Executive summary
WEEEK 1
สรุปการเรยี นรโู ครงการพัฒนาสมรรถนะผนู ํา
ดา นการสงเสริมสุขภาพและอนามัยสิง่ แวดลอ ม
6 มกราคม 2563
สมรรถนะทจี่ าํ เปน สาํ หรบั ผนู ําดานการสงเสรมิ สุขภาพและอนามัยสง่ิ แวดลอม
1. การปรบั ตวั ใหทนั ตอการเปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนแปลงของโลกท่ีรวดเร็ว การใชขอมูลหรือองคความรูเดิมอาจยังไมเพียงพอ จําเปนตองคนหา
ชดุ ความรูใหม ทกั ษะใหม และเพม่ิ หรอื ลดบางทกั ษะใหสอดคลอ งกับการเปลี่ยนแปลง
เรียนรูความแตกตางในแตละ Generation เนื่องจากมีความแตกตางกันท้ังดานสิ่งแวดลอม วัฒนธรรม
ความเปน อยู ฯลฯ
การเปล่ียนแปลงสามารถพยากรณอนาคตไดในบางเรื่อง บางเร่ืองอาจไมสามารถพยากรณหรือคาดการณไ ด
เนอ่ื งจากเกดิ การเปล่ยี นแปลงแบบกะทนั หนั หรือการเปลยี่ นแปลงครั้งใหญ
2. หวั หนา งานแบบใหม
การเปล่ียนบทบาทเปน Supporter
มกี ารมอบหมายงานใหทมี รับผดิ ชอบ
รบั ฟง และแลกเปล่ยี นแนวคดิ กบั ผูอน่ื
มที ักษะการเจรจา และการตดั สนิ ใจ
รูอัตลกั ษณ/ความสามารถ/นสิ ัยของผูใตบังคับบัญชา
3. Mindset (วธิ ีคิด มุมมอง)
ปญหาสว นใหญของเราคอื “ทอ ” กอ นกําหนด
ควร Focus โอกาสทเ่ี ปน ไปได ไมค วรมองทคี่ วามลมเหลว
โลกเปล่ยี นแปลงรวดเร็วจําเปนตอ งมกี ารปรบั ตวั และตอ งอาศยั Mindset เชิงบวก
การพัฒนาฐานใจ
เรียนรกู ันและกัน สรา งสมั พนั ธค วามคนุ เคย
การเปนผฟู งทดี่ ี ฟงดว ยใจ ฟงดว ยความรสู ึก โดยเรียนรจู ากกจิ กรรมการรบั ฟงเรอ่ื งราวของสมาชกิ ในกลมุ
และมีการทบทวนเรอ่ื งราวนั้น ๆถา ยทอดออกมาดวยความเขาใจและสงั เกตพฤติกรรมในขณะการรับฟง
สรุปการเรียนรู OSOF VI 3
สรปุ การเรยี นรโู ครงการพัฒนาสมรรถนะผูนาํ
ดานการสงเสริมสขุ ภาพและอนามยั สิ่งแวดลอม
7 มกราคม 2563
รเู ขา รูเรา เราเขาใจกนั
กิจกรรมการเรียนรูการประเมินตนเองในดานทักษะประสบการณตาง ๆ ทําใหเขาใจตนเองและเขาใจผูอ่ืน
ยอมรบั ในความแตกตา งของบคุ คล รวมทงั้ เรียนรูแ นวทางในการทาํ งานรว มกนั
ขีเ้ กรงใจ คิดสรา งสรรค
กลาเผชิญ มีระเบียบ
ความรสู ึก และความตองการ
กจิ กรรมการรับฟงอยางเขาใจ เรยี นรูจากการเลาเรื่องทแี่ สดงความรสู ึกในดานลบและการแสดง การสนทนา
ของวิทยากร ทาํ ใหเรยี นรูก ารฟงอยางเขาใจ คอื ไมดวนสรุปหรือตดั สินโดยใชป ระสบการณเดิม ไมยดึ ตนเองเปนหลัก
และไมโ ตแ ยง การฟงทส่ี งั เกตและรับรอู ารมณค วามรูสึก และการฟงทเี่ ขาใจเจตนา ความตองการของผพู ูด
ความรสู ึกคอื ส่งิ ท่อี ยลู ึกในฐานของตวั เรา ไมสามารถจับตองได อยใู นรปู ของนามธรรม
ความตองการ คือ ความอยากไดหรือประสงคจะไดมา แสดงออกมาในรูปของรูปธรรมและเม่ือเกิดความ
ตองการจะกอ ใหเกิดวิธีการท่จี ะทาํ ใหไดมาซง่ึ สงิ่ นั้น
สรปุ การเรยี นรู OSOF VI 4
สรปุ การเรยี นรู้โครงการพฒั นาสมรรถนะผู้นา
ด้านการสง่ เสริมสุขภาพและอนามยั สิง่ แวดลอ้ ม
8 มกราคม 2563
การตั้งเปา้ หมายและกาหนดข้อตกลงร่วมกนั
เป้าหมายร่วมกนั ของ OSOF VI “เปน็ ผูน้ าการเปลย่ี นแปลงดา้ นการสง่ เสริมสุขภาพและอนามยั ส่งิ แวดลอ้ ม”
การรว่ มกนั กาหนดข้อตกลง และแนวทางทจี่ ะนาไปสกู่ ารบรรลเุ ปา้ หมายร่วมกัน
ทฤษฎีกบตม้
การเปลี่ยนมมุ มอง การคิดนอกกรอบ การเหน็ ต่าง เห็นในส่ิงท่คี นอน่ื ไมเ่ ห็น
- ลองเปลี่ยนมมุ มองดูบ้าง - ลองทาอะไรแปลกๆ
- ลองทาส่ิงทไี่ มถ่ นดั บ้าง - คดิ สร้างสรรค์
- อยากรอู้ ยากเหน็ อยเู่ สมอ - กลา้ คดิ ออกจากกรอบ
- อย่าใหอ้ ปุ สรรคใหญ่เกนิ ตวั เรา - อย่าปลอ่ ยเวลาให้เสยี เปลา่
รู้จกั กรมอนามยั
1. วสิ ัยทศั น์
“กรมอนามยั เป็นองคก์ รหลกั ของประเทศ ในการอภบิ าลระบบส่งเสรมิ สขุ ภาพ
และระบบอนามัยส่งิ แวดล้อมเพอ่ื ประชาชนสขุ ภาพดี”
(การอภิบาลระบบ = การขบั เคล่อื นการดาเนินงานกับหนว่ ยงานอื่น ๆ โดยใช้การ Advocate)
2. พนั ธกิจ
“ทาหน้าที่ในการสงั เคราะห์ ใชค้ วามรแู้ ละดูภาพรวม เพือ่ กาหนดนโยบาย
และออกแบบระบบส่งเสริมสขุ ภาพและอนามยั สง่ิ แวดลอ้ ม โดยการประสานงาน สร้างความรว่ มมอื
และกากบั ดูแล เพอ่ื ให้เกดิ ความรบั ผดิ ชอบตอ่ การดาเนินงาน”
กรมอนามยั ดแู ลประชาชนใหส้ ุขภาพดตี ลอดไป ไมใ่ ห้อยู่ในสภาวะเสย่ี งตามบรบิ ทพนื้ ที่ โดยวเิ คราะห์สุขภาพ
ปัจจัยกาหนดสุขภาพ ซึ่งต้องรู้ว่าประชาชนมีจานวนเท่าไร อยู่ท่ีไหน สถานะสุขภาพเป็นอย่างไร สถานะสุขภาพ
มีความแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่อย่างไร สถานะสุขภาพทาให้มีความเหล่ือมล้ามากแค่ไหน แล้วมีการดูแลสุขภาพ
อย่างไร การดูแลสุขภาพมปี ระสิทธภิ าพหรือไม่
การดาเนินให้บรรลุวิสัยทัศน์และพันธกิจ จะต้องดาเนินการผ่านตัวบุคคล ฉะน้ัน บุคคลต้องมี
ความสามารถหรือมีทักษะที่จะสนับสนุนให้การดาเนินงานนั้นประสบความสาเร็จ เรียกว่า “สมรรถนะ”
โดยสมรรถนะนั้นๆ ต้องสามารถตอบได้ตรงกับพันธกจิ และวัดผลได้
สรปุ การเรยี นรู้ OSOF VI 5
สรุปการเรยี นรโู ครงการพฒั นาสมรรถนะผูนํา
ดา นการสงเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดลอม
9 มกราคม 2563
สมรรถนะ OSOF VI ทพ่ี ึงประสงค
ทุกคนจะตอ งประเมินสมรรถนะตนเองกอนและหลังการอบรม OSOF VI
- การคดิ วเิ คราะห - การมุงผลสมั ฤทธิ์ - การทํางานเปนทีม
- การคิดเชิงระบบ - ความคดิ สรางสรรค - การสัง่ สมความเช่ยี วชาญในงานอาชีพ
- ภาวะผูนํา - ทักษะการส่ือสาร - คณุ ธรรมและจรยิ ธรรม
ทกุ คนจะตอ งประเมนิ สมรรถนะตนเองกอนและหลงั การอบรม OSOF VI
การหาขอ ตกลงรวมกนั
การหาขอตกลงรวมกัน อาจใชวิธี “ฉันทามติ” เพ่ือลดความขัดแยง เปนวิธีหนึ่งท่ีใชในการบริหารงาน
โดยการทําใหเ ห็นพอ งตองกันดวยเหตุผลวา สิ่งที่ตองการขอ สรปุ เปนการดําเนนิ การจากเปาหมาย
New Project
ประเด็นท่ีดําเนินการตองตอบสนองวิสัยทัศนและพันธกิจของกรมอนามัย และเปนประโยชน
ตอ ประชาชน ทาํ แลวประชาชนไดอ ะไร
เปน ส่ิงใหมทก่ี รมอนามัยไมเคยดําเนินการ
ประเด็นท่ีตองการดําเนินการเปนปญหาหรือไม วิเคราะหสาเหตุของปญหา เพ่ือหาสาเหตุของสาเหตุ
อาจจะไมใชสาเหตุเดียว และจับประเด็นวาสาเหตุใดคือสาเหตุหลักของปญหา และจะแกไขปญหาน้ัน
อยา งไร
ตอบ 3 คาํ ถามใหได
1. โครงการ เร่อื ง หรือประเด็นท่ีจะดาํ เนนิ การคอื อะไร
2. ทําไมตองทาํ
3. ทําแลว ไดอะไร
สรปุ การเรียนรู OSOF VI 6
Executive summary
WEEEK 2
สรปุ การเรียนรโู ครงการพัฒนาสมรรถนะผูนาํ
ดา นการสงเสริมสุขภาพและอนามัยสิง่ แวดลอม
3 กุมภาพนั ธ 2563
ฐานคิด
“ต่ืนมีสติ จับอารมณตัวเองใหทัน” รูเทาทันระบบคิด คิดเปนระบบ ส่ิงท่ีเราทํา มีสิ่งนี้จึงเกิดสิ่งน้ี นี่แหละ
คอื การคิด คิดเชงิ ระบบ
ตองเขาใจความคดิ
- กรมอนามัยเปาหมายเดียวกนั
- ความแตกตา งระหวางผบู รหิ าร: คิดเสมอ ผูป ฏบิ ตั ิ: ไมต องคิด
เพราะอะไร (เราคนเดียวก็ได)
- ภาวะปจเจกบุคคลมีอิทธิพลสูงสงผลตอเอกภาพในงาน ไมสามารถใชทรัพยากรไดอยางมีประสิทธิภาพ
เทากับการทํางานพรอม ๆกนั เปน ทีม
- เนนรักษางานเดิม(แตเกากอน)มองงานแบบโครงการ มองขามพัฒนาระบบ
- เคยชินกบั กจิ กรรมเดมิ ๆ ปฏิเสธการเปลี่ยนแปลง
- ขาดความเขาใจ เขาถงึ พฒั นาทํางานแบบโลกแคบ
- รองรบั มากวา รกุ กรมอนามยั วง่ิ ตามปญ หา ปจจบุ นั เขานําเราตาม
- แรงศรทั ธาภาคีเครือขา ยลดลง (เราเขาใจแตงานแตไมร ูเ รื่องระบบ ขาดความเขาใจระบบ)
- ความเขา ใจบทบาทของ Function ทไี่ มร องรบั ระบบ
- ลดระดับจากการนําจนขาดความสามารถเชิงแขง ขนั
- เสพมากกวา สรา ง
OSOF
ผูนาํ ท่เี รากรมอนามัยอยากเหน็ ตองทาํ ตรงกันขา ม
OSOF คอื ใคร
- OSOF คอื กองกําลังเพ่ือรองรบั การเปลีย่ นแปลงองคกรในอนาคต
สิ่งท่ี OSOF ตอ งเผชญิ
