46
เร่ือง ประเดน็ ที่ควรนำมา สาระการเรยี นรู้ทอ้ งถ่นิ
จดั การเรยี นรู้ โดยสงั เขป
4. เอกลักษณ์
ของท้องถ่ิน (ต่อ) 3. เพลงประจำจังหวัด พนมมอื กราบพระพุทธชินราชพระปฏมิ า ขอ
พิษณุโลก(ต่อ) จงเมตตาป้องปกผองภยั บญุ นอ้ มนำเคราะห์
กรรมสน้ิ ไป หวังใดจงได้สงิ่ ศักด์ิไซรช้ ว่ ยดล
4. ของดเี มืองพิษณโุ ลก
น่านนำ้ ยามเยน็ กระเดน็ เป็นฟอง โอ้แก่ง
5. เอกลักษณ์ โสภาละอองนำ้ หลน่ สกุโณทยานสำราญกมล
ทางธรรมชาติ ไดย้ ลเสมอื นวมิ าน จำลาจากแควน้ ดนิ แดน
พษิ ณุโลก วิโยคดวงใจ ถงึ ยามจากไปเหมือนไกล
บ้าน คงวา้ เหวเ่ หงาใจไปนาน ทุกคราท่ีผ่าน อก
สั่นหวั่นไหวอาวรณ์
ของดเี มืองพิษณโุ ลก ท่ีโดดเดน่ และ / หรือ มี
ชอื่ เสียงของจังหวดั มหี ลากหลาย อาทิเช่น
1. กล้วยตากบางกระทุ่ม
2. จำปาขาวนครไทย
3. ไกช่ นพระนเรศวร
4. สนุ ัขพนั ธุ์บางแก้ว
5. ผา้ ทอนครไทย ผา้ ทอคลองเตยและผา้ ทอ
บา้ นมว่ งหอม
6. ไม้กวาดบา้ นนาจาน อำเภอนครไทย
7. น้ำปลาบางระกำ
8. ส้มแผน่ บางสะพาน
9. เจา้ แม่กวนอิมหยกขาว
เอกลกั ษณท์ างธรรมชาติ ของจงั หวดั
พิษณุโลก มีหลากหลายประเภท ทง้ั ท่เี ป็น
อุทยานแหง่ ชาติ เขตรกั ษาพันธส์ ตั ว์ปา่
ถ้ำและน้ำตก เช่น
1. เขตหา้ มลา่ สตั ว์ปา่ ถำ้ ผาทา่ พล ซง่ึ สภาพ
พื้นท่ีส่วนใหญ่ของเขตห้ามลา่ สัตวป์ า่ ถำ้ ผาทา่ พล
เปน็ ภเู ขาหินปนู ภายในเขตห้ามล่า มี
เอกลักษณ์ทางธรรมชาติหลายอย่างคือ
1.1 ถำ้ นเรศวร
1.2 เพิงผาฝ่ามือแดง
47
เรื่อง ประเด็นท่คี วรนำมา สาระการเรยี นรู้ทอ้ งถิน่
4. เอกลกั ษณ์ จัดการเรียนรู้ โดยสังเขป
ของท้องถนิ่ (ต่อ) 1. งานประเพณีทีส่ ำคัญ 1.3 ถ้ำผาแดง
1.4 ถำ้ ลอด
5. ขนบธรรมเนียม 1.1 อำเภอวังทอง 1.5 ถำ้ เตา่
ประเพณีและ 1.6 หนิ อกั ษรญ่ปี นุ่
การละเล่น 1.2 อำเภอบาง 1.7 ถ้ำเรอื
กระทุ่ม 1.8 ซากดกึ ดำบรรพ์
1.3 อำเภอ 2. น้ำตกวังนกแอ่น หรอื สวนรุกขชาติ
เนนิ มะปราง สกโุ ณทยาน เป็นน้ำตกขนาดเล็กท่ีเกดิ จาก
ลำธารวังทอง ที่มตี น้ กำเนิดมาจากลำน้ำเข็ก
งานประเพณีทสี่ ำคัญ ของจังหวัดพษิ ณุโลก
ได้แก่
1. ประเพณีทรงน้ำพระพทุ ธชินราช
2. ประเพณีย่ำกองบอกเวลา
3. ประเพณปี ักธงชยั
4. ประเพณีสนเรือ
ประเพณีแข่งเรือยาว
งานประเพณีของอำเภอวงั ทองที่มกี ารจดั ขึน้ ทุก
ปี คือ
1. เทศกาลผัดไทย
2. ประเพณแี ข่งเรอื ยาว
3. ประเพณชี กั ชะลอม
4. การแห่เจา้ แม่ทองคำและเจา้ แม่ทบั ทิม
5. ทำบุญกลางบ้าน
6. งานนมัสการรอยพระพุทธบาท
พอ่ ขุนเณร เดือน 3
งานประเพณีของอำเภอบางกระทุม่ ได้แก่
1. ประเพณแี ข่งเรือยาว
2. ประเพณแี ข่งเรือบก
งานประเพณีของอำเภอเนินมะปรางไดแ้ ก่
1. ประเพณีหล่อเทียนเข้าพรรษา
2. ประเพณีบายศรสี ่ขู วัญ
48
เรือ่ ง ประเดน็ ท่คี วรนำมา สาระการเรยี นรู้ทอ้ งถิ่น
จดั การเรียนรู้ โดยสังเขป
5. ขนบธรรมเนยี ม
ประเพณีและ 2. การละเลน่ พนื้ บ้าน การละเล่นพ้ืนบ้าน ของจงั หวัดพิษณโุ ลก ได้แก่
การละเลน่ (ตอ่ ) การละเล่นมงั คละ รำวงอนิ เลเลและการเลน่
1. บุคคลสำคญั ของ ขอฝน
6. บคุ คลสำคัญ และ จงั หวัดพิษณโุ ลก
ภมู ปิ ัญญาท้องถน่ิ บคุ คลสำคัญของจงั หวดั พิษณุโลก ได้แก่
1. พระมหาธรรมราชาที่ 1 (พระยาลิไท)
2. ภูมปิ ญั ญาท้องถ่ิน 2. สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
3. สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช
7. ทรัพยากร 1. ทรพั ยากรดิน 4. สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช
ส่ิงแวดล้อม สมเดจ็ พระเอกาทศรถ
ภมู ปิ ญั ญาท้องถน่ิ ท่คี วรนำมาจัด
การเรยี นรู้ ไดแ้ ก่
1. ภูมปิ ัญญาดา้ นการเกษตร
2. ภมู ิปัญญางานจักสาน
3. ภมู ิปัญญางานถักทอ
4. ภูมปิ ัญญางานประดิษฐ์ตา่ ง ๆ
5. ภมู ปิ ัญญาด้านการกินอยู่
6. ภมู ิปัญญาการรักษาโรค
5. อืน่ ๆ ทีม่ ใี นท้องถนิ่
ในจังหวัดพษิ ณุโลก มีลักษณะดนิ ดงั นี้
1. ดนิ ตะกอน เกดิ จากการพดั พามาถม
ของน้ำในแม่นำ้ บริเวณสองฝ่ังแม่น้ำ คือแม่นำ้
น่านและแมน่ ้ำยม พบในเขตอำเภอพรหม
พิราม อำเภอเมืองพิษณโุ ลก อำเภอบาง
กระทุ่มและอำเภอบางระกำ
2. ดินรว่ นกึง่ ดินทราย มีการระบายน้ำดี
พบในเขตอำเภอพรหมพริ าม อำเภอเมือง
พิษณุโลก อำเภอวังทอง อำเภอบางกระทุ่มและ
อำเภอเนนิ มะปราง
49
เรอื่ ง ประเดน็ ทคี่ วรนำมา สาระการเรียนรู้ท้องถิ่น
จัดการเรียนรู้ โดยสังเขป
7. ทรัพยากร
ส่งิ แวดลอ้ ม 1. ทรัพยากรดิน 3. ดินเหนยี ว เนือ้ ดนิ ชั้นบนหยาบ ส่วน
เนอ้ื ดนิ ชั้นล่างหยาบปานกลางจนถึงละเอียด ใชป้ ลกู พชื
(ต่อ) ไร่เปน็ ส่วนใหญ่ พบในเขตทร่ี าบระหว่างหบุ เขาทรัพย์
ไพรวัลย์อำเภอวังทอง อำเภอชาติตระการ อำเภอนคร
2. ทรัพยากรนำ้ ไทยและตอนเหนือของอำเภอวัดโบสถ์
4. ดนิ ที่มหี นิ ปน เป็นดนิ ต้ืนที่มีหินปน มี
3. ทรพั ยากรป่าไม้ กระจายทั่วไปทงั้ ในเขตภูเขาสูงและท่รี าบสูง พบในเขต
4. ทรัพยากรแร่ธาตุ อำเภอวังทอง อำเภอชาตติ ระการ อำเภอนครไทย
8. การประกอบอาชพี 1. กลมุ่ เกษตรกรรม อำเภอวัดโบสถแ์ ละอำเภอเนินมะปราง ส่วนใหญจ่ ะเปน็
2. กล่มุ หตั ถกรรมและ ดนิ ทีม่ ีปา่ ไม้ปกคลุม
5. ดนิ ทีม่ ีลูกรังปน พบในเขตทางทศิ
อตุ สาหกรรม ตะวนั ตกของอำเภอพรหมพิรามและทางทิศตะวนั ตกไป
จนถึงทางทศิ ตะวันตกเฉยี งใต้ของอำเภอบางระกำ
จังหวดั พษิ ณโุ ลก มแี หลง่ น้ำธรรมชาติ ไดแ้ ก่ แม่น้ำ
ห้วย หนอง คลอง บงึ และแหลง่ นำ้ จากโครงการ
ชลประทาน ซ่ึงแหล่งนำ้ ท่สี ำคัญ ๆ มีดงั น้ี แม่น้ำน่าน
แมน่ ้ำยม แม่น้ำแควน้อย แม่นำ้ วงั ทอง(แม่นำ้ เขก็ ) แม่นำ้
เหอื ง บงึ ราชนก อ่างเกบ็ น้ำบ้าน ซำตะเคียน อ่างเก็บ
นำ้ บ้านรม่ เกลา้ และเข่ือนแควนอ้ ยบำรงุ แดน เป็น
โครงการอา่ งเก็บน้ำอเนกประสงค์ขนาดใหญ่
จังหวดั พษิ ณโุ ลก มีพ้ืนทีป่ า่ ไม้ คดิ เปน็ ร้อยละ 36.52
ของพืน้ ท่ีท้ังหมด
แร่ธาตุท่ีสำคญั ที่มีการขุดค้นพบ คอื นำ้ มนั ก๊าซ
ธรรมชาติ และทองคำ
อาชีพเกษตรกรรม เปน็ สาขาการผลิตทส่ี ำคัญทส่ี ุดใน
จงั หวัดพิษณุโลก ไดแ้ ก่การเพาะปลูก การปศสุ ตั ว์ การ
ประมงและการทำปุย๋ หมัก ปุ๋ยชวี ภาพ
หัตถกรรมและอุตสาหกรรม ได้แก่ การทอผ้า การทำถัง
ขยะจากยางรถยนต์ โรงงานอาหารสัตว์ โรงงานแปรรปู
ผลิตผลทางการเกษตรและโรงงานผลติ เครื่องจักรกล
การเกษตร เครอ่ื งปน้ั ดินเผา
50
เรื่อง ประเดน็ ที่ควรนำมา สาระการเรียนรู้ทอ้ งถน่ิ
8. การประกอบอาชีพ
(ตอ่ ) จดั การเรยี นรู้ โดยสังเขป
9. สภาพปัญหาท่ี 3. กลมุ่ การบรหิ ารจดั การ การบริหารจัดการในรปู ของธุรกิจ SME เชน่ กลว้ ยตาก
สำคัญในท้องถนิ่
และสังคม งานจักสาน ผ้าทอพืน้ บ้าน
4. กลุ่มงานความคดิ งานความคดิ สรา้ งสรรค์ เชน่ ดอกไม้ประดิษฐ์ พวงเตาร้ัง
สร้างสรรค์ แต่งขอนไม้และมาลยั ดอกไมส้ ด
5. กลุ่มวิทยาศาสตร์เพื่อ วทิ ยาศาสตร์เพื่อชีวิต เช่น การทำน้ำดมื่ น้ำสม้ ควันไม้
ชีวิต ลูกประคบสมนุ ไพร
6. กลมุ่ อาหาร การแปรรูปอาหารจากผลติ ภัณฑใ์ นโรงเรยี นไดแ้ ก่
ไอศกรีมเห็ด น้ำพรกิ เห็ด เห็ดหยอง ขนมอบและการ
แปรรปู จากกล้วยพันธุม์ ะลอิ ่อง
7. กลุ่มบริการ การบรกิ าร ไดแ้ ก่ การนวดแผนไทย รสี อร์ท
รา้ นอาหาร ลอ่ งแก่งลำน้ำเข็ก
1. สาเหตุสำคญั ของการ สาเหตสุ ำคญั ของการเปลย่ี นแปลงสภาพแวดล้อมทาง
เปลย่ี นแปลง ธรรมชาติ เนื่องมาจาก
สภาพแวดล้อม 1. การเพ่ิมของประชากรอยา่ งรวดเร็ว
ทางธรรมชาติ 2. การกระจายตวั ของประชาชน
3. การขยายตัวด้านเศรษฐกิจ
4. การใช้เทคโนโลยใี นท้องถิน่
2. ปญั หาการ ปญั หาที่เกิดขน้ึ กับส่งิ ต่อไปนี้
เปลีย่ นแปลง 1. ทรัพยากรดนิ ความสมบรู ณ์ของดินเส่ือมลง
สภาพแวดล้อม 2. ทรัพยากรน้ำ ป่าไม้ถกู ตัดทำลายลงมากทำใหแ้ หล่ง
ทางธรรมชาติ น้ำในจังหวัดเปลย่ี นแปลง
3. ทรัพยากรป่าไม้และสตั วป์ ่า
4. แรธ่ าตุและพลงั งาน
3. ปญั หาจากส่ิงแวดลอ้ ม ปญั หาที่เกดิ จากสง่ิ แวดล้อมในท้องถิ่น เชน่
ในทอ้ งถน่ิ 1. สิ่งแวดลอ้ มท่เี กิดจากส่งิ ปฏิกูล
2. สง่ิ แวดลอ้ มเป็นพิษจากมลภาวะ
สารพษิ ในชีวิตประจำวนั
4. ปัญหาจากภยั ปญั หาทเ่ี กิดจากภยั ธรรมชาติ เช่น
ธรรมชาติท่ีเกิดขึ้นใน ภัยจากลมพายุ ภยั จากนำ้ ท่วม และภยั จากความแหง้ แลง้
ท้องถน่ิ
51
เร่อื ง ประเด็นท่คี วรนำมา สาระการเรียนรู้ทอ้ งถน่ิ
9. สภาพปญั หาท่ี
สำคญั ในท้องถนิ่ (ตอ่ ) จัดการเรยี นรู้ โดยสงั เขป
10. ทศิ ทางการ
พฒั นาของท้องถ่นิ ใน 5. ปัญหาทางสังคม ปญั หาทางสังคม ไดแ้ ก่ ความยากจน พฤตกิ รรมเส่ียง
อนาคต(5-10ปี)
สขุ ภาพ เปน็ ตน้
11. อ่นื ๆ
แนวโน้มการพัฒนาของ กลมุ่ จังหวัดภาคเหนอื ตอนลา่ ง กลมุ่ 2 ได้แก่ จังหวัด
จงั หวัดพิษณุโลกและกลุ่ม พิษณโุ ลก อตุ รดติ ถ์ ตาก แพร่และสโุ ขทัย เป็นพ้นื ทรี่ าบสูง
จงั หวัดภาคเหนือตอนล่าง มีภูเขาและแมน่ ้ำ คือแม่น้ำยม แม่นำ้ น่าน แม่น้ำเข็ก
แม่น้ำวังทอง มีจุดเนน้ ดังนี้
1. ผลิตขา้ วเปน็ พชื เศรษฐกจิ ทสี่ ำคัญ ท้ังการบริโภค
ภายในประเทศ การส่งออกสตู่ ลาดโลก
2. เปน็ แหลง่ ทอ่ งเทย่ี วทัง้ โบราณสถาน โบราณวัตถุและ
ธรรมชาตหิ ลายแห่ง
3. มีแม่นำ้ หลายสายและแหลง่ นำ้ ธรรมชาติ สำหรับการ
ประมงและท่องเท่ียว
4. เปน็ ศูนยก์ ลางโครงข่ายการคมนาคมและการพาณิช
ยกรรม
5. มแี หลง่ ทรพั ยากรธรรมชาติท่ีสำคญั ไดแ้ ก่ ป่าไม้
ทองคำ
พระมหากรุณาธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณในการพฒั นาท้องถิ่น
ในการพฒั นาทอ้ งถ่ิน ได้แก่
1. พระราชกรณยี กจิ ของพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั
2. โครงการอนั เน่ืองมาจากพระราชดำริ
2.1 โครงการเข่อื นแควนอ้ ยบำรุงแดน
2.2 ทฤษฎีเกีย่ วกบั นำ้ เพ่อื การเกษตร
2.3 โครงการส่งเสรมิ การใชป้ ระโยชน์จากแหลง่ นำ้
3. แนวพระราชดำริเศรษฐกจิ พอเพียง
4. เมอื่ พ.ศ. 2522 พระราชทานทรัพยส์ ่วนพระองค์
พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัวภมู พิ ลอดุลยเดช สร้าง
อาคารเรยี น โรงเรยี นรักไทยร่มเกล้าอุปถัมภ์ อำเภอเนนิ
มะปราง จำนวน 150,000 บาท
1. ผลิตภัณฑ์ “หนงึ่ 1. ศนู ย์สินคา้ หน่งึ ตำบลหนึ่งผลิตภณั ฑ์ ของแตล่ ะ
ตำบล หนง่ึ ผลิตภัณฑ์” จงั หวัด ของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง กลุ่ม 2 ได้แก่
จังหวดั พษิ ณโุ ลก อุตรดิตถ์ ตาก แพร่และสโุ ขทัย เช่น
52
เร่อื ง ประเด็นทคี่ วรนำมา สาระการเรียนรู้ท้องถิน่
11. อ่ืน ๆ(ต่อ) จดั การเรียนรู้ โดยสังเขป
1.1 กลว้ ยตากอบนำ้ ผ้งึ บางกระทุ่ม
1.2 น้ำตาลสดพร้อมด่ืม วดั โบสถ์
1.3 ผ้าทอมัดหม่ีไหมประดิษฐ์ วงั ทอง
1.4 เปลไมไ้ ผ่ ตำบลหนองพระ วังทอง
1.5 ไม้กวาดดอกหญา้ ตำบลวงั ยาง
เนินมะปราง
2. ศนู ยอ์ าหารพน้ื บา้ นและพืชผลทางการ
เกษตร ของกลุ่มจังหวดั ภาคเหนอื ตอนล่าง
กลุ่ม 2
3. ตลาดรมิ นา่ นเมืองพิษณโุ ลก
4. ตลาดสดน่าซื้อ อาหารปลอดภยั สำหรับ
ผู้บริโภค
5. เคร่ืองมือการวัด ด้วยมาตรการวัด แบบ
ไทย เช่น
5.1 การชัง่
5.2 การตวง
5.3 การวดั ตามมาตรไทย
5.4 การคำนวณพืน้ ที่
5.5 การคำนวณปริมาตรไม้
5.6 การอ่านวนั เดือน ปี ทางจันทรคติ
53
ส่วนท่ี 4
การประเมนิ คุณภาพผเู้ รียนระดับเขตพืน้ ทกี่ ารศึกษา
การประเมินคุณภาพผ้เู รยี นระดับท้องถน่ิ
การประเมินคุณภาพสาระการเรียนรู้ท้องถิ่น นับเป็นภารกิจสำคัญในการวัดและประเมินผลให้
สอดคลอ้ งและครอบคลุมกับตัวชี้วัด/ผลการเรยี นรู้ (ดา้ นความรทู้ กั ษะ และคุณลกั ษณะ) และธรรมชาติของ
เนื้อหาสาระ เพื่อให้ผลการประเมินชัดเจนมีความเป็นไปได้และเหมาะสมกับศักยภาพผู้เรียนโดยเฉพาะวดั
และประเมินควบคู่ไปกับการจัดการเรียนรู้ตามสภาพจริงให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมและนำผลการประเมินมา
วิเคราะห์ซ่อมเสริม และพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโดยมีหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช
2551 เปน็ แนวทางกำหนดกรอบ การประเมนิ คุณภาพ
แนวทางการวัดและประเมินผล
การประเมนิ ผลก่อนเรยี น
การประเมินผลก่อนเรียน เป็นหน้าที่ของครูผู้สอนในแต่ละวิชาทุกกลุ่มสาระที่ต้องประเมิน
โดยมจี ุดมุ่งหมายเพ่ือตรวจสอบสารสนเทศ ของผู้เรียนในเบือ้ งตน้ สำหรบั การนำไปใชจ้ ดั กระบวนการเรียนรู้
การประเมนิ ระหวา่ งเรียน
การประเมินระหว่างเรียนเป็นการประเมินเพื่อมุ่งตรวจสอบพัฒนาการของผู้เรียนว่าบ รรลุ
