The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by wonchai890, 2022-01-05 01:32:47

หนังสือ การภาวนาที่ถูกต้อง

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

นอ้ มถวายเปน็ อาจรยิ บชู า

พระธรรมวิสทุ ธมิ งคล (หลวงตามหาบวั ญาณสมั ปนั โน)
วัดป่าบา้ นตาด อำ�เภอเมอื ง จงั หวัดอดุ รธานี

ค�ำน�ำ

“มรรคผลนิพพานอยู่กับภาคปฏิบัติ ไม่ได้อยู่กับต�ำรับต�ำรา
ไม่ได้อยู่กับดินฟ้าอากาศ ไม่ได้อยู่กับกาลสถานท่ีเวล่�ำเวลาท่ีไหน
อยู่ท่ใี จของเรา”

หลวงตามหาบวั ญาณสมั ปนั โน ไดเ้ ทศนส์ อนสานศุ ษิ ยเ์ กย่ี วกบั
การภาวนาไวโ้ ดยละเอยี ด เพราะการจะเดนิ ทางไปสจู่ ดุ หมายปลายทาง
คอื พระนพิ พานได้ หมายถงึ ตอ้ งเขา้ ใจในหลกั การเบอ้ื งตน้ กอ่ น แลว้ ใจ
ทไี่ ดร้ บั การอบรมดแี ลว้ ยอ่ มเป็นไปเพ่ือธรรมที่ละเอียดสขุ ุมตอ่ ไป

คณะศษิ ย์ผู้จัดพิมพ์เหน็ วา่ “การภาวนาทีถ่ กู ตอ้ ง” เป็นธรรมะ
ที่จะท�ำให้ผู้สนใจด้านจิตตภาวนาได้รับประโยชน์ในการปฏิบัติตาม
แนวทางแห่งธรรม จักไม่ท�ำให้เป็นผู้เนิ่นช้าในการเดินทางสู่มรรค
ผล นพิ พาน

พมิ พแ์ จกเปน็ ธรรมบรรณาการ ห้ามจ�ำหน่าย

พิมพ์ครงั้ ที่ ๓ : กรกฎาคม ๒๕๖๓
พิมพ์ที่ : บรษิ ทั ศลิ ปส์ ยามบรรจภุ ณั ฑแ์ ละการพิมพ์ จำ� กดั
๖๑ ซอยเพชรเกษม ๖๙ ถนนเลยี บคลองภาษเี จริญฝั่งเหนือ
เขตหนองแขม กรุงเทพฯ ๑๐๑๖๐
โทร. ๐-๒๔๔๔-๓๓๕๑-๒ e-mail: [email protected]

สารบัญ

ธรรมะพน้ื ฐานเพือ่ ความสูงสดุ แห่งธรรม ๑
การภาวนาท่ถี กู ตอ้ ง ๑๕
เดินตามหลกั ธรรมดว้ ยอรยิ สัจ ๒๓
สตกิ ับจิตอย่าไดห้ ่างกนั ๓๗
ภมู ใิ จทุกขเ์ พราะความเพียร ๔๗

มโนปุพพฺ งคฺ มา ธมฺมา.
ธรรมทงั้ หลาย มีใจเปน็ หวั หน้า.

ขุ.ธ. ๒๕/๑๕.

ธรรมะพื้นฐาน
เพื่อความสูงสุดแห่งธรรม

เทศน์ ณ วดั แพร่ธรรมาราม อ.เมอื ง จ.แพร่ เมอื่ วันที่ ๗ กรกฎาคม พทุ ธศักราช ๒๕๔๕

1

วันนเี้ ปน็ โอกาสที่เหมาะสมส�ำหรับเราทัง้ หลาย ทงั้ พระ ทั้งประชาชน ไม่มงี านอันใดเข้า
มาเกย่ี วข้อง มงี านเฉพาะการฟังเทศนอ์ บรมจติ ใจโดยเฉพาะ เบอ้ื งต้นได้กลา่ วแลว้ วา่ ใหต้ ง้ั สติ
ไวท้ ี่จติ ในขณะเทศน์ ไมต่ ้องส่งออกไปนอก เช่น ไปหาผ้เู ทศนเ์ ป็นต้น ใหต้ ้งั ไวท้ ่จี ิตของเราน้ี
เรียกวา่ สติเฝ้าบ้าน จติ น่นั แหละเปน็ บ้าน เวลาท่านเทศน์ไปจะเห็นผลประจกั ษ์ ดังท่านแสดง
ไวใ้ นธรรมว่าการฟังเทศนม์ อี านิสงส์ถึง ๕ อยา่ ง

ข้อท่ี ๑. วา่ จะได้ยนิ ไดฟ้ งั ส่งิ ท่ยี งั ไม่เคยได้ยนิ ได้ฟงั

ข้อท่ี ๒. สิ่งใดทีเ่ คยได้ยินไดฟ้ ังแล้วแต่ยงั ไม่เข้าใจชดั จะเข้าใจแจ่มแจ้งชัดขึน้

ข้อท่ี ๓. จะบรรเทาความสงสยั เสียได้

ขอ้ ที่ ๔. จะท�ำความเห็นให้ถูกตอ้ งได้

ขอ้ ที่ ๕. เปน็ ข้อส�ำคญั จติ ผ้ฟู งั ย่อมสงบผอ่ งใส นเี่ กิดข้นึ จากขณะฟงั เทศน์ จติ เมื่อ
ไม่สง่ ออกข้างนอกยอ่ มสงบ เมอ่ื สงบย่อมผอ่ งใส

นเี่ ปน็ คุณสมบตั ิประจำ� ผู้ท่ีฟังเทศนด์ ้วยความต้ังใจจรงิ ๆ ผลจะปรากฏอย่างนั้น จติ สงบ
ผ่องใสน่ีสำ� คัญ ถ้าสงบแลว้ กผ็ อ่ งใส คราวนกี้ ็ฟัง คราวนกี้ ็สงบคราวนก้ี ็ผอ่ งใส ขดั เกลาทกุ วัน
ที่ไดย้ ินไดฟ้ ังธรรมจากทา่ น แล้วก็เปน็ ความสงบมากข้ึนๆ เพ่ิมก�ำลังแห่งความสงบมากข้ึน
ความผอ่ งใสกเ็ พมิ่ ไปตามๆ กนั จติ เมอื่ ผอ่ งใสแลว้ ยอ่ มมคี วามสว่างไสวขน้ึ ภายในใจตวั เอง น่ี
คอื อานสิ งสก์ ารฟังเทศน์ มี ๕ ประการดงั ท่ีอธบิ ายมาน้ี

การเทศนท์ างภาคปริยัติกับภาคปฏิบัติไมเ่ หมือนกัน ทางภาคปริยัติจิตจะ
วิ่งออกสู่คัมภีรใ์ บลานท่ตี นไดศ้ ึกษาเลา่ เรยี นมา ไมเ่ ข้าภายใน การเทศนา
ว่าการทางภาคปริยัติจิตจะสง่ ออกนอกว่ิงหาคัมภีร์ใบลาน ผิดกันกับภาค
ปฏิบัติ ส่วนภาคปฏิบัตินี้จิตจะหมุนเข้าภายใน เทศน์ออกมาจากภายในที่
ตนได้ปฏิบัติและรู้เหน็ มามากน้อยซึ่งปรากฏอยูก่ บั ใจของเรา ขณะทีเ่ ทศน์
เราผูเ้ ทศนน์ ้ันจะออกมาจากใจล้วนๆ ไม่ออกสูค่ ัมภีรใ์ บลาน นี่หมายถึงผู้
ปฏบิ ัตทิ ไ่ี ดร้ ับผลจากการปฏบิ ตั ิมาเป็นลำ� ดับล�ำดา นับต้ังแตข่ ้ันความสงบ
และสมาธิจนกระทั่งถึงปญั ญาขั้นต่างๆ จะออกจากใจน้ีทั้งนั้น ไม่ออกไป
ตามคมั ภีรใ์ บลาน

ถา้ ปฏบิ ตั ไิ ด้ผลอยา่ งนแ้ี ลว้ การเทศนจ์ ะขนึ้ จากใจทงั้ หมด แตถ่ ้ายงั ไม่ได้ผลทางภาคปฏบิ ตั ิ
จิตมันก็วิ่งหาต�ำราเองน้ันแหละ ว่ิงออกสูต่ �ำราน้ันต�ำราน้ีไปอย่างน้ัน เพราะยังไมไ่ ดต้ ้นทุน

2

ภายในกไ็ ม่มอี ะไรจะเทศนอ์ อกมาได้ ทนี เี้ มอ่ื เวลาปรากฏผลขน้ึ ภายในจติ นบั แตค่ วามสงบขน้ึ ๑ ธรรมะพน้ื ฐาน
ไปก้าวเขา้ สสู่ มาธิ การเทศนาวา่ การจะออกจากใจลว้ นๆ ยง่ิ กา้ วเข้าสปู่ ญั ญา วชิ ชาวมิ ตุ ตหิ ลดุ
พ้นไปเลยนั้นออกจากใจร้อยเปอรเ์ ซน็ ต์ ไมอ่ อกจากไหน ใหพ้ ากนั จำ� เอาไว้ เพ่อื ความสูงสดุ แห่งธรรม

สำ� หรบั พระปฏบิ ตั เิ ราวนั นร้ี ้สู กึ วา่ หนาหน้าหนาตา เรามคี วามยนิ ดเี หน็ พระลกู พระหลาน ๒ การภาวนา
อตุ สา่ ห์พยายามมาไกลแสนไกล ทางเชยี งใหมก่ ็มา อุตรดิตถท์ างโนน้ กม็ าซึ่งเปน็ ทางไกลเอา
มาก แต่ความอุตสา่ หพ์ ยายามนี้มีคุณค่ามากกว่า พอไดย้ ินว่าครูบาอาจารย์จะมา ก็ตั้งหน้า ท่ีถูกต้อง
ต้ังตามาศึกษาอบรมเพื่อไดย้ ินได้ฟังการประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัย ธุดงควัตร
ตา่ งๆ จะได้เปน็ ประโยชนจ์ ากการไดย้ ินไดฟ้ งั แล้วน�ำไปประพฤติปฏิบัติ ผลจะพึงปรากฏขึน้ ท่ี
ใจของเราด้วยกนั

การฟังเทศน์จากครจู ากอาจารยท์ ท่ี ่านร้ทู า่ นเหน็ ท่านเป็นมาก่อนเราแล้วเป็นความ ๓ เดนิ ตามหลักธรรม
สะดวกทกุ อยา่ ง เพราะทา่ นเบกิ ทางทถี่ กู ตอ้ งแมน่ ยำ� ใหเ้ รยี บรอ้ ยแลว้ ตรองไปตามทไ่ี หน
กถ็ กู ตอ้ งไปหมด ไม่เหมอื นการเทศน์ดน้ เทศน์เดาทตี่ นเองกไ็ มร่ ู้ เทศน์ส่มุ สส่ี ่มุ หา้ ไปผฟู้ งั ด้วยอริยสัจ
กไ็ ม่สนทิ ใจ ผลกไ็ ม่ได้รับเท่าทคี่ วร เพราะฉะนนั้ เม่ือเห็นครูอาจารยม์ า อยากไดย้ ินไดฟ้ ังก็
ต่างทา่ นตา่ งอตุ สา่ ห์พยายามมา

ส�ำหรับหลวงตาเองเห็นใจบรรดาพระลูกพระหลานเพราะเราได้เคยปฏิบัติมาก่อนแล้ว ๔ สติกับจิต
ครูบาอาจารย์นี้เปน็ เขม็ ทิศทางเดนิ อยา่ งเอกทีเดียว ถ้าการปฏบิ ตั โิ ดยล�ำพังตนเอง ไม่มีครูมี
อาจารย์คอยแนะน�ำส่ังสอนยอ่ มจะผิดจะพลาดและก�ำลังใจไม่ค่อยมี เม่ือไดย้ ินได้ฟังจากครู อย่าไดห้ ่างกัน
อาจารยส์ ดๆ ร้อนๆ แล้ว ใจกม็ กี �ำลังข้ึน ในขน้ั เริ่มแรกก็เป็นความสงบเย็นใจภายในตวั เรา
เอง จากน้นั กเ็ ปน็ กำ� ลังใจทจ่ี ะหมายม่นั ปัน้ มอื ตอ่ มรรคต่อผลจากการปฏิบตั ิของตนโดยแท้ น่ี
ละการไดย้ นิ ไดฟ้ งั จากครจู ากอาจารยเ์ ป็นอยา่ งน้ี สำ� หรบั ผมเองทไ่ี ดม้ าแนะนำ� สงั่ สอนพระลกู
พระหลานอยู่น้ี ก็ถือหลวงปูม่ ั่นเป็นหัวใจเป็นชีวิตจิตใจจริงๆ เวลาฟงั ท่านแล้วเหมือนวา่
นพิ พานอยู่ช่วั เอ้ือมๆ คอื จิตใจมันมีกำ� ลังมาก ผลปรากฏในขณะทีฟ่ ังนั้นก็เต็มหวั ใจๆ ทุกระ
ยะๆ ไป นีล่ ะการได้ยินไดฟ้ ังจงึ เปน็ ความส�ำคญั อย่มู ากทีเดียว

การฝึกหัดภาวนาทา่ นผู้ปฏิบัติอยากเห็นผลประจักษ์ในตัวเอง ขอให้ตั้งใจ ๕ ภมู ิใจทุกข์
ดว้ ยดตี อ่ การภาวนาของตน อย่าเหน็ สง่ิ ใดในโลกนวี้ ่าเปน็ ของดบิ ของดขี อง
สวยของงามอนั เป็นเหตทุ จ่ี ะหลอกลวงใหจ้ ติ ดนิ้ รนกระวนกระวายไปกบั สงิ่ เพราะความเพียร
เหล่านน้ั แล้วขาดการภาวนา ขาดความตัง้ ใจ ถา้ ขาดความต้งั ใจแลว้ สติก็
ต้องขาดไปตามๆ กัน เดินจงกรมกลับไปกลับมาก่ีตลบก็ไม่เกิดประโยชน์
เพราะสตไิ ม่อย่กู บั ตวั นงั่ ภาวนาก็นั่งเถ่ออยู่ภายในทน่ี ัง่ เพราะสติไมม่ ี ก็ไม่
เกิดประโยชน์อะไร ท�ำอะไรในอิริยาบถต่างๆ ท่ีตนเข้าใจว่าภาวนานั้นก็

3

กลายเปน็ ความเหลวไหลไปหมดเมือ่ ขาดสตเิ สียอย่างเดียวเท่าน้นั เพราะ
ฉะนนั้ ขอใหท้ ุกทา่ นถือสตเิ ป็นส�ำคญั

เร่ิมตน้ ต้ังแต่เราฝึกหัดภาวนาที่จิตยังไม่ไดห้ ลักไดเ้ กณฑ์ ไมม่ ีความสงบ
เยอื กเยน็ เลย กข็ อให้ตงั้ สติ แลว้ นำ� คำ� บรกิ รรมเขา้ มาเป็นเครอื่ งเกาะเครอ่ื ง
ยดึ ของใจ เชน่ พทุ โธ หรอื ธมั โม หรอื สงั โฆ หรอื อานาปานสติ มรณสติ ตาม
แต่อารมณแ์ หง่ ธรรมใดท่เี ราชอบตามจริตนสิ ัยของเรา ให้น�ำค�ำบริกรรมท่ี
ตนชอบนั้นเข้ามากำ� กับกับใจของเรา แลว้ ตั้งสติใหต้ ิดแนบกับคำ� บริกรรม
ไม่ให้หวน่ั ไหวโยกคลอนไปกบั อารมณใ์ ดๆ ทง้ั ส้นิ ใหม้ ีงานอันเดียว คอื สติ
กบั คำ� บรกิ รรมทำ� งานกลมกลนื กนั อย่ภู ายในใจ ไมต่ ้องไปสนใจกบั เช้า สาย
บ่าย เยน็ ให้สนใจอยกู่ บั จติ ทค่ี วบคมุ ด้วยสตไิ ม่ใหเ้ ผลอกนั ใหอ้ ยทู่ น่ี น้ั ตลอด
ไป อย่าท�ำให้เปน็ วรรคเปน็ ตอน ถา้ อยากจะเหน็ ผลประจกั ษ์ในการภาวนา
ของตวั จริงๆ และตั้งหลกั ฐานมัน่ คงขึน้ ไดจ้ ากค�ำบริกรรมจริงๆ แล้ว ใหม้ ี
สตกิ �ำกบั คำ� บรกิ รรม อยา่ เผลอไผลไปไหน การยืน การเดนิ ยนื ได้ เดนิ ได้
ไปได้ มาได้ การเคล่ือนไหวไปมาที่ไหนเคล่ือนได้ แต่สติไม่เคล่ือนจากค�ำ
บริกรรม ไมย่ อมเผลอไปไหนเลย นเี่ รยี กวา่ เอาจรงิ เอาจงั แล้วยังไงเราจะ
ต้องได้ปรากฏเห็นความสงบข้ึนท่ีใจของเราจากการภาวนาที่ควบคุมดว้ ย
ค�ำบริกรรม และบังคับด้วยสติไม่ให้เผลอน้ี เป็นความจริงแน่นอนท่ีเราจะ
ได้รบั ในวันหนึง่ ๆ ตอ่ ไป นีค่ อื การภาวนาทีจ่ ะต้งั หลักต้ังฐานได้

การคาดการเดาอย่าเอาเขา้ มาหมายกับค�ำภาวนาของเรา จะไม่เกิดผลเกิด
ประโยชน์อันใดทง้ั สิ้น ใหต้ ้ังจติ ลงทีก่ ลา่ วนี้ เช่น เราบริกรรม เรายกมาเพยี งเอกเทศ ให้นำ�
ไปปฏิบัติตามจริตนิสัยของตนตามค�ำบริกรรมที่ตนชอบใจก็แลว้ กัน เชน่ เราก�ำหนดพุทโธๆ
ค�ำว่าพุทโธกับสตินี้ให้มีความรูส้ ึกกันอยู่ตลอดเวลา จะเป็นเหมือนคนติดคุกติดตะรางก็ตาม
เพราะมันอัดอ้ันตันใจ เน่ืองจากใจท่ีเคยคิดเคยปรุงมาต้ังแต่ไหนแตไ่ ร เรียกว่าปล่อยตัวมา
ตลอด ไมม่ สี งิ่ ใดมาควบคมุ เมอ่ื ไดเ้ ขา้ สทู่ คี่ วบคมุ ด้วยการภาวนาซงึ่ กำ� หนดด้วยสตอิ ยา่ งแนน่
หนามนั่ คงไมเ่ ผลอแลว้ จติ ยอ่ มดดี ยอ่ มดน้ิ อยากคดิ นน้ั อยากปรงุ นี้ ความอยากเหลา่ นนั้ ให้พงึ
เขา้ ใจในทนั ทที นั ใดนนั้ วา่ นน้ั คอื กิเลสผลกั ดนั ออกไปเพอื่ ใหค้ ดิ ตามความตอ้ งการของมนั เชน่
คิดเรื่องรูป เร่ืองเสียง เรือ่ งกล่ิน เร่อื งรส เร่ืองอดตี อนาคตไปตา่ งๆ นานา น้ลี ้วนแลว้ ต้ังแตจ่ ิต
ท่ีมันคิดไปตามอ�ำนาจของกิเลสฉุดลากไป เราใหห้ ักห้ามน้ีให้แข็งแรงม่ันคง ถึงจะอึดอัดใจ
ขนาดไหนก็อยา่ ปล่อยอยา่ วาง ถา้ ว่าอดึ อัดมันจะหาทางผอ่ นคลายไปนะ ผอ่ นคลายยงั ไง มนั
จะปลอ่ ยไปตามความอยากคดิ ทนี พี้ อจติ ออกทางความอยากคดิ ได้แล้วมนั กค็ ดิ เตลดิ เปดิ เปงิ
ครงั้ นเ้ี สยี ไปแลว้ ครงั้ ตอ่ ไปกอ็ ยากคดิ อย่างเดมิ แลว้ กค็ ดิ ไปอกี ตามเดมิ ผลสดุ ทา้ ยคำ� บรกิ รรม

4

กับสติกไ็ มค่ อ่ ยเกิดประโยชนแ์ ละไม่เกิดประโยชน์แก่ผภู้ าวนาเลย ๑ ธรรมะพน้ื ฐาน

ขอใหท้ กุ ๆ ทา่ นจบั ให้มนั่ คง อนั นผี้ มเคยดำ� เนนิ มาแล้ว ได้ผลเป็นทพ่ี อใจ จงึ ได้นำ� วธิ กี าร เพ่อื ความสูงสดุ แห่งธรรม
นี้มาสอนทา่ นทั้งหลาย เบ้อื งตน้ กจ็ ิตเสอ่ื ม แล้วเบอ้ื งตน้ จรงิ ๆ ภาวนานจ้ี ติ สงบเปน็ สมาธแิ น่น
หนามนั่ คงเหมอื นหนิ ทง้ั แท่ง จงึ ลมื ตวั ว่าจติ นจ้ี ะไม่เสอ่ื มทรามลงไปไหนเพราะเราไม่เคยปฏบิ ตั ิ ๒ การภาวนา
ไมเ่ คยรู้ไม่เคยเห็นไมเ่ คย และไมเ่ คยรักษาจิตประเภทน้ีมาก่อนเพราะไมเ่ คยปรากฏ เมื่อ
ปรากฏแล้วก็ท�ำให้นอนใจ นึกวา่ จะไม่เส่ือมไปได้ แลว้ ก็หา่ งเหินจากการภาวนาที่แนน่ หนา ท่ีถูกต้อง
มน่ั คงของตน ครน้ั ต่อไปจติ กย็ ิบแย็บๆ ภาวนาเข้าสงบได้บ้างเขา้ ไม่ไดบ้ า้ ง เพยี งเทา่ น้ันเป็น
เหตุ เรากร็ ีบออกปฏิบัติอย่างเขม้ แขง็ ต่อไป ผลไดม้ ากม็ แี ต่ความเจริญข้ึนไปแลว้ สองสามวัน ๓ เดนิ ตามหลักธรรม
แล้วเส่ือมลงมา สองสามวนั เสอ่ื มลงมา พยายามดงึ ข้ึนไปตงั้ ๑๔-๑๕ วนั แทบเป็นแทบตาย
แลว้ กเ็ สอ่ื มลงมาเป็นอย่อู ยา่ งนเ้ี ปน็ เวลาหนง่ึ ปีกว่าๆ นล่ี ะทวี่ า่ บวชในพทุ ธศาสนานเี้ ราไม่เคย ด้วยอริยสัจ
ไดร้ บั ความทกุ ข์ความทรมานใจ ความร่มุ รอ้ นจติ ใจในคราวใด มากยง่ิ กวา่ คราวทจี่ ติ เสอ่ื มจาก
สมาธิ จติ เสอ่ื มจากสมาธแิ ลว้ มนั เหมอื นไฟทเี่ ผาหวั อก เหมอื นไฟไหมก้ องแกลบนนั้ แหละ มนั ๔ สติกับจิต
สมุ อยภู่ ายใน ไปทไ่ี หนหาความสะดวกสบายไม่ได้ เดอื ดร้อนภายในตวั เอง จงึ เรยี กว่าเป็นทกุ ข์
แสนสาหสั ในเวลาจติ เสอื่ มอยปู่ ระมาณปีกว่า จงึ ได้หาอบุ ายวธิ กี ารต่างๆ เขา้ มาแกไ้ ขกนั แล้ว อย่าไดห้ ่างกัน
สุดท้ายก็เอาคำ� บรกิ รรม เพราะแต่กอ่ นเราเคยก�ำหนดจิตของเราทีม่ ีสมาธแิ นน่ หนาม่ันคงนนั้
เป็นอารมณข์ องใจ คร้ันเวลาจติ เสื่อมลงไปแลว้ เรากจ็ ะนึกอยา่ งนั้นให้เปน็ อารมณข์ องใจ มัน ๕ ภมู ิใจทุกข์
ก็ไมม่ ีสมาธใิ ดพอท่ีจะใหเ้ กาะเป็นอารมณ์ของใจได้ ใจกไ็ มไ่ ดห้ ลักได้เกณฑ์ๆ พยายามตง้ั สติ
แลว้ มนั กเ็ ผลอไปจนได้นนั้ แหละ จนกระทง่ั ไดห้ วนกลบั คนื มาคดิ ยอ้ นหนา้ ย้อนหลงั สงสยั ตนเอง เพราะความเพียร
อาจจะขาดคำ� บรกิ รรมไมต่ ดิ แนบกบั ใจ ใจจงึ ได้เสอ่ื มใหเ้ หน็ ตอ่ หน้าต่อตาจากนนั้ มากต็ งั้ ความ
สัตย์ความจริง ตั้งแต่น้ีตอ่ ไปเราจะใชค้ �ำบริกรรมติดแนบกับใจไมย่ อมใหพ้ รากไปจากใจเป็น
อนั ขาด ตัง้ แต่บดั นีต้ อ่ ไปจิตใจของเราจะเส่อื มกด็ ี จะเจรญิ ก็ดี จะไมเ่ ปน็ อารมณ์กบั มนั เพราะ
มนั เคยสร้างกองทกุ ข์ใหเ้ ราแล้ว เสอ่ื มไปอยากให้เจรญิ เท่าไรกม็ แี ตค่ วามอยาก แต่มนั กเ็ สอ่ื ม
ให้เห็นต่อหน้าต่อตา สร้างทุกขข์ ้ึนมาภายในจิตใจอยูอ่ ยา่ งน้ีเป็นประจำ� บัดน้ีจะไมส่ นใจกับ
ความเสอ่ื มของใจกด็ ี ความเจรญิ ของใจกด็ ี จะไม่มาถอื เปน็ อารมณใ์ ห้เกิดความทกุ ข์อกี ต่อไป
แตค่ �ำบริกรรมกับสติน้ีจะใหต้ ิดแนบกัน ค�ำว่าสติกับค�ำบริกรรมนี้จะไม่ใหเ้ สื่อม ใหต้ ิดกันไป
ตลอด อะไรจะเส่อื มกใ็ ห้เส่ือมไป อะไรเจริญก็เจริญไป แต่จะไมป่ ล่อยค�ำบริกรรมคอื พุทโธๆ
ติดแนบกับสติไปตลอด บงั คบั บัญชา มนั อยากคิดอยากปรงุ ไปที่ไหน บงั คบั เหมอื นคนติดคกุ
ตดิ ตะรางนนั้ แล เวลาจติ มนั ดนิ้ รนกระวนกระวายอยากสง่ ออกไปคดิ เรอ่ื งนน้ั เรอ่ื งนต้ี ามความ
ชอบใจของมันเหมอื นแตก่ ่อน แต่เราบังคบั ไว้ไม่ให้คดิ เอา้ หนักกเ็ อา ไม่ยอมใหเ้ ผลอไปคิด
จนได้ บบี บ้สี ีไฟอยนู่ ้นั จะเปน็ จะตายกใ็ หม้ ันตายกับค�ำบริกรรมดว้ ยสตินี้ ไม่ใหต้ ายด้วยแบบ
อนื่ ต้ังหน้าต้งั ตา

5

นี่ละเราจึงได้เห็นอารมณข์ องใจคืออารมณ์ของกิเลส เวลามันมีมากๆ แลว้ มันผลักมัน
ดนั จติ ใจเหมอื นหนงึ่ วา่ อกจะแตก มนั อยากคดิ อยากปรงุ แตอ่ นั หนง่ึ กบ็ งั คบั กนั อยา่ งแน่นหนา
มั่นคง บีบบังคับไวไ้ ม่ให้คิด ให้คิดแตค่ ำ� ว่า พทุ โธๆ กบั สติอยา่ งเดยี ว บีบไวก้ ไ็ มน่ าน ต่อไป
อารมณ์ที่มันผลักมันดนั อย่างรนุ แรงน้ันกค็ อ่ ยอ่อนตวั ลงๆ การฝึกจิตดว้ ยค�ำบริกรรมนีก้ ็หนา
แน่นข้นึ เรอ่ื ยๆ แลว้ เบาใจลง ไม่ได้ฝา่ ฝืนซ่ึงกันและกนั หนักหนานักเหมือนแต่ก่อน น้นั ละจาก
น้ันไปจิตก็ค่อยเริ่มมีความสงบ ความผลักดันของใจท่ีเคยคิดไปด้วยอ�ำนาจของกิเลสตัณหา
นน้ั คอ่ ยเบาลงๆ คำ� บรกิ รรมกับสติน้ตี ดิ แนบตลอดไมใ่ หห้ ่างเหินจากกนั เลยตงั้ แต่ต่นื นอน ฟงั
ให้ดี ต้ังแตต่ ่ืนนอนสติกับพุทโธติดปั๊บต่อกันเลยจนกระทั่งหลับ ไมย่ อมให้เผลอไปไหนเลย
เพราะเราต้ังหน้าต้ังตาจะพิสูจนจ์ ิตดวงนี้อยา่ งเต็มความสามารถของเรา เราจึงท�ำใหถ้ ึงใจ
อย่างนัน้ ไม่ให้เผลอเลยนะ จะเคลอ่ื นไหวไปมา แม้ที่สุดเวลาฉันจงั หนั อยนู่ ีก้ ็ไม่ให้เผลอ ใหม้ ี
พทุ โธติดแนบด้วยสติความร้สู ึกตัวอยตู่ ลอด ต่อไปใจก็ค่อยสงบเยน็ ลงไปๆ

