The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

BOOK ธรรมะหน้ากุฏิ เล่ม 6

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by wonchai890, 2020-08-13 21:10:06

BOOK ธรรมะหน้ากุฏิ เล่ม 6

BOOK ธรรมะหน้ากุฏิ เล่ม 6

Keywords: พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

การฟงั ธรรมน้ี พระพทุ ธเจา้
ทรงตรัสสอนไว้ว่าเป็น
มงคลอย่างยิ่ง มงคลคือ
ประโยชน์ มีประโยชน์ท่ีจะ
ท�ำให้พัฒนาชีวิตจิตใจให้
ดีข้ึน ให้มีความสุขมากขึ้น
ให้มีความเจริญมากข้ึน



ค� ำ น� ำ

ทา่ นอาจารยม์ กั สอนบรรดาศษิ ยบ์ อ่ ยครง้ั ใหล้ อง
กักขังตัวเองไว้ในห้องไม่ให้ออกไปไหนทั้งวัน
ท่านวา่ ใหต้ อ่ สกู้ บั กเิ ลสความอยากของใจๆ ได้
เมอื่ ถงึ คราวถกู กกั ลอ็ คดาวนจ์ ากโควดิ ไมส่ ามารถ
ไปวดั ได้ จึงเขา้ ใจถงึ การฝึกฝนตนในข้อนี้ ภยั ของ
ใจจากโควิดจึงคลายร้อนรุ่มลงได้เม่ือได้ฟังธรรม
หน้ากุฏิทุกๆ สี่วนั ประจักษใ์ จแลว้ ว่า ชือ่ วา่ ธรรม
ของพระพทุ ธเจา้ แสดง ณ กาลใด สถานทใ่ี ด ไมว่ า่
จะเปน็ ศาลาใหญ่ จลุ ศาลา หรอื หนา้ กฏุ ิ “รสแหง่
ธรรมย่อมช�ำนะรสทง้ั ปวง” ได้บ

คณะศษิ ยานุศษิ ย์

พมิ พเ์ ผยแผ่เป็นธรรมทาน
ห้ามจำ� หน่าย

4

“สติ”

กุญแจดอกส�ำคญั ในการหาความสุข

5

ในเบอ้ื งตน้ ถา้ ยงั นงั่ สมาธไิ มไ่ ด้ นง่ั แลว้ ยงั คดิ ถงึ เรอื่ งนน้ั เรอ่ื งนี้
คิดถึงคนนั้นคนน้ีอยู่ นั่งไปกี่ชั่วโมงมันก็ไม่หยุดคิดซะที
ก็แสดงว่าเรายังไม่มีสติพอท่ีจะมาน่ังสมาธิได้ เราก็ต้อง
มาฝกึ สติ วธิ ฝี กึ สตกิ ม็ หี ลายวธิ ดี ว้ ยกนั วธิ งี า่ ยๆ กค็ อื ใหท้ อ่ ง
พุทโธๆ ไปภายในใจ หรือให้สวดมนต์ไปภายในใจก็ได้
บางคนกน็ ิยมสวดอติ ปิ ิโส ตามวันเกดิ อายุ ๔๐ ปีกส็ วด
๔๐รอบสวด“อติ ปิ โิ สภควาอรหงั สมั มาสมั พทุ โธสวากขาโต
สปุ ฏปิ นั โน” ไป จบ ๑ รอบ กเ็ รมิ่ ใหม่ อติ ปิ โิ ส รอบที่ ๒ เวลาที่
สวดนม้ี นั จะไปคดิ เรอื่ งต่างๆ ไมไ่ ด้ กเ็ ลยใช้การสวดนีเ้ ป็น
เหมือนเบรก ต่อไปพอเราสามารถหยุดความคิดได้ด้วย
การสวด ต่อไปเราก็ไม่ต้องใช้การสวดก็ได้ เพราะเราจะมี
กำ� ลงั ทจี่ ะหยดุ ความคดิ ได้ ถา้ ยงั หยดุ ไมไ่ ดก้ ต็ อ้ งใชก้ ารสวด
ไปกอ่ น ใชก้ ารทอ่ งไปกอ่ น ทอ่ งพทุ โธๆ ไปกอ่ น พอเราหยดุ
ความคดิ ได้แลว้ ขนั้ ตอ่ ไปเราก็มานัง่ เฉยๆ นัง่ ดูลมหายใจ
เขา้ ออกเพอื่ ใหม้ นั สงบมากไปกวา่ นนั้ ดลู มไปความคดิ กจ็ ะ

6

เบาลงๆ นอ้ ยลงไปๆ เดยี๋ วในทส่ี ดุ กห็ ยดุ คดิ อยา่ งเตม็ รอ้ ยเลย
พอหยุดคิดอย่างเตม็ ร้อย ใจกจ็ ะน่งิ สงบข้ึนมา จะร้สู ึกเบา
สบายมคี วามสขุ บางทรี า่ งกายหายไปเลยกม็ ี บางทรี ปู เสยี ง
กล่นิ รส โผฏฐพั พะ ทีเ่ ข้ามาทางตา หู จมกู ล้ิน กาย นี้
หายไปเลย เหมือนอยู่คนเดียวในอวกาศ อยู่กับตัวรู้ผู้รู้
ตวั เดยี ว สกั แตว่ า่ รู้แลว้ กม็ คี วามสขุ ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงตรสั วา่
เปน็ ความสุขท่ีเหนอื กว่าความสขุ ทั้งปวง คอื “นัตถิ สนั ติ
ปรงั สขุ งั ” สขุ อน่ื ทเ่ี หนอื กวา่ ความสงบไมม่ ี ถา้ เจรญิ สตไิ ป
อยา่ งไมข่ าดตอน ทำ� อยา่ งสมำ่� เสมอ เดยี๋ วเวลามานงั่ สมาธิ
มนั ก็จะเขา้ ส่คู วามสงบได้ แลว้ ก็จะพบกบั ความสุขท่ีดีกวา่
ความสขุ ทไ่ี ดจ้ ากรปู เสยี ง กลนิ่ รส โผฏฐพั พะตา่ งๆ ความสขุ
ท่ีดีกว่าการไดจ้ ากรว่ มหลับนอนกับแฟน ความสุขทด่ี กี วา่
จากการดื่ม จากการรับประทานขนมนมเนยอาหารต่างๆ
เครอ่ื งดมื่ ชนดิ ตา่ งๆความสขุ ทไ่ี ดจ้ ากการดภู าพยนตรร์ อ้ งรำ�
ท�ำเพลง อันน้ีจะท�ำให้เราไม่ต้องมาหาความสุขแบบนี้อีก
ต่อไป
เบื้องต้นก็ท�ำไป กว่าจะได้ก็อาจจะต้องใช้เวลาพอสมควร
แตถ่ ้ามีความเพียรพยายามฝึกสติไปเรื่อยๆ อยา่ มองข้าม
สติไปเป็นอันขาด ถ้าเรายังไม่สามารถท�ำใจให้สงบได้น้ี
ขอให้เรารู้ทันทีว่าสติเรายังไม่พอ เหมือนกับถ้าเรายัง

7

หยุดรถไม่ได้อย่างเต็มท่ีนี่ รถเหยียบเบรกแล้วมันยังไหล
อยนู่ ี่ แสดงวา่ เบรกไมด่ ี เรากต็ อ้ งไปแกเ้ บรก ไปทำ� เบรกให้
มนั สามารถหยดุ รถไดอ้ ยา่ งเตม็ ทก่ี อ่ น ถา้ เรายงั ไมส่ ามารถ
น่ังสมาธิจนจิตสงบเป็นอัปปนาสมาธิข้ึนมาได้ แสดงว่า
สติของเรายังมีไม่พอ เราก็ต้องพยายามฝึกสติอยู่เร่ือยๆ
เราสามารถฝกึ สตไิ ดต้ ลอดเวลาตง้ั แตต่ น่ื จนหลบั เลย ไมว่ า่
เรากำ� ลงั จะทำ� อะไรอยู่ ยกเวน้ งานทต่ี อ้ งใชค้ วามคดิ เทา่ นน้ั
ที่เราไม่สามารถที่จะใช้สติหยุดความคิดได้ แต่ถ้าเป็นงาน
ที่ไม่ต้องใช้ความคิด เราสามารถใช้สติหยุดความคิดได้
เชน่ เวลาเราอาบน้ำ� ลา้ งหนา้ แปรงฟนั แตง่ เนอ้ื แต่งตัว
รบั ประทานอาหาร ลา้ งถว้ ยลา้ งชาม กวาดบา้ นถบู า้ นซกั ผา้
อะไรท�ำนองนี้ งานเหล่านี้เราไม่ต้องใช้ความคิด คิดก็
น้อยมาก คิดแต่เพียงว่าให้รู้ว่าตอนนี้ต้องท�ำอะไรบ้าง
เท่าน้ันเอง ตอนน้ันเราก็สามารถคอยควบคุมความคิดได้
คอยเจรญิ สตไิ ด้ คอยหมนั่ ทอ่ งพทุ โธๆ ไปเรอื่ ยๆ พทุ โธๆ ไป
มนั กจ็ ะไปคดิ ถงึ คนนน้ั คนนไ้ี มไ่ ด้ คดิ ถงึ เรอ่ื งนนั้ เรอื่ งนไ้ี มไ่ ด้
คดิ ถึงรปู เสยี ง กล่นิ รส โผฏฐัพพะ ชนิดน้นั ชนิดนี้ไมไ่ ด้
คดิ ถงึ ลาภ ยศ สรรเสรญิ สขุ ไมไ่ ด้ ถา้ เรามพี ทุ โธๆ อยใู่ นใจ
หรอื ถา้ เราใชพ้ ทุ โธไมไ่ ด้ เรากส็ วดมนตไ์ ปกอ่ น สวด “อติ ปิ โิ ส
ภควา อรหงั สมั มาสมั พทุ โธ วชิ ชาจรณสมั ปนั โน” หรอื จะใช้
บทสวดมนตบ์ ทอน่ื กไ็ ด้ ถา้ เราชอบบทแผเ่ มตตา เรากส็ วด

8

บทแผเ่ มตตาไปกไ็ ด้ “สพั เพ สตั ตา อเวรา โหนต”ุ ขอใหส้ ตั ว์
ท้งั หลายจงไม่มีเวรกนั เถดิ “อัพยาปชั ฌา โหนต”ุ จงอยา่
เบียดเบยี นกนั เถิด
เราต้องพยายามเจริญสตกิ อ่ นเวลาทเ่ี ราจะมานัง่ แล้วพอ
เวลาเรามานั่ง เรากเ็ จรญิ สตติ อ่ ถา้ เราดูลมได้เราก็ดลู มไป
ถา้ ยงั ดลู มไมไ่ ด้ ยงั คดิ เรอื่ งนนั้ เรอ่ื งนอี้ ยู่ กส็ วดมนตไ์ ปกอ่ น
หรอื พทุ โธไปกอ่ น ตอ้ งฝกึ ทำ� อยา่ งนไี้ ปจนกวา่ เราจะดลู มได้
ถา้ ดลู มไดแ้ ลว้ ทีน้กี ็ดูลมเข้าดลู มออก หรอื ถ้าเราพุทโธได้
ก็ไมต่ ้องดลู มก็ได้ ถา้ อยู่กบั พุทโธไปไดต้ ลอดเวลา มนั ก็จะ
ท�ำให้ใจเข้าสู่ความสงบได้เหมือนกัน พุทโธก็พาเข้าได้
ดลู มหายใจเข้าออกกพ็ าเข้าได้ แล้วแตค่ วามถนัด แล้วแต่
ความพอใจของเรา เราท�ำแบบไหนได้เราก็ท�ำแบบนั้นไป
ถา้ หมนั่ ทำ� อยา่ งนไี้ ปเรอื่ ยๆ รบั ประกนั ไดว้ า่ วนั หนงึ่ จะตอ้ งถกู
เหมอื นกบั ซอ้ื ลอตเตอรี่ ซอื้ มนั ไปเรอ่ื ยๆ เดย๋ี ววนั หนงึ่ มนั ก็
ถกู เองแหละ ไมถ่ กู รางวลั ท่ี ๑ อยา่ งนอ้ ยกถ็ กู เลขทา้ ย ๒ ตวั
อนั นกี้ เ็ หมอื นกนั พยายามฝกึ สตไิ ปเรอ่ื ยๆ ถา้ ไมไ่ ดอ้ ปั ปนา-
สมาธิ อย่างน้อยก็ได้ขณิกสมาธิ ขณิกะกับอัปปนาก็เป็น
สมาธิเหมือนกัน ต่างกันตรงท่ีสงบนานหรือสงบไม่นาน
ขณกิ สมาธนิ ส้ี งบเดยี๋ วเดยี ว เหมอื นงแู ลบลนิ้ สงบปบุ๊ แลว้ ก็
ถอนออกมา ถา้ อปั ปนาสมาธิกส็ งบยาว อยู่ได้นาน ขึ้นอยู่