ตามผลการ เรยี นรู้ทคี่ าดหวังในการสอนตามแผนการสอนท่ีครูไว้วางแผนไวห้ รือไม่ ท้ังนีส้ ารสนเทศที่ได้จาก
การประเมนิ นำไปสู่ การปรับปรุงแกไ้ ข ขอ้ บกพร่องของผูเ้ รียน และส่งเสรมิ ผู้เรียนที่มีความรู้ ความสามารถ
ให้เกดิ พฒั นาการสงู สุดตาม ศักยภาพ ไดแ้ ก่
การประเมินด้วยการส่ือสารสว่ นบุคคล ได้แก่
1. การถามตอบระหวา่ งทำกิจกรรมการเรยี นรู้
2. การสนทนาพบปะพูดคุยกับผู้เรยี น
3. การสนทนาพบปะพูดคยุ กับผเู้ รยี นกบั ผู้เก่ยี วข้องกับผู้เรียน
4. การสอบปากเปลา่ เพ่ือประเมนิ ความรู้
5. การอา่ นบันทึกเหตกุ ารณต์ ่าง ๆ ของผู้เรยี น
6. การตรวจแบบฝกึ หดั และการบ้านพร้อมใหข้ ้อมูลย้อนกลับแกผ่ ู้เรยี น
การประเมินจากการปฏิบตั ิ (Performance Assessment)
เปน็ วธิ ีการประเมนิ ทผ่ี ูส้ อนมอบหมายงานหรอื กิจกรรมใหผ้ เู้ รียนทำเพื่อให้ไดข้ ้อมูล
สารสนเทศว่าผ้เู รียนเกิดการเรียนรมู้ ากน้อยเพียงใด การประเมนิ การปฏิบตั ิ ผสู้ อนต้องตระเตรยี มสง่ิ สำคัญ
2 ประการ คือ
1. ภาระงานหรอื กิจกรรมทจี่ ะใหผ้ ้เู รยี นปฏบิ ัติ (Tasks)
2. เกณฑ์การใหค้ ะแนน (Rubrics)
54
การประเมินสภาพจรงิ (Authentic Assessment)
การประเมินสภาพจริงเป็นการประเมินจากการปฏิบัติอย่างหนึ่งเพียงแต่งานหรือกิจกรรมที่
ผูเ้ รียนได้ ปฏิบัติจะเป็นงานหรอื สถานการณ์ทเี่ ป็นจริง (Real life) หรอื ใกล้เคยี งกบั ชีวติ จริง ดังนั้นงานหรือ
สถานการณ์จึงมีสิ่งจำเป็นที่ซับซ้อน (Complexity) และเป็นองค์รวม (Holistic) มากกว่างานปฏิบัติทั่วไป
วิธีการประเมินตามสภาพจริงไม่มีความแตกต่างจากการประเมินปฏิบัติ (Performance Assessment)
เพียงแตอ่ าจมคี วามยุ่งยากในการประเมินมากกว่า เนื่องจากเป็นสถานการณ์จริงหรือต้องจัดสถานการณ์ให้
ใกล้จริงและเกิดประโยชน์กับผู้เรียน ซึ่งจะ ทำให้ทราบความสามารถที่แท้จริง ว่ามีจุดเด่นและข้อบกพร่อง
ในเรอ่ื งใด อนั จะนำไปสูก่ ารแก้ไขที่ตรงประเดน็ ท่ีสุด
การประเมนิ ดว้ ยแฟม้ ด้วยสะสมงาน (Portfolio Assessment)
การประเมินด้วยแฟ้มสะสมงานเป็นวิธีการประเมินที่ช่วยส่งเสริมให้การประเมินตามสภาพ
จริงมี ความเปน็ ไปไดม้ ากข้ึน โดยการใหผ้ ู้เรยี นได้เก็บรวบรวม (Collect) ผลงานจากการปฏิบัติจริงมีความ
เป็นไปได้มากขึ้น โดยการให้ผู้เรียนหรือในชีวิตจริงที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ตามสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ
มาจัดแสดงอย่างเป็นระบบ (Organized) ทั้งนี้ โดยมีจุดประสงค์เพื่อสะท้อนให้เห็น (Reflect) ความ
พยายาม เจตคติ แรงจงู ใจ พฒั นาการและความสมั ฤทธ์ผิ ล (Achievement) ของการเรยี นรูต้ ามสงิ่ ที่มงุ่ หวัง
จะใหแ้ ฟม้ สะสมงานนั้น สะทอ้ นออกมาซึ่งผู้สอน สามารถประเมินจากแฟ้มสะสมงานแทนการประเมินจาก
การปฏบิ ตั ิจรงิ กไ็ ด้
การประเมินหลงั เรยี น
เป็นการประเมินเพ่ือสรุปผลการเรียนเป็นการประเมินเพื่อมุ่งตรวจสอบความสำเร็จของ
ผเู้ รียนเมื่อผา่ นการเรียนรู้ในช่วงเวลาหนึ่งเพื่อตรวจสอบว่าผู้เรยี นเกิดการเรยี นรู้ตามผลการเรียนที่คาดหวัง
หรือไม่ เม่ือนำไปเปรยี บเทยี บกับผลการประเมินกอ่ นเรียนแลว้ ผู้เรียนเกดิ พัฒนาการข้นึ มากน้อยเพียงใดทำ
ให้สามารถประเมินได้ว่า ผู้เรียนมีศักยภาพในการเรียนรู้เพียงใดและกิจกรรมการเรียนรู้มีประสิทธิภาพใน
การพัฒนาผู้เรียนเพียงใด ข้อมูลจากการประเมินภายหลังการเรียนสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มากมาย
ไดแ้ ก่
1. ปรบั ปรุง แกไ้ ข ซอ่ มเสรมิ ผลการเรยี นรทู้ ่ีคาดหวงั หรอื จุดประสงคข์ องการเรยี น
2. ปรับปรงุ แก้ไขวิธีการเรียนให้มปี ระสทิ ธิภาพยิง่ ขน้ึ
3. ปรับปรุง แก้ไข และพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียน การประเมินผลการเรียนสามารถใช้
วิธีการและเครื่องมือการประเมินได้อย่างหลากหลายให้สอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง เนื้อหาสาระ
กิจกรรมและช่วงเวลาในการประเมินเพื่อให้การประเมินผลการเรียน ดังกล่าวมีส่วนเกี่ยวข้องสัมพันธ์และ
สนบั สนุนการเรียนการสอน
รปู แบบการประเมินคณุ ภาพ
การประเมินระดับสถานศึกษา
1. การประเมนิ ในชั้นเรยี น
การประเมินคุณภาพนักเรียนตามสาระการเรียนรู้ท้องถิ่น (กรอบหลักสูตรเขตพ้ืนท่ี
การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2) และตามจุดเน้นคุณภาพนักเรียนด้านสมรรถนะสำคัญ และ
55
คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ ของผเู้ รยี นทุกวชิ า ทุกชนั้ เรียน โดยใชว้ ิธกี าร/เคร่ืองมือวัดและประเมินผลอย่าง
หลากหลายควบคไู่ ปกบั การเรียนการสอน
2. การประเมินในระดบั สถานศกึ ษา
การประเมินคุณภาพนักเรียนตามสาระการเรียนรู้ท้องถิ่น (กรอบหลกั สูตรเขตพื้นท่ีการศึกษา
ประถมศึกษาพษิ ณโุ ลก เขต 2) และตามจุดเนน้ คุณภาพนกั เรียนด้านสมรรถนะสำคญั และคุณลักษณะอันพึง
ประสงค์ ของผเู้ รยี น สถานศกึ ษาพิจารณาถงึ การประเมินในภาพรวม เพือ่ ตดั สนิ ผลการพฒั นาผเู้ รยี นเมื่อจบ
ภาคเรียนหรือปีการศึกษา โดยใช้เครื่องวัดและประเมินผลเป็นแบบทดสอบภาคความรู้หรือภาคปฏิบัติ
ตามทีส่ ถานศกึ ษากำหนด
การประเมินระดบั เขตพื้นทก่ี ารศึกษา
การประเมินคุณภาพระดับเขตพื้นที่การศึกษา เป็นการประเมินคุณภาพผู้เรียนในระดับเขต
พื้นที่การศึกษาตามมาตรฐานการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อใช้เป็นข้อมูล
พื้นฐานในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของเขตพื้นที่การศึกษาตามภาระความรับผิดชอบสามารถ
ดำเนินการโดยประเมินคุณภาพผลสัมฤทธิ์ของผูเ้ รียนด้วยข้อสอบมาตรฐานทีจ่ ัดทำและดำเนินการโดยเขต
พื้นที่การศึกษาหรือด้วยความร่วมมือกับหน่วยงานต้นสังกัดในการจัดสอบ นอกจากนี้ยังได้จากการ
ตรวจสอบทบทวนขอ้ มลู จากการประเมนิ ระดับสถานศึกษาในเขตพนื้ ที่การศึกษา นอกจากน้นั ภารกิจสำคัญ
ของเขตพื้นที่การศึกษา/ท้องถิ่นในการบริหาร จัดการหลักสูตรระดับท้องถิ่น ยังต้องกำหนดให้มีการ
ประเมินคณุ ภาพผูเ้ รียนระดับทอ้ งถนิ่ และรายงานผลคุณภาพ ของผู้เรียน
การประเมินคุณภาพผู้เรียนระดับท้องถิ่นเป็นการประเมินคุณภาพผู้เรียนตามมาตรฐานการ
เรยี นรู้ ของหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพืน้ ฐานรวมถึงเป้าหมาย/จุดเน้นของท้องถิ่นตามที่กำหนดไว้ใน
กรอบหลักสูตรระดับท้องถิ่น เพื่อใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาสามารถดำเนินการ
โดยการประเมิน ผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนด้วยข้อสอบมาตรฐานหรือเครื่องมือที่จัดทำและดำเนินการโดยเขต
พนื้ ท่ีการศึกษาหรือด้วยความรว่ มมอื กับสถานศกึ ษาในการดำเนินการจดั สอบ ไดแ้ ก่
1. กำหนดแผนงาน การวางแผนงานและกำหนดส่ิงท่ีต้องการประเมินรวมทงั้ กลุ่มเป้าหมายที่
จะประเมินเครื่องมือที่ใช้และช่วงระยะเวลาในการประเมินอย่างชัดเจนโดยกำหนดไว้ชัดเจนในกรอบ
หลกั สตู รระดับทอ้ งถนิ่ เพ่อื แจง้ ให้โรงเรียนภายในเขตพื้นท่ที ราบข้อมูลดังกลา่ วลว่ งหน้าเพื่อเตรียมพร้อมใน
การรบั การประเมิน
2. พัฒนาคลังข้อสอบจัดทำคลังข้อสอบมาตรฐานเพื่อใช้ในการทดสอบซึ่งข้อสอบดังกล่าว
ควรมกี ารวจิ ัยเพื่อพฒั นาและปรับปรุงเป็นระยะเพื่อ ใหไ้ ดข้ อ้ สอบท่ีมีคณุ ภาพเที่ยงตรงและเช่ือถือได้
3. ใช้ผลการประเมินในการพัฒนาผลการประเมินคุณภาพผู้เรียนเป็นข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญ
สำหรับกำหนดนโยบาย วางแผนงาน และกำหนดยุทธศาสตร์ในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนในเขตพื้นท่ี
ข้อมูลดังกล่าวเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการที่เขตพื้นที่จะวางแนวทางในการช่วยเหลือครู โดยเฉพาะอย่าง
ยิ่งในโรงเรียนท่ีมีผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นตำ่
56
สว่ นท่ี 5
การนำกรอบหลกั สตู รระดบั ทอ้ งถนิ่ ส่กู ารพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2 จัดทำกรอบหลักสูตรท้องถิ่นเพื่อให้
สถานศกึ ษานำไปใช้ในการพัฒนาหลักสตู รสถานศกึ ษาดงั นี้
1. ศึกษากรอบหลักสตู รระดับทอ้ งถนิ่ แล้วนำสว่ นท่ี 3 ไปวิเคราะห์ให้สอดคล้องกับหลกั สตู ร
แกนกลางการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 เพือ่ กำหนดวิสยั ทัศน์ เป้าหมายจุดเน้นของสถานศึกษา
2. วิเคราะหม์ าตรฐานและตวั ชว้ี ัดของหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551
เพ่อื จดั ทำคำอธบิ ายรายวิชา โครงสร้างรายวิชา และหน่วยการเรยี นรู้
3. นำกรอบหลกั สตู รระดับทอ้ งถิ่นส่กู ารพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาโดยเลอื กใช้แนวทางดังน้ี
- สอดแทรกในรายวชิ าพื้นฐาน
- จดั เป็นรายวิชาเพ่ิมเติม
- จัดเป็นกจิ กรรมพฒั นาผูเ้ รยี น
- จัดกจิ กรรมและบรรยากาศส่งเสรมิ การเรยี นรูต้ ามกรอบหลกั สตู รระดบั ทอ้ งถิ่น
4. วัดและประเมินผลตามระเบียบว่าด้วยการวัดและประเมินผลของสถานศึกษา และให้
สอดคล้องกับแนวทางการวัดและประเมนิ ผลตามกรอบหลักสตู รระดบั ท้องถิ่น
วธิ ีการนำกรอบหลักสูตรระดับท้องถ่นิ ไปใช้
1. การนำเป้าหมาย/จดุ เนน้ ไปใช้ สถานศกึ ษาควรศึกษาเปา้ หมาย/จุดเน้นด้านคุณภาพของผู้เรียน
ตามที่กำหนดให้มีความชัดเจนเพื่อนำไปกำหนดทิศทางในการพัฒนาผู้เรียน โดยอาจนำไปกำหนดไว้เป็น
ยุทธศาสตร์ของการพฒั นาในแผนปฏิบัติการประจำปี
2. สาระการเรียนรู้ท้องถิ่น ซึ่งเป็นกรอบสาระที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ในชุมชน ท้องถิ่นของ
จังหวัดพะเยา ซงึ่ ไดก้ ำหนดเป็นประเดน็ กว้าง ๆ ไวค้ รูผู้สอนสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางเก่ยี วกับท้องถิ่นได้
เช่น ประวัติความเป็นมาของจังหวัดพะเยา สภาพภูมิอากาศ ภูมิประเทศ สังคม วิถีชีวิต ศิลปะ วัฒนธรรม
ประเพณี หรือเหตุการณส์ ำคัญ ๆ ในชุมชน ซง่ึ สามารถดำเนนิ การได้ 2 ลักษณะ คอื
2.1 การสอนสอดแทรกเข้าไปในรายวิชาพื้นฐานท้ัง 8 กลุ่มสาระการเรยี นรู้ โดยศึกษาจากคำ
สำคัญจากมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัดรายปี/ช่วงชั้น ที่มีความเกี่ยวข้อง สัมพันธ์กับการเรียนรู้ในท้องถ่ิน
ซึง่ ได้ วิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวช้ีวัดรายปี/ช่วงช้นั ในส่วนทเ่ี ก่ียวขอ้ งกบั ชมุ ชนและท้องถิ่น ไวใ้ หแ้ ล้ว
2.2 การกำหนดเปน็ รายวชิ าเพ่มิ เติม ซึ่งสถานศกึ ษาเหน็ ว่ามีสิง่ สำคัญทต่ี ้องการปลกู ฝังและให้
นักเรียนเรียนรู้เกี่ยวกับท้องถิ่นเป็นการเฉพาะ และเป็นจุดเน้นของสถานศึกษา เช่น รายวิชาเพิ่มเติม
เกย่ี วกับการ จักรสานผกั ตบชวาหมวก ตะกร้า กระเปา๋ ปลาสม้ น้ำปู กลว้ ยฉาบ การปัน้ เซรามคิ
3. ในการจดั การเรียนรู้ท่สี อดคล้องกบั หลกั สูตรระดบั ท้องถนิ่ น้ี ครูผสู้ อน ควรศึกษามาตรฐานการ
เรียนรู้ ตวั ชว้ี ดั รายปี/ช่วงชัน้ ทเี่ กยี่ วขอ้ งกับชุมชน/ทอ้ งถ่ิน และนำไปออกแบบหนว่ ยการเรยี นรู้องิ มาตรฐาน
จดั ทำแผนการจัดการเรียนรู้ ซ่ึงควรใหน้ กั เรียนมปี ระสบการณต์ รงกับการเรียนรู้ เช่น การนำไปแหล่งเรียนรู้
การเรียนรจู้ ากภูมิปัญญา
57
4. การนำเสนอ การวิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัดรายปี/ช่วงชั้น ทั้ง 8 กลุ่มสาระการ
เรียนรู้ ต่อไปนี้ ครูสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการนำไปออกแบบหน่วยการเรียนรู้ได้ โดยได้เสนอแนะ
สาระการเรียนรู้ ท้องถนิ่ ไว้ ซ่งึ เปน็ การนำเสนอทง้ั ในด้านสิ่งทค่ี วรเรียนรู้ แหล่งเรยี นรู้ และภมู ิปญั ญาท้องถ่ิน
ของจังหวัดพะเยา โดยครูสามารถปรับใช้ไดต้ ามความเหมาะสมและสอดคล้องกบั บริบทของโรงเรียน ชุมชน
ตำบลหรืออำเภอทีน่ กั เรียนอาศยั อยู่
บรรณานกุ รม
กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2553). หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551.
(พมิ พ์ครั้งที่ 2). กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พช์ มุ นุมสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย จำกดั .
การประถมศึกษาจงั หวัดพษิ ณุโลก, สำนกั งาน. เอกสารประกอบการเรยี นการสอนวิชา ส 071 ท้องถนิ่
ของเรา จงั หวดั พิษณโุ ลก. ม.ป.พ. 2535.
