นค่าใช้จ่ายต่อปีในทุกช่วงอายุท่ีให้ผลผลิต และต้นทุนช่วงให้ผลผลิต เป็นการนำค่าใช้จ่าย
ทั้งหมดท่ีเกิดขึ้นทุกกิจกรรมต้ังแต่ ปีที่เร่ิมให้ผลผลิตจนถึงสิ้นอายุขัย ดังน้ัน ต้นทุนรวมต่อไร่ต่อปีของไม้ผลไม้
ยนื ตน้ เทา่ กับต้นทนุ กอ่ นให้ผลผลติ ต่อไรบ่ วกด้วยตน้ ทุนชว่ งให้ผลผลติ ตอ่ ไร่
จากแนวคิดต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์ ท่ีคิดค่าใช้จ่ายท่ีเกิดขึ้นทั้งหมดในช่วงเวลาของการผลิต
ใช้เท่าไรก็คิดค่าใช้จ่ายเท่าน้ัน คิดท้ังท่ีจ่ายไปเป็นเงินสด และไม่เป็นเงินสด จากการจ้างแรงงาน การซื้อหา
ปัจจัยการผลิต วัสดอุ ุปกรณ์ และการเช่าท่ดี ิน นอกนี้ยงั คดิ ค่าเสียโอกาสเงินลงทุนไว้ด้วย ซ่ึงต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์
จะแตกต่างจากต้นทุนทางบัญชี คือ ต้นทุนทางบัญชีจะคิดเฉพาะรายการที่เป็นเงินสดเท่าน้ัน โดยโครงสร้าง
ตน้ ทนุ การผลิตพืชจะมีองคป์ ระกอบ ดงั น้ี
4.1) ต้นทุนผันแปร
(1) ค่าแรงงาน ได้จากคา่ แรง ค่าจ้างทั้งแรงงานคน เครอ่ื งจกั ร ในกจิ กรรมต่าง ๆ ดังน้ี
(1.1) ค่าเตรียมดิน ประกอบด้วย ค่าจ้างไถกลับหน้าดิน ไถระเบิดดินดาน ไถป่ัน ไถแปร
คราด ทาเทือก ชักรอ่ ง ซง่ึ กจิ กรรมเตรียมดนิ จะข้นึ อยูก่ บั พฤตกิ รรมการปลกู ของแตล่ ะชนดิ พืช และแต่ละพื้นที่
(1.2) ค่าปลูก ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมและชนิดพืชที่ปลูก คือ ค่าจ้าง ปัก ดำ หว่าน หยอด
วางแนว ขดุ หลมุ นำต้นพนั ธ์ลุ งปลกู ในหลุมพรอ้ มกลบและปักไม้ค้ำ รวมทัง้ ปลกู พืชคลุมดิน
(1.3) ค่าดูแลรักษา ประกอบด้วย ค่าจ้างดายหญ้าตัดหญ้า พรวนดิน ให้น้ำ ใส่ปุ๋ย ฉีด
พน่ ยาสารปราบวัชพชื /ศัตรูพืช รวมทงั้ การตัดแต่งกิง่ ใบ ทรงพุม่ (ถ้ามี)
11
(1.4) ค่าเก็บเกี่ยว เป็นค่าจ้างในกิจกรรมเก็บเก่ียวผลผลิต หมายรวมถึง ทุกกิจกรรม
ต้ังแต่ เก็บเกี่ยว ขุด หัก กรีด เก็บ มัด สี รวมรวม ขน ตาก แปรรูปอย่างง่าย การคิดค่าจ้างแล้วแต่จะตกลงกัน
คือ คิดเป็นค่าจ้างรายวัน (บาทต่อวัน) คิดต่อหน่วยผลผลิต (บาท/กก.) หรือคิดเป็นเน้ือท่ี (บาทต่อไร่ หรือ
บาทต่อตน้ ) โดยนำความสามารถของแรงงานมาพจิ ารณาด้วย
(2) คา่ วัสดุ ประกอบดว้ ย
(2.1) ค่าพันธ์ุ เมล็ดพันธุ์ กล้าพันธ์ุ ท่อนพันธ์ุ กิ่งพันธุ์ ต้นพันธ์ุ กรณีไม้ผลไม้ยืนต้นจะ
หมายรวมทงั้ ที่ปลกู ในปีแรก และปลกู ซ่อม
(2.2) คา่ ป๋ยุ ท่ีเกษตรกรใช้ เช่น ปุ๋ยอินทรีย์ ป๋ยุ ชวี ภาพ และปุ๋ยเคมี
(2.3) ค่าสารกำจัดวัชพืชและศัตรูพืช เช่น สารป้องกันและฆ่าหญ้า สารป้องกันและ
ปราบโรคแมลงและศัตรูพืชอน่ื ๆ
(2.4) ค่าน้ำมันเช้ือเพลิงและค่าไฟฟ้า ท่ีใช้กับเคร่ืองจักรเคร่ืองมือท่ีใช้ในกิจกรรมการ
ผลิตที่เกษตรกรมไี วใ้ ชเ้ อง ไมไ่ ดจ้ า้ งหรอื จ้างเฉพาะค่าแรง
(2.5) ค่าวัสดุส้ินเปลืองและวัสดุอ่ืนๆ ท่ีมีอายุใช้งานไม่เกิน 1 ปี อาทิ ถุงพลาสติก
ถุงกระสอบ เชือก ตอก เข่ง ถุงมือ ถงุ เทา้ รองเทา้ บทู ทเี่ กษตรกรใช้ในกิจกรรมการผลติ
(2.6) ค่าซ่อมแซมอุปกรณ์และทรัพย์สิน เป็นค่าซ่อมแซมอุปกรณ์เคร่ืองจักรเคร่ืองมือ
ทรพั ยส์ ินโรงเรอื นที่เกษตรกรมไี ว้ใช้เองในกจิ กรรมการผลติ และเปน็ อปุ กรณช์ ุดเดียวกบั ทีค่ ิด ค่าเสอื่ มราคา
(3) ค่าเสียโอกาสเงินลงทุนในต้นทุนผันแปร หมายถึง เงินลงทุนที่เป็นค่าใช้จ่ายในการจัดซ้ือ
จัดหาปัจจัยการผลิต ท่ีเป็นปัจจัยผันแปรท้ังค่าแรง และค่าวัสดุ นำไปคิดเป็นค่าเสียโอกาสเงินลงทุน มองได้ 2 กรณี
คือ กรณีที่เกษตรกรใช้เงินทุนตนเองไม่ได้กู้ ก็เรียกว่าค่าเสียโอกาสเงินลงทุน (ซึ่งไม่เป็นเงินสด) ส่วนกรณี เกษตรกร
รายทีก่ มู้ าลงทุน จะคดิ เปน็ คา่ ดอกเบ้ียเงินกู้ (เป็นเงินสด) ทง้ั นี้ จะคดิ ใหต้ ามอายุของพืชนน้ั ซงึ่ มีวธิ กี ารคำนวณ ดังน้ี
OPC = TVC M (i)
12
โดยท่ี OPC คือ ค่าเสียโอกาสเงินลงทุนในต้นทนุ ผันแปร
TVC คอื ต้นทนุ ผนั แปรท้งั หมดต่อไร่ ทง้ั ที่เป็นเงินสดและไมเ่ ป็นเงนิ สด
M คอื ชว่ งเวลาการผลติ (เฉลี่ย 12 เดอื น) ตั้งแต่เริ่มการผลิตจนถึงเกบ็ เกย่ี วผลผลิต
i คือ อตั ราคา่ เสียโอกาส ใช้อัตราดอกเบยี้ เงินกู้ ธ.ก.ส. (ร้อยละ 6.50)
4.2) ต้นทุนคงที่
(1) คา่ เช่าทดี่ ิน หรอื ค่าใชท้ ี่ดิน กรณีไม่มีท่ดี ินเปน็ ของตนเอง ต้องเช่าที่ดนิ และมกี ารจา่ ยค่า
เชา่ จริง (ทั้งท่เี ป็นเงนิ สด หรือผลผลิต) เรียกว่า คา่ เชา่ สว่ นกรณีเป็นที่ดินของตนเองไมไ่ ด้เชา่ เรียกว่าค่าใช้ทดี่ ิน
ซ่ึงไมเ่ ป็นเงนิ สดโดยประเมนิ เทยี บเคยี งจากอตั ราค่าเชา่ ในพน้ื ท่ี
12
(2) ค่าเสื่อมอุปกรณ์การเกษตร เปน็ ค่าใช้จา่ ยที่เกิดขึน้ จากการกระจายมลู ค่าของทรัพย์สิน
ทีซ่ อ้ื ไวใ้ ชง้ านในการผลติ หรือเป็นการปนั ส่วนที่คิดค่าเสอื่ มราคาของสินทรพั ย์อย่างมรี ะบบตลอดอายุ
การใช้ประโยชนข์ องทรพั ยส์ นิ น้นั โดยจะคดิ ประเมนิ เป็นมลู ค่าต่อไร่ ไมเ่ ป็นเงนิ สด ซงึ่ มวี ิธีการคำนวณ ดงั นี้
D = (BV − SV ) M (U ) 1
N 12 A
โดยท่ี D คือ คา่ เสอื่ มราคาต่อปีทรัพยส์ ิน
คอื มูลคา่ แรกซอื้ หรือสรา้ งทรพั ยส์ ิน
BV คอื มลู คา่ ซากของทรพั ย์สินเมือ่ หมดอายุการใช้งาน
SV คอื ช่วงเวลาการผลิต (เฉลีย่ 12 เดอื น) ตง้ั แต่เรมิ่ การผลิตจนถงึ เกบ็ เก่ยี วผลผลิต
M คอื อายุการใช้งานของทรัพย์สิน
N คอื รอ้ ยละการใช้งานของทรัพย์สนิ ในการผลิตกาแฟ
U คือ เนอื้ ทเ่ี พาะปลูก
A
(3) ค่าเสียโอกาสเงินลงทุนในอุปกรณ์การเกษตร คิดจากค่าใช้จ่ายที่ประเมินหรือคำนวณ
ข้ึนจากแนวคิดค่าเสียโอกาสในเงินลงทุน ที่นำไปจัดซ้ือจัดหาทรัพย์สินต่างๆ เช่น เครื่องมืออุปกรณ์การเกษตร
โรงเรือน สิ่งก่อสร้าง เพ่ือมาใช้ในกิจกรรมการผลิตสินค้าเกษตรนั้น มาคิดค่าเสียโอกาสท่ีจะได้รับผลตอบแทน
จากการนำทรัพยากรหรือเงนิ ลงทุนน้ันไปใช้ในกิจกรรมการผลิตอ่นื ซึ่งอัตราคา่ เสียโอกาสที่ใช้ประเมินน้ันจะใช้
ดอกเบ้ียเงนิ กขู้ อง ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ซ่ึงมวี ธิ ีการคำนวณ ดงั น้ี
OPI = (BV + EV ) M (i)(U ) 1
2 12 A
โดยท่ี OPI คือ ค่าเสียโอกาสเงินลงทุนในทรพั ย์สนิ
BV คือ มูลค่าแรกซอ้ื หรอื สรา้ งทรัพย์สนิ
EV คอื มลู ค่าซากของทรัพยส์ ินเมอ่ื หมดอายุการใชง้ าน
M คอื ช่วงเวลาการผลิต (เฉลีย่ 12 เดือน) ต้ังแตเ่ ริม่ การผลิตจนถงึ เก็บเกย่ี วผลผลติ
i คอื อัตราคา่ เสยี โอกาส ใช้อัตราดอกเบ้ียเงนิ กู้ ธ.ก.ส. (รอ้ ยละ 6.50)
U คือ รอ้ ยละการใชง้ านของทรัพยส์ ินในการผลติ กาแฟ
A คือ เนื้อทีเ่ พาะปลูก
(4) ต้นทุนก่อนใหผ้ ลผลิต คิดในโครงสร้างตน้ ทนุ ไม้ผลไม้ยืนต้น เป็นต้นทนุ ก่อนให้ผลเฉล่ีย
ต่อไร่ ท่ีคำนวณจากค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งหมดต้ังแต่ปีแรกถึงปีก่อนให้ผลผลิต และนำไปปรับลดมูลค่าด้วยวิธี
13
Discount Factor: DF แล้วนำไปกระจายเป็นค่าใช้จ่ายต่อปีในทุกช่วงอายุท่ีให้ผลผลิต ด้วย วิธี Cost Recovery
Factor: CRF หรือคอื
(ตน้ ทนุ รวมตอ่ ไร่ ปีท่ี 1 + ผลรวม ต้นทนุ รวมต่อไร่ ปีท่ี 2 ถึงปกี ่อนเกบ็ เกยี่ ว) * DF * CRF
(4.1) การหาค่า ตัวร่วมส่วนลด จากการคิดลด Discount Factor (DF) มาทอนค่า
ต้นทุนต่อไร่ที่เกิดขึ้นรวมทุกปีก่อนให้ผลผลิต ให้ไปเท่ากับจำนวนปีท่ีเก็บเก่ียวได้แล้ว และใช้อัตราดอกเบ้ีย
ที่ กำหนด โดย คา่ DF คำนวณได้จาก สตู ร
DF = 1
(1+ r)t
โดยที่ r คือ อัตราดอกเบย้ี เงนิ ฝากของ ธ.ก.ส. (รอ้ ยละ 0.38)
t คือ จำนวนปคี ดิ ลด
(4.2) การหาค่า ตัวกอบกู้ทุน เพื่อนำต้นทุนก่อนให้ผลผลิต กระจายไปทุกปีของการ
เก็บเกี่ยวต้ังแต่ปีเร่ิมต้นเก็บเกี่ยวจนหมดอายุขัยทางเศรษฐกิจของพืชน้ัน โดยเทียบกับค่า CRF (Cost Recovery
Factor) ที่ได้จาก สูตร ดังนี้
CRF = r
1
1−
(1 + r)k
โดยท่ี r คือ อตั ราดอกเบีย้ เงนิ ฝากของ ธ.ก.ส. (รอ้ ยละ 0.38)
k คอื จำนวนปีอายขุ ยั ท่ีเก็บเก่ยี ว (22 ป)ี
4.3) ต้นทุนรวมต่อไร่ หรือ ต้นทุนต่อพ้ืนที่ (บาทต่อไร่) คำนวณได้จากการรวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด
ทใี่ ช้ไปในการลงทนุ การผลติ พืชน้นั ทงั้ ต้นทนุ ผนั แปรและตน้ ทุนคงท่ี
4.4) ต้นทุนต่อกิโลกรมั หรอื ต้นทุนต่อหน่วย (บาทตอ่ กิโลกรัม) คำนวณได้จากตน้ ทุนรวมต่อไร่
หารดว้ ยผลผลติ ต่อไร่
5) แนวคดิ เกยี่ วกบั ผลตอบแทน
ผลตอบแทน (Revenue) คอื ผลประโยชน์ทีไ่ ด้รับจากผลผลิตที่ทำการผลิต การพจิ ารณาผลตอบแทน
การผลิตจะมากหรือน้อยเพียงใด สามารถวิเคราะห์จากรายได้ทั้งหมด ต้นทุนท้ังหมด และกำไรสุทธิ โดยคิดเฉล่ียต่อ
พ้นื ทเ่ี พาะปลูก 1 ไร่ ดังนี้
รายได้ท้ังหมด = ราคาผลผลติ x จำนวนผลผลติ
ตน้ ทุนท้ังหมด = ต้นทุนผนั แปร + ต้นทนุ คงท่ี
กำไรสุทธิ = รายไดท้ ัง้ หมด – ตน้ ทุนทั้งหมด
14
2.2.2 แนวคิดการตลาด
1) ส่วนประสมทางการตลาด
Kotler (2003) ได้กล่าวถึงความหมายของส่วนประสมการตลาด (Marketing Mix) ไว้ว่าเป็น
เครื่องมือการตลาดท่ีสามารถควบคุมได้ ซ่ึงกิจการผสมผสานเคร่ืองมือเหล่านี้ให้สามารถตอบสนองความ