จิตน้ีได้รับค�ำบริกรรมติดแนบตลอดเวลาอยูแ่ ล้วสงบลงไปจนกระท่ังเป็นความละเอียด
ละเอียดจนกระทัง่ นึกคำ� บริกรรมพทุ โธเหมือนอยา่ งแตก่ อ่ นไมไ่ ด้เลย นกึ กไ็ มอ่ อก พทุ โธไมม่ ี
ทำ� ความสงสยั ให้เกดิ ขนึ้ แกต่ วั ว่าเมอ่ื พทุ โธไม่มตี ามทเ่ี ราบรกิ รรมแตก่ อ่ นแลว้ เราจะทำ� อยา่ งไร
เอา้ พุทโธไมม่ ี ผูร้ ู้มีอยู่ ใหต้ ั้งสติอยูก่ ับผู้รู้ที่ละเอียดลออในเวลานั้น ก็ต้ังสติจอ่ อยูก่ ับผูร้ ู้นั้น
เพราะบรกิ รรมมนั ไม่ปรากฏ มันละเอยี ด ทนี เี้ วลาได้จงั หวะแลว้ จติ ดวงน้ันจะค่อยๆ ถอยตวั
หรือขยายตัวออกมาเล็กนอ้ ย พอนึกค�ำบริกรรมได้ก็เอาค�ำบริกรรมพุทโธติดแนบเข้าไปตาม
เดิม อย่างน้ีไปเร่ือยๆ เม่ือถึงจังหวะท่ีละเอียดมันก็เป็นอยา่ งเดิมอีก เราก็อยู่กับความรูท้ ี่
ละเอียดเสยี ถ้าบริกรรมไม่ได้กไ็ มต่ อ้ งบริกรรม แตส่ ติให้ติดอย่กู บั ความรทู้ ล่ี ะเอียดน้นั ไมใ่ ห้
ห่างเหนิ จากกนั ทำ� อย่างนไี้ ปจติ ใจทมี่ คี วามเจรญิ ขน้ึ มาแต่กอ่ นแล้วเสอื่ มลง เจรญิ ขน้ึ แลว้ เสอ่ื ม
ลงน้ันปรากฏวา่ ไมเ่ สื่อม ค่อยแนบแน่นข้ึนไปโดยล�ำดับล�ำดา ก็แน่ใจวา่ ทีน้ีถูกทางแล้ว ก็ย่ิง
ขะมกั เขมน้ ตอ่ ความพากเพยี ร ตอ่ สตนิ นั้ แหละสำ� คญั มากกว่าอย่างอนื่ เข้าไปโดยลำ� ดบั ลำ� ดา
จนกระท่ังจิตกา้ วเข้าสู่สมาธิที่เคยเป็นแตก่ ่อน ถึงขนาดท่ีว่าแน่นหนาม่ันคงประหน่ึงวา่ หินท้ัง
แทง่ ปรากฏขนึ้ ทใี่ จแล้ว เอ้าทน่ี เี่ มอ่ื มนั ถงึ ขน้ึ นแ้ี ลว้ มนั เสอ่ื มลงไปไดด้ งั ทเ่ี ราเหน็ แลว้ ดดั สนั ดาน
เราให้เขด็ หลาบจนกระท่ังบดั นคี้ อื จิตดวงนเี้ อง ดวงทเ่ี ป็นอยเู่ วลานี้ เอา้ มนั จะเสอ่ื มไปไหนไม่
เสอื่ ม บงั คบั อย่นู นั้ แหละ กบั เอาพทุ โธตดิ อย่ดู ว้ ยนะไม่ยอมปลอ่ ย เอา้ จะเสอื่ มไปไหนใหเ้ สอื่ ม
จะเจรญิ กต็ ามจะเสอื่ มกต็ าม เราจะไมเ่ ปน็ อารมณ์กบั สง่ิ เหล่านี้ เราจะอยกู่ บั สตกิ บั คำ� บรกิ รรม
น้ีเป็นรากฐานเทา่ นัน้

ทนี เ้ี วลามันเจรญิ ขน้ึ จิตใจกแ็ นน่ หนามน่ั คง ถึงขั้นนี้แล้ว เอา้ จะเสือ่ มกเ็ สอ่ื มไป เราไม่
เสยี ดาย แตพ่ ทุ โธจะไม่พรากจากกัน ให้เป็นค�ำบริกรรมตลอด ทีนจ้ี ติ ถงึ ขัน้ นั้นแล้วกไ็ ม่เสอ่ื ม
ไมเ่ สอื่ มกย็ งิ่ หนกั เข้าและแนใ่ จเข้าไปว่าทนี ไ้ี ด้หลกั เกณฑ์แล้ว กข็ ยบั เข้าไปจนกระทง่ั จติ นแ้ี น่น

6

ปึ๋งๆ เลย เป็นเหมอื นภูเขาหรอื ว่าหินทั้งแท่ง เอ้า ขนั้ นม้ี นั ก็เคยเส่ือม เราไมต่ ายใจกับมนั เรา ๑ ธรรมะพน้ื ฐาน
ไมถ่ อย ภาวนาอยูต่ ลอด จนกระท่ังจิตกบั ความรู้กับคำ� บริกรรมกลมกลืนเป็นอนั เดยี วกัน เด่น
อย่กู บั ความร้นู จี้ งึ เอาสตติ ดิ ไวก้ บั ความรทู้ แ่ี น่นหนามนั่ คงซง่ึ เรยี กว่าสมาธๆิ นน้ั แล ใหต้ ดิ แนบ เพ่อื ความสูงสดุ แห่งธรรม
อย่นู ้นั ตลอดไมป่ ล่อยวาง ต่อไปกย็ ิง่ แนน่ หนามั่นคงขนึ้ ทนี กี้ แ็ นใ่ จทมี่ นั เคยเสอื่ มไม่เส่ือมแลว้
คราวนี้ เจริญขึ้นเปน็ ล�ำดับเป็นที่แนใ่ จในอุบายวิธีการท่ีเราท�ำมาแล้ว น่ีเบื้องต้นแหง่ การฝึก ๒ การภาวนา
จติ ใจเปน็ อยา่ งน้ี
ท่ีถูกต้อง
จากนนั้ จติ กก็ ้าวเข้าสธู่ รรมอนั ละเอยี ดยงิ่ กว่าน้ี จงึ ไม่อธบิ ายไป จะอธบิ ายเฉพาะรากฐาน
สำ� คญั ท่ีใหพ้ ระลูกพระหลานไดน้ �ำไปปฏิบัติ ๓ เดนิ ตามหลักธรรม

ขอใหม้ คี วามจรงิ จงั ต่อภาคปฏบิ ตั ขิ องตน อย่าเหลาะๆ แหละๆ อยา่ เปลยี่ น ด้วยอริยสัจ
คำ� บรกิ รรมบอ่ ยๆ เดยี๋ วเปลยี่ นเอาคำ� นน้ั ว่าจะดี เดย๋ี วเปลยี่ นเอาคำ� นวี้ า่ จะ
ดี อย่างนจี้ ะเปน็ ความเหลวไหลโยกคลอน ไมม่ คี วามสตั ย์ความจรงิ เมอื่ เรา ๔ สติกับจิต
ชอบในค�ำบริกรรมใด ใหเ้ อาค�ำบริกรรมนั้นติดแนบกับจิตตลอดไปเลย น่ี
เป็นความถูกต้องดีงาม และจะได้หลักไดเ้ กณฑข์ ้ึนจากการภาวนาของตน อย่าไดห้ ่างกัน
โดยแทไ้ มต่ ้องสงสยั
๕ ภมู ิใจทุกข์
ขอใหท้ ำ� ดงั ที่วา่ แตต่ ้องเป็นความจริงนะ อย่าเหลาะแหละ อยา่ เปลีย่ นค�ำบริกรรมบ่อย
แลว้ ตง้ั สตภิ าวนา ทง้ั ๆ ทเ่ี รามหี น้าทกี่ ารงานคอื การภาวนาโดยถ่ายเดยี ว เพราะเราเปน็ นกั บวช เพราะความเพียร
ไมม่ งี านใดเข้ามาเคลอื บมาแฝงเลย แตเ่ ราจะเรร่ อ่ นไปเสยี ด้วยจติ คดิ นน้ั คดิ นอ้ี ยา่ งนไี้ ม่เหมาะ
อย่างยงิ่ ขอให้จบั ตดิ ๆ อย่กู บั คำ� ภาวนานนั้ ให้ดี แล้วจติ จะมคี วามสงบเยน็ และแน่นหนามนั่ คง
ขึ้นมา ความสว่างไสวอยูใ่ นขั้นสมาธิน้ีมันทราบเองแหละ เร่ืองความสว่างไสวกับความสงบ
ติดเป็นอันเดยี วกันแลว้ ความสว่างไสวจะปรากฏข้ึนทใี่ จของเรา จากนัน้ เม่ือจิตพอพิจารณา
ทางด้านปญั ญาได้ ก็ใหเ้ อาจิตทีส่ งบอยู่โดยหลักธรรมชาตินน้ั แหละ คอื สงบท่ีมนั หยุดปรงุ ก็มี
เปน็ กาลเป็นเวลา เวลามันสงบจริงๆ ไมค่ ิดไมป่ รุงอะไร ปลอ่ ยอารมณ์คิดปรุงเสียท้ังหมด
เหลอื แตค่ วามรลู้ ว้ นๆ อย่างนน้ั เรียกว่าจิตเขา้ สูส่ มาธิ ถา้ มนั สงบหรอื มันอยู่เชน่ นั้นกป็ ล่อยให้
อยู่เสีย พอถอยออกมาจากน้ันแลว้ ฐานแห่งความสงบของใจยังมีอยู่ประจ�ำใจเรา ทีน้ีให้
พิจารณาคล่คี ลายถงึ เรื่องวปิ ัสสนา

วิปัสสนา แปลว่า ความรู้แจ้ง ร้แู จง้ ในธาตใุ นขนั ธใ์ นสกลธก์ ายของเขาของ
เราน้แี หละ นี่ท่านว่าวปิ สั สนา

เวลามนั มืดมันกม็ ดื ท่นี ี่ มืดยงิ่ กว่าภเู ขาท้งั ลกู มองดภู เู ขาทั้งลกู มองเหน็ ชัดเจน แตม่ อง
ดกู ายเขากายเรา กายหญิงกายชาย มันเปน็ เทวบุตรเทวดาไปหมด มนั ไม่ได้ว่าเปน็ สัตว์เป็น

7

บคุ คลเปน็ ธาตุ ๔ ดิน นำ้� ลม ไฟ มนั ไม่ได้วา่ เปน็ ของ อสุภะอสภุ งั นา่ เกลยี ดนา่ กลวั มันไมไ่ ด้
วา่ มนั เหมาเอาเลย ประหนงึ่ วา่ เปน็ เทวดาทัง้ องค์ๆ หญงิ มองเห็นชายกแ็ บบน้ัน ชายมองเหน็
หญงิ กแ็ บบนี้ เพราะฉะนน้ั โลกอนั นจ้ี งึ ตดิ อยกู่ บั ภเู ขาภเู รา ภเู ขาทงั้ ลกู ไม่คอ่ ยตดิ แต่ภเู ขาภเู รา
ของเขาของเรา กายเขากายเรา กายหญงิ กายชาย นี้ติดดว้ ยกันทง้ั นน้ั นมี่ ันมืดอย่ทู ่ีตรงน้ี ให้
ใช้ปญั ญาพินิจพิจารณาแยกดูเร่ืองธาตุเรื่องขันธ์ ตามแตจ่ ริตนิสัยของใครจะก้าวเดินในทาง
ไหนให้พจิ ารณาแยกธาตุแยกขนั ธ์ ตัง้ แตเ่ นอ้ื หนัง เอน็ กระดกู เข้าไป ตบั ไต ไสพ้ ุง อาหาร
เก่า อาหารใหม่ พจิ ารณาดใู ห้หมด มนั มอี ยกู่ บั ตวั ของเรา พิจารณาดว้ ยปญั ญา แยกธาตแุ ยก
ขันธอ์ อก อันนั้นเป็นสว่ นนั้นอันน้ีเปน็ ส่วนน้ี รวมแลว้ ก็เรียกว่าในร่างกายของเราน้ีก็มีอยู่ ๔
ภาค ทเ่ี ด่นชดั กค็ อื ธาตดุ นิ ได้แกส่ ่วนทแี่ ขง็ ๆ ดงั ทตี่ ำ� ราทา่ นบอกไวน้ นั้ สว่ นทอี่ อ่ นกเ็ ปน็ ธาตนุ ำ�้
ลมผา่ นไปผ่านมา มลี มหายใจเป็นตน้ ทา่ นเรยี กว่าธาตลุ ม ความอบอ่นุ ในรา่ งกายของเราท่าน
เรยี กวา่ ธาตไุ ฟ แลว้ ก็มวี ิญญาณธาตเุ ข้าสงิ อยนู่ ้นั เรยี กวา่ ใจ

สิ่งเหล่านม้ี นั กเ็ ปน็ ธาตขุ องมัน แต่เราเสกสรรป้นั ยอใหเ้ ป็นอยา่ งนน้ั ให้เปน็ อยา่ งนี้ ครั้น
แลว้ ก็มาติดพนั ในความเสกสรรปั้นยอของตวั เอง แลว้ ติดตัวเอง แล้วติดภเู ขาภเู รา ไปท่ีไหน
ตดิ ทง้ั นนั้ ไมว่ า่ หญงิ วา่ ชายว่าพระวา่ เณร ถ้าไมไ่ ด้ใชป้ ญั ญาพจิ ารณาตามหลกั แห่งการภาวนา
แล้ว จะตดิ ด้วยกันไปต้ังกปั ตั้งกลั ป์ไม่มีวนั ถอนตัวได้เลย จงึ ตอ้ งใช้ปัญญาพจิ ารณา ในขณะ
ที่ใช้ปญั ญาใหพ้ ิจารณาด้วยสติเหมือนกัน เราอยา่ ปล่อยปละละเลยสติ สติน้ีมีความ
จ�ำเป็นทุกระยะ ไมว่ ่าสมถะไมว่ า่ วิปสั สนา ไมว่ า่ ธรรมะจะละเอียดแหลมคมขนาดไหน
สตนิ ตี้ ้องตดิ แนบเป็นลำ� ดบั ลำ� ดาไป สตจิ งึ เป็นธรรมจำ� เปน็ มากในความพากเพยี รของผู้
ปฏิบัติ แลว้ เวลาพิจารณา จิตใจของเรามันจะได้เห็นเร่ืองธาตุเร่ืองขันธ์ สกลธ์กายทุก
สดั ทุกส่วนที่มีอย่ใู นตวั ของเรา ทง้ั ของเขามาเทียบ เชน่ พระพทุ ธเจา้ ทา่ นทรงสอนใหพ้ ระ
ไปเย่ียมป่าช้า ก็คือว่าดูปา่ ชา้ ในตัวเองมันยังไม่เห็น ป่าชา้ ท่ีติดอยู่กับตัวน้ีเรียกว่าปา่ ช้าผีดิบ
มันยงั ไม่ตายเรยี กว่าปา่ ช้าผีดิบ ถา้ ตายแลว้ เรียกวา่ ปา่ ช้าผตี าย เม่อื มันยงั ไมเ่ ห็นป่าชา้ ผดี ิบน้ี
แลว้ ท่านกส็ อนให้ไปเยยี่ มปา่ ช้า ดังธุดงควตั รท่สี อนใหเ้ ย่ียมปา่ ช้านนั้ แล ให้ไปดปู ่าช้าท่เี ขา
ตายเก่าตายใหม่ เตม็ อยูใ่ นน้ัน ต้ังแต่กอ่ นเขาไมไ่ ด้มีการเผาการฝังกัน มนุษยต์ ายน้ีเอาไปทิ้ง
ในป่าชา้ ไมม่ กี ารเผาการฝังกัน ทา่ นจงึ สอนให้ไปเยี่ยมป่าช้า ให้ไปดปู ่าช้า

การดปู ่าช้าท่านกบ็ อกวิธกี ารดหู ลายแบบหลายฉบบั ตายเกา่ ตายใหม่ ตายมาจนเปน็ ผุ
เป็นพงั ไปแล้ว เปน็ ดนิ เป็นนำ�้ แตม่ องเหน็ ซากกระดกู อยนู่ เ้ี ป็นประเภทหนงึ่ แล้วตายใหม่ ตาย
ประเภทไหนตายใหม่ ทา่ นก็สอนวิธีเขา้ เยี่ยมป่าชา้ ให้ไปทางเหนือลม น่ันละวิธีการ อยา่ ไป
ทางใตล้ มให้ไปทางเหนอื ลม จะไมถ่ กู กลิน่ ศพแหง่ สตั วท์ ี่ตายเกลือ่ นอยู่ในป่าช้านน้ั แล้วจะได้
สนุกพิจารณา ถา้ จิตใจยังไม่เข้มแข็งด้วยสติปัญญาก็ใหพ้ ิจารณาซากอสุภท่ีตายเก่าๆ แก่ๆ
ไปแลว้ เช่นยงั เหลอื แต่โครงกระดกู หรอื เหลอื แตก่ ระดกู เรยี่ ราดสาดกระจายอย่ทู กุ แห่งทกุ หน

8

แล้วดูเขา้ มาจนกระท่ังถึงคนตายใหม่ขึ้นมา มันเนา่ มันพองมันขึ้นอืดขึ้นรา แลว้ แตก ๑ ธรรมะพน้ื ฐาน
กระจัดกระจายอยูต่ ามน้ัน เอา้ ดูเขา้ มาๆ ท่านหา้ มไมใ่ ห้ไปดูศพที่ตายใหม่ๆ ซ่ึงเขามาท้ิง
ใหม่ๆ นั้นยังไม่ละสภาพเดมิ ยงั ถอื ส�ำคัญวา่ เปน็ ของสวยของงามได้อยู่ อย่าเขา้ ไป อยา่ ดว่ น เพ่อื ความสูงสดุ แห่งธรรม
ไปพิจารณาศพประเภทนี้ ทา่ นกส็ อนไวห้ มดในตำ� รา เรากใ็ ห้พจิ ารณาเรือ่ งปา่ ชา้ นั้น นี่เรียก
ว่าป่าช้าผตี าย ทีน้ีเราพจิ ารณาเรานีพ่ จิ ารณาปา่ ช้าผีดิบ คอื ตวั ของเราเอง เทียบดูในโลกธาตุ ๒ การภาวนา
นเี้ พียงหนังหุ้มหอ่ อยเู่ ท่าน้นั ก็เสกกนั ขนึ้ เป็นสัตวเ์ ปน็ บคุ คล ประหนงึ่ วา่ เทวดาชั้นฟ้าสไู้ มไ่ ด้ มี
ความสวยงามสมู้ นุษยห์ นงั บางๆ หอ่ ไวห้ ้มุ ไว้นไี้ ม่ได้ เพราะฉะน้นั โลกถงึ ได้ติด ท่ีถูกต้อง

พระพทุ ธเจา้ ใหส้ ่งจติ เข้าไปหาความจรงิ คอื ปญั ญาสอดส่องเข้าไปดตู ามหลกั ความ ๓ เดนิ ตามหลักธรรม
จริง มันสวยทไ่ี หน มันงามทไี่ หน ข้างนอกแม้เปน็ ผิวหนงั ว่าสวยวา่ งาม มันกม็ ขี เี้ หง่ือข้ี
ไคลตดิ เรยี กว่าเป็นข้ี ขไ้ี คลตดิ อย่ใู นผวิ หนงั เอา้ ฟากผวิ หนงั เข้าไปหาหนงั เปน็ ยงั ไง เตม็ ด้วยอริยสัจ
ไปดว้ ยเลอื ดด้วยเนื้อเยม้ิ ไปหมดทัว่ สกลธ์กาย ฟากผวิ หนงั เขา้ ไปเป็นเนือ้ เป็นเอน็ เปน็ ก
ระดกู พจิ ารณาแยกเขา้ ไปจนกระทงั่ ถึงอาหารเก่า อาหารใหม่ แยกแยะดดู ้วยสตนิ ะ ท�ำ ๔ สติกับจิต
ตามพดู นป้ี ราศจากสตไิ ม่ได้ เพราะเราตอ้ งการดขู องจรงิ เวลาพจิ ารณาทางด้านปัญญา
ให้พิจารณาดงั ที่กลา่ วมาน้ี ซำ�้ ๆ ซากๆ เหมอื นเขาคราดนา เขาคราดนาเขาไม่นบั เที่ยว อย่าไดห้ ่างกัน
นะ วา่ กี่เที่ยวกี่ตลบทบทวน แตเ่ ขาใหค้ ราดไปคราดมาจนกระท่ังมูลคราดมูลไถแหลก
ละเอยี ด พอปกั พอดำ� ได้แล้วค่อยปักค่อยดำ� นก่ี ารพจิ ารณาอสภุ ะอสภุ งั ธาตเุ ขาธาตเุ รา ๕ ภมู ิใจทุกข์
ก็พิจารณาจนมีความช�ำนิช�ำนาญเกิดความสลดสังเวช มันหากเป็นข้ึนในใจของผู้
พิจารณา ย่ิงเห็นชัดเจนเข้าไปเทา่ ไร ย่งิ เกิดความสลดสงั เวช เกิดความขยะแขยง เปน็ เพราะความเพียร
ไปทกุ อย่าง

น่ีละจิตมันจะเร่ิมถอนอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นส�ำคัญผิด ว่าสิ่งเหล่านี้เปน็ ของสวย
ของงาม แต่มันกลบั กลายมาเป็นของปฏิกลู โสโครกน่าเกลียดน่ากลัว ด้วยอ�ำนาจของปญั ญา
ทพ่ี จิ ารณาตามหลกั ความจรงิ เมอ่ื มนั เหน็ เข้าไปอยา่ งนนั้ แล้ว หากวา่ เราพจิ ารณานานไปจติ ใจ
มนั เพลนิ นะ ถา้ มนั ไดร้ เู้ ข้าไปๆ น้เี ป็นความเพลิน อยากพิจารณาไปเรอื่ ยๆ อยา่ งน้ัน ถ้าเปน็
อยา่ งน้ันมันจะเปน็ ความเพลินเกินตัว ตอ้ งใหย้ ้อนจิตเข้ามาสูค่ วามสงบคือสมาธิเสีย ค�ำว่า
สมาธิน้ีเราน�ำค�ำบริกรรมนั้นละ ไมม่ ีค�ำวา่ ครึวา่ ลา้ สมัย ไม่มีชั้นนั้นชั้นน้ี สูงๆ ต�่ำๆ เอาค�ำ
บรกิ รรมตามเดิมมาตดิ กบั จิตตามเดิมนัน้ แหละ จติ ไมไ่ ดส้ ูงได้ต่�ำคำ� บริกรรมก็ไมส่ ูงไม่ต่ำ� เอา
มาก�ำกับ ใหส้ ติติดอยูก่ ับบริกรรมเพ่ือความสงบของสมาธิของเรานี้ แต่สว่ นมากถ้าเรารู้จัก
ประมาณตั้งแต่เริ่มตน้ แลว้ พอถอยเขา้ มาส่สู มาธิ จติ กส็ งบไปไดง้ า่ ย ถ้ามันเพลินเกินตัวต้อง
ไดบ้ ังคับดว้ ยสติ น�ำค�ำบริกรรมเข้ามาพิจารณาให้จิตสงบแน่วเวลาน้ัน อยา่ ไปยุง่ กับเร่ือง
ปัญญาทพี่ จิ ารณามากน้อยหยาบละเอยี ดแค่ไหน อยา่ นำ� มาเป็นอารมณ์ ในขณะทเี่ ราตอ้ งการ
ความสงบใหจ้ ิตอยูก่ ับความสงบแนบแนน่ อยู่นั้น จนกระทั่งจิตมีก�ำลังแล้วถอยตัวออกมา

9

สมควรแกก่ ารพิจารณาทางดา้ นปัญญาดังท่ีเคยพิจารณามาแล้วได้ เราก็พิจารณาทางดา้ น
ปญั ญา ทำ� อยา่ งน้ีเรยี กว่าถูกต้อง เป็นมัชฌิมาปฏปิ ทา สม่ำ� เสมอ เสมอตน้ เสมอปลาย

เวลาทำ� งานคอื การพจิ ารณาทางดา้ นปัญญา เรากท็ ำ� งานพจิ ารณาไป เวลาเราจะพกั ผ่อน
จติ ใหม้ คี วามสงบในสมาธิ เรากพ็ กั เอากำ� ลงั ของใจ เพอื่ ก้าวสวู่ ปิ สั สนาตอ่ ไป ให้เป็นวรรคเป็น
ตอน เวลาพจิ ารณาทางดา้ นปัญญาไมต่ ้องยงุ่ กบั สมาธิ ประหนง่ึ วา่ สมาธไิ ม่มี มแี ต่เรอื่ งปญั ญา
ออกกา้ วเดิน แยกธาตแุ ยกขันธ์ แยกสกนธก์ าย ซำ�้ ๆ ซากๆ แล้วมันจะมคี วามช�ำนาญขึ้นมา
เองและจะคล่องตัวไปเรื่อยๆ เมื่อจิตใจรสู้ ึกออ่ นเพลยี ในการพิจารณาแล้ว ให้ยอ้ นจิตเข้ามา
สู่สมาธิ ท�ำใจให้มีความสงบ แล้วไมต่ อ้ งกังวลกับทางดา้ นปญั ญาต่อไป ให้ท�ำหน้าที่จิตเป็น
สมาธิรวมแนว่ อยูน่ ้ันเรียกวา่ ส่ังสมก�ำลังใหอ้ ยู่ จนกระทั่งจิตพอแกค่ วามสงบเรียบร้อยแลว้
ถอยออกมาก็พิจารณาทางดา้ นปัญญาตามเดมิ นเี่ รียกวา่ เป็นความถูกต้องแม่นย�ำสมำ�่ เสมอ
ไม่ลมุ่ ๆ ดอนๆ ขอให้พระลกู พระหลานพิจารณาอย่างนี้ แลว้ พจิ ารณาไป

ทีน้กี ารพจิ ารณารา่ งกายนี้ เม่ือนานเขา้ ไปๆ มันจะคล่องตัวรวดเร็วมากทีเดียว อันนี้จะ
ไม่อธบิ ายมาก จะปรากฏขนึ้ กบั ผพู้ จิ ารณาคลอ่ งตวั แลว้ ดว้ ยกนั ไมม่ ใี ครบอกใครละ พอถงึ ขนั้
คลอ่ งตัวแลว้ มันจะหมนุ ตวั มนั ไป เพลนิ ตอ่ การพิจารณาเรือ่ ยๆ จนกระทัง่ ไดห้ ักหา้ มเข้ามาสู่
สมาธใิ หพ้ กั ตวั ใหพ้ ากนั กำ� หนดเอาไว้ ให้ดำ� เนนิ อย่างนแี้ หละ นท่ี ่านเรยี กว่าดำ� เนนิ เพอ่ื มรรค
เพื่อผล

มรรคผลนิพพานอย่กู ับภาคปฏิบัติไมไ่ ด้อยกู่ ับตำ� รบั ต�ำรา ไม่ได้อยกู่ ับดินฟ้าอากาศ ไม่
ไดอ้ ย่กู บั กาลสถานทเ่ี วลำ่� เวลาทไ่ี หน อยทู่ ใี่ จของเรา ใจกอ็ ยกู่ บั ภาคปฏบิ ตั ขิ องเรา ทจี่ ะปฏบิ ตั ิ
เพ่ือก�ำจัดกิเลสท้ังหลายท่ีมันหุม้ ห่อจิตใจนี้ใหก้ ระจายหรือใหจ้ างออกไปๆ จิตใจเราจะไดม้ ี
ความสงา่ งาม จิตใจสง่างามแลว้ ไม่มีอะไรงามเกินหัวใจนะ น้ีละธรรมท่ีเลิศเลิศอยูท่ ี่ตรงนี้
พระพุทธเจ้าสอนลงจุดนี้ แล้วบรรดาสาวกท้ังหลายทา่ นไดส้ ดับตรับฟงั จากพระโอวาทของ
พระพุทธเจ้าสดๆ รอ้ นๆ ทา่ นมาปฏบิ ตั ิ ทา่ นกต็ กั ตวงเอามรรคผลนิพพานข้นึ มาเรอ่ื ยๆ จน
กระท่งั เปน็ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรา คือเป็นสรณะเปน็ ทพี่ ึง่ ของพวกเราตลอดมาจน
กระทง่ั ทุกวนั น้ี เพราะท่านเปน็ สรณะของทา่ นได้โดยสมบรู ณแ์ ลว้ นล่ี ะภาคปฏิบตั ิ

ศาสนธรรมนเ้ี ปน็ ตลาดแหง่ มรรคผลนพิ พานอยู่เรอ่ื ยมา เรยี กวา่ อกาลโิ ก ไม่มีครึ
ไมม่ ีลา้ สมัย เสมอต้นเสมอปลาย ส�ำหรับผู้ปฏิบัติจะพึงตักตวงเอามรรคผลนิพพานได้
ตลอดมาเช่นเดยี วกบั ครง้ั พทุ ธกาลหรอื ครงั้ พระพทุ ธเจ้ายงั ทรงพระชนม์อยู่ เพราะธรรม
เปน็ สวากขาตธรรมแบบเดยี วกนั สอนธรรมนกี้ เ็ อาธรรมมาสอน สอนเพอ่ื แกก้ ิเลส แกว้ ธิ ใี ด
ท่านก็สอนดังท่ีอธิบายใหฟ้ ังสักครู่นี้ ใหพ้ ากันด�ำเนินอยา่ งนี้ อย่าพากันต่ืนเตน้ ดีดดิ้นไปกับ
โลกกับสงสารมันมีแต่ฟนื แต่ไฟท้ังน้นั แหละ

10

เวลาน้ีเราที่เปน็ ชาวพุทธแทบไม่ปรากฏศาสนาประจ�ำตัวของบุคคลๆ แต่ละคนเลย มี ๑ ธรรมะพน้ื ฐาน
แต่เรอื่ งของกิเลสหอ้ มลอ้ มปดิ บงั หมุ้ ห่อไว้หมด มองเหน็ คนเหน็ แตก่ ิรยิ าของกิเลสทแ่ี สดงออก
มาบงั คับบัญชา กิริยามารยาท การไปการมา การพูดการจา การอยู่การกิน การใช้สอยทุก เพ่อื ความสูงสดุ แห่งธรรม
อยา่ ง มีแต่กิเลสควบคุม เปน็ อ�ำนาจของกิเลสไปเสียหมด เลยกลายเปน็ กิเลสท้ังหมดในคน
ทง้ั คน คำ� ว่าธรรมๆ คอื ความพอเหมาะพอดเี ลยไม่คอ่ ยปรากฏ และจะไมป่ รากฏ จะมแี ตเ่ รอ่ื ง ๒ การภาวนา
ของกิเลสออกหนา้ ออกตาเหยยี บย�ำ่ ท�ำลายธรรม คอื ความพอดีไปเสียเรื่อยๆ อยา่ งนี้ จงึ ให้
พากันร้ือฟ้ืนตัวเอง ท่ีถูกต้อง