กรมศิลปากร กระทรวงวฒั นธรรม. รายงานเบ้อื งตน้ การสำรวจและการขดุ คน้ แหลง่ โบราณคดีในพื้นท่ี
เข่อื นแควน้อย อันเนอื่ งมาจากพระราชดำริ อำเภอวัดโบสถ์ จงั หวดั พิษณโุ ลก. กรุงเทพฯ
: เนรท์ เทิรน์ ซนั (1935)จำกัด, ม.ป.ป.
การศึกษาประถมศกึ ษาพิษณโุ ลก เขต 2, สำนกั งาน. กรอบหลักสูตรท้องถิน่ ระดับเขตพื้นท่ี.
(พมิ พค์ รั้งที่ 1). ป.งานพิมพ์, 2551.
การศึกษาประถมศึกษาพิษณโุ ลก เขต 2, สำนกั งาน. กรอบหลกั สูตรท้องถิ่นระดับเขตพ้ืนที่.
(พิมพค์ รงั้ ที่ 2). เจนถ่ายเอกสาร, 2554.
กองทัพภาคท่ี 3 และวดั จุฬามณี จงั หวดั พิษณโุ ลก. วดั จุฬามณี ปีกาญจนาภเิ ษก เชยี งใหม่ :
ส.ทรพั ยการพิมพ์, 2539.
จริ วัฒน์ พิระสนั ต.์ ศลิ ปกรรมท้องถ่นิ จงั หวัดพิษณโุ ลก. สำนกั พิมพ์แห่งจุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั .
2547.
เฉลมิ เงารงั สี. รายงานการวจิ ัย การศกึ ษาประวัติศาสตร์สถาปตั ยกรรมเมอื งพระพิษณุโลก เพอื่
ออกแบบเอกลกั ษณ์สถาปัตยกรรมพื้นถ่นิ พษิ ณโุ ลก. สาขาวชิ าสถาปตั ยกรรมศาสตร์
คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, 2544.
ทวี บรู ณเขตต.์ พพิ ิธภณั ฑพ์ ื้นบ้านจ่าทวี. ชยั สยามการพิมพ์, 2533.
ประชาสัมพันธจ์ ังหวดั พิษณุโลก, สำนักงาน. ตามรอยบรรพกษตั รยิ ์ไทยใตเ้ บื้องยุคลบาทในเมือง
พษิ ณุโลก. รัตนสวุ รรณการพิมพ์ 3, 2549.
ประชาสมั พนั ธจ์ งั หวัดพิษณโุ ลก, สำนักงาน. โบราณสถาน โบราณวัตถุและสิง่ ศักดส์ิ ิทธ์ใิ นเมอื ง
พิษณุโลก. รัตนสวุ รรณการพิมพ์ 3, 2553.
พระเทพรัตนกวี และคณะ. 400 ปี แห่งการสวรรคต สมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พ.ศ 2148 –
2548). ม.ป.พ., ม.ป.ป.
พระศรรี ัตนมนุ ี และคณะ. รวมเร่อื งประวตั ิศาสตรแ์ ละวัฒนธรรมเมืองพิษณโุ ลก. เชยี งใหม่ : ส.ทรพั ย์
การพิมพ,์ 2535.
วังทอง, อำเภอ. วัฒนธรรม ภูมิปัญญาทอ้ งถ่นิ . พษิ ณุโลก : ตระกูลไทย, 2554.
วดั พระศรีรัตนมหาธาตุวรมหารวิหาร จังหวัดพิษณโุ ลก. พระพุทธชินราช วดั พระศรีรัตนมหาธาตุ
วรมหาวิหาร จงั หวดั พษิ ณุโลก. กรุงเทพ : บางกอกสาสน์ , 2548.
สำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา. (2553). แนวทางการจดั กิจกรรมพฒั นาผเู้ รยี น
ตามหลกั สูตรแกนกลาง การศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551. (พิมพค์ รั้งท่ี 2).
กรุงเทพฯ: โรงพมิ พช์ มุ นุมสหกรณ์การเกษตร แห่งประเทศไทย จำกัด.
สำนกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา. (2553). แนวทางการบริหารจดั การหลกั สตู ร ตามหลักสตู ร
แกนกลางการศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551. (พิมพค์ รง้ั ที่ 2). กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์
ชมุ นุมสหกรณ์การเกษตร แห่งประเทศไทย จำกัด.
59
บรรณานุกรม (ตอ่ )
สำนักวิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา. (2554). เพือ่ นค่คู ิด มติ รคคู่ รู แนวทางการจดั การเรยี นรู้
ประวัติศาสตร.์ กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พช์ มุ นุมสหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จำกัด.
สำนักวิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา. (2557). แนวปฏิบัติการวดั ผลและประเมินผลการเรียนรู้
ตามหลกั สตู ร แกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551. (พิมพ์คร้ังที่ 4).
กรงุ เทพฯ: โรงพิมพช์ ุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด.
สำนกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา. (2553). แนวทางการจดั ทำกรอบหลักสูตรระดับท้องถนิ่
ตามหลกั สตู ร แกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551. (พมิ พค์ ร้ังท่ี 2).
กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พช์ ุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกดั .
หนึ่งตำบล หน่ึงผลติ ภณั ฑ์ จงั หวดั พิษณุโลก, คณะอนุกรรมการ. การคัดสรรสุดยอดหนงึ่ ตำบลหน่งึ
ผลิตภัณฑไ์ ทย จังหวดั พิษณุโลก. ม.ป.พ. 2546.
60
ภาคผนวก
61
ขอ้ มูลจงั หวดั พษิ ณโุ ลก
จงั หวัดพิษณโุ ลก
พิษณุโลกเป็นจังหวัดใหญ่ ตั้งอยู่ในเขตภาคเหนือตอนล่าง และเป็นเมืองที่มีความสำคัญทาง
ประวตั ศิ าสตร์ เพราะเจรญิ ร่งุ เรืองมายาวนานตัง้ แต่กอ่ นสมัยสุโขทัย อกี ทง้ั ยังเคยเปน็ เมืองหลวงแทนกรุง
ศรีอยุธยาถึง 25 ปีด้วย ในอดีต พิษณุโลกได้รับการเรียกขานว่า “เมืองสองแคว” เพราะเป็นเมืองที่มี
แม่น้ำ 2 สายไหลผ่าน คือ แม่น้ำน่านและแม่น้ำแควน้อย ปัจจุบันพิษณุโลกเป็นเมืองที่มีความเจริญใน
หลายด้าน และเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญหลายแห่ง เช่น มหาวิทยาลัยนเรศวร ,มหาวิทยาลัยราชภัฏ
พิบูลสงคราม และท่าอากาศยาน อีกทั้งยังเป็นเมืองที่มีทางรถไฟตัดผ่าน และขบวนรถไฟสายเหนือแทบ
ทุกขบวนล้วนแล่นผ่านพิษณุโลกทั้งสิ้น จึงทำให้พิษณุโลกกลายเป็นจังหวัดศูนย์กลางทั้งในด้านการบิน
การขนส่งทางบก รวมทั้งการค้าที่สำคัญของเขตภาคเหนือตอนล่าง นอกจากนี้ พิษณุโลกยังเป็นเมือง
62
ท่องเที่ยวที่สำคัญ ที่นับวันจะย่ิงเป็นที่นิยมมากขึ้น เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญและมี
ช่ือเสียงหลายแห่ง ในหลากหลายรูปแบบ ท้ังในดา้ นของประวัติศาสตร์ วฒั นธรรมประเพณี วถิ ีชีวิต และ
แหลง่ ท่องเท่ยี วทางธรรมชาติ มีทำเลท่ตี งั้ อยู่ใกลก้ ับจังหวดั ท่องเท่ียวทส่ี ำคัญอีกหลายจังหวัด คือ สุโขทัย
เลย และเพชรบูรณ์ ทั้งยังเป็นจังหวดั ที่มีการจัดการ ด้านการท่องเทีย่ วทีม่ ีประสิทธิภาพ แหล่งท่องเทีย่ ว
ต่างๆ มีศักยภาพในการรองรับนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี และมีสิ่งอำนวยความสะดวกในด้านการ
ท่องเทย่ี วครบครนั ทง้ั ท่ีพัก อาหาร ไปจนถึงกิจกรรมท่องเที่ยวต่างๆ ทำให้นกั ท่องเท่ยี วทีม่ าเยือนจังหวัด
พษิ ณุโลก มักประทับใจและกลบั มาเยือนอกี ในครงั้ ต่อๆ ไป
สภาพภมู ิศาสตร์
สภาพภูมิศาสตร์ของจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งอยู่ในเขตภาคเหนอื ตอนล่าง ส่วนใหญ่จะเป็นทีร่ าบสลับ
กับป่าไม้ ภูมิประเทศทางด้านทิศตะวันออกและทิศเหนือ จะมีภูเขาและป่าไม้ พิษณุโลกมีเนื้อที่ทั้งหมด
ประมาณ 10,815.8 ตารางกิโลเมตร มีแม่น้ำสายสำคัญ 2 สาย คือ แม่น้ำน่าน ซึ่งไหลผ่านตัวเมือง
พษิ ณโุ ลก และแม่นำ้ ยมซึง่ ไหลผา่ นตัวอำเภอบางระกำ
ที่ตัง้ และอาณาเขต
ทศิ เหนือ ตดิ ต่อกบั อำเภอพิชัย อำเภอทองแสนขัน และอำเภอนำ้ ปาด (จงั หวัดอุตรดติ ถ์) และ
แขวงไชยบรุ ี ประเทศลาว
ทิศใต้ ติดต่อกบั อำเภอเมอื งพิจติ ร อำเภอวชิรบารมี อำเภอสามงา่ ม และอำเภอสากเหลก็
(จังหวัดพจิ ิตร)
ทิศตะวนั ออก ตดิ ต่อกบั อำเภอหล่มสัก อำเภอเขาคอ้ อำเภอวังโปง่ (จงั หวัดเพชรบูรณ)์
อำเภอดา่ นซ้าย และอำเภอนาแหว้ (จงั หวดั เลย)
ทิศตะวนั ตก ตดิ ต่อกับ อำเภอกงไกรลาศ อำเภอศรสี ำโรง (จงั หวดั สุโขทัย) และอำเภอ
ลานกระบอื (จังหวัดกำแพงเพชร)
63
ภูมปิ ระเทศและภมู ิอากาศ
ทางตอนเหนือและตอนกลางเป็นเขตเทือกเขาสูงและที่ราบสูง โดยมีเขตภูเขาสูงด้าน
ตะวนั ออกเฉียงเหนือซึ่งอยู่ในเขตอำเภอวังทอง อำเภอวัดโบสถ์ อำเภอเนินมะปราง อำเภอนครไทย และ
อำเภอชาติตระการ พื้นที่ตอนกลางมาทางใต้เป็นที่ราบ และตอนใต้เป็นที่ราบลุ่ม โดยเฉพาะบริเวณลุ่ม
แม่น้ำน่านและแม่น้ำยม ซึ่งเป็นแหล่งการเกษตรที่สำคัญที่สุดของจังหวัดพิษณุโลก อยู่ในเขตอำเภอบาง
ระกำ อำเภอเมืองพิษณุโลก อำเภอพรหมพิราม อำเภอเนินมะปราง และบางส่วนของอำเภอวังทอง
จังหวัดพิษณุโลกมีลมมรสุมพัดผ่านจากทะเลจีนใต้และมหาสมุทรอินเดีย และแบ่งฤดูกาลออกได้
เป็น 3 ฤดู
- ฤดรู ้อน ประมาณเดือนกุมภาพนั ธ์-เมษายน อุณหภูมิเฉลีย่ ประมาณ 32 องศาเซลเซยี ส
- ฤดูฝน จะเรม่ิ ประมาณเดือนพฤษภาคม-ตลุ าคม ปรมิ าณน้ำฝน เฉลี่ยประมาณปลี ะ 1,375
มลิ ลิเมตร
- ฤดูหนาว ต้ังแต่เดือนพฤศจิกายน-มกราคม อุณหภูมเิ ฉลี่ยประมาณ 19 องศาเซลเซยี ส
การปกครองจงั หวัดพษิ ณุโลก
แบง่ การปกครองออกเปน็ 9 อำเภอ ดังนี้ อำเภอเมือง , อำเภอชาตติ ระการ , อำเภอนครไทย
อำเภอเนินมะปราง , อำเภอบางกระทุ่ม , อำเภอบางระกำ , อำเภอพรหมพิราม , อำเภอวังทองและ
อำเภอวัดโบสถ์ แยกเปน็ 93 ตำบล 1,032 หมบู่ ้าน
ป่าไม้และทรัพยากร
จังหวัดพิษณุโลก มีป่าไม้เป็นทรัพยากรที่มีค่าของจังหวัดทำให้มีแหล่งท่องเที่ยวป่าไม้ที่น่าสนใจ
หลายแหง่ ได้แก่
1. ปา่ สงวนแห่งชาติ 16 แห่ง
2. อุทยานแห่งชาติ 4 แห่ง ได้แก่ อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า
อทุ ยานแห่งชาตนิ ำ้ ตกชาติตระการ และอทุ ยานแหง่ ชาตแิ ก่งเจ็ดแคว
3. วนอุทยาน 1 แห่ง คือ วนอทุ ยานเขาพนมทอง
4. เขตรักษาพนั ธุ์สัตวป์ ่า 2 แหง่ ไดแ้ ก่ เขตรักษาพันธ์ุสตั วป์ า่ ภูเมี่ยง – ภทู อง และเขตรักษา
พนั ธ์สุ ัตว์ป่าภูขดั
5. เขตห้ามล่าสตั ว์ป่า 2 แห่ง ไดแ้ ก่ เขตห้ามล่าสัตว์ปา่ ถำ้ ผาทา่ พล และเขตหา้ มล่าสัตวป์ ่าเขา
นอ้ ย – เขาประดู่
6. สวนรุกขชาติ 1 แห่ง คอื สวนรุกขชาติสกุโณทยาน
64
สญั ลกั ษณข์ องจังหวัดพษิ ณโุ ลก
65
ตราประจำจงั หวดั พษิ ณโุ ลก
เป็นรปู พระพุทธชินราช ซ่ึงเป็นพระพทุ ธรปู ท่ีมลี กั ษณะงดงามทส่ี ดุ ของประเทศไทย สร้างข้นึ
เมอื่ พ.ศ.1900 ปจั จุบนั ประดษิ ฐานอยู่ ณ พระอโุ บสถ วัดพระศรีรตั นมหาธาตุวรมหาวิหาร ในเมือง
พษิ ณุโลกเปน็ พระพุทธรูปศักดส์ิ ทิ ธิ์ค่บู า้ นค่เู มือง จึงนำมาเปน็ สญั ลักษณ์ของจังหวดั
ต้นไม้ประจำจงั หวัดพษิ ณโุ ลก
ปีบ หรือ กาซะลอง (อังกฤษ: Indian cork tree; ชื่อวิทยาศาสตร์: Millingtonia hortensis
Linn.f) เป็นไม้ยืนต้นสูงประมาณ 15 เมตร มีดอกรูปแตรสีขาวหอมอ่อนๆ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ
ปีบยงั มีชอ่ื พ้ืนเมอื งอน่ื อีกคือ กาดสะลอง (เหนอื ) และ เตก็ ตองโพ่ (กะเหร่ยี ง กาญจนบรุ ี)
ปีปเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่มีความสูงประมาณ 10-20 เมตร ผลัดใบ เรือนยอด
เป็นพุ่มทรงกระบอก กิ่งก้านมักจะย้อยลง เปลือกสีน้ำตาลแตกเป็นร่องลึกตามยาวลำต้น อย่างไม่เป็น
ระเบียบ ใบประกอบแบบขนนก 2-3 ชั้น เรียงเวียน ช่อแขนงด้านข้างมี 3-5 คู่ ปลายคี่ เรียงตรงข้าม
ใบย่อยแขนงละ 2-4 คู่ เรียงตรงข้าม ใบรูปไข่หรือรูปไข่แกมใบหอก กว้าง 2-3 ซม. ยาว 4-8 ซม.
ปลายแหลม โคนใบมน ขอบใบหยกั มนหรอื เว้าเป็นคลืน่ เล็กนอ้ ย
ดอกมีสีขาวหรือชมพู มีกลิ่นหอม ออกเป็นช่อแบบช่อกระจุกซ้อนตามปลายกิ่ง ช่อดอกขนาด
ใหญ่ ยาว 10-35 ซม. มีขน กลีบเลี้ยงมีขนาดเล็ก โคนติดกันเป็นรูปถ้วย ปลายแยก 5 แฉก ปลายมน
กว้างม้วนลง เป็นหลอดยาวปลาย 4 แฉก มี 1 กลีบที่ปลายเป็น 2 แฉก ดอกบานเต็มที่กว้าง 3.5-4 ซม.