9

กบั กำ� ลงั ของสติ เวลาเรมิ่ ตน้ ใหมๆ่ มนั จะไดข้ ณกิ สมาธกิ นั
เพราะก�ำลังของสติยังมีไม่มากพอ จึงท�ำให้จิตสงบได้ชั่ว
แวบหน่ึงเท่าน้ันเอง แต่มันก็จะท�ำให้เกิดมีความศรัทธา
มีความยินดีที่จะปฏิบัติ เพราะว่าเหมือนกับได้สัมผัสกับ
หนังตัวอย่าง ได้ดูหนังตัวอย่าง หรือได้ทดลองใช้สินค้า
ตัวอย่าง เวลาผู้จ�ำหน่ายสินค้าบางชนิดนี้ เวลาเขาผลิต
ออกมาใหมๆ่ เขาจะเอามาแจก แตเ่ ขาไมเ่ อามาใสข่ วดใหญ่
เขาจะใสข่ วดเลก็ ๆ พอเอาไปใชไ้ ดเ้ พยี งครง้ั สองครงั้ เพอื่ จะ
ได้รูผ้ ลวา่ เปน็ ยังไง หรือถา้ เป็นเครอ่ื งดม่ื เขากใ็ สข่ วดเล็กๆ
ให้ลองชิมดู พอได้ลองชิมลองดื่มดูแล้วถูกใจขึ้นมา ทีน้ีก็
อยากจะซ้ือขวดใหญ่มาดื่ม อันนี้ก็เหมือนกัน พอเราได้
ชิมรสแห่งธรรมที่ชนะรสทั้งปวงแล้วนี้ พอได้สัมผัสกับ
ความสงบ แม้แค่เพียงงูแลบล้ินก็ตาม มันจะท�ำให้เกิด
ความยินดี เกิดฉันทะข้ึนมา เกิดความชอบ ความอยาก
สัมผัสกับความสุขแบบน้ีอีก เหมือนกับดูหนังตัวอย่าง
เวลาเราได้ดูหนังตัวอย่างแค่นาทีสองนาทีน้ี พอดูแล้ว
ถูกใจ เราเกิดชอบข้ึนมา ทีนี้ก็อยากจะดหู นังจริงแลว้ ทีนี้
ก็รอวันท่หี นงั จะเขา้ โรง พอหนังเข้าโรงกร็ บี ไปจองตว๋ั กอ่ น
สมัยก่อนน้ีเห็นไหม เวลาหนังที่ดังๆ เข้าโรงแต่ละครั้งน่ี้
คนตอ้ งไปรอเขา้ ควิ กนั ตงั้ แตห่ วั คำ่� กม็ ี รอใหโ้ รงหนงั เปดิ เพอ่ื
จะได้ซ้ือต๋ัวได้ก่อนคนอื่น เพราะถ้ามาซ้ือทีหลังเด๋ียวมัน

10

หมดกอ่ น กเ็ ลยจะไมไ่ ดด้ รู อบแรก ตอ้ งรอไปดอู กี หลายวนั
ดว้ ยกันเพราะควิ มนั ยาว
นค่ี อื การเจรญิ สตกิ อ่ น ถา้ มสี ตแิ ลว้ เดย๋ี วจะพาเราไปสขู่ ณกิ -
สมาธกิ อ่ น ยงั ไปไมถ่ งึ อปั ปนาสมาธิ ยกเวน้ คนทมี่ สี ตแิ กก่ ลา้
อยแู่ ลว้ คนทมี่ บี ญุ เกา่ คนทม่ี สี ตติ ดิ ตวั มามากนี้ พอลองนงั่
สมาธิคร้งั แรก พุทโธเพียง ๕ นาที จิตก็เข้าสอู่ ปั ปนาสมาธิ
ได้เลย อันน้ีเป็นกรณีพิเศษ แต่ส�ำหรับบุคคลทั่วไปอย่าง
พวกเรานี้ ทต่ี ะเกยี กตะกายกบั การเจรญิ สติ ลม้ ลกุ คลกุ คลาน
กับสตนิ ้ี พุทโธได้ ๒ คำ� ก็หายไปแลว้ เพราะไปคิดถึงขนม
นมเนยแล้ว ไปคิดถึงภาพยนตร์ คิดถึงคนนั้นคนน้ีแล้ว
เดี๋ยวพอไดส้ ติกลบั มาพทุ โธใหม่ พุทโธได้สองสามค�ำ เอ้า
ไปอกี แลว้ หายไปอกี แลว้ ถา้ เปน็ อยา่ งนก้ี ต็ อ้ งใชเ้ วลาหนอ่ ย
ตอ้ งอดทน ตอ้ งใจเยน็ ๆ อยา่ รบี รอ้ น ใหค้ ดิ วา่ กรงุ โรมไมไ่ ด้
สร้างในวนั เดียว ต้องใช้เวลา เมื่อเราไม่มขี องเกา่ ตดิ ตัวมา
เรากต็ ้องหาใหม่ เวลาหาใหม่มนั ก็ต้องหาได้น้อยกว่าคนท่ี
เขามขี องเกา่ มาแลว้ สตกิ เ็ หมอื นนำ้� ในตมุ่ คนทเ่ี ตมิ นำ้� ไป
ครึ่งตุ่มแล้ว กับคนที่ยังไม่ได้เติมน�้ำ คนท่ีเติมน�้ำครึ่งตุ่ม
เขาเติมอีกคร่ึงตุ่มเขาก็เต็มแล้ว แต่คนท่ียังไม่มีน้�ำในตุ่ม
เลยก็ต้องเติมมาก ใช้เวลามากหน่อย แต่เด๋ียวก็เต็มเอง
ถ้าไม่หยุดเติม เพราะแต่ละคนนี้จะมีสติติดตัวมากับใจ

11

ไม่เท่ากัน ท�ำไมคนเราถึงมีเรียนเก่งกับเรียนไม่เก่ง ก็อยู่
ท่ีสติน่ีแหละ คนท่ีเรียนเก่งคือได้คะแนนดีเพราะสติเขาดี
เขาตงั้ ใจฟงั คนทไี่ มม่ สี ตนิ ี้ ครพู ดู อะไรไมไ่ ดย้ นิ หรอก เพราะ
มัวแต่ไปคิดเร่ืองน้ันเร่ืองนี้ ไม่มีสติท่ีจะคอยควบคุมให้ฟัง
ครูอาจารย์สอนได้ ถงึ เวลากลับบ้านให้ทำ� การบา้ น ก็ไมม่ ี
สตคิ วบคมุ ใหไ้ ปทำ� การบา้ น พอกลบั ไปบา้ นกไ็ ปเลน่ ไปเปดิ
ทีวีดู ก็เลยได้คะแนนไม่ดี ดีไม่ดีสอบตก เรียนไม่จบก็มี
นเี่ ปน็ เพราะวา่ มสี ตมิ าไมเ่ ทา่ กนั นกั เรยี นจงึ มเี กง่ กบั ไมเ่ กง่
มีนักเรียน ๔ จุด มี ๓ จุด มี ๒ จุด มี ๑ จดุ กอ็ ยู่ที่ก�ำลัง
ของสตแิ ตล่ ะคน เรยี นสงู เรยี นมากเรยี นนอ้ ยกอ็ ยทู่ ส่ี ตนิ เ่ี อง
บางคนกจ็ บดอ๊ กเตอรไ์ ด้ บางคนกจ็ บปรญิ ญาโท บางคนก็
จบปรญิ ญาตรี แตย่ งิ่ เรยี นสงู ข้ึนไปก็ยงิ่ มนี อ้ ยลงไปเรอื่ ยๆ
คนเรียนอนุบาลนี่เยอะท่ีสุด แต่พอขึ้น ป.๑ ก็น้อยลงไป
พอข้ึนมัธยมก็น้อยลงไป พอข้ึนปริญญาตรีก็น้อยลงไป
เพราะมนั ตอ้ งใชก้ ำ� ลงั ของสตมิ ากขน้ึ ๆ ในการเรยี นนน่ั เอง
ดงั นน้ั คนทมี่ สี ตไิ มพ่ อกจ็ ะเรยี นไมไ่ หว ไปเอน็ ทรานซก์ เ็ อน็
ไม่เข้า ท�ำข้อสอบไม่ได้ เพราะไม่มีสติคอยควบคุมใจให้ดู
หนงั สอื ใหท้ ำ� การบา้ น พอถงึ เวลาไปสอบเอน็ ทรานซก์ ส็ อบ
ไมต่ ิด น่ีคือตัวอยา่ งของการมสี ตขิ องแต่ละคน

12

พวกเราทุกคนนมี้ สี ติมาไม่เท่ากนั การปฏิบตั เิ พือ่ บรรลมุ นั
ถงึ ไมเ่ ทา่ กนั พระพทุ ธเจา้ กเ็ ลยตอ้ งแบง่ วา่ บางคนก็ ๗ วนั
บางคนก็ ๗ เดอื น บางคนก็ ๗ ปี บางคนก็ ๗ ชาติ บางคน
กย็ งั ไมม่ กี ำ� หนด เพราะยงั ไมเ่ ขา้ ขา่ ย ยงั ไมม่ สี ตพิ อทจ่ี ะ
ฝกึ สมาธไิ ด้ ถา้ เราปฏบิ ตั แิ ลว้ ยงั ไปไมถ่ งึ ไหน กต็ อ้ งรแู้ ลว้
ว่าส่ิงทเ่ี ราขาดกค็ อื สติ แต่ก็อย่านอ้ ยเนอ้ื ต�ำ่ ใจ เพราะวา่
ทุกคนสร้างสตขิ ึน้ มาได้ อยา่ ไปคดิ ว่า โอย๊ เราไม่มสี ติมา
เราไมม่ วี าสนา ไมม่ บี ารมี ทำ� ไปกไ็ มไ่ ดผ้ ลอะไร อยา่ ทำ� ดกี วา่
อันนี้เป็นความคิดผิด ถ้าคิดอย่างนี้แล้วก็ไม่มีวันที่จะ
ทำ� อะไรไดส้ ำ� เรจ็ เราตอ้ งคดิ วา่ เออ้ เราสะสมกำ� ลงั มานอ้ ย
กวา่ เขา เขามกี ำ� ลงั มากกวา่ เขามสี ตมิ ากกวา่ เรา เขากเ็ ลยไป
ไดเ้ ร็วกว่าเรา ไปได้ไกลกวา่ เรา แตถ่ า้ เราพยายามสรา้ งสติ
ขน้ึ มา เดยี๋ วเรากไ็ ปเรว็ เทา่ เขาได้ ไปไกลเทา่ เขาได้ เพยี งแตว่ า่
จะชา้ กวา่ เขาเพราะเขาทำ� มากอ่ น เหมอื นคนทต่ี กั นำ�้ ใสต่ มุ่
เขาตกั มาตัง้ ครง่ึ ตุม่ แล้ว เรายงั ไม่มเี ลยสกั หยดเดียว เราก็
ตอ้ งตกั มากกวา่ เขา ตกั บอ่ ยกวา่ เขา เขาไมต่ อ้ งตกั มาก เขาตกั
ไมน่ านเดย๋ี วนำ�้ กเ็ ตม็ ตมุ่ แลว้ ดงั นน้ั เราอยา่ ไปเปรยี บเทยี บ
กบั คนอน่ื แลว้ ทำ� ใหเ้ ราทอ้ แท้ ถา้ จะเปรยี บเทยี บกใ็ หค้ ดิ วา่
เขาทำ� มามากกวา่ เรา ทำ� มากอ่ นเรา แตเ่ รากส็ ามารถทำ� ได้
เหมอื นเขา เพราะจติ ใจของเขากบั จติ ใจของเรานเี้ หมอื นกนั
เป็นผู้รู้ผู้คิดเหมือนกัน สามารถท่ีจะสั่งให้มันท�ำอะไรได้

