--
--
--
-
-
-
-
คุณคา่ ด้านวรรณศิลป์ของ
บทละครเร่ืองรามเกียรติ์
ฉบับรชั กาลที่ ๑
สามารถสรุปคุณคา่ ดา้ นวรรณศลิ ป์ออกมาได้ ๓ ประเดน็ ดงั นี้
๑ การปรุงแตง่ เสยี ง
๒ การปรุงแตง่ คา
๓ การปรุงแตง่ ความ
๑ การปรุงแตง่ เสยี ง
๑. การเลน่ เสยี งพยญั ชนะ เชน่ คาท่ีคลอ้ งจองกนั ด้วยเสียงพยัญชนะต้น
ตอน ทศกัณฐป์ ระพาสปา่ กวีพรรณนาความต่ืนตนใจของสัตว์ต่างๆ
เมื่อไดย้ ินเสยี งขบวนรถอันยงิ่ ใหญ่ของทศกัณฐ์ ดังนี้
อันสัตว์จัตบุ าวิบาท บนิ กลาดวงิ่ เกลือ่ นไพรระหง
ตกใจตนื่ จรเวยี นวง ดว้ ยเสยี งกงแสนแกว้ จับตา
รีบพลเรง่ พวกทวยหาญ โห่สะทา้ นแหส่ ะเทอื นมาในป่า
ผงคลีพดั คลมุ้ กลุม้ เมฆา ยาตราโดยทางพนาลี
(พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เลม่ ๑, ๒๕๕๗: ๓๒๔-๓๒๕)
จากบทกวีข้างต้น ปรากฏการเล่นเสียงพยัญชนะ ได้แก่ คาว่า ตกใจ-ต่ืนจร
เล่นเสียง /ต/ เสียงกง-แสนแก้ว เล่นเสียง /ก/ รีบพล-เร่งพวก เล่นเสียง /พ/
โห่สะทา้ น-แหส่ ะเทือน เลน่ เสียง /ท/ ผงคลี-พดั คลุ้ม เล่นเสยี ง /ล/
๑ การปรุงแตง่ เสยี ง
๒. การเลน่ เสยี งสมั ผสั สระ คือ คาท่ีมเี สยี งสระตัวเดยี วกนั
และเสียงตวั สะกดอยู่ในมาตราเดยี วกัน ๒.๑ การเลน่ เสยี งสมั ผสั สระในวรรค เช่น
๒.๑.๑ การเล่นเสียงสมั ผัสสระคาท่ี ๑ กบั คาท่ี ๒
นนทกก็ลา้ งเทา้ ให้ เมื่อจะไปก็จบั หัวสนั่
สัพยอกหยอกเลน่ เหมือนทุกวัน สรวลสนั ตเ์ ยาะเย้ยเฮฮา ฯ
(พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราช เล่ม ๑, ๒๕๕๗ : ๔๘)
จากบทกลอนท่ียกมาข้างต้นจะเห็นว่ามีการเล่นเสียงสัมผัสสระในวรรค
คือ สพั ยอก กับ หยอก ซงึ่ เสียงที่สัมผสั สระกนั คอื เสยี งออก /สระออ/
๒.๑.๒ การเลน่ เสยี งสมั ผสั สระคาท่ี ๒ กับคาท่ี ๓
จนผมโกร๋นโล้นเกลยี้ งถงึ เพยี งหู ดเู งาในนา้ แลว้ ร้องไห้
ฮดึ ฮดั ขัดแค้นแนน่ ใจ ตาแดงดงั่ แสงไฟฟ้า
(พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราช เล่ม ๑, ๒๕๕๗ : ๔๖)
จากบทกลอนทีย่ กมาข้างต้นจะเหน็ ว่ามกี ารเลน่ เสยี งสมั ผสั สระในวรรค
คอื ฮึดฮดั กบั ขัด ซึ่งเสียงทส่ี มั ผสั สระกันคอื เสยี งอดั /สระอะ/
๑ การปรุงแตง่ เสียง
๒.๒ การเลน่ เสยี งสัมผสั สระระหว่างวรรคและระหวา่ งบท บทละครเร่อื งรามเกียรต์ิ
ฉบับรัชกาลท่ี ๑ มีการเล่นเสียงสัมผัสสระระหว่างวรรคและระหว่างทุกบท เน่ืองจากใช้
กลอนบทละครดาเนินเร่อื งจงึ ตอ้ งสมั ผสั ให้ตรงตามฉันทลักษณน์ น่ั เอง
๒.๒.๑ การเลน่ เสยี งสมั ผสั สระระหว่างวรรค ตวั อยา่ งกลอน เช่น
เมื่อนน้ั สคุ รีพลูกพระสุริย์ฉนั
ไดฟ้ ง๎ จ่ึงตอบกมุ ภัณฑ์ เหวยทศกัณฐ์ ยส่ี บิ กร