ผลแหง้ แตก เป็นฝักแบนและตรง สีนำ้ ตาล หวั ท้ายแหลม กว้าง 1.5-2.3 ซม. ยาว 25-30 ซม. เมล็ดแบน
มปี ีกบาง
ประโยชน์ ดอกตากแหง้ นำมาม้วนเป็นบุหรสี่ ูบ รกั ษาริดสดี วงจมกู และมีสาร hispidulin มีฤทธิ์
ในการขยายหลอดลมรกั ษาอาการหอบหืด สารสกดั จากใบที่สกัดดว้ ยเอทานอลสามารถยับยั้งการเจริญ
ของคะน้าได้
66
ต้นไมป้ ระจำจงั หวดั พษิ ณุโลก
นนทรี
ชอ่ื อน่ื ๆ : กระถินแดง (ตราด) กระถินปา่ (ตราด, สุโขทัย) และสารเงิน (เชยี งใหม่)
ต้นกำเนดิ : อนิ เดีย
ช่ือสามญั : Copper pod , Yellow flame
ชือ่ วทิ ยาศาสตร์ : Peltophorum pterocarpum (DC.) Backer ex K. Heyne
ชอื่ วงศ์ : LEGUMINOSAE- CAESALPINIOIDEAE
ต้นนนทรี
ลกั ษณะของนนทรี
ทางพฤกษศาสตร์ : เป็นไม้ต้นผลัดใบขนาดกลาง ลำต้นค่อนข้างเปลาตรง สูง 8-15 เมตร ชอบ
ขึ้นตามป่าชายหาด เปลือกสีเทาคอ่ นขา้ งเรียบหรือแตกเป็นสะเก็ดเล็ก ๆ ทั่วไป เรือนยอดเป็นรูปรม่ หรอื
ทรงกลมกลายๆ ตามกิ่งและก้านอ่อนจะมีขนสีน้ำตาลแดงทั่วไป ส่วนกิ่งแก่เกลี้ยง ใบเป็นช่อเรียงสลับ
เวียนกันถี่ ๆ ตามปลายกิ่งดูเป็นกลุ่ม ช่อหนึ่ง ยาว 20-27 ซม. ประกอบด้วยแขนงใบย่อยที่ออกตรงข้าม
67
กันเป็นคู่ๆ 9-13 คู่ แขนงย่อยคู่ต้นๆ จะสั้นกว่าคู่ที่ถัดไป แต่คู่ที่อยู่ที่ปลายช่อก็จะสั้นเช่นกันใบย่อยเล็ก
รูปร่างคล้ายเมล็ดข้าวสารแบนๆ กว้างประมาณ 5 ม.ม. ยาว 10-15 ม.ม. โคนใบเบี้ยว ปลายใบทู่ๆ หลัง
ใบสีเขียวเข้มกว่าท้องใบ โคนก้านใบ ก้านแขนงย่อย และก้านช่อบวม หูใบเป็นเส้นเรียว ดอกสีเหลือง
ออกเป็นช่อตั้งตรง ขนาดใหญ่ มีกิ่งก้านแขนงมาก อยู่ตามปลายกิ่งหรือตามง่ามใบตอนปลายๆ กิ่ง ยาว
20-30 ซม. กลบี ดอกป้อมบางและยบั ย่น โคนกลีบมีขนสนี ้ำตาลประปราย เกสรตวั ผ้มู ี 10 อนั ผลเป็นฝัก
แบนๆ รูปรี ปลายและโคนสอบแหลม กว้างประมาณ 2 ซม. ยาว 5-12 ซม. สีน้ำตาลอมม่วง เมื่อแก่จัด
จนแห้งเป็นเปน็ สนี ำ้ ตาลดำ แตล่ ะฝกั มี 1-4 เมลด็ เมล็ดแข็งแรงรปู รา่ งและขนาดเท่าใบย่อย เรยี งตามยาว
ของฝกั ผลแก่ในเดอื นพฤศจกิ ายน ออกดอกเดือนกุมภาพนั ธ์-มนี าคม
ชื่อสกุลของนนทรี (Peltophorum) นั้นได้มาจากภาษากรีก หมายถึง (Sheld-bearing)
ซง่ึ หมายถงึ ฝกั ของมนั มรี ปู ทรงเหมือนโล่ ส่วนชอื่ พ้องของนนทรีอีกช่อื คือ P. ferrugineum นน้ั หมายถงึ
มีฝักเป็นสีสนิมเหล็กนับว่าเป็นไม้ยืนต้นที่มีชื่อเสียงมีความหมายชัดเจนที่สุดชนิดห นึ่งภายใต้สภาพ
ธรรมชาตขิ องป่าเขา ตน้ นนทรจี ะผลดั ใบท้ิงลงเปน็ บางสว่ น แต่ไมท่ ้งั หมดต้นทีเดยี ว ดงั นั้นเราจึงอาจเรียก
นนทรีได้ว่าเป็นไม้กิ่งผลัดใบน่าจะเหมาะสมกว่าเป็นไม้ผลัดใบแห้ง ลำต้นของมันแข็งแรง เปลือกสีเทา
อมน้ำตาล ดูงดงาม ชูกิ่งก้านสาขาแผ่เรือนยอดสู่เบื้องบน ยามเช้าฤดูหนาวเรามักจะไม่ค่อยได้เห็น
ใบนนทรีกันสักเทา่ ใดนัก เพราะมันจะร่วงลงมามาก ใบออ่ นจะแตกออกมาในช่วงเดือนมีนาคม พร้อมทั้ง
ออกดอกสีเหลืองทองอร่ามไปทั้งต้นใบของนนทรีดูเผิน ๆ คล้ายใบต้นหางนกยูงหรือกระถิน แต่ใบย่อย
จะมีขนาดใหญ่กว่า และเป็นมัน ดอกออกเป็นช่อเล็กหรือใหญ่ต่างขนาดกันไป ก้านช่อดอกมีสีน้ำตาล
เคลือบสีสนิมเหลก็ ปกคลุม เช่นเดียวกบั กลีบหุ้มดอกชัน้ นอก กลีบดอกภายในสีเหลอื งสดงดงามตา นนทรี
นัน้ เปน็ ต้นไมพ้ น้ื เมืองของไทย อินโดจีน มาเลเซีย ฟิลปิ ปินส์ อินโดจนี ออสเตรเลยี หากได้รับการตัดแต่ง
กิ่งดูแลให้ตามควรแล้วจะเป็นต้นไม้ที่ให้ดอกสวยงามมากจนมีผู้นำไปปลูกประดับทั้งในสวนและตามริม
ถนนใหญห่ ลายสาย ใหท้ งั้ ร่มเงาและให้ทง้ั ความสวยงามของดอก
การขยายพนั ธุ์ของนนทรี
ใช้เมล็ด/ขยายพันธุ์ โดยการเพาะเมล็ด นนทรีมีศัตรูพืชมากมายหลายชนิด, แต่ชนิดที่มี
ความสำคัญในขณะนี้ คือ หนอนผีเสื้อกินใบชนิด Pericyma cruegeri Butler ซึ่งจะสามารถพบได้
ทุกท้องที่ที่มีการปลูกนนทรี, หางนกยูงฝร่ัง, และสีเสียดแก่น เพราะเป็นศัตรูพืชชนิดเดียวที่มีการระบาด
ได้ง่าย และการระบาดมีผลทำให้การเจริญเติบโตลดลงอย่างมาก จนบางครั้ง อาจทำให้ประสบกับความ
ล้มเหลวในการปลูกสร้างเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นนทรี ซึ่งนอกจากมีการปลูกสร้างเป็นสวนป่า
แล้ว ยังมีการปลูกไว้ประดับตามบ้านเรือน มหาวิทยาลัย และวัดต่างๆ ถ้ามีการระบาดของหนอนผีเสื้อ
ดังกลา่ ว จะทำใหต้ น้ นนทรีใบโกร๋น เกดิ ความไม่นา่ ดูตอ่ สถานท่ี นอกจากนี้ แมลงศัตรูอนื่ ๆ เช่น ประเภท
เจาะต้นหรือกิ่ง ก็มีความสำคัญเช่นกัน ฉะนั้นการหมั่นตรวจหา และดูแลจัดการกับศัตรูเหล่านี้จึงมี
ความสำคัญมาก ถ้าสามารถจัดการไม่ให้มีการระบาดเกิดขึ้น ก็จะมีผลทำให้การปลูกสร้างสวนปา่ นนทรี
ประสบความสำเร็จ
ประโยชนข์ องนนทรี
ประโยชน์ : ประโยชน์อย่างหนึ่งซึ่งไม่ค่อยมีใครคิดถึงนั้นก็คือเปลือก เปลือกต้นนนทรีนั้น เมื่อ
นำไปต้มแล้วจะให้สีน้ำตาลเหลือง ใช้ในการย้อมผ้าฝ้ายบาติกในเกาะชวา อินโดนีเซีย นอกจากนี้เปลือก
นนทรียงั มีขายกันในร้านสมุนไพรในเกาะชวาด้วย เพราะเปน็ แหล่งที่มาของแทนนิน ใช้รกั ษาโรคท้องร่วง
68
หรอื นำไปเค่ยี วเข้าน้ำมัน นวดแกต้ ะครวิ กล้ามเนอื้ อักเสบ ปลกู เป็นไมป้ ระดับ ลำตน้ ไม้ ใช้ทำสิ่งก่อสร้าง
เรื่องเรือน เปลือก มีรสรับประทานเปน็ ยากล่อมเสมหะ แก้โรคท้องร่วง เป็นยาขับลมปลูกเป็นไม้ประดับ
เนื้อไม้ สีชมพูอ่อน ถึงน้ำตาลแกมชมพู เป็นมันเลื่อม เสี้ยนตรงหรือเป็นคลื่นบ้าง เนื้อหยาบปานกลาง
เลื่อยผ่าไสกบตบแต่งง่าย ใช้ทำกระดานปูพื้น เพดาน ฝา เครื่องเรือน และหีบใส่ของ เปลือก มีรสฝาด
รับประทานเป็นยาขับโลหติ กลอ่ มเสมหะและโลหติ กบั ใชเ้ ปน็ ยาขับลม ผายลม แก้ท้องรว่ ง มีผู้ปลูกเป็น
ไม้ประดบั กนั มากเพราะพุ่มใบและดอกสวยงาม
สรรพคณุ ทางยาของนนทรี
เน้ือไม้ สีชมพูอ่อน ถึงน้ำตาลแกมชมพู เป็นมันเล่ือม เส้ียนตรงหรือเป็นคล่ืนบ้าง เน้ือหยาบ
ปานกลาง เลื่อยผ่าไสกบตบแต่งง่าย ใช้ทำกระดานปูพื้น เพดาน ฝา เครื่องเรือน และหีบใส่ของ เปลือก
มีรสฝาด รับประทานเป็นยาขับโลหิต กล่อมเสมหะและโลหิต กับใช้เป็นยาขับลม ผายลม แก้ท้องร่วง
มผี ู้ปลูกเป็นไม้ประดับกันมากเพราะพมุ่ ใบและดอกสวยงาม
69
เพลงประจำจงั หวดั พษิ ณโุ ลก
70
เพลงมารช์ นเรศวร
นเรศวรมหาธีรราช จอมไท้ กู้อิสรภาพ ปราบเสี้ยนหนามไพรี พระต้านต่อตี เทิดศรี อโยธยา
พระทรงรบศึก ฮกึ ไปข้างหน้า พระเผด็จศึกเขญ็ เข่นฆา่ ปราบปัจจาทุกท่ี
ได้ชื่อว่าเป็น ยอดวีรบุรุษ พระเชี่ยวเชิงยุทธ เฟื่องสุดปฐพี หาญห้าวเข้ารุดยุทธหัตถี ยุทธวิธี
เป็นที่เฉิดฉันท์
หาญกล้าพระนำทัพไทยรบปัจจา ออกหน้าประจัญ สิ่งใดขวางกั้นรุกรอนเข้าฟอนฟัน บุกเข้า
ไปประจญั ขม่ ขวัญทนั ที
รบรา (รบรา) กล้าตาย (กลา้ ตาย) พระองคม์ งุ่ หมายลา้ งอายให้ไทย แย่งยทุ ธ (แย่งยุทธ) สุดใจ
พระรวมชาติไทย สมใจสืบมา กอบกู้อิสระ ยอดวีรชนไทย เชื้อชาติชาวไทย เทิดไว้ด้วยใจศรัทธา ทุกคน
สาบานจะหาญจะกลา้ เหมอื นดงั มหาวรี ะจอมไทย มิใชใ่ ครทรงนามนเรศวรนัน่ เทอญ
เพลงชมพษิ ณุโลก
งามพิษณุโลกงาม พุทธชินราชงามสถิตมิ่งมงคล อร่ามเรืองวิหารสะคราญช่อฟ้าสูงเสียดนภา
แลละลานเวหน เพียงจำลองสวรรค์ ชะลอแด่ฟ้าเบื้องบน น้ำ – ยม – น่าน ซัดฝั่งวังเวง คล้ายดั่งเพลง
บม่ บทยคุ ล
โอ้ เมืองนเรศวร เคยอบอวลฟุ้งชื่อลือลั่น พ้นจากทาสคืนเป็นไทย เริงน้ำใจ ชาติสกล
มวลพิษณุโลกชนเคยพลี อุทิศกาย มลายเอาเลือดรินฝากดินฝากฟ้าปกป้องชาติ แสนฉ่ำหวาน ใดหนอ
ปานเปรยี บเทยี บเทียมเลย ซง้ึ ในนำ้ ใจชาวราษฎร์เอย
ฉ่ำธรรมชาติเชยชื่นชุบชูใจ นครไทยใสสถิตมิตรไมตรี วัดโบสถ์เป็นศรี บางระกำคนเฉิด
พรหมพิราม วังทองเลิศ แสนประเสริฐ บางกระทุ่มเขียวชอุ่ม นาเขียวชอุ่ม และเห็นเนินมะปราง ชาติ
ตะการ น้ำตกซ่าซา่ น ซาบซา่ นดวงใจ
เพลงพษิ ณโุ ลก
พิศเอย พิษณุโลก พระพายโชยโบก พิษณุโลกงามตา ยามอรุณเบิกฟ้า แสงทองส่องหล้า
สุขอุราชาวเมือง นเรศวรมหาราช พระทรงองอาจ กู้ชาติบ้านเมือง ขอเทิดพระคุณลือเลื่อง พระนาม
กระเด่อื งทวั่ แคว้นแดนไทย
งามยามเมื่อสูรย์ส่อง โอ้น่านสายทอง ดุจแหล่งรวมสายใจ วารินไหลเอื่อย ระเรื่องสู่ห้องฤทัย
สามัคคกี ันไว้ เถดิ พ่นี ้องเอย
พิศเอย พิษณุโลก ทุกข์คลายหายโศก พิษณุโลกเรืองรอง แสงแห่งธรรมนำร่อง สถิตคู่เมือง
พุทธชินราชเอย
71
วดั และโบราณสถานในจังหวดั พษิ ณุโลก
72
วดั พระศรีรตั นมหาธาตวุ รมหาวิหาร
วดั พระศรรี ตั นมหาธาตวุ รมหาวหิ าร หรอื ช่ือที่เรียกกันทวั่ ไปวา่ "วดั ใหญ"่ ต้งั อยู่ที่ ถนนพุทธบูชา
รมิ ฝง่ั แม่นำ้ น่านด้านทิศตะวันออก ตรงข้ามกบั ศาลากลางจังหวดั พิษณุโลก เปน็ พระอารามหลวง ช้ันเอก
ชนิดวรมหาวิหาร เป็นที่รู้จักโดยทั่วไปในฐานะสถานที่ประดิษฐานพระพุทธชินราช พระพุทธรูปที่ได้รับ
การยกย่องว่าสวยงามที่สุดในประเทศไทย วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร เป็นวัดที่มีประวัติ
ยาวนานมาตงั้ แต่สมัยกรุงสโุ ขทยั มสี ถาปัตยกรรม ศลิ ปกรรม และประตมิ ากรรมท่งี ดงามยงิ่ ถอื ได้ว่าเป็น
มรดกทางศิลปวัฒนธรรมอันล้ำคา่ ของเมืองพิษณุโลก วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร ไม่มีหลักฐาน
ว่าสร้างขึ้นเมื่อใด สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นก่อนสมัยสุโขทัย และเป็นพระอารามหลวงมาแต่เดิม เพราะได้
พบหลักฐานศิลาจารึกสุโขทัยมีความว่า พ่อขนุ ศรีนาวนำถมทรงสร้างพระทันตธาตุสุคนธเจดีย์ ... ส่วนใน
พงศาวดารเหนือกล่าวไว้ว่า " ในราวพุทธศักราช 1900 พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก (พระมหาธรรมราชา
ลิไท) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ครองกรุงสุโขทัย ทรงมีศรัทธาเลื่อมใสในบวรพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งยังได้ทรงศึกษาพระไตรปิฎกและคัมภีร์ศาสนาอื่น ๆ จนช่ำชองแตกฉาน หาผู้ใดเสมอเหมือนได้ยาก
พระองค์ได้ทรงสร้างวัดพระศรรี ัตนมหาธาตุ ในฝัง่ ตะวนั ออกของแม่น้ำน่าน มีพระปรางค์อยู่กลาง มีพระ
วิหาร 4 ทศิ มพี ระระเบยี ง 2 ชน้ั และทรงรบั สัง่ ใหป้ นั้ หุน่ หล่อพระพุทธรูปขน้ึ 3 องค์ เพือ่ ประดิษฐานเป็น
พระประธานในพระวิหารทั้ง 3 หลัง" ต่อมาเมื่อ ปี พ.ศ. 2458 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจา้ อยู่หัว
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร เมื่อ พ.ศ. 2458
ปัจจุบันจึงมีชื่อเต็มว่า วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร ภายในวิหาร ประดิษฐาน พระพุทธชินราช
หรือเรียกว่า "หลวงพ่อใหญ่" เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ในตำนานการสร้างพระพุทธชินราชกล่าวว่า
เมื่อพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกได้โปรดให้สร้าง เมืองพิษณุโลก เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ตรัสให้สร้างวัดพระ
รัตนมหาธาตุ มีพระมหาธาตุ รูปปรางค์ สูง 8 วา และ พระวิหารทิศ กับระเบียงรอบพระมหาธาตุ ทั้ง
4 ทิศ โปรดให้ช่างชาวชะเลียง (สวรรคโลก) เชียงแสน และหริภุณชัย(ลำพูน) ร่วมมือกันสร้าง
พระพุทธรูป หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ 3 องค์ สำหรับประดิษฐานในพระวิหารทิศ ได้เริ่มทำพิธีเททองหล่อ
ณ วันพฤหัสบดี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 ปีเถาะ สัปตศก จุลศักราช 317 (พ.ศ.1498) เมื่อกะเทาะหุ่นออก
แล้วทองคงแล่นติดเป็นองค์พระบริบูรณ์เพียง 2 องค์ คือ พระพุทธชินสีห์ กับพระศรีศาสดา ส่วนพระ
73
พุทธชิราชทองไม่แล่นติดเต็มพระองค์ ต้องทำพิธีหล่อต่อมาอีก 3 ครั้งก็ยังไม่สำเรจ็ ครั้งหลังสุด พระเจ้า
ศรธี รรมไตรปฎิ ก ตอ้ งตัง้ สัจจาธษิ ฐาน แลว้ ทำพิธีเททองหล่อเมอ่ื วันพฤหสั บดี ข้นึ 8 ค่ำ เดือน 6 ปีมะเส็ง
นพศก จุลศักราช 319 (พ.ศ.1500) ครั้งสุดท้ายพระอินทร์ได้แปลงกายเป็นชีปะขาวมาช่วยเททองหล่อ
เม่อื วนั พฤหสั บดี ขึ้นสองคำ่ เดอื นหก ปีมะเสง็ จลุ ศกั ราช 717 จึงหลอ่ ได้สำเร็จบรบิ รู ณ์ เม่อื เสร็จพิธีหล่อ
พระแล้ว ปะขาวก็ออกเดินทาง ไปทางเหนือเมืองพอถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งก็หายตัวไปไม่มีผู้ ใดพบเห็นอีก
ส่วนหมบู่ ้านที่ปะขาวไปหายตวั นั้น ก็เลยได้นามในภายหลังวา่ บ้านปะขาวหาย หรอื ตาผ้าขาวหาย มาจน
ทุกวันนี้
การวางผังของวดั มีพระปรางค์เป็นองค์ประธานของวดั รอบองค์พระปรางค์มีระเบียงคต และมี
วิหารทิศ พระวิหารทางทศิ ตะวนั ออกเป็นท่ปี ระดษิ ฐานพระอฏั ฐารส ที่เรียกกันวา่ วิหาร เกา้ ห้อง ปัจจุบัน
คงเหลือพระอัฏฐารส เสาและเนินพระวิหารบางส่วน พระวิหารทางด้านทิศตะวันตก เป็นที่ประดิษฐาน
พระพุทธชินราช พระวิหารทางด้านทิศเหนือ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธชนิ สีห์ พระวิหารด้านทิศใตเ้ ป็น
ที่ประดิษฐานพระศรีศาสดา ซึ่งปัจจุบันพระพุทธชินสีห์และพระศรีศาสดาได้ถูกอัญเชิญไปประดิษฐานที่
วัด บวรนเิ วศวิหาร กรุงเทพฯ ทางวดั พระศรีรัตนมหาธาตวุ รมหาวิหารจึงไดส้ ร้างองค์จำลองข้นึ แทน
วัดจุฬามณี
วัดจุฬามณีเป็นวัดเก่าแก่ที่สุดในจังหวัดพิษณุโลก ไม่ปรากฏหลักฐานว่า มีมาตั้งแต่สมัยใด
มีโบราณสถานท่ีเก่าแก่ที่สุด คือ พระปรางแบบขอม ซึ่งมีอายุตั้งแต่สมัยลพบุรี จึงเป็นที่รู้จักในแวดวง