13

เหมอื นกนั ถา้ ทำ� ไมไ่ ด้ พระพทุ ธเจา้ จะไมเ่ อาธรรมะมาสอน
พวกเราให้เสียเวลา พระพุทธเจ้ารู้ว่าพวกเรามีความ
สามารถทจี่ ะทำ� อะไรไดเ้ หมอื นกนั ทกุ คน อยทู่ วี่ า่ เรามคี วาม
เพยี รพยายามทจี่ ะทำ� หรอื ไม่ ดงั นนั้ เราตอ้ งพยายามผลกั ดนั
ตัวเราเอง พยายามผลกั ดนั ให้เราเจริญสตอิ ยเู่ รอื่ ยๆ คอย
บังคับให้เราพทุ โธๆ อยูเ่ ร่ือยๆ หรอื คอยบงั คับให้มันเฝา้ ดู
รา่ งกายอยเู่ รอ่ื ยๆ วา่ ตอนนร้ี า่ งกายกำ� ลงั ทำ� อะไรอยู่ แลว้ ก็
อยู่กับมัน อาบน้�ำก็อาบกับมัน กินข้าวก็กินข้าวกับมัน
ลา้ งหนา้ แปรงฟนั กล็ า้ งหนา้ แปรงฟนั กบั มนั ซกั เสอ้ื ผา้ กซ็ กั
ไปกบั มนั กวาดบา้ นถบู า้ นกไ็ ปกบั มนั อยา่ ไปทอ่ี น่ื ใหอ้ ยกู่ บั
ร่างกาย หรือถ้าไมอ่ ยกู่ บั ร่างกายกอ็ ยู่กบั พุทโธๆ ไป แลว้
เด๋ียวสติก็จะมีมากข้ึนมาเอง พอมีมากขึ้น เวลาน่ังสมาธิ
ปบ๊ั เดยี ว จติ กส็ งบได้ พอมสี ตทิ ม่ี กี ำ� ลงั ทำ� จติ ใหส้ งบไดแ้ ลว้
ทีนี้มันจะไปเร็วแล้วแหละ พอสงบครั้งแรกแล้วมันจะเกิด
ความยินดี เกิดก�ำลังใจข้ึนมา โอ๊ย เราท�ำได้แล้วนี่หว่า
พอเราทำ� ไดแ้ ลว้ ทนี ก้ี อ็ ยากจะทำ� ใหม้ นั มากขนึ้ กพ็ ยายาม
ฝึกสติให้มากข้ึนบ่อยขึ้น แล้วเดี๋ยวก็น่ังได้นานข้ึน น่ังได้
เรว็ ขนึ้ สงบไดง้ า่ ยขนึ้ ไดเ้ รว็ ขน้ึ ไดน้ านขน้ึ ตอ่ ไปกจ็ ะชำ� นาญ
ตอ้ งการเขา้ สมาธเิ มอ่ื ไรกเ็ ขา้ ได้ เหมอื นกบั ตอนทเ่ี ราหดั ขบั
รถใหมๆ่ กวา่ จะสตารท์ รถติดน้ี โอ๊ย เหน่อื ย ไหนจะต้อง
หารกู ุญแจ ไหนจะต้องหาเกยี ร์ว่าง หาอะไรตา่ งๆ เพราะ

14

แต่ละข้ันตอนมันมีข้ันตอนของมัน ท�ำคร้ังแรกนี้มันยังไม่
ชำ� นาญ มนั ตอ้ งไปทลี ะขนั้ ทลี ะตอน แตพ่ อฝกึ ทำ� บอ่ ยๆ เขา้
จนชำ� นาญ ทนี เี้ วลากระโดดขนึ้ รถนี่ พอสตารท์ รถปบุ๊ กว็ งิ่ ไป
ไดเ้ ลย เพราะอาศยั ความชำ� นาญ สมาธกิ เ็ หมอื นกนั ถา้ เรา
ทำ� บอ่ ยๆ เขา้ เรอื่ ยๆ เราจะชำ� นาญขน้ึ ตอ่ ไปเวลาจะนงั่ สมาธิ
จะเขา้ สมาธนิ ี้ นง่ั หลบั ตาปบุ๊ เดยี ว ไมถ่ งึ ๕ นาทซี ะดว้ ยซำ�้ ไป
จิตก็สงบได้ทนั ที แลว้ กจ็ ะสงบไดน้ านดว้ ย
ดงั นน้ั ในเบอื้ งตน้ อยา่ ทอ้ แท้ ตอ้ งอดทน ตอ้ งสอนตวั เอง
ว่าต้องใช้เวลา กรุงโรมไม่ได้สร้างขึ้นมาเพียงวันเดียว
สมาธนิ ก้ี ไ็ มเ่ กดิ ขนึ้ จากการนง่ั ครง้ั แรกครงั้ เดยี ว ยกเวน้
แตค่ นทเี่ คยมมี าแลว้ ในอดตี ชาตกิ อ่ นเคยเขา้ สมาธไิ ดแ้ ลว้
พอชาตนิ ม้ี าฝกึ สมาธกิ ส็ ามารถเขา้ ไดท้ นั ทเี ลย แตอ่ นั นเ้ี ปน็
กรณพี เิ ศษ อยา่ เอาเขามาเปน็ มาตรฐาน แลว้ มนั จะทำ� ใหเ้ รา
ไมม่ กี ำ� ลงั ใจทจ่ี ะปฏบิ ตั ิ ตอ้ งมองคนอนื่ ทเี่ ขาชา้ กวา่ เราทแี่ ย่
กว่าเรา คนอนื่ มาถือศีล ๘ ยังมาไม่ได้เลย มาอยู่วดั ยังอยู่
ไมไ่ ดเ้ ลย เรานมี่ าอยวู่ ดั ได้ มาถอื ศลี ๘ ได้ เรามาฝกึ สมาธไิ ด้
แสดงวา่ เราเกง่ กวา่ เขา เกง่ กวา่ คนทถี่ อื ศลี ๕ เพราะบางคน
ถือศลี ๕ ได้ แต่ยังไม่ถอื ศีล ๘ เวลาอยากจะมกี �ำลังใจนี้
ตอ้ งมองคนทเ่ี ขาดอ้ ยกวา่ เรา แลว้ จะทำ� ใหเ้ รารสู้ กึ ภมู ใิ จวา่
โอย๊ เราเกง่ กวา่ เขานะ แตถ่ า้ เราไปมองคนทเี่ ขาเกง่ กวา่ เรานี้

15

พอดูเขาแล้ว โอ๊ย หมดก�ำลังใจ กูจะเป็นเหมือนเขาได้
อยา่ งไรวะ ฉะนนั้ ตอ้ งอยา่ ไปมอง ถา้ จะมองกม็ องเพอ่ื เปน็
ตัวอย่างว่าต่อไปเราจะต้องเป็นเหมือนเขา แล้ววิธีอะไร
ท่ีจะท�ำให้เราเป็นเหมือนเขา เราก็จะต้องหัดท�ำให้ได้
ถา้ อยากจะเขา้ สมาธไิ ดง้ า่ ยไดเ้ รว็ ไดน้ าน เรากต็ อ้ งพยายาม
ฝึกสติบ่อยๆ ให้มีสติอยู่เร่ือยๆ ระลึกถึงพุทโธอยู่เรื่อยๆ
สวดมนต์ไปภายในใจอยู่เร่ือยๆ หรอื เฝา้ ดกู ารเคล่อื นไหว
ของร่างกายอยู่เรื่อยๆ อย่าปล่อยให้ใจคิดไหลไปตาม
กระแสของอารมณ์ เห็นรูปก็คิดไปแล้ว ได้ยินเสียงก็คิด
ไปแลว้ คดิ ถงึ รปู ในอดตี บา้ ง คดิ ถงึ รปู ในอนาคตบา้ ง คดิ ถงึ
เสยี งในอดตี บา้ ง อนั นี้แสดงวา่ ไม่มสี ติ ปลอ่ ยให้ใจไหลไป
ตามอารมณค์ ดิ ปรงุ แตง่ ไปเรอ่ื ยๆ คดิ แลว้ บางทกี เ็ กดิ ความ
ฟงุ้ ซา่ นขนึ้ มา บางทกี เ็ กดิ ความเศรา้ ขน้ึ มา ความคดิ ตา่ งๆ น้ี
ส่วนใหญ่มันจะพาให้เราไปสู่ความทุกข์กัน สู้ไม่คิดดีกว่า
ถา้ จะคดิ กค็ ดิ เรอื่ งจำ� เปน็ คดิ แลว้ ทำ� ใหไ้ ดเ้ งนิ นค่ี อ่ ยคดิ ดกี วา่
เชน่ เวลาไปทำ� งานจะตอ้ งใชค้ วามคดิ คดิ แลว้ เดย๋ี วกท็ ำ� งาน
ให้เขาได้ ท�ำงานเสร็จเด๋ียวเขาก็จ่ายเงินเดือนให้เรา
แตถ่ า้ คดิ แลว้ เพอ้ ฝนั เพอ้ เจอ้ คดิ แลว้ ทำ� ใหเ้ ราเศรา้ คดิ แลว้
ท�ำให้เราเหงาว้าเหว่ อย่าไปคิดมันดีกว่า หยุดคิดดีกว่า
มาท�ำพุทโธๆ หรือสวดมนต์ไปภายในใจดีกว่า ส่ิงเหล่าน้ี
ท�ำได้ทุกอิริยาบถนะ ถ้าท�ำไปภายในใจไม่ต้องรอเวลา

16

อย่างการสวดมนต์น้ี เราสวดได้ทั้งวันเลยถ้าเราสวดอยู่
ภายในใจ แม้แต่อยู่ในห้องส้วมก็สวดได้ถ้าเราสวดไป
ภายในใจ ไมถ่ ือวา่ ไม่เคารพนะ ถอื วา่ เป็นการปฏิบัตบิ ชู า
การปฏบิ ตั บิ ชู านไ้ี มจ่ ำ� กดั สถานทเี่ วลา เปน็ อกาลโิ ก จะปฏบิ ตั ิ
ในหอ้ งสว้ มกไ็ ด้ บางทจี ติ ฟงุ้ ซา่ นโกรธคนนน้ั คนนี้ หลบเขา้
ไปในห้องส้วมเพื่อจะไม่ได้ไปเห็นคนท่ีท�ำให้เราโกรธ
แล้วไปนัง่ สวดมนตส์ ักพกั หนึง่ เดีย๋ วกห็ ายโกรธแลว้
การสวดมนตน์ ี้ การเจรญิ สตนิ ี้ ถา้ เราทำ� ไปภายในใจ เราทำ�
ได้ทุกเวลาทุกสถานท่ี ไม่ต้องมารอถึงเวลาให้วัดเขามา
ตีระฆังก่อน หรือบอกว่า “เฮ้ย ถึงเวลาไปสวดมนต์แล้ว”
ถา้ อยา่ งนนั้ ไมท่ นั การณห์ รอก กเิ ลสมนั เอาไปกนิ หมดแลว้
ความฟงุ้ ซา่ น ความเผลอสติ เอาไปกนิ หมดแลว้ เราตอ้ งสวด
ต้ังแต่ลืมตาข้ึนมา พอลืมตาข้ึนมาก็บอกว่า “เฮ้ย ปฏิบัติ
บชู านะวนั น”ี้ เอาเลย พทุ โธๆ ไปเลย อยา่ งนกี้ เ็ รยี กวา่ ปฏบิ ตั ิ
บชู าแลว้ ไมต่ อ้ งรอไปเขา้ โบสถก์ อ่ นแลว้ คอ่ ยไปปฏบิ ตั บิ ชู า
ไม่ต้องไปหาดอกไม้ธูปเทียนมาให้เสียเวลา พระพุทธเจ้า
บอกวา่ การบชู านม้ี อี ยู่ ๒ แบบดว้ ยกนั คอื อามสิ บชู า และ
ปฏบิ ตั บิ ชู า อามสิ บชู าคอื การบชู าดว้ ยเครอ่ื งสกั การะ เชน่
ดอกไมธ้ ปู เทยี นตา่ งๆ เปน็ ตน้ การปฏบิ ตั บิ ชู ากค็ อื การเจรญิ
สติปัญญานี่เอง พระพุทธเจ้าบอกว่าการบูชาท่ีแท้จริงที่