- ตอ งตอ สกู ับความเคยชนิ เดิม ตอสกู บั ตวั เองวาจะเปลี่ยนแปลงอยา งไร
- ทานตองปรับตัว คนรอบขางวาดหวังสิ่งทท่ี า นไดร บั
- ทา นตองรองรับความคาดหวงั จากองคกรเพื่อการเปน ผนู ําแหงอนาคต
- ทานตอ งรองรบั ความคาดหวัง กรมอนามัย
- ทานตอ งตอ สกู ับความขดั แยง จากสิง่ ทที่ านไดร บั กับความเปน ตัวเอง
- วนั ที่คุณเปนหัวหนา คุณจะเปน คนเดิมหรือไหม คอื ส่งิ ทจ่ี ะพิสจู น
สรปุ การเรียนรู OSOF VI 8
สรปุ การเรยี นรโู ครงการพัฒนาสมรรถนะผูน ํา
ดานการสง เสริมสุขภาพและอนามัยสิง่ แวดลอ ม
4 กมุ ภาพนั ธ 2563
วทิ ยากร ผศ.ดร.องั สนา บญุ ธรรม ภาควิชาอนามัยชมุ ชน คณะสาธารณสขุ ศาสตร มหาวทิ ยาลัยมหิดล
ปจจัยกาํ หนดสขุ ภาพ (Determinants of Health)
สิ่งที่เกิดข้ึนทุกเรื่องมีเหตุมีที่มาท่ีไป เพียงแตเหตุมีท่ีมาท่ีไปที่เกิดข้ึนจะสามารถทําความเขาใจและสามารถ
ทําการเชื่อมโยงกันไดหรือไม ซึ่งเปนการกลาวถึง Determinants of Health ตนกําเนิดของการสงเสริมสุขภาพ
มาจากเทพในตํานานของกรีก คือ เทพธิดา Hygeine เปนเทพแหงการสงเสริมและปองกัน (Goddness of health)
เปนบุตรของเทพ เอสควิ เลปอัส (Aesculapius) เปน เทพแหงการแพทยแ ละการสาธารณสขุ (god of medicine)
การสงเสริม ปองกัน จะเกิดความย่ังยืนได ตองใหความสําคัญ กับการทํางานอยางเขาใจ โดยทําอยาง
ตอเน่อื งและเปน ระบบ
- ส่ิงสําคัญท่ีตองทํา คือ ตองสรางใหประชาชนมีวินัยในการสงเสริมสุขภาพโดยวิเคราะหใหเ ห็นวาประชาชน
มีปจจัยที่เปนตัวกําหนดสุขภาพคืออะไร ความคาดหวังดานสุขภาพคือประชาชนไมควรเสียชีวิตกอนวัยอันควร
ดวยสาเหตทุ ีไ่ มท ําใหเกิดการเสียชีวติ โดยใชคา เฉลี่ยอายุ 85 ปข้ึนไป เปนตัววัดการตายกอนวัยอันควร
- โรคอบุ ัตใิ หมเกิดจากสง่ิ ที่มอี ยูใ นธรรมชาตเิ กดิ การเปลีย่ นแปลงจากสง่ิ กระตุนทําใหเ กิดความไมส มดลุ
- หลักระบาดวทิ ยาประกอบดว ย คน (Host) ส่ิงกอโรค เชน เช้ือโรค (Agent) สิง่ แวดลอม (Environment)
สรปุ การเรยี นรู OSOF VI 9
สรุปการเรยี นรโู ครงการพฒั นาสมรรถนะผนู ํา
ดานการสง เสริมสขุ ภาพและอนามัยสิ่งแวดลอม
5 กมุ ภาพันธ 2563
ระบบ
ระบบ คอื องคป ระกอบหลายองคประกอบทีเ่ กยี่ วของเชือ่ มโยงและความสมั พันธก นั ทํางานจนบรรลเุ ปา หมาย
ระบบสง เสรมิ สุขภาพและอนามัยสงิ่ แวดลอ ม
ระบบสงเสริมสุขภาพและอนามยั สิ่งแวดลอม คือ ระบบท่ีทํางานเช่ือมโยงรวมกันเพ่ือจดั การกับปจ จัยกําหนด
สุขภาพ จนบรรลุเปาหมายคนสุขภาพดี ซ่ึงเปนการอภิบาลระบบสงเสริมสุขภาพและสิ่งแวดลอม จะขับเคล่ือนได
โดยใชพันธกิจ ดว ยกระบวนการ AAIM
Goal
Goal: คนไทยสุขภาพดี: LE 85 ป HALE 75 ป เราตองรูขอมูลจํานวนของ END CUSTOMER ในพ้ืนท่ีรับผิดชอบ
แยกตามกลมุ วยั และทราบขอ มูลวามคี วามเสยี่ งหรอื ปว ย ตายดว ยโรคอะไร อะไรเปน สาเหตุ
ความสาํ คญั ของการสง เสรมิ สขุ ภาพ
ความสําคญั ของการสงเสริมสขุ ภาพ ตองคํานงึ ถงึ ปจจัยกําหนดสุขภาพและการทํา intervention ทพี่ จิ ารณา
ถึงความเหล่อื มลํา้
การวเิ คราะห (Analysis) - จัดลําดบั ความสาํ คัญ
- อะไรคอื สาเหตกุ ารตายและเจ็บปว ย - วเิ คราะหปจจัยท่ที าํ ใหเกดิ และสาเหตขุ องสาเหตุ โดยใช Mind
- เลอื กระดบั ความสาํ คญั Map หรอื Tree Diagram เพื่อหา Root cause ในแตละชวงวัย
ตาม Life Course
การพิจารณาเลือกปจจยั สําคัญ
- สามารถแกไขพฒั นาได - มีผลกระทบสงู
- มีองคความรพู อ - ตรงตามนโยบาย
- มีความเรง ดว น เปนตน เพือ่ นําไปสกู ารทํา Intervention ระดบั ตา ง ๆ
วิธกี ารนาํ เสนอ
- ใหจ ดั ลาดับความคิด ประเดน็ คืออะไร จุด cut point
- ลลี าการนาเสนอนา สนใจและเหมาะสมกบั สถานการณ
- ชีป้ ระเดน็ ชกั จูงใหผ ฟู งคลอยตามเห็นดว ย ตามขอมูลหลกั ฐานเชิงประจักษ
สิง่ ทไี่ ดเ รียนรู : ฝกการใชกระบวนการ Assessment เพือ่ หาประเดน็ สําคญั สาเหตแุ ละผลกระทบ ดว ย Problem Tree
สรุปการเรียนรู OSOF VI 10
สรปุ การเรียนรโู ครงการพฒั นาสมรรถนะผูน ํา
ดานการสงเสริมสขุ ภาพและอนามัยสิ่งแวดลอม
6 กมุ ภาพันธ 2563
สรุปการเรียนรู OSOF VI 11
สรปุ การเรียนรโู ครงการพฒั นาสมรรถนะผนู ํา
ดา นการสง เสริมสขุ ภาพและอนามัยสิง่ แวดลอม
7 กมุ ภาพันธ 2563
การนําเสนอโครงการพัฒนาความคิด
สมาชกิ แตล ะกลมุ นําเสนอโครงการพัฒนาความคดิ ซง่ึ อาจารยมีขอ เสนอใหเพ่ิมเตมิ แนวคิดดงั นี้
1. งานดําเนินการสงเสริมสุขภาพท่กี รมอนามยั ดําเนินการทั้งงานท่ีทําแลว สําเรจ็ และงานท่ไี มสาํ เร็จพรอ มทง้ั
ศกึ ษาปจ จยั แหงความสําเร็จเพ่ือนาํ มาปรบั ใช
2. ศกึ ษาเพิ่มเตมิ เร่อื งแรงจูงใจในการปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรม
3. ความเช่ือมโยงระหวางเหตุแหงสาเหตุ โดยตองหาเหตุท่ีชัดเจนและแกไขได เพ่ือเปนการหาเหตุท่ีสามารถ
จัดการกบั ปจ จยั กาํ หนดสุขภาพได
4. Lazy consumer มีผลอยางไรกับพฤติกรรมการกินหรืองานสงเสริมสุขภาพ และพฤติกรรมการนอนมีผล
อยา งไรกบั พฤติกรรมสขุ ภาพ จะตองศึกษาแนวโนม ความสมั พันธแ ละนาํ้ หนักของการเกิดภาวะอวน
OTTAWA CHARTER
Area of action ในการดาํ เนินการของ Ottawa Charter มี 6 ระดบั
1. Individual : ระดบั บุคคล
2. Interpersonal : ระหวางบุคคล
3. Community : ชมุ ชน
4. Organizational : หนว ยงาน องคกร
5. Environment : สง่ิ แวดลอม
6. Macro Policy :สงั คม เศรษฐกจิ นโยบาย
กลยทุ ธห ลกั
1. Enable : ชว ยใหมีความสามารถ
2. Mediate : การไกลเกล่ยี ประสาน
3. Advocate : การเปนปากเปนเสยี ง
Assessment Functions of Public Health Services
1. Monitor : รสู ถานการณส ุขภาพเพือ่ ระบุปญหาสุขภาพของประชาชน
2. Diagnose : หาเหตุแหงปญหาสุขภาพและความเส่ียงสขุ ภาพ
3. Evaluate : ศกึ ษาผลกระทบ การเขา ถึง และคณุ ภาพของการบริการสุขภาพ
สรปุ การเรียนรู OSOF VI 12
Executive summary
WEEEK 3
สรปุ การเรียนรโู ครงการพฒั นาสมรรถนะผนู าํ
ดานการสงเสริมสขุ ภาพและอนามยั สิง่ แวดลอม
2 มีนาคม 2563
วิทยากร Krungthai Innovation Lab
กิจกรรมจบั มือสมั พนั ธ
1. Team Work and Collaboration คือ การทํางานเปน ทมี ซึง่ มีทง้ั แบบผนู าํ และแบบการทาํ งานรว มกัน
2. Communication มี 2 แบบ คอื
- การสื่อสารแบบทางเดียว (One way Communication) คนทํางานไมมีโอกาสไดแสดงความคิดเห็น
ซึ่งอาจทําใหเกิดความอดึ อัดใจ ซ่ึงอาจจะสามารถใชใ นบางสถานการณ
- การสอื่ สารแบบสองทาง (Two way Communication) สามารถสื่อสารรว มกนั พดู คยุ กนั
3. Self-management การบริหารทีม ทีมสามารถบริหารตัวเองได โดยใช Lesson Learn จากอดีต
มาปรบั ปรงุ ใหดีขึน้
AGILE
AGILE คือการทํางานแบบใหม “คลองตัว คลองแคลว” เพื่อตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงท่ีจะมาถึง Ready
to Change ซ่ึงการเปลี่ยนแปลงจะขึน้ อยกู ับบริบทของพ้นื ที่
Heart of AGILE
1. Collaborate รว มมอื รวมใจ Team: TRUST EMPOWER SUPPORT
2. Deliver การทํางานทเี่ กิดผลลัพธส ูงสุด Output: Outcome
- Customer Value ประชาชน ลกู คา เหน็ คุณคา
- Team Value ทีมงานมคี วามภาคภูมิใจในสินคา นนั้
- Organization Value ภาพลกั ษณขององคกรทด่ี ี มคี ณุ คา
3. Reflect คอื Feedback ควรใชสุนทรยี สนทนา การใหคําแนะนาํ ดานบวกเพ่อื ใหเกิดการพัฒนาทด่ี ขี ้ึน
- Regular Feedback
- Construction Feedback
4. Improve คือ Inspected Adapt การพัฒนาอยางตอ เน่อื งใหด ขี ้ึน
- Failure acceptance เรยี นรจู ากขอผดิ พลาด
- Inspect & Adapt พฒั นาใหม ีความนา สนใจ ดึงดูดใจ
- Continues learning การท่ไี มหยุดเรียนรู
- Welcome Change การเปล่ียนแปลงคือโอกาส
How to Create Agility ?