มึงอย่าอ้างอวดฤทธิรงค์ จะต่อด้วยองค์ พระทรงศร
แตก่ ูทหารจะราญรอน ไม่ใหร้ ้อน ถึงองค์พระทรงครุฑ
(พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เลม่ ๒, ๒๕๕๗ : ๓๐๘)
จากกลอนท่ียกมาข้างต้นมีการเล่นเสียงสัมผัสสระระหว่างวรรค ดังนี้ คาว่า “ฉัน”
ของวรรครับกลอนบทแรกสัมผัสกับคาว่า “ภัณฑ์” ในวรรครองของกลอนบทแรก และคาว่า
“ภัณฑ์” ของวรรครองสัมผสั กบั คาวา่ “กัณฐ์” ในวรรคส่งของกลอนบทแรก และคาว่า “รงค์”
ในวรรคสดับของกลอนบทท่ีสองสัมผัสกับ คาว่า “องค์” ในวรรครับของกลอนบทที่สอง
คาว่า “ศร” ของวรรครบั กลอนบทท่ีสองสมั ผัสกับคาวา่ “รอน” ในวรรครองของกลอนบททสี่ อง
และคาว่า “รอน” ของวรรครองสมั ผสั กับคาว่า “รอ้ น” ในวรรคส่งของกลอนบททส่ี อง
๑ การปรุงแตง่ เสยี ง
๒.๒.๒ การเล่นเสยี งสมั ผสั สระระหวา่ งบท ตวั อย่างกลอน เช่น
ครน้ั ถึงประณตบทบงส์ุ ทลู องคพ์ ระบรมรงั สรรค์
ขา้ ไปหกั ฉตั รกมุ ภณั ฑ์
ไดโ้ รมรนั ดว้ ยท้าวทศพักตร์
ครนั้ วา่ จะลา้ งชีวา เกรงเกนิ บัญชาพระทรงจักร
จงึ เอาแตม่ งกุฎขุนยักษ์ มาบูชาศรศักด์พิ ระสี่กร
ตามคาขา้ บาทกระบี่ศรี โดยทไ่ี ดท้ ลู ไวแ้ ต่กอ่ น
พระองคผ์ ู้ทรงฤทธิรอน
ภูธรจงไดเ้ มตตา ฯ
(พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เล่ม ๒, ๒๕๕๗ : ๓๑๑)
จากตัวอย่างกลอนท่ียกมาข้างต้นพบการเล่นเสียงสัมผัสสระระหว่างบท ดังน้ี
คาว่า “พักตร์” คาสุดท้ายของวรรคส่งกลอนบทที่หน่ึง สัมผัสเสียงสระกับคาว่า “จักร” ของ
วรรครับในกลอนบททีส่ อง คาว่า “กร” คาสุดท้ายของวรรคส่งกลอนบทท่ีสอง สัมผัสเสียงสระ
กบั คาวา่ “กอ่ น” ของวรรครับในกลอนบททีส่ าม
๑ การปรุงแตง่ เสียง
๓. การเล่นเสียงวรรณยุกต์ คือ การไล่ระดับเสียง ของวรรณยุกต์ของคาๆ หนึ่ง ให้เสียงคล้ายข้ันบันได
การเลน่ เสยี งวรรณยุกตจ์ ะพบนอ้ ยมากแตถ่ า้ มีก็จะทาใหก้ ลอนบทน้นั มคี วามไพเราะและเสนห่ ม์ ากย่ิงขน้ึ เชน่
เปน็ ชายดดู ๋มู าหมิ่นชาย มติ ายจะไดม้ าเห็นหนา้ จากท่ีได้กล่าวไปข้างต้น การเล่นเสียง
วรรณยุกต์น้ันพบน้อยมาก ในบทประพันน้ี
คิดแลว้ ก็รีบเดนิ มา เฝ้าพระอิศราธบิ ดี ฯ ขา้ งตน้ นี้ พบการเล่นเสียงวรรณยุกต์คือคาว่า
“ดูดู๋” เป็นการเล่นเสียงวรรณยุกต์ตาม
(พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราช เล่ม ๑, ๒๕๕๗ : ๓) ลักษณะการผัน เรียงจากเสียงวรรณยุกต์
สามัญจากนั้นเป็นเสยี งวรรณยกุ ต์จตั วา
๔. การเลน่ จงั หวะเสยี ง
ตวั อยา่ ง บทชมรถทรงของกมุ ภกรรณ
รถเอยราชรถนิล โกมินกงมาศมรกต
ทรงงามสามงอนออ่ นชด ชน้ั ลดชอ่ ลอยลว้ นพลอยเพชร