17

ถกู ต้องทค่ี วรจะบูชาคือการปฏบิ ตั ิบูชา แต่อามิสบชู าถา้ มี
เหตุมีกาลเทศะท่ีจะต้องท�ำพิธีกรรมก็หาดอกไม้ธูปเทียน
มาท�ำสักหน่อย เพื่อให้มันดูสวยงาม แต่ถ้าปฏิบัติบูชานี้
ไมต่ อ้ งใชด้ อกไมธ้ ปู เทยี น ขอใหเ้ นน้ การปฏบิ ตั บิ ชู า ไมต่ อ้ ง
ไปกังวลกับเร่ืองอามิสบูชามากจนเกินไป เพราะผลท่ีได้
จากอามสิ บชู านไี้ ด้ไมม่ าก แตจ่ ะว่าไม่ได้เลยกไ็ ม่เชงิ ก็ได้
สตบิ า้ งแตไ่ มม่ าก สมู้ าเจรญิ พทุ โธๆ ดกี วา่ สมู้ าสวดมนตไ์ ป
ภายในใจดีกวา่ จะได้เปน็ กอบเปน็ กำ� บูชาด้วยการปฏบิ ตั ิ
บูชา พระพุทธเจ้าบอกว่า “ผู้ท่ีปฏิบัติธรรมสมควร
แก่ธรรม ผู้นั้นแหละคือผู้บูชาเราตถาคต” คือปฏิบัติดี
ปฏิบัติชอบ หมายถึงปฏิบัติอย่างถูกต้อง เช่นเจริญสติ
อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง พทุ โธอยา่ งไมข่ าดไมห่ ายน้ี เรยี กวา่ ปฏบิ ตั ดิ ี
ปฏิบัติชอบ หรือสวดมนต์ไปเร่ือยๆ นี่เรียกว่าปฏิบัติดี
ปฏบิ ตั ชิ อบ ไมใ่ ชร่ อใหถ้ งึ เวลาสวดมนตซ์ งึ่ วนั หนง่ึ มเี ชา้ เยน็
แค่น้ันเอง ส่วนเวลาอื่นก็ปล่อยให้ใจเตลิดเปิดเปิงไปกับ
กิเลสตัณหา คิดเรื่องน้ันคิดเรื่องนี้ โกรธคนนั้นโกรธคนนี้
อันนี้ไม่เป็นการปฏิบัติบูชา การปฏิบัติบูชานี้ต้องคอย
ควบคุมความคิดอยู่ตลอดเวลา ให้มันอยู่ในความสงบ
ใหม้ นั อยใู่ นความเปน็ ปกติ คอื ไมใ่ หไ้ ปมเี รอื่ งมรี าว ไมใ่ หไ้ ป
โลภไปโกรธไปหลง ไม่ใหไ้ ปมปี ญั หาอะไรกบั ใคร แบบน้ถี ึง
เรียกว่าเป็นการปฏิบัติบูชา

18

ฉะนนั้ เวลาทเี่ ราเจรญิ พทุ โธๆ น้ี เราทำ� ไดท้ กุ เวลาทกุ สถานที่
แต่ก็ต้องดูกาลเทศะว่าควรจะท�ำหรือไม่ท�ำ เช่น ถ้าเรา
ขบั รถอยู่ เรากต็ อ้ งดกู ารขบั รถเปน็ หลกั กอ่ น ไมใ่ ชไ่ ปดพู ทุ โธ
เปน็ หลกั แลว้ เรอื่ งขบั รถไปเปน็ รอง เดย๋ี วรถเกดิ มอี ะไรขนึ้ มา
เวลามรี ถตดั หนา้ อาจจะหยดุ ไมท่ นั เวลาขบั รถนต้ี อ้ งดรู ถกอ่ น
ดูการขับรถก่อน ส่วนพุทโธอาจจะเอาเป็น backup ก็ได้
เผื่อมันขับแล้วมันไปคิดถึงคนนั้นคนน้ี เร่ืองน้ันเรื่องน้ี
กใ็ หม้ นั มาคดิ ทพ่ี ทุ โธแทน แตก่ ย็ งั ตอ้ งดกู ารขบั รถเปน็ หลกั
เวลาเดนิ กต็ อ้ งดกู ารเดนิ เปน็ หลกั ถา้ มวั แตพ่ ทุ โธๆ ไป กไ็ มถ่ กู
เดยี๋ วเดนิ ไปเตะนนู่ เตะนี่ เราตอ้ งมสี ตใิ หร้ อู้ ยวู่ า่ กำ� ลงั เดนิ ไป
ตรงไหน กำ� ลงั มอี ะไรขวางอยขู่ า้ งหนา้ แลว้ ถา้ ใจมนั ไมย่ อม
อยกู่ บั การเดนิ นี้ อยากจะไปคดิ เรอ่ื งนน้ั เรอื่ งนี้ กใ็ หใ้ ชพ้ ทุ โธ
ดงึ มนั กลับมา
นค่ี อื การปฏบิ ตั เิ บอ้ื งตน้ เพอ่ื ทจี่ ะทำ� ใจใหส้ งบ ตอ้ งมสี ตกิ อ่ น
ตอ้ งหากญุ แจรถใหเ้ จอกอ่ น กวา่ จะขบั รถไดน้ ต้ี อ้ งใชก้ ญุ แจ
ตอ้ งมกี ุญแจ ถา้ ไม่มกี ุญแจกเ็ ปิดประตูรถไมไ่ ด้ ไม่มีกญุ แจ
กไ็ ปสตาร์ทรถไม่ได้ เพราะรถก็จะจอดอยู่อย่างน้นั ไปไหน
ไมไ่ ด้ ถ้าไมม่ สี ติ จติ ก็จะสงบไมไ่ ด้ จติ จะเกิดปญั ญาก็เกิด
ไมไ่ ด้ จติ จะเกดิ วมิ ตุ ตหิ ลดุ พน้ กเ็ กดิ ไมไ่ ด้ ในเบอื้ งตน้ ตอนนี้
พวกเรายังหากุญแจกันไม่เจอ ต้องพยายามหากุญแจกัน

19

20

ให้เจอ หาพุทโธให้เจอ อยา่ งตอนทห่ี ลวงปมู่ ั่นทา่ นอยูก่ บั
พวกชาวเขา ท่านอาศัยพวกชาวเขาเวลาเดินบิณฑบาต
แต่ท่านก็ไม่ได้อยู่ที่หมู่บ้าน ท่านอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้าน
บางทพี วกชาวเขากเ็ ปน็ หว่ งทา่ น เหน็ ทา่ นอยคู่ นเดยี วกม็ า
แอบดู แลว้ ก็เห็นทา่ นเดินจงกรมเดินไปเดนิ มา เขากค็ ิดว่า
ทา่ นกำ� ลงั หาอะไรอยู่ กเ็ ลยไปถามวา่ “หลวงปหู่ าอะไรครบั
ให้ผมช่วยหาไหม” หลวงปู่บอกว่า “ก�ำลังหาพุทโธๆ”
พวกชาวเขากว็ า่ “แลว้ หาอยา่ งไรละ่ หลวงป”ู่ ทา่ นกเ็ ลยบอก
ใหพ้ วกชาวเขาทอ่ งพทุ โธๆ ไป มนั กเ็ ลยเดนิ ทอ่ งพทุ โธๆ หา
พทุ โธใหห้ ลวงปู่ หลวงปมู่ น่ั ทา่ นฉลาด ทา่ นสอนคนใหเ้ จรญิ
สติโดยไม่รสู้ ึกตัว
น่ีคือเร่ืองของการเจริญสติ สตินี้เป็นกุญแจดอกส�ำคัญ
ทส่ี ดุ ในการสรา้ งความสขุ ทเ่ี กดิ จากความสงบ ถา้ ไมม่ สี ติ
ถงึ มาอยวู่ ดั ปฏบิ ตั ธิ รรมกร่ี อ้ ยปกี เ็ หมอื นเดมิ ไมไ่ ดอ้ ะไร
ได้อยา่ งมากกแ็ คร่ กั ษาศีล ๘ ไปเทา่ นั้นเอง
ดังน้ันก็ใหพ้ วกเรามาต้ังสตกิ ัน มาเจรญิ สตกิ ัน แล้วกม็ านง่ั
สมาธกิ นั แลว้ ใจเราจะไดส้ งบมคี วามสขุ พอมคี วามสขุ แลว้
เราจะไม่เดือดร้อนเวลาที่ร่างกายเป็นอะไรไป ตอนท่ี
รา่ งกายไมส่ ามารถหาความสขุ ได้ เรากใ็ ชส้ ตเิ ปน็ เครอ่ื งมอื
แทน 

21

22

“พิจารณา”

ใหร้ ู้จรงิ เห็นจรงิ เป็นเร่อื งๆ

23

การเจรญิ ปญั ญานี้ มันต้องคดิ เป็นเรอื่ งๆ ไป ไม่ใชค่ ดิ
แบบครอบจกั รวาล จากรา่ งกายไปทค่ี วามรสู้ กึ จากความ
รู้สึกไปเร่ืองนั้นเร่ืองนี้ เหมือนกับการเรียนหนังสือ เราก็
ตอ้ งเรยี นเป็นวิชาๆ ไป ชั่วโมงนเ้ี รียนคณติ ศาสตร์ กเ็ รียน
เอาแตค่ ณติ ศาสตรอ์ ยา่ งเดยี ว เอาใหม้ นั เขา้ ใจอยา่ งถอ่ งแท้
ชั่วโมงต่อไปเรียนวิทยาศาสตร์ก็ไปเรียน ให้เอาเร่ืองใด
เรอ่ื งหนงึ่ การเจรญิ ปญั ญา ถา้ จะเอาเรอื่ งรา่ งกายกเ็ อาให้
มนั เหน็ ชดั ๆ วา่ ความเปน็ อนจิ จงั ของรา่ งกายเปน็ ยงั ไง
ร่างกายมันเปล่ียนแปลงทุกวินาที เรารู้หรือเปล่า ไม่เชื่อ
ลองไปถา่ ยรปู ดซู ิ เวลาเกดิ มาใหมๆ่ แลว้ อกี ๑๐ ปมี าถา่ ยรปู
อกี ที แลว้ ลองเปรยี บเทยี บดู มนั กลายเปน็ คนละคนไปแลว้
แตถ่ า้ มองทกุ วนิ าที มนั มองไมเ่ หน็ การเปลยี่ นแปลง แตจ่ รงิ ๆ
มนั มีการเปลย่ี นแปลงอยูน่ ะ มนั ต้องเปล่ยี นแปลงจากเลก็
จากน้อยไป นีค่ อื อนิจจงั ดวู ่าร่างกายมนั ไมน่ ง่ิ เฉย มันมี
การเปล่ียนแปลง เปลยี่ นแปลงไปในทางเจริญเติบโต และ