ต้องการและสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ส่วนประสมการตลาดประกอบด้วยทุกส่ิงทุกอย่างที่
กจิ การใชเ้ พื่อให้มอี ทิ ธพิ ลโนม้ นา้ วความตอ้ งการผลติ ภัณฑ์ของกิจการ
กุลวดี คูหะโรจนานนท์ (2547) กล่าวสรุปไว้ว่าส่วนประสมการตลาดเป็นปัจจัยที่สามารถควบคุมได้
และสามารถที่จะเปล่ียนแปลงหรือปรับปรุงให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม เพื่อให้กิจการอยู่รอดหรืออาจเรียก
ได้ว่าส่วนประสมการตลาดเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ถูกใช้เพื่อสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
ทำใหก้ ลุ่มลูกคา้ เปา้ หมายมคี วามพอใจและมีความสุขได้
ส่วนประสมทางการตลาด เป็นปัจจัยทางการตลาดที่ควบคุมได้ท่ีธุรกิจต้องใช้ร่วมกัน
เพ่ือตอบสนองความต้องการและสร้างความพึงพอใจแก่กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย หรือเพ่ือกระตุ้นให้กลุ่มลูกค้า
เป้าหมายเดิมเกิดความต้องการสินค้าและบริการของตน ประกอบด้วย 4 ประการ หรือ 4P’s (ศิริวรรณ เสรีรัตน์
และคณะ, 2547) คอื
(1) ผลิตภัณฑ์ (Product) หมายถึง ส่ิงท่ีเสนอขายโดยธุรกิจ เพื่อตอบสนองความจำเป็นหรือ
ความต้องการของลูกค้าให้เกิดความพึงพอใจ ประกอบด้วยส่ิงท่ีสัมผัสได้และสัมผัสไม่ได้ เช่น บรรจุภัณฑ์ สี
ราคา คุณภาพ ตราสินค้า บริการและชื่อเสียงของผู้ขาย ผลิตภัณฑ์อาจจะเป็นสินค้า บริการ สถานท่ี บุคคล
หรือความคิด ผลิตภัณฑ์ท่ีเสนอขายอาจจะมีตัวตนหรอื ไม่มีตัวตนก็ได้ ผลิตภัณฑ์จึงประกอบด้วยสินค้า บริการ
ความคดิ สถานที่ องค์กรหรือบคุ คล ผลติ ภณั ฑ์ตอ้ งมอี รรถประโยชน์ (Utility) มีคณุ ค่า (Value) ในสายตาลูกค้า
จึงจะมีผลทำใหผ้ ลติ ภณั ฑ์สามารถขายได้
(2) ราคา (Price) หมายถึง จำนวนเงินหรอื สิ่งอ่ืนๆ ท่ีมีความจำเป็นต้องจ่ายเพ่ือให้ได้ผลิตภัณฑ์
หรือหมายถึงคุณค่าผลิตภัณฑ์ในรูปตัวเงิน ราคาเป็น P ตัวท่ีสองที่เกิดข้ึนถัดจาก Product ราคาเป็นต้นทุน
(Cost) ของลูกค้า ผู้บรโิ ภคจะเปรียบเทียบระหว่างคุณค่า (Value) ของผลิตภัณฑ์กับราคา (Price) ของผลิตภัณฑ์น้ัน
ถา้ คณุ ค่าสูงกว่าราคาผบู้ ริโภคก็จะตัดสนิ ใจซือ้
(3) การจัดจำหน่าย (Place) หมายถึง โครงสร้างของช่องทางซึ่งประกอบด้วยสถาบันและ
กิจกรรม เพื่อใช้เคล่ือนย้ายผลิตภัณฑ์และบริการจากองค์การไปยังตลาด สถาบันที่นำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด
เป้าหมายคือ สถาบันการตลาด ส่วนกิจกรรมท่ีช่วยในการกระจายตัวสินค้าประกอบด้วยการขนส่งคลังสินค้า
และการเกบ็ รักษาสนิ คา้ คงคลงั
(4) การส่งเสริมการตลาด (Promotion) เป็นเคร่ืองมือการสื่อสารเพ่ือสร้างความพึงพอใจต่อ
ตราสินค้าหรือบริการหรือความคิดหรือต่อบุคคล โดยใช้เพื่อจูงใจ (Persuade) ให้เกิดความต้องการเพ่ือเตือน
ความทรงจำ (Remind) ในผลิตภัณฑ์ โดยคาดว่าจะมีอิทธิพลต่อความรู้สึก ความเชื่อ และพฤติกรรมการซ้ือ
หรอื เป็นการติดต่อสื่อสารเกีย่ วกับข้อมูลระหว่างผขู้ ายกบั ผ้ซู ื้อ หรือเป็นการติดต่อส่ือสารเกีย่ วกับข้อมูลระหว่าง
ผู้ขายกับผู้ซ้ือ เพื่อสร้างทัศนคติ และพฤติกรรมการซ้ือการติดต่อสื่อสารอาจใช้พนักงานงานขาย (Personal
15
selling) ทำการขาย และการติดต่อสื่อสารโดยไม่ใช้คน (No person selling) เครื่องมือในการติดต่อสื่อสารมี
หลายประการ องค์การอาจเลือกใช้หน่ึงหรือหลายเคร่ืองมือ ซึ่งต้องใช้หลักการเลือกใช้เครื่องมือการส่ือสาร
การตลาดแบบประสมประสานกัน โดยพิจารณาถึงความเหมาะสมกับลูกค้า ผลิตภัณฑ์ คู่แข่ง โดยบรรลุ
จดุ มุง่ หมายรว่ มกัน
2) วิถีการตลาด (Marketing Channel)
ตลาด คือ การที่ผซู้ ้ือและผู้ขายมาทำการซอ้ื ขายซ่ึงกันและกัน หรือบริเวณท่ีอุปสงค์และอุปทาน
ทมี่ ีสภาพคลา้ ยคลึงกันมาพบกัน ซึ่งตลาดนั้นอาจมีสถานที่หรือไม่มีสถานท่ีหรืออาจมีรูปแบบ (Formal) หรือไม่
มีรปู แบบกไ็ ด้ (Informal) ก็ได้ (สมคดิ ทักษิณาวิสทุ ธ,์ิ 2546)
ตลาดที่มีรูปแบบ คือ ตลาดท่ีผู้เข้ามาทำธุรกิจในตลาดนั้น จะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ท่ีตลาด
กำหนดไว้ ส่วนตลาดที่ไม่มีรูปแบบ คือ ตลาดท่ีผู้ซ้ือและผู้ขายสามารถตกลงซื้อขายกันอย่างไรก็ได้ การตลาด
สินค้าเกษตร เป็นผลการดำเนินการต่างๆ ของธุรกิจในการเคลื่อนย้ายสินค้าและบริการจากจุดเริ่มต้นของการ
ผลติ สินค้าเกษตร จนกระทง่ั สนิ ค้าเหล่านน้ั ถึงมอื ผูบ้ รโิ ภคคนสดุ ทา้ ย จะเห็นว่าการตลาดสนิ คา้ เกษตรจะเรมิ่ จาก
เกษตรกรขายสินค้าและไปสิ้นสุดเมื่อสินค้าน้ันไปสู่มือผู้บริโภค และจะต้องมีบุคคลหรือผู้ทำหน้าที่การตลาดมา
ทำกิจกรรมต่างๆ เพ่ือให้เกิดการเคลื่อนย้ายสินค้า กิจกรรมการตลาดจะเป็นกิจกรรมที่ต่อเนื่องกัน และจะต้อง
มีการประสานงานกัน (Coordination) ทั้งนี้ เน่ืองจากกิจกรรมต่างๆ ของการตลาดมีผู้ทำหลายกลุ่มด้วยกัน
แต่ละกลุ่มต่างมีความเห็นในเร่ืองการตลาดที่แตกต่างกัน กลุ่มผู้บริโภคตอ้ งการซ้ือสนิ ค้าในราคาที่ต่ำที่สุดเท่าที่
จะเป็นไปได้ เกษตรกรผู้ผลิตต้องการผลตอบแทนจากการขายผลผลิตให้มากทส่ี ุดเท่าที่จะเป็นไปได้ สว่ นหน่วย
ต่างๆ ท่ีทำหน้าท่ีอยู่ระหว่างเกษตรกรและผู้บริโภคก็หวังกำไรจากการดำเนินธุรกิจ ความขัดแย้งอาจเกิดขึ้ น
เนื่องจากเป้าหมายแตล่ ะกลุม่ แตกตา่ งกนั การแกไ้ ขปัญหาการตลาดจงึ เปน็ ปญั หาแบบลูกโซแ่ ละไม่มีท่สี ้นิ สุด
วถิ กี ารตลาด หมายถึง การแสดงใหท้ ราบวา่ สนิ ค้าชนิดใดชนิดหน่ึงเมื่อเคล่อื นยา้ ยจากผ้ผู ลิตแล้ว
ไปสู่คนกลางประเภทใดบ้าง คนกลางแต่ละประเภทได้รับในปริมาณเท่าใด ก่อนสินค้านั้นไปสู่มือผู้บริโภคคน
สุดท้าย โดยปกติจะแสดงปริมาณในรูปร้อยละ สนิ ค้าบางชนดิ ก่อนเคลื่อนย้ายจากผ้ผู ลิตอาจมีรปู ร่างอย่างหนึ่ง
แต่เมื่อถึงมือผู้บริโภคอาจมีรูปร่างอีกอย่างหน่ึง สินค้าบางชนิดอาจเกิดความสูญเสียระหว่างการเคลื่อนย้าย
ดังน้ัน ในการวิเคราะห์วิถีการตลาดจำเป็นต้องยึดถือลักษณะใดลักษณะหนึ่งเป็นหลักแล้วเทียบลักษณะท่ีไม่
เหมือนกันใหเ้ ป็นหนว่ ยเดียวกนั กบั ลักษณะที่ยึดเปน็ หลกั จงึ ทำการวิเคราะห์ได้
3) สว่ นเหล่อื มการตลาด (Marketing Margin)
ส่วนเหลื่อมการตลาด หมายถึง ผลต่างระหว่างราคาท่ีเกษตรกรได้รับกับราคาที่ผู้ประกอบการ
ประเภทต่างๆ ได้รับ โดยส่วนเหล่ือมการตลาดประกอบด้วย ต้นทุนการตลาดท้ังหมดท่ีใช้ประกอบการพิจารณา
การดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจรวมถึงกำไรของผู้ประกอบการประเภทต่างๆ ท้ังนี้ ส่วนเหลื่อมการตลาดที่สูงมากอาจ
มีสาเหตุมาจากต้นทุนการตลาดที่สูง ซึ่งเป็นผลมาจากขั้นตอนและกิจกรรมการตลาดที่มีจำนวนมากของ
ผปู้ ระกอบการประเภทต่างๆ ท่เี กีย่ วข้อง
16
ต้นทุนการตลาด (Marketing Cost) หมายถึง ต้นทุนต่างๆ ท่ีเกิดขึ้นในการประกอบกิจการ
รวมถึงกำไรของผู้ประกอบการประเภทต่างๆ ที่เก่ียวข้อง เช่น ค่าใช้จ่ายในการผลิต ค่าขนส่ง ค่าแรงงาน และ
ค่าใชจ้ า่ ยในการบรหิ ารจัดการ เปน็ ต้น
สว่ นเหล่ือมการตลาด หมายถึง ความแตกต่างระหวา่ งราคาสินค้าหรือผลิตผลที่ผ้บู ริโภคจ่ายกับ
ราคาที่ผู้ผลิตได้รับ หรือราคาของส่ิงบรกิ ารทางการตลาด (Marketing Services) ได้แก่ ค่าขนส่ง ค่าเก็บรักษา
คา่ บรรจหุ บี ห่อ ฯลฯ และกำไรของผคู้ ้า (สมคดิ ทักษณิ าวสิ ุทธ์ิ, 2548) ดงั สมการ
M = Pr − Pf
โดยที่ M =ส่วนเหล่ือมการตลาด
Pr = ราคาขายปลีก
Pf = ราคาฟาร์ม
ความแตกต่างระหว่างราคาที่ผู้บริโภคจ่ายหรือราคาขายปลีก (Retail Price: Pr ) กับราคาที่
ผูผ้ ลิตหรือเกษตรกรได้รับ (Farm Price: Pf ) เนื่องจากในระบบตลาดสินค้าเกษตรโดยท่ัวไปผู้ผลิตและผู้บริโภคมิได้
ซ้ือขายกันโดยตรง ผู้ผลิตและผู้บริโภคอยู่กันคนละแห่งประกอบกับลักษณะสินค้าเกษตรท่ีผู้ผลิตผลิตได้ส่วนใหญ่
ไม่ได้อย่ใู นลักษณะที่ผ้บู ริโภคต้องการ จึงตอ้ งมคี นกลางทางการตลาดประเภทต่างๆ เข้ามาเก่ยี วขอ้ ง
ราคาขายปลีกท่ีผู้บริโภคจ่าย สะท้อนถึงอุปสงค์ของผู้บริโภคต่อสินค้าน้ัน ซึ่งเป็นความสัมพันธ์
ระหว่างปริมาณและราคาในระดับขายปลีก ซึ่งเรียกว่าอุปสงค์ขั้นปฐมหรือข้ันต้น (Primary Demand) ซ่ึงเป็น
ความต้องการที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการเกิดความต้องการต่อปัจจัยการผลิตท่ีจะไปใช้ผลิตสินค้าตอบสนองความ
ต้องการในขั้นปฐมดังกล่าว และรวมถงึ ปจั จัยตา่ งๆ ทจี่ ะถกู นำไปใชใ้ นกระบวนการตลาด
ความต้องการปัจจัยการผลิตในระดับฟาร์มเป็นความต้องการของเกษตรกร ส่วนปัจจัยที่ใช้ใน
กระบวนการตลาดเป็นความต้องการของคนกลางประเภทต่างๆ ในการทำธุรกิจ คนกลางไม่ได้เป็นผู้บริโภคสินค้าเอง
ซึ่งความต้องการของคนกลางเหล่าน้ีเรียกว่าอุปสงค์สืบเน่ือง (Derived Demand) ซ่ึงเป็นความสัมพันธ์ระหว่าง
ปริมาณและราคาในระดับฟาร์มและระดับคนกลางประเภทตา่ งๆ กอ่ นถึงระดับขายปลกี