แก้วกระหนาบกาบกระหนกนกกลาย บัวหงายบงั เงากระจังเก็จ
บัลลงั ก์บุลวดผอวดเม็ด แสงเตรจ็ สอ่ งตรสั เมฆา
สงั เกตจะพบได้ว่ากวีเล่นจังหวะเสียงบางวรรคโดยเพิ่มสัมผัสสระในระหว่างคาที่ ๒ และ ๓ ด้วย ทาให้กลบทมีความซับซ้อน
ขน้ึ อกี ระดบั หนึง่ ดัง่ เช่นในวรรค “ทรงงามสามงอนอ่อนชด” และ “แก้วกระหนาบกาบกระหนกนกกลาย”
๒ การปรุงแต่งคา
๒ การปรุงแตง่ คา
การเล่นคา หมายถึง การใช้กลการประพันธ์ในการแต่งบทร้อยกรองด้วย
การซา้ คาหรอื ซ้าอักษรให้เกิดเสียงเสนาะหรือให้มีความหมายท่ีลึกซึ้งกินใจยิ่งข้ึน
(พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔)
๑.๑ การเลน่ คาโดยวธิ กี าร ซ้าคาเพอ่ื เนน้ ความหมาย
การเลน่ คาโดยการซา้ คา เป็นการนาคามาซ้าเพอ่ื เนน้ ความหมายของคานนั้ ๆ
ซึ่งในบทละครเรอื่ งรามเกยี รตปิ์ รากฏ การซา้ คาเปน็ จานวนมาก เช่น
การเลน่ คาดว้ ยวธิ ซี า้ คาวา่ “สุด” ในบางวรรค ดงั ตัวอย่าง
ตัวข้าผ้เู ป็นราชมัล ไม่อาจฆา่ ฟ๎นมันได้
สุดฤทธ์ิสดุ คดิ สดุ ใจ ภวู ไนยจงโปรดปรานี
๑.๒ เลน่ คาดว้ ยวธิ ี ซ้าคาเดยี วกันท่ีมเี สยี งวรรณยกุ ตต์ ่างกนั เช่น
ตอนชมหงส์ของอัชดาพรหมหรอื ท้าวจัตรุ พักตร์ ใชค้ า “งอนหงอน” ซงึ่ เป็นคาท่ีมเี สียงวรรณยกุ ต์สามัญและจตั วาตามลาดบั ดังนี้
ปากงอนหงอนสะบัดชดชอ้ ย รจนาด้วยสรอ้ ยสลับขน
งามระยบั จับแสงสรุ ิยน ดั่งสีแกว้ วมิ ลชัชวาล
๒ การปรุงแตง่ คา ๑.๓ การเล่นคาที่เปน็ กลบท
กลบท หมายถึง คาประพนั ธท์ ่ีบญั ญตั ใิ ห้ใชค้ าหรอื สมั ผสั เปน็ ชน้ั เชงิ
ย่งิ กว่าธรรมดา (พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔)
การเล่นคาท่เี ปน็ กลบท มีขอ้ สงั เกตว่ากวแี ตง่ โดยมไิ ด้ระบุชอ่ื กลบท เชน่
๑.๓.๑ การเลน่ คาด้วยวิธีซ้าคาตน้ วรรค ๑ คา (แบบกลบทบุษบงแย้มผกา) ดังนี้
ซ้าคาว่า “งาม” พบในตอนกวชี มรถทรงของนางอรุณวดที จ่ี ะไปทาลายตบะของ พระฤๅษกี ไลโกฏ ดงั น้ี
รถเอยรถทรง งามองค์พระธิดาอลงกต
งามแปรกแอกงอนอ่อนชุด งามชอ่ ช้ันลดบัลลงั กล์ อย
งามทวยรวยรบั หางหงส์ งามทรงบษุ บกกระหนกหอ้ ย
งามมุกสุกวามอรา่ มพลอย งามยอดดังจะย้อยดว้ ยทองพราย
(พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราช, ๒๕๕๘ : ๒๐๕ เล่ม ๑)
๑ . ๓ . ๒ ก า ร เ ล่ น ค า ด้ ว ย วิ ธี ซ้ า ค า ต่ า ง กั น ๒ ค า ต ร ง ต้ น ว ร ร ค ห น้ า ( แ บ บ ก ล บ ท บั ว บ า น ก ลี บ ข ย า ย )
เชน่ ซา้ คา “หมู่หนึ่ง” ต้นวรรค บรรยายว่า
หมู่หน่งึ ถือธงสีม่วง ผดุ ดวงเปน็ รูปไกรสร
หมู่หนงึ่ ถือธงมังกร สเี ขียวอรชรพรายพรรณ
(พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราช, ๒๕๕๘ : ๕ เลม่ ๑)