24

เปลี่ยนแปลงไปในทางเสื่อม พอมันโตเป็นหนุ่มใหญ่เป็น
สาวใหญแ่ ลว้ ทนี ม้ี นั จะเรม่ิ เขา้ สวู่ ยั ชรา พอเขา้ สวู่ ยั ชราแลว้
เดี๋ยวมันก็เร่ิมเจ็บไข้ได้ป่วย แล้วเด๋ียวมันก็หมดลมหายใจ
พอหมดลมหายใจก็ต้องพิจารณาว่าแล้วมันไปไหนต่อ
มนั กจ็ ะเกดิ การแยกตวั ของดนิ นำ�้ ลมไฟทมี่ ารวมอยดู่ ว้ ยกนั
ในร่างกายนี้ มันก็แยกกันไปคนละทิศคนละทาง ถ้าเผา
กเ็ หลอื แตด่ นิ เหลอื แตข่ เี้ ถา้ เพราะไฟมนั เผาทงั้ นำ�้ เผาทงั้ ลม
ทง้ั ไฟหายไปหมด และถา้ ไปฝงั กเ็ หลอื แตด่ นิ เหมอื นกนั นคี่ อื
การพิจารณาร่างกายในลักษณะของอนจิ จัง
แล้วก็ต้องพิจารณาในลักษณะของอนัตตาว่าเป็นยังไง
มีตัวตนจริงหรือ ถ้ามีตัวตนแล้วท�ำไมเวลาไม่มีลมหายใจ
มนั ทำ� ไมไมม่ ใี คร ตวั ตนมนั หายไปไหน จรงิ ๆ แลว้ ตวั ตนมนั
ไมม่ ีมนั เปน็ เพยี งอาการ๓๒คอื ผมขนเลบ็ ฟนั หนงั ผมกไ็ มม่ ี
ตัวตน ขนกไ็ มม่ ตี วั ตน พิจารณาใหเ้ หน็ ว่าเปน็ เพียงอาการ
ทที่ ำ� มาจากดนิ นำ้� ลม ไฟ แลว้ กพ็ จิ ารณาความไมส่ วยงาม
ของร่างกาย เราชอบเห็นแต่ความสวยงาม เราลืมไปว่า
ร่างกายเรามีทั้งสวยงามและไม่สวยงาม เราต้องดูความ
ไม่สวยงามเพ่ือจะท�ำให้ใจเราไม่ไปหลงรักร่างกาย เพราะ
ความรักร่างกายท�ำให้เราทุกข์ พอเวลาร่างกายไม่สวย
เวลารา่ งกายเปลย่ี นไป มนั กจ็ ะทำ� ใหเ้ ราทกุ ข์ แลว้ ถา้ เราไป

25

รกั คนอนื่ มนั กจ็ ะทำ� ใหเ้ รากนิ ไมไ่ ดน้ อนไมห่ ลบั ถา้ ไมไ่ ดอ้ ยู่
ใกล้ชิดกับเขา แต่พอไปเห็นส่วนที่ไม่สวยของร่างกายเขา
เราก็จะไม่อยากจะอย่ใู กลเ้ ขา ไมอ่ ยากจะมเี ขา น่เี ป็นการ
พิจารณาในลักษณะต่างๆ ของรา่ งกาย

26

ดังนั้นให้พิจารณาเอาทีละเร่ือง พิจารณาแล้วก็ต้อง
พิจารณาอยเู่ รอ่ื ยๆ จนกระทงั่ มันจำ� ได้ เหมือนกบั การ
ท่องสูตรคณู ไมใ่ ช่พิจารณาหนเดียวบอก “โอ๊ย เขา้ ใจแล้ว
รู้แล้ว” มันไมไ่ ดห้ รอก เด๋ยี วพอไปเห็นใครหนา้ ตาดหี น่อย
ก็ไปหลงรักเขาแล้ว เพราะลืมไป ลืมดูสิ่งท่ีไม่สวย ลืมดู
โครงกระดูกของเขา ลืมดูตับไตไส้พุงของเขา มองไม่เห็น
เราตอ้ งมองใหเ้ หน็ ตลอดเวลา แลว้ จะไดไ้ มห่ ลงไปรกั ใคร
ใครจะหลอ่ ใครจะสวยยังไง พอมองเขา้ ไปใตผ้ วิ หนังน้ี
เหมอื นกนั หมด เปน็ โครงกระดกู เทา่ นน้ั แหละ มลี ำ� ไสม้ ี
ปอดมตี บั มไี ตทงั้ นน้ั ตอ้ งเหน็ แบบเรยี ลไทม์ (real time)
มองเห็นแบบสดๆ ร้อนๆ ไม่ใช่เห็นแบบพิจารณาไว้
เมื่อวานนี้ พอมาวันนี้มองไม่เห็นแล้ว มันต้องเห็นตลอด
เวลาทุกครั้งถึงจะปล่อยวางร่างกายได้ในทุกรูปแบบ และ
ก็ให้มองความตายตลอดเวลา มันก็จะปล่อยวางร่างกาย
ปล่อยวางความตายได้ ว่าในท่ีสุดร่างกายมันก็ต้องหมด
ลมไป เวลาหมดกป็ ลอ่ ยใหห้ มดไป จะทำ� ยงั ไงได้ เราหา้ มมนั
ไม่ได้
นี่คือการพิจารณาร่างกาย ไม่ใช่พิจารณาแบบจุ๋มจ๋ิม
นดิ หนอ่ ย เหมอื นกบั เอาขนมมาจม้ิ นำ้� จม้ิ แลว้ กไ็ ปเอาขนม
อกี ชน้ิ มาจม้ิ อยา่ งนี้ โอย๊ มนั ไมไ่ ดส้ กั เรอ่ื ง มนั ตอ้ งเอาเรอื่ งใด

27

28

เรอื่ งหนงึ่ พระพทุ ธเจา้ ถงึ สอนแยกไง ใหพ้ จิ ารณากายกอ่ น
แลว้ กไ็ ปเวทนา เวทนาแลว้ กค็ อ่ ยไปจติ นเ่ี ราเอาแบบรวมกนั
ไปเลย เปน็ รวมมติ รเลย เลยไมไ่ ดส้ กั อยา่ ง เพราะวา่ ปลอ่ ย
วางอะไรไม่ได้สกั อย่าง พอถงึ เวลากท็ กุ ข์กบั กาย ทุกขก์ บั
เวทนา ทุกขก์ บั จติ ทันที
การเจรญิ ปญั ญานเ้ี ปน็ งานหนกั ตอ้ งใชเ้ วลามาก แลว้ ทำ�
ได้เปน็ พกั ๆ พอหมดเรี่ยวแรง เด๋ียวจิตมันเรม่ิ เถลไถล
ไม่ยอมพิจารณาแล้ว ก็ต้องดึงมันกลับเข้าไปในสมาธิ
เพราะแรงของอเุ บกขาหมดแลว้ แรงกเิ ลสมนั เรมิ่ ออกมาดงึ
จติ ใหไ้ ปหารูป เสยี ง กลน่ิ รส โผฏฐพั พะแล้ว กต็ ้องกลบั
เขา้ ไปในสมาธใิ หม่ ดงั นนั้ จงึ ตอ้ งทำ� สลบั กนั ระหวา่ งปญั ญา
กบั สมาธิ เวลาเขา้ สมาธกิ ไ็ มพ่ จิ ารณาปญั ญา ตอ้ งทำ� ใจใหน้ ง่ิ
ชาร์จแบตอย่างเดียว พอแบตเต็มแล้วค่อยออกมาใช้
เคร่ืองต่อ เปิดเครื่องแล้วก็ใช้ได้ พอออกจากสมาธิมาก็
พจิ ารณาปัญญาตอ่ เอาใหม้ ันจำ� ใหไ้ ด้ อาการ ๓๒ มองให้
เหน็ วา่ เกดิ แก่ เจบ็ ตาย นตี้ อ้ งอยกู่ บั เรา ไมใ่ ชม่ ใี ครมาทกั วา่
“คณุ จะตาย” กต็ กใจแลว้ อะไรวะ มนั มคี วามตายมาตงั้ แต่
เกิดแล้ว มนั ตดิ มาด้วยกนั แล้วไปกลวั อะไรใชไ่ หม ถ้าคนรู้
ความจรงิ แลว้ มันไมก่ ลัวหรอก 

29

30

“ปญั ญา”

ค่ตู ่อสู้ของ “ความอยาก”

31

ก่อนท่ีจะใช้ปัญญามาพิจารณาเพื่อถอดถอนความทุกข์
ถอดถอนความอยากได้ เราต้องมีสมาธิก่อน ใจต้องสงบ
ใจต้องมีความสุขก่อน ถึงจะสามารถใช้ปัญญาสอนใจให้
ปล่อยสิ่งต่างๆ ท่ีใจอยากได้มาให้ความสุขกับใจว่า สิ่งที่
อยากได้มาให้ความสุขกับใจน้ีมันจะกลายเป็นความทุกข์
ตอ่ ไป สอู้ ยกู่ บั ความสงบดกี วา่ อยกู่ บั ความไมม่ อี ะไร อยกู่ บั
ความนง่ิ เฉยๆ อนั นเ้ี ป็นฝ่ายมรรค ฝ่ายดับทุกข์
อรยิ สจั ๔ นม้ี ี ๒ ฝา่ ย คอื ฝา่ ยสรา้ งทกุ ข์ กบั ฝา่ ยดบั ทกุ ข์
เปน็ คตู่ อ่ สกู้ นั ฝา่ ยสรา้ งทกุ ขค์ อื กเิ ลส คอื ความอยากมนั มี
กำ� ลงั มากกวา่ ฝา่ ยดบั ทกุ ข์ คอื มรรคคอื สตปิ ญั ญา ความทกุ ข์
กเ็ กิดขึน้ มา ถ้าฝา่ ยดบั ทกุ ขม์ กี ำ� ลังมากกว่า ถา้ สติปญั ญา
มาทนั สอนใหเ้ ลกิ ความอยากได้ความอยากดบั ปบ๊ั ความทกุ ข์
กห็ ายไป เหมอื นกบั เวลาไฟไหม้ เวลาไฟไหมก้ ต็ อ้ งมนี ำ�้ มา
ดับเพลิงมาดับไฟ ถ้าไฟมันแรงกว่าน�้ำ ไฟมันมากกว่าน�้ำ
มันก็ดับไม่ได้ แต่ถ้าน�้ำมากกว่าไฟ มันก็ดับได้ ฉันใด