การทําผลิตภัณฑใหตอบโจทยลูกคา สามารถใชงานได ซึ่งจากการสํารวจพบวาผลิตภัณฑที่ถูกสรางขึ้นมามี
การนําไปใชจ ริง ๆ แค 7 % เราอยากทาํ ผลติ ภณั ฑแ บบน้ันหรือไม
สรปุ การเรยี นรู OSOF VI 14
ความสมดลุ ของ Product Discovery
Smart Goal เปา หมายของการจดั ทาํ ผลติ ภณั ฑ
การทําผลิตภัณฑนั้นตองคํานึงถึงคุณคา สามารถใชงานไดจริง เหมาะสําหรับลูกคา นําเทคโนโลยี นวัตกรรม
มาใช และส่ิงสําคัญคือตรงกับความตองการของลูกคา รวมทั้งการมีเปาหมายการจัดทําผลิตภัณฑเพ่ือใหมีคุณภาพ
ดังน้ี
- S Specific เฉพาะเจาะจงชัดเจน
- M Measurable เปาหมายวัดได คอยวัดผลสมาํ่ เสมอเพือ่ ใหถงึ เปา หมาย
- A Attainable เปาหมายทาํ ไดจริง
- R Relevant สอดคลอ งกับเปาหมายหลกั ขององคกรและไปในทศิ ทางเดียวกนั
- T Timely มีกรอบเวลาวดั ผลที่ชัดเจน
สรปุ การเรยี นรู OSOF VI 15
Design Thinking
สรุปการเรียนรู OSOF VI 16
ปจ จัยทมี ีผลตอ สขุ ภาพอนามัยของปจเจกบุคคล
1. ปจจัยภายใน คือ พันธุกรรม ความเช่ือ วัฒนธรรม ซ่ึงในการปรับเปล่ียนความเชื่อเปนเรื่องที่ยาก
เพราะบางคร้ังเปนวิธีชีวิตของปจเจกบุคคล โดยตองมีกระบวนการซ้ํา ๆ เพ่ือใหเกิดการเปล่ยี นแปลงอยา งคอย ๆเปน
คอ ย ๆไป
2 ปจจยั ภายนอกทมี่ ผี ลกระทบตอ สขุ ภาพคน คือ สงิ่ แวดลอมดา นตาง ๆ สังคม สงิ่ ท่มี นษุ ยสรางขึน้ ธรรมชาติ
- ระบบบรกิ ารสาธารณสุข ควรตอบสนองตอ ลกั ษณะชุมชนและสิ่งแวดลอม
- นกั สาธารณสุขตองทาํ งานเชงิ approach ตอ งทราบวา กลมุ เปา หมายคือใคร/กระบวนการตองใช
สขุ ภาพโลก (Global health)
สุขภาพของประชาชนในบริบทของโลกและขามเขต แดนของมุมมองและปญหาของประเทศใดประเทศหน่ึง
โดยการเขามามีบทบาทของกลไกนอกภาครัฐอ่ืน ๆเพิ่มขึ้น ปญหาสุขภาพท่ีไมสามารถแกไขไดโดยประเทศใด
ประเทศหน่งึ ไมใชมองเฉพาะกลมุ เปาหมาย แตต อ งดูถึงผลกระทบและเหตปุ จ จัยทเ่ี กิดข้นึ ไปพรอม ๆกัน
เครือ่ งชีว้ ดั สาหรบั คนไทยสขุ ภาพดี
เคร่ืองชี้วดั สาหรบั คนไทยสุขภาพดี มีหลกั การและขอตกลงตอ ไปน้ี
- ใชห ลกั ขององคก ารอนามยั โลก “ Life cycle approach ” ทแ่ี สดงวา สุขภาพหรือโรคภยั ไขเ จบ็ ในแตล ะ
อายมุ คี วาม เชื่อมโยงกันสุขภาวะท่ี สมบูรณใ นวัยเด็กจะนาํ ไปสสู ุขภาพท่ีดี ของวัยตอไป
- คิดถงึ สุขภาพในองคร วม ทงั้ รางกาย จิตใจ สังคม และจติ วิญญาณ
- คิดในบริบทของสงั คม วัฒนธรรมไทย
- คดิ จากปญหาสขุ ภาพและภาวะเสยี่ งในสังคมไทย
สรปุ การเรียนรู OSOF VI 17
วทิ ยากร นพ.เฉวตสรร นามวาท กองระบาดวทิ ยา กรมควบคมุ โรค
การศึกษาทางระบาดวทิ ยา
ระบาดวทิ ยาคอื อะไร
ประโยชนข องระบาดวทิ ยา
1. บอกธรรมชาติของโรค (Natural history of disease)
2. หาสาเหตขุ องโรค (Causation)
3. วดั สถานะสขุ ภาพและการเปล่ียนแปลง (Description of health status and changing in time)
4. ประเมินมาตรการ (Evaluation of health intervention)
Epidemiological Triads
Natural History of Disease Timeline ธรรมชาตขิ องการเกิดโรค - มี 4 ระยะ
สรปุ การเรยี นรู OSOF VI 18
ระบาดวทิ ยาเชงิ พรรณนา (ไมมีกลมุ เปรียบเทยี บ)
ระบาดวิทยาเชิงพรรณนา (ไมมีกลุมเปรียบเทียบ) เปนการศึกษาถึง “ขนาด” และ“การกระจาย”
ของปญหาตาง ๆท่ีเก่ียวของกับสุขภาพอนามัยในประชากรที่สนใจโดยอธิบายการกระจายของปญหาดังกลาว
ในลักษณะของบุคคลสถานที่และเวลา เชน การรายงานกรณผี ูปวย การวิเคราะหแ ละสรุปการเฝา ระวัง การวิเคราะห
ขอ มูลผูป ว ยในโรงพยาบาล การศกึ ษาเชิงสํารวจ
วัตถปุ ระสงคข องการศึกษา
- เพือ่ ใหเ กิดความคนุ เคยกบั ขอมูลและทราบขอบเขตของปญหา
- ทราบการกระจายและแนวโนมของปญ หา
- เพอ่ื ระบปุ ระชากรกลุม ทเ่ี สย่ี งตอโรคทีก่ ําลงั ศกึ ษา
- ตงั้ สมมติฐานเกีย่ วกับสาเหตุของโรค
วิธีการเกบ็ รวบรวมขอมลู
- การสมั ภาษณ
- ใหกรอกแบบสอบถามเอง
- การตรวจรา งกาย ตรวจทางหอ งปฏิบัตกิ าร
- การทบทวนเวชระเบยี น รายงานตาง ๆ
การวิเคราะหข อ มลู
- ขนาดของปญหา ความชกุ ของโรค อบุ ัตกิ ารณข องโรค : อัตราปว ย อตั ราตาย
- การกระจายของปญ หา บคุ คล สถานท่ี เวลา
การตคี วามและสรปุ ผล
- ควรสรุปในกรอบของวิธกี ารศึกษาและกลมุ ประชากรศกึ ษา
- อภปิ รายผลเฉพาะส่งิ ท่ีไดจากการศึกษากะทัดรดั และปราศจากความลาํ เอยี ง
- ตอบปญ หาทสี่ งสัยไดห รือไม อยา งไร
- ตัง้ สมมตฐิ านตอไป
ระบาดวทิ ยาเชงิ วเิ คราะห (มกี ลุมเปรยี บเทียบ)
- การศกึ ษาแบบ case-control
- การศึกษาแบบ cohort
- การศกึ ษาเชิงทดลอง (บางตารากนแยกเปน อกี กลุม ตา งหาก)
สรปุ การเรยี นรู OSOF VI 19
แนวทางการใชการศึกษาเชงิ สงั เกต
จรยิ ธรรมการวจิ ยั ในคน
- ตองขออนุมัติโครงรางการวิจัยตอคณะกรรมการจริยธรรม (Ethical Committee –EC or Institution
Review Board-IRB)
- กระบวนการใหขอมูลขอความยนิ ดยี นิ ยอมและสมคั รใจ (Informed Consent Process) เปนสิ่งสาํ คญั มาก
- เนนเร่อื งความปลอดภัย ความเปน อยทู ่ีดี (well being) ของอาสาสมคั ร
- มีมาตรฐานการวจิ ัยทดี่ ี ระบบรายงานความปลอดภัยทดี่ ีและแจงความคบื หนา รายป
สรุปการเรยี นรู OSOF VI 20
ผูน าํ คือใคร
ผูนํา (Leader) คือ บุคคลท่ีสามารถชักจูง หรือชี้นําบุคคลอื่นใหป ฏิบัติงานสําเร็จตามวัตถปุ ระสงคที่วางไวไ ด
อยางมปี ระสิทธิภาพและประสิทธผิ ล
การบม เพาะภาวะผนู าํ
1. ตองมีสติ รตู ัววา กาํ ลังทาํ อะไร
2. ใชจนิ ตภาพ
3. มองใหความหมายกรอบของเรื่องราวและคิดกรอบใหม ใหค วามหมายใหม
4. ประสานมุมมองโลกทัศนใหม
สง่ิ ทเี่ ราตอ งเรยี นรู เปลย่ี น
การเรยี นรูทล่ี ึกซึ้งนน้ั จะนําพาใหเกิดความเปลย่ี นแปลงท่ลี ึกซึ้งจากภายในคอื การเปล่ยี นตนเอง
ความคิดโลกทัศน และทายท่ีสุดคอื เปล่ียนการกระทํา
การอยรู อดขององคกร
องคก รตองยดื หยุน (พรอ มปรบั ตวั )
องคก รแหง การเรยี นร:ู องคก รท่ีสามารถเรียนรูอะไรใหม ๆ สรางสง่ิ ใหม
- ปรบั แกค วามเคยชนิ
- Personal Master (เกง มีดี)
- เปาหมายรว ม
- ทํางานเปน ทมี (Team learning)
- System thinking (คิดเปน ระบบ)
- ความชดั เจนในเปา หมาย ทําใหมพี ลงั มงุ มนั่ สรางงาน
- ตองมแี รงบันดาลใจ เปน คนกรมอนามัยทรงคุณคา
- มนุษยคือหัวใจของเครอื ขา ย
4 เรือ่ งที่ตอ งพฒั นา
1. ภาวะผูนํา เรยี นรูร วมหมู (Team Learning and Mental Models): สติ สมาธิ จิตนมุ นวล
2. การคดิ กระบวนระบบ (Systems Thinking)
3. ผูนําในยุคแหงความพลิกผัน: 4 เรื่อง คือ ทําความเขาใจโลก วิสัยทัศน สรางสัมพันธเชื่อมโยง การริเร่ิม
สรางสรรค นวตกรรมที่นาํ ความเปลยี่ นแปลง
4. สรรสรางเครือขายแหงพลัง
การขับเคลื่อนกรมอนามยั สู 4.0
สรปุ การเรียนรู OSOF VI 21
การคดิ เชงิ ระบบ (Systems Thinking)
เหตผุ ลที่ตองคดิ เชิงระบบ
- องคก รท้งั หลายยังแกปญ หาไมตก ปญ หาไมหลุด ไปอยา งถาวร
- แกป ญ หาตรงเหตกุ ารณท่เี กดิ ขึ้น มิไดแกท ่สี าเหตุ
- ชอบแกป ญหาตรงทม่ี ันผดุ ขึ้น
- เปน การตามไลป ญ หา
- เปน การแกปญหาแบบแยกสวน
- แกป ญหาท่ีอาการ
การคดิ เชงิ ระบบ
- การคิดเชิงระบบเปนการคิดแบบใหเห็นท้ังหมด ทั้งหมด คือ หนึ่งเดียวที่มีสวนประกอบเหลาน้ันเชื่อมติดกัน
ทัง้ หมดเปน หน่ึงเดยี วเห็นโครงสรา งของปญหา คิดรูหาตน เหตุ
- การคิดเชิงระบบ ไมใชการคิดแบบระบบกลไก ตรรกะที่ตายตัว หรือระบบท่ดี ําเนินไปในลกั ษณะเสน ตรง
จาก 1-2-3 (linear thinking)
- การคิดเชิงระบบ คือ การคิดจากการเห็นวา เราอยูในโลกแหงระบบที่มีชีวิตอันซับซอน เปราะบาง ซึ่งทุกอยาง
ทุกองคประกอบลว นสัมพันธแ ละสง ผลกระทบกันทัง้ สน้ิ หรอื การเหน็ แบบองครวม (Whole หรอื Holistic)
- ในการจะแกไขปญหาสักเรื่อง เราตองเห็นระบบที่เราจะไปแก ตองเห็นวาระบบน้ันเชื่อมโยงกับระบบ
ใดบาง และเลือกตีกรอบวาเราจะแกไขเร่อื งราวในขอบเขตแคไ หน (unit of analysis) เพราะเราไมอาจทําไดทั้งหมด
โดยรวม
- ความสนุกของการคิดเชิงระบบ คือ เราตองทําตัวเหมือนนักสืบไมมีขอสรุปไวกอน แตตั้งคําถาม
ตลอดเวลา และสบื คนความจริง สิง่ สําคัญคือรูจกั พลกิ แพลงหลักการและความรใู หใ ชกับความจรงิ ใหได กลา วคอื เนน
ปญญาปฏิบัติ คือ หัวใจแหงโลกสมัยใหมที่ไมมีกฎเกณฑตายตัว เราตองมีหลักการแลวพลิกแพลงใหเขากับ
สถานการณความเปน จริงทเี่ กดิ ขึน้
สรุปการเรียนรู OSOF VI 22
สรุปการเรียนรโู ครงการพัฒนาสมรรถนะผูนํา
ดานการสง เสริมสขุ ภาพและอนามยั สิ่งแวดลอ ม
3 มีนาคม 2563
การทาํ Customer’s Journey Mapping (Story Mapping)
เปนการจัดทําเสนทางการใชบริการของลูกคา (กลุมเปาหมาย) เพ่ือใหเขาใจข้ันตอนที่ลูกคาจะไดรับบริการ
ต้ังแตเร่ิมตนจนส้ินสุด โดยนําแตละ Journey ของแตละคนมารวมกันเพ่ือหาข้ันตอนท่ีเหมือนกันมาชวยในการทํา
feature list ของการใชบริการ และเลือกข้นั ตอนหลกั ทจี่ ําเปน (Minimum Viable Product: MVP) ซงึ่ เปน กิจกรรม
ทีจ่ าํ เปนตองทาํ เพือ่ ใหบรรลเุ ปาหมาย
ออกแบบนวตั กรรมโดยกระบวนการ Design Thinking
แตละกลุมออกแบบนวัตกรรมที่สอดคลองกับเปาหมายที่กลุมต้ังไว โดยใหมองเปาหมายหลักรวมกัน คือ
คนไทยมีอายุคาดเฉลีย่ และอายคุ าดเฉลี่ยของการมสี ุขภาพดีเพ่ิมข้ึน LE 85 HALE 75 ภายในป 2579 และแตละกลุม
นาํ หลกั SMART Goal ทีไ่ ดเ รียนรจู ากวันที่ 2 มีนาคม 2563 มาทบทวน Goal ทก่ี ลุม ไดตัง้ เปาไวก อนหนานี้ และปรบั
ใหค รบตามหลัก SMART ซึ่งประกอบดว ย ตองชัดเจน เจาะจง วัดได มีความเปน ไปไดท ่จี ะทํา สอดคลอ งกบั เปาหมายหลัก
โดยมีกรอบเวลาทช่ี ดั เจน
หลังจากวาง Goal แลว นํากระบวนการ Design Thinking ท่ีไดเรียนไปมาใชมาสรางนวัตกรรม โดยเร่ิมจาก
Empathy DefineIdeate Prototype Test ซ่ึงแตล ะกลมุ ไดน ําเสนอและไดรบั feedback จาก
กลมุ ตา ง ๆ เพือ่ นํากลับไปปรบั ปรงุ นวัตกรรมของตนเอง
สรปุ การเรียนรู OSOF VI 23
สรปุ การเรยี นรโู ครงการพฒั นาสมรรถนะผูนํา
ดา นการสง เสริมสขุ ภาพและอนามยั สิง่ แวดลอ ม
4 มีนาคม 2563
กระบวนการทาํ งานของกลุมยอ ย