เวลาน้ีก�ำลังถูกกิเลสบีบบี้สีไฟทั้งฆราวาสญาติโยมทั้งพระ กิเลสมันไม่เลือกหน้าแหละ ๓ เดนิ ตามหลักธรรม
มนั เป็นนายมาดั้งเดมิ แล้ว เราบวชอย่างนกี้ ิเลสมนั ไม่ได้บวชนะ เราอยา่ เขา้ ใจวา่ เราบวชแล้ว
เราภูมิใจ ความภูมิใจว่าเราบวชแล้วนี้ก็เป็นบุญกุศลอันหน่ึง แต่ไม่พ้นที่จะเป็นความลืมตัว ด้วยอริยสัจ
บวชมาดีใจแต่ความลืมตัวดีใจเฉยๆ ไม่สนใจตอ่ การภาวนาก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ให้พากัน
ตงั้ อกตง้ั ใจปฏิบตั ิเถิด ๔ สติกับจิต

ศสั ตราอาวธุ ทจ่ี ะสงั หารกิเลสใหส้ นิ้ ซากลงไป เรม่ิ ตน้ ตงั้ แต่ เกสา โลมา นขา อย่าไดห้ ่างกัน
ทันตา ตโจ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง อปุ ชั ฌายท์ า่ นมอบให้แลว้ ตั้งแต่วันบวช
น้ีคือศัสตราอาวุธที่จะสังหารส่ิงที่เปน็ ฟนื เปน็ ไฟเปน็ ภัยแกต่ ัวของเรา น้ัน ๕ ภมู ิใจทุกข์
คือผม ผมก็สวยก็งาม ผมผหู้ ญิงกส็ วย ผมผชู้ ายกส็ วย ขน เล็บ ฟนั สวยไป
หมด หนงั สวยไปหมด ท่านสอนไปเพียงหนัง ถงึ ตโจแลว้ ทา่ นหยุด ท่หี ยุด เพราะความเพียร
นนั้ เพราะอะไร เราลองลอกหนงั ออกซิ พอหนงั ออกจากตวั หมดแลว้ ความ
สวยงามมนั กไ็ มม่ ี มตี ง้ั แตเ่ ยมิ้ ไปเรือ่ ยๆ ดว้ ยเลือดด้วยเนอ้ื เต็มตัวของเรา
ทา่ นจึงสอนเพียงตโจ เทา่ นั้นเรียกว่าสอนย้อนหน้ายอ้ นหลัง เกสา โลมา
นขา ทันตา ตโจ ตโจ ทันตา นขา โลมา เกสา ท่านสอนทบทวนใหด้ ู น่ีละ
เครอื่ งมอื เปน็ อาวธุ อนั สำ� คญั ทจี่ ะปราบปรามสง่ิ เลวร้ายทงั้ หลายทม่ี นั แทรก
อยู่ คือความสวยความงาม คือเขาคือเรา คือหญิงคอื ชาย พจิ ารณาอนั น้ีตี
เขา้ ไป หญิงชายจะไมม่ ี ความสวยความงามจะไม่มี มีแต่หลักธรรมชาติ
ล้วนๆ ซึ่งเยิ้มไปด้วยความสกปรกโสมมที่สุดเต็มอยู่ในรา่ งกายของเรา
ปญั ญาหยั่งเข้าไปตรงน้ีมันก็คลายความยินดีความเพลิดเพลินกับรา่ งกาย
ไปโดยลำ� ดบั ลำ� ดา เมอื่ พจิ ารณาไปเท่าไรยงิ่ มคี วามแยบคาย การพจิ ารณา
รา่ งกายนี้ มีความแยบคายและคล่องตัวไปโดยล�ำดับล�ำดา จนกระทั่งได้
อยา่ งใจ พจิ ารณาปบ๊ั ให้แตกพงั ทลายลงไปอยา่ งรวดเร็วๆ ไดท้ ง้ั นนั้ ด้วย
ความชำ� นาญของสติปัญญาเรา ใหน้ ำ� ไปใชน้ ะ

11

นล่ี ะมรรคผลนพิ พานทา่ นทงั้ หลายอย่าไปหาทไ่ี หน อยา่ ไปหาตามกาลสถานทเี่ วลำ่� เวลา
ตามมดื ตามแจ้ง ตน้ ไมภ้ เู ขา ดนิ ฟ้าอากาศ ท้องฟ้ามหาสมทุ ร ไม่มมี รรคผลนพิ พาน ไม่มกี ิเลส
กิเลสอย่กู บั หวั ใจเรา มรรคผลนิพพานกอ็ ยู่ท่ีหวั ใจเรา เวลานน้ั มันผูกพนั กันใหเ้ ราได้รบั ความ
ทุกข์ก็คือกิเลสผูกพันหัวใจเรา มันถึงได้รับความทุกขค์ วามทรมาน จึงต้องอาศัยเครื่องมือที่
ว่าเป็นศสั ตราอาวธุ นแ้ี หละ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ แยกธาตแุ ยกขันธ์แยกทุกสดั ทุกส่วน
ใหเ้ ปน็ ชน้ิ เปน็ อนั ทำ� แลว้ ทำ� เล่าซำ้� ๆ ซากๆ เปน็ งานประจำ� จติ ใจประจำ� ความเพยี รของเราอยู่
โดยสม�่ำเสมอ แลว้ เร่ืองสมาธจิ ะเปน็ ขึ้นมาเอง เม่ือเราบ�ำเพญ็ อยตู่ ลอด สมาธคิ วามสงบใจก็
เปน็ ขนึ้ มาเอง ปัญญาความร้แู จ้งกจ็ ะร้แู จง้ ไปเรอ่ื ยๆ เมอ่ื เราฝกึ หดั ดดั แปลงอย่เู สมอจะเปน็ การ
คลอ่ งตัวไปเรื่อยๆ แล้วมกี ารถอดการถอนอุปาทานความยึดมั่นถอื มั่น ในเขาในเราไปเสียได้
ไปเร่อื ยๆ อยา่ งนี้ เรยี กว่าการพิจารณาทางด้านปญั ญา

เรอื่ งธรรมขนั้ ละเอยี ดลงไปนนั้ ตวั ร่างกายนล้ี ะเป็นตวั สำ� คญั มาก มนั ปดิ มนั บงั เอาไวห้ มด
ไมไ่ ดเ้ ห็นมรรคผลนิพพานว่าเปน็ ของแปลกประหลาดอัศจรรยอ์ ะไรยิ่งกว่าความรักความชัง
ในกายเขากายเรา กายหญิงกายชาย อันนม้ี นั เลิศไปเสียทัง้ นน้ั ชังมนั กเ็ ลิศมนั ถือวา่ ดีไปด้วย
ความชงั เพราะฉะนนั้ มนั ถึงชัง โกรธมันก็ถอื วา่ ดีไปเสยี มันถึงโกรธ อะไรกด็ ีไปหมด ถ้าเป็น
เรื่องกิเลสเขา้ แทรกท่ีไหนแลว้ ดีท้ังน้ันๆ ตม้ ไปได้ท้ังหมดนั่นแหละ เพราะฉะน้ันจึงต้องเอา
ปญั ญาเข้าแทรกพจิ ารณา แลว้ มนั จะคอ่ ยคลคี่ ลายกนั ออก นล่ี ะการพจิ ารณา ให้เอาอนั นแ้ี ล้ว
ต่อไปเราจะคอ่ ยคืบหน้าไปเอง ความละเอียดแหง่ ธรรมที่เกิดข้ึนจากการพิจารณาดังท่ีกล่าว
น้ี จะค่อยรู้คอ่ ยเห็นไปตามการประพฤติปฏิบัติของตน ทา่ นเรียกว่า สนทฺ ฏิ ฺฐิโก คือรเู้ องเห็น
เองเป็นลำ� ดบั ล�ำดาไป ขอใหพ้ ากนั ตั้งอกตั้งใจ

เวลานศี้ าสนาเรยี วแหลมนม้ี นั เลยเรยี วแหลมแลว้ นะ ดทู ไ่ี หนมนั ดไู มไ่ ด้ ให้เราดพู วกเรา
เองนะ ดพู ระดเู ณรเรา อย่าไปดปู ระชาชนพลเมอื งทเี่ ขาไมม่ ขี อบเขตมหี ลกั มเี กณฑ์ เขากป็ ฏบิ ตั ิ
หรอื ทำ� หนา้ ทีข่ องฆราวาสไปตามยถากรรม ไปตามอธั ยาศัยของเขา แต่เราเปน็ พระ มีขอบมี
เขตมหี ลกั ธรรมหลกั วนิ ยั เปน็ รวั้ กน้ั ไว้สำ� หรบั ความชวั่ ไมใ่ หเ้ ขา้ มาตดิ ตวั ของเรา ให้ตา่ งคนตา่ ง
ระมัดระวงั รักษาให้ดี นีล่ ะเปน็ ของสำ� คญั แลว้ ให้บำ� เพ็ญตลอดไป

เรอ่ื งมรรคเรอื่ งผลท่านทง้ั หลายอย่าไปถามทไี่ หน ใหด้ ทู จี่ ติ ของเราระหวา่ งกเิ ลสกบั ธรรม
มนั ฟดั กนั อย่ทู จ่ี ติ สว่ นมากกิเลสเป็นชยั ชนะไปตลอด มนั จะคดิ ปรงุ แตง่ เรอ่ื งราวอะไรนี้ จะเป็น
เนอ้ื เปน็ หนงั เปน็ ตนเปน็ ตัว เป็นของเลศิ ของเลอข้ึนมาทกุ อยา่ งนัน้ แหละ ถ้าลงกิเลสได้คิดไป
แง่ไหนเป็นทองค�ำท้ังแท่งขึ้นมา ตืน่ มันตลอดไปเลย หลงไปตามมัน เพราะฉะนัน้ จึงต้องเอา
ธรรมะเข้าแกก้ นั อย่างทวี่ า่ น้ี ใหพ้ จิ ารณาจรงิ ๆ จงั ๆ หลกั ใจจะขน้ึ จากการปฏบิ ตั แิ ละการปฏบิ ตั ิ
ดังท่ีอธบิ ายให้ฟังแลว้ ในเบอ้ื งตน้ ถา้ ผยู้ งั ไม่ไดห้ ลกั ใจ ใหต้ ้ังหลกั ใจด้วยวิธกี ารทีแ่ สดงให้

12

ฟงั น้ี ใหพ้ ยายามจริงๆ จังๆ จะตอ้ งปรากฏแนน่ อน แตต่ ้องเป็นคนจริงนะ อย่าท�ำเห ๑ ธรรมะพน้ื ฐาน
ลาะๆ แหละๆ ตั้งสติได้ชัว่ ระยะน้ีต่อไปกเ็ ผลอ เผลอไปเสียเลยเถิดไปเสยี จนกระทั่งวัน
ตายกไ็ ม่เกิดประโยชน์ ถ้าเอาจริงเอาจงั แล้วกเ็ ป็นอยา่ งท่วี า่ น้ี เพ่อื ความสูงสดุ แห่งธรรม

ผมน�ำมาแสดงน้ีผมยกเอาตัวผมเป็นพยานเลย มาแสดงกับทา่ นท้ังหลายดว้ ยความไม่ ๒ การภาวนา
สงสัย ดำ� เนนิ มาแล้วได้ผลเปน็ ทีพ่ อใจจากวธิ ีการอนั นี้ จงึ ไดน้ ำ� วธิ กี ารนีม้ าสอน แตผ่ ูท้ ่ปี ฏิบัติ
ตามจะจรงิ หรอื ไมจ่ รงิ นไ่ี มท่ ราบได้นะ สำ� หรบั เราทไ่ี ดป้ ฏบิ ตั มิ าก่อนนจี้ รงิ มากทเี ดยี ว เรอื่ งว่า ท่ีถูกต้อง
ไมใ่ ห้เผลอไม่เผลอจริงๆ ตงั้ แต่ตืน่ นอนฟงั ซิ ไม่ยอมให้เผลอ นแี่ หละจึงเป็นเหมอื นยิ่งกวา่ เขา
ติดคุกติดตะรางนะ จติ ใจมันตีบตันอั้นตู้มนั อยากจะคิดจะปรุง แตค่ �ำบริกรรมบีบเอาไวไ้ ม่ให้ ๓ เดนิ ตามหลักธรรม
คดิ ใหค้ ดิ อยกู่ บั คำ� บรกิ รรมคำ� เดยี ว เอากนั อยา่ งหนกั ทเี ดยี ว จงึ ได้เหน็ ความทกุ ขค์ วามทรมาน
ในการฝกึ ตัวเองกับกิเลสตัวหนาแน่น มันซัดกันกับธรรมคือค�ำบริกรรม ได้เห็นกันขนาดน้ัน ด้วยอริยสัจ
ทกุ ข์มากในระยะแรกๆ แต่คำ� วา่ ถอย มันไมม่ เี ท่านัน้ เอง มนั จะทกุ ขข์ นาดไหน เอ้า ว่างนั้ เลย
ใครจะตายกอ่ นตายหลงั กใ็ ห้มนั รกู้ นั ระหวา่ งกเิ ลสกบั ธรรมฟดั กนั ไปฟัดกนั มา สดุ ทา้ ยกต็ งั้ หลกั ๔ สติกับจิต
ได้ จึงไดน้ ำ� มาสอนท่านท้ังหลาย อยา่ เหลาะๆ แหละๆ จากน้นั สดุ ท้ายกว็ ิ่งไปหากาลสถานท่ี
เวล�ำ่ เวลา ในครั้งพุทธกาลท่านส�ำเรจ็ มรรคผลนิพพาน มาทุกวันน้มี รรคผลนิพพานหมดแลว้ อย่าไดห้ ่างกัน
ส้ินแลว้ มนั ก็สน้ิ ละซิก็คนมนั หมดราคาแลว้ นี่ ไมไ่ ด้คิดถึงอรรถถงึ ธรรม แล้วธรรมจะมาจาก
ทไ่ี หน มนั กม็ าจากบคุ คลผคู้ ดิ ถงึ ธรรม ธรรมจงึ จะเกิด คดิ ถงึ กิเลส กิเลสกเ็ กิด คดิ ถงึ เรอ่ื งอะไร ๕ ภมู ิใจทุกข์
มนั ก็เกิดดว้ ยกัน เพราะกิเลสกบั ธรรมมีอยู่ในโลกอยา่ งสมบรู ณแ์ บบเดียวกัน เป็นแตเ่ พียงว่า
กิเลสมันหนา มนั มกี ำ� ลงั มาก มันกฉ็ ดุ จิตใจไปทางกิเลสเสีย แลว้ มาลบล้างมรรคผลนิพพาน เพราะความเพียร
วา่ ไม่มีไมเ่ กิดไปเสยี

ถ้าเรามาตั้งใจปฏิบัติตามธรรมท่ีสอนไว้แล้วนั้น มรรคผลนิพพานจะอยู่ท่ีไหน ก็อยู่กับ
ภาคปฏบิ ตั ทิ ป่ี ฏบิ ตั ติ ามธรรมของพระพทุ ธเจ้าแล้วมนั กเ็ กิดดว้ ยกนั นน้ั แหละ ไมว่ า่ ครงั้ นน้ั ครง้ั
น้ีกิเลสเปน็ ประเภทเดียวกัน ตั้งแต่คร้ังพระพุทธเจ้ามาปัจจุบันน้ีเป็นกิเลสประเภทเดียวกัน
แลว้ ธรรมะก็ตั้งแตพ่ ระพุทธเจ้ามาจนกระทั่งถึงพวกเราก็เปน็ สวากขาตธรรม ที่ตรัสไว้ชอบ
ทกุ สิง่ ทกุ อย่างแล้วแบบเดียวกนั มาแกก้ ิเลสมันก็แก้ไดด้ ว้ ยกนั ถ้าเราจะนำ� มาแก้ ถ้าไมน่ �ำมา
แก้ ตายทงิ้ เปลา่ ๆ ตายกองกนั อยู่น้ีมันกไ็ ม่มีความหมายอะไรแหละ มรรคผลนิพพานก็ไมม่ ๆี
อยอู่ ย่างนัน้ แหละ

วนั นเ้ี ทศน์ธรรมะเพยี งขนั้ นเี้ สยี ก่อน ให้จบั พนื้ ฐานนไ้ี ว้ใหด้ ี เรอื่ งธรรมะสงู สดุ ไม่ต้องบอก
นล่ี ะพนื้ ฐานเพอ่ื ความสงู สดุ แหง่ ธรรม ขอใหจ้ บั ตน้ นใี้ หด้ ี อยา่ ปล่อยวางจะพงุ่ ถงึ เลย เทศน์สงู
ขนาดไหน ถา้ จิตใจมันยังคลานอยู่กบั กองมตู รกองคูถคอื กิเลสตณั หาแล้ว ก็ไมเ่ ปน็ ประโยชน์
แกผ่ เู้ ทศนเ์ หมอื นกนั ผ้เู ทศน์เพอ่ื ประโยชน์เทศนไ์ ปแล้วมนั กไ็ มไ่ ดเ้ รอื่ งได้ ใหก้ ้าวเดนิ ตามนนี้ ะ

13

โยนิโส วจิ ิเน ธมมฺ .ํ
พึงเลือกเฟ้นธรรมโดยแยบคาย.

ม.อปุ . ๑๔/๔๗๑. สํ.ส. ๑๕/๗๘. องฺ สตฺตก. ๒๓/๓.

14

การภาวนา
ท่ถี กู ต้อง

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบา้ นตาด เมอ่ื วนั ท่ี ๑๒ สิงหาคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๙

15

ค�ำว่าภาวนาก็หมายถึงการรวมความรูเ้ ขา้ สูจ่ ุดของงาน งานนั้นก็ได้แกค่ �ำบริกรรมหรือ
จดุ ใดจดุ หนง่ึ ทเี่ ราตงั้ หน้าจะทำ� งานกบั จดุ นนั้ เช่น ผกู้ ำ� หนดอานาปานสตกิ ห็ มายถงึ ลมเป็นงาน
ตง้ั สตลิ งทต่ี รงนนั้ ให้มคี วามรอู้ ยจู่ ำ� เพาะลมนน้ั เท่านน้ั ไม่ตอ้ งคาดผลว่าจะเกิดขน้ึ อยา่ งไรบ้าง
เพราะการคาดผลนั้นเป็นการพรากตัวเองจากงานที่ท�ำ ผลจะไมเ่ กิดขึ้นจากการคาดหมาย
ตา่ งๆ แต่จะเกิดขึ้นในวงปัจจุบันที่รูอ้ ยูจ่ �ำเพาะๆ เทา่ นั้น จะปรากฏขึ้นในลักษณะใดก็ต้อง
ปรากฏขนึ้ ในหลกั ปจั จุบัน คอื งานท่ีทำ� อยู่จ�ำเพาะหน้า ให้พากันทำ� ความเข้าใจไว้อยา่ งนี้

ผูก้ �ำหนดพทุ โธหรือธรรมบทใดก็ตาม ให้มคี วามรู้อยูก่ ับคำ� บรกิ รรมน้นั ๆ เท่าน้ัน และ
ไมค่ าดหมายผลอีกเชน่ เดียวกัน การที่ตั้งจิตไวใ้ นหลักปัจจุบันคือค�ำบริกรรมนั้นแลเปน็ การ
สร้างผลงานข้นึ มา ผลงานไม่ไดเ้ กิดขน้ึ จากการคาดคะเน อดีตอนาคต เช่นเคยเปน็ มาแล้วก็
อยากให้เป็นอยา่ งนัน้ เรอื่ ยๆ ไป เอาอารมณ์อดตี เขา้ มากดี ขวางปัจจบุ ันธรรม อนาคตจะเป็น
อยา่ งไรบา้ ง อย่างนี้เปน็ การคาดการหมาย ผดิ จากหลกั ของการภาวนา ทา่ นสอนให้ระวังมาก
ตัวนี้ สว่ นมากจิตมักจะแยบ็ ออกไปคาดไปหมายต่างๆ แล้วกไ็ ม่ไดผ้ ล เพราะไปภาวนาไมใ่ ช่
ภาวนา มแี ตไ่ ปคาดไปหมายเอาผล ท้ังๆ ท่ีเหตไุ มท่ �ำกไ็ ม่เกิดผล แม้ผทู้ ีเ่ คยปรากฏผลขน้ึ มา
แล้วในวันนี้หรือครั้งน้ีเป็นอย่างนี้ คราวตอ่ ไปก็ไม่น�ำผลท่ีปรากฏนี้ที่ผ่านไปแล้วไปยุ่งกับวง
ปัจจุบันท่ีก�ำลังท�ำอยูเ่ วลานั้น อันใดที่ปรากฏแล้วก็ผ่านไปแลว้ ผูท้ ี่ไม่ผา่ นอยู่โดยปกติก็คือ
ความรู้ ความสงบกม็ ีการผา่ น อารมณต์ ่างๆ ก็มกี ารผา่ น ภาพต่างๆ ก็มกี ารผ่าน หากปรากฏ
ภาพกม็ ีการผา่ นไปทงั้ นัน้ ผ่านไปแล้วกถ็ ือวา่ เปน็ อันแลว้ ไปแล้ว อย่าไปยึดมาเป็นอารมณ์ น่ี
หลักของภาวนาทจ่ี ะให้เกิดผลเป็นอยา่ งน้ี และไม่ควรไปเป็นอารมณก์ ับเรื่องของผอู้ ืน่ เช่น ผู้
นนั้ ภาวนาอย่างนน้ั แล้วปรากฏขน้ึ มาเช่นนน้ั ๆ เราอยากให้เป็นเช่นนนั้ บา้ ง อยา่ งนก้ี ผ็ ดิ กบั หลกั
นสิ ยั ของตน แล้วผลจะไม่เกิดอยา่ งใดทง้ั นนั้ ให้ถอื หลกั ปัจจบุ นั ดงั ทกี่ ล่าวแลว้ นเ้ี ป็นหลกั สำ� คญั
ของการภาวนา จะร้จู ะเหน็ อะไรกต็ ามจะรเู้ ห็นขน้ึ จากหลักปัจจบุ ันนีซ้ ่ึงเป็นฐานส�ำคญั

เบื้องตน้ ตอ้ งมีการล�ำบากบ้างการฝกึ จิตเพราะงานไม่เคยท�ำ แต่พอธรรมได้ปรากฏผล
ข้ึนมาบ้างแล้วมันก็มีชอ่ งทางมีความดูดด่ืม มีความพอใจในผลแหง่ งานของตน เช่น ความ
สงบ ใจเวลาสงบ สงบจรงิ ๆ สงบจนขาดจากทกุ สิง่ ทกุ อย่างไปหมดอย่างนัน้ ก็มี แต่ไม่ให้คาด
นะ ใหเ้ ป็นไปตามหลกั ธรรมชาติของตนเอง รวมลงไปอย่างนัน้ ถอนข้ึนมาอยา่ งนี้ ก็อยา่ ไป
คาด อนั นนั้ เป็นอาการ เปน็ กิรยิ าอนั หนงึ่ ทพ่ี ดู ขน้ึ เป็นสมมตุ ิ มนั จะลงไปไหนจติ ตะล่อมกระแส
เข้ามาสู่ตัวแลว้ มีความเคล่ือนไหวแย็บหนึ่งก็เรียกว่าลง อย่างหนึ่งไมแ่ ย็บไม่เยิ๊บอะไร คอ่ ย
รวมตวั เข้าไปๆ แลว้ อยู่ นกี่ เ็ รยี กวา่ จิตสงบ ใหเ้ ป็นตามหลกั ธรรมชาติ ใหเ้ ปน็ ตามหลกั นิสัย
ของตวั เองนนั้ แหละเปน็ การเหมาะสมทีส่ ุด น่ันคือสมบตั ิของเราแท้ การท่จี ะไปคาดไปยึดเอา
อารมณ์ของคนอนื่ ความเปน็ ของคนอนื่ มาเป็นของตวั อยา่ งนน้ั เป็นการหยบิ ยมื มาแล้วยงั มาส
ร้างอุปสรรคใหแ้ ก่จิตใจของตนไม่ใหร้ ับผลอยา่ งใดอีกด้วย จึงไม่ใชเ่ ป็นของดีท่ีควรจะไปยึด

16

ไปถอื อารมณ์ของคนอ่นื มาเป็นของตน ๑ ธรรมะพน้ื ฐาน

ขณะภาวนาเราอย่าไปคาดไปหมายเวล่�ำเวลาอีกเช่นเดียวกัน แม้แต่ร่างกายก็ยังลืมไป เพ่อื ความสูงสดุ แห่งธรรม
เวลานั้น เพราะจิตจดจ่อเขา้ สู่วงแคบวงจ�ำเพาะ เชน่ ค�ำบริกรรม มีความรู้แย็บๆ อยู่กับค�ำ
บรกิ รรม อานาปานสตคิ ือลมนกี้ ร็ อู้ ยู่จ�ำเพาะลม ร่างกายจะมีกวา้ งแคบขนาดไหน ตามสภาพ ๒ การภาวนา
ของรา่ งกายมันกไ็ มไ่ ปเก่ยี วขอ้ ง เก่ยี วข้องเฉพาะลม ก็ทำ� ให้ลมื ร่างกายไปเหมือนกัน เพราะรู้
อยู่จ�ำเพาะ สติจดจ่อเข้าไปสจู่ ดุ เดียว จากนั้นก็สงบ ละเอียดลงไปๆ การก�ำหนดลมนี้ กำ� หนด ท่ีถูกต้อง
ไปนานๆ ลมจะละเอยี ด ละเอียดแทบไม่ปรากฏ แตจ่ ิตจะเดน่ ถา้ ลมหมดไปในความรสู้ ึก จิต
ไมห่ มดคอื ความรู้ ให้ถอื นนั้ เปน็ หลักอยูก่ ับความรู้น้นั อย่าไปคดิ ไปค้นหาลมมาอีก หมดไปใน ๓ เดนิ ตามหลักธรรม
ความรู้สึกก็ให้รู้วา่ หมด ผูท้ ี่ไมห่ มดคือความรูซ้ ่ึงเดน่ อยู่ภายในตัวเองก็อยู่กับอันนั้น นี่เรียก
ว่าการภาวนาทถี่ กู ตอ้ ง ตอ้ งทำ� กนั อย่างนน้ั เวลาสงบหลายครงั้ หลายหนเข้าไป จติ ยง่ิ คอ่ ยแนบ ด้วยอริยสัจ
แน่นลงไปโดยลำ� ดบั ๆ เรอ่ื งปญั ญา เปน็ อบุ ายแยบคายของแตล่ ะคนทจี่ ะคดิ คน้ ขน้ึ มาใชภ้ ายใน
ตัวเองตามนสิ ัย ท่านบอกไวเ้ ปน็ ส่วนใหญ่ เชน่ พิจารณาอาการหนง่ึ ๆ หรืออาการเดียวแล้วก็ ๔ สติกับจิต
ขยับขยายไปสูอ่ าการอ่ืนๆ ไปเอง อยา่ งนั้นก็มี นี่เป็นวิปสั สนาส่วนหยาบ ก็ตอ้ งเป็นอย่างน้ี
ก่อน อาศยั สญั ญาความหมายว่ารปู ร่างลกั ษณะของกายสว่ นนนั้ ๆ เปน็ อย่างนนั้ ๆ แลว้ กก็ ำ� หนด อย่าไดห้ ่างกัน
พิจารณาไปตาม พอเปน็ ปญั ญาจรงิ ๆ ขน้ึ มาแล้ว เรอ่ื งเหล่าน้ันจะหายไป เรือ่ งคาดเรอ่ื งคะเน
อะไรน้นั หายไป เปน็ เรอ่ื งของปัญญา เกิดเป็นความแยบคายขนึ้ มาโดยล�ำดับในตวั เอง ๕ ภมู ิใจทุกข์

จติ ทส่ี งบทา่ นกล่าวไว้ ๓ ว่า ขณิกสมาธิ ก็อย่าไปยึด อปุ จารสมาธิก็อย่าไปยึด คำ� เพราะความเพียร
พดู อนั น้ี อปั ปนาสมาธกิ อ็ ย่าไปยดึ คำ� พดู ชอื่ นามอนั น้ี ให้ถอื ผลทป่ี รากฏขน้ึ ภายในตวั มาก
น้อย คือสงบมากน้อยเรากร็ ู้ตวั ของเราเอง ไมม่ ีใครท่ีจะรลู้ ะเอียด รู้ได้ชดั เจนย่งิ กว่าจิต
ร้จู ิตรเู้ รือ่ งของตวั ให้เราถือเอาหลกั อนั นีเ้ ป็นสำ� คญั ในการพจิ ารณา

อยา่ ควา้ โนน้ คว้านี้ ขณิ กะเปน็ อยา่ งนนั้ ๆ มันคาดไปนะจิต กเ็ ลยไมไ่ ด้เป็น จนกระท่งั ขณิ
กะเอาจริงๆ แลว้ มนั ไม่เปน็ เพราะเราไปคาดเสยี ก่อน ไปวาดภาพไปเสีย เลยเป็นขณิ กะของ
คาดของการเดาการคะเนไปเสีย ไมใ่ ชเ่ ป็นความจริงท่ีปรากฏขึ้นภายในตัวเอง เพราะฉะนั้น
เพือ่ ความแน่วแน่ เพ่อื ความชดั เจน ไมก่ งั วล จงึ ควรสังเกตความสงบของตนทีม่ มี ากน้อยใน
ขณะทจี่ ติ มสี ติ ภาวนาเกิดความสงบขึ้นมา จะสงบประเภทไหนเราก็รู้ของเราเอง ชอ่ื นามนน้ั
เปน็ อกี อยา่ งหนึง่ เช่น ขณิ กะ อุปจาระ อปั ปนา กค็ ือความละเอียดแห่งความสงบนน่ั เองพูด
แล้ว ขณิ กะกค็ อื สงบลงไปชัว่ ขณะนีแ้ ลว้ กถ็ อยออกมาเสีย อุปจาระท่านว่ารวมเฉียดๆ ก็หาก
ถกู หรอื นยั หนึ่งกลา่ วไวว้ า่ รวมนานกวา่ ขณิ กะ อุปจาระน้ันไมใ่ ชเ่ ป็นการเรียงล�ำดับของสมาธิ
จากขน้ั ตำ�่ ไปขน้ั สงู เช่น ขน้ั อปุ จาระแล้วไปหาอปั ปนา คำ� ว่าอปุ จาระนน้ั คอื มนั สงบเขา้ ไปกจ็ รงิ
แต่จติ มนั แฉลบออกไปข้างนอก พอรวมแล้วไมเ่ ขา้ ส่ภู วงั ค์แห่งสมาธิ มนั แฉลบออกไปรเู้ หน็ สง่ิ