32

ความทุกข์ใจและการดับทุกข์ในใจของพวกเราน้ี ก็อยู่ท่ี
๒ ฝา่ ยนเี้ อง ฝา่ ยทส่ี รา้ งทกุ ขก์ ค็ อื ความอยากตา่ งๆ กบั ฝา่ ย
ทจ่ี ะดบั ทกุ ขก์ ค็ อื สตปิ ญั ญา ความสามารถทเี่ หน็ ไตรลกั ษณ์
ไดเ้ มอ่ื ไร ถา้ เหน็ ทกุ ขใ์ นสงิ่ ทเี่ ราอยากไดเ้ มอื่ ไร เรากจ็ ะหยดุ
ความอยากได้ทันที หรือเห็นส่วนที่เราไม่ปรารถนาในสิ่ง
ท่เี ราอยากได้ เช่น เราเห็นคนทส่ี วย คนทหี่ ลอ่ เหลา เราก็
อยากได้เขามาเป็นแฟน แต่ถ้าเรามองมุมกลับ เรามอง
เขา้ ไปขา้ งใตผ้ วิ หนงั ของเขา ไปเหน็ อาการตา่ งๆ ใตผ้ วิ หนงั
เหน็ โครงกระดกู เหน็ กะโหลกศรี ษะ เหน็ ปอด เหน็ ตบั เหน็ ไต
เห็นล�ำไส้ เห็นหัวใจ เห็นสมอง ถ้าเราเห็นอาการเหล่าน้ี
ความอยากท่ีจะได้เขามาเป็นแฟนก็ไม่มีแล้ว หรือถ้าเห็น
ตอนทเ่ี ขาตายไป เรายงั อยากจะไดเ้ ขามาเปน็ แฟนอยไู่ หม
ยงั อยากจะใหเ้ ขาอยกู่ บั เราหรอื เปลา่ พอหมดลมหายใจแลว้
เรายกให้สัปเหร่อได้เลย แต่ก่อนท่ียังไม่หมดลมหายใจน้ี
ใครมาแตะไม่ได้ เพราะเราไม่ได้ใช้ปัญญากัน ไม่ได้คิดว่า
เรากำ� ลงั หวงศพกัน รักซากศพกนั ต้องใหม้ ันเปน็ ซากศพ
ข้ึนมาก่อนถึงจะเห็น ถ้ายังไม่เป็นซากศพนี้มองไม่เห็น
เพราะไมใ่ ชป้ ญั ญาสอนใจ ปญั ญานสี้ ามารถมองอนาคตได้
มองวา่ อะไรจะเกดิ ขน้ึ กบั รา่ งกายของพวกเราทกุ คน มองเขา้
ไปภายใตผ้ วิ หนงั ของรา่ งกายของพวกเราได้ ทำ� ใหพ้ วกเรา
เหน็ อวยั วะต่างๆ ท่ีไมน่ ่าดูไมน่ ่าชมเลย หรอื มองอนาคต

33

ของรา่ งกายวา่ ตอ่ ไปกต็ อ้ งเปน็ คนแก่ เปน็ คนเจบ็ เปน็ คนตาย
ถ้าเราไปจีบแฟน แล้วต่อไปเขากลายเป็นคนแก่ คนเจ็บ
คนตายนี้ เราจะเอาเขามาเป็นแฟนไหม เราก็ไม่เอา
น่แี หละคอื ปญั ญา ปัญญาตอ้ งมองให้รอบคอบ มองทัง้
อดตี มองทง้ั ปจั จบุ นั มองทง้ั อนาคต ถงึ จะเรยี กวา่ ปญั ญา
อดตี กเ็ ปน็ ทารก รา่ งกายออกมาจากทอ้ งแม่ ปจั จบุ นั กท็ เ่ี ปน็
อยใู่ นขณะน้ี แลว้ อนาคตตอ่ ไปกต็ อ้ งเปน็ คนแก่ เปน็ คนเจบ็
เปน็ คนตาย หรอื มองเขา้ ไปขา้ งใน อนั นก้ี เ็ ปน็ ปญั ญา ไมใ่ ช่
มองแต่เพยี งขา้ งนอก ตอ้ งมองทงั้ ข้างนอก มองทัง้ ขา้ งใน
ของรา่ งกาย ขา้ งนอกของรา่ งกายดสู วยงาม แตข่ า้ งในของ
รา่ งกายนไ้ี มม่ อี ะไรนา่ ดเู ลย นค่ี อื ปญั ญาทเ่ี ราตอ้ งมาฝกึ ฝน
อบรมกัน มาสร้างขึ้นด้วยการหม่ันระลึกถึงมันอยู่เร่ือยๆ
คดิ ถงึ มนั อยเู่ รอื่ ยๆ คดิ ถงึ ความแก่ ความเจบ็ ความตายอยู่
เรอ่ื ยๆ ทง้ั รา่ งกายของเรา ทงั้ รา่ งกายของคนอน่ื คดิ ถงึ สว่ น
ข้างในของร่างกายว่าร่างกายมีอวัยวะน้อยใหญ่ มีล�ำไส้
มตี บั มไี ต มนี ำ้� เลอื ด นำ้� เหลอื ง มอี ะไรตา่ งๆ สง่ กลน่ิ เหมน็
นคี่ อื สภาพของรา่ งกายทเ่ี ราไปหลงรกั ไปชอบ ถา้ ใชป้ ญั ญา
วเิ คราะหพ์ จิ ารณาคดิ อยเู่ รอ่ื ยๆ ตอ่ ไปเวลาจะไปรกั รา่ งกาย
ของใครนกี้ จ็ ะถอยทนั ที พอปญั ญามาปบ๊ั พอเหน็ ขา้ งในปบ๊ั
เห็นตอนแก่ ตอนเจ็บ ตอนตายปบั๊ ไม่เอาดกี วา่ เด๋ียวต้อง

34

กลายเป็นคนพยาบาลไป ตอ้ งคอยไปเลีย้ งดูเขา ถ้าเกดิ ไป
แตง่ งานกบั เขาไมก่ เี่ ดอื น แลว้ เขาเกดิ เปน็ อมั พฤกษอ์ มั พาต
ขน้ึ มาจะทำ� ยงั ไงละ่ แลว้ เราจะอยกู่ บั เขาตอ่ ไปไดห้ รอื เปลา่
จะเลยี้ งเขาไปจนวนั ตายหรอื เปล่า ไมค่ ิดกนั น่ี
นี่คือสติปัญญา ถ้ามีสติปัญญาเห็นอนิจจัง เห็นความไม่
เที่ยงแท้แน่นอนของส่ิงที่เราอยากได้มาให้ความสุขกับเรา
เรากจ็ ะเหน็ ความทุกข์ของส่งิ ทีเ่ ราอยากได้กนั พอเราเห็น
ความทุกข์จากส่ิงที่เราอยากได้กัน เราก็ไม่อยากได้ สู้อยู่
คนเดยี วดกี วา่ ตอ่ ไปจะไมร่ สู้ กึ เหงาเลยพอไมม่ คี วามอยาก
จะมแี ฟนแลว้ ทีนอี้ ยู่คนเดียวจะไมเ่ หงา ตอนน้ีทม่ี ันเหงา
เพราะมันมีความอยากมีแฟน พอความอยากมีแฟนเกิด
ขนึ้ มา ความเหงา ความวา้ เหว่ มนั จะโผลข่ น้ึ มาทนั ที แตถ่ า้
เราไม่มีความอยากมีแฟนแล้ว ก็จะไม่มีความเหงา ไม่มี
ความว้าเหว่ สามารถอยู่คนเดียวไปได้อย่างสุขสบายกว่า
การมแี ฟน เพราะเวลามแี ฟนกต็ อ้ งมาทกุ ขก์ บั แฟน ตอ้ งหว่ ง
ต้องหวงแฟน แล้วก็ต้องมากังวล แล้วบางทีก็ต้องมีเร่ือง
มรี าวกนั มาทะเลาะกนั เพราะมคี วามเหน็ ไมต่ รงกนั คนหนงึ่
อยากจะไปเท่ียว อีกคนอยากจะอยู่บ้านดูทีวี เด๋ียวก็
ทะเลาะกัน เดี๋ยวกอ็ ยดู่ ้วยกันไมไ่ ด้ สุดทา้ ยกต็ ้องแยกทาง
กันอยูด่ ี

35

36

น่ีคือปัญญา ต้องมองภาพรวม อย่ามองแต่เฉพาะกิจ
อยา่ มองแตเ่ ฉพาะส่วนทเ่ี ราอยากมอง โอย๊ เขาสวยเขาดี
เขางาม เขาจะเลยี้ งเรา เขาจะรกั เราไปจนวนั ตาย ท่ไี หนได้
บางทีหม้อข้าวยังไม่ทันด�ำเลย ข้ึนเวทีกันแล้ว แย็บซ้าย
แย็บขวากันแล้ว ต้องมองให้เห็นความเป็นจริงว่า
ทุกอยา่ งมนั มีท้ังดมี ที ั้งไม่ดปี นกันมา มีท้งั สขุ มที ง้ั ทกุ ข์
ปนกนั มา เราพรอ้ มทจ่ี ะรบั ความทกุ ขจ์ ากสง่ิ ทเี่ ราไดม้ า
หรอื ไม่ ถ้าไมพ่ รอ้ มกอ็ ยา่ ไปมมี นั ดีกวา่ ต่อไปเราก็จะ
ไมอ่ ยากมอี ะไร เราจะเหน็ วา่ ทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ งมนั เปน็ ทกุ ข์
ท้งั น้นั ทุกข์เพราะวา่ มนั ไม่เทยี่ งแทแ้ น่นอน ทกุ ข์เพราะว่า
มันจะไม่สามารถให้ความสุขกับเราได้ตลอดเวลา ทุกข์
เพราะว่าเราไม่สามารถไปควบคุมบังคับไปส่ังให้มันให้
ความสุขกับเราได้ตลอดเวลา ต้องเห็นอนิจจัง คือความ
ไม่เท่ียงแท้แน่นอน อนัตตา คือมันไม่อยู่ในการควบคุม
บงั คบั ของเรา ใหค้ ดิ อยา่ งนถี้ งึ จะเรยี กวา่ เปน็ ปญั ญา แลว้ พอ
เกดิ ความอยากไดอ้ ะไรขน้ึ มา ปญั ญากจ็ ะมาบอกวา่ นเี่ ปน็
ทกุ ขน์ ะ มนั ไมเ่ ทย่ี งนะ มนั เปน็ อนตั ตานะ พอเหน็ วา่ เปน็ ทกุ ข์
ปั๊บ ความทุกข์ท่ีเกิดจากความอยากก็จะหายไป เวลาเรา
อยากปบ๊ั น่ี เราจะทกุ ขข์ น้ึ มาทนั ที เหน็ ของอะไรทเ่ี ราอยาก
ได้ปั๊บ ใจจะกระวนกระวายกระสับกระส่าย จะไม่มีความ
เปน็ ปกติ เรากเ็ ลยไปหลงคดิ วา่ เราตอ้ งไดม้ าแลว้ เราถงึ จะมี

37

ความสขุ มนั กเ็ ปน็ จรงิ อยา่ งนนั้ พออยากไดอ้ ะไร พอไมไ่ ด้
ตอนตน้ กก็ ระสบั กระสา่ ย พอไดม้ ากด็ ใี จมคี วามสขุ ใจ แตม่ นั
เป็นความดีใจสุขใจเด๋ียวเดียว เด๋ียวต่อไปสิ่งท่ีได้มามัน
ก็ไม่มีความหมายอีกแล้ว ความสุขท่ีได้จากมันก็เหมือน
จางหายไปแล้ว ถึงแม้จะมีมนั อยู่ มนั กไ็ ม่สขุ เหมอื นตอนท่ี
ไดม้ าใหมๆ่ กจ็ ะทำ� ใหเ้ ราอยากไดข้ องใหมอ่ กี เพอื่ เราจะได้
มคี วามสขุ แบบทเ่ี ราไดอ้ กี มนั กจ็ ะเปน็ อยา่ งนหี้ ลอกเราไป
เรอื่ ยๆ ไมม่ วี นั สน้ิ สดุ แลว้ พอไมไ่ ดส้ งิ่ ทเ่ี ราอยากไดก้ จ็ ะทกุ ข์
แต่ถา้ เราใชป้ ัญญาสอนใจว่า อยา่ ไปอยากได้ดีกว่า ความ
อยากมนั เปน็ ทกุ ข์ ตอ้ งฝนื ความอยาก อยา่ ไปทำ� ตามความ
อยาก วิธจี ะฝืนความอยากได้กค็ ือ ต้องเหน็ ส่ิงท่เี ราได้
มาว่ามันเป็นความสุขเด๋ียวเดียว เด๋ียวมันก็จะกลาย
เปน็ ความทุกขใ์ ห้กบั เรา
นี่คือปัญญาท่ีเปน็ คตู่ ่อส้กู ับความอยาก ตอ้ งพยายามเหน็
ไตรลักษณ์อยู่เร่ือยๆ ต้องเห็นส่วนท่ีไม่น่าดูน่าชม เช่น
รา่ งกายกต็ อ้ งดสู ว่ นทไี่ มส่ วยไมง่ าม อยา่ ไปดแู ตส่ ว่ นทส่ี วย
ทง่ี ามเพยี งอยา่ งเดยี ว อยา่ ไปดตู อนทม่ี ชี วี ติ ชวี า ใหด้ ตู อนที่
แขง็ ทอ่ื เปน็ ซากศพดบู า้ งวา่ เปน็ อยา่ งไร หรอื ดตู อนทศ่ี พมนั
เนา่ เป่อื ยขน้ึ มา อืดพองข้ึนมา ตอ่ ให้เปน็ ดาราภาพยนตร์
เปน็ นายแบบนางแบบระดบั อนิ เตอร์ หรอื ระดบั อะไรกต็ าม