๒ การปรุงแตง่ คา
๑.๔ การเลน่ คาที่ คลา้ ยกลบท
เลน่ คาด้วยวิธซี ้าคาเป็นคู่ ๆ ในแต่ละวรรค ดงั น้ี
ซ้าคาในตาแหน่งคาใดก็ได้ในแต่ละวรรค (ชนิดนี้ไม่มีช่ือกลบท แต่มีลักษณะ
การซ้าคาท่ีคล้ายกลบท) พบตอนชมรถทรงของพระพรต พระสัตรุดตลอดทั้งบท เม่ือท้าวทศรถ
มีรับสั่งให้พระโอรสท้ังสองเดินทางไปอยู่กับท้าวไกยเกษผู้เป็นพระอัยกาของพระโอรส ตามคากราบ
ทลู ขอของท้าวไกยเกษ ดงั น้ี
รถเอยรถเนาวรัตน์ แสงตรัสตรัสต้องพระสุรยิ ฉ์ าย
แอกอ่อนออ่ นชดธงชาย คล้ายคล้ายคมุ วงวงเวียน
แปรกบงั บังใบประดับแกว้ แพรว้ แพรว้ ด้วยนาคเจด็ เศยี ร
โตกตั้งบัลลังก์แก้วแก้ววเิ ชียร เทียมมา้ ม้าเขยี นไมเ่ ทียมทัด
๒ การปรุงแตง่ คา
บทละครเรื่องรามเกียรต์ิ ฉบับรัชกาลท่ี ๑ มีการสรรคาที่ใช้เรียกชื่อแทนตัว
ละครแต่ละตัวทห่ี ลากหลาย เพอื่ แสดงให้เหน็ ถงึ พระปรีชาสามารถของกวีในการเลือกใช้
คา อกี ท้ังเป็นการแสดงอุดมคติเก่ียวกับตัวละคร ทาให้ผู้อ่านเข้าถึงบทบาทของตัวละคร
ตวั อย่างการใช้คาเรยี กแทนตัวละครในบทละครเร่ืองรามเกยี รต์ิ เชน่
๑. พระราม
การใชค้ าเรียกแทนพระรามในบทละครเรือ่ งรามเกยี รติ์ ฉบับรชั กาลที่ ๑ จะเลี่ยงใช้คาที่เรียกนามพระรามโดยตรงแต่ใช้คาท่ี
อื่นในการเรียกนามพระรามแทน เพ่ือแสดงใหผ้ ูอ้ ่านได้เห็นถึงความสูงส่งและย่ิงใหญ่ของพระรามดังจะเห็นได้จากการนาเอาอาวุธที่
มอี ทิ ธิฤทธสิ์ งู มาตั้งช่ือเรยี กแทนพระราม เช่น พระจกั รี พระตรภี วู นาถ เปน็ ต้น
ตัวอย่างการใช้นามเรยี กแทน “พระราม”
พระตรภี วู นาถ หมายความถึงเป็นทีพ่ ่ึงแหง่ สามโลก เพราะพระนารายณเ์ ปน็ เทพผู้รักษาโลกใหพ้ น้ ภยั ตัวอย่างเช่น ๑.
คร้นั ถงึ น้อมเศียรบงั คมบาท พระตรภี วู นาถนาถา
ทลู ความตามไดจ้ านรรจา ด้วยอสรุ าแตเ่ ดิมที
๒. พระทรงครุฑ เนือ่ งจากพระนารายณท์ รงมคี รุฑเป็นพาหนะ ตัวอยา่ งเชน่
แล้วกลับเปน็ องคพ์ ระทรงครุฑ ถอื เทพอาวุธเง้อื งา่
เหาะทะยานผา่ นขึ้นเมฆา ตรงมาเกษียรสมทุ รไท ฯ
๒ การปรุงแตง่ คา
๒. ทศกัณฐ์ การใช้คาเรียกแทนทศกัณฐ์จะปรากฏให้เห็นในรูปแบบของการสรรคา
ใช้เรียกแทนโดยการนาลักษณะของตัวละครมาแต่งเป็นชื่อ เช่น ทศพักตร์
ท้าวราพณาสรู ทา้ วยส่ี บิ กร ท้าวทศเศยี ร เป็นตน้
เม่ือกล่าวโดยภาพรวมแล้วจะเห็นได้ว่า คาที่ใช้เรียกแทนตัวของทศกัณฐ์
จะเป็นคาที่ไม่บอกความหมายโดยตรง ภาษาท่ีใช้ไม่ลึกซ้ึงเมื่อเทียบกับคาที่ใช้
เรียกช่ือพระราม ส่ือให้เห็นถึงความด้อยกว่าพระราม เพราะจุดประสงค์
ในการพระราชนิพนธ์บทละครเร่ืองรามเกียรต์ิก็เพ่ือสรรเสริญพระบาทสมเด็จ