ของนักโบราณคดี และนักประวัติศาสตร์ท่ัวไป วัดจุฬามณีอยูใ่ นทอ้ งที่ตำบลทา่ ทอง อำเภอเมือง จังหวัด
พิษณโุ ลก มพี ระปรางคเ์ ก่าแก่ท่ีสดุ ลักษณะคลา้ ยกบั พระปรางค์ที่สร้างในสมัยลพบุรี เมือ่ ราว 800 ปีเศษ
ล่วงมาแล้ว ก่อเป็นแบบตรีมุขตั้งอยู่บนฐานสูงซ้อนกัน 3 ชั้น เชื่อกันว่าเป็นตำแหน่งที่ตั้งของเมือง
พษิ ณโุ ลกเดมิ ตามประวัตศิ าสตร์ของวดั จุฬามณแี ห่งนี้ กลา่ ววา่ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถมหาราช ทรง
สร้างขึ้นและได้เสด็จออกผนวช ณ วัดแห่งน้ี ทรงทำนุบำรุงศาสนา สร้างองค์พระปรางค์ศิลปะแบบขอม
ก่อด้วยศิลาแลง ลวดลายปูนป้ัน ลายหงส์คาบสร้อยดอกไม้ ที่เป็นอัตตลักษณ์หนึ่งเดียว ลายเฟ่ืองอุบะ
ลายไทยท่ีอ่อนช้อย อกี ทัง้ ทรงบูรณะวดั วาอาราม เพอ่ื ให้เป็นแบบอยุธยา สร้างอารยะท่ีเป็นหน่ึงของไทย
บอกกล่าวเล่ายุคสมัยชาติไทย ได้ทรงเผยแผ่ให้มีการเทศน์มหาชาติคำหลวง มหาเวชสันดรชาดก 13
กัณฑ์ และในด้านการปกครองได้นำการปกครองแบบจตั ุสดมภ์ เวียง,วัง,คลงั ,นา ทำให้พิษณุโลกสมยั นั้น
74
เป็นเมืองหลวง สมัยอยุธยาสามารถสงบสุขได้นานถึง 25 ปี มีพงศาวดาร ลิลิตยวนพ่ายบันทึก
ประวัติศาสตร์ ปักหมุดยืนยัน ความสำคัญของวัดจุฬามณี อีกทั้งยุคต่อมาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์
มหาราช ทรงมาประทับและพระองค์ได้ทรงดำเนินพระราชกิจ เช่นเดียวกัน ในด้านการศาสนาได้สร้าง
รอยพระพุทธบาทโดยนำผ้าขาวไปทาบรอบพระพุทธบาทท่ีเขาสวุ รรณบรรพต จงั หวัดสระบุรี มาจำลองท่ี
วัดจุฬามณี สรา้ งมณฑปครอบเพ่ือเป็นศนู ยร์ วม ท่ียึดเหน่ยี วจติ ใจให้กบั ประชาชนสมัยนั้น ได้บันทึกไว้ใน
ศิลาจารกึ ในศลิ ายังทรงบันทึกประวัติฯในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถไวอ้ ีกดว้ ย
สิ่งที่น่าสนใจ ปรางค์ประธานศิลาแลง ที่เชื่อว่าประดิษฐานพระเกศาธาตุ ทรงอิทธิพลแบบขอม
ที่มีมุกกสันบันได ประตูหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ส่วนยอดพระปรางค์ชำรุดหักไป ตัวองค์ประกอบ
ท่ี ภายนอกประดับปูนและมีลายปูนปั้นตามคติโลกภูมิชั้นฐานไพที มียักษ์ภูต สูงขึ้นไปมีลายหงส์คาบ
สร้อยดอกไม้รอบองค์ปรางค์ที่เป็นอัตลักษณ์ของพิษณุโลก แต่ละตัวลวดลายต่างๆ กันจึงเป็นหนึ่งเดียว
และมีลายไทยต้นแบบที่อ่อนช้อย ลายเฟื่องอุบะ ลายกนก ลายซุ้มที่มีพญานาคตัวเหราสูงขึ้น มีปูนป้ัน
เทพพนมฯลฯ ที่หาชมไดย้ ากนับวันจะชำรุดหายไป ใบเสมาขนาดใหญ่ทำจากหินชนวน บางใบสูงถึง130
ซ.ม.ของ อุโบสถหลวงพ่อขาว มณฑปพระพุทธบาทที่มีประวัติฯการสร้างในสมัยพระนารายณ์มหาราช
ทรงนำผ้าขาวไปทาบมาจากสระบุรีที่โดดเดน่ หลังมณฑป มีหลักศิลาจารึกเขียนเรื่องประวัติฯสมเด็จพระ
บรมไตรโลกนาถที่ครองเมืองพิษณุโลก เรื่องกำเนิดรอยพุทธบาท เรื่องการสาปแช่งในการห้าม
เคลื่อนย้ายหรือห้ามทำลายเมืองที่มีพุทธศาสนาของเรา ประเพณีทางศาสนา ที่มีมาสมัยอดีตการเทศน์
มหาคำหลวงเข้าพรรษาและการบวชนาคหมู่ในวันครบรอบของพระชนม์มายุของพระเจ้าอยู่หัวฯ
และพระราชินนี ารถ
วดั ห้วยแกว้
วัดห้วยแก้วตั้งอยู่ที่ หมู่ 4 ต.บางกระทุ่ม อ.บางกระทุ่ม จ.พิษณุโลก ใจกลางตลาดสด อำเภอ
บางกระทุ่ม อยู่ติดกับธนาคารกรุงเทพ สาขาบางกระทุ่ม มีพระพุทธรูปที่แกะสลักด้วยไม้ประดู่
เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขนาดหน้าตักกวา่ 1.9 เมตร และ แกะสลักไม้สกั ทอง เป็นพระพุทธรูปปาง
มารวิชัย ขนาดหน้าตักกว้าง 1.5 เมตร มีพุทธลักษณะที่งดงามเป็นอย่างมาก โดยพระพุทธรูปทั้ง 2 องค์
ประดิษฐานอยู่ภายในศาลาการเปรียญไม้สัก 2 ชั้นขนาดใหญ่ ที่มีการก่อสร้างมาต้ังแต่ปี 2551 คาดว่า
ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ศาลาการเปรียญไม้สักทรงไทย 2 ชั้น ขนาดใหญ่ โครงสร้างฐานล่าง
เป็นปูนซีเมนต์ ตัวศาลาทั้งหมดทำจากไม้สัก ขนาดกว้างประมาณ 40 เมตร ยาว 60 เมตร โดยชั้นล่าง
75
เสาแตล่ ะเสา มกี ารแกะสลกั เป็นรปู นักษตั รประจำปีเกดิ บริเวณช้ันสอง พ้นื ปดู ้วยไมป้ ระดู่ เสา ผนงั และ
เพดาน อื่น ๆ ทำจากไม้สักทั้งหมด แกะสลักด้วยลวดลายที่งดงามแบบไทย ประดับตกแต่งด้วยโคมไฟ
ระยา้ นอกจากน้ี เฟอรน์ ิเจอร์ ตา่ ง ๆ ภายในศาลา ยงั ทำจากไม้สักทง้ั หมด ไมว่ ่าจะเป็นแท่นพระ โต๊ะหมู่
บูชา โตะ๊ และเกา้ อ้ี ล้วนทำจากไม้สัก
วดั สนั ติวัน
วัดสันติวัน เดิมเป็นสำนักวิปัสสนาพระธาตุสันติวัน ตั้งอยู่หมู่ท่ี 3 ตำบลบึงพระ อำเภอเมือง
จังหวัดพิษณุโลก ก่อตั้งมาเมื่อปี พ.ศ. 2518 ทำหน้าที่ส่งเสริมการศึกษาพระพุทธศาสนาทั้งทางด้าน
ปริยัติคือการศึกษา และส่งเสริมการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งในแต่ละปีที่ดำเนินการมามีผู้สนใจ
เข้ารับการอบรมและปฏิบัติเป็นจำนวนมากทุกปี และโดยเฉพาะ ในแต่ล่ะปีจะมีพระภิกษุสามเณร
มาศึกษาและปฏิบัติอยู่จำพรรษาเป็นจำนวนมากทุก ๆ ปี เพื่อให้พระภิกษุสงฆ์สามเณรผู้เข้ามาปฏิบัติ
มีสังกัดที่ถูกต้องตามพระราชบัญญัติการปกครองคณะสงฆ์ไทย และเพื่อความดีงามอื่น ๆ ทางจังหวัด
จึงอยากให้เป็นวัดที่ถูกต้อง คณะปฏิบัติธรรมจึงเห็นสมควรว่าจะต้องหาที่เพิ่มเติม โดยมี คุณแม่ละไม
ชีคุณ ได้บริจาคเงินเพื่อซื้อท่ีเพิ่มเติม จำนวน 7,000,000 บาท ( เจ็ดล้านบาท ) และคณะผู้ปฏิบัติธรรม
กับสาธุชนทั้งหมดร่วมกันอีก 1,000,000 บาท ( หนึ่งล้านบาท ) รวมเป็น 8,000,000 บาท ( แปดล้าน
บาท ) เพื่อซื้อที่เพิ่มจากนายสถิต ขันกสิกรรม จำนวน 12 ไร่ ถวายเพื่อสร้างและตั้งเป็นวดั รวมทั้งสำนัก
ปฏิบัติธรรมอยู่เดิมด้วย ประมาณ 24 ไร่ และได้ทำเรื่องขออนุญาตสร้างวัด เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล
เฉลมิ พระเกียรติพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หวั ท่ีทรงครองสิรริ าชสมบตั ิครบ 50 ปี ไดร้ บั อนุญาตให้สร้าง
วัดจากกรมการศาสนาเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2540 ดำเนินการก่อสร้างเสนาสนะเพิ่มเติม เห็นสมควร
ตั้งเป็นวัด จึงได้ทำหนังสือขออนุญาตสร้างวัด และได้รับอนุญาตให้ตั้งเป็นวัดในพระพุทธศาสนา
ชื่อ วัดสันติวัน เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2541 ตั้งอยู่เลขท่ี 289/2 หมู่ที่ 3 ตำบลบึงพระ อำเภอเมือง
จงั หวัดพษิ ณุโลก และหลังจากทไ่ี ด้รับอนุญาตให้เป็นวัด ทางวดั สันติวนั กไ็ ด้ดำเนินการก่อสร้าง ถาวรวตั ถุ
เพิ่มเติม เช่น ศาลาการเปรียญ กุฎีสงฆ์ โรงครัว เพื่อรองรับเยาวชนและประชาชนที่เข้าอบรมคุณธรรม
จริยธรรม และเข้ามาปฏิบัติธรรม เป็นจำนวนมาก ในแต่ล่ะปี และวัดสันติวัน ก็ยังต้องสร้างถาวรวัตถุ
ที่ถือว่าสำคัญยิ่งของวัด ถือว่าเป็นหัวใจของวัด แต่ว่าพื้นที่ที่มีอยู่ ถูกใช้เป็นอย่างอื่นไปหมด ทางคณะ
ผู้ปฏิบัติธรรม และคณะกรรมการของวัดจึงมีความเห็นตรงกันว่าจะต้องซื้อที่เพิ่มเพื่อสร้างอุโบสถ จึงได้
76
ตกลงซื้อที่ อกี จำนวน 4 ไร่ ของนางสีลา เขม้นเขตการ เป็นจำนวนเงิน 800,000 บาท ( แปดแสนบาท )
รวมกับท่ีดนิ ที่มีอย่เู ดิมเป็น 28 ไร่ และไดล้ งมือดำเนินการก่อสร้างอโุ บสถขึ้นในปี 2548 ปรารภการสร้าง
อุโบสถเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสทรง
ครองสิริราชย์ครบ 60 ปี และขณะนี้การดำเนินการก่อสร้างก็เสร็จเรียบร้อยบริบูรณ์ วัดสันติวัน แห่งน้ี
เป็นสถานที่ส่งเสริมการปฏิบัติ และหลักการปฏิบัติของวัด ตามหลักคำสอนขององค์สมเด็จ
พระสัมมาสมั พทุ ธเจ้า คือ หลกั มหาสตปิ ัฏฐาน 4
วดั วังมะสระ
วัดวังมะสระเป็นวัดที่สร้างมาประมาณ 1,500 กว่าปี เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในจังหวัดพิษณุโลก
ตั้งอยู่ที่บ้านวังมะสระ ตำบลท่าช้าง สร้างเป็นวัดประมาณ พ.ศ. 2517 ยังไม่มีประวัติที่แน่นอน
วัดวังมะสระ ขอตั้งเป็นวัดเมื่อ พ.ศ. 2513 เมื่อประมาณ 40 กว่าปีที่ผ่านมา แต่เดิมเป็นชุมชนมีป่า
ท่ีสมบรูณ์เป็นป่ารกชัฏ มีสิงสาราสตั ว์ต่างๆ ชาวบ้านจึงร่วมใจกันสร้างเปน็ วัดขึ้นมาใหม่จนเสร็จสมบรูณ์
พระราชทานเป็นวัดเมื่อ พ.ศ. 2521 ได้มีการอนุรักษ์ เป็นวัดแห่งแรกของประเทศไทย ที่รับขยะมารี
ไซเคิลและมีบริษัทวงษ์พาณิชย์พร้อมทั้งภาครัฐและเอกชนช่วยกัน วัดวังมะสระได้รับการเฉลิม
พระเกรียติ มีโครงการและกิจกรรมหลายอย่างซึ่งเป็นวัดที่ร่มรื่นและยังเป็นเขตอนุรักษ์พืชพันธุ์ สัตว์น้ำ
ตามประกาศของพระราชบัญญัติการประมง เป็นแหล่งเพาะพันธ์ุปลาเทโพธรรมชาติ ในแม่น้ำน่าน
ทใี่ หญ่ท่สี ดุ
77
วัดโพธิญาณ
วัดโพธิญาณ ตั้งอยู่ที่ ต.หัวรอ อ.เมือง จ.พิษณุโลก เป็นวัดโบราณที่ตั้งอยู่ภายในตัวกำแพงเมือง
พิษณุโลก สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ต่อมาภายหลังวัดโพธิญาณได้ถูกทิ้งร้างไป
เนื่องจากภัยสงครามคราวเสียกรุงครั้งท่ี 2 ปี 2310 จนกระทั่งถึงปี 2460 ยกฐานะให้กลับขึ้นมาเป็นวัด
ใหม่อีกคร้ังหนึง่ และได้พัฒนาเร่อื ยมาจนถึงปัจจุบัน
วัดโพธิญาณเป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงของพระเครื่องเมืองไทย โดยมีพระพิมพ์ที่ขึ้นชื่อ ได้แก่
พระพิมพ์พระพุทธชินราชซุ้มเส้นคู่ และพระพิมพ์นางพญากรุวัดโพธิญาณ หรือกรุโรงทอ ซึ่งเป็น
พระพมิ พ์ทขี่ ุดคน้ พบเมื่อปี 2480 ขณะกำลงั บรู ณะวัดและก่อสรา้ งโรงงานทอผ้าของกองทัพบก ประมาณ
ต้นปี 2553 ได้เกิดเหตกุ ารณท์ ี่ไมค่ าดฝันข้ึน เมือ่ ตน้ โพธิท์ ี่ขึ้นอยู่กลางวดั ซ่ึงมีอายมุ ากกวา่ 300 ปีได้ล้มลง
พระครสู นุ ทรโรจนคุณ เจา้ อาวาสวัดโพธิญาณ พรอ้ มด้วยพระลูกวัดจงึ เขา้ ไปปรับพ้ืนท่ีเพื่อร้ือถอนซากต้น
โพธ์นิ ั้นออก แต่ก็พบวา่ ด้านใต้ของรากตน้ โพธิ์มีซากของเนินอิฐฐานเจดีย์ขนาดใหญ่ปรากฏอยู่อีกช้ันหน่ึง
จึงขนยา้ ยกอ้ นอฐิ น้นั ขึ้นมา แตก่ ็ต้องตกตะลึงเม่ือพบโอง่ ดินเผาขนาดใหญ่และทีป่ ากโอง่ นั้นมีแผ่นศิลากับ
ปูนโบราณปิดทับอยู่ เมื่อทุบแผ่นศิลานั้นออก พบว่าภายในบรรจุพระพุทธรูปทองสำริดศิลปะอยุธยา
ขนาดหนา้ ตัก 3-5 นวิ้ อยจู่ ำนวน 84 องค์ วางซอ้ นเรียงกันอยูภ่ ายในโอง่ อยา่ งเปน็ ระเบยี บ และส่ิงสำคัญ
ที่สุด คือ การพบผอบทองคำที่มีน้ำหนักทองกว่า 20 บาท สลักดุนลายสวยงาม ภายในผอบทองคำบรรจุ
พระบรมสารีริกธาตุอยู่จำนวน 28 พระองค์ รวมทั้งพระพิมพ์ทองคำจำนวน 108 องค์ สิ่งที่น่าสนใจ
ภายในวัด ได้แก่ พระพุทธสมปรารถนา เป็นพระพุทธรูปที่สวยงามตามศิลปะสุโขทัยเพื่อความสม
ปรารถนาในคำอธิฐาน นมสั การอดีตเจ้าอาวาสนักพฒั นาท่ีอยู่ในโลงแกว้ มรณะ 8กมุ ภาพันธ์ พ.ศ.2540
และในวิหารพุทธสมปรารถนายังมีหลวงพ่อดำ พระสองพี่น้ององค์ทองและองค์เงิน ปี 2513
ชมโบราณสถานฐานเจดีย์สมัยอยุธยาและบริเวณฐานวิหาร ยังมีพระบรมรูปของสมเด็จพระนเรศวร
มหาราช พระสุพรรณกัลยา สมเด็จพระเอกาทศรถ เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ แนวกำแพงเมือง
โบราณ ที่ล้อมรอบที่แสดงว่าวัดนี้สำคัญ อยู่ในเขตกำแพงฝั่งตะวันออกแม่น้ำน่าน ด้านเหนือวังจันทน์
และแนวกำแพงที่บูรณะน้ี ตีโค้งเป็นเสี้ยวพระจันทร์ล่องใต้ไปข้ามรางรถไฟฝั่ง โรงเรียนเซ็นนิโกลาส
หักศอกไปศาลพ่อปู่ดำลงสู่ริมแม่น้ำน่าน (ตรงข้ามตะแลงแกงฝั่งตะวันตก) ศาลพระเทวเถรพระภูมิ
เสอ้ื วดั ใต้ต้นโพธใิ์ หญ่ รอยพระบาท ซมุ้ ประตขู องวัดท่ีจำลองพระนางพญากรวุ ัดโพธญิ าณที่มีเอกลักษณ์
ชมอุโบสถ์ท่ีมวี หิ ารคดล้อมรอบ พระเวสสุวรรณ 2 ตนเฝ้าประตู จิตรกรรมนูนสงู พระพุทธเจ้านั่งสมาธิใต้
ต้นโพธ์ิ และกวางคู่ พระนางพญาวัดโพธิ์ 4 องค์บริเวณคอสองหน้าจั่วด้านหน้า เจดีย์ศาลาพุทธสุวรรณ
78
นฤมิตร อาคารใหม่ 2 ชั้นที่ดาดฟ้าสร้างสถูปเจดียม์ ีมุขสัน ยกฐานปัทม์แบบอยุธยา มีเจดีย์รายล้อมรอบ
เปน็ ทป่ี ฏิบตั ิกจิ ทางศาสนาและชมวิวทิวทัศนภ์ ายในวดั ได้อยา่ งสวยงาม
วดั บวั หลวง
วัดบวั หลวงเป็นวัดราชมหานิกายตั้งอยูท่ ่ี ตำบลวัดโบสถ์ อำเภอวัดโบสถ์ ทม่ี าของช่ือวัดบัวหลวง
เพราะสมัยก่อนเป็นบึงบัวใหญ่ที่มีบัวตลอด วัดแห่งนี้เป็นวัดสายวิปัสสนากรรมฐานที่มีอุบาสก อุบาสิกา
ที่แวะเวียนเข้ามาปฏิบัติธรรมไม่ขาดสาย และสามารถรับผู้ปฏิบัติธรรม ได้จำนวนกว่า 130 คน
วัดบัวหลวงเป็นวัดราชมหานิกายตัง้ อยู่ที่ ตำบลวัดโบสถ์ อำเภอวัดโบสถ์ ที่มาของชื่อวัดบัวหลวง เพราะ
สมัยก่อนเป็นบึงบัวใหญ่ที่มีบัวตลอด วัดแห่งนี้เป็นวัดสายวิปัสสนากรรมฐานที่มีอุบาสก อุบาสิกาที่แวะ
เวยี นเข้ามาปฏิบัตธิ รรมไม่ขาดสาย และสามารถรับผู้ปฏิบตั ิธรรม ไดจ้ ำนวนกวา่ 130 คน
วดั ราชคีรีหิรัญยาราม (วดั บนเขาสมอแคลง)
วัดราชคีรหี ริ ญั ยาราม หรอื วดั เจ้าแมก่ วนอมิ หยกขาว ต้งั อยบู่ น บนเขาสมอแคลง บ้านสมอแคลง
ในเขตอำเภอวังทอง เดินทางจากตัวเมืองพิษณุโลกไปตามทางหมายเลข 12 (เส้นทางสายพิษณุโลก -
หล่มสัก) ประมาณ 14 กิโลเมตร (กอ่ นถงึ อำเภอวงั ทอง 3 กิโลเมตร) มที างแยกซ้ายขน้ึ เขาไปอีกประมาณ
300 เมตร เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุรวมทั้งพระโพธิสัตว์กวนอิมที่ว่ากันว่าใหญ่ที่สุดในโลก
79
ซึ่งแกะสลักจากหินทะเลสาบหยกขาวจากเมืองหางโจว ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนอีกด้วย
วัดราชคีรหี ริ ัญยาราม ประวัติเดิมไม่ปรากฏวา่ ใครเป็นผู้สรา้ งแต่ถูกกาลเวลาปล่อยทิ้งร้างจนมาถึงปี พ.ศ.