38

พอมนั อืดพอมันพองข้นึ มา ก็ไมม่ ใี ครเอาไปเป็นนายแบบ
นางแบบแลว้
นี่คือธรรมชาติของสิ่งต่างๆ ในโลกน้ี มันไม่ถาวร มันไม่
เที่ยงแท้แน่นอน นี่แหละคือการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
พระพทุ ธเจา้ ทรงละความอยากจากการหาความสขุ จากรปู
เสียง กล่ิน รส โผฏฐัพพะต่างๆ ได้ ละการหาความสขุ จาก
การมีการเป็นได้ ละความทุกข์จากความอยากไม่มีอยาก
ไมเ่ ปน็ ได้ ใจของพระพทุ ธเจา้ จงึ อยอู่ ยา่ งอสิ ระ ไมม่ อี ะไรมา
กดดนั ไมม่ อี ะไรมาผลกั ดนั ใหไ้ ปหาความสขุ ตา่ งๆ ผา่ นทาง
รา่ งกายอกี ตอ่ ไป หรอื ผา่ นทางจติ ใจ เพราะนอกจากรา่ งกาย
แลว้ ความสขุ ทเ่ี ราไดจ้ ากสมาธนิ ก้ี ย็ งั ถอื วา่ เปน็ ความสขุ
แบบชว่ั คราวอีกเหมอื นกนั เป็นความสขุ ที่เปน็ อนิจจงั
เหมือนกนั เวลาเราเข้าสมาธกิ ็มีความสขุ พอออกจาก
สมาธมิ าสมาธหิ มดไปความสขุ นนั้ กห็ มดไปแมแ้ ตส่ มาธิ
ทเี่ ราใชใ้ หค้ วามสขุ กบั เรา เรากต็ อ้ งละในบนั้ ปลาย เพอื่ ที่
เราจะไดม้ คี วามสขุ แบบถาวร คอื ความสขุ ทเี่ กดิ จากการ
ไม่มีความอยาก ดังน้ันเราต้องละการหาความสุขจาก
ทางรา่ งกาย คอื ทางตา หู จมกู ลนิ้ กาย แลว้ กล็ ะการหา
ความสุขจากรูปฌานและอรูปฌาน

39

พอเราละทั้ง ๓ อย่างน้ีได้แล้ว ใจของเราก็จะมีความสุข
โดยอตั โนมัติ เพราะตวั ท่ีมาขวางความสขุ ท่ีมีอยใู่ นใจของ
พวกเรากค็ อื ความอยากทงั้ ๓ นเ้ี อง พอความอยากทง้ั ๓ นี้
ถกู ทำ� ลายไปหมดดว้ ยปญั ญา ดว้ ยการไมป่ ฏบิ ตั ติ าม อยาก
จะหาความสขุ ทางตา หู จมกู ลน้ิ กาย กไ็ ม่หา อยากจะ
หาความสุขจากรูปฌานก็ไม่หา อยากจะหาความสุขจาก
อรูปฌานกไ็ มห่ า พอไม่มคี วามอยากไดส้ ง่ิ ตา่ งๆ ใจกเ็ ฉย
ใจกส็ งบ ใจกส็ บาย สงั เกตดู เวลาใจมคี วามอยากกบั อะไรนี้
ใจจะกระวนกระวายข้ึนมา อยากสูบบุหรี่ อยากด่มื กาแฟ
อยากดื่มสุราน้ี พออยากแล้วไม่ไดด้ ม่ื ไมไ่ ด้สูบ ใจกก็ ระวน
กระวายกระสบั กระสา่ ย แตถ่ า้ เลกิ ความอยากได้ บหุ รไี่ มส่ บู
กาแฟไม่ดื่ม เพราะถ้าด่ืมหรือสูบแล้ว มันจะต้องติดเป็น
ทาสของมนั ตอ้ งคอยหามาดมื่ หามาสบู อยเู่ รอ่ื ยๆ กไ็ มด่ มื่
มนั ดกี วา่ ไมส่ บู ดกี วา่ อยเู่ ฉยๆ ดกี วา่ พอเราอยเู่ ฉยๆ พอเรา
ไมท่ �ำตามความอยาก เด๋ียวความอยากมนั กจ็ ะหยดุ แล้ว
ความกระวนกระวายกระสบั กระสา่ ยกจ็ ะหายไป ใจกจ็ ะเยน็
จะสบาย
อันน้ีเป็นความสุขที่ไม่ใช่เป็นความสุขที่ได้จากการข่มใจ
ด้วยสติเพื่อให้ได้รูปฌานหรืออรูปฌาน แต่เป็นความสุข
ที่ได้จากการใช้ปัญญาระงับความอยากต่างๆ อันน้ีเป็น

40

ความสุขที่ถาวร เพราะว่าเมื่อได้ความสุขอันนี้มาแล้ว
มันจะไม่หายไป เพราะตัวที่มาขัดขวางความสุขคือความ
อยากตา่ งๆ น้ี มนั ไดถ้ กู ทำ� ลายไปแลว้ นน่ั เอง พอความอยาก
ต่างๆ ท่ีมีอยู่ในใจของเราถูกท�ำลายไปหมด ใจของเราก็
จะสขุ ไปตลอดเวลา ความสขุ ตลอดเวลานแี้ หละทเ่ี รียกว่า
นพิ พาน“นพิ พานงั ปรมงั สขุ งั ” “นพิ พานงั ปรมงั สญุ ญงั ”
เพราะว่าสูญจากความอยากน่ันเอง สูญจากความอยาก
ทง้ั ปวง ใจทส่ี ญู จากความอยากทง้ั ปวง จะเปน็ ใจทมี่ บี รมสขุ
“นิพพานัง ปรมัง สุขัง” ใจท่ีมีบรมสุขเพราะเป็นใจท่ี
เปน็ “ปรมงั สญุ ญัง” เปน็ ใจทสี่ ญู จากความอยากทัง้ ปวง
ไม่มีความอยากอยู่ในใจ ไม่มีความอยากได้อะไร อยาก
มีอะไร อยากเป็นอะไร อันน้ีแหละเป็นสิ่งท่ีพระพุทธเจ้า
ทรงตรัสรู้ 

41

42

“เปล่ียนนสิ ัย”

ใหเ้ ป็น “พระอรหนั ต”์

43

การไดเ้ ขา้ หาพระธรรมคำ� สง่ั คำ� สอนของพระพทุ ธเจา้ ทเ่ี ปน็
ค�ำสั่งค�ำสอนที่ประเสริฐเลิศโลก เหนือกว่าค�ำสั่งค�ำสอน
ทงั้ ปวง เปน็ คำ� สง่ั คำ� สอนทจ่ี ะพาใหผ้ ศู้ กึ ษาไดห้ ลดุ พน้ จาก
กองทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิดได้ ไม่มีค�ำส่ังค�ำสอน
ของผู้ใดในโลกนี้ท่ีจะสามารถสอนให้ผู้ที่ศึกษาและปฏิบัติ
ตามได้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏใน
ไตรภพทสี่ ตั วโ์ ลกทงั้ หลายตอ้ งตดิ อยู่ ตอ้ งเวยี นวา่ ยตายเกดิ
อยใู่ นไตรภพ ในกามภพ ในรปู ภพ และในอรปู ภพ นคี่ อื
ภพตา่ งๆ ท่ีพวกเราไปเวยี นว่ายตายเกิดกนั ตอนน้เี รามา
เกดิ เปน็ มนุษย์ ตอ่ ไปหลงั จากท่รี า่ งกายตายไปแล้ว จิตใจ
ของพวกเราทไี่ มไ่ ดต้ ายไปกบั รา่ งกายกจ็ ะตอ้ งไปเกดิ ในภพ
ตอ่ ไป ซ่ึงอาจจะเป็นภพทด่ี ีกไ็ ด้ หรอื ภพที่ไม่ดกี ไ็ ด้ ขึ้นอยู่
กับบุญบาปที่เราได้ท�ำกันในขณะท่ีเรามีชีวิตอยู่ ถ้าเราทำ�
บญุ มากกวา่ บาป บญุ กจ็ ะพาใหเ้ ราไปเกดิ เปน็ เทพ เปน็ พรหม
เปน็ พระอรยิ บคุ คลขน้ั ตา่ งๆ ถา้ เราทำ� บาปมากกวา่ ทำ� บญุ

44

บาปก็จะพาให้เราไปเกิดเป็นเดรัจฉานบ้าง เป็นเปรตบ้าง
เปน็ อสรู กายบา้ ง หรอื ไปตกนรกบา้ ง นค่ี อื ภพชาตติ า่ งๆ ที่
พวกเราจะต้องไปกัน
ขณะท่ีเรามาอยู่บนโลกน้ี ก็เหมือนกับเราอยู่ที่สถานี
หัวล�ำโพงหรืออยู่ที่สนามบินดอนเมืองหรือสนามบิน
สุวรรณภูมิ เราไปรอข้ึนเครื่องบินขึ้นรถไฟกัน ก่อนจะขึ้น
เครอื่ งบนิ หรอื ขนึ้ รถไฟ เรากต็ อ้ งตตี ว๋ั กนั ไวก้ อ่ น ตตี วั๋ วา่ เรา
จะไปทไี่ หนกนั ถา้ จะไปตา่ งประเทศ จะไปประเทศนน้ั หรอื
ประเทศนี้ หรอื ถา้ อยู่ในประเทศ จะไปจงั หวดั นน้ั จังหวัดน้ี
ก่อนจะข้ึนเคร่ือง ทุกคนได้ต้องตีต๋ัวก่อน การตีตั๋วของ
พวกเราเพอ่ื ไปสภู่ พชาตติ า่ งๆ นน้ั กค็ อื การกระทำ� ตา่ งๆ
ของเรานีเ่ อง คือ การทำ� บญุ ทำ� ทาน การรกั ษาศลี การ
ภาวนา นงั่ สมาธิ ฟงั เทศนฟ์ งั ธรรม การปฏบิ ตั ธิ รรม อนั นี้
เป็นวิธีตีตั๋วของพวกเราส�ำหรับภพต่อไปท่ีจะตามมา
ถ้าเราได้มาเกิดในยุคของพระพุทธศาสนา เราก็จะมี
โอกาสซ้ือต๋ัวพิเศษที่ไม่มีขายในยุคท่ีไม่มีพระพุทธ-
ศาสนา ตว๋ั พเิ ศษกค็ อื ตว๋ั ทจ่ี ะพาใหเ้ ราไปสพู่ ระนพิ พาน
นน่ั เอง จะมตี วั๋ พเิ ศษนเ้ี ฉพาะในยคุ ทม่ี พี ระพทุ ธศาสนา
มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นผขู้ ายตั๋วนี้ ถ้าไม่มี
พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ กจ็ ะไมม่ ตี ว๋ั นใี้ หเ้ ราซอ้ื กนั