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเปรียบเหมือนพระรามผู้เป็นดังสมมติเทพ
ดงั นน้ั คาทีใ่ ชเ้ รยี กแทนตวั ของทศกัณฐ์จงึ มไี ม่มากเท่าพระราม
“ทศกณั ฐ์”ตัวอยา่ งการใชน้ ามเรยี กแทน
๑. ทศพกั ตร์ หรือทศเศยี ร เน่ืองจากทศกัณฐม์ สี บิ หน้า หรอื สิบหวั ตัวอย่างเชน่
ตวั เรามใิ ช่ดาบส คือทศพกั ตรย์ ักษี
แม้นว่าพระรามมีฤทธี จงมาตอ่ ตดี ้วยกัน
๓ การปรุงแต่งความ
การ ภาพพจนท์ ่ีปรากฏ มีดังต่อไปน้ี
ใช้
ภาพ ๑. อปุ มา คือ เป็นการเปรยี บเทียบส่ิงหน่ึงว่าเหมือนกับอกี ส่ิงหน่ึง
พจน์
เป็นคาแสดงการเปรียบเทียบ เพ่ือเน้นให้เห็นจริงว่าเหมือนหรือคล้ายกัน
อย่างไร ในลกั ษณะใด มกั มีคาเชื่อม ดง่ั ดจุ เฉก เหมอื น เสมือน
ตัวอย่างการใช้ อปุ มา ในบทละครเร่ืองรามเกียรติ์
ตอน นารายณ์ปราบนนทก เมือ่ นนทกได้นวิ้ เพชรมาจากพระอิศวร ก็เท่ียวไล่ชี้นว้ิ สงั หารเหลา่ เทวดา
ตอ้ งสบุ รรณเทวานาคี ดง่ั พษิ อสุนีไม่ทนได้
ล้มฟาดกลาดเกลอ่ื นลงทันใด บรรลัยไมท่ ันพรบิ ตา
กวไี ดพ้ รรณนาอทิ ธฤิ ทธข์ิ องนิว้ เพชรไว้ว่า เจ็บปวดเหมือนกับถูกฟ้าผา่ จนล้มลง
ตรงนั้น ทาให้ผอู้ า่ นเห็นภาพและเขา้ ใจถงึ ความรา้ ยกาจของน้วิ เพชรได้โดยงา่ ย
๓ การปรุงแต่งความ
การใช้ ๑.๒ อปุ ลกั ษณ์ เปน็ โวหารภาพพจนท์ ี่
ใช้กลา่ วถึงส่งิ หนง่ึ ว่าเป็นอีกสิง่ หน่งึ นิยมใชค้ าวา่
เปน็ คอื เทา่ เปน็ คาเช่อื ม
ตัวอย่างการใช้ภาพพจน์ อุปลักษณ์ ในบทละครเรื่องรามเกียรต์ิ
ภาพ ตอน อภิเษกพระรามกบั นางสีดา
พจน์
พระรามกล่าวแก่นางสีดาโดยเปรียบนางกับดอกมณฑาทิพย์ ซ่ึงเป็นดอกไม้บนสวรรค์ท่ีตกลง มายัง
โลกมนษุ ย์แสดงให้เห็นวา่ นางสีดานนั้ งดงามและสูงสง่
พี่ไร้คู่สมภริ มย์รัก จึง่ สามิภักดม์ิ าอาสา
จนไดด้ วงทิพย์สุมณฑา คอ่ ยคลายวิญญาณท์ ่ีรมุ่ ร้อน
๓ การปรุงแต่งความ
การ ๑.๓ อติพจน์ คือ โวหารภาพพจน์ท่ีใช้กล่าวเกินจริงเพื่อย้า
ใช้
ภาพ ความหมายให้ผู้ฟ๎งรู้สึกว่าหนักแน่นจริงจังเน้นความรู้สึกให้
พจน์ เดน่ ชดั และนา่ สนใจ โดยไมเ่ นน้ ความเป็นจริง
ตวั อย่างการใช้ภาพพจน์ อติพจน์ ในบทละครเรือ่ งรามเกยี รติ์
ตอน ศึกไมยราพ ใช้ภาพพจน์อติพจน์กล่าวถึงตอนท่ีไมยราพแทรกแผ่นดินข้ึนมาจาก
บาดาลวา่ มฤี ทธ์ิรุนแรงท่ที าให้เกดิ แผน่ ดนิ ไหว
ชาแรกแทรกพนื้ บาดาล สธุ าธารกัมปนาทหวาดไหว
ขนึ้ ยังฟากฝง๎ สมทุ รไท ดนั้ ดดั มาในหิมวา
๓ การปรุงแต่งความ
การ ๑.๔ ปฏิปุจฉา เป็นศิลปะการใช้คาถามในงานวรรณกรรม เป็นคาถามท่ีไม่ได้ต้องการ
คาตอบแต่ถามเพอ่ื เรียกร้องความสนใจหรือถามเพ่ือให้อกี ฝ่ายได้ฉุกคดิ
ใช้ ตัวอย่างการใชภ้ าพพจน์ ปฏปิ ุจฉา ในบทละครเรอื่ งรามเกยี รติ์