17

ตา่ งๆ อปุ ะ แปลวา่ เขา้ ไป จาระ แปลวา่ เทย่ี ว คอื เทย่ี วเห็นนั้นเหน็ น้ี รูน้ ัน้ รู้นี้ นกี่ เ็ ป็นตามหลกั
นสิ ยั ผทู้ จี่ ะร้กู ็รู้เองในวงสมาธิ ไมเ่ คยเรยี นรู้อะไรก็ตาม เม่อื ท�ำสมาธแิ ลว้ จริตนสิ ยั อยา่ งไรจะ
แสดงตัวข้นึ มาในสมาธนิ ั้นแล

เบอ้ื งต้นไมม่ ใี ครบอกวา่ ให้ร้สู งิ่ นนั้ ใหเ้ หน็ ภาพน้ี ถา้ หากวา่ มนี สิ ยั ในทางนน้ั แล้ว ไมบ่ อก
กร็ ู้ พอจติ เรม่ิ เขา้ สคู่ วามสงบแลว้ อาการเหลา่ นจ้ี ะแสดงตวั ออกมามากนอ้ ยตามจรติ นสิ ยั ของ
ตน ไมม่ ีใครบอก มนั เปน็ ขึน้ มาเอง โน่นแหละ ตอนเปน็ ขึน้ มาแลว้ ไม่ทราบจะปฏิบตั ิอยา่ งไร
การเหน็ เช่นนน้ั ถกู หรอื ผดิ จงึ ต้องเลา่ ใหค้ รใู หอ้ าจารย์ฟัง ท่านกแ็ นะอบุ ายวธิ วี า่ ให้ปฏบิ ตั อิ ย่าง
นนั้ ๆ สิ่งไหนท่ีไมด่ ที ่านก็บอกใหง้ ด อยา่ ไปรูอ้ ย่างนัน้ หรอื ประการหนึ่งถ้ารู้อยา่ งน้นั ใหพ้ ลิก
จติ มาเป็นอยา่ งนเ้ี พอ่ื แก้นมิ ติ นน้ั ให้ได้ประโยชน์ ถา้ ไม่แก้มนั กเ็ ป็นโทษ บางอย่างกท็ ำ� ให้เพลนิ
เพลินจนลืมเนื้อลืมตัวไป บางอยา่ งก็ท�ำใหโ้ ศกเศรา้ เพราะภาพมันก็เหมือนกับเรามองเห็น
ด้วยตานี้เอง ภาพทางใจ บางสง่ิ กน็ ่ารัก บางส่งิ กน็ า่ เกลียด น่ากลวั นา่ เพลดิ เพลิน มหี ลาย
อย่าง น่ีทา่ นเรียกว่าภาพ นิมิตท่ีปรากฏขึ้นในวงอุปจารสมาธิ อันน้ีไมค่ ่อยมีในนักปฏิบัติทั้ง
หลาย มีจ�ำนวนนอ้ ยมากที่ผู้ปรากฏเชน่ นั้น เพราะฉะน้ันเราจึงไม่ควรไปสนใจกับภาพตา่ งๆ
หากจะปรากฏจะเปน็ ข้ึนมา เป็นขึ้นมาตามหลักนิสัยของเราเอง ที่ท่านแสดงถึงลักษณะของ
สมาธิประเภทน้ี ไมใ่ ช่เปน็ การเรียงล�ำดับของสมาธิขึ้นสูข่ ้ันสูงโดยล�ำดับ แต่อัปปนาน้ันเป็น
อันวา่ เป็นลำ� ดบั คือขณิ กะ รวมไดบ้ ้างเล็กน้อย แต่อปั ปนานน้ั รวมได้แนบสนิท อัปปนาสมาธิ
อัปปนาภาวนา ขณะท่จี ติ รวมแล้วแนว่ แน่อย่โู ดยล�ำพงั ตนเอง เรียกวา่ อปั ปนาสมาธิ ทนี เี้ วลา
จติ เข้าถงึ ขนั้ อปั ปนาสมาธนิ แี้ ล้ว เมอื่ ถอนขนึ้ มา ความแนน่ หนามน่ั คงของใจ ฐานของใจนน้ั ยงั
มีความมั่นคงอยู่ คิดอา่ นไตร่ตรองอะไรได้อยูอ่ ย่างสะดวกสบาย แตฐ่ านของจิตไมล่ ะความ
มน่ั คง อย่างนท้ี ่านเรยี กว่าอัปปนาภาวนา ทง้ั ๆ ทีม่ คี วามสงบแนบแน่น แตก่ ็คิดปรงุ คดิ ปรงุ
แต่งหรอื ท�ำหน้าท่ีการงานอะไรได้

สมาธนิ เี้ ป็นการรวมอารมณ์รวมใจของตนให้เป็นพลงั หรอื เข้าสจู่ ดุ เดยี ว ให้
มกี ำ� ลัง มีความสุข มีความเย็นใจสบายใจ เม่ือเราจะตอ้ งการรอื้ ถอนกิเลส
ประเภทตา่ งๆ ตอ้ งรื้อถอนด้วยปญั ญา สมาธิเป็นแต่เรากวาดต้อนเข้ามาสู่
วงแคบ ไม่ใช่ผูป้ ระหัตประหารกิเลส เป็นแต่เพียงว่าตะลอ่ มกิเลสเขา้ มา
หรอื ตะล่อมกระแสจิตเข้ามา ใหจ้ ิตมีความอ่มิ ตวั

จิตที่ฟุง้ ซา่ นร�ำคาญคิดไปในสิ่งต่างๆ แงต่ า่ งๆ อยู่ตลอดเวลา เปน็ จิตท่ีหิวโหย แสดง
ความเดอื ดรอ้ นว่นุ วายให้แก่ตวั อยไู่ มห่ ยดุ หยอ่ น เวลาจติ มคี วามสงบแล้วยอ่ มไม่แสดงอาการ
อย่างน้ัน จงึ เรียกวา่ ใจมีความอมิ่ ตวั ในสมาธิ เมื่อใจมคี วามอมิ่ ตัวแล้วย่อมไม่หิวโหย ทนี่ ีเ่ รา
จะพาพิจารณาทางด้านปญั ญาก็ท�ำงานตามหน้าที่ไปเลยเพราะไม่หิวโหย พิจารณาแยกแยะ

18

เรอื่ งธาตเุ ร่อื งขนั ธ์ อายตนะของเราที่มอี ยู่นม้ี อี ะไรบา้ ง ในสว่ นร่างกายนมี่ นั เหมือนกนั ท่ัวทั้ง ๑ ธรรมะพน้ื ฐาน
โลกน้ี ผม ขน เลบ็ ฟนั หนัง เนื้อ เอ็น กระดกู พิจารณาใหม้ นั ลงอนิจฺจํ ทกุ ขัง อนัตตา อสุภะ
อสุภัง ป่าชา้ ผีดิบ ปา่ ช้าผีตาย มารวมอย่ใู นตัวของเรานี้หมด ไมร่ วมยังไง สัตวก์ ป่ี ระเภททีเ่ อา เพ่อื ความสูงสดุ แห่งธรรม
มารับประทานกัน อยูข่ า้ งในนี่มันเป็นปา่ ช้าผีตายอยูก่ ับป่าชา้ ผีเปน็ คือตัวเราซ่ึงยังไม่ตาย
พิจารณา นที่ ่านเรยี กวา่ ปัญญาแยกแยะดสู ิง่ ตา่ งๆ ภายในรา่ งกายนี้ จติ มนั กถ็ อนตวั ออกมา ๒ การภาวนา
เม่ือมนั เหน็ ชัดเจนแล้วก็ถอน
ท่ีถูกต้อง
คำ� วา่ ถอนตวั กค็ ือถอนจากความกดถ่วงหรือถอนจากความยึดมัน่ ถือมั่น ซึง่ กเ็ ปน็
ภาระอันหนักชนดิ หนึง่ ออกมาไดโ้ ดยล�ำดบั ตามความแยบคายของปัญญามากน้อย จน ๓ เดนิ ตามหลักธรรม
กระท่ังพิจารณาไดค้ วามชัดเจนในเร่ืองอวัยวะสว่ นตา่ งๆ ถา้ มันพอตัวของมันแลว้ มันก็
ปลอ่ ย มนั อม่ิ ตวั อกี ปัญญาอมิ่ ตวั ในขนั้ น้ี พจิ ารณาร้เู หน็ ตามเป็นจรงิ ของรปู ขนั ธ์ คอื กาย ด้วยอริยสัจ
นี้แลว้ ก็อิ่มตัว ค�ำวา่ อิ่มตัวคือหมดปญั หาที่จะพิจารณาให้เปน็ อย่างไรตอ่ ไปอีก เพราะ
เข้าใจแลว้ ๔ สติกับจิต

จากน้ันก็ขยับเขา้ ไปถึงพวกเวทนา เวทนาทางกาย เวทนาทางจิต ที่มันเกิดขึ้นกับกาย อย่าไดห้ ่างกัน
เกิดขน้ึ กบั จิต เบอื้ งต้นกเ็ กิดข้ึนกับกาย เช่น เราไม่สบาย รา่ งกายส่วนต่างๆ จติ ก็เกิดความ
กระวนกระวายและเปน็ ทกุ ข์ขน้ึ มา นน่ั เรยี กว่าทกุ ขเวทนาทางจติ เอามาพจิ ารณาอกี แยกแยะ ๕ ภมู ิใจทุกข์
ให้เห็นกายกับเวทนามันเป็นคนละอยา่ ง ไม่ใช่อันเดียวกัน แม้จะอาศัยกันเกิดขึ้นก็ไมใ่ ชอ่ ัน
เดยี วกนั เช่นเดยี วกบั แม่กบั ลกู ลกู นน้ั เกิดขนึ้ มาจากแม่จรงิ แต่มนั ไม่ใชแ่ ม่ มนั เป็นลกู มนั เป็น เพราะความเพียร
คนๆ หนงึ่ ตา่ งหาก ถึงอยู่ในทอ้ งแม่มันกไ็ ม่ใช่แม่ มันกค็ ือลกู อยู่นัน่ แหละ ทุกขเวทนาจะเกิด
ขึ้นภายในรา่ งกายส่วนใดก็ตาม เกิดข้ึนภายในจิตก็ตาม มันก็เป็นอันหน่ึงจากจิตอันหนึ่งจาก
กายอยู่น้นั แหละ เมือ่ ปญั ญาพจิ ารณาเห็นไดช้ ดั อย่างน้ี ประจกั ษ์ เมือ่ ตา่ งอนั ตา่ งไมค่ ละเคลา้
ด้วยการแยกโดยทางปัญญาน้ีแลว้ มันก็เบาจิตใจ เพราะไมถ่ ือรูปกายนี้วา่ เป็นเรา เวทนาน้ี
เปน็ เรา สัญญาเกิดขึ้นจากจิตก็อกี ท�ำนองเดียวกนั มนั กไ็ มใ่ ชจ่ ิต สงั ขารปรงุ ขนึ้ จากจิตกไ็ มใ่ ช่
จิต ท�ำนองเดียวกันกับลูกที่เกิดข้ึนมาจากท้องแม่ ออกมาจากท้องแมม่ ันก็ไมใ่ ชแ่ ม่ มันก็คือ
ลูกน่นั เอง มันคนละคน สัญญา สังขาร วิญญาณ แตล่ ะอย่างๆ มนั เป็นอนั หนง่ึ ของมนั เกิดขึ้น
มาจากใจแต่ไม่ใชใ่ จ เราก็เหน็ ได้ชดั เม่อื เหน็ ไดช้ ดั ชัดแลว้ ชัดเลา่ พจิ ารณาแลว้ พิจารณาเล่า
ซ้�ำๆ ซากๆ มันกอ็ ิม่ ตัวอกี เชน่ เดยี วกนั อิม่ ตวั ในเวทนา อ่มิ ตัวในสญั ญา อิม่ ตัวในสังขาร อมิ่
ตวั ในวญิ ญาณ เพราะได้พจิ ารณาร้แู ล้วเขา้ ใจแลว้ จะไปยดึ มนั อะไรว่าเป็นเราเป็นของเราเปน็
ของเขาอะไรไดอ้ กี มนั เป็นอาการหนึ่งๆ เท่านั้น นีเ่ รียกว่าปัญญา

ปัญญานี้เป็นทเี่ กาะของกิเลส เป็นท่ปี ระหัตประหารกิเลส สติเป็นสิ่งสำ� คญั
ที่จะควบคุมปัญญาจนกระทั่งเขา้ ถึงหลักใหญ่คอื จิต

19

รูปก็ทราบวา่ รูป ไมใ่ ช่จิต เวทนาก็ทราบว่าเวทนา ไมใ่ ช่จิต สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ ก็
ทราบวา่ สง่ิ น้ันๆ ไมใ่ ชจ่ ิต จติ ไมใ่ ช่สิ่งนั้น แล้วในจิตมอี ะไร ที่วา่ เปน็ จติ แตไ่ ม่ใช่จิตมนั มีอยู่นั้น
อกี นี่เรยี กว่าประเภทละเอยี ด กิเลสประเภทละเอยี ดมนั แทรกอยู่ภายในจิต จงึ ต้องใช้ปัญญา
อันละเอียดแหลมคมมาก อยา่ งไรก็ไมพ่ น้ จากมหาสติมหาปัญญา เปน็ สติปัญญาในหลัก
ธรรมชาติ อตั โนมตั ิ หมนุ ตวั อยเู่ ช่นนน้ั จนเป็นทเ่ี ขา้ ใจในสงิ่ ทแี่ ทรกซมึ อย่ภู ายในจติ ทจ่ี ะให้เปน็
เช้ือแหง่ ความเกิดแกเ่ จ็บตาย มันฝังอยู่ภายในจิต แลว้ เราจะแยกออกไดย้ ังไง เมื่อมันฝงั อยู่
ภายในจติ แลว้ นีส่ �ำคัญ

ถา้ เราหวงจติ กเ็ ท่ากบั หวงกิเลสประเภทนน้ั อกี เราต้องยกจิตเปน็ เป้าหมายอันหนึ่งใน
การพิจารณา เชน่ เดยี วกับเราพิจารณารูป เวทนา สญั ญา สังขาร วิญญาณ เราพิจารณารูป
อยา่ งไร เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ อย่างไร เราก็พิจารณาจติ เช่นนน้ั อกี แตเ่ ป็นฝา่ ย
ละเอยี ด เชน่ มี อนิจจัง ทุกขงั อนตั ตา สว่ นละเอียดแทรกอย่ภู ายในนน้ั เสรจ็ พจิ ารณาจนเปน็
ท่เี ขา้ ใจ ยกเอาจิตน้ันแหละออกมาเปน็ ตวั งาน หรือเป็นเป้าหมายแห่งการพจิ ารณา แยกแยะ
ทง้ั หมด มนั ก็เขา้ ใจ เอา้ จิตจะดบั ไปกด็ บั ซิ แตพ่ ิจารณาใหม้ ันแหลกละเอียด ถา้ จติ ไมแ่ หลก
กิเลสกไ็ มแ่ หลก จติ ไม่ละเอยี ด กิเลสไม่ละเอียด เอาให้แหลกเป็นจณุ วิจุณไปเลย ถา้ จิตทนต่อ
ความรูข้ องตนเองไม่ได้ จะดบั ไปเสียก็ให้รใู้ นขณะทีพ่ จิ ารณา เอ้า จติ จะดับไปกบั สิง่ ท้ังหลาย
เหรอ ก็ใหด้ ับ ไมเ่ สยี ดาย ไม่ถอื สทิ ธว์ิ า่ เปน็ เราเป็นของเรา แตถ่ อื ว่าเป็นสภาวธรรมอนั หนึง่ ท่ี
จะต้องพิจารณาใหเ้ สมอภาคเชน่ เดียวกันกับสิ่งทั้งหลายเพ่ือจะเข้าถึงความเสมอภาคอยา่ ง
ตายตัว ไม่สงวนจติ น้ันว่าเป็นตวั เป็นของตวั ไมร่ กั ไม่หงึ หวงเอาไว้ การรกั การหงึ หวงเอาไวก้ ็
เท่ากนั กบั เราหงึ หวงกเิ ลสประเภทหนงึ่ ทแ่ี ทรกอย่ภู ายในจติ นน้ั ไวเ้ ช่นเดยี วกนั จงึ ตอ้ งใชป้ ญั ญา
พจิ ารณาเขา้ ไป เอาจิตนั้นดว้ ยเป็นจดุ พิจารณา เอ้า ถา้ จะพดู ว่าให้แหลกกใ็ หแ้ หลกไปดว้ ยกนั
เมอ่ื จติ แหลกไปแล้วจติ จะหมดความรเู้ สยี คนทง้ั คนจะกลายเป็นหวั ตอกใ็ ห้ร้เู สยี ที ถ้าหากเปน็
หวั ตอแล้วพระพทุ ธเจา้ กต็ ้องเปน็ มาแล้ว สาวกตอ้ งเปน็ มาแล้ว ทำ� ไมเราจะเป็นหวั ตอเพยี งคน
เดยี วน้ีเท่านัน้ โดยการพิจารณาเชน่ เดียวกับพระพทุ ธเจา้ นี่เรยี กว่าจะปล่อยใหห้ มด รใู้ ห้หมด
เวลาพิจารณาเขา้ ไปถึงทแี่ ลว้ สว่ นมนั แตกกระจายออกไปมนั ก็กระจาย ไอจ้ ติ ทต่ี ัวรๆู้ ท่วี ่ามนั
จะดับไปกลับมันยิง่ เดน่ นัน่ อันน้ที นตอ่ ความเป็นอยู่ได้ ไมด่ บั สง่ิ เหลา่ นน้ั ทนไมไ่ ด้สลายไป
ทนสตปิ ญั ญาไมไ่ ด้ สลายลงไป เลยกลายเปน็ จติ บรสิ ทุ ธขิ์ น้ึ มา กลายเป็นธรรมขน้ึ มา ธรรมทงั้
แท่ง ธรรมทง้ั ดวง อกาลิกจติ อกาลกิ ธรรม หมายถงึ จติ ดวงน้ี นท่ี ่ีสุดแห่งการพจิ ารณา เมอื่
พิจารณาถึงตรงนี้แลว้ ก็เปน็ อันวา่ รอบตัว แลว้ จะพิจารณาอะไรอกี มนั หมด

น่ีแหละงานของจิต มาหมดท่ีจุดน้ีท่ีพระพุทธเจ้าวา่ วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ
กรณยี ํ พรหมจรรย์ได้อยจู่ บแล้ว กิจทจ่ี ะพงึ ทำ� ไดท้ ำ� สำ� เรจ็ เรยี บรอ้ ยแลว้ นา

20

ปรํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานาติ กิจอนื่ ท่จี ะท�ำให้ยงิ่ กว่านไ้ี ปอกี ไมม่ ี มีเทา่ นี้ น่ัน ๑ ธรรมะพน้ื ฐาน
แหละท่านเรียกว่าเสรจ็ กิจ
เพ่อื ความสูงสดุ แห่งธรรม
งานของธรรมนเี้ ปน็ งานยากงานลำ� บากกจ็ รงิ แตม่ กี ารจบการสน้ิ ลงได้ ไมเ่ หมอื นงานของ
โลก ซงึ่ ทำ� กนั อยตู่ ลอดจนกระทง่ั วนั ตายไม่สำ� เรจ็ เสรจ็ สนิ้ ไปไดเ้ ลย สดุ ทา้ ยผเู้ สรจ็ ผสู้ นิ้ กค็ อื ตวั ๒ การภาวนา
ของเรา เสร็จสิน้ ด้วยการตาย งานยงั ไม่เสร็จ วนั คืนปเี ดอื นยังไมเ่ สร็จ อะไรๆ เขากม็ ีของเขา
ตามสภาพ แตผ่ ้ทู ่ีเสรจ็ ผู้ทตี่ ายก็คอื เรา งานทางดา้ นธรรมะน้มี ีการเสรจ็ การสนิ้ ลงไปได้ เสรจ็ ท่ีถูกต้อง
แล้วมนั กห็ มดปัญหา จะทำ� อะไรตอ่ ไปอกี มนั ก็ไมม่ ีงานทำ� นอกจากอยไู่ ปภาวนาไปเพอ่ื เปน็
วหิ ารธรรม ความอย่สู ะดวกสบายในระหวา่ งขนั ธ์กบั จติ พอถงึ กาลของขนั ธ์สลายแล้วกม็ เี ทา่ นน้ั ๓ เดนิ ตามหลักธรรม
ทว่ี ่าทำ� เพอื่ จะถอดถอนกิเลสประเภทใดอกี มนั กไ็ มม่ ี เพราะสนิ้ ไปหมดแล้ว กิเลสจรงิ ๆ มนั อยู่
ทใ่ี จ ไมไ่ ดอ้ ยทู่ อ่ี าการภายนอก เชน่ กาย กริ ยิ าต่างๆ มนั อยทู่ ใี่ จ เมอ่ื ใจบรสิ ทุ ธแ์ิ ลว้ อากปั กริ ยิ า ด้วยอริยสัจ
นิสัยใจคอเคยเปน็ ยังไงก็เป็นอยูต่ ามเดิม แตม่ ันสักแตว่ ่าเปน็ เทา่ น้ัน มันไมม่ ีอะไรเป็นเคร่ือง
ผลกั ดนั ออกมาให้เปน็ เชน่ น้นั ๆ เหมอื นแต่ก่อน ๔ สติกับจิต

เพราะฉะนนั้ บรรดาสาวกทง้ั หลายไม่ว่าใครจนกระทงั่ ถงึ พวกเรากต็ าม จรติ อย่าไดห้ ่างกัน
นสิ ยั ของใครเคยเป็นยงั ไงกเ็ ปน็ อย่างนน้ั ไมเ่ ปลยี่ นแปลง แม้จะสนิ้ สดุ วมิ ตุ ติ
ถึงพระนิพพานแล้วกต็ าม กิริยาอาการจริตนิสัยนั้นๆ ก็จะต้องคงเสน้ คงวา ๕ ภมู ิใจทุกข์
อยู่ตามธรรมชาตขิ องตน ทั้งๆ ทจี่ ติ บรสิ ุทธแิ์ ลว้ เราจะดูทา่ นผสู้ นิ้ กิเลสกบั
ไมส่ น้ิ กิเลส ดไู มอ่ อก ถา้ ดอู อกกด็ ตู ามลกั ษณะทท่ี ่านพดู ใหฟ้ ังเทา่ นนั้ จะไป เพราะความเพียร
ดอู ากปั กิริยาดูไมอ่ อก เพราะมีการกิน การหลับการนอน การขบั การถ่าย
เรื่องของกายมันมีเหมือนกัน เปน็ แต่เพียงว่าจิตไมเ่ ข้ามายึดเปน็ เจา้ ของ
เป็นกิเลสตัณหาอาสวะขึ้นเทา่ นั้น ผิดกันที่ตรงน้ี จึงเปน็ อยู่ท่ีใจ ใจไม่เปน็
เหมอื นใจทม่ี ีกิเลส

การแสดงธรรมกเ็ หน็ ว่าสมควร เอาแคน่ ลี้ ะ

21

อฏฐฺ ฺงฺคิโก จ มคฺคานํ เขมํ อมตคามินํ.
บรรดาทางทัง้ หลาย ทางมีองค์ ๘ เป็นทางเกษมใหถ้ ึงอมตธรรม.

ม.ม. ๑๓/๒๘๑.

22

เดนิ ตามหลกั ธรรม
ดว้ ยอริยสัจ

เทศนอ์ บรมพระ ณ วดั ปา่ บ้านตาด เมอ่ื วันท่ี ๑๓ ตลุ าคม พุทธศักราช ๒๕๒๒

23

พระเรามหี นา้ ทอ่ี นั เดยี ว คอื การเดนิ จงกรม นง่ั สมาธภิ าวนาชำ� ระกิเลส งานกง็ านจำ� เพาะ
ผู้ทำ� กท็ ำ� จำ� เพาะ จตปุ จั จัยไทยทานทั้งสป่ี ระชาชนซ่ึงเป็นผ้มู คี วามเชื่อความเล่อื มใสในทา่ นผู้
ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบยังมีอยูม่ ากท่ีจะสนับสนุนเราผูต้ ้ังใจประพฤติปฏิบัติดังท่ีได้เห็นมาแลว้ นี้
เราขาดตกบกพรอ่ งอะไร นอกจากบกพรอ่ งทางความพากเพียรเรื่องมรรคเรอื่ งผลเท่านนั้ ไม่
เหน็ มีอะไรบกพรอ่ งในส่วนภายนอกทเ่ี ป็นเครือ่ งบำ� รงุ รักษาเราหรือเปน็ ปัจจยั สนับสนุน มแี ต่
บกพรอ่ งอย่ภู ายในตวั ของเราเอง เพราะหน้าทขี่ องเราบกพร่อง การงานของเราบกพรอ่ ง ความ
ร้คู วามฉลาดของเราบกพรอ่ ง ผลท่จี ะเปน็ ที่พึงใจโดยลำ� ดบั ต้งั แตค่ วามสงบรม่ เย็นภายในตวั
เองจนกระท่ังความสวา่ งกระจา่ งแจ้งภายในจิตใจเพราะอ�ำนาจของสติปญั ญาอันเกิดขึ้นจาก
ความพากเพยี รนนั้ มนั บกพร่องไปด้วยกนั ความบกพรอ่ งมนั ตกอย่ทู เ่ี รา ไมไ่ ด้ตกอยทู่ ปี่ ระชาชน
ผ้ใู หก้ ารสนบั สนนุ เรา เราจะคดิ อย่างไรจงึ จะเหมาะสมกบั เราเป็นผตู้ ง้ั หนา้ ตง้ั ตาประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ
และพรอ้ มแลว้ ทกุ อยา่ ง พร้อมแลว้ ไม่ทำ� มันกไ็ ม่เกิดประโยชน์ เพศน้เี ป็นเพศท่ีพรอ้ มแลว้ ตวั
เราท่ที รงเพศนพี้ รอ้ มแลว้ ในหน้าที่การงาน แตท่ ำ� อะไรท�ำไปแบบจับๆ จดๆ ทิง้ ๆ ขว้างๆ สกั
แตว่ ่าทำ� แล้วตอ้ งการผลเลยเมฆเลยนิพพานได้ยังไง ตอ้ งค�ำนึงถึงเหตเุ ปน็ สำ� คัญ

อะไรกต็ ามอยา่ ลมื ค�ำวา่ พุทธัง ธมั มงั สังฆงั สรณงั คจั ฉามิ ใหต้ ดิ แนบกับใจเสมอ
ทั้งฝ่ายเหตุฝ่ายผล เราจะไม่หลวมตัวไปในทางที่ไม่ดี และจิตใจก็จะมีความขยันหม่ัน
เพยี ร เพราะทางเหตพุ ระพทุ ธเจ้ากท็ รงบำ� เพญ็ มาแล้ว ไมม่ ใี ครมคี วามเพยี รกล้ายงิ่ กว่า
ศาสดา สาวกท่านก็พาด�ำเนนิ มาแล้วเราได้เหน็ ในต�ำรับต�ำรา ประวัติของพระสาวกเป็นยงั ไง
ความเพยี รของท่านเหลา่ นั้น ทา่ นมีความเก่ียวข้องยุ่งเหยิงวนุ่ วายกับโลกกบั สงสารอะไรบา้ ง
เพราะทา่ นเคยผ่านโลกมาเหมอื นกนั กบั พวกเรานี้ เมอ่ื ทา่ นมงุ่ เข้าทางดา้ นอรรถดา้ นธรรมแล้ว
ท่านก็เอาจริงเอาจังจนได้รเู้ ห็นมรรคผลนิพพานข้ึนมาภายในจิตใจ ทรงไวซ้ ึ่งความบรสิ ุทธอ์ิ นั
เป็นบรมสขุ เพราะเหตคุ อื การกระท�ำสมบูรณ์ ผลทจ่ี ะพึงได้รับก็ต้องสมบูรณ์แบบไปตามกัน
แยกกันไม่ไดร้ ะหวา่ งเหตุกบั ผล นพ่ี วกเราผลไม่ปรากฏ เพราะเหตมุ ันบกๆ พร่องๆ ไม่จริงไม่
จงั อย่าต�ำหนทิ ีอ่ ืน่ ใหต้ ำ� หนิเรา

การอบรมสั่งสอนผมกส็ อนเต็มภูมิของผม ส�ำหรบั พระท่มี าอยอู่ าศัยผม ไม่เคยมีปดิ บงั
ล้ีลบั เวลาเปดิ เปิดอยา่ งเตม็ ท่ี ทั้งฝา่ ยเหตฝุ ่ายผลที่ตนได้ด�ำเนินมาอย่างไรทกุ แง่ทุกมุม จน
กระทง่ั สดุ ความสามารถทจ่ี ะอธบิ ายให้หม่เู พอ่ื นฟงั ได้ ไม่เคยมคี วามปดิ บงั ลล้ี บั แมแ้ ต่นอ้ ยเลย
ทำ� ไมผ้ฟู ังจงึ ไมถ่ งึ ใจพอทจี่ ะเปน็ คตหิ รอื เปน็ เครอ่ื งดงึ ดดู จติ ใจใหห้ นกั ทางความพากเพยี รทกุ
ด้าน พอทจ่ี ะเกิดผลเกิดประโยชนข์ นึ้ มาแกต่ น ใหส้ มกับวา่ นกั บวชคือนกั ส้นู กั รบไม่ทอ้ ถอย

มรรคผลนิพพานมีอยู่ท่ีไหน เคยพูดให้ฟังจนปากเปยี กแล้ว อยา่ คาดมรรคผลนิพพาน
ว่าจะอยูใ่ นสถานท่ีน่ันท่ีน่ี กาลนั้นเวลาน้ี อยู่กับวัตถุอยูก่ ับเมฆกับหมอกดินฟา้ อากาศต่างๆ

24

ซง่ึ เปน็ เรอื่ งภายนอกและเรอ่ื งสมมตุ ทิ งั้ มวล รอบตวั ของเรานน้ี บั แตข่ นั ธอ์ อกไปทวั่ โลกธาตเุ ตม็ ๑ ธรรมะพน้ื ฐาน
ไปดว้ ยความทกุ ขท์ ง้ั นน้ั มรรคผลนพิ พานไมอ่ ยใู่ นสถานทเี่ หล่านน้ั แตอ่ ย่ใู นวงสจั ธรรมเปน็ หลกั
ประกนั ตวั หลักสัจธรรมคืออะไร สัจธรรมทั้งส่ี เพ่อื ความสูงสดุ แห่งธรรม