มูลค่าส่วนเหล่ือมการตลาด แบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน คือ 1) ต้นทุนการตลาด (Marketing Cost)
และ 2) ค่าบริการการตลาด (Marketing Charge) โดยมรี ายละเอยี ดดงั นี้
1) ต้นทุนการตลาด หมายถึงผลตอบแทนท่ีได้รับจากการใช้ปัจจัยต่างๆ ในการผลิตสินค้า
แปรรูปและการทำหน้าทกี่ ารตลาดอนื่ ๆ เช่น การซ้ือ การขาย การเก็บรักษา การขนส่งการเสี่ยงภัย การบริการ
ด้านการเงิน การแบ่งช้ันคณุ ภาพ เป็นตน้ โดยนับตั้งแตจ่ ุดทส่ี ินค้าเริ่มเคล่อื นยา้ ยจากมือผู้ผลิตหรือเกษตรกรไป
จนกระท่ังถึงมอื ผู้บริโภคคนสุดท้าย ผลตอบแทนทีไ่ ดน้ ั้นประกอบไปด้วย ค่าจ้าง ค่าเช่า และค่าดอกเบ้ียซึ่งก็คือ
ผลตอบแทนต่อแรงงาน ทด่ี ินหรอื อาคารสำนกั งาน และทุนตามลำดับ
ในการพิจารณาต้นทุนการตลาดของสินค้าแต่ละชนิดจำเป็นต้องทราบถึงวิถีการตลาด
ของสินค้าน้ันโดยเฉพาะสินค้าเกษตรแต่ละชนิดมีความแตกต่างกัน เช่น บางอย่างเน่าเสียง่าย บางอย่างต้องมี
17
กระบวนการแปรรปู หลายข้ันตอน บางอย่างผลิตไดเ้ ฉพาะบางฤดกู าลทำใหจ้ ำนวนคนกลางในตลาดสินคา้ แต่ละ
ชนิดมีความแตกต่างกันอันเป็นผลให้ส่วนประกอบของต้นทุนการตลาดของสินค้าแต่ละชนิดแต่ละประเภท
จึงมมี ากนอ้ ยแตกตา่ งกนั ไป
2) ค่าบริการการตลาด หมายถึงผลตอบแทนต่อการบริการของคนกลางในตลาดแต่ละระดับ
อันได้แก่ ผลตอบแทนหรือกำไรต่อการบริการของผู้ขายปลีก ผู้ขายส่ง ผู้รวบรวมนายหน้า และผลตอบแทน
ต่อกิจกรรมการแปรรูปของพ่อค้าแปรรูป ผลตอบแทนต่อการบริการของคนกลางตลาดในแต่ระดับน้ันจะ
แตกต่างกนั ไปตามชนิดของสนิ ค้า
บทที่ 3
ขอ้ มูลทั่วไป
3.1 สถานการณ์กาแฟ
3.1.1 ของโลก
1) การผลติ
ในช่วงปี 2558 - 2562 ผลผลิตกาแฟโลกเพิ่มข้ึนจาก 9.23 ล้านตัน ในปี 2558 เป็น 10.47 ล้านตัน
ในปี 2562 หรือเพิ่มข้ึนร้อยละ 2.93 ต่อปี เน่ืองจากประเทศบราซิลที่เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ มีสภาพอากาศที่
เอ้ืออำนวยและปริมาณน้ำฝนเพียงพอในช่วงที่กาแฟกำลังบานดอกและติดผล รวมถึงมีระบบการจัดการด้าน
การปลูกทดี่ ี สง่ ผลให้ผลผลิตของโลกเพิม่ มากขนึ้ สำหรบั ประเทศท่ผี ลิตกาแฟ
มากทส่ี ดุ ไดแ้ ก่ บราซลิ รองลงมาคอื เวียดนาม และโคลมั เบีย
(1) บราซิล เป็นผู้ผลิตกาแฟอันดับ 1 ของโลก และเป็นผู้ผลิตกาแฟพันธ์ุอาราบิการายใหญ่
อันดับ 1 ของโลก หรอื มีผลผลิตคิดเป็นร้อยละ 37.15 ของผลผลิตโลก โดยช่วงปี 2558 - 2562 ผลผลิตกาแฟ
ของบราซิลเพม่ิ ขึ้นจาก 3.26 ล้านตนั ในปี 2558 เป็น 3.89 ลา้ นตัน ในปี 2562 หรอื เพิ่มข้ึนร้อยละ 3.91 ต่อปี
โดยแยกเป็นกาแฟพันธ์ุอาราบิกา มีผลผลิตเพมิ่ ขนึ้ จาก 2.24 ล้านตนั ในปี 2558 เปน็ 2.89 ล้านตนั ในปี 2562
หรือเพ่ิมขึ้นร้อยละ 5.89 ส่วนกาแฟพันธุ์โรบัสตาลดลงจาก 1.02 ล้านตัน ในปี 2558 เหลือ 0.74 ล้านตัน
ในปี 2562 และเพมิ่ ขน้ึ เป็น 1.00 ลา้ นตนั ในปี 2562 หรอื ภาพรวมลดลงร้อยละ 1.17 ต่อปี
(2) เวียดนาม เป็นผู้ผลิตกาแฟอันดับ 2 ของโลก รองจากบราซิล หรือมีผลผลิตคิดเป็นร้อยละ
17.19 ของผลผลิตโลก และเป็นผู้ผลิตกาแฟพันธุ์โรบัสตารายใหญ่อันดับ 1 ของโลก โดยช่วงปี 2562 ผลผลิต
กาแฟของเวียดนามเพ่ิมข้ึนจาก 1.64 ล้านตัน ในปี 2558 เป็น 1.82 ล้านตัน ในปี 2562 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ
2.22 ต่อปี โดยกาแฟพนั ธโุ์ รบัสตามผี ลผลิตเพิ่มขนึ้ จาก 1.58 ล้านตนั ในปี 2558 เปน็ 1.74 ล้านตนั ในปี 2562
หรอื เพ่มิ ข้ึนร้อยละ 2.01 ตอ่ ปี
(3) โคลัมเบีย เป็นผู้ผลิตกาแฟอันดับ 3 ของโลก หรือมีผลผลิตคิดเป็นร้อยละ 8.21 ของผลผลิตโลก
โดยช่วงปี 2558 - 2562 ผลผลิตกาแฟพันธ์ุอาราบิกาของโคลัมเบียเพิ่มข้ึนจาก 0.80 ล้านตัน ในปี 2558
เปน็ 0.86 ลา้ นตนั ในปี 2562 หรือเพม่ิ ขน้ึ รอ้ ยละ 1.34 ตอ่ ปี (ตารางท่ี 3.1)
ตารางท่ี 3.1 ผลผลิตกาแฟของโลก ปี 2558 - 2562
ประเทศ 2558 2559 2560 2561 2562 อัตราเพ่ิม/ลด
(รอ้ ยละ)
บราซลิ 3.26 2.96 3.37 3.05 3.89 3.91
เวียดนาม 1.64 1.74 1.60 1.76 1.82 2.22
โคลัมเบยี 0.80 0.84 0.88 0.83 0.86 1.34
อินโดนีเซีย 0.63 0.73 0.64 0.62 0.64 -1.31
เอธิโอเปีย 0.39 0.39 0.42 0.42 0.44 3.20
ฮอนดูรสั 0.31 0.32 0.45 0.46 0.42 10.19
19
ตารางท่ี 3.1 ผลผลิตกาแฟของโลก ปี 2558 - 2562 (ต่อ)
หนว่ ย: ลา้ นตนั
ประเทศ 2558 2559 2560 2561 2562 อตั ราเพมิ่ /ลด
(รอ้ ยละ)
อินเดยี 0.33 0.35 0.31 0.32 0.31 -2.12
ยูกนั ดา 0.21 0.22 0.31 0.26 0.29 8.47
เปรู 0.17 0.21 0.25 0.26 0.26 11.22
ที่มา: สำนักงานเศรษฐกจิ การเกษตร, 2563
2) การตลาด
(1) ความตอ้ งการใช้
ในช่วงปี 2558 - 2562 ความต้องการใช้เมล็ดกาแฟของโลก เพิ่มข้ึนจาก 8.74 ล้านตัน ในปี 2558
เป็น 9.83 ล้านตัน ในปี 2562 หรือเพ่ิมข้ึนร้อยละ 2.83 ต่อปี โดยประเทศท่ีมีความต้องการใช้เมล็ดกาแฟมากที่สุด
ได้แก่ กลุ่มประเทศสหภาพยุโรป มีความต้องการเพิ่มขึ้นจาก 2.63 ล้านตัน ในปี 2558 เป็น 2.78 ล้านตัน
ในปี 2562 หรือเพ่ิมขึ้นร้อยละ 1.38 ต่อปี รองลงมาได้แก่ สหรัฐอเมริกา เพิ่มขึ้นจาก 1.41 ล้านตัน ในปี 2558
เป็น 1.58 ล้านตัน ในปี 2562 หรือเพ่ิมข้ึนร้อยละ 2.51 ต่อปี และบราซิล เพ่ิมข้ึนจาก 1.23 ล้านตัน ในปี 2558
เปน็ 1.39 ล้านตนั ในปี 2562 หรอื เพ่ิมขน้ึ รอ้ ยละ 3.27 ต่อปี (ตารางท่ี 3.2)
ตารางที่ 3.2 ความต้องการใช้กาแฟของโลก ปี 2558 – 2562
หนว่ ย: ล้านตนั
ประเทศ 2558 2559 2560 2561 2562 อัตราเพม่ิ /ลด
(รอ้ ยละ)
สหภาพยโุ รป 2.63 2.67 2.54 2.74 2.78 1.38
สหรัฐอเมรกิ า 1.41 1.50 1.53 1.53 1.58 2.51
บราซิล 1.23 1.25 1.30 1.35 1.39 3.27
ญ่ีปุ่น 0.47 0.48 0.49 0.49 0.5 1.45
ฟลิ ิปปนิ ส์ 0.25 0.37 0.42 0.39 0.37 8.73
แคนาดา 0.27 0.27 0.27 0.29 0.28 1.45
รสั เซยี 0.24 0.26 0.28 0.27 0.27 2.77
อินโดนีเซยี 0.17 0.19 0.19 0.21 0.26 9.96
เอธโิ อเปีย 0.18 0.19 0.19 0.19 0.20 2.13
จีน 0.14 0.17 0.19 0.18 0.19 6.91
อืน่ ๆ 1.75 1.81 1.83 1.93 2.01 3.47
รวม 8.74 9.16 9.23 9.57 9.83 2.83
ทม่ี า: สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2563
20
(2) การสง่ ออก
ในช่วงปี 2558 - 2562 การส่งออกเมล็ดกาแฟและกาแฟสำเร็จรูป เพ่ิมข้ึนจาก 7.42 ล้านตัน
ในปี 2558 เป็น 8.28 ล้านตัน ในปี 2562 หรอื เพ่ิมขนึ้ รอ้ ยละ 2.05 ต่อปี ประเทศผู้สง่ ออกทีส่ ำคัญ ได้แก่ บราซิล
ส่งออกเพิ่มขึ้นจาก 2.19 ล้านตัน ในปี 2558 เป็น 2.38 ล้านตัน ในปี 2562 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.15 ต่อปี
รองลงมาได้แก่ เวียดนาม ส่งออกเพ่ิมขึ้นจาก 1.29 ล้านตัน ในปี 2558 เป็น 1.63 ล้านตัน ในปี 2562 หรือเพิ่มข้ึน
ร้อยละ 4.18 ต่อปี และโคลัมเบีย ส่งออกเพ่ิมขึ้นจาก 0.75 ล้านตัน ในปี 2558 เพิ่มข้ึนเป็น 0.80 ล้านตัน
ในปี 2562 หรอื เพม่ิ ข้นึ รอ้ ยละ 1.57 (ตารางท่ี 3.3)
ตารางที่ 3.3 ปริมาณการส่งออกเมล็ดกาแฟและกาแฟสำเร็จรปู ของโลก ปี 2558 - 2562
หนว่ ย: ล้านตนั
ประเทศ 2558 2559 2560 2561 2562 อตั ราเพ่ิม/ลด
(รอ้ ยละ)
บราซิล 2.19 2.13 1.98 1.83 2.38 0.15
เวียดนาม 1.29 1.77 1.65 1.67 1.63 4.18
โคลมั เบีย 0.75 0.74 0.83 0.76 0.80 1.57
ฮอนดูรสั 0.29 0.30 0.43 0.43 0.40 10.55
อนิ โดนีเซีย 0.52 0.59 0.49 0.48 0.37 -8.49
อนิ เดีย 0.29 0.34 0.37 0.37 0.33 3.49
ยกู ันดา 0.20 0.21 0.28 0.27 0.28 9.68
เปรู 0.17 0.20 0.24 0.25 0.26 11.33
เอธิโอเปีย 0.21 0.20 0.23 0.23 0.24 4.15
กัวเตมาลา 0.18 0.18 0.20 0.21 0.20 3.72
อน่ื ๆ 1.33 1.34 1.31 1.37 1.39 1.11
รวม 7.42 8.00 8.01 7.87 8.28 2.05
ทีม่ า: สำนกั งานเศรษฐกจิ การเกษตร, 2563
เมล็ดกาแฟ ในช่วงปี 2558 - 2562 การสง่ ออกเมล็ดกาแฟเพ่ิมขึ้นจาก 6.22 ลา้ นตัน ในปี 2558 เป็น 7.06
ลา้ นตัน ในปี 2562 หรือเพิ่มขึน้ ร้อยละ 2.40 ต่อปี โดยประเทศบราซิล มีการส่งออกมากทีส่ ุดจาก 1.98 ล้านตัน ในปี
2558 เพิ่มข้ึนเป็น 2.16 ล้านตัน ในปี 2562 หรือเพ่ิมข้ึนร้อยละ 0.09 ต่อปี รองลงมา ได้แก่ เวียดนาม ส่งออก 1.19
ล้านตัน ในปี 2558 เพ่ิมขึ้นเป็น 1.47 ล้านตัน ในปี 2562 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.65 ตอ่ ปี และโคลมั เบีย ส่งออก 0.70
ลา้ นตัน ในปี 2558 เพิ่มข้ึนเปน็ 0.74 ล้านตัน ในปี 2562 หรอื เพิ่มขน้ึ ร้อยละ 1.26 ตอ่ ปี (ตารางที่ 3.4)
21
ตารางที่ 3.4 ปริมาณการสง่ ออกเมลด็ กาแฟของโลก ปี 2558 - 2562
หนว่ ย: ล้านตนั
ประเทศ 2558 2559 2560 2561 2562 อัตราเพ่มิ /ลด
(ร้อยละ)
1.76 1.62
บราซิล 1.98 1.91 1.50 1.52 2.16 0.09
1.62 0.76 0.70
เวยี ดนาม 1.19 0.69 0.43 0.43 1.47 3.65
0.30 0.44 0.42
โคลัมเบยี 0.70 0.48 0.28 0.27 0.74 1.26
0.21 0.24 0.25
ฮอนดรู สั 0.29 0.20 0.23 0.23 0.40 10.55
0.20 0.26 0.25
อินโดนเี ซีย 0.41 0.24 0.20 0.21 0.29 -7.93
0.18 0.73 0.77