Part 1 (บนั ทกึ ความคดิ เชิงระบบ)
1. การคดิ งานที่มจี ุดเร่มิ ตน จาก Vision
2. คนหาขอมูลสถานการณ นําไปสูการเลือกประเด็นหรือกลุมวัยที่สนใจทําชุดโครงการ จากการวิเคราะห
Cause of cause ทาํ ใหพบ Determinant of Health หลายประเด็น
3. การสราง Problem Tree นําไปสเู ปา ประสงค
4. การนาํ วตั ถุประสงค เขา สมู าตรการสําคัญ (Intervention)
Part 2 (Intervention)
5. กอ ใหเ กดิ Intervention
6. ไดชดุ โครงการ
การทบทวน Problem Tree
- ใหแ กไขรากใหชัดเจน
- สว นท่ี 1 ระบุหลกั การและเหตผุ ลใหก ระชบั มีท่มี าชดั เจน
- วตั ถปุ ระสงคใหใชค าท่ชี ดั เจน ไมก วางเกนิ ไป สามารถวดั ผลได
สรุปการเรียนรู OSOF VI 24
Interventions
ปญ หาท่ีเกดิ ขน้ึ เกิดจากปจ จัยระดบั ไหน
การพัฒนา Public Health Intervention
1. กาํ หนดปญหา เปาหมายทต่ี อ งการ และปจจยั ตนเหตุ
2. พิจารณาวา ปจจัยหรือสาเหตุไหนทแ่ี กไ ขหรือสามารถปรบั ปรุงได
3. คนหาวธิ ีการ หรือกลไกการเปลยี่ นแปลง ปรับปรงุ ปจจยั นั้น ๆ
4. ศึกษา คนควา วิธนี าํ สกู ารปฏิบตั ิ
5. ทดสอบและปรับปรงุ ในพนื้ ทีข่ นาดเลก็ ๆ กอ น
6. เก็บขอมูลเชิงประสิทธิภาพ ประสิทธิผลอยางละเอียด เพ่ือขยายขนาดพื้นท่ีดําเนินการ โดยในแตละ
ระดับใหก าํ หนด Outcome Objectives
- Outcome (What)
- Population of interest (Who)
- How much
- Timeline (When)
สรปุ การเรียนรู OSOF VI 25
สรปุ การเรยี นรู้โครงการพัฒนาสมรรถนะผนู้ า
ด้านการส่งเสริมสขุ ภาพและอนามัยสิง่ แวดล้อม
5 มีนาคม 2563
กฎบตั รออตตาวาเพ่อื การสง่ เสรมิ สขุ ภาพ (Ottawa Charter for Health Promotion)
การประชุมส่งเสริมสุขภาพโลกคร้ังท่ี 1 ท่ีกรุงออตตาวา 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 1986 การประชุมครั้งนี้
ได้ออกกฎบัตรสู่การปฏิบัติเพ่ือให้บรรลุเป้าหมาย สุขภาพดีถ้วนหน้าในปี 2000 (การประกาศในเร่ืองสาธารณสุข
มูลฐานที่เมืองอัลมาอาตา WHO) และหลังจากการประชุมครั้งนี้ ทาให้เกิดการความคาดหวังสาหรับการเคล่ือนไหว
ทางดา้ นสาธารณสุขไปทวั่ โลก
การส่งเสริมสุขภาพ เป็น “กระบวนการในการเพ่ิมความสามารถให้บุคคลเพ่ือให้สามารถควบคุมและ
ยกระดับสุขภาพ เพ่ือไปสู่ความสมบูรณ์ท้ังร่างกาย จิตใจ สังคมและปัญญา “บคุ คลหรือกลุ่มบุคคลต้องสามารถท่ีจะ
กาหนดแรงจูงใจ และสามารถที่จะบรรลุความต้องการและความคาดหวังของตนเองได้ สามารถท่ีจะปรับตัวหรือ
ตอบสนองต่อสิ่งแวดลอ้ ม
สุขภาพสามารถมองในมิติของทรัพยากรสาหรับการดารงชีวิตประจาวัน รวมถึงสมรรถนะทางกาย แต่การ
ส่งเสริมสุขภาพไม่ใช่ภาระความรับผิดชอบของภาคส่วนสุขภาพ (Health sector) เท่านั้น โดยสุขภาพนั้น
เป็นมากกวา่ วถิ กี ารดาเนินชีวติ ทเี่ อ้ือต่อสุขภาพ แต่เปน็ เรอ่ื งของการกินอยทู่ ่ดี ดี ้วย
กลยทุ ธ์ของการส่งเสริมสุขภาพ (Health Promotion Strategy)
1. การให้ข้อเสนอแนะ (Advocate) สุขภาพดีเป็นทรัพยากรที่สาคัญของสังคม เศรษฐกิจ และการพัฒนา
ตนเอง และมีความสาคัญเม่ือมองในมิติของคุณภาพชีวิต การเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม
พฤติกรรมและปัจจัยทางชีววิทยา สามารถมีผลกระทบต่อสุขภาพท้ังทางบวกและทางลบ ปฏิบัติการส่งเสริมสุขภาพ
มีเปา้ หมายทีจ่ ะทาใหเ้ งอื่ นไขตา่ ง ๆเหลา่ น้สี ่งผลกระทบทางบวกตอ่ สขุ ภาพ โดยการให้ขอ้ เสนอแนะเพ่อื สขุ ภาพ
2. การเพ่มิ ความสามารถ (Enable) การส่งเสริมเนน้ การทาใหเ้ กดิ ความเท่าเทยี มทางสขุ ภาพ การดาเนินการ
ส่งเสริมสุขภาพ มีเป้าหมายเพื่อที่จะลดความแตกต่างของสถานะสุขภาพในปัจจุบัน โดยทาให้เกิดความมั่นใจถึง
โอกาสที่เท่าเทียม และทรัพยากรท่ีจะทาให้แต่ละบุคคลสามารถบรรลุศักยภาพสูงสุดทางสุขภาพ ซ่ึงรวมถึงการมี
พ้ืนฐานที่ม่ันคง ที่จะทาให้เกิดสิ่งแวดล้อมเอ้ือต่อสุขภาพ การเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ทักษะชีวิต และโอกาสสาหรับ
การตัดสินเลือกทางเลือกต่อสุขภาพ ประชาชนไม่สามารถที่จะบรรลุศักยภาพสูงสุดทางสุขภาพได้ ยกเว้นบุคคลน้ัน
สามารถท่ีจะควบคุมปัจจัยที่ส่งผลต่อสุขภาพเหล่านั้นได้ ซึ่งการพัฒนาให้มีเกิดความสามารถในการควบคุมปัจจัย
กาหนดสขุ ภาพเหลา่ นนั้ ได้ ต้องทาแบบเท่าเทยี มไมเ่ ลือกปฏิบตั ิ
สรุปการเรยี นรู้ OSOF VI 26
3. การเจรจาต่อรอง (Mediate) ข้อกาหนดเบ้ืองต้นและภาพในอนาคตของสุขภาพ ไม่สามารถที่จะทาให้
บรรลุได้ด้วยภาคส่วนสุขภาพโดยลาพัง การส่งเสริมสุขภาพจาเป็นการบูรณาการการดาเนินการกับทุกภาคส่วน
ท่ีเก่ียวข้องทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม ท้ังภาคส่วนสุขภาพและนอกภาคส่วนสุขภาพ (Non Health sectors)
ได้แก่ ภาคสังคม เศรษฐกิจ การศึกษา ท้องถิ่น สื่อมวลชน ฯลฯ วชิ าชพี กลุ่มทางสังคม และบุคลากรทางการแพทย์
มีบทบาทในการเป็นตัวกลางในการเจรจาต่อรองกลุ่มผลประโยชน์ท่ีหลากหลายเหล่านั้น เพ่ือให้ทุกนโยบาย ทุกการ
กระทาหรือการตัดสินใจ เพื่อสุขภาพ กลยุทธ์และแผนงานการส่งเสริมสุขภาพต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับความ
ต้องการของพ้ืนที่และความเป็นไปได้ของแต่ละพ้ืนที่ซ่ึงมีบริบทที่แตกต่างกัน ทั้งในระบบสังคม วัฒนธรรม
และเศรษฐกิจ
หลักการสง่ เสรมิ สขุ ภาพ (Health Promotion Action Areas)
1. สร้างนโยบายที่เอ้ือต่อสุขภาพ (Building Healthy Public Policy) การส่งเสริมสุขภาพนั้นเป็นมากกว่า
บริการสุขภาพ โดยสุขภาพขึ้นกับการกาหนดนโยบายของทุกภาคส่วน ผู้กาหนดนโยบายต้องตระหนักว่านโยบาย
เหล่าน้ันจะส่งผลกระทบทางลบต่อสุขภาพหรือไม่ และต้องยอมรับว่าเป็นหน้าท่ีของภาคส่วนนอกสุขภาพที่ต้อง
รับผิดชอบต่อสุขภาพด้วย เครื่องมือหรือกลไกของนโยบายการส่งเสริมสุขภาพมีความหลากหลาย ได้แก่ มาตรการ
ด้านกฎหมาย การเงินการคลัง การเก็บภาษี หรือการปรับเปลี่ยนองค์กร แต่บนความหลากหลายของเครื่องมือหรือ
กลไกเหล่านั้นต้องเสริมซ่ึงกันและกันและจุดหมายปลายทางคือเพื่อสุขภาพ การประสานงานและทางานร่วมกัน
(Joint action) ถึงจะทาให้เกิดความม่ันใจได้ว่าจะได้สินค้าหรือบริการท่ีปลอดภัย ส่งผลดีต่อสุขภาพ รวมถึงได้
ส่ิงแวดล้อมท่ีสะอาดและเอ้ือต่อสุขภาพ การกาหนดนโยบายที่เอื้อต่อสุขภาพต้องบ่งช้ีว่าอุปสรรคท่ีจะทาให้
ไม่สามารถสร้างนโยบายท่ีเอ้ือต่อสุขภาพของภาคส่วนที่นอกสุขภาพคืออะไร จะทาอย่างไรถึงจะขจัดปญั หาอุปสรรค
เหล่าน้ันได้ โดยการทาให้ทางเลือกเพื่อสุขภาพถูกเลือก ทาไดโ้ ดยการทาให้ผู้กาหนดนโยบายสามารถเลือกทางเลือก
น้นั ไดง้ า่ ยขึน้
2. สร้างสิ่งแวดล้อมเอื้อต่อสุขภาพ (Created supportive Environment) สังคมมีความซับซ้อนและ
เก่ียวเนื่องสัมพันธ์กัน สุขภาพไม่สามารถท่ีแยกออกจากเป้าหมายอ่ืน ๆได้ และไม่สามารถที่แยกคนออกจาก
สิ่งแวดล้อมที่ล้อมรอบตัวคนได้ จึงต้องประยุกต์ใช้แนวคิดในเรื่องบูรณาการสังคมและสิ่งแวดล้อมกับเร่ืองสุขภาพ
สุขภาพจะดีภายใต้สังคมและส่ิงแวดล้อมที่เอ้ือต่อสุขภาพ และสิ่งแวดล้อมท่ีอยู่ใกล้ตัวคนมากท่ีสุด คือ ครอบครัว
เพื่อนบ้านและชุมชน รวมถึงทรัพยากรทางธรรมชาติต่าง ๆ และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ จึงเป็นความ
รับผิดชอบของทุกคนบนโลกน้ี การเปล่ียนแบบแผนของวิถีการดาเนินชีวิต การทางาน การใช้เวลาว่าง มีผลต่อ
สุขภาพ วิธีการท่ีสังคมออกแบบวิธีการทางานจะส่งเสริมให้เกิดสังคมท่ีเอ้ือต่อสุขภาพ การใช้ชีวิตประจา วัน
ที่ปลอดภัย มีแรงบันดาลใจ และพึงพอใจ และมีความสุขในชวี ิต การประเมินผลกระทบต่อสุขภาพในสภาพแวดล้อม
ที่เปลี่ยนอย่างรวดเร็วอย่างเป็นระบบโดยเฉพาะในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี สภาพการทางาน
แบบแผนการใช้พลังงานเพ่ือการผลิต ความเป็นเมือง เป็นสิ่งที่จาเป็น เพ่ือจะประเมินว่าการเปล่ียนแปลงเหล่าน้ัน
ส่งผลกระทบทางบวกต่อสุขภาพของชุมชนหรือไม่ การปกป้องและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และการสร้าง
ส่ิงแวดล้อมเอือ้ ตอ่ สขุ ภาพ ต้องถูกกาหนดไว้ในกลยุทธก์ ารส่งเสริมสุขภาพ
สรปุ การเรียนรู้ OSOF VI 27
3. พัฒนาความเข้มแข็งของปฏิบัติการชุมชน (Strengthened Community Actions) การส่งเสริมสุขภาพ
ทางานโดยอาศัยปฏิบัตกิ ารของชมุ ชนท่ีมปี ระสทิ ธิภาพทั้งในเรื่อง การลาดับความสาคัญ การตัดสินใจ การวางแผนกลยทุ ธ์
การดาเนินตามแผน เพื่อให้สุขภาพของชุมชนดีขึ้น โดยหัวใจสาคัญของกระบวนการคือการเสริมพลังให้กับชุมชน
ให้เกิดความรู้สึกของความเป็นเจ้าของ และเสริมพลังให้เกิดความมุ่งม่ันที่จะทาให้บรรลุเป้าหมายที่ชุมชนกาหนด
ด้วยความร่วมมือของชุมชน และใช้ทรัพยากรในชุมชน การพัฒนาชุมชน จาเป็นต้องอาศัยกาลังคนและทรัพยากร
ในชุมชน เพื่อให้เกิดชุมชนท่ีสามารถจัดการตนเองได้ (Self-help) และพัฒนาระบบท่ีจะทาให้เกิดความร่วมมือ
ในชุมชนท่ีมีความยืดหยุ่นและมีทิศทางเพ่ือยกระดับสุขภาพหรือปัจจัยกาหนดสุขภาพ ซึ่งจาเป็นต้องมีและเข้าถึง
ข้อมูลข่าวสาร อย่างต่อเนื่องและทันเวลา มีโอกาสการเรียนรู้เพ่ือสุขภาพ รวมถึงการสนับสนุนทางด้านการเงินหรือ
งบประมาณ
4. การพัฒนาทักษะส่วนบุคคล (Develop Personal Skill) การส่งเสริมสุขภาพส่งเสริมการพัฒนาคน
และสังคมโดยการสนับสนุน ข้อมูลข่าวสาร การให้การศึกษาเพ่ือสุขภาพ และการพัฒนาทักษะชีวิต การกระทา
ดงั กล่าวเป็นการเพิ่มทางเลือกสาหรับประชาชนในการทาแบบฝึกหัดเพื่อที่จะควบคุมสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และปัจจัย
กาหนดสุขภาพ การเสริมพลังให้บุคคลเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อเตรียมตัวที่จะรองรับความเสี่ยงต่าง ๆในแต่ละช่วงวัย
รวมถึงโรคเร้ือรังและการบาดเจ็บเป็นสิ่งท่ีจาเป็น ซึ่งดาเนินการได้ท้ังในฐานท่ีตั้ง (Setting) ของโรงเรียนที่บ้าน
ท่ที างาน และทช่ี ุมชน โดยผู้ท่ีเสรมิ พลงั เป็นได้ทัง้ ครูหรอื นักการศึกษา เจา้ หน้าท่ีสาธารณสุข อาสาสมัคร รวมถงึ อสม.