ทกุ ข์ ทุกข์กายทกุ ข์ใจเรยี กวา่ ทกุ ข์ ทกุ ข์น้ีแหละตัง้ ขน้ึ วา่ ทกุ ขัง อริยสัจจงั ๒ การภาวนา
ทุกขเ์ ปน็ ของจริงอันประเสริฐ แน่ะบอกไวแ้ ลว้ เปลี่ยนแปลงไปจากนี้ไมไ่ ด้
เป็นความตายตวั ทจี่ อมปราชญค์ ือพระพทุ ธเจ้าท่ฉี ลาดแหลมคมทรงรูแ้ ล้ว ท่ีถูกต้อง
และทรงบญั ญตั ไิ วว้ า่ ทกุ ขงั อรยิ สจั จงั ใหท้ ราบวา่ มอี ย่ใู นขนั ธใ์ นจติ ของเรา
นี้ ทุกขม์ ีไดท้ ้ังทางกายและทางใจ สมุทัย อริยสัจจัง สิ่งท่ีผลิตทุกข์ข้ึนมา ๓ เดนิ ตามหลักธรรม
ไดแ้ กก่ ิเลสประเภทหนึง่ ทีท่ ่านใหช้ ือ่ วา่ สมุทัย แดนเกิดข้นึ แหง่ ทุกข์ ไมว่ า่
ทกุ ขภ์ ายนอกภายใน เกิดข้นึ มาจากใจเป็นส�ำคญั ใจเปน็ ผผู้ ลิตขึ้นมา ทา่ น ด้วยอริยสัจ
ยกตัวอยา่ งมาเพียงย่อๆ วา่ กามตัณหา ภวตณั หา วิภวตัณหา สรปุ ความ
ลงแลว้ เรียกวา่ อยาก ความอยาก ความหวิ โหย ความไม่เพยี งพอในรูป ใน ๔ สติกับจิต
เสยี ง ในกลน่ิ ในรส เคร่อื งสมั ผสั ซึ่งเคยสัมผสั สัมพนั ธ์กันมาต้งั แตว่ นั เกิด
จนกระทง่ั บดั นี้ ไมเ่ คยมคี วามอมิ่ พอเลยกเ็ พราะตณั หาตวั นแี้ หละมนั หวิ มนั อย่าไดห้ ่างกัน
อยากอยูต่ ลอดเวลา นคี่ อื กิเลสตัวรบกวนทีส่ ดุ กินขา้ วอิม่ ขนาดไหน นอน
อ่ิมขนาดไหน ก็ย่ิงเปน็ การเพิ่มพูนเสริมก�ำลังของกิเลสให้กล้าแข็งข้ึนไป ๕ ภมู ิใจทุกข์
โดยล�ำดับ ให้มีความอยากความทะเยอทะยานมากขึ้น ราคะตัณหาก็
เพ่ิมพูนข้ึน เพราะส่ิงเหล่านี้เป็นเคร่ืองสนับสนุน น่ีแหละทา่ นเรียกว่า เพราะความเพียร
สัจธรรมประเภทหนึ่ง

ทกุ ขใ์ ห้พงึ ทราบ พดู ง่ายๆ ให้ทราบอยา่ งถงึ ใจด้วยความมสี ติ เอ้า เรายกเปน็ หลกั ปัจจบุ นั
ขนึ้ มาว่าเวลานที้ กุ ข์เกิดขน้ึ ทไี่ หน เกิดขนึ้ ทกี่ าย เกิดขนึ้ ทใี่ จ สมทุ ยั เกิดขนึ้ ทไี่ หน เกิดขนึ้ ทส่ี งั ขาร
สญั ญาความสำ� คญั มน่ั หมาย และเกิดขนึ้ จากการสมั ผสั สมั พนั ธ์สงิ่ ตา่ งๆ ดว้ ยอายตนะภายใน
และเกิดข้ึนโดยทางธรรมารมณภ์ ายในใจโดยเฉพาะ ที่ได้เคยผ่านเรอื่ งอดตี เกยี่ วกับรูป เสยี ง
กลิ่น รส เครื่องสมั ผสั เรือ่ งต่างๆ น้นั แหละแล้วเอามาครนุ่ คิดเป็นอารมณอ์ ยภู่ ายในจิตใจเผา
ลนตนอยูต่ ลอดเวลา ล้วนเปน็ การส่งั สมกิเลสเพอ่ื กองทุกข์ขน้ึ โดยสมำ่� เสมอไมม่ ีหยุดยั้งผอ่ น
คลายเลย กค็ ือสมุทัยตัวน้ี น่ีท่านเรยี กวา่ สมุทัยให้พยายามละ นน่ั ทา่ นบอก ทุกขใ์ หก้ �ำหนดรู้
สมทุ ยั ให้พยายามละ การละสมทุ ยั จะละดว้ ยวิธีใดถา้ ไม่ละด้วยมรรค

มรรคคืออะไร กค็ อื สตปิ ญั ญาเป็นสำ� คัญ สตปิ ัญญาเป็นเคร่อื งมือส�ำคัญท่ี
จะละสมทุ ัย ฟนั สมุทัยใหข้ าดสะบัน้ ลงไปดว้ ยสติปญั ญา

25

กามตณั หา มนั ชอบเรอื่ งอะไร คน้ ดตู ามเหตุตามผลทีม่ ันไปชอบ มนั ไปชอบรูป รูปหญิง
รูปชาย รูปพัสดุส่ิงของใดๆ เอา้ คน้ ดใู หเ้ หน็ ชดั เจน มนั เป็นสัตวเ์ ปน็ บคุ คลจริงๆ เหรอ เปน็ สงิ่
ทน่ี า่ รักใครช่ อบใจจริงๆ เหรอ ปัญญาคลีค่ ลายลงไปใหเ้ ห็นแจ่มแจง้ ชัดเจนแล้วมนั ก็ถอยตวั
เขา้ มาเอง ท่านวา่ ทกุ ขก์ ำ� หนดรู้ เอา้ เช่นทกุ ขเวทนาเกดิ ขนึ้ ในขณะนง่ั ภาวนานานกด็ ี ทกุ ขเวทนา
เกิดข้นึ ด้วยโรคภัยไขเ้ จ็บต่างๆ ก็ดี ทุกขน์ ี้มสี าเหตเุ ป็นทเ่ี กิดขน้ึ ให้ค้นหาสาเหตขุ องทุกข์มา
จากไหน ใครเปน็ ผ้สู ำ� คัญมั่นหมาย ใครเปน็ ผไู้ ปแบกหามเร่ืองทกุ ข์ ไปกวา้ นเอาทุกข์ท่ีเกิดขึน้
ภายในรา่ งกายนั้นเข้ามาเผาลนจิตใจใหเ้ กิดความเดือดรอ้ นกลายเปน็ ทุกข์สองชั้นข้ึนมาถา้
ไม่ใช่เจา้ สมุทัย สัญญาความส�ำคัญมั่นหมายน้ันแหละคือตัวการสมุทัย ฉะนั้น ทา่ นจึงให้
แยกแยะออกให้เห็นตามเรือ่ งของมัน ซ่ึงแต่ละอยา่ งๆ เป็นขนั ธ์เท่าน้ัน

ขนั ธ์แปลวา่ กองหรอื แปลวา่ หมวด แปลวา่ พวก กองรปู กองเวทนา สขุ ทกุ ข์
เฉยๆ กองสัญญา ความจ�ำได้หมายรู้ กองสังขารคือความคิดความปรุง
ภายในจติ ใจดีชว่ั ต่างๆ กองวญิ ญาณ เกิดขน้ึ ในขณะสมั ผสั กบั ส่ิงภายนอก
แล้วดบั ไปในขณะทส่ี ง่ิ สมั ผสั ผา่ นไป นเี่ ป็นกองๆ แตล่ ะอย่างๆ นเ้ี ปน็ อาการ
ออกมาจากใจ

รปู นไ้ี ม่ใชใ่ จกต็ าม แตใ่ จกเ็ ปน็ เจ้าตวั การเป็นผ้รู บั ผดิ ชอบ นอกจากนน้ั ยงั ยดึ ถอื เขานด้ี ้วย
เพราะอ�ำนาจแหง่ สมทุ ยั มีกำ� ลงั กล้า สามารถยึดเอาดิน เอาน�้ำ เอาลม เอาไฟ นีไ้ ปเปน็ ตวั ของ
ตัวอยา่ งแนบสนิทแกะไม่ออก ถา้ ไมน่ �ำสติปญั ญาเข้าไปคล่ีคลายดูใหเ้ ห็นตามความเปน็ จริง
ของมันแลว้ เราจะแยกจิตจากรปู กายของเรานไี้ มไ่ ด้

เวทนาก็เหมือนกัน เวทนาเกิดข้ึนภายในร่างกาย เราก็เลยเหมาเอาวา่ เวทนานี้เป็นเรา
ทุกขก์ ็เลยเป็นเราไปเสยี หาทางแยกจากกันไม่ได้เพราะไมม่ ีสติปญั ญาทีจ่ ะแยก แลว้ จะเรยี ก
วา่ เพียรละสมุทัยไดย้ ังไง เม่ือน�ำสติปญั ญาเขา้ ไปคลี่คลายดูทุกข์ให้เห็นจริงๆ ทุกขท์ างกาย
ก็ตาม ทุกขท์ างใจก็ตาม เอ้า กำ� หนดดทู กุ ขน์ ีม้ รี ูปลักษณะอยา่ งไร เวลาเปน็ ขึ้นมานี้ ทกุ ข์น้ีเขา
วา่ เปน็ เขาไหม เขาว่าเขาเปน็ เขาเปน็ เราไหม ว่าเปน็ ของเราไหม และเขาร้คู วามหมายของเขา
ไหมว่าเขาเป็นทกุ ข์ และเขามาให้ทกุ ข์แก่เราเขารไู้ หม เขาไม่รู้ เปน็ ความจรงิ อนั หนงึ่ ทป่ี รากฏ
ตัวขึ้นในบางกาลบางเวลาแล้วก็ดับไปตามสภาพของเขาเท่าน้ัน ท้ังๆ ท่ีเขาไม่มีความหมาย
ในตวั ของเขาเองเลยในขณะที่เกิดข้นึ ต้ังอยูแ่ ละดับไป จิตเป็นผไู้ ปใหค้ วามหมายต่างหาก ไป
ใหค้ วามหมายวา่ เปน็ ทกุ ขอ์ ยา่ งนน้ั เปน็ ทกุ ขอ์ ย่างน้ี พร้อมในขณะเดยี วกนั ทไ่ี ปให้ความหมาย
กย็ ึดเขาว่าเปน็ เราอีก ทกุ ข์เป็นฟืนเป็นไฟก็ยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา เราจึงกว้านเอาตงั้ แต่ฟืน
แตไ่ ฟเขา้ มาเผาลนตนให้เกิดความเดอื ดรอ้ นเปน็ ทกุ ข์สองชนั้ คอื ทกุ ข์ภายในใจเข้ามาอกี ด้วย
เหตุน้ีทา่ นถงึ ใหแ้ ยกดใู ห้เหน็ อย่างชดั เจน

26

เมื่อไดเ้ ขา้ ใจเรื่องของทุกขด์ ้วยปัญญาว่าทุกข์เกิดข้ึนเพราะสาเหตุอันใดถึงกับต้อง ๑ ธรรมะพน้ื ฐาน
กระเทอื นภายในจิตใจ ต้องเกิดขน้ึ จากสมทุ ัย ใจเปน็ ผูไ้ ปส�ำคญั ใจเป็นผหู้ มาย ทกุ ขจ์ ึงจะเกิด
ขึ้นภายในจิตใจได้ แมท้ ุกขจ์ ะเกิดขนึ้ ทางร่างกาย จติ ใจกต็ อ้ งเดือดรอ้ นวุ่นวายเปน็ ความทุกข์ เพ่อื ความสูงสดุ แห่งธรรม
ข้นึ มาข้นั หนึง่ เพราะอำ� นาจแห่งความส�ำคัญมน่ั หมายว่าส่งิ นนั้ เปน็ เราเป็นของเรา ว่าเราเป็น
ทุกข์ ไม่อยากใหม้ ันเป็น อยากให้มนั หายอยากเท่าไรความอยากนีก้ ย็ ิง่ เปน็ การเสริมกิเลสขนึ้ ๒ การภาวนา
มา
ท่ีถูกต้อง
การปฏิบัติตามหลักของสติปญั ญาหรือมรรคน้ันไมต่ อ้ งไปอยากใหม้ ันดับ
มนั จะเกิดขนึ้ มากน้อยใหร้ มู้ นั เรอื่ งทกุ ข์ แตค่ ้นหาเหตทุ เี่ กิดขน้ึ แหง่ ทกุ ข์นไี้ ม่ ๓ เดนิ ตามหลักธรรม
ถอยจนกระทง่ั เป็นทเี่ ขา้ ใจแลว้ ทุกข์กด็ บั ไปเอง ถึงทุกข์ไมด่ บั ความสำ� คัญ
ม่ันหมายของสัญญาอารมณ์นั้นก็ดับ ทุกขก์ ็เลยเป็นความจริงอันหน่ึงเดน่ ด้วยอริยสัจ
ชดั อยตู่ ามสภาพของตน เพราะจติ เปน็ ผ้รู ้เู ทา่ ความจรงิ ในทกุ ข์นน้ั ดว้ ย ความ
จรงิ ในตวั ของตวั ด้วย จงึ ไมม่ กี ารกระทบกระเทอื นซงึ่ กนั และกนั แม้ทกุ ขจ์ ะ ๔ สติกับจิต
ไม่ดับ เกิดขึ้นภายในร่างกาย เช่น เจ็บไข้ไดป้ ่วย มันก็ไม่สามารถท่ีจะไป
ทำ� ความกระทบกระเทือนหรอื ซึมซาบจิตใจให้หวัน่ ไหวไปได้เลย อย่าไดห้ ่างกัน

นีค่ อื ความเหน็ ทกุ ข์ดว้ ยความจริง เห็นสัจธรรมเห็นอย่างน้ี และเหน็ ย้อนเขา้ มาอีกกค็ อื ๕ ภมู ิใจทุกข์
ว่าจิตเท่าน้ันเปน็ ผู้ไปส�ำคัญมั่นหมาย จิตเท่านั้นเปน็ ตัวทุกข์ เพราะจิตเป็นผูส้ �ำคัญม่ันหมาย
จติ เปน็ ผูผ้ ลิตกิเลสข้นึ มา ความสำ� คัญมั่นหมาย ความยดึ ความถือตา่ งๆ เหล่าน้เี ปน็ เรอื่ งของ เพราะความเพียร
สมุทัย แลว้ จะไปไหนผล จะตอ้ งมาปรากฏที่จิต จิตจึงตอ้ งเป็นทุกข์ นี่แหละตัวส�ำคัญจริงๆ
เหน็ อริยสจั ต้องให้เห็นชัดๆ ท่นี ี่

มรรคก็ได้พูดแล้วว่าสติปญั ญา ดับทุกขห์ รือรื้อสมุทัย ร้ือถอนสมุทัยดว้ ยมรรค ทุกขก์ ็
เป็นอันดับไปพรอ้ มๆ กัน นิโรธไม่ตอ้ งบอก กิริยาแหง่ ความดับของทุกข์ เพราะอ�ำนาจของ
มรรคทถ่ี อนสมุทัยได้ นโิ รธเปน็ ผลพลอยได้ปรากฏขน้ึ เปน็ ลำ� ดับลำ� ดาตามอ�ำนาจของมรรคท่ี
ตดั สมทุ ยั อนั เปน็ เหตผุ ลติ ทกุ ข์ไดม้ ากน้อยเพยี งใด ความดบั ทกุ ขก์ ป็ รากฏขนึ้ เรอ่ื ยๆ จนกระทง่ั
ดับทุกข์โดยราบคาบไมม่ ีสิ่งใดเหลือภายในใจเลย เพราะดับสมุทัยโดยส้ินเชิงภายในใจ น่ัน
เรียกว่านิโรธเตม็ ภูมิเพราะสมทุ ยั เต็มภูมิ สติปญั ญาเต็มภูมิ นิโรธกเ็ ตม็ ภมู ิ ของจรงิ ทุกอย่าง
ทกุ ข์ สมทุ ยั นโิ รธ มรรค จริงตามส่วนของแต่ละอย่างๆ ไมถ่ กไม่เถยี งไมท่ ะเลาะกัน ต่างอนั
ต่างจริงตา่ งอันต่างอยู่ ทุกขเ์ กิดขึ้นภายในร่างกายก็ยอมรับวา่ น้ีเปน็ เรือนของมัน เราอยู่ได้
ทำ� ไมเขาจะอยไู่ ม่ได้ ส่วนสมุทัยน้ันดับไม่มีเหลือเลย เพราะมรรคบ�ำราบปราบปรามไปเรยี บ
ไมม่ ีเหลอื

การกลา่ วทั้งหมดน้ีกลา่ วอยู่ในวงไหนท่ีจะให้เกิดมรรคผลนิพพาน ก็กล่าวอยูใ่ นวง

27

สัจธรรม ธรรมท่ีกล่าวทั้งส่ีประเภทนี้มีอยูก่ ับเราหรือไม่ ทุกข์ก็บีบค้ันอยู่ตลอดเวลาทั้งทาง
รา่ งกายและจติ ใจ ทำ� ไมเราเปน็ นกั ปฏิบตั ิจึงไม่รเู้ รือ่ งของทุกข์วา่ เป็นความจริงให้ประจกั ษใ์ จ
ของเราบา้ ง สติปญั ญาเอามาต้มแกงกินไม่ได้ถา้ ไมใ่ ชใ้ หถ้ ูกกับฐานะท่ีควรแกส่ ติปญั ญา คือ
เอาไปพนิ ิจพจิ ารณาใครค่ รวญในกิจการตา่ งๆ เฉพาะอย่างย่งิ กิจภายใน กิจละกิจถอนกิเลส
ต้องถอดถอนดว้ ยสติด้วยปญั ญา สติตอ้ งเปน็ เครือ่ งควบคมุ งานอยูต่ ลอดเวลาละไมไ่ ด้ นี่เปน็
สำ� คญั

เอาซิ เราเป็นนกั ปฏบิ ตั ิ เอาใหเ้ หน็ จรงิ เหน็ จงั ถ้าลงได้ร้ภู ายในจติ ใจแล้วไมม่ หี วนั่ พดู ได้
อย่างเตม็ ปาก ผ้ใู ดรแู้ คไ่ หนพูดได้อย่างเต็มปาก อาจหาญ ไม่สะทกสะทา้ น ก็คอื ผรู้ ู้ความจริง
ภายในตวั เอง ดังพระพทุ ธเจ้าตรัสร้ธู รรมแลว้ ธรรมเหล่านไ้ี มม่ ีใครสามารถน�ำมาสอนโลกได้
เลย แตพ่ ระองค์สามารถน�ำมาสอนโลกได้ด้วยความองอาจกล้าหาญเปน็ อาชาไนย ก็เพราะ
ทรงรู้จริงเห็นจริงพูดตามหลักความจริงจึงไม่มีการสะทกสะทา้ น ความจริงแล้วลบไมส่ ูญ
ธรรมะจงึ มีมาจนกระทง่ั ถึงทุกวนั นี้ หากวา่ ไม่มคี ุณคา่ เหนอื ส่ิงทงั้ หลายแล้ว ศาสนธรรมของ
พระพุทธเจ้าจะสาบสูญไปนานแล้วไมม่ าถงึ พวกเราให้ไดป้ ระพฤติปฏิบตั ิอยู่เวลานเี้ ลย

ธรรมทั้งหมดนีร้ วมลงอย่ทู ่ีไหน รวมลงอย่ทู ี่สจั ธรรมทง้ั ส่ี ทุกข์ดับไปเพราะ
สมุทัยดับ มกี ามตณั หา ภวตัณหา วภิ วตณั หา เป็นต้น น่คี อื สมุทัย คลค่ี ลาย
ดใู หเ้ หน็ ชดั เจนในสง่ิ ทสี่ ง่ิ เหล่านมี้ นั ต้องการไปอยาก ดใู หเ้ หน็ ชดั เจนความ
อยากมนั ก็ถอนตวั ออกมาเท่าน้ันเอง

มรรคคอื อะไร สมั มาทฏิ ฐิ สมั มาสงั กปั โป เรอื่ งของปญั ญาแนบสนทิ สมั มาวาจา สมั มา
กมั มนั โต เอ้า ยน่ เข้ามาให้ถงึ ขน้ั ละเอยี ดของผ้ปู ฏบิ ตั ิ การกลา่ วชอบกลา่ วสนทนาปราศรยั กนั
เรื่องถอดเรื่องถอนกิเลสอาสวะ ไมไ่ ดก้ ลา่ วเรื่องโลกเร่ืองสงสารการบ้านการเมืองอยา่ งนั้น
อยา่ งนี้ กล่าวเป็นเคร่ืองสมั โมทนียกถา เครอื่ งรนื่ เรงิ เปน็ คติเตอื นใจซง่ึ กันและกนั ในการท่ีจะ
กำ� จัดกิเลสอาสวะออกจากจติ ใจโดยลำ� ดบั ชอ่ื วา่ สมั มาวาจา ในหลกั ธรรมทา่ นอธิบายสมั มา
วาจา การกลา่ วชอบคอื กล่าวสลั เลขธรรม ๑๐ ประการ ไดเ้ คยอธบิ ายให้ฟังแลว้ สลั เลขธรรม
คอื อะไร

สัลเลข แปลวา่ ธรรมเปน็ เครื่องขัดเกลาหรือช�ำระกิเลสหรือปราบปราม
กิเลส พูดกนั ถึงเร่ืองวิธีการปราบปรามกิเลส เรียกวา่ สัลเลขธรรม มี ๑๐
ประการ

คือ อปั ปจิ ฉตา ความมักนอ้ ย สนั โดษ รองกันลงมา ความยนิ ดตี ามมีตามเกิดแหง่ ปัจจัย

28

ทานทงั้ หลาย วิเวกกตา ชอบวิเวกสงดั อสังสัคคณิกา ไมค่ ลุกคลดี ว้ ยหมูด่ ้วยคณะจนหาเว ๑ ธรรมะพน้ื ฐาน
ลำ่� เวลาไมไ่ ด้ วริ ยิ ารมั ภา ประกอบความเพยี รอย่โู ดยสมำ�่ เสมอในอริ ยิ าบถตา่ งๆ ไมป่ ระมาท
นอนใจ ศีล รักษาใหม้ ีความบริสุทธิ์หมดจดอยูเ่ สมอ เพราะศีลเป็นสมบัติของพระโดยแท้ เพ่อื ความสูงสดุ แห่งธรรม
สมาธิ พยายามอบรมใหเ้ กิดให้มีขึ้น ให้มีจิตใจเยือกเย็นเห็นผลประจักษเ์ พราะการบ�ำเพ็ญ
สมาธภิ าวนาเป็นขนั้ ๆ ไป ปัญญา คอื การคลค่ี ลายความเฉลยี วฉลาดของตนออกตรวจตราสง่ิ ๒ การภาวนา
ทงั้ หลายทีค่ วรแก่ปัญญาใหเ้ ข้าใจ มไี ตรลกั ษณเ์ ป็นส�ำคญั เม่อื เตม็ ภมู แิ ลว้ ก็เปน็ วมิ ุตติ วมิ ุต
ตญิ าณทสั สนะ นี่ ๑๐ ข้อด้วยกนั คอื สลั เลขธรรม ถา้ กล่าวใหก้ ล่าวอย่างนี้เปน็ สมั โมทนียกถา ท่ีถูกต้อง
เคร่อื งรื่นเรงิ ซง่ึ กันและกนั
๓ เดนิ ตามหลักธรรม
สมั มากัมมนั ตะ การงานชอบ การงานในทีเ่ ชน่ ไรเรยี กวา่ ชอบสำ� หรับนกั ปฏิบัติ งานคอื
การเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา น้ีแหละคืองานชอบยิ่ง งานชอบน้ีเปน็ ไปเพ่ือถอดถอนกิเลส ด้วยอริยสัจ
งานอยา่ งอนื่ ถงึ จะชอบกต็ ามแตเ่ ปน็ ความกงั วลว่นุ วาย กลายเปน็ เรอ่ื งสง่ เสรมิ กเิ ลสสงั่ สมกเิ ลส
ขน้ึ มาโดยไมร่ ้สู กึ ตวั เพราะฉะนน้ั ผ้ทู ช่ี อบประกอบการงานตา่ งๆ ในเรอ่ื งภายนอก ก่อสร้างนนั้ ๔ สติกับจิต
ก่อสร้างน้ี จึงทายได้เลยโดยไมส่ งสัยว่าน้ันคือต้ังใจส่ังสมกิเลส น�ำกิเลสเข้ามาสังหารธรรม
ภายในจิตใจ หากมีอยูแ่ ล้วก็ใหฉ้ ิบหายไปหมด หากไม่มกี ็ให้เตยี นโล่งไปหมดเลย จติ ทัง้ ดวง อย่าไดห้ ่างกัน
ไมใ่ หม้ ีธรรมภายในใจเลย จงึ ไม่เรียกว่างานชอบในธรรมขัน้ ละเอียด ในธรรมของผู้ปฏิบัติ
๕ ภมู ิใจทุกข์
สัมมาวายามะ เพียรชอบเพียรในที่ ๔ สถาน ทา่ นก็บอกไว้แล้วพอเข้าใจ พยายาม
ส�ำรวมระวังบาปไมใ่ หเ้ กิดขึ้น บาปคือความเศรา้ หมองของใจจะน�ำมาซึ่งทุกข์นั่นแหละ เพราะความเพียร
พยายามละบาปท่ีเกิดข้ึนแล้วใหห้ มดไปๆ พยายามสั่งสมความดีที่ยังไมเ่ กิดข้ึนใหเ้ กิดข้ึน ที่
เกิดขึน้ แล้วรักษาใหม้ ีความจีรังถาวรหรือยงั่ ยืนเจริญรงุ่ เรืองข้ึนไปโดยล�ำดบั

สัมมาสติ ต้ังสติไวช้ อบกต็ ้ังไว้ในสัจธรรมทัง้ สี่ ในสตปิ ัฏฐาน ๔ น้จี ะเปน็ อาการใดก็ตาม
เรยี กว่าตงั้ สติไว้ชอบตรงน้ี

สัมมาสมาธิ กเ็ ป็นสมาธิทีช่ อบ ไมใ่ ช่เป็นสมาธทิ ่ีผาดโผนโลดเตน้ ไปเท่ยี วดเู มืองนรก
เมืองสวรรค์ เห็นเป็นเน้ือเปน็ หนังเปน็ อรรถเปน็ ธรรม เปน็ มรรคผลนิพพานข้ึนโดยความ
เสกสรรปัน้ ยอของตวั เอง ซ่ึงความจรงิ แลว้ ไมถ่ ูกตอ้ ง อยา่ งนี้ไมเ่ รียกว่าเป็นสัมมาสมาธิ เปน็
มิจฉาสมาธิ สมาธทิ ่ีถูกตอ้ งคือความสงบเยน็ ของใจ นเ่ี ปน็ พื้นฐานแหง่ สมาธอิ นั ถกู ตอ้ ง มนั ก็
หมดแล้ว น่ีพูดถึงเร่อื งมรรค น่ลี ะเป็นเครื่องสังหารกิเลสประเภทต่างๆ ให้หมดไปจากจิตใจ
ของเรา

จิตปกติมีการหมุนตัวอยูด่ ้วยการส่ังสมกิเลส เพราะกิเลสที่เปน็ พื้นของจิตที่บังคับจิตมี

29

อยู่ภายใน ได้แก่ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชชานั้นมันบังคับมันผลักใหส้ ังขารปรุงข้ึนมา
เรื่อยๆ ปรุงเปน็ เร่ืองของกิเลสตัณหาอาสวะ เร่ืองจะปรุงเป็นอรรถเปน็ ธรรมไมม่ ีทางสำ� หรับ
อวชิ ชาพาให้ปรงุ นอกจากธรรมพาใหป้ รงุ ซง่ึ เราต้องบงั คบั ในขน้ั เรม่ิ แรกตอ้ งบงั คบั ปรงุ สงั ขาร
ใหเ้ ป็นธรรมขน้ึ มากเ็ ป็นมรรคได้ สงั ขารฝ่ายสมทุ ยั กค็ อื สงั ขารทคี่ ดิ แต่เรอื่ งของการสง่ั สมกเิ ลส
เรียกวา่ สังขารท่ีเป็นสมุทัย สังขารท่ีเป็นมรรคก็คือปรุงแตง่ คิดอา่ นไตรต่ รองต่างๆ เก่ียวกับ
เรื่องอรรถเร่ืองธรรมเพื่อการถอดถอนกิเลสอาสวะประเภทตา่ งๆ น้ีเรียกวา่ เปน็ สังขารฝ่าย
มรรค มันก็อยทู่ ี่ใจนี้ท้ังน้นั

ทำ� ไมจงึ ไม่ได้เรอ่ื งไดร้ าวภาวนา ไม่เอาจรงิ เอาจงั อะไรบ้างเหรอยง่ิ กว่าการหลบั การนอน
ความขี้เกียจออ่ นแอ แลว้ เราจะหาความศักดิ์สิทธิ์วิเศษภายในจิตใจเราได้ยังไง เมื่อส่ิงท่ีเรา
เป็นไปอย่เู ราตดิ ใจหรอื แนบกบั ใจของเราอยอู่ ยา่ งสนทิ กค็ อื ความขเี้ กยี จออ่ นแอมกั ง่าย ความ
ไม่เอาไหน อนั นเ้ี หรอเปน็ ทางเพอ่ื บกุ เบกิ มรรคผลนพิ พาน ถา้ สงิ่ เหลา่ นดี้ แี ลว้ สตั วโ์ ลกไดบ้ รรลุ
มรรคผลนิพพานกันหมด ไมต่ ้องมาใช้ความพยายามด้วยความอดความทนความพากความ
เพยี รอะไรกนั เลย แตก่ ารพยายามนก้ี เ็ พราะว่านเ้ี ป็นทางบกุ เบกิ กิเลสตณั หาอาสวะเพอ่ื ความ
หลุดพน้ ต้องท�ำให้จริงให้จงั อย่านอนใจ