ภาพ ตอน นารายณ์ปราบนนทก
พจน์
นนทกถกู เทวดากลนั่ แกลง้ จนทนไม่ไหวจงึ ไปทลู ขอประทานนิ้วเพชรจากพระอิศวร โดยกล่าวถึง
การที่ตนทางานรบั ใชม้ านาน แตไ่ ม่ไดร้ บั รางวลั หรอื ยศศักดิ์ใดๆ ก็ไม่ทราบว่าตนทาเวรกรรมใดไว้ ซ่ึงเป็นการใช้
ปฏิปุจฉา คือถามเพื่อตัดพ้อเรยี กรอ้ งความสงสารเห็นใจใหพ้ ระอศิ วรประทานนิ้วเพชรใหต้ นนนั่ เอง
พระองค์ผ้ทู รงศักดาเดช ไมโ่ ปรดเกศแก่ข้าบทศรี
กรรมเวรสงิ่ ใดด่งั นี้ ทลู พลางโศกีราพนั
๓ การปรุงแต่งความ
๑.๕ สทั พจน์ คอื การใชถ้ อ้ ยคาทเ่ี ลียนเสียงธรรมชาติ
ตวั อยา่ งการใช้ภาพพจน์ สัทพจน์ ในบทละครเร่อื งรามเกียรต์ิ การใช้
ภาพพจน์
ตอน ทศกัณฐ์ล้ม
ในศึกครั้งสุดท้ายระหว่างพระรามกับทศกัณฐ์ พระรามแผลงศรไปถูกอกทศกัณฐ์ตกจากรถ ทรง
เสียงศรนัน้ ดงั ราวฟา้ ผา่ กกึ กอ้ งไปทวั่ บรเิ วณ กกึ ก้องทั่วทศทิศา
เปรีย้ งเปรีย้ งดั่งเสยี งฟา้ รอ้ ง
ต้องอกทศกณั ฐอ์ สุรา ตกจากรถั าอลงกรณ์
๑.๖ นามนยั ภาพพจน์ที่ใชค้ าหรือวลบี ่งบอกลกั ษณห์ รือคุณสมบัตขิ องสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาแสดงความหมายแทนสง่ิ ของ
ที่มีลกั ษณะเดน่ หรอื สิง่ ของทม่ี ีสมั พันธภาพใกลช้ ิดกบั ส่งิ ท่แี ทน
ตวั อยา่ งการใช้ภาพพจน์ นามนัย ในบทละครเรื่องรามเกยี รติ์ การใช้
ภาพพจน์
ตอน อภิเษกพระรามกบั นางสีดา
ท้าวชนกมดี ารจิ ะยกราชสมบัตใิ ห้พระรามกับนางสดี า คาว่า เศวตฉตั ร ในทีน้ใี ชเ้ ปน็ นามนัยหมายถึง ราชสมบัติ
หมายวา่ จะมอบเศวตฉัตร สบื วงศ์จกั รพรรดนิ าถา
ท่ีในบรู ินทรม์ ถิ ิลา เปน็ มหาจรรโลงธาตรี
๓ การปรุงแต่งความ
การใช้ ๑.๗ สญั ลักษณ์ เปน็ การเรยี กชอ่ื สง่ิ ๆ หนงึ่ โดยใชค้ าอ่ืนมาแทนไม่เรยี กตรง ๆ
ภาพพจน์
ตวั อย่างการใช้ภาพพจน์ สญั ลกั ษณ์ ในบทละครเรอ่ื งรามเกียรต์ิ
ตอน อภิเษกพระรามกบั นางสดี า
ในฉากอัศจรรย์ของพระรามกับนางสีดากวีใช้ภุมริน คือ แมลงผ้ึง
หรือแมลงภู่ แทนพระราม และใช้ บุษบา คือ ดอกไม้ แทนนางสีดา แทนภาพ
การร่วมรักของทั้งสอง
หยอกเยา้ เคล้าคลึงเกีย้ วกระหวัด ประดิพัทธ์กลั้วกลิ่นหอมหวาน
ภมุ รินบินรอ่ นคัคนานต์ เชยบุษบาบานอรชร
๓ การปรุงแต่งความ
๓ การปรุงแต่งความ
๒.๑ บรรยายโวหาร
การบรรยายฉาก เหตุการณ์ และตัวละคร บรรยายได้อย่างละเอียด ชัดเจน
ไม่ว่าจะเป็นฉากภูมิประเทศ ขบวนทัพ การรบ ภาพบ้านเมือง การแต่งตัวและการกระทา
หรือพฤติกรรมของตัวละคร ตลอดจนเหตกุ ารณ์ต่าง ๆ เชน่
บรรยายการจดั ทพั
ทพั หนา้ เกณฑใ์ หน้ ลิ นน คุมพลสบิ สมุทรเปน็ นายใหญ่
ทพั หนุนองคตฤทธไิ กร คุมพลสบิ สมทุ รวานร
เกียกกายคาแหงหนมุ าน คุมทหารสบิ สมุทรชาญสมร