5. ปรับระบบบริการสุขภาพ (Reoriented Health Services) การส่งเสริมสุขภาพในระบบบริการสุขภาพ
คือ การแบ่งปันระหว่างบุคคล กลุ่มในชุมชน และวิชาชีพทางด้านสาธารณสุข สถานบริการและสถาบันต่าง ๆ
ทางด้านสาธารณสุข รวมถึงรัฐบาล ซึ่งทั้งหมดต้องบูรณาการงานร่วมกันในระบบบริการสุขภาพ โดยมีเป้าหมาย
เพื่อสุขภาพ บทบาทของภาคส่วนสุขภาพตอ้ งมามุ่งเน้นท่ีการส่งเสริมสุขภาพให้มากขึ้น นอกเหนือจากการให้บริการ
ทางคลินิกหรือการรักษาพยาบาล บริการสุขภาพต้องคานึงถึงความอ่อนไหวและเคารพในมิติของความเช่ือและ
วัฒนธรรม และสนับสนุนความต้องการของบุคคลและชุมชนเพื่อชีวิตความเป็นอยู่และสุขภาพท่ีดีขึ้น และเปิด
ชอ่ งทางใหภ้ าคส่วนสขุ ภาพและภาคส่วนทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และส่งิ แวดล้อม เข้ามามีสว่ นร่วมในเร่ืองของ
สขุ ภาพด้วย การปรับระบบบรกิ ารสุขภาพจาเปน็ ต้องมีการศึกษาวิจยั และการปรับระบบการศึกษาและการฝึกอบรม
ของวิชาชีพทางสาธารสุข เพื่อปรับเปล่ียนทัศนคติ และโครงสร้างในระบบบริการสุขภาพ โดยปรับการมุ่งเน้นมาที่
ความต้องการโดยรวมของแตล่ ะบคุ คล โดยใหท้ าการรกั ษาคน ไมใ่ ช่ รักษาโรค
สรปุ การเรียนรู้ OSOF VI 28
การดาเนนิ งานสง่ เสริมสขุ ภาพและอนามยั ส่ิงแวดลอ้ มของกรมอนามัย
คาอธบิ ายการดาเนนิ งานของกรมอนามัยใหป้ ระชาชนเขา้ ใจ
ช้ีแนะประชาชนให้ดูแลสุขภาพตนเอง ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ลดและกาจัดสาเหตุท่ที าให้เกิดความเจ็บป่วย
รวมทั้งประสานหนว่ ยงานท่เี ก่ยี วข้องให้มสี ว่ นรว่ มและสนบั สนุนให้ประชาชนมสี ุขภาพดี
สรุปการเรยี นรู้ OSOF VI 29
ข้อเสนอแนะจากอาจารยช์ าญชยั พิณเมืองงาน
1. หลักการส่งเสริมสุขภาพ (Health Promotion Action Areas) ของออตตาวาชาเตอร์ จะมุ่งเน้นในเรื่อง
การสร้างสุขภาพมากกว่าการรักษาโดยให้ความสาคัญกับแนวคิด นิเวศวิทยาสังคม Ecological Model เช่นกัน
แบง่ ออกเป็น 5 ระดับคอื ระดับบคุ คล ระหว่างบุคคล ชุมชน สถาบันหรือองค์กร สิ่งแวดล้อม นโยบาย
2. การเช่ือมโยงสาเหตุของปัญหาในแต่ละระดับได้ดี จะทาให้มองเห็นว่าเราควรท่ีจะต้องจัดการปัญหา
ในระดบั ไหน ถ้าแก้ไขแล้วสามารถสะทอ้ นไปควบคมุ ปจั จยั อ่นื ๆได้
3. ในการแกไ้ ขปญั หาแตล่ ะระดับ ถา้ ต้องการบรรลุเป้าหมาย ควรนกึ ถงึ
- WHO > ใครท่ีจะต้องเปลีย่ น
- WHAT > อะไรคอื ส่งิ สาคญั ทีบ่ ุคคลหรือกลุ่มคนต้องเปลย่ี น
- What others มีอะไรอย่างอื่นต้องเปลี่ยนหรอื ไมใ่ นระดับบุคคลหรอื กลุม่ บุคคล
ทบทวนตารางกระบวนการคดิ เพ่อื หา Intervention
1. ระดับของตน้ เหตุ
1.1 ระดบั นโยบาย สงั คม และวฒั นธรรม
1.2 ระดบั ส่ิงแวดลอ้ ม
1.3 ระดับหน่วยงาน องค์กร สถาบนั
1.4 ระดับชุมชน
1.5 ระหวา่ งบคุ คล ครอบครวั เพื่อน
1.6 ระดับบคุ คล
2. ต้นเหตุ หรือปัจจัยเสี่ยง ซ่ึงได้จากสาเหตุของสาเหตุที่มาจากการวิเคราะห์ Problem Tree นามาแยก
ระดับในข้อที่ 1
3. มาตรการหรือการดาเนินงานท่ีเคยมีทาและได้ผล/ไม่ได้ผลได้จากการทบทวนวิธีการทาท่ีเคยทามาแล้ว
ในแตล่ ะระดับ แลว้ นามาจาแนกว่า กจิ กรรมเหลา่ นน้ั ทเี่ คยทาแลว้ ได้ผล ไมไ่ ด้ผล หรือนามาปรับปรงุ และนาไปใช้ได้
4. Intervention สาคญั
5. ผู้เก่ียวข้อง มีใครที่มีส่วนเกี่ยวข้องบ้าง ซึ่งไม่ใช่เฉพาะหน่วยงานทางด้านสุขภาพ แต่จะเก่ียวข้องกับ
หน่วยงานภาคส่วนอืน่ ดว้ ยในแตล่ ะ Intervention
6. Intervention ของกรม/ศนู ย์ฯ จะทาอะไร?
สรปุ การเรียนรู้ OSOF VI 30
สรปุ การเรียนรโู ครงการพฒั นาสมรรถนะผูนาํ
ดานการสง เสริมสขุ ภาพและอนามยั สิ่งแวดลอ ม
6 มีนาคม 2563
สงิ่ ทไี่ ดเรยี นรู
1. ฝกการรูจ กั ตนเอง เพ่ือเขาใจอารมณ ความรูสกึ ความตองการของตนเอง เพือ่ พฒั นาตนเอง
2.การดําเนินกิจกรรมกลุม ตองใชหลักการ 3 D คือ Discuss Debate และ Dialog เพื่อใหไดขอมูล
ที่หลากหลาย และเขาใจตรงกันทกุ คนในกลมุ
3. การคนหาขอมูลตองคนหาขอมูลเพ่ิมขึ้น เพ่ือใหไดขอมูลสนับสนุนในการประกอบการตัดสินใจ เลือกประเด็นหลัก
ทส่ี ําคญั หรอื มีผลกระทบสงู
4. การเลือกทํานวัตกรรม ตองเลือกที่ไมเคยทํามากอน หรือทําแลวสําเร็จ หรือทําแลวสําเร็จเพื่อมาตอยอด
แตห าก Intervention ไหนทท่ี าํ แลว ไมสําเรจ็ ไมควรมาใชอกี
สิง่ ทต่ี อ งทาํ ตอ
1. ปรับปรุง แกไ ข Cause of cause และ Intervention โดยหา Review เพ่มิ เตมิ ลงลกึ ในรายละเอียดเปน
Evidence ในการสนบั สนุน
2. ทบทวนและเลือก 2-3 level ท่ีสําคัญในการดําเนินการ โดยเช่ือมโยงกับกลยุทธ และเปาหมายหลักวา
เปาหมายหลักเปนใครบางที่เก่ียวของท่ีทําใหงานหรือกระบวนการนี้สําเร็จ โดยผูเกี่ยวของอาจจะเปน Health Sector
หรือ Non-Health sector ก็ได
3. ส่อื สารเบือ้ งตนกบั ผทู ่เี ก่ยี วขอ งถงึ ความเปน ไปไดใ นการดําเนินการ
4. บันทกึ ขอมลู ทสี่ ่ือสารวา ผลการสนทนาเปน อยา งไร สนใจงานกระบวนการทีเ่ ราจะดาํ เนินการหรอื ไม
สรปุ การเรียนรู OSOF VI 31
Executive summary
WEEEK 4-5
สรุปการเรียนรโู้ ครงการพฒั นาสมรรถนะผนู้ ำ
ดา้ นการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม
6 กรกฎาคม 2563
❖ Advocacy
▪ Advocacy ( เปา้ หมาย คือต้องการเปล่ียนแปลงเชน่ นโยบาย พฤติกรรม โครงการ การดำเนินงาน )
“เปน็ การดำเนนิ งานท่ีใชข้ ้อมูลหลักฐานที่เชื่อถือได้อยา่ งรอบคอบท้ังโดยทางตรงและทางอ้อมเพื่อจงู ใจผู้มี
อำนาจตัดสินใจและผเู้ กี่ยวข้องให้สนบั สนุนและดำเนนิ การท่ชี ่วยเสรมิ ใหบ้ รรลุวตั ถุประสงค์หรือเปา้ หมายท่ีผู้มสี ว่ น
เกี่ยวขอ้ งเห็นพ้องต้องการร่วมกนั ”
▪ ขนั้ ตอนการ Advocacy
• กำหนดใหไ้ ด้ว่าต้องการทำอะไรให้สำเรจ็
• ถ้ามีหลายประเด็น ตอ้ งจดั ลำดับ
• คุยตกลงกับผมู้ สี ว่ นเกีย่ วขอ้ ง (Partners and Networks)
• ประเมินศักยภาพของเราและผูเ้ กี่ยวข้อง
• สรปุ และเลอื กเฉพาะประเด็นทสี่ ำคัญ
สรปุ
• กำหนด (Define) ใหช้ ัดเจนวา่ ตอ้ งการให้เกดิ อะไร (What) และเมื่อไหร่ (When)
• แปลงเป็นวัตถุประสงค์ (Objective)
• กำหนดวิธี Monitor and Evaluation แต่ละข้ันตอนของการทำ Advocacy
STEP
1.กำหนดความต้องการ
2.กำหนดเปา้ หมาย
3.Develop your massage
สรุปการเรยี นรู้ OSOF VI 33
4.Choose your massengers
5.แสวงหาโอกาสและกิจกรรม
6.เตรียมพร้อม ทรัพยากรดา้ นต่างๆ
7.บริหารความเสยี่ ง (Manage Risk)
8.Monitor + Evaluation
Message
Primary message
- ขอ้ ความสำคญั : ปัญหาหลักทจี่ ำเปน็ ตอ้ งแก้ไข
- Evidence : หลักฐานทสี่ นบั สนนุ ข้อความหลกั ที่เขา้ ใจงา่ ย เช่น ตัวเลข,กราฟ,ภาพ
- Goal : เนน้ สิ่งทค่ี วรจะดำเนินการ (ท่มี า วเิ คราะหม์ าแล้วว่าตอ้ งทำ)
Secondary message
- อธบิ ายวธิ ีการบรรลวุ ัตถปุ ระสงคใ์ น Primary message
- มไี ดห้ ลากหลายรปู แบบท่ีเหมาะกับแต่ละผู้ฟัง
คำถามเก่ียวกับ Advocacy
1.What do we want? (Goals)
* เปา้ หมายสุดทา้ ยทสี่ ำคญั (Long – term goals)
* เปา้ หมายระหว่างดำเนินการ (Short – term goals)
2.Who can make it happen?