ศาสนาแคบเขา้ ทุกวันๆ นะอยา่ ว่าไม่บอก ครูอาจารยท์ ี่รู้ท้ังเหตุท้ังผล มี
ความช�ำนิช�ำนาญในทางบ�ำเพ็ญเหตุและผล น�ำมาอบรมส่ังสอนพอเป็นท่ี
ยึดเหน่ียวจิตใจของเราทุกวันน้ีมีน้อยเข้าโดยล�ำดับๆ ต่อไปก็จะเปน็ วา่ ว
เชือกขาดอยูบ่ นอากาศ ลมพัดไปทางไหนก็ปลิวไปตามลม เลยหากฎหา
เกณฑไ์ มไ่ ด้ ควรจะตกั ตวงเสยี เวลาทค่ี วรอยนู่ ี้ เราอยา่ เขา้ ใจว่าผทู้ เี่ ปน็ หลกั
เปน็ เกณฑ์ของพระสงฆ์น้ีมีจ�ำนวนมาก ไมม่ าก เรานับก็ไดน้ ับรายองค์ๆ
ของพระทเี่ ปน็ คตเิ ปน็ เครอ่ื งยดึ ของจติ ใจ ทงั้ ฝา่ ยการประพฤตปิ ฏบิ ตั ทิ กุ แง่
ทุกมุมและผลท่ีพึงได้รับ มีไม่มากและยิ่งเฒ่าแก่ไปโดยล�ำดับๆ ด้วย ถ้า
หากวา่ เราไม่พยายามตักตวงเอาเสยี แตเ่ วลานี้ซึง่ เปน็ กาลควรอยูแ่ ล้ว เรา
จะไปหวงั พง่ึ ใคร

เวลานเ้ี รามาหวงั พงึ่ ครพู งึ่ อาจารยใ์ นอบุ ายตา่ งๆ เพราะตนไมส่ ามารถ เมอ่ื ไดร้ บั การพงึ่
พงิ ได้รบั การสงั่ สอนอบรมจากทา่ นแล้ว เรากน็ ำ� ไปประพฤตปิ ฏบิ ตั เิ พอ่ื ให้เปน็ ผลขนึ้ มาภายใน
จติ ใจของตนให้มคี วามอบอนุ่ เยน็ ใจ อยา่ งน้อยคอื สมาธิ จากนนั้ ใหใ้ ช้ปญั ญาพจิ ารณาคลค่ี ลาย
ลงไป คำ� ว่าปัญญานก้ี วา้ งขวางมากจงึ ไมอ่ าจทจี่ ะแสดงลงในแงใ่ ดแงห่ นงึ่ หรอื ทว่ั ๆ ไปได้ โดยท่ี
ใหถ้ กู จรติ นสิ ยั ของทกุ ๆ ทา่ นไป นอกจากรายใดมคี วามแยบคายทางปญั ญา ไดพ้ จิ ารณาร้เู หน็
ในสง่ิ ใดอาการใดของธาตขุ องขนั ธ์เหลา่ นมี้ าเล่าให้ฟังว่าขดั ข้องตรงไหนนน้ั มที างทจี่ ะอธบิ าย

30

ให้ฟังไดท้ นั ที เพราะเป็นช่องเป็นจดุ ทตี่ อ้ งการอย่แู ลว้ อ้อ ขดั ขอ้ งจดุ นเี้ หรอ อธบิ ายใหฟ้ ังทนั ที ๑ ธรรมะพน้ื ฐาน
อธิบายไปกว้างๆ มนั ลำ� บากดังทีเ่ คยพูดแลว้ นี้
เพ่อื ความสูงสดุ แห่งธรรม
พดู ทา้ ยเทศน์
๒ การภาวนา
เราเตอื นอย่เู สมอ เพราะเราเหน็ คณุ คา่ ของความเพยี รทางดา้ นจติ ใจนม้ี ากยง่ิ กว่าสงิ่ อน่ื
ใดนะ มนั จำ� เป็นกท็ �ำไปอย่างน้ันแหละท้งั ๆ ท่ีไมไ่ ด้สะดวกใจ แต่สิ่งอาศัยจะทำ� ยังไงกอ็ นโุ ลม ท่ีถูกต้อง
ใหเ้ ปน็ ไปทงั้ ๆ ทไี่ ม่สบายใจ กร็ อจงั หวะทจี่ ะคอ่ ยหยุดคอ่ ยงดมันอยเู่ สมอ ไม่ให้ติดอกติดใจ
ไม่ให้เพลินกับเรื่องการงานภายนอก ผมไมเ่ ห็นงานเหล่านี้เปน็ งานส�ำคัญนอกจากจะท�ำลาย ๓ เดนิ ตามหลักธรรม
จติ ใจของเรา แตเ่ มอื่ มนั จำ� เป็นตอ้ งได้อาศยั สงิ่ เหลา่ นอี้ ยแู่ ลว้ กใ็ ห้ทำ� ไปเฉยๆ ดว้ ยความจำ� เป็น
เฉพาะกาลเท่านนั้ ท่ีตลอดไปก็คือความเพียรทางด้านจิตใจ ด้วยอริยสัจ

น่ีเรามุ่งอย่างน้ันจริงๆ จิตของเราเปน็ อยา่ งนั้นจริงๆ ดว้ ย เพราะเราไมไ่ ดป้ รากฏเปน็ ๔ สติกับจิต
ความวิเศษวิโสอะไรกับสิ่งเหล่านั้นเลย นอกจากความเพียรเทา่ นั้นพาให้ได้รับความแปลก
ประหลาดอศั จรรย์ขน้ึ มาทกุ ระยะๆ มากน้อยตามกำ� ลงั ของเรา เราไดจ้ ากความเพยี รเราไมไ่ ด้ อย่าไดห้ ่างกัน
จากสงิ่ เหลา่ นนั้ เราจงึ ไมไ่ ดย้ กยอสง่ิ เหล่านนั้ วา่ เหนอื จากความเพยี รทางด้านจติ ใจนไี้ ป อย่ใู น
หวั ใจนจี้ ะปฏเิ สธไปไหน เหน็ อย่รู อู้ ยตู่ ลอดเวลานหี่ ลกั ฐานพยานว่าธรรมคอื อะไร ไม่ต้องตอบ ๕ ภมู ิใจทุกข์
ก็ไดม้ ันรู้อยูแ่ ล้วว่าธรรมคืออะไร พระพุทธเจ้าท่านวิเศษด้วยอะไร พระสงฆส์ าวกท่านวิเศษ
ด้วยอะไร อย่างนไี้ มต่ อ้ งตอบมนั บอกอยู่ในตวั เสร็จเลย ฝา่ ยเหตุกด็ ว้ ยความเพยี รแกใ้ จ ฝ่าย เพราะความเพียร
ผลก็คือความสว่างกระจา่ งแจง้ อาโลโก อุทปาทิ อยูท่ ่ีใจน้ันเลย ไมม่ ีอะไรมาปดิ บังหุ้มห่อ
แม้แตน่ ิดหน่ึงขึ้นชื่อวา่ สมมุติ เปน็ หลักธรรมชาติของจิตดวงน้ัน เป็นอิสระอยูภ่ ายในตัวโดย
หลักธรรมชาติ

จติ ไมอ่ ยู่หวั ใจคนเราน้จี ะอยู่ที่ไหน ความทกุ ข์ร้อนกเ็ คยทุกขม์ าพอแลว้ น่ี มันกท็ กุ ขอ์ ยทู่ ี่
หัวใจ หาความสบายไมไ่ ด้ จะกินอาหารเอรด็ อร่อย ที่นอนหมอนม้งุ ดขี นาดไหน อะไรดีมมี าก
มีน้อยก็ไม่เห็นมีอะไรมาชว่ ยจิตใจได้เลย พอจะสวา่ งสรา่ งซาจากความทุกข์เหล่าน้ีนอกจาก
ความเพยี รเทา่ นนั้ มันเปน็ มาหมดไมส่ งสัยเร่อื งของกิเลสท�ำเรานะ ในอัตภาพนี้แหละ เฉพาะ
อย่างยงิ่ ในเวลาบวชซงึ่ เป็นเวลาจะมองดหู วั ใจ เวลาปฏบิ ตั นิ เ่ี ปน็ เวลาทเ่ี หมาะสมยง่ิ ทไ่ี ด้ดหู วั ใจ
ระหวา่ งใจกบั ทกุ ข์มันคลอกกนั มนั เผากัน มนั เผาด้วยวธิ ใี ดบ้าง เผาดว้ ยอ�ำนาจของกิเลสมันก็
เดน่ ละซี มนั ลืมไดย้ ังไงมันอย่ทู ใ่ี จ เวลาจะปราบมนั หรอื เวลาปราบมนั น้ี โอโ้ ห แทบเปน็ แทบ
ตายไม่ลืมหูลืมตา ทุกขย์ ากล�ำบากท่ีสุดเร่ืองการประกอบความเพียรส�ำหรับผมเอง แตเ่ รา
แน่ใจว่าใครๆ ก็เถอะ เพราะกิเลสเปน็ ส่ิงทเ่ี หนยี วแนน่ ดว้ ยกนั ทัง้ นั้น ไม่ใช่เปน็ กลว้ ยหอมพอ
จะมาปอกกินกินเร่ือย กิเลสไมใ่ ช่กล้วยหอมพอจะมาปอกเอางา่ ยๆ กินง่ายๆ แล้วเราจะมา

31

ท�ำความเพยี รแบบกลว้ ยหอมมนั จะเข้ากนั ได้เหรอ แต่ละตวั ๆ กวา่ มนั จะหลดุ ลอยออกไปได้
น้แี ทบเปน็ แทบตาย

ผมเคยพูดเสมองานใดก็ตามในโลกท่ีเคยผา่ นมา ผมยังไม่เคยไดส้ ละชีวิตจิตใจกับมัน
เลย ถึงจะยากขนาดไหนกต็ าม แต่งานภาวนาน้แี หม ได้สละไม่ร้กู ีค่ รั้งก่ีหนเปน็ พืน้ ๆ ไปเลยก็
มี ถา้ ถงึ จดุ เดน่ เอา้ ๆ ตาย ไม่ตายให้รมู้ ีเทา่ น้นั นน่ั เวลามนั ถึงจดุ เด่น มันเปน็ พกั ๆ ชนิดนี้ไม่
ทราบวา่ กคี่ รั้งแล้ว เอ้า ตายเถอะไม่ตายใหร้ ถู้ ่ายเดียวเทา่ นนั้ ไมม่ ีถอย ถา้ ลงไดเ้ อาๆ เถอะ
ขนาดน้ันแลว้ จติ โอโ้ ห เป็นหินหกั ไปเลยนะ จะถอยไม่ได้เปน็ อนั ขาด เอาตายเลยจริงๆ สละ
มาไม่ร้กู ค่ี รงั้ กหี่ นแล้วผลมนั กถ็ งึ ใจนน่ี ะ ถ้าลงไดห้ มนุ ตว้ิ แล้วเรยี กวา่ ไมม่ อี ะไรแลว้ ในโลกอนั นี้
มีแต่ตายกับร้เู ท่าน้ัน เอา้ เอาๆ เถอะ ตายไมม่ ีน้ำ� หนกั ยิ่งกว่าความม่งุ มนั่ อนั นี้ นนั่ ละความ
เพยี รมนั กห็ มนุ จลี๋ ะซิ สตปิ ัญญามีเท่าไรทมุ่ กันลงไปๆ แลว้ ได้ของอัศจรรย์ขน้ึ มาแตล่ ะครัง้ ๆ
เพราะมนั เปน็ พักๆ นี่ มนั ได้ด้วยวิธีน้ีท้ังน้ัน ไมไ่ ดด้ ้วยการปอกกล้วยหอม แลว้ จะมาสอนหมู่
เพอื่ นแบบปอกกลว้ ยหอมไดย้ งั ไง ผมสอนไมล่ งเพราะผมไดท้ ำ� มาแลว้ ไมไ่ ดท้ ำ� แบบปอกกลว้ ย
หอมน่ี

เวลารู้เขา้ ใจเป็นหลักเปน็ เกณฑ์ภายในจิตใจก็รูไ้ ดช้ ัดทีเดียวไมต่ ้องไปถามใคร ค�ำวา่
สนฺทิฏฐฺ ิโก น้ปี ระกาศลัน่ อยู่ในหวั ใจน้ี ไมม่ ปี ญั หาอะไรเลย สนฺทฏิ ฐฺ โิ ฏๆ พระพทุ ธเจ้าตรสั ไว้
ไม่มีปญั หาอะไร มันมีปัญหาอยูก่ ับกิเลสตัวรอ้ ยสันพันคมตา่ งหาก มันไม่ยอมใหเ้ ช่ือธรรม
พระพุทธเจา้ มันก็ให้ตอ่ สูก้ ับพระองคอ์ ยู่เสมอทั้งๆ ท่ีเราภาวนาเพ่ือพระพุทธเจา้ เพื่อพระ
ธรรม แต่มันตอ่ สูห้ รือลบลา้ งธรรมออกจากใจเพราะอ�ำนาจของกิเลสอยูต่ ลอดเวลาเราไมร่ ู้
เฉยๆ เมอื่ สตปิ ัญญาคอ่ ยทนั เขา้ ไปๆ ถงึ ร้กู ลมายามนั เรอื่ ยๆ ไปแหละ จบั กลมายามนั ไดเ้ รอ่ื ย
ไปๆ ฟาดมนั เรื่อย มนั ยากนะส�ำหรับผม ไดส้ ละชวี ิต เอา้ ถึงไหนถึงกนั ไม่รู้กีค่ รงั้ นะ นหี่ มาย
ถงึ วา่ ถอยไม่ได้เลยถา้ ลงได้ เอ้า เข้าไปอยา่ งนแ้ี ล้วเป็นถอยไม่ไดจ้ รงิ ๆ ต้องพ่งุ เลยเทยี ว ไมล่ มื
เวลามนั บบี บงั คบั เราน้ี โอ้โฮ ไม่มอี ะไรทกุ ขย์ ิง่ กวา่ ทุกข์จากกิเลสบบี บงั คับหัวใจ อยู่เฉยๆ ก็
เป็นฟนื เป็นไฟ เอ มันไดเ้ รือ่ งอะไร ไมเ่ ห็นมเี รือ่ งอะไรท�ำไมมันจงึ เป็นฟนื เป็นไฟขน้ึ ทีใ่ จ อยู่
เฉยๆ น่นี ะเกิดความหงดุ หงิดขึ้นมา ช่วงจิตมันเป็นทกุ ข์ เอ๊ อะไร มนั กไ็ มล่ มื นะเรอื่ งเหลา่ นี้
ฟาดมันลงเต็มที่เตม็ ฐานมนั พงั ทลายลงไปๆ พังลงเสยี หมดไม่มอี ะไรเหลอื แลว้ ไม่มอี ะไรมา
กดเลยจะว่าไง วนั คนื ปีเดือนกม็ แี ต่มดื กับแจ้งเทา่ นั้น อนั นเ้ี ป็นอกาลิโก หากาลหาเวลาไมไ่ ด้
ทีนี้ก็ยิ่งเห็นโทษเต็มรอ้ ยเปอร์เซ็นต์ ออ๋ เร่ืองทุกข์มีมากน้อยเป็นเพราะกิเลสท้ังมวลอยูบ่ น
หัวใจน้ี ใจจงึ ได้รับความทกุ ข์ความลำ� บาก มีอันนี้เทา่ นัน้ ไม่มอี ยา่ งอ่นื เลย

ตอนนงั่ ตลอดรงุ่ นี่ ผมมนั ทกุ ข์มาก เวลาเป็นไขก้ ม็ เี พราะต่อส้เู วลาเป็นไขไ้ มเ่ คยถอย ตอน
นัง่ ภาวนาตลอดรุง่ ก็แหมทุกข์มาก ทางกายกม็ าก ทางด้านจิตใจกห็ มนุ ต้ิว ออกจากนน้ั ไปติด

32

ปญั หาก็เปน็ ทกุ ขอ์ กี เหมอื นกันนะ ค้นไปๆ ไปเจอปัญหาจังๆ เขา้ แก้ไม่ได้ แกไ้ ม่ไดท้ างนก้ี ็ไม่ ๑ ธรรมะพน้ื ฐาน
ยอมถอยน่ี เอาให้ทะลอุ ยา่ งเดยี วไม่ทะลุ เอ้า ตายเลยกบั ปัญหานที้ ม่ี นั ขน้ึ ภายในจติ ใจ พอสติ
ปญั ญาคุ้ยเข่ียขดุ ค้นไปเจอกันเข้ากเ็ หมอื นกบั ว่าเจอข้าศกึ แล้ว ฟาดกันเลย คำ� วา่ แพ้ไม่มี ถึง เพ่อื ความสูงสดุ แห่งธรรม
ขน้ั ไม่มแี ลว้ ไม่มจี รงิ ๆ มแี ตต่ ายกบั เอาให้ชนะเท่านนั้ คำ� วา่ แพม้ ไี ม่ได้ ถงึ ขนั้ แพไ้ มไ่ ด้นมี้ นั ตอ้ ง
เป็นขน้ั ทวี่ า่ เดด็ ขาดคอขาดทเี ดยี ว ขนั้ ทมี่ นั ตอ่ ยเอาหงายลงไปๆ นนั้ กร็ กู้ นั แล้ว ขน้ั เรมิ่ แรกเรา ๒ การภาวนา
ไมม่ ลี วดมลี ายอะไรขนึ้ ไป ยงั ไม่ไดย้ กครเู ลยมนั ต่อยหงายลงไปแล้ว ไมท่ ราบมนั อย่ทู ไี่ หนกเิ ลส
ค่ตู ่อสู้มนั ตอ่ ยหงายลงไปแลว้ โห นับไมไ่ ด้ พอจิตใจได้หลักไดเ้ กณฑ์ขน้ึ มาบ้างกค็ ่อยฟัดค่อย ท่ีถูกต้อง
เหวย่ี งกนั ไป ฟดั เหวย่ี งกนั ไปหนกั เขา้ ๆ จนกระทง่ั อย่กู บั หมเู่ พอ่ื นไม่ไดถ้ งึ ขนั้ เตม็ ทขี่ องมนั แลว้
อยู่กบั เพื่อนฝูงไมไ่ ด้ ใครมาคยุ ด้วยไม่ไดเ้ ลยเสยี เวลา หาหลบหาซ่อนอยลู่ �ำพังคนเดยี วทัง้ วนั ๓ เดนิ ตามหลักธรรม
ท้งั คนื เวน้ แต่หลับเท่าน้ัน มแี ตเ่ รือ่ งต่อสู้กับกิเลสเท่าน้นั จะไม่ทกุ ขไ์ ดย้ ังไง แตจ่ ติ มันเพลนิ นะ
เวลานั้นมันลืมทุกขไ์ ป มีแต่เพลินที่จะตอ่ สู้กันทา่ เดียว จนกระทั่งมันพังทลายลงไปหมดไม่มี ด้วยอริยสัจ
อะไรเหลอื แล้ว ไมเ่ ห็นมอี ะไรมากวนใจ ถึงไดเ้ ห็นชดั เจนเตม็ ร้อยเปอรเ์ ซน็ ตว์ ่า ออ๋ มแี ต่เรื่อง
ของกิเลสทัง้ น้นั ขันธ์ ๕ ก็มแี ต่ปรุงยิบแย็บๆ มนั เกิดมันดบั ของมนั ๆ ไมเ่ หน็ มเี จา้ ของ เราไม่ ๔ สติกับจิต
ไปยดึ เสยี อยา่ งเดยี วก็ไม่มีเจ้าของ มนั กจ็ ริงของมันตามหลกั ธรรมชาติ ทง้ั ๆ ที่มนั กไ็ มร่ ู้ความ
หมายของมันว่าจรงิ หรอื ไมจ่ รงิ ขนั ธม์ นั ปรุงของมันยิบแย็บๆ พอถงึ กาลของมันแลว้ สิง่ เหลา่ อย่าไดห้ ่างกัน
นเี้ ป็นสมมตุ กิ ต็ ้องไปตามสมมตุ ิ เพราะไม่ใชว่ มิ ตุ ตนิ ี่ ขนั ธเ์ ปน็ วมิ ตุ ตไิ ดเ้ มอื่ ไร มนั กไ็ ปตามสมมตุ ิ
ของมนั ไปตามหามนั ทำ� ไม เราทกุ ขเ์ พราะสมมตุ นิ พี้ อแล้วน่ี มนั ไดว้ มิ ตุ ตลิ ะซี มนั ไดว้ มิ ตุ ตแิ ลว้ ๕ ภมู ิใจทุกข์
ยังจะไปตามหาสมมุตทิ ่ไี หนอกี อนาลโย หมดความหว่ งใย
เพราะความเพียร
เวลาเปน็ ข้ึนมาแลว้ เกิดความท้อถอย จิตใจไม่คิดจะพูดกับใครไดเ้ ลย มันย้อนถึง
พระพทุ ธเจา้ เหมอื นกนั นะ ทพ่ี ระพทุ ธเจ้าทรงทำ� ความขวนขวายน้อยไมอ่ ยากสงั่ สอนสตั วโ์ ลก
ในขณะทพี่ ระองคไ์ ปเจอใหม่ๆ นั้น ยังไม่ทรงคล่คี ลายอะไรออกไปให้กว้างขวาง เวลาไปเจอ
แลว้ โฮ้ จะพูดใหใ้ ครฟงั พูดใหใ้ ครฟังก็เหมือนไปชวนใหเ้ ขามาทะเลาะเราหาวา่ เราเปน็ บ้า
เหมอื นบ้า มาพดู อะไรใครจะไปร้เู รอ่ื งดว้ ย เหมอื นกบั ว่ามนั สดุ วสิ ยั ของมนษุ ยเ์ สยี ทง้ั มวลทจี่ ะ
รู้จะเห็นได้ ประหน่งึ มนั เลยวสิ ัยไปเสียหมด ทีแรกเป็นอยา่ งนั้นยังไมท่ ันไดใ้ ชค้ วามคิดมากไป
กวา่ นั้น ไปเจอในวงปจั จบุ นั นเ้ี ขา้ ไมไ่ ด้ย้อนถึงอดตี อนาคตอะไร จนกระทงั่ ท�ำให้ท้อใจ เม่ือได้
คลค่ี ลายออกไป เอา้ ถา้ มนษุ ยร์ ไู้ มไ่ ด้แล้ว นเ้ี ราเป็นอะไรเป็นมนษุ ย์หรอื เป็นเทวดาอนิ ทร์พรหม
มาจากไหนทำ� ไมถึงรู้ รู้เพราะเหตุไร ก็รเู้ พราะปฏิปทา แน่ะ ถ้ามปี ฏปิ ทาส่งั สอนไว้เมอื่ ดำ� เนิน
ตามนี้ก็รู้ไดล้ ะซี นน่ั ทางออกละทนี่ ีท่ จี่ ะขยายออกไป ธรรมทงั้ หมดสอนเพ่ือทจี่ ะให้รอู้ ันน้ี เปน็
ทางเดินท้ังนั้น หรือเปน็ บันไดท้ังนั้น ท�ำไมจะรู้ไม่ได้ วิเศษวิโสกว่ามนุษย์ท่ีตรงไหนถึงจะมา
อวดรู้แตค่ นเดียว มนั กม็ ที างออก ตามปฏิปทาเวลาเราฝกึ เราทรมานเรา โอโ้ ห เป็นกบั ตายไม่
เหน็ หนา้ ใครเลย เหมอื นผา้ ขรี้ ว้ิ อยใู่ นปา่ ในเขา ลมออกหนู ่นู นะไม่ได้ออกจมกู ไม่ทราบว่าเมอื่ ย

33

วา่ เพลยี เดินจงกรมบางทไี มก่ ต่ี ลบก้าวไมอ่ อก มนั เพลยี มนั จะก้าวไมไ่ หว เพราะอดอาหารนี่
นั่ง แต่จติ มันไมเ่ ป็นอยา่ งน้ันซิ มันเปน็ คนละโลก จิตมันผงึ ๆๆ แต่รา่ งกายมันหมดก�ำลงั เดิน
จงกรมไม่ไดก้ ีต่ ลบแหละจะก้าวขาไม่ออกแลว้ อ่อนแต่จติ ใจไม่ออ่ น ถา้ เปน็ อย่างนนั้ แลว้ ก็วนั
หลงั ไปบณิ ฑบาตมาใหม้ นั กนิ เสยี พอยงั ชวี ติ ใหเ้ ป็นไป แลว้ อดอกี อยอู่ ย่างนน้ั คอื การอดอาหาร
นี้ความเพียรมันสะดวกกว่ากันมากส�ำหรับนิสัยของผม เพราะฉะนั้นจึงตอ้ งเป็นไปดว้ ยความ
ถนดั ตามนสิ ยั ของตน เอาวธิ กี ารต่อส้กู ิเลสด้วยการอดอาหารจนกระทงั่ ทอ้ งเสยี เพราะอดเอา
จริงๆ เรานสิ ัยอย่างนถี้ ้าเอาอะไรเอาจริงเอาจัง ทอ้ งผมยงั ไมไ่ ด้อายุถงึ ๔๐ เสยี นะ เรมิ่ ๆ ให้
ร้ตู งั้ แตอ่ ายพุ รรษา ๑๐ เรม่ิ ให้รู้ อย่ภู เู ขา วนั ไหนฉนั จงั หนั แล้ววนั นนั้ กลางคนื มนั ถา่ ยออกหมด
ถ่ายออกหมดกห็ ยดุ ไปอกี ชา่ งหวั มนั กก็ ินให้อย่ไู ม่อยากอยกู่ ไ็ ปเสยี ซิ หลายวนั กไ็ ปบณิ ฑบาต
เสยี ทีมนั ก็ยิง่ ออ่ นลงไปเรือ่ ย

พอพรรษา ๑๖ ล่วงไปแล้วน้มี นั ไปใหญ่ ยงั ไม่ถึง ๔๐ อดทีไรเปน็ ทุกที แมเ้ พียง ๓ วัน
ไมเ่ อามากเอาเพยี ง ๓ วันมันกถ็ ่ายออกหมดเลย อด ๓ วัน วนั ค�ำรบ ๔ ฉันอยา่ งนมี้ ันก็ถา่ ย
ออกหมดเลยวนั ฉนั นน้ั นะ่ ไมม่ เี หลอื เลย ทดลองดทู ไี รเป็นทกุ ที จากนน้ั มากเ็ ลยหยดุ แหละ แม้
เชน่ น้ันมันก็ยังเร้ือรังมานานเรื่อย ทุกวันน้ีมันยังเปน็ อยู่แต่ลดน้อยลงบ้าง เป็นสาเหตุมาแต่
โนน่ แหละ แตผ่ มก็ไม่เสยี ดายผมไมไ่ ปยงุ่ กับมัน ก็กากเมืองนี่รา่ งกาย ทำ� เพ่ือเอามรรคเอาผล
ยังไงถึงจะใหม้ นั นอนอยูเ่ หมือนหมกู ต็ อ้ งตายอยดู่ แี หละ เอามันไปใช้งานจะเปน็ ไรไป แน่ะไป
อยา่ งนั้นเสีย ทที่ า่ นงา่ ยทา่ นกง็ ่ายแตเ่ รานไี้ มง่ า่ ยแหละ ความที่มันทำ� ยากก็ไดบ้ ทเรยี นหลาย
อยา่ งเหมือนกันนะ จิตก็รูแ้ ปลกๆ ต่างๆ แตอ่ ย่างนั้นภายนอกผมไม่เอาเขา้ มาในวงน้ีผมไม่
คอ่ ยพดู แหละ นอกจากมรี ายใดเขา้ มาเกยี่ วขอ้ งอนั นนั้ พดู ทนั ที พดู แตใ่ นวงสจั ธรรมนส่ี ่วนมาก
เพราะพดู ออกไปนน้ั ผทู้ มี่ นี สิ ยั อกี อย่างหนงึ่ มนั คอยจะยดึ แลว้ ทำ� ใหเ้ สยี ได้ มแี ปลกๆ อย่เู หมอื น
กนั จิตเรา

สมาธนิ มี่ ันก็แปลกอยู่มากนะสมาธิของผม คือเวลาจะเปน็ นร้ี วมปึ๊บลงไปเลยเหมือนฟา้
ถลม่ กม็ ี แต่สว่ นมากคอ่ ยๆ ลงไป สงบแน่วลงไปเปน็ ส่วนมากเป็นปกตนิ สิ ยั จะวา่ อยา่ งนอ้ี ย่าง
เดยี วกไ็ มไ่ ด้เวลาผาดโผนกม็ ี ปง๋ึ ทเี ดยี วเลยไมไ่ ดต้ ง้ั ตวั อะไร อย่างนนั้ กม็ ี นสิ ยั ของผมจงึ ว่าเปน็
เหมือนกับอะไร วิธกี ารของผมเหมือนกบั มดี สองคมน่แี ตไ่ มใ่ ชไ่ ปทางเสยี มนั เปน็ ลกั ษณะน้ัน
คอื ทายไมค่ ่อยถกู เจ้าของเองกท็ ายไมถ่ กู วา่ จะเปน็ นสิ ยั อยา่ งนๆ้ี เวลาจะเป็นสมาธแิ บบป๋งึ ลง
ไปเลยอย่างนี้กเ็ ปน็ ได้ มนั ไม่เปน็ อย่างเดยี ว ทีน้ผี ู้ท่ีรวมแบบนั้นเราก็พดู ไดล้ ะซิเพราะเราเปน็
มาแลว้ มันกเ็ ป็นครเู ป็นอาจารยอ์ ันหน่งึ ที่จะสอนหมเู่ พ่ือนในวาระต่อไปได้ ไปรู้สิง่ น้ันสิ่งน้ี ถ้า
สงบธรรมดาๆ ไปดว้ ยความมสี ติสตงั ครอบลงไปเรอ่ื ยๆ ลงจนถงึ พื้นถึงฐานมันกธ็ รรมดา ไม่
ไดไ้ ปยุง่ กับอะไรแหละ น่ีเรียกว่าสมาธิแบบน้ีไม่ค่อยล่อแหลมต่ออันตราย เปน็ ไปดว้ ยความ
สงบราบรืน่ แตส่ มาธแิ บบโลดโผนเปน็ ไปไดถ้ า้ สติปัญญาไมท่ ัน ปึ๋งลงไปแลว้ ไมอ่ ยู่ ปึง๋ ไปแล้ว