2483 โดยกระทรวงศึกษาธิการ กรมการศาสนา ได้ออกหนังสือรับรองสภาพความเป็นวัดให้ไว้ ณ วันที่
26 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2530 ความเป็นมาของวดั ไดค้ ้นพบหนังสือสำคญั ที่พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้า
เจ้าอยูห่ วั รชั กาลท่ี 5 ได้ทรงพระราชนิพนธ์ พระราชปรารภ เรอ่ื งพระพทุ ธและมีข้อความสำคัญกล่าวถึง
วัดราชคีรีหริ ัญยาราม วา่ พระพุทธเจ้าได้เสดจ็ บิณฑบาตไปถึงทน่ี ้ัน แล้วหยดุ ฉนั อาหารทใ่ี ต้ตน้ สมอ ท่ีเขา
สมอแคลง ซึ่งเดิมเรียกว่าพนมสมอ ควรจะเป็นที่ตั้งพระพุทธศาสนา จึงมีรับสั่งให้จ่านกร้องและ
จ่าการบุญ คุมกำลังไพร่พลและเสบียงอาหารมาตรวจดูภูมิสถานแถบนั้น เมื่อจ่าทั้งสองได้ลงมาถึงที่ ๆ
ซึ่งกล่าวว่า พระพุทธเจ้าได้ไปบิณฑบาตเห็นวา่ เป็นชยั ภูมิท่ีดี เหมาะแก่การท่ีจะสร้างเมอื งใหม่ จึงได้มีใบ
บอกขึ้นไปกราบทูลพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก เจ้ากรุงเชียงแสนและเจา้ กรุงศรีสัชนาลัย พระเจ้าพสุจราช
พระบิดาพระนางปทุมมาวดี เอกอัครมเหสีของพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก ทั้งสองพระองค์ ได้ทรงร่วมกัน
สร้างเมืองขึ้นมาใหม่เมื่อปี พ.ศ.1496 ตรงเช้าวันศุกร์ขึ้น 1 ค่ำ 3 ร.ศ.315 และให้ชื่อเริ่มแรกเมืองนัน้ ว่า
เมอื งพิษณุโลกโอฆะบรุ ี ถดั จากวัดราชคีรีหิรัญยาราม (วดั เจา้ แม่กวนอิมหยกขาว) ข้นึ ไปบนเขาสมอแคลง
จะมีทางแยกไปโรงเจไซทีฮุกตึ๊ง ศาลเจ้าเห้งเจีย ซึ่งชาวไทยเชื้อสายจีนไปไหว้เจ้าทำบุญกันเป็นประจำ
และถัดจากศาลเจ้าเห้งเจียขึ้นไปอีกจะเป็นจุดชมวิวสูงสุดของเขาสมอแคลงแห่งน้ี ว่ากันว่าที่นี่คือ
ดอยสุเทพ 2 เป็นที่ตั้งของพระมหาธาตุเจดีย์ศรีบวรชินรัตน์ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระนลาฏ
(กระดกู หน้าผาก) ของพระพทุ ธเจ้า เจดยี ม์ ีลกั ษณะเปน็ ทรงพุ่มขา้ วบณิ ฑ์ ที่ฐานประดิษฐานพระพุทธลีลา
มหาธรรมราชาลิไททั้ง 4 ด้าน อีกทั้งประมาณเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี จะมีงานประจำปีวัดเขา
สมอแคลงด้วย
วัดเสนาสน์
วัดเสนาสนเ์ ปน็ วดั โบราณเกา่ แก่สรา้ งข้ึนตัง้ แตส่ มยั ใดไม่มีใครทราบแนช่ ัดสันนษิ ฐานว่าวัดน้ีสร้าง
ขึ้นก่อน พ.ศ.1232 และได้มีการย้ายสถานที่ตั้งเสนาสนะหลายครั้งหลายหน นับถึงปัจจุบันได้ 5 คร้ัง
และยังเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ จึงทำให้มีประเพณีสรงน้ำพระบรมธาตุสืบต่อกันมาถึงปัจจุบัน
วัดเสนาสน์ ตั้งอยู่ที่ 128 หมู่ที่ 1 บ้านสวนป่าน ตำบลท่างาม อำเภอวัดโบสถ์ ชาวบ้านเล่าว่า
เดิมวัดเสนาสน์ เริ่มสร้างพร้อมกับวัดโบสถ์ ตำบลวัดโบสถ์ อำเภอวัดโบสถ์ วัดทั้งสองมีการแข่งขันกัน
สร้างวัด ถ้าวัดใดสร้างเสร็จก่อนให้ตีกลองแสดงว่าสร้างเสร็จ วัดนั้นจะได้พระบรมสารีริกธาตุ
ของพระพุทธเจ้าและพระศาสดาสาวกของพระพุทธเจ้าไปประดิษฐานเป็นมิ่งมงคลของวัด วัดเสนาสน์
80
จึงได้ทำอุบายใช้ผ้าขาวมุงหลังคาเสร็จ ได้ลั่นกลองดังสนั่นแสดงว่าสร้างวัดเสร็จก่อน วัดเสนาสน์จึงได้
พระบรมสารีริกธาตุไปเก็บรักษาไว้ เป็นเรื่องแปลกอย่างหนึ่งท่ี “เสนาสน์” เป็นเพียงชื่อวัดอย่างเดียว
เท่านั้นไม่มีหมู่บ้านหรือตำบลที่ชื่อเสนาสน์เลย ชาวบ้านที่มาทำบุญในวัดเสนาสน์เป็นประจำ ได้แก่
ชาวบ้านสวนป่าน ชาวบ้านใหม่เหนือ ชาวบ้านใหม่ใต้ ชาวบ้านหัวคงคา และชาวบ้านหนองปลิง
ถา้ กลา่ วถึง ชาววดั เสนาสน์ คนในละแวกน้ันจะเขา้ ใจวา่ หมายถึงชาวบา้ นสว่ นป่านเท่านัน้ แต่คนในถ่ินอื่น
จะเข้าใจว่าชาวเสนาสน์ คือชาวบ้านสวนปา่ น ชาวบ้านใหม่เหนือ ชาวบ้านใหม่ใต้ และชาวบ้านหัวคงคา
ด้วย หลักฐานโบราณวัตถุสถานในวัดเสนาสน์ประกอบด้วย ศาลาการเปรียญ จำนวน 1 หลัง ลักษณะ
ทรงไทยท่ัวไป ช้นั เดียวยกพน้ื สงู เปน็ คอนกรีตเสริมเหลก็ ขนาดกวา้ ง 24 เมตร ยาว 42 เมตร ใช้ประโยชน์
ในการทำพิธีการทางศาสนาและวันสำคัญต่าง ๆ อุโบสถ จำนวน 1 หลัง เป็นพระอุโบสถศิลปะสมัย
รตั นโกสนิ ทร์ ภายในอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูป ซึ่งเปน็ พระประธาน ลกั ษณะทรงไทย เป็นคอนกรีต
เสริมเหล็ก ขนาดกว้าง 6.50 เมตร ยาว 13 เมตร ประโยชน์ใช้ในการทำพิธีอุปสมบท และทำวัตรเช้า -
เย็น วิหารคต (วิหารหลวงพ่อโต) จำนวน 1 หลัง ลักษณะทรงไทย เป็นคอนกรีตเสริมเหล็กทั้งหลัง
ขนาดกว้าง 8 เมตร ยาว 12 เมตร หอระฆัง จำนวน 1 หลัง ลักษณะทรงไทยวิจิตร 3 ชั้น เป็นคอนกรีต
เสริมเหล็กทั้งหลัง ประดับตกแต่งลายปูนปั้น กระจกแก้วสี ติดลูกกรงแก้ว แนวระเบียง ขนาดกว้าง 3
เมตร ยาว 3 เมตร สูง 15 เมตร หอสวดมนต์ จำนวน 1 หลัง ลักษณะทรงไทย 2 ชั้น เป็นไม้เนื้อแข็ง
ทั้งหลัง ขนาดกว้าง 8 เมตร ยาว 10 เมตร (ปัจจุบันใช้ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ) เรือยาว
พญาอินทรีย์ จำนวน 1 ลำ ขุดด้วยไม้ตะเคียนขนาดใหญ่ ยาว 13 วา บรรจุฝีพายจำนวน 48 คน ได้ทำ
ชื่อเสียงให้แก่หมู่บ้านและวัดหลายสมัย พระบรมสารีริกธาตุ ปูชนียวัตถุอันล้ำค่า เป็นสิ่งศักดิ์สิทธ์ิ
ที่ประชาชนทั่วไปเคารพนับถือ กราบไหว้บูชา สถูปเจดีย์ จำนวน 1 องค์ ลักษณะย่อมุม 12 เหลี่ยม
ซง่ึ ตง้ั อยดู่ า้ นหลังของวหิ าร (หลวงพ่อโต) พระมหาเจดยี ์ จำนวน 1 องค์ ลักษณะยอ่ มมุ 12 เหล่ียม ขนาด
ความสูง 44 เมตร กว้าง 28 เมตร เพื่อเปน็ สถานท่สี ำหรบั ประดษิ ฐานพระบรมสารีริกธาตุ เรม่ิ สร้างตง้ั แต่
ปี พ.ศ. 2537 แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2553 นอกจากนี้ยังมีตำนานเล่าสืบต่อกันมาเกี่ยวกับอภินิหารและ
ความศักดิ์สิทธิ์ของพระบรมสารีริกธาตุ จากการสัมภาษณ์ผู้สูงอายุในเขตพื้นที่ของอำเภอวัดโบสถ์
จำนวน 150 คน พอสรุปได้ว่า องค์พระบรมสารีริกธาตุที่ประดิษฐานอยู่ที่วัดเสนาสน์จะเสด็จมาที่วัด
เสนาสน์และกลับเอง โดยเฉพาะเมื่อใกล้จะวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ของทุกปีนั้น ช่วงระยะกลางดึก
จะปรากฏวัตถุเรืองแสงเกาะกันเป็นกลุ่มลอยผ่านหลังคาบ้านเรือน และเมื่อถึงบริเวณที่ตั้งวัดเสนาสน์
วัตถุเรืองแสงดังกล่าวนั้น จะลอยต่ำลงและหายไปในที่สุด จวบจนกระทั่งพิธีการสรงน้ำพระบรม
สารรี กิ ธาตุเสรจ็ ส้นิ ลง ในชว่ งกลางดกึ ประมาณเวลาเดียวกัน จะปรากฏวตั ถเุ รอื งแสงลอยข้ึน จากบริเวณ
ที่ตั้งวัดเสนาสนแ์ ละเกาะกันเป็นกลุ่มลอย ย้อนกลับไปในทิศที่เห็นในทิศที่เห็นในครัง้ แรกดังกล่าว และที่
แปลกมากย่ิงขึ้นกลา่ วคือ หากในปีใดประชาชนชาววัดเสนาสน์มีความสมัครสมานสามัคคี มีความเป็นอยู่
ที่ดีมีความสขุ ในปีนนั้ ก็จะมีพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐานปรากฏอยจู่ นเกือบเต็มโถแกว้ แต่หากในปี
ใดประชาชนชาววัดเสนาสน์แตกแยกความสามัคคีซึ่งกันและกัน ข้าวยากหมากแพง ในปีนั้น พระบรม
สารีรกิ ธาตจุ ะมาประดิษฐาน ปรากฎอยู่น้อยมากจนเกือบหมดโถ และจากคำบอกเล่าของภิกษุสูงอายุรูป
หนงึ่ ซง่ึ สงั กัดอยู่ ณ วัดเสนาสน์ คือ “หลวงตาไปล่อินทโชโต” อายุ 96 ปี ได้เลา่ ใหฟ้ ังว่า เมื่อสมัยก่อนนั้น
ได้เกิดโรคอหิวาตกโรค (โรคห่า) แพร่ระบาดในหมู่บ้าน เป็นเหตุให้มีชาวบ้านล้มตายเป็นจำนวนมาก
สร้างความหวาดกลัวใหแ้ ก่ชาวบ้านเป็นอยา่ งมาก และในครั้งนั้นเอง ก็ได้มีชาวบ้านบางกลุ่มนำน้ำท่ผี ่าน
การสรงองค์พระบรมสารีริกธาตุแลว้ ไปจุดธูปเทียนกล่าวอธิษฐานและดืม่ กิน ซึ่งปรากฏว่าชาวบ้านกลมุ่
ดังกล่าว สามารถรอดพ้นและปลอดภัยจากโรค ระบาดได้ ดังนั้น เมื่อถึงวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ของทุก ๆ
81
ปี เพียง 1 วันเท่านั้น ที่ทางวัดเสนาสน์จะจัดพิธีสรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งมีพุทธศาสนิกชนทั่วไป
หลั่งไหลเข้ามาเพื่อนมัสการพระบรมสารีริกธาตุเป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งมีชาวบ้านอีกหลายคน มารอ
คอยเพื่อรองรับน้ำสรงที่ล้นออกมาจากภาชนะบรรจุองค์พระบรมสารีริกธาตุ นำไปปะพรมคนใน
ครอบครัว บ้านเรือน ไร่นา และอื่น ๆ ให้เกิดความเป็นสิริมงคล ขจัดปัดเป่าความทุกข์นานาประการให้
หมดไปจากครอบครวั ตลอดจนตราบถงึ ปจั จบุ นั นี้
วัดตาปะขาวหาย
วัดตาปะขาวหาย ตั้งอยู่เลขท่ี 46 หมู่ 4 ตำบลหัวรอ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก สังกัด
คณะสงฆ์ มหานิกายเดิมชาวบ้านเรียกว่า “วัดเตาไห” เพราะเป็นหมู่บ้านที่ปั้นเตาและไห ผลิตส่งออก
ขายภายในประเทศและตา่ งประเทศ พบหลักฐานเครื่องปัน้ ดินเผาที่วัดจุฬามณี และพบเครื่องปั้นดินเผา
ที่อ่าวไทยในซากเรือสำเภาล่มอ่าวไทย และยังมีเรื่องราวตามพงศาวดารจากการสร้างพระพุทธชินราช
อีกดว้ ย
วัดตาปะขาวหาย เป็นวัดเก่าแก่ได้ก่อสร้างและตั้งวัดขึ้นในสมัยใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด
แต่สันนิษฐานว่า สร้างขึ้นสมัยสุโขทัยตอนต้น และตามโบราณสถาน ปูชนียวัตถุที่ปรากฏมีอยู่ คือ
เตาสมัยโบราณ คงจะก่อสร้างวัดขึ้นในราว พ.ศ. 1900 วัดตาปะขาวหายตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่าน ฝั่งทิศ
ตะวันออก และถูกกระแสน้ำไหลกัดเซาะตลิ่ง จนวัดจมลงในแม่น้ำน่านสองครั้งมาแล้ว หลักฐานคือ
ใบเสมาและใบอโุ บสถ ปัจจุบันจมอย่กู ลางแม่น้ำน่าน สมัยกอ่ นไม่มีเขื่อน เวลาหน้าแลง้ จะแลเห็นใบเสมา
และอโุ บสถ นอกเหนือจากนน้ั ยังพบฐานเจดียซ์ ึ่งกอ่ ดว้ ยอิฐเปน็ จำนวนมากท่รี ิมตลงิ่ แม่นำ้ น่าน
วัดตาปะขาวหายปัจจุบันเป็นการย้ายที่ตั้งวัดเป็นครั้งที่สามแล้ว ส่วนตำนานสืบเนื่องมาจาก
การสร้างพระพุทธชินราช ตามพงศาวดารกล่าวว่าพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก หรือพระมหาธรรมราชา
พญาลิไท รัชกาลที่ 4 ในราชวงศ์พระร่วงกรุงสุโขทัยนั่นเองที่เป็นผู้สร้างพระพุทธชินราช เมื่อราว พ.ศ.