45

เราก็จะไปในภพต่างๆในสังสารวัฏ เราจะไม่สามารถ
ออกไปนอกภพของสังสารวัฏไดค้ ือพระนพิ พาน
พวกเราอาจจะไม่รู้เสียด้วยซ้�ำไปว่าพวกเราก�ำลังเวียน
ว่ายตายเกิดกัน ก�ำลังกลับมาเกิดมาแก่มาเจ็บมาตายอยู่
หลายๆรอบดว้ ยกนั เหมอื นแผน่ เสยี งตกรอ่ งยคุ นคี้ นอาจจะ
ไม่รู้จักแผ่นเสยี ง สมัยก่อนนี้ไมม่ แี ผน่ ซดี ี ไม่มีมือถอื ใหเ้ รา
ฟงั เพลง เวลาจะฟงั เพลงเขามแี ผน่ เสยี ง แลว้ บางทแี ผน่ เสยี ง
มันก็ตกรอ่ ง คอื มันจะติดอยู่ในร่องเดิม เวลาฟงั กจ็ ะไดย้ ิน
แต่เสียงเดิม อันน้ีก็เหมือนกัน พวกเราเหมือนกับพวก
แผ่นเสียงตกร่อง ตกร่องของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย
ตายแล้วก็ไปเกิดใหม่ เกิดใหม่แล้วเดี๋ยวก็ตายใหม่
ตายจากภพน้ีแล้วก็ไปเกิดในภพน้ัน เช่น ตายจากภพ
มนษุ ย์ ถา้ ทำ� บาปกอ็ าจจะไปเกดิ เปน็ สตั วเ์ ดรจั ฉาน เปน็ นก
เปน็ แมว เป็นสนุ ขั เปน็ วัว เปน็ ควาย เปน็ สัตวช์ นดิ ต่างๆ
แลว้ ก็ต้องแก่ เจ็บ ตาย หลงั จากแก่ เจ็บ ตายแลว้ ถ้าบาป
ยงั ไมห่ มด กจ็ ะกลบั ไปเกดิ แก่ เจบ็ ตาย เปน็ สตั วเ์ ดรจั ฉาน
ตอ่ ไปเรอื่ ยๆ จนกวา่ บาปทเ่ี ราทำ� ไวม้ นั หมดกำ� ลงั เราถงึ จะ
ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์กันอีกรอบหน่ึง พอกลับมาเป็น
มนษุ ยก์ ต็ อ้ งมาเกดิ แก่ เจบ็ ตาย อกี รอบหนง่ึ อกี เหมอื นกนั
หรอื ถา้ เราไดท้ ำ� บญุ มากกวา่ ทำ� บาป เวลาตายไปเรากจ็ ะไป

46

เกิดเป็นเทวดา เทวดาก็มีอยู่ ๖ ชั้นด้วยกัน มีชั้นจาตุม
ชั้นดาวดึงส์ ช้ันยามา ช้ันดุสิต ชั้นนิมมานรดี และชั้น
ปรนมิ มติ วสวตั ดี เราจะไปอยชู่ น้ั ไหนกข็ นึ้ อยกู่ บั บญุ ทเ่ี ราทำ�
วา่ มากหรอื นอ้ ย ถา้ ทำ� บญุ มากกไ็ ดไ้ ปเกดิ บนชน้ั ทสี่ งู ถา้ ทำ�
บญุ นอ้ ยกเ็ กดิ ในชนั้ ทต่ี ำ�่ ชนั้ ตำ่� กม็ คี วามสขุ นอ้ ยกวา่ ชน้ั ทส่ี งู
อนั นเ้ี ปน็ ผลทเี่ กดิ จากการทำ� บญุ ทำ� ทาน จากการไมท่ ำ� บาป
แลว้ ถา้ เราไดไ้ ปฝกึ สมาธิ สามารถเขา้ รปู ฌาน เขา้ อรปู ฌานได้
เราก็จะไปเกิดบนสวรรค์ช้ันพรหมซ่ึงสูงกว่าสวรรค์ช้ันเทพ
คอื มคี วามสขุ มากกวา่ สวรรคช์ นั้ เทพ ชนั้ รปู พรหมกม็ คี วาม
สุขมากกวา่ ช้ันเทพ ช้นั อรูปพรหมกม็ คี วามสขุ มากกว่าชั้น
รปู พรหม แตไ่ มว่ า่ จะเกิดอยชู่ ้นั ไหน เดีย๋ วบญุ ท่ีสง่ ไปหมด
ก�ำลงั ลง เรากต็ ้องกลับมาเกิดเป็นมนษุ ยใ์ หม่
ดงั นน้ั มนษุ ยเ์ ราจงึ เปน็ เหมอื นสนามบนิ นเ่ี อง ไมว่ า่ เครอ่ื งบนิ
จะบนิ ไปใกลไ้ ปไกลทไี่ หน สงู เทา่ ไร ตำ�่ เทา่ ไร เดยี๋ วพอนำ้� มนั
หมด กต็ ้องมาลงท่สี นามบินเพอ่ื มาเติมน้ำ� มนั ใหม่ ฉันใด
พวกเราท่ีท�ำบุญ รักษาศีลกัน น่ังสมาธิกัน เวลาตายไป
เราก็ไดไ้ ปเกิดเปน็ เทพเป็นพรหมกนั แตพ่ อบญุ ทส่ี ่งเราไป
หมดกำ� ลงั เรากต็ ้องกลบั มาเกดิ เป็นมนษุ ย์ใหม่ ถ้าเราเกดิ
ในยคุ ทไี่ มม่ พี ระพทุ ธศาสนา เรากจ็ ะตอ้ งกลบั มาเตมิ นำ้� มนั
กนั อยเู่ รอ่ื ยๆ แตถ่ า้ เราไดม้ าเกดิ ในยคุ ทม่ี พี ระพทุ ธศาสนา

47

เราจะไดพ้ บกบั ตว๋ั พเิ ศษ ตว๋ั ทพ่ี ระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์
จะเอามาขายพวกเรา คือมาสอนพวกเราว่า ถ้าพวกเรา
ไมอ่ ยากทจี่ ะตอ้ งกลบั มาเกดิ แก่ เจบ็ ตาย กนั อยเู่ รอื่ ยๆ กใ็ ห้
ทำ� ตามทพ่ี ระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ สอนพวกเรากนั คอื
สอนใหพ้ วกเราปฏบิ ตั เิ พม่ิ อกี ขนั้ หนง่ึ ขนั้ ทเี่ ราปฏบิ ตั นิ เ้ี ราก็
ต้องปฏิบตั ิต่อไป เชน่ ขนั้ รักษาศลี ศลี ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐
ศลี ๒๒๗ รกั ษาศลี ระดบั ไหนไดก้ ร็ กั ษากนั ไป ทำ� บญุ ทำ� ทาน
ในระดบั ไหนกท็ ำ� ไป นง่ั สมาธไิ ดใ้ นระดบั ไหนกน็ งั่ ไป แลว้ ก็
เพมิ่ ใหม้ นั สงู ขนึ้ ไปเรอื่ ยๆ เวลานง่ั สมาธกิ ใ็ หม้ นั เขา้ สรู่ ปู ฌาน
ให้เข้าสู่ฌาน ๔ ขั้นอุเบกขา พอได้ขั้นสมาธิแล้วทีน้ีก็จะ
ตอ้ งไปขน้ั ปญั ญา ทไ่ี มม่ ใี ครรใู้ ครสอนไดน้ อกจากพระพทุ ธ
พระธรรม พระสงฆ์ ขน้ั ปญั ญาจะสอนใหเ้ ราเหน็ ไตรลกั ษณ์
เหน็ อรยิ สจั ๔ คอื เหน็ วา่ โลกทเ่ี ราอยนู่ ้ี ความสขุ ตา่ งๆ ทเี่ รา
หากนั อยใู่ นขณะนี้ ไมว่ า่ จะเปน็ ลาภ ยศ สรรเสรญิ ไมว่ า่ จะ
เปน็ รปู เสยี ง กลนิ่ รส โผฏฐพั พะชนดิ ตา่ งๆ ลว้ นเปน็ อนจิ จงั
ทง้ั นนั้ คอื เปน็ ความสขุ ชว่ั คราว เปน็ ความสขุ ทเ่ี กดิ แลว้ กต็ อ้ ง
ดบั ไปในทสี่ ุด เวลาความสุขทีไ่ ดด้ บั ไป ความทุกขก์ เ็ ข้ามา
ทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ งในโลกนมี้ เี กดิ แลว้ กต็ อ้ งมดี บั มไี ดก้ ต็ อ้ งมเี สยี
เวลาดับหรือเวลาสูญเสียก็เป็นเวลาท่ีจะต้องเจอกับความ
ทุกข์นนั่ เอง น่คี อื สิ่งทเี่ ราจะไดเ้ รยี นรูจ้ ากพระพุทธศาสนา
คอื รวู้ ่าทุกสิ่งในโลกนเ้ี ปน็ ไตรลักษณ์ เป็นอนิจจงั ไมเ่ ที่ยง

48

เมอ่ื มนั ไมเ่ ทยี่ ง มนั กจ็ ะตอ้ งทำ� ใหเ้ ราทกุ ข์ ทม่ี นั ไมเ่ ทยี่ ง ทมี่ นั
ทำ� ใหเ้ ราทกุ ข์ กเ็ พราะวา่ มนั เปน็ อนตั ตา มนั ไมไ่ ดเ้ ปน็ ของเรา
ทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ งทมี่ ีอยูใ่ นโลกน้ีเปน็ ของธรรมชาติ ไม่ใชเ่ ปน็
ของเรา ทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ งทำ� มาจากธรรมชาติ คอื ธาตุ ๔ ดนิ นำ้�
ลม ไฟ แลว้ เราก็ต้องคนื ธรรมชาติไป ร่างกายของพวกเรา
ทำ� มาจากธรรมชาติ ท�ำมาจากดิน น�ำ้ ลม ไฟ มนั ไม่เทย่ี ง
เกดิ แลว้ กต็ อ้ งเจริญเติบโตข้นึ ไปตามวาระของมัน เมอื่ มัน
เตบิ โตเตม็ ทแ่ี ลว้ มนั กจ็ ะแกล่ งไปเรอ่ื ยๆ แลว้ กเ็ จบ็ ไขไ้ ดป้ ว่ ย
แลว้ ในทส่ี ดุ กต็ ายไป พอตายแล้ว ธาตทุ ีม่ ารวมในรา่ งกาย
กจ็ ะแยกออกจากกนั ธาตลุ มไปกอ่ นคอื ไมห่ ายใจ ตามดว้ ย
ธาตไุ ฟ คอื รา่ งกายจะเยน็ เฉยี บ แลว้ พอธาตลุ มและธาตไุ ฟ
ออกไป ธาตนุ ำ�้ กต็ ามออกไป ในทส่ี ดุ กเ็ หลอื แตธ่ าตดุ นิ กลาย
เป็นรา่ งกายทแ่ี ห้งกรอบแลว้ กผ็ ุพงั กลายเปน็ ดินต่อไป
น่ีคือวิปัสสนาหรือปัญญาของพระพุทธศาสนาท่ีชาวพุทธ
เราต้องศึกษาต้องพิจารณาอยู่เร่ือยๆ เพ่ือที่จะได้ไม่ยินดี
เพอ่ื ทจี่ ะไดป้ ลอ่ ยวาง เพราะถา้ ปลอ่ ยวางได้ ไมย่ นิ ดี เรากจ็ ะ
ไดไ้ มก่ ลบั มาเกดิ เปน็ มนษุ ยก์ นั อกี ไมต่ อ้ งมามรี า่ งกายกนั อกี
เมอื่ ไมม่ รี า่ งกาย เรากไ็ มต่ อ้ งมาแก่ มาเจบ็ มาตาย กนั อยา่ ง
ท่เี ราก�ำลังเปน็ กันอยู่ในขณะนี้ พวกเราทกุ คนมคี วามทกุ ข์
เหมือนกนั ทุกขก์ บั ความแก่ ไมม่ ีใครอยากจะเจอความแก่

49


Click to View FlipBook Version