ยูกันดา 0.20 0.75 6.83 6.67 0.28 9.68
6.78
เปรู 0.17 0.26 11.33
เอธโิ อเปีย 0.21 0.24 4.15
อนิ เดีย 0.20 0.22 2.34
กัวเตมาลา 0.18 0.20 3.72
อื่นๆ 0.69 0.80 3.27
รวม 6.22 7.06 2.40
ทีม่ า: สำนกั งานเศรษฐกจิ การเกษตร, 2563
กาแฟสำเร็จรูป ในช่วงปี 2558 - 2562 การส่งออกกาแฟสำเร็จรูปลดลงจาก 0.98 ล้านตัน ในปี 2558 เหลือ
0.97 ล้านตัน ในปี 2562 และเพ่ิมข้ึนเป็น 0.98 ล้านตัน ในปี 2562 ภาพรวมลดลงร้อยละ 0.50 ต่อปี โดยประเทศ
บราซิลส่งออกมากท่ีสุด จากปริมาณ 0.21 ล้านตัน ในปี 2558 เพิ่มขึ้นเป็น 0.22 ล้านตัน ในปี 2562 หรือเพิ่มข้ึน
รอ้ ยละ 0.47 ตอ่ ปี รองลงมา ได้แก่ มาเลเซีย สง่ ออก 0.17 ล้านตัน ในปี 2558 เพิ่มข้ึนเป็น 0.19 ล้านตัน ในปี 2562
หรอื เพมิ่ ข้ึนร้อยละ 2.25 ต่อปี และเวียดนาม สง่ ออก 0.08 ล้านตัน ในปี 2558 เพิ่มข้ึนเป็น 0.13 ล้านตัน ในปี 2562
หรือเพ่มิ ข้ึนร้อยละ 11.08 ตอ่ ปี (ตารางที่ 3.5)
ตารางท่ี 3.5 ปริมาณการส่งออกกาแฟสำเร็จรูปของโลก ปี 2558 - 2562
หนว่ ย: ล้านตนั
ประเทศ 2558 2559 2560 2561 2562 อตั ราเพม่ิ /ลด
(ร้อยละ)
บราซลิ 0.21 0.22 0.22 0.21 0.22 0.47
มาเลเซยี 0.17 0.18 0.18 0.18 0.19 2.25
เวียดนาม 0.08 0.12 0.12 0.13 0.13 11.08
อนิ เดีย 0.09 0.10 0.11 0.12 0.11 6.01
อินโดนีเซีย 0.11 0.11 0.05 0.06 0.07 -14.02
เมก็ ซโิ ก 0.05 0.05 0.06 0.06 0.06 5.62
โคลมั เบีย 0.04 0.05 0.05 0.05 0.05 4.56
สหภาพยโุ รป 0.01 0.03 0.03 0.04 0.05 42.00
22
ตารางท่ี 3.5 ปริมาณการส่งออกกาแฟสำเร็จรูปของโลก ปี 2558 - 2562 (ต่อ)
ประเทศ 2558 2559 2560 2561 2562 หนว่ ย: ล้านตัน
เอกวาดอร์ 0.05 0.04 0.03 0.03 0.02 อัตราเพม่ิ /ลด
(รอ้ ยละ)
จีน 0.03 0.04 0.04 0.03 0.02 -19.11
-10.40
อื่นๆ 0.14 0.08 0.07 0.06 0.06 -17.98
-0.50
รวม 0.98 1.02 0.96 0.97 0.98
ที่มา: สำนกั งานเศรษฐกจิ การเกษตร, 2563
(3) การนำเขา้
ในชว่ งปี ในช่วงปี 2558 - 2562 การนำเขา้ เมล็ดกาแฟและกาแฟสำเรจ็ รูปเพ่ิมข้ึนจาก 7.04 ล้านตัน
ในปี 2558 เป็น 7.96 ล้านตัน ในปี 2562 หรือเพ่ิมขึ้นร้อยละ 2.74 ต่อปี ประเทศผู้นำเขา้ กาแฟที่สำคัญ ได้แก่
กลุ่มประเทศสหภาพยุโรป มีการนำเข้าเพ่ิมขึ้นจาก 2.71 ล้านตัน ในปี 2558 เป็น 2.94 ล้านตัน ในปี 2562 หรือ
เพิ่มขน้ึ ร้อยละ 1.93 ต่อปี รองลงมาได้แก่ สหรัฐอเมริกา นำเขา้ เพิ่มข้นึ จาก 1.44 ล้านตนั ในปี 2558 เป็น 1.60 ลา้ นตัน
ในปี 2562 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.99 ต่อปี และญ่ีปุ่น นำเข้าเพิ่มข้ึนจาก 0.49 ล้านตัน ในปี 2558 เพิ่มขึ้นเป็น
0.51 ล้านตัน ในปี 2562 หรือเพ่ิมข้ึนร้อยละ 0.17 ต่อปี เนื่องจากความต้องการบริโภคของประเทศเหล่านั้น
เพิม่ ขนึ้ (ตารางที่ 3.6)
ตารางที่ 3.6 ปริมาณการนำเข้าเมลด็ กาแฟและกาแฟสำเร็จรูปของโลก ปี 2558 - 2562
ประเทศ 2558 2559 2560 2561 2562 หนว่ ย: ลา้ นตัน
สหภาพยโุ รป 2.71 2.77 2.76 2.85 2.94 อัตราเพิม่ /ลด
1.59 1.49 1.60 (ร้อยละ)
สหรฐั อเมริกา 1.44 1.51 0.48 0.46 0.51
0.39 0.37 0.37 1.93
ญ่ปี ุ่น 0.49 0.49 0.27 0.29 0.28 1.99
0.28 0.27 0.27 0.17
ฟลิ ปิ ปนิ ส์ 0.23 0.37 0.21 0.16 0.17 9.98
0.16 0.16 0.16 1.45
แคนาดา 0.27 0.27 0.16 0.17 0.16 2.77
0.13 0.14 0.14 7.82
รสั เซยี 0.24 0.26 1.16 1.30 1.36 3.37
7.59 7.66 7.96 2.57
จีน 0.11 0.18 1.49
4.78
เกาหลีใต้ 0.14 0.15 2.74
สวิตเซอร์แลนด์ 0.15 0.15
แอลจีเรยี 0.13 0.14
อ่นื ๆ 1.13 1.18
รวม 7.04 7.47
ทมี่ า: สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2563
23
เมล็ดกาแฟ ในช่วงปี 2558 - 2562 การนำเข้าเมล็ดกาแฟเพิ่มขึ้นจาก 6.15 ล้านตัน ในปี 2558 เป็น 6.83 ล้านตัน
ในปี 2562 หรือเพ่ิมข้ึนร้อยละ 2.29 ต่อปี โดยกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปมีการนำเข้ามากท่ีสุด เพิ่มข้ึนจาก 2.71
ล้านตนั ในปี 2558 เพ่ิมข้นึ เป็น 2.94 ล้านตัน ในปี 2562 หรือเพมิ่ ขน้ึ ร้อยละ 1.93 ต่อปี รองลงมาได้แก่ สหรัฐอเมรกิ า
นำเขา้ เพิม่ ข้นึ จาก 1.41 ล้านตนั ในปี 2558 เป็น 1.57 ล้านตนั ในปี 2562 หรือเพ่ิมข้นึ ร้อยละ 1.90 ตอ่ ปี (ตารางที่ 3.7)
ตารางที่ 3.7 ปริมาณการนำเข้าเมล็ดกาแฟของโลก ปี 2558 - 2562
หนว่ ย: ลา้ นตัน
ประเทศ 2558 2559 2560 2561 2562 อตั ราเพิ่ม/ลด
(รอ้ ยละ)
2.76 2.85
สหภาพยโุ รป 2.71 2.77 1.55 1.47 2.94 1.93
0.42 0.39
สหรฐั อเมริกา 1.41 1.51 0.18 0.18 1.57 1.90
0.16 0.17
ญ่ีปนุ่ 0.43 0.44 0.16 0.17 0.45 -0.30
0.15 0.14
แคนาดา 0.15 0.17 0.13 0.14 0.18 4.31
0.09 0.09
รัสเซยี 0.13 0.15 0.08 0.09 0.16 5.55
0.76 0.84
สวิตเซอร์แลนด์ 0.15 0.15 6.44 6.53 0.16 2.57
เกาหลีใต้ 0.13 0.14 0.14 1.49
แอลจเี รยี 0.13 0.14 0.14 1.49
มาเลเซยี 0.08 0.09 0.11 6.58
ออสเตรเลยี 0.08 0.09 0.10 4.56
อ่ืนๆ 0.75 0.77 0.88 4.15
รวม 6.15 6.42 6.83 2.29
ที่มา: สำนกั งานเศรษฐกจิ การเกษตร, 2563
กาแฟสำเรจ็ รูป ในช่วงปี 2558 - 2562 การนำเข้ากาแฟสำเร็จรูปเพ่ิมข้ึนจาก 0.74 ล้านตัน ในปี 2558
เป็น 0.94 ล้านตัน ในปี 2562 หรือเพ่ิมข้ึนร้อยละ 5.47 ต่อปี โดยประเทศฟิลิปปินส์นำเข้ามากที่สุด เพิ่มข้ึน
จาก 0.21 ล้านตัน ในปี 2558 เป็น 0.33 ล้านตัน ในปี 2562 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.46 ต่อปี รองลงมาได้แก่
แคนาดา นำเข้าเพ่ิมขึ้นจาก 0.08 ล้านตัน ในปี 2558 เป็น 0.09 ล้านตัน ในปี 2562 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.60
ตอ่ ปี (ตารางท่ี 3.8)
ตารางที่ 3.8 ปริมาณการนำเขา้ กาแฟสำเร็จรปู ของโลก ปี 2558 - 2562
หนว่ ย: ล้านตนั
ประเทศ 2558 2559 2560 2561 2562 อัตราเพ่ิม/ลด
(ร้อยละ)
ฟิลิปปนิ ส์ 0.21 0.33 0.36 0.33
แคนาดา 0.08 0.08 0.08 0.09 0.33 9.46
จีน 0.05 0.10 0.11 0.09
รสั เซยี 0.09 0.10 0.10 0.07 0.09 3.60
0.09 11.30
0.08 -5.75
24
ตารางที่ 3.8 ปริมาณการนำเข้ากาแฟสำเรจ็ รปู ของโลก ปี 2558 - 2562 (ต่อ)
หนว่ ย: ลา้ นตนั
ประเทศ 2558 2559 2560 2561 2562 อตั ราเพม่ิ /ลด
(รอ้ ยละ)
0.02 0.05
อนิ โดนเี ซยี 0.04 0.04 0.06 0.07 0.06 10.89
0.03 0.03
ญ่ปี ุ่น 0.05 0.05 0.02 0.03 0.05 3.42
0.01 0.01
ยเู ครน 0.03 0.03 0.02 0.02 0.03 -
0.14 0.16
อหิ รา่ น 0.00 0.01 0.95 0.95 0.02 28.21
เซอรเ์ บีย 0.01 0.01 0.02 14.87
แอฟรกิ าใต้ 0.02 0.02 0.02 -
อื่นๆ 0.16 0.13 0.15 0.79
รวม 0.74 0.90 0.94 5.47
ทมี่ า: สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2563
(4) ราคา
ในช่วงปี 2558 - 2562 ราคาเมล็ดกาแฟอาราบกิ าตลาดนวิ ยอร์ก ลดลงจากราคากิโลกรัมละ 129.16
บาท ในปี 2558 เหลือกิโลกรัมละ 90.52 บาท ในปี 2562 หรือลดลงร้อยละ 9.16 ต่อปี และราคาเมล็ดกาแฟ
โรบัสต้าตลาดนิวยอรก์ ลดลงจากกิโลกรัมละ 68.96 บาท ในปี 2558 เหลอื กโิ ลกรมั ละ 53.58 บาท ในปี 2562
หรอื ลดลงรอ้ ยละ 5.30 ต่อปี (ตารางที่ 3.9)
ตารางที่ 3.9 ราคาเมลด็ กาแฟดบิ ปี 2558 - 2562
ปี ราคากาแฟอาราบิกา หนว่ ย: บาท/กก.
(นวิ ยอรก์ )
ราคากาแฟโรบสั ตา้
2558 129.16 (นวิ ยอรก์ )
68.96
2559 123.47 65.15
79.26
2560 122.20 62.62
53.58
2561 96.17 -5.30
2562 90.52
อตั ราเพิม่ (ร้อยละ) -9.16
ทม่ี า: สำนักงานเศรษฐกจิ การเกษตร, 2563
3.1.2 ของไทย
1) การผลติ
ในช่วงปี 2558 - 2562 กาแฟพันธุ์อาราบิกา เน้ือที่ให้ผลเพิ่มขึ้นจาก 63,157 ไร่ ในปี 2558
เป็น 89,951 ไร่ ในปี 2562 หรือเพ่ิมข้ึนร้อยละ 9.35 ต่อปี และผลผลิตเพ่ิมข้ึนจาก 8,720 ตัน ในปี 2558
เหลือ 8,895 ตัน ในปี 2562 หรือเพ่ิมข้ึนร้อยละ 1.91 ต่อปี เน่ืองจากมีการขยายเน้ือที่เพาะปลูกกาแฟเพ่ิมข้ึน
25
จากการส่งเสรมิ ของภาครฐั และเอกชน สว่ นผลผลิตต่อไร่ลดลงจาก 138 กิโลกรัม ในปี 2558 เหลอื 99 กิโลกรัม
ในปี 2562 หรือลดลงร้อยละ 6.80 ต่อปี เน่ืองจากแหล่งผลิตในเขตภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดน่าน ตาก และ
อตุ รดิตถ์ สภาพอากาศแล้งและร้อนจัด ส่งผลให้ดอกกาแฟแห้งและตดิ ผลน้อย สำหรบั ผลผลิตกาแฟจะเก็บเกี่ยว
มากในช่วงเดอื นธันวาคม ปี 2561 ถงึ เดือนกมุ ภาพนั ธ์ ปี 2562
สำหรับแหล่งเพาะปลูกกาแฟพันธ์ุอาราบิกาที่สำคัญจะอยู่ในเขตพื้นท่ีภาคเหนือ ส่วนภาคใต้
ส่วนใหญ่จะนิยมปลูกกาแฟพันธุ์โรบัสต้า โดยกาแฟพันธ์ุอาราบิกามีสัดสว่ นเน้ือทีใ่ ห้ผลร้อยละ 36.43 และพันธุ์
โรบัสต้ามีสัดส่วนร้อยละ 63.57 ของเน้ือที่ให้ผลท้ังประเทศ และผลผลิตพันธ์ุโรบัสตามีสัดส่วนร้อยละ 66.34
และพนั ธอ์ุ าราบกิ ามสี ดั สว่ นรอ้ ยละ 33.66 ของผลผลิตทงั้ ประเทศ (ตารางท่ี 3.10)
ตารางที่ 3.10 เน้ือท่ใี ห้ผล ผลผลติ และผลผลิตต่อไร่กาแฟของไทย ปี 2558 - 2562
ปี เนอื้ ท่ีให้ผล (ไร่) ผลผลติ (ตัน) ผลผลติ ตอ่ ไร่ (กก.)