34

มันออกรู้ พอป๊บั ลงเต็มทแ่ี ล้วถอยออกมาไมร่ ตู้ ัวเลย ป๊ับออกรู้ ฟงั แต่ว่าสตปิ ัญญาเถอะไมร่ ู้ ๑ ธรรมะพน้ื ฐาน
ขณะน้ันก็ร้ขู ณะนจี้ นไดแ้ หละ ตามกันจนทนั
เพ่อื ความสูงสดุ แห่งธรรม
เราไม่ได้อย่างงา่ ยๆ แหละเรอื่ งอะไร พจิ ารณาจนไดเ้ หตไุ ดผ้ ลย้อนหนา้ ยอ้ นหลงั เฉพาะ
อยา่ งย่ิงท่ีท�ำให้ผมงงมากจริงๆ ก็คือกามราคะ ราคะนี้แหมงง ดีไม่ดีถ้าหากเราไมไ่ ด้ใชท้ าง ๒ การภาวนา
สติปญั ญาเปน็ พืน้ อยูบ่ ้างแล้วนี้ยังไงเราก็ต้องหลงเผลอตวั ใหม้ นั จนได้ คือผมพจิ ารณาอสุภะ
น่ีมันช�ำนาญจริงๆ เราพูดไดอ้ ยา่ งองอาจเลย มองดูคนเวลามันเข้าถึงข้ันอสุภะช�ำนาญแล้ว ท่ีถูกต้อง
มองดคู นไม่วา่ ผ้หู ญงิ ผชู้ ายไม่ไดเ้ หน็ แหละผวิ หนงั มนั พ่งุ เข้าไปเลย เดนิ ขนาด ๓ ก้าวนมี้ นั รอบ
ได้ ๕ รอบความเร็วของสติปญั ญา บังคับให้อยู่ผิวกไ็ มอ่ ยู่ พ่งุ เข้าไปทมี่ ันเคยช�ำนาญในการ ๓ เดนิ ตามหลักธรรม
พจิ ารณา ทนี ี้ต่อไปเรือ่ งราคะมนั ก็จางลงไปๆ จนกระทง่ั มันหายเงยี บไปเลย หายเงียบไปแลว้
ทีน้ีเอาเร่ืองหลอกมาหลอกมัน เอาเรื่องหลอกมามันก็พุ่งไปหาอสุภะนั่นเสีย ต้องบังคับกัน ด้วยอริยสัจ
เหมอื นกบั ตอ่ สกู้ นั อกี อนั หนงึ่ เหมอื นกนั ไม่ให้เข้า ใหม้ นั อยผู่ วิ นี่ อนั ไหนสวยอนั ไหนงามใหม้ นั
อยตู่ รงนี้ ไม่ใหไ้ ปไหน คอื มันหายเงยี บไปเลย ไดใ้ ช้อบุ ายมากมายตรงน้ี กค็ อ่ ยหมดไปๆ จาง ๔ สติกับจิต
ไปๆ จนหายเงยี บไปเลย ไมเ่ หน็ บอกระยะบอกขณะ เอ๊ อยา่ งนมี้ ันจรงิ ใจไดย้ งั ไง มันแนใ่ จได้
ยงั ไง นอนใจไดย้ ังไง ไมเ่ อาๆ อยู่อย่างนน้ั หมายถงึ วา่ อสภุ ะมันเกง่ มนั รวดเรว็ จริงๆ มองคน อย่าไดห้ ่างกัน
ทงั้ คนไม่ได้เหน็ หนงั นะ เปน็ เนอื้ หอ่ กระดกู จากนนั้ กพ็ งุ่ เขา้ ไปในกระดกู พงุ่ เขา้ ไปในนนั้ ทนั ทๆี
เร็วจรงิ ๆ เพราะฉะนนั้ ราคะมันถงึ หมอบ ๕ ภมู ิใจทุกข์

เวลาน้นั มนั เกิดความอาจหาญ มันหลอกเรา ไม่ใช่เล่นนะ เพยี งเราก�ำหนดผหู้ ญงิ สาวๆ เพราะความเพียร
ทัง้ นั้นยืนอยู่เป็นรอ้ ยๆ กต็ ามเราเดินบุกเข้าไปน้ีจะไม่มเี ลยเรอ่ื งก�ำหนดั โนน่ นะ่ มนั หลอกเรา
ขนาดน้ันนะความอาจหาญ อาจหาญบา้ น่นั แหละ มนั ยังไม่ไดจ้ ริงนี่ มนั อาจหาญแบบบา้ ตา่ ง
หาก ถงึ ไม่กำ� หนดั กต็ าม ผ่านป๊ดุ ไปนแ่ี ต่เชอ้ื ราคะนม้ี นั กย็ งั มอี ย่โู ดยดี เมอื่ เราผ่านนไี้ ปแล้วเรา
ถงึ ร้วู ่ามนั โกหกเราได้อยา่ งสนทิ คอื หมายความวา่ มนั ละเอยี ดมาก มนั เกิดความอาจหาญ ทนี ้ี
ออกจากน้ันแลว้ บิณฑบาตก็ดีเดินก็ดีเราจะไม่ดูคนแก่ เราจะหาดูตั้งแตส่ าวๆ คือหลอกอันนี้
มันจะแสดงอย่างไรบ้างความหมายวา่ อยา่ งนั้นตา่ งหาก มันจะแสดงอาการอยา่ งไร มันพุ่ง
เขา้ ไปเสียไม่ได้มีสาวมีแสวท่ีไหนแหละ เปน็ กองอสุภะด้วยกันไปหมดเสีย กองหนังเนื้อห่อ
กระดกู ไปเสยี หนงั ไมม่ ีเลยมนั แดงโรไ่ ปหมดเลย เพราะผมพิจารณาเนื้อมันเลยชิน คนทงั้ คน
ไม่มหี นังเลย มองดปู ๊ับมนั เข้าเนอ้ื แดงโรไ่ ปหมด จึงต้องมาพลกิ แพลงเปล่ียนแปลงใหม่ ต้อง
เอาหลายสนั หลายคมพลกิ ปลนิ้ ไปมาอยนู่ น้ั ทดลองในแงต่ ่างๆ ทงั้ ปลอบทงั้ ข่จู นกระทง่ั มนั ได้
เรือ่ งชัดเจน มันทนปญั ญาไม่ได้ นีล่ ะปญั ญาจึงสำ� คญั มากนะไปนอนใจไม่ไดน้ ะ พลิกไปพลิก
มาใช้สติปัญญาหลายดา้ นหลายทางเขา้ ไปมนั ก็จับกนั จนได้ พอมันไดจ้ ังๆ แล้ว ทนี ้ี เอ้อ มัน
ต้องอย่างน้ีซิ

35

สติ โลกสฺมิ ชาคโร.
สติเป็นธรรมเคร่อื งตนื่ อยูใ่ นโลก.

สํ.ส. ๑๕/๖๑.

36

สติกับจติ
อย่าได้ห่างกนั

เทศนอ์ บรมพระ ณ วดั ปา่ บ้านตาด เม่ือวันที่ ๑ เมษายน พทุ ธศักราช ๒๕๑๑

37

พระเรามจี ำ� นวนมาก หลายองค์งานมนั กม็ าก ทำ� ใหย้ งุ่ เหมอื นกนั ตา่ งองคใ์ หเ้ ร่งภาวนา
สตกิ ับจิตอย่าใหห้ ่างไกลกนั ผปู้ ฏิบตั ิรายไหนทีม่ ีความจดจ่อดูความเคล่ือนไหวของตวั เองนน้ั
แหละจะได้ทราบความดชี วั่ ทแ่ี สดงอย่กู บั ตวั ตลอดเวลา อยา่ ไปสนใจกบั สงิ่ อนื่ มากยง่ิ กว่าสนใจ
กับเร่ืองของตัวที่แสดงออกและสิ่งท่ีมาเกี่ยวข้อง น่ีหลักของการปฏิบัติ ถ้าพูดถึงเรื่องความ
ล�ำบาก ไมม่ ีงานชิ้นใดจะล�ำบากย่ิงกว่างานของจิตที่จะพยายามทราบเรื่องของตัว โดยมาก
เรามองข้ามจุดสำ� คัญไป หาความสุขก็หาในจุดท่ีไมใ่ ชค่ วามสขุ จงึ พบแตค่ วามทกุ ข์ หาถูกจดุ
มนั กม็ คี วามสขุ ต่างทา่ นต่างมาในทต่ี า่ งๆ จากทตี่ ่างๆ มาอบรมทง้ั เก่าทง้ั ใหม่ โปรดไดส้ งั เกต
จากหมู่เพื่อนที่อยู่กอ่ นแล้ว อย่าท�ำตามความชอบใจของตนที่เห็นวา่ เคยชินมาโดยไมค่ �ำนึง
ถงึ วา่ ผดิ หรอื ถกู การสำ� เหนยี กศกึ ษาเคยไดอ้ ธบิ ายให้ฟงั หลายครง้ั แล้ว ทกุ สงิ่ ทกุ อย่างทส่ี มั ผสั
กบั ตาหจู มูกลิ้นกายใจของเรา เป็นสิง่ ทจี่ ะใหค้ วามรคู้ วามฉลาดได้ ถ้ามีความจดจอ่ เพอ่ื อยาก
รอู้ ยากเห็นในสิ่งทเี่ กย่ี วขอ้ งกับตน แตถ่ า้ ไม่สนใจแมจ้ ะสัมผัสกนั อยวู่ ันยังค่�ำก็ไม่ได้เร่อื ง การ
จะพยายามต้งั ฐานจติ ให้ได้รับความสงบเยน็ ใจตลอดไป น่รี สู้ ึกจะล�ำบากอยบู่ ้าง จิตมฐี านถ้า
ทำ� ให้มี คำ� วา่ ฐานนนั่ หมายถงึ เป็นพน้ื ถ้าเป็นความร้กู เ็ ป็นพน้ื อยอู่ ย่างนน้ั ถา้ เปน็ ปญั ญากเ็ ป็น
พื้นของปัญญา คอื คิดอ่านไตร่ตรองอยเู่ ช่นนน้ั น่ีทา่ นเรยี กว่าพ้ืน เปน็ พืน้ เพ

จิตท่ียงั ไม่มพี ้ืนฐาน เวลาสงบก็สงบ แตเ่ วลาถอนขึน้ มาแลว้ ไมป่ รากฏความสขุ แต่
จติ ทมี่ พี น้ื ฐานแลว้ ตา่ งกนั เวลาสงบลงไปกเ็ สวยความสขุ ประเภททสี่ งบ คอื เกิดจากความ
สงบน้ัน เวลาจติ ถอนขึน้ มาก็เสวยความสขุ ซึ่งเป็นพื้นฐานของจิตทีไ่ ด้ชำ� ระมา นเ่ี รียกวา่
จติ มีพ้นื ผู้ท่ีไดร้ บั ผลทีส่ ืบเนื่องมาจากสมาธจิ นกลายเปน็ พ้ืนฐานของจิตแล้ว ชือ่ วา่ ผมู้ ที ่ีปลง
ท่ีวางใจไม่ค่อยจะรุ่มร้อนอยู่ท้ังวันท้ังคืน จะคิดจะอ่านไตร่ตรองอะไรก็พอมีเหตุมีผล จะยืน
เดินน่ังนอนอยใู่ นอิริยาบถใดหรือที่ใดก็ดี ก็ร้สู ึกจะเป็นความสุข ไมค่ อ่ ยจะมีทุกขม์ ารบกวน น่ี
ทา่ นเรยี กว่าพน้ื ฐานของจติ ความคดิ ความปรงุ กค็ ดิ ได้ปรงุ ได้ แตไ่ ม่ไดค้ ดิ ไปในสงิ่ ทจ่ี ะทำ� ความ
ก่อกวนตนเองใหไ้ ดร้ บั ความทุกข์เดอื ดร้อนเหมือนอยา่ งท่ีเปน็ มา คดิ ก็คิดไปในทางอรรถทาง
ธรรม ผู้มีความสงบเป็นพ้ืนฐานของจิตเป็นอย่างนี้ ส่วนไมม่ ีพ้ืนฐานนั้นเราก็ทราบกัน เผลอ
ขณะเดียวเท่าน้ันมันก็คิดไปนอกลู่นอกทางแล้ว ย่ิงเผลอไปมากเทา่ ไรมันก็มีเวลาที่จะส่ังสม
ความคดิ ประเภททย่ี แุ หย่ทำ� ลายตวั เองตลอดเวลาทเี่ ราเผลอ แตจ่ ติ ทมี่ พี น้ื ฐานไม่เปน็ อยา่ งนน้ั
แมจ้ ะเผลอไปบา้ งก็ไม่คิดอย่างนั้น แมจ้ ะคิดก็มีจ�ำนวนนอ้ ย โดยมากก็คิดไปทางอรรถธรรม
จึงใหพ้ ากันพยายามท�ำจิตให้มีพื้นฐาน อยา่ เปน็ คนเหลาะแหละ อย่าเป็นคนง่อนแงน่
คลอนแคลน ให้เป็นคนจริง

ธรรมะพระพุทธเจ้ามแี ตจ่ รงิ ทั้งนนั้ ยดึ หลกั ธรรมะเข้ามาเปน็ หลักใจตอ้ งใหเ้ ป็นผู้ม่นั คง
อยา่ นำ� ความล�ำบากเขา้ มาเกยี่ วข้อง จะกลายเป็นอปุ สรรคขึน้ ทนั ที หนกั ก็ถอื เป็นงานของเรา
เบาก็ถือเป็นหนา้ ที่ของเราจะต้องท�ำ เพื่อความส�ำเร็จทั้งงานหนักงานเบา จิตถึงคราวจะ

38

ปลอบโยนก็มีบา้ ง ถงึ คราวจะขม่ ขูก่ ข็ ่มขู่กนั ไป จะให้มีแตป่ ลอบโยนทีเดียวกไ็ มไ่ ด้ หรอื จะให้ ๑ ธรรมะพน้ื ฐาน
มแี ต่ข่มข่ทู เี ดยี วก็ไม่ถกู ตอ้ งมีทั้งสองอยา่ งปะปนกันไปตามกาลทเ่ี ห็นควร หรอื จะควรปฏิบตั ิ
ต่อกรณใี ดในเรือ่ งของตัวเอง เพ่อื ความสูงสดุ แห่งธรรม

สง่ิ ใดจะทำ� ความออ่ นแอให้แก่จติ อย่าสนใจคดิ ถ้าจะคดิ กใ็ หค้ ดิ เรอ่ื งมาแกไ้ ขกนั เราต้อง ๒ การภาวนา
คิดถึงเร่อื งความออ่ นแอมีผลอยา่ งไรบ้าง น่นั ถ้าคิดๆ ไปอย่างน้นั ความข้เี กยี จออ่ นแอหรือ
ความทอ้ แทม้ ีผลอยา่ งไรบา้ ง เมือ่ จะนำ� ส่งิ เหลา่ นมี้ าใช้เราจะมีผลดอี ยา่ งไรบ้าง ถา้ เราคล้อย ท่ีถูกต้อง
ตามสง่ิ นจี้ ะมคี วามเจรญิ หรอื มคี วามเสอ่ื มไปเปน็ ลำ� ดบั เข้ามาเทยี บเคยี ง นนั่ ละนกั ปฏบิ ตั ติ อ้ ง
มีเหตุผลรกั ษาตัวอย่างนี้ ถา้ ไม่มเี คร่อื งรักษาไปไมร่ อด จะแบกตูค้ ัมภรี ไ์ ปกไ็ ปไมร่ อด มีความ ๓ เดนิ ตามหลักธรรม
เข้มแขง็ อาจหาญ ร่าเรงิ ทกุ ขเ์ พอื่ การถอดถอนสงิ่ ทเี่ ป็นขา้ ศกึ แกต่ นเอง ไมม่ ที างทจี่ ะเสยี หาย
ซึ่งควรทจ่ี ะลดตวั ลงให้เปน็ ไปตามอำ� นาจของกิเลส ด้วยอริยสัจ

การปฏบิ ตั ธิ รรมะตอ้ งทดสอบตวั เองอยเู่ สมอ วธิ กี ารต่างๆ ทเ่ี รานำ� มาใช้ ตอ้ งสงั เกตผล ๔ สติกับจิต
อบุ ายมายาของกิเลสที่แสดงตัวออกมา เราตอ้ งสังเกตผลที่ปรากฏขึน้ จากสิ่งเหล่านีเ้ สมอ ไม่
งั้นจะไมม่ ีทางหักห้าม ไมม่ ีทางแก้ไข ตามความรู้สึกของผม ถ้าเราได้ลงต้ังใจจริงๆ เราจะ อย่าไดห้ ่างกัน
พิจารณาอย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับทางสมาธิหรือเกี่ยวกับทางด้านปญั ญา จะตอ้ งเห็นผลเปน็
ลำ� ดบั หากไม่พิจารณาเอาจรงิ เอาจัง จะไม่ค่อยได้ผลและไม่ไดผ้ ล ๕ ภมู ิใจทุกข์

ผ้กู �ำหนดลมหายใจ สังเกตอย่เู ฉพาะลมเท่าน้นั มีหน้าท่ีอนั เดียว เอา้ มนั จะไปไหนลม มี เพราะความเพียร
แตเ่ ข้ากบั ออกเทา่ นนั้ เรอื่ งของลม เรากใ็ ห้ทำ� ความรสู้ กึ กบั ความสมั ผสั ของลมอย่เู ทา่ นนั้ เรอื่ ง
จะเกิดเปน็ ผลขนึ้ มาอย่างไรนน้ั เราไม่ตอ้ งไปคาดหมายในเวลาเช่นนนั้ ผลกบั เหตไุ ม่ไดห้ นจี าก
กนั คือไมแ่ ยกจากกนั ไปไหน ถา้ เหตุมคี วามสบื เน่อื งกนั ผลจะทนตัวอย่ไู มไ่ ด้ ตอ้ งแสดงออก
มาใหเ้ หน็ เมือ่ เรามีสติจดจอ่ อยู่ การกำ� หนดลมกด็ ี จะก�ำหนดคำ� บริกรรมค�ำใดก็ดี เราไม่ได้
หมายจะเอาลมและค�ำบริกรรมนั้นๆ แตเ่ รามุง่ จะใหท้ ราบเรื่องของจิต ถ้าไมม่ ีเคร่ืองผูกมัด
หรอื เครอ่ื งยดึ ไว้ ใจไมไ่ ดร้ วมกระแสของตนเข้ามาสจู่ ดุ กเ็ ลยไมม่ ที างจะทราบได้ว่า ความสงบ
เปน็ ยงั ไงหรอื ใจอนั แท้จรงิ เปน็ ยงั ไง มนั ไมเ่ หน็ ไมเ่ จอ นที่ ไี่ ดห้ าอบุ ายมาเปน็ เครอื่ งผกู มดั จติ ใจ
ก็เพ่ืออนั นีเ้ อง

พอจติ ได้ทำ� หน้าทอี่ ย่กู บั งานของตนโดยเฉพาะแล้ว ความร้สู กึ ทงั้ หมดกจ็ ะท่มุ เทกนั ลงที่
จุดน้ัน ไมไ่ ด้ปล่อยให้เพน่ พา่ นออกไปดังท่ีเคยเปน็ มา เม่ือกระแสของจิตไดม้ ารวมตัวอยูน่ ั้น
สบื ตอ่ กนั ไปเปน็ ลำ� ดบั ๆ ไม่นาน เรากเ็ หน็ ความสงบเกิดขน้ึ ถ้าเหน็ ความสงบแลว้ เรากเ็ หน็ จดุ
ของความร้คู อื ใจ การกำ� หนดลมหายใจทเี่ รยี กว่าอานาปานสตนิ ้ี มคี วามสำ� คญั อย่หู ลายระยะ
เหมือนกัน อยา่ งหน่งึ พอก�ำหนดลมเขา้ ไปๆ ลมก็คอ่ ยละเอียดๆ ปรากฏว่าลมหายไป ใจหาที่

39

ยดึ ไมไ่ ด้น่ีอยา่ งหนงึ่ ลมหายไปทัง้ ๆ ท่ีเราก็รู้อย่วู ่าลมหายไป ทีนี้ใจไม่มีทยี่ ดึ รูส้ กึ แปลกๆ มี
ความรู้สึกแปลกๆ ข้นึ มา น้ลี มหายใจหายไปแลว้ มนั ไปอยู่ทไี่ หน ลมหายไปแลว้ เราจะไมต่ าย
หรือ นี่เกิดความคิดข้ึนมาก็ไปท�ำลายความสงบที่ก�ำลังจะแสดงตัวเต็มท่ี ทีน้ีลมหายใจก็เลย
กลบั มาอกี เพราะเราไมไ่ ดเ้ ดนิ ตามปรกตขิ องหลกั ธรรมชาติ แตเ่ ราปรงุ แตง่ ขน้ึ มาเสยี อยา่ งใด
อย่างหนง่ึ เร่ืองก็เลยผิดหลกั ธรรมชาติไป ลมก็หายไป ท่หี ายไปแลว้ ก็กลบั มา จะหายไปใน
หลกั ธรรมชาตขิ องลมจรงิ ๆ หรอื ว่าหายไปในความรสู้ กึ ของเรากต็ าม ทง้ั สองนหี้ ยง่ั ลงไปอย่าง
ใดอย่างหน่ึงกจ็ ะท�ำใหล้ มปรากฏตวั ขึน้ มา ถา้ เราคิดว่าลมหายไป เกิดความสงสยั ข้นึ มา ลมก็
กลับปรากฏตัวขน้ึ มาอกี ใจก็หยาบขนึ้ มา นีเ่ ปน็ สงิ่ ทีท่ ำ� ลายความสงบได้ ทางทถี่ ูกให้เปน็ ไป
ดว้ ยความราบร่ืน ลมจะละเอียดก็ใหท้ ราบตามความละเอียดของลม ลมหมดไปก็ให้ทราบ
เรอื่ งลมหมดไป ใจที่ยงั มีอยู่ให้อยูก่ บั ความร้นู ั้นน่อี ย่างหน่งึ อกี อย่างหน่งึ ลมหมดไปด้วย จิต
ขาดวรรคขาดตอนจากอารมณ์ใดๆ ดว้ ย เหลอื แต่หลกั ธรรมชาติท่รี ๆู้ อันน้ไี มส่ งสยั ว่าลมจะ
หมดไปหรอื ไมห่ มดก็ตาม ธรรมชาตนิ ้ีจะเป็นความแน่วแน่สำ� หรบั ตัวเอง ไมไ่ ดไ้ ปพะวักพะวน
กับลมที่หายไปแล้ว มีความมั่นคงอยู่กับความรู้ ทั้งขาดวรรคขาดตอนจากทุกสิ่งทุกอยา่ งใน
บรรดาขันธ์ที่มีความเกี่ยวโยงกับจิตในเวลาเชน่ นั้นดว้ ย น่ีเป็นจิตท่ีสงบละเอียดมาก และไม่
สงสัยในความรวู้ ่าเปน็ อยา่ งไร ไมส่ งสยั ในเรื่องลมว่าหายไปแลว้ จะไปอยู่ยงั ไง หรอื จะเปน็ จะ
ตายอะไรไมม่ คี วามสงสยั เพราะเวลานน้ั จติ ไม่แสดงอาการ คอื ขนั ธ์ไมแ่ สดงออกจากจติ เหลอื
แตค่ วามรู้ลว้ นๆ แสดงตวั อย่างเด่นชัดอศั จรรย์ ขาดวรรคขาดตอน เหลือแต่ความรเู้ ท่านั้น น่ี
อานาปานสติประเภททีล่ ะเอียดเปน็ อยา่ งนี้

เพอ่ื ความราบรน่ื ของทง้ั สองประเภท เราอย่าไปกงั วลกบั ลม เมอื่ ลมได้หายไป ให้อยกู่ บั
ความสงบหรอื ใหอ้ ย่กู ับความรูจ้ นกว่าลมจะปรากฏข้ึนมา แตไ่ ม่ไดค้ าดหมายว่าลมจะปรากฏ
ขน้ึ มา ให้ร้อู ยอู่ ย่างนนั้ รปู้ ระเภทแรกจติ มกี ิรยิ าทใ่ี ช้งานได้อยู่ มคี ดิ แปลกๆ ตา่ งๆ เมอ่ื ลมหมด
ไปไม่มอี ะไรจะอยู่กบั อะไร นี่ยงั คิดไดข้ น้ั นี้ ข้ันนี้ละท�ำคนให้สงสยั แลว้ จิตจะถอนข้นึ มาเพราะ
ความสงสยั เปน็ ตวั เหตุ เพราะความสงสยั นน้ั เป็นสงั ขารประเภทหนง่ึ ทปี่ รงุ ขนึ้ มา แลว้ กก็ ่อกวน
ความสงบ โดยถือลมหายใจวา่ หมดไปนั้นมาเปน็ อารมณ์ มาก่อกวนความสงบอันนี้ให้หนัก
แน่นยิ่งกว่านน้ั ไมไ่ ด้หรือมั่นคงยิ่งกวา่ นัน้ ไมไ่ ด้ ถอนขึ้นมาทน่ี ่ี เพ่อื ความถูกต้อง เราไม่ต้องไป
กังวลกบั ลมน่ปี ระเภทหนงึ่

ประเภททส่ี องดงั ท่ีกลา่ วแลว้ น้ัน อนั นัน้ หมดปัญหา เหลอื แตค่ วามร้ลู ้วนๆ ไม่ไดม้ ีความ
ปรงุ ความแต่งอะไรทงั้ หมด ขาด แมท้ สี่ ดุ กายไม่ทราบหายไปไหน นน่ั ถงึ ขนั้ ละเอยี ดจรงิ ๆ ของ
อานาปานสติ กายไมม่ เี ลย ลมหมดไปกายหายไปด้วย เหลือแตค่ วามรลู้ ้วนๆ เอา้ จะอยเู่ ทา่ ไร
ไมต่ อ้ งบังคบั ให้ถอนข้นึ มา อยู่เท่าไรก็ไม่มเี ดอื นปนี าทีโมงเข้าไปจับเวลานัน้ จติ จะไมม่ คี วาม
ร้สู กึ ว่ามอี าการเหนด็ เหนอ่ื ยในสว่ นร่างกายมาเกย่ี วข้องเลย ถา้ จติ ลงได้ขาดวรรคขาดตอนจาก

40

เร่ืองของขันธแ์ ล้ว จะไมม่ ขี นั ธ์ใดเข้ามาทำ� ลายหรอื กอ่ กวนจติ ดวงนี้ ให้ได้รบั ความไม่สะดวก ๑ ธรรมะพน้ื ฐาน
สบายขน้ึ เพราะขนั ธ์เป็นเหตุ แตจ่ ะทรงหลกั ธรรมชาตขิ องตนไวอ้ ยา่ งสมบรู ณ์ของภมู สิ มาธใิ น
ขั้นนัน้ นพี่ ูดถึงเรือ่ งอานาปานสติ ผลจะปรากฏเปน็ อยา่ งน้ัน เพ่อื ความสูงสดุ แห่งธรรม

เราจะแยกออกมาใชป้ ัญญา เราตอ้ งแยกในเวลาจิตถอนขึน้ มาแล้ว จิตท่ีคดิ ปรงุ แต่งไว้ ๒ การภาวนา
แลว้ ช่อื วา่ สมควรแก่งานแลว้ เอ้าทำ� ลงไป ค้นควา้ ดู คน้ ควา้ ดูตวั ของเรานี่ ให้มันท่องเทยี่ วอยู่
น่ี ไปไหนรอบโลกมนั ไปมาแล้ว มันไปอะไร เทีย่ วดูรูป ดเู สยี ง ดูกลิน่ ดรู ส อะไรตอ่ อะไร มัน ท่ีถูกต้อง
เตม็ อยู่ทั่วโลก ไปท่ีไหนมนั ไมม่ ีสิ้นสุดเพราะสง่ิ เหลา่ นมี้ อี ยูท่ ่วั ไป ใจกเ็ ตลิดเปดิ เปิงหาท่ยี บั ยงั้
ไมไ่ ด้ เอ้าให้หาหลกั เพอ่ื เปน็ การยบั ยง้ั จติ ดใู ห้เหน็ ตามหลกั ความจรงิ ทเี่ รยี กวา่ โลกวทิ ู ดอู าการ ๓ เดนิ ตามหลักธรรม
ของกายจะอาการไหนกใ็ ห้เหน็ ให้หยง่ั ลงชดั ดว้ ยไตรลกั ษณ์ ถ้าลงไตรลกั ษณ์ถงึ ใจแลว้ อะไรก็
ถงึ ใจหมด วา่ ทุกขฺ ํ ค�ำเดยี วก็ถงึ ใจ อนจิ ฺจํ อนตฺตา อะไรมันอยู่ดว้ ยกนั ว่ิงถึงกันหมด เราไม่ ด้วยอริยสัจ
ตอ้ งวา่ นน่ั เปน็ อนจิ จฺ ํ นเ่ี ป็น ทกุ ขฺ ํ นเี่ ปน็ อนตตฺ า อะไร เพราะหลกั ธรรมชาตมิ นั เป็นอนั เดยี วกนั
นี่พดู แยกเป็นอาการเฉยๆ ๔ สติกับจิต

เรอื่ งปญั ญาเปน็ เรอื่ งสำ� คญั สตกิ บั ปญั ญานส่ี ำ� คญั มาก ผปู้ ฏบิ ตั ถิ า้ มคี วามสนใจต่อ อย่าไดห้ ่างกัน
การคิดอา่ นไตร่ตรองเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ เกี่ยวกับเร่ืองหลักไตรลักษณ์แลว้ จะมีทาง
ถอดถอนกิเลสเป็นลำ� ดบั ๆ และโปรดทราบไว้ด้วยว่าปัญญานั่นแลเปน็ สิ่งท่ีจะถอดถอน ๕ ภมู ิใจทุกข์
กิเลสทกุ ประเภท สมาธเิ ปน็ แตผ่ ้รู วบรวมเข้ามา แต่ปัญญาเปน็ ผ้ตู ดั ผฟู้ นั ผทู้ ำ� ลายใหข้ าด
ออกไปเปน็ ลำ� ดบั ๆ บรรดากิเลสทม่ี มี ากน้อย กน็ า่ แปลกใจอยถู่ ้าเราพจิ ารณาให้ถงึ ความ เพราะความเพียร
จริงนแ่ี ลว้ มาหลงของเทียมของปลอม ความคดิ กป็ ลอม ว่าจรี งั ถาวร วา่ สวยวา่ งาม วา่
เราวา่ เขา มันปลอมท้ังนั้นความจริง เราก็หลงความคิดของเราน่ีแหละ โดยถือสิ่งท่ีไป
เกย่ี วข้องน้ันว่าเป็นตัวเหตุ ครัน้ แลว้ ก็คือความคดิ ของเรานน้ั แลเปน็ ผู้หลอกใหห้ ลง นซ่ี ิ
อนั น้แี กย้ ากอยู่ จึงต้องอาศัยหลักธรรมเขา้ แก้