ทัพหลวงโยธาพลากร ซับซอ้ นยส่ี บิ สมทุ รตรา
ยกกระบัตรนิลพัทชาญยทุ ทธ์ คุมพลสบิ สมุทรแกลว้ กลา้
กองขันสิบสมุทรโยธา นิลราชศกั ดาบญั ชาการ
กองหลังนลิ เอกคมุ ไพร่ นบั ได้เจ็ดสมุทรทวยหาญ
รายเรยี งเพียบพ้นสุธาธาร เสยี งสะเท้อื นสะท้านเปน็ โกลี ฯ
บทบรรยายการจัดกระบวนทัพแตง่ ข้นึ เพอื่ เปน็ การแสดงใหเ้ หน็ ถึงความย่งิ ใหญข่ องกองทพั
และพระปรชี าสามารถของพระรามในการทาศกึ สงคราม ซงึ่ เป็นคุณสมบตั ขิ องกษัตริย์ทต่ี ้องมีความรู้
ความสามารถในการจัดทัพ การทาสงคราม จงึ จะถอื ว่าเปน็ กษัตริย์ที่เกรยี งไกรได้
๓ การปรุงแต่งความ
๒.๒ พรรณนาโวหาร
โวหารที่ใช้กล่าวถึงเรื่องราว สถานที่ บุคคล ส่ิงของ หรืออารมณ์อย่างละเอียด สอดแทรกอารมณ์ ความรู้สึกลงไปเพื่อ โน้มน้าวใจ
ให้ผู้รับสารเกิดภาพพจน์ เกิดอารมณ์คล้อยตามไปด้วย ใช้ในการพูดโน้มน้าวอารมณ์ของผู้ฟ๎งหรือเขียนสดุดี ชมเมือง ชมความ งาม
ของบุคคล สถานท่แี ละแสดงอารมณค์ วามรสู้ ึกต่าง ๆ ซง่ึ ได้พรรณนาไวด้ ังน้ี
ตอน นางสามนกั ขาชมโฉมพระราม
เม่อื นนั้ ฝ่ายนวลนางสามนักขา เป็นการพรรณนาถึงความงามของพระราม
แลไปเหน็ พระจกั รา รูปทรงโสภาอาไพ ซึ่งกวีทรงใช้วิธีการเปรียบเทียบ ทาให้เกิด
พนิ จิ พิศทว่ั ทั้งองค์ มคี วามพิศวงสงสยั ความไพเราะและโดดเดน่ ในเรอื่ งของการเปรียบ
จะว่าพระอิศวรเรืองชัย กไ็ ม่มสี ังวาลนาคี เปรย รวมถึงพระปรีชาในการเลือกใช้ถ้อยคา
จะว่าพระนารายณ์ฤทธิรอน กไ็ ม่เหน็ พระกรเปน็ สี่ ที่มีการเปรียบเทียบได้อย่างสละสลวย ทาให้
จะว่าทา้ วธาดาธบิ ดี เหตุใดไม่มีเปน็ ส่พี ักตร์ ผู้อ่านเกิดจินตภาพความงดงามได้อย่างแยบยล
แม้นจะว่าทา้ วหัสนัยน์ ใยจงึ ไม่ทรงวเิ ชยี รจักร ซึ่งความงามของพระรามนี่เองที่เป็นเหตุให้นาง
จะวา่ พระสรุ ยิ าวรารักษ์ ก็ชักรถอยู่ในเมฆา สามนักขาหลงใหลจนทาให้เกิดสงครามระหว่าง
ครน้ั จะวา่ องค์พระจนั ทร กผ็ ิดทจ่ี ะจรจากเวหา พระรามกบั ทศกัณฐ์
ชะรอยจักรพรรดกิ ษตั รา ละสมบัติมาเป็นโยคี
ย่ิงพิศยิง่ พิศวาสกลมุ้ รสรกั รึงรมุ ดงั เพลิงจ่ี
อกใจไมเ่ ปน็ สมประดี อสุรคี ล่ังเคล้มิ วญิ ญาณฯ
๓ การปรุงแตง่ ความ
๒.๓ สาธกโวหาร
โวหารที่มุ่งให้ความชัดเจนโดยการยกตัวอย่างหรือเร่ืองราวประกอบการอธิบาย เนื้อหาสาระ เพ่ือสนับสนุน
ข้อคิดเห็นต่าง ๆ ให้หนักแน่น สมเหตุสมผล ทาให้ผู้รับสารเข้าใจเนื้อหา สาระในสิ่งที่พูด หรือเขียนอย่างแจ่มแจ้ง ชัดเจน
ดสู มจรงิ หรอื น่าเชอ่ื ถือย่งิ ข้ึน ตอน ทศกณั ฐ์แปลงเป็นฤๅษเี พ่อื ลักนางสดี า
เมื่อนัน้ ทศเศียรสุริย์วงศ์ยักษา
ไดฟ้ ง๎ พจนารถนางกลั ยา อสุรายิม้ แลว้ กต็ อบไป