โรบสั ต้า อาราบิกา
โรบสั ต้า อาราบิกา รวม โรบสั ต้า อาราบกิ า รวม
91 138
2558 193,269 63,157 256,426 17,545 8,720 26,265 114 128
94 123
2559 191,304 70,770 262,074 21,821 9,039 30,860 77 123
112 99
2560 187,254 75,711 262,965 17,571 9,284 26,855
0.23 -6.80
2561 185,313 85,292 270,605 14,200 10,497 24,697
--
2562 156,943 89,951 246,894 17,529 8,895 26,424
อัตราเพิ่มเฉลี่ย -4.38 9.35 -0.44 -4.22 1.91 -2.09
(ร้อยละ)
สัดสว่ นรอ้ ยละ 63.57 36.43 100.00 66.34 33.66 100.00
ทม่ี า: สำนักงานเศรษฐกจิ การเกษตร, 2563
สำหรับกาแฟพันธ์ุอาราบิกาน้ัน จะมีความแตกต่างจากกาแฟโรบัสต้า โดยกาแฟอาราบิกาจะต้องใช้
ความพิถีพิถันในการผลิตและการดูแลรักษาเปน็ อย่างมาก มีข้ันตอนการแปรรูปท่ีซับซ้อนและยุ่งยาก เพ่ือให้ได้
ผลผลิตท่ีมีคุณภาพ รสชาติดี และมีมาตรฐาน ดังน้ัน เมล็ดกาแฟอาราบิกาจึงเป็นที่นิยมของตลาด เน่ืองจากมี
รสชาติดีกว่ากาแฟสายพันธุ์อ่ืนๆ นอกจากน้ี กาแฟอาราบิกายังเป็นสายพันธ์ุท่ีมีคาเฟอีนน้อย รสชาติละมุน
และมรี สเปร้ียวทมี่ ีความเป็นกรดคอ่ นข้างตำ่
เม่ือพิจารณาแหล่งผลิตที่สำคัญในประเทศไทย พบว่าเกษตรกรจะนิยมปลูกกาแฟอาราบิกาในเขต
พ้ืนท่ีภาคเหนือตอนบนเป็นหลัก ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง แม่ฮ่องสอน และน่าน เนื่องจากมี
ลักษณะสภาพพื้นท่ีสูงและมีอากาศหนาวเย็นเหมาะสมเพียงพอต่อการปลูกกาแฟอาราบิกาเป็นอย่างมาก
โดยช่วงปี 2558 - 2562 จังหวัดเชียงรายมีผลผลิตเฉล่ียมากที่สุด เท่ากับ 4,183 ตันต่อปี รองลงมาได้แก่จังหวัด
เชียงใหม่ น่าน ลำปาง และแม่ฮ่องสอน ซ่ึงมีผลผลิตเฉล่ีย เท่ากับ 3,345 ตันต่อปี เท่ากับ 534 ตันต่อปี เท่ากับ
507 ตันต่อปี และเท่ากับ 452 ตันต่อปี ตามลำดับ ส่วนภาคอื่นๆ ที่เกษตรกรมีแนวโน้มการปลูกกาแฟอาราบิกา
เพิ่มขน้ึ ได้แก่ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ คอื จังหวัดเลย ภาคกลาง คอื จังหวดั กาญจนบรุ ี (ตารางท่ี 3.11)
ตารางท่ี 3.11 เนือ้ ท่ีใหผ้ ล ผลผลติ และผลผลติ ต่อไร่กาแฟอาราบกิ ารายจังหวัด ปี 2558 - 2562
เน้ือท่ใี ห้ผล: ไร่ ผลผลิต: ตนั ผลผลติ ตอ่ ไร:่ กโิ ลกรมั
ปี 2558 ปี 2559 ปี 2560 ปี 2561 ปี 2562 ผลผลิต
ผลผลติ ผลผลติ ผลผลิต ผลผลิต เฉลี่ย/ปี
จังหวดั เน้ือท่ี ผลผลิต ผลผลติ เนอ้ื ท่ี ผลผลติ เน้ือที่ ผลผลิต เนือ้ ที่ ผลผลิต เน้อื ที่ ผลผลติ
ให้ผล 9,039 เฉล่ีย/ไร่ ให้ผล 9,284 เฉลย่ี /ไร่ ให้ผล 10,497 เฉล่ีย/ไร่ ใหผ้ ล เฉล่ีย/ไร่
ใหผ้ ล เฉลยี่ /ไร่ 70,770 9,022 75,771 9,262 85,292 10,456
70,417 4,342 118 75,305 4,214 123 84,529 4,907 123
รวมทง้ั ประเทศ 63,157 8,720 138 33,133 104 128 33,441 99 123 38,029 105 124 89,951 8,895 99 9,287
986 404 131 1,015 528 126 1,029 614 129
ภาคเหนอื 62,871 8,705 138 3,018 3,195 105 4,104 3,347 98 4,673 3,501 102 88,892 8,848 100 9,259
24,393 365 134 26,563 386 129 28,936 553 131
เชยี งราย 30,048 4,059 135 2,748 25 131 2,992 38 126 3,979 121 38,104 3,392 89 4,183
329 41 133 694 43 129 622 42 139
พะเยา 950 108 114 348 514 76 403 573 55 426 60 68 1,062 80 75 99
4,647 15 118 5,248 16 122 5,989 626 141
ลำปาง 2,763 400 145 303 111 330 109 344 30 105 4,953 588 119 507
208 5 49 204 4 48 181 5 87
เชยี งใหม่ 21,908 3,264 149 304 12 24 311 8 20 321 13 28 30,509 3,417 112 3,345
284 16 39 329 18 26 648 36 41
แม่ฮอ่ งสอน 2,277 312 137 56 55 56 4,526 643 142 452
68 5 79 4 188 13
ตาก 293 32 108 - - 74 - - 51 133 5 69 381 32 84 34
28 - - 16 - - 16 - 38
แพร่ 335 49 146 188 11 - 234 14 - 311 18 - 519 60 116 51 26
69 1 59 77 4 60 115 5 58
นา่ น 3,874 457 118 - - 14 - - 52 35 1 39 7,178 501 78 534
- - - - - - - - 14
อตุ รดิตถ์ 60 5 75 69 1 - 77 4 - 80 4 - 1,093 107 98 35
- - 14 - - 52 - - 50
พิษณโุ ลก 158 6 38 - - - - - - - - - 188 3 18 5
- - -
เพชรบูรณ์ 205 13 63 379 25 65 14
ภาคตะวนั ออก 231 14 61 924 40 43 25
เฉียงเหนือ
เลย 63 4 63 228 13 57 8
291 6 21 -
อดุ รธานี --- 76 1 13 -
329 20 61 15
ชัยภมู ิ - - - 135 7 48 4
50 1 10 1
นครราชสมี า 168 10 60 -- - -
85 6 71 3
ภาคกลาง 55 1 18 -- - -
-- - -
ฉะเชิงเทรา --
ตราด - -
กาญจนบรุ ี 55 1 18
ภาคใต้ - - -
ชุมพร - - -
ท่มี า: สำนักงานเศรษฐกจิ การเกษตร, 2563
27
2) การตลาด
(1) ความต้องการใช้
ในช่วงปี 2558 - 2562 ความต้องการใช้เมล็ดกาแฟของโรงงานแปรรูปเพ่ิมข้ึน จาก 68,178 ตัน
ในปี 2558 เพิ่มเป็น 81,417 ตัน ในปี 2562 หรือเพ่ิมข้ึนร้อยละ 6.21 ต่อปี เนื่องจากกระแสความนิยมดื่ม
กาแฟคว่ั บด และกาแฟสำเร็จรปู เพมิ่ ขึ้น (ตารางท่ี 3.12)
ตารางที่ 3.12 ความต้องการใช้เมลด็ กาแฟของโรงงานแปรรปู ในประเทศ ปี 2558 - 2562
ปี ความตอ้ งการใช้เมล็ดกาแฟของโรงงาน (ตัน)
2558 68,178
2559 70,698
2560 83,887
2561 90,588
2562 81,417
อัตราเพม่ิ (ร้อยละ) 6.21
ทีม่ า: สำนกั งานเศรษฐกิจการเกษตร, 2563
(2) การสง่ ออก
ในช่วงปี 2558 - 2562 การส่งออกเมล็ดกาแฟของไทยมีปริมาณ 627 ตัน ในปี 2558 ลดลง
เหลือ 560 ตัน ในปี 2562 หรือลดลงร้อยละ 0.25 ตอ่ ปี และมลู คา่ 125 ล้านบาท ในปี 2558 เพ่ิมขึน้ เป็น 128
ล้านบาท ในปี 2562 หรือเพ่ิมขึ้นร้อยละ 1.65 ต่อปี สำหรับ การส่งออกกาแฟสำเร็จรูปมีปริมาณ 7,595 ตัน
และมูลค่า 1,007 ล้านบาท ในปี 2558 ลดลงเหลอื 2,870 ตัน และมูลคา่ 598 ล้านบาท ในปี 2562 หรือลดลง
ร้อยละ 22.17 และ 14.11 ตอ่ ปี ตามลำดับ เนอื่ งจากผลผลิตในประเทศลดลง (ตารางที่ 3.13)
ตารางที่ 3.13 ปรมิ าณและมูลค่าการสง่ ออกเมล็ดกาแฟและกาแฟสำเรจ็ รูป ปี 2558 - 2562
ปริมาณ: ตนั มูลค่า: ล้านบาท
ปี เมล็ดกาแฟ กาแฟสำเร็จรูป
ปรมิ าณ มลู ค่า ปริมาณ มูลค่า
2558 627 125 7,595 1,007
2559 518 122 6,915 1,068
2560 464 100 4,247 736
2561 633 137 3,950 662
2562 560 128 2,870 598
อัตราเพ่มิ (ร้อยละ) -0.25 1.65 -22.17 -14.11
ทมี่ า: สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2563
28
(3) การนำเขา้
ในช่วงปี 2558 - 2562 การนำเข้าเมล็ดกาแฟเพิ่มข้ึนจากปริมาณ 58,191 ตัน ในปี 2558
เป็น 64,685 ตัน ในปี 2561 และลดลงเป็น 51,801 ตัน ในปี 2562 หรือภาพรวมเพ่ิมข้ึนร้อยละ 0.78 ต่อปี
และมูลค่าลดลงจาก 4,042 ล้านบาท ในปี 2558 เหลือ 3,470 ล้านบาท ในปี 2562 หรือลดลงร้อยละ 0.72 ต่อปี
เน่ืองจากผลผลิตในประเทศไม่เพียงพอต่อความต้องการของโรงงานแปรรูป สำหรับกาแฟสำเร็จรปู มีการนำเข้า
ลดลงจาก ปริมาณ 6,972 ตัน และมูลค่า 2,116 ล้านบาท ในปี 2558 เหลือ 6,350 ตัน และมูลค่า 1,632 ล้านบาท
ในปี 2562 หรือลดลงร้อยละ 0.75 และ 4.20 ต่อปี ตามลำดับ เน่ืองจากมีการแปรรูปในประเทศเพ่ิมข้ึน
(ตารางที่ 3.14)
ตารางที่ 3.14 ปรมิ าณและมูลคา่ การนำเข้าเมลด็ กาแฟและกาแฟสำเร็จรปู ปี 2558 - 2562
ปรมิ าณ: ตัน มูลค่า: ลา้ นบาท
ปี เมล็ดกาแฟ กาแฟสำเรจ็ รูป
ปริมาณ มูลค่า ปรมิ าณ มูลคา่
2558 58,191 4,042 6,972 2,116
2559 47,434 3,553 6,445 1,865
2560 57,997 5,014 6,947 2,097
2561 64,685 4,487 7,208 2,041
2562 51,801 3,470 6,350 1,630
อัตราเพ่ิม (รอ้ ยละ) 0.78 -0.72 -0.75 -4.20
ท่ีมา: สำนกั งานเศรษฐกจิ การเกษตร, 2563
(4) ราคา
ในช่วงปี 2558 - 2562 ราคาเมล็ดกาแฟอาราบิกาสดที่เกษตรกรขายได้ ลดลงจากกิโลกรัมละ
16.30 บาท ในปี 2558 เหลือกิโลกรัมละ 13.08 บาท ในปี 2562 หรือลดลงร้อยละ 5.08 ต่อปี ส่วนราคา
เมล็ดสารกาแฟอาราบิกาท่ีเกษตรกรขายได้ในช่วงปี 2560 - 2562 ลดลงจากกิโลกรัมละ 117.33 บาท ในปี 2558
เหลอื กิโลกรัมละ 106.48 บาท ในปี 2562 หรอื ลดลงร้อยละ 4.74 ตอ่ ปี (ตารางที่ 3.15)
29
ตารางท่ี 3.15 ราคาเมลด็ กาแฟพันธุ์อาราบกิ าทเี่ กษตรกรขายได้ ปี 2558 - 2562
หน่วย: บาท/กก.