* บุคคลหรอื องค์กรสถาบันท่ีมีอำนาจหนา้ ท่ตี ่อการแกป้ ัญหา
* ใคร ? ท่มี ศี กั ยภาพหรืออิทธพิ ลต่อองคก์ รหรือผู้มีอำนาจหนา้ ที่
* วิเคราะห์ผมู้ สี ่วนเก่ยี วขอ้ ง ทัง้ ทไ่ี ด้รบั ประโยชน์หรอื ได้รับผลกระทบ
* วเิ คราะหบ์ ทบาทหน้าที่และความสนใจของผู้ทจี่ ะชว่ ยแก้ปัญหา
3.What do they need to hear?
- ข้อมูลหรือสงิ่ ท่ตี อ้ งการช้ีนำตอ้ งปรบั ปรุงใหต้ รงกับความสนใจของแต่ละผฟู้ ัง แต่อยบู่ นพื้นฐาน
ของความเปน็ จรงิ คือ
1.เนอื้ หาสั้น,เขา้ ใจง่ายและดึงดดู ความสนใจของผู้ฟงั
2.วิธีการทีจ่ ะทำให้บรรลุวัตถุประสงค์
4.Who do they need to hear it from?
- เลอื กผทู้ จ่ี ะส่ือสารทีม่ ีความนา่ เชื่อถือ,Power สำหรบั แต่ละผรู้ บั ฟัง (Audiences) เชน่ ผู้เชยี่ วชาญ
ชอ่ื เสยี ง,ผู้มีประสบการณจ์ ริง
- เราตอ้ งทำข้อมลู และรายละเอียดให้สมบรู ณ์สำหรับผูส้ อื่ สาร
สรุปการเรยี นรู้ OSOF VI 34
สรปุ การเรยี นรโู ครงการพฒั นาสมรรถนะผนู ํา
ดา นการสงเสริมสุขภาพและอนามยั สิง่ แวดลอ ม
7 กรกฎาคม 2563
9 คาํ ถามเพ่อื ทาํ ADVOCACY PLAN (ตอ)
5. How can we get them to hear it? (DELIVERY)
(Approach & opportunities by Lobbing, campaign, media etc.)
วิธกี าร/ชองทางการสือ่ สาร โอกาส รปู แบบ วิธีการ
พยายามแสวงหาโอกาสและกิจกรรมทเ่ี หมาะสมเพือ่ สอ่ื สารสงิ่ ท่ตี องการ โดยผานวธิ กี ารส่ือสารที่หลากหลาย
วิธีการสาํ หรับกลุมเปาหมายตางๆ เชน การพูดหรือการเจรจาระหวา งบุคคล/กลมุ , เอกสารรปู แบบตางๆ, สอื่ สารทาง
Electronic ตา งๆ, Drama, Art เปน ตน
6. What do we have? (RESOURCES)
เตรียมพรอ มทรัพยากรในดานตา งๆ ใหพรอ ม ไดแ ก การวเิ คราะห SWOT ผลของการทาํ Advocacy มาแลว
ทั้งท่ีประสบความสําเร็จและไมประสบความสําเร็จ / ใครบางท่ีเปน Partner / ศักยภาพของบุคลากร ขอมูล และ
งบประมาณท่จี ะตองใชเ พอ่ื ความตอ เน่อื ง การสาํ รวจวาในปจ จบุ ัน มที รพั ยากรเหลา นหี้ รือไม เชน
- ผลงานเดมิ ทเี่ ชือ่ มโยงสมั พันธ กับงานใหมท ีต่ อ งการ
- พนั ธมติ รที่ทํางานรว มกนั
- ศักยภาพของผูร วมงาน
- ความพรอมของขอมูล
- ความเขา ใจดานการเมือง
7. What do we need to develop? (GAPS) ส่ิงท่ตี อ งพฒั นา
- พฒั นาหรือสรางสิง่ ทยี่ งั ขาดจากการวิเคราะหท รพั ยากร (Resources)
- มองหาและสรา งพันธมิตรเพอ่ื เริม่ ตน
- พัฒนาศกั ยภาพจากการลงพน้ื ที่ พัฒนาการสอ่ื สารตา งๆ การวิจัยทม่ี ีอยแู ละเพ่ิมเติม
8. How do we begin? (First Step) มวี ิธีการเริ่มตน /ทําอยางไร
เร่ิมพัฒนาจากจุดเล็กๆ กอนและขับเคลื่อนเพ่ือใหบรรลุเปาหมายระยะสั้น (Short – term goals)
จากน้นั ประชุมระดมความคิดของผูเกี่ยวของเร่ิมตนและทําความเขาใจเปา หมายใหญรว มกันโดยเริม่ ทํางานที่สามารถ
บรรลไุ ดในระยะสั้น
- ขบั เคล่อื นเพอื่ Short – term goals
- ประชมุ ระดมความคิดของผเู ก่ียวของเร่ิมตน
- ทําความเขา ใจเปา หมายใหญร ว มกนั
- เริม่ ทาํ งานทีส่ ามารถบรรลุไดใ นระยะส้นั
9. How do we tell if it’s working?
(Evaluation – M&E Plan – data collection, indicators)
การตรวจสอบกระบวนการ การติดตามและประเมินผล เปนระบบท่ีจําเปนในการทํา Advocacy ใหมี
ประสทิ ธภิ าพและประสทิ ธิผล
- ตรวจสอบ ผลของการดําเนนิ การตามคาํ ถามตา งๆวา บรรลเุ ปา หมายหรอื ไม
- ปรับแผน หรือยกเลิกกิจกรรมทีไ่ มบรรลุผล
สรปุ การเรียนรู OSOF VI 35
คา นยิ มกระทรวงสาธารณสุข (MOPH) สูว ฒั นธรรมกรมอนามยั (HEALTH)
แปลงเปนพฤตกิ รรมท่พี ึงประสงค
ความสัมพนั ธร ะหวา งคานิยมกระทรวงสาธารณสขุ (MOPH) สวู ัฒนธรรมกรมอนามัย (HEALTH)
ปจ จยั คา นยิ ม วัฒนธรรม พฤติกรรมท่พี งึ ประสงค
กระทรวงสาธารณสุข กรมอนามยั
M : Mastery H : Health Model 1.รวมกิจกรรมสม่ําเสมอ
เปน นายตนเอง เปน ตนแบบสขุ ภาพ 2.ตรงตอ เวลา
ภายใน 3.เสาะแสวงหาความรู
O : Originality E : Ethics 4.ซื่อสตั ย ยนื หยดั ในความถกู ตอ ง
เรงสรางส่งิ ใหม มจี ริยธรรม 5.มที ักษะถายทอดความรดู า นสขุ ภาพ
A : Achievement 1.รวมกจิ กรรมทางวชิ าการ
มุง ผลสัมฤทธ์ิ 2.มขี อเสนอใหมๆ มานําเสนอ
L : Learning 3.กลา แสดงออก กลานาํ เสนอ
เรียนรรู วมกัน 4.ทาํ งานอยางเปน ระบบและมีเปาหมาย
5.แลกเปลย่ี นเรียนรซู ่ึงกันและกัน
ภายนอก P : People T : Trust 1.รบั ฟง ความคิดเหน็ ของประชาชน/ลูกคา อยา ง
centered เคารพและเชือ่ ม่นั ตั้งใจ
ใสใจประชาชน H : Harmony 2.ใหบรกิ ารดวยความเสมอภาคไมเ ลือกปฏิบัติ
H : Humility เปน อนั หนงึ่ อนั เดียวกนั 3.กระตอื รือรนในการบรกิ ารประชาชน
ออนนอมถอมตน 4.มีทกั ษะการทาํ งานกับเครือขา ย
5.สื่อสารเพื่อสรางแรงจงู ใจใหค นรอบขางดูแล
แกปญหาตัวเองได
1.มีสมั มาคาราวะ ถอมตน ออนนอ ม
2.พรอ มรับผิดชอบ พรอมใหอ ภยั
3.ชนื่ ชมยกยอ ง เห็นคุณคา ตนเองและผอู ื่น
4.สรางภาพลกั ษณท ี่ดีใหก ับองคกร
5.มีความรกั ความผกู พันซ่ึงกนั และกนั
สรปุ การเรียนรู OSOF VI 36
หวั ใจสาํ คัญของปจจัยที่ทาํ ใหสขุ ภาพดี External
สภาพแวดลอม
Internal ♥Healthy Cities / Healthy Communities
พฤตกิ รรม
♥Health Literacy HEALTH ระบบบรกิ ารสขุ ภาพ
สุขภาพดี
พันธกุ รรม
♥ Good Governance
♥Good Governance
ความรอบรูดา นสุขภาพ (Health Literacy) คือ ความสามารถหรอื ทกั ษะของบุคคลในการเขา ถงึ เขา ใจ
ขอ มลู สุขภาพ โตต อบซกั ถาม จนสามารถประเมิน ตัดสนิ ใจ ปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรม เลือกรบั บรกิ ารเพือ่ จัดการสุขภาพ
ตนเองไดอยางเหมาะสม และสามารถบอกตอ ผูอื่นได
สรุปการเรยี นรู OSOF VI 37
สรปุ การเรียนรโู้ ครงการพฒั นาสมรรถนะผูน้ า
ด้านการสง่ เสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม
8 กรกฎาคม 2563
การสง่ เสรมิ สุขภาพ
การส่งเสริมสุขภาพ หมายถึง กระบวนการสร้างเสริม สนับสนุนด้านสุขภาพโดยให้บุคคลมีการ
ปฏิบัติและการพัฒนาสุขภาพ ตลอดจนจัดการส่ิงแวดล้อมและปัจจัยที่มีผลกระทบต่อสุขภาพเพ่ือให้บรรลุการมี
สขุ ภาพที่ดที ้งั ทางด้านรา่ งกาย จติ ใจ สังคม และปญั ญา สามารถอย่ใู นสังคมได้อยา่ งมคี วามสุข
จากปัจจัยกาหนดสุขภาพท่ีส่งผลต่อสุขภาพของประชาชน ประกอบด้วย เศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม
และสังคม 40 % พฤติกรรมสุขภาพ 30 % ระบบบริการสุขภาพ 20 % และคุณภาพส่ิงแวดล้อม 10 % สามารถใช้
Ottawa ในการดาเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการส่งเสริมสุขภาพ โดยต้องใช้หลักการประเมิน(Assessment)
เพ่ือเข้าสู่การวิเคราะห์หาสาเหตุ Cause of Cause แล การใช้ Advocacy รวมทั้งพิจารณา
intervention ของเดมิ /ของใหม่มอี ะไรบา้ ง
การมองเชิงระบบใหม้ คี วามสอดคลอ้ งเชอื่ มโยงกัน (3W + 1H)
Who : Level of intervention ในการวิเคราะหว์ า่ จะดาเนินการท่ีระดบั ใด และทากับใคร
What : ปจั จัยกาหนดสุขภาพ Determinant of health จะเปน็ ตัวกาหนดวา่ ตอ้ งทาอะไร
Why : จะใช้ข้อมูลหลักฐาน งานวิจยั องค์ความรู้ต่าง ๆ ประสบการณ์การเรยี นรู้ เพื่อตดั สนิ ใจว่า ทาไมจึงตอ้ งมี
การดาเนินการเพื่อปรับปรงุ ประเด็นดา้ นสขุ ภาพนัน้
How : เราจะสามารถดาเนินการปรับปรุงประเด็น/ระบบสุขภาพต่าง ๆ อย่างไร ซึ่งต้องใช้หลักการ OTTAWA
CHARTER กระบวนการในการเพิ่มความสามารถนั้น เป็นกระบวนการเชิงบูรณาการท้ังกระบวนการทางสังคมและ
สรปุ การเรียนรู้ OSOF VI 38
ทางการเมือง โดยไม่เพียงแต่การเพิ่มทักษะและความสามารถให้บุคคลเท่าน้ัน แต่รวมถึงการเสริมพลังให้กับชุมชน
ให้สามารถท่ีจะเปล่ียนแปลงเงื่อนไขทาง สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมที่จะส่งผลกระทบท้ังต่อชุมชนและบุคคล
การส่งเสริมสุขภาพจึงเป็นกระบวนการที่ไปเพ่ิมความสามารถของบุคคลและชุมชนในการควบคุมปัจจัยกาหนด
สุขภาพ หากควบคุมปัจจยั กาหนดสุขภาพได้ จะสง่ ผลตอ่ เนื่องไปทาให้สุขภาพของบุคคลและชุมชนดีขึ้นตามไปด้วย
การมีส่วนร่วมจึงเป็นส่ิงสาคัญในการทาให้เกิดความยั่งยืนของกิจกรรมการส่งเสริมสุขภาพ Ottawa charter
ประกอบดว้ ย 3 กลยุทธ์ ไดแ้ ก่
1. Enabling เปน็ การทร่ี ฐั บาล/หนว่ ยงานทเ่ี กี่ยวข้อง จัดหาหรอื ส่งเสริมใหป้ ระชาชนสามารถเขา้ ถึงบริการ
หรอื ผลติ ภัณฑน์ ้ัน ๆ ได้
2. Mediate การเจรจาตอ่ รอง ล ล
3. Advocate การโน้มน้าว ชน้ี าใหเ้ กิดการดาเนนิ การโดยผ้ทู ี่เก่ียวข้อง