1900 พระเจ้าศรธี รรมไตรปฎิ กทรงร้สู ึกประหลาดพระทัยยิ่งนักที่พระพุทธชินราชน้นั ทองแล่นติดไม่เต็ม
องค์ไม่บริบูรณ์ พระองค์จึงทรงตั้งสัตยาธิษฐานเสี่ยงเอาบุญบารมีของพระองค์เป็นที่ตั้งอีกทั้งขอให้
ทวยเทพยดาจงช่วยดลใจให้สร้างพระพุทธรูปสำเร็จตามพระประสงค์เถิด แล้วพระองค์พร้อมทั้งทวย
ราษฎร์พร้อมกันรกั ษาศลี 8 และศีล 5 อย่างเคร่งครัด และได้ให้ช่างปั้นหุน่ ใหม่อีกคร้ังหน่ึง ในกาลครั้งนี้
ปรากฏว่ามี “ตาปะขาว” คนหนึ่ง ไม่มีผู้ใดทราบว่าชื่อใดมาจากไหนได้เข้ามาสมัครเป็นนายช่างใหญ่
82
ช่วยปั้นหุ่นและช่วยเททอง ทำการงานอย่างแข็งแรง ทั้งกลางวันและกลางคืน จนเสร็จโดยไม่ยอมพูดจา
กับผู้ใด ครั้นได้มหามงคลฤกษ์ ก็ได้ประกอบพิธีเททองหล่อพระพุทธชินราช คราวนี้ทองก็แล่นเต็ม
บริบูรณ์ตลอดท้ังองค์พระ พระเจา้ ศรีธรรมไตรปิฎกทรงปีตโิ สมนัสเป็นอย่างยิ่งจึงตรัสให้หา “ตาปะขาว”
ผู้มาชว่ ยป้ันหุ่นและช่วยเททองนน้ั แต่มิได้พบ ปรากฏวา่ เม่ือหล่อพระเสรจ็ แลว้ ก็เดินออกทางประตูเมือง
ข้างทิศเหนือและได้หายตัวกลับวิมานไป ณ วัดตาปะขาวหายแห่งนี้ จากวัดตาปะขาวหายขึ้นไปทางทิศ
เหนอื 800 เมตร ไดป้ รากฏหลักฐานสำคัญทที่ ำให้เชื่อไดว้ ่า “องคเ์ ทพตาปะขาว” ไดห้ ายไปจริง เพราะมี
ผ้พู บเห็นว่าท้องฟ้าเปน็ ช่อข้ึนไป ชาวบ้านไดส้ ร้างศาลาข้ึนไว้ เรยี กว่า “ศาลาช่องฟ้า” มาจนถึงปัจจุบันน้ี
ณ ที่นั้นมีบ่อน้ำใสสะอาด ซึ่งชาวบ้านได้ใช้ดื่มกินกันมาโดยตลอด ตราบเท่าทุกวันน้ี เพื่อเป็นที่ระลึกถึง
เทพเจ้า “ตาปะขาว” ทางวัดตาปะขาวหาย โดยอดีตท่านเจ้าอาวาส คือพระครูนิวิฐบุญสาร (บุญจันทร์
อุชุโก) ได้ให้พระบญุ ทิว บูรณเขตต์ อดีตช่างปั้นฝีมอื ดีของจังหวดั พิษณุโลกสร้างรูปปั้น “เทพตาปะขาว”
ดว้ ยปูนพลาสเตอร์เป็นรูปแรก และต่อมาไดส้ ร้างดว้ ยทองสัมฤทธ์ิ “เทพตาปะขาว” ประดิษฐานไว้ที่ศาล
เทพตาปะขาว ณ วัดตาปะขาวหายและได้เคยแสดงอภินิหารให้ปรากฏหลายครั้งหลายหน จึงเป็นท่ี
เคารพ ศรทั ธาของชาวบ้านและบุคคลทวั่ ไป เป็นอันมากจนถงึ ทกุ วันนี้
วดั ราชบูรณะ
วัดราชบูรณะ ปัจจุบันตั้งอยู่ใจกลางเมืองพิษณุโลก ติดฝั่งแม่น้ำน่าน เยื้องกับวัดพระศรีรัตน
มหาธาตุวรมหาวิหาร (วดั ใหญ)่ ตรงขา้ มกับวดั นางพญา โดยมถี นนมติ รภาพตัดผา่ กลาง ทำใหว้ ดั อยูค่ นละ
ฝั่งถนน ไม่ปรากฏหลักฐานการก่อสร้างว่า เริ่มสร้างขึ้นครั้งแรกในสมัยใด เข้าใจว่าคงจะมีอายุถึงสมัย
สุโขทัยก็อาจจะเป็นได้ วัดแห่งนี้เดิมมีอาณาเขตติดต่อกับวัดนางพญา ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2502
กรมทางหลวงได้ตดั ถนนสายพิษณุโลก-หล่มสัก คือ ถนนมิตรภาพ ถนนสายนี้ไดต้ ดั ผ่านเข้าไปในเน้ือท่ีวัด
นางพญาและวัดราชบูรณะ ถนนมิตรภาพได้ตัดเฉียดพระอุโบสถไปอย่างใกล้ชิด จนต้องรื้อย้ายใบเสมา
มมุ พระอุโบสถออกไป
ประวัติวัดบนไม้แผ่นป้ายของวัด มีความว่า “วัดราชบูรณะ” เดิมไม่ปรากฏชื่อ ก่อสร้างมานาน
1,000 ปีเศษ ก่อนทีพ่ ระยาลิไทได้ทรงบูรณปฏสิ ังขรณ์ ดังนั้นวดั น้ีจงึ ไดช้ ่ือว่า “วดั ราชบูรณะ” พระวิหาร
มีสถาปัตยกรรมทรงโรง 9 ห้อง ศิลปะสมัยสุโขทัย ภายในอุโบสถเป็นภาพเขียน เรื่องรามเกียรติ์และ
ตอนทีด่ ีทส่ี ดุ คอื ตอน ทศกณั ฐ์ส่งั เมืองทผี่ นงั ด้านทิศเหนือ สว่ นดา้ นล่างเปน็ เร่ือง กามกรฑี า ซง่ึ ไม่พบท่ีใด
มาก่อน น่าจะเขียนขึ้นในรัชกาลท่ี 4 บางตอนถูกน้ำฝนเสียหาย และพระประธานก็นับว่างดงามมาก
83
ปัจจุบันทางวัดได้มีการบูรณะเปลี่ยนกระเบื้องหลังคาและทาสีขาวใหม่ทั้งหลัง ภายในพระอุโบสถ
ประดิษฐานพระประธาน พระพุทธรูปปางมารวิชัย(หลวงพ่อทองสุข) ลงรักปิดทองหน้าตักกว้าง 2 เมตร
สูง 3 เมตร เมื่อปี พ.ศ. 2528 กรมศิลปากรได้ขุดค้นเจดีย์หลวงวัดราชบูรณะเพื่อจำทำการ
บูรณปฏิสังขรณ์ใหม่ ได้ขุดค้นพบพระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุไว้ในคอระฆังของเจดีย์หลวงซึ่งบรรจุไว้ใน
ผอบ และเจดีย์จำลองเล็กๆ ที่ทำจากทองสำริด ซึ่งทางวัดได้นำออกมาให้พุทธศาสนิกชนได้สักการบูชา
ที่ศาลาการเปรียญ ปัจจบุ ันวดั ราชบรู ณะไดก้ อ่ สร้างมณฑปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้
วัดนางพญา
วัดนางพญา ตั้งอยู่บริเวณเดียวกับวัดราชบูรณะ ถัดไปทางทิศตะวันออก มีลักษณะ
สถาปัตยกรรมสมัยเดียวกับวัดราชบูรณะ ต่างกันที่วัดนางพญาไม่มีพระอุโบสถมีแต่วิหาร วัดนี้มีชื่อเสียง
ในด้านพระเครื่อง เรียกว่า พระนางพญา ซึ่งเล่าลือกันถึงความศักดิ์สิทธ์ิ วัดนางพญา ตั้งอยู่บริเวณ
เดียวกับวัดราชบูรณะ ถัดไปทางทิศตะวันออก มีลักษณะสถาปัตยกรรมสมัยเดียวกับวัดราชบูรณะ
ต่างกันที่วัดนางพญาไม่มีพระอุโบสถมีแต่วิหาร วัดนี้มีชื่อเสียงในด้านพระเครื่อง เรียกว่า พระนางพญา
ซึ่งเล่าลือกันถึงความศักดิ์สิทธิ์ วัดนางพญา สันนิษฐานว่า ผู้สร้างพระนางพญาคือ พระวิสุทธิกษัตรีย์
พระมเหสีของพระมหาธรรมราชา และทรงเป็นพระราชมารดาของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระองค์
ทรงสร้างพระนางพญาขึ้นในคราวบูรณปฏิสังขรณ์วัดราชบูรณะ ราวปี พ.ศ. 2090 – 2100 ขณะนั้น
พิษณุโลกเป็นเมืองลูกหลวง และพระองค์ดำรงพระอิสริยยศเป็นแม่เมือง มีพื้นที่ติดกับวัดพระศรีรัตน
มหาธาตุวรมหาวิหาร (วัดใหญ่) โดยมีถนนจ่าการบุญคั่นกลาง นอกจากนั้นอยู่ติดกับวัดราชบูรณะ แต่
ปัจจุบันถนนสายมติ รภาพตัดผา่ น ทำให้วัดนางพญากบั วัดราชบูรณะ ตั้งอยู่คนละฝั่งถนน ได้ขึ้นทะเบยี น
โบราณสถาน ในวันท่ี 27 กันยายน 2479 เฉพาะวิหาร ปัจจุบันเป็นอุโบสถ และเจดีย์ย่อมุมไม้ 12 องค์
สภาพค่อนข้างชำรุดทรุดโทรม ลักษณะศิลปะอยุธยาตอนปลายต่อรัตนโกสินทร์ตอนต้น วัดนี้เป็นวัดต้น
ตระกูลของพระเครื่องสมเด็จนางพญา ขุดพบในกรุครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2444 พระพิมพ์นางพญาถูกบรรจุ
ไว้บนหอระฆังของเจดีย์ ซ่ึงอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของวดั ต่อมาเมื่อเจดีย์หักพังลงมา พระนางพญา จึง
ตกลงมาปะปนกับซากเจดีย์ และกระจายทั่วไปในบริเวณวัด ซึ่งเป็นปีทีพ่ ระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้
เจา้ อยู่หัวเสด็จเมืองพิษณุโลก เพือ่ ทอดพระเนตรการหล่อพระพุทธชนิ ราชจำลอง และศาลาเล็กที่สร้างไว้
เพื่อรับเสด็จ การพบกรุพระนางพญาดังกล่าว ได้มีการนำทูลเกล้าฯ ถวาย ส่วนหนึ่งนำกลับไปที่กรงุ เทพ
84
แต่ยังเหลอื อย่ทู ่วี ัดอีกจำนวนมาก และใน พ.ศ. 2497 มกี ารพบกรวุ ดั นางพญาตรงซากปรกั หักพังหน้ากุฏิ
สมภารถนอม เจ้าอาวาส ขณะขุดหลุมเสามีพระพิมพ์นางพญาจำนวนมาก แต่ผู้คนไม่ได้เก็บไปเป็นของ
ตัวเอง ถูกทิ้งไว้ภายในวัดเหมือนเดิม แต่ภายหลังมีผู้คนเก็บไปเป็นสมบัติของตัวเองจนหมด เพราะเห็น
เป็นพระเก่า พระพิมพ์นางพญา เป็นพระเนื้อดินเผา มีชื่อเสียงโด่งดัง ซึ่งถูกจัดอยู่ในชุด “เบญจภาคี”
พระนางพญา ลักษณะของเนื้อจะเหมือนกันหมด ผิดกันแต่พิมพ์ทรงเท่านั้น ส่วนทางด้านพุทธคุณนั้น
ยอดเยยี่ มทางด้านเมตตามหานิยม และแคลว้ คลาดเปน็ เลิศ
85
วฒั นธรรมประเพณี/ศิลปะพ้ืนบ้าน
ในจงั หวัดพษิ ณโุ ลก
86
ประเพณแี ข่งเรือบก
ประเพณีแข่งเรือบกจัดที่วัดเนินกุ่ม หมู่ท่ี 4 ตำบลเนินกุ่ม อำเภอบางกระทุ่ม เป็นงานประเพณี
พนื้ บ้านท่ีมีพยี งแหง่ เดียวในจงั หวัดพษิ ณโุ ลก โดยจดั ระหว่างวนั แรม 1-2 คำ่ เดอื น 10 แตเ่ ดมิ บริเวณหลัง
วัดเนินกุ่มมีลำคลองสามารถแข่งขันเรือยาวในงานบุญเดือนสิบ แต่ต่อมาแม่น้ำลำคลองเกิดตื้นเขินเป็น
อุปสรรคในการแข่งขันเรือยาว ชาวตำบลเนินกุ่มจึงพลิกแพลงการละเล่นพื้นบ้านเป็นการแข่งขันเรือบก
แทน โดยให้ผู้เข้าแข่งขัน 6 – 9 คน ยืนคร่อมไม้ไผ่ลำยาว และวิ่งแข่งขันกันบนพื้นดินเลนเป็นที่
สนุกสนาน ประเพณีแขง่ เรือบกมักจัดควบคู่กับประเพณีปดิ ทองหลวงพอ่ ป้นั
ประเพณกี ารเลน่ คอน
ประเพณีการเล่นคอน หรืออิ้นคอน เป็นการละเล่นระหว่างหนุ่มสาวที่โยนลูกช่วงให้แก่กัน
พร้อมกับร้องรำทำเพลงเทศกาลนี้นิยมเล่น คือ เวลาหลังจากท่ีเก็บเกี่ยวข้าวในนาเรียบร้อยแล้ว ราวๆ
เดือน 4 – 5 และจะเลิกเล่นคอน ต่อเมื่อหมอผีประจำหมู่บ้านกำหนดให้ชาวบ้านเลี้ยง ศาลเจ้า ประจำ
หมู่บ้านล่วงไปแล้ว เมื่อเริ่มย่างเข้าเดือนห้า หนุ่ม ๆ ต่างตำบล ( ตำบลเดียวกันจะเที่ยวเล่นคอน
ในหมู่บ้านของตนนั้น ไม่นิยมกระทำกัน ) มักจะรวมพวกของตนเป็นกลุ่ม ๆ ประมาณ 5–10 คนขึ้นไป
ซึ่งใน จำนวนนั้นจะต้องมีหมอแคน ( คนเป่าแคน ) หมอลำ( คนร้องผสมแคน ) หมอขับ ( คนร้องเพลง
ระหวา่ งทเ่ี ลน่ คอน ) ไปดว้ ย การแต่งกายขณะเลน่ คอน ( เฉพาะ คนที่ทอดช่วง ) ทงั้ ชายหญงิ นยิ มใส่เส้ือ
ฮี (ไทดำ)
87
ประเพณีสนเรอื
ประเพณีสนเรือ คือ พิธีเซ่นไหว้ผีเรือน หรือผีบรรพบุรุษที่ได้อันเชิญมาไว้บนเรือน ซึ่งเป็นการ
แสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษผู้ล่วงลับไป ผีเรือนก็จะปกป้องคุ้มครองรักษาตนและครอบครัวให้มี
ความสุขเจรญิ ก้าวหนา้ ทำมาค้าขน้ึ พิธนี น้ี ิยมทำกนั เป็นประจำทกุ ปี หรอื 2 - 3 ปี ครงั้ ก็ได้
การละเลน่ ดนตรมี งั คละ
ดนตรีมังคละเป็นดนตรีดั้งเดิมของชาวพิษณุโลก โดยเฉพาะชาวบ้านวัดสกัดน้ำมันเล่นดนตรี
มังคละเป็นอาชีพการเล่นดนตรี มังคละ นับเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของจังหวัดพิษณุโลก เนื่องจากเปน็
ดนตรีพ้ืนบ้านที่มีมานานแล้ว ดังปรากฏหลักฐานในพระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
เรื่อง จดหมายระยะทางไปพิษณุโลก ซึ่งกล่าวถึงเหตุการณ์เกี่ยวกับดนตรีมังคละ เมื่อเสด็จมาเมือง
พิษณุโลก ในปี พ.ศ. 2444 ว่า “...ได้ยินเสียงไกลๆ เป็นกลองตีเป็นเพลง แต่จะสังเกตว่าเป็นอะไรไม่ได้
รุ่งขึ้นกำลังเดินทางมาตามทางเรือได้ยินอีกหนหนึ่ง ทีนี้ใกล้ เขาแห่นาคกันอยู่ริมตลิ่ง แต่แลไม่เห็น...
นึกเอาว่าเป็นเถิดเทิงเพราะได้ยินเสียงฆ้องและกลอง... ครั้นมาจอดที่วัดสกัดน้ำมัน ได้ยินอีกไกลไกล
จึงได้ถามท่านสมภารว่าอะไร ท่านสมภารอธิบายว่า ปี่พาทย์ชนิดหนึ่งเรียกว่า มังคละ พระยาเทพา....
อธบิ ายวา่ เป็นกลองคล้ายสองหน้า มีฆ้อง มปี .่ี .. เล่นไม่ว่างานมงคลแลการอัปมงคลหากนั วันกับคืนหน่ึง
เป็นเงนิ 7 ตำลึง... จงึ ไดข้ อให้พระยาเทพาเรยี กมาตีใหฟ้ ัง... เครอื่ งมงั คละน้ีเป็นเครือ่ งเบญจดุรยิ างค์แท้
88
มกี ลองเล็กรปู เหมือนเถิดเทิง แตส่ น้ั ขงึ หนงั หนา้ เดยี ว มีไมต้ ยี าวๆ ตรงกบั “วาตต” ใบหนึ่งมีกลองขึงสอง
หน้าเหมือนกลองมลายู เป็นตัวผู้ใบหน่ึง ตรงกับ “วิตต์” เป็นตัวเมียใบหนึ่ง ตรงกับ “อาตตวิตตํ” มีไม้ตี
ตรง... แลมีปี่คันหนึ่ง เป็นตัวทำนองปี่จีน ลิ้นเป็นปี่ชวา... มีฆ้องแขวนราว 3 ใบ... เสียงเพลงนั้นเหมือน
กลองมลาย.ู .. เพลงป่ีก็ไม่อ่อนหวาน... ฆ้องก็ตีพร้อมกนั โครมๆ... ลองให้ตดี ู 2 เพลง หนวกหูเตม็ ที เลยให้
อัฐไล่มันไปบ้าน...” (นริศรานุวัดติวงศ์ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยา. จดหมายระยะทางไปพิษณุโลก.