ปี ราคาผลกาแฟอาราบิกาสดคละ ราคาสารกาแฟอาราบกิ า
2558 16.30 -
2559 19.37 -
2560 16.51 117.33
2561 16.04 126.93
2562 13.80 106.48
อัตราเพ่มิ (ร้อยละ) -5.08 -4.74
ทีม่ า: สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2563
3.2 ข้อมูลทวั่ ไปของการผลิตกาแฟอาราบกิ า
3.2.1 การผลิต
1) อายุของตน้ กาแฟ และจำนวนต้นพนั ธุ์กาแฟตอ่ ไร่
อายุของต้นกาแฟสายพันธอ์ุ าราบิกาที่เกษตรกรใช้ปลูก พบว่าอายขุ องต้นกาแฟท่ีเกษตรกรปลูก
จะอยู่ในช่วงอายุ 1 - 3 ปี มากที่สุด จำนวน 130 ราย คิดเป็นร้อยละ 66.33 ของจำนวนเกษตรกรตัวอย่าง
รองลงมาไดแ้ กช่ ่วงอายุ 1 - 3 ปี จำนวน 40 ราย คดิ เป็นร้อยละ 20.41 ชว่ งอายุ 11 - 15 ปี จำนวน 14 ราย คิด
เป็นร้อยละ 7.14 และอายุต้ังแต่ 16 ปีขึ้นไป จำนวน 12 ราย คิดเป็นร้อยละ 6.12 ตามลำดับ โดยต้นกาแฟมี
อายุเฉลี่ยเทา่ กบั 6.61 ปี
สำหรับจำนวนต้นพันธ์ุกาแฟต่อไร่ พบว่าเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟอาราบิกาจะใช้ต้นพันธ์ุกาแฟใน
การปลูกอยู่ระหว่าง 301 - 400 ต้นต่อไร่ มากที่สุด จำนวน 116 ราย คิดเป็นร้อยละ 59.18 รองลงมาได้แก่
ระหว่าง 100 - 200 ต้นต่อไร่ จำนวน 33 ราย คิดเป็นร้อยละ 16.84 ระหว่าง 201 - 300 ต้นต่อไร่ จำนวน
27 ราย คิดเป็นร้อยละ 13.78 และมากกว่า 400 ต้นต่อไร่ จำนวน 20 ราย คิดเป็นร้อยละ 10.20 ตามลำดับ
โดยจำนวนต้นพันธ์ุกาแฟเฉล่ียเท่ากับ 371 ต้นต่อไร่ (ตารางท่ี 3.16) ซ่ึงใกล้เคียงกับข้อมูลของกรมวิชาการเกษตร
ที่ระบุว่าจำนวนต้นพันธุ์กาแฟอาราบิกาท่ีเหมาะสมในการปลูก ประมาณ 400 ต้นต่อไร่ จากระยะปลูกประมาณ
2 X 2 เมตร (กรมวิชาการเกษตร, 2562)
ตารางที่ 3.16 อายุของต้นกาแฟ และจำนวนตน้ พันธกุ์ าแฟต่อไร่
รายการ จำนวนเกษตรกร ร้อยละ
(196 ราย) (รอ้ ยละ 100)
อายขุ องต้นกาแฟ 20.41
66.33
ช่วง 1 - 3 ปี 40
ชว่ ง 4 - 10 ปี 130
30
ตารางท่ี 3.16 อายขุ องต้นกาแฟ และจำนวนตน้ พนั ธ์กุ าแฟตอ่ ไร่ (ต่อ)
รายการ จำนวนเกษตรกร ร้อยละ
(196 ราย) (รอ้ ยละ 100)
อายุของต้นกาแฟ
ช่วง 11 - 15 ปี 14 7.14
ต้งั แต่ 16 ปขี ้ึนไป 12 6.12
เฉล่ีย 6.61 ปี
จำนวนต้นพนั ธุก์ าแฟต่อไร่
100 - 200 ตน้ 33 16.84
201 - 300 ต้น 27 13.78
301 - 400 ตน้ 116 59.18
มากกว่า 400 ตน้ ขึ้นไป 20 10.20
เฉลี่ย 371 ตน้ ต่อไร่
ที่มา: จากการสำรวจ
2) แหลง่ นำ้ ที่ใชใ้ นการปลูกกาแฟ
สำหรับแหล่งน้ำที่ใช้ในการปลูกกาแฟ พบว่าเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟอาราบิกาทุกราย จะอาศัย
นำ้ ฝนจากธรรมชาติเพ่อื ใชใ้ นการปลูกกาแฟ หรือคิดเป็นรอ้ ยละ 100 ของท้ังหมด เนอ่ื งจากพ้นื ท่ีปลูกกาแฟของ
เกษตรกรอยบู่ รเิ วณทสี่ ูงลาดชัน ไมส่ ามารถใชน้ ำ้ จากแหล่งอ่ืนๆ ได้ (ตารางที่ 3.17)
ตารางที่ 3.17 แหลง่ นำ้ ทใ่ี ช้ในการปลูกกาแฟของเกษตรกร
แหลง่ นำ้ ท่ใี ช้ในการปลูกกาแฟ จำนวนเกษตรกร ร้อยละ
(196 ราย) (รอ้ ยละ 100)
1) แหล่งน้ำสาธารณะ - -
-
2) บ่อน้ำบาดาล - 100
3) นำ้ ฝน 196
ท่ีมา: จากการสำรวจ
3) การตดั สนิ ใจปลกู กาแฟอาราบิกาของเกษตรกร
การตัดสินใจปลูกกาแฟของเกษตรกร พบว่าเกษตรกรจะตัดสินใจเลือกปลูกกาแฟอาราบิกา
เน่ืองจากคาดว่ามีตลาดรองรับท่ีแน่นอนมากท่ีสุด จำนวน 71 ราย คิดเปน็ ร้อยละ 36.22 ของจำนวนเกษตรกร
ตัวอย่าง รองลงมาได้แก่ราคาจำหน่ายอยู่ในเกณฑ์ดี จำนวน 63 ราย คิดเป็นร้อยละ 32.14 ของจำนวน
เกษตรกรตัวอย่าง สภาพพ้ืนท่ีและอากาศมีความเหมาะสมในการปลูก จำนวน 34 ราย คิดเป็นร้อยละ 17.35
เนื่องจากกาแฟสายพันธุ์อาราบิกาจะต้องอาศัยการเจริญเติบโตด้วยอากาศท่ีหนาวเย็น ได้รับการสนับสนุน
ปัจจัยการผลิตต่างๆ เช่น ต้นพันธุ์ เป็นต้น จำนวน 16 ราย คิดเป็นร้อยละ 8.16 และได้รับการส่งเสริมจาก
31
หน่วยงานต่างในพ้ืนที่ จำนวน 12 ราย คิดเป็นร้อยละ 6.12 ตามลำดับ (ตารางท่ี 3.18) แสดงให้เห็นว่ากาแฟ
เป็นพืชเศรษฐกิจทางเลือกท่ีสำคัญชนิดหนึ่งในพื้นท่ีจังหวัดน่าน เน่ืองจากเกษตรกรเป็นสมาชิกในรูปของ
วิสาหกิจชุมชนที่ทำหนา้ ทีร่ วบรวมผลผลิตจากสมาชิก สามารถจำหนา่ ยไดใ้ นราคาที่ดี และตลาดมีความตอ้ งการ
ตลอดทงั้ ปี
ตารางที่ 3.18 เหตผุ ลในการตัดสินใจปลูกกาแฟอาราบกิ าของเกษตรกร
เหตผุ ลในการตัดสนิ ใจปลูกกาแฟ จำนวนเกษตรกร ร้อยละ
(196 ราย) (รอ้ ยละ 100)
1) ราคาท่จี ำหนา่ ยได้อย่ใู นเกณฑด์ ี 63 32.14
17.35
2) สภาพพ้ืนท่ีและอากาศมีความเหมาะสม 34 36.22
8.16
3) มีตลาดรองรับผลผลิตทแี่ นน่ อน 71 6.12
4) ได้รบั การสนับสนุนปัจจยั การผลติ 16
5) ได้รับส่งเสริมจากหน่วยงานในพื้นท่ี 12
ทมี่ า: จากการสำรวจ
3.3.2 การจำหน่าย
ดา้ นการจำหน่าย พบว่าผลผลิตที่เกษตรกรจำหน่ายมี 3 ลกั ษณะ ได้แก่ ผลกาแฟสด (เชอร่ี) กาแฟ
กะลา และสารกาแฟ (ที่ยังไม่ได้ผ่านการค่ัว) โดยเกษตรกรจะจำหน่ายผลผลิตในรูปของผลสดมากท่ีสุด จำนวน
124 ราย คิดเป็นร้อยละ 63.27 ของจำนวนเกษตรกรตัวอย่าง รองลงมาได้แก่จำหน่ายผลผลิตในรูปของสาร
กาแฟ จำนวน 52 ราย คิดเป็นร้อยละ 26.53 และจำหน่ายผลผลิตในรูปของกาแฟกะลา จำนวน 20 ราย
คิดเป็นร้อยละ 10.20 ตามลำดับ สาเหตุท่ีเกษตรกรแต่ละรายมีลักษณะการจำหน่ายผลผลิตท่ีแตกต่างกัน
เน่ืองจากเกษตรกรมีความชำนาญไม่เหมือนกัน รวมถึงความพร้อมของอุปกรณ์และเทคโนโลยีการแปรรูป
ผลผลติ ของแตล่ ะวสิ าหกิจชุมชนด้วย
สำหรับลักษณะการจำหน่ายผลผลิตให้แหล่งรับซื้อ พบว่าเกษตรกรทุกรายจะจำหน่ายผลผลิตท่ี
ตนเองผลติ ไดใ้ ห้แก่วิสากจิ ชุมชน หรอื คิดเปน็ รอ้ ยละ 100 ของจำนวนเกษตรกรตัวอย่าง ซึ่งการจำหน่ายผลผลิต
ของเกษตรกรน้ัน มีท้ังการจำหน่ายท้ังในรูปผลสดกาแฟสด (เชอรี่) กาแฟกะลา และสารกาแฟ (ที่ยังไม่ได้ผ่าน
การค่ัว) ให้แกว่ สิ ากิจชมุ ชน (ตารางท่ี 3.19)
ตารางท่ี 3.19 การจำหน่ายผลผลติ กาแฟอาราบกิ าของเกษตรกร
รายการ จำนวน ร้อยละ
(196 ราย) (รอ้ ยละ 100)
ลักษณะผลผลิตทจี่ ำหน่าย 63.27
10.20
1) ผลกาแฟสด (เชอรี่) 124 26.53
2) กาแฟกะลา 20
3) สารกาแฟ 52
32
ตารางที่ 3.19 การจำหน่ายผลผลิตกาแฟอาราบกิ าของเกษตรกร (ตอ่ )
รายการ จำนวน ร้อยละ
(196 ราย) (รอ้ ยละ 100)
ลักษณะการจำหน่าย -
100
1) จำหนา่ ยให้โรงควั่ กาแฟ - -
2) จำหน่ายให้วสิ าหกิจชุมชน 196
3) จำหนา่ ยให้ผรู้ วบรวม -
ที่มา: จากการสำรวจ
3.3 ข้อมูลวสิ าหกิจชมุ ชนกาแฟอาราบกิ าจงั หวัดนา่ น
3.3.1 รายชื่อวิสาหกิจชุมชน
จากการสำรวจข้อมูล พบว่าจังหวัดน่านมีวิสาหกิจชุมชนที่เกษตรรวมกลุ่มในการผลิตกาแฟอาราบิกา
จำนวน 8 แห่ง มีสมาชิกรวมท้ังส้ิน 654 ราย ครอบคลุมพื้นท่ี 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอทุ่งช้าง อำเภอบ่อเกลือ
อำเภอทา่ วงั ผา และอำเภอเฉลิมพระเกยี รติ (ตารางท่ี 3.20)
ตารางที่ 3.20 วสิ าหกิจชมุ ชนกาแฟอาราบิกา จังหวดั น่าน ทต่ี งั้ สมาชกิ
ลำดับ รายชอื่ กลุม่ 145 ม.11 ต.งอบ อ.ทุ่งชา้ ง 20
1) วิสาหกจิ ชุมชนกาแฟมณีพฤกษ์ 80 ม.2 ต.ดงพญา อ.บ่อเกลือ 83
2) วิสาหกิจชมุ ชนผผู้ ลติ กาแฟบ้านหว้ ยโทน 12 ม.6 ต.ผาทอง อ.ทา่ วงั ผา 81
3) วิสาหกิจชมุ ชนกลมุ่ แปรรูปกาแฟสวนยาหลวง 52 ม.11 ต.ขุนน่าน อ.เฉลมิ พระเกียรติ 90
4) วสิ าหกจิ ชมุ ชนกาแฟบ้านน้ำช้าง 262 ม.12 ต.ขุนนา่ น อ.เฉลิมพระเกยี รติ 10
5) วสิ าหกจิ ชุมชนแปรรปู และจำหน่ายกาแฟหมอ่ นผลสดดอยภพู ยัคฆ์ 59 ม.7 ต.บ่อเกลอื เหนอื อ.บอ่ เกลอื 45
6) วสิ าหกจิ ชมุ ชนกลุ่มปลูกกาแฟบ้านห้วยขาบ 279 ม.1 ต.ดงพญา อ.บ่อเกลอื 260
7) วิสาหกจิ ชมุ ชนกลุ่มปลกู กาแฟและไมผ้ ลตำบลดงพญา 208 ม.11 ต.งอบ อ.ทุ่งชา้ ง 65
8) วิสาหกจิ ชุมชนกาแฟ เดอ มง้ มณพี ฤกษ์ 654
รวม
ท่ีมา: จากการสำรวจ
3.3.2 การรบั ซือ้ ผลผลติ จากเกษตรกร
การรับซื้อผลผลิตกาแฟจากเกษตรกร พบว่าวิสาหกิจชุมชนจะรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรท้ังที่เป็น
สมาชิกของวิสาหกิจชุมชน และมีบางส่วนไม่ได้เป็นสมาชิกนำผลผลิตมาจำหน่ายให้แก่วิสาหกิจชุมชนบ้าง
โดยวิสาหกิจชุมชนจะรับซ้ือผลผลิตจากเกษตรกรท่ีเป็นสมาชิกและไม่เป็นสมาชิก จำนวน 5 ราย คิดเป็นร้อยละ
62.50 ของจำนวนตัวอย่าง และรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรที่เป็นสมาชิกเพียงอย่างเดียว จำนวน 3 ราย คิดเป็น
ร้อยละ 37.50 ของจำนวนเกษตรกรตัวอย่าง โดยรูปแบบในการรับซื้อผลผลิตกาแฟจากเกษตรกรมีท้ังการรับซ้ือ
ผลกาแฟสด (เชอร)ี่ สารกาแฟ และกาแฟกะลา (ตารางที่ 3.21)
33
ตารางท่ี 3.21 ลักษณะการดำเนนิ ธรุ กิจของวสิ าหกิจชมุ ชน จำนวน (ราย) ร้อยละ
รายการ
5 62.50
รับซอ้ื จาก 3 37.50
1) เกษตรกรทีเ่ ป็นสมาชกิ และไมเ่ ป็นสมาชิก 8 100.00
2) เกษตรกรทีเ่ ปน็ สมาชิก
รวม
ท่มี า: จากการสำรวจ
3.3.3 การแปรรปู กาแฟอาราบกิ าของวิสาหกิจชมุ ชน
จากการสำรวจ พบว่าวิสาหกิจชุมชนแต่ละแห่งมีการดำเนินธุรกิจกาแฟอาราบิกาในลักษณะการ
รวมกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ และมีการรับซ้ือผลผลิตท้ังในรูปของกาแฟผลสด (เชอรี่) กาแฟกะลา และสาร
กาแฟ แต่ส่วนใหญ่จะเปน็ การรับซ้ือกาแฟในรูปผลสดเพ่ือนำมาแปรรูป ซ่ึงการแปรรปู กาแฟของวิสาหกิจชุมชน
สามารถสรปุ รายละเอียดได้ มดี งั นี้
1) การแปรรูปแบบธรรมชาติ (Natural Process) เป็นวิธีการแปรรูปผลผลิตกาแฟแบบธรรมชาติ
หรือเรียกว่าแบบแห้ง (Dry Process) หรอื เรยี กว่าแบบดั้งเดิม กล่าวคอื เม่ือรับซื้อผลผลิตกาแฟสด (เชอรี่) แล้ว
จะนำไปไปตากแดดให้แห้งจนเปลือกและเนอื้ หลุดออกจากเมลด็ ท้ังน้ี ผู้แปรรูปจะตอ้ งคอยเกลี่ยผลผลิตในช่วง
ระหว่างตากแดดอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันมิให้เกิดเชื้อรา ซึ่งโดยปกติแล้วจะใช้เวลาตากแดดอยู่ระหว่าง
15 - 30 วนั สำหรับการแปรรูปแบบธรรมชาตนิ ้ัน จะทำให้เมล็ดกาแฟมีรสชาติหวานมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเมล็ด
กาแฟจะดูดซับสารต่าง ๆ ท่ีอยู่ในเน้ือได้อย่างเต็มท่ี ส่งผลให้กาแฟมีรสชาติของผลไม้สุกหรือผลไม้ตากแห้ง
สำหรบั ขอ้ ดีของการแปรรูปดว้ ยวิธีนี้ จะไมม่ ขี ัน้ ตอนท่ยี งุ่ ยากซับซ้อนและใชต้ น้ ทนุ ไมส่ งู มาก
2) การแปรรูปแบบเปียก (Washed Process) เป็นกระบวนการแปรรูปโดยใช้น้ำในทุกข้ันตอน
กล่าวคือเม่ือนำผลผลิตกาแฟสด (เชอร่ี) มาคัดแยกโดยการแช่น้ำแล้วจะทำการคัดเลือกเอาเฉพาะผลที่จมน้ำ
ส่วนผลท่ีลอยน้ำให้ทำการคัดออก เนื่องจากเป็นผลที่ไม่สุกและฝ่อ หรืออาจโดนแมลงเจาะ จากนั้นจะทำการ
สเี ปลือกของผลเชอร่ีออก จะได้เมล็ดกาแฟด้านในท่ีมีเยื่อบาง ๆ หรือเมือกอยู่รอบเมล็ดกาแฟ จากน้ันนำเมล็ด
กาแฟท่ีมีเมือกติดอยู่ไปหมักให้อิ่มน้ำจนก่อให้เกิดจุลินทรีย์บางชนิดท่ีมีผลต่อรสชาติของกาแฟ ซึ่งจะใช้เวลา
ประมาณ 1 - 2 วัน จากนั้นจะสีเมือกที่ติดอยู่กับเมล็ดกาแฟออกและล้างน้ำ จากน้ันจะนำไปตากแดดให้แห้ง
โดยให้เหลือระดับความช้ืนท่ีต้องการ ประมาณ 9 - 12% โดยระหว่างตากแดดผู้แปรรูปจะต้องหม่ันเกล่ียเมล็ด
อย่างสม่ำเสมอเพ่ือให้แห้งอย่างทั่วถึง สำหรับการแปรรูปด้วยวิธีน้ีจะทำให้ได้เมล็ดกาแฟมีความสะอาด และ
เป็นวธิ มี าตรฐานสำหรับการทำกาแฟเกรดคณุ ภาพ
3) การแปรรูปแบบก่ึงเปียกกึ่งแห้ง (Semi-Washed Process) หรือท่ีนิยมเรียกว่า Honey Process
เป็นกระบวนการท่ีอยู่ระหว่างการแปรรูปแบบเปียกและแบบแห้ง โดยมีขั้นตอนคือนำผลผลิตกาแฟสด (เชอร่ี)
มาแช่น้ำแล้วทำการคดั แยกผลที่ลอยน้ำออก จากน้ันจะนำผลที่จมน้ำมาสีเปลอื กออกแล้วหมักเมล็ดกาแฟทั้งที่มี
เมือกติดอยู่ โดยเมือกเป็นส่วนที่อยู่ระหว่างเปลือกของผลเชอร่ีและเมล็ดกาแฟ มีลักษณะเป็นช้ันเยื่อ
บางๆ ซ่ึงหากกาแฟเป็นผลไม้ชนิดหน่ึง เมือกที่มีช้ันเย่ือบางๆ จะเปรียบเสมือนเนื้อของผลไม้ จากนั้นจะนำไป
34
ตากแดดทั้งที่มีเมือกติดอยู่จนแห้ง ส่งผลให้กลิ่นและรสชาติของกาแฟที่แปรรูปด้วยกระบวนการน้ีสามารถดูด
ซับความหวานของเมือกเข้าไปได้ ส่งผลให้กล่ินและรสชาติของกาแฟมีความหวานหอมคล้ายกล่ินน้ำผึ้งหรือ
ผลไม้ ซง่ึ เป็นทีม่ าของชือ่ Honey Process
3.3.4 การจำหนา่ ยกาแฟของวสิ าหกิจชมุ ชน
วิสาหกิจชุมชนส่วนใหญ่จะจำหน่ายกาแฟให้แก่ร้านกาแฟและโรงคั่วกาแฟมากท่ีสุด จำนวน 6 ราย
คิดเป็นร้อยละ 75 ของจำนวนวิสาหกิจชุมชนตัวอย่าง และจำหน่ายกาแฟให้กับร้านกาแฟ โรงคั่วกาแฟ และ
ผู้บรโิ ภคโดยตรง จำนวน 2 ราย คิดเปน็ รอ้ ยละ 25 ของจำนวนวิสาหกิจชมุ ชน (ตารางที่ 3.22)
ตารางท่ี 3.22 การจำหนา่ ยกาแฟของวิสาหกิจชุมชน จำนวน (ราย) รอ้ ยละ
ผ้รู บั ซ้อื - -
6 75
1) ร้านกาแฟอยา่ งเดียว 2 25
2) รา้ นกาแฟ และโรงค่วั กาแฟ 8 100
3) รา้ นกาแฟ โรงคัว่ กาแฟ และผบู้ รโิ ภคโดยตรง
รวม
ทม่ี า: จากการสำรวจ
บทท่ี 4
ผลการวจิ ัย
การศึกษาการผลิตและการตลาดกาแฟอาราบกิ าของวิสาหกิจชมุ ชน จังหวัดน่าน ปี 2562 ประกอบด้วยตน้ ทุน
การผลิตและผลตอบแทน สว่ นประสมการตลาด วถิ ีการตลาด และส่วนเหล่อื มการตลาด ซง่ึ มีรายละเอียด ดังน้ี
4.1 ตน้ ทุนการผลิตและผลตอบแทนกาแฟอาราบกิ า
การวิเคราะห์ต้นทุนการผลิตและผลตอบแทนของเกษตรกรที่ปลูกกาแฟอาราบิกา ซ่ึงเป็นสมาชิกของวิสาหกิจ
ชมุ ชน จงั หวัดน่าน ไดม้ ีการวิเคราะหต์ ามกระบวนการผลติ ของเกษตรกรตง้ั แตข่ ัน้ ตอนการปลูกไปจนถงึ การเก็บเก่ยี ว
เพื่อนำผลผลิตไปจำหน่าย โดยเริ่มจากต้นทุนช่วงก่อนให้ผลผลิต ได้แก่ กาแฟอายุ 1 ปี และกาแฟอายุ 2 - 3 ปี และ
ช่วงให้ผลผลิต ได้แก่ กาแฟอายุตั้งแต่ 4 - 25 ปี ซึ่งจะคำนวณจากค่าใช้จ่ายเฉล่ียของจำนวนเกษตรกรตัวอย่าง
รวมท้ังสิ้น 196 ราย ที่เป็นสมาชิกของวิสาหกิจชุมชน จำนวน 8 แห่ง ในพื้นท่ีจังหวัดน่าน โดยจะคำนวณต้นทุนการผลิต
ท่ีแบง่ ตามช่วงอายุของกาแฟ ซ่งึ มรี ายละเอียด ดังน้ี (ตารางที่ 4.1)
การผลิตกาแฟในช่วงอายุ 1 ปี แสดงถึงต้นทุนก่อนให้ผลผลิตในช่วงเริ่มเพาะปลูก โดยมีต้นทุนการผลิตรวม
เฉล่ียไร่ละ 10,449.72 บาท จำแนกเป็นต้นทุนผันแปรเฉลี่ยไร่ละ 9,726.66 บาท คิดเป็นร้อยละ 93.08 ของต้นทุนรวม
ต่อไร่ และต้นทุนคงท่ีเฉล่ียไร่ละ 723.06 บาท คิดเป็นร้อยละ 6.92 ของต้นทุนรวมต่อไร่ ท้ังนี้ ในส่วนของต้นทุน
ผันแปร ได้แก่ ค่าแรงงาน ค่าวัสดุ และค่าเสียโอกาสเงินลงทุน พบว่าค่าวัสดุมีต้นทุนมากท่ีสุดเฉล่ียไร่ละ 5,224.10
บาท คิดเป็นร้อยละ 49.99 ของต้นทุนรวมต่อไร่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นต้นทุนค่าพันธุ์ รองลงมาได้แก่ ค่าแรงงานมตี ้นทุน
เฉลี่ยไร่ละ 3,908.91 บาท คิดเป็นร้อยละ 37.41 ของต้นทุนรวมต่อไร่ ซ่ึงส่วนใหญ่เป็นต้นทุนค่าดูแลรักษา (ใส่ปุ๋ย
ฉีดยาฆ่าหญ้า ตัดแต่งก่ิง) และค่าเสียโอกาสเงินลงทุนมีต้นทุนเฉลี่ยไร่ละ 593.65 บาท คิดเป็นร้อยละ 5.68 ของ
ต้นทุนรวมต่อไร่ ตามลำดับ สำหรบั ต้นทุนคงท่ี ได้แก่ ค่าเช่าที่ดิน ค่าเสื่อมอุปกรณ์การเกษตร และค่าเสียโอกาสเงิน
ลงทุนอุปกรณ์การเกษตร พบว่าค่าเช่าที่ดินมีต้นทุนมากท่ีสุดเฉล่ียไร่ละ 506.51 บาท คิดเป็นร้อยละ 4.85 ของต้นทุน
รวมต่อไร่ รองลงมาได้แก่ค่าเสื่อมอุปกรณ์การเกษตร และค่าเสียโอกาสเงินลงทุนอุปกรณ์การเกษตร มีต้นทุนเฉล่ียไร่ละ
185.67 บาท และ 30.88 บาท คิดเป็นรอ้ ยละ 1.78 และร้อยละ 0.30 ของตน้ ทุนรวมต่อไร่ ตามลำดับ
การผลิตกาแฟในช่วงอายุ 2 - 3 ปี แสดงถึงต้นทุนก่อนให้ผลผลิต โดยมีต้นทุนการผลิตรวมเฉลี่ยไร่ละ 3,901.86
บาท จำแนกเป็นต้นทุนผันแปรเฉล่ียไร่ละ 3,223.14 บาท คิดเป็นร้อยละ 82.61 ของต้นทุนรวมต่อไร่ และต้นทุนคงที่
เฉลี่ยไร่ละ 678.72 บาท คิดเป็นร้อยละ 17.39 ของต้นทุนรวมต่อไร่ ทั้งน้ี ในส่วนของต้นทุนผันแปร ได้แก่ ค่าแรงงาน
ค่าวัสดุ และค่าเสียโอกาสเงินลงทุน พบว่าค่าแรงงานมีต้นทุนมากที่สุดเฉลี่ยไร่ละ 2,321.20 บาท คิดเป็นร้อยละ
59.49 ของต้นทุนรวมต่อไร่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นต้นทุนค่าดูแลรักษา รองลงมาได้แก่ค่าวัสดุมีต้นทุนเฉลี่ยไร่ละ 705.23 บาท
คิดเป็นร้อยละ 18.07 ของต้นทุนรวมต่อไร่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นค่าปุ๋ย และค่าเสียโอกาสเงินลงทุน มีต้นทุนเฉล่ียไร่ละ
196.71 บาท คิดเป็นร้อยละ 5.04 ของต้นทุนรวมต่อไร่ ตามลำดับ สำหรับต้นทุนคงที่ ได้แก่ ค่าเช่าท่ีดิน ค่าเสื่อม
36
อุปกรณ์การเกษตร และค่าเสียโอกาสเงินลงทุนอุปกรณ์การเกษตร พบว่าค่าเช่าท่ีดินมีต้นทุนมากท่ีสุดเฉลี่ยไร่ละ
500 บาท คิดเปน็ ร้อยละ 12.81 ของต้นทุนรวมต่อไร่ รองลงมาไดแ้ กค่ ่าเส่อื มอปุ กรณ์การเกษตร และค่าเสียโอกาสเงิน
ลงทุนอุปกรณ์การเกษตร มีต้นทุนเฉลี่ยไร่ละ 154.58 บาท และ 24.14 บาท คิดเป็นร้อยละ 3.96 และร้อยละ 0.50
ของตน้ ทุนรวมตอ่ ไร่ ตามลำดับ
การผลิตกาแฟในช่วงอายุ 4 ปีข้ึนไป แสดงถึงต้นทุนในช่วงให้ผลผลิตแล้ว โดยมีต้นทุนการผลิตรวมเฉลี่ย
ไร่ละ 5,416.52 บาท จำแนกเป็นต้นทุนผันแปรเฉล่ียไร่ละ 4,675.61 บาท คิดเป็นร้อยละ 86.32 ของต้นทุนรวม
ต่อไร่ และต้นทุนคงที่เฉลี่ยไร่ละ 740.91 บาท คิดเป็นร้อยละ 13.68 ของต้นทุนรวมต่อไร่ ท้ังนี้ ในส่วนของต้นทุน
ผันแปร ได้แก่ ค่าแรงงาน ค่าวัสดุ และค่าเสียโอกาสเงินลงทุน พบว่าค่าแรงงานมีต้นทุนมากท่ีสุดเฉล่ียไร่ละ
3,079.27 บาท คิดเป็นร้อยละ 56.85 ของต้นทุนรวมต่อไร่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นต้นทุนค่าดูแลรักษา รองลงมาได้แก่
ค่าวัสดุมีต้นทุนเฉลี่ยไร่ละ 1,310.29 บาท คิดเป็นร้อยละ 24.19 ของต้นทุนรวมต่อไร่ ซ่ึงส่วนใหญ่เป็นค่าปุ๋ย
และค่าเสียโอกาสเงินลงทุนมีต้นทุนเฉล่ียไร่ละ 286.05 บาท คิดเป็นร้อยละ 5.28 ของต้นทุนรวมต่อไร่ ตามลำดับ
สำหรับต้นทุนคงที่ ได้แก่ ค่าเช่าที่ดิน ค่าเส่ือมอุปกรณ์การเกษตร และค่าเสียโอกาสเงินลงทุนอุปกรณ์การเกษตร
พบว่าค่าเช่าท่ีดินมีต้นทุนมากที่สุดเฉลี่ยไร่ละ 554.78 คิดเป็นร้อยละ 10.24 ของต้นทุนรวมต่อไร่ รองลงมาได้แก่