ประกอบด้วยกิจกรรมหลัก ของการสรา้ งเสริมสุขภาพทัง้ 5 กจิ กรรม ไดแ้ ก่
1. การสร้างนโยบายสาธารณะเพ่ือสุขภาพ
2. การสรา้ งสิ่งแวดลอ้ มท่ีเอ้ือตอ่ สขุ ภาพ
3. การสรา้ งความเข้มแข็งของกิจกรรมชมุ ชนเพ่ือสขุ ภาพ
4. การพฒั นาทักษะสว่ นบคุ คล
5. การปรับระบบบริการสขุ ภาพ
Bangkok Charter ให้ Advocacy เนน้ ความสาคัญประเด็นความเสมอภาค ความเหลือ่ มล้า
PIRAB เป็นกลยุทธ์เสริม ประกอบด้วย 1.การสร้างภาคีเครือข่ายและพันธมิตร (Partnership) 2. การลงทุน
(Invest) โดยลงทุนในการพัฒนานโยบายเพ่ือให้เกิดความยั่งยืน การดาเนินการเพ่ือยกระดับปัจจัยกาหนดสุขภาพ
3. การกากับติดตาม และการใช้มาตรการทางกฎหมาย (Regulation and Regislation) เพ่ือให้เกิดความมั่นใจถึง
การได้รับการปกป้องในระดับสูงจากภัยคุกคาม หรือการได้รับโอกาสท่ีเท่าเทียม 4. การให้ข้อเสนอแนะสาหรับ
สุขภาพ (Advocate) 5. พัฒนาสมรรถนะ (Building Capacity)
สามเหลย่ี มเขยือ้ นภูเขา
ประกอบดว้ ย 3 องคป์ ระกอบสาคัญ ในการจัดการความขดั แยง้ ดว้ ยสนั ตวิ ธิ ี/ในการปรองดอง
สมานฉันท์" คือ
1. พลังปัญญา
2. พลังสังคม
3. พลังอานาจรัฐ
สรปุ การเรียนรู้ OSOF VI 39
ตวั อยา่ งในการขับเคลื่อนโดยใช้สามเหลยี่ มเขย้ือนภเู ขา เชน่ การกาหนดภาษีน้าตาล เป็นตน้
สรุปการเรยี นรู้ OSOF VI 40
สรุปการเรยี นรู้โครงการพฒั นาสมรรถนะผนู้ า
ด้านการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดลอ้ ม
9 กรกฎาคม 2563
New Marketing Concept and Value Creation Strategy and the Stakeholders
การตลาดยุคใหม่ เปน็ การยกระดบั คุณภาพชวี ติ ของผบู้ ริโภคขัน้ สุดท้าย
Three Types of Organizations
1. ทาไว้ล่วงหนา้ ก่อนเหตุการณ์ต่างๆจะเกิด (Those who make things happen)
2. ทาในสิง่ ที่ตอ้ งการใหเ้ กดิ (Those who want things happen)
3. สงสยั ว่าอะไรจะเกดิ ขนึ้ (Those who wonder what happen)
External Marketing Environment
การวิเคราะห์ External Marketing คือการวิเคราะห์ส่ิงแวดล้อมรอบ ๆ ตัว ที่เราไม่มีสิทธ์ิ
ไปควบคุม การวิเคราะห์ Demographic คือกลมุ่ ประชากร เมอื่ เปล่ียน ต้องมกี ารปรบั ตัว
Yold = Young Old คนกลุ่มนี้คือ Baby Boomer ซ่ึงทาให้เกิดธุรกิจท่ีหลากหลาย เช่น โรงพยาบาลสาหรับ
ผู้สูงอายุ สถาบันการศึกษาสาหรับผู้สูงอายุ เป็นต้น และเป็นกลุ่มท่ีมีอิสระทางการเลือกในการซื้อ
แบรนด์ต่างๆ
Service Marketing Mix 7 Ps
(ช่วยสรา้ งคณุ ค่า ในกระบวนการทางาน ข้ันตอนจะต้อง งา่ ย สั้น
และสะดวก อาจจะทาการโดยการใช้เทคโนโลยีช่วยลดข้ันตอนและ
ลดเวลา)
สรุปการเรียนรู้ OSOF VI 41
The New Marketing Concept
การตลาดยุคใหมถ่ อื กุญแจ 3 ดอก คือ
1. Creating (สร้างสรรค)์ คิดไปข้างหนา้ อย่างมีข้อมูลหรอื หลกั การ
2. Delivering (สง่ มอบ)
3. Communicating (ส่ือสาร) บอกกล่าว ประชาสมั พันธ์
The 3i Model
Identify อตั ลักษณ์ ตัวตนตอ้ งชดั ถ้าคนยงั ไม่รู้จกั เราแปลวา่ การสอ่ื สารบางอยา่ งยงั ไปไม่ถงึ
Image สรา้ งภาพลกั ษณ์ท่ดี ี
Integrity มจี รรยาบรรณ ในการทางานต่างๆ บ่งบอกถงึ ความเปน็ มืออาชีพ
The High Performance Business
การตลาดต้องทาให้ลูกค้ามีความรสู้ ึก ดังน้ี
1. Attract ดึงดูดใจ สะดุดตา สะดุดใจ เกดิ ความประทับใจ จดจาได้
2. Satisfy พึงพอใจ สงิ่ ทีไ่ ดเ้ ท่ากับสิง่ ทีค่ าด
3. Retain ทาให้ลูกคา้ เกิดความจงรักภกั ดี รักษาความเปน็ ลูกค้าไว้ และมารบั บรกิ ารซ้า
The Beginning of Value Creation
รจู้ กั ลูกคา้
เขา้ ใจความต้องการของลูกค้า
สรา้ งคุณค่าให้ลูกคา้
Marketing Research
การทาวิจัยทางการตลาดจะทาให้รู้ เข้าใจ ความต้องการ สิ่งที่มีความจาเป็นจริงๆ ต่อลูกค้า เนื่องจาก
ส่ิงรอบๆตัวที่เปล่ียนแปลงไป จะเกี่ยวข้องกับการเลือกซ้ือของลูกค้า การวิจัยที่ดีคือการสังเกต และจดบันทึก
จะทาใหส้ ร้างแบบสอบถามจากจดุ ที่มองเห็น วา่ ทาไมถงึ ตดั สนิ ใจซื้อแบบนน้ั ความตอ้ งการคอื อะไร
Understanding Customers
การเอาใจใส่ลกู คา้ ถือเปน็ กุญแจแห่งความสาเร็จ ตอ้ งมีการทาวจิ ยั เพื่อทาความเขา้ ใจลูกคา้ ว่าอะไรทาให้
คนเตม็ ใจซ้ือ ออกแบบสนิ คา้ ให้ตรงกับความตอ้ งการ
สรุปการเรยี นรู้ OSOF VI 42
Create Values that Customers Need สรา้ งคุณค่าทลี่ กู คา้ ตอ้ งการ
Responsiveness ต้องตอบสนองลูกค้า และเข้าหาลูกค้า
Information provided มขี ้อมูล
Promptness มคี วามรวดเรว็ พร้อมบรกิ าร
Promises kept รักษาสัญญา
Understanding มคี วามเขา้ ใจลูกค้า
Safety ลูกค้ารู้สึกมคี วามปลอดภยั
Follow up มกี ารตดิ ตามผลหลังการขายหรือให้บริการ
No bad surprises ไมม่ กี ารเซอร์ไพรสแ์ บบผิดหวัง
Accuracy มีความถูกต้อง
Communication การสื่อสาร
Accessibility เข้าถึงได้งา่ ย
Help them to save costs ชว่ ยประหยัดค่าใช้จ่าย
Creating Intangible Values
Speed
Convenience
Customization
innovation
service
Value Creation
หมายถงึ การทาสิ่งทส่ี ามารถเพ่มิ คุณค่าใหก้ ับสินค้าหรือบริการเพอ่ื ผู้บริโภค
The Theory Behind
ต้องสรา้ งให้ 3 คน มองเห็นคุณค่ารว่ มกัน เรยี กว่า Core Value
สรปุ การเรยี นรู้ OSOF VI 43
Three Key Words to Maintain Value Creation
3 คาที่สาคัญในการคงสร้างคุณค่า
คือ ความพึงพอใจของเรา ความพึง
พอใจของลูกค้า เพื่อส่งมอบให้
ประชาชนและสังคม
Value Creation Process
Value Creation Needs Internal Marketing
ระบบขา่ วสาร ระบบขอ้ มลู
Brand Builder
สรปุ การเรยี นรู้ OSOF VI 44
Value Creation Strategy
1. การสง่ มอบพันธกจิ สู่ Brand Builder
2. การสง่ มอบคณุ ค่าสู่ประชาชน
3. การส่อื สารคุณค่าสู่ภาคเี ครอื ขา่ ย
4. การสอ่ื สารวิสยั ทัศนส์ ู่ผูม้ สี ว่ นไดส้ ว่ นเสีย
What We Must Focus to Achieve Our Goals
มีวตั ถุประสงค์
มกี ลยทุ ธ์
ม่งุ เน้นกลมุ่ ลกู ค้า
มีการใช้เทคโนโลยีและนวตั กรรม
บคุ ลากรมีความสามารถ
มกี ารสร้างทีม
Performance oriented value
มีฐานขอ้ มลู การวิจยั
มีการสอื่ สารท่ีดี
*สังคมและประชาชนเป็นหวั ใจของธุรกจิ
สรุปการเรยี นรู้ OSOF VI 54
สรุปการเรียนรโู ครงการพัฒนาสมรรถนะผูน าํ
ดานการสงเสริมสุขภาพและอนามยั สิง่ แวดลอม
10 กรกฎาคม 2563
ทกั ษะการสอ่ื สารสขุ ภาพ (Health Communication)
เปนศิลปะและเทคนิคในการสื่อสารเพื่อบอกกลาว โนมนาว จูงใจบุคคลหรือสาธารณชนในประเด็นสุขภาพ
เชน การปองกันโรค การสงเสริมสุขภาพ รวมถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตและสุขภาพของบุคคลภายในชุมชน
ประเด็นสุขภาพมีกวางและหลากหลายประเด็นจําเปนที่จะตองสื่อสารในหลายชองทาง หลายระดับ ซ่ึงกลยุทธของ
การส่ือสารไมใชการสื่อสารเพียงเพื่อบอกกลาวเพียงอยางเดียวแตเปนการสื่อสารใหบุคคลเกิดการเปล่ียนแปลงไป
ในทางทดี่ ีขึ้น
การส่ือสารสุขภาพสามารถทําไดดวยการสรางความรูความเขาใจใหกับผูรับสาร การเปล่ียนแปลง Mindset
การแสดงใหเห็นถึงประโยชนของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือความเช่ือเดิม ทั้งนี้ผูส่ือสารตองมีการวิเคราะห
ขอมูลของผูรับสารเพ่ือใหการส่ือสารมีประสิทธิภาพตรงกับกลุมเปาหมายโดยการสื่อสารสงผลกระทบกับทุกกลุมเร่ิม
ต้งั แตบ คุ คล ขยายไปยังกลุม องคกร ชมุ ชน และสงั คม
ประสิทธิภาพทางการส่อื สาร
การสื่อสารคือการที่มนุษยถายทอดความรู ความคิด หรือประสบการณของตนไปยังบุคคลอื่น การทําใหเกิด
ความเขาใจตรงกัน กลาวคือ มนุษยมีการส่ือสารซึ่งกันและกันก็เพ่ือเขาใจใหตรงกัน และการส่ือสารเปนหัวใจในการ
ดําเนินงานทุกดา น ซง่ึ การส่อื สารมี 5 ประเภท ไดแ ก ภาษาเขยี น ภาษาพูด ภาษาทาทาง ดนตรี สญั ลกั ษณ
☁ การสือ่ สาร มี 2 รูปแบบ ไดแก
1. การสื่อสารทางเดียว เปนการส่ือความหมายไปยังผูรับแตเพียงฝายเดียวโดยที่ผูรับไมสามารถมีการ
ตอบสนองในทันทีใหผูส งทราบได เชน การฟง วิทยุ podcast หรือการดภู าพยนตร
2. การส่ือสารสองทาง เปนการสื่อสารหรือการสื่อความหมายท่ีผูรับอาจจะอยูตอหนากันหรืออาจจะอยู
คนละสถานที่ก็ได แตท้ังสองฝายจะสามารถมีการเจรจาหรือการโตตอบกันไปมาโดยที่ตางฝายตางผลัดกันทําหนาที่
เปน ทง้ั ผสู งและผูรับในเวลาเดยี วกัน เชน การประชุม การแชททางอนิ เตอร ไลน เฟซบุค
☁ องคป ระกอบหลักของการส่อื สาร ไดแ ก
1.ผูสง ผูสื่อสาร หรือตนแหลงของการสง เปนแหลงหรือผูที่นําขาวสารเร่ืองราว แนวความคิด ความรู