อนจิ จารูปวา่ จะให้ดี กลับโกรธฤๅษกี เ็ ปน็ ได้
อนั พระรามสามอี รไท ที่ไหนจะเทยี มทศพกั ตร์
นอ้ ยท้ังสมบตั ิพัสถาน ศฤงคารบริวารอาณาจักร
ท้ังฤทธีปรชี ากอ็ อ่ นนัก เปรียบกับพญายักษ์น้ันไกลกนั
มาตรแม้นจะตอ่ ฤทธา แตพ่ รบิ ตาก็จะม้วยอาสัญ
รักเจา้ จงึ ว่าโดยธรรม์ กลั ยาคิดดูใหจ้ งดฯี
ในตอนน้ีฤๅษีทศกัณฑ์ได้ยกเอาข้อดีของตนเอง มาเปรียบเทียบกับพระรามเพ่ือให้นางสีดาเกิดความรักในตัวของ
ทศกัณฐ์ ทั้งยังมีการยกความเก่งกล้าสามารถของตน ทรัพย์สมบัติ เพ่ือเป็นข้อเปรียบเทียบให้นางสีดาเปล่ียนใจจาก
พระรามและยอมเปน็ ภรรยาของตนซ่งึ หากนางสดี ายนิ ยอมแต่โดยดกี ็จะไมม่ ีการทาศึกระหวา่ งพระรามกับทศกณั ฐ์
๓ การปรุงแต่งความ
๒.๔ เทศนาโวหาร โวหารทีม่ ุ่งโน้มนา้ วใจใหเ้ กิดความร้สู กึ คล้อยตาม เปน็ การกลา่ วใน
เชิงอบรม แนะนาสง่ั สอน เสนอทัศนะ ชแี้ นะหรอื โนม้ น้าว ชักจูงใจโดย
ตอน ทศกณั ฐล์ ้ม ยกเหตผุ ล มาแสดงเพ่อื ใหผ้ ู้อา่ นเกิดความเขา้ ใจที่กระจ่างจนยอมรบั
เชอื่ ถือมีความเห็นคล้อยตามและปฏบิ ตั ติ าม เชน่
ปากส่วี า่ เจา้ จะครองยศ ปรากฏเปน็ จอมไอศวรรย์
จงเอน็ ดสู ุริย์วงศ์พงศพ์ นั ธุ์ โดยธรรม์สจุ รติ ประเวณี
ปากห้าจงดารงทศพิธ อยา่ ทาทจุ ริตใหเ้ หมอื นพี่
ตัดโลภโอบอ้อมอารี แกโ่ ยธีไพร่ฟ้าประชากร
ปากหกว่าเจา้ จงอดโทษ ซ่งึ กรวิ้ โกรธดา่ วา่ มาแตก่ ่อน
อย่าให้เปน็ เวราอาวรณ์ แก่เราผ้จู ะจรไปเมืองฟ้าฯ
ทศกัณฑ์ส่ังพิเภกก่อนท่ีตนเองจะส้ินชีพ ให้พิเภกต้ังตนอยู่ใน
ทศพิธราชธรรม อย่าได้ทาตัวเป็นผู้ไร้คุณธรรมเช่นตน ซึ่งการตายของ
ทศกัณฑ์ถอื เป็นการส้นิ ศึกกรุงลงกาครงั้ ท่ี ๑
๓ การปรุงแต่งความ
ในบทละครเรือ่ งรามเกยี รติ์ฉบับพระราชนพิ นธ์รชั กาลท่ี ๑
มีการลาดับความตามขนบวรรณคดไี ทย ดงั น้ี
๓.๑ มบี ทประณามพจนห์ รอื บทนมสั การตน้ เรอื่ ง ต้นเรอื่ งแตง่ เป็นร่ายสุภาพ
มขี อ้ ความสดุดพี ระเกียรตคิ ณุ ของพระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราช
๓.๒ มีป๎จฉิมพจน์ท้ายเรื่อง ป๎จฉิมพจน์นี้ปรากฏในกลอนท้ายเรื่องรวมทั้งโครง ๒ บทปิดท้าย ในกลอน
บทสดุ ท้ายของเร่อื งรามเกียรตขิ์ อ้ ความประเมนิ พระราชนพิ นธเ์ รอ่ื งรามเกียรตน์ิ ว้ี ่าแต่งไดไ้ พเราะย่ิงกว่าเรื่อง
ที่มีมาก่อนในอดีตเป็นเร่ืองท่ีทรงนามาจาก “นิยายไสย” ซ่ึงน่าจะหมายถึงเร่ืองนารายณ์สิบปางท้ังยัง
กลา่ วถึงวตั ถุประสงค์ในการพระราชนพิ นธ์ส่วนโคลงอีกบทหนึ่งเป็นโคลงสี่สุภาพ ระบุ วันเดือนปี ท่ีทรงเริ่ม
พระราชนิพนธว์ า่ คือวนั จันทร์ ขึ้น ๒ ค่า จลุ ศกั ราช ๑๑๕๙ ตรงกับพทุ ธศกั ราช ๒๓๔๐