ค่าเส่ือมอุปกรณ์การเกษตรและค่าเสียโอกาสเงินลงทุนอุปกรณ์การเกษตร มีต้นทุนเฉล่ียไร่ละ 159.26 บาท และ
26.87 บาท คิดเป็นรอ้ ยละ 2.94 และรอ้ ยละ 0.62 ของต้นทุนรวมตอ่ ไร่ ตามลำดบั
ตารางที่ 4.1 ต้นทุนการผลติ กาแฟอาราบิกา โดยแบ่งตามชว่ งอายุของการผลติ ปี 2562
รายการ อายุ 1 ปี อายุ 2-3 ปี หนว่ ย: บาทตอ่ ไร่
คา่ ใช้จา่ ย รอ้ ยละ คา่ ใช้จ่าย ร้อยละ
1.ต้นทนุ ผนั แปร 9,726.66 93.08 3,223.14 82.61 อายุ 4-25 ปี
1.1 คา่ แรงงาน 3,908.91 37.41 2,321.20 59.49 คา่ ใช้จา่ ย ร้อยละ
- เตรยี มดนิ 737.63 7.06 4,675.61 86.32
- ปลูก 864.34 8.27 -- 3,079.27 56.85
- ดแู ลรกั ษา (ใส่ป๋ยุ ฉีดยาฆา่ หญา้ ตัดแตง่ ก่ิง) 2,306.94 22.08 --
- เกบ็ เก่ียว และหลงั เกบ็ เกี่ยว 2,321.20 59.49 --
1.2 คา่ วัสดุ -- -- --
- ค่าพนั ธ์ุ 5,224.10 49.99 705.23 18.07 1,784.49 32.95
- คา่ ปุย๋ 4,765.48 45.60 -- 1,294.78 23.90
- ค่ายาปอ้ งกันกำจัดศัตรพู ชื และวัชพืช 282.46 2.70 553.10 14.18 1,310.29 24.19
- คา่ นำ้ มันเชือ้ เพลิงและหลอ่ ลืน่ 85.00 2.18 --
- คา่ วสั ดกุ ารเกษตรและวสั ดุสิ้นเปลอื ง 65.12 0.62 16.29 0.42 998.60 18.44
- ค่าซ่อมแซมอุปกรณ์การเกษตร 29.90 0.29 48.39 1.24 173.99 3.21
1.3 คา่ เสยี โอกาสเงินลงทนุ 74.92 0.72 2.45 0.06 69.55 1.28
6.22 0.06 196.71 5.04 55.23 1.02
593.65 5.68 12.92 0.24
286.05 5.28
37
ตารางที่ 4.1 ต้นทุนการผลติ กาแฟอาราบิกา โดยแบ่งตามชว่ งอายุของการผลติ ปี 2562 (ต่อ)
หนว่ ย: บาทตอ่ ไร่
รายการ อายุ 1 ปี อายุ 2-3 ปี อายุ 4-25 ปี
คา่ ใชจ้ ่าย รอ้ ยละ คา่ ใช้จ่าย รอ้ ยละ ค่าใช้จา่ ย ร้อยละ
2. ตน้ ทนุ คงที่ 723.06 6.92 678.72 17.39 740.91 13.68
2.1 ค่าเช่าทดี่ นิ 506.51 4.85 500.00 12.81 554.78 10.24
2.2 คา่ เสอื่ มอุปกรณ์การเกษตร 185.67 1.78 154.58 3.96 159.26 2.94
2.3 คา่ เสียโอกาสเงินลงทนุ อปุ กรณ์การเกษตร 30.88 0.30 24.14 0.62 26.87 0.50
2.4 ตน้ ทุนก่อนให้ผลผลติ -- - -- -
3. ต้นทุนรวมตอ่ ไร่ 10,449.72 100.00 3,901.86 100.00 5,416.52 100.00
ทม่ี า: จากการวิเคราะห์
อย่างไรก็ตาม การคำนวณต้นทุนการผลิตกาแฟ พบว่ามีข้อจำกัดในด้านข้อมูลช่วงก่อนให้ผลผลิต เนื่องจาก
กาแฟเป็นพืชไม้ยืนต้นที่มีอายุขัยยาวนาน ดังน้ัน การสอบถามข้อมูลค่าใช้จ่ายต่างๆ ท่ีใช้ในการผลิตจากเกษตรกร
ย้อนหลังเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้ได้ข้อมูลท่ีมีความคลาดเคล่ือน เน่ืองจากเกษตรกรส่วนใหญ่จะจำข้อมูล
ไม่ค่อยได้และไม่ได้มีการจดบันทึกไว้ จึงมีความจำเป็นต้องสอบถามข้อมูลการผลิตกาแฟท้ัง 3 ช่วง ได้แก่
ช่วงปีปลูก ช่วงปีก่อนให้ผลผลิต และช่วงปีที่ให้ผลผลิต จากนั้นจะนำข้อมูลที่ได้มาคำนวณต้นทุนก่อนให้ผลผลิต
ซง่ึ จะคำนวณจากต้นทุนก่อนให้ผลผลิตในช่วงที่กาแฟอายุ 1 ปี และกาแฟอายุ 2 - 3 ปี ที่บวกกันแล้วจะนำไปปรับ
ลดมูลค่าด้วยวิธี Discount Factor: DF (ในที่นี้คำนวณค่า DF เท่ากับ 0.20) แล้วนำไปกระจายเป็นค่าใช้จ่ายต่อปี
ในทุกช่วงอายุของกาแฟท่ีให้ผลผลิตแล้วด้วยวิธี Cost Recovery Factor: CRF (ในท่ีน้ีคำนวณค่า CRF เท่ากับ 0.38 )
ตามแนวคิดต้นทุนการผลิตและผลตอบแทน ซ่ึงการคำนวณจะใช้อัตราดอกเบ้ียเงินฝากของธนาคารเพ่ือการเกษตร
และสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในอัตราร้อยละ 0.38 ต่อปี ซึ่งจะได้ต้นทุนก่อนให้ผลผลิตเฉล่ียไร่ละ 1,090.56 บาท
ดงั นนั้ การผลิตกาแฟอาราบิกาของเกษตรกร จะมตี น้ ทุนรวมเฉลี่ยไร่ละ 6,507.08 บาท ซ่ึงเป็นตน้ ทุนกอ่ นใหผ้ ลผลิต
ต่อไร่บวกด้วยต้นทุนช่วงให้ผลผลิตต่อไร่ และเม่ือพิจารณาถึงผลตอบแทนจากการปลูกกาแฟอาราบิกาของเกษตรกร
พบว่าสามารถเก็บเก่ียวผลผลิตสารกาแฟได้เฉลี่ยไร่ละ 73 กิโลกรัม และราคาผลผลิตสารกาแฟท่ีเกษตรกรขายได้เฉล่ีย
กิโลกรัมละ 165.55 บาท ดังน้ัน เกษตรกรจะมีรายได้รวมเฉลี่ยไร่ละ 12,085.15 บาท และเม่ือหักต้นทุนการผลิตต่อไร่
ออกแล้ว ปรากฏว่าเกษตรกรจะไดร้ ับผลตอบแทนสทุ ธิหรือกำไรเฉลีย่ ไรล่ ะ 5,578.07 บาท คิดเป็น 76.41 บาทต่อกโิ ลกรมั
(ตารางท่ี 4.2)
38
ตารางที่ 4.2 ตน้ ทุนและผลตอบแทนจากการผลติ กาแฟอาราบิกา ปี 2562
รายการ ตน้ ทนุ และผลตอบแทน หนว่ ย: บาทต่อไร่
1.ต้นทุนผนั แปร ค่าใช้จา่ ย รอ้ ยละ
1.1 คา่ แรงงาน 4,675.61 71.85
- เตรียมดนิ 3,079.27 47.32
- ปลกู
- ดแู ลรักษา (ใสป่ ุย๋ ฉีดยาฆา่ หญา้ ตดั แต่งกิง่ ) - -
- เก็บเก่ียว และหลงั เกบ็ เก่ียว - -
1.2 ค่าวสั ดุ 1,784.49 27.42
- ค่าพนั ธ์ุ 1,294.78 19.90
- ค่าปุ๋ย 1,310.29 20.14
- ค่ายาปอ้ งกนั กำจัดศตั รูพืชและวัชพืช - -
- ค่าน้ำมันเชอื้ เพลิงและหลอ่ ลน่ื 998.60 15.35
- คา่ วสั ดุการเกษตรและวสั ดุส้นิ เปลอื ง 173.99 2.67
- คา่ ซอ่ มแซมอปุ กรณก์ ารเกษตร 69.55 1.07
1.3 คา่ เสยี โอกาสเงนิ ลงทนุ 55.23 0.85
12.92 0.20
2. ตน้ ทุนคงที่ 286.05 4.40
2.1 คา่ เช่าที่ดนิ 1,831.47 28.15
2.2 ค่าเสอ่ื มอปุ กรณ์การเกษตร 554.78 8.53
2.3 ค่าเสียโอกาสเงินลงทุนอปุ กรณ์การเกษตร 159.26 2.45
2.4 ตน้ ทุนก่อนใหผ้ ลผลติ 26.87 0.41
1,090.56 16.76
3. ต้นทนุ รวมต่อไร่ 6,507.08 100.00
4. ผลผลติ ต่อไร่ (กโิ ลกรัมต่อไร่) 73.00 -
5. ตน้ ทุนรวมตอ่ กโิ ลกรัม (บาทตอ่ กิโลกรัม) 89.14 -
6. ราคาทเ่ี กษตรกรขายได้ (บาทต่อกโิ ลกรมั ) 165.55 -
7. ผลตอบแทนต่อไร่ (บาทตอ่ ไร)่ 12,085.15 -
8. ผลตอบแทนสุทธติ ่อไร่ (บาทตอ่ ไร)่ 5,578.07 -
9. ผลตอบแทนสุทธติ ่อกโิ ลกรมั (บาทต่อกิโลกรัม) 76.41 -
ท่ีมา: จากการวิเคราะห์
4.2 สว่ นประสมการตลาดกาแฟอาราบกิ า
4.2.1 ด้านผลติ ภัณฑ์ (Product)
ผลผลิตกาแฟท่ีผลิตโดยเกษตรกรซงึ่ เปน็ สมาชิกของวสิ าหกิจชมุ ชน จังหวดั น่าน เมือ่ ไดผ้ ่านขั้นตอนการ
การแปรรูปท่ีมีความพิถีพิถันแล้ว จะได้กาแฟท่ีมีรสชาติหลากหลายไม่ว่าจะเป็นรสเปร้ยี ว และรสหวาน รสที่มีกลิ่น
หอมของดอกไม้และผลไม้ มีระดับคาเฟอีนต่ำ และเป็นกาแฟท่ีมาจากแหล่งผลิตเฉพาะ (Single Origin) ของแต่ละ
39
แหล่งผลิต นอกจากน้ียังมีการนำเอาอัตลักษณ์ของชุมชนชาวเขาที่ผลิตกาแฟมาเชื่อมโยงให้ผลิตภัณฑ์มีเรื่องราว
และความพิเศษมากย่ิงข้ึน ในส่วนของตราสินค้า พบว่าจะมุ่งเน้นสื่อถึงคุณภาพของกาแฟอาราบิกาและเร่ืองราวท่ี
เก่ียวข้องกับชุมชนชาวเขา เพ่ือให้ผู้บริโภคสามารถจดจำได้ง่าย และในส่วนของบรรจุภัณฑ์ พบว่ามีการปรับปรุง
และพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้ดูมีความทันสมัยมากขึ้น ซ่ึงวิสากิจชุมชนจะเน้นใช้บรรจุภัณฑ์กาแฟท่ีมีการใช้แผ่นกัน
ความช้ืน เพ่ือป้องกันความชื้นท่ีจะเกิดขึ้นกับสารกาแฟ รวมท้ังยังสามารถใช้สื่อสารข้อมูลเบ้ืองต้นเก่ียวกับกาแฟ
ผ่านบรรจุภัณฑไ์ ด้ โดยระบุแหลง่ ผลติ วิธีการแปรรปู รสชาติ เพอื่ ให้ง่ายต่อการตัดสินใจซ้อื ของผู้บรโิ ภค
4.2.2 ดา้ นช่องทางการจัดจำหน่าย (Place)
เม่ือวิสาหกิจชุมชนรวบรวมผลผลิตจากเกษตรกรที่เป็นสมาชิกและทำการแปรรูปเรียบร้อยแล้ว จะมี
การจำหน่ายผลผลิต 3 ลักษณะ ได้แก่ สารกาแฟ (ที่ยังไม่ผ่านการค่ัว) สารกาแฟท่ีผ่านการค่ัว หรือเรียกว่าเมล็ด
กาแฟค่ัว และมีบางส่วนทจ่ี ำหน่ายเปน็ เครื่องดื่มกาแฟสดให้แกผ่ ู้บรโิ ภคโดยตรง สำหรับชอ่ งทางการจัดจำหน่ายจะ
มี 3 ช่องทาง ได้แก่ โรงคว่ั กาแฟ รา้ นกาแฟ และผ้บู ริโภค โดยลกั ษณะการจดั จำหน่ายสารกาแฟ และเมล็ดกาแฟคั่ว
ส่วนใหญ่จะเป็นการสั่งซ้ือทางโทรศัพท์และให้บริการส่งถึงที่ (Delivery) เน่ืองจากแหล่งจำหน่ายค่อนข้างไกลและ
อยู่บนเขาสูง ส่งผลให้เม่ือมีการสั่งซ้ือสินค้าเข้ามาจะนำไปส่งให้เอง นอกจากนี้ยังมีบริการสั่งซ้ือสินค้าผ่านช่องทาง
ออนไลน์ เพ่ือเพิ่มความสะดวกและรวดเร็วในการซื้อขาย แต่พบว่ายังไม่มากนักเน่ืองจากวิสาหกิจชุมชนหลายแห่ง
ยังติดปัญหาเรื่องสัญญาณอินเตอร์เน็ต ส่วนด้านช่องทางการจัดจำหน่ายเครอ่ื งดื่มกาแฟสด จะเป็นการจำหน่ายให้
ผู้บริโภคโดยตรง และจากการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม พบว่าในอนาคตจะมีการนำผลิตภัณฑ์กาแฟไปจำหน่ายใน
จังหวัดผ่านงานแสดงสินค้าต่างๆ ที่จัดร่วมกันโดยภาครฐั และเอกชน (ภาพท่ี 4.1)
รา้ นกาแฟ
เกษตรกร วิสาหกิจชุมชน โรงค่ัวกาแฟ
ผบู้ รโิ ภค
ภาพที่ 4.1 ชอ่ งทางการจัดจำหน่ายกาแฟอาราบกิ าของวสิ าหกจิ ชมุ ชน จงั หวัดนา่ น
ทม่ี า: จากการสำรวจ
4.2.3 ดา้ นราคา (Price)
ราคาผลผลิตกาแฟท่ีเกษตรกรขายได้ พบว่าราคาผลกาแฟสด (เชอรี่) ประมาณกิโลกรัมละ 15 - 20 บาท
ราคากาแฟกะลาประมาณกิโลกรัมละ 90 - 120 บาท และราคาสารกาแฟประมาณกิโลกรัมละ 160 - 170 บาท สำหรับ
สารกาแฟท่ีวิสาหกจิ ชุมชนจำหน่ายได้กิโลกรัมละ 500 - 550 บาท ซึ่งมรี าคาคอ่ นข้างสูงเม่ือเทียบกับกาแฟโรบัสต้า