ตลอดจนเหตุการณตางๆ เพือ่ สงไปยงั ผรู บั ซึง่ อาจเปน บคุ คลหรอื กลุม ชน
2. เนื้อหาเร่ืองราว ไดแก เน้ือหาของสารหรือเร่ืองราวท่ีสงออกมา เชน ความรู ความคิด ขาวสาร บทเพลง
ขอเขยี น ฯลฯ เพ่อื ใหผ รู ับรบั ขอ มูลเหลา น้ี
3. สื่อหรือชองทางในการนําสาร หมายถึง ตัวกลางที่ชวยถายทอดแนวความคิด เหตุการณ เร่ืองราวตางๆ
ทผี่ สู งตองการใหไปถงึ ผรู บั
4. ผูรับหรือกลุมเปาหมาย ไดแก ผูรับเนื้อหาเร่ืองราวจากแหลงท่ีผูสงสงมา ผูรับนี้อาจเปนบุคคล กลุมชน
หรอื สถาบนั กไ็ ด
สรุปการเรียนรู OSOF VI 46
5. ผล (effect) หมายถึง สิ่งท่ีเกิดข้ึนจากการท่ีผูสงเรื่องราวไปยังผูรับ ผลที่เกิดข้ึนคือ การที่ผูรับอาจมีความ
เขาใจหรือไมรูเรื่อง ยอมรับหรือปฏิเสธ สิ่งเหลานี้เปนผลของการสื่อสาร ท้ังนี้ยอมข้ึนอยูกับทัศนคติของผูรับ ส่ือท่ีใช
และสถานการณในการส่อื สารอกี ดว ย
☁ ปจจัยท่ีสงผลตอการสื่อสาร ไดแก ทัศนคติ ประสบการณ บริบทแวดลอม การรับรู ความรู วัฒนธรรม
ความสามารถในการส่อื สารกบั ผูอ ่ืน
☁ หลักสําคัญเพื่อประสิทธิภาพทางการสื่อสาร คือ ความถูกตองและนาเช่ือถือ (Credibility) ความ
เหมาะสมกับสภาพแวดลอม(Context) และเนือ้ หาสาระ(Content)
☁ เปาหมายการสื่อสารองคก รยุคใหม ไดแ ก
1. เปด โอกาสใหทุกคนทุกกลมุ ในองคก ร ผมู ีสวนไดส ว นเสยี และประชาชนมีสว นรว มในการบริหาร
2. สรางบรรยากาศระหวา งผูส งสารและผรู ับสาร
3. สํารวจและเขาใจ ความคดิ ความรูสกึ พฤติกรรมของคนท่จี ะส่อื สาร
4. ชว ยใหผ ูรวมงานตระหนักในความคิด ความรูส ึก พฤตกิ รรม และปญหาของสว นรวม สงั คมท่ีตนเองประสบ
การส่อื สารยุคดิจิทัล
เปลย่ี นแปลง ตองทราบวา พฤติกรรมการ
วิธีการนาํ เสนอ กลมุ เปา หมาย รับสื่อของ
เนือ้ หาของสื่อให สนใจเรอ่ื งอะไร
ชดั และนา สนใจ ผบู ริโภค 3 Gen
การสอ่ื สาร เปลย่ี นแปลงไป
ยุคดจิ ิทลั
การเปล่ียนแปลง เปนยคุ การใช
ชองทางส่อื จาก มือถอื เปนสือ่ หลกั
แบบเดิมเปน
อยางเต็มตัว
แบบดจิ ิทลั
DIGITAL MEDIA AND HEALTH
คือกระบวนการส่ือสารเชิงกลยุทธท่ีสรางความสัมพันธที่เปนประโยชนตอการสื่อสารสุขภาพ ท่ีจะตอง
เช่ือมโยงความสัมพันธของกลุมคนที่มีสวนไดสวนเสีย (Stakeholder) ไดแก ผูเชี่ยวชาญดานสุขภาพ บุคลากร
ดานสาธารณสุขในทุกระดับเจาหนาท่ี ผูมีสวนเก่ียวของในกิจกรรมสุขภาพในชุมชน องคกร พันธมิตร ส่ือมวลชน,
กลุมผูมีอิทธิพลทางความคิด (influencer) ผานการส่ือสารหลายรูปแบบ ทั้งการประชาสัมพันธแบบดั้งเดิม และ
การส่ือสารผานสื่อดิจิทัลในรูปแบบตาง ๆ โดยนําเสนอเน้ือหา (Content) ที่สรางสรรคและเปนประโยชนตอ
ประเดน็ สขุ ภาพ
สรุปการเรยี นรู OSOF VI 47
สรปุ การเรียนรโู้ ครงการพัฒนาสมรรถนะผ้นู ำ
ดา้ นการส่งเสริมสขุ ภาพและอนามยั สิ่งแวดล้อม
11 กรกฎาคม 2563
❖ การเขยี นโครงการ
▪ โครงสรา้ งของโครงการ ประกอบดว้ ย 14 องค์ประกอบ ดังนี้
1. ช่อื โครงการ : จะต้องสนั้ กระชับไดใ้ จความและทำให้เขา้ ใจภาพรวมของโครงการ
2. หลักการและเหตุผล : ระบุความสำคัญของโครงการตามหลักการและทฤษฎี และเหตุผล
ความจำเป็นที่ต้องดำเนินการตามโครงการนี้ โดยชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้น และสาเหตุของปัญหา
สถานการณ์ หรืออาจจะระบุสิง่ ทีค่ าดหวังว่าจะเกิดข้ึนอนั เน่ืองมาจากความสำเร็จของโครงการ
โดยเน้ือหาไมค่ วรยาวเกินไป (ไมค่ วรเกนิ 1 หน้ากระดาษ A4)
3. วัตถุประสงค์ : ควรเขียนให้อยู่ในรูปการลดหรือขจัดปัญหาหรือพัฒนาสิ่งที่ต้องการเพิ่มขึ้น
ไม่จำเป็นต้องเขียนวัตถุประสงค์หลายข้อเพราะจำนวนข้อของวัตถุประสงค์ไม่ได้แสดงถึงความมีคุณภาพ
ของโครงการแต่อย่างใดบางครั้งเขียนเกนิ จริงซ่ึงเม่ือประเมินโครงการก็ไม่มีทางสำเรจ็ ได้ ฉะนัน้ ต้อง
ระบุให้ชัดเจน รัดกุม และสามารถปฏิบัติได้จริง การเขียนวัตถุประสงค์ต้องครอบคลุมเหตุผลที่
จะทำโครงการ โดยจดั ลำดับแยกเป็นขอ้ ๆ เพอื่ ความเข้าใจง่าย และชดั เจน
โดยวัตถปุ ระสงค์ท่วั ไปเพ่ือแก้ปัญหา และวตั ถปุ ระสงคเ์ ฉพาะเพอ่ื แก้สาเหตุ
4. กิจกรรมการดำเนินงาน : บอกรายละเอียดวิธีดำเนินการโครงการ ซึ่งเป็นส่วนที่ระบุถึงขั้นตอน
ที่แสดงถึงรายละเอยี ด แนวทาง กลยทุ ธ์และวิธกี ารทจ่ี ะทำในการดำเนินโครงการน้นั ๆ ซึ่งจะต้อง
ชี้แจงรายละเอียดว่าจะทำอะไร อย่างไรเพียงใด และปฏิบัติด้วยวิธีการใดจึงจะสามารถบรรลุ
วัตถปุ ระสงคแ์ ละเป้าหมายท่ีกำหนดไว้ไดภ้ ายในระยะเวลาที่กำหนด
5. ระยะเวลา : เป็นการระบุระยะเวลาตัง้ แต่เริ่มตน้ โครงการจนกระท่ังสิ้นสดุ โครงการโดยระบุเวลา
ทใ่ี ช้เรมิ่ ต้นตงั้ แต่ วัน เดือน ปี และส้นิ สุด หรือแล้วเสรจ็ ใน วัน เดอื น ปีอะไร ท่ชี ดั เจน
6. สถานที่ดำเนินการ : คือสถานที่ บริเวณ พื้นที่ อาคาร ที่ใช้จัดกิจกรรมตามโครงการ กรณีเป็น
การจัดประชุมในสถานที่ของเอกชน เช่น โรงแรม รีสอร์ท ศูนย์ประชุม ฯ ให้ระบุเหตุผลความ
จำเป็นในการใช้สถานทดี่ ังกลา่ วไว้ดว้ ย
7. กลุ่มเปา้ หมาย : ผทู้ ไี่ ด้รบั ผลประโยชน์โดยตรงจากการทำกิจกรรมหลัก
8. งบประมาณ : หรือค่าใช้จา่ ยการดำเนินงานตามโครงการต้องใช้งบประมาณหรือค่าใชจ้ า่ ยที่ระบุ
ถึงจำนวนเงิน จำนวนวัสดุ ครุภัณฑ์ หรือจำนวนบุคคล และปัจจัยอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อการ
สรปุ การเรยี นรู้ OSOF VI 48
ดำเนินการ สำหรับงบประมาณ ควรระบุให้ชดั เจนว่ามีค่าใช้จ่ายอะไรบา้ งเป็นขอ้ ๆพรอ้ มท้ังระบุ
แหล่งที่มาของงบประมาณท่ีสนบั สนนุ
9. การบริหารความเสย่ี ง :
10. การประเมินผล : เปน็ การประเมินผลการดำเนินงานตามโครงการ ซงึ่ ต้องระบวุ ธิ กี ารประเมินผล
ให้ชัดเจนว่าจะประเมินโดยวิธีใด อาจเขียนเป็นข้อ ๆ หรือเขียนรวม ๆ กันก็ได้ เช่น จากการ
สงั เกต จากการตอบแบบสอบถาม พร้อมกบั ใสต่ วั ชวี้ ัดความสำเร็จของโครงการดว้ ย
11. ตวั ชีว้ ัดความสำเร็จ
12. ผู้รบั ผิดชอบโครงการ : ผ้จู ัดทำโครงการ หนว่ ยท่ีเสนอดำเนินการจดั ทำโครงการ
13. ผลที่คาดว่าจะได้รับ : บอกประโยชน์ที่จะเกิดขึน้ เมื่อโครงการสำเร็จตามวัตถุประสงค์ โดยระบุว่า
ใครจะได้รับประโยชน์อย่างไร มากน้อยเพียงใด มีผลเชิงบวกอย่างไรบ้าง กล่าวถึงผลประโยชน์ท่ี
พึงจะได้รับจากความสำเร็จของโครงการ เป็นการคาดคะเนผลที่จะได้รับเมื่อสิ้นสุดการปฏิบัติ
โครงการ ซงึ่ ผลทไี่ ดร้ บั ตอ้ งเปน็ ไปในทางทีด่ ี ท้งั เชิงปริมาณ และคุณภาพ
14. ภาคผนวก
หลักศลิ าการมองเชงิ ระบบ
สามารถนำมาใช้ในการนำเสนอโครงการโดยจะช่วยให้เรามีมุมมองเชิงระบบ และนำหลักการดังกล่าว
มาใช้ในการนำเสนอโครงการ ดังนี้
1. WHAT : ปญั หาเกิดจากอะไร ปจั จัยกำหนดสขุ ภาพ Determinant of health จะเปน็ ตัวบอกวา่ จะตอ้ งทำอะไร 49
2. HOW : เราจะดำเนนิ การแก้ไขปัญหาอยา่ งไร จะแกไ้ ขปัญหาท่ี level ไหน โดยใช้หลัก OTTAWA
3. WHO : จะดำเนนิ การกบั ใครในแต่ละระดับ
4. WHY : ทำไมตอ้ งทำ/แกไ้ ขปญั หาสขุ ภาพนัน้ ถา้ ไมท่ ำจะเกิดอะไรข้นึ
สรุปการเรียนรู้ OSOF VI
สรุปการเรียนรโู้ ครงการพัฒนาสมรรถนะผูน้ ำ
ดา้ นการส่งเสริมสขุ ภาพและอนามัยสิง่ แวดล้อม
12 กรกฎาคม 2563
จดุ แขง็ - จดุ อ่อน - สง่ิ ทค่ี วรปรับปรุง ของ OSOF6
❖ จุดแขง็
1. มกี ารทบทวนวรรณกรรมและมขี ้อมูลปรมิ าณมาก และมีความหลากหลาย
2. มคี วามมนั่ ใจในการนำเสนอข้อมูล
3. มคี วามม่งุ มนั่ ตงั้ ใจ ในการแก้ไขปัญหาตามคำแนะนำ พรอ้ มเรยี นรู้
4. มคี วามพยายามในการพัฒนาสิง่ ใหม่
5. เริม่ มองภาพไปในทิศทางเดยี วกัน
6. การทำงานเป็นทมี
7. มผี ูใ้ ห้คำแนะนำ/อาจารย์ทป่ี รึกษามีความรคู้ วามสามารถและประสบการณ์
8. มีเครื่องมือสนับสนนุ การทำงาน
9. ทันเวลา
10. ชุดโครงการครอบคลมุ ปญั หา
11. สมาชกิ มีความหลากหลาย ทั้งอาชีพ และประสบการณ์ ทำให้มคี วามคิดหลาย ๆ ด้าน
❖ จุดอ่อน
1. ขาดการสงั เคราะห์ความเชือ่ มโยง
2. Intervention ยงั ไมส่ ะดดุ ตาสะดดุ ใจ (วา๊ ววว)
3. กลุ่มเป้าหมายยังไม่ชัดเจน ขาดการใช้ persona มาเป็นตัวกำหนด
4. รปู แบบการนำเสนอไมน่ ่าสนใจ ไม่เห็นภาพรวมของเร่ืองทีจ่ ะดำเนนิ การ รวมถึงสไลด์ และบคุ ลิก
5. ยังยืดติดการทำงานแบบเดิม ๆ (เคยชนิ )
6. หาข้อมูลของ stakeholder ไม่เพยี งพอ
7. การทบทวนวรรณกรรมส่วนมากเปน็ ภายในประเทศ ทำให้มมุ มองยังไมก่ วา้ ง
8. การหาข้อมลู Intervention ทเ่ี คยดำเนินการแลว้ ไมเ่ พียงพอ บางโครงการทำ Intervention เดมิ ซำ้
9. ขาดการประเมนิ ผล
สรปุ การเรียนรู้ OSOF VI 50