คำ� ว่า อนิจจฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา แก้สว่ นที่วา่ นนั่ ความสำ� คญั ผดิ เหล่าน้ีไมแ่ กอ้ ะไร ถา้ ไมเ่ อา
อันนี้เข้าไปแก้มันไมม่ ีทางออก เช่นอสุภะปฏิกูลก็เหมือนกัน จะไปแกค้ วามส�ำคัญว่าสวยว่า
งาม แลว้ ทีน้คี วามสวยความงามมนั มีอยู่ทีไ่ หน ดตู ามหลักความจริงแลว้ มนั ไม่มอี ะไรมี ถา้ ว่า
หนงั งาม หนงั รองเทา้ เรามันเป็นไง พิจารณาซิ มันหนาเท่ากระดาษน้เี หรอ ไอส้ ่งิ ท่ีมนั หลอก
ตาอยู่นี้ แลว้ มันก็ไมไ่ ด้หลอก ไอ้ท่ีมันว่าบางๆ ท่ีมันวา่ สวยงามมันก็มีอะไรอยูใ่ นน้ันของมัน
มลู เต็มไปหมด รอบทั้งตวั นี่ ท่านวา่ ตจปริยนฺโต มีหนังห้มุ อย่เู ป็นทีส่ ดุ รอบ มมี ูลทตี่ ิดอยู่กบั
หนงั หุ้มอยู่เปน็ ท่ีสุดรอบ

ถา้ ตามพิจารณาใหท้ ันกับเหตุการณ์หรือกับส่ิงท่ีมันเปน็ อยู่มีอยู่แลว้ มันก็ไม่มีอะไร
ปญั ญาต้องอยา่ งน้ัน ใหม้ ันทันกับมายาของตนเองท่ีมันออกไป เม่ือดูอันนี้แล้ว ออกจากน้ัน

41

เอ้า แยกอกี พลกิ ข้างในออกมาขา้ งนอก มนั จะเยม้ิ ไปด้วยปพุ โพโลหติ ยงิ่ ไมน่ ่าดู เอาถลกออก
หมดทั้งหนงั ไม่ใหม้ ีอะไร ถลกหนงั ออกหมดเลย คนไมม่ หี นงั มนั ชอบกนั ไหม มนั จะมีหญิงมี
ชายท่ีไหน จะมีแต่แมลงวันบินตาม น่ันมันหลงหนังเท่านั้นไมห่ ลงอะไร หลงหนัง มันว่าเอา
เฉยๆ บางๆ มันไมไ่ ด้หนาเท่ากระดาษนะท่ีเรียกว่าผิวหนังนะ่ เท่าน้ันแหละ มันฉาบทาไว้
ส�ำหรับคนโง่ พอเลยนน้ั เขา้ ไปนิดก็เห็นแล้ว เห็นเรอ่ื งทนั ที ยิง่ ถลกออกหมดทงั้ หนัง แล้วดูคน
เป็นยังไงบ้าง เขาดูเราจะดูไดไ้ หม เราดูเขาจะดูได้ไหม มันดูกันไมไ่ ด้ทั้งน้ันแหละ นั่นแหละ
หลกั ความจรงิ แลว้ มนั หลงอะไร มนั นา่ หลงทตี่ รงไหน ดอู ย่างนนั้ ซปิ ัญญา ดแู ล้วดเู ลา่ พจิ ารณา
แลว้ พิจารณาเลา่ จนเกิดความช่ำ� ชองในจิตใจ ดเู พยี งพรวดพราดๆ ผา่ นไปใช้ไมไ่ ด้ ขัดลงไป
เกลาลงไปลบั ลงไปปญั ญาของเรา เอานลี้ ะเปน็ หินลบั ดูแล้วดูเล่า จะดขู ้างนอกกไ็ ด้ดขู ้างใน
กไ็ ด้ ไม่ผดิ คำ� ว่ามรรคสมทุ ยั แลว้ จะมไี ดท้ งั้ ข้างนอกขา้ งใน หรอื จะเอาวตั ถขุ ้างนอกเช่นจะเป็น
รูปหญิงรูปชายก็ตาม เอ้า เอามาพิจารณาไม่ผิด เมื่อมันเห็นชัดมันก็วิ่งเข้ามาขา้ งในเทา่ น้ัน
มนั ไม่เหน็ นนั่ แหละทมี่ นั เพ่นพ่านอยตู่ ลอดเวลา ทำ� ให้ย่งุ ไมม่ เี วลาสงบตวั ได้เลย หากไ็ ม่มี หา
เท่าไรก็ไมเ่ จอซี มนั มที ่ีไหนของสวยของงาม ของจริงของจงั ของจรี ังถาวรมที ี่ไหน อตั ตามีอยู่
ที่ไหน มันไม่มี มันหาเอาเฉยๆ มนั ถึงยุ่งหาของไมม่ ี นี่ภวตณั หา อยากในของไมม่ ี เราวา่ ง้นั
ละธรรมะป่า วภิ วตณั หา อยากในของไมม่ ี ภวตัณหา อยากในของมี เป็นสองขั้น

เอา้ ไปข้นั ท่สี าม เอาเนอ้ื ออกใหห้ มด เฉอื นเนื้อออกหมดแล้วเอาไปกองไว้ กองเนื้อน่ัน
สวยท่ีไหน รักชิ้นไหนชิ้นเนื้อน่นั เอาออกหมดน่ันละ เน้ือในส่วนรา่ งกายไม่ว่าขา้ งบนขา้ งลา่ ง
ออกให้หมด มันจะมีอะไรเป็นที่นา่ ก�ำหนัดยินดีในชิ้นเน้ือทุกช้ิน ไมว่ า่ ชิ้นที่เป็นจุดหมายแหง่
ความกำ� หนดั เอามาดูเหมอื นกันนน้ั จะมอี ะไรแปลกกนั น่ีเปน็ ข้ันทส่ี าม รวมท้ังอวยั วะภายใน
ด้วย เอาออกมาหมด มันมีอะไรท่ีอยูภ่ ายในรา่ งกายของเรา ส่วนภายในท่ีเกี่ยวกับเปน็ ส่ิงท่ี
ออ่ นๆ เป็นเน้อื สงเคราะห์ลงในเน้อื ได้ เช่น ตับ ไต ไส้ พุง เอาออกมาให้หมด เอามาดู เอ้า
ทนี่ คี่ ลคี่ ลายออกไป ชนิ้ หนงั ชน้ิ ไหนทห่ี อมหวนชวนใหด้ มมไี หม นน่ั ละพจิ ารณาใหเ้ หน็ ของจรงิ
ในขนั้ น้ี มันตื่นอะไรเดีย๋ วนี้ มันตน่ื อันนี้แหละคนเรา ดใู ห้ถึงท่ีสดุ ของมนั ดูจนเป็นชิ้นเนือ้ ออก
มา ดจู นกระท่งั ถงึ มนั ใกลแ้ สดงวิปรติ นามธรรม มันแปรตามมัน แปรท้งั สสี ันวรรณะ แปรทงั้
รปู รา่ ง แปรทัง้ กลิ่น แปรไปเป็นล�ำดับๆ ใหม้ ันเห็นชัด นีข่ นั้ ทส่ี ามรวมกันหมด

ขน้ั ทีส่ ีเ่ อาดูกระดูก ดไู ปต้ังแต่บนศรี ษะ ไมม่ เี นอ้ื อะไรปดิ อยใู่ นมันแลว้ เปน็ ยังไง กระดกู
ตามนั กโ็ บ๋หมดเทา่ นน้ั ละ มเี ส้นเอน็ รดั รงึ ไว้ แขวนเป็นพวงลงไป พวงแขนพวงขา ห้อยเป็นพวง
ลงไป ดใู หม้ นั เหน็ ทกุ ระยะ กระดกู ชนิ้ ไหนต่อชนิ้ ไหนมนั ตดิ มนั ต่อกนั เอาออกเปน็ ชนิ้ ๆ ไป ชนิ้
นน้ี า่ รกั ไหม นา่ กำ� หนดั ไหม เอาชนิ้ นเ้ี ปน็ ยงั ไง แปลกจากชนิ้ ทง้ั หลายหรอื ไม่ เอา้ กะโหลกศรี ษะ
เอาออกมาดู นพี่ ดู ให้ถงึ พรกิ ถงึ ขงิ กนั ไมอ่ ย่างนน้ั ไมร่ ู้ นลี่ ะวธิ ปี ฏบิ ตั ทิ างดา้ นปญั ญา ในกะโหลก

42

ศีรษะมีอะไรบา้ ง เอ้า คล่ีออกไปอีก กำ� หนดมดี ฟนั ลงไปเอาออกมาดูให้เห็นชัด มีอะไรอยู่ใน ๑ ธรรมะพน้ื ฐาน
นั้น มนั จะยง่ิ น่ากลัวเสยี ดว้ ยนะที่นี่ มันจะขน้ึ เรือ่ งน่ากลวั เรือ่ งน่ารกั มนั จะหายไป น่ากลวั เสยี
ด้วย นา่ สลดสังเวช เอาออกมาเป็นชิ้นๆ ออกกันทกุ ชิ้น ที่มันรัดรงึ กันอยูท่ ่ไี หนบา้ ง ดว้ ยเส้น เพ่อื ความสูงสดุ แห่งธรรม
เอน็ เอาออกใหม้ นั เหน็ ทกุ ชน้ิ ๆ เอา้ ชน้ิ ไหนมคี วามแปลกต่างกนั ซงึ่ จะเปน็ ทขี่ ้องใจวา่ นา่ กำ� หนดั
ยนิ ดี อันไหนเป็น นจิ ฺจํ อนั ไหนเปน็ สุขํ อันไหนเป็น สภุ ะ คือของสวยของงาม อนิจฺจํ อย่ไู หน ๒ การภาวนา
มันก็จะวิ่งไปหาน้ัน ทุกฺขํ อยูไ่ หนมันก็จะวิ่งไปหาน้ัน คนโง่เท่านั้นได้ไปหลง หาหญิงหาชาย
หาสตั ว์หาบคุ คล หาเราหาเขาทีไ่ หนมี ในกองอวัยวะทุกๆ กองท่เี รามารวมกันไวน้ ี้ หรือแยก ท่ีถูกต้อง
ออกเปน็ กองๆ กองหนงั กองเนอื้ กองกระดูก แยกออก เอ้าดูกระดกู ทกุ ชิน้ ช้นิ ไหนทนี่ า่ รัก
ก�ำหนัดยินดีมีไหม บังคับให้มันดูอยา่ งนี้ละ ปญั ญาเป็นผูบ้ ังคับให้จิตมันดู ใหต้ ัวมันหลงงุ่ม ๓ เดนิ ตามหลักธรรม
ง่ามๆ คลำ� โนน้ คลำ� น้ใี ห้มันดู ให้มันดขู องจรงิ อย่าคลำ� บอกงน้ั ซิ อย่าไปเทีย่ วหาคลำ� เอาดู
ของจรงิ นีล่ ะในอวัยวะไมว่ า่ ของคนของสัตวข์ องหญิงของชายมันอย่างนีท้ ัง้ นัน้ อย่าไปหาลูบ ด้วยอริยสัจ
หาคลำ� ให้ดขู องจริง นลี่ ะของจรงิ สอนมนั อย่างนั้นซิสอนจติ บงั คับให้มันดูให้มันเห็นชดั
๔ สติกับจิต
น่ีละงานที่จะถอดถอนตน เหน็ ทุกช้ินประจักษ์กบั ปญั ญาแล้ว จิตมันจะเหาะเหนิ เดินฟา้
ไปท่ีไหนก็ตามเถอะด้วยความเพลิดเพลินของมัน มนั จะสงบตัวเขา้ มาทเี ดยี ว เพราะมันเหาะ อย่าไดห้ ่างกัน
เหินเดินฟ้าไปด้วยความเพลิดเพลิน มันเหาะเหินไปเพราะสิ่งเหลา่ น้ีเปน็ เครื่องฉุดลากมันไป
คอื อารมณอ์ ันหน่งึ หลอกมนั ไป ฉุดลากมนั ออกไป อนั นน้ั กเ็ ปน็ ธรรมชาติของเขาที่จรงิ อยา่ งท่ี ๕ ภมู ิใจทุกข์
เราแยกออกมาแลว้ นนั่ ผนู้ ม้ี นั หากเป็นเฉยๆ หลงอารมณ์ของตัวเอง เม่อื สอนตวั เองให้รเู้ รื่อง
ตามหลกั ความจรงิ นน้ั แล้วมนั จะเอาอะไรมาหลอกอกี พจิ ารณาแลว้ พจิ ารณาเล่า พอมนั รเู้ รอื่ ง เพราะความเพียร
แล้วจติ จะตอ้ งเบาทนั ที หมดความกงั วลว่นุ วายขนึ้ มาเปน็ ลำ� ดบั ๆ เพราะกงั วลกงั วลกบั สงิ่ เหล่า
น้ี ยุ่งกย็ ุ่งกบั สิง่ เหลา่ นี้ เพลินก็เพลนิ กบั สิง่ เหลา่ นี้ ทกุ ขก์ ท็ กุ ขก์ ับสิง่ เหลา่ นี้ เม่อื ได้เห็นสงิ่ เหล่า
นี้ประจักษด์ ้วยปญั ญาแลว้ ทุกสิ่งที่เป็นความกดถ่วงจิตใจก็ตอ้ งถอนตัวออกมาๆ คร้ังนี้แล้ว
เอ้า พจิ ารณาอกี ซำ�้ แลว้ ซำ้� เลา่ อยอู่ ยา่ งนน้ั จนเป็นทยี่ อมรบั กนั เมอ่ื พอตวั แลว้ มนั ยอมรบั กนั เอง
หลกั ความจริงจะฝนื ไปไม่ได้ จติ จะมีความอาจหาญตอ่ ส่งิ ทเี่ คยกลัวสิ่งท่เี คยระวังมีรูปเป็นตน้
น่ีเร่ืองปญั ญาพิจารณาอยา่ งนี้ เอา้ แยกตัวเองออกไปอีกเทียบกันเขา้ ถ้าสมมุติเราพิจารณา
ภายนอกเปน็ อยา่ งนั้น เอา้ เอาตัวเองเข้าไปอกี พจิ ารณาแบบนนั้ มนั เหมือนกันไมม่ อี ะไรผิด
กนั วา่ เฉยๆ ว่าหญงิ ว่าชาย ว่าเอาเฉยๆ ด้วยความเสกสรรปนั้ ยอ ในหลักธรรมชาติจริงๆ มัน
ไมม่ ี ถา้ วา่ หนงั ก็หนงั เหมอื นกันหมด ว่าเน้อื ก็เนือ้ ธาตมุ ันก็ธาตเุ หมอื นกันหมด นอกจากมนั
เสกสรรปนั้ ยอหลอกตวั เองไปเท่านน้ั อยา่ งไมเ่ ป็นท่าวา่ งัน้ เถอะ

นที่ ่านพจิ ารณากายพจิ ารณาอยา่ งนน้ั พจิ ารณาแล้วพจิ ารณาเล่าซำ้� ๆ ซากๆ อยนู่ นั้ แหละ
จนเปน็ ทเี่ ขา้ ใจกนั เมอื่ มนั พอตวั แลว้ เปน็ อกี แงห่ นง่ึ เหมอื นกบั ว่าเรารบั ประทานอาหาร พอแลว้

43

จะบงั คับใหร้ บั ประทานต่อไปอกี ไมไ่ ด้ นี่เม่ือพจิ ารณาพอแลว้ จติ ก็ถอดถอนตัวจากอปุ าทาน
ในส่ิงเหลา่ น้ีแล้วอยา่ งเด่นชัด จะพจิ ารณากนั อีกไม่ได้ มันกร็ ้เู อง ส่วนไหนทีม่ นั ยังดดู ด่มื ทีย่ งั
เป็นข้อขอ้ งใจอยู่ ซง่ึ มคี วามละเอยี ดลกึ กว่านอี้ กี มนั กต็ ามกนั ไปเหมอื นกบั ไฟได้เชอ้ื คอ่ ยไหม้
เข้าไป คอื ปัญญามนั ลุกลามไปๆ ซึมซาบเข้าไปๆ แทรกเขา้ ไปแซงเข้าไป ตรงไหนมันยงั ข้อง
ปญั ญาจะต้องสอดเข้าไปอยู่นั่นจนเป็นทพ่ี อใจเชน่ เดยี วกนั อีกกับสว่ นละเอยี ดก็พอกนั ปล่อย
อีก รูปขันธม์ ันรูแ้ ล้วมันก็ปล่อยได้อย่างน้ัน นามขันธม์ ีอะไรบ้าง ถ้ามันพิจารณารู้ดว้ ยกัน รู้
อยา่ งเดยี วกนั นด้ี ้วยอำ� นาจของปญั ญาแลว้ มนั จะทนถอื ไว้ไม่ได้อกี เหมอื นกนั ปลอ่ ยอกี เข้าไป
ปลอ่ ยเขา้ ไปโดยล�ำดับๆ เอา้ ถา้ จะพูดถึงเรื่องความละเอียดเข้าไปอีก ละเอียดสุดยอดของ
สมมตุ ิ ก็เหมอื นยาพิษทีส่ งิ อยภู่ ายในจิต เช่นเดยี วกับยาพษิ ท่ีสงิ อยู่ในวตั ถุต่างๆ ไมม่ องเห็น
ตวั แต่พิษจะแสดงตวั สำ� หรบั ผไู้ ปเกยี่ วข้อง นำ� มารับประทานหรอื มาอะไรก็แล้วแต่ พิษนน้ั จะ
แสดงตวั ออกมาทงั้ ๆ ทม่ี องไมเ่ ห็น นี่ละที่ทา่ นเรยี กวา่ กิเลสอนั ละเอียดสดุ ยอด ทา่ นให้ช่อื ว่า
อวชิ ชา อะไรเปน็ อวิชชา ถ้าไมใ่ ชอ่ ันน้ีเปน็ อวิชชา มันไม่เหน็ รปู มนั ไม่เป็นอวิชชา เสียง กล่ิน
รสเครื่องสมั ผสั มันไม่ใช่อวิชชา ไม่ใช่วิชชา ตัวอวชิ ชาจรงิ ๆ ก็คือตวั ใจที่หลงน่ีแหละ

วชิ ชา คอื ปัญญาทพ่ี จิ ารณาเขา้ ไปให้ร้เู รอ่ื งของตวั เองเป็นลำ� ดบั ๆ เขา้ ไปถงึ รากฐาน
ตปธรรมความร่มุ ร้อนสำ� หรบั แผดเผากิเลส มนั กเ็ ผาเข้าไปหาจติ พษิ ภยั ทมี่ นั เคลอื บแฝง
ซึมซาบอยูภ่ ายในจิต มันก็ถูกกล่ันกรองขับไล่ออกหมด ด้วยอ�ำนาจของตปธรรมคือ
ปญั ญาอันแหลมคม ไลจ่ ้ีกันออกหมดเลย ไมม่ ีสิ่งใดเหลืออยู่น้ัน น่ันอุปาทานท่ีไหนท่ีนี่
อุปาทานในรูปมันก็หมดเพราะอ�ำนาจของปัญญาอย่างท่ีว่าน้ี อุปาทานในขันธ์ เอ้าขันธไ์ หน
มันจะเกินปญั ญาไปได้ ๔ ขนั ธ์ เวทนา สัญญา สงั ขาร วิญญาณ เอาปญั ญาไลเ่ ข้าไปที่นี่ รู้
รากฐานของมันที่มนั เกิดขึ้นมา ทั้งตวั ของมนั ท่ีแสดงออก หรืออันไหนอกี ไม่มี เอายาพิษที่มัน
ฝงั อยู่ในหวั ใจจริงๆ ไลม่ ันเข้าไปจนไม่มอี ะไรเหลอื ถกู ขับไลอ่ อกดว้ ยอ�ำนาจของตปธรรมคือ
ปัญญา กระจายออกหมดเหลอื แต่ธาตุลว้ นๆ ทีบ่ รสิ ุทธ์ิ เอา้ ที่นีถ่ ืออะไร จะถอื ม่ันอะไร ถา้ มัน
มว้ นแล้วจะถอื กนั ไปทำ� ไม มอี ะไรบกพรอ่ งทจี่ ะให้ถอื มอี ะไรควรรกั ควรสงวนทจี่ ะใหถ้ อื ความ
รักมันก็เปน็ กิเลส ความสงวนก็เป็นผลจากความรัก มันเปน็ เรื่องกิเลสตอ่ แขนงออกมา เม่ือ
พอตวั แลว้ อะไรก็ไม่มที ่ีจะไปเสริมให้เปน็ กิเลสข้นึ มาอีก นัน่ ปญั ญาฟันลงไปอยา่ งนนั้ อนิจจัง
ทกุ ขัง อนตั ตา เมื่อหมดเขตสมมตุ แิ ล้ว ไตรลกั ษณท์ วี่ ่าน้กี ห็ มด ถ้าสมมตุ ิยังมอี ยตู่ ราบใด คำ�
ว่าสมมตุ ใิ นขน้ั นห้ี มายถงึ กิเลสนนั่ เอง เครอ่ื งหลอกลวงตวั เอง มนั มสี ่วนละเอยี ดแค่ไหนนนั้ ละ
ช่ือวา่ สมมุติมีส่วนละเอียดแคน่ ั้น ไตรลักษณ์จะตอ้ งตามกันไปถึงตอนน้ัน เมื่อส่วนละเอียดน้ี
หมดไปแล้วไตรลกั ษณก์ ็หมดปัญหา เพราะเปน็ เคร่ืองแก้หรอื เป็นทางเดนิ หมดปัญหา ถา้ เรา
จะพูดว่าเหลอื อยู่ ก็เป็นธาตรุ ู้ๆ ธาตุท่ีบรสิ ุทธ์เิ หมือนอย่างพระพุทธเจ้าทีต่ รัสรแู้ ลว้ เหลือแต่
ธาตทุ บี่ รสิ ทุ ธค์ิ อื ธาตรุ ลู้ ้วนๆ ไม่มอี ะไรเขา้ ไปเจอื ปน ประกาศสอนโลกกเ็ ปน็ อรรถเป็นธรรม มี
เหตุมีผล มีรสมีชาติ น่ันแหละธาตุรู้ ออกมาจากธาตุรูน้ ั่นละธรรมะจริง อันนั้นจริงพอแลว้

ธข4รอ4รงมธระรทมี่แชสาดตงินอั้นอเกปมน็ าขกอ็จงรจิงริงจอะยเปา่ ง็นตขาั้นยใตดวั ภูมไมิใม่ดใีอนะบไรรปรลดอาธมรแรปมละงจแรฝิงงไอปยหแู่ มมด้แตเพ่นริดาะหลักเดิม

อปุ าทานก็มีอยู่ ๓ ถือกายคือรปู ขันธ์ นามขันธ์ถอื จติ มีอยู่สามเทา่ นัน้ ละอุปาทาน เท่า ๑ ธรรมะพน้ื ฐาน
ท่ีได้ปฏิบัติมาเต็มความสามารถ เรียนบรรดาท่านท้ังหลายอย่างเปดิ เผย นอกจากน้ีแลว้ ไม่
เห็น ปฏิบัติมาไมม่ ีอะไรเลยจากน้ีไป ส่ิงท่ีท�ำความกอ่ กวนก็คือเกี่ยวกับเร่ืองขันธ์ของตัวเอง เพ่อื ความสูงสดุ แห่งธรรม
เทา่ นน้ั พดู ง่ายๆ ภายนอกไม่ต้องพูด หยาบมากยิ่งกว่าน้ี ขันธก์ ร็ ูปขนั ธเ์ ปน็ ส่วนหยาบ ค�ำว่า
ติดอันน้ีพิจารณาถึงท่ีกันแลว้ มันก็ปลอ่ ยของมันได้ นามขันธ์เม่ือถึงที่ด้วยอ�ำนาจของปัญญา ๒ การภาวนา
แลว้ กป็ ล่อยได้ จติ เมอ่ื พจิ ารณาถงึ ทแ่ี ลว้ กป็ ลอ่ ยกนั ได้ แล้วจะไปพจิ ารณาอะไรอกี มนั ไม่มที าง
ทจี่ ะพจิ ารณา มนั พอตวั จะว่าไง เวทนามไี หมทนี่ เี่ มอื่ เขา้ ถงึ นนั่ แลว้ ธรรมชาตทิ บี่ รสิ ทุ ธิ์ เวทนา ท่ีถูกต้อง
เป็นสมมุตอิ นั หน่งึ เวทนากเ็ ปน็ เวทนาขนั ธ์ ธรรมชาติท่บี รสิ ุทธ์แิ ล้วจะเอาเวทนามาจากทีไ่ หน
ถา้ ว่าสุขก็เปน็ ปรมํ สขุ ํ ไปเสยี สุขในหลักธรรมชาติไมเ่ รยี กว่าเวทนา เพราะเวทนามนั เป็น ๓ เดนิ ตามหลักธรรม
อนิจจาทงั้ นั้น ไมเ่ ท่ียงท้ังนน้ั ถ้าช่ือวา่ เวทนาแลว้ อันน้นั ไม่ใช่เวทนา เพราะเป็นธรรมชาติ อยู่
กับหลักธรรมชาติ ทเ่ี รยี กวา่ ปรมํ สุขํ เปลยี่ นไปทัง้ นัน้ ละ สขุ เลยสมมตุ พิ ดู ง่ายๆ ปรมํ ไม่ใช่ ด้วยอริยสัจ
ย่ิงกว่าสมมุติ ยิ่งกว่าอันนี้ยิ่งกว่าอันนั้น เลยสมมุติไป มันจึงไม่มีอะไรจะไปเปรียบเทียบอีก
ปรมํ สขุ ํ นไ้ี ม่ใช่จะเปลยี่ นตวั เอง ไม่มที างจะเปลยี่ น เพราะความบรสิ ทุ ธไ์ิ ม่มกี ารเปลย่ี นแปลง ๔ สติกับจิต
ตัวเอง เนอ่ื งจากเป็นหลกั ท่ตี ายตวั แล้ว เป็นธรรมชาติทต่ี ายตัวแลว้ เพราะฉะน้ัน ธรรมชาติ
ท่บี รสิ ุทธแ์ิ ลว้ จึงไม่มเี วทนา เพราะมันมีอนิจจาอยู่ในน้ัน จะเอาเวทนาเขา้ ไปแทรกได้ยงั อย่าไดห้ ่างกัน
ไง แทรกเขา้ ไปมันก็ตอ้ งเปน็ เวทนาอนจิ จาซี ถ้าตง้ั ใจจริงๆ เปน็ อย่างนน้ั ละ ปญั ญาน่ลี ะ
ส�ำคัญ คน้ ลงไปพิจารณาลงไป ให้จิตมันอยู่กับการพิจารณาน้ี พิจารณาอะไรให้จิตอยู่ ๕ ภมู ิใจทุกข์
กบั อันน้นั ใหค้ วามร้สู ึกอยู่กบั อันนั้น ปัญญาอยู่กบั อนั นั้น วิ่งอยกู่ บั อันนน้ั มันตอ้ งรู้ จะ
ผ่านไปไมไ่ ด้ หลักธรรมะเปน็ เหมือนกับท�ำนบใหญก่ ้ันไว้ หรือเหมือนกับฝง่ั มหาสมุทร เพราะความเพียร
เลยฝัง่ ไปไมไ่ ด้ ไมว่ า่ แต่น้�ำธรรมดา เอ้ามหาสมทุ ร มหาสมมตุ ิ มนั จะเลยธรรมะไปได้ยัง
ไง

นี่ชว่ ยเสริมเต็มสติก�ำลังหมู่เพื่อนท่ีตั้งใจมาปฏิบัติใหไ้ ดร้ ูน้ ้ันรู้น้ี เร่ืองการปฏิบัติ มันไม่
คอ่ ยมอี ะไร ทำ� กนั ยังไง ปฏบิ ัติกันยงั ไง เป็นน้ำ� ท่วมทุ่งไป คนมากเฉยๆ ไม่มีคณุ ภาพ มาก
ปรมิ าณ มันรู้ท้งั วัน คิดทัง้ วัน แต่ไมใ่ ชเ่ ปน็ ความรู้ท่จี ะท�ำตัวใหพ้ ้น มีแตค่ วามรเู้ คร่อื งผกู มัด
ตนเองเหมอื นนำ้� ทว่ มท่งุ อารมณ์กม็ าก คดิ กม็ าก มปี ระโยชน์อะไร ข้ามโลกจะขา้ มอะไร อะไร
เป็นโลกถา้ ไมใ่ ช่เรอื่ งของขันธ์น่เี ปน็ โลก จะเอาอะไรมาเป็นโลก ขา้ มโลกกข็ ้ามทน่ี ่ี รู้โลกกร็ ู้ท่ี
น่ี โลกวิทู ร้แู จง้ ความจรงิ ท่ีมีอยใู่ นตวั เอง ไมม่ อี ะไรจะเปน็ โลกวิทู รู้แจง้ โลกรู้แจ้งอะไร ไปหา
นบั เมด็ หนิ เมด็ ทรายไม่ใช่ พวกไปเทย่ี วเมอื งนอกเมอื งนาดปู ระเทศนนั้ ประเทศน้ี ไปหลายเมอื ง
หลายบ้านเทา่ ไรก็ยิง่ เปน็ โลกวิทู ไมใ่ ช่อยา่ งนั้น รู้แจง้ โลกวทิ ใู นตวั เอง ร้แู จ้งในธาตุในขันธ์
ใหเ้ ห็นตามหลักความจริงของมันเท่านั้นแหละ พอรูน้ ี้แลว้ โลกธาตุน้ีมันเหมือนกันหมด
นนั่ มนั จะมอี ะไรมาแปลกตา่ งกนั พอจะให้สงสยั นน่ั ละทวี่ ่าโลกวทิ ู ร้ไู ปหมด ถา้ รอู้ นั นแี้ ล้ว
รขู้ นั ธน์ แ้ี ลว้ รู้ไปหมดทกุ ขันธ์

45


Click to View FlipBook Version