พระจันทร์, 2506) จากข้อความที่ได้กล่าวมาแล้ว ทำให้ทราบว่า ดนตรีมังคละเป็นดนตรีดั้งเดิมของชาว
พิษณุโลก โดยเฉพาะชาวบ้านวัดสกัดน้ำมันเล่นดนตรีมังคละเป็นอาชีพและเครื่องดนตรีมังคละมี
5 ประเภท ประกอบดว้ ย
1. กลองมังคละ (กลองขึงหน้าหน้าเดียว) ลักษณะคล้ายกลองยาว แต่มีขนาดเล็กกว่ากลองยาว
มาก ความยาวประมาณ 1 ฟตุ หน้ากลองหุ้มด้วยหนัง ตวั กลองทำจากไม้ขนุน หนา้ ตัด อีกด้านหนึ่งเจาะ
รูขนาดเส้นผา่ ศูนยก์ ลาง 1 นิว้ ไว้ตรงกลาง การตีกลองจะใชห้ วาย 2 อัน ซึ่งปลายพันด้วยเชือกตี
2. กลองสองหน้า (กลองขึงหนังสองหน้า) เป็นกลองขนาดใหญ่ มีสายสะพายคล้องคอ หน้า
กลองมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10 นว้ิ ดา้ นหลงั มีเสน้ ผ่าศูนย์กลางประมาณ 7 นว้ิ ดา้ นหน้ากลองจะตี
ดว้ ยไม้ ด้านหลังกลองจะตดี ้วยมือ มงั คละวงหน่งึ จะมกี ลองสองหนา้ ประมาณ 3-4 ใบ
3. ปี่ มลี ักษณะคล้ายปี่จีน เลาป่ีเปน็ ข้อๆ ส่วนลิ้นคล้ายปี่ชวา
4. ฉิ่ง ฉาบ เป็นเครื่องกำกับจังหวะ ฉาบใช้สองคู่ เรียกว่า ฉาบล่อ เป็นฉาบขนาดกลางใช้ตีเพื่อ
เสริมลลี าของผเู้ ล่น และฉาบยนื เปน็ ฉาบขนาดใหญ่ ใช้ตียืนจงั หวะให้เกดิ ความสนกุ สนาน ครึกครื้น
5. ฆ้อง มีจำนวน สามใบ ขนาดเล็กใหญ่ลดหลั่นกันไป ฆ้องใบเล็กสุดจะแขวนอยู่ส่วนหน้า
เรียกว่า เหม่งหน้า ใช้ตีนำวงก่อนเล่นมังคละ และใช้รัวจังหวะเพื่อเปลี่ยนเพลงตลอดจนใช้ตียืนจังหวะ
ในการเล่น ส่วนฆ้อง สองใบหลังมีขนาดใหญ่เท่ากัน แขวนคู่กันคนละข้างใช้ตีเพื่อให้จงั หวะข้างละหน่งึ ที
สลบั กนั
การเล่นมังคละน้ี ก่อนเล่นจะต้องทำพิธีไหว้ครู โดยมีดอกไม้ธูปเทียน พร้อมเครื่องเซ่น ได้แก่
หมากพลู สุรา เพลงที่ใช้เล่นมีหลายเพลง เช่น เพลงนมยานนกทกแป้ง เพลงหมูกินโคนบอน และเพลง
กบเข่นเขี้ยว เป็นต้น ปัจจุบันการเล่นมังคละเล่นกันอยู่มาก ในเขตอำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก
มีวงมังคละชนิดต่างๆ เช่น คณะพรเมืองพรหม คณะเทพชุมนุม คณะสมเกียรติปี่กลอง คณะศรีภิรมย์
คณะประพรต รุ่งเรือง และคณะเทพสัมฤทธ์ิ เป็นต้น โดยจะเล่นกันทุกโอกาสทั้งในงานรื่นเริง และงาน
ศพ ตลอดจนเทศกาลต่างๆ เดิมการเล่นมังคละไม่มที ่ารำประกอบ ต่อมาในปี พ.ศ. 2511 อาจารย์อนงค์
นาคสวัสดิ์ แห่งวิทยาลัยครูพิบูลสงคราม พิษณุโลก เป็นผู้ริเริ่มคิดท่ารำประกอบเพลงของชายหญิง
ทำนองเกี้ยวพาราสี ประกอบกบั ท่วงทำนองลลี าจงั หวะของดนตรีมังคละ ทำให้สนกุ สนานครึกครื้นยิง่ ข้ึน
89
ประเพณีงานสมโภชพระพุทธชนิ ราช
งานสมโภชพระพุทธชินราช เป็นงานเฉลิมฉลองพระคู่บ้านคู่เมืองและเป็นที่เคารพสักการะ
ของชาวเมืองพษิ ณโุ ลกและพุทธศาสนิกชนทั่วไป แสดงถงึ ความยดึ ม่ันศรัทธาในพระพุทธศาสนา และเป็น
การพกั ผอ่ นหย่อนใจของชาวนาชาวไร่หลังฤดูเก็บเก่ียว ประเพณงี านสมโภชพระพทุ ธชินราช หรืองานวัด
ใหญ่ที่ชาวบ้านเรียก เป็นงานบุญเดือน 3 มีการจัดครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2476 เพื่อหารายได้ซ่อมแซม
ปฏิสังขรณ์วัดที่ทรุดโทรม มีการสมโภช 5 วัน 5 คืน ต่อมาได้ขยายเวลาเป็น 7 วัน 7 คืน ซึ่งได้ถือการ
ปฏิบัติเป็นประเพณีสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน กิจกรรมในงานมีมหรสพต่าง ๆ เช่น ลิเก ภาพยนตร์
การประกวดรอ้ งเพลงลกู ทุ่ง การจำหนา่ ยสนิ คา้ พื้นบา้ น เปน็ ต้น
ประเพณีปักธงนครไทย
ชาวนครไทยมีความเชื่อ มีความศรัทธา และยึดมั่นกับประเพณีปักธงชัย งานประเพณีปักธงชัย
จะจัดขึ้นในวันขึ้น 14-15 ค่ำ เดือน 12 และขึ้นอยู่กับความพร้อม นำไปปักที่ยอดเขาช้างล้วง ซึ่งเป็น
เทือกเขาที่ทอดยาวขนานไปกับถนนหมายเลข 1143 (นครไทย-ชาติตระการ) ห่างจากที่ว่าการอำเภอ
นครไทยประมาณ 6 กิโลเมตร ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือในอดตี หลังจากทอธงและตกแต่งธงเสร็จแล้ว
ชาวบ้านจะมารวมกันทีว่ ดั แล้วจัดเปน็ ขบวนแหผ่ ่านตลาด มกี ารตฆี ้อง สีซอ และรา่ ยรำเป็นที่สนุกสนาน
90
กอ่ นวนั ปกั ธง 1 วัน จะมกี ารนิมนตพ์ ระมาเพ่ือเจริญพระพุทธมนต์ในตอนเย็นเพ่ือฉลองธง รุ่งเช้าในแต่ละ
วัด ทั้ง 3 วัดจะมีการทำบุญตักบาตร เสร็จแล้วมีการแห่ไปเขาช้างล้วง ผู้ที่จะขึ้นไปปักธงบนยอดเขาช้าง
ล้วง จะต้องเตรียมอาหารสำหรับตัวเองและสำหรับเลี้ยงเพลพระบนเขาช้างล้วงด้วย หลังจากกินอาหาร
เชา้ เสร็จก็จะเดนิ ขึน้ เขา โดยจะเตรยี มห่อขา้ วไปอยา่ งเดยี ว ส่วนนำ้ ไมต่ อ้ งนำไปด้วยเพราะยอดเขาแรกคือ
เขาฉนั เพลจะมีบ่อน้ำเพียงพอสำหรับคนจำนวนหน่ึงเพราะสมัยก่อนมคี นขึ้นเขาไม่มาก ผู้ที่จะเดินทางขึ้น
เขาไปปักธง จะประกอบไปด้วยพระสงฆ์ที่นิมนต์ไว้ และชาวบ้านหนองลาน หนองน้ำสร้าง บ่อไอ้จอก
บ้านนาหัวเซและบ้านเนินเพิ่ม สมัยก่อนบ้านหนองลานจะนำธงไปด้วย บ้านหนองลานจะตกลงกับบ้าน
เหนือว่าหมู่บ้านใดทำธงอีกหมู่บ้านหนึ่งจะ ไม่ทำ ในระยะต่อมาบ้านเหนือจะทำธงบ้านหนองลานจะไป
ร่วมปักธงด้วย ผู้ที่จะขึ้นเขาไปปักธงนอกจากจะเตรียมน้ำเตรียมอาหารไปแล้ว จะต้องเตรียมมีดไปด้วย
เพื่อถางป่าทำทางขึ้นไป ชาวบ้านจะเดินขึ้นเขาเป็นกลุ่ม กลุ่มคนหนุ่มสาว กลุ่มคนแก่ที่พอมีกำลัง และ
พระสงฆ์ จากตีนเขาข้นึ ไปประมาณเวลา 11.00 น.ซ่ึงเป็นเวลาฉนั เพลของพระสงฆ์ พระจะฉนั อาหารท่ีถ้ำ
ฉันเพล แต่เป็นถ้ำที่มีลักษณะของเพิงถ้ำรอดมีพื้นเป็นหิน มีพื้นที่ไม่มากนัก พระสงฆ์สามารถนั่งได้
ประมาณ 8-10 รปู เมอื่ ไปถึงชาวบ้านจะถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ แต่ถว้ ยชามเป็นภาระในการเดินขึ้น
เขา ชาวบ้านมักจะห่ออาหารด้วยใบตอง หลังพระฉันเสร็จ ชาวบ้านก็จะร่วมกันรับประทานอาหาร
จากนั้นชาวบ้านและพระสงฆ์ก็จะนำธงของบ้านเหนือขึ้นไปปักบนเขาฉันเพลก่อน โดยใช้บันไดไม้ไผ่
ผนู้ ำชาวบา้ นกจ็ ะกลา่ วคำถวายธงอาราธนาให้พระสงฆส์ วดชัยมงคลคาถา ระหว่างพระสวด ผนู้ ำชาวบ้าน
กจ็ ะนำธงขึ้นไปปักไว้ในหลุมบนยอดเขา ใช้เสยี บเสาธงได้ เสรจ็ แลว้ ชาวบ้านก็จะไชโยโห่ร้องทั้งผู้ท่ีอยู่บน
ยอดเขาและกองเชียร์ข้างล่าง เป็นอันเสร็จพิธีสำหรับการปักธงผืนแรก ห่างออกไปประมาณ 300 เมตร
เป็นยอดเขายั่นไฮ พิธีการเหมือนกับยอดเขาแรก แต่เป็นธงของบ้านในเมืองหรือของวัดกลาง ยอดเขา
สดุ ทา้ ยคอื ยอดเขาชา้ งล้วง ซึง่ เปน็ ยอดเขาท่ีใหญท่ สี่ ุด และปนี ขึ้นไปยากทส่ี ุด ยอดเขาช้างล้วงมีลักษณะ
เหมือนลูกช้างนอนหมอบ การปีนขึ้นไปข้างบนจะต้องลอดช่องก้อนหินขึ้นไป ซึ่งเป็น ช่องทางที่คับแคบ
มาก จึงเชื่อกันว่าผูม้ ีบุญเท่าน้ันทีจ่ ะปนี ข้ึนไปได้ ธงที่จะนำขึ้นไปปักจะเปน็ ของวัดหัวร้อง เมื่อปักธงเสร็จ
แลว้ กเ็ ป็นอนั เสร็จพิธีสำหรับงานประเพณีปักธงชยั ประจำปี
91
ประเพณีแขง่ เรือยาว
การแข่งเรือยาวเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของจังหวดั พิษณุโลกที่ได้ยึดมาเป็นเวลาช้านาน มักจัด
ขึ้นราว ๆ เดือนสิงหาคมไปจนถึงต้นเดือนตุลาคมหลังจากนำผ้าห่มองค์พระพุทธชินราช งานนี้จัดขึ้น
บริเวณแม่น้ำนา่ น หน้าวัดพระศรีรตั นมหาธาตุ เพื่อความสามัคคีระหวา่ งหมู่คณะ จึงสืบเน่ืองมาเป็นงาน
ประเพณีแข่งเรือยาวในปจั จบุ ัน เม่ือกลา่ วถงึ ประเพณแี ข่งเรือยาว แนน่ อนวา่ ตอ้ งมีเรอ่ื งการผลิตเรือยาว
เพื่อนำมาใช้ในการแข่งขันเช่นกัน การต่อเรือยาวเป็นศิลปะอย่างหนึ่งเพราะต้องใช้ความรู้ ความชำนาญ
มาก จึงจะได้เรือที่สวยและแลน่ ได้เร็วเวลาพาย การโค่นต้นตะเคียนเพื่อนำมาทำเรือ ต้นตะเคียนเชือ่ กนั
ว่ามีนางไม้ หรือนางตะเคียนสิงอยู่ ก่อนโค่นต้องตั้งศาลเพียงตา 2 ศาล พร้อมเครื่องสังเวย อาทิ หัวหมู
ไก่ ไข่ต้ม ขนมต้มแดง-ขาว เหล้าขาว หมากพลู-บุหร่ี บายศรี 2 ท่ี เพื่อขอขมาบอกกล่าวเจ้าป่าเจ้าเขา
ขออนญุ าตทำการตดั โคน่ ต้นไมใ้ นป่า ซึง่ นิยมเซน่ ไหวไ้ ดแ้ ต่เชา้ จรดเยน็ ยกเว้นวนั พระ ศาลที่ 2 บอกกลา่ ว
นางตะเคียนโดยงดเว้นเหล้า-บุหร่ี ควรเพิ่มเครื่องตกแต่งผู้หญิง อาทิ หวี แป้ง ผ้าแพร น้ำอบน้ำหอม
เป็นต้น ไม่ควรเซ่นไหว้เกินเที่ยงวัน เมื่อพลีกรรมแล้ว จึงทำการตัดโค่นโดยผู้เชี่ยวชาญ สมัยโบราณ
ใช้เลื่อยมือแรงงานคนในการโค่นและช้างชักลากไม้ ปัจจุบันใช้เครื่องทุ่นแรง คือ เลื่อยยนต์ทำให้ตัดไม้
รวดเร็ว แล้วใช้รถยนต์ชักลากสูส่ ถานที่ขุด คือ วัด ได้อย่างรวดเร็วข้ึนกว่าเดิม ต้นตะเคียนที่นำมาขดุ เรอื
ต้องเป็นไม้ที่ไม่ได้ตีตราไม้ตามระเบียบราชการ เชื่อว่าไม้ต้นใดตีตราแล้วแม่ย่านางจะไม่อยู่ พิธีนำเรือ
ลงน้ำ เมื่อขุดเรือเสร็จ ตั้งชื่อเรือเรียบร้อย ก็จะถึงขั้นตอนที่จะนำเรือลงน้ำ ก็จะต้องทำพิธีกรรมสำคัญ
อีกครั้ง โดยการตั้งศาลเพียงตาบวงสรวงเชิญแม่ย่านางลงเรือ โขนเรือก็จะตกแต่งด้วยผ้าแพรสีสัน
สวยงาม พิธีเบิกเนตร (ตาเรือ) บางครั้งอาจมีพิธีสงฆ์ทำบุญเพื่อความเป็นสิริมงคล และรำถวายรับขวัญ
แม่ย่านาง ครั้นได้ฤกษ์ฝีพายก็ช่วยกันโห่สามครั้ง ยกเรือลงน้ำทันที ฝีพายก็จะนั่งประจำเรือและทดสอบ
พายดูว่าเอียงหรือท้ายลากหรือไม่ เป็นต้น โดยนายช่างขุดเรือจะตรวจสอบความบกพร่องของเรือที่ขุด
ถ้าเรยี บรอ้ ยดกี ็จะเร่ิมการฝึกซ้อมฝีพายให้ทันที ถา้ มีสว่ นใดบกพร่องก็จะต้องร้ือแก้ไขตกแตง่ ใหม่ จนกว่า
จะพายแล้วแลน่ ได้ดีในท่ีสุด
92
สถานทท่ี อ่ งเทีย่ วในจงั หวดั พษิ ณโุ ลก
93
แก่งไฮ
ภายในหม่บู ้านเล็ก ๆ ในตำบลห้วยซำรู้ อำเภอนครไทย มอี า่ งเกบ็ น้ำห้วยซำรู้ท่ี ชาวบ้านนิยมไป
พักผ่อน และพัฒนาเป็นแพร้านอาหาร บรรยากาศดี ที่นี่จะไม่เหมือนร้านอาหารบนแพธรรมดา แต่แพ
ส่วนตัวจะถูกลากไปกลางอ่างเก็บน้ำ นักท่องเที่ยวสามารถทานอาหารพร้อมชมวิวอ่างเก็บน้ำได้
อย่างสบายใจเป็นส่วนตัว นอกจากนี้ยังทำกิจกรรมได้หลากอย่าง เช่น เล่นน้ำ พายเรือ ตกปลา
เปิดให้บริการทกุ วัน
ถำ้ ผาแดง
ถ้ำผาแดง อยู่ในพื้นที่ตำบลบ้านมุง อำเภอเนินมะปราง อยู่ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าถ้ำผาท่าพล
เดิมชื่อว่า ถ้ำน้ำผึ้ง เพราะมีผึ้งมาทำรังเป็นจำนวนมาก แต่ที่ได้ชื่อว่า ถ้ำผาแดง ในภายหลัง เพราะว่า
บนหน้าผาเหนือปากถ้ำมีสีแดงเคลือบอยู่ ซึ่งเกิดจากน้ำฝนเซาะดินซึ่งมีแร่เหล็กชนิดหนึ่ง เรียกว่า
เฮมาไทต์ ไหลมาที่หน้าผา จนเกิดเป็นสีแดง ถ้ำผาแดงเป็นถ้ำขนาดใหญ่ ทำให้มนุษย์ยุคก่อน
ประวัติศาสตร์ ใช้ถ้ำนี้เป็นที่อยู่อาศัย จากหลักฐานทางโบราณคดี ได้สำรวจพบเศษภาชนะดินเผา
ลายเชือกทาบที่เผาด้วยไฟอุณหภูมิต่ำ และเครื่องมือสะเก็ดหินที่เกิดจากการกระเทาะแกนหินเพื่อทำ
เคร่ืองมอื หนิ
94
อุทยานแห่งชาตภิ หู นิ รอ่ งกล้า
อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้ามีเนื้อท่ี 191,875 ไร่ มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่รอยต่อ
ของสามจังหวัด คืออำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย และอำเภอนครไทย
จงั หวัดพษิ ณุโลก มภี เู ขาทส่ี ำคัญคือ ภหู มน่ั ขาว ภแู ผงมา้ ภขู ีเ้ ถา้ ภูลมโล และภูหินร่องกล้า อุทยานภูหิน
ร่องกล้ามีสภาพภูมิอากาศคล้ายภูกระดึงและภูหลวง เนื่องจากมีความสูงไล่เลี่ยกัน มีอากาศหนาวเย็น
เกือบตลอดปี ในฤดูหนาวอุณหภูมิอยู่ระหว่าง 0 – 4 องศาเซลเซียส ฤดูร้อนอากาศจะเย็นสบาย และใน
ฤดูฝนมฝี นตกชุก อทุ ยานแห่งชาตภิ หู นิ ร่องกล้า ปกคลมุ ไปด้วยปา่ ไม้ 3 ชนิดคือ ปา่ เต็งรัง ปา่ สนเขา และ
ป่าดิบเขา มที รพั ยากรการทอ่ งเท่ียว 2 ประเภท คอื
1. ประเภทประวัติศาสตร์ ได้แก่ โรงเรียนการเมืองการทหาร สำนักอำนาจรัฐ หมู่บ้านมวลชน
โรงพยาบาล ซึง่ ทั้งหมดเปน็ ฐานปฏิบตั กิ ารของพรรคคอมมวิ นิสต์แห่งประเทศไทยในอดีต
2. ด้านธรรมชาติ ได้แก่ ลานหินแตก ลานหินปุ่ม ผาชูธง น้ำตกหมันแดง น้ำตกร่มเกล้าภราดร
อุทยานแห่งชาตภิ หู ินร่องกลา้ ไดร้ บั รางวัลดีเดน่ ประเภทแหล่งทอ่ งเที่ยวทางธรรมชาตคิ ร้งั ท่ี 7
ประจำปี 2551 จากการทอ่ งเทีย่ วแหง่ ประเทศไทยอกี ด้วย
95
อทุ ยานแห่งชาตภิ สู อยดาว
อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว มีเนื้อที่ครอบคลุมในท้องที่อำเภอห้วยมุ่น อำเภอน้ำปาด จังหวัด
อุตรดิตถ์ อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก มีเนื้อที่ 212,798 ไร่ ลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขา
สลับซับซ้อนวางตัวในแนวเหนือ-ใต้ กั้นพรมแดนไทย-ลาว เป็นต้นกำเนิดของลำน้ำพาย ไหลลงสู่อำเภอ
น้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ และยังเป็นต้นกำเนิดของลำน้ำภาค ไหลลงสู่อำเภอชาติตระการ จังหวัด
พษิ ณโุ ลก บรรจบกบั ลำนำ้ แควน้อย
ลักษณะภูมิอากาศค่อนข้างตลอดทั้งปี บนลานภูสอยดาวอุณหภูมิประมาณ 5 -13 องศา
เซลเซียส สภาพป่าประกอบไปด้วยปา่ ดบิ แล้ง ป่าผสมผลัดใบ ป่าเตง็ รงั ป่าสนเขา ปา่ ดงดบิ เขา ทรพั ยากร
ท่องเที่ยวที่สำคัญของอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว คือ ลานสนภูสอยดาว มีลักษณะเป็นลานทุ่งหญ้ากว้าง
เป็นลานกางเต็นทพ์ กั แรม มีแหลง่ ท่องเท่ียวในบรเิ วณใกล้เคยี ง คอื น้ำตกสายทิพย์ มเี ส้นทางเดนิ ป่าศึกษา
ธรรมชาติ จากท่ีทำการอุทยานฯไปจนถงึ ลานสนภูสอยดาว ใชเ้ วลาเดนิ ทาง 4 – 6 ช่